Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 161-167

 บทที่ 161: เพลงสวาทอันเร่าร้อน


“เด็กน้อย ข้าขอถาม เหตุใดเจ้าจึงใช้ดาบเทวะเหมันต์ของหานปิงเอ๋อ?” ภรรยาจ้าวสำนักเอ่ยปากขึ้นมาก่อน


เมื่อได้ยินคำถามเจ้าอ้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมมองฉุ่ยจิ้งและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ ท่านถามนางเถิด ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งบอกให้ข้าทำเช่นนั้น!”


เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในหัวของนางตอนนี้คิดว่าเจ้าอ้วนอาจจะกำลังแก้แค้นนางเรื่องผลไม้วิญญาณอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นนางจึงกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “ศิษย์พี่ ข้าเพียงใช้เคล็ดวิชาการทำนายและรู้ว่าท่านสามารถใช้มันได้ ส่วนเหตุผลอย่างอื่นข้าไม่รู้อีกแล้ว!”


“แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน?” เจ้าอ้วนตอบกลับ “อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าข้ารู้มากกว่าเจ้า?”


เมื่อได้ยินว่าเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้นก็ถือว่าไม่ผิด วิธีฝึกฝนของฉุ่ยจิ้งนั้นสามารถทำนายได้กว้างมาก ดังนั้นนางจึงต้องอ่านตำรามากมาย กล่าวได้ว่าคนที่มีความรู้มากที่สุดในสำนักเสวียนเทียนคือฉุ่ยจิ้งและอาจารย์ของนาง ถ้าหากพวกเขาไม่รู้อะไร แล้วคนอย่างเจ้าอ้วนจะมีสิทธิ์รู้งั้นหรือ?


พอจ้าวสำนักและภรรยาได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองพลันขุ่นเคืองเพราะต้องการทราบเรื่องราวเป็นอย่างมาก แต่แล้วเจ้าอ้วนกับฉุ่ยจิ้งไม่ตอบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์เลยสักนิด ทว่าทั้งสองก็ไม่คล้ายโกหก พวกเขาจำต้องเลิกสนใจเรื่องนี้ไปและพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นยู่เฟิงกับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าแทน


หงหยิงไม่ทราบเรื่องราวจึงนิ่งเฉย แต่กับฉุ่ยจิ้งและเจ้าอ้วนกลับร่วมมือกันโกหกอย่างโจ่งแจ้ง แม้พวกเขาจะยืนยันหนักแน่น แต่คิดว่าบุคคลระดับจ้าวสำนักและภรรยาคือผู้ใด? ชัดเจนว่าพวกเขาทราบถึงสิ่งซุกซ่อนในคำพูดเหล่านั้นจากประสบการณ์ชีวิตอันยาวนาน


จ้าวสำนักสงสัยฉุ่ยจิ้งมากที่สุด เป็นเพราะนางมีความสามารถที่จะเอาชนะยู่เฟิงมากที่สุด แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะครอบครองดาบเทวะเหมันต์แต่ก็ไม่อาจเอาชนะยู่เฟิงได้ มีเพียงฉุ่ยจิ้งเท่านั้นที่สามารถทำนายสิ่งต่าง ๆ และใช้วิธีซุ่มโจมตีเพื่อให้เขาตายตกไป


อย่างไรแล้วฉุ่ยจิ้งปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่านางไม่ได้ซุ่มโจมตียู่เฟิง แต่ประเด็นสำคัญคือนางกล่าวว่าไม่รู้ใครที่กอบโกยสมบัติของยู่เฟิงไป เรื่องนี้น่าสงสัยที่สุด ฉุ่ยจิ้งนั้นไม่เหมือนผู้ใด แม้ว่าคนอื่นจะกล่าวออกมาว่าไม่รู้มันก็ไม่แปลก แต่กับผู้ที่สามารถทำนายหรือล่วงรู้อนาคตและจุดอ่อนของผู้อื่นได้ จะไม่ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?


แม้ว่านางจะไม่รู้ แต่สิ่งที่นางต้องทำคือยกมือขึ้นแล้วทำนายซะ แต่แล้วนางเอาแต่ตอบว่าไม่รู้อย่างหนักแน่นถึงสามครั้ง! ชัดเจนว่ามันคือข้ออ้าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางรู้บางสิ่งแต่ทว่านางไม่ต้องการที่จะพูดมันออกมา


ถ้าหากว่าเป็นผู้อื่น จ้าวสำนักคงจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อล่อลวงหรือทรมานจนกว่านางจะยอมบอกความจริง แต่ทว่านี่คือฉุ่ยจิ้ง พวกเขาไม่สามารถวุ่นวายกับนางมากเกินไป เช่นนี้พวกเขาจึงทำได้เพียงคิดว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าอยู่ในมือของนางและนางไม่ยินยอมที่จะส่งมันให้กับสำนัก


แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เหมาะสม แต่มันคงไม่ดีถ้าหากพวกเขาทั้งสองกล่าวอะไรออกไปเพราะต้องยำเกรงอาจารย์ของนางด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ถ้าหากจะซักถามนางต่อ


เมื่อเจ้าอ้วนออกจากลานไป เขาไม่ได้กลับไปยังที่พักของตนเองทันที แต่เขาตรงไปที่ลานของศิษย์นอกและค้นหาเจ้าลิงภายในถ้ำของหุบเขานภา


พวกเขาตื่นเต้นมากที่ได้เจอกันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานานหลายปี เจ้าอ้วนโยนขวดให้เจ้าลิงอย่างไม่ใส่ใจนักพร้อมกล่าวว่า “ทำไม เจ้าไม่รู้จักข้างั้นหรือ?”


“เจ้ากำลังพ่นเรื่องไร้สาระอะไรอยู่!” เจ้าลิงตอบกลับอย่างขุ่นเคือง “พี่น้องอ้วน เจ้ากลับมาแล้ว เจ้าได้ผ่านช่วงเวลาของการต่อสู้ที่น่าประทับใจมาใช่หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่านาวายักษ์ของสำนักเราแทบจะถูกทำลาย!”


“ใช่!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “มีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินถึงสิบคนและผู้ฝึกตนระดับจินตันสามสิบคนจากสำนักชอบธรรมและสำนักปีศาจ พวกเขาต่อสู้กันอย่างรุนแรง! ฉากเลือดปรากฏเต็มท้องฟ้าและพื้นดิน! เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปหลายพันลี้! แม้แต่นาวายักษ์ยังไม่อาจรับการโจมตีเหล่านั้นได้ไหว แต่สมบัติของเราถือว่าดีกว่าผู้อื่นจึงสามารถกลับมาได้ แต่นาวายักษ์ลำหนึ่งของเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจนั้นแทบจะกลายเป็นฝุ่น สำหรับหอเฉวียนจี้ได้รับความเสียหายหนักมากจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้อีกต่อไป!”


“โอ้ แล้วพี่น้องอ้วนสบายดีหรือไม่?” เจ้าลิงรีบถามไถ่อย่างห่วงใย


“ข้าไม่เป็นไร เหล่าอาวุโสต่างปกป้องพวกเรา จึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมถามต่อ “แล้วชีวิตเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”


“ข้าสบายดี!” เจ้าลิงรีบตอบ “การฝึกฝนของข้าก้าวหน้าไปมากและในตอนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะรังแกข้าอีกแล้ว และบางครั้งข้าก็คิดถึงเจ้ามากด้วย!”


“ฮ่าฮ่า วิเศษ เมื่อไหร่ที่เจ้าเข้าสู่ศิษย์ชั้นใน เราสามารถอยู่ด้วยกันได้!” เจ้าอ้วนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์ชั้นใน?” เมื่อเจ้าลิงได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างขื่นขม “พี่น้องอ้วน อย่ายกยอข้าเช่นนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ของข้าแม้ว่าจะมีหินจิตวิญญาณที่เจ้าให้ไว้ แต่ข้าคงจะต้องใช้เวลาสักสองถึงสามทศวรรษเพื่อเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ!”


“ไร้สาระ!” เจ้าอ้วนยิ้มพร้อมยกขวดไวน์ของเขาขึ้นมาและกล่าวว่า “ดื่ม!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เจ้าลิงยกขวดไวน์เพื่อดื่มเช่นกัน


จากนั้นเขาหยิบกล่องหยกสีทองออกมามอบให้กับเจ้าลิง เขาคว้ามันอย่างรวดเร็วพร้อมถามอย่างสงสัยว่า “พี่น้องอ้วนนี่คือสิ่งใด?”


“เจ้ายังจะถามอีกหรือ? ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งไปที่ไหนมา?” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างขื่นขม


“ว่าอะไร?” เจ้าลิงไม่ใช่คนโง่ ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น เขาเข้าใจทุกอย่างพร้อมตอบกลับอย่างรวดเร็ว “อย่าบอกข้านะว่ามันคือผลไม้วิญญาณ?”


“ใช่แล้ว ขีดจำกัดของมันอยู่ที่สามผล เส้นลมปราณของเจ้าจะขยายเพิ่มขึ้นสามในสิบหลังจากที่กินมัน ความเร็วของการฝึกฝนจะเพิ่มมากขึ้นด้วย ตราบใดที่เจ้ายังไม่ละทิ้งการฝึกฝน เจ้าจะเข้าสู่ระดับปฐมภูมิภายในสิบปี!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างสนับสนุน


“จะเป็นไปได้งั้นหรือ?” เมื่อเจ้าลิงได้ยินเช่นนั้น น้ำตาของเขาไหลอาบทั้งสองแก้มและรีบกล่าวว่า “พี่น้องอ้วน สิ่งนี้มีค่ามากเกินไป ข้าไม่สามารถรับมันไว้ได้ ถ้าหากข้ารับมันไว้แล้วเจ้าล่ะ?”


“เหอะ!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกหงุดหงิดทันที “เจ้ามองข้าต่ำเกินไป! ข้ามีสิ่งเหล่านี้อีกมากมาย!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบเอากล่องหยกสีทองทั้งหกออกมาและกล่าวกับเจ้าลิง “ดูเสีย ทำไมข้าจะมีไม่พอ ข้ายังมีเหลือเฟือที่จะแบ่งมันให้กับศิษย์พี่หานอีกด้วย!”


“พี่น้องอ้วน…..” เมื่อเจ้าลิงเห็นเช่นนั้น เขาไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก น้ำตาของเขาเอ่อนองอีกครั้ง ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือนี่ไม่ใช่ผลไม้ธรรมดา มันเป็นสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายยอมต่อสู้เพื่อมัน เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจและชอบธรรมสร้างสงครามเพื่อแย่งชิงผลไม้วิญญาณ กล่าวได้ว่ากล่องหยกสีทองทั้งสามนี้ไม่ได้แสดงถึงคุณค่าของมันเท่านั้น แต่แสดงถึงความคิดและความยากลำบากที่เจ้าอ้วนได้พบเจอกว่าจะได้พวกมันมาอีกด้วย


เจ้าอ้วนเข้าใจว่าเจ้าลิงกำลังคิดอะไรอยู่ เขาตบบ่าเจ้าลิงเบา ๆ พร้อมกล่าวว่า “พี่น้องเอ๋ย ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความ ดื่มเถอะ!”


“ดื่ม!” เมื่อเจ้าลิงได้ยินเช่นนั้น เขารีบเก็บกล่องหยกทันที พร้อมกล่าวว่า “พี่น้องอ้วน ข้ามีขนมปังให้เจ้า!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขายกขวดไวน์ดื่มจนหมดเพียงครั้งเดียว


เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนยกขวดไวน์เช่นกันอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งสองกินดื่มด้วยกันอย่างสนุกสนาน


ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว เข้าสู่ยามราตรีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ผลลัพธ์ของวันนี้ก็คือเจ้าลิงไม่สามารถเอาชนะเจ้าอ้วนได้ เขาเมามายและนอนเป็นสุกรติดโคลนอยู่บนพื้น เจ้าอ้วนมองภาพนั้นพร้อมหัวเราะเบา ๆ เขาหยิบกระเป๋ามิติของเจ้าลิงพร้อมทั้งใส่หินจิตวิญญาณจำนวนมากไว้ และยังมีน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าพร้อมยาอายุวัฒนะบางส่วนสำหรับการฝึกฝนของเจ้าลิง


หลังจากที่เจ้าอ้วนเดินออกมา เขาจัดการขยะมากมายในมิติลึกลับของตนเองเพื่อให้มันย่อยสลาย หลังจากนั้นเขาจึงเดินทางกลับไปยังลานม่านหมอกของตนเอง


ร่างกายของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยกลิ่นของสุรา เขามองเห็นหญิงสาวสวมชุดขาวรอเขาอยู่ที่หน้าลาน จากการมองเพียงครั้งเดียวเขารู้ได้ทันทีว่านางคือหานหลิงเฟิง


ในขณะนั้นอารมณ์ของเจ้าอ้วนสูบฉีดขึ้นมาทันทีเมื่อเขาได้มองใบหน้าของหานหลิงเฟิงที่เขาหลงใหลมานาน ความปรารถนาของเขาระเบิดออกทันที


โดยไม่ต้องกล่าวสิ่งใด เขาอุ้มนางพร้อมวิ่งเข้าห้องอย่างรวดเร็ว


“คนบ้า!” หานหลิงเฟิงตกใจพร้อมตะโกนถามเจ้าอ้วนอย่างทำอะไรไม่ได้ “เจ้าอ้วน เจ้าคิดทำอะไร?”


“ทำให้เจ้าดูว่าข้ารักเจ้ามากขนาดไหน!” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น เขาฉีกเสื้อผ้าของนางออกทั้งหมด


“อา” ในขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น นางค้นพบว่าตนเองพ่ายแพ้ต่อเจ้าอ้วนอีกครั้ง แม้ว่านางกับเจ้าอ้วนจะทำเช่นนี้หลายครั้ง แต่ทว่านางยังคงไม่คุ้นเคยกับมันสักที หลังจากนั้นนางจึงกล่าวออกมาอย่างอับอาย “เจ้าอ้วน เจ้าดื่มมางั้นหรือ?”


“ใช่ ข้าดื่ม แต่มันไม่ส่งผลกระทบกับความแข็งแกร่งของข้าแม้สักนิด!” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น เขาฉีกเสื้อผ้าของตนเองออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขากล่าวกับหานหลิงเฟิงพร้อมยกนางขึ้น “ศิษย์พี่ มาเถิด! ข้าจะทำให้เจ้าสำลักความสุขจนตาย!” ในขณะที่เขาพูดกล่าวออกมา เขาไม่สนใจสิ่งที่นางคัดค้านพร้อมทั้งพุ่งเข้าหานางทันที


“อา!” หานหลิงเฟิงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในช่วงเริ่มต้น แต่หลังจากนั้นกลายเป็นความสุขเข้ามาแทนที่ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางกล่าวออกมาเบา ๆ “เจ้าอ้วน ข้าแทบถูกเจ้าฆ่าตายเพราะสำลักความสุข!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางกำลังผ่อนคลายอยู่และอนุญาตให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการ


“ฮี่ฮี่ งั้นเรามาตายด้วยกัน!” เจ้าอ้วนหัวเราะอย่างชั่วร้ายพร้อมดำเนินการต่อไป ในขณะนั้นทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกามอารมณ์พร้อมทั้งความสุขสันต์


หลังจากที่ผ่านชั่วโมงของการต่อสู้ที่หนักหน่วง เจ้าอ้วนรู้สึกพอใจอย่างมาก สำหรับหานหลิงเฟิง นางไม่สามารถขยับร่างกายได้แม้แต่น้อย แขนและขาทุกส่วนล้วนแต่ไร้เรี่ยวแรง


“แม่นกน้อยของข้า เจ้ารู้สึกดีหรือไม่?” แม้ว่าเจ้าอ้วนจะรู้สึกพึงพอใจแล้วแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปกอดนาง


บทที่ 162: การล่าค่าหัวของสำนักปีศาจ


“ช่างรู้สึกคล้ายอยู่ในขุมนรก แต่ข้ากลับสุขยิ่งนัก อันที่จริงเจ้าเกือบสังหารข้าไปแล้วด้วยซ้ำ!” หานหลิงเฟิงกล่าวอย่างอ่อนแรง “เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด? ที่ผ่านมาข้าเพียงได้พักหายใจชั่วครู่เท่านั้น แทบทำเอาข้ารู้สึกคล้ายจะตายตกจริงเสียให้ได้ อีกทั้งยังไร้เรี่ยวแรงจะขยับร่างกาย!”


“เหอะเหอะ นั่นเพราะว่าข้ามีพลังของพยัคฆ์และมังกรยังไงล่ะ!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างร่าเริง


“ถ้าหากมันเกิดขึ้นอีก ข้าคิดว่าคงจะรับมันไม่ไหว!” หานหลิงเฟิงตอบกลับ “อย่างไรแล้วหากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้ สักวันข้าคงต้องตายตกไปแน่!”


เจ้าอ้วนเริ่มหงุดหงิดทันทีเมื่อได้ฟังว่านางทรมานมากเพียงใด แต่ทว่าเพื่อนร่วมเตียงที่ดีอย่างเช่นหานหลิงเฟิงนั้นไม่ได้พบเจอได้โดยง่าย เขาจึงรีบกล่าวออกไปว่า “ย่อมได้ ภายหน้าข้าจะอ่อนโยนให้มากกว่านี้ตกลงไหม มาดูสิ่งที่ข้าเตรียมมาให้เจ้าวันนี้ดีกว่า!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนหยิบเอากล่องหยกสีทองออกมาพร้อมกับส่งให้นาง ทันทีที่หานหลิงเฟิงเห็นมัน ดวงตาของนางสว่างสดใสพร้อมกับเอื้อมมือออกไป แต่หลังจากที่นางยกแขนได้เพียงครึ่งหนึ่ง มันก็อ่อนปวกเปียกและทิ้งตัวลงสู่เตียงอีกครั้ง


เจ้าอ้วนรู้สึกผิดเล็กน้อยภายในหัวใจของเขาเมื่อเห็นว่าเขาทำให้หญิงสาวระดับเซียนเทียนขั้นแปดต้องมีสภาพเช่นไร สำหรับหานหลิงเฟิงนางเริ่มจ้องเจ้าอ้วนอย่างขุ่นเคืองและโศกเศร้าไปพร้อมกัน “ดูสิ เจ้าทำให้ข้ามีสภาพเช่นนี้!”


“ก็ได้ ความผิดข้าเอง ความผิดข้า!” เจ้าอ้วนขอโทษพลางยิ้มกว้างพร้อมส่งกล่องหยกสีทองให้กับนาง จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างภูมิใจ “ผลไม้วิญญาณสามผลมันเพียงพอสำหรับการขยายเส้นลมปราณของเจ้าแล้ว อีกทั้งความเร็วในการฝึกฝนของเจ้าจะเพิ่มมากขึ้นถึงสามในสิบ นี่คือสมบัติที่ข้าไปเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มันมา!”


“เจ้าคิดว่าข้าเชื่อคำโกหกของเจ้างั้นหรือ?” หานหลิงเฟิงเม้มปากพร้อมกล่าวอย่างมีอารมณ์ “ในหัวใจของเจ้า ข้าคงอยู่ในลำดับที่สี่! เจ้ามีทั้งศิษย์น้องหงหยิง ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้ง และพี่น้องลิง ทุกคนล้วนแต่สำคัญมากกว่าข้า แน่นอนว่าทุกคนจะต้องได้รับผลไม้วิญญาณสามชิ้น กล่าวก็คือเจ้าต้องเก็บเกี่ยวสมบัติเหล่านี้อย่างหนักเพื่อพวกเขาเหล่านั้นด้วย ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”


“อา… เอ่อ…” เจ้าอ้วนไม่เคยคาดคิดว่าหานหลิงเฟิงจะคาดเดาได้แม่นยำเช่นนี้จนเขาเริ่มรู้สึกกระดาก


“เหอะเหอะ…” เมื่อมองเห็นท่าทีของเขา หานหลิงเฟิงรู้ได้ทันทีว่านางกล่าวถูก นางจึงกล่าวเสริมอีก “แต่ข้าพอใจแล้วที่อย่างน้อยเจ้ายังคิดถึงข้าอยู่บ้าง ข้าจะลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้วกัน!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางพยายามที่จะลุกขึ้นพร้อมถามอย่างจริงจัง “มีผลไม้วิญญาณเพียงสามสิบผลเท่านั้นในรอบนี้ เจ้าได้รับมันมามากเท่าใดกัน?”


“เหอะ ประมานหนึ่งในสาม!” เจ้าอ้วนหัวเราะออกมาพร้อมกล่าว “นี่เป็นเพราะข้าไม่ได้ออกไปไล่ล่าอย่างเต็มที่ ถ้าหากว่าข้าได้ทุ่มเทอย่างจริงจัง แน่นอนว่าต้องได้สักครึ่งหนึ่ง!”


“สวรรค์ นี่เจ้าแข็งแกร่งขนาดไหนกัน? แล้วคนอื่นไม่ทำร้ายเจ้างั้นหรือ?” หานหลิงเฟิงตกใจ


“ใครกันจะทำร้ายข้าได้?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างมีอารมณ์ “ภายในหุบเขานั้น ยกเว้นตัวข้า ทุกคนล้วนแต่เป็นคนแปลกหน้า แม้แต่บุคคลที่มาจากสำนักเดียวกันก็ด้วย! การต่อสู้ที่นั่นรุนแรงอย่างมาก! อีกทั้งในครั้งนี้ยังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงคือมีผู้รอดชีวิตเพียงสามสิบคนจากหนึ่งร้อย! เป็นผู้ฝึกตนชอบธรรมทั้งหมดที่รอด ทางด้านผู้ฝึกตนปีศาจตายตกไปจนหมดสิ้น”


“น่าเวทนาเพียงนั้น?” หานหลิงเฟิงตอบกลับ “แล้วสำนักปีศาจปล่อยผ่านเรื่องนี้งั้นหรือ?”


“แน่นอนว่าไม่ พวกเขาโกรธจัดและเริ่มเปิดฉากการต่อสู้กับเราที่ด้านนอก การต่อสู้ครั้งนี้รุนแรงมาก มีการใช้งานสมบัติวิเศษยักษ์ และมีผู้ฝึกตนระดับจินตันตายในสนามรบห้าคน!” เจ้าอ้วนพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อ “นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก!”


“แล้วเช่นนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่งั้นหรือ?” หานหลิงเฟิงถามกลับ


“แน่นอนว่ามันใหญ่มาก!” เจ้าอ้วนกล่าวเสริม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าผู้ฝึกตนปีศาจจะไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้แน่นอน พวกเขาอาจวางแผนที่จะรอเวลาแก้แค้นผู้ฝึกตนชอบธรรม แต่พวกมันคงไม่โง่งมถึงขนาดบุกเข้ามาโจมตีในสำนัก แต่ข้าคิดว่าคงจะใช้การซุ่มโจมตีในขณะที่ผู้ฝึกตนชอบธรรมอยู่นอกสำนักมากกว่า ในเวลานี้ไม่ควรออกจากสำนักเด็ดขาด ฝากให้เจ้าเตือนเจ้าลิงด้วย ในวันนี้ข้าเพิ่งไปดื่มกับเขามาแต่กลับลืมเรื่องนี้ไปสนิท!”


“ตกลง ไม่ต้องห่วง แน่นอนว่าเราจะไม่ออกไปด้านนอกเพื่อแสวงหาความตาย!” หานหลิงเฟิงพยักหน้าพร้อมตอบรับ


“ประเสริฐ!” เจ้าอ้วนกล่าวเสริม “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนและจะกลับออกมาเมื่อเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ เจ้าควรจะกินมันให้เร็วที่สุดเมื่อเจ้ากลับไป! ให้เร็วที่สุด!”


“อา ข้าเข้าใจแล้ว!” หานหลิงเฟิงพยักหน้า จากนั้นนางสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าวว่า “อืม คล้ายชีวิตและจิตวิญญาณข้ากำลังกลับมารวมตัวกันแล้ว!”


เมื่อมองเห็นส่วนที่โค้งเว้าของนาง เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะส่งมือของเขาออกไปลูบไล้ หานหลิงเฟิงปัดมือของเขาทิ้งอย่างรวดเร็วพร้อมกับสวมเสื้อผ้าทันที จากนั้นนางเริ่มวิ่งดังเช่นกวางที่กลัวพยัคฆ์ พร้อมกันนั้นนางไม่ลืมที่จะตำหนิเขา “เจ้าคนโรคจิต!”


เจ้าอ้วนไม่รู้ว่าเขาจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


หลังจากที่เขาส่งหานหลิงเฟิงกลับไป เจ้าอ้วนทำการชำระล้างร่างกายก่อนที่จะเข้าสู่มิติลึกลับเพื่อฝึกฝน


ก่อนที่เขาจะเริ่มการฝึกฝน เขามีสองสิ่งที่ต้องทำ อันดับแรกคือซ่อมดาบแห่งธาตุทั้งห้า แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่มีความสามารถที่จะซ่อมแซมสมบัติวิเศษขั้นสูงนี้ได้ แต่เขามีทาสทั้งเก้าผู้แข็งแกร่ง ผู้ฝึกตนประเภทดาบทั้งห้าคนสามารถซ่อมมันได้


เนื่องจากพวกนางสืบทอดความสามารถของร่างกาย การซ่อมดาบเพียงเท่านี้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก ในขณะที่เจ้าอ้วนถามพวกนาง สิ่งเดียวที่พวกนางต้องการคือวัสดุ


ภายในมิติลึกลับของเจ้าอ้วนนั้นเต็มไปด้วยวัสดุและเขามีทุกอย่างอยู่ในที่แห่งนี้ เขาโบกมือพร้อมส่งดาบให้กับพวกนาง จากนั้นเขาอนุญาตให้พวกนางใช้วัสดุทุกอย่างที่ต้องการได้อย่างอิสระ ขอเพียงแค่ซ่อมแซมดาบได้ เจ้าอ้วนไม่สนใจว่าจะต้องใช้วัสดุมากมายขนาดไหน


ผู้ฝึกตนประเภทดาบทั้งห้าคนรู้สึกร่าเริงทันที พวกนางไม่เพียงแต่สัญญาว่าจะซ่อมแซมดาบให้ดีแต่นางยังสัญญาอีกด้วยว่าจะดูแลมันให้ดีที่สุด


ในตอนนี้เจ้าอ้วนตระหนักถึงความจริงที่หญิงงามทั้งเก้าสามารถใช้สมบัติวิเศษได้ ดูจากวิธีก่อนหน้าที่เจ้านายคนเก่าของพวกนางใช้ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนี้ ดาบแห่งธาตุทั้งห้าจะช่วยให้กำลังรบของพวกนางแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น


นอกจากนี้พวกนางยังมีความสามารถฝึกฝนสมบัติวิเศษได้อีกด้วย ภายใต้เงื่อนไขบางอย่างพวกนางสามารถทำให้สมบัติวิเศษมีความรู้สึกได้และพัฒนาเป็นสมบัติวิญญาณ!


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น แน่นอนว่าเขารู้สึกดีมาก แน่นอนว่าเขาไม่เหมาะกับการฝึกฝนดาบและไม่คิดที่จะฝึกฝนมันด้วย แม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการใช้ดาบแห่งธาตุทั้งห้า แต่เขาก็ไม่สามารถดึงพลังของมันออกมาได้เต็มที่ เดิมทีเขามีความคิดที่จะละทิ้งสมบัติชิ้นนี้ แต่ในตอนนี้เขามีทางเลือกใหม่แล้วนั่นคือมอบมันให้กับผู้ฝึกตนประเภทดาบทั้งห้าคนนี้!


ไม่เพียงแต่พวกนางจะชื่นชอบมัน แต่ยังสามารถพัฒนามันให้กลายเป็นสมบัติวิญญาณได้อีกด้วย ในท้ายที่สุดความแข็งแกร่งของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าจะเพิ่มมากขึ้น กล่าวก็คือการยิงหินครั้งเดียวได้นกถึงสามตัว!


หลังจากที่เขามอบงานให้กับผู้ฝึกตนประเภทดาบเรียบร้อย เขาคิดถึงนักบวชทั้งสี่คน ในตอนนี้เขาไม่มีสมบัติวิเศษอยู่ในมือ แต่เขามีกองวัสดุมากมายและคงไร้ประโยชน์ถ้าอยู่ในมือคนอย่างเขา เหตุใดเขาจึงไม่มอบวัสดุเหล่านี้ให้พวกนางปรับแต่งอุปกรณ์ของตนเองกันเล่า?


ทุกคนตื่นเต้นมากจากข้อเสนอของเจ้าอ้วน เดิมทีพวกนางอยากจะสร้างสมบัติของตนเองอยู่แล้วหลังจากเห็นกองวัสดุมากมายที่อยู่ในนี้ แต่ที่พวกนางหาได้กล่าวอันใดเพราะเกรงว่าเจ้าอ้วนจะไม่พอใจ แต่ในตอนนี้เจ้าอ้วนกล่าวออกมาเองจึงทำให้พวกนางยินดีเป็นอย่างมาก จากนั้นทั้งหมดเริ่มให้รางวัลกับเจ้าอ้วนด้วยการสนองอารมณ์ทางเพศอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้าอ้วนไม่คิดสูญเสียเวลากับเรื่องราวตรงนี้เพราะว่าเขาจะต้องไปจัดการผลไม้วิญญาณและเตรียมการเก็บตัวฝึกฝน


หลังจากที่ส่งมอบวัสดุทั้งหมดให้กับพวกนางแล้ว เจ้าอ้วนเข้าสู่สถานที่เงียบสงบพร้อมจัดการผลไม้วิญญาณและเริ่มการฝึกฝนทันที


ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ ภายในเทือกเขาเลือดแห่งหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนว่าจะเป็นไปเช่นที่เจ้าอ้วนคาดคิดไว้ เหล่าศิษย์ชั้นสูงของสำนักปีศาจถูกสังหารจนหมดสิ้น ผู้ฝึกตนปีศาจได้สูญเสียเหล่าอัจฉริยะของสำนักไป นั่นทำให้สำนักของพวกเขาขาดแคลนศิษย์ที่มีอนาคต ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นอย่างท่วมท้น


เดิมทีผู้ฝึกตนปีศาจเป็นพวกหัวรุนแรงและไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด หลังจากที่พวกเขาต้องทนกับความเสียใจอยู่สักพัก พวกเขาทั้งหมดเริ่มคิดที่จะแก้แค้น เหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมที่ชอบเดินทางออกจากสำนักจะถูกซุ่มโจมตี มีผู้ฝึกตนได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งสำนักเสวียนเทียนสูญเสียศิษย์ไปมากกว่าสิบคน


แน่นอนว่าผู้ฝึกตนชอบธรรมย่อมปกป้องตนเองเช่นกัน หลังจากที่พวกเขาถูกซุ่มโจมตี พวกเขาย่อมดำเนินการตอบโต้ ภายใต้เทือกเขาอันกว้างใหญ่มีการต่อสู้เล็กน้อยตลอดเวลาระหว่างผู้ฝึกตนชอบธรรมกับผู้ฝึกตนปีศาจ


เพียงเพราะว่าทั้งสองฝ่ายไม่คิดที่จะโจมตีสำนักโดยตรง การต่อสู้ทั้งหมดจึงเกิดขึ้นในป่า แม้ไม่ใช่การต่อสู้ครั้งใหญ่ แต่จำนวนผู้ที่ต้องตายตกไปก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน มักจะจบด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต แม้แต่สำนักที่เป็นกลางยังไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้นี้ได้


หลังจับกุมตัวผู้ฝึกตนในสำนักฝ่ายตรงข้ามได้ ผู้ฝึกตนปีศาจจึงได้ทราบถึงเรื่องราวภายในหุบเขาล่าผลไม้วิญญาณ พวกเขาตอนนี้กำลังเพ่งเล็งเหล่าศิษย์ระดับเซียนเทียนเป็นพิเศษ


บุคคลแรกที่เป็นเป้าหมายคือฉุ่ยจิ้ง แต่เรื่องนี้ออกจะยากลำบากแล้ว เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรของนางนั้นแข็งแกร่ง มันไม่เพียงส่องสว่างภายในหุบเขา แต่นางกลับเป็นกุญแจสำคัญในการสู้รบภายนอกอีกด้วย ความเก่งกาจของนางมีมากเกินไป ซึ่งนั่นทำให้ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะเกลียดชังนาง


และยังมีอีกผู้หนึ่งนอกจากฉุ่ยจิ้ง ไม่ใช่ทั้งหานปิงเอ๋อ เจ้าอ้วน หรือว่าหงหยิง แต่เป็นผู้น่าเวทนาอย่างดาบเทวะไร้ผู้ต้าน


เห็นได้ชัดเจนว่าตำแหน่งที่สองของเขาได้มาเพราะเขาคือคนที่สังหารยู่เฟิง แม้ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ความจริงก็คือความจริง เพื่อให้ได้ตัวของดาบเทวะไร้ผู้ต้าน สำนักพันปีศาจยอมมอบรางวัลเป็นสมบัติวิเศษขั้นเจ็ด และสำหรับฉุ่ยจิ้งรางวัลคือสมบัติวิเศษขั้นเก้า! นับว่าเพียงพอให้เหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันออกมาเคลื่อนไหว


ลำดับที่สาม สี่ และห้านั้นคือหานปิงเอ๋อ หงหยิง และเจ้าอ้วนตามลำดับ สองคนก่อนหน้ายังมีเหตุผลพอรับฟัง แต่สำหรับลำดับที่ห้าคนอ้วนนามว่าซ่งจงกลับติดอันดับกับผู้อื่นด้วย อีกทั้งระดับของเขายังสูงกว่าเหล่าศิษย์ชั้นสูงของสำนักอื่น นั่นทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกโง่งม เขาเป็นเพียงใครคนหนึ่งที่ไร้ชื่อเสียงแต่กลับสร้างปัญหาใหญ่ให้กับสำนักพันปีศาจได้ นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก


บทที่ 163: ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าชื่อเสียงของเขาในตอนนี้แม้ว่ามันจะไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนักแต่กลับนำพามาซึ่งอันตรายใหญ่หลวง!


ในตอนนี้มีผู้ฝึกตนหลายคนกำลังเฝ้ารออยู่ที่ด้านนอกดินแดนของสำนักเสวียนเทียนเพื่อที่จะรอจัดการพวกเขา ทั้งเงินรางวัลและสมบัติวิเศษนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่สำหรับเจ้าอ้วนนั้นเป็นข้อยกเว้นเพราะว่าเขาคือผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้าซึ่งถือได้ว่าเป็นภัยคุกคามในอนาคต ภายในหุบเขาแห่งการล่า เขาได้ใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ออกไปจำนวนมาก จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะตกเป็นเป้าหมายของทุกคน


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขณะที่เจ้าอ้วนก้าวขาออกจากสำนักเสวียนเทียน เขาจะถูกล้อมรอบไปด้วยผู้ฝึกตนนับหมื่นคน ซึ่งอาจจะมีผู้ฝึกตนระดับจินตันรวมอยู่ด้วย ไม่รวมถึงสมบัติวิเศษที่มีมูลค่าสูง สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคืออุปกรณ์เหล่านี้ปรับแต่งได้ยากมาก เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันหลายคนตั้งเป้าที่เจ้าอ้วนผู้อ่อนแอไว้ก่อนเพื่อที่จะได้รับรางวัลเหล่านั้น


ช่างน่าสงสารที่เจ้าอ้วนนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิด อีกทั้งเขายังเตรียมเก็บตัวเข้าสู่การฝึกฝน เขาเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ระดับปฐมภูมิภายในการฝึกครั้งนี้ เขาปล่อยให้บุคคลเหล่านั้นเฝ้ารอเขาอยู่ที่ด้านนอกเพราะไม่มีผู้ใดกล้าแสวงหาความตายเพียงเพราะต้องการสังหารเขา!


ในขณะนี้สำนักเสวียนเทียนเงียบสงบเป็นปกติเมื่อเทียบกับพายุสงครามที่ด้านนอก แต่ความเป็นจริงนั้นภายใต้สำนักเสวียนเทียนมีการเคลื่อนไหวคล้ายคลื่นใต้น้ำ


เหตุผลส่วนใหญ่มาจากศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋นได้หมดสิ้นลง อีกทั้งในตอนนี้จ้าวสำนักและภรรยาต่างไม่มีศิษย์ในการดูแลของตนเอง ศิษย์ที่พวกเขามีอยู่นั้นไร้พรสวรรค์และอายุน้อยเกินไป อีกทั้งเหล่าอาวุโสทั้งสี่ภายในสำนักเสวียนเทียน มีสามคนที่มาจากนักบวชฮัวอวิ๋นและหนึ่งคนมาจากเทพธิดาเหมยฮวา แต่ทว่าไม่มีตัวแทนของจ้าวสำนักแม้สักคน


หากทุกอย่างต้องดำเนินการต่อไปเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของศิษย์ที่มาจากนักบวชฮัวอวิ๋นจากนี้อีกร้อยปีจะทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ซึ่งเพียงพอที่จะล้มจ้าวสำนักและภรรยา


อย่างไรแล้วสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเช่นนี้กลับล้มเหลวลงไปอย่างฉับพลัน เพียงเพราะว่าเหตุการณ์คัดเลือกบุคคลเพื่อเข้าร่วมการล่าผลไม้วิญญาณ นักบวชฮัวอวิ๋นได้สูญเสียศิษย์คนสำคัญคือมู่ซื่อหรงไปจากการบาดเจ็บหนักเมื่อครั้งต่อสู้กับเจ้าอ้วน และนางต้องใช้เวลาพักฟื้นถึงสิบปีอย่างน้อย ด้วยเหตุนี้อันดับความสำคัญของนางจากหนึ่งเลยกลายเป็นสองไปโดยปริยาย ทางด้านเสี่ยวไป่หลงได้ตายตกไปในการล่าผลไม้วิญญาณ ดาบเทวะไร้ผู้ต้านกลายเป็นผู้พิการโดยสมบูรณ์จากคำสาปแช่งของเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจ ในทุกวันเขาเพียงนอนอยู่บนเตียงและร่ำไห้ออกมาเป็นครั้งคราวจากความเจ็บปวด ความจริงที่โหดร้ายสำหรับเขาคือแม้อยากตายแต่ก็ไม่อาจ เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักพันปีศาจไม่ยอมให้เขาได้จากไปอย่างสงบ แม้ว่าจะต้องทรมานดาบเทวะไร้ผู้ต้านไปอีกสองถึงสามทศวรรษ พวกเขาก็จะไม่ยอมให้ดาบเทวะไร้ผู้ต้านตายตกไปอย่างง่ายดายแน่นอน


ดังนั้นศิษย์อัจฉริยะของนักบวชฮัวอวิ๋นทั้งสามคนก็แทบนับว่าจบสิ้นกันแล้ว ในทางตรงกันข้ามจ้าวสำนักกลับมีศิษย์ที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์เพิ่มขึ้นสองคน แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือหงหยิง พรสวรรค์ของนางนั้นแตกต่างจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิง อีกทั้งนางยังครอบครองกระบี่เฟิ่งหมิง เพียงแค่นางคนเดียวก็สามารถจัดการกับศิษย์ทั้งสามของนักบวชฮัวอวิ๋นได้อย่างสบาย ๆ


แต่ทว่ากลับมีอีกคนเพิ่มมาคืออ้วนน้อยซึ่งมีความสามารถในการใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ในระดับเซียนเทียน และเขายังครอบครองดาบแห่งธาตุทั้งห้าพร้อมทั้งระฆังผุฟัง ซึ่งนี่ทำให้นักบวชฮัวอวิ๋นแทบจะกระอักเลือดจนตายตกไป


สำหรับผู้ฝึกตน สิ่งที่ดีที่สุดคือการมีศิษย์ที่เป็นสายเลือดของตนเอง แต่ทว่าคู่ครองของนักบวชฮัวอวิ๋นได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ความจริงเขายังสามารถค้นหาอัจฉริยะได้จากเวลาที่มีเหลือเฟือ แต่หนทางเส้นนี้ไม่อาจเลือกเฟ้นบุคคลชั้นยอดได้ง่ายนัก


เหตุผลที่พวกเขาเหล่านั้นถูกเรียกว่าอัจฉริยะเป็นเพราะว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากสวรรค์และพบเจอตัวได้น้อยยิ่ง ในทุกปีสำนักเสวียนเทียนจะส่งศิษย์จำนวนมากออกไปเพื่อค้นหาเหล่าอัจฉริยะตามสำนักต่าง ๆ หลังจากที่ค้นหามาเนิ่นนานหลายปี พวกเขาค้นพบเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ซึ่งก็คือเสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้าน


ภายใต้สถานการณ์ปกติ ศิษย์ทั้งสองคนนี้ควรจะอยู่ในความดูแลของจ้าวสำนักและภรรยา เป็นเพราะว่านักบวชฮัวอวิ๋นมีมู่ซื่อหรงซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกันอยู่แล้ว แต่ทว่านักบวชฮัวอวิ๋นอาศัยจังหวะที่จ้าวสำนักและภรรยาเก็บตัวฝึกฝนคู่และใช้โอกาสนี้ดึงศิษย์ทั้งสองคนไว้กับตนเอง จึงรวมกันเป็นสามคน


แต่ในตอนนี้การทำงานหนักของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ เขาจะสามารถอดทนกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? นอกเหนือจากกรณีของมู่ซื่อหรงที่เขาสามารถคาดโทษกับเจ้าอ้วนได้ แต่กับศิษย์อีกสองคนเขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้ อีกอย่างเขาไม่รู้ว่าเสี่ยวไป่หลงตายตกไปเพราะน้ำมือของเจ้าอ้วน ดังนั้นจึงไม่สามารถคาดโทษไปที่เจ้าอ้วนได้เลยแม้แต่น้อย


นักบวชฮัวอวิ๋นทำได้เพียงกล้ำกลืนความทุกข์ใจนี้อย่างไม่อาจช่วยได้ เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจในศิษย์ของตนเองอย่างมาก ในช่วงเวลาที่เขากำลังตกอยู่ในความทุกข์ เหล่าศิษย์ที่อยู่ข้างกายของเขาต่างพากันเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว พวกเขาอยากจะเข้าสู่การดูแลของจ้าวสำนักเพื่อปกป้องตนเองแต่ทว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้เพราะบรรยากาศในตอนนี้หนักหนาสาหัสเกินไป


จ้าวสำนักและภรรยารู้ได้ทันทีว่าในตอนนี้เกิดบรรยากาศประหลาดขึ้นภายในสำนัก อย่างไรก็ตามศิษย์ที่อยู่ในสังกัดของนักบวชฮัวอวิ๋นต่างพากันมาแสดงความสามารถให้ทั้งสองคนอย่างเงียบเชียบเพื่อเสนอตัวรับใช้ ฝีมือของพวกเขานั้นไม่อาจดูถูกได้ พวกเขาล้วนไม่อ่อนด้อย


บรรยากาศของศิษย์ทั้งสองฝ่ายนั้นตึงเครียดอย่างมาก นับตั้งแต่ที่พวกเขากลับมาจากการล่าผลไม้วิญญาณ รางวัลของเจ้าอ้วนและทั้งหมดล่าช้าลงไปอย่างมาก แต่อย่างน้อยในตอนนี้หงหยิง เจ้าอ้วน และฉุ่ยจิ้งต่างพากันเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนเป็นที่เรียบร้อย และพวกเขายังไม่สนใจรางวัลในตอนนี้ ดังนั้นเรื่องราวจะดำเนินการต่อเมื่อพวกเขาก้าวเท้าออกจากการเก็บตัวฝึกฝนเท่านั้น


ในขณะที่พายุขนาดใหญ่กำลังก่อตัวอยู่ที่ด้านนอก เจ้าอ้วนแอบซ่อนตัวทำการฝึกฝนภายในมิติของเขาที่เต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณและสมบัติมากมายที่พร้อมให้เขาได้ใช้ในการฝึกฝนอย่างไม่ติดขัด


ในตอนนี้เจ้าอ้วนคือผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นสิบสาม แม้ว่าความจริงเขาไม่อาจเทียบกับหานปิงเอ๋อ หงหยิง และฉุ่ยจิ้งได้ แต่นี่ก็นับเป็นความสำเร็จที่สวยงาม โดยเฉพาะความรวดเร็วของเขาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาซึ่งเรียกได้ว่าก้าวกระโดดอย่างมาก


เมื่อสองเดือนก่อน เขาอยู่ระดับเซียนเทียนขั้นสิบเท่านั้น ไม่มีผู้ใดคาดคิดและมองเห็นเจ้าอ้วนอยู่ในสายตา แต่ทว่าในตอนนี้ความเร็วของเขาต่างทำให้ทุกคนประหลาดใจ ในครั้งแรกเขาต่อสู้กับฉุ่ยจิ้งและได้ทำการฝึกฝนคู่กับนางจนทำให้ระดับขั้นของเขาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ฝึกตนอีกหลายสิบคนเข้าใจในกฏแห่งสวรรค์และบรรลุไปพร้อมกัน


หลังจากที่เจ้าอ้วนสังหารตู๋เชียนเฉิง แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่เขาได้รับยาอายุวัฒนะลึกลับแห่งสวรรค์จากหงหยิงทำให้ระดับขั้นของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้งนับว่าเป็นผลจากยา แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนักแต่เขากลับเพิ่มระดับขั้นของตนเองได้ถึงสองขั้น!


ความจริงแล้วการใช้ยาอายุวัฒนะเพื่อเลื่อนระดับขั้นของตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนัก แต่วิธีการนี้กลับไม่แพร่หลาย อย่างแรกคือมันต้องใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมาก และทุกอย่างล้วนมีมูลค่าสูง เช่นเดียวกับยาที่หงหยิงมอบให้เจ้าอ้วนใช้ สิ่งนั้นมีไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน ในหนึ่งร้อยปีมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะใช้มัน สำหรับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นถือได้ว่ามันคือสมบัติและไม่อาจมอบมันให้กับผู้ฝึกตนน้องใหม่อย่างแน่นอน


แต่วิธีการนี้ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ดีนักแม้ว่าระดับขั้นจะเพิ่มขึ้นจริง แต่กลับไม่ได้มีความเข้าใจในกฎแห่งสวรรค์เลยแม้แต่น้อย ถ้าหากพวกเขาไม่สามารถเข้าใจกฎแห่งสวรรค์ได้ การที่มีปราณจิตวิญญาณที่มากกว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องดีนัก ปราณจิตวิญญาณที่มากเกินไปไม่ได้ควบคุมได้โดยง่าย อย่างเลวร้ายที่สุดมันจะทำให้เส้นลมปราณฉีกขาดและส่งผลให้เสียชีวิตได้ในท้ายที่สุด


ดังนั้นผู้ฝึกตนทั้งหลายจึงไม่คิดใช้ยาอายุวัฒนะเพื่อการเลื่อนระดับขั้น พวกเขาจะใช้มันสำหรับเรื่องการฝึกฝนเล็กน้อยเท่านั้น ยาเหล่านี้จะเพิ่มปราณจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติซึ่งผลกระทบของมันไม่ได้รุนแรงมากนัก และไม่ส่งผลต่อการควบคุมปราณจิตวิญญาณแต่อย่างใด


แต่สำหรับเจ้าอ้วนอาจถือได้ว่าเป็นข้อยกเว้น หงหยิงจับมันยัดใส่ปากของเขาเอง และในตอนสุดท้ายมันส่งผลกับระดับขั้นของเขาอย่างดีเยี่ยม แต่หากเป็นบุคคลอื่น พวกเขาอาจจะพิการหรือไม่ก็ตายในจุดเกิดเหตุทันที แต่เพราะเจ้าอ้วนมีร่างกายที่สามารถอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าจึงสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาเช่นนั้นมาได้อย่างง่ายดาย ควบคู่ไปกับการที่เขาเข้าใจกฎแห่งสวรรค์ เขาไม่พบปัญหาตีบตันในการฝึกฝนและสามารถเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามได้ภายในครั้งเดียว


ผลไม้วิญญาณที่เจ้าอ้วนกินเข้าไปยังช่วยในเรื่องของการขยายของเส้นลมปราณ ซึ่งผลไม้วิญญาณเหล่านี้จะปรากฏออกมาอีกครั้งในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า คุณภาพของมันเป็นของจริง แม้ว่าจะไม่มีผลกับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง แต่กลับมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนอย่างมหาศาล


แน่นอนว่าคนหมู่มากยอมจ่ายเงินเพื่อให้ได้รับมาสักผล แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีความมั่งคั่งอย่างมากมายและครอบครองผลไม้วิญญาณถึงสามผล แต่เขาก็ไม่อาจกินมันพร้อมกันได้ เขาเลือกที่จะกินมันเพียงทีละผล


ผลไม้วิญญาณเป็นสิ่งที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณของคนที่กินมันได้ หลังจากที่พวกเขากินมันเข้าไปแล้ว จะเกิดความร้อนไปทั่วท้องของพวกเขา เจ้าอ้วนที่มีปฐมกาลแห่งความโกลาหลจะทำการดูดซับสิ่งเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดความร้อนไปทั่วเส้นลมปราณของเขา


ความร้อนนี้ส่งผลรุนแรงมากราวกับว่าเส้นลมปราณของเขากำลังถูกไฟแผดเผา หลังจากที่หมุนเวียนลมปราณอยู่ยาวนาน หลังจากนั้นมันจะเริ่มช้าลงและเข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย โชคดีที่เจ้าอ้วนมีความเด็ดเดี่ยวและสามารถอดทนต่อความทรมานเช่นนี้ได้อย่างดี


หลังจากผ่านไปสามเดือน เขาสามารถซึมซับคลื่นความร้อนเหล่านี้ได้ทั้งหมด เส้นลมปราณของเขาเพิ่มขนาดขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกผิดหวังคือเส้นลมปราณของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นมากถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับคนอื่นที่สามารถขยายได้มากถึงสองในสิบ เห็นได้ชัดเจนว่ามันน้อยมาก แม้แต่ปราณจิตวิญญาณก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากอย่างเช่นตำนานกล่าวเอาไว้ นั่นทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกงุนงงยิ่งพร้อมกับคิดในใจว่า ‘อย่าได้บอกนะว่านี่คือของปลอม? หรือว่าผลไม้วิญญาณผลนี้มันยังไม่สุกกันแน่?’


ภายใต้ความสงสัยภายในหัวใจของเขา เจ้าอ้วนดึงสติของตนเองกลับมาพร้อมกับเริ่มกินผลไม้วิญญาณที่เหลือ แต่แล้วผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม ผลลัพธ์ของมันอ่อนแรงจากครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด หลังจากผ่านพ้นอีกสามเดือนแห่งความทุกข์ทรมาน เส้นลมปราณของเขาขยายเพิ่มขึ้นเพียงแค่น้อยนิด!


เจ้าอ้วนกินผลไม้วิญญาณไปถึงสามผลแต่กลับรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เมื่อผ่านพ้นการฝึกฝนอีกสามเดือนที่ขื่นขม เขาตระหนักได้ว่าเส้นลมปราณของเขาขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงสองในสิบเท่านั้น และระดับขั้นพลังของเขายังอยู่เท่าเดิม อีกทั้งผลลัพธ์เหล่านี้คือผลจากการที่เขาใช้สมบัติมากมายและน้ำแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าถ้าหากเขาไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านี้ พลังของเขาไม่ได้คืบหน้าขึ้นมาเลยภายในเก้าเดือนที่ผ่านมา


หลังจากค้นพบว่าผลไม้วิญญาณไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรมากนัก เจ้าอ้วนคิดว่านี่ไม่ใช่ความผิดของผลไม้วิญญาณ แต่เป็นที่ร่างกายของเขาเอง หลังจากที่เขาฝึกฝนด้วยปฐมกาลแห่งความโกลาหล ร่างกายของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก มันเทียบได้กับร่างกายของอสูรกายหรือผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ ความแข็งแกร่งเหล่านี้อาจจะมากเกินกว่าที่ผลไม้วิญญาณจะเพิ่มศักยภาพให้มันได้ เมื่อเทียบกับคนอื่นที่เพิ่มขนาดของเส้นลมปราณได้มากถึงสามในสิบ ทางด้านเขากลับทำได้เพียงสองในสิบเท่านั้น


เมื่อเขาเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง เขาก็คล้ายเกิดความยินดีขึ้นมาแทน เขารับรู้ว่าผลไม้วิญญาณช่วยได้ไม่น้อย และยังเพิ่มช่องว่างให้เขากับสหายร่วมรุ่นขึ้นไปอีก แน่นอนว่าสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตของเขาง่ายดายขึ้นอย่างมาก


ในขณะที่เขากำลังอารมณ์ดีอยู่นั้น เจ้าอ้วนกลับเข้าสู่การฝึกฝนอย่างหนักอีกครั้ง ท้ายที่สุดหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเขาสามารถข้ามผ่านและเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ!


เรื่องราวเมื่อเสร็จสิ้น เจ้าอ้วนรู้สึกคล้ายได้ก้าวเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง การฝึกฝนอันไร้สิ้นสุดของปฐมกาลแห่งความโกลาหล ท้องฟ้าหามีไม่ พื้นดินก็ไม่ ดวงดาวก็ไม่ พระอาทิตย์ก็ยังไม่มี พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมด้วยสีเทา ภายในสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกฎแห่งสวรรค์ซึ่งมีเพียงแต่ความซับซ้อน เขาผ่านจุดนี้ไปได้อย่างไม่ยากนักอีกทั้งยังไม่พบปัญหาอาการตีบตันดังเช่นผู้ฝึกตนอื่น


แม้ตอนนี้จะเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิแล้ว เจ้าอ้วนก็หาได้ออกจากการฝึกฝนในทันที เขายังใช้เวลาต่อไปอีกสองถึงสามเดือนเพื่อทำการปรับเสถียรภาพของพลังใหม่ที่เพิ่งได้รับ


หลังผ่านไปสองปีของการฝึกฝนที่ขมขื่น ไม่เพียงแต่การฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปมากด้วยเช่นกัน


โดยปกติแล้วร่างกายของผู้ฝึกตนจะเปลี่ยนแปลงไปตามวิธีการฝึกฝนของแต่ละคน ผู้ฝึกตนปีศาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่น่าเกลียด ดุร้าย หรืออื่น ๆ แต่ผู้ฝึกตนชอบธรรมจะเปลี่ยนแปลงไปในด้านที่ดีขึ้นราวกับทวยเทพจากสวรรค์


หลังจากผ่านไปสองปี เจ้าอ้วนมองตนเองในกระจกจนแทบเป็นลมไป ในกระจก ใบหน้าของเขาดูละเอียดอ่อนและดวงตาคมกริบ แต่กลับขาดซึ่งความสูงส่งแห่งสวรรค์อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร ร่างกายของเขาคล้ายกับวัตถุโบราณที่เพิ่งถูกขุดขึ้นมาจากดินอย่างไรอย่างนั้น


นอกจากนี้ร่างกายของเขายังขยายใหญ่ขึ้นอีก ในอดีตเขาสูงเพียงเจ็ดฟุต แต่ในตอนนี้ร่างกายของเขาขยายเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดฟุตครึ่ง พร้อมกับไหล่ที่กว้างออกและพุงขนาดใหญ่ กล้ามเนื้อของเขาเพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล ความหนาของแขนเขาเทียบเท่ากับขาของคนปกติ ร่างกายของเขาในตอนนี้ดูคล้ายกับว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ในขณะที่เขายืนเปลือยกายอยู่นั้น กล้ามเนื้อบนร่างกายของเขากำลังขยายมากขึ้นจนทำให้คนที่มองดูตกใจได้ แต่หลังจากที่เขาสวมใส่เสื้อผ้า ทุกคนจะมองว่าเขาคือบุรุษผู้เต็มไปด้วยไขมันคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่มีใครสามารถจินตนาการถึงกล้ามเนื้อภายใต้ร่มผ้านี้ได้เลย


แม้ว่าลักษณะของเขาจะไม่ได้ดูดีมากนัก แต่ความแข็งแกร่งที่มีนั้นน่าเกรงกลัวอย่างมาก หลังจากที่เจ้าอ้วนเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ เขาสามารถบดขยี้เหล็กสีดำได้เพียงแค่ออกแรงน้อยนิด! แรงเท่านี้เทียบเท่าได้กับอะไร? มันไม่ต่างกับโดนสิ่งของหนักหลายพันจินบดทับด้วยซ้ำ!


บทที่ 164: ภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่


เจ้าอ้วนตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทัดทานอุปกรณ์วิเศษอีกต่อไป ดาบอินทรีย์ทองที่ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้เฉือนเนื้อได้ตอนนี้ไม่อาจกระทำ มันเป็นถึงอุปกรณ์วิเศษขั้นเจ็ดที่สามารถตัดทองคำและหยกได้ราวกระดาษ!


ในเมื่อร่างกายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มีอันใดให้ไม่พอใจกัน? แม้อาจจะดูไม่ดีไปบ้างสักหน่อย แต่เรื่องรูปลักษณ์เขาหาได้ใส่ใจอะไรมากนัก


ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านไปไม่เพียงแต่การฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นมาก กับเหล่าข้าทาสทั้งเก้าคนก็พัฒนาขึ้นไม่น้อยเช่นกัน


ผู้ฝึกตนประเภทดาบทั้งห้าเข้าสู่ระดับเฟินเสิน อีกทั้งยังได้ใช้วัสดุที่ไม่คล้ายคุณภาพสูงนักแต่กลับสามารถปรับแต่งดาบแห่งธาตุทั้งห้าให้กลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง


ทางด้านนักบวชทั้งสี่คนนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแม้แต่น้อย พวกนางต่างพากันปรับแต่งสมบัติวิเศษในแบบของตนเองออกมา


ภายในถังขยะของเจ้าอ้วน บางส่วนถูกแปรสภาพเป็นอุปกรณ์วิเศษและสมบัติวิเศษ แม้ว่าวัสดุที่เขามีจะไม่ใช่วัสดุคุณภาพสูง แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่จะถ่วงรั้งฝีมือของนักบวชทั้งสี่ แม้ว่าสมบัติที่ปรับแต่งออกมาจะไม่ได้มีคุณภาพสูงนัก แต่มันก็ดีกว่าการที่พวกนางจะใช้มือเปล่าเพื่อต่อสู้


นอกจากนี้ระฆังของเจ้าอ้วนยังปกคลุมไปด้วยชั้นของลมทองแดง เขาได้รื้อหุ่นลมทองแดงทั้งสามสิบตัวออกเพื่อทำการรวบรวมลมทองแดงมาใช้ในงานนี้


ระฆังทองแดงอาจได้ออกไปปรากฏตัวต่อสายตาผู้อื่นอีกครั้ง เขาจะได้กระทำตัวเป็นพยัคฆ์ที่อยู่ในร่างของสุกร เมื่อเห็นระฆังทองแดงอีกครั้งทำให้เขารู้สึกว่ามีหลากหลายอารมณ์ในคราวเดียว มันสร้างยันต์วิญญาณให้เขาถึงเจ็ดชนิด ให้ความรู้สึกที่หลากหลาย โกรธ สนุก กังวล คะนึง เฉยเมย กลัว และประหลาดใจ


แม้ว่าเสียงแห่งสวรรค์ทั้งเจ็ดนี้จะไม่มีผลอะไรมากนัก แต่มันสามารถควบคุมอารมณ์ของผู้อื่นที่อ่อนแอกว่าได้ เจ้าอ้วนสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะหรือร้องไห้ก็ได้ แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งมากกว่าเขา แต่ความสามารถของมันก็ยังสามารถใช้งานได้


พลังเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ควรถูกมองข้ามในการต่อสู้ การไขว้เขวเพียงเล็กน้อยอาจทำให้บุคคลหนึ่งสามารถตายตกไปได้ ดังนั้นความสามารถเช่นนี้จึงถือได้ว่าพิเศษเป็นอย่างยิ่ง


หลังจากที่ซ่อมแซมดาบแห่งธาตุทั้งห้าแล้ว เจ้าอ้วนกลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างมากแม้ว่าจะไม่มีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากมีผู้ใดต้อนให้เขาเข้าตาจน เขาสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับจินตันโดยใช้ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้


การฝึกฝนตลอดสองปีที่ผ่านมา เจ้าอ้วนรู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ของมันมาก เขาผ่านพ้นช่วงเวลาอันขื่นขมมาตลอดเวลาระหว่างเก็บตัวฝึกฝน ดังนั้นวันนี้เขาจึงตัดสินใจว่าสมควรแก่เวลาออกไปภายนอกแล้ว


หลังจากที่เขาออกจากมิติลึกลับ เขาเดินเล่นอยู่ภายในลานม่านหมอกของตนเอง ยืนมองแสงอาทิตย์อันอบอุ่นและสวนหย่อมในบ้านของตนเอง มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง


แต่มีบางสิ่งที่แปลกประหลาดและทำลายอารมณ์ยินดีของเขาอย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นราวกับมีเรื่องร้ายอุบัติเป็นผลให้เขารู้สึกกังวลใจอย่างมาก แต่เจ้าอ้วนไม่เข้าใจว่าเหตุใดหัวใจของเขาจึงเต้นเร็วเช่นนี้


ในขณะนั้นเกิดแสงสีดาบสีแดงปรากฏขึ้นที่ด้านนอก ซึ่งเป็นจดหมายจากดาบบิน เจ้าอ้วนคว้ามันไว้พร้อมกับอ่านมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงบ่นพึมพำกับตนเอง “จ้าวสำนักทราบได้อย่างไรว่าข้าจะออกมาวันนี้? อีกทั้งยังขอให้ข้าไปพบทันทีอีกด้วย? แปลกมาก!”


ในความจริงจ้าวสำนักไม่ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากร นอกจากนี้เจ้าอ้วนยังไม่ได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้ด้วย เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้ล่วงหน้าว่าเจ้าอ้วนจะออกจากการเก็บตัวฝึกฝนในวันนี้ แต่จ้าวสำนักกลับส่งจดหมายมาให้เขาทันทีที่ออกจากการฝึกฝนมาเพียงห้านาทีเท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องประหลาดนัก


เจ้าอ้วนรีบสลัดความงุนงงทิ้งขณะใช้ดาบบินมุ่งหน้าไปยังลานของจ้าวสำนักทันที หลังจากที่เขาได้พบกับจ้าวสำนักและภรรยาแล้ว เขาเข้าใจทุกอย่างทันที นั่นเป็นเพราะฉุ่ยจิ้งยืนอยู่ข้างอาวุโสทั้งสอง นางทำนายว่าเขาจะออกจากการฝึกฝนภายในวันนี้


หลังจากที่ไม่ได้พบเจอฉุ่ยจิ้งและหงหยิงมาเป็นเวลาสองปี ทั้งสองได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นสุดท้ายแล้ว พวกนางไม่ได้โชคดีดังเช่นเจ้าอ้วน พวกนางติดอาการตีบตันและไม่อาจผ่านพ้นเข้าระดับปฐมภูมิได้


เหมือนสองปีผ่านไปจ้าวสำนักและภรรยาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เหมือนว่าเจ้าอ้วนกลับทำได้ดีกว่าที่พวกเขาคาดไว้ คำชมเชยจึงถูกส่งผ่านทันทีที่เดินทางมาถึง


เจ้าอ้วนคิดว่าจ้าวสำนักอาจมีความกังวลใจมากจึงรีบร้อนเรียกมา แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือและหยุดเจ้าอ้วนไว้พร้อมกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อ้วนน้อย เป็นเรื่องที่ดีมากที่เจ้าสามารถเข้าสู่ระดับปฐมภูมิได้ แต่เหตุใดเจ้าจึงสร้างปัญหาใหญ่ให้กับตนเองกันล่ะ?”


“ข้าน่ะหรือสร้างปัญหา?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารีบถามออกมาด้วยความสับสน “จ้าวสำนัก ตลอดเวลาสองปีข้าเพียงแค่เก็บตัวฝึกฝน แล้วข้าจะออกมาสร้างปัญหาภายนอกได้อย่างไรกัน”


“อย่างนั้นหรือ?” จ้าวสำนักและภรรยาของเขาจ้องมองหน้ากันก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เหตุใดศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งจึงมาพบพวกเราในเช้าวันนี้และบอกว่าจะเกิดภัยพิบัติกับเจ้าภายในวันนี้กันล่ะ?”


“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขามองไปที่ฉุ่ยจิ้งอย่างสับสน “ศิษย์น้อง วันนี้ข้าจะพบกับหายนะงั้นหรือ?”


“มันยังไม่ชัดเจนมากนัก!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างกังวล “ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยสีดำ มีเมฆดำมากมายลอยอยู่เหนือศีรษะของท่าน แม้แต่ศิษย์น้องหงหยิงยังสังเกตุเห็นถึงความผิดปกติได้!”


เช่นนั้นหงหยิงรีบกล่าวออกมาทันที “ใช่แล้วพี่ชายอ้วน ใบหน้าของท่านกลายเป็นสีดำ ราวกับว่าท่านกำลังอยู่ในความเดือดร้อน!”


“อืม!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริม “เป็นเช่นนั้น แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้เรียนรู้วิชาเทพธิดาพยากรก็ยังรับรู้ได้!”


“ขนาดนั้น?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาแทบพูดกล่าวอะไรไม่ถูก “ข้าเพิ่งออกจากการเก็บตัวในวันนี้ ขณะที่ข้ากำลังชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงาม อารมณ์ของข้าปลอดโปร่งอย่างมาก แต่คล้ายมีบางสิ่งเกิดขึ้น ภายในจิตใจของข้ารู้สึกกังวลอย่างมาก นั่นจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายภายในวันนี้?”


“ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น!” ฉุ่ยจิ้งกล่าว “วิธีการฝึกฝนของท่านเป็นสิ่งที่ลึกลับยิ่งนัก อีกทั้งมันอาจตรวจพบอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้!”


นั่นทำให้เจ้าอ้วนกังวลใจมาก เขารีบกล่าวออกมาทันที “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งสามารถมองเห็นหายนะที่จะเกิดขึ้นกับข้าได้หรือไม่?”


“ต้องขอโทษศิษย์พี่ด้วย ศิษย์น้องผู้นี้พยายามอย่างหนักแล้วแต่มันคลุมเครืออย่างมาก ข้าไม่สามารถล่วงรู้สิ่งใดได้เลยนอกจากวันนี้จะเกิดภัยพิบัติกับท่านในวันนี้!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างหมดหนทาง


“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตกอยู่ในความกังวลโดยสมบูรณ์พร้อมกล่าวว่า “ด้วยเหรียญแห่งชะตาฟ้าดินและกระดองเต่าดำ การทำนายจะสามารถทำได้ง่ายดายขึ้นไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าไม่สามารถทำได้เช่นเคยล่ะ?”


“เรื่องนั้นเป็นเพราะศิษย์น้องผู้นี้เรียนรู้เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรขั้นต่ำเท่านั้น แม้ว่าข้าจะมีสมบัติวิญญาณถึงสองชิ้นมันก็ยังมีข้อจำกัด!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาพร้อมอธิบายต่อ “มีสามเงื่อนไขที่ทำให้ข้าไม่สามารถทำนายได้ หนึ่งคือการกระทำของเหล่าปีศาจที่อยู่นอกโลก ข้าสามารถทำนายได้เพียงเรื่องภายในโลกนี้เท่านั้น สิ่งใดที่อยู่นอกขอบเขตจะเกินขีดความสามารถของข้า!”


“ข้าไม่คิดว่าจะเป็นเหล่าปีศาจที่ไม่อยู่ในโลกใบนี้!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ “มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกมันจะเข้ามายังโลกเพื่อแสวงหาความตาย!”


“เป็นเช่นนั้น แล้วเงื่อนไขอื่นล่ะ?” ภรรยาจ้าวสำนักถามออกมา


“ประการที่สองข้าไม่สามารถทำนายการเคลื่อนไหวของผู้ที่ระดับห่างไกลเป็นอย่างยิ่ง สำหรับข้าแล้ว มีเพียงผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเท่านั้นที่ข้าไม่อาจเอื้อมถึง!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับ


“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้!” จ้าวสำนักตอบอย่างเขร่งขรึม “ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินนั้นอยู่แห่งหนใดกัน? เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะแสวงหาตัวของอ้วนน้อย!”


“อืม!” ภรรยาจ้าวสำนักพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อ “แล้วเงื่อนไขสุดท้ายล่ะ?”


“สิ่งสุดท้ายคือบุคคลที่สามารถปิดกั้นการทำนายของข้าได้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมขมวดคิ้วแน่น “แต่เท่าที่ข้าทราบมาเป็นไปได้ยากมากที่จะมีผู้ฝึกตนสามารถใช้เคล็ดวิชาเหล่านี้ได้ แม้ในผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินก็ยังหาตัวได้ยาก! อีกทั้งการขัดขวางธรรมชาติ ผลกระทบต่าง ๆ จะถูกเปลี่ยนแปลงและจะเกิดอันตรายมากมาย ถ้าหากมีอาวุโสที่ต้องการจะชำระแค้นกับศิษย์พี่ สิ่งที่เขาจะทำก็คือมาที่นี่และสังหารเพียงเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถที่วุ่นวายถึงเพียงนี้! ดังนั้นข้าจึงคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน”


“สรุปว่าเงื่อนไขทั้งสามไม่มีข้อไหนที่ดูเป็นไปได้ แล้วอะไรล่ะที่เป็นไปได้?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างโง่งม


“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ากังวลมากเกินไป?” จ้าวสำนักกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว “อ้วนน้อยอยู่ตรงหน้าข้าในตอนนี้ อยู่ในสำนักเสวียนเทียน ข้าสามารถจัดการกับเหล่าผู้ฝึกตนเฟินเสินได้ถ้าหากพวกเขายกทัพมาที่นี่ แล้วพวกเขาจะมาสร้างปัญหาให้กับตนเองเพื่อสิ่งใดกัน?”


เมื่อทุกคนต่างได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกัน เป็นความจริงที่สำนักเสวียนเทียนแข็งแกร่งที่สุดในเทือกเขาใหญ่แห่งนี้


แต่แล้วในขณะนั้นเอง กลับปรากฏเสียงท้องฟ้าดังสนั่นหวั่นไหว แม้ยังคงสว่างสดใส แต่เสียงนั้นกลับทำให้ทุกผู้คนต้องสะดุ้ง


ขณะนี้ทุกคนต่างรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งหมดเงยหน้าขึ้นรับชมเรื่องราว คล้ายสวรรค์โปรด! ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว พายุรุนแรงเริ่มก่อตัว ลมพัดกระโชกรุนแรงจากทุกทิศทางก่อเกิดเป็นพายุหมุนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า อ่างน้ำสีดำรูปร่างคล้ายดวงตาปีศาจเริ่มปรากฏ! ดวงตามนั้นกำลังจ้องมองมาที่เจ้าอ้วน!


ขณะท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นวิปริตในพริบตา จ้าวสำนักและภรรยาแทบร่ำไห้ออกทันที พวกเขาทั้งสองต่างกล่าวเสียงดังนั่น “ทัณฑ์เมฆา! คนผู้หนึ่งกำลังจะโดนทัณฑ์สวรรค์!”


บทที่ 165: ทัณฑ์สายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้า


เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วน ฉุ่ยจิ้ง และหงหยิงตกอยู่ในความตกใจทันที ความจริงก็คือทัณฑ์สวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย! มันคือฝันร้ายของเหล่าผู้ฝึกตน! อยู่เหนือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังมีอีกสี่ระดับนั่นก็คือ เฟินเสิน เลี่ยนจือ เหอตี้ และต้าเชิ่ง โดยปกติแล้วเมื่อผู้ฝึกตนเข้าสู่ระดับต้าเชิ่ง พวกเขาจะต้องรับทัณฑ์สวรรค์ ถ้าหากว่าสามารถผ่านพ้นไปได้ จะได้เข้าสู่สวรรค์ทันที แต่ถ้าหากไม่ บุคคลเหล่านั้นจะถูกบดขยี้เหลือเพียงธุลี


ในอดีตที่ผ่านมา มีเพียงหนึ่งในสิบของผู้ฝึกตนระดับต้าเชิ่งเท่านั้นที่สามารถอดทนและผ่านพ้นการทดสอบของทัณฑ์สวรรค์ได้! แม้กระทั่งผู้ที่ฝึกฝนมายาวนานนับหมื่นปีและครอบครองสมบัติวิญญาณมากมายก็ยังไม่อาจต้านทานทัณฑ์สวรรค์ได้เลยแม้แต่น้อย ความน่ากลัวของมันมากถึงเพียงใดกัน? ตำนานกล่าวไว้ว่าทัณฑ์สวรรค์สามารถทำลายล้างโลกใบนี้ได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้พื้นที่นับหมื่นแสนลี้กลายเป็นเถ้าธุลีได้อย่างง่ายดาย! ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเปรียบได้กับมดงานเท่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าทัณฑ์สวรรค์! ในตอนนี้สิ่งที่น่าเกรงกลัวที่สุดได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาแล้ว ผู้ใดกันที่จะกล้าหาญท้าทายพลังนี้?


หงหยิงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ “สวรรค์! เป็นไปได้อย่างไร? อย่าบอกข้านะว่ามีอาวุโสระดับต้าเชิ่งอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้และกำลังเข้ารับการทดสอบของทัณฑ์สวรรค์?”


“เป็นไปไม่ได้!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างสงบก่อนเริ่มอธิบาย “มองไปที่ทัณฑ์เมฆา เหมือนว่ามันจะไม่กว้างนัก แม้ว่าปริมาณของปราณจิตวิญญาณจะน่าประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ทว่าข้ายังสามารถจัดการกับมันได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับต้าเชิ่งต้องเข้าการทดสอบ!”


“ว่าอะไร? นอกเหนือจากผู้ฝึกตนระดับต้าเชิ่ง ใครกันเล่าที่เหมาะสมจะเข้าการทดสอบของทัณฑ์สวรรค์?” หงหยิงถามกลับอย่างตกใจ


“ใช่แล้ว!” ภรรยาจ้าวสำนักอธิบาย “ปกติแล้วทัณฑ์สวรรค์จะใช้ในการทดสอบผู้ฝึกตนระดับต้าเชิ่ง แต่ทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้มีข้อยกเว้น ถ้าหากผู้ใดที่ฝึกฝนด้วยเคล็ดวิชาที่มีคุณภาพสูงมาก พวกเขาจะได้รับการทดสอบจากทัณฑ์สวรรค์เมื่อเข้าสู่ระดับ เลี่ยนจือ เหอตี้หรือเฟินเสิน! แต่ระดับความยากอาจจะลดลงตามลำดับ! ในตอนนี้ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเราเป็นเพียงทัณฑ์เมฆาระดับต่ำเท่านั้น!”


เมื่อหงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางประหลาดใจพร้อมกล่าวออกมา “ท่านพ่อ อย่าบอกข้านะว่าพวกท่านกำลังจะต้องเข้าทดสอบภายในทัณฑ์เมฆาเล็กจ้อยนั่น?”


“ไร้สาระ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรา” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ทัณฑ์เมฆาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน เราทั้งสองก้าวหน้ามานานนับร้อยปีแล้วและพ้นเวลาที่จะถูกทดสอบไปมากโข”


“อีกอย่าง เจ้ามองครอบครัวของเจ้าสูงเกินไป ถึงแม้ว่าการฝึกฝนของเราจะลึกล้ำอยู่บ้าง แต่กว่าจะได้พบเจอกับทัณฑ์เมฆาก็ในระดับเห่อตี้ ซึ่งมันยังอีกยาวไกลนัก!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างขื่นขม


“เอ่อ ถ้าหากไม่ใช่ท่านทั้งสอง งั้นจะเป็นผู้ใดกัน? อาจารย์ลุงฮัวอวิ๋น? หรือเทพธิดาเหมยฮวากันล่ะ?” หงหยิงถามออกมาอย่างสับสน


ในขณะที่หงหยิงกล่าวเช่นนั้น จ้าวสำนัก ภรรยาของเขา และฉุ่ยจิ้งตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นพวกเขาทั้งหมดมองไปที่เจ้าอ้วนเป็นสายตาเดียวกัน


เจ้าอ้วนรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เขากล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เหตุใดพวกท่านจึงมองข้าเช่นนั้น? อย่าบอกนะว่าพวกท่านคิดว่าเป็นข้า? ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ!”


ในขณะที่จ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาพร้อมขมวดคิ้วแน่น “ความจริงแล้ว ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเรื่องที่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิจะเข้าสู่การทดสอบของทัณฑ์เมฆา! แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่เคยปรากฏออกมาสักครั้ง! สำหรับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นจะปรากฏออกมาสักหนึ่งคนภายในหนึ่งหมื่นปี!”


“แต่ปัญหาก็คือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินของเราได้เลื่อนขั้นมานานนับร้อยปีแล้วและผ่านพ้นช่วงเวลาที่จะได้ทดสอบ!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าว “เมื่อเร็ว ๆ นี้ยังไม่มีผู้ใดเข้าสู่ระดับจินตันเลย! ในตอนนี้บุคคลที่ก้าวหน้ามีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น!”


“มีอีกอย่างหนึ่ง!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวเสริม “บรรยากาศสีดำบนใบหน้าของท่านหนาเกินไป มันไม่ใช่ความโชคร้ายแต่ทว่าเป็นพลังของทัณฑ์เมฆา!”


“พลังของทัณฑ์เมฆา?” เจ้าอ้วนงุนงงอย่างถึงที่สุดพร้อมถามออกไป “มันคือสิ่งใดกัน?”


“ก่อนที่ทัณฑ์สวรรค์จะปรากฏออกมา แน่นอนว่ามันจะส่งกลิ่นอายออกมาเป็นคลื่นพลังส่งมาถึงผู้ฝึกตนที่ต้องเข้ารับการทดสอบ หลังจากที่กลิ่นอายนั้นได้หายไปแล้วจะปรากฏทัณฑ์สวรรค์ขึ้น” ฉุ่ยจิ้งอธิบาย “ตอนนี้กลิ่นอายเหล่านั้นได้ล้อมรอบท่านไว้แล้ว แน่นอนว่าทัณฑ์สวรรค์ติดตามท่านอยู่!”


“หยุดล้อเล่นกับข้าเสียที!” เจ้าอ้วนโกรธจัด “ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะโชคร้ายเช่นนี้ ข้าถึงกับต้องถูกฟ้าผ่าเมื่อเข้าสู่ระดับปฐมภูมิเลยเชียวหรือ!”


“ศิษย์พี่ทำใจให้สบายก่อน ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงไม่สามารถทำนายภัยพิบัติของท่านได้?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาพร้อมกับจ้องมองเจ้าอ้วน “สามารถกล่าวได้ว่าเพราะมันเป็นทัณฑ์เมฆา มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับกฎใดในโลกใบนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถทำนายได้!”


“เช่นนี้งั้นหรือ? มันสามารถมีเหตุผลอื่นได้อีกหรือไม่?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับส่ายหัว


“มันไม่สามารถมีเหตุผลอื่นได้อีกแล้ว!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าสิ่งนี้มาเพื่อท่าน!”


“แต่ว่า….” ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังต้องการที่จะกล่าวบางสิ่งบางอย่าง จ้าวสำนักที่อยู่ด้านข้างยืนขึ้นอย่างใจร้อน เขาคว้าเจ้าอ้วนและเริ่มบินทันที ในขณะนั้นเขากล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือไม่ แค่ทดสอบก็รู้แล้ว!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น จ้าวสำนักเรียกใช้งานดาบบินพร้อมบินออกไปนับพันลี้สู่พื้นที่ว่างเปล่า ในขณะที่เขากำลังร่อนลงสู่พื้นดิน ภรรยาจ้าวสำนักได้พาหงหยิงและฉุ่ยจิ้งตามมาด้วย ในขณะนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นมาถึงแล้ว เขาตกใจที่ทัณฑ์เมฆาปรากฏและมาที่นี่เพื่อขอคำอธิบายจากจ้าวสำนัก แต่ในขณะที่เขาเห็นหลายคนกำลังบินอยู่ จึงรีบบินตามไปทันที


หลังจากที่ทุกคนลงพื้นดินแล้ว จ้าวสำนักเงยหน้าขึ้นพร้อมมองขึ้นไปบนฟ้า แน่นอนว่าทัณฑ์เมฆาได้ตามพวกเขามาและมันหยุดอยู่บนศีรษะของเจ้าอ้วน เขาจึงกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “อ้วนน้อยเจ้าไม่ต้องกล่าวสิ่งใดแล้ว! ถูกต้องทุกอย่าง ทัณฑ์สวรรค์กำลังตามเจ้าอยู่!”


เจ้าอ้วนไม่ได้มองว่าสถานการณ์เช่นนี้มันเป็นเรื่องที่น่ายินดี เขากล่าวออกมาอย่างหดหู่ “มันไม่ถูกต้อง จะบอกว่าเป็นข้าจริงงั้นหรือ?”


“ไร้สาระ นอกเหนือจากเจ้าแล้วไม่มีผู้ใดที่ก้าวหน้าขึ้น แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นเจ้า!” นักบวชฮัวอวิ๋นที่รังเกียจเจ้าอ้วนเข้ากระดูก กำลังมองเห็นว่าเด็กน้อยผู้นี้กระตุ้นการทำงานของทัณฑ์สวรรค์เข้า เขาทั้งรู้สึกอิจฉาและมีความสุขพร้อมกัน เขาอิจฉาที่เคล็ดวิชาการฝึกฝนของเจ้าอ้วนนั้นลึกลับและมีพลังอย่างยิ่ง แต่ทว่ากลับมีความสุขที่ชีวิตของเจ้าอ้วนจะต้องจบลงเพียงเท่านี้ ทัณฑ์สวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล่น ในตำนานได้กล่าวไว้ว่าเพียงแค่ทัณฑ์สวรรค์ระดับต่ำก็ยังมีพลังมหาศาล


นักบวชฮัวอวิ๋นคิดว่าเจ้าอ้วนนั้นไม่หลงเหลือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว และดาบแห่งธาตุทั้งห้าก็ไม่อาจใช้งานได้ แล้วเขาจะมีพลังที่ไหนมาต่อกรกับทัณฑ์สวรรค์ระดับต่ำเช่นนี้? เจ้าอ้วนจะต้องตายตกไปอย่างแน่นอน!


เจ้าอ้วนนั้นยังเด็กมากแต่กลับต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ระดับต่ำ ดังนั้นเขาจึงรีบหันไปหาจ้าวสำนักอย่างวิงวอน “ท่านจ้าวสำนักท่านสามารถช่วยให้ข้าผ่านมันไปได้หรือไม่? ท่านสามารถป้องป้องข้าได้หรือไม่?”


“อย่าได้ฝัน!” ก่อนที่จ้าวสำนักและภรรยาของเขาจะได้ตอบสิ่งใด นักบวชฮัวอวิ๋นกระโดดออกมาพร้อมกล่าวอย่างไร้มารยาท “ทัณฑ์สวรรค์คือเรื่องของเจ้า ถ้าหากมีผู้อื่นเข้าไปแทรกแซง พลังของมันจะเพิ่มขึ้นและเจ้าจะได้รับความลำบาก ถ้าหากจ้าวสำนักยอมช่วยเหลือเจ้า แน่นอนว่าเขาจะถูกเป่าให้เป็นผุยผง จงเป็นสุภาพบุรุษอย่าได้ลากผู้อื่นเข้าไปสู่ประตูนรกกับเจ้า!”


ในขณะที่จ้าวสำนักและภรรยาได้ยินดังนั้น ใบหน้าของพวกเขาหดหู่ทันทีเพราะมันคือความจริง


ฉุ่ยจิ้งกล่าวกับเจ้าอ้วนอย่างอ่อนโยน “ศิษย์พี่ ท่านไม่สามารถรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้เมื่อเข้าการทดสอบจากทัณฑ์สวรรค์ ถ้าหากทำเช่นนั้น มันจะแข็งแกร่งมากขึ้นจนถึงจุดที่สามารถสังหารบุคคลที่เข้ามาช่วยเหลือท่านทั้งหมด! นี่เป็นเหตุผลที่อาวุโสทุกคนบอกให้ท่านเผชิญหน้ากับมันด้วยตนเอง ถ้าหากพวกเขาทั้งหมดช่วยท่าน แน่นอนว่าจะได้ไปสู่โลกหน้าครบถ้วนทุกคน!”


“ข้าเข้าใจแล้ว!” เจ้าอ้วนพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม “ดูเหมือนว่าภัยพิบัติจะเกิดขึ้นกับข้าจริงเสียแล้วในวันนี้!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวคำ ทั้งจ้าวสำนักและภรรยาแสดงอาการเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด หงหยิงพุ่งเข้าหาเจ้าอ้วนและกอดเขาไว้พร้อมกับร้องไห้ออกมา มีเพียงนักบวชฮัวอวิ๋นเท่านั้นที่ยืนมองพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันชั่วร้าย


สำหรับฉุ่ยจิ้ง นางยิ้มออกมาพร้อมกล่าวอย่างลึกลับ “ศิษย์พี่นั้นถ่อมตนเกินไปแล้ว ข้าเชื่อว่าความแข็งแกร่งของท่านจะสามารถผ่านการทดสอบของทัณฑ์สวรรค์ได้!”


ในขณะที่ฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้น ทุกคนเงียบทันที หงหยิงกล่าวออกมาอย่างยินดี “ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้ง เรื่องนี้เชื่อถือได้หรือไม่?”


“แน่นอน ศิษย์พี่ของเจ้านั้นเป็นบุคคลที่โชคดีที่สุดที่ข้าเคยพบเห็น ชีวิตของเขาไม่มีทางที่จะสั้นเพียงเท่านี้แน่นอน!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมกับดึงหงหยิงออกมา นางทั้งสองคนเริ่มเดินออกไปด้านนอก ในขณะที่พวกนางกำลังเดินออกไป ฉุ่ยจิ้งหันมากล่าวกับทุกคน “ทัณฑ์เมฆากำลังจะก่อตัวขึ้นแล้ว ทุกคนรีบออกจากสถานที่แห่งนี้และปล่อยให้ศิษย์พี่ซ่งจัดการเรื่องนี้เถิด!”


พวกเขาปลอบโยนเจ้าอ้วนเล็กน้อยก่อนที่จะบินห่างออกไป ทั้งหมดหยุดลงที่ภูเขาใกล้เคียงเพื่อเฝ้าดูเจ้าอ้วนอย่างใกล้ชิด


ในขณะที่ทุกคนออกไปแล้ว เจ้าอ้วนล้มลงบนพื้นดินไร้ซึ่งความสง่างามใด ๆ เขาหยิบเอาขวดไวน์ออกมาจากมิติลึกลับ ในขณะที่กำลังดื่มอยู่นั้น เขากล่าวกับตนเองว่า “เหตุผลที่ศิษย์น้องมั่นใจในตัวข้านั้นไม่ใช่เพราะความสามารถของข้า แต่เป็นเพราะระฆังทองแดงที่ข้ามีต่างหาก! กล่าวกันว่าผู้คนไม่สามารถปฏิเสธเส้นทางแห่งสวรรค์ได้ นี่เป็นเส้นทางที่ข้าจะต้องพบเจอสินะ แม้ว่าระฆังทองแดงของข้าจะไม่ใช่สมบัติในตำนาน แต่ทว่ามันก็เป็นสมบัติวิญญาณเช่นกัน หวังว่าคงจะเพียงพอที่จะต้านทานทัณฑ์สวรรค์ของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ!”


เมื่อคิดเช่นนั้น ความกังวลของเจ้าอ้วนค่อย ๆ หายไป เขาเริ่มดื่มอย่างผ่อนคลาย


เมื่อมองเห็นสถานการณ์จากระยะไกล จ้าวสำนักและภรรยาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าออกมา


“เป็นเด็กที่เด็ดเดี่ยวมากนัก เวลาเช่นนี้ยังมีแก่ใจอารมณ์ดี จิตวิญญาณของเขากล้าหาญยิ่ง!” จ้าวสำนักกล่าวชมเชยในขณะที่กำลังลูบเคราของตนเอง


“เหอะ ข้าคิดว่ามันคงกลัวจนเสียสติไปแล้วต่างหาก!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ


จ้าวสำนักหันไปคำรามใส่เขาทันที “บัดซบ เจ้าคิดว่าอ้วนน้อยของข้าจะมีความสามารถดังเช่นเหล่าขยะที่นอนอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้างั้นหรือ? เจ้าเอาเวลานี้ไปหาวิธีให้ขยะพวกนั้นหยุดร้องไห้อยู่บนเถียงเถิด!”


เห็นได้ชัดว่าจ้าวสำนักกล่าวถึงดาบเทวะไร้ผู้ต้านที่ถูกคำสาปของสำนักพันปีศาจ เขาบดขยี้หัวใจของนักบวชฮัวอวิ๋นเต็มแรง อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นตอบโต้ทันที “ส่วนไขมันบัดซบของเจ้านั้นก็ต้องร้องไห้เช่นกัน เพราะมันกำลังจะกลายเป็นเถ้าธุลี!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ภรรยาจ้าวสำนักตบหน้าเขาอย่างรุนแรงด้วยความไม่พอใจ “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น ท่านต้องการให้บุตรของข้าตายตกไปในสภาพเช่นนี้งั้นหรือ?!”


เมื่อเห็นความโกรธเกรี้ยวของภรรยาจ้าวสำนัก เขารู้ทันทีว่าเขาพูดมากเกินไปแล้ว แต่เขาก็ไม่อาจกล่าวขอโทษได้และกล่าวเสริมไปอย่างวางท่า “ข้าเพียงแค่พูดความจริง มองดูทัณฑ์เมฆาสิ พวกมันได้แยกออกเป็นธาตุทั้งห้าแล้ว คนปกติจะสามารถอดทนได้เพียงสองธาตุเท่านั้น แต่ทัณฑ์เมฆาของเจ้าอ้วนนั้นมีถึงห้าธาตุ เหอะ ในเวลานี้แหละที่เขาจะต้องจากโลกนี้ไปเสียที!”


บทที่ 166: ไร้หนทางหนี


พวกเขาทั้งหมดเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมทั้งเห็นว่ามีเมฆครบทั้งห้าธาตุจริง ทัณฑ์แห่งสายฟ้าทั้งห้านั้นเชื่อกันว่ามีความรุนแรงกว่าสายฟ้าธรรมดาถึงสิบเท่า


ตั้งแต่อดีตจนถึงขณะนี้ไม่เคยมีผู้ใดรอดพ้นจากสายฟ้าชนิดนี้มาก่อน กล่าวก็คือเจ้าอ้วนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างมาก


ในขณะที่จ้าวสำนักและภรรยากำลังกังวลถึงสถานการณ์ของเจ้าอ้วนที่กำลังร้องเพลงอย่างผ่อนคลายอยู่นั้น ในตอนท้ายทัณฑ์เมฆาดูเหมือนว่าจะรวบรวมพลังเสร็จสมบูรณ์แล้ว เกิดแสงสว่างวาบอยู่ด้านในเมฆเป็นระยะ


ปรากฏแสงสีแดงภายในเมฆอย่างมากมายราวกับมังกรกำลังแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำขนาดใหญ่ ส่งผลให้มันดูน่าเกรงขาม ความยิ่งใหญ่นี้อาจทำลายภูเขาทั้งลูกให้หายไปในพริบตาได้


ในขณะที่ต้องเผชิญกับพลังที่น่าเกรงขามเช่นนี้ เจ้าอ้วนหาได้เกรงกลัวแต่อย่างใด เขากล่าวออกมาอย่างสุขุม “สีแดงงั้นหรือ มันก็คงจะเป็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคี งั้นข้าจะใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งวารีเพื่อทำลายมัน!”


ในขณะที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น เขาตั้งใจแสดงท่าทีที่สง่างามออกมาด้วยการไขว้มือซ้ายไว้ด้านหลัง พร้อมใช้มือขวาเรียกดาบออกมา รวมเข้ากับเสียงคำรามของท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะของเขา ทำให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นผู้สูงส่งและไม่หวาดเกรงสิ่งตรงหน้าอย่างแท้จริง


อย่างไรก็ตามแม้ว่าเจ้าอ้วนจะอยู่ในความสงบ สิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดก็คือดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งวารีของเขาไม่ปรากฏออกมา!


กล่าวก็คือเขามีเพียงท่าทีที่สง่างามเท่านั้น แต่กลับไม่มีสิ่งใดปรากฏออกมาเลย ขณะที่เขากำลังตระหนักได้ว่าดาบไม่ออกมาตามคำสั่ง มันก็สายเกินกว่าจะแก้ไขสิ่งใดแล้ว


สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีของทัณฑ์เมฆารวบรวมพลังอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีการป้องกันที่สูงมาก แต่ในตอนนี้มีบางอย่างผิดพลาด เจ้าอ้วนไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนความคิด สายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดลงบนศีรษะของเขาอย่างไร้ความปราณี


หลังจากการปะทะจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว เกิดเป็นฝุ่นตลบอบอวนไปทั่วบริเวณกินพื้นที่นับร้อยลี้ สิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้ในตอนนี้คือเจ้าอ้วนล่วงลงไปกองอยู่บนพื้นดินอย่างน่าสังเวช


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น จ้าวสำนักรวมถึงภรรยาของเขา หงหยิงและฉุ่ยจิ้งตื่นตระหนกอย่างรุนแรง จ้าวสำนักคำรามออกมาดังลั่นภูเขา “อ้วนน้อย เจ้ามัวทำสิ่งใดอยู่? เหตุใดจึงไม่ใช้อุปกรณ์วิเศษเพื่อปกป้องตนเอง!”


ด้วยความที่เขาเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน เสียงคำรามของเขาดังไกลหลายพันลี้ เจ้าอ้วนย่อมต้องได้ยิน


ในขณะนี้เจ้าอ้วนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอยู่กับความทรมานนี้เงียบ ๆ เขาไม่ใช่คนโง่เขลาและรู้ตัวว่าต้องใช้อุปกรณ์วิเศษเพื่อป้องกันพลังของทัณฑ์เมฆา แต่ปัญหาก็คือเขาไม่สามารถเรียกอุปกรณ์ใดออกมาได้เลยในตอนนี้ หลังจากที่เขาถูกทุบตีไปแล้วในครั้งแรก เขาพยายามเรียกพวกมันอีกหลายครั้งแต่ไร้ประโยชน์


ในขณะนั้นวินาทีต่อมา สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งโลหะได้ปรากฏขึ้นแล้ว เจ้าอ้วนโห่ร้องออกมาอย่างไร้หนทาง “ระฆังทองแดงออกมาช่วยข้า!”


เขาตะโกนออกมาอย่างตรงไปตรงมาแต่น่าเสียดายที่ไม่มีอุปกรณ์ใดปรากฏเลยสักชิ้น สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งโลหะฟาดลงบนหลังของเขาส่งความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายรวมถึงเส้นลมปราณด้วย เมื่อรวมกับอัคคีก่อนหน้านี้ส่งผลให้เจ้าอ้วนรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในนรก ความเจ็บปวดถาโถมอย่างหนักทำให้เหงื่อของเขาหลั่งไหลเช่นน้ำตกและเริ่มมีน้ำตาไหลอาบสองแก้ม


แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอ้วนกังวลมากที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาไม่สามารถเรียกหาดาบแห่งธาตุทั้งห้าได้เป็นเพราะว่าพวกมันอยู่ในมือของทาสทั้งเก้าของเขา แต่ทว่าระฆังทองแดงมันอยู่ในมิติลึกลับของเขาเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สามารถเรียกใช้งานมัน!


ภายใต้ความสับสนภายในใจ เจ้าอ้วนพยายามเรียกสมบัติที่อยู่ภายในมิติของเขาทั้งหมดเพื่อตรวจสอบว่ามันจะไม่สามารถใช้อะไรได้สักอย่างจริงหรือ แล้วสิ่งที่เขากังวลก็เป็นเรื่องจริง เขาไม่สามารถเรียกสิ่งใดออกมาได้เลย


ในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าเจ้าอ้วนกำลังพบกับปัญหา! เขาไม่มีสมบัติใด ในตอนนี้เขากลายเป็นไก่ที่ถูกมัดไว้ในตู้เท่านั้น เขามองหาสิ่งของในกระเป๋ามิติอย่างหมดหนทาง ในที่สุดเขาหยิบดาบดำออกมา ซึ่งมันเป็นซากดาบที่ดูเหมือนว่าจะใช้งานมาอย่างยาวนานนับร้อยปีซึ่งได้รับมาจากสำนักในครั้งก่อน นี่คือสิ่งเดียวที่เขามีอยู่ในตอนนี้


เห็นได้ชัดเจนว่าอาวุธนี้ไม่มีพลังแม้แต่จะปกป้องตัวเองเลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับทัณฑ์เมฆา? สถานการณ์ในตอนนี้คือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งพสุธากำลังก่อตัวขึ้น แน่นอนว่ามันทำลายดาบของเขาลงไปอย่างไร้เยื่อใยและฟาดลงศีรษะของเจ้าอ้วนอีกครั้ง


ในตอนนี้เจ้าอ้วนถูกโจมตีติดต่อกันถึงสามครั้ง และมีธาตุสามธาตุไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา พวกมันทั้งหมดราวกับม้าที่ไร้บังเหียนกำลังวิ่งวนไปทั่วเส้นลมปราณอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเจ้าอ้วนไม่สามารถขับไล่มันออกไปได้จนต้องนอนกับพื้นในสภาพไม่ต่างกับขยะเปียก


ในขณะที่เขากำลังตกอยู่ในอาการอัมพาต ทัณฑ์เมฆาเริ่มเคลื่อนไหวลงไปใกล้เขาราวกับว่าเขาเป็นเพียงกระสอบทรายรอการทุบตีเท่านั้น เป็นความโชคดีที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก ถ้าหากเป็นผู้อื่นคงตายตกไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว


แม้ว่าความจริงเจ้าอ้วนจะอดทนต่อการถูกฟ้าผ่าได้ แต่ทว่าปราณจิตวิญญาณทั้งห้าธาตุที่วิ่งอยู่ในร่างกายของเขาสร้างความลำบากอย่างถึงที่สุด เจ้าอ้วนทำได้เพียงค่อย ๆ ปรับลมปราณเพื่อให้ปฐมกาลแห่งความโกลาหลได้ทำงาน


งานของเจ้าอ้วนในตอนนี้คือการอดทนต่อสายฟ้าเหล่านี้ให้ได้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง อีกทั้งยังต้องอดทนกับลมปราณภายในร่างกายของตนเอง อีกทั้งยังต้องระมัดระวังการหมุนเวียนลมปราณซึ่งอาจจะทำลายการฝึกฝนทั้งหมด


สถานการณ์ที่บีบคั้นเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนอึดอัดอย่างถึงที่สุด มีเพียงความเข้มแข็งของจิตใจของเขาเท่านั้นที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีเป็นเวลายาวนานหลายปี ซึ่งมันสามารถอดทนต่อความทุกข์ทรมานเหล่านี้ได้


ตอนนี้เจ้าอ้วนไม่สามารถแม้แต่จะยืนขึ้นได้ เหล่าบุคคลที่ยืนดูอยู่จากระยะไกลต่างก็เป็นห่วง พวกเขามองไม่เห็นแล้วว่าสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้าอ้วนในตอนนี้ เห็นแค่เพียงเมฆาที่บดบังทุกสิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีแม้แต่เสียงของเจ้าอ้วนตอบกลับมาด้วยซ้ำ


“ท่านพ่อ ท่านแม่!” หงหยิงดึงมือบิดามารดาของตนอย่างหมดหนทางพร้อมถามว่า “พี่ชายอ้วนทำอะไรอยู่? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาไม่ใช่สมบัติวิเศษล่ะ?”


“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร!” ภรรยาจ้าวสำนักตอบกลับมาอย่างกังวล ในขณะนั้นนางหันไปหาฉุ่ยจิ้งพร้อมคิดว่าจะมีคำพูดดี ๆ จากนางสักอย่าง


ในทางตรงกันข้าม ฉุ่ยจิ้งส่ายหน้าพร้อมกล่าวออกมาอย่างอับจนปัญญา “ข้าต้องขออภัย ทัณฑ์สวรรค์เป็นกฎแห่งสวรรค์ซึ่งข้าไม่สามารถทำนายได้ ไม่มีสิ่งใดที่ข้ารับรู้ได้เลย!”


“แล้วเจ้าคิดว่าอ้วนน้อยเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้?” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างหดหู่ “ชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?”


“สิ่งเดียวที่เราต้องขอบคุณในตอนนี้คือทัณฑ์สวรรค์ได้หยุดการโจมตีชั่วคราว แต่ยังคงปรากฏอยู่เหนือศีรษะของเขา นั่นหมายความว่าศิษย์พี่ซ่งยังคงมีชีวิตอยู่เพราะว่าทัณฑ์สวรรค์จะไม่โจมตีซากศพ!” ฉุ่ยจิ้งขมวดคิ้วแน่นพร้อมกล่าวต่อ “แต่ทัณฑ์สายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้านั้นเลวทรามยิ่งนัก หากศิษย์พี่ซ่งสามารถใช้สมบัติวิเศษได้ เขาคงจะไม่ได้รับความเจ็บปวดมากเช่นนี้ แต่ที่ข้าเห็นคือเขาไม่ได้เอาสิ่งใดออกมาและใช้เพียงร่างกายรับสายฟ้าโดยตรง ข้าคิดว่าคงจะมีบางอย่างเกิดขึ้นตรงนั้น นอกจากนี้ปัญหานี้อาจจะยิ่งใหญ่เกินกว่าแก้ไข ไม่ว่าร่างกายของศิษย์พี่จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถต้านทานพลังของทัณฑ์สวรรค์ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัณฑ์สายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้า! แม้ว่าจะดูไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่นักแต่ข้าคิดว่าศิษย์พี่ซ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ภรรยาของจ้าวสำนักใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทันที สำหรับหงหยิงน้ำตาของนางไหลอาบสองแก้มอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวออกมาว่า “มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้? ศิษย์พี่หญิงท่านกล่าวเองไม่ใช่หรือว่าพี่ชายอ้วนไม่ใช่คนอายุสั้น!”


“ข้ารู้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างไร้หนทางพร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม “ปัญหาก็คือโชคชะตาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าหากมีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยว แน่นอนว่าโลกนี้จะพบกับอันตราย มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับบุคคล! ทัณฑ์สายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้าที่ศิษย์พี่ได้เผชิญอยู่ในขณะนี้อยู่ในระดับที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขาได้!”


“แต่ข้าไม่ต้องการให้พี่ชายอ้วนตาย!” หงหยิงกล่าวออกมาพร้อมร่ำไห้อย่างหนัก


“เฮ้อ ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้เขาตายเช่นกัน แต่นี่คือชีวิตและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยพลังของมนุษย์!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างหมดหนทาง


“เหอะ!” ในขณะที่จ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธแค้นและทุบกำปั้นลงบนพื้นดิน เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่อยู่บนภูเขา


แต่ในขณะนั้นได้เกิดเสียงแปลก ๆ ลอยผ่านเข้าหูของทุกคน “คร่อก…!”


เมื่อฟังดูแล้วคล้ายกับเสียงกรน


เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวสำนักที่เดิมทีไฟแห่งความโกรธได้สุมแน่นเต็มอกอยู่แล้ว เขาตะโกนออกมาทันที “ใครกันที่มันกล้าหลับนอน? บุตรของข้ากำลังถูกทดสอบโดยทัณฑ์สวรรค์ แต่มันกลับมีอารมณ์ที่จะนอนหลับงั้นหรือ? เบื่อชีวิตแล้วใช่หรือไม่?”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ดวงตาของเขาที่ลุกเป็นไฟมองสำรวจไปทั่วพื้นที่เพื่อค้นหาต้นเสียง แต่แล้วไม่ว่าเขาจะค้นหาเท่าใดก็ไม่อาจพบเจอ หลังจากนั้นเสียงก็ดังขึ้นมากกว่าเดิมจากครั้งแรก


จ้าวสำนักรู้สึกว่ากำลังถูกท้าทาย! เขาโกรธจัดจนระเบิดออกมาทันทีและต้องการค้นหาเสียงเหล่านั้นให้ได้!


ในขณะนั้น ภรรยาจ้าวสำนักได้จับแขนเขาและส่งสายตาแห่งความประหลาดใจ นางกล่าวออกมาว่า “ดูเหมือนว่าเสียงกรนจะมาจากตรงนั้น!”


“หืม?” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันที สถานที่ที่ภรรยาของเขาชี้คือที่ที่เจ้าอ้วนอยู่ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์ เสียงนั้นเล็ดลอดออกมาจากท้องฟ้าที่กำลังคำรามอยู่


หงหยิงรู้สึกประหลาดใจได้แต่อุทานออกมาว่า “พี่ชายอ้วนกำลังงีบหลับงั้นหรือ!”


“เป็นไปได้งั้นหรือ?” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเบิกโพลงพร้อมกล่าวออกมาอย่างตกใจ “เด็กน้อยผู้นี้สามารถที่จะหลับนอนใต้พลังของทัณฑ์สวรรค์ เรื่องเช่นนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?”


แม้แต่นักบวชฮัวอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านข้างยังหมดคำพูด เขาลูบศีรษะของตนเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรพร้อมกล่าวออกมาอย่างโง่งม “เจ้าไขมันบัดซบนี่นับว่ามีความกล้าหาญยิ่งนัก นับตั้งแต่ที่จักรวาลนี้ถูกสร้างขึ้นมา เขาคือคนแรกที่กล้านอนหลับภายใต้พลังแห่งทัณฑ์สวรรค์!”


ภรรยาจ้าวสำนักหันมาทางฉุ่ยจิ้งอีกครั้งพร้อมกล่าวว่า “เด็กน้อย เจ้า เจ้าพอจะรู้ไหมว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในตอนนี้?”


“ข้าไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่…” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ซ่งจะไม่ได้เป็นอะไรมากและเขากำลังผ่อนคลายอยู่!”


“จริงหรือ?” ภรรยาจ้าวสำนักแสดงท่าทีตกใจในขณะที่กล่าวต่อ “ไม่ว่าเขาจะมีความมั่นใจมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่สมควรที่จะนอนหลับไม่ใช่หรือ?”


“เรื่องนี้ยากคาดเดา!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ซ่งจะใช้เวลาอยู่กับทัณฑ์สวรรค์ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง เราต้องรอก่อนสักครู่จึงจะพบกับคำตอบ!”


“อืม!” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาพยักหน้าและเฝ้ารอกันต่อไป


ในขณะนั้นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งของสำนักเสวียนเทียนสังเกตเห็นความวุ่นวายที่ปรากฏขึ้นในสถานที่แห่งนี้ ทั้งหมดพากันบินมาดู แต่จ้าวสำนักได้สั่งให้ทุกคนกลับไปเพราะไม่ต้องการให้ใครเข้ามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย


นอกเหนือจากการเก็บความลับของเจ้าอ้วนไว้ ยังเป็นการรักษาความปลอดภัยให้แก่ศิษย์เหล่านั้นอีกด้วย เมื่อเวลาผ่านไป หากมีผู้เข้าร่วมในพื้นที่มากขึ้นพลังของทัณฑ์สวรรค์จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เกลียวของสายฟ้ามีความหนาแน่นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งรัศมีของการระเบิดยังเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ


ถ้าหากมีผู้ฝึกตนเข้ามาในพื้นที่นี้โดยบังเอิญ ไม่เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นจะถูกสังหาร แต่ว่าเจ้าอ้วนยังต้องพบเจอกับพลังที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย เช่นนี้จ้าวสำนักจึงสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามาในพื้นที่นี้เด็ดขาด


ท้ายที่สุดดูเหมือนว่าทัณฑ์สวรรค์จะลดระดับความรุนแรงลงหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ซึ่งพลังที่หายไปนั้นมากกว่าสามในสี่ แต่ทว่ามันไม่ได้หยุดลงในทันที มันยังคงรวบรวมพลังก่อตัวเป็นลูกบอลสายฟ้า นั่นก็คือทัณฑ์สายฟ้าแห่งธาตุทั้งห้า!


ขณะที่ลูกบอลสายฟ้าพร้อมสำหรับการโจมตี มันผ่าลงมารวดเร็วดั่งเช่นอุกกาบาต เกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เกิดการปะทะอย่างรุนแรงและส่งเสียงดังไกลหลายพันลี้


หลังจากการปะทะ ท้องฟ้ากลับมาสดใส ทัณฑ์สวรรค์หายไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งจบลงแล้ว!


เมื่อเห็นว่าทัณฑ์สวรรค์จากไปแล้ว จ้าวสำนักและภรรยาเคลื่อนไหวทันที พวกเขาโบกมือเพื่อปัดฝุ่นทั้งหมดออกจากพื้นที่ จากนั้นพาหงหยิงและฉุ่ยจิ้งเข้าสู่พื้นที่ที่เจ้าอ้วนอยู่และได้พบกับฉากที่น่าตกใจ!


บนพื้นดินเกิดหลุมขนาดใหญ่ลึกหลายร้อยฟุต เต็มไปด้วยคราบเลือดและมีลาวาหยดอยู่บางพื้นที่ มีควันพุ่งออกมาจากทุกหนทุกแห่ง อุณหภูมิของมันมากพอที่จะต้มไข่ได้


อย่างไรก็ตามภายใต้สภาพแวดล้อมที่น่ากลัวเช่นนี้ มีมนุษย์ผู้หนึ่งนอนอยู่ตรงกลางหลุม ร่างกายของเขาสูงใหญ่และแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าเขาคือจุดศูนย์กลางของการเผาไหม้นี้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาเดินเข้ามาในพื้นที่พร้อมกับได้กลิ่นเนื้อที่ถูกย่างสด บุคคลที่นอนอยู่ตรงนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเจ้าอ้วน!


บทที่ 167: กำไรจากการทดสอบ


“พี่ชายอ้วน!” ในขณะที่หงหยิงมองเห็นเขา นางรีบวิ่งเข้าไปเพื่อตรวจสอบทันที


แต่ก่อนที่หงหยิงจะมีโอกาสได้สัมผัสร่างกายของเจ้าอ้วน ฉุ่ยจิ้งตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “อย่าสัมผัสร่างกายเขา!”


หงหยิงไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี จากนั้นนางถามออกมาอย่างงุนงง “ข้ารู้สึกถึงปราณจิตวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของพี่ชายอ้วน เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ตายและต้องได้รับการรักษา ถูกต้องหรือไม่?”


“ข้ารู้ว่าเขายังไม่ตาย แต่ว่าเจ้ายังไม่อาจสัมผัสร่างกายเขาได้ในตอนนี้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าไม่รู้สึกปราณจิตวิญญาณที่กำลังหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่งงั้นหรือ? ถ้าหากเจ้าสัมผัสเขาในตอนนี้ การฝึกฝนของเขาจะเปลี่ยนแปลงและอาจถูกทำลาย!”


เมื่อหงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางรีบใช้สัมผัสวิญญาณตรวจสอบเขาทันทีและพบว่าเป็นดังที่ว่า นางจึงร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง “สวรรค์! แล้วเช่นนี้พี่ชายอ้วนจะสามารถจัดการกับปราณจิตวิญญาณบ้าคลั่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?”


ในขณะนั้น แม้แต่นักบวชฮัวอวิ๋น จ้าวสำนัก และภรรยายังไม่อาจเก็บใบหน้าแห่งความกังวลไว้ได้


นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ “แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่อาจต้านทานสายฟ้านี้ได้ และแม้แต่อาวุโสบางคนยังต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างเพื่อต่อสู้กับมัน แต่ว่าเจ้าอ้วนบัดซบนี้กลับทำได้ทั้งที่อยู่ระดับปฐมภูมิ อีกทั้งยังใช้เพียงร่างกายของตนเองเท่านั้นหรือ? สวรรค์! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”


ในขณะนั้นจ้าวสำนักซึ่งไม่มีอารมณ์ที่จะโต้เถียงกับนักบวชฮัวอวิ๋นจึงกล่าวออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น “มันเป็นเรื่องที่ข้าก็ไม่อาจคาดคิดเช่นกัน มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว!”


“ฉุ่ยจิ้งเจ้ารู้หรือไม่?” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมา


ฉุ่ยจิ้งพยักหน้าพร้อมกล่าวออกมาอย่างสงบ “ถ้าหากข้าคิดไม่ผิด ศิษย์พี่ซ่งกำลังใช้ปราณจิตวิญญาณที่ได้รับจากการโจมตีของสายฟ้าเพื่อรักษาตนเอง และใช้ปราณจิตวิญญาณในร่างกายของตนเองเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับ! เขากำลังสร้างการโคจรพลังเพื่อปกป้องชีวิตตนเอง”


“มันเป็นไปได้งั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยความตกใจ “ใครกันที่สามารถดูดซับพลังงานจากทัณฑ์สวรรค์ได้?”


“แน่นอนว่าสามารถทำได้ แต่ว่าบุคคลผู้นั้นต้องมีความสามารถที่จะทำมัน!” ฉุ่ยจิ้งกล่าว “เคล็ดวิชาการฝึกตนของศิษย์พี่ซ่งนั้นดูเหมือนจะประกอบไปด้วยธาตุทั้งห้า และมีความสามารถที่จะดูดซับพลังจากทั้งห้าธาตุ ทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ประกอบไปด้วยธาตุทั้งห้าซึ่งมันเหมาะกับเขา!”


“แต่ปัญหามีอยู่ว่ามันคือทัณฑ์สวรรค์ พลังของมันมีมากพอที่ทำลายทุกสิ่งอย่าง วิธีการใดกันที่จะดูดซึมพลังเหล่านี้ได้? ในขณะที่มันเข้าสู่ร่างกาย มันทำลายทุกอย่างแม้กระทั่งเส้นลมปราณและเผาผลาญร่างกายของบุคคลผู้นั้น!”


“หากเป็นคนทั่วไปอาจเป็นเช่นนั้น แต่ประเด็นก็คือความแข็งแกร่งของร่างกายศิษย์พี่ซ่งนั้นแข็งแกร่งมากกว่าที่สามารถมองเห็นได้ อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน นอกจากนี้เขายังกินผลไม้วิญญาณสามชิ้นเพื่อขยายเส้นลมปราณ ดังนั้นเขาจึงสามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณจากทัณฑ์สวรรค์ได้” ฉุ่ยจิ้งกล่าวเสริม “แต่ว่าพลังของทัณฑ์เมฆานั้นน่าเกรงขามอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจึงไม่อาจดูดซับมันได้ทั้งหมดและปล่อยให้ส่วนที่เหลือโจมตีร่างกายของตนเอง! แต่ขอบคุณสวรรค์ที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี ถ้าหากมันผ่าลงมาอีกครั้ง ปราณจิตวิญญาณในร่างกายของเขาคงไม่อาจรับได้ไหวอีกต่อไป สิ่งเดียวที่เขาต้องการในตอนนี้คือเวลา!”


“เจ้าหมายความว่าให้เขานอนอยู่ตรงนี้งั้นหรือ?” จ้าวสำนักถามออกมา


“ใช่แล้ว อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายเขา ส่งคนจากสำนักเพื่อปกป้องเขาไว้ก็เพียงพอ!” ในขณะที่ฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้น นางก้มลงมองเจ้าอ้วนและกล่าวออกมาว่า “อาจารย์ลุงและอาจารย์ป้า ในตอนที่ข้ามองเห็นว่าศิษย์พี่จะถูกทดสอบโดยทัณฑ์สวรรค์ ข้าได้รู้แจ้งถึงบางสิ่งในหัวใจ ข้าเกรงกว่าโอกาสที่ข้าจะประสบความสำเร็จที่อยู่เบื้องหน้าของข้าจะหดหาย ข้าขอตัวเพื่อเก็บตัวฝึกฝนและจะเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ หวังว่าอาวุโสจะเข้าใจข้า!”


“ไปเถิด!” จ้าวสำนักโบกมืออย่างไร้กังวลก่อนที่จะหันไปกล่าวกับหงหยิง “หยิงเอ๋อเจ้าก็ควรจะไปเช่นกัน ข้าเชื่อว่าดวงตาของเจ้าไม่แพ้ผู้ใด ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเข้าสู่การฝึกฝนเช่นกัน ข้าพูดถูกหรือไม่?”


“เอ่อ” หงหยิงส่ายศีรษะและกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ถ้าหากข้าจากไป แล้วใครกันจะดูแลพี่ชายอ้วน?”


“เราทั้งสองจะดูแลเขาด้วยตนเอง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แม้ว่าเราจะเข้าใจหลายสิ่งอย่างในเหตุการณ์นี้ แต่ว่าเราสามารถหาที่เงียบสงบเพื่อจัดการทุกอย่างได้!”


“ข้าก็จะอยู่ที่นี่!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมหาสถานที่เพื่อเข้าสู่สมาธิทันที


เมื่อจ้าวสำนักเห็นดังนั้น เขากล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “สิ่งใดกันที่ทำให้เจ้ากล้าใช้ประโยชน์จากบุตรของข้า!”


นักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาอดทนที่จะไม่กล่าวสิ่งใดต่อและเข้าสู่สมาธิทันที ประการแรกที่ทุกคนรู้ดีคือทัณฑ์สวรรค์เป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดในโลกใบนี้ มันยากมากที่คนธรรมดาจะได้เห็นมัน บุคคลที่ได้รับการทดสอบจะค้นหาสถานที่เงียบสงบเพื่อไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ เช่นนี้จะไม่มีพยานรู้เห็นการทดสอบใดทั้งสิ้น


ในขณะนั้นนักบวชฮัวอวิ๋น จ้าวสำนักและภรรยาต่างได้เห็นความซับซ้อนของกฎแห่งสวรรค์ พวกเขาทั้งหมดหลับตาลงและกล่าวขอบคุณเจ้าอ้วนในใจ ไม่ว่าจะเป็นทัณฑ์เมฆาหรือสายฟ้าที่ผ่าลงมา ทุกอย่างเกิดมุมมองใหม่ อำนาจดังกล่าวทำให้พวกเขาเข้าใจกฎแห่งสวรรค์มากขึ้น และมันเป็นประโยชน์กับพวกเขามากในการฝึกฝนตนเอง


อาการตีบตันเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนหวาดกลัวที่สุด สิ่งใดที่สามารถช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นสภาวะเช่นนี้ได้นับว่าดีอย่างถึงที่สุด ดังนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นจึงยอมให้จ้าวสำนักกล่าวถากถางและไม่ยอมออกจากพื้นที่แห่งนี้ สำหรับบุคคลที่ได้เฝ้าดูทัณฑ์สวรรค์ทุกคนต่างเข้าใจกฎแห่งสวรรค์มากขึ้นจนเกิดประโยชน์กับตนเอง


เมื่อเห็นว่าอาวุโสทั้งสามไม่ได้ออกจากพื้นที่แห่งนี้และตัดสินใจเข้าสู่ห้วงสมาธิ ฉุ่ยจิ้งและหงหยิงดวงตาสว่างเป็นประกาย จากนั้นพวกนางมองหน้ากันและตัดสินใจที่จะเข้าสู่สมาธิที่นี่เช่นกัน


สองถึงสามวันถัดมา มีปราณจิตวิญญาณสองคลื่นพลังพุ่งออก ฉุ่ยจิ้งและหงหยิงเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ หลังจากที่พวกนางประสบความสำเร็จ ทั้งสองคนยังไม่ได้รีบร้อนเฉลิมฉลองแต่ยังคงอยู่ในสมาธิต่อไป ประการแรกคือทำให้เกิดเสถียรภาพของพลัง และถัดมาคือการปกป้องเจ้าอ้วน


หลังจากนั้นสามวันเจ้าอ้วนรู้สึกตัวและเริ่มลุกขึ้นอย่างช้า ๆ เขามองร่างกายของตนเองจึงเห็นว่าผิวหนังที่เป็นสีดำหลุดร่อนออกไปทั้งหมดคงเหลือไว้เพียงสภาพร่างกายที่สวยงาม


หลังจากที่ได้ยินการเคลื่อนไหว ทุกคนต่างลืมตาขึ้นทันที บุรุษผู้หนึ่งกำลังเปลือยเปล่าต่อหน้าพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมังกรที่อยู่กลางลำตัวของเขามันตระหง่านชูชันชี้ขึ้นท้องฟ้าราวกับว่าต้องการทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศออกไปเสียให้ได้


“!” หงหยิงและฉุ่ยจิ้งกรีดร้องทันทีก่อนที่จะวิ่งออกไป แม้ว่าภรรยาจ้าวสำนักจะไม่เปล่งเสียงออกมา แต่นางก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน คนที่เหลืออยู่ตรงนี้มีเพียงนักบวชฮัวอวิ๋น จ้าวสำนัก และเจ้าอ้วน


“แค่ก ๆ” เจ้าอ้วนรีบใส่เสื้อผ้าทันทีพร้อมกล่าวออกมาอย่างอับอาย “ขออภัย ขออภัยจริง ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนว่าเจ้าตั้งใจทำมัน ข้ารู้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างเยาะเย้ยพร้อมกับบินออกไปทันที


อย่างน้อยจ้าวสำนักก็ยังเข้าใจเขาและไม่ได้ตำหนิเจ้าอ้วนแต่อย่างใด กลับกันเขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “อย่าไปสนใจตาเฒ่านั่นเลย มันกล้าเยาะเย้ยเจ้าหลังจากที่ใช้ประโยชน์จากเจ้าเสร็จสิ้น ไม่ได้มียางอายแม้แต่น้อย!”


“ใช้ประโยชน์จากข้า?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างงุนงง “ทำไมเขาจึงได้รับประโยชน์จากข้าล่ะ?”


“ฮ่าฮ่า ข้าคิดว่าเจ้าควรรู้นะ ทัณฑ์สวรรค์เป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดในโลก มันเต็มไปด้วยกฎแห่งสวรรค์ที่รอให้ผู้ฝึกตนค้นพบ หงหยิงและฉุ่ยจิ้งก้าวเข้าสู่ระดับปฐมภูมิเพราะการทดสอบของเจ้า ข้าและภรรยา รวมทั้งฮัวอวิ๋นต่างได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นกัน ทุกอย่างต้องขอบคุณเจ้าเพียงผู้เดียว!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“โอ้ เป็นเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม “พวกท่านได้รับประโยชน์แต่ข้าเพียงแค่โชคร้าย ร่างกายของข้าแทบจะระเบิดจากการถูกฟ้าผ่า!”


ในขณะที่จ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างสับสนและไม่เข้าใจ “ข้าขอถามหน่อยเถิด อ้วนน้อย เจ้ายังกล้าพูดว่ามันอันตรายอีกงั้นหรือ? งั้นข้าขอถามเจ้าตรง ๆ เหตุใดเจ้าจึงไม่ใช้สมบัติวิเศษหรืออุปกรณ์ป้องกันที่จะช่วยรับการโจมตีจากทัณฑ์สวรรค์ เจ้าเบื่อที่จะใช้ชีวิตนี้ต่อไปแล้วงั้นหรือ?”


“เรื่องนั้น…” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาพูดไม่ออกทันที แม้ว่าเขาจะต้องตายก็ไม่อาจเปิดเผยเรื่องมิติลึกลับได้ ถ้าหากเขานำมันออกมาความลับของเขาจะถูกเปิดเผยออกไปอย่างแน่นอน


ดังนั้น เจ้าอ้วนได้แต่กุมหน้าผากของตนเองไว้ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการใช้สมบัติวิเศษ ข้าเพียงแค่ลืมมันไว้ที่ลานเท่านั้น! ใช่แล้ว ข้าลืมนำมันมาด้วย!”


“ว่าอะไร?” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาแทบจะเป็นลมทันที เขาไม่รู้ว่าในตอนนี้จะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี “นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้าวิ่งพล่านทั่วโลกใบนี้โดยไม่พึ่งพาสมบัติหรืออุปกรณ์ใดงั้นหรือ?”


“ในขณะที่ข้าออกจากการเก็บตัวฝึกฝน ข้าได้รับจดหมายจากท่านแทบจะทันที เพราะข้ารีบมาพบท่านตามคำสั่งรวมกับเรื่องที่สำนักเสวียนเทียนเป็นสถานที่ซึ่งปลอดภัย ข้าจึงไม่อาจคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ใครจะไปคาดคิดว่าข้าจะต้องพบเจอกับการทดสอบของทัณฑ์สวรรค์?”


“ดีมาก ในตอนนี้เจ้าโยนความผิดให้กับข้าแล้ว ประเสริฐยิ่งนักเด็กน้อย!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างขื่นขมและไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ จากนั้นเขาถามถึงอาการของเจ้าอ้วน “เด็กน้อยในตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”


“ข้ารู้สึกสดชื่นมาก ปราณจิตวิญญาณของข้ากลับคืนมาเต็มที่แล้ว และข้าได้ปรับปรุงบางอย่างสำเร็จ!” ในขณะนั้นเจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับยื่นมือให้จ้าวสำนักดู “สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งพสุธา!”


ตามเสียงของเขา ปรากฏสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งพสุธาบนมือของเขา ภายใต้การควบคุมที่ละเอียดอ่อนของเจ้าอ้วน ไม่นานมันถูกเปลี่ยนเป็นสีทอง ชัดเจนว่ามันคือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งพสุธาของจริง!


หลังจากที่เขาเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ เจ้าอ้วนสามารถปรับแต่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ทุกที่ตลอดเวลา แม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างกระทบต่อการสร้างสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จะไม่มีผู้ใดวิ่งหนีสายฟ้าของเขาได้อีกต่อไป!


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนสามารถสร้างสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งพสุธาได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของจ้าวสำนักสว่างขึ้นมาพร้อมหัวเราะอย่างร่าเริง “เยี่ยมมาก อ้วนน้อย เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิที่เป็นเพียงมือใหม่อีกแล้ว แม้ว่าในตอนนี้เจ้าจะยังไม่ได้เข้าสู่ระดับปฐมภูมิขั้นกลาง แต่ความสามารถของเจ้าเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายแล้ว! ถ้าหากเจ้าฝึกฝนต่อไปอีกสักหน่อย เจ้าจะเข้าสู่ระดับปฐมภูมิขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าก็จะได้กำไรจากการทดสอบครั้งนี้เช่นกัน!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม