Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 168-174

 บทที่ 168: สำนักเสวียนเทียน


“เหอะ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะขมขื่น “ข้ารู้สึกว่าประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการทดสอบจากทัณฑ์สวรรค์นี้คือการเพิ่มพลังของร่างกายข้า ในตอนนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายนั้นแข็งแกร่งไร้ขีดจำกัด อีกทั้งความแข็งแกร่งของธาตุทั้งห้ายังเพิ่มขึ้นอีกมากด้วย และดูท่าว่าจะไม่มีจุดสิ้นสุดเลย!”


“ฮ่าฮ่า เด็กน้อยเจ้ากำลังจะกลายเป็นอสูรกายงั้นสินะ!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างอิจฉา


“ฮี่ฮี่” เจ้าอ้วนไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพียงแต่หัวเราะออกมา


“พอก่อน หยุดหัวเราะเช่นนี้เสีย เราควรกลับได้แล้ว ข้ามีบางอย่างต้องการจะถามเจ้า!” ในขณะที่จ้าวสำนักกล่าวเช่นนั้น เขาไม่ได้ต้องการคำตอบของเจ้าอ้วนแต่อย่างใด เ16ขาคว้าเจ้าอ้วนอย่างรวดเร็วพร้อมกับบินกลับสำนักเสวียนเทียนทันที


เวลาถัดมาเขาทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้นบนลานของจ้าวสำนัก เจ้าอ้วนได้พบภรรยาจ้าวสำนักอีกครั้ง แต่หงหยิงและฉุ่ยจิ้งไม่ได้อยู่ที่นี่ ชัดเจนว่าพวกนางทั้งสองยังไม่พร้อมที่จะเจอเขาในเร็ว ๆ นี้


เมื่อได้พบกันอีกครั้งภรรยาจ้าวสำนักยังคงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ด้วยสถานะอาวุโสของนางจึงแสร้งปล่อยให้ทุกอย่างกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


จากนั้นนางยื่นกระเป๋ามิติใบหนึ่งให้กับเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวว่า “ในนี้มีหินปราณจิตวิญญาณอยู่และวัสดุอีกเล็กน้อย นี่คือรางวัลของเจ้าที่เข้าร่วมการค้นหาผลไม้วิญญาณ เก็บรักษาให้ดี!”


“ขอรับ!” เจ้าอ้วนไม่ได้กล่าวอะไรมาก เขาหยิบมันและโยนมันเข้าไปภายในมิติและเลิกสนใจมันโดยสิ้นเชิง


หลังจากที่มอบสิ่งของให้กับเจ้าอ้วนเสร็จสิ้นแล้ว ภรรยาจ้าวสำนักยังไม่ได้บอกให้เจ้าอ้วนออกไป แต่นางกลับยืนอยู่ตรงหน้าของเจ้าอ้วนและถามเขาอย่างจริงจัง “เด็กน้อย เจ้าเตรียมใจไว้หรือยัง ข้ามีเรื่องใหญ่จะคุยกับเจ้า!”


“ขอรับ?” เมื่อเจ้าอ้วนเห็นภรรยาจ้าวสำนักเคร่งเครียด เขาเข้าใจทันทีว่าเรื่องที่นางจะกล่าวนั้นสำคัญมาก เขารีบตอบรับทันที “ศิษย์พร้อมจะรับฟัง!”


“ดีมาก! เรื่องนี้สำคัญมาก!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าว “จากสถานการณ์ปัจจุบันของสำนักเสวียนเทียน เรามีแผนที่จะไปจากที่นี่ ข้าต้องการถามว่าเจ้าต้องการติดตามไปด้วยหรือไม่?”


“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันที “ทุกอย่างปกติดี ทำไมท่านต้องละทิ้งไป?”


“เฮ้อ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะปกติดี แต่ความเป็นจริงนั้นยุ่งเหยิงมาก!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวด้วยเสียงหัวเราะขื่นขม “เหล่าศิษย์ชั้นสูงในความดูแลของนักบวชฮัวอวิ๋นได้หายสาบสูญไปทั้งหมด เขาสงสัยว่าเราเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหากับเราอย่างมาก แม้ว่าในตอนนี้ทุกสิ่งอย่างจะดูปกติ แต่ถ้าหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ด้วยอารมณ์ของจ้าวสำนัก ข้าคิดว่าจะต้องมีการต่อสู้กันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พวกเราทั้งสามคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมสำนักและออกเดินทางมาด้วยกันหลายครั้ง ข้าไม่อาจทนเห็นการต่อสู้เช่นนี้ได้ ดังนั้นข้าจึงมีแผนที่จะออกเดินทางและพาหงหยิงไปด้วย พร้อมกับปล่อยให้เขาดูแลสำนักเสวียนเทียน!”


“แล้วท่านจะลี้ภัยไปยังสถานที่ใด?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างสับสน “ครอบครัวและเหล่าบรรพบุรุษต่างเติบโตที่นี่ ท่านสามารถละทิ้งมันได้โดยง่ายงั้นหรือ?”


“ฮ่าฮ่า!” ในขณะที่จ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “บ้านคือสำนักเสวียนเทียนงั้นหรือ? มันเป็นเพียงสถานที่เล็ก ๆ เท่านั้น ในตอนนี้เราจะกลับไปยังสำนักสาขา ที่นั่นต่างหากคือบ้านของเราอย่างแท้จริง!”


“สำนักสาขา? ที่ใดกัน?” เจ้าอ้วนรีบถามอย่างอยากรู้อยากเห็น


“สำนักสาขาเสวียนเทียนนั้นมีความลึกล้ำ สำนักใต้บัญชาล้วนสูงล้ำกว่าสำนักอื่นอย่างไม่อาจเทียบ!” จ้าวสำนักกล่าวกับเจ้าอ้วนถึงความลับบางอย่างของสำนัก


หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของภรรยาจ้าวสำนัก เจ้าอ้วนจึงเข้าใจได้ว่าสำนักเสวียนเทียนนั้นเป็นเพียงสำนักย่อยของสำนักสาขาขนาดมหึมา โดยมีชื่อสำนักเสวียนเทียนที่นับได้ว่าเป็นรากฐานของทุกสิ่ง


สำนักเสวียนเทียนมีการสืบทอดกันมาหลายสหัสวรรษ โดยมีประตูหลักตั้งอยู่ที่ถ้ำสวรรค์เสวียนเทียน ภายในมีสำนักสาขาอยู่ทั้งสิ้นแปดแห่ง และในสำนักสาขาก็จะมีสำนักย่อยภายใต้อีกทีหนึ่ง และเจ้าอ้วนก็อยู่เพียงแค่ที่ส่วนเล็กที่สุดหรือก็คือสำนักย่อยเสวียนเทียน


โดยปกติแล้วจ้าวสำนักย่อยเสวียนเทียนนั้นจะอยู่ในระดับเฟินเสินหรือหยวนหยิน สำหรับจ้าวสำนักสาขาเสวียนเทียนจะอยู่ในระดับเลี่ยนจือพร้อมด้วยอาวุโสระดับเฟินเสินทั้งแปดภายใต้การดูแลและผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน ทางด้านสำนักหลักเสวียนเทียนจะเป็นผู้ฝึกตนระดับเหอตี้เป็นจ้าวสำนักซึ่งจะมีอาวุโสเลี่ยนจืออยู่ภายใต้การปกครอง ในส่วนของประมุขสำนักหลักเสวียนเทียนนั้นจะอยู่ในระดับต้าเชิ่ง!


ในโลกแห่งผู้ฝึกตนมีสำนักจำนวนมากซึ่งเป็นสำนักย่อยของเสวียนเทียน อย่างเช่นหอเฉวียนจี้ก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักเฉวียนจี้ โดยพวกเขาจะแบ่งย่อยออกมาเป็นหอเฉวียนจี้และตำหนักเฉวียนจี้


จึงกล่าวได้ว่าจ้าวสำนักและภรรยาของเขาไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของสำนักย่อยเสวียนเทียนนี้ ประโยชน์ของจ้าวสำนักที่อยู่ที่นี่คือมีความเป็นส่วนตัวและไม่มีผู้ใดเข้ามายุ่งย่ามกับเขาได้! แต่มันยังคงมีข้อเสียก็คือทรัพยากรที่เขาได้รับนั้นไม่อาจเทียบเท่ากับการดำรงอยู่ในสำนักสาขาและไม่มีอาวุโสคอยช่วยเหลือในเรื่องของการฝึกตน


ความจริงก็คือการฝึกฝนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญต่อผู้ฝึกตนอย่างมาก มันจึงดีกว่าถ้าหากอยู่ในสำนักสาขา แต่เนื่องจากสำนักย่อยนี้ยังต้องการผู้นำ จ้าวสำนักและภรรยาจึงไม่อาจปฏิเสธได้ในตอนนั้น


ภายใต้สถานการณ์ตอนนั้น จ้าวสำนักย่อยจะต้องดำรงตำแหน่งจ้าวสำนักไปนานนับสองร้อยปีจึงสามารถกลับสู่สำนักสาขา ตอนนี้นั้นชัดเจนว่ายังไม่ครบสองร้อยปี หากต้องการกลับก่อนครบกำหนดสองร้อยปีก็ต้องประสบความสำเร็จ นั่นก็คือหงหยิง!


เหตุผลที่แท้จริงของการมีสำนักย่อยมากมายไม่ได้เป็นเพียงการหาทรัพยากรในการฝึกฝนเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือค้นหาผู้มีพรสวรรค์และความสามารถ!


ตัวอย่างเช่นมู่ซื่อหรง ดาบเทวะไร้ผู้ต้าน และเสี่ยวไป่หลง ทั้งสามอาจถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ว่าบุคคลเช่นนี้ไม่ได้ค้นหายากเย็นนัก แน่นอนว่าบุคคลเหล่านี้สามารถก้าวเข้าสู่ระดับหยวนหยินได้ แต่ไปได้ถึงระดับเฟินเสินน้อยมาก ดังนั้นมีเพียงสำนักย่อยเสวียนเทียนเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับพวกเขาแต่ไม่ใช่สำนักสาขาเสวียนเทียน


สำหรับใครบางคนที่เหมือนกับหานหลิงเฟิง มันก็คงจะดีถ้าหากเข้าสู่ระดับจินตันได้ แต่อาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าสู่ระดับหยวนหยิน ดังนั้นความดูแลที่นางได้รับจะน้อยยิ่งกว่าสามคนก่อนหน้านี้


อย่างไรก็ตามหงหยิงนั้นแตกต่างออกไป ภายใต้สถานการณ์ปกติ นางสามารถพัฒนาเข้าสู่ระดับเฟินเสินได้โดยง่าย จากนั้นนางจะสามารถเข้าสู่ระดับเลี่ยนจือหรือเหอตี้ต่อไป ถ้าหากนางได้รับคำแนะนำจากอาวุโสมากขึ้น แน่นอนว่านางสามารถเข้าสู่ระดับต้าเชิ่งได้และจะกลายเป็นผู้นำของสำนัก


อัจฉริยะเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ครั้งเดียวในหลายพันปีซึ่งนับว่าค้นหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นศิษย์เหล่านี้จึงมีค่ามากและจะต้องต่อสู้กับหลายสำนัก ตราบใดที่สามารถค้นหาเหล่าบุคคลที่มีพรสวรรค์ได้ คนเหล่านั้นจะได้รับรางวัลใหญ่จากสำนัก ด้วยเหตุเช่นนี้การเคลื่อนย้ายก่อนเวลาที่กำหนดจึงไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด


แน่นอนว่าเหตุผลที่จ้าวสำนักและภรรยาเลือกที่จะพาหงหยิงออกจากที่นี่ไม่ใช่เพียงเพราะเกรงกลัวต่อนักบวชฮัวอวิ๋น ในความจริงแล้วจ้าวสำนักเพียงคนเดียวสามารถปราบปรามนักบวชฮัวอวิ๋นได้ ถ้าไม่เช่นนั้นในเวลานั้นนักบวชฮัวอวิ๋นคงจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในสำนักย่อยเสวียนเทียนนี้แล้ว


ทั้งสามคนเติบโตขึ้นภายในสำนักย่อยเสวียนเทียนและสนิทกันมาก โดยเฉพาะนักบวชฮัวอวิ๋นและภรรยาจ้าวสำนัก พวกเขามีความจงรักภักดี ความแค้น ความเกลียดชัง และความรัก ดังนั้นนางจึงไม่อาจอดทนมองดูจ้าวสำนักและนักบวชฮัวอวิ๋นต่อสู้กันอีกครั้ง


แน่นอนว่านางไม่ได้ชักชวนให้นักบวชฮัวอวิ๋นออกไปด้วย แต่นางเพียงหันหน้าไปพูดกับสามีตนเองเท่านั้น ในตอนนี้หงหยิงอยู่ในระดับปฐมภูมิและนางยังต้องคอยชี้แนะอีกหลายเรื่อง อีกทั้งหงหยิงยังมีค่าใช้จ่ายอีกมากที่จะต้องใช้ซื้อสมบัติหรือวัสดุต่าง ๆ เพื่อการฝึกตน ชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอต่อความต้องการเหมือนสำนักสาขา เหตุผลนี้จึงมากพอที่จะทำให้พวกเขาทั้งหมดไปจากที่นี่


แม้ว่าจ้าวสำนักคิดที่จะต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋น แต่เขาก็ไม่อาจขัดใจภรรยาของตนได้ อีกทั้งความจริงที่เขาไม่อาจแยกกับบุตรสาวได้จึงต้องยอมรับข้อเสนอนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


แต่ก่อนที่พวกเขาจะไป ทั้งหมดยังมีความเป็นห่วงเจ้าอ้วน แน่นอนว่าถ้าหากเจ้าอ้วนไม่มีผู้ใดคุ้มครอง เขาจะต้องทุกข์ทรมานในสถานที่แห่งนี้อย่างมากเพราะนักบวชฮัวอวิ๋นเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ ดังนั้นจ้าวสำนักและภรรยาจึงคิดที่จะพาเจ้าอ้วนไปกับพวกเขาด้วย ถ้าหากพวกเขาทั้งหมดอยู่ในสำนักสาขาเสวียนเทียนแล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นก็ไม่อาจกระทำการอันใดได้


เมื่อมองเห็นเจตนาที่ดีของจ้าวสำนักและภรรยา เจ้าอ้วนรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าหากเขาได้รับข่าวนี้ก่อนที่จะเดินทางไปล่าผลไม้วิญญาณ เขาคงจะเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล เขาจะได้พบสถานที่ที่เหมาะสมกับการฝึกตนและอยู่ใกล้กับหงหยิง ชีวิตเขาจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกล่ะ?


แต่ในตอนนี้ปัญหาก็คือเขาได้รับข่าวนี้หลังจากกลับมาจากการล่า ซึ่งเขาได้รับรู้ความจริงบางอย่างว่าครอบครัวของเขาถูกทรยศจากการออกเดินทางไปทำภารกิจ


ในฐานะบุตรชาย เขาไม่อาจปล่อยการตายของครอบครัวให้ผ่านไปเฉย ๆ เช่นนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะปฏิเสธความปรารถนาดีของจ้าวสำนักและภรรยา


เมื่อได้ยินว่าเจ้าอ้วนขอปฏิเสธ จ้าวสำนักและภรรยาตกใจชั่วขณะ จ้าวสำนักโกรธมากถึงขนาดที่คำรามออกมา “อ้วนน้อย เจ้ากล้าหักหน้าข้างั้นหรือ?”


ภรรยาจ้าวสำนักดึงแขนเขาไว้เพื่อให้หยุดเสียมารยาทและเริ่มกล่าวชักชวนอีกครั้ง “เด็กน้อย แม้ว่านักบวชฮัวอวิ๋นจะไม่ใช่คนชั่วช้าโดยธรรมชาติ แต่เขาเป็นบุคคลที่มีจิตใจคับแคบ ในตอนที่เจ้าขโมยดาบแห่งธาตุทั้งห้าจากเขามาในเวลาก่อนหน้านี้ได้เป็นเพราะเรายังอยู่ที่นี่ เขาไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ แต่ในขณะที่เราออกไป เจ้าจะไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขในสถานที่นี้ได้!”


“ศิษย์เข้าใจ!” เจ้าอ้วนพยักหน้าอย่างหมดหนทาง พร้อมกับตอบกลับด้วยเหตุผล “แต่ไม่ใช่ว่าศิษย์ไม่เข้าใจความปรารถนาดีของท่านทั้งสอง แต่ข้ามีเหตุผลที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อ หวังว่าท่านทั้งสองจะเข้าใจ!”


“เหตุผลบ้าอะไรกัน เจ้าบอกข้าได้หรือไม่?” จ้าวสำนักตะโกนออกมา “ถ้าหากมันเป็นเหตุผลที่ดีมากพอ ข้าจะอยู่ที่นี่เพียงเพื่อปกป้องเจ้า!”


เจ้าอ้วนไม่เต็มใจที่จะบอกปัญหาของตนเองให้กับผู้อื่น ดังนั้นเขาส่ายศีรษะพร้อมกล่าวว่า “ท่านควรละทิ้งไป ข้าจะจัดการปัญหาของข้าเอง!”


“เด็กที่อวดดี!” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น อารมณ์ของเขาระเบิดออกทันที


บทที่ 169: ชาวิถีเต๋า


ท้ายที่สุดภรรยาจ้าวสำนักเห็นแล้วว่าเจ้าอ้วนนั้นต้องการจัดการปัญหาของตนเองจริง นางหยุดจ้าวสำนักและกล่าวอย่างขมขื่น “ลืมมันไปเด็กน้อย เราจะไม่บังคับเจ้าเพราะยังมีเวลาเหลืออยู่ อีกไม่กี่วันสำนักสาขาเสวียนเทียนจะส่งคนมาเพื่อทดสอบอัจฉริยภาพของหงหยิง เราจะออกเดินทางเมื่อเขาตรวจสอบนางเสร็จแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะคิดได้ภายในไม่กี่วันนี้ ถึงตอนนั้นเราจะถามเจ้าอีกครั้งตกลงหรือไม่?”


ความจริงแล้วเจ้าอ้วนต้องการจะปฏิเสธพวกเขาที่นี่และตอนนี้ แต่ภรรยาจ้าวสำนักยังคงอาวุโสกว่าและกล่าวกับเขาด้วยความใส่ใจ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหักน้ำใจของนางได้ จึงทำให้เพียงตอบรับและกลับออกมา


หลังจากที่เขากลับออกมา เขาเดินทางกลับลานม่านหมอกของตนเองทันที เขาอยู่ในสภาวะเบื่อและต้องการทำอะไรสักอย่าง จากนั้นเขาพลันนึกขึ้นมาได้ เขาจำได้ว่าในช่วงการล่าเขาพบต้นชาและนำกลับมาด้วย


แม้ว่ามันจะไม่มีปราณจิตวิญญาณมากนัก และไม่สามารถเทียบกับชาชื่อดังของโลกได้ แต่ต้นกำเนิดของมันนั้นลึกลับเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่ยาที่ล้ำค่าอะไรนัก แต่ดูเหมือนว่ามันจะเต็มไปด้วยกฎแห่งสวรรค์ บางทีเขาอาจจะค้นพบอะไรก็เป็นได้


ในขณะที่คิดดังนั้นภายในใจ เจ้าอ้วนตัดสินใจใช้โอกาสนี้เลือกใบชาบางส่วนทำเครื่องดื่มประจำวันหลังจากที่ใช้เสียงจนแหบแห้ง


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่ใช่บุคคลที่รู้วิธีชงชา แต่ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ถ้าหากเขาคือเจ้าของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า! ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิน นางทั้งหมดมีชีวิตอยู่นับพันปี ด้วยความที่มีชีวิตอันยาวนาน พวกนางย่อมต้องรู้ศาสตร์หลายแขนง ความสามารถในการปรุงชาแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่พวกนางคือหญิงงามทั้งเก้าก็สมควรต้องเรียนรู้ศาสตร์แห่งการชงชาขั้นสูง งานเล็กน้อยเพียงแค่นี้ไม่นับเป็นความท้าทายอันใดสำหรับพวกนาง


พวกนางทั้งหมดจัดการเรื่องนี้ให้กับเจ้าอ้วนได้โดยการโบกมือเพียงครั้งเดียว ภายในไม่กี่วันถัดมา พวกนางได้สรรค์สร้างชาขึ้นมาสองชนิด หลังจากกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หญิงงามทั้งเก้ากล่าวกับเจ้าอ้วนว่าพวกนางเคยได้ยินเรื่องราวของต้นชานี้มาก่อน แต่พวกนางต่างพูดกันไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่นัก


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น จึงเลิกใส่ใจเรื่องนี้ไป หญิงงามทั้งเก้าได้ไปยังสถานที่ต่าง ๆ มากมายในขณะที่พวกนางยังมีชีวิต พบเห็นชามากมายหลายร้อยพันชนิด ก็คงจะไม่แปลกถ้าพวกนางจะเคยเห็นมันมาก่อน แต่การที่พวกนางไม่สามารถอธิบายได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก พวกนางทั้งหมดถูกปรับแต่งให้กลายเป็นสมบัติวิญญาณมาเนิ่นนานนับพันปีแล้ว การสูญเสียความทรงจำไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด


เจ้าอ้วนจัดการชงชาทันที ขณะที่เขากำลังดื่มเข้าไปก็รู้สึกถึงกลิ่นที่ติดอยู่บนริมฝีปาก ถ้าหากกล่าวถึงรสชาติของมัน แน่นอนว่ามันดียิ่งกว่าทุกอย่างที่เขาเคยดื่มมาก่อนหน้านี้


สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดคือสมองของเขาปลอดโปร่งยิ่งกว่าที่เคย ไม่ว่าเขาจะมองอะไร เขารู้สึกราวกับว่าเข้าใจกฎของพวกมันราวกับรอให้เขาเข้าไปคลี่คลายปัญหาเหล่านั้น


เจ้าอ้วนไม่ทราบถึงความหมายนั้นจึงสรุปเพียงแค่ชาชนิดนี้ซึ่งมีความพิเศษมากกว่าชาอื่นเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อหงหยิงเดินทางมาหาเขาในวันรุ่งขึ้น เขาจึงชงมันให้กับนาง


แน่นอนว่าเรื่องมูลค่าของมันนั้นน้อยนิดยิ่งนัก เจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะบอกนางว่าเขาหยิบมันออกมาจากในป่า ดังนั้นเขาจึงใช้ชื่อของตู๋เชียนเฉิง มันเป็นสมบัติของอีกฝ่าย เรื่องนี้ก็จะถูกปล่อยผ่านไปโดยง่ายดาย


ในขณะที่หงหยิงได้ยินว่ามันถูกทิ้งไว้โดยผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แน่นอนว่านางสนใจมันอย่างมาก หลังจากที่ได้ลิ้มลอง นางก็ชอบพอไม่น้อยจนต้องถามเจ้าอ้วนว่าพอจะแบ่งมันให้กับนางสักเล็กน้อยได้หรือไม่ เจ้าอ้วนไม่เคยตระหนี่กับนางอยู่แล้วและมอบมันให้กับนางไปหนึ่งกล่อง เป็นเขาเอาชาใส่ไว้ในกล่องของผลไม้วิญญาณ หงหยิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก นางเก็บมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางจึงชวนเจ้าอ้วนออกไปเล่นข้างนอกกัน


ดังเช่นคำที่กล่าวไว้ว่า ‘ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ’ เจ็ดวันผ่านไปราวกระพริบตา วันนี้หงหยิงและเจ้าอ้วนอยู่ในสถานที่ที่งดงามและเตรียมพร้อมกับการตั้งแคมป์เล็ก ๆ ของพวกเขา


เจ้าอ้วนกำลังย่างมัจฉาไร้เนตร เห็ดจิตวิญญาณและอาหารอื่น ๆ ในขณะที่หงหยิงดูแลเรื่องการชงชา


แน่นอนว่าด้วยความมั่งคั่งของเจ้าอ้วน เขาจะไม่ขี้เหนียวในเรื่องของตนเอง ชุดถ้วยชาของเขาถูกออกแบบมาอย่างดีด้วยการแกะสลักที่สวยงามและมีคุณภาพ


น้ำชาที่กระเพื่อมอยู่ในหม้อนั้นมีเสน่ห์อย่างมาก หลังจากที่เทมันลงในแก้วหยกปรากฏแสงสีเขียวเรืองรองออกมา มันเป็นปราณจิตวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาจึงทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างมาก ราวกับว่ามันคือน้ำที่ล่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์!


การได้กินมัจฉาไร้เนตร เห็ดจิตวิญญาณ และดื่มชาที่มีคุณภาพเช่นนี้นับได้ว่าเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามหงหยิงนั้นมีลักษณะนิสัยที่ซุกซน นางต้องดื่มชาเพื่อล้างปากก่อนที่จะรับประทานมัจฉาไร้เนตรหรือว่าเนื้อ ซึ่งทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกปวดหัวอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนางได้ อีกทั้งใบชาของเขาก็มากมายยิ่งนัก แล้วจะต้องกังวลอันใด?


เพียงแค่เจ้าอ้วนย่างมัจฉาไร้เนตรเสร็จ หงหยิงรีบคว้ามันทันที ก่อนอื่นนางใช้ชาเพื่อล้างปากของตนเองและค่อยกินปลาหลังจากนั้น


ในขณะนั้นเองเจ้าอ้วนและหงหยิงมองเห็นดวงไฟปรากฏขึ้นสี่ดวงพร้อมกับมีบุคคลห้าคนปรากฏขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา


บุคคลเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับว่าพวกเขาหลุดออกมาจากอากาศ เพียงการมองครั้งด้วยรับรู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง


ทั้งคู่ตกใจและคิดว่ากำลังถูกบุกรุกจากศัตรู ทั้งสองเข้าสู่สภาวะป้องกันตัวทันที เจ้าอ้วนเรียกดาบแห่งธาตุทั้งห้าออกมาพร้อมกับหงหยิงเรียกกระบี่เฟิงหมิงด้วยเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม เมื่อมองอย่างระมัดระวัง พวกเขาลดอาวุธลงทันที ภายในห้าคนนี้มีสองคนที่ทั้งสองรู้จัก หนึ่งคือจ้าวสำนัก สองคือฉุ่ยจิ้ง อีกสามคนเป็นอาวุโสที่ดูอ่อนโยนอยู่ในชุดคลุมสีเขียว พวกเขาไม่ได้แต่งตัวฟุ่มเฟือยมากนักและไม่ได้ปลดปล่อยจิตสังหารออกมา แต่ทว่าเจ้าอ้วนและหงหยิงกลับรู้สึกว่าทั้งสามคนนี้มีบางอย่างไม่ธรรมดา


เหตุผลก็เพราะจ้าวสำนักยืนอยู่เบื้องหลังอาวุโสทั้งสาม จ้าวสำนักจะไม่ยืนหลังผู้ใด เขาคล้ายกลายเป็นบุตรภายใต้การดูแลของบิดามารดาผู้เข้มงวด บุคคลที่ทำให้จ้าวสำนักยอมถอยให้จะเป็นบุคคลธรรมดาได้อย่างไร?


เมื่อเห็นว่าอาวุโสทั้งสามที่แข็งแกร่งปรากฏตัวพร้อมกับจ้าวสำนักและภรรยา เจ้าอ้วนและหงหยิงทำได้เพียงตกใจอย่างไม่อาจอดกลั้น


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จ้าวสำนักรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “เหตุใดพวกเจ้าจึงไปยืนอยู่ตรงนั้น? เข้ามาและทำความเคารพอาวุโสทั้งสามเร็ว!”


เจ้าอ้วนและหงหยิงรีบออกจากความงุนงงทันที พร้อมกับเก็บอาวุธและทำความเคารพตามคำสั่งของจ้าวสำนัก


ในขณะนั้น อาวุโสทั้งสามไม่สนใจเจ้าอ้วนและหงหยิง พวกเขาเดินตรงมาที่ถ้วยชา จากนั้นดวงตาของพวกเขาก็จ้องมองที่ถ้วยชาอย่างเป็นประกาย


ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้ทุกคนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดออกมา แม้ว่าจะเป็นอาวุโสแต่ควรจะมีมารยาทบ้างเมื่อเด็กทำความเคารพ อย่างน้อยก็ต้องสนใจพวกเขาสักนิดก่อนที่จะไปมองสิ่งอื่น นี่เป็นมารยาทอันใดของพวกเขากัน? หากผู้อื่นพบเห็นก็คงไม่ดีแล้ว


โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสำนักเสวียนเทียนที่มีประวัติยาวนานหลายพันปี กฎเกณฑ์นั้นเข้มงวดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของมารยาท ผู้ฝึกตนทุกคนจะต้องมีมารยาทและบุคลิกที่ดีตลอดเวลา โดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานะใด วันนี้การกระทำของอาวุโสทั้งสามนั้นผิดแปลกอย่างรุนแรง และแน่นอนว่าหากเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไป พวกเขาจะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง


จ้าวสำนักไม่อาจทำสิ่งใดได้แม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดใจมากเพียงใดก็ตาม สำหรับเจ้าอ้วนและหงหยิงทั้งสองรู้สึกผิดหวังกับการกระทำเช่นนี้พอสมควร


แต่ในขณะนั้น ชายชราเครายาวได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “ฮ่าฮ่า ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทเมื่อสักครู่ ข้าลืมเรื่องของศิษย์ไปสนิท สวรรค์ ข้าช่างหยาบคายยิ่งนักได้โปรดให้อภัย!”


“ฮ่าฮ่า ใช่ใช่ ข้าเสียมารยาทจริง ๆ!” อาวุโสอีกสองคนกล่าวออกมาเช่นกัน


อาวุโสทั้งสามรีบคืนสู่ท่าทีที่สงบทันทีในขณะที่กล่าวเช่นนั้น จ้าวสำนักจึงไม่คิดติดใจสิ่งใดต่อไปอีก เจ้าอ้วนและหงหยิงมีใบหน้าที่ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมตอบกลับว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย!”


“ฮ่าฮ่า เป็นการดีที่สุดถ้าหากว่าข้าไม่ได้กระทำสิ่งใดผิด!” จากนั้นอาวุโสอีกคนรีบกล่าวออกมา “เด็กน้อยรีบบอกข้ามาเถิดว่าเจ้าได้รับชานี้มาจากที่ใด? เจ้ามีมันอีกหรือไม่? ข้าต้องการจะซื้อมันไม่ว่าราคาจะสูงเท่าไหร่ก็ตาม!”


คำพูดของอาวุโสผู้นี้ทำให้เจ้าอ้วนและหงหยิงรู้สึกไม่พอใจพร้อมกับคิดภายในใจ ‘สติของเขายังดีอยู่หรือไม่? เขาขอซื้อชาในการพบปะกันครั้งแรกงั้นหรือ?’


ก่อนที่เจ้าอ้วนและหงหยิงจะทันได้ตอบโต้อะไร อาวุโสอีกสองคนรีบตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “เด็กน้อย อย่าไปสนใจเขา ข้าเป็นคนมองเห็นชานี้ก่อน เจ้าควรจะขายมันให้กับข้า และข้าสัญญาว่าจะให้ราคาที่สูงกว่าแน่นอน!”


หลังจากที่กล่าวออกมาเช่นนั้น เจ้าอ้วนและหงหยิงตกอยู่ในสภาวะโง่งมทันที อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ได้ราบลื่นเสียยิ่งกว่าในตอนแรกมากแล้ว


อาวุโสอีกคนที่ได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันทีพร้อมกล่าวแทรกอย่างรวดเร็ว “เด็กน้อย เด็กน้อยเอ๋ย อย่าไปฟังทั้งสองคนนั้น! ชาที่ดีเช่นนี้เจ้าต้องการกี่หินจิตวิญญาณกัน? หรือว่าจะเป็นสมบัติวิเศษ ไม่สิ สมบัติวิญญาณ! ข้าสามารถมอบสมบัติวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนกับมันได้!”


ในขณะที่เขากล่าวคำว่าสมบัติวิญญาณออกมา ทำให้เจ้าอ้วน หงหยิง จ้าวสำนัก และฉุ่ยจิ้งตกใจทันที พวกเขาจะใช้สมบัติวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนกับชานี้? นี่มันเรื่องอะไรกัน?


แต่ดวงตาของหงหยิงกลับส่องประกายออกมาจนดวงตาของนางแทบจะหลุดออกจากเบ้า พร้อมถามออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านอาวุโส ชานี้ไม่ได้มีสิ่งอื่นใดนอกจากใช้ล้างปากเท่านั้น เหตุใดพวกท่านจึงต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงมันด้วย?”


หงหยิงไม่เคยคิดว่าหลังจากประโยคนี้ของนางจะทำให้ชีวิตของนางเปลี่ยนไป อาวุโสทั้งสามเปลี่ยนแปลงสีหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธจัด พวกเขาตะโกนออกมาว่า “สำหรับล้างปากงั้นหรือ? สวรรค์! เจ้าบอกว่าเอาชาวิถีเต๋าล้างปากงั้นหรือ?!”


เมื่อได้ยินคำว่าชาวิถีเต๋า หงหยิงและเจ้าอ้วนนิ่งงันทันทีเพราะเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แต่ว่าจ้าวสำนักและฉุ่ยจิ้งมีท่าทีแตกต่างออกไป ทั้งสองคนไม่อาจอยู่ในท่าทีสงบได้ พวกเขากรีดร้องออกมาทันทีต่อหน้าอาวุโสทั้งสาม


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่าชาของเขานั้นไม่ใช่ของเล่นที่คนธรรมดาจะนำมาดื่มเล่นแบบนี้ได้ เขาใช้โอกาสนี้เพื่อถามทันที “ชาวิถีเต๋าคือสิ่งใดหรือขอรับ?”


“ก็คือชาที่เจ้ากำลังดื่มอยู่ในตอนนี้ยังไงล่ะ!” อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวออกมา


“ชานี้ทำให้ผู้ที่ดื่มมันเข้าใจในกฎแห่งสวรรค์มากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะเข้าใจรสชาติของมัน มันเหมาะสำหรับผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเพื่อใช้สำหรับการฝึกฝน ข้าผู้นี้ติดอยู่ในสภาวะตีบตันมานานนับร้อยปีและข้าต้องการมัน!” อาวุโสกล่าวออกมาด้วยใบหน้าสีแดง


“น่าเสียดายที่สิ่งนี้หาได้ยากยิ่ง ภายในตลาดมีเพียงคนต้องการมันแต่กลับไม่มีผู้ใดขายมัน ดังนั้นราคาของมันจึงสูงมาก ซึ่งจะต้องแลกเปลี่ยนกันด้วยของมีค่าเท่านั้น บางครั้งถ้าต้องแลกเปลี่ยนกับหินจิตวิญญาณราคาของมันจะสูงเกินกว่าจะจ่ายได้ไหว!” อาวุโสอีกคนกล่าว “แต่บางทีก็ต้องเพิ่มเติมหินจิตวิญญาณเข้าไปอีกสักเล็กน้อยเพื่อให้สมกับมูลค่าของมัน!” ในขณะที่เขากล่าวเขายกนิ้วขึ้นมาสิบนิ้ว


ในขณะที่เจ้าอ้วนเห็นเช่นนั้น เขาเข้าใจทันทีพร้อมกล่าวว่า “หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่น?”


“ใช่แล้ว หนึ่งหมื่น!” อาวุโสกล่าวตอบ


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารีบถามต่ออย่างอยากรู้อยากเห็น “หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่นดูเหมือนว่าจะไม่แพงมากนัก ถูกต้องหรือไม่?”


ในความจริงแล้วหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่นก้อนนั้นอาจจะมีค่ามากกับเหล่าศิษย์ทั่วไป แต่สำหรับเจ้าอ้วนนั้นเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินนั้นอาจจะไม่ได้มีหินจิตวิญญาณมากขนาดนั้นอยู่ในครอบครอง!


เมื่ออาวุโสทั้งสามได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการดูถูก อาวุโสคนหนึ่งลูบเคราของตนพร้อมกล่าวว่า “เราไม่ได้ใช้หินจิตวิญญาณระดับต่ำเพื่อแลกเปลี่ยน แต่ว่าใช้หินจิตวิญญาณระดับสูง!”


“อะไรกัน? หินจิตวิญญาณระดับสูงจำนวนหนึ่งหมื่นก้อน?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนมึนงงไปชั่วขณะ แน่นอนว่าระดับพลังของหินจิตวิญญาณทำให้มูลค่าของมันแตกต่างกันอย่างมาก หินจิตวิญญาณระดับสูงจะมีค่ามากกว่าหินจิตวิญญาณระดับต่ำมากกว่าหนึ่งแสนก้อน ถ้าหากใช้หินจิตวิญญาณระดับสูงจำนวนหนึ่งหมื่นก้อนเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณระดับต่ำ มูลค่าของมันจะอยู่ที่หนึ่งร้อยล้านก้อน! จำนวนที่น่ากลัวเช่นนี้อาจสร้างภูเขาขนาดย่อมได้ หรือไม่อาจจะสร้างสำนักย่อยเสวียนเทียนขึ้นมาอีกหนึ่งแห่งเลยก็ยังได้ ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงเข้าใจได้ว่ามูลค่าของชาชนิดนี้สูงมาก


อาวุโสอีกคนกล่าวเสริม “นี่เป็นเพียงราคาคร่าว ๆ ของมันเท่านั้น แต่ไม่มีผู้ใดที่จะรวบรวมเงินจำนวนนี้ได้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะแลกเปลี่ยนกันโดยสมบัติวิญญาณ!”


ในจุดนี้จิตวิญญาณของเจ้าอ้วนและหงหยิงได้หลุดลอยออกจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้ทั้งสองรู้แล้วว่าชานี้มีมูลค่ามากเพียงใด นี่ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติเพราะว่าสภาวะตีบตันนับเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกตน ทุกคนรังเกียจมันแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่ง มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมากที่พวกเขาจะติดอยู่ในสภาวะนี้ยาวนานนับร้อยหรือพันปี หลายครั้งที่ผู้ฝึกตนมักจะเสียชีวิตไปจากการนั่งสมาธิที่ยาวนานเพราะไม่อาจผ่านพ้นสภาวะตีบตันนี้ไปได้ จึงทำให้สิ่งของเหล่านี้มีมูลค่าสูงมาก


เมื่อได้ยินว่าชาเหล่านี้มีค่ามากเพียงใด ภายในหัวใจของเจ้าอ้วนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ทว่าท่าทีตอนนี้ของเขากลับสงบเพราะมีต้นของมันอยู่! แม้ว่ามันจะเติบโตช้ามาก แต่เขาก็จะมีชาดื่มไปอีกสองปี เรียกได้ว่ามันคือเหมืองทองที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย!


สำหรับหงหยิงนางกล่าวออกมาทันทีด้วยความประหลาดใจ “สวรรค์ นี่ข้าเพิ่งใช้ชาที่มีมูลค่าสูงเช่นนี้เพื่อล้างปากของตนเองไป ถ้าหากคิดเป็นมูลค่าแล้วข้าขาดทุนไปเท่าไหร่กัน?”


บทที่ 170: เก็บตัวฝึกฝนคู่อีกครั้ง


ทุกคนจ้องมองนางอย่างโกรธเคืองในขณะที่หงหยิงกล่าวออกมาเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุโสทั้งสามที่ต้องติดอยู่กับสภาวะตีบตันมาเนิ่นนาน พวกเขาทั้งสามคิดแต่เพียงว่าจะล้างแค้นสาวน้อยผู้นี้อย่างไร ‘ชาวิถีเต๋าไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะร้องขอกับผู้ใดก็ได้แม้แต่คนที่ข้ารู้จัก แต่เจ้ากลับใช้สิ่งนี้เพื่อล้างปากตนเองงั้นหรือ? ช่างเป็นขยะที่น่าสมเพชเสียจริง!’


สำหรับจ้าวสำนักที่ต้องการให้บุตรของตนเองโดดเด่น สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “อ้วนน้อยวันนี้ถือว่าเป็นวันดียิ่งนัก เจ้าพอจะมีชาวิถีเต๋าอีกบ้างหรือไม่? รีบนำมันออกมา แน่นอนว่าอาวุโสทั้งสามจะปฏิบัติกับเจ้าอย่างเป็นธรรม!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าไม่ควรให้บุคคลเหล่านี้รู้ว่าเขาครอบครองมันไว้มากเพียงใด ถ้าหากพวกเขาล่วงรู้ก็ชัดเจนว่ามันจะสร้างปัญหาตามมาไม่มีที่สิ้นสุด ถึงอย่างไรเขาก็มีต้นชาอยู่กับตนเอง ในอนาคตเขาคิดอยากเก็บเกี่ยวมันตอนไหนก็ได้


เจ้าอ้วนแสร้งทำสีหน้าหม่นหมองพร้อมกล่าวออกมาว่า “ข้าไม่มีชาเหล่านี้เหลืออยู่แล้ว นี่เป็นส่วนสุดท้ายที่ข้ามี!”


“หืม? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?” อาวุโสทั้งสามกล่าวออกมาอย่างตกใจ ตอนนี้พวกเขาสามารถพบเจอกับสิ่งที่ทำให้ผ่านพ้นสภาวะตีบตันได้ แต่ว่ามันกลับไม่มีอีกแล้วงั้นหรือ?


แล้วเจ้าอ้วนจะกล้ากล่าวอะไรออกไปอีกล่ะ? เขารีบอธิบาย “เรื่องเป็นเช่นนี้ ชาวิถีเต๋าข้าได้รับมันมาจากกระเป๋ามิติของตู๋เชียนเฉิง เห็นว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนักและปราณจิตวิญญาณก็น้อยนิด อีกทั้งมันยังมีเพียงสองใบเท่านั้นข้าจึงไม่คิดว่ามันจะสำคัญ ข้าจึงนำมันออกมาดื่มเล่นเช่นนี้ หลังจากดื่มมันไปเพียงไม่กี่ครั้ง มันก็เหลือไม่เท่าไหร่เสียแล้ว!”


“แล้วเจ้าเหลืออยู่เท่าไหร่กัน?” อาวุโสรีบถาม


“มีเพิ่มอีกเท่าไหร่?” อาวุโสอีกคนตะโกนออกมา


“นำทั้งหมดที่เจ้ามีออกมา ข้าต้องการมัน!” อาวุโสอีกคนตะโกนออกมาด้วยใบหน้าสีเลือด


“เรื่องนั้น… ข้าไม่มีเหลืออีกแล้ว!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างแสแสร้ง อย่างไรก็ตามความจริงคือหงหยิงมีชาอยู่กับตนเอง แต่เขาไม่รู้ว่าหงหยิงมีแผนอะไรหรือไม่ เพราะแบบนั้นจึงไม่ได้กล่าวถึง และนี่เป็นวิธีป้องกันไม่ให้อาวุโสทั้งสามฉกฉวยมันไปจากนางเพราะวันหนึ่งนางจะต้องใช้มัน


แต่ว่าหงหยิงนั้นโง่งมเกินกว่าจะเข้าใจ ในขณะที่เจ้าอ้วนพยายามหลีกเลี่ยงการแลกเปลี่ยนนี้อย่างหนักหน่วง นางกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ชาของเขาหมดแล้ว แต่ว่าข้าพอมีอยู่บ้าง!”


“เจ้ามีงั้นหรือ?” อาวุโสทั้งสามละสายตาจากเจ้าอ้วนพร้อมกับพุ่งเป้าไปที่หงหยิงทันที


“ใช่แล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนพี่ชายอ้วนมอบมันให้กับข้า เขามอบมันให้กับข้าเพราะข้าชื่นชอบมัน!” หงหยิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ฮ่าฮ่า พี่ชายอ้วนของเจ้าช่างใจกว้างยิ่งนักที่มอบภูเขาทองคำให้แก่เจ้า!” อาวุโสกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง


“แล้วใครสนเรื่องนั้นกันล่ะ ข้าต้องการเพียงชาวิถีเต๋าในตอนนี้!” อาวุโสอีกคนกล่าวพร้อมกับหัวเราะร่าเริง “หงหยิงน้อย ข้ารู้ว่าเจ้านั้นเป็นเลิศ เจ้าสามารถขายชาเหล่านั้นให้กับอาจารย์ลุงผู้นี้ได้หรือไม่? ข้าสัญญาว่าจะมอบสมบัติที่ดีที่สุดให้กับเจ้า!”


“เจ้าอย่าโอ้อวดนักเลย สมบัติเพียงหนึ่งชิ้นจะสามารถแลกเปลี่ยนกับชาวิถีเต๋าได้อย่างไรกัน? เจ้านั้นมีสมองในด้านการค้าเท่าไหร่เชียวรึ? ในนามของอาวุโสด้วยกัน ข้ารู้สึกอับอายแทนเจ้ายิ่งนัก!” อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยใบหน้าแดงจัด พร้อมหันไปหาหงหยิงทันที “อย่าไปสนใจเขาเลย เจ้าควรขายชาวิถีเต๋าให้กับข้าผู้นี้ ข้ายินดีที่จะมอบสมบัติวิญญาณสองชิ้นเพื่อแลกเปลี่ยน อีกทั้งข้ามั่นใจว่าพวกมันจะยอมรับเจ้าในฐานะเจ้านายคนใหม่อีกด้วย!”


ขณะที่อาวุโสอีกสองคนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาเริ่มโต้เถียงและสู้ราคากันแบบไม่ยอมแพ้


สุดท้ายหงหยิงรู้สึกมึนงงกับการทะเลาะวิวาทของพวกเขาและไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป นางจึงตะโกนออกมาว่า “พอก่อน เลิกเถียงกันเถิด ข้าจะแบ่งมันออกให้พวกท่านสามในสิบของมัน ส่วนที่เหลือข้าจะมอบมันให้กับครอบครัวข้า ถ้าหากพวกท่านยังคงโต้เถียงกันอยู่เช่นนี้ ข้าจะไม่ยินยอมแลกเปลี่ยนใด ๆ ทั้งสิ้น!”


ในขณะที่หงหยิงกล่าวเช่นนั้น ทั้งสามคนหยุดการโต้เถียงทันที ประการแรกคือหงหยิงยุติธรรม และถัดมาเพียงแค่ใบชาสามใบก็นับว่ามากแล้ว ถ้าหากพวกเขาโชคดี แน่นอนว่าจะพัฒนาได้ไกลกว่าหลุดพ้นจากสภาวะตีบตันที่เป็นอยู่


ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พร้อมกันพวกเขาปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อครอบคลุมร่างกายของหงหยิงและจ้าวสำนักและหายตัวไปทันที แน่นอนว่าอาวุโสทั้งสามนี้ใจร้อนจึงรีบพาทั้งหมดกลับบ้านเพื่อตกลงกันเรื่องใบชา เรื่องที่อาวุโสทั้งสามลงมือพากลับบ้านก็เป็นเพราะพลังของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินของจ้าวสำนักนั้นอาจจะช้าเกินไป!


หลังจากที่ทั้งห้าคนจากไป ฉุ่ยจิ้งเดินไปหาเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งที่เราจะมีอิสระอยู่ด้วยกันวันนี้ ท่านจะไม่ชวนข้าดื่มชาสักหน่อยหรือ?”


“โอ้…” เจ้าอ้วนที่กำลังสับสนได้เรียกสติของตนเองกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องนั่งลงก่อน ข้าจะชงชาให้”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนหยิบเอาถ้วยชาออกมาพร้อมกับเทชาวิถีเต๋าให้กับฉุ่ยจิ้ง จากนั้นเขากล่าวกับนางอย่างขื่นขม “ข้าไม่คิดเลยว่าสิ่งนี้จะมีมูลค่าถึงเพียงนี้ ถ้าหากข้ารู้มาก่อน แน่นอนว่าข้าจะต้องเชิญเจ้ามาเพื่อลิ้มรสมันอย่างแน่นอน!”


“ศิษย์พี่หมายความเช่นนั้นจริงงั้นหรือ?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“แน่นอน!”


“อืม ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ถ้าหากน้องสาวผู้นี้จะมาหาท่านในอนาคตเพื่อดื่มชา ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะไม่รังเกียจ” ฉุ่ยจิ้งกล่าว “โอ้ แน่นอน ข้าชื่นชอบการดื่มชาที่สุด! ยิ่งเป็นชาวิถีเต๋ายิ่งไม่ต้องพูดถึง”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็พบว่าความลับของเขาถูกนางล่วงรู้อีกครั้งแล้ว แน่นอนว่านางรู้ว่าเขามีชาเหลืออีกจำนวนมากจึงกล่าวออกมาเช่นนั้น


เจ้าอ้วนรู้ดีว่าเขาไม่สามารถโกหกผู้ที่สามารถทำนายทุกสิ่งอย่างได้ เขาที่ไม่รู้จะทำเช่นไรจึงกล่าวออกไปอย่างขื่นขม “ศิษย์น้องโปรดมั่นใจ ไม่ว่าเจ้าต้องการจะดื่มมันเมื่อใด ข้าสามารถชงมันให้กับเจ้าได้เสมอเท่าที่เจ้าต้องการ!”


“ขอบคุณศิษย์พี่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางหยิบแก้วขึ้นมาพร้อมเผยยิ้มเล็กน้อย “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ข้าจะขอเสนอไวน์พร้อมขนมปังให้กับท่าน!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาพร้อมยกถ้วยชาเพื่อชนกับฉุ่ยจิ้งและกล่าวว่า “ดื่ม!”


ทั้งสองคนนั่งดื่มชาวิถีเต๋าด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันเนิ่นนานจนสามารถรับรู้นิสัยใจคอของกันและกัน สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นพร้อมกับทั้งสองคนเข้าสู่สภาวะเก็บตัวฝึกตนคู่อีกครั้ง


เจ้าอ้วนได้กลับมายังทะเลสาปที่กว้างใหญ่พร้อมมองเห็นพระจันทร์ดวงยักษ์อีกครั้ง เขารู้สึกว่ากาลเวลาโดยรอบกำลังหมุนเวียนกันอย่างลึกลับ ดังเช่นคำกล่าว ‘ผู้ใดคือคนแรกที่มองเห็นดวงจันทร์? ดวงจันทร์เกิดขึ้นมาครั้งแรกเมื่อใด? มนุษย์กับดวงจันทร์จะอยู่คู่กันชั่วนิรันดร์’


สำหรับฉุ่ยจิ้งนางเข้าสู่ปฐมกาลแห่งความโกลาหลอีกครั้ง ที่นี่ไม่มีสิ่งใด แต่ทุกสิ่งอย่างอยู่บนพื้นฐานของธาตุทั้งห้าราวกับว่าเป็นจุดกำเนิดของมัน ฉุ่ยจิ้งยืนอยู่ภายในสถานที่แห่งนั้น ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้พร้อมทั้งเข้าใจในกฎแห่งสวรรค์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด


นี่เป็นผลของชาวิถีเต๋าจึงทำให้ฉุ่ยจิ้งและเจ้าอ้วนเข้าสู่สภาวะเก็บตัวฝึกตนคู่อีกครั้ง และทำให้พวกเขาทั้งสองเข้าใจในกฎแห่งสวรรค์มากยิ่งขึ้นกว่าในครั้งแรกอีกด้วย


ในขณะที่เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งกำลังเข้าสู่การเก็บตัวฝึกตนคู่ อาวุโสทั้งสามพร้อมจ้าวสำนักและหงหยิงกลับมาถึงบ้าน เป็นเพราะความรีบร้อนของอาวุโสที่มีมากเกินไป พวกเขาไม่ได้ฉุกคิดและเสียมารยาทเดินเข้าไปในห้องนอนของจ้าวสำนักทันที


มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้ามายังห้องนี้ได้ ภายในนั้นพบภรรยาจ้าวสำนักกำลังนอนอยู่บนเตียงและเอาเท้าแช่น้ำอย่างผ่อนคลายอยู่


สถานการณ์เช่นนี้ทำให้อาวุโสทั้งสามกระอักกระอ่วนใจอย่างยิ่ง พวกเขาทั้งสามคนเต็มไปด้วยพรสวรรค์แต่กลับบุกเข้ามาในห้องนอนของผู้อื่นและพบหญิงสาวกำลังนอนเอาเท้าแช่น้ำอยู่อย่างผ่อนคลาย นี่เป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง อาวุโสทั้งสามเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็วและแสดงท่าทีว่าพวกเขาไม่ได้เห็นสิ่งใด แต่ด้วยระดับเฟินเสินจะเป็นไปได้อย่างไรว่าพวกเขามองไม่เห็นสิ่งใดเลย?


ภรรยาจ้าวสำนักตกใจอย่างมากและคิดว่ามีศัตรูบุกรุกจนนางเกือบจะปลดปล่อยดาบบินในมือออกมา แต่ว่าหลังจากนางเห็นเช่นนั้น นางจึงรับรู้ว่าเป็นอาวุโสทั้งสาม นางจึงรีบเก็บดาบบินพร้อมหยุดการโจมตีทันที


จากนั้นภรรยาจ้าวสำนักหัวเราะออกมาอย่างอึดอัดใจพร้อมกล่าวว่า “ทำความเคารพอาวุโสทั้งสาม!”


“เจ้าสุภาพมากเกินไปแล้ว!”


“ไม่ต้องมากพิธีการนัก!”


“เจ้านั่งต่อเถิด พวกเราจะออกไปเอง!” อาวุโสทั้งสามรีบกล่าวพร้อมโบกมือทันที


ความสุภาพเช่นนี้ทำให้ภรรยาจ้าวสำนักรู้สึกตกใจพร้อมคิดกับตนเอง ‘อาวุโสทั้งสามเหตุใดจึงดูเคร่งเครียดเช่นนั้น พวกเขามาเพื่อนำศิษย์อัจฉริยะกลับไปยังสำนักใหญ่แต่ทว่าเหตุใดจึงกระทำการทุกอย่างรวดเร็วเช่นนี้?’


ในขณะที่ภรรยาจ้าวสำนักกำลังมึนงงอยู่นั้น จ้าวสำนักรีบก้าวออกมาพร้อมกล่าวว่า “ภรรยาข้า ชาที่หงหยิงนำมาเมื่อหลายวันก่อนยังอยู่หรือไม่? อาวุโสทั้งสามต้องการมัน!”


“ว่าอะไร!” เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกไม่พอใจและตำหนิทันที “กับชาที่พิกลพิการเช่นนั้น เจ้าคิดได้เช่นไรว่าจะมอบให้อาวุโสทั้งสาม ข้าได้เตรียมชาพิเศษเอาไว้แล้ว!”


ชัดเจน ว่าภรรยาจ้าวสำนักเข้าใจเจตนาผิด และคิดว่าจ้าวำนักจะมอบชาพิการเช่นนั้นกับอาวุโสทั้งสามจริง เพื่อไม่ให้สามีต้องเสียหน้า นางจึงรีบร้อนกล่าวแก้ไขแทนสามี


แต่นางไม่ได้คาดหวังว่าเหล่าอาวุโสทั้งสามจะตอบกลับก่อนที่นางจะทันได้คิดสิ่งใดต่อ


อาวุโสที่เต็มไปด้วยหนวดเครานั้นกระวนกระวายใจมากที่สุด เขาตะโกนออกมาว่า “ไม่ ไม่ ไม่ พวกเราต้องการชาของหงหยิง!”


เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น นางพลันสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นจึงถามออกไปว่า “ชานั่นพิการและมีปราณจิตวิญญาณเพียงน้อยนิด ถึงแม้ว่ามันจะมีรสชาติเป็นเลิศ แต่นี่สามารถใช้สำหรับต้อนรับท่านอาวุโสได้งั้นหรือ?”


“เลิกกล่าววาจาให้มากความ!” อาวุโสคนหนึ่งตะโกนออกมา “รีบนำมันออกมาเร็วเข้า ข้าต้องการมันมากจนข้าจะอึดอัดใจตายอยู่แล้ว!”


เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น นางยังคงไม่เข้าใจและกล่าวว่า “แต่ว่า….”


“ภรรยาข้า ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น!” ในขณะนั้นจ้าวสำนักไม่มีทางเลือกและกล่าวแทรกอย่างรวดเร็ว “อาวุโสต้องการชานี้ เจ้าเพียงแค่นำมันออกมา เจ้าจะมาเซ้าซี้สิ่งใดให้มากความอีก?”


เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางบูดบึ้งทันที จากนั้นนางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่พอใจนัก “สามี นี่ไม่ใช่ว่าข้าจู้จี้ แต่ว่าข้าไม่สามารถนำมันออกมาได้!”


“ว่าอะไร?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนร้องออกมาพร้อมกัน


“เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถนำมันออกมาได้?” อาวุโสอีกคนกล่าวอย่างกังวลใจ “ใบชาอยู่ที่ใดกัน? เจ้าทำอะไรกับมัน?!”


บทที่ 171: เรื่องที่น่าอับอาย


“เรื่องนั้น…” เมื่อภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น นางก้มลงต่ำด้วยใบหน้ารู้สึกผิดพร้อมกล่าวออกมาว่า “แท้จริงแล้ว ใบชาเหล่านั้นอยู่ตรงหน้าของพวกท่าน!”


“ตรงหน้างั้นหรือ? อยู่ไหน?!” พวกเขาทั้งหมดเริ่มมองหามันทันที แต่กลับไม่พบสิ่งใดและมองไปที่ภรรยาจ้าวสำนักอย่างสับสน


ภรรยาจ้าวสำนักเห็นเช่นนั้นนางรู้สึกอับจนหนทางพร้อมกล่าวออกมาว่า “ตรงนี้”


“ว่าอะไร?” ทุกคนจ้องมองไปที่อ่างน้ำอย่างมึนงง


“ใต้อ่างล้างเท้างั้นหรือ ใช่ไหม? เจ้าวางใบชาไว้ตรงนี้หรือ?” อาวุโสกล่าวออกมาด้วยใบหน้าโกรธจัด


“ข้าไม่ได้วางมันไว้ใต้อ่าง แต่ข้าใช้มัน!” ภรรยาจ้าวสำนักตอบอย่างอ่อนแรง เพราะนางรู้สึกไม่ดีกับใบชาเหล่านี้ ดึงนั้นจึงไม่คิดว่าอาวุโสจะเห็นว่ามันสำคัญ นางจึงตอบเช่นนั้นกลับไปอย่างอ่อนโยน


หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น ทุกคนพลันแตกตื่น หลังจากนั้นอาวุโสคนหนึ่งถามออกมาอย่างกระวนกระวาย “เจ้า เจ้าหมายความว่าเจ้าใช้มันเพื่อล้างเท้างั้นหรือ?”


“เรื่องนั้น คือว่าแท้จริงแล้วข้าใช้มันชำระกาย มันช่วยให้ผิวของข้าดีขึ้น” ภรรยาจ้าวสำนักตอบแบบตรงไปตรงมา “นี่เป็นบ้านของข้า ใบชาก็เป็นสิทธิ์ของข้าเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงสามารถใช้มันได้!”


“ให้ตาย!” เมื่อผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินได้ยินเช่นนั้น เส้นเลือดของพวกเขาทั้งหมดปูนออกมาด้วยความโกรธจัดทันที


ทางด้านหงหยิงกับสับสนอย่างหนัก แต่จ้าวสำนักยังอยู่ในท่าทีที่สงบและพยายามกอบกู้สถานการณ์ หลังจากนั้นเขาเกิดความคิดจึงรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ลุง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงเป็นชาและสามารถใช้งานมันได้เช่นเดิม!”


อาวุโสทั้งสามอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก น้ำล้างเท้าเป็นสิ่งที่สกปรกอย่างมาก แต่ปัญหาก็คือสภาวะตีบตันของพวกเขาจะไม่หายไปถ้าหากไม่ได้ดื่มมัน อีกไม่กี่ร้อยปีพวกเขาอาจจะหมดเวลาและตายตกไปอย่างไร้ความหมาย ถ้าหากทั้งหมดบรรลุเป้าหมายแน่นอนว่ามันสามารถต่อชีวิตพวกเขาออกไปได้อีกหลายพันปี


แต่พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ถ้าหากต้องใช้น้ำล้างเท้าเพื่อต่ออายุของตนเอง ทั้งหมดคงกลายเป็นตัวตลกที่ถูกหัวเราะเยาะสนั่นโลกแห่งผู้ฝึกตน! ในขณะนั้นแม้แต่ชื่อเสียงอันงดงามของสำนักเสวียนเทียนก็ต้องหม่นหมองลงไปพร้อมกับพวกเขาเช่นกัน


แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ดื่ม ทั้งหมดจะตาย ถ้าหากว่าดื่มมันก็น่าอับอายเหลือทน กล่าวได้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากอย่างยิ่ง!


สำหรับภรรยาจ้าวสำนักที่ไม่รู้ว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้น นางตกใจพร้อมถามกับสามีตนเองว่า “สามีข้า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจึงยังเรียกมันว่าชาอีก? นี่เป็นน้ำล้างเท้าไปแล้ว”


“สามีของเจ้ากำลังหมายความว่าให้ข้าซื้อน้ำล้างเท้านี้ในราคาที่สูงอย่างยิ่งและดื่มมันเข้าไป!” อาวุโสตอบกลับด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์


“เรื่องเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” สำหรับภรรยาจ้าวสำนักเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางตกใจพร้อมกล่าวอย่างรวดเร็ว “สามีข้าท่านกำลังล้อเล่นใช่หรือไม่? ท่านคิดจะทำสิ่งใดกัน?”


จ้าวสำนักกระแอมไออย่างเคอะเขินพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขื่นขม “ข้าไม่ได้โง่เขลา ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้แต่มันก็ยังคงมีคุณภาพอยู่แม้ว่าจะกลายเป็นน้ำล้างเท้าไปแล้ว! เชื่อข้า!”


“ว่าอะไร?” ภรรยาจ้าวสำนักมึนงงไปกันใหญ่พร้อมเร่งถามอย่างจริงจัง “สามีข้า ใบชาเหล่านี้คือสิ่งใดกัน เหตุใดผู้อาวุโสจึงมองเห็นความสำคัญของพวกมัน?”


“โอ้ภรรยาข้า เชื่อเถิดว่าเจ้าไม่ได้อยากรู้ ข้าคิดว่าเจ้าไม่รู้จะดีเสียกว่า!” จ้าวสำนักตอบกลับอย่างเคร่งขรึม


แต่ภรรยาจ้าวสำนักกลับไม่ยอมถอยอย่างง่ายดาย นางจะปล่อยให้ตนเองอยู่ในความสับสนได้อย่างไร? ดังนั้นนางจึงถามอย่างจริงจัง “เลิกกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว บอกข้ามาว่ามันคือสิ่งใด!”


“เอ่อ” เมื่อเห็นว่าภรรยาเริ่มมีอารมณ์ จ้าวสำนักไม่กล้าที่จะขัดใจนางพร้อมตอบกลับเบา ๆ “มันคือชาวิถีเต๋า!”


“ชาวิถีเต๋า?” ภรรยาจ้าวสำนักนิ่งงันไปชั่วขณะ “ชาวิถีเต๋างั้นหรือ? อย่าบอกข้านะว่ามันสามารถช่วยให้ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินหลุดพ้นจากสภาวะตีบตันได้?


“ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น!” จ้าวสำนักพยักหน้าอย่างหมดหนทาง


มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหรือเฟินเสินเลยว่าเคยพบเห็นมันหรือไม่ มันเป็นเพียงอาวุโสทั้งสามคนนี้มีความมั่งคั่งอย่างยิ่งจึงเคยพบเห็นชาวิถีเต๋า ถ้าหากเป็นผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินคนอื่น พวกเขาจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันคืออะไร ดังนั้นเป็นธรรมดาที่ภรรยาจ้าวสำนักจะไม่รู้จักมัน


แม้ว่านางจะไม่รู้จักมัน แต่ก็ควรจะรู้คุณค่าของมัน เนื่องจากสิ่งเล็กน้อยของมันทำให้เหล่าผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินผ่านพ้นช่วงสภาวะตีบตันได้ ชาวิถีเต๋านั้นมีชื่อเสียงภายในหมู่ของผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิน แน่นอนว่าเหล่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังไม่จำเป็นต้องใช้มัน


ในขณะที่ภรรยาจ้าวสำนักได้ยินว่ามันคือสิ่งใด นางรู้ทุกสิ่งชัดแจ้งทันที หลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากสามีตนเอง นางทิ้งตัวลงบนเตียงและเริ่มร้องไห้


เพียงเห็นว่าภรรยาตนเองร้องไห้ จ้าวสำนักตกใจและรีบเข้าปลอบนางทันที นางร้องไห้หนักขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “เลวยิ่งนัก ข้าใช้ชาวิถีเต๋าเพื่อล้างเท้าของตนเอง! อีกทั้งยังใช้มันทั้งหมดในครั้งเดียว! สามีข้า ท่านต้องการที่จะครอบครองสมบัติวิญญาณเสมอ แต่เราก็ไม่เคยทำได้ด้วยเหตุเพราะความมั่งคั่งของเรานั้นน้อยเกินไป แต่ในตอนนี้ข้าใช้สมบัติวิญญาณสองชิ้นเพื่อล้างเท้าของตนเอง! แล้วอย่างนี้ข้าจะเอาใบหน้าที่ไหนมายืนอยู่ตรงหน้าท่านได้อีก!”


“หยุดคิดเสีย เรื่องราวได้ผ่านพ้นไปแล้ว!” แม้จ้าวสำนักจะอยากร้องไห้สักเพียงใด แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะตำหนิภรรยาของตนพร้อมกับรีบปลอบโยนนางก่อน


หงหยิงไม่ต้องการเห็นน้ำตาของมารดาตนเอง นางรีบเดินเข้าไปปลอบทันที “ท่านแม่ ท่านเพียงแค่ล้างเท้าด้วยชาวิถีเต๋างั้นหรือ? นี่ยังไม่มากเท่าใดนัก บุตรของท่านใช้มันเพื่อล้างปากของตนเองทุกคืนและวัน!”


ในขณะที่หงหยิงกล่าวเช่นนั้น ทุกคนในห้องแทบจะเป็นลมตายตกไปพร้อมกัน


เหล่าอาวุโสไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เด็กน้อยเอ๋ย ภรรยาของเจ้าใช้มันเพื่อล้างเท้าอีกทั้งบุตรสาวของเจ้าใช้มันเพื่อล้างปาก น่าภูมิใจยิ่งนัก!”


ใบหน้าของจ้าวสำนักกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้พร้อมกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “ท่านอาจารย์ลุง เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่รู้ไม่ใช่หรือ? อย่างไรก็ตามมันไร้ประโยชน์ถ้าหากยังคงกล่าวเรื่องเช่นนี้ต่อ แม้ว่าชาหม้อนี้จะสกปรกสักเล็กน้อย แต่คุณภาพยังมันก็ยังคงอยู่ และดีกว่าต้องอดทนอยู่กับสภาวะตีบตันถูกต้องหรือไม่? อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าท่านใดจะซื้อมัน ข้าจะปิดปากให้สนิทเพื่อใครรู้ว่าพวกท่านดื่มน้ำล้างเท้า!”


“ถูกต้อง ถูกต้องแล้ว!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าว “ชาวิถีเต๋าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก แม้ว่าผู้ใดจะกล่าวว่าเราใช้มันล้างเท้าไปแล้วแต่ก็ไม่สมควรมีผู้ใดเชื่อ จริงไหม?”


ในขณะที่ได้ยินภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเช่นนั้น อาวุโสทั้งสามถูกล่อลวงอย่างรวดเร็ว หงหยิงได้อาศัยจังหวะนี้กล่าวเสริมทันที “ถูกต้องแล้ว ถ้าหากท่านคิดว่ารสชาติของมันแย่เกินไป เราสามารถนำมันออกไปตากแดดให้แห้งอีกครั้งก่อนที่จะต้มมันใหม่!”


ในขณะที่หงหยิงกล่าวเช่นนั้น ทุกคนมึนงงและร่ำไห้อยู่ภายในใจ อาวุโสคนหนึ่งอธิบายออกมา “เจ้าคิดว่าชาวิถีเต๋าสามารถกลับคืนสภาพเดิมได้งั้นหรือ? มันเป็นสิ่งที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แม้แต่การเติมน้ำเพิ่มลงไปยังทำให้ใบชาสูญเสียพลังซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับขยะ!”


“โอ้ แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้ได้ ถูกต้องหรือไม่?” หงหยิงกล่าวพร้อมกับมองไปที่ขาของตนเอง “พวกท่านต้องการมันหรือไม่ ถ้าหากว่าไม่ต้องการ ข้าจะเก็บมันเพื่อไปขายให้กับผู้อื่น!”


ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสามได้ยินเช่นนั้น พวกเขามองหน้ากันพร้อมกับขมวดคิ้วและพยักหน้า อาวุโสกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา “ถ้าหากพวกเขาไม่รู้ว่ามันเคยถูกใช้ล้างเท้ามาก่อน แน่นอนว่าพวกเขาจะดื่มมัน แต่ถ้าหากรู้แล้วและยังคงดื่มมันคงจะกลายเป็นตราบาปที่ติดอยู่ภายในหัวใจตลอดไป ถ้าในอนาคตพวกเขาต้องการความคืบหน้า แน่นอนว่าต้องใช้มัน!”


“เป็นเช่นนั้น! ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่มีชะตากรรมร่วมกันกับอ่างล้างเท้านี้ พวกเจ้าควรหาขวดดี ๆ เพื่อบรรจุมันและนำออกไปประมูล! แม้ว่าราคาของมันจะลดลง แต่มากพอที่จะได้รับสมบัติวิญญาณ!” อาวุโสอีกคนกล่าวเสริม


“เป็นเช่นนั้น!” ขณะที่ผู้อาวุโสอีกคนได้ยิน เขาพยักหน้ารับพร้อมกล่าวว่า “พวกเจ้าควรทำเช่นนั้นทันที ในตอนนี้ข้ามีบางสิ่งที่ต้องทำและขอตัวก่อน!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ร่างกายของเขาโปร่งแสงและหายไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นว่าเขาออกไปอย่างกระวนกระวายใจ ทุกคนตกใจพร้อมกับคิดในใจ ‘นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่แห่งนี้ แล้วเขาจะมีธุระกงการอะไรกัน?’


“ช้าก่อน!” ใบหน้าของอาวุโสอีกคนเปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับตะโกนออกมาว่า “จุดที่อ้วนน้อยตั้งแคมป์! เร็วเข้า อย่าให้เขาขโมยมันไป!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็หายตัวไปทันที อาวุโสที่ยืนอยู่คนสุดท้ายไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากตามพวกเขาไป


ความจริงแล้วพวกเขาต้องการเพียงชาหม้อที่เจ้าอ้วนเพิ่งต้มเท่านั้น แต่ในตอนนั้นพวกเขาเพียงสนใจใบชาที่เจ้าอ้วนยังไม่ได้ใช้มากกว่าจึงละเลยหม้อนั้นไป แต่ในตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป ใบชาที่มีถูกเปลี่ยนให้เป็นน้ำล้างเท้า ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง


แม้ว่าเขาจะดื่มมันไปแล้วสองถ้วย แต่มันก็ควรจะเทได้อีกสี่ถึงห้าถ้วย แม้ว่าอาจจะมีการปนเปื้อนสักเล็กน้อยแต่ว่ามันยังคงถือได้ว่าสะอาดอยู่มาก เพื่อที่จะบรรลุความก้าวหน้า การดื่มชาที่สกปรกเพียงเล็กน้อยนั้นไม่ได้สำคัญเลย อย่างน้อยก็ดีกว่าที่จะดื่มชาที่ถูกใช้เป็นน้ำล้างเท้า ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงรีบออกไปอย่างรวดเร็วเพราะเกรงว่าเจ้าอ้วนจะจัดการชาหม้อนั้นหมดเสียก่อน


หลังจากที่เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งดื่มชา พวกเขาเข้าสู่สภาวะเก็บตัวฝึกฝนคู่ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาตื่นขึ้นมา แม้ว่ายังไม่อาจก้าวหน้าได้ในตอนนี้แต่ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี


หลังจากที่ทั้งสองตื่นขึ้นมา พวกเขาจ้องมองกันด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะกล่าวสิ่งใดสักอย่างแต่กลับถูกขัดขวางโดยอาวุโสทั้งสามคนที่กำลังรีบเข้ามา


เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งเดิมทีไม่ได้เป็นคนที่ไร้มารยาทและหยาบคายกับอาวุโส พวกเขายืนขึ้นพร้อมทำความเคารพทันที อาวุโสโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพิธีการพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เพื่อเก็บตัวฝึกฝนคู่!”


ใบหน้าของเจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วด้วยความอับอาย ผิวหนังของเจ้าอ้วนหนามากจึงทำให้เกิดเพียงสีแดงจาง ๆ เท่านั้น แต่ทว่าฉุ่ยจิ้งจะต้านทานคำพูดเหล่านี้ได้เช่นไร? นางบิดร่างกายไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีและรีบบินจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม


••••••••••••••••••••


บทที่ 172: ลายเส้นสายธารโลหิต


“ฮ่าฮ่า สาวน้อยผู้นี้ยังรู้จักอายอยู่บ้าง!” อาวุโสทั้งสามหัวเราะร่าออกมา


เจ้าอ้วนรู้สึกอับจนหนทางเมื่อมองเห็นอาวุโสเหล่านี้ แต่พวกเขาทั้งหมดคืออาวุโสที่แข็งแกร่งและเขาไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้ เขาจึงยิ้มและกล่าวออกมา “ท่านอาวุโสทั้งสาม ท่านมีความสุขหรือไม่หลังจากได้รับชาวิถีเต๋าแล้ว?”


มันคงไม่ผิดอะไรถ้าเจ้าอ้วนไม่ได้กล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ในตอนนี้มันช้าไปเสียแล้ว หลังจากเขากล่าวเช่นนั้นออกมาอาวุโสทั้งสามเปลี่ยนสีหน้าของตนเองทันทีพร้อมแทบจะอกแตกตายอยู่ตรงนั้น


อาวุโสคนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างอารมณ์เสีย “อย่ากล่าวถึงมันอีก ข้าไม่อยากกล่าวถึงเหล่าเด็กน้อยและภรรยาผู้ที่สามารถทำลายล้างทุกอย่างได้!”


“ว่าอะไร?” เจ้าอ้วนรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดพลาด ดังนั้นเขารีบถามอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”


“เหอะ เราจะไม่คุยถึงเรื่องนี้!” อาวุโสอีกคนกล่าวอย่างขมขื่น “ช่วยแสร้งทำเป็นว่าเราไม่เคยรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน ข้าเกรงว่าถ้าหากเจ้ารู้จ้าวสำนักอาจมีความคิดที่จะปิดปากเจ้า!”


“เป็นเช่นนั้น!” อาวุโสอีกคนกล่าวด้วยใบหน้าแดงจัด “หยุดกล่าวถึงเรื่องนี้เสีย เรามาพูดเรื่องที่สำคัญกว่านี้เถิด!” แม้ว่าอาวุโสเหล่านี้จะดูเหมือนไร้ความปราณี แต่ทว่าปากของพวกเขายังคงปิดสนิท เขารู้ว่าควรพูดสิ่งใดหรือไม่ควร ถ้าหากคำกล่าวที่ว่าภรรยาจ้าวสำนักนำชาวิถีเต๋าไปล้างเท้าถูกเผยแพร่ออกไป แน่นอนว่านางจะต้องถูกหัวเราะเยาะจากผู้ฝึกตนทั่วทุกมุมโลกและชื่อเสียงของนางไม่อาจกลับคืนมาได้อีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและไม่บอกกล่าวกับเจ้าอ้วน


เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ตอบ เจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะถามเซ้าซี้อีกต่อไป แต่เขาสามารถเข้าใจบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขากล่าวได้ อย่างเช่นพวกเขาไม่สามารถจัดการกับใบชาที่เขามอบให้หงหยิงได้ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง


แม้เขาจะคิดเช่นนั้น แต่เจ้าอ้วนก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดและถามออกไปว่า “แล้วท่านอาวุโสทั้งสามมาหาข้าที่นี่ด้วยเหตุใดงั้นหรือ?”


“เหอะเหอะ เรื่องนั้นง่ายมาก ข้าต้องการซื้อหม้อชาที่เจ้ากำลังดื่มอยู่ในตอนนี้!” อาวุโสอีกคนกล่าวอย่างรวดเร็ว


“ไม่ใช่เขาที่จะซื้อมัน ข้าต่างหากที่ต้องการซื้อ!” อาวุโสอีกคนกล่าวด้วยใบหน้าแดงจัด


“มันต้องเป็นข้า ขายมันให้กับข้าผู้นี้เถิด ข้าจะจ่ายให้อย่างงาม!” อาวุโสมีเครากล่าวออกมาอย่างกังวล


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เจ้าอ้วนเข้าใจได้ทันทีว่าชานี้คือสิ่งที่มีมูลค่าอย่างมาก อีกทั้งอาวุโสทั้งสามต้องการมันมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับให้ซื้อมัน ถ้าหากเจ้าอ้วนเล่นตุกติกแน่นอนว่าเขาจะถูกข่มขู่


ดังนั้นเขายิ้มและกล่าวออกมาว่า “ฮี่ฮี่ อาวุโสทั้งสามต้องการซื้อมัน แต่ข้ามีเพียงหนึ่งหม้อเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าข้าไม่สามารถขายมันให้ท่านทั้งสามได้ แต่ด้วยความเป็นศิษย์ผู้น้อยของข้า ก็ไม่อาจเลือกได้ว่าจะให้ขายมันให้ผู้ใด เพราะมันคงไม่ดีถ้าหากข้าไม่รักษาใบหน้าของอีกสองคนที่เหลือ สิ่งนี้ทำให้ข้าลำบากใจยิ่งนัก!”


อาวุโสทั้งสามเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมอย่างมากและพวกเขาเข้าใจว่าเจ้าอ้วนกล่าวอะไร พวกเขากล่าวออกมาพร้อมกัน “กล่าวเรื่องไร้สาระ กล่าวสิ่งที่เจ้าต้องการมาได้เลย!”


“ฮี่ฮี่ ข้าไม่ควรจะกล่าวสิ่งใดที่นี่ แต่เนื่องจากท่านอาวุโสทั้งสามขอร้อง และศิษย์ไม่อาจตัดสินใจได้จึงขอให้เปิดการประมูลกัน!”


“ประมูล?” อาวุโสหัวโล้นขมวดคิ้วพร้อมกล่าวว่า “เราจะประมูลกันอย่างไรจึงจะยุติธรรม!?”


“ถูกต้อง เราจะกำหนดราคาได้อย่างไรสำหรับชาหม้อนี้!” อาวุโสอีกคนกล่าวเสริม


“ใช่แล้ว เราเป็นสหายกันมานานหลายร้อยปีแล้ว คงไม่สามารถตัดขาดกันได้เพียงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ถูกต้องหรือไม่?” อาวุโสอีกคนกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้สึกว่าแผนการที่จะให้พวกเขาประมูลแข่งกันนั้นล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากสาปแช่งอยู่ภายในใจ ‘จิ้งจอกเฒ่า!’ ดังนั้นเขาจึงกล่าวข้ออ้างออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ตกลง ศิษย์ก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าไม่อาจมอบมันให้กับท่านทั้งสามได้ ดังนั้นศิษย์คิดว่าท่านอาวุโสทั้งสามควรจะเสนอราคามา จากนั้นศิษย์จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับข้า และไม่ว่าข้าจะเลือกผู้ใดหวังว่าอาวุโสจะเข้าใจข้าด้วย!”


“อืม เป็นความคิดที่ดี!” อาวุโสอีกคนกล่าวออกมาพร้อมกับพยักหน้า


“ข้าคิดว่านี่คือข้อตกลงที่ดี การประมูลเพียงครั้งเดียวเช่นนี้หลีกเลี่ยงการปะทะได้!” อาวุโสอีกคนกล่าว


“อีกอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด แน่นอนว่าเราจะไม่สร้างปัญหาให้กับเจ้าเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้!”


“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ!” เจ้าอ้วนคำนับให้กับพวกเขาพร้อมกล่าวว่า “ข้าสงสัยว่าอาวุโสท่านใดจะเสนอเป็นคนแรก?”


เมื่ออาวุโสทั้งสามได้ยินเช่นนั้น พวกเขาลังเลและเหลือบมองกัน


แน่นอนว่าทุกคนต้องการเป็นคนสุดท้ายเพื่อเสนอราคาที่มากที่สุด ไม่มีผู้ใดโง่เขลาจึงไม่สามารถแสดงความเด็ดขาดได้ ทั้งหมดยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะก้าวขาออกมาด้านหน้าได้


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เจ้าอ้วนรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “ท่านอาวุโสทำไมพวกท่านไม่หยิบข้อเสนอที่ท่านต้องการเสนอออกมาพร้อมกันและปิดกั้นการมองเห็นมันล่ะ อีกอย่างท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้อีกด้วย และจะไม่เสียใจที่นำมันออกมา! อย่างนี้ได้หรือไม่?”


“ประเสริฐ!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาวุโสทั้งสามหยักหน้าพร้อมกับโบกมือพร้อมกัน ปรากฏสามข้อเสนอขึ้นมาตรงหน้าของเจ้าอ้วน เนื่องจากที่มันถูกปกคลุมด้วยแสงสีเขียว เจ้าอ้วนจึงไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่พวกเขานำออกมาได้ แต่เพียงแค่คิดว่ามันถูกนำออกมาโดยผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินคงไม่ใช่อุปกรณ์ธรรมดา


ภายในใจของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยความสุข แต่เขายังคงอยู่ในท่าทีที่สงบและกล่าวว่า “ในตอนนี้ทุกท่านหยิบมันออกมาแล้ว และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ข้าอยากรู้ว่าอาวุโสท่านใดต้องการจะนำเสนอมันให้กับข้าก่อน?”


“ข้าก่อน!” อาวุโสใบหน้าสีแดงกล่าวออกมาพร้อมกับกระโดดมาด้านหน้า ในขณะที่เขาโบกมือเท่านั้น แสงสีเขียวหายไปทันทีและเปิดเผยสิ่งนั้นออกมา มันคือเสื้อคลุมห้าสี แต่เจ้าอ้วนไม่เข้าใจว่ามันคือสิ่งใด ข้อเสนอนี้มีความสวยงามและการตัดเย็บที่ดีมากพร้อมกับมีปราณจิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าเล็ดลอดออกมาจากมัน


อาวุโสกล่าวออกมาอย่างร่าเริง “มันคือเสื้อคลุมแห่งธาตุทั้งห้า เป็นผลิตภัณฑ์ของข้าเองเมื่อแปดร้อยปีก่อน ข้าปรับแต่งมันหลายครั้งและบรรจุชีวิตกับจิตวิญญาณของข้าไว้มากมาย ในตอนแรกข้าต้องการปรับแต่งให้มันกลายเป็นสมบัติวิญญาณ แต่ว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนข้าได้รับเสื้อคลุมที่เป็นสมบัติวิญญาณมา ข้อเสนอนี้จึงไม่ได้มีความสำคัญกับข้าอีกต่อไป แต่หลังจากที่ข้าปรับแต่งมันด้วยจิตวิญญาณของข้านานนับหลายร้อยปี ในตอนนี้แม้ว่ามันจะยังคงไร้จิตวิญญาณแต่ว่ายังคงมีร่องรอยของวิญญาณอยู่เล็กน้อย ข้าคิดว่ามันจะต้องกลายเป็นสมบัติวิญญาณได้ถ้าหากมันได้รับเวลาเพิ่มเติมสักเล็กน้อย! หนุ่มน้อย! การฝึกฝนของเจ้านั้นเต็มไปด้วยธาตุทั้งห้าและข้อเสนอนี้เหมาะกับเจ้ามาก ในตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่ล้ำค่ามากนัก แต่ในอนาคตมันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมาก แล้วเจ้าจะรออะไรอยู่? สมบัติวิเศษสุดล้ำค่าเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าในตอนนี้!”


เมื่ออาวุโสคนนี้กล่าวจบ ดวงตาของเจ้าอ้วนแทบจะหลุดออกจากเบ้า แน่นอนว่าข้อเสนอนี้เหมาะกับเขามาก แม้ว่าระฆังทองแดงจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเปิดเผยมันได้โดยง่าย อีกทั้งการป้องกันของมันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบดั่งเช่นข้อเสนอนี้ที่เต็มไปด้วยพลังของธาตุทั้งห้า ด้วยเหตุนี้เจ้าอ้วนอาจจะหลบหนีจากอันตรายได้ก่อนที่มันจะมาถึงตัวเองก่อนสักสองถึงสามพันลี้ นี่เป็นสมบัติวิเศษที่จะทำให้เขารอดชีวิตได้! สำหรับชาเพียงครึ่งหม้อแล้วได้รับข้อเสนอนี้ นับว่าเป็นของขวัญจากสวรรค์! แต่ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังจะพยักหน้าของเขา อาวุโสอีกคนไอออกมาเพื่อขัดจังหวะทันทีพร้อมกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม ข้าแนะนำว่าให้เจ้าตัดสินใจหลังจากที่ได้เห็นข้อเสนอของข้าก่อน! แน่นอนว่าเสื้อคลุมแห่งธาตุทั้งห้าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับเจ้า! เชื่อข้า สิ่งที่ข้าเสนอให้เจ้าอาจจะมีประโยชน์มากกว่า!”


“ว่าอะไร?” ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารีบถามออกไปทันที “ข้าต้องการเห็นข้อเสนอของท่าน!”


“จงจับตาดูให้ดี!” จากนั้นอาวุโสโบกมือทันทีเพื่อปลดปล่อยแสงสีเขียวและปรากฏแถบหยกเก่าแก่ออกมา พร้อมกับเริ่มอธิบายทันที “เจ้าคือผู้ฝึกตนสายฟ้าใช่หรือไม่? อีกทั้งเจ้ายังฝึกฝนสายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้าอีกด้วย ถูกต้องหรือไม่?”


“ขอรับ!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมกับพยักหน้า “ศิษย์เป็นผู้ฝึกตนสายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้า!”


เจ้าอ้วนรู้สึกประหลาดใจที่เหล่าอาวุโสเหล่านี้รู้จักเขา แม้แต่จ้าวสำนักยังรู้จากการบอกกล่าวของเขา


“ใช่แล้ว!” ชายชรายิ้มออกมาอย่างร่าเริง “นี่เป็นยันต์สายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้าในสมัยโบราณ ซึ่งรวบรวมเวทมนตร์สายฟ้าและความรู้ของผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้านับยี่สิบคน!”


เหตุผลที่มันมีจำนวนมากถึงขนาดนั้นเพราะว่ามันเต็มไปด้วยอสนีขั้วบวกและลบรวมกัน ยันต์สายฟ้าที่ได้รับการสะกดแล้วนั้นมีมูลค่าอย่างมาก เรียกได้ว่ามันคือสมบัติขนาดย่อม แต่เจ้าอ้วนนั้นสามารถใช้สายฟ้าอสนีขั้วลบได้เพียงสิบชนิดเท่านั้น นอกจากนั้นอาคมชนิดนี้ถือว่าหาได้ยากอย่างยิ่งและคงจะเก็บรวบรวมได้ช้าถ้าหากเขาทำเอง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันมีค่ามากกว่าเสื้อคลุมแห่งธาตุทั้งห้า


แน่นอนว่าอาวุโสหัวโล้นเห็นว่าเจ้าอ้วนสนใจสมบัติชนิดนี้มาก แต่เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับมันเลย พร้อมกับเปิดเผยไผ่ใบสุดท้ายในมือตนเอง


“เจ้าหนุ่ม ข้ารู้ว่าเสื้อคลุมแห่งธาตุทั้งห้านั้นห่างไกลกับสายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้า แต่สิ่งที่ข้ามีก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว”


อาวุโสหัวโล้นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “แท้จริงแล้วเวทมนตร์สายฟ้ายี่สิบชนิดนี้เป็นเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งล้ำค่าของมันคือฐานรวมสายฟ้า!”


“ฐานรวมสายฟ้า?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวซ้ำอีกครั้งพร้อมถามออกมาด้วยความสงสัย “ฐานรวมสายฟ้าคือสิ่งใด?”


“เหอะเหอะ ฐานรวมสายฟ้าคือสมบัติวิเศษซึ่งสามารถควบแน่นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์!” อาวุโสหัวโล้นกล่าวเสริม “รวมกับที่เจ้าต้องปรับแต่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ มันคือเคล็ดวิชาที่สามารถช่วยให้เจ้าปรับแต่งมันได้ เรียกได้ว่าประหยัดเวลาของเจ้าได้มากโข!”


“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันที “มีสมบัติวิเศษที่สามารถปรับแต่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้โดยอัตโนมัติด้วยงั้นหรือ? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”


“เหอะ นี่เป็นสิ่งที่จะปรากฏในทุกหนึ่งหมื่นปีเท่านั้น แม้ว่ามันจะทำให้ชีวิตของผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้าง่ายขึ้น แต่ทรัพยากรที่ต้องใช้นั้นมีราคาสูงมาก เพียงแค่ฐานรวมสายฟ้าระดับต่ำที่เป็นสมบัติวิเศษยังถือได้ว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของสำนัก! รวมกับวัสดุที่ใช้สร้างฐานรวมสายฟ้าระดับกลางนั้นมีมูลค่ามากเทียบเท่ากับสมบัติวิญญาณ!” อาวุโสกล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว “เจ้าหนุ่ม ข้อเสนอนี้แม้แต่ข้าก็ไม่อาจจ่ายเพื่อครอบครองมันได้ เช่นนี้เจ้าจงคิดดูว่ามันจะทำให้เจ้ามีความมั่งคั่งมากถึงเพียงใด?”


“เจ้าอย่าได้ประมาท ผู้อื่นก็สามารถช่วยเรื่องนี้กับเจ้าได้!” เมื่ออาวุโสอีกคนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างขุ่นเคือง


“เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการโกงเขา!” อาวุโสที่มีเครากล่าวออกมาอย่างรังเกียจ


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนฟื้นคืนสติทันทีพร้อมกับเข้าใจว่าเหตุใดอาวุโสคนนี้จึงต้องการมอบสมบัติของสำนักให้กับผู้ฝึกตนที่อ่อนแอเช่นเขา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้มันเพราะภายในมิติลึกลับของเขาเต็มไปด้วยวัสดุมากมาย แม้ว่าจะไม่มากพอแต่เขาสามารถหาซื้อเพิ่มเติมได้ มันคงจะดีถ้าหากเขาสามารถใช้ฐานรวมสายฟ้าได้ ผลของมันก็คือเขาจะมีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มากมายโดยที่ไม่ต้องนั่งปรับแต่งเอง


เมื่อคิดได้เช่นนั้นเจ้าอ้วนรู้สึกถูกล่อลวงเล็กน้อย แต่เนื่องจากเขายังไม่เห็นข้อเสนอสุดท้าย เขาจึงยังไม่เลือกมันในทันที จากนั้นเขาหันไปหาอาวุโสคนสุดท้ายพร้อมกล่าวว่า “ข้าต้องการเห็นข้อเสนอของท่านได้หรือไม่?”


“ฮี่ฮี่!” ในขณะที่อาวุโสได้ยินเช่นนั้น เขารีบตอบกลับทันที “แน่นอนว่าข้อเสนอของข้าไม่เหมือนขยะเหล่านั้น ให้ข้าผู้นี้แสดงให้เจ้าดูเถิดว่าสิ่งใดกันแน่ที่ควรเรียกว่าสมบัติ!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาปลดปล่อยแสงสีเขียวพร้อมกับปรากฏกระดองเต่าขนาดเท่ากำปั้น เปลือกของมันเต็มไปด้วยลวดลายสีโลหิต ถึงแม้ข้อเสนอนี้จะมีความพิเศษอย่างมาก แต่เจ้าอ้วนก็ไม่รู้ว่ามันพิเศษอย่างไร


แต่ในขณะนั้นอาวุโสทั้งที่มองเห็นข้อเสนอนี้ พวกเขาอุทานออกมาอย่างตกใจ “ลายเส้นธารโลหิต!” อาวุโสใบหน้าสีแดงตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “สหาย เจ้าคิดอะไรอยู่ที่นำสิ่งนี้ออกมา?”


“สวรรค์ ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้านำสมบัติวิญญาณขั้นสี่ออกมาครั้งสุดท้ายเมื่อใด แต่เหตุใดจึงนำมันออกมาวันนี้?” อาวุโสใบหน้าสีแดงกล่าวว่า “เพียงแค่ชาหม้อนี้ มันคุ้มค่างั้นหรือ?”


“เหอะ!” ขณะที่อาวุโสเคราได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาว่า “ข้าติดค้างอยู่ที่สภาวะตีบตันนี้มานานกว่าห้าร้อยปี ถ้าหากว่าไม่ก้าวหน้าภายในร้อยปีข้างหน้า ข้าคงหมดเวลาในโลกนี้แล้ว หม้อนี้เป็นความหวังสุดท้ายของข้า! ถ้าหากข้าใช้สมบัติในครั้งนี้ แน่นอนว่าข้าสามารถหามันได้ใหม่ แต่ถ้าหากข้าไม่มีชีวิตที่จะอยู่ต่อไป ข้าคงไม่เหลือสิ่งใด!”


เมื่ออาวุโสหน้าแดงและอาวุโสหัวโล้นได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาเปิดเผยใบหน้าแห่งความเสียใจ จากนั้นหัวเราะอย่างขมขื่นเก็บข้อเสนอของตนเองและกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ลืมมันไปเถิด เนื่องจากเจ้ายอมจ่ายมันด้วยราคาดังกล่าว พวกข้าขอยอมแพ้!”


“ขอบคุณ ขอบคุณมาก!” อาวุโสเครายกมือขึ้นมาเพื่อขอบคุณสหาย


“แค่กแค่ก!” เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาไอออกมาสองครั้งพร้อมกล่าวอย่างขื่นขม “อาวุโสทั้งสามอย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสิน ข้ายังไม่รู้เลยว่าอะไรคือลายเส้นธารโลหิต!”


“เหอะเหอะ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก!” อาวุโสหน้าแดงกล่าวออกมาอย่างริษยา


“มันเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับต้าเชิงไม่อาจสู้ได้!” อาวุโสหัวโล้นกล่าวเสริม “ในเวลานี้เจ้านับว่าได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดแล้ว!”


บทที่ 173: อสูรกายเต่าดำ


อาวุโสเคราจับหนวดของเขาพร้อมถอนหายใจและกล่าวว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของเต่าดำอสูรกายในตำนานหรือไม่?”


“เต่าดำอสูรกายในตำนาน?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมขมวดคิ้วแน่น “ตำนานเล่าว่ามันคือบุตรแห่งพระเจ้า และความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับอสูรกายระดับต้าเชิ่ง!”


“ใช่แล้ว แม้ว่ามันจะมีอยู่น้อยนิด แต่การถือกำเนิดของพวกมันได้สร้างคลื่นลูกใหม่ในโลกนี้ด้วยความสามารถมากมายที่พวกมันมี มีเพียงไม่กี่ตนที่โชคดีเกิดมาเป็นเปลือกลายธารเช่นนี้ เต่าทะเลเหล่านี้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์มากมาย ระดับพลังของมันใกล้เคียงกับคำว่าตำนานอย่างถึงที่สุด!” อาวุโสเคราอธิบายต่อ “สิ่งนี้คือลายเส้นสายธารโลหิตพิเศษที่ได้รับการปรับแต่งมาจากเต่าดำในตำนาน!”


“สิ่งของพิเศษงั้นหรือ?” ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างและรีบกล่าวออกไป “มันพิเศษอย่างไร?”


“เป็นสิ่งที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว!” อาวุโสเคราอธิบายเสริม “หลังจากที่เจ้าใช้มัน เจ้าจะต้องจารึกลายโลหิตเช่นนี้ไว้บนร่างกายของตนเอง จากนั้นรอให้มันเติบโตตามธรรมชาติ!”


“ว่าอะไร?” ในขณะที่เขาได้ยินเขาสนใจมันอย่างมากพร้อมถามต่อ “อะไรคือจารึกโลหิต?”


“มันสามารถใช้งานได้หลากหลาย” อาวุโสเครากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ประการแรก นี่คือต้นกำเนิดของลายเส้นสายธารโลหิตของเต่าดำในตำนาน หลังจากที่จารึกลงบนร่างกายแล้ว เลือดของเจ้ากับมันจะผสมกัน ไม่เพียงแต่ร่างกาย เส้นลมปราณ และสัมผัสวิญญาณจะแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจทักษะต่าง ๆ มากขึ้น สิ่งนี้เป็นเพียงหนึ่งในของไม่กี่อย่างที่สามารถเพิ่มความสามารถได้มากขนาดนี้ อีกทั้งมันคุ้มค่าไม่น้อยไปกว่าสิ่งที่ทำให้สามารถผ่านพ้นสภาวะตีบตันได้!”


“นอกเหนือจากนั้น มันจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างตนเองกลายเป็นสายธารศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องร่างกายของเจ้า ในขณะที่เจ้ากำลังต่อสู้ มันจะปรากฏขึ้นมาปกป้องเจ้าโดยอัตโนมัติ สามารถดูดซับแรงการโจมตีและช่วยควบคุมปราณจิตวิญญาณของเจ้าได้ ในส่วนอื่นของการโจมตีจะถูกควบคุมโดยเทพเจ้าเต่าดำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อการก่อตัวของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดเสร็จสิ้นแล้วมันสามารถโต้กลับด้วยพลังที่มหาศาล!” อาวุโสเครากล่าวพร้อมอธิบายต่อ “ดังนั้นหมายความว่าฝ่ายตรงข้ามของเจ้าจะต้องเอาชนะสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดได้เท่านั้น นั่นจะทำให้เจ้าแทบไร้เทียมทาน!”


“โอ้!” เจ้าอ้วนรู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงร่างกายหรือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้อง มันคือสิ่งของที่ผู้ฝึกตนทุกคนต้องการมัน ดังนั้นเขาจึงถามออกไปอย่างมีความสุข “สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของมันแข็งแกร่งมากเพียงใด?”


“ความแข็งแกร่งของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างกายเจ้า ยิ่งร่างกายของเจ้าสามารถอดทนได้มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้พลังของมันมากขึ้นไปเท่านั้น” อาวุโสอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “จากความแข็งแกร่งของร่างกายเจ้าที่ถูกปรับปรุงโดยลายเส้นสายธารโลหิต ข้าคิดว่ามันน่าจะมีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตัน ผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันกับเจ้าจะไม่สามารถต่อกรกับเจ้าได้โดยที่เจ้าเพียงยืนเฉย ๆ ไม่ต้องขยับตัวแม้สักนิด และรับการโจมตีเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย เพราะพวกเขาจะต้องพบเจอกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์!”


“ช่างเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น


“ฮ่าฮ่า นี่ยังไม่ใช่ความสามารถทั้งหมดของมัน ทักษะลับของมันนั้นถูกซ่อนไว้และเจ้าต้องค้นหามันด้วยตนเอง” อาวุโสเครากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอกเหนือจากลายเส้นสายธารโลหิตแล้วยังมีเต่าทองโลหิตซึ่งถูกปรับแต่งมาจากอสูรกายในตำนานเช่นกัน ถ้าหากเจ้านำมันมารวมเข้าด้วยกัน ความสามารถของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อถึงเวลานั้นแน่นอนว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับเจ้า!”


“แล้วข้าจะได้รับเต่าทองโลหิตได้อย่างไร?” เจ้าอ้วนรีบถาม


เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาวุโสเครากล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ถ้าหากข้ารู้ ข้าจะบอกกับเจ้าได้อย่างไร? เต่าดำในตำนานพบเจอได้ยากยิ่งและเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนธรรมดาไม่มีวันจะได้พบ สำหรับเต่าทองโลหิตมันยิ่งพบพานยากยิ่งกว่า แม้ว่าเจ้าจะพบเจอมันแต่ก็ไม่อาจเอาชนะมันได้ สิ่งที่ข้าได้รับมานี้คือผู้ฝึกตนระดับต้าเชิ่งพบมันเข้าโดยบังเอิญเท่านั้น ถ้าหากเจ้าต้องการเต่าทองโลหิต มันก็ไม่ต่างงมเข็มในมหาสมุทร แม้ว่าอายุของเจ้าจะยืนยาวเป็นหมื่นปี ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเจ้าจะค้นพบมัน!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก นับว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เขาได้รับลายเส้นสายธารโลหิต ในเวลานี้เขาได้เจอกับเรื่องที่ตื่นเต้นและมันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่เหตุใดอาวุโสผู้นี้จึงมอบมันให้กับเขาแทนที่จะใช้มันกับตนเอง? หรือว่าจะมีเหตุผลซ่อนอยู่เบื้องหลัง?


เมื่อคิดเช่นนี้ เจ้าอ้วนถามออกไปอย่างระแวดระวัง “อาวุโสนี่เป็นข้อเสนอที่ดีมาก เหตุใดท่านจึงไม่คิดจะใช้มัน?”


“เฮ้อ!” อาวุโสเคราถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า “ความสามารถของมันเหมาะกับผู้ที่ฝึกฝนร่างกาย มันจะเป็นเรื่องลำบากถ้าหากข้าใช้มันเอง ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะเก็บมันไว้เพื่อแลกกับสมบัติวิญญาณที่ข้าต้องการ แต่ก็แย่นักที่ข้าไม่อาจค้นพบคนที่จะแลกเปลี่ยนกับของชิ้นนี้เลย อีกทั้งเวลาของข้าใกล้หมดลงและติดขัดอยู่ตรงนี้มาเนิ่นนาน ข้าต้องช่วยเหลือชีวิตของตนเองก่อน!”


หลังจากที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เจ้าอ้วนพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “อาวุโส ศิษย์เข้าใจความรู้สึกของท่าน แต่ว่าข้อเสนอนี้ไม่เหมาะสมที่จะแลกเปลี่ยนกับชาหม้อเล็ก ๆ เช่นนี้ ศิษย์ไม่สามารถรับมันไว้ ดังนั้นข้าขอให้ท่านมอบยันต์สายฟ้าให้กับข้าแทนที่จะเป็นสิ่งของชิ้นนี้!”


อาวุโสเครารู้สึกร่าเริงขึ้นมาทันที ในตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่มีความหวังอีกต่อไป แต่เขาไม่ได้คิดว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงรีบโยนยันต์สายฟ้าออกมาพร้อมกับคว้าหม้อชาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นหัวเราะออกมาดังสนั่นไปทั่วพื้นที่ “ฮ่าฮ่า เด็กน้อย เจ้าช่างใจกว้างยิ่งนัก! ข้าจะจดจำเรื่องเหล่านี้ไว้ในใจ! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”


เมื่อเห็นเช่นนั้น อาวุโสเคราแทบจะตายตกไปเพราะความโกรธ เขากล่าวออกมาอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าโง่ ข้ายินดีที่จะขาดทุนแต่ทำไมเจ้ากลับไร้สมองเช่นนี้?”


อาวุโสใบหน้าสีแดงอยู่ในอาการตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่คิดว่าเรื่องราวทั้งหมดจะกลับกลายเป็นเช่นนี้


เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มปีศาจ “ฮี่ฮี่ อาวุโสอย่าได้กังวลไปเลย ลายเส้นสายธารโลหิตนั้นก็เป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องการเช่นกัน!”


“เจ้ายังต้องการมันอีกหรือ?” อาวุโสเคราคำรามออกมา “เป็นไปไม่ได้ เจ้าคิดว่าจะเอาอะไรออกมาล่อลวงข้าได้อีกงั้นหรือ?”


เจ้าอ้วนตอบกลับด้วยท่าทีที่สงบ “แม้แต่ชาวิถีเต๋างั้นหรือ?”


“แน่นอนว่าไม่….” อาวุโสเคราตอบได้เพียงเท่านั้น เขาหยุดปากทันทีเพราะรู้สึกว่ามีอะไรผิดพลาด พร้อมกับถามออกไปอย่างรวดเร็ว “อะไรนะ? ชาวิถีเต๋า? อ้วนน้อย เจ้ายังพอมีชาวิถีเต๋าอยู่อีกงั้นหรือ?”


“ฮี่ฮี่!” เจ้าอ้วนยิ้มพร้อมกับถือยันต์หยกไว้ในมือและอธิบาย “ศิษย์มีชานี้อยู่สองถุงและมอบครึ่งหนึ่งให้กับศิษย์น้องหงหยิงไปแล้ว มันยังเหลืออีกเล็กน้อยและสามารถชงได้อีกหนึ่งหม้อ”


อาวุโสเครารับกล่องหยกมาด้วยความร่าเริงและตรวจสอบด้านในอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีใบชาอยู่เพียงเล็กน้อยแต่มันก็เพียงพอสำหรับชาหนึ่งหม้อ!


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าอ้วน เจ้ายอดเยี่ยมจริง ๆ!” อาวุโสเครากล่าวออกมาอย่างร่าเริง ปราศจากคำพูดใด เขามอบลายเส้นสายธารโลหิตให้กับเจ้าอ้วนทันทีพร้อมกล่าวว่า “สิ่งนี้เหมาะสมกับเจ้า แต่จงจำไว้ว่าถ้าหากร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งมากพอ เจ้าสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ แต่ถ้าหากไม่มากพอ ร่างกายของเจ้าจะระเบิดออกเพราะปราณจิตวิญญาณอันมหาศาล!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้ทำให้ความสุขของเขาลดลงสักเท่าไหร่ เขารับมันไว้พร้อมกล่าวอย่างอ่อนน้อม “ข้าขอขอบคุณท่านอาวุโส!”


“ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย!” อาวุโสเครากล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ


เมื่อเห็นว่ามีสองคนที่ได้รับสิ่งของแต่ว่าเขาเป็นผู้เดียวที่ไม่ได้รับอะไรเลย เขาจะไม่รู้สึกผิดหวังได้อย่างไรกัน? จึงได้แต่กล่าวออกมาอย่างหมดหนทาง “อ้วนน้อยเจ้ายังพอมีชาวิถีเต๋าเหลืออยู่บ้างไหม?”


“ข้าไม่มีมันเหลือแล้วขอรับ!” เพื่อพิสูจน์ความไร้เดียงสาของตนเอง เขาหยิบแหวนมิติออกมาพร้อมกล่าวว่า “อาวุโสสามารถตรวจสอบได้ถ้าหากไม่เชื่อใจข้า?”


อาวุโสใบหน้าสีแดงตรวจสอบมันพร้อมกับพบว่าเจ้าอ้วนไม่ได้กล่าวเท็จ เขาจึงพูดออกมาอย่างผิดหวัง “เจ้าไม่ได้ลำเอียงใช่หรือไม่? ทำไมมีเพียงข้าที่ไม่ได้รับมัน? ข้ายอมรับว่าข้อเสนอของข้าไม่อาจเทียบกับลายเส้นสายธารโลหิตได้ แต่ยันต์สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นเปรียบได้กับขยะ จะเปรียบเทียบกับเสื้อคลุมแห่งธาตุทั้งห้าของข้าได้อย่างไร? เจ้าจะต้องอธิบายข้ามาในวันนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป!”


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าอ้วนตกใจทันที ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเปรียบได้กับภูเขาขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ถ้าหากอาวุโสใบหน้าสีแดงต้องการสร้างปัญหา แน่นอนว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้


อย่างไรแล้วอาวุโสอีกสองท่านต่างได้รับสิ่งของจากเขา ทั้งสองย่อมไม่อาจทนเห็นเจ้าอ้วนถูกรังแกได้ พวกเขาพยายามเรียกสติของอาวุโสใบหน้าสีแดงให้กลับคืน


อาวุโสเครากระซิบเขา “ดูเจ้าทำตัว เจ้าคืออาวุโสเฟินเสินนะ!”


อาวุโสอีกคนรีบกล่าวเสริม “ใช่แล้ว เจ้าเสียมารยาทต่อหน้าศิษย์ได้อย่างไร! ก่อนหน้านี้เจ้าเคยกล่าวไว้ว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับเขาถ้าหากเขาไม่เลือกเจ้า แล้วตอนนี้เจ้ากลับคำพูดแล้วงั้นหรือ?”


“ข้าสร้างปัญหาอะไรให้กับเขา? ข้าเพียงต้องการคำอธิบาย!” อาวุโสใบหน้าสีแดงกล่าวอย่างหดหู่


“ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเช่นเจ้าต้องการคำอธิบายจากศิษย์ระดับปฐมภูมิงั้นหรือ? ไม่ใช่ต้องการจะสร้างปัญหาให้กับเขาหรือไร?” อาวุโสหัวโล้นกล่าวอย่างโกรธเคือง


“ใช่แล้ว เจ้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง!” อาวุโสเครากล่าวเสริม “เวลาล่วงเลยมาเนิ่นนานแล้ว เราไม่ควรชักช้าและรีบออกไปเสียที กลับสำนักกันเถิด!”


“ตกลง เราจะออกไปเดี๋ยวนี้!” อาวุโสหัวโล้นตอบกลับ พวกเขาไม่รอคำตอบจากอาวุโสใบหน้าสีแดงแต่อย่างใดพร้อมกับพากันออกไปทันที


ในขณะนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะบอกลาเจ้าอ้วน “อ้วนน้อย แล้วเจอกันใหม่!”


บทที่ 174: ทางเลือกสุดท้าย


อาวุโสใบหน้าสีแดงจะเอาชนะทั้งสองคนนั้นได้อย่างไร? แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถูกลากออกไป ดังนั้นจึงตะโกนออกมาว่า “ข้าจะบอกว่าเรามีภารกิจที่นี่ เรายังไม่ได้ตรวจสอบความสำเร็จของสำนักแห่งนี้เลย!”


“ตรวจสอบศีรษะของเจ้าน่ะสิ! เจ้าไม่ต้องการที่จะกลับไปงั้นหรือ? เขาผ่านแล้ว!” อาวุโสหัวโล้นตะโกนกลับมา


“อะไรกัน พวกเจ้าเพียงอยู่ที่แห่งนี้เพียงชั่วโมงเดียว อะไรกันที่เจ้าตรวจสอบ? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้ากำลังละเลยหน้าที่ของตนเอง!” อาวุโสใบหน้าสีแดงกล่าวพร้อมกับร่ำไห้ออกมา


“ข้าสามารถบอกได้ว่าเขาตรวจสอบแล้ว!” อาวุโสหัวโล้นตะโกนกลับมา “ตามกฎของสำนักถ้าหากมีสองคนที่ยอมรับ ถือว่าพวกเขาผ่านการทดสอบ! และในตอนนี้เราทั้งสองคนได้ตรวจสอบและอนุมัติคำขอจากจ้าวสำนักแห่งนี้แล้ว! เจ้าต้องการจะทำอะไร?”


ในขณะที่อาวุโสใบหน้าสีแดงได้ยินเช่นนั้น เขาไร้คำที่จะกล่าวออกมาพร้อมบ่นอย่างเหลืออด“พวกเจ้าสองคนช่างบัดซบยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าทั้งสองต้องการกลับไปดื่มชาวิถีเต๋าและหลุดออกจากสภาวะตีบตัน แต่เจ้ากลับพูดจาเหมือนกับว่าเต็มไปด้วยเหตุผลอื่นมากมาย!”


“ฮ่าฮ่า เราได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้ว ใครกันขอให้เจ้าเป็นคนขี้ขลาดเช่นนี้!” อาวุโสหัวโล้นกล่าวพร้อมหัวเราะ “ถ้าหากเจ้าใจกว้างมากกว่านี้ แน่นอนว่ามันจะต้องมีผลตอบแทนสักเล็กน้อย!”


“บัดซบ เห็นได้ชัดว่าเสื้อคลุมแห่งธาตุทั้งห้านั้นคุ้มค่าเสียยิ่งกว่ายันต์หยกสายฟ้า มันเป็นเพียงเจ้าอ้วนนั่นไม่รู้ว่าต้องเลือกสิ่งใดจึงจะเหมาะสมกับเขา!” อาวุโสใบหน้าสีแดงตะโกนออกมาอย่างอดกลั้น


“ฮ่าฮ่า นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าอับโชคเอง แล้วจะไปตำหนิผู้ใดได้!” อาวุโสหัวโล้นกล่าว


ตามเสียงนั้น พวกเขาค่อย ๆ คุยกันด้วยเสียงที่นุ่มนวลขึ้นจากนั้นจึงหายออกไปจากพื้นที่


เจ้าอ้วนรู้สึกน้ำตาไหลที่เหล่าตัวปัญหาทั้งสามได้กลับออกไปเสียที จากนั้นเขามุ่งหน้าเข้าสู่สำนักชั้นใน เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรกับชาวิถีเต๋าที่มอบให้กับหงหยิง และทำไมจึงไม่สามารถขายให้กับอาวุโสได้


เจ้าอ้วนบินมาถึงลานของจ้าวสำนักพร้อมกับความสับสนเต็มหัวใจ


สิ่งแรกที่เขาเห็นคือภรรยาจ้าวสำนักนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่หดหู่ จ้าวสำนักกำลังปลอบใจนางอยู่พร้อมกับหงหยิงที่นั่งข้างๆ


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนเข้ามา จ้าวสำนักรีบถามออกไปว่า “อาวุโสทั้งสามอยู่ที่ใด?”


“พวกเขากลับสำนักไปแล้ว!” เจ้าอ้วนตอบ


“อะไรนะ? กลับไปแล้ว?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาสูญเสียใบหน้าของตนทันที “แย่มาก ข้าคิดว่าพวกเขาคงโกรธจัดและข้าคงไม่อาจชำระเรื่องเหล่านี้ได้!”


“ไม่ใช่อย่างนั้น!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “พวกเขามีความสุขในขณะที่กลับออกไป ข้าได้ยินบทสนทนาของพวกเขาในตอนนั้นซึ่งกล่าวว่าอนุมัติคำขอของท่าน!”


“ว่าอะไร?” ดวงตาของจ้าวสำนักเบิกโพลงในขณะที่ได้ยินเช่นนั้นและกล่าวว่า “แต่พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบสิ่งใดเลย และอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ผ่านได้อย่างไรกัน?”


“ฮี่ฮี่!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “อาวุโสสองคนได้รับชาวิถีเต๋าจากข้า ดังนั้นเขาจึงกลับไปพร้อมกับความสุขที่จะผ่านพ้นสภาวะตีบตันได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะให้ท่านผ่านการทดสอบ!”


“อ๋อ เป็นเช่นนี้!” เจ้าสำนักตอบกลับอย่างประหลาดใจ “อ้วนน้อยขอขอบใจเจ้ามาก!”


“ฮี่ฮี่ ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ที่จริงข้าก็ทำกำไรได้ไม่น้อยเช่นกัน ชาเพียงครึ่งหม้อยังช่วยให้ข้าได้รับสมบัติบางอย่าง!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมพร้อมกล่าวต่อ “แต่แปลก พวกท่านมีชาวิถีเต๋าอยู่ เหตุใดจึงไม่ทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเขา มันสามารถแลกเปลี่ยนกับสมบัติได้!”


ในขณะที่ภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นหมดหนทางและไร้คำจะกล่าว


อย่างไรก็ตาม หงหยิงเป็นหญิงสาวที่ตรงไปตรงมานางกล่าวออกมาอย่างขื่นขมว่า “ชาที่ได้รับมาจากพี่ชายอ้วนนั้นท่านแม่ของข้าได้นำมันไปล้างเท้า! ในขณะที่เราเข้ามา ชาวิถีเต๋าได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นน้ำล้างเท้าเสียแล้ว”


“ว่าอะไร?” ใบหน้าของเจ้าอ้วนเปลี่ยนสีทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าใบหน้าของเขาตอนนี้มันเปลี่ยนไปเช่นไร


ใบหน้าของภรรยาจ้าวสำนักเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมหันไปตำหนิหงหยิง “ไม่มีใครกล่าวหาว่าเจ้าเป็นใบ้ถ้าหากเจ้าไม่กล่าวอะไรออกมา!”


จ้าวสำนักโกรธเจ้าอ้วนอย่างรุนแรงพร้อมกล่าวว่า “แน่นอนว่าอย่างไรมันก็ดีกว่าอาหารเน่า ๆ ในกระเพาะของเจ้า ถ้าหากว่าข้าได้ยินว่าเรื่องนี้แพร่กระจ่ายออกไป แน่นอนว่าเจ้าจะได้กลายเป็นไขมันหมูสมใจ!”


“ข้าทราบดี!” เจ้าอ้วนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ มันน่าอับอายเกินกว่าจะพูดออกไป ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “ขอให้จ้าวสำนักมั่นใจว่าศิษย์ไม่ได้ยินสิ่งใดเลยในวันนี้!”


“ดี! จะดีมากถ้าเจ้าทำได้!” จ้าวสำนักพยักหน้าพร้อมกล่าวเสริม “จริงด้วย ส่วนที่เหลือจากที่ได้รับมาจากเจ้า! ข้าและภรรยาขอขอบคุณจากใจจริง ถ้าหากเจ้าขาดเหลือสิ่งใดบอกเราได้เลย ข้าจะจัดหามาให้เพื่อตอบแทน! เจ้าสามารถเลือกรางวัลของตนเองได้!”


“เอ่อ เรื่องนั้นไม่เป็นไรมิได้!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมใบหน้าหดหู่ “ในตอนนี้ข้ามีสิ่งที่ดีมากมาย อีกอย่างถ้าหากข้าไม่ได้เข้าร่วมการล่าก็คงไม่ได้รับชาวิถีเต๋ากลับมา! กล่าวได้ว่านี่เป็นโชคลาภจากอุบัติเหตุ ข้าจะเอาใบหน้าที่ใดไปขอรางวัลจากท่าน! เพียงแค่มองเห็นข้าเป็นลูกหลานก็เพียงพอแล้ว!”


“ฮ่าฮ่า อ้วนน้อยถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็ตกลง!” จ้าวสำนักกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ามีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”


“เรื่องอะไรหรือ?” เจ้าอ้วนถามกลับอย่างสับสน


“เรื่องที่เจ้าจะไปกับพวกเรา!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวพร้อมกับจ้องไปที่เจ้าอ้วน “หยุดทำท่าทางเช่นนั้น แล้วกล่าวออกมาว่าเจ้าต้องการจะไปกับพวกเราหรือไม่?”


“เรื่องนั้น….” เมื่อเขาถูกกดดันเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง ถ้าหากเขากล่าวว่าเขาไม่ต้องการจะไปแน่นอนว่าจะทำให้อาวุโสทั้งสองรู้สึกแย่ แต่ถ้าหากเขากล่าวว่าต้องการจะไป มันก็จะเป็นการบังคับเขาอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกล่าวอะไรได้


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนเงียบ หงหยิงรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ต้องการจะไป ดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปจับมือเขาพร้อมกล่าวว่า “พี่ชายอ้วนอย่าบอกนะว่าท่านจะทิ้งข้า?”


“เฮ้อ!” เจ้าอ้วนถอนหายใจพร้อมกล่าวว่าเคร่งขรึม “หงหยิง ข้าไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเจ้าและเจ้ายังมีอาวุโสทั้งสองคอยดูแล แต่ข้ามีปัญหาที่ต้องจัดการจึงไม่สามารถไปกับเจ้าได้ในตอนนี้!”


“ปัญหาอะไร? ทำไมท่านไม่พูดออกมา?” หงหยิงถาม


“เรื่องนั้น…” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขานิ่งเงียบไปอีกครั้ง เรื่องราวการตายของครอบครัวเขายังเต็มไปด้วยความซับซ้อน นอกเหนือจากคำพูดของศิษย์สำนักพันปีศาจที่กำลังจะตายตกในวันนั้นมันไม่มีหลักฐานอื่นเพิ่มเติมเลย มันจะดีกว่าถ้าหากเขาไม่เปิดเผยมันออกมา แต่มันทำให้อาวุโสทั้งสองต้องกังวลใจ ถ้าหากเขาเลือกจะอยู่สถานที่แห่งนี้ต่อเพราะกังวลใจเรื่องนี้ แน่นอนพวกเขาทั้งสองจะลงเอยด้วยการต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋น เจ้าอ้วนไม่เต็มใจที่จะมองดูจ้าวสำนักกับภรรยาต่อสู้กับพี่น้องร่วมสำนักเพียงเพราะเขาคนเดียว


ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงตัดสินใจที่จะปิดบังเรื่องนี้ไว้ เขาทำได้เพียงตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์น้อง นับตั้งแต่ที่ข้ากล่าวว่ามันคือปัญหา แน่นอนว่ามันไม่ง่ายที่จะอธิบาย!”


“ท่านปิดบังแม้กระทั่งข้างั้นหรือ?” หงหยิงกล่าวอย่างน้อยใจ


“ข้าขอโทษ!” เจ้าอ้วนมองลงต่ำพร้อมกล่าวอย่างช่วยไม่ได้


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนปากแข็งเช่นนี้ หงหยิงก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ แต่นางก็ไม่ยอมแพ้และกล่าวว่า “ข้าขอถามท่านว่าศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งทราบปัญหาของท่านหรือไม่?”


“นาง? แน่นอนว่าไม่ ทำไมข้าต้องกล่าวเรื่องนี้กับนาง?” เจ้าอ้วนตอบกลับด้วยใบหน้าที่งุนงง


“เหอะ ดีแล้วที่นางไม่รู้ ถ้าหากนางรู้ในสิ่งที่ข้าไม่รู้ แน่นอนว่าข้าจะสอนบทเรียนให้กับท่าน!” หงหยิงยกหมัดขึ้นมาเพื่อข่มขู่เจ้าอ้วน


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้นอกจากหัวเราะออกมา เขารู้สึกเพียงว่าหงหยิงอิจฉาเท่านั้น แต่มันไม่ง่ายเลยที่อธิบายเรื่องเหล่านี้เพราะสถานการณ์มีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า


ความจริงจ้าวสำนักและภรรยาไม่อาจปล่อยเขาไปได้ แต่กลับกันในตอนนี้จ้าวสำนักกล่าวออกมาด้วยใบหน้าขื่นขม “อ้วนน้อย ข้าได้เห็นเจ้ามาตั้งแต่เกิด เจ้าเปรียบเสมือนครอบครัวของข้า! ข้าขอเตือนเจ้าในฐานะครอบครัว แต่ถ้าหากเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็ไม่อาจขัดใจได้”


“เจ้าต้องไม่ลืมการข่มขู่ของหงหยิง ถ้าไม่เช่นนั้น เราและสามีจะจัดการเจ้าเอง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริม


“ศิษย์ไม่กล้า!” แม้ว่าเจ้าอ้วนจะรู้สึกปวดหัวกับพวกเขาเหล่านี้ แต่ภายในใจกลับรู้สึกดีมากกว่าเดิม สำหรับจ้าวสำนักและภรรยาของเขากล่าวเช่นนี้แน่นอนว่าพวกเขารู้ความสัมพันธ์ของเจ้าอ้วนกับหงหยิงแล้ว พวกเขาไม่ได้ตำหนิอะไร!


“ดีแล้วที่ท่านไม่มีความคิดเช่นนั้น!” หงหยิงกล่าวออกมาด้วยใบหน้าขมขู่ แต่นางเขินอายเกินกว่าจะกล่าวเรื่องเหล่านั้นต่อหน้าครอบครัวของตนเองได้ ดังนั้นนางจึงดึงเจ้าอ้วนออกมาด้านนอก


เมื่อเจ้าอ้วนและหงหยิงวิ่งออกมา จ้าวสำนักและภรรยายิ้มตามทั้งคู่ จากนั้นอารมณ์หดหู่จากชาวิถีเต๋าที่เปลี่ยนเป็นน้ำล้างเท้าก็กลับมาอีกครั้ง


แต่จ้าวสำนักพลันขมวดคิ้วพร้อมกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเหตุผลใดกันที่ทำให้อ้วนน้อยไม่อยากไปกับเรา? อย่าบอกนะว่าเขาไม่อาจทนห่างเหินกับฉุ่ยจิ้งได้?”


“ต้องไม่ใช่นาง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมา “เห็นได้ชัดว่าฉุ่ยจิ้งให้ความสำคัญกับเขา แต่ว่าซ่งจงนั้นเกรงกลัวนาง! เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงนางได้ ทำไมจะต้องเกรงกลัวที่จะทิ้งนางไปด้วย?”


“กลัว? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยเกรงกลัวอะไร เขากระทั่งปั่นหัวให้ฮัวอวิ๋นเป็นตัวโง่งมได้ แล้วทำไมจะต้องเกรงกลัวสตรีเช่นฉุ่ยจิ้ง?” จ้าวสำนักถามกลับอย่างมึนงง


ภรรยาจ้าวสำนักหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่กล่าวออกมาว่า “สามีข้า ถ้าหากข้าเป็นเหมือนฉุ่ยจิ้งที่สามารถรู้ว่าท่านจะทำอะไร วันนี้ไปที่ใด หรือแม้กระทั่งพรุ่งนี้จากการทำนาย และไม่มีสิ่งใดหลบพ้นสายตาของข้าได้ ท่านจะเกรงกลัวข้าหรือไม่?”


“เรื่องนั้น…” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อพร้อมกับลูบหัวเบา ๆ “เหมือนว่ามันก็ค่อนข้างจะน่ากลัวเอาเรื่องเลย!”


“ถูกต้อง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ฉุ่ยจิ้งนั้นดีทุกอย่างยกเว้นการทำนายของนาง ทุกคนมีความลับของตนเองที่ไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ ดังนั้นทุกคนจึงอยู่ห่างจากฉุ่ยจิ้ง! เหตุผลนี้ไม่ใช่หรือที่เหล่าศิษย์ทั้งหลายไม่เต็มใจที่จะอยู่ภายในสำนักชั้นในเพราะเกรงกลัวนาง? ดังนั้นนางจึงต้องออกไปอยู่ด้านนอก!”


“อืม มันก็ดูสมเหตุสมผล!” จ้าวสำนักพยักหน้าพร้อมกับถามว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเหตุใดอ้วนน้อยจึงยอมเสี่ยงที่จะถูกรังแกจากฮัวอวิ๋น และยืนยันที่จะอยู่ตรงนี้เพียงคนเดียว?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม