Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 175-181
บทที่ 175: การล่อลวง
“ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ารู้สึกมาตลอดว่าเด็กคนนี้ซ่อนความลับไว้มากมาย!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวพร้อมกับลูบศีรษะตนเองอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกล่าวต่อว่า “เขามีความลับมากมายนั่นน่าจะเป็นสาเหตุที่เขาเกรงกลัวฉุ่ยจิ้ง!”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าฉุ่ยจิ้งรู้ความลับของเขา?” จ้าวสำนักรีบกล่าว
“ข้ามั่นใจมากถึงแปดในสิบ ด้วยสมบัติวิญญาณสองชิ้นที่คอยช่วยเหลือนาง ฉุ่ยจิ้งสามารถทำนายทุกสิ่งอย่างได้ ข้าไม่เชื่อว่าซ่งจงจะสามารถหนีนางพ้น!” ภรรยาจ้าวสำนักตอบกลับ
“เราควรเชิญฉุ่ยจิ้งมาเพื่อถามไถ่ดีหรือไม่?” จ้าวสำนักกล่าว
“ไม่มีประโยชน์ ฉุ่ยจิ้งได้รับประโยชน์มากมายจากซ่งจง ผลไม้วิญญาณสองผลก็เพียงพอที่จะปิดริมฝีปากของนาง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลืมมันไปเถิด เด็กเหล่านี้ล้วนแต่มีโชคชะตาของตนเองและเราไม่ต้องดูแลพวกเขามากขนาดนั้น แม้ว่าซ่งจงจะอยู่ตรงนี้ แต่ฮัวอวิ๋นจะไม่ทำอะไรเกินไปกว่านี้ และแน่นอนว่าเขามีทางรอด ดีที่สุดคือปล่อยให้กฎแห่งธรรมชาติพาไป เราควรเลิกกังวลเรื่องเขากันได้แล้ว”
“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น!” จ้าวสำนักพยักหน้าและไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
เมื่อเจ้าอ้วนออกจากสำนักชั้นใน เขามาถึงลานของตนเองพร้อมกับกระโดดเข้าไปในมิติลึกลับทันที เขาตื่นเต้นที่จะได้เรียนรู้ยันต์หยกสายฟ้าที่เพิ่งได้รับมา
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ศึกษาการปรับแต่งสายฟ้า แต่เป็นการควบคุมมันต่างหาก น่าเสียดายที่สมบัติโบราณชิ้นนี้ซับซ้อนเกินไป เจ้าอ้วนจึงไม่สามารถเข้าใจมันได้ในทันที หลังจากที่ผ่านการเรียนรู้มาหลายเดือน เขาก็ยังไม่อาจจะเข้าใจความซับซ้อนของมันได้เลย
ถ้าในอดีตเจ้าอ้วนคงไม่มีทางเลือกอื่นและทำได้เพียงถอนหายใจ แต่ในตอนนี้แตกต่างออกไป แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำได้ แต่เขายังมีภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าคอยช่วยเหลือ! ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินที่มีชีวิตยาวนานกว่าพันปีแน่นอนว่าพวกนางย่อมมีความสามารถ
หลังจากที่ผ่านไปหลายวัน ในที่สุดพวกนางทั้งหมดก็ได้ข้อสรุป เพราะว่าความก้าวหน้าของเจ้าอ้วนทำให้ความแข็งแกร่งของพวกนางเพิ่มขึ้น และในตอนนี้มันเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายของระดับปฐมภูมิแล้ว ด้วยระดับเช่นนี้ทำให้พวกนางทั้งหมดสามารถปรับแต่งสายฟ้าได้โดยง่าย
แต่ว่าปริมาณของวัสดุที่การปรับแต่งสายฟ้าต้องการนั้นน่ากลัวเกินไป แม้ว่าจะอยู่ในระดับต่ำที่สุดก็สามารถล้างผลาญการสะสมวัสดุของเจ้าอ้วนไปได้ถึงสิบปี นี่เป็นทรัพย์สินของเขาทั้งหมด มันไม่ใช่แค่สิ่งที่ถูกเขาแยกชิ้นส่วนภายในมิติลึกลับเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวัสดุของตู๋เชียนเฉิงอีกด้วย
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ปริมาณของวัสดุก็ยังคงไม่เพียงพอ เขายังคงต้องนำน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าหรือหินจิตวิญญาณระดับกลางไปแลกเปลี่ยนวัสดุบางอย่าง
แม้ว่าจะใช้ทรัพยากรจำนวนมาก แต่เจ้าอ้วนก็ยังคงตั้งใจที่จะปรับแต่งสายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้าให้ได้ อาจเพราะความสะดวกที่เขามีเครื่องมือเหล่านี้ การปรับแต่งทุกขั้นตอนดูดซับปราณจิตวิญญาณ จากนั้นมันจะปรากฏสายฟ้าขึ้นสองดวงคืออสนีขั้วบวกและขั้วลบอย่างละหนึ่ง ความแข็งแกร่งของมันขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณ ซึ่งเพียงวันเดียวก็พอแล้วกับการรวบรวมความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณที่อยู่ภายในมิติลึกลับ แน่นอนว่าในทุกวันเขาจะมีการปรับแต่งสายฟ้าวันละสองลูก
นอกจากนี้ถ้าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เขาสามารถใช้หินจิตวิญญาณเสริมแม้ว่ามันจะต้องใช้เป็นจำนวนมาก แต่เพื่อแลกกับสายฟ้าเรียกได้ว่ามันยังคุ้มค่าอยู่
นอกจากนี้เจ้าอ้วนยังเป็นผู้ฝึกตนที่มีองค์ประกอบแห่งธาตุทั้งห้า เขาจึงสามารถใช้สายฟ้าชนิดนี้ได้ เพียงสายฟ้าสิบลูกที่ถูกส่งออกไปมันมากพอที่จะเป็นอันตรายต่อผู้ฝึกตนระดับจินตันแล้ว
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้โดยใช้เวลาสั้นที่สุด เจ้าอ้วนจึงตัดสินใจที่จะเผาผลาญสมบัติทั้งหมดที่เขามีเพื่อปรับแต่งสายฟ้าพวกนี้ แม้ว่าสมบัติวิเศษนี้จะสร้างสายฟ้าได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น แม้ว่าหญิงงามทั้งเก้าจะร่วมมือกันแต่มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เขาขอให้หญิงงามทั้งเก้าเริ่มทำงานทันที
ทางด้านเจ้าอ้วนนั้นเก็บของและไปยังนครเวหาทันทีในช่วงบ่าย
ในขณะนี้เขาไม่ใช่ระดับเซียนเทียนมือใหม่อีกต่อไป แต่เขาอยู่ในระดับปฐมภูมิ เขาจึงได้รับสิทธิ์ที่จะเข้าสู่นครเวหาชั้นกลาง นอกเหนือจากร้านค้าชั้นดี แต่มันยังมีหอการค้าสมบัติชั้นเลิศอีกด้วย
หอการค้าสมบัติเป็นอาคารขนาดใหญ่หลายร้อยฟุตและกว้างหลายพันฟุต ตรงกลางของมันประดับด้วยเสาหยกที่สูงสิบฟุตและกว้างสามร้อยฟุต
กำแพงหยกนี้เป็นสมบัติวิเศษขนาดยักษ์ มันสามารถแสดงข่าวสารและทันเหตุการณ์ทุกสิ่งอย่างภายในเมือง ทางด้านซ้ายเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการซื้อ ทางด้านขวาเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการขาย
หากมีสิ่งที่ผู้ฝึกตนต้องการซื้อหรือขาย พวกเขาสามารถมาลงทะเบียนได้ที่หอการค้าสมบัติพร้อมกับจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยหินจิตวิญญาณ จากนั้นจะได้รับแถบหยกเพื่อเป็นสัญลักษณ์สำหรับซื้อขาย ถ้าหากมีคนสนใจสินค้าที่วางขาย พวกเขาจะสามารถค้นหาคนขายได้ แต่ถ้าหากไม่ต้องการพบกับบุคคลอื่น ก็ยังสามารถฝากสมบัติไว้ที่หอการค้าสมบัติเพื่อให้ทำการแลกเปลี่ยนแทนได้ พวกเขาทั้งหมดล้วนมีความเป็นมืออาชีพและจะไม่ยอมให้คนขายสินค้าสูญเสียกำไร ถ้าหากพวกเขาทำพลาดนั่นหมายความว่าพวกเขาพร้อมรับผิดชอบและชดใช้ให้อย่างถึงที่สุด
เนื่องจากหอการค้าสมบัติเป็นสิ่งที่แสดงความมั่งคั่งของนครเวหา มันมีอายุยาวนานกว่าหลายพันปีและมีชื่อเสียงที่ดีเยี่ยม ดังนั้นผู้ฝึกตนจากทั่วทุกมุมโลกยินดีวางสมบัติไว้ที่นี่เพื่อขายมัน อีกทั้งผู้ฝึกตนทั้งหลายต่างก็ต้องการเข้ามาซื้อสินค้าที่นี่ และเจ้าอ้วนก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในหอการค้าสมบัติมีผู้คนไม่มากนัก มีเพียงลูกค้าไม่กี่สิบคนที่กำลังเดินไปรอบ โดยส่วนใหญ่ปรากฏตัวโดยรูปลักษณ์ที่แท้จริง แต่มีบางส่วนก็ยังปกปิดตนเอง เจ้าอ้วนต้องการปกปิดรูปลักษณ์ของตนเองเช่นกัน แต่ด้วยโครงสร้างที่น่ากลัวของร่างกาย ทำให้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เขาจึงต้องเดินเข้าไปด้วยรูปลักษณ์ที่แท้จริงอย่างไร้หนทางจะทำสิ่งใด
โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนที่เข้ามาหอการค้าสมบัตินั้นจะอยู่ในระดับจินตันหรือปฐมภูมิขั้นสุดท้าย ราคาของสมบัติในที่แห่งนี้สูงเกินไป เพียงแค่ต้องการโฆษณาสมบัติของตนเองบนกำแพงหยกก็มีค่าใช้จ่ายคือหินจิตวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครยอมสูญเสียมากขนาดนั้น สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ พวกเขายังมั่งคั่งไม่มากพอที่จะใช้จ่ายในสถานที่แห่งนี้
ดังนั้นในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเช่นเจ้าอ้วนเดินเข้ามา เขาจะถูกจับตามองจากทุกคนอย่างรวดเร็ว ด้วยร่างกายที่ใหญ่มากเช่นนั้นทำให้ผู้ฝึกตนปีศาจได้แต่เยาะเย้ยเขาอยู่ไกล ๆ
ในทางตรงกันข้ามมีเพียงไม่กี่คนที่เดารูปลักษณ์ของเขาได้
“คนผู้นี้คือซ่งจงใช่หรือไม่?”
“ซ่งจงไหน?”
“เจ้าโง่ เขาเป็นหนึ่งในสำนักเสวียนเทียน ว่ากันว่าผลงานการล่าผลไม้วิญญาณเมื่อสองปีที่แล้วเขาทำงานร่วมกับหานปิงเอ๋อสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนพร้อมทั้งสร้างอาการบาดเจ็บให้กับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินอีกด้วย!”
“สวรรค์! นั่นเขาหรือ? เหตุใดเขาจึงไม่ดูโหดร้าย? สำหรับข้าแล้วช่างดูคล้ายกับก้อนไขมันเดินได้เท่านั้น”
“ก้อนไขมัน? เจ้ายังไม่เข้าใจ ไขมันที่เจ้ากล่าวถึงนั้นสร้างปาฏิหาริย์ไว้มากมาย เขาสังหารตู๋เชียนเฉิงและสร้างความแตกตื่นให้กับโลกใบนี้ จากนั้นเขาได้ต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับเดียวกันนับสิบคน เป็นคนที่ยืนหยัดในค่ำคืนอันโหดร้ายเพื่อคุ้มกันหานปิงเอ๋อ หลังจากนั้นเขาปลดปล่อยพลังของตนเองในตอนสุดท้ายเพื่อสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันและสร้างบาดแผลให้กับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาไล่ต้อนผู้ฝึกตนปีศาจกระทั่งพวกเขาจนมุม! นอกจากนั้นมูลค่าค่าหัวของเขาเทียบเท่ากับสมบัติวิเศษขั้นห้าอีกด้วย”
“โอ้ หมายความว่าเราจะได้รับสมบัติวิเศษขั้นห้าถ้าหากสังหารเขาได้งั้นหรือ?”
“พูดนั้นง่ายดายแต่กระทำยากยิ่ง! ว่ากันว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจ้าวสำนัก อีกทั้งอาจจะเป็นลูกเขยของจ้าวสำนักอีกด้วย ปัญหาจะตามมามากมายถ้าหากเราไปยุ่มย่ามกับเขา!”
ในขณะที่ทุกคนจะพยายามกล่าวถึงเขาอย่างระมัดระวัง เจ้าอ้วนเดินไปที่กำแพงหยกแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรพร้อมกับมองเข้าไปในกำแพงอย่างไม่สนใจ
ในระยะเวลาสั้น ๆ เจ้าอ้วนได้ค้นพบวัสดุคุณภาพสูงนับสินชิ้นที่เขาต้องการแล้ว บางอย่างต้องใช้หินจิตวิญญาณ บางอย่างต้องการอุปกรณ์วิเศษหรือวัสดุคุณภาพสูงเพื่อแลกเปลี่ยน
เจ้าอ้วนใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมากเพื่อซื้อวัสดุสามอย่าง จากนั้นเขาเริ่มมองหาวัสดุอื่นอีก และสิ่งที่ดีเยี่ยมในหอการค้าสมบัตินี้คือสามารถซื้อขายกันข้ามแคว้นได้
อย่างเช่นแม้ว่าเจ้าอ้วนไม่มีวัสดุที่พวกเขาต้องการ แต่เจ้าอ้วนสามารถเสนอน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนได้ ด้วยเหตุผลเช่นนี้จะทำให้ทุกคนได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการ และแน่นอนทุกสิ่งอย่างไม่สามารถค้นหาได้โดยง่าย บางรายการนั้นต้องมีการพูดคุยกันมากกว่าสิบครั้ง
ในที่สุดหลังจากทำงานหนักมาหนึ่งวัน เจ้าอ้วนได้รับวัสดุถึงแปดในสิบจากสิ่งที่เขาต้องการ มีเพียงห้าถึงหกอย่างเท่านั้นที่เขายังหาไม่พบ
อย่างน้อยทุกอย่างก็ราบรื่นดีเมื่อเขามีน้ำองค์ประกอบแห่งธาตุทั้งห้าอยู่ในมือ มันคือส่วนประกอบสำคัญของยาอายุวัฒนะ เนื่องจากปัญหาในขั้นตอนการสร้าง และความยากของการค้นหามัน มันจึงเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาในการแลกเปลี่ยนเพราะมันมีค่ามากกว่ายิ่งกว่าหินจิตวิญญาณเสียอีก
ด้วยรายการนี้เจ้าอ้วนสามารถติดต่อซื้อขายผ่านหอการค้าสมบัติได้อย่างง่ายดาย พวกเขายินดีที่จะแลกเปลี่ยนกับน้ำองค์ประกอบแห่งธาตุทั้งห้า อีกทั้งยังเสนอราคาที่สูงกว่าตลาดทั่วไปถึงสองเท่า
เมื่อเผชิญกับการต่อรองที่ดีเยี่ยมเช่นนี้ ผู้ฝึกตนหลายคนตกลงรับข้อเสนออย่างรวดเร็ว เพียงเวลาแค่สี่ถึงหกชั่วโมง เจ้าอ้วนจึงได้รับวัสดุที่ต้องการอย่างครบถ้วน ความจริงแล้วเวลาส่วนใหญ่ที่เสียไปก็เพราะการขนส่ง
แม้จะเหมือนเจ้าอ้วนลงทุนไปก้อนใหญ่ ทว่ามันไม่ได้ทำให้เขากังวลแต่อย่างใด อย่างไรแล้วเขาสามารถได้รับน้ำองค์ประกอบแห่งธาตุทั้งห้าได้ไม่ยาก ดังนั้นเรื่องราวพวกนี้เขาจึงไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใดนัก
การแลกเปลี่ยนทั้งหมดเกิดขึ้นในห้องส่วนตัวภายในหอการค้าสมบัติชั้นบน นอกเหนือจากพนักงานภายในหอการค้าสมบัติ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าอ้วนซื้อสิ่งของมากมายเช่นนี้ ดังนั้นตราบใดที่หอการค้าสมบัติไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว จะไม่มีใครล่วงรู้ถึงการซื้อขายครั้งนี้ และเจ้าอ้วนจะปลอดภัย
ด้วยชื่อเสียงของหอการค้าสมบัติ พวกเขาจะไม่สร้างปัญหาให้กับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเช่นเขา ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองจะปลอดภัย
นอกจากนี้ยังมีความประหลาดใจเล็กน้อยที่เจ้าอ้วนไม่ได้คาดคิด หอการค้าสมบัติสนใจการใช้จ่ายของเจ้าอ้วนในวันนี้อย่างมากจึงมอบตำแหน่งลูกค้าคนสำคัญให้กับเขา
นั่นหมายความว่าเขาจะได้รับส่วนลดสองในสิบทุกการใช้จ่าย นอกจากนี้เขายังสามารถเข้าร่วมการประมูลที่จะเกิดขึ้นปีละครั้งได้ โดยปกติแล้วจะต้องใช้จ่ายเงินมากเป็นจำนวนหนึ่งหอการค้าสมบัติจึงจะมอบสิทธิ์เช่นนี้ให้
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่ได้ใช้จ่ายถึงเป้าหมายของพวกเขา แต่การซื้อวัสดุจำนวนมากด้วยท่าทีที่สงบและไม่สนใจว่าจะต้องจ่ายมากเท่าใด ทำให้หอการค้าสมบัติมองเห็นความมั่งคั่งของเขา และแน่นอนว่าตำแหน่งลูกค้าคนสำคัญจะต้องทำให้เขากลับมาที่แห่งนี้อีก
การได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แต่เจ้าอ้วนไม่ยอมให้พวกเขาหลอกล่อได้โดยง่าย เจ้าอ้วนปฏิเสธการเดินซื้อของต่อและรีบกลับไปยังประตูเคลื่อนย้ายทันที
อย่างไรก็ตามก่อนที่เจ้าอ้วนจะเดินทางถึงประตูเคลื่อนย้าย เขาถูกชายวัยกลางคนหยุดไว้ บุคคลผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเจ้าอ้วน เขาอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นกลาง ใบหน้าของเขาขาวซีด ทั้งยังดูเจ้าเล่ห์ซึ่งทำให้ผู้คนที่พบเห็นสามารถรังเกียจได้
หลังจากหยุดลง เขาหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “นี่คือน้องชายซ่งจงผู้มีชื่อเสียงของสำนักเสวียนเทียน ฉายาหัตถ์สายฟ้าใช่หรือไม่?”
“ท่านกล่าวเกินไป ข้าคือซ่งจงเท่านั้น!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสุภาพ เขาจึงไม่กล้าที่จะหยาบคาย ดังนั้นเขาจึงถามออกไปว่า “ข้าขอบังอาจถามว่าศิษย์พี่อาวุโสคือ?”
“ฮ่าฮ่า ข้าเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ไม่มีตัวตน ถ้าหากศิษย์น้องต้องการทราบ สามารถเรียกข้าว่านักบวชฮั่น!” ฮั่นกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“ขออภัยนักบวชฮั่นที่ข้าหยาบคาย!” เจ้าอ้วนยกมือขึ้นคำนับพร้อมกล่าวต่อ “ข้าสงสัยว่าเหตุใดศิษย์พี่จึงหยุดข้าไว้ ท่านต้องการมอบสิ่งใดให้ข้าหรือไม่?”
“ฮี่ฮี่ ข้าไม่มีปัญญาจะไปแลกเปลี่ยนกับเจ้าได้หรอก เพียงแต่ข้าต้องการทำการค้ากับศิษย์น้องเท่านั้น!” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าต้องขออภัยด้วยที่ไม่ใช่พ่อค้าและไม่ทำธุรกิจกับผู้ใด!” ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินดังนั้น เขารีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เขากลายเป็นบุคคลที่มีค่าหัวและเขาไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาให้กับตนเอง ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธทันทีโดยไม่มีคำกล่าวต่อ
หลังจากกล่าวจบ เจ้าอ้วนกำลังจะเดินออกไป แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าศิษย์พี่คนนี้จะไม่ยอมให้เขาไปพร้อมกับขัดขวางเขาไว้อีกครั้ง “เหอะเหอะ ศิษย์น้องซ่ง ทำไมเจ้าจึงไม่ฟังข้อเสนอของข้าก่อนที่จะจากไปล่ะ? ข้ารับรองว่าเจ้าจะต้องสนใจข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน!”
“ไม่มีทาง!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างเยือกเย็น “ในตอนนี้ข้าไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น!”
“จริงหรือ?” ฮั่นกล่าวออกมาเสียงเบา “กระทั่งข้อมูลเรื่องครอบครัวเจ้างั้นหรือ?”
“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหันกลับทันที พ่อแม่ของเขาหายตัวไปยี่สิบกว่าปีและไม่มีข่าวคราวใด แต่ในวันนี้มีการพูดถึงอีกครั้ง เป็นธรรมดาที่เขาจะตกใจและรีบถามออกไปทันที “ข้อมูลอะไรของครอบครัวข้า?”
บทที่ 176: ข่าวคราวของครอบครัว
ฮั่นเห็นว่าเจ้าอ้วนกำลังสับสน เขารู้สึกดีใจมากพร้อมกับกล่าวอย่างช้าๆ “ฮี่ฮี่ คืออย่างนี้นะศิษย์น้องสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสายตาและช่างวุ่นวาย มันไม่เหมาะสมที่จะพูดคุย ข้ามองเห็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เงียบสงบ เราควรเปลี่ยนสถานที่เพื่อพูดคุยกัน!”
เจ้าอ้วนคิดอย่างระมัดระวังเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ‘แม้ว่าสถานที่ในนครเวหาจะปลอดภัย แต่จำนวนของผู้ที่ถูกลอบสังหารในที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่น้อย! ถ้าหากไม่ใช่การต่อสู้ที่รุนแรงต่อหน้าสาธารณะชน เหล่าผู้คุ้มกันก็ไม่อาจใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นได้ อีกทั้งบุคคลผู้นี้เพิ่งพบข้าในครั้งแรก เขาอาจจะพยายามวางแผนซุ่มโจมตีข้ารึเปล่า?’
ราวกับเขาล่วงรู้ความคิดของเจ้าอ้วนที่กำลังไม่ไว้ใจเขา ฮั่นเผยยิ้มออกมาพร้อมกับขว้างบางสิ่งบางอย่างไปที่เจ้าอ้วน
สิ่งของชิ้นนี้ไม่มีปราณจิตวิญญาณใดๆและพวกเขาอยู่ในสถานที่ที่คนพลุกพล่าน เจ้าอ้วนจึงไม่ได้เกรงกลัวที่จะถูกปล้น ดังนั้นเขาจึงคว้ารายการนี้ทันทีที่เขาสังเกตุเห็นมัน
ราวกับเรื่องโกหกในมือของเขาถือสร้อยหยกของแม่เขาอยู่ มันไม่ใช่อุปกรณ์วิเศษใดๆ มันเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ที่พ่อของเขาแกะสลักไว้และมอบมันให้กับแม่เท่านั้น โดยปกติแล้วแม่ของเขาจะใส่มันติดตัวไว้ตลอดและจะไม่ให้ผู้ใดเห็นมัน เจ้าอ้วนจับสร้อยเส้นนี้เล่นอยู่หลายครั้งเมื่อคราวที่เขายังอาศัยอยู่กับครอบครัวและมีเวลาใกล้ชิดกัน แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่รู้จักมัน?
ตอนนี้ผ่านมาแล้วสิบปี เด็กน้อยคนนั้นเติบโตกลายเป็นชายหนุ่มมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่น่าตกใจสำหรับโลกของผู้ฝึกตน แต่ว่าครอบครัวของเขาไม่มีวันกลับมาแล้ว สร้อยคอยังคงส่องแสงราวกับครอบครัวกำลังส่งยิ้มให้กับเขา แต่ตอนนี้เจ้าอ้วนและพวกเขาถูกแยกจากกันด้วยความตายและไม่อาจพบเจอกันได้อีกครั้ง
เมื่อคิดถึงเรื่องครอบครัว แม้ว่าเจ้าอ้วนจะเข้มแข็งมากเพียงใดก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ กล้ามเนื้อแขนของเขาตึงและเสื้อผ้าในส่วนนั้นฉีกขาด! เจตนาฆ่าถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรงจากร่างกายของเขา แม้ว่าระดับของฮั่นจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าอ้วนแต่เขายังอดประหลาดใจไม่ได้กับความรุนแรงเช่นนี้ ใบหน้าของเขาซีดขาวพร้อมอธิบายอย่างรวดเร็ว “ศิษย์น้องซ่ง ครอบครัวของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก ข้าคงไม่อาจมีความสามารถไปข่มขู่พวกเขาได้! ข้าเพียงต้องการขายข้อมูลนี้ให้กับเจ้าเพราะต้องการเงิน แม้ว่าเจ้าจะไม่ตกลงกับข้อเสนอนี้ แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องโกรธข้า ถูกต้องหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนหยุดคิดชั่วขณะหนึ่งและเข้าใจว่าเขาพูดความจริง จากนั้นเขาค่อยๆรวบรวมสติของตนเองและจัดการกับปราณจิตวิญญาณพร้อมกล่าวว่า “ไปยังสถานที่เงียบๆเพื่อคุยกันเถิด!”
พวกเขาไปยังร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆกับประตูเคลื่อนย้าย มันเป็นร้านอาหารที่เหมาะสมกับผู้ฝึกตน อาหารและไวน์ทุกสิ่งล้วนแต่มีปราณจิตวิญญาณอยู่ ภายใน ร้านค้าแห่งนี้มีแม้กระทั่งมัจฉาไร้เนตรพร้อมกับเห็ดจิตวิญญาณ แน่นอนว่าราคาของมันสูงมากและไม่ใช่สถานที่ที่ฮั่นจะสามารถเข้าได้บ่อยๆ เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาสดใสขึ้นทันทีพร้อมกล่าวอย่างร่าเริง “ยอดเยี่ยม งั้นข้าขอรบกวนศิษย์น้องด้วย!”
“ไม่ต้องกังวล!” เจ้าอ้วนอดทนที่จะไม่สังหารเขาและพาเขาไปยังร้านอาหารพร้อมกับร้องขอห้องส่วนตัวทันที
ราวกับว่าฮั่นนั้นรู้อยู่แล้วว่าเจ้าอ้วนมีฐานะร่ำรวย เขาไม่มีพิธีรีตองมากนัก เขาสั่งอาหารมาทันทีสิบจานแต่ละจานมีมูลค่านับร้อยหินจิตวิญญาณ! เห็นได้ชัดว่ามันมากเกินไปสำหรับสองคน แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีรูปร่างใหญ่ แต่เขาไม่สามารถกินทั้งหมดนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าวันนี้จะต้องมีของเหลือ
พนักงานเสิร์ฟอยู่ในระดับเซียนเทียนและมีไหวพริบอย่างมาก เขารู้ได้ทันว่าฮั่นมีฐานะยากจนและผู้ที่สามารถจ่ายได้จริงๆคือเจ้าอ้วน ดังนั้นแม้ว่าการคุยกับฮั่นเขาจะดูสุภาพ แต่สายตาของเขาไม่เคยละเลยเจ้าอ้วนเลยสักครั้ง หลังจากที่ฮั่นจัดการสั่งอาหารทุกอย่างแล้วเขามองไปที่เจ้าอ้วนพร้อมถามว่า “ศิษย์พี่ ท่านต้องการอาหารพวกนี้ทั้งหมดหรือไม่?”
“อืม เราจะรับมันไว้ทั้งหมด!” เจ้าอ้วนกล่าวออกไปอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกับมองไปที่ฮั่นและกล่าวอย่างใจเย็น “ขอไวน์ด้วยสักสองสามขวด!”
“เป็นเช่นนั้น!” ฮั่นคิดว่าเจ้าอ้วนจะระงับการสั่งอาหารของเขาอีกทั้งยังไม่คาดคิดว่าเขาจะสั่งเพิ่มอีกด้วย เขารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับคิดในใจ ‘เยี่ยม เหมือนว่าตอนนี้ข้าได้พบกับเหยื่อที่ถูกใจเสียแล้ว!’
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือเจ้าอ้วนกำลังคิดอะไรบางอย่างที่มันก่อให้เกิดอันตรายกับเขา ‘เจ้าบ้าที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังจะตาย ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีมื้อสุดท้ายที่ดี! จงรับมันไปซะ!’
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนยินยอม พนักงานไม่รีรอและรีบจัดการทุกอย่างทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฮั่นอดไม่ได้ที่จะแปลกใจพร้อมกับเกิดความยุ่งเหยิงขึ้นภายในใจเล็กน้อย ก่อนอื่นต้องรู้ว่าจานที่เขาสั่งไปทั้งหมดมูลค่าเป็นหินจิตวิญญาณนับหมื่นก้อน เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะมีน้ำใจเช่นนี้ ถ้าหากเป็นผู้อื่นที่แต่งตัวเช่นเจ้าอ้วนและสั่งอาหารมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องถูกสงสัยว่าเขาสามารถจ่ายได้หรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าพนักงานเสิร์ฟคนนี้จะไม่สงสัยอะไรในตัวเจ้าอ้วนเลย เป็นไปได้อย่างไร?
เมื่อคิดเช่นนั้น ฮั่นถามออกไป “ศิษย์น้องซ่งดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับร้านอาหารนี้มากนัก เจ้าเคยมาที่นี่บ่อยงั้นหรือ?”
“ข้าเพียงแวะมาดื่มบ้างเป็นครั้งคราว!” เจ้าอ้วนตอบอย่างใจเย็น ในความจริงเขากำลังกล่าวเท็จโดยสมบูรณ์ นับตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นห้า เขามาที่นี่บ่อยมากเพื่ออวดความมั่งคั่งของตนเอง ทุกมื้อที่เขามาจะเต็มไปด้วยอาหารชั้นเลิศและไวน์ที่ดีที่สุด อีกทั้งก่อนจะกลับเขายังไม่ลืมที่จะสั่งอาหารบางอย่างกลับไปด้วย เมื่อก่อนหลังจากเขาสั่งอาหารเสร็จ เขาจะต้องจ่ายเงินทันที แต่พอนานวันเข้าพวกเขาต้องการจะรักษาอ้วนน้อยผู้นี้ไว้ราวกับสมบัติ แม้ว่าเจ้าอ้วนจะสั่งอาหารนับร้อยจาน แต่จะไม่มีพนักงานคนไหนกล้าตั้งคำถามเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ฮั่นจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ หลังจากผ่านช่วงเวลาสั้นๆไป ปรากฏอาหารมากมายบนโต๊ะ สำหรับผู้ฝึกตนนับว่าเป็นบริการที่อำนวยความสะดวกได้อย่างดี ถ้าหากอาหารเหล่านี้ใช้ไฟธรรมดาในการปรุงก็คงจะไม่มีรสชาติที่ดีเช่นนี้ แต่ทว่าพ่อครัวใช้ไฟต้นกำเนิดเพื่อปรุงแต่งมันพร้อมกับอุปกรณ์วิเศษประเภทกะทะต่างๆ ดังนั้นการปรุงอาหารของพวกเขานั้นรวดเร็วมากซึ่งอาหารสิบจานนั้นใช้เวลาเพียงสั้นๆเท่านั้น
หลังจากที่เสิร์ฟอาหารทั้งหมดเสร็จแล้ว พนักงานเดินออกไปด้านนอกทันทีเพื่อมอบความเป็นส่วนตัวในการพูดคุย
ในหัวของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับครอบครัวตนเอง เขาจึงไม่ค่อยหิวเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตามสำหรับฮั่นนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง กริยาของเขานั้นราวกับว่าเป็นบุคคลที่ไม่เคยพบเจอกับอาหารมานานนับสิบปี เขาใช้มือทั้งสองข้างคว้าอาหารอย่างมูมมาม กวาดผ่านอาหารทุกอย่างบนโต๊ะอย่างน่าเกลียด ภาพตรงหน้าทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกพะอืดพะอมและหมดอารมณ์ที่จะกินมันทันที เขานั่งจมอยู่ในความเสียใจพร้อมกับค่อยๆจิบไวน์อย่างเจ็บปวด
หลังจากผ่านไปสิบนาที ฮั่นได้หยุดมือลง จากนั้นเขาดื่มไวน์ปิดท้ายพร้อมกล่าวอย่างมีความสุข “ฮ่าฮ่า ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน เนิ่นนานมากแล้วที่ข้าไม่ได้กินอาหารดีๆเช่นนี้!”
เมื่อเห็นว่าเขากินเสร็จแล้ว เจ้าอ้วนวางแก้วไวน์อย่างใจเย็นพร้อมกล่าวว่า “เรียบร้อยแล้วงั้นหรือ?”
“เรียบร้อย!” ฮั่นตอบกลับ
“งั้นเรามาคุยเรื่องของเรากันเลย!”
“อ่า แน่นอน!” ขณะที่ฮั่นได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างเขร่งขรึม “ศิษย์น้องซ่งมอบหินจิตวิญญาณให้กับข้าห้าแสนก้อนและข้าจะบอกตำแหน่งของครอบครัวเจ้า!”
“จำนวนห้าแสนนั้นไม่ใช่ปัญหา!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างใจเย็น “แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้โกหก?”
“ห้าแสนก้อนไม่ใช่ปัญหางั้นหรือ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกหดหู่ทันที ไม่มีคำพูดใดๆเขาตบหน้าตนเองพร้อมกล่าวอย่างไร้ยางอาย “ศิษย์น้องซ่ง ข้าคิดว่าข้าจะต้องเมาอย่างแน่นอน มันไม่ใช่ห้าแสน แต่เป็นหนึ่งล้านห้าแสนก้อน!”
“ข้าสามารถจ่ายให้เจ้าได้สองล้านห้าแสนก้อน!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างเยือกเย็น
ในขณะที่ฮั่นได้ยินเช่นนั้นเขาตกลงทันที “สองล้านห้าแสนก้อน? สวรรค์! ข้าต้องของคุณศิษย์น้องซ่งจริงๆจากหัวใจ!”
“ผ่อนคลายเถิด!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมา “เจ้าต้องสามารถยืนยันคำพูดตนเองได้ว่าทุกอย่างคือความจริง ถูกต้องหรือไม่?”
“แน่นอนว่ามันคือความจริง สร้อยคอนั่นเป็นหลักฐานได้อย่างดี!” ฮั่นรีบกล่าวออกมา
“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้กล่าวเท็จใดๆ ทุกสิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างเยือกเย็น
“มันก็เป็นไปได้!” ฮั่นตอบกลับอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมอธิบาย “ข้าสาบานได้ว่ามันคือเรื่องจริง! ถ้าหากเจ้าสามารถยืนยันได้ว่าข้าโกหก เจ้าสามารถย้อนกลับมาชำระแค้นกับข้าได้เลย!”
“เหอะ! ภายในเทือกเขาใหญ่นี้ มีผู้ฝึกตนนับล้านอาศัยอยู่แล้วข้าจะไปค้นหาเจ้าได้ที่ไหน!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิดพร้อมกับกล่าวต่ออย่างเขร่งขรึม “หยุดกล่าวเรื่องไร้สาระ ถ้าหากเจ้าไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมข้าไม่สามารถมอบหินจิตวิญญาณให้กับเจ้าได้!”
“เรื่องนั้น…” เมื่อฮั่นได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกอึดอัดทันที ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ศิษย์น้องกำลังสร้างความยากลำบากให้ข้า ในตอนนี้ข้าไม่มีหลักฐานอื่นจริงๆ! แล้วข้าจะสามารถนำมันมาให้เจ้าได้อย่างไร?”
“เหอะเหอะ” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมา “เจ้าคิดว่าข้าโง่งั้นหรือ? ข้าเกรงว่าเจ้าเพียงต้องการจะล่อลวงข้าไปพบกับมือสังหารเพียงเพราะสมบัติวิเศษขั้นห้า ถูกต้องหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าเรื่องเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้น!” ฮั่นสัญญาออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างร่าเริง
“อย่างนั้นหรือ!” เจ้าอ้วนขี้เกียจจะเถียงกับเขาต่อพร้อมกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว “ประการแรกเจ้าควรบอกข้าเกี่ยวกับเบาะแสของครอบครัวข้าก่อนดีหรือไม่?”
“ได้เลย!” ฮั่นกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ในเช้าวันหนึ่งเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ข้ากำลังค้นหาสมุนไพรวิญญาณอยู่บนเทือกเขา ในขณะนั้นข้าพบกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ ในตอนนั้นข้าอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นต้นเท่านั้นและข้าไม่อาจกล้าหาญเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้! ดังนั้นข้าจึงรีบซ่อนตันทันที ข้ากลัวว่าจะถูกลากเข้าไปด้วย ข้าหลบซ่อนได้เพียงครึ่งวันเท่านั้นพวกเขาก็จบการต่อสู้ลง”
ฮั่นกล่าวต่ออย่างจริงจัง “ในเวลานั้นข้าสงสัยว่าเหตุใดผู้ฝึกตนระดับจินตันจะต้องปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ ข้าจึงเดินไปที่สนามรบพร้อมกับพบผู้ฝึกตนสองคน มีบุรุษหนึ่งคน สตรีหนึ่งคน ถูกตรึงไว้กับต้นไม้ บุรุษผู้ฝึกตนนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความชอบธรรมและสวมเสื้อคลุมของสำนักเสวียนเทียนสถานะของเขาคือศิษย์ชั้นใน สตรีอีกหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยความงดงามและเป็นศิษย์ชั้นในเช่นกัน จากที่มองดูเพียงครั้งเดียวข้าก็เข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขาคือคู่รัก”
บทที่ 177: บุคคลน่ารังเกียจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำตาของเจ้าอ้วนไหลออกมาอย่างอดไม่อยู่ อย่างไรก็ตามเขาพยายามหยุดน้ำตาของตนเองไว้พร้อมกับพิจารณาไปด้วย
ฮั่นกล่าวเสริม “มองดูจากบาดแผลของพวกเขา มันเหมือนกับถูกสังหารโดยอสูรกายระดับจินตัน นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนระดับจินตันอยู่ตรงนั้นสามคน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองคงจะมีโอกาสได้หลบหนี”
“ใครเป็นคนทำเรื่องนี้?” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างมีอารมณ์
“อืม หลังจากที่ดูบาดแผลของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นคนจากสำนักพันปีศาจ!” ฮั่นรีบตอบกลับ
“สำนักพันปีศาจ!” แม้ว่าจะสงสัยเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่พอได้รับการยืนยันความคิดตนเองเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนยิ่งมั่นใจในคำตอบ เขาถามออกไปอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “แล้วศพของครอบครัวข้าอยู่ที่ใด?”
ฮั่นรีบตอบ “ถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกตนที่ชอบธรรม แต่ซากศพก็มีวันเน่าหรือสามารถกลายเป็นอาหารของอสูรกายได้ ดังนั้นข้าจึงฝังทั้งสองคนไว้! เพื่อเก็บไว้ให้กับลูกหลานของเขา ข้าหยิบมาเพียงสร้อยคอของนางมาเพื่อเป็นหลักฐานเท่านั้น ถ้าหากเจ้าไปยังสถานที่แห่งนั้นก็สามารถขุดขึ้นมาได้ทันที!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น น้ำตาของเขาไหลออกมาอีกครั้ง เขากำหมัดแน่นพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “ข้าขอขอบคุณศิษย์พี่ฮั่นมากสำหรับบุญคุณครั้งนี้ ซ่งจงจะไม่มีวันลืม!”
“เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว!” ฮั่นกล่าวตอบเจ้าอ้วนและกล่าวว่า “มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น! แต่ตอนนี้เรามาคุยกันเรื่องข้อตกลงของเราก่อนดีหรือไม่?”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาเหยียดมือออกมา แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการแลกเปลี่ยนก่อนที่จะบอกว่าศพถูกฝังอยู่ที่ใด
เจ้าอ้วนตกใจพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงขออภัย “แน่นอน แน่นอนอยู่แล้ว แม้ว่าข้าจะไร้พรสวรรค์แต่ว่าข้าคือบุรุษที่ไม่มีวันคืนคำของตน!”
“ยอดเยี่ยม!” ฮั่นตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“แต่…” เจ้าอ้วนแสร้งทำเป็นลังเลและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฮั่น ท่านต้องรู้ก่อนว่าไม่มีผู้ใดเก็บหินจิตวิญญาณจำนวนมากไว้กับตัว!”
“ยังไงกัน?” ฮั่นรู้สึกกังวลใจพร้อมถามออกไปอย่างรวดเร็ว “แล้วน้องชายพอจะมีสิ่งใดอยู่บ้างในตอนนี้?”
“ภายในหุบเขาแห่งการล่าผลไม้วิญญาณ ข้าได้รับสมบัติวิเศษ แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่มันก็มีค่าเทียบเท่าหินจิตวิญญาณสองล้านห้าแสนก้อนอย่างแน่นอน! ข้าอยากถามว่าท่านจะสามารถรับสมบัติวิเศษชิ้นนี้ไว้เพื่อทดแทนหินจิตวิญญาณได้หรือไม่?”
“แน่นอน แน่นอนอยู่แล้ว!” เมื่อฮั่นได้ยินเช่นนั้น เขาตอบตกลงทันที ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือมันง่ายที่จะรวบรวมหินจิตวิญญาณแต่ยากที่จะค้นหาสมบัติวิเศษ! แม้แต่อุปกรณ์วิเศษขั้นเก้ายังสามารถขายได้มากกว่าหนึ่งล้านก้อน แล้วสมบัติวิเศษระดับต่ำเช่นนี้แน่นอนว่ามันจะต้องขายได้สองถึงสามล้านหินจิตวิญญาณอย่างแน่นอน! ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะมากกว่าสองล้านห้าแสนก้อน! ดังนั้นข้อเสนอเช่นนี้แน่นอนว่ามันหอมหวานสำหรับเขาอย่างมาก
ฮั่นตอบทันทีด้วยความประหลาดใจ “ตั้งแต่ที่ศิษย์น้องได้กล่าวออกมา แล้วพี่ชายคนนี้จะปฏิเสธได้อย่างไรกัน แม้ว่าจะเป็นอุปกรณ์วิเศษข้าก็ยินดีที่จะรับไว้เช่นกัน!”
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ท่านคิดเช่นไรกับของสิ่งนี้?” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนหยิบเอาพัดออกมา
ในขณะที่ฮั่นมองเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเขาส่องประกายพร้อมกับรับรู้คลื่นปราณจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง เขาจะคิดว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นของที่ไม่ดีได้อย่างไรกัน? ดังนั้นเขาจึงคว้ามันไว้อย่างตื่นเต้นพร้อมกับชื่นชมหญิงงามทั้งห้าที่อยู่บนพัด
มีผู้ฝึกตนทั้งหมดห้าคน จนถึงสุดที่ฮั่นรู้สึกว่าหญิงงามเหล่านี้กำลังยิ้มให้กับเขา!
“อืม รอสักครู่!”
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ รูปลักษณ์ของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นงดงามตามธรรมชาติอยู่แล้ว แน่นอนว่าฮั่นจะหลงใหลมัน
ขณะที่เขาเปิดพัดออก เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นสมบัติวิญญาณ หลังจากนั้นเขาได้เห็นรอยยิ้มของผู้ฝึกตนทั้งห้าบนพัด
ใครกันที่อยู่ในความสงบได้ถ้าหากสมบัติวิญญาณขั้นเก้าอยู่ในมือของพวกเขา? ฮั่นก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ร่างกายของเขาสั่นสะท้านพร้อมตะโกนออกมา “ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า!”
ในเวลานั้นเขาแทบจะรู้สึกหมดสติไปพร้อมกับสมบัติในมือ ในเวลานั้นเองหญิงงามที่อยู่ในภาพวาดได้เข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
หญิงงามทั้งเก้าที่เป็นปีศาจเทวะอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายจึงไม่มีปัญหาที่จะซุ่มโจมตีบุคคลที่อยู่ในระดับปฐมภูมิ ในระยะเวลาสั้น ๆ ฮั่นกลายเป็นหุ่นเชิดของปีศาจเทวะอย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นว่าการซุ่มโจมตีครั้งนี้สำเร็จ เจ้าอ้วนหยุดร้องไห้และเช็ดคราบน้ำตา เขามองไปที่ฮั่นพร้อมกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “บิดาของเจ้าผู้นี้ได้เล่นสนุกกับเหล่าสำนักปีศาจในการล่าผลไม้วิญญาณ ส่วนเจ้าซึ่งมีความสามารถเพียงน้อยนิดยังกล้ามาหลอกลวงข้างั้นหรือ? หรือความจริงแล้วเจ้าไม่รู้ว่าความตายมันเป็นอย่างไร!”
หลังจากที่ตำหนิจนพอใจแล้ว เขาเก็บภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าและเริ่มรับประทานอาหารต่อ เขาจิบไวน์หนึ่งครั้งพร้อมยืนขึ้นและกล่าวว่า “ฮั่นถึงเวลาที่เราจะต้องไปแล้ว!”
“ไปกันเถิดศิษย์น้องซ่ง!” ปีศาจเทวะในร่างของฮั่นตอบกลับ
ทั้งคู่กอดคอเดินออกจากร้านไปพร้อมกันราวกับว่าเป็นเพื่อนสนิท ภายในห้องส่วนตัวนั้นมีการเก็บเสียงที่ดีมาก บรรยากาศด้านในจะไม่มีบุคคลภายนอกรับรู้ ตราบใดที่ไม่มีผู้ใดมาสนใจว่าห้องนั้นว่ากำลังทำสิ่งใดกันอยู่
ดังนั้นคนภายในร้านไม่มีทางรู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง พวกเขาจึงไม่สงสัยสิ่งใดเลยในขณะที่ทั้งสองคนเดินออกมา
หลังจากที่ออกมาจากร้านอาหารเจ้าอ้วนตั้งใจที่จะเก็บฮั่นไว้ในมิติลึกลับ เขาจึงคิดจะเดินไปยังพื้นที่รกร้างใกล้เมือง จากนั้นจึงเข้าประตูเคลื่อนย้ายและเข้าสู่ความมืดมิดทันที
เพียงเวลาไม่นานเขากลับมายังลานของเขาเองในสำนักเสวียนเทียน เขาเดินเข้าสู่ห้องมืดของตนเองเพื่อเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนและเรียกการใช้งานมิติลึกลับภายในนั้น
หลังจากที่เจ้าอ้วนเข้ามาแล้ว เขาเรียกปีศาจเทวะที่อยู่ในร่างกายของฮั่นออกมาพร้อมถามว่า “เจ้ามองเห็นความทรงจำของคนผู้นี้หรือไม่?”
เมื่อเห็นถึงความกังวลใจของเจ้าอ้วนปีศาจเทวะตอบกลับอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ข้ามองเห็นทุกอย่าง!”
“ยอดเยี่ยม!” เจ้าอ้วนรู้สึกดีขึ้นมาพร้อมถามต่อ “รีบกล่าวออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เจ้าบัดซบนี่มันรู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวของข้าบ้าง?”
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่เชื่อว่าทั้งหมดคือความจริง แต่เขายังคงหวังว่ามันจะเป็นความจริง ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะได้รับซากศพของพ่อแม่เขาและนำกลับมาทำพิธีให้ถูกต้อง ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเขาจะมอบหินจิตวิญญาณสองล้านห้าแสนก้อนให้กับฮั่นอีกด้วย!
แต่แล้วความหวังของเขาทั้งหมดได้พังทลายลงอีกครั้ง ปีศาจเทวะตอบกลับมา “รายงานต่อนายท่าน เรื่องราวทั้งหมดนั้นเขาเป็นผู้ที่สร้างมันขึ้นมาเองไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องจริง!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดพร้อมถามออกไปทันที “แล้วเหตุใดมันจึงมีสร้อยคอของแม่ข้า?”
“นายท่าน สร้อยคอนี้เขาได้รับมาจากผู้ฝึกตนลึกลับคนหนึ่ง แม้กระทั่งเรื่องโกหกเช่นนั้นเขาก็ถูกสั่งให้กล่าวออกมาโดยบุคคลผู้นั้น!” ปีศาจเทวะอธิบาย
“อะไรกัน?” เจ้าอ้วนไม่ได้คาดหวังว่าคำตอบจะเป็นเช่นนี้ เขาตกใจทันที “ใครคือคนลึกลับคนนั้น?”
“นายท่าน ฮั่นก็ไม่ได้รู้จักบุคคลนั้น ดูเหมือนกับว่าเขาอยู่ในระดับจินตัน ร่างกายของเขาปกคลุมด้วยลำแสงสีดำและไม่สามารถมองเห็นได้เลย เขาบอกว่าให้มอบสร้อยคอนี้ให้กับนายท่านเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจและนำพานายท่านไปยังสถานที่ที่เขาจัดเตรียมไว้!” ปีศาจเทวะอธิบาย
“บัดซบ!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาเข้าใจทันทีว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น เขาหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “มันเป็นกับดักสินะ เห็นได้ชัดว่ามันต้องการจะสังหารข้า!”
“ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้นนายท่าน!” ปีศาจเทวะพยักหน้าในขณะที่กล่าว
“นับตั้งแต่พวกมันมีสร้อยคอของแม่ข้า แสดงว่าแม่ของข้าตายตกไปด้วยมือของพวกมัน!” เจ้าอ้วนบ่นพึมพำกับตัวเอง “นอกจากนี้สำนักพันปีศาจยังซุ่มโจมตีครอบครัวของข้า แน่นอนว่าคนที่นำสร้อยนี้มาจะต้องมาจากสำนักพันปีศาจ! ก่อนที่ข้าจะค้นหาพวกเขาพบ ข้าคิดว่าเขาได้เจอตัวข้าแล้วแหละ!”
ปีศาจเทวะรู้สึกโกรธจัด แต่พวกนางเป็นเพียงทาสรับใช้และไม่อาจกล่าวสิ่งใดนอกจากนี้ได้ พวกนางจึงทำได้แค่ยืนเคียงข้างเจ้าอ้วนอย่างสงบเสงี่ยมเท่านั้น
หลังจากที่คิดเรื่องราวทั้งหมด เจ้าอ้วนโกรธจัดแม้ว่าจะอยู่ในใบหน้าที่สงบ เขารู้ได้ทันทีว่าตนเองในตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะต่อสู้กับบุคคลเหล่านั้น ผู้ฝึกตนจากสำนักพันปีศาจล้วนแต่อยู่ในระดับหยวนหยิน เจ้าอ้วนอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นต้นเท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะต่อกรกับบุคคลเหล่านั้นได้เลย สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือระงับความโกรธของตนเอง
ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังระงับความโกรธแค้นที่มีแต่สำนักพันปีศาจ เขาไม่สามารถอดทนที่จะไม่โกรธแค้นต่อฮั่นได้ ภายในท้องของเขาตอนนี้สุมแน่นด้วยความโกรธ แน่นอนว่าฮั่นจะกลายเป็นเหยื่อความเกรี้ยวกราดนี้!
บทที่ 178: ตามหาฉุ่ยจิ้ง
เจ้าอ้วนบอกให้ปีศาจเทวะปลดปล่อยฮั่นเพื่อให้เขาฟื้นคืนสติของตนเอง ในขณะที่ฮั่นตื่นขึ้นมา เขาพบว่าตนเองอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดและไม่สามารถขยับร่างกายได้ ทันทีที่เข้าใจสถานการณ์เขาเริ่มทำการอ้อนวอนทันที “ศิษย์น้องซ่ง เราสามารถคุยกันดี ๆ ได้!”
“จะพูดถึงสิ่งใดหรือ เจ้าไม่ต้องการหินจิตวิญญาณสองล้านห้าแสนก้อนแล้วงั้นหรือ? ข้าจะตอบสนองความต้องการนั้นเอง!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มปีศาจ
“ไม่ ไม่แล้ว ข้าไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ศิษย์พี่ซ่ง ข้ายินดีที่จะมอบข่าวนี้ให้กับท่านฟรี ๆ ขอเพียงท่านปล่อยข้าไป!” ฮั่นอ้อนวอน
“เหอะเหอะ ต้องขอโทษด้วย แต่ข้าได้ข่าวที่ข้าต้องการแล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องไร้สาระของเจ้า!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“ท่านค้นพบแล้วงั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไร?” ฮั่นตกใจทันที จากนั้นเขาเริ่มมองไปที่หญิงสาวรอบตัวและเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทันที “ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า? ท่านใช้ปีศาจเทวะเพื่อควบคุมข้าและเข้าถึงความทรงจำงั้นหรือ?”
“ฉลาดมาก! แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างเยือกเย็น “ตอนนี้เจ้าควรจะรู้ตัวได้แล้วว่าเจ้านั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับข้าอีกต่อไป เหอะ ประโยชน์เดียวที่เจ้าทำได้คือเป็นเครื่องมือระบายความโกรธให้ข้า!”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขายื่นมือออกมาคว้าลำคอของฮั่นเอาไว้พร้อมกับคำรามออกมา “เจ้าตัวบัดซบ เจ้าไปเอาความกล้าหาญที่จะหลอกลวงข้ามาจากไหน? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเบื่อหน่ายชีวิตนี้แล้ว!”
ฮั่นพยายามดิ้นรนแต่เขาไม่อาจต่อกรกับมือขนาดใหญ่ของเจ้าอ้วนได้และถูกบีบรัดจนตายในที่สุด
หลังจากที่สังหารเขาแล้ว เจ้าอ้วนรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที เขาเริ่มกังวลเกี่ยวกับซากศพ ซึ่งมันคงไม่ดีแน่นอนถ้าหากมีซากศพอยู่ภายในมิติของเขา แต่อย่างไรเขาก็ไม่สามารถนำมันออกไปด้านนอกได้
ในขณะนั้นเจ้าอ้วนมองเห็นดินสีดำ จากนั้นเขาพลันคิดบางอย่างออก เขาคิดกับตนเองทันที ‘สิ่งนี้สามารถแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ มันจะสามารถแยกร่างกายคนได้หรือไม่?’
เมื่อคิดเช่นนั้น เขาโยนร่างกายของฮั่นลงไปในดินสีดำทันที ผลที่ได้ก็คือร่างกายของเขาถูกย่อยสลายโดยดินสีดำอย่างรวดเร็ว ร่างกายของฮั่นค่อย ๆ หายไป ปราณจิตวิญญาณจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมาจากดินสีดำ
นอกเหนือจากปราณจิตวิญญาณ มีสารอื่นต่าง ๆ มากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นแก๊ส เจ้าอ้วนก็ไม่อาจเข้าใจว่ามันคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสามารถตรวจสอบได้ก็คือร่างกายที่แท้จริงอยู่ภายใต้ดินสีดำ นอกจากนี้ปราณจิตวิญญาณที่แผ่กระจายออกมายังมีปริมาณที่สูงมาก ส่วนแก๊สอื่น ๆ ที่แปลกประหลาด เจ้าอ้วนเฝ้ามองมันว่าจะส่งผลกระทบอะไรกับเขาหรือไม่
ถ้าหากสารเหล่านี้ไม่มีผลต่อเขาและเป็นสิ่งที่ดี เจ้าอ้วนคงไม่อาจละทิ้งซากศพของเหล่าอสูรกายได้ในอนาคต เจ้าอ้วนไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงความโชคร้ายของตนเองได้ นับว่านี่เป็นพรที่เขาไม่ได้คาดหวัง
หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าอ้วนผ่อนคลายลงหลังจากที่ออกไปเล่นกับหงหยิงทุกวัน แม้ว่าทั้งสองคนจะเพลิดเพลินอย่างมากแต่ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มนั้นไม่ได้ออกมาจากหัวใจ เพราะพวกเขาทั้งสองกำลังจะต้องถูกแยกจากกัน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่กวนใจเขาอยู่ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับซากศพของครอบครัวเขา!
ในอดีตที่ผ่านมาเจ้าอ้วนไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักและไม่ได้รู้สึกอะไรกับมัน แต่หลังจากที่พบกับฮั่นและได้รับข่าวบางอย่างของครอบครัว สิ่งเหล่านี้ได้กระตุ้นบางสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจเขาขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาไม่สามารถกินนอนได้อย่างสบายใจ ทุกครั้งที่เขาหลับตา เขาจะนึกถึงศพของครอบครัวเสมอและอยากรู้ว่ามันอยู่ที่ใด หรือกลายเป็นซากศพไร้ญาติในดินแดนที่ห่างไกลหรือไม่…
ความคิดเหล่านี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกทรมานใจทุกวัน ไม่มีวันไหนที่เขาสามารถคลายปริศนาเหล่านี้ได้เลย บ่ายวันหนึ่งในขณะที่เจ้าอ้วนและหงหยิงกำลังออกไปพักผ่อน หงหยิงรู้สึกได้ว่าเจ้าอ้วนนั้นใจลอยและทำมัจฉาไร้เนตรไหม้
หงหยิงรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนอื่นที่ต้องรู้ว่าเจ้าอ้วนนั้นรักการทำอาหารมาก และให้ความสำคัญกับมัจฉาไร้เนตรที่สุดซึ่งมันเปรียบได้กับสมบัติ แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาเผามัจฉาไร้เนตรทิ้งไปมากมาย พร้อมกับไม่ใส่ใจว่ามันจะเสียหายไปกี่ตัว
หงหยิงอดถามด้วยความห่วงใยไม่ได้ “พี่ชายอ้วนเป็นอะไรรึเปล่า?”
“ไม่มีอะไร” เจ้าอ้วนตอบกลับ
“ถ้าหากว่าไม่มีสิ่งใด แล้วทำไมท่านต้องเผามัจฉาไร้เนตรทิ้งขว้างเช่นนี้!” หงหยิงตอบกลับอย่างไม่พอใจ
“อา มันไหม้อีกแล้วหรือ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันที จากนั้นเขาโยนมัจฉาไร้เนตรที่ไหม้ทิ้งไปพร้อมกับหยิบตัวใหม่ออกมาทันที
เมื่อหงหยิงเห็นเช่นนั้น นางส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างหมดหนทางและกล่าวกับเขาว่า “พี่ชายอ้วน ท่านสามารถบอกเรื่องราวในใจของท่านกับข้าได้ทุกเรื่องนะ ข้าไม่สามารถรับรู้มันได้เองถ้าหากท่านไม่กล่าวมันออกมา! ข้าหวังว่าท่านจะไม่ปิดบังอะไรข้าในสองสามวันที่เหลือนี้!”
“เรื่องนั้น…” เจ้าอ้วนพึมพำพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “เอาล่ะ ตกลง ข้าจะบอกเจ้า!”
“เรื่องราวมีอยู่ว่า….” เจ้าอ้วนกล่าวออกมา “เมื่อไม่กี่วันก่อนมีบุคคลผู้หนึ่งโกหกข้าเกี่ยวกับเรื่องศพของครอบครัวข้า!”
“ว่าอะไร?” เมื่อหงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางตกใจทันทีพร้อมกล่าวต่อว่า “สวรรค์ เจ้าสามารถช่วยพวกเขากลับมาได้!”
“มันไม่ใช่เรื่องง่าย ข้ารู้ว่าบุรุษคนนี้กล่าวความเท็จ นอกเหนือจากสร้อยคอของแม่ข้า เขาไม่มีหลักฐานอื่น ข้าจึงสงสัยว่าเขาเป็นศิษย์ของสำนักพันปีศาจและต้องการซุ่มโจมตีข้าเพื่อล่าค่าหัว!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างหดหู่
“เขากระทำสิ่งที่น่ารังเกียจเกินไป! ถ้าหากเป็นเช่นนี้พี่ชายอ้วนจงมีสติและอย่าหลงไปติดกับดักนั่น!” หงหยิงรีบแนะนำ
“เป็นเช่นนั้น ข้าไม่เชื่อคำพูดของมันและไม่ได้ไปยังสถานที่ดังกล่าว แต่ปัญหาก็คือในขณะที่เขากล่าวถึงศพของครอบครัวข้า มันทำให้ส่วนลึกของหัวใจข้าสั่นไหว ข้ารู้สึกกระวนกระวายใจในทุกคืนวันและไม่สามารถหลับนอนดั่งคนปกติได้!”
“พี่ชายอ้วน ข้าเข้าใจอารมณ์ของท่าน แต่ปัญหาก็คือเรื่องราวมันเกิดมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ภายในเทือกเขาใหญ่เช่นนี้ท่านไม่สามารถที่จะค้นหาได้ ถ้าหากท่านคิดจะค้นหาด้วยตนเอง ก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร!” หงหยิงกล่าวอย่างหมดหนทาง
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่เหมือนกัน!” เจ้าอ้วนส่ายศีรษะพร้อมกล่าวต่อ “ถ้าหากข้าต้องการค้นหา ข้ามีหนทางที่จะทำแล้ว แต่ในตอนนี้ข้าเพียงแค่ลังเลว่าข้าจะไปหรือไม่ไป!”
“โอ้?” เมื่อหงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางรีบถามออกมาทันที “พี่ชายอ้วน วิธีการใดกันที่ทำให้ท่านได้พบกับพวกเขา?”
“มันง่ายมาก ประการแรกข้าจะไปถามคนที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของข้า จากนั้นข้าจะค้นหาที่อยู่พวกมันพร้อมทั้งซื้ออุปกรณ์วิเศษบางอย่างที่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวจากเลือดได้” เจ้าอ้วนกล่าวเสริม “อุปกรณ์วิเศษเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ค้นหาได้ยาก ถ้าหากข้ารู้ตำแหน่งจึงค่อยใช้อุปกรณ์วิเศษเพื่อติดตามต่อไป แน่นอนว่าจะต้องค้นพบเบาะแสบางอย่างได้ แต่ถ้าข้าไม่สามารถค้นหาสิ่งใดได้เลย ข้าควรจะไปพบฉุ่ยจิ้งเพื่อถามว่านางสามารถช่วยเหลือข้าได้หรือไม่!”
“พี่ชายอ้วนท่านช่างฉลาดจริง ๆ ทำไมข้าคิดถึงอะไรเช่นนี้ไม่ได้นะ?” หงหยิงกล่าวเสริม “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วเหตุใดท่านจึงไม่ลงมือเสียที?”
“เฮ้อ ก็เพราะเหตุการณ์ที่เกิดภายในการล่าผลไม้วิญญาณไม่ใช่หรือที่ทำให้ข้าไม่สามารถลงมือได้?” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างหดหู่ “ตอนนี้ข้าคือผู้ที่มีค่าหัวจากสำนักพันปีศาจ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากข้าเดินออกไปจากสำนัก แน่นอนว่าข้าไม่ต้องการที่จะพาตนเองเข้าไปติดกับดัก!”
“ใช่แล้ว พี่ชายอ้วนกล่าวได้ถูกต้อง ดีที่สุดถ้าหากท่านไม่ออกไปด้านนอก!” หงหยิงตอบกลับ
“แต่ถ้าหากข้าไม่ออกไปแล้วข้าจะจัดการปมในหัวใจได้อย่างไร? ในฐานะบุตรชาย ข้าไม่สามารถให้อภัยตนเองได้ถ้าหากไม่ได้พบกับร่างศพของบุพการีที่หายไปยาวนานกว่ายี่สิบปี ถูกไหม?” เจ้าอ้วนตอบอย่างโศกเศร้า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อื่นคงจะมองว่าข้านั้นเกรงกลัวต่อความตายจึงไม่ออกค้นหาความจริง!”
“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกัน!” หงหยิงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ดูเหมือนว่าท่านจะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากจริง!”
“ใช่ ข้าหนักใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก! มากจนกระทั่งข้ารู้สึกว่าร่างกายจะแตกสลายไป!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างหดหู่
เมื่อได้ยินว่าเขาหดหู่มากเพียงใด หงหยิงหยุดคิดชั่วขณะพร้อมกล่าวต่อว่า “พี่ชายอ้วนไม่จำเป็นต้องทุกข์ใจมากถึงเพียงนั้น แม่ของข้าเคยกล่าวไว้ว่าถ้าหากข้าเจอสิ่งใดที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ ข้าควรค้นหาฉุ่ยจิ้งเพื่อให้นางช่วยเหลือ แน่นอนว่านางสามารถทำได้ ดังนั้นสิ่งที่ดีทีสุดในตอนนี้ก็คือค้นหานาง!”
“ฉุ่ยจิ้ง?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตบหน้าตนเองด้วยความเสียใจ “ทำไมข้าจึงไม่คิดถึงนางกันนะ? นางเป็นเทพธิดาแห่งความโชคดี ดังนั้นนางจะต้องมีข้อสรุปให้ข้าได้อย่างแน่นอน เหตุใดข้าจึงไม่ค้นหานางและมัวมานั่งทำเรื่องไร้สาระอยู่ตรงนี้?”
“ฮี่ฮี่ พี่ชายอ้วนเพียงแค่ตาบอดเพราะสถานการณ์มันบีบคั้น!” หงหยิงกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“อือ เจ้าพูดถูก!” เจ้าอ้วนพยักหน้า จากนั้นเขาหยิบเครื่องเทศออกมาพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องหงหยิง ข้าจะย่างมัจฉาไร้เนตรอยู่ที่นี่ เจ้าช่วยไปตามฉุ่ยจิ้งมาพบข้าได้หรือไม่? กล่าวกับนางว่าข้าต้องการเชิญนางมาดื่มชาด้วยกัน!”
“ได้เลย!” หงหยิงตอบรับทันทีจากนั้นนางออกไปทันทีด้วยแสงสีทอง เพียงระยะเวลาสั้นๆหงหยิงกลับมาพร้อมกับฉุ่ยจิ้ง
เมื่อเห็นฉุ่ยจิ้ง เจ้าอ้วนต้อนรับนางทันทีพร้อมกับขอโทษนาง “เป็นเกียรติของข้าที่ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งสละเวลามาในวันนี้!”
“ตั้งแต่ที่ศิษย์พี่อาวุโสเชิญข้าด้วยตนเอง เหตุใดน้องสาวผู้นี้จะปฏิเสธ!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในคำเชิญเหล่านี้!”
“เหอะเหอะ!” เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่สามารถปกปิดสิ่งใดได้เมื่ออยู่ต่อหน้าของฉุ่ยจิ้ง จากนั้นเขากล่าวอย่างยอมแพ้ “ที่จริงแล้วนอกเหนือจากการเชิญศิษย์น้องมาดื่มชาในวันนี้แล้ว ข้ามีบางอย่างที่อยากจะขอคำแนะนำจากเจ้า!”
“ข้าไม่กล้าที่จะแนะนำท่าน ศิษย์พี่สามารถกล่าวทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมาได้อย่างอิสระ!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับ
“ไม่ต้องรีบร้อน มานั่งก่อน ข้าต้องการนั่งคุยพร้อมรับประทานอาหาร!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาเชิญฉุ่ยจิ้งอย่างเป็นกันเอง
“ตกลงตามนี้!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมนั่งลงข้างหงหยิง
จากนั้นทั้งสามคนเริ่มดื่มและกินมัจฉาไร้เนตร ชาที่ดื่มกันคือชาคุณภาพสูงที่หงหยิงนำมา แม้ว่าเขาจะมีชาวิถีเต๋าอยู่ แต่เจ้าอ้วนไม่อาจนำมันออกมาดื่มพร่ำเพื่อได้
หลังจากที่พูดคุยและกินดื่มกันมาสักพักหนึ่ง เจ้าอ้วนเปิดประเด็นที่เขาต้องการทันที เขาเล่าให้ฉุ่ยจิ้งฟังถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่เขาได้พบและเรื่องที่เขากังวลเกี่ยวกับศพของครอบครัว จากนั้นเขาจึงถามว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง ข้าทุกข์ทรมานจากเรื่องราวเหล่านี้มากและไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ข้าอยากให้เจ้าช่วยเหลือและดูว่าข้าจะสามารถผ่านพ้นปัญหาได้หรือไม่ถ้าหากข้าเดินออกจากสำนักเพื่อไปค้นหาปมปริศนาเหล่านี้”
“ศิษย์พี่ได้โปรดรอสักครู่” ฉุ่ยจิ้งวางมัจฉาไร้เนตรในมือลง จากนั้นนางหยิบเอากระดองเต่าดำพร้อมกับเหรียญชะตาฟ้าดินออกมาเพื่อทำนายอนาคตของเจ้าอ้วน
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไปฉุ่ยจิ้งลืมตาขึ้น นางหยีตาพร้อมกล่าวกับเจ้าอ้วนว่า “ศิษย์พี่ซ่งท่านจะพบเจอแต่โชคร้ายถ้าหากท่านออกไปด้านนอก!”
“เจ้าจะบอกว่าข้าจะตายแน่นอนถ้าเดินออกไปใช่หรือไม่?” เจ้าอ้วนถามด้วยความตกใจ
“ไม่เสมอไป แต่ก็สาหัสอยู่มาก!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างหมดหนทาง “แม้ว่าจะมีความหวังอยู่บ้างแต่มันน้อยมาก!”
“ในเมื่อศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนี้ ท่านก็ไม่ควรจะก้าวขาออกไป!” หงหยิงกล่าวอย่างเป็นกังวล “มันจะปลอดภัยกว่าถ้าหากท่านอยู่ในสำนักเสวียนเทียน!”
“ไม่จำเป็น!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวแทรกขึ้นมา “ไม่ว่าศิษย์พี่จะอยู่แห่งหนใด ความทุกข์ยากจะถาโถมเข้าหาท่านอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าโอกาสที่จะรอดในสำนักเสวียนเทียนมีมากกว่า ถ้าหากท่านก้าวขาออกไปแน่นอนว่าโอกาสรอดก็น้อยลงตามไปด้วย! ดังนั้นมันก็ดีที่ศิษย์พี่ซ่งจะอยู่ในสำนักเสวียนเทียนก่อน!”
“เป็นเช่นนั้น?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาก้าวขาออกมาพร้อมถามว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า แต่ข้าอยากรู้ว่าเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรของเจ้านั้นมีความแม่นยำมากเพียงใด? มันถูกต้องอยู่ตลอดงั้นหรือ?”
“แน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกต้องเสมอไป มันเป็นความสามารถในการควบคุมของข้า และข้าไม่เคยผิดพลาด แต่บางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่อาจคาดเดามันก็มีอยู่บ้าง และมันทำให้การทำนายของข้าผิดพลาด!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วอะไรกันที่ไม่สามารถคาดเดาได้?” เจ้าอ้วนรีบถาม
“ตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนที่อยู่เหนือระดับเฟินเสิน ทัณฑ์สวรรค์ และเหล่าปีศาจเทวะ สิ่งพวกนี้ข้าไม่สามารถมองเห็นได้ ดังนั้นแม้ว่าข้าจะสามารถทำนายโชคชะตาของบุคคลได้ แต่มันจะผิดพลาดทันทีถ้าหากบุคคลผู้นั้นพบกับหนึ่งในสามที่ข้ากล่าว!” ฉุ่ยจิ้งกล่าว “แม้ว่าการคาดการณ์ของข้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้แต่ก็เกิดขึ้นได้ยากมาก ดังนั้นท่านจึงไม่ควรที่จะสงสัยผลการทำนายของข้า!”
“เป็นเช่นนั้น ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าแค่ไม่ต้องการให้ข้าไป!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างผิดหวัง “แล้วข้าจะทำอย่างไรกับส่วนลึกในหัวใจของข้า? ตราบใดที่ข้าไม่สามารถค้นหาศพของครอบครัวได้ ข้าไม่สามารถกินอิ่มหรือนอนหลับได้ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงจะตายตกไปเพราะเหตุนี้มากกว่าที่จะโดนศัตรูค้นพบ!”
“เรื่องนั้น…” เมื่อมองเห็นดวงตาสีเลือดของเจ้าอ้วน ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างปวดหัว “ข้าไม่รู้ว่าศิษย์พี่ควรจะทำเช่นไร สิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับโชคชะตาของท่าน ดังนั้นท่านจึงต้องตัดสินใจด้วยตนเองเท่านั้น!”
“ข้าน่ะหรือต้องตัดสินใจ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ข้าจะต้องจัดการกับโชคชะตานี้ด้วยตนเอง! ถ้าหากเป็นเช่นนั้นข้าขอตัดสินใจว่าข้าจะออกไปค้นหาศพของครอบครัว!”
“ว่าอะไร?” ในขณะที่หงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางอุทานออกมาด้วยความตกใจ “พี่ชายอ้วน! ไม่ได้! ด้านนอกอันตรายเกินไป มีผู้คนมากมายเฝ้ารอที่จะสังหารท่านอยู่!”
บทที่ 179: ลักลอบออกจากสำนัก
“ข้ารู้ แต่จะทำอะไรได้ล่ะ? ข้าไม่สามารถที่จะหลบซ่อนอยู่ในกระดองเต่าได้ตลอดเวลาเพียงแค่พวกเขาทั้งหมดรอคอยอยู่ด้านนอก ถูกต้องหรือไม่?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าคิดว่าข้าพร้อมแล้ว ถ้าหากพวกเขาคิดที่จะต่อสู้ แน่นอนว่ามันก็จะต้องจบลงด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายตกไป!”
“เป็นเช่นนั้นก็ดีกว่าการนั่งรอความตายมาเยือนท่านถึงที่ ทำไมจึงไม่เสี่ยงออกไปเสียเลย! ศิษย์พี่มีหัวใจที่กล้าหาญและเลือกที่จะตัดสินโชคชะตาของตนเองได้! ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ศิษย์น้องผู้นี้ก็จะไม่ขัดใจศิษย์พี่ที่จะออกตามหาศพของครอบครัวกับท่านด้วย!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาด้วยความสดใส
ในขณะที่หงหยิงได้ยินว่าฉุ่ยจิ้งกล่าวสิ่งใด นางไม่ยอมแพ้และกล่าวเสริม “ข้าจะไปด้วย!”
“พวกเจ้าจะไปเพื่ออะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเป็นบุตรของพวกเขา ทางเลือกของข้ามีเพียงออกเดินทางเท่านั้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องลากตนเองเข้ามาในเรื่องนี้!”
“ศิษย์พี่กล่าวผิดแล้ว ภายในการล่าผลไม้วิญญาณท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ในตอนนี้ท่านมีปัญหาแล้วจะให้ข้าทนมองอยู่เฉยได้อย่างไร?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างจริงจัง
“เป็นเช่นนั้น พี่ชายอ้วนเคยช่วยชีวิตข้าไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน ข้าไม่อาจทนเห็นท่านออกไปเผชิญหน้ากับอันตรายโดยลำพังได้!” หงหยิงรีบกล่าว
“แต่เราไม่รู้ว่าเราจะพบเจอศัตรูแบบไหนในครั้งนี้ พวกเจ้าอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า ๆ ในการเดินทางครั้งนี้!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ไม่ว่ายังไงข้าขอขอบคุณสำหรับความหวังดีของพวกเจ้า แต่ขอให้ข้าทำภารกิจนี้ด้วยตนเองเถอะ!”
“ท่านประเมินข้าต่ำเกินไป!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราสองคนมีสมบัติวิญญาณสามชิ้นในมือ เราทั้งสองสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ ถ้าหากท่านเพียงคนเดียวแน่นอนว่าไม่อาจทำได้เมื่อต้องพบเจอกับผู้ฝึกตนระดับจินตันและจะไม่มีแม้กระทั่งหนทางหลบหนี!”
“ถูกต้องแล้ว กระบี่เฟิ่งหมิงของข้าไม่ได้อ่อนแอ พี่ชายอ้วนให้ข้าไปด้วยเถอะ!” หงหยิงดึงแขนเสื้อเจ้าอ้วนอย่างงอแง
“ไม่ ไม่ได้ เจ้าเปรียบเสมือนอัญมณีของจ้าวสำนัก แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายกับข้า!” เจ้าอ้วนรีบตอบทันที
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าเราจะหนีตามกันไปงั้นหรือ?” หงหยิงกล่าวออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร
ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งเงียบงันไปทันที หงหยิงตระหนักได้ทันทีว่านางกล่าวผิดพร้อมกับรีบโบกมือแก้ตัวทันที “ข้าพูดผิด ข้าคิดว่าเราควรจะแอบหนีออกจากบ้าน!”
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ฉุ่ยจิ้งรู้สึกอยากแกล้งนางอย่างช่วยไม่ได้ “โอ้ มันไม่เหมือนกันงั้นหรือ?”
“อ่า ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งท่านก็คิดเช่นกันงั้นหรือ!” หงหยิงเริ่มอับอายในคำพูดของตนเองจึงลากให้ฉุ่ยจิ้งเข้ามาร่วมด้วย
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองกำลังหยอกล้อกัน เจ้าอ้วนรู้สึกว่าวิญญาณของเขากำลังล่องลอยไปไกลแสนไกล
การพบปะกันในครั้งนี้จบลงด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าเจ้าอ้วนจะยืนยันว่าไม่อนุญาตให้หญิงสาวทั้งสองคนตามเขาไปและต้องการที่จะออกไปคนเดียว แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจจัดการกับความตกแยที่พวกนางสร้างขึ้นได้จึงได้แต่จำยอมโดยดี
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนตอบรับทั้งสองไปอย่างนั้น เขาไม่มีความกล้าหาญที่จะนำพาหญิงสาวทั้งสองคนนี้ไปด้วยอย่างแน่นอน ก่อนอื่นที่ทุกคนรู้ดีคือทั้งฉุ่ยจิ้งและหงหยิงคืออนาคตของสำนักเสวียนเทียน! และสถานะของนางสำคัญอย่างมาก ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับนางแน่นอนว่ามันจะเป็นปัญหาขนาดใหญ่ให้สำนัก! ดังนั้นถ้าหากเจ้าอ้วนนำพาทั้งสองคนไปเสี่ยงอันตรายด้วย เขาอาจจะต้องได้รับการดูแลจากจ้าวสำนักและเทพธิดาเหมยฮวาอย่างแน่นอน!
ดังนั้นเจ้าอ้วนเพียงรับปากพวกนางอย่างขอไปทีพร้อมกับวางแผนที่จะหลบหนีออกไปแต่เพียงผู้เดียว
ไม่กี่วันถัดมา เจ้าอ้วนจัดเตรียมของสำหรับการเดินทางและค้นหาข้อมูลของครอบครัวเพิ่มเติมพร้อมทั้งศึกษาภารกิจที่ครอบครัวของเขาได้รับก่อนที่จะหายตัวไป
แต่เพราะว่าเรื่องราวผ่านมาเนิ่นนานกว่ายี่สิบปี บุคคลที่เคยดูแลเรื่องเหล่านี้ได้ถูกเปลี่ยนแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับการค้นหาข้อมูลในครั้งนี้ แต่ราวกับว่าสวรรค์มีตาเห็นความพยายามอย่างหนักของเจ้าอ้วนจึงทำให้เขาได้รับข้อมูลบางอย่างจากผู้ฝึกตนระดับจินตัน แม้ว่าเขาจะรู้สึกราวกับว่าถูกปล้นแต่เจ้าอ้วนก็พอใจกับข้อมูลเหล่านี้อย่างมาก
ในคืนที่เงียบสงบเจ้าอ้วนออกจากลานม่านหมอกของตนเองอย่างเงียบเชียบพร้อมกับบินไปยังทิศตะวันตก ซึ่งภารกิจสุดท้ายของครอบครัวเขาคือค้นหาหินดาวตกที่ล่วงหล่นลงมาบริเวณเทือกเขานั้น ซึ่งมันเป็นวัสดุคุณภาพสูงอีกด้วย
ในขณะนี้เจ้าอ้วนอยู่บนดาบแห่งธาตุทั้งห้าด้วยความเร็วเจ็ดพันลี้ต่อชั่วโมง เขาไม่สามารถใช้ความเร็วสูงสุดของมันได้ ซึ่งความเร็วสูงสุดของมันคือสองหมื่นลี้ต่อชั่วโมง แต่เพียงเท่านี้ก็นับได้ว่าไม่แย่นัก เพียงคืนเดียวเขาสามารถเดินทางได้ไกลกว่าสองหมื่นลี้
แม้ว่าจะมีน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าคอยเติมเต็มปราณจิตวิญญาณของเขา แต่ในตอนนี้เขาถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว ความเมื่อยล้าของร่างกายไม่สามารถจัดการได้โดยง่าย เขาหยุดลงข้างทะเลสาปพร้อมกับเริ่มรับประทานอาหารเช้า
ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังทำอาหารอยู่นั้น เขามองเห็นบุคคลสองคนกำลังเดินออกมาจากป่าและคว้ามัจฉาไร้เนตรไปจากมือของเขา
เจ้าอ้วนตกใจทันทีและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ แต่ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็ว เขามองเห็นว่าทั้งสองคนนั้นคือฉุ่ยจิ้งและหงหยิง เขาตกใจอย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถโจมตีทั้งสองคนนี้ได้ เขาทำได้เพียงหยุดและนั่งกินอาหารเช้ากับพวกนางอย่างโง่งม
หลังจากที่นั่งกินกันไปครู่หนึ่ง เจ้าอ้วนกล่าวออกมาว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ฮี่ฮี่ พวกเรามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว!” หงหยิงกล่าวอย่างสดใส “ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งทำนายเส้นทางของท่านไว้ ดังนั้นพวกเราก็เลยมารอท่านตั้งแต่เมื่อวาน นอนอยู่บนต้นไม้ ฮี่ฮี่ พวกเราเพียงรอให้ท่านทำอาหารเช้าและปรากฏตัวออกมา!”
“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหมดคำที่จะกล่าวทันที
“ข้ารู้สึกประหลาดใจที่ท่านคิดว่าจะหลบหนีจากศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งได้เพียงแค่ท่านออกเดินทางในกลางดึก!” หงหยิงกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านลืมสิ่งใดไปหรือไม่?”
ในตอนนี้เขาถูกจับกุมอย่างไม่อาจขัดขืน แล้วเขาจะกล่าวสิ่งใดได้อีก? เจ้าอ้วนได้แต่หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกล่าวว่า “ข้าเป็นเพียงคนโง่งม ข้าผิดเองและจะไม่ทำแบบนี้อีก!”
“ฮี่ฮี่ เป็นเรื่องที่ดีมากที่รู้ความผิดของตนเอง!” หงหยิงหัวเราะ “ท่านสามารถหลบหนีความตายได้แต่ไม่สามารถหลบหนีการทำโทษได้ โทษของท่านก็คือทำอาหารเช้าให้พวกข้า!”
“อือ!” ฉุ่ยจิ้งพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ท่านทำให้เราทั้งสองคนต้องนอนอยู่ภายในป่าตลอดทั้งคืน เรื่องนี้ศิษย์พี่จะต้องชดเชยให้กับเรา!”
เจ้าอ้วนรู้สึกเจ็บปวดอยู่เต็มหัวใจของเขา! เขาคิดกับตนเองอย่างหนักใจ ‘ราวกับว่าข้าขอร้องให้พวกเจ้าทั้งสองมารอคอยข้าที่นี่? เหตุใดมันจึงเป็นความผิดของข้า?’
แน่นอนเจ้าอ้วนสามารถพูดมันได้เพียงในใจเท่านั้น หลังจากนั้นเขาจะต้องยอมรับผิดเนื่องจากเขาสัญญาแล้วว่าจะออกเดินทางด้วยกัน แต่ทว่าเขากลับหลบหนีออกมาคนเดียว เขาทำได้เพียงกล่าวสัญญาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง ข้าจะทำอาหารเช้าให้กับเจ้าทั้งสอง!”
“ฮ่าฮ่า พี่ชายอ้วนยอดเยี่ยมเสมอ!” หงหยิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณศิษย์พี่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าเราจะไม่เอาเปรียบศิษย์พี่ สิ่งนี้สำหรับท่าน!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางยื่นยันต์หยกให้กับเจ้าอ้วน
เจ้าอ้วนมองไปที่ยันต์ เขาไม่รู้จักมันแม้แต่น้อยจึงถามออกไปว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง มันคือสิ่งใดหรือ?”
“มันคือยันต์หยกที่เปิดการใช้งานโดยใส่ปราณจิตวิญญาณลงไปเล็กน้อย ความสามารถของมันก็คือสามารถส่งเรากลับไปยังประตูเคลื่อนย้ายของสำนักเสวียนเทียนได้!” ฉุ่ยจิ้งอธิบายเพิ่ม “นี่เป็นสิ่งที่ยากจะปรับแต่งและจะแตกหักเมื่อใช้งานมัน ท่านอาจารย์มอบมันให้ข้าสามชิ้น ซึ่งหมายถึงเราทั้งสามคน! ด้วยอุปกรณ์นี้เราจะสามารถเอาชีวิตรอดได้เมื่อต้องพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง!”
“โอ้ ช่างเป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยม!” เจ้าอ้วนรู้สึกตื่นเต้นพร้อมเก็บมันทันที “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าขอเก็บมันไว้อย่างไร้ยางอาย ขอบคุณศิษย์น้องมาก!”
“ฮ่าฮ่า ด้วยความยินดี!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หงหยิงกล่าวออกมาอย่างซุกซน “อย่าเพิ่งคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านยังต้องทำอาหารเช้าสำหรับเราทั้งสองคนอยู่!”
“ผิดแล้ว ไม่ใช่เพียงอาหารเช้า แต่เป็นมื้อกลางวันและมื้อเย็นอีกด้วย ถ้าไม่ทำเช่นนี้มันจะไม่สมกับที่ข้ามอบยันต์หยกที่ข้ามอบให้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่า ถูกต้องแล้ว ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งกล่าวได้ถูกต้อง อาหารทุกมื้อของเราจะต้องถูกเตรียมโดยพี่ชายอ้วน!” หงหยิงกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
ในตอนนี้ทั้งสองคนอาจจะมีความสุข แต่เจ้าอ้วนกลับรู้สึกหดหู่อย่างมาก ท่ามกลางสภาวะซึมเศร้าที่เขามี ทั้งสองคนทำให้หัวใจของเขาชุ่มชื้นขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อย แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้เดินทางเพื่อออกไปท่องเที่ยว เขากำลังจะเดินทางไกลแสนไกลซึ่งไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ และจะต้องคลายปมปริศนาเกี่ยวกับครอบครัวของตนเองให้ได้ เวลานี้สำนักพันปีศาจมีรางวัลค่าหัวสำหรับศีรษะของพวกเขาทั้งสามคน ความเสี่ยงของทั้งสองคนเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อออกเดินทางกับเจ้าอ้วน เป็นเพราะว่าทั้งสองคนเป็นห่วงเจ้าอ้วนจากใจจริง ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ตามออกมาเพื่อเผชิญกับอันตรายเหล่านี้อย่างแน่นอน
ในตอนนี้ฉุ่ยจิ้งและหงหยิงได้เดินทางออกมาแล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งพวกนางกลับไป เจ้าอ้วนจึงยอมบอกเป้าหมายที่เขาจะไป ซึ่งก็คือเทือกเขาทางทิศตะวันตก
เนื่องจากตอนนี้พวกเขากลายเป็นทีมเดียวกัน แต่ปัญหาก็คือความเร็วของดาบบินแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายเช่นนี้แน่นอนว่าสามารถเกิดการต่อสู้ได้ตลอดเวลา ปัญหาก็คือจะถูกซุ่มโจมตีจากหนทางด้านหน้าและบุคคลที่อยู่รั้งท้ายจะไม่มีเวลาที่จะเข้าช่วยเหลือได้ทัน
เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ เจ้าอ้วนตัดสินใจที่จะนำนาวายักษ์สีดำออกมา นี่เป็นสมบัติจากสงครามเมื่อครั้งที่เขาได้ต่อสู้กับนายน้อยแห่งสำนักจักรกล
แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติวิเศษยักษ์ที่มีขนาดเล็กที่สุด แต่กลับไม่เป็นปัญหาที่จะบรรทุกคนทั้งสาม อีกทั้งไม่จำเป็นจะต้องใช้ปราณจิตวิญญาณของทั้งสามคนอีกด้วย ซึ่งจะทำให้ทั้งสามคนอยู่ในสภาพที่พร้อมรบตลอดเวลา แม้ว่าจะต้องสูญเสียหินจิตวิญญาณจำนวนมากแต่ก็คุ้มค่าที่จะใช้มัน
ฉุ่ยจิ้งและหงหยิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้เห็นนาวายักษ์สีดำนี้ครั้งแรก หลังจากอาหารเช้าเสร็จสิ้น ทั้งสามคนขึ้นเรือพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาทางทิศตะวันตกทันที
บทที่ 180: ซุ่มโจมตี
เรือลำนี้มีความเร็วประมานหนึ่งพันลี้ต่อชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งช้ากว่าดาบบินมาก แต่ประโยชน์ของมันก็คือความมั่นคง ซึ่งไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนที่จะต้องพักเพื่อจัดการกับปราณจิตวิญญาณหลังจากไม่กี่ชั่วโมงที่ขึ้นบิน แต่เรือลำนี้สามารถบินได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันจะเร็วขึ้นเล็กน้อยถ้าหากบินอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและคงที่ ระยะทางสูงสุดที่มันสามารถทำได้คือหนึ่งแสนห้าหมื่นลี้ภายในสองถึงสามวัน
ทั้งสามคนมาถึงเทือกเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งมันเต็มไปด้วยความเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์อย่างมาก
เทือกเขาแห่งนี้ทอดยาวออกไปไม่กี่พันลี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเล็ก ถ้าหากมนุษย์ต้องการที่จะค้นหาซากศพภายในเทือกเขานี้แน่นอนว่าเป็นไปได้ยากมาก แต่สำหรับผู้ฝึกตนนั้นแตกต่างออกไป พวกเขามีหลายวิธีที่จะสามารถช่วยลดระยะเวลาได้
ฉุ่ยจิ้งเริ่มทำการค้นหาทันที ด้วยความสามารถของกระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดิน นางสามารถค้นพบทั้งสองศพได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
ถ้าหากเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แน่นอนว่านางสามารถพบตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ แต่ในตอนนี้ขีดจำกัดของนางอยู่ที่รัศมีห้าร้อยลี้เท่านั้น
ถัดมาเป็นเจ้าอ้วนที่เริ่มดำเนินการ เขาหยิบกระจกวิเศษออกมาพร้อมหยดเลือดลงไปเพื่อเปิดใช้งาน มันสามารถค้นหาศพที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาได้ในรัศมีไม่กี่ลี้ เจ้าอ้วนเพียงทำอย่างนี้ช้า ๆ ไปพร้อมกับฉุ่ยจิ้งที่คอยบอกทิศทาง
แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ไม่สามารถทำบนเรือหรือดาบบินได้ ทั้งสามคนเดินไปข้างหน้าช้า ๆ เพื่อตามหาศพ
หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ แม้การค้นหานี้จะทำได้ค่อนข้างช้า แต่มันจะใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น อายุขัยของผู้ที่ฝึกฝนนั้นยาวนานมาก ระยะเวลาเพียงเท่านี้ถือได้ว่าเป็นช่วงสั้น ๆ ของชีวิตเท่านั้น
เช่นนี้เจ้าอ้วนพร้อมฉุ่ยจิ้งและหงหยิงจึงเดินรอบเทือกเขานี้อย่างทีละน้อยเพื่อตามหาศพ
หลังจากที่ผ่านมาหนึ่งวันของการค้นหา ทั้งสามคนไม่พบเจอสิ่งใดนอกจากพบเจอกับอสูรกายขั้นสี่และสังหารมัน ในคืนนี้พวกเขาทั้งหมดพักผ่อนและจะเริ่มค้นหาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
วันถัดมาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วจากการค้นหาในป่าใหญ่ จากนั้นปรากฏแสงสีดำขึ้นคล้ายกับอ่างน้ำวน
แม้ว่าแสงนั้นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ แต่ทั้งสามคนไม่ได้ชักช้าแต่อย่างใด หงหยิงเตรียมพร้อมต่อสู้โดยเรียกกระบี่เฟิ่งหมิงออกมา ฉุ่ยจิ้งอยู่ในท่าทางพร้อมรบ ซึ่งทุกอย่างดูราวกับว่าพวกเขาเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม ในส่วนของเจ้าอ้วนนั้นเขามีทั้งภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ระฆังทองแดง และสถานะของผู้ฝึกตนสายฟ้า!
ในขณะที่แสงสีดำเข้ามาใกล้ ทั้งสามคนเรียกการใช้งานสมบัติทั้งหมดทันที
อันดับแรกคือฉุ่ยจิ้งเรียกใช้งานกระดองเต่าดำเพื่อห่อหุ้มทั้งสามคนไว้ด้วยลำแสงสีทอง จากนั้นเจ้าอ้วนนำระฆังทองแดงขนาดใหญ่ออกมาให้มันเคลื่อนที่อยู่บนมือขวาของเขา พร้อมด้วยมือซ้ายแอบถือภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าไว้ สำหรับหงหยิงนางอยู่ในท่าพร้อมต่อสู้ด้วยกระบี่เฟิ่งหมิงดั่งเหยี่ยวที่พร้อมโฉบศัตรู
แสงสีดำไม่ได้ปล่อยคลื่นอะไรออกมา หลังจากที่มันเคลื่อนที่มาได้ระยะหนึ่งมันกลายเป็นผืนผ้าสีดำตรงหน้าของทั้งสามคน
แน่นอนว่าทั้งสามคนไม่ต้องการที่จะยืนอยู่ตรงผืนผ้าสีดำ หลังจากที่เตรียมการป้องกันแล้วพวกเขาทั้งสามบินขึ้นฟ้าเพื่อจะหลบหนีจากผืนผ้าสีดำอันนี้
แต่ในขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหว ความรู้สึกกดดันมหาศาลถาโถมเข้ามาทันที เพื่อบังคับให้ทั้งหมดยืนอยู่บนพื้นดิน ภายใต้แรงกดดันขนาดใหญ่ ทั้งสามคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขากลายเป็นเด็กทารก ถ้าหากไม่ใช่พลังการป้องกันที่น่าเกรงขามของกระดองเต่าดำและความจริงที่ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ต้องการที่จะสังหารพวกเขา แน่นอนว่าทั้งหมดจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากแรงกดดันในครั้งนี้ การปรากฏตัวขึ้นมาของศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้ทั้งสามคนอยู่ในสภาวะลำบากทันที
จากนั้นเกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคิดว่าจะจับปลาเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าในครั้งนี้ข้าจับปลาได้ถึงสามตัว! ยอดเยี่ยมมาก!”
หลังจากได้ยินเสียงนั้นทั้งสามคนรู้สึกว่าผืนผ้าสีดำค่อยเลือนหายไปอย่างช้า ๆ บริเวณโดยรอบสว่างขึ้นโดยพลัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้แสงสีดำจะถอยกลับไป แต่ทั้งสามคนกลับสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่แปลกประหลาดรอบตัวพวกเขา ทั้งสามเข้าใจได้ทันทีว่าถ้าหากเคลื่อนไหวร่างกายพวกเขาจะถูกโจมตีทันที ดังนั้นทั้งหมดจึงหยุดความคิดที่จะหลบหนีโดยเลือกที่จะอยู่ต่อเพื่อสังเกตสถานการณ์ หลังจากที่ทั้งสามรู้ตัวว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก พวกเขาตื่นกลัวทันที
หลังจากที่แสงสีดำค่อยถอยกลับไป ปรากฏผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งสามคนต่อหน้าพวกเขาซึ่งห่างออกไปไม่กี่ร้อยฟุต แม้จะไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นใครแต่ว่ามีผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคน และอีกหนึ่งคนคือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินแห่งสำนักพันปีศาจซึ่งเจ้าอ้วนเคยพบเขาในการล่าผลไม้วิญญาณ นั่นคือตาเฒ่าเฟิง!
ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหนึ่งคนและผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนวางแผนซุ่มโจมตีผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ ด้วยกำลังขนาดนี้พวกเขาจะสามารถต่อกรได้อย่างไร? เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ทั้งสามคนรู้สึกสิ้นหวังทันที! ช่องว่างระหว่างพวกเขาห่างกันเกินไป เพียงแค่ระดับพลังก็ห่างชั้นจนไม่อาจเทียบได้! ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว แม้ว่าทั้งสามคนจะครอบครองสมบัติวิญญาณก็ตาม!
ก่อนหน้านี้นักบวชฮัวอวิ๋นสร้างความวุ่นวายให้กับเขา จึงเปิดช่องโหว่ให้เจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อทำการซุ่มโจมตีสำเร็จ การโจมตีในครั้งนั้นทำให้เขาสูญเสียนิ้วไปหนึ่งนิ้ว แต่ในตอนนี้พวกเขาทั้งสามไม่มีนักบวชฮัวอวิ๋นคอยช่วยเหลือ และบุคคลด้านหน้านี้เปรียบได้กับนักล่าชั้นเลิศ! ทั้งสามคนจึงตกใจอย่างมากเมื่อเห็นอาวุโสเฟิงปรากฏอยู่ตรงหน้า
เจ้าอ้วนมีเพียงหนึ่งความคิดอยู่ภายในใจเท่านั้น คือเหตุใดผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจึงมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้?
แน่นอนว่าเทือกเขานี้เต็มไปด้วยวัสดุคุณภาพสูงมากมาย แต่มันเป็นประโยชน์กับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่อยากจะเสียเวลากับสถานที่แห่งนี้ แต่นี่คือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน!
นอกเหนือจากนั้นลำแสงสีดำที่ปรากฏขึ้นเห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจวางมันไว้ก่อนล่วงหน้า กล่าวอีกอย่างก็คือทุกคนราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเจ้าอ้วนจะมาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้! นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมคนจากสำนักพันปีศาจถึงรู้ว่าพวกเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่? แล้วเหตุใดฉุ่ยจิ้งจึงไม่สามารถมองเห็นได้จากการทำนาย? และความจริงก็คือบุคคลเหล่านี้สามารถสังหารเขาได้โดยตรงแต่กลับเลือกใช้ลำแสงสีดำเพื่อซุ่มโจมตีทั้งสาม เกิดคำถามมากมายขึ้นภายในใจของเจ้าอ้วน
ในขณะนั้น ใบหน้าของฉุ่ยจิ้งเปลี่ยนไปพร้อมกล่าวออกมาเบา ๆ “ไม่ดีแล้ว ข้าไม่รู้ว่าแสงสีดำนั่นมีความสามารถอะไรแต่มันป้องกันไม่ให้เราเคลื่อนย้ายได้!”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?” เจ้าอ้วนถาม
“ข้าหมายความว่าเราไม่สามารถใช้ทักษะการเคลื่อนย้ายใดได้เลยภายใต้แสงสีดำนี้รวมไปถึงยันต์หยกเคลื่อนย้ายด้วย!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างหมดหวัง
ในขณะที่ได้ยินว่ายันต์หยกเคลื่อนย้ายไม่สามารถใช้งานได้ ปรากฏความสิ้นหวังขึ้นภายในใจของเจ้าอ้วนและหงหยิงอย่างรุนแรง
หลังจากที่อาวุโสเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวล้อเลียนอย่างสนุกสนาน “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าวางแผนใช้แสงสีดำนี้เพื่อไม่ให้ไขมันบัดซบมันหลบหนีได้ ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะไประงับยันต์หยกเคลื่อนย้ายของเจ้าด้วย สวรรค์ช่างมีตา!”
หลังจากที่ทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดโกรธจัดทันทีพร้อมกับคิดในใจ ‘ถ้าหากสวรรค์มีตาจริง เหล่าคนชั่วพวกนี้ควรจะถูกฟ้าผ่าตายไปซะ!’
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับบุคคลที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ดังนั้นเขาแสดงออกอย่างสงบเสงี่ยมและทำความเคารพ “เคารพอาวุโส ท่านคือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน พวกข้าเป็นเพียงบุคคลเล็กจ้อยเท่านั้น ด้วยชื่อเสียงทั้งหมดของท่าน ข้าเชื่อว่าท่านจะไม่กระทำการน่ารังเกียจด้วยการข่มเหงเรา ถูกต้องหรือไม่?”
เจ้าอ้วนตั้งใจกล่าวว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นมือใหม่ หวังว่าเขาจะไม่ทำลายชื่อเสียงของตนเองเพราะเรื่องเท่านี้แม้ว่าความหวังจะมีอยู่น้อยมาก แต่เจ้าอ้วนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล่าวเช่นนี้ออกไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า ชื่อเสียงงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาวุโสเฟิงระเบิดหัวเราะออกมาทันที หลังจากนั้นเขาตอบกลับอย่างโกรธจัด “แม้กระทั่งตอนที่ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากบุคคลที่เรียกตนเองว่ามือใหม่งั้นหรือ? ข้ามีชื่อเสียงแบบไหนกัน? ในตอนนี้ข้าได้กลายเป็นเสียงหัวเราะของบรรดาผู้ฝึกตนทั่วโลกแล้ว!”
เห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้กำลังรู้สึกหดหู่ ความจริงก็คือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินโดนผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนสองคนตัดนิ้วนั้นถือได้ว่าเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง ในขณะที่เรื่องราวเหล่านี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างหัวเราะเขา สำหรับอาวุโสเฟิงนับได้ว่าเป็นบุคคลที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงในโลกแห่งการฝึกตนอย่างมาก แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนกลายเป็นเสียงหัวเราะเข้ามาแทนที่ แล้วเขาจะสามารถเก็บงำความโกรธนี้ไว้ได้อย่างไร?
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีความกล้าหาญสักเพียงใด แต่ในตอนนี้เขาไม่อาจทำสิ่งใดอื่นได้นอกจากร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แต่อาวุโสเฟิงยังคงไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขากล่าวกับผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสองคนพร้อมคำรามออกมา “เจ้าทั้งสองคนจงดูหน้าพวกมันซะ! ในตอนแรกข้ามีศิษย์ถึงสี่คน แต่ข้ากลับต้องสูญเสียศิษย์ที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ถึงสองคน! ซึ่งสองคนนั้นถูกสังหารโดยเพื่อนตัวน้อยเหล่านี้!”
ภายในหัวใจของเจ้าอ้วนรู้สึกหนาวเหน็บและหดหู่อย่างมากในตอนนี้
เฒ่าเฟิงยกมือขวาขึ้นและเปิดเผยนิ้วชี้ที่หายไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มชั่วช้าออกมา “ดูนี่ซะ นิ้วชี้ของข้าไม่มีวันงอกออกมาอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าข้าไม่มียาที่จะทำให้มันงอกออกมา แต่ว่าข้าต้องการเก็บมันไว้อย่างนี้ ข้าจะทำให้มันกลับมาอีกครั้งหลังจากที่พวกเจ้าได้กลายเป็นกองขี้เถ้าแล้วเท่านั้น!”
เมื่อเห็นว่าเฒ่าเฟิงโกรธแค้นเขามากเพียงใด ร่างกายของเจ้าอ้วนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อพร้อมกับขาอันแข็งแกร่งเริ่มสั่นไหว ในตอนนี้เขาไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าอาวุโสเฟิงกล่าวเสร็จแล้ว เจ้าอ้วนรีบโต้ตอบทันที “อาวุโส ท่านได้โปรดฟังข้าก่อน ผู้น้อยนี้รับทราบความผิดของตนเองแล้ว แน่นอนว่าชีวิตของข้าในตอนนี้ขึ้นอยู่กับท่าน!”
บทที่ 181:แผนการอันซับซ้อน
“มันขึ้นอยู่กับข้างั้นหรือ?” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคิดว่ายาจกเช่นเจ้าจะสามารถชดเชยสิ่งที่ข้าสูญเสียไปได้งั้นหรือ? เจ้ามีอะไรที่สามารถทำให้ข้าเปลี่ยนใจได้งั้นรึ?”
“แก่นศิลาสายลม!” เจ้าอ้วนรีบตะโกนออกไป “แก่นศิลาสายลมนั้นเป็นวัสดุชั้นสูงสุด! ข้าคิดว่าท่านจะต้องพอใจอย่างแน่นอน!”
“อะไรนะ?” จากเดิมที่เหยียดหยามกลายเป็นตกใจสุดขีด ตาเฒ่าเฟิงอุทานออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นพร้อมกล่าวว่า “เจ้าพูดเรื่องอะไร? รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในสถานะที่สามารถหลอกลวงข้าได้?”
แก่นศิลาสายลมนั้นถือได้ว่าเป็นหินคุณภาพสูงซึ่งผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินมองว่ามันคือสมบัติ ความสามารถของมันคือช่วยดูดซับปราณธาตุลม สำหรับผู้ฝึกตนธาตุลมดั่งเช่นตาเฒ่าเฟิงมันสำคัญอย่างมาก ไฟต้นกำเนิดของเขาเป็นลมสีดำ ถ้าหากปลดปล่อยมันออกมาแน่นอนว่ามันสามารถระเบิดภูเขาทั้งลูกได้ ถ้าหากนำแก่นศิลาสายลมไปฝังไว้ภายในนั้น แน่นอนว่าพลังของมันจะเพิ่มมากขึ้นถึงสามในสิบจนอาจจะกลายเป็นสมบัติวิญญาณได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ตาเฒ่าเฟิงจะวิตกกับเรื่องนี้อย่างมาก
เมื่อเห็นว่าตาเฒ่าเฟิงสนใจมันอย่างมาก เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างตื่นเต้น “ข้าไม่อาจโกหกท่านได้ ดูนี่ก่อน!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบแก่นศิลาสีดำออกมา
ศิลาก้อนนี้มีความยาวประมาณหนึ่งฟุต มันดูคล้ายกับหยกแต่ว่าไม่ใช่หยก ดูคล้ายทองแต่ก็ไม่ใช่ทอง ไม่มีแสงประกายส่องออกมาจากตัวของมันแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังไม่มีปราณจิตวิญญาณเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย มองดูแล้วมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นหินธรรมดา
แต่นี่คือคุณสมบัติของแก่นศิลาสายลม หลังจากตรวจสอบมันแล้วตาเฒ่าเฟิงยังคงสงสัยอยู่ “ดูเหมือนว่ามันจะเป็นของจริง แต่ปัญหาก็คือข้าไม่อาจมั่นใจได้ มันเป็นเรื่องง่ายมากถ้าหากต้องการจำลองแก่นศิลาสายลมขึ้นมา หลังจากที่เจ้าใส่ปราณจิตวิญญาณของตนเองลงไปมันจะปลดปล่อยแสงสีเขียวออกมาและเกิดเป็นพายุหมุนที่สวยงาม! เอาล่ะเด็กน้อย ทดสอบมันซะ!”
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะมันคือของจริง!” เจ้าอ้วนกล่าว “ตราบใดที่ท่านปล่อยพวกเราไป แน่นอนว่าข้าจะมอบมันให้กับท่าน!”
“ฮ่าฮ่า ข้าสามารถสังหารเจ้าก่อนแล้วจึงครอบครองมันในภายหลังก็ได้!” ตาเฒ่าเฟิงกล่าวอย่างถือไพ่เหนือกว่า
“แน่นอน!” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น เขาจับแก่นศิลาสายลมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมยื่นมันไปที่กระบี่เฟิงหมิงและกล่าวว่า “ท่านรู้ความแข็งแกร่งของแขนข้าดี นอกจากนั้นท่านต้องรู้ว่ากระบี่เฟิงหมิงนั้นมีความคมมากเท่าไหร่ ถ้าหากคิดจะเล่นตุกติก ข้าสัญญาว่าข้าจะทำลายมัน!”
“ไม่! ไม่ได้! เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้!” ตาเฒ่าเฟิงหงุดหงิดทันที แก่นศิลาสายลมนั้นแตกต่างจากวัสดุอื่นคือมันจะสามารถใช้งานได้เมื่อมันอยู่ในสภาพสมบูรณ์เท่านั้น เนื่องจากมันสำคัญอย่างมาก ตาเฒ่าเฟิงจึงไม่คิดจะให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น เขารีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “ข้าเชื่อเจ้า ข้าสัญญาว่าถ้าหากเจ้ามอบมันให้กับข้า ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!”
“อย่าเชื่อเขา!” หงหยิงตะโกนออกมา “คนที่มาจากสำนักปีศาจไม่เคยรักษาสัจจะ เขาจะสังหารพวกเราไม่ว่าจะมอบมันให้หรือไม่ เหตุใดพี่ชายอ้วนจึงไม่ปล่อยให้ข้าทำลายมัน?” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น หงหยิงเรียกใช้งานกระบี่เฟิ่งหมิงทันทีเพื่อที่จะทำลายมัน
ตาเฒ่าเฟิงหงุดหงิดพร้อมกล่าวอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ได้ ข้าสาบาน! สาบานว่าข้าจะไม่ลืมคำพูดของตนเอง ด้วยชื่อเสียงและสถานะของข้า คงไม่อาจโกหกเหล่าผู้น้อยเช่นพวกเจ้าได้ ถูกต้องหรือไม่?”
“ไร้สาระ ท่านเพิ่งกล่าวว่าตนเองกลายเป็นเสียงหัวเราะภายในโลกแห่งการฝึกตนและชื่อเสียงที่มีนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป นอกจากนี้ยังไม่มียางอายที่ซุ่มโจมตีผู้น้อยอย่างพวกเรา!” หงหยิงตะโกนออกมาอย่างรังเกียจ
เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดจนแทบจะตายตกไป แต่เพื่อแก่นศิลาสายลมเขาจึงต้องระงับความโกรธนั้นไว้และกล่าวอย่างรู้สึกผิด “นั่นคืออดีต แต่ในตอนนี้เราอยู่กับปัจจุบัน ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้ามีแก่นศิลาสายลม!”
“แต่ตอนนี้ท่านรู้แล้ว!” เจ้าอ้วนตอบกลับ “ท่านอาวุโส ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้เราออกไปก่อน ข้าจะมอบแก่นศิลาสายลมให้ท่านเมื่อเราปลอดภัย!”
“บัดซบ เมื่อพวกเจ้าปลอดภัย เจ้าจะมอบแก่นศิลาสายลมให้กับข้างั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่?” ตาเฒ่าเฟิงตะโกนออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องได้รับแก่นศิลาสายลมภายในวันนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดก็จะต้องตายอยู่ที่นี่!”
“แต่พวกเรา…” หงหยิงกล่าวได้เพียงแค่นั้น นางถูกขัดจังหวะโดยตาเฒ่าเฟิง “ไม่มีแต่! ทางเลือกของพวกเจ้ามีเพียงอย่างเดียวคือเชื่อข้า! ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าจะเปิดการต่อสู้และส่งพวกเจ้าไปสู่ความตาย!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ร่างกายของเขาปลดปล่อยจิตสังหารออกมาเพื่อกดดันทั่วบริเวณ
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถต่อรองได้ เจ้าอ้วนรู้สึกอึดอัดอย่างมาก หลังจากไตร่ตรองอยู่สักครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวออกมาอย่างไม่เต็มใจ “ตกลง ในครั้งนี้เราจะไว้ใจท่านอาวุโส แต่ท่านจะต้องสาบานก่อน!”
ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น หงหยิงกระโดดออกมาด้านหน้าพร้อมกล่าวอย่างกังวล “พี่ชายอ้วน เหตุใดท่านจึงโง่งมเช่นนี้? เขาไม่มีทางที่จะรักษาคำพูดอย่างแน่นอน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “อ้วนน้อยเจ้านั้นเลือกได้ถูกต้องแล้ว ชายชราผู้นี้ขอสัญญาว่าเมื่อใดที่เจ้ามอบแก่นศิลาสายลมให้กับข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไปทันที! ถ้าหากว่าข้าผิดคำพูด ข้าจะ… ข้าจะ…”
ในขณะที่เขากำลังกล่าวคำสาบาน ลิ้นของเขาติดขัดอย่างไม่อาจช่วยได้ เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “ท่านจะต้องตายตกไปโดยผู้ฝึกตนชอบธรรม!”
ในขณะที่ตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขากรอกตาไปมาพร้อมกับมองเจ้าอ้วนด้วยความโกรธ แต่เขาเลือกที่จะปิดบังมันไว้พร้อมกับคิดในใจ ‘ข้าจะต้องได้รับแก่นศิลาสายลมก่อน จากนั้นค่อยจัดการกับเจ้าไขมันบัดซบนี่!’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาแสร้งยิ้มออกมาพร้อมหัวเราะอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ ตกลง ถ้าหากเจ้าต้องการเช่นนั้น ถ้าหากข้าผิดคำพูดขอให้ข้าตายตกไปด้วยมือของผู้ฝึกตนชอบธรรม เท่านี้ก็พอแล้วใช่หรือไม่? รีบมอบแก่นศิลาสายลมให้ข้าได้แล้ว ข้าต้องการตรวจสอบมันและหลังจากนั้นข้าจะปล่อยพวกเจ้าทั้งหมดไป!”
ในขณะที่หงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางกังวลอย่างมากพร้อมกับจับแขนเจ้าอ้วนไว้และกล่าวว่า “พี่ชายอ้วน พี่ชายอ้วนท่านอย่าฟังเขา!”
“แต่มันก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วไม่ใช่หรือ?” เจ้าอ้วนกล่าว
“มันไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน พวกเราทั้งหมดจะต้องตายอยู่ดี!” หงหยิงกล่าวพร้อมมองไปที่ฉุ่ยจิ้ง “ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งกล่าวอะไรสักอย่างสิ!”
“เฮ้อ ตอนนี้ข้าสับสนมากและไม่รู้จะกล่าวอะไร ขอให้ศิษย์พี่เป็นคนตัดสินใจเถิด!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับ เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกผิดที่ไม่สามารถล่วงรู้การซุ่มโจมตีในครั้งนี้ได้
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนกล่าว “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง บุคคลที่ซุ่มโจมตีเราเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินและแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก อีกทั้งสองสามวันนี้เจ้าไม่ได้พักผ่อนและยังต้องวิ่งตามข้าไปทุกหนทุกแห่งส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้า มันไม่ผิดหรอกถ้าหากเจ้าจะพลาดบ้าง! เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดอันใดทั้งสิ้น!”
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก ข้าเข้าใจแล้ว!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แต่ในตอนนี้ข้ายังคงสับสนมาก ข้าทำได้เพียงเชื่อในตัวท่าน!”
“อืม!” เจ้าอ้วนพยักหน้าพร้อมตอบกลับ “อาวุโสผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่แข็งแกร่ง ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงอย่างมากในเทือกเขาใหญ่แห่งนี้ ข้าไม่คิดว่าเขาจะลดศักดิ์ศรีของตนเองด้วยการผิดคำพูด ดังนั้นข้าจะมอบแก่นศิลาสายลมให้กับเขาเพื่อตรวจสอบ หลังจากนั้นเขาจะปล่อยเราไป พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เชื่อเขา!” หงหยิงกล่าว
“ข้าคิดเช่นเดียวกับศิษย์พี่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างสงบ
“อะไรนะ?” เมื่อหงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางอุทานออกมาทันที “ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งท่านรู้อยู่แล้วว่าคนจากสำนักปีศาจไม่รักษาสัจจะ ทำไมท่านจึงสนับสนุนความคิดพี่ชายอ้วน!?”
“เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพาความเมตตาของพวกเขา เนื่องจากไม่ว่าเลือกหนทางใดเราก็ต้องตาย ทำไมเราไม่ลองเลือกทางที่โอกาสรอดสูงกว่าล่ะ?” ฉุ่ยจิ้งยิ้มออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะลั่นพร้อมกล่าวว่า “ฉุ่ยจิ้งฉลาดมาก เอาล่ะอ้วนน้อยรีบส่งแก่นศิลาสายลมมาให้ข้าได้แล้ว!”
“อย่ามอบมันให้เขา ในตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะต้องตายอยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่ตายจากการต่อสู้!” หงหยิงรีบกล่าว
เจ้าอ้วนไม่สนใจหงหยิงอีกต่อไปเขามอบแก่นศิลาสายลมให้กับตาเฒ่าเฟิง
เมื่อเห็นเช่นนั้น หงหยิงหงุดหงิดอย่างมากพร้อมกับสั่งให้กระบี่เฟิ่งหมิงทำลายแก่นศิลาสายลม แต่ในขณะที่นางกำลังจะใช้งานมัน นางถูกระงับไว้โดยเจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้ง จึงไม่อาจทำได้ดั่งใจตน
น้ำตาของหงหยิงไหลออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจ นางกระทืบเท้าของตนพร้อมกับตะโกนออกมาทั้งน้ำตา “เหล่าปีศาจจะไม่รักษาสัจจะ! พวกท่านจะต้องเสียใจ!”
“แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร?” เจ้าอ้วนเม้มปากพร้อมกับกล่าวอย่างค่อนแคะ “เขาเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน มีเหตุผลใดที่เขาจะไม่รักษาคำพูด?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ในขณะนั้น ตาเฒ่าเฟิงถือแก่นศิลาสายลมเอาไว้พร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ไขมันบัดซบ เจ้าสารเลวตัวไหนมันบอกเจ้าว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจะไม่โกหก?”
“ใช่แล้ว การโกหกเป็นสิ่งที่พวกเรากระทำอยู่ทุกวัน!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันกล่าวออกมา
“เจ้าเป็นเพียงไขมันที่โง่เง่า! หัวของเจ้าใหญ่ก็จริงแต่กลับไร้สมอง! อีกทั้งยังมีภาระติดพันกับสตรีโง่สองนาง!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันอีกคนกล่าวออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ทั้งสามคนหัวเราะออกมาลั่นภูเขา
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับร่างกายที่เริ่มสั่น “พวกท่านคิดเช่นนั้นจริงงั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่า พวกเรามาจากสำนักปีศาจ เรื่องความไร้ยางอายมันงานถนัดของพวกข้าอยู่แล้ว ผู้ฝึกตนชอบธรรมนั้นเต็มไปด้วยความอัปยศและไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเรา!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันหัวเราะออกมา
“เหอะ!” ในขณะที่หงหยิงเห็นดังนั้นนางกล่าวออกมาว่า “พี่ชายอ้วน ดูสิ ดูว่าข้าพูดผิดตรงไหน!”
ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่มอบหินธรรมดาเท่านั้น มันไม่ใช่แก่นศิลาสายลม!”
“ว่าอะไร?” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวออกมาเช่นนั้น ทุกคนตะลึงในทันที
มีเพียงตาเฒ่าเฟิงเท่านั้นที่ยิ้มออกมา เพราะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับสิ่งที่เจ้าอ้วนกล่าว เขาจึงตอบว่า “ไขมันบัดซบ เจ้าคิดว่าข้าจะทำลายหินก้อนนี้เพียงแค่เจ้าบอกว่ามันเป็นของปลอมงั้นหรือ? ฮ่าฮ่า เจ้าดูถูกสติปัญญาของข้ามากเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่สามารถตรวจสอบมันได้ในระยะไกล แต่ข้าสามารถบอกได้ว่ามันคือของจริงและในตอนนี้มันอยู่กับข้าแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้รับมันมาจากที่ใด แต่แน่นอนว่าการแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าสมบูรณ์ ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อข้า จงดูซะ!”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาใส่ปราณจิตวิญญาณของตนเองลงไปในแก่นศิลาสายลม จากนั้นปรากฏแสงสีเขียวขึ้นพร้อมกับพายุหมุนลูกเล็กออกมาจากหิน
“เจ้าเห็นมั้ย ว่ามันคือของจริง! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
แต่หลังจากที่เขาหัวเราะเสร็จสิ้นแล้ว แสงสีเขียวเริ่มเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่แสงของแก่นศิลาสายลม มันห่อหุ้มร่างกายของตาเฒ่าเฟิงพร้อมกับหายตัวไปทันที
เมื่อสถานการณ์ถูกแปรเปลี่ยนไปเช่นนี้ ทุกคนเข้าสู่สภาวะป้องกันทันทีโดยเฉพาะผู้ฝึกตนระดับจินตัน พวกเขาไม่อาจคาดคิดได้ว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ถ้าหากว่าไม่ได้เห็นมันด้วยตนเอง พวกเขาคงคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน
หงหยิงสับสนอย่างรุนแรง มีเพียงเจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งเท่านั้นที่หัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกล่าวว่า “ยันต์หยกเคลื่อนย้ายระดับต่ำ!”
เมื่อหงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางถามอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้ง อะไรคือยันต์หยกเคลื่อนย้ายระดับต่ำ?”
“แสงสีเขียวที่ปรากฏออกจากแก่นศิลาสายลมเดิมทีเป็นแสงที่เปล่งออกมาจากยันต์หยกเคลื่อนย้ายระดับต่ำ!” สวรรค์! ฉุ่ยจิ้งกล่าวต่อ “อา ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยศิษย์พี่โยนแก่นศิลาสายลมที่ซ่อนยันต์เคลื่อนย้ายระดับต่ำไว้ด้านใน ถ้าหากอาวุโสเฟิงต้องการที่จะทดสอบหิน เขาจะต้องบรรจุปราณจิตวิญญาณลงไปในนั้นเพื่อเรียกใช้งานยันต์หยกเคลื่อนย้ายระดับต่ำและในเวลานั้นเขาก็จะถูกย้ายออกไปทันที!”
“ว่าอะไร?” ในขณะที่หงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ “เขาถูกส่งออกไปโดยยันต์เคลื่อนย้ายระดับต่ำ แล้วเขาจะถูกส่งไปที่ไหน?”
“แน่นอน! อาวุโสเฟิงที่ข่มเหงพวกเราในตอนนี้กำลังไปหาผู้อาวุโสของเราที่สำนักเสวียนเทียน!” เจ้าอ้วนยิ้มและกล่าวออกมาอย่างร่าเริง “อาวุโสเฟิงนั้นช่างกล้าหาญ! เขากล้ามากที่บุกเข้าไปโจมตีลานของสำนักเสวียนเทียนโดยลำพัง สวรรค์ มันต้องใช้ความกล้าสักเท่าไหร่กัน!”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชมอาวุโสเฟิง แต่ความจริงนั้นทุกคนรู้ดีว่าเขาเสแสร้ง!
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้น ต่างพากันสาปแช่งในใจ ‘ไขมันบัดซบช่างเล่นละครเก่งเหลือเกิน! เรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นเพียงละครเท่านั้น แต่หลังจากที่จัดการกับอาวุโสเฟิงสำเร็จ มันยังกล้าแสดงใบหน้างี่เง่าออกมาและกล่าวถากถาง!’
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าสำนักเสวียนเทียนไม่ใช่สถานที่ที่บุคคลคนเดียวจะกล้าหาญเข้าไปยืนอยู่ได้ ในสถานที่แห่งนั้นมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินอยู่สี่คนพร้อมด้วยผู้ฝึกตนระดับจินตันอีกหลายสิบคน ซึ่งสำนักนั้นมีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยาวนานมาหลายสิบทศวรรษ แม้ว่าจะไม่ได้มีผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินก็ตาม จริงอยู่ที่อาวุโสเฟิงนั้นแข็งแกร่ง แต่เขาอยู่ในระดับหยวนหยินเท่านั้น การโจมตีสำนักเสวียนเทียนด้วยตัวคนเดียวนั้นคล้ายกับหมูป่าวิ่งเข้ากองไฟ แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดจะต้องจบลงด้วยความตายของเขา!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น