Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 182-188

 บทที่ 182: ล้อมรอบปีศาจเฒ่า


ด้านบนของสุดของหอคอยลอยฟ้า มันเป็นหอคอยเคลื่อนย้ายที่มีไว้สำหรับศิษย์ชั้นใน มันไม่ได้ใหญ่มาก ขนาดสูงเพียงหนึ่งร้อยฟุตเท่านั้น แต่มีเสาหินมากมายล้อมรอบมันอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจงใจสร้างมันเช่นนี้ สถานที่แห่งนี้มีผู้ฝึกตนระดับจินตันสามคนอยู่ในสมาธิเพื่อคอยเฝ้าระวัง พวกเขาไม่กล้าละเลยหน้าที่ตนเอง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ใดกล้ารุกล้ำเข้ามา


การป้องกันอย่างแน่นหนาเช่นนี้ไม่ได้กระทำโดยไร้เหตุผล หอคอยลอยฟ้านี้ตั้งอยู่ด้านหลังของสำนักเสวียนเทียน อีกทั้งศัตรูสามารถแทรกแซงเข้ามาได้ตลอดเวลา ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นสิ่งที่สำนักให้ความสำคัญอย่างมาก พวกเขาจำกัดการเข้าใช้งานสถานที่แห่งนี้พร้อมทั้งจัดเวรยามเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันไว้ตลอดทั้งปี


วันนี้เกิดแสงสีเขียวกระพริบจากหอคอยลอยฟ้าที่ไม่ค่อยมีใครใช้งาน ปรากฏชายชราในชุดคลุมสีเขียวออกมา ในขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้นในสถานที่แห่งนี้ เขาดูมึนงง จากนั้นเขาเริ่มตรวจสอบสภาพแวดล้อมทันทีพร้อมกับมองออกไปที่เสาด้านนอกและเข้าใจทุกอย่างทันที เขากล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนก “อา เสาหมื่นมังกรนิทรา! ที่นี่คือสำนักเสวียนเทียนงั้นหรือ?”


เมื่อเขาอุทานออกมา ผู้ฝึกตนระดับจินตันเห็นเขาและจำได้ทันที พวกเขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับตะโกนออกมาพร้อมกัน “ปีศาจเฒ่าเฟิงจากสำนักพันปีศาจ?!”


หลังจากที่ทั้งหมดทราบว่าอาวุโสเฟิงบุกรุกเข้ามา ทั้งสามคนตกใจทันที จากนั้นหนึ่งในสมาชิกร่วมป้องกันตะโกนออกมา “ศัตรูบุกรุก! เปิดการแจ้งเตือน! ป้องกันเสาหมื่นมังกรนิทรา!”


ตามคำสั่งของเขา ทุกคนที่อยู่ภายในหอคอยลอยฟ้าเคลื่อนไหวทันที เจ้าหน้าที่ทุกคนนั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้โง่งม ทั้งหมดปฏิบัติตามคำสั่งทันที


สิ่งแรกที่ผู้ฝึกตนระดับจินตันกระทำคือสูดหายใจลึก จากนั้นเปิดการใช้งานเสาหมื่นมังกรนิทรา ในขณะที่มันถูกเรียกใช้งาน ปรากฏมังกรนับไม่ถ้วนออกมาเพื่อโจมตีตาเฒ่าเฟิง


แม้ว่าจะรู้สึกหดหู่ในใจ ตาเฒ่าเฟิงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากเรียกใช้งานอุปกรณ์ของตนเอง ในขณะที่เขาปลดปล่อยธงสีดำขนาดใหญ่ออกมา พายุหมุนสีดำหมุนรอบร่างกายเขาไว้เพื่อป้องกัน ในขณะที่หมื่นมังกรนิทราปะทะกับพายุหมุนของเขา มันแตกออกเป็นชิ้น ๆ โดยที่ตาเฒ่าเฟิงไม่ได้รับรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย


อย่างไรก็ตาม ภายใต้แรงกดดันจากหมื่นมังกรนิทรา ตาเฒ่าเฟิงทำได้เพียงป้องกันเท่านั้น เขาไม่อาจโต้กลับได้


ผู้ฝึกตนคนอื่นที่อยู่ในหอคอยลอยฟ้าก็เริ่มโจมตีด้วยเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดปลดปล่อยปราณจิตวิญญาณของตนเองเพื่อทำการคุมขังล้อมรอบตาเฒ่าเฟิงไว้อย่างสมบูรณ์ เช่นกัน ตาเฒ่าเฟิงไร้หนทางหลบหนีอย่างสมบูรณ์


ในขณะเดียวกันระฆังเตือนภัยได้ดังขึ้นแล้ว ซึ่งความดังของมันนั้นสนั่นไปทั่วสำนักเสวียนเทียน เหล่าศิษย์มากมายจากทั่วทุกแห่งเริ่มวิ่งมารวมกัน เพื่อค้นหาผู้บุกรุก จ้าวสำนัก ภรรยา และนักบวชฮัวอวิ๋นไม่ล่าช้า พวกเขานำพาผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งหมดตามมาอย่างรวดเร็ว


เมื่อทั้งสามคนมาถึงสถานที่เกิดเหตุ พวกเขาพอใจกับภาพตรงหน้าอย่างยิ่ง


ในตอนแรกพวกเขาทั้งหมดคิดว่าถูกรุกรานโดยกองทัพขนาดใหญ่จึงรีบวิ่งมาอย่างสุดชีวิต ในตอนท้ายพวกเขาเห็นตาเฒ่าเฟิงยืนอยู่เพียงผู้เดียว อีกทั้งยังเป็นคนที่พวกเขารู้จักเป็นอย่างดี แต่กลับมาติดกับดักมังกรหมื่นนิทราภายในสำนักเสวียนเทียน แม้ว่าเขาจะมีสามเศียรหกกรก็ไร้ประโยชน์! มันคล้ายกับการไล่จับเต่าที่อยู่ในขวดแก้ว แถมเต่าตัวนี้มีขนาดใหญ่มาก!


จ้าวสำนักและนักบวชฮัวอวิ๋นเริ่มหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสถานการณ์ที่สามารถจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้ ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ตาเฒ่าเฟิงกลับรู้สึกร้องไห้อยู่ภายใน!


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” นักบวชฮัวอวิ๋นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวถากถาง “ฮ่าฮ่า นี่ไม่ใช่ตาเฒ่าเฟิงงั้นหรือ? แล้วลมอะไรหอบเจ้ามาที่นี่? หรือว่าลมพัดแรงไปหน่อยเจ้าเลยมาอยู่ที่นี่?”


ใบหน้าของตาเฒ่าเฟิงกลายเป็นสีเขียวแต่ไม่สามารถตอบโต้ได้


จ้าวสำนักเข้าร่วมถากถางด้วยอย่างสนุกสนาน “สหายเฟิงมาอยู่ที่นี่เพื่อดื่มชากับข้างั้นหรือ? เจ้าอยู่ในอารมณ์แบบไหนกัน?”


สุดท้ายแล้วตาเฒ่าเฟิงไม่อาจระงับอารมณ์ได้อีกต่อไปเขาคำถามออกมาอย่างอดกลั้น “มีแต่พวกสารเลวเท่านั้นที่อยากร่วมดื่มชากับเจ้า! ข้าถูกส่งมาที่แห่งนี้โดยเจ้าไขมันบัดซบ!”


“ว่าอะไร?” ในขณะที่พวกเขาได้ยินเช่นนั้น รู้สึกผิดแปลกทันที


จ้าวสำนักถามออกไปอย่างรวดเร็ว “ไขมันบัดซบ? เจ้าไม่ได้หมายถึงอ้วนน้อยใช่หรือไม่?”


“แล้วผู้ใดจะสามารถกระทำการบัดซบได้เท่ามันอีกล่ะ?” ตาเฒ่าเฟิงกล่าวอย่างขื่นขม


ในขณะที่ทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขางงงวยและเริ่มมองหน้ากัน


ภรรยาจ้าวสำนักถามต่อ “บุตรของเราทำอะไรกับท่าน? ทำไมถึงได้เกลียดชังเขามากมายขนาดนี้?”


“มัน… มันกล่าวว่าจะมอบแก่นศิลาสายลมให้กับข้า แต่ว่ามันกลับแอบซ่อนยันต์เคลื่อนย้ายระดับต่ำเอาไว้ภายใน ข้าไม่ได้ตรวจสอบให้ดีและใส่ปราณจิตวิญญาณลงไปเพื่อตรวจสอบว่ามันเป็นศิลาของจริงหรือไม่ จากนั้นข้าก็ติดกับดักและถูกส่งมาที่นี่!” ตาเฒ่าเฟิงไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาระบายออกมาอย่างโกรธแค้นพร้อมกับน้ำตาที่แทบไหลอาบสองแก้ม


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขารู้แล้วว่าความตายเท่านั้นที่รอคอยเขาอยู่ ถ้าหากเขาต่อสู้อย่างสุดกำลังและตายภายในเงื้อมมือของนักบวชฮัวอวิ๋นและจ้าวสำนักเสวียนเทียน เขายังไม่รู้สึกแย่มากเท่านี้ แต่ปัญหาก็คือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเดินเข้าไปติดกับดักของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเช่นเจ้าอ้วน! แล้วเขาจะยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาโกรธจัดจนน้ำตาไหลอาบแก้ม


หลังจากจ้าวสำนักได้ยินว่าเขากล่าวอะไร เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่เคยคาดหวังว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้


เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขายังพบเห็นว่าเจ้าอ้วนยังคงอยู่ในสำนักเสวียนเทียน แล้วเขาจะออกไปพบปะตาเฒ่าเฟิงได้อย่างไร?


ดังนั้นจ้าวสำนักจึงกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “เจ้าพบอ้วนน้อยที่ไหน? แล้วนอกเหนือจากเจ้ามีผู้ใดอยู่ที่นั่นอีก?”


“เหอะ!” ในขณะที่ตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาเผยรอยยิ้มชั่วช้าและกล่าวว่า “ข้าบอกได้เพียงว่ามีศิษย์ข้าอีกสองคนระดับจินตันอยู่ที่นั่น หึ ถึงแม้ว่าข้าจะตายตกอยู่ตรงนี้ แต่โอกาสที่ไขมันบัดซบจะมีชีวิตรอดได้เป็นเพียงความฝันเท่านั้น!”


จ้าวสำนักและภรรยาตกใจทันที “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาจะต้องออกจากสำนักเสวียนเทียน?”


“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น ยังมีบุตรสาวของเจ้าและฉุ่ยจิ้งอีกด้วย แม้ว่าชายชราผู้นี้จะตาย แต่ว่าข้าจะมีเพื่อนร่วมเดินทางไปนรกด้วยกันถึงสามคน! ฮ่าฮ่าฮ่า” อาวุโสเฟิงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง


เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวของเขาถูกคุกคามโดยผู้ฝึกตนระดับจินตัน จ้าวสำนักและภรรยากังวลและเริ่มสอบปากคำทันที “สารเลว! พูดออกมาว่าบุตรสาวของเราอยู่ที่ใด!”


“ฮ่าฮ่า พวกเขาอยู่สักที่ในเทือกเขาใหญ่แห่งนี้และกำลังค้นหาบางอย่าง!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะออกมา


เมื่อเห็นว่าเขาคิดอย่างไร จ้าวสำนักและภรรยารู้ได้ทันทีว่าตาเฒ่าเฟิงไม่ได้ตอบคำถาม เขารู้ว่าจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปจึงคิดที่จะพาเด็กทั้งสามลงเหวไปกับเขาด้วย


เมื่อคิดได้เช่นนั้น จ้าวสำนักโกรธจัดพร้อมกับหยิบดาบบินของตนเองออกมา “โจมตีพร้อมกัน แต่ห้ามให้มันตาย ความตายง่ายเกินไปสำหรับมัน!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาเรียกใช้งานดาบพร้อมปลดปล่อยลำแสงออกมา


ภรรยาจ้าวสำนักที่ยืนอยู่ด้านข้างโกรธจัดเช่นกัน นางหยิบเอาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีออกมานับร้อยลูก ในขณะนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นไม่รอช้า เขาใช้ทุกอย่างที่มีเช่นกัน เพราะเกรงกลัวว่าความล่าช้าของเขาจะทำให้ราคาที่ต้องจ่ายคือชีวิตของหงหยิงและฉุ่ยจิ้ง


จ้าวสำนักและนักบวชฮัวอวิ๋นโจมตีอย่างบ้าคลั่ง การโจมตีที่รุนแรงของพวกเขาตัดผ่านพายุหมุนที่ปกป้องร่างกายของตาเฒ่าเฟิงไว้อย่างง่ายดาย ยิ่งกังวลเกี่ยวกับบุตรสาวของตนเองมากเท่าไหร่ การโจมตีของภรรยาจ้าวสำนักยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น นางยิงสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีออกไปราวกับมันเป็นก้อนหินไร้ค่า แม้ว่าพลังของธงสีดำจะสามารถทำลายภูเขาทั้งลูกได้อย่างง่ายดาย แต่ในเวลานี้มันกลับไม่สามารถต้านทานสิ่งใดได้และพังทลายลงอย่างรวดเร็ว


อีกทั้งมังกรหมื่นนิทราที่ถูกควบคุมโดยผู้ฝึกตนระดับจินตันนับสิบคนโจมตีไปที่ตาเฒ่าเฟิงอย่างไร้ความปราณี ทุกสิ่งอย่างคล้ายกับพายุลูกใหญ่กำลังพุ่งเข้าไปหาเขา


ด้วยพลังของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสามคนกับพลังของมังกรหมื่นนิทรา พลังอำนาจนั้นอยู่เหนือกว่าที่ทุกคนจะสามารถจินตนาการได้ เกิดลำแสงสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า ทุกสิ่งอย่างระเบิดออกมาเกิดเสียงดังสนั่น


แม้ว่าตาเฒ่าเฟิงจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีก็ยังไม่อาจป้องกันการโจมตีเหล่านี้ได้ สมบัติวิเศษที่เขาใช้แตกหักลงทั้งหมด ในตอนสุดท้ายแม้แต่ธงสีดำของเขายังถูกทำลายโดยสายฟ้าของภรรยาจ้าวสำนัก


เนื่องจากธงสีดำของเขาถูกทำลาย ตาเฒ่าเฟิงบาดเจ็บสาหัสทันที จ้าวสำนักและนักบวชฮัวอวิ๋นหยุดการโจมตีทุกอย่างทันทีเพื่อต้องการที่จะให้เขามีชีวิตอยู่


หลังจากที่จับกุมเขาได้แล้ว จ้าวสำนักกล่าวกับตาเฒ่าเฟิงอย่างกระวนกระวายใจ “เจ้าจะพูดออกมาหรือไม่ หรือว่าเจ้าจะพูดหลังจากที่ถูกถลกหนังออก?”


ไม่ว่าอาวุโสเฟิงจะปากแข็งและเอาแต่ใจมากเพียงใด เขาไม่คิดว่าเขาจะสามารถทนทุกข์ทรมานจากการถลกหนังทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ นอกจากนั้น ในตอนนี้ผ่านมาแล้วประมานหนึ่งชั่วโมงและต้องใช้เวลาสักระยะกว่าที่จ้าวสำนักจะเดินทางไปถึงสถานที่แห่งนั้น ดังนั้นเขาคาดว่าจ้าวสำนักคงจะไปถึงเพียงเพื่อพาศพของทั้งสามคนกลับมาเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดเผยสถานที่ทันที “ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ ฮ่าฮ่า พวกเขาทั้งสามอยู่ที่เทือกเขาเขียวด้านทิศตะวันตก เจ้าสามารถไปพบพวกเขาได้ที่นั่น!”


“เทือกเขาเขียว? พวกเขาไปทำอะไรที่นั่น?” จ้าวสำนักถามกลับ


“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าเพียงพบพวกเขาทั้งสามโดยบังเอิญเท่านั้น!” ตาเฒ่าเฟิงกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส


“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้โกหก?” จ้าวสำนักคำรามออกมา


“มันก็เรื่องของเจ้า ถ้าหากว่าไม่เชื่อข้าก็ช่างปะไร!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะออกมา


“เจ้า!” จ้าวสำนักโกรธจัดจนเลือดลมขึ้นหน้า


ในขณะนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นกระโดดออกมาพร้อมกล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้ยินมาว่าไขมันบัดซบกำลังติดตามเบาะแสของครอบครัวตนเองในสถานที่สุดท้ายที่พวกเขาหายไป! ถ้าหากข้าจำไม่ผิด ครอบครัวของเขาหายไปในเทือกเขาเขียวทางด้านทิศตะวันตก”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเข้าใจเรื่องราวทันที “อย่าบอกนะว่าเขาไปสถานที่แห่งนั้นเพื่อค้นหาซากศพของบิดาและมารดา?”


บทที่ 183: ร่วมมือกัน


“ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น!” จ้าวสำนักพยักหน้าพร้อมกับตำหนิ “เจ้าอ้วนไม่ได้บอกอะไรกับเราก่อนที่จะออกไป อีกทั้งยังลักพาตัวบุตรสาวของข้าไปอีกด้วย! แน่นอนว่าข้าจะถลกหนังของเขาถ้าหากพบเจอกัน!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาโยนตาเฒ่าเฟิงลงบนพื้นพร้อมทั้งบินออกไปยังภูเขาเขียวพร้อมกับภรรยา


นับตั้งแต่สำนักถูกบุกรุก นักบวชฮัวอวิ๋นรีบจัดผู้คุ้มกันเพิ่มเติมทันที


สถานการณ์ฝ่ายเจ้าอ้วน ทั้งสามคนรู้สึกสดชื่นมาเมื่อตาเฒ่าเฟิงถูกส่งออกไป แม้ว่าระดับการฝึกฝนของพวกเขาจะด้อยกว่าแต่พวกเขานั้นครอบครองสมบัติวิญญาณอยู่ในมือซึ่งมีถึงสามชิ้น อีกทั้งฉุ่ยจิ้งยังสามารถทำนายอนาคตได้ แน่นอนว่าพวกเขาจะสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้


ในขณะนั้นผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสองคนยังคงไม่หายจากสภาวะตกใจ ผู้ฝึกตนชุดคลุมสีดำกระวนกระวายพร้อมกับตะโกนออกมาว่า “เจ้าตัวบัดซบทั้งสามกล้าทำเช่นนี้กับอาจารย์ของข้าได้อย่างไร!”


“ฮี่ฮี่ ไม่ใช่พวกท่านงั้นหรือที่ล่อลวงพวกข้าก่อน?” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมหัวเราะอย่างเยือกเย็น “แต่พวกท่านทำได้อย่างไรที่ปิดกั้นการมองเห็นของฉุ่ยจิ้ง?” เจ้าอ้วนถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้ว่าเขาจะดูใจเย็นมากเมื่อครั้งที่ปลอบใจฉุ่ยจิ้ง แต่เขาไม่ได้กล่าวอย่างจริงใจมากนักเพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น


หลังจากที่ได้ยินว่าเจ้าอ้วนพูดอะไร ฉุ่ยจิ้งเปลี่ยนแปลงสีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้ทันที


หลังจากที่ผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ยินดังนั้น ผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะเย็นเฉียบ “ที่จริงแล้วพวกเจ้าเป็นเพียงกบที่ว่ายวนอยู่ในอ่างน้ำ อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าไม่ทราบว่ามีอุปกรณ์ที่สามารถปิดกั้นการทำนายได้?”


“ปิดกั้นการทำนาย?” เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางสว่างขึ้นพร้อมกับเข้าใจทันที “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของยันต์ไม้เป็นสมบัติวิเศษของสำนักพันปีศาจซึ่งสามารถปิดกั้นการทำนายได้ มันไม่มีความสามารถอื่นนอกจากปิดกั้นการพยากร!”


“อา ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะรู้มากเช่นนี้!” ผู้ฝึกตนชุดคลุมดำกล่าวพร้อมหัวเราะ “มันคือเครื่องบรรณาการจากสำนักอื่น ไม่ว่าใครจะสวมใส่มันอยู่จะทำให้สามารถหลบหนีจากการพยากรของเจ้าได้!”


“อา ใช่แล้ว ช่างน่าสงสารที่อุปกรณ์นี้มีค่ามากเกินไปอีกทั้งยังไม่มีใครรู้ถึงวัสดุที่ใช้ปรับแต่งมัน มันมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นบนโลกใบนี้! ตอนนี้มันอยู่กับอาวุโสเฟิงที่ลานของสำนักเสวียนเทียน ดังนั้นแปลว่าท่านทั้งสองจะไม่สามารถรอดพ้นจากการทำนายของข้าได้!” ฉุ่ยจิ้งหัวเราะเบาๆ


“เหอะ! ข้าสองพี่น้องเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันขั้นกลางและกำลังเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิสามคนในตอนนี้ พวกเจ้าเป็นเพียงขนมสำหรับข้าเท่านั้น!” ผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “วันนี้ข้าจะจับพวกเจ้าทั้งสามเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับอาจารย์ของเราที่ยืนอยู่ในสำนักเสวียนเทียน!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ทั้งคู่แยกออกจากกัน ผู้ฝึกตนด้านซ้ายถือดาบใหญ่สีดำ ผู้ฝึกตนด้านขวาถือแส้มังกรสีเขียว


ในขณะที่ฉุ่ยจิ้งเห็นเช่นนั้น นางกล่าวออกมาอย่างสงบ “ศิษย์พี่ถ้าหากพวกมันรวมตัวกันนับว่าเป็นภัยกับเราอย่างมาก ท่านสามารถแยกเขาออกจากกันได้หรือไม่?”


“ข้าจะพยายามแต่ข้าไม่อาจถูกขัดจังหวะได้!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างเขร่งขรึม


“เข้าใจแล้ว!” ฉุ่ยจิ้งพยักหน้า จากนั้นนางโบกมือพร้อมเรียกใช้งานกระดองเต่าดำพร้อมกับเหรียญชะตาฟ้าดินเพื่อเปิดการทำนายทันที


สำหรับผู้ฝึกตนระดับจินตันที่เห็นภาพตรงหน้า พวกเขาจะยอมให้นางทำตามใจได้เช่นไร? พวกเขาตะโกนออกมาพร้อมกับเริ่มโจมตีพร้อมกัน


พวกเขายิงลำแสงจิตวิญญาณลงบนพื้นเป็นการเรียกใช้การปิดกั้น ปรากฏแสงสีดำออกมาอีกครั้ง ทำให้ทั้งสามคนติดอยู่ในความมืดอีกครั้ง ความมืดไม่เพียงแต่ปิดกั้นการมองเห็นของพวกเขาเท่านั้น มันยังจำกัดสัมผัสวิญญาณของพวกเขาทั้งสามอีกด้วย สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือแสงสีดำเหล่านี้จำกัดการเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกเขา


แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสองคน แสงสีดำเหล่านั้นไม่ส่งผลกระทบกับเขาเลย พวกเขาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระพร้อมทั้งรับรู้การเคลื่อนไหวของทั้งสามได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นทั้งสามจึงเปิดการโจมตีทันทีที่พวกเขาเรียกใช้งานแสงสีดำ


ทั้งสองคนยกมือขึ้นส่งดาบสีดำยาวร้อยฟุตไปยังฉุ่ยจิ้ง พร้อมทั้งแส้สีเขียวก็มีเป้าหมายคือฉุ่ยจิ้งเช่นกัน


ชัดเจนว่าทั้งสองกลัวความสามารถในการทำนายของนาง ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงคิดจะสังหารนางก่อน


แต่ทั้งสองคนประเมิณความสามารถของทั้งสามน้อยเกินไป ในขณะที่กำลังจะโจมตี ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างสงบ “ศิษย์พี่ปกป้องเราด้วย!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโยนระฆังทองแดงออกไปอย่างไม่ลังเล ระฆังขยายออกยาวกว่าร้อยฟุตและสูงราวสามร้อยฟุต ปกป้องทุกคนไว้ภายในนั้น


ในเวลาถัดมาการโจมตีของผู้ฝึกตนระดับจินตันก็มาถึงเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นสองครั้ง ชั้นลมทองแดงถูกร่อนออกไปบางส่วนประมานสิบฟุตซึ่งชั้นลมทองแดงนั้นไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้ ทิ้งไว้เพียงร่องรอยหลุมลึก


แม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำลายเปลือกนอกของระฆังได้ แต่ว่าไม่อาจเจาะเข้าไปถึงตัวระฆังได้ การโจมตีเหล่านั้นถูกสะท้อนกลับอย่างแรง


หลังจากที่การโจมตีถูกสะท้อนกลับ ฉุ่ยจิ้งตะโกนออกมาราวกับว่านางมองเห็นเหตุการณ์ภายนอก “โจมตีพร้อมกัน!”


ตามคำสั่งของนางเจ้าอ้วนโบกมือขึ้นเพื่อยกระฆังออกจากร่างกายของพวกเขา


ภายใต้การปกป้องของกระดองเต่าดำ ฉุ่ยจิ้งเรียกใช้งานเหรียญชะตาฟ้าดิน ด้วยท่าทางที่สวยงามพวกเขาทั้งหมดโจมตีไปที่ผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียว


สำหรับหงหยิงนางเรียกใช้งานกระบี่เฟิ่งหมิง ตามด้วยเสียงของมันเกิดแสงสีทองพุ่งออกไป เป้าหมายของมันคือผู้ฝึกตนชุดคลุมดำ


ฝ่ายตรงข้ามเกรงกลัวการป้องกันของระฆังทองแดงอย่างมาก พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าระฆังลมทองแดงพังๆจะสามารถป้องกันพลังของสมบัติวิเศษได้ สิ่งเหล่านี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเกินไป ภายใต้สถานการณ์ปกติระฆังทองแดงควรจะถูกทำลาย แต่ในวันนี้สถานการณ์กลับพลิกผัน


เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทั้งสองคนไม่อาจตั้งรับได้ทัน พวกเขากระเด็นออกไปตามแรงการโจมตี แต่ในขณะนั้นเหรียญชะตาฟ้าดินและกระบี่เฟิ่งหมิงเป็นสมบัติวิญญาณ ซึ่งแสงสีดำที่ปกคลุมพวกเขาไว้ป้องกันได้เพียงสมบัติวิเศษเท่านั้น ภายใต้การนำของฉุ่ยจิ้งแม้ว่าจะมีอุปสรรคคือความมืดแต่ทว่าทุกอย่างกลับไม่เล็ดลอดสายตาของนางไปได้เลย


อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองคือผู้ฝึกตนระดับจินตัน การโจมตีเช่นนี้ไม่อาจสังหารพวกเขาได้ ดาบสีดำพร้อมกับแส้สีเขียวกลับคืนสู่มือของเจ้านายมันโดยที่ไม่อาจโจมตีฉุ่ยจิ้งและหงหยิงได้เลย


แต่ในตอนนี้พวกเขาไม่สามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของเจ้าอ้วนได้ เจ้าอ้วนขึ้นไปอยู่ด้านบนของระฆังพร้อมกับร่อนลงบนพื้น จากนั้นเขายกมือขึ้นพร้อมกับใส่ยันต์วิญญาณลงไป และทุบลงที่ด้านบนระฆังอย่างรุนแรง


หลังจากนั้นเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ คลื่นเสียงวิ่งเข้าไปถึงแกนกลางของโลกและน่าเกรงขามอย่างมาก แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ว่าสามารถวัดความรุนแรงของมันได้จากฝุ่นที่คลุ้งไปทั่วพื้นที่ พื้นดินทั้งหมดถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์แบบพร้อมกับแสงสีดำที่จับกุมทุกคนไว้นั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน


เมื่อเห็นว่าแสงสีดำได้หายไป ผู้ฝึกตนระดับจินตันตกใจอย่างมาก ฉุ่ยจิ้งและหงหยิงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที


ในตอนนี้แม้ว่าแสงสีดำจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสองจะยอมรามือ ภายใต้สถานการณ์ปกต ผู้ฝึกตนระดับจินตันย่อมแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ ผู้ฝึกตนระดับจินตันหนึ่งคนสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้ถึงสิบคน อีกทั้งในตอนนี้เป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนกำลังแลกเปลี่ยนอยู่กับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิสามคนเท่านั้น กล่าวก็คือพวกเขาได้เปรียบ


ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่ได้เกรงกลัวสิ่งใดอีกทั้งยังหัวเราะออกมา ผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวกล่าวออกมาว่า “เจ้าเด็กน้อยเอ๋ยอย่าได้เย่อหยิ่งเกินไปนัก แม้ว่าเราจะปราศจากแสงสีดำแล้ว แต่ว่าเราสามารถทำให้พวกเจ้าทั้งสามตายตกไปได้ในวันนี้!”


“ฮ่าฮ่า ไร้สาระ!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย “ถ้าหากเราเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิที่ครอบครองสมบัติวิเศษ ท่านทั้งสองสามารถต่อสู้กับบุคคลเช่นเราได้นับสิบ แต่ในเวลานี้พวกข้ามีสมบัติวิญญาณในมือถึงสองชิ้น ซึ่งมันไม่ง่ายนักที่พวกท่านจะเอาชนะเรา!”


“เหอะ! ความสามารถของสมบัติวิญญาณสามารถแสดงพลังของมันได้อย่างเต็มที่เมื่ออยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น พวกเจ้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น วันนี้พวกข้าสองพี่น้องจะส่งเจ้าไปสู่นรกและครอบครองสมบัติเหล่านั้นเอง!” ผู้ฝึกตนชุดคลุมดำกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น


“กล้าหาญยิ่งนัก! เจ้าคิดว่าสามารถเอาชนะพวกเราได้งั้นหรือ?” หงหยิงกล่าวออกมา จากนั้นนางหันไปถาม “ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้ง เราควรต่อสู้อย่างไร?”


เจ้าอ้วนรีบกล่าวออกมา “ศิษย์น้องได้โปรดแนะนำด้วย! ตราบใดที่เราสามารถจัดการถังขยะสองใบนี้ได้ ข้ายินดีฟังเจ้า!” แน่นอนว่าเจ้าอ้วนและหงหยิงเชื่อถือในการพยากรของฉุ่ยจิ้งและทั้งสองยินดีที่จะให้นางเป็นผู้นำ


ในขณะนั้นทั้งสองฝ่ายต่างกล้าหาญและไม่มีใครคิดยอมแพ้ ดังนั้นฉุ่ยจิ้งจึงไม่กล้าที่จะประมาทพร้อมกล่าวออกมาว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นศิษย์น้องคนนี้ขอออกกำลังสั่ง ศิษย์พี่โปรดจัดการกับหนึ่งในนั้น หงหยิงและข้าจะร่วมมือกันจัดการกับอีกคนหนึ่ง! เมื่อเสร็จสิ้นแล้วเราจะกลับมาช่วยศิษย์พี่!”


บทที่ 184: ต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับจินตัน


 


“เอาล่ะ ข้าจะจัดการกับคนที่ถือดาบสีดำ!” เจ้าอ้วนกล่าวพพร้อมกับเดินออกมาด้านหน้าพร้อมกับระฆังทองแดง


สาเหตุที่เขาเลือกต่อสู้กับผู้ชายคนนี้เพราะว่าดาบสีดำของเขาใหญ่และดูแข็งแกร่ง มันมีความสามารถทั้งการป้องกันและโจมตีซึ่งการรับมือกับมันถือได้ว่าเป็นงานหนัก ระฆังทองแดงของเขาสามารถป้องกันการโจมตีของผู้ฝึกตนระดับจินตันได้และสามารถปกป้องตัวของเขาเองได้ถ้าหากถูกโจมตี


สำหรับสมบัติวิเศษของผู้ฝึกตนชุดคลุมสีเขียว มันเป็นสิ่งที่ยืดหยุ่นและมีความว่องไวอย่างมาก ซึ่งไม่เหมาะสมกับการต่อสู้กับระฆังทองแดงใบใหญ่ของเจ้าอ้วน นอกจากนี้การป้องกันของเขาอาจจะอ่อนแอลงและทำให้หญิงสาวทั้งสองถูกโจมตีได้


ฉุ่ยจิ้งและหงหยิงเข้าใจเหตุผลของเจ้าอ้วน เมื่อมองเห็นท่าทีของเขา ทั้งสองคนเข้าใจทันทีว่าต้องทำอย่างไรต่อ


คนแรกที่เปิดการโจมตีคือเจ้าอ้วน ระฆังทองแดงขยายใหญ่ขึ้นสิบฟุตและลอยอยู่ที่ด้านหน้าของเขา จากนั้นเขาสะบัดมือขวาพร้อมกับปลดปล่อยจิตวิญญาณมังกรเทาออกจากระฆัง หลังจากนั้นเกิดเสียงออกมาจากระฆังราวกับฟ้าร้องในวันที่สดใส บุรุษผิวดำผอมแห้งรู้สึกกระวนกระวายทันที มันเป็นเสียงระฆังที่เขาเพิ่งได้เรียนรู้มาใหม่นั่นคือเสียงแห่งสวรรค์ชั้นเจ็ด มันเป็นความสามารถที่เขาสามารถปลดล็อกได้เมื่อเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ


หลังจากควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้แล้ว แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่จำเป็นต้องสุภาพอีกต่อไป เขาสะบัดมือขวาทันทีพร้อมกับปลดปล่อยดาบแห่งธาตุทั้งห้าออกไปทันที รูปแบบของมันคือทอง ไม้ วารี อัคคีและปฐพี! ดาบทั้งห้าเล่มแยกกันเป็นห้าลำแสง แต่ละอันมีความยาวกว่าร้อยฟุตมุ่งหน้าไปยังศัตรู


อย่างไรก็ตามผู้ฝึกตนระดับจินตันไม่สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย เขาปัดดาบของเจ้าอ้วนลงอย่างง่ายดาย หลังจากที่เขาหลุดออกจากภวังค์แล้ว เขากวาดดาบของตนเองเพื่อสร้างกำแพงสีดำปิดกั้นการโจมตีของเจ้าอ้วนไว้ ปราณจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเขาทำให้ดาบของเจ้าอ้วนกระเด็นไปไกล ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ของผู้ฝึกตนระดับจินตัน เขาจะสามารถปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไร? เขาแกว่งดาบของตนเองเพื่อเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากเจ้าอ้วนทันที


เพียงแค่ในขณะนั้น เจ้าอ้วนคลี่มือของตนเองพร้อมกับส่งยันต์เข้าไปภายในระฆังเพื่อที่จะส่งเสียงออกมาอีกครั้ง แต่ในเวลานี้เสียงของมันแตกต่างออกไป เสียงของมันนำพามาซึ่งความสุข เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของบุรุษในชุดคลุมสีดำเต็มไปด้วยความสุขทันที ราวกับว่าเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่น่าประทับใจมา จากนั้นเขาจึงหยุดความคิดที่จะโจมตีเจ้าอ้วนทันที


เจ้าอ้วนรีบรวบรวมดาบที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็วเป็นการใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสั้นๆนี้ จากนั้นเขาโบกมือเพื่อตั้งท่าเตรียมตัวต่อสู้กับบุรุษชุดคลุมดำอีกครั้ง ในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับจินตันรู้ตัวว่าถูกโจมตีดาบแห่งธาตุทั้งห้าก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของเขาแล้ว


เรื่องนี้ทำให้ผู้ฝึกตนระดับจินตันรู้สึกว่าหมดหนทางแต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะรู้สึกโกรธ เขารีบปิดกั้นการโจมตีของเจ้าอ้วนและสามารถปกป้องตนเองไว้ได้อย่างรวดเร็ว


หลังจากนั้นเจ้าอ้วนเปิดเรียกใช้งานระฆังอีกครั้ง เขาปลดปล่อยเสียงแห่งความโศกเศร้าออกมา ผู้ฝึกตนชุดคลุมสีดำหยุดการโจมตีอีกครั้งและเริ่มร้องไห้ เจ้าอ้วนคว้าโอกาสนี้ไว้พร้อมกับสั่งให้ดาบแห่งธาตุทั้งห้าโจมตีอีกครั้ง


การต่อสู้วนไปเช่นนี้เรื่อยๆ เจ้าอ้วนใช้เสียงเพื่อขัดขวางการโจมตีของเขาและใช้โอกาสนั้นเพื่อตอบโต้กลับ ฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ตอบโต้เลยสักครั้งทำได้เพียงตั้งรับการโจมตีเจ้าอ้วนเท่านั้น ระฆังทองแดงลึกลับนั่นดูเหมือนว่าจะมีพลังบางอย่างที่สามารถกดดันเขาไว้ได้ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าสมบัติชิ้นนี้ดูลึกลับยิ่งนัก


เขาเป็นบุคคลที่มีชีวิตมายาวนานนับร้อยปี แล้วเหตุผลใดกันที่เขาจะสามารถแสดงอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้? ในเวลานี้เขาแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความโกรธแต่ทว่าเขาก็ไม่อาจจจัดการกับเจ้าอ้วนได้เลย


ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังแลกเปลี่ยนอยู่กับผู้ฝึกตนชุดคลุมดำ หงหยิงและฉุ่ยจิ้งกำลังต่อสู้อยู่กับผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียว เขากำลังเผชิญหน้ากับเหรียญชะตาฟ้าดินและกระบี่เฟิ่งหมิงที่เร็วที่สุดในโลก เห็นได้ชัดว่าสมบัติวิเศษขั้นสามของเขาไม่เพียงพอที่จะต่อสู้ แม้ว่าผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวจะใช้ทุกอย่างเพื่อการป้องกันแต่เขาก็ทำได้เพียงเท่านั้น ซึ่งในบางครั้งก็ไม่อาจป้องกันได้อย่างเต็มที่อีกด้วย


กระบี่เฟิ่งหมิงกรีดร้องอยู่รอบร่างกายของเขา มันวิ่งรอบจนเกิดเป็นแสงสีทองและโจมตีทุกครั้งที่มีโอกาส สำหรับเหรียญชะตาฟ้าดินมันทำหน้าที่ราวกับปรสิตเพื่อค้นหาช่องโหว่ที่ผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวเผลอตัวเปิดออกมา สิ่งนั้นทำให้เขาต้องเรียกสมบัติวิเศษทั้งหมดออกมา


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาจะจัดการกับสตรีสองนางนี้ได้อย่างไรในเวลาเดียวกัน เขาเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับจินตันที่มีอุปกรณ์และสมบัติวิเศษในครอบครอง


แต่ปัญหาก็คือสตรีสองนางนี้อยู่เหนือการควบคุมของเขา อีกทั้งเสียงระฆังของเจ้าอ้วนก็รบกวนจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีเขา แต่รัศมีของเสียงนี้นั้นไกลกว่าหลายลี้ ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆจึงได้รับผลกระทบทั้งหมด เนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ห่างจากเจ้าอ้วนมากแน่นอนว่าเขาจะได้รับผลกระทบเหล่านี้เช่นกัน แต่ผลกระทบเล็กน้อยเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเสียเปรียบ อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นฉุ่ยจิ้งที่สามารถทำนายเหตุการณ์ต่างๆได้ นางรู้ว่าเมื่อระฆังดังขึ้น เขาจะเปิดช่องโหว่ของตนเองและนางจะสั่งให้หงหยิงโจมตีอย่างรวดเร็ว หงหยิงค่อยๆปรับตัวเพื่อให้เข้าทีมกับฉุ่ยจิ้งอย่างช้าๆ ซึ่งนั่นสร้างปัญหาให้กับเขาเป็นอย่างมาก


ภายใต้การโจมตีของหญิงสาวทั้งสองคน ร่างกายของผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวเต็มไปด้วยบาดแผล ร่างกายของเขาอ่อนแอลงและความว่องไวทั้งหมดค่อยๆลดลงช้าๆ


สุดท้ายฉุ่ยจิ้งเข้าใจสถานการณ์แล้ว นางทุบตีมังกรเขียวของเขาทันทีเพื่อทำลายกำแพงป้องกันทั้งหมดลง หงหยิงไม่รอช้านางส่งกระบี่เฟิ่งหมิงเข้าไปในช่องโหว่ที่ฉุ่ยจิ้งสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวตกใจอย่างมากเขาเรียกใช้งานโล่ทันทีเพื่อป้องกันตนเอง แต่สิ่งของชิ้นนี้ไม่อาจป้องกันเหรียญชะตาฟ้าดินของฉุ่ยจิ้งได้ อีกทั้งยังไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่เฟิ่งหมิง ด้วยลำแสงสีทองโล่ห์ที่เขาเรียกออกมาถูกแบ่งออกเป็นสองชิ้นทันทีเมื่อปะทะกับกระบี่เฟิ่งหมิง


ผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวหน้าซีดทันที เขาพยายามคิดหาทางหลบ ในจังหวะสุดท้ายเขาใช้ลำแสงเทวะเพื่อป้องกันตนเองแต่สิ่งที่เขาต้องจ่ายคือแขนหนึ่งข้าง


แน่นอนว่ามันทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาเรียกอุปกรณ์วิเศษบางอย่างออกมาเพื่อป้องกันตนเอง ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปหาผู้ฝึกตนระดับจินตันอีกคน


ในขณะที่เขากำลังพุ่งไป เขาตะโกนออกมา “ศิษย์พี่ เรื่องเหล่านี้อยู่เหนือการควบคุมของเราแล้ว เราจะต้องหนี!”


ทันทีที่เห็นศิษย์น้องบาดเจ็บ ผู้ฝึกตนชุดคลุมดำตกใจทันทีและเริ่มมีความคิดที่จะถอย เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ตกลง เราจะปล่อยพวกเขาไปก่อนในเวลานี้และกลับมาเรียกเก็บหนี้แค้นในอนาคต!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาเปิดการป้องกันขึ้นพร้อมกับวิ่งไปหาผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวทันที


เมื่อเห็นเช่นนั้น ทั้งสามคนเริ่มกังวลทันที พวกเขารู้ว่าถ้าหากทั้งสามคนร่วมมือกันมันไม่ใช่เรื่องยากเย็นนักที่จะเอาชนะ ดังนั้นทั้งสามปลดปล่อยจิตสังหารออกมาทันที


ฉุ่ยจิ้งตะโกนออกมา “ศิษย์พี่จัดการคนที่แขนขาดก่อน!”


“เข้าใจแล้ว!” เจ้าอ้วนตอบกลับ จากนั้นเขาปลดปล่อยดาบแห่งธาตุทั้งห้าพร้อมกับส่งมันไปยังผู้ฝึกตนชุดคลุมดำที่กำลังวิ่งอยู่เพื่อให้เขาเคลื่อนไหวช้าลง


ในเวลานั้นเอง เจ้าอ้วนส่งยันต์เข้าไปภายในระฆังและกำหนดเป้าหมายเป็นผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียว หลังจากนั้นเกิดเสียงแห่งสวรรค์ดังไปทั่วบริเวณทันที คลื่นเสียงอันรุนแรงนี้ถูกส่งไปยังผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวดั่งคลื่นทะเลยักษ์!


นับตั้งแต่เจ้าอ้วนเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ พลังของยันต์ที่เขามีนั้นเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งของพลังนี้ทำให้ผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวรู้สึกว่ามีคลื่นใหญ่ถาโถมเข้ามาทับร่างกายของเขาไว้ มังกรเขียวของเขาถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วพร้อมหดคืนสู่สภาพเดิมทำให้ผู้ฝึกตนชุดคลุมเขียวบ้วนก้อนเลือดขนาดใหญ่ออกมา


เมื่อเห็นเช่นนั้น หงหยิงและฉุ่ยจิ้งไม่อาจปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปได้ เหรียญชะตาฟ้าดินและกระบี่เฟิ่งหมิงทำลายอุปกรณ์วิเศษทุกอย่างทั้งหมดทันที ความจริงก็คือลำแสงเทวะที่เขาใช้ป้องกันตนเองในครั้งแรกไม่อาจปกป้องเขาได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงส่งเสียงออกมาสั้นๆก่อนที่ร่างกายของเขาจะถูกตัดขาดเป็นชิ้นๆ!


หลังจากที่สังหารเขาแล้ว หงหยิงสั่งให้กระบี่เฟิ่งหมิงใช้งานความเร็วสูงสุดทันที นางบินมาพร้อมกับเก็บสมบัติจากการต่อสู้ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นว่าศิษย์น้องของเขาถูกสังหารเช่นนี้ ผู้ฝึกตนชุดคลุมดำตกใจทันที เขาเพียงคนเดียวจะกล้าต่อกรกับผู้ฝึกตนทั้งสามนี้ได้อย่างไร? ดังนั้นเขาจึงมีความคิดที่จะหลบหนีจากสนามรบนี้


หลังจากที่สังหารไปแล้วหนึ่งคนด้วยความยากลำบาก พวกเขาจะปล่อยปลาใหญ่เช่นนี้หลบหนีได้อย่างไร? แน่นอนว่าทั้งสามเริ่มการไล่ล่าทันที


แม้ว่าดาบสีดำจะแข็งแกร่งอย่างมากและเขายังมีสมบัติวิเศษสำหรับการป้องกัน แต่สำหรับการบินนั้นเขาไม่ได้มีข้อได้เปรียบเรื่องความเร็วแต่อย่างใด


หงหยิงผู้ที่ครอบครองดาบบินที่รวดเร็วที่สุดในโลกคือกระบี่เฟิ่งหมิง แน่นอนว่าสามารถติดตามเขาได้โดยง่ายดาย ดาบแห่งธาตุทั้งห้านับได้ว่าเป็นสมบัติวิเศษที่คุณภาพสูงกว่าดาบสีดำของเขาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเจ้าอ้วนจะอ่อนแอกว่า เขายังมีสมบัติวิเศษอย่างอื่นไว้คอยช่วยเหลือ สำหรับฉุ่ยจิ้งนั้นมีกระดองเต่าดำที่สามารถบินได้ แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับกระบี่เฟิ่งหมิงได้แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าดาบแห่งธาตุทั้งห้าของเจ้าอ้วนเลย


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งสามารถไล่ตามเขาทัน และหงหยิงนั้นรวดเร็วกว่าเขามาก ภายใต้การคุกคามของหงหยิงทั้งสามคนสามารถจับกุมเขาได้ทันทีและไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไป


ในขณะนั้นกระเพาะอาหารของทั้งสามเต็มไปด้วยความโกรธ ทั้งสามตั้งใจแอบออกจากสำนักเพื่อค้นหาซากศพของครอบครัวเจ้าอ้วน แต่กลับถูกรบกวนโดยบุคคลเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ทำให้การค้นหาล่าช้าแต่พวกเขาทั้งสามเกือบจะถูกสังหารทิ้ง ถ้าไม่ใช่เจ้าอ้วนที่ส่งตาเฒ่าเฟิงออกไปแน่นอนว่าทั้งสามจะต้องถูกฆ่าในวันนี้ ในตอนนี้สถานการณ์ถูกเปลี่ยนแล้ว จะให้พวกเขาระงับความโกรธนี้ไว้ได้อย่างไร? ดังนั้นพวกเขาเรียกเก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากผู้ฝึกตนชุดคลุมดำทันทีพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารออกมาเพื่อเน้นย้ำว่ามันจะต้องตายในวันนี้


ตอนนี้ผู้ฝึกตนชุดคลุมดำถูกไล่ล่ามาถึงจุดที่เขาจนมุมแล้ว ในเวลานี้เขาไม่กล้าที่จะต่อสู้และยังคิดหลบหนีอยู่


ในตอนสุดท้ายเขาเริ่มหลบหนีจากบุคคลทั้งสามอีกครั้ง ในกรณีเช่นนี้มีเพียงหงหยิงเท่านั้นที่สามารถไล่ล่าเขาได้แต่นางไม่อาจสังหารเขาได้ด้วยตัวคนเดียว และอีกสองคนไม่อาจไล่ตามเขาทัน


เขาสามารถหนีได้อีกไกลเพราะระดับจินตันทำให้ปราณจิตวิญญาณของเขามากกว่าทั้งสามอย่างมาก แน่นอนว่าทั้งสามจะต้องเหนื่อยและหยุดการไล่ล่าลงอย่างแน่นอน


แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าอ้วนจะครอบครองน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้า ด้วยสิ่งนี้พวกเขาจึงไม่กลัวว่าปราณจิตวิญญาณของพวกเขาจะหมดลง ถ้าผู้ฝึกตนชุดคลุมดำคิดที่จะหลบหนีต่อไปแน่นอนว่าปราณจิตวิญญาณของเขาจะหมดลงก่อน และหลังจากนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องง่ายที่จะดูแลเขาในเวลานั้น


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสี่คนเริ่มวางแผนการของตนเอง พวกเขาอยู่บนท้องฟ้าและบินกันมาเป็นระยะทางกว่าพันลี้


ในขณะที่กำลังหลบหนี ผู้ฝึกตนชุดคลุมดำรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขารู้สึกเหนื่อยล้าลงเรื่อยๆแต่ทั้งสามคนกลับดูสดชื่นอยู่ตลอดเวลา ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิควรจะหมดแรงไปนับตั้งแต่ผ่านพ้นระยะทางพันลี้ แต่ทว่าพวกเขาทั้งหมดกลับดูผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน?


ในขณะที่เขากำลังผิดหวังและงุนงง ปรากฏลำแสงสองเส้นพุ่งเข้ามาที่เข้า เมื่อมองจากความเร็วรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน


โดยไม่รู้ว่าบุคคลผู้นั้นเป็นศัตรูหรือมิตร ทั้งสี่คนลดความเร็วลงอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นผู้ฝึกตนทั้งสองหยุดลงตรงหน้าของทั้งสี่คน ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่พุ่งเข้ามาด้วยลำแสงสีแดงตัดผ่านผู้ฝึกตนระดับจินตันชุดคลุมดำอย่างรวดเร็ว เขาตบหน้าผู้ฝึกตนระดับจินตันด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีจึงทำให้ฟันของมันหลุดกระเด็นตามไปด้วย


ผู้ฝึกตนชุดคลุมดำที่น่าสงสารคนนี้ได้ทำการหลบหนีมาไกลกว่าพันลี้ แต่เขากลับถูกตบกระเด็นโดยผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน เขาบาดเจ็บสาหัสพร้อมกับเป็นลมไปทันที


บทที่ 185: ภายหลังการปะทะ


ในตอนนี้ทั้งสามคนเห็นแล้วว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสองคนคือจ้าวสำนักและภรรยา เพื่อช่วยเหลือศิษย์ของตนเอง พวกเขาทั้งสองใช้เวลาเดินทางหลายพันลี้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แต่ความเหนื่อยล้านั้นไม่อาจห้ามได้ แต่หลังจากเห็นบุตรของตนเองกำลังไล่ล่าผู้ฝึกตนระดับจินตัน อารมณ์ของพวกเขาดีขึ้นมากจนความเหนื่อยล้าหายไปจนหมดสิ้น ทั้งสองคนมองมาที่เจ้าอ้วนด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย


หลังจากนั้นเพียงครู่จ้าวสำนักได้กล่าวบางอย่างออกมา “เจ้าทำได้ดีมากเด็กน้อย เจ้ามีความกล้าหาญอยู่เสมอ แต่ในครั้งนี้เจ้ากลับลักพาตัวหญิงสาวที่งดงามที่สุดในสำนักเสวียนเทียนออกมาด้วยถึงสองคน!”


ในขณะที่หญิงสาวทั้งสองได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกนางกลายเป็นแดงก่ำ ฉุ่ยจิ้งไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ทว่าหงหยิงไม่คิดเงียบ “ท่านพ่อ ท่านกำลังกล่าวเรื่องไร้สาระอะไรกัน?”


“แค่กแค่ก” เจ้าอ้วนรู้สึกอึดอัดทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงพร้อมกับรีบอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้น เรามาที่แห่งนี้เพื่อเที่ยวเล่นเท่านั้น!”


“เที่ยวเล่น?” จ้าวสำนักหัวเราะออกมา “เจ้าเดินทางมานับพันลี้เพื่อมาเที่ยวเล่นงั้นหรือ? แล้วเจ้าก็พบกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินในขณะเที่ยวเล่นงั้นหรือ?”


“เรื่องนั้น…” ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาร้องไห้ออกมา “เราเพียงแต่ออกมาไกลนิดหน่อยและไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบปัญหากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน สถานที่แห่งนี้ไม่ควรจะมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเสียด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่พวกเราได้พบกับเขา!”


“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวเสริม “เห็นได้ชัดเจนว่าคนจากสำนักพันปีศาจวางแผนที่จะซุ่มโจมตีพวกเรา พวกเขาวางกับดักไว้ที่นี่ ต้องขอบคุณความฉลาดของศิษย์พี่ที่สามารถส่งตาเฒ่าเฟิงออกไปได้ ช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราทั้งหมดคงจะตายตกอยู่ในสถานที่แห่งนี้!”


“กับดักแบบใดกัน?” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวต่อ “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น แล้วจะซุ่มโจมตีทำไม? แปลก พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะปรากฏตัวที่นี่?”


“เรื่องนั้นพวกข้าไม่รู้” หงหยิงรีบตอบ


“เจ้าได้บอกกล่าวกับผู้อื่นหรือไม่ว่าจะเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้?” จ้าวสำนักถามอย่างรวดเร็ว


“พวกเราไม่ได้บอกกับผู้ใด แล้วเราจะบอกผู้อื่นทำไม?” หงหยิงรีบกล่าว “มีแค่พวกเราสามคนเท่านั้น ภายในสำนักไม่มีผู้ใดรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้”


“บางทีบางคนภายในสำนักพันปีศาจอาจจะรู้เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากร?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมา


“เป็นไปไม่ได้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างเด็ดขาด “เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรนั้นเป็นการฝึกฝนที่ยากที่สุดในโลก ในโลกนี้มีเพียงข้าและท่านอาจารย์เท่านั้นที่เข้าใจมัน สำนักพันปีศาจเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีวันรู้!”


“อย่างนั้นก็แปลกมาก!” เจ้าอ้วนขมวดคิ้ว จากนั้นดวงตาของเขาพลันเบิกโพลงพร้อมตะโกนออกมา “ข้ารู้แล้ว! ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าถามบุคคลผู้หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของข้า แม้ว่าข้าจะกล่าวกับเขาว่าไม่คิดจะมาที่นี่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดา!”


“อือ! มันควรจะเป็นเช่นนั้น!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “เห็นได้ชัดว่ามีคนทรยศอยู่ภายในสำนัก กล่าวมาว่าใครเป็นคนบอกเจ้า?”


“เรื่องนั้น…” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขื่นขมพร้อมกล่าวว่า “ข้าถามหลายสิบคน!”


“สวรรค์! มันมากเกินไป ถ้าหากพวกเขาแพร่กระจายมันออกไปในครั้งเดียว ทุกคนก็คงรู้เรื่องนี้ไปทั่วใช่หรือไม่? ทำไมเจ้าจึงไม่ใช้สมองสักหน่อยล่ะ?” จ้าวสำนักตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างเสียใจ “แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าบุคคลเหล่านั้นสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพันปีศาจ? เรื่องนั้น… มันเป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจคาดเดาได้!”


“เหอะ!” จ้าวสำนักส่ายศีรษะพร้อมกล่าวต่อ “มันไม่สามารถคาดเดาได้? งั้นมันก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจค้นหาความจริงได้!”


“อย่ากล่าวมั่วซั่วถ้าหากไม่มีหลักฐาน!” ภรรยาจ้าวสำนักขมวดคิ้วพร้อมกล่าวต่อ “ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน เราสามารถตรวจสอบมันได้ภายในอนาคต ตราบใดที่เรามีหลักฐาน แน่นอนว่าพวกเราจะทำอย่างยุติธรรมที่สุดเพื่อครอบครัวของเจ้า!”


“ขอบคุณขอรับ!” เจ้าอ้วนโค้งคำนับในขณะตอบกลับ


“ใช่แล้ว มันไร้ประโยชน์ถ้าหากเราพูดเรื่องนี้ในเวลาเช่นนี้ พวกเราต้องกลับไปคุยกันถึงการวางแผนในระยะยาว!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวตอบ


“เป็นเช่นนั้นก็ดี!” จ้าวสำนักพยักหน้าพร้อมกล่าว “สำนักพันปีศาจคงได้รับข่าวสารแล้ว พวกเราไม่ควรจะอยู่ที่นี่นาน!”


ทั้งห้าคนเดินทางกลับเพื่อประหยัดเวลาและปราณจิตวิญญาณ เจ้าอ้วนหยิบนาวายักษ์สีดำออกมาอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือของจ้าวสำนักทำให้นาวายักษ์แล่นได้เร็วขึ้นอีกหลายเท่า ช่วยให้พวกเขาเดินทางกลับมายังสำนักเสวียนโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ในตอนนี้การเดินทางออกตามหาครอบครัวของตนเองได้สิ้นสุดลงแล้ว


หลังจากที่เขากลับมายังสำนักเสวียนเทียน ทั้งสามคนถูกย่องเป็นวีรบุรุษ ไม่เพียงแต่สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันและจับกุม แต่ยังสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้อีกด้วย ทำให้ชื่อเสียงของทั้งสามแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว!


ทุกคนรู้ดีว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างมาก อีกทั้งยังมีชีวิตแทบเป็นอมตะ ภายใต้สถานการณ์ปกติยากมากที่พวกเขาจะถูกสังหาร แม้ว่าจะถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าผู้ฝึกตนระดับเดียวกันก็ตาม มีวิธีการมากมายที่พวกเขาสามารถใช้หลบหนีได้ อัตราการเสียชีวิตของพวกเขานั้นน้อยมาก เหตุการณ์เช่นนั้นภายในหนึ่งร้อยปียังนับว่ายากพบพาน


แต่ในตอนนี้ สำนักเสวียนเทียนสามารถสังหารตู๋เชียนเฉิงได้ และยังจับกุมตาเฒ่าเฟิงได้ภายในเวลาไม่กี่ปี นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมาก


โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อหลัง ทุกคนรู้ดีว่าชื่อเสียงของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นมีความสำคัญอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะตายตกไปในสนามรบยังดีเสียกว่าการถูกจับกุม แต่ตาเฒ่าเฟิงได้สิ้นชื่อเสียงของเขาแล้ว เขาไม่มีโอกาสที่จะตาย ทั้งยังถูกจับกุมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตต่อไป นับได้ว่าเป็นความสำเร็จของสำนักเสวียนเทียนในรอบหลายร้อยปี!


เหตุผลที่สำนักประสบความสำเร็จเช่นนี้เป็นเพราะพวกเขาทั้งสามคน บุคคลที่สำคัญมากในตอนนี้คือเจ้าอ้วน แก่นศิลาสายลมของเขานั้นเต็มไปด้วยไหวพริบจนถึงจุดที่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเสียสติเพราะมัน ดังนั้นเขาจึงได้รับชื่อเสียงอย่างมากจากเรื่องนี้ แต่มีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงทำการเตรียมแก่นศิลาสายลมไปพร้อมกับซ่อนยันต์เคลื่อนย้ายระดับต่ำไว้ด้านใน เว้นเสียแต่ว่าเขาสามารถทำนายอนาคตได้?


แท้จริงแล้ว เจ้าอ้วนสั่งให้หญิงงามทั้งเก้าทำมันในตอนนั้นทันที ไม่ใช่สิ่งที่เขาเตรียมการมาก่อน


แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าอ้วนคือผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการจับกุมตาเฒ่าเฟิง สำหรับเรื่องนี้สำนักได้จัดงานเลี้ยงให้กับทั้งสามคน และให้เจ้าอ้วนเลือกสมบัติของตาเฒ่าเฟิงหนึ่งชิ้น


ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดมากมาย แน่นอนว่าเจ้าอ้วนต้องเลือกยันต์ไม้ของเขาโดยไม่ต้องคิด ยันต์ไม้นั้นมีชื่อเดิมว่ายันต์เจ็ดดาว มันดูเหมือนกับยันต์ไม้สีเขียวธรรมดา แต่รูปแบบของมันนั้นซับซ้อนเกินกว่าเจ้าอ้วนจะเข้าใจได้


ตามหลักของสำนักแล้ว ยันต์เจ็ดดาวนี้เป็นสมบัติโบราณที่จะต้องถูกส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น มันไม่ใช่สมบัติที่สามารถโจมตีหรือป้องกันดังเช่นสมบัติวิญญาณอื่น ในความเป็นจริงมันก็ไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ แต่ความพิเศษของมันคือการปิดกั้นการทำนาย!


ในความคิดของเหล่าคนธรรมดา ผู้ใดที่ครอบครองยันต์นี้จะสามารถหลบหนีการทำนายได้ แม้แต่เทพธิดาเหมยฮวาก็ไม่สามารถทำนาย มีเพียงการทำนายระดับสูงเท่านั้นจึงจะทะลวงผ่านยันต์เจ็ดดาว


ตอนนี้เจ้าอ้วนครอบครองระฆังทองแดงเพื่อป้องกันและมีเวทมนตร์สายฟ้าเพื่อโจมตี อีกทั้งยังมีดาบแห่งธาตุทั้งห้ารวมถึงภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ด้วยสิ่งของเหล่านี้เขาสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก นอกจากนั้นเขายังมีแผนการที่จะปรับแต่งหุ่นกลรุ่นใหม่ออกมาในเร็ว ๆ นี้ เขาไม่ต้องการสมบัติวิญญาณอื่นอีก ดังนั้นเขาจึงเลือกสมบัติวิญญาณนี้ทันที อีกเหตุผลที่สำคัญมากสำหรับเขาคือเกรงกลัวการทำนายของฉุ่ยจิ้ง เขาเตรียมอุปกรณ์นี้ไว้เพื่อการปกปิดความลับของตนเอง นอกจากนั้นเขายังป้องกันตนเองจากศัตรูที่สามารถทำนายอนาคตได้อีกด้วย


แน่นอนว่าการเลือกเช่นนี้ทำให้ฉุ่ยจิ้งรู้สึกหดหู่ไม่น้อย แต่นางรู้ดีว่าเจ้าอ้วนไม่มีเจตนาร้ายกับนาง แต่เขาทำเพื่อปกป้องตนเอง ดังนั้นนางจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกไป


หลังจากงานเลี้ยงที่สนุกสนาน ความเงียบสงบกลับมาสู่สำนักเสวียนเทียนอีกครั้ง เนื่องจากเหตุการณ์นี้ เจ้าอ้วนถูกบังคับให้ยุติการเดินทางเพื่อตามหาครอบครัวของตนเองทันที แน่นอนว่าเขาไม่มีอะไรที่จะทำในวันหนึ่งวัน นอกเหนือจากการฝึกฝน เขาเดินมาพร้อมกับหงหยิงที่กำลังจะออกเดินทางในวันนี้ ในเวลาเดียวกัน เขายังแอบนำการปรับแต่งสายฟ้าออกมาด้วย


วันที่เงียบสงบนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จ้าวสำนักพันปีศาจได้ส่งจดหมายมายังสำนักเสวียนเทียน ภายในจดหมายเขากล่าวว่าต้องการใช้สมุนไพรอายุหนึ่งพันปีเพื่อล้างคำสาปให้กับดาบเทวะไร้ผู้ต้านเพื่อแลกกับอิสระของตาเฒ่าเฟิง


เหตุผลที่พวกเขายอมก้มหัวลงและยอมประนีประนอมเพราะไร้หนทางแล้ว ภายในสำนักพันปีศาจมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเพียงสี่คน เซือหมัวและตาเฒ่าเฟิงนั้นเป็นเพื่อนร่วมค่ายเดียวกัน ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นฝาแฝดอีกค่ายหนึ่ง พวกเขามีชื่อว่าแม่มดเมฆและสายลม โดยปกติแล้วเซือหมัวนั้นจำเป็นต้องพึ่งพาตาเฒ่าเฟิงในการฝึกฝนช่วงสุดท้ายของระดับหยวนหยินเพื่อสนับสนุนกันและปรามแฝดทั้งสองคนนั้น แต่หลังจากที่ตาเฒ่าเฟิงประสบโชคร้าย ฝาแฝดเมฆและสายลมไม่ต้องการที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเซือหมัว


แม้ว่าทั้งคู่จะอ่อนแอว่าเซือหมัว แต่ระดับของพวกเขานั้นอยู่ใกล้ระดับหยวนหยินขั้นสุดท้ายแล้ว ทั้งคู่นั้นเข้าขากันได้ดีอย่างมากในการต่อสู้ ถ้าหากทั้งสองร่วมมือกัน แน่นอนว่าจะต้องเอาชนะเซือหมัวได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหลังจากที่เขาทราบข่าวเรื่องตาเฒ่าเฟิงถูกจับกุมโดยสำนักเสวียนเทียน ทั้งสองวางแผนที่จะล้มจ้าวสำนักพันปีศาจลงทันที


เมื่อไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ เซือหมัวไม่กังวลเรื่องชื่อเสียงของเขาอีกต่อไป เขายอมก้มหัวและเริ่มเขียนจดหมายถึงสำนักเสวียนเทียนเพื่อขอให้เขาคืนอิสระให้กับตาเฒ่าเฟิง


ภายใต้สถานการณ์ปกติ สมุนไพรหลักหมื่นปีนั้นยังไม่อาจทำให้สำนักเสวียนเทียนสั่นไหวได้ แต่ในตอนนี้สถานการณ์ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว


บทที่ 186: นักบวชเซือหมัว


สำหรับสมุนไพรหนึ่งหมื่นปีที่นักบวชเซือหมัวได้สัญญาไว้ มันเป็นสิ่งที่พิเศษอย่างมากมีชื่อเรียกว่าฟู๋หงจาง มันเป็นสมุนไพรที่ดีมากในการรักษาอาการบาดเจ็บ ยาอายุวัฒนะชั้นดีล้วนแต่ปรับแต่งมาจากมัน และมันไม่ได้ใช้รักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้น ถ้าหากผู้ฝึกตนที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าใช้มันจะสามารถฟื้นฟูพลังของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องของการฝึกฝนอีกด้วย ในตอนนี้ศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋นต้องการมัน ความจริงคือดาบเทวะไร้ผู้ต้านยังคงต้องทุกข์ทรมานจากคำสาปแช่งอยู่ ถ้าหากเขาได้รับฟู๋หงจางเพื่อรักษาตนเอง แน่นอนว่าเขาจะต้องฟื้นขึ้นมาและดีกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ต้องทุกข์ทรมานมายาวนานนับสองปี แต่สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้เข้มแข็งอย่างมาก หลังจากความเย่อหยิ่งของเขาได้หมดลงไปในสองปีที่ผ่านมา ทำให้เขาสามารถที่จะเลื่อนระดับของการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว เช่นนี้กลุ่มของนักบวชฮัวอวิ๋นจึงต้องการที่จะมีอัจฉริยะสองคน!


สำหรับนักบวชฮัวอวิ๋นมันคงเป็นเรื่องที่ดีถ้าหากเขายังสามารถรักษามรดกของตนเองไว้ได้ให้กับลูกหลานของตน ตราบใดที่เขาสามารถเรียกศิษย์อัจฉริยะคืนมาได้สองคน เขาสามารถมีอำนาจเหนือเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังจะขึ้นมาหลังจากที่หงหยิงจากไป


ถ้าหากไม่มีสองคนที่สนับสนุนเขา แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเข้ามาและให้กำเนิดอัจฉริยะอีกครั้ง และสำนักเสวียนเทียนจะตกอยู่ในความควบคุมของผู้อื่นในอนาคต แล้วนักบวชฮัวอวิ๋นจะสามารถยอมรับสิ่งนั้นได้อย่างไร? ดังนั้นข้อเสนอของนักบวชเซือหมัวจึงกระทบเข้ากับจุดอ่อนของนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างสมบูรณ์ เงื่อนไขเหล่านี้ต้อนให้นักบวชฮัวอวิ๋นจนมุม ถ้าหากเขาไม่ยอมรับ ฝ่ายของเขาก็จะไร้อัจฉริยะพร้อมด้วยฝ่ายตรงข้ามจะมีอิทธิพลต่อเขาอย่างมากในอนาคต เขาคิดอยากตกลง แต่เขาไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถตัดสินใจได้เพราะจ้าวสำนักยังคงไม่ได้ออกไปจากที่นี่


ในตอนนี้เขาเพียงแต่ต้องฝากความหวังอันน้อยนิดไว้ที่จ้าวสำนักและภรรยาของเขาเท่านั้น หลังจากที่พูดคุยกันเนิ่นนานตลอดทั้งคืน ในที่สุดทั้งสามคนก็ได้ข้อสรุปเสียที


ไม่กี่วันถัดมา ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้นำฟู๋หงจางมายังสำนักเสวียนเทียน หลังจากที่ตรวจสอบทุกอย่างแล้ว ตาเฒ่าเฟิงได้รับอิสระอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะสูญเสียสมบัติทั้งหมดที่มีแต่ระดับหยวนหยินของเขายังคงอยู่


ก่อนที่เขาจะไป ตาเฒ่าเฟิงยืนอยู่ที่หน้าสำนักเสวียนเทียนและยกนิ้วมือของตนเองขึ้น จากนั้นเขาชี้มันขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกล่าวสาบาน “ข้าไม่ขอเป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป ถ้าหากข้าไม่สามารถสังหารซ่งจงได้!” ด้วยปราณจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง เสียงคำรามอันแหบแห้งของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจดังสะท้านไปทั่วรัศมีหลายพันลี้ ทุกคนที่อยู่ภายในสำนักเสวียนเทียนล้วนได้ยินมันเช่นกัน


แม้แต่เจ้าอ้วนที่อยู่ในลานม่านหมอกก็ยังได้ยินคำพูดนั้นและทำให้เขาโกรธจัดจนเกือบจะตายตกไป เจ้าอ้วนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคำรามอยู่ภายในใจ ‘ใครกันที่เป็นผู้เข้ามายั่วยุข้า? ข้าเพียงค้นหาซากศพของครอบครัวเท่านั้น แต่เจ้ากลับเป็นคนเข้ามาสร้างปัญหาให้กับข้าเอง แต่ในตอนนี้กลับโยนความผิดให้ข้าเพียงเพราะเจ้าพ่ายแพ้งั้นหรือ? เจ้านี่มันตัวบัดซบชัด ๆ!’ ในขณะนั้นเขารู้สึกไม่พอใจจ้าวสำนักอย่างมาก ทั้งภรรยาของจ้าวสำนักและนักบวชฮัวอวิ๋น เขายอมแลกชีวิตเพื่อจับกุมตาเฒ่าเฟิง แต่พวกเขากลับปล่อยมันไปโดยไม่ปรึกษาเขา นี่มันเท่ากับการสร้างความลำบากให้กับเขาชัด ๆ ไม่ใช่หรือ?


หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เขาจะต้องเสียใจเท่าไหร่ที่ตาเฒ่าเฟิงคิดล้างแค้นเขา ตาเฒ่าเฟิงสามารถสังหารเจ้าอ้วนได้เพียงนั่งกระดิกเท้าอยู่เฉย ๆ เพียงแค่เจ้าอ้วนออกไปด้านนอกสำนัก เขาจะถูกติดตามอย่างแน่นอน กล่าวก็คือเขาไม่สามารถออกนอกสำนักเสวียนเทียนได้!


ตอนนี้เจ้าอ้วนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หงหยิงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกล่าวว่าจ้าวสำนักและภรรยาต้องการที่จะพบเขา แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่เต็มใจนัก แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีให้หงหยิงได้รับรู้ หลังจากที่เขาเข้าพบจ้าวสำนักและภรรยาแล้ว เจ้าอ้วนทำความเคารพอย่างไม่เต็มใจ “เคารพจ้าวสำนัก เคารพนายหญิง!”


มีความไม่พอใจปนอยู่ในเสียงของเขา จ้าวสำนักและภรรยาไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี จ้าวสำนักกล่าวออกมาว่า “อ้วนน้อย เจ้าคงจะสาปแช่งข้าอยู่ภายในใจล่ะสิ ถูกต้องหรือไม่?”


“ศิษย์ไม่กล้า!” เจ้าอ้วนตอบกลับ “อย่างไรก็ตาม ข้าเป็นเพียงไขมันอิ่มตัวในสายตาของท่านเท่านั้น!”


“อา พอได้แล้ว เจ้ามีรสเปรี้ยวกว่านั้น!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้


“ฮ่าฮ่า!” จ้าวสำนักหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “อ้วนน้อยอย่าคิดว่าเรามองว่าเจ้าไม่สำคัญ นอกจากนี้เรายังมีเหตุผลของเราที่ปล่อยให้ตาเฒ่าเฟิงไปอีกด้วย!”


“ปล่อยเขาไปเพื่อให้สังหารข้า?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ


“ถ้าหากเจ้ากลัวเขา ทำไมเจ้าไม่ไปกับพวกเรา?” จ้าวสำนักกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “ภายในสำนักสาขาเสวียนเทียนไม่มีใครกล้าที่จะยั่วยุเจ้า ถ้าหากตาเฒ่าเฟิงต้องการทำเช่นนั้น อาวุโสภายในสำนักคงจะฉีกหนังเขาออกเป็นชิ้น!”


“ใช่แล้ว พี่ชายอ้วน ทำไมจึงไม่ไปด้วยกัน!” หงหยิงรีบกล่าวเสริม


เจ้าอ้วนส่ายศีรษะพร้อมกับขมวดคิ้ว เขากล่าวอย่างเขร่งขรึม “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้ามีเรื่องที่ต้องทำ!”


“เจ้ายังต้องการที่จะแก้แค้นให้กับครอบครัวของเจ้างั้นหรือ?” ภรรยาจ้าวสำนักถามออกมา


“ว่วาอะไร?” เจ้าอ้วนไม่เคยคาดหวังว่าพวกเขาจะคาดเดาได้และตกใจไปชั่วขณะ เมื่อเห็นเช่นนั้นภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “นับตั้งแต่ที่เจ้าออกเดินทางเพื่อไปตามหาซากศพของครอบครัว ข้าก็เข้าใจเหตุผลที่เจ้าต้องการจะอยู่ที่แห่งนี้!”


นับตั้งแต่ที่ภรรยาจ้าวสำนักคาดเดาได้อย่างถูกต้อง เจ้าอ้วนไม่สามารถปฏิเสธพร้อมกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าเป็นบุตรชาย แน่นอนว่าข้าจะต้องแก้แค้นให้กับพ่อแม่ของข้า ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีหน้าที่จะอยู่บนโลกนี้!”


“ยอดเยี่ยม!” หลังจากที่จ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาสว่างไสวพร้อมกล่าวว่า “เจ้าช่างเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง! เจ้าไม่ได้มีดีแค่ร่างกายที่ใหญ่โตแต่กลับมีจิตใจที่กล้าหาญดังเช่นพ่อกับแม่ของเจ้า!”


ภรรยาจ้าวสำนักพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “หัวใจของเจ้าควรได้รับการสรรเสริญ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นข้าจะไม่ชักชวนเจ้าอีกต่อไป เด็กน้อย ข้ามีบางอย่างที่ต้องเตือนเจ้า บุคคลที่สังหารครอบครัวเจ้าน่าจะอยู่ในระดับจินตัน ก่อนที่เจ้าจะเข้าสู่ระดับจินตัน เจ้าไม่ควรดำเนินการโดยความประมาท ถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าจะพ่ายแพ้!”


“ถูกต้อง!” จ้าวสำนักกล่าวพร้อมกับพยักหน้า “ในเวลานี้ศิษย์ของฮัวอวิ๋นได้กลับมาแล้ว เงื่อนไขของข้าก็คือให้เขาปฏิบัติกับเจ้าอย่างดีเมื่อข้าออกไปจากสำนักเสวียนเทียน! พร้อมทั้งศิษย์ของเขาก็ตกลง! ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีข้าและภรรยาอยู่ภายในสำนักเสวียนเทียน เจ้าจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับความลำบากใดภายในสำนักนี้!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “ในตอนที่พวกท่านยังอยู่ที่นี่ เขายังปฏิบัติกับข้าได้ดี! แต่เมื่อท่านออกไปเขาจะมีเหตุผลใดที่จะต้องปฏิบัติตนดีกับข้า?”


“ฮ่าฮ่า!” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวพร้อมกับลูบศีรษะของตนเอง “เจ้าช่างหวาดระแวงเกินไป! อย่างไรก็ตามในคราวนี้เจ้ากังวลมากเกินไป!”


“ใช่แล้ว!” จ้าวสำนักกล่าวเสริม “แม้ว่าฮัวอวิ๋นจะมีจิตใจคับแคบ แต่เขาไม่เคยกลับคำพูดของตนเอง นับตั้งแต่ที่เขาตกลง เขาจะดูแลเจ้าและไม่ทอดทิ้งคำสัญญา!”


“ถูกต้อง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริม “นอกจากนั้นเขายังมีมิตรอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราได้ก้าวมาถึงจุดนี้ เขาขอบคุณ และทุกข้อกล่าวหาระหว่างเจ้ากับเขาจะถูกลืมไปทั้งหมด ถ้าหากเขาปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี เขาจะไม่สามารถกลับไปเผชิญหน้ากับเราที่สำนักสาขาเสวียนเทียนได้!”


“ฮัวอวิ๋นไม่ใช่คนโง่เขลา เราสามารถจัดการกับเขาได้แม้ว่าจะอยู่ที่สำนักสาขาเสวียนเทียน ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี!” จ้าวสำนักกล่าว “ข้าได้กล่าวกับเขาไว้อย่างชัดเจน ถ้าหากเขาทำให้เจ้าทุกข์ทรมาน เราทั้งสองจะทำให้เขาทุกข์ทรมานเช่นกันเมื่อกลับไปยังสำนักสาขา!”


หลังจากที่ได้ยินคำยืนยันทั้งหมด เจ้าอ้วนเข้าใจเหตุผลทันทีว่าเหตุใดจ้าวสำนักและภรรยาจึงยอมปล่อยตาเฒ่าเฟิงให้เป็นอิสระอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ถูกรังแกภายในสำนักเสวียนเทียนในอนาคต พวกเขาจึงต้องทำเช่นนี้ สำนักเสวียนเทียนเป็นบ้านเกิดของเขา ตราบใดที่เขาสามารถตั้งหลักได้ในสถานที่แห่งนี้ อีกทั้งเขาไม่ต้องกังวลกับอะไรอีกต่อไป สำหรับภัยคุกคามจากตาเฒ่าเฟิง เขาไม่จำเป็นต้องกังวลกับมันมากนักตราบใดที่เขาไม่ได้ออกไปด้านนอก หลังจากที่เขาเติบโตขึ้นในอนาคตเขาจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตาเฒ่าเฟิงอีกต่อไป เมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้ว ความไม่พอใจทั้งหมดของเจ้าอ้วนสลายไปพร้อมทั้งรู้สึกตื้นตันใจต่อจ้าวสำนักและภรรยาอย่างมาก เขาโค้งคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ของท่านช่างโง่เขลายิ่งนักที่เข้าใจผิดท่านทั้งสอง ข้าสมควรตาย!”


“ฮ่าฮ่า จะอย่างไรเราไม่กล้าให้เจ้าตายแน่นอน ถ้าหากเจ้าตายเพราะเรื่องนี้แน่นอนว่าบุตรสาวของเราคงจะต่อสู้กับเราจนตายตกไปข้างหนึ่ง!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้


“ฮ่าฮ่า!” ภรรยาจ้าวสำนักหัวเราะร่วมกับเขาด้วย


เจ้าอ้วนและหงหยิงรู้สึกอับอาย เมื่อเห็นเช่นนี้จ้าวสำนักและภรรยากลับยิ่งหัวเราะดังขึ้นไปอีก


หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว จ้าวสำนักบอกให้เจ้าอ้วนไปพบกับฮัวอวิ๋นในวันพรุ่งนี้ วันถัดมาเจ้าอ้วนแต่งตัวถูกต้องตามกฏของสำนักและเตรียมของขวัญราคาแพงมาด้วย หลังจากที่เขาได้พบกับจ้าวสำนัก ภรรยาและหงหยิง ทั้งสี่เข้าพบฮัวอวิ๋นด้วยกัน


เมื่อเห็นว่าจ้าวสำนักและภรรยามีของกำนัลมาด้วย และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะพบหน้ากัน นักบวชฮัวอวิ๋นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เขาส่งศิษย์หลายคนออกไปก่อนมาต้อนรับพวกเขาทั้งหมด


บรรยากาศเริ่มร้อนขึ้นเมื่อเจ้าอ้วนเสนอตัวเข้าเป็นศิษย์ ในเวลานั้นนักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะอันอบอุ่น ไม่มีอีกแล้วความเย็นชาในอดีต ราวกับว่าเจ้าอ้วนนั้นเป็นศิษย์ของเขาอยู่แล้วพร้อมกับลืมเรื่องราวของดาบแห่งธาตุทั้งห้าไปจนหมดสิ้น


ในตอนเริ่มต้นเจ้าอ้วนรู้สึกอึดอัดและคิดว่าฮัวอวิ๋นนั้นเกรงใจจ้าวสำนักและภรรยา แต่ในตอนนี้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือการเอาอกเอาใจต่าง ๆ ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถหาข้อกังขาในคำพูดเหล่านั้นได้เลย ในตอนนี้เขาจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นใจ


สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกมึนงงอย่างมาก แต่เขาสามารถเข้าใจบทสนทนาของจ้าวสำนักและนักบวชฮัวอวิ๋นได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่จ้าวสำนักจากไป สำนักสาขาจะส่งผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสองคนเพื่อมาประจำการที่นี่ และผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่กำลังจะมานั้นมีปัญหาขัดแย้งกับจ้าวสำนักและนักบวชฮัวอวิ๋น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยถูกกันราวน้ำกับไฟ แต่เงื่อนไขที่ได้รับก็ไม่ดีนัก บางสิ่งบางอย่างมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจกันมากที่สุด


บทที่ 187: กล่องดวงใจที่แตกออก


 


ความขัดแย้งภายในไม่่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน ผู้นำทั้งสองฝ่ายจะไม่ต่อสู้กันโดยตรง สิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างมากก็คือส่งศิษย์ของตนไปขัดแย้งกันแทน และการต่อสู้เหล่านั้นมักจะมีทรัพย์สินของสำนักเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย


หลังจากที่หงหยิงจากไปแล้ว ศิษย์ที่อยู่ในระดับปฐมภูมิเหลือเพียงเจ้าอ้วนเท่านั้น สำหรับฉุ่ยจิ้งนางไม่เข้ามายุ่มย่ามเกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้ง ดังนั้นจึงลืมเรื่องความช่วยเหลือจากนางไปได้เลย


ทั้งสองคนยอมร่วมมือกันเพราะมีศัตรูคนเดียวกัน นักบวชฮัวอวิ๋นดึงตัวเจ้าอ้วนไว้อยู่กับเขา สำหรับเหตุผลก็คือแน่นอนว่าเจ้าอ้วนจะเสริมความแข็งแกร่งของฝั่งเขาและยังสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ถึงสองคน!


หลังจากที่เจ้าอ้วนเข้าใจทุกอย่างแล้ว เขาไม่อาจทำอะไรได้นอกจากหัวเราะในใจ ‘เจ้านั้นรู้อยู่เต็มอกว่าผู้ที่จะมาใหม่นั้นไม่ใช่มิตร แต่เหตุใดกันเจ้ากลับไม่รักษาความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวสำนักไว้? เหตุใดจึงต้องสร้างสถานการณ์ให้มันเลวร้ายจนมาถึงขั้นนี้กันนะ?’


แน่นอนว่าเขาไม่กล้าที่จะกล่าวสิ่งที่อยู่ภายในใจออกไป อีกทั้งเขายังมั่นใจว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งหมดนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่จะคาดเดาได้ ดังนั้นการถามออกไปจึงเป็นสิ่งที่โง่เขลาอย่างยิ่ง เจ้าอ้วนจึงทำได้เพียงยืนมองสิ่งเหล่านี้เงียบ ๆ และจัดการเรื่องของตนเองที่จะต้องเข้าฝ่ายกับนักบวชฮัวอวิ๋นต่อไป


นับตั้งแต่ที่พวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกัน บรรยากาศทุกอย่างเป็นไปอย่างสนุกสนานพร้อมทั้งงานเลี้ยงฉลองยาวนานตลอดค่ำคืนยันรุ่งสาง จากนั้นจ้าวสำนักและภรรยาพาเจ้าอ้วนพร้อมหงหยิงกลับมาที่สำนักชั้นในเพื่อกล่าวบางอย่างกับพวกเขาทั้งสองก่อนที่จะจากไป


เหลือเวลาเพียงไม่กี่วัน เจ้าอ้วนใช้เวลาทั้งหมดของเขาอยู่กับหงหยิง สำหรับเวลาที่กำลังจะหมดลงทำให้พวกเขาทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ต้องจากกันได้ ในที่สุดจ้าวสำนักก็ออกคำสั่งเริ่มการเดินทางโดยใช้หอคอยลอยฟ้า


หลังจากที่ส่งจ้าวสำนักออกไปแล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นก้าวสู่ตำแหน่งจ้าวสำนักอย่างเป็นทางการ ภายในสำนักทำพิธีต้อนรับตำแหน่งของเขาอย่างยิ่งใหญ่ อาวุโสระดับสูงมากมายเข้ามาร่วมแสดงความยินดี


โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนชอบธรรมเท่านั้นที่จะมาร่วมงานเลี้ยงของผู้ฝึกตนชอบธรรม แต่ในขณะนี้จ้าวสำนักพันปีศาจได้ส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาเพื่อขอบคุณนักบวชฮัวอวิ๋นเกี่ยวกับเรื่องของตาเฒ่าเฟิง


สิ่งนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมไม่พอใจอย่างมากพร้อมกับก่นด่านักบวชฮัวอวิ๋นในใจ ‘เป็นผู้ฝึกตนชอบธรรมเสียเปล่า แต่เจ้ากลับไม่สังหารผู้ฝึกตนปีศาจอีกทั้งยังปล่อยเขาไป เจ้าวางแผนอะไรกันแน่?’ มีผู้ฝึกตนชอบธรรมบางคนแอบสอบถามเขาเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย


สำหรับเรื่องนี้นักบวชฮัวอวิ๋นนั้นมีท่าทีที่แปลกออกไป ครั้งก่อนหน้าถ้าหากมีผู้ใดกล้าล่วงเกินเขาหรือทำให้เขาไม่พอใจ แน่นอนว่าเขาจะระเบิดความโกรธออกมาทันที แต่ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าเขาเปลี่ยนไป ไม่มีความโกรธใดทั้งสิ้น มีแต่ความใจเย็นและเริ่มอธิบายอย่างช้า ๆ


แม้ว่าทุกคนในสำนักเสวียนเทียนจะยอมรับคำอธิบายจากนักบวชฮัวอวิ๋น แต่ภายในหัวใจของพวกเขาก็ไม่ได้ยอมรับมันอย่างแท้จริง งานเลี้ยงในครั้งนี้จึงมีบรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัดยิ่งนัก


นักบวชฮัวอวิ๋นไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป เขาเข้าสู่ความโกรธอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เขาจะปฏิเสธของขวัญจากจ้าวสำนักพันปีศาจ เขายังทำการเขียนจดหมายเพื่อถากถางนักบวชเซือหมัวอีกด้วย!


แต่ทว่านักบวชเซือหมัวตอบกลับจดหมายของเขาด้วยความขื่นขมว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่ส่งของขวัญไป คนที่ส่งของขวัญไปคือแม่มดเมฆและสายลม ทั้งสองเกลียดชังนักบวชฮัวอวิ๋นและต้องการทำลายพิธีรับตำแหน่งจ้าวสำนัก ดังนั้นนางจึงตั้งใจที่จะสร้างความยากลำบากให้กับเขา ทำให้เขาสูญเสียความเชื่อถือจากผู้ฝึกตนชอบธรรมทั้งหมด


หลังจากที่เขาได้ทราบข่าวเช่นนี้ นักบวชฮัวอวิ๋นแทบจะตายตกไปเพราะความโกรธ เขาสาบานออกมาอย่างไม่อาจทำอะไรได้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเขาจะต้องแก้แค้นแม่มดเมฆและสายลมนี้อย่างแน่นอน!


ในเวลานี้ผ่านมาแล้วครึ่งปีนับตั้งแต่ที่พิธีสิ้นสุดลง แต่สำนักเสวียนเทียนยังไม่มีเวลาที่จะพักผ่อนได้เพราะต้องต้อนรับเหล่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสองคนที่มาถึง


แท้จริงแล้วเจ้าอ้วนไม่ได้สนใจกับพิธีเหล่านี้เลยและไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมใด แต่หลังจากที่เขาพบปะกับนักบวชฮัวอวิ๋นจึงทราบว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าอ้วนได้รับคำสั่งพิเศษให้ออกมาต้อนรับแขกที่จะมาในวันพรุ่งนี้ด้วย นอกจากนั้นมันยังเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้แลกเปลี่ยนกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญ


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่สามารถขัดคำสั่งของนักบวชฮัวอวิ๋นได้ จึงทำได้เพียงรู้สึกไม่เต็มใจที่จะออกมาต้อนรับแขกเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือมีแขกมาจากหอเฉวียนจี้ด้วย เพราะว่ากิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเมื่อครั้งก่อนทำให้หอเฉวียนจี้เป็นหนี้บุญคุณเจ้าอ้วนอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งสองฝ่ายเคารพกันและมีมิตรภาพอันดีต่อกันอย่างล้นหลาม แต่น่าสงสารที่เจ้าอ้วนไม่ได้พบเจอกับหานปิงเอ๋อในครั้งนี้ ทว่าเขาได้ข่าวว่านางประสบความสำเร็จและเข้าสู่ระดับปฐมภูมิแล้วเช่นกัน และในขณะนี้นางกำลังอยู่ในการเก็บตัวฝึกฝนอยู่


เมื่อได้ยินว่าสาวสวยกำลังอยู่ในการเก็บตัวฝึกฝน เจ้าอ้วนจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อเขาจัดการกับแขกทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเขาจึงเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนเช่นกัน พร้อมกับพุ่งความสนใจไปที่การปรับแต่งสายฟ้า ดังนั้นการต้อนรับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจึงไม่ได้อยู่ในสมองของเจ้าอ้วนแม้แต่น้อย


ในขณะที่เขาเข้าสู่มิติลึกลับของตนเอง เจ้าอ้วนลืมทุกสิ่งด้านนอกอย่างรวดเร็ว เขาสนใจการปรับแต่งสายฟ้าร่วมกับหญิงงามทั้งเก้า ด้วยความช่วยเหลือของพวกนาง เขาสามารถปรับแต่งสายฟ้าทั้งห้าสำเร็จหลังจากที่ผ่านการทำงานมาอย่างหนัก สำหรับเจ้าอ้วนแล้วมันคือรางวัลที่ดีเยี่ยม และในตอนนี้เขาเข้าใจทักษะการปรับแต่งเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง


แม้ว่าการปรับแต่งในครั้งนี้จะใช้วัสดุที่เจ้าอ้วนมีแทบทั้งหมด แต่ทุกสิ่งที่เขาทุ่มเทไปนั้นเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขาอย่างมาก


แต่ละเสากว้างกว่าร้อยฟุตและสูงกว่าสามสิบฟุต สีของพวกมันเป็นไปตามธาตุที่กำหนดไว้ แสงสดใสสว่างรุ่งโรจน์ตลอดเวลา เสาเหล่านี้ดูดซับปราณจิตวิญญาณภายในมิติลึกลับของเจ้าอ้วน มันควบแน่นสิ่งเหล่านี้จนออกมาเป็นอสนีขั้วบวกและขั้วลบ แต่ความแข็งแกร่งของมันขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแกร่งของเจ้าอ้วนเท่านั้น ดังนั้นจึงหมายความว่าเขาไม่สามารถปรับแต่งสายฟ้าได้เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตัน


เนื่องจากความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณภายในมิติลึกลับของเจ้าอ้วน พวกมันใช้เวลาดูดซับเพื่อควบแน่นในเวลาเพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น กล่าวก็คือเจ้าอ้วนสามารถได้รับอสนีขั้วบวกและอสนีขั้วลบอย่างละห้าลูกในทุก ๆ สี่ชั่วโมง


เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนมีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถสะสมพวกมันได้จำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ แต่มันมีข้อเสียที่เห็นได้ชัดคือใช้ปราณจิตวิญญาณที่มากเกินไป ดังนั้นมิติลึกลับของเจ้าอ้วนจึงไม่สามารถรับมือกับมันได้


นอกจากนี้ภายในมิติลึกลับของเจ้าอ้วนยังมีสิ่งที่ต้องการปราณจิตวิญญาณมากมายเช่นต้นชาวิถีเต๋าหรือดอกบัวแห่งองค์ประกอบทั้งห้า พวกมันทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีค่ากับเขามากและเขาไม่อาจทนได้ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับพวกมัน


ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณภายในมิติลึกลับน้อยลง เจ้าอ้วนจึงเปิดใช้งานการปรับแต่งสายฟ้าเพียงวันละครั้งเท่านั้น และหยุดมันหลังจากที่เขาได้รับอสนีทั้งสิบลูก การทำเช่นนี้ทำให้มิติของเจ้าอ้วนไม่สูญเสียสมดุลไป


หลังจากที่เขาใช้เวลาปรับแต่งอสนีขั้วบวกและขั้วลบจากเสานั้นมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว เจ้าอ้วนไม่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปในเมื่อตอนนี้เขาสะสมสายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้าได้นับร้อย


ภายในหนึ่งปีที่ผ่านมาเจ้าอ้วนใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย หญิงงามทั้งเก้าปรนเปรอเขาอย่างถึงที่สุด แต่อย่างไรก็ตามเจ้าอ้วนยังคงรู้สึกเหงาและเริ่มคิดถึงหญิงสาวคนอื่น ๆ อย่าง หงหยิง ฉุ่ยจิ้ง หานหลิงเฟิง หรือแม้แต่หานปิงเอ๋อ เมื่อเป็นเช่นนี้หลังจากเขาสะสมสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้มากพอแล้ว เจ้าอ้วนออกจากมิติลึกลับและปรากฏตัวขึ้นในลานม่านหมอกของตนเองอีกครั้ง


เพียงแค่ในขณะที่เขาออกมาจากมิติลึกลับ เขาได้ยินเสียงหญิงสาวตะโกนมา “อา เจ้าเข้าไปในนี้ไม่ได้! นี่คือสถานที่ของสหายข้า! อย่าพยายาม!”


“สหาย? ฮ่าฮ่า เขาอาจจะเป็นเพียงคนบ้าเท่านั้น ใช่ไหม?” บุรุษผู้หนึ่งหัวเราะออกมาราวกับปีศาจ “อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้อยู่ที่นี่และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเจ้าสักหน่อย ทำไมเราจึงไม่มาเล่นสนุกด้วยกันก่อนล่ะ?”


“เขาอยู่ที่นี่ เขากำลังอยู่ในการเก็บตัวฝึกฝน เจ้าควรระวังว่าเขาจะออกมาและจัดการกับเจ้าดั่งเช่นกระดาษแผ่นหนึ่ง!” หญิงสาวตะโกนพร้อมกับเริ่มร้องไห้


“เหลวไหล! ภายในสำนักเสวียนเทียนไม่มีผู้ใดเอาชนะข้าได้!” บุรุษแต่งตัวประหลาดหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวต่อ “สาวน้อย ข้าไม่อาจจินตนาการเกี่ยวกับเจ้าได้ ถ้าหากเจ้ายิ่งสร้างความยากเย็นให้กับข้ามากเท่าไหร่ ข้ายิ่งอยากจะเอาชนะเจ้ามากเท่านั้น!”


“เจ้าหยาบคายเช่นนี้ได้อย่างไร! เจ้าไม่เกรงกลัวงั้นหรือถ้าหากข้ายื่นคำร้องสิ่งที่เจ้ากำลังจะทำ? กฎของสำนักเข้มงวดมาก มันจะตอบสนองความต้องการของเจ้าได้อย่างแน่นอน!” หญิงสาวกล่าวออกมาอย่างกังวลใจ


“ฮ่าฮ่า กฎของสำนัก? สิ่งนั้นมีไว้เพื่อให้เด็กทารกเกรงกลัวเท่านั้น ถ้าหากเจ้ากล้ายื่นคำร้องเรื่องของข้า ข้าก็คงพูดได้เพียงเจ้าล่อลวงข้าเอง!” ชายหนุ่มหัวเราะออกมา “ศิษย์พี่อาวุโสของข้าเป็นหนึ่งในหอคุมกฎ เจ้าคิดดูแล้วกันว่าเขาจะเชื่อใคร?”


“เจ้า… เจ้า!” หญิงสาวโกรธจัดแต่ว่าไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดออกมา


“ฮ่าฮ่า สาวน้อยอย่าทำให้เรื่องราวมันยากนักเลย!” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอีกครั้ง


หลังจากนั้นเกิดเสียงความวุ่นวายขึ้นพร้อมกับเสียงฉีกขาดของเสื้อผ้า ตามด้วยเสียงกรีดร้องของหญิงสาวพร้อมกับเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของชายหนุ่ม


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาแดงก่ำทันทีเพราะเสียงนั้นคือหานหลิงเฟิง! นางเป็นผู้หญิงของเขาและที่นี่คือบ้านของเขา ไอ้สารเลวตัวไหนมันกล้าที่จะทำเรื่องเช่นนี้กัน?


เจ้าอ้วนพุ่งออกไปจากห้องฝึกตนทันทีอย่างไม่ลังเล เขาเข้าสู่ใจกลางลานม่านหมอกอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาเห็นเหตุการณ์ เขาโกรธจัดทันที เขามองเห็นชายหนุ่มสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังฉีกเสื้อผ้าของหานหลิงเฟิง ขณะนี้หานหลิงเฟิงอยู่ระดับเซียนเทียนขั้นสิบสาม แม้ว่านางจะกินผลไม้วิญญาณเข้าไปแล้ว แต่ทำไมนางยังไม่เข้าสู่ระดับปฐมภูมิ?


นอกจากนี้ดูเหมือนกับว่าร่างกายของพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนเพาะกายและมันแข็งแกร่งมาก ตรงหน้าของเขาหานหลิงเฟิงอยู่ตรงนั้นราวกับว่าเป็นลูกแกะที่ไร้หนทางขัดขืนราชสีห์ ในขณะนั้นท่อนบนของนางถูกฉีกออกเป็นชิ้นแล้ว เผยให้เห็นชั้นในสีแดงที่อยู่ด้านใน กระโปรงของนางแทบจะไม่เหลือสิ่งใดอีก ใบหน้าชั่วร้ายของอีกฝ่ายเผยให้เห็นถึงความต้องการ


เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้าอ้วนจะถอยกลับได้อย่างไร? เขาเปิดประตูทันทีพร้อมกับกระโดดถีบชายหนุ่มแปลกหน้าด้วยพลังทั้งหมดที่มี


ในเวลานั้นชายแปลกหน้ารู้สึกว่ามีอะไรผิดพลาดและกำลังจะหันมาในทิศทางนั้น แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าอ้วนจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้ นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ฝึกตนเพาะกายซึ่งร่างกายของเขาแข็งแกร่งราวกับอุปกรณ์วิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจการโจมตีทางกายภาพของผู้อื่น เขาไม่หลบและเปิดโอกาสให้เจ้าอ้วนเตะเขา นอกจากนี้เขายังมีแผนที่จะโจมตีสวนกลับเมื่อเจ้าอ้วนโจมตีเสร็จสิ้นแล้ว


อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคาดคิดว่าความแข็งแกร่งของเจ้าอ้วนจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้ ความรู้สึกของเขาราวกับว่าถูกมังกรพุ่งชนทำให้ร่างกายสูญเสียการทรงตัวและกระเด็นออกไป เขากระเด็นออกจากหน้าต่างไปไกลหลายฟุต ผ่านกำแพงและออกไปนอนอยู่ที่ถนนด้านนอก


หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดเสียงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “อ๊าก! น้องชายของข้า!”


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนได้เตะไปที่กล่องดวงใจของอีกฝ่าย ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายที่สามารถต้านทานทัณฑ์เมฆาได้ ไม่ต้องกล่าวเลยว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะสามารถลุกขึ้นยืนได้หรือไม่ แม้แต่อุปกรณ์วิเศษก็สามารถแตกหักได้จากพลังแห่งความโกรธนี้! แน่นอนว่าตอนนี้ได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นแล้ว!


แม้ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะดูแข็งแกร่ง แต่ทว่าเขาอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายเท่านั้น เสียงกรีดร้องของเขาดังไกลไม่กี่ลี้แต่เพียงพอสำหรับให้ศิษย์ที่อยู่ในสำนักชั้นในได้ยินทั้งหมด


ในขณะที่ได้ยินว่ามีกล่องดวงใจของใครบางคนแตก พวกเขาจะหยุดความอยากรู้อยากเห็นนี้ได้อย่างไร? ดังนั้นภายในสำนักชั้นในเกิดความวุ่นวายทันที ทุกคนรีบบินออกมาตามเสียงเพื่อรับรู้สถานการณ์ที่กำลังเกิด เพียงไม่กี่นาทีผู้คนนับร้อยมาหยุดอยู่ตรงสถานที่นั้นทันที! เดิมทีลานม่านหมอกนั้นเงียบสงบอย่างมากแต่กลับไม่ใช่ในตอนนี้ที่ผู้คนหลั่งไหลมาราวกับน้ำท่วมและไม่มีหนทางระบายน้ำออก


เจ้าอ้วนไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกแม้แต่น้อย เขากอดหานหลิงเฟิงไว้พร้อมกับปลอบนางภายใต้แขนของเขา ในขณะนั้นเขาถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าโง่นั่นเป็นใคร? เหตุใดเขาจึงทำเรื่องเช่นนี้?”


แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เจ้าอ้วนจะโกรธมากถึงเพียงนี้ สำนักเสวียนเทียนเป็นสำนักที่เต็มไปด้วยความชอบธรรม แม้ว่าพวกเขาจะไม่กีดกันสาวกจากเรื่องเพศ แต่ทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัด แน่นอนว่าพวกเขาไม่บ้าคลั่งดั่งเช่นสำนักปีศาจ ในอดีตที่ผ่านมาถ้าหากมีผู้ใดเขาไปข่มเหงศิษย์ที่ระดับต่ำกว่า บุคคลผู้นั้นจะต้องถูกประหารชีวิต!


ในอดีตสำนักเสวียนเทียนสงบอย่างมาก แต่เจ้าอ้วนไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ในยุคของเขา เจ้าอ้วนจึงคิดในใจ ‘แน่นอนว่าทุกคนต้องรู้ว่าที่นี่คือสำนักเสวียนเทียน มีผู้ใดกันที่คิดไปเองว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งของสำนักปีศาจ! ภายในเวลาไม่กี่ปี เหตุใดสถานการณ์จึงเปลี่ยนไปมากมายเช่นนี้?’


บทที่ 188: จินยินถงเที่ย


“ฮือ!” หานหลิงเฟิงร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวว่า “เจ้าบัดซบนั่นเป็นหนึ่งในศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่เพิ่งมา ทั้งสี่คนนั้นเรียกตนเองว่า จินยินถงเที่ย เจ้าคนผู้นี้เป็นพี่น้องลำดับที่สองของเที่ย!”


“น้องชายของเที่ย?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินดังนั้น เขากล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “เชื่อข้าเถอะ น้องชายของมันเป็นเพียงเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งเท่านั้นและตอนนี้ถูกทำลายโดยข้าแล้ว!”


“สถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หานหลิงเฟิงไม่อาจช่วยได้นอกจากอธิบาย “แม้ว่าเจ้าจะทำให้เขากลายเป็นคนพิการ แต่ว่าเขายังมีพี่ชายอีกสามคนซึ่งเป็นถึงอาจารย์ลุงระดับจินตัน อีกทั้งยังมีคุณชายใหญ่กับคุณชายรองคอยปกป้องเขาอยู่ เจ้าสร้างปัญหาใหญ่ให้กับตนเองแล้ว!”


“คุณชายใหญ่กับคุณชายรอง?” เจ้าอ้วนถามออกไปด้วยความสับสน “นี่มันเรื่องอะไร พวกเขากำลังเล่นอะไรกันอยู่?”


“พวกเขาไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรไปยุ่งเกี่ยว ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่เพิ่งมาใหม่นามสกุลจิน เขาเป็นสองพี่น้องที่ให้ผู้อื่นเรียกพวกเขาว่าคุณชายใหญ่กับคุณชายรอง” หานหลิงเฟิงอธิบาย “พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ฝึกตนประเภทเพาะกาย ว่ากันว่าเคล็ดวิชาที่พวกเขาใช้ฝึกตนนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก มันแข็งแกร่งมากในการต่อสู้ นักบวชฮัวอวิ๋นนั้นได้ต่อสู้กับพวกเขามาก่อน แม้ว่าเขาจะสามารถเอาชนะหนึ่งในนั้นได้ แต่เขาจะพ่ายแพ้ถ้าหากต้องต่อสู้กับทั้งสองคนพร้อมกัน! อีกทั้งในตอนนี้เทพธิดาเหมยฮวายังเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนเป็นเวลาร้อยปี นักบวชฮัวอวิ๋นถูกจัดการลงอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่เขาอยู่ตัวคนเดียว เหล่าศิษย์ของคุณชายใหญ่กับคุณชายรองจึงทำตัวเป็นอันธพาลยิ่งขึ้น พวกเขามักจะเดินไปรอบลานของสำนักเพื่อจัดการกับคนที่อ่อนแอกว่า ทั้งหมดไม่เคยแสดงความเมตตาใดเมื่อลงมือ อา ใช่แล้ว อาจารย์ลุงฉิงเฟิงซีของเจ้าเพิ่งกลับมายังสำนักเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และไม่สามารถอดทนต่อการกระทำของคุณชายทั้งสองได้ ในตอนสุดท้ายเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบจะพิการ!”


“อะไรนะ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดพร้อมกับถามต่อทันที “เหตุใดท่านอาจารย์ลุงฉิงเฟิงซีจึงบาดเจ็บสาหัส?”


“ตอนนี้เขาปลอดภัยแล้ว แต่แน่นอนว่าจะต้องนอนเฉยไปหลายสิบปี ในตอนแรกเขาพยายามจะก้าวเข้าสู่ระดับจินตัน แต่ในตอนนี้เขาจะต้องล่าช้าออกไปอีกสิบปี! นอกจากนี้ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้เกิดรอยแผลในจิตใจของเขา ซึ่งมันส่งผลต่อการเข้าสู่ระดับจินตันอีกด้วย!” หานหลิงเฟิงกล่าวอย่างสงสาร “ว่ากันว่าในตอนแรกเขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แต่ในตอนนี้โอกาสนั้นน้อยนิดเหลือเกิน!”


“เจ้าตัวบัดซบ!” หลังจากที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเขียวเพราะความโกรธจัด ภายในสำนักเสวียนเทียนแห่งนี้มีเพียงฉิงเฟิงซีเท่านั้นที่เป็นอาวุโสคนเดียวที่คอยปกป้องเขา ในตอนนี้เขาบาดเจ็บหนักและผลกระทบของมันมากเกินไป เมื่อรู้เช่นนี้เขาจะเก็บงำความโกรธนี้ไว้ได้อย่างไร?


ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังถูกไฟแห่งความโกรธถาโถมและคิดที่จะค้นหาบางคนเพื่อระบายความแค้นนี้ เขามองออกไปยังประตูด้านนอกมองสิ่งที่เขาเพิ่งส่งมันออกไปเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้มีบุคคลสามคนกำลังเดินเข้ามาภายในลาน


ทั้งสามคนสูงกว่าแปดฟุต ศีรษะของพวกเขาโล้นและล้าน แม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะไม่ได้ดีไปมากกว่าเจ้าอ้วนเท่าไหร่ แต่เจ้าอ้วนสามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาทั้งหมดแข็งแกร่งมาก ถ้าหากเปรียบเจ้าอ้วนเป็นหมี พวกเขาดูราวกับพยัคฆ์


สำหรับทั้งสามคนที่เพิ่งเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นที่อยู่ทางด้านซ้ายตะโกนออกมา “จงออกมารับความตายของเจ้าซะ!”


“ใครทำให้น้องของข้าบาดเจ็บ จงออกมาแต่โดยดี!” อีกคนที่อยู่ทางด้านขวาตะโกนออกมา แต่ผู้ที่อยู่ตรงกลางไม่ได้กล่าวสิ่งใดมีเพียงใบหน้าที่เคร่งขรึมเท่านั้น


ในขณะที่หานหลิงเฟิงเห็นเช่นนั้น นางรีบกล่าวออกมาอย่างตกใจ “แย่แล้ว! พวกนั้นคือพี่ชายทั้งสามในกลุ่มจินยินถงเที่ย บุคคลที่ยืนอยู่ตรงกลางเป็นลำดับที่หนึ่งชื่อจิน อีกคนที่อยู่ฝั่งซ้ายเป็นลำดับที่สามชื่อถงและคนที่ยืนอยู่ด้านขวาเป็นลำดับที่สี่ชื่อเที่ย พวกเขามาเพื่อแก้แค้นให้กับยินพี่น้องลำดับที่สอง!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความประหลาดใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า ประเสริฐยิ่งนักที่พวกมันมาหาข้าถึงที่ ข้าเพียงแค่กำลังคิดจะไปหาพวกมันเพื่อแก้แค้นอยู่เช่นกัน!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาดันร่างกายของหานหลิงเฟิงออกเบา ๆ และเดินออกไปที่ลานเพื่อเผชิญหน้ากับบุคคลทั้งสาม


ในขณะที่เจ้าอ้วนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา เขาหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า ข้าสงสัยเหลือเกินว่าลมอะไรพัดให้คนหัวล้านสี่คนมาอยู่ตรงนี้! มันช่างดูประหลาดเหลือเกิน!”


คนหัวล้านทั้งสี่มองเห็นเจ้าอ้วนและไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงกล่าวอะไรเช่นนี้


เมื่อทั้งสามเข้าใจความหมายของคำพูด พวกเขาโกรธจัดทันที จินซึ่งเป็นพี่ใหญ่คำรามออกมา “สุกรตัวนี้หลุดออกมาจากที่ใดกัน เจ้าอยากจะเล่นสนุกกับข้า? เหนื่อยแล้วหรือกับชีวิตนี้?”


“ข้าเบื่อที่จะใช้ชีวิตแล้ว เพราะว่ามีเหล่าคนหัวล้านเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ของข้า!” เจ้าอ้วนโต้กลับอย่างเฉยเมย


แม้ว่าเขาจะมีท่าทีที่ไม่สนใจ แต่เจ้าอ้วนได้เตรียมระฆังทองแดง ดาบแห่งธาตุทั้งห้าพร้อมด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขา แน่นอนว่าเขาได้คาดการณ์ว่าทั้งสามคนจะต้องโจมตีเข้ามาด้วยความโกรธ


เมื่อทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้น ไม่ผิดไปจากที่เจ้าอ้วนคิด พวกเขาทั้งหมดโกรธจัดทันที ทั้งสามไม่กล่าวอะไรต่อนอกจากคำรามออกมาอย่างโกรธจัดพร้อมทั้งเรียกใช้งานวิชาของตนเอง ร่างกายของพวกเขากลายเป็นสีทองดั่งเช่นทองคำพร้อมกับเปล่งประกายออกมาทั่วบริเวณ


นี่คือวิธีการฝึกตนของผู้ฝึกตนประเภทเพาะกาย ความแข็งแกร่งของร่างกายพวกเขานั้นน่ากลัวเกินกว่าจะคาดเดา ซึ่งความแข็งแกร่งของมันสามารถเทียบเท่ากับสมบัติวิเศษได้ จากนั้นพวกเขาทั้งหมดจะวิ่งไปข้างหน้าเพื่อมอบความตายให้กับศัตรูด้วยความแข็งแกร่งและความเร็วทั้งหมดที่มี


เพียงแค่ในขณะที่พวกเขากำลังเรียกใช้วิชาของตนเอง เจ้าอ้วนได้เรียกใช้งานอสนีวารีขั้วลบเพื่อซุ่มโจมตีแล้ว แม้ว่ามันจะไม่สามารถทำให้พวกเขาตาย แต่แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องรู้สึกอับอายขายหน้าแน่นอน


ในขณะที่การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น มีเสียงตะโกนมาจากด้านหลัง “ทุกคนหยุด!” ถัดจากเสียงนั้น เกิดแสงปรากฏอย่างรวดเร็วเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันสี่คนเข้ามาแยกเจ้าอ้วนออกจากตัวบัดซบทั้งสาม


เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตัน เจ้าอ้วนและทั้งสามคนไม่กล้าที่จะหยาบคายและหยุดการกระทำทั้งหมดทันที


เจ้าอ้วนมองเห็นว่าทั้งสี่คน เขาตระหนักได้ทันทีว่ามีสองคนเป็นศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋นและอีกสองคนเป็นศิษย์ของเป็นฝ่ายของผู้ฝึกตนเพาะกาย เจ้าอ้วนไม่เคยพบเห็นเขามาก่อนจึงคิดว่าน่าจะเป็นศิษย์ของคุณชายใหญ่กับคุณชายรอง


ในขณะนั้นศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “จ้าวสำนักเรียกพบพวกเจ้าทุกคน ทั้งหมดจงตามข้ามา!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขากระพริบตาให้เจ้าอ้วนเพื่อบอกให้สบายใจ


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนเข้าใจในความหมายของมันพร้อมกับยิ้มกว้างตอบทันที จากนั้นเขาจึงเก็บสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์และตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถิด!”


เหล่าพี่น้องทั้งสามนี้ไม่อาจขัดคำสั่งของจ้าวสำนักได้ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงบินเข้าไปยังสำนักชั้นในเพื่อเข้าไปในลานเสวียนเทียน


ระหว่างทางเจ้าอ้วนได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดจากผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสองคน ในขณะที่เจ้าอ้วนทำให้ยินพี่น้องลำดับที่สองพิการ นักบวชฮัวอวิ๋นกำลังเข้าไปพูดคุยกับคุณชายใหญ่และคุณชายรอง ในตอนสุดท้ายพวกเขาได้รับข่าวว่าพี่น้องลำดับที่สองถูกทำร้าย แน่นอนว่าทั้งสามคนตกใจ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดที่จะเรียกทั้งหมดเข้าพบเพื่อถามไถ่ถึงเหตุการณ์


หลังจากอธิบายว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นให้เจ้าอ้วนฟังแล้ว ผู้ฝึกตนระดับจินตันแอบกำชับเจ้าอ้วน “หลังจากที่เจ้าเข้าไป เจ้าพูดได้ทุกสิ่ง ไม่ต้องกลัว จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเราจะปกป้องเจ้า!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเป็นไปอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจว่านักบวชฮัวอวิ๋นต้องการให้เขาสร้างความวุ่นวาย แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบวิธีนี้เท่าไหร่นัก แต่ในตอนนี้เขาอยู่ในหมากกระดานนี้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเขายังไม่สามารถกล่าวขอโทษต่อยินได้ อีกฝ่ายมุ่งร้ายต่อหานหลิงเฟิง เพียงแค่โชคชะตาที่เขาต้องพบเจอมันโชคร้ายกว่าความตาย ดังนั้นเขาจึงทำความเคารพผู้ฝึกตนระดับจินตันเป็นสัญญาณว่าเขาจะให้ความร่วมมือ


เมื่อเห็นไหวพริบของเจ้าอ้วน ผู้ฝึกตนระดับจินตันได้แต่ยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่พร้อมกับแอบยกนิ้วโป้งให้กับเจ้าอ้วนอย่างลับ ๆ หลังจากนั้นทั้งสองจึงเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทั้งหมดได้เดินทางมาถึงห้องโถงใหญ่ ในขณะนั้นมีหลายคนอยู่ภายในนั้น บุคคลที่นั่งอยู่บนแท่นกลางห้องแน่นอนว่าต้องเป็นนักบวชฮัวอวิ๋น ในตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอารมณ์ดีและพยักหน้าให้กับเจ้าอ้วนด้วยรอยยิ้มประหนึ่งมิตรสหาย


ด้านขวาล่างมีอาวุโสอยู่สองคน หนึ่งในนั้นมีรูปร่างที่ผอมบาง อีกคนที่อยู่ด้านข้างดูอ้วนกว่าเล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่าผอมและดูอ่อนแออย่างมาก


แต่ยิ่งพวกเขาปกปิดมากเท่าไหร่เจ้าอ้วนยิ่งรู้สึกประหลาดใจในร่างกายของผู้ฝึกตนเพาะกาย พวกเขาสามารถปรับขนาดของร่างกายตนเองได้เมื่อบรรลุการฝึกตนทั้งหมดแล้ว ในตอนเริ่มแรกร่างกายของพวกเขาจะสูงใหญ่และหนาดังเช่นสี่พี่น้องจินยินถงเที่ย


หลังจากที่สำเร็จในการฝึกฝนแล้ว ร่างกายของพวกเขาจะกลับสู่สภาพเดิมในตอนต้น แต่ความแข็งแกร่งยังคงอยู่ แน่นอนว่าอาวุโสทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าของเขามีความแข็งแกร่งอย่างมาก ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงไม่กล้าที่จะหยาบคายกับพวกเขา


นอกเหนือจากสามคนนี้แล้ว มีศิษย์ระดับจินตันอีกสี่คนที่เป็นคนรับใช้อยู่ข้างๆ แต่หนึ่งคนที่ดูจะพิเศษมากกว่าคนอื่นก็คือฉุ่ยจิ้ง นางนั่งอยู่บนดอกบัวราวกับว่าหลุดออกไปอีกโลกหนึ่ง แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่มีเก้าอี้รองรับ แต่ว่านางมี! แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางคือบุคคลสำคัญของสำนักเสวียนเทียน


หลังจากที่เจ้าอ้วนพร้อมทั้งสามคนเดินเข้ามา มีคนพาพี่น้องลำดับที่สองมาด้วย ในเวลานั้นมู่ซื่อหรงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านแอบเข้ามาและยืนเงียบอยู่ด้านหลังของนักบวชฮัวอวิ๋นเพื่อรอชมการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งสองคนได้รับยาอายุวัฒนะแล้ว และการฝึกฝนของพวกเขาเป็นไปได้ด้วยดี ในขณะนี้ทั้งสองเข้าสู่ระดับปฐมภูมิแล้ว


หลังจากที่เข้ามาแล้วพวกเขาทั้งสองมองหน้าเจ้าอ้วนด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความรักและความเกลียดชัง รักเพราะว่าเจ้าอ้วนสามารถจับกุมตาเฒ่าเฟิงได้ และปลดปล่อยพวกเขาออกจากความทุกข์ทรมาน แต่ก็เกลียดในความโชคดีและรู้สึกอิจฉาอย่างมาก! เหตุใดเจ้ายาจกผู้นี้ที่ไร้ผู้ใดสนับสนุนจึงก้าวหน้าได้ไกลกว่าพวกเขา? เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม!


ในขณะนั้นคุณชายใหญ่และคุณชายรองได้แต่ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นว่ายินถูกลากเข้ามา หลังจากที่ใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขา ทั้งหมดตกตะลึงทันทีพร้อมกับใช้สายตาข่มขู่มองไปที่เจ้าอ้วน!


เจ้าอ้วนขนลุกทันทีเมื่อถูกจ้องมองเช่นนั้นและเริ่มคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง เขาตัดสินใจทำความเคารพอาวุโสทั้งหมดทันที “ข้าขอทำความเคารพจ้าวสำนักและอาวุโสทั้งสอง!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม