Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 140-160

 บทที่ 140: ทดสอบภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า


ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น ดาบเทวะไร้ผู้ต้านเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋ามิติ เขาตั้งใจจะหยิบเอายาอายุวัฒนะออกมาเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ แต่เขากลับพบเพียงความว่างเปล่า เขาค้นหามันอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “กระเป๋ามิติหายไปไหน? แล้วผลไม้วิญญาณของข้าล่ะ?”


ท้ายที่สุด เขาไม่สามารถหากระเป๋ามิติได้ แต่เขาพบรอยเท้าของเจ้าอ้วนที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แน่นอนว่าเขาไม่โง่และรู้ตัวทันทีว่าโดนปล้น


เมื่อเห็นดังนั้น ดาบเทวะไร้ผู้ต้านพลันแตกตื่น จากนั้นเขาโกรธจัด ความจริงที่เขายังมีชีวิตอยู่คืออีกฝ่ายไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนของสำนักปีศาจ แต่ทว่าเวลาที่เขาปรากฏตัวมันเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป ตอนที่เขากำลังถูกคำสาปเล่นงาน มีคนปรากฏตัวขึ้นแถวนี้ หมายความว่าอีกฝ่ายอาจจะหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งตั้งแต่ต้น และยังจะต้องเป็นคนที่ส่งยู่เฟิงเข้าไปในกระเพาะของอสรพิษ เป็นเพราะมันบังเอิญเกินไป บนโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นแน่นอน


อีกฝ่ายช่างน่ารังเกียจอย่างแท้จริง คนที่ทำให้เขาต้องพบเจอกับคำสาป อีกทั้งยังขโมยกระเป๋ามิติและผลไม้วิญญาณ ดาบเทวะไร้ผู้ต้านโกรธจัดจนเกือบจะอกแตกตายอยู่ตรงนี้


“สารเลว อย่าให้ข้าจับตัวเจ้าได้! เพราะข้าจะฉีกเจ้าเป็นพันหมื่นชิ้น!” ดาบเทวะไร้ผู้ต้านคำรามออกมาในขณะที่กำลังสะกดรอยตามรอยเท้านั้นไป เพื่อที่จะหาตัวการเลวทรามเช่นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจตามได้ทันเพราะความเร็วของเจ้าอ้วนที่ขี่หลังของพยัคฆ์ปีกแหลมนั้นรวดเร็วกว่าอย่างแน่นอน ดังนั้น เขาหายออกไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่สามารถค้นหาได้โดยง่ายภายในหุบเขา


ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีก เจ้าอ้วนสามารถกำจัดภาระที่เกิดขึ้นเสร็จสิ้นแล้ว อีกทั้งเขาไม่รู้ว่าดาบเทวะไร้ผู้ต้านซึ่งเคยขัดแย้งกับเขาจะทำให้ได้รับผลไม้วิญญาณติดมือมาด้วย แน่นอนว่าเขารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวคือสมบัติวิเศษของดาบเทวะไร้ผู้ต้านนั้นอยู่ในมิติลึกลับ เขากับสมบัติเชื่อมโยงกันผ่านจิตวิญญาณ แต่ในเมื่อไม่ต้องไปพัวพันกับคำสาป สิ่งใดล้วนกลายเป็นดี และตอนนี้เจ้าอ้วนก็ได้รับสิ่งตอบแทนมากพอแล้ว


หลังจากที่หนีจากดาบเทวะไร้ผู้ต้านมาได้อย่างง่ายดาย เจ้าอ้วนเห็นว่าท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นสีเข้ม เขาพบกับถ้ำตรงทางแยก จากนั้นเขาเรียกหุ่นลมทองแดงออกมาเพื่อป้องกันตนเอง พร้อมวางระฆังทองแดงครอบตนเองไว้ จากนั้นเขาจึงเข้าไปในมิติลึกลับของตนเอง


ในเวลานี้ เจ้าอ้วนไม่ได้หยุดอยู่ตรงนี้เพื่อฝึกตน แต่มันคือการพิชิตภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าที่เขาเพิ่งได้รับมา


หลังจากที่เขาเดินเข้ามาภายในมิติ เจ้าอ้วนหยิบภาพวาดออกมาอย่างตื่นเต้น เขาลูบไล้มันอยู่สองถึงสามครั้ง จากนั้นเขาจึงส่งปราณจิตวิญญาณของตนเองลงไปในภาพ ในขณะนั้นเอง หญิงงามทั้งเก้าปรากฏกายออกมายืนอยู่ข้างกายเจ้าอ้วน


ร่างกายของพวกนางทั้งหมดถูกควบคุมโดยเคล็ดวิชาปีศาจเทวะ และแน่นอนว่าพวกนางหาได้ใช่หุ่นเชิดที่ไร้ความคิด ในขณะที่พวกนางออกมา พวกนางทั้งหมดรู้ทันทีว่ามีบางสิ่งผิดปกติ อย่างไรแล้วพวกนางไม่ได้กระทำสิ่งใดที่ร้ายแรง เพียงแต่สังเกตสภาพแวดล้อมอย่างรอบคอบ ผู้ฝึกตนประเภทอัคคีเดินไปข้างหน้าพร้อมกับถามว่า “สหายน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราอยู่ที่ไหน? ทำไมข้ารู้สึกว่ามันแปลก ๆ?”


“ฮี่ฮี่!” เจ้าอ้วนยิ้มออกพร้อมกับกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ที่นี่คือที่ไหนไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือข้าเป็นผู้ครอบครองภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าและเป็นเจ้าของคนปัจจุบันของพวกท่าน!”


“ฮ่าฮ่า!”  ในขณะที่หญิงงามทั้งเก้าได้ยินเช่นนั้น พวกนางทั้งหมดร่วมกันหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน สิ่งนี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า


หลังจากที่พวกนางทั้งหมดหัวเราะจนเหนื่อยแล้ว หนึ่งในพวกนางกล่าวออกมาว่า “สหายน้อย เจ้าช่างเป็นคนอารมณ์ขันเสียจริง เจ้าคิดว่าจะเป็นเจ้าของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้เพียงแค่เจ้าถือมันอยู่งั้นหรือ?”


“ถ้าหากมันง่ายเช่นนั้น สมบัติวิญญาณก็คงจะดูไร้ค่าราวเศษขยะ!”


“เหอะ ถ้าเรายอมรับเจ้าของใหม่อย่างง่ายดาย เราคงไม่สามารถเป็นอิสระมาได้นานนับพันปี!”


“สหายน้อยผู้โง่งม คิดอยากเป็นเจ้านายของพวกเราทั้งที่ขนของเจ้ายังไม่ขึ้นงั้นหรือ!”


ฝูงสุภาพสตรีทั้งเก้าเหยียดหยามเจ้าอ้วนจนใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอึดอัด


เมื่อเห็นว่าพวกนางไม่มีท่าทีที่จะหยุดพูดจาไร้สาระ และไม่คิดที่จะยับยั้งคำพูดเหล่านั้น เจ้าอ้วนทนต่อไปอีกไม่ไหวพร้อมกับคำรามออกมา “หยุด! หุบปาก!”


หลังจากที่เจ้าอ้วนคำรามออกมา สตรีทั้งเก้าหุบปากแน่น แต่พวกนางทั้งหมดจ้องมาที่เจ้าอ้วนเป็นตาเดียวกัน สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ทำให้เจ้าอ้วนสั่นกลัวโดยทันที


เขาไม่ได้ต้องการให้เรื่องราวจบลงด้วยการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “สิ่งที่ข้าต้องการจะถามก็คือ ข้าต้องทำอะไรจึงจะได้เป็นเจ้านายของพวกท่าน!”


“แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องง่ายสำหรับเราที่จะยอมรับเจ้า มีทั้งทางที่ชอบธรรมและชั่วร้าย ตราบใดที่เจ้าสอบผ่านหนึ่งข้อของเรา เจ้าจะได้เป็นเจ้านายแห่งเรา!” ผู้ฝึกฝนประเภทวารีตอบกลับอย่างนุ่มนวล แต่สังเกตุได้ชัดว่าไม่มีเจตนาที่ดี


“ความจริงมีเพียงสองวิธีงั้นหรือ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินดังนั้น เขารีบขอคำอธิบายและถามออกไป “พวกท่านสามารถอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่?”


“แน่นอน!” สุภาพสตรีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “น้องชายอยากได้ยินวิธีที่ชอบธรรมหรือหนทางชั่วร้ายล่ะ?”


“ข้าเกิดในสำนักเสวียนเทียนและเป็นสำนักที่เต็มไปด้วยความชอบธรรม แน่นอนว่าข้าจะเลือกเส้นทางแห่งความชอบธรรม!” เจ้าอ้วนรีบกล่าว


“เส้นทางแห่งความชอบธรรมเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด!” ผู้ฝึกตนประเภทโลหะตอบกลับพร้อมอธิบาย “ถ้าหากเจ้าเลือกเส้นทางแห่งความชอบธรรม และพวกเราทั้งหมดเป็นเหล่าปีศาจ ดังนั้นเราจะใช้ร่างกายที่ไร้รูปร่างของเราภายใต้เคล็ดวิชาปีศาจเทวะ ตราบใดที่เจ้าสามารถผ่านพ้นการเต้นรำยั่วยวนของพวกเราได้ เจ้าจะสอบผ่าน!”


เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางหันหลังกลับและหายตัวไป ทิ้งไว้เพียงเงาที่คลุมเครือ จากนั้นเหล่าหญิงงามปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเป็นเงาอันเลือนราง อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าของพวกนางเผยให้เห็นสัดส่วนมากเกินไป มีเพียงผ้าผืนเล็กบางที่พันอยู่รอบตัวเท่านั้น รูปร่างหน้าตาของนางเย้ายวนและส่งเสียงครวญคราง เสียงที่อ่อนนุ่มดังกล่าวทำให้ขาของเจ้าอ้วนเริ่มสั่นไหว เขารู้สึกถึงความร้อนค่อย ๆ ไหลผ่านช่องท้อง แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ได้ทำเรื่องงี่เง่าออกมา เขาพยายามผลักดันจิตใจของตนเองให้กลับเข้าที่เข้าทางอย่างรวดเร็ว


เสียงครางของเหล่าแม่มดทั้งหลายเกือบทำให้เจ้าอ้วนเสียสติ สุภาพสตรีทั้งเก้าปลดปล่อยพลังของปีศาจเทวะอย่างสุดกำลัง จากนั้นเจ้าอ้วนจะตกเป็นเหยื่อถ้าหากเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้! ไม่ต้องกล่าวถึงเขาเลย แม้ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังไม่อาจต้านทานการเต้นรำของปีศาจเทวะได้ แน่นอนว่าพวกเขาล้วนแต่สูญเสียการควบคุมทั้งสิ้นและจบลงด้วยการกลายเป็นคนวิกลจริต


เช่นตอนนี้ที่เจ้าอ้วนกำลังเผชิญอยู่ เขารู้ตัวทันทีว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงรีบถามออกไปทันที “หยุด หยุดก่อน แม้ว่าข้าจะมาจากสำนักแห่งความชอบธรรม แต่ความชั่วช้าภายในจิตใจของข้าเยอะมาก ดังนั้น ถ้าหากเส้นทางแห่งปีศาจอาจง่ายกว่า ข้าก็อยากจะลองดู!”


ถึงแม้ว่าเจ้าอ้วนจะเป็นคนที่มีไหวพริบ แต่ในตอนนี้เขาถูกหลอกลวงเสียแล้ว เมื่อเห็นเช่นนี้สุภาพสตรีทั้งเก้าได้หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง


หนึ่งในนักบวชตอบกลับ “ฮ่าฮ่า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคนอย่างเจ้าอยู่ในสำนักแห่งความชอบธรรม! เรื่องเช่นนี้มันสนุกเกินไปแล้ว!”


“อย่างที่เห็น การติดป้ายประกาศว่าเป็นคนชอบธรรมหรือปีศาจนั้นเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น เหล่าคนน่ารังเกียจเช่นนี้สามารถพบเจอได้ทุกที่!” นักบวชคนอื่นกล่าวเสริมอย่างสนุกสนาน


“ก็ได้ ตกลง หยุดเรื่องไร้สาระเหล่านี้เถิด!” ผู้ฝึกตนประเภทอัคคีกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ “ถ้าหากน้องชายกล่าวเช่นนั้น เราก็พร้อมจะให้โอกาส! แน่นอนว่ามันง่ายกว่ามาก เส้นทางอันชั่วร้ายย่อมง่ายกว่าเส้นทางแห่งความชอบธรรม และข้าเชื่อว่าเจ้าจะชอบมัน!”


“จริงหรือ?” ใบหน้าของเจ้าอ้วนสดใสขึ้นมาพร้อมถามกลับทันที “แล้วมันคือสิ่งใดล่ะ?”


“ฮี่ฮี่” นักบวชทั้งเก้าหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น


เจ้าอ้วนตระหนักได้ทันทีว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในหลุมพราง เป็นไปตามที่คาดไว้ ผู้ฝึกตนหญิงที่งดงามที่สุดเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกล่าวว่า “แน่นอนว่าเจ้าจะหลงรักเส้นทางอันร้าย! ตราบใดที่เจ้าสามารถพิชิตร่างกายของพวกเราได้และทำให้พึงพอใจ พวกเราทั้งหมดจะยอมรับเจ้าเป็นนายคนต่อไป!”


“เข้ามาเลยหนุ่มน้อย เรื่องเช่นนี้พวกเราเว้นว่างมาหลายพันปีแล้ว!” นักบวชคนหนึ่งกล่าวออกมา


เจ้าอ้วนตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริง แม้จะมีความงดงามมาเผยอยู่ตรงหน้าของเขา เจ้าอ้วนก็ยังไม่กล้าที่จะประมาท สิ่งนี้ทั้งหมดมาจากดินแดนของปีศาจ พวกนางทั้งหมดมีความสุขจากการหยอกล้อผู้อื่น เหตุการณ์เหล่านี้ที่พวกนางสร้างขึ้นอาจจะเป็นกับดัก ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงไม่ทำตัววู่วาม เขาถามออกไปอย่างสุภาพ “เหล่าพี่สาวทั้งหลาย พวกท่านกำลังแฝงลูกเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”


“ฮี่ฮี่” เมื่อทั้งหมดได้ยินเช่นนั้น พวกนางหัวเราะอย่างร่าเริง เจ้าอ้วนรู้ตัวทันทีว่าผิดท่าแล้ว


นักบวชผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างภูมิใจ “พวกเราจะมีลูกเล่นอะไรกับเจ้า? นี่เป็นเรื่องปกติของวิชาการเก็บตัวฝึกฝนแห่งหญิงงามทั้งเก้าเท่านั้น!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาแทบร้องออกด้วยความตกใจขณะถอยห่างออกไปหนึ่งฟุตราวกับเจอภูตผีตัวจริงเสียงจริง


ในความเป็นจริง เจ้าอ้วนหวาดกลัวพวกนางเหล่านี้ยิ่งกว่าผี เคล็ดวิชาการเก็บตัวฝึกฝนของหญิงงามทั้งเก้าคือสิ่งใดกัน? มันคือการเก็บตัวฝึกฝนของสำนักแห่งความชั่วร้าย มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ‘การเก็บตัวฝึกฝนกับหญิงงามทั้งเก้าคือต้องตายตกไประหว่างการฝึก’


ความหมายก็คือ ตราบใดที่ยอมหลับนอนกับบุคคลที่มีทักษะเหล่านี้ถึงเก้าครั้ง คนผู้นั้นจะตายตกไปจากพลังที่ทับถมกัน ไม่ว่าการระดับการฝึกฝนจะสูงแค่ไหน ก็ไม่มีข้อยกเว้น แน่นอนว่าเจ้าอ้วนจะต้องต่อสู้โดยใช้ชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน


แม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่เขาก็รู้ข้อจำกัดของตนเอง แม้ร่างกายส่วนใหญ่ของเขาจะเปรียบดั่งหลอมด้วยโลหะ แต่ก็ไม่สามารถจะต้านทานสาวงามทั้งเก้าเหล่านี้ได้ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหรือแม้แต่เฟินเสินต้องตายตกไปจากการฝึกฝนกับหญิงงามทั้งเก้าเหล่านี้ และเจ้าอ้วนไม่ต้องการที่จะเป็นเหยื่อรายต่อไป


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนถอยไปเช่นนั้น สุภาพสตรีทั้งเก้าก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาอย่างดูถูก จากนั้นนักบวชผู้หนึ่งจึงกล่าวขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด “แม้ว่าร่างกายของเจ้าจะดูดีและมีกล้ามเนื้อมากมาย แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย!”


“พวกข้ามองหาความประทับใจแต่กลับไร้ประโยชน์!”


“ข้ามองเจ้าผิดไป!” 



บทที่ 141: ยอมรับการทดสอบ


ท้ายที่สุด เจ้าอ้วนทำได้แค่เถียงออกมา “แน่นอนว่าเพียงแค่คำพูดมันดูง่ายดาย แต่ข้าอยู่ในระดับเซียนเทียนเท่านั้น แล้วข้าจะรับมือกับการเก็บตัวฝึกฝนกับสาวงามทั้งเก้าได้เช่นไร? แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหรือเฟินเสินยังไม่สามารถทำได้! ในตอนนี้พวกท่านแค่กำลังสร้างความลำบากให้กับข้าเท่านั้น!”


“ไร้สาระ การที่จะครอบครองสมบัติวิญญาณจะต้องลงทุนสักหน่อย มิฉะนั้นพวกเราทั้งหมดจะแสดงความต้องการของตนเองได้อย่างไร!” นักบวชหญิงกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด


เจ้าอ้วนไร้คำจะกล่าวต่อ ความจริงคือพวกนางต้องการทดสอบเจ้าอ้วน อีกทั้งพวกนางทุกคนยังเป็นสมบัติวิญญาณขั้นเก้าอีกด้วย


ต้องเข้าใจก่อนว่าหญิงงามเหล่านี้เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับฮั่วเสิน แม้แต่ผู้ฝึกตนที่เพียรนั่งสมาธิเป็นร้อยปียังต้องยอมสยบอยู่ใต้มือของพวกนางหากประมาท เรื่องราวประหลาดสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ผู้ฝึกตนระดับสูงมักจะตายตกไปจากเหล่าสตรีพวกนี้เพราะสูญเสียเส้นทางการฝึกฝน


โดยปกติแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะครอบครองปีศาจเทวะเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าคงจะไม่อยู่อย่างไร้เจ้าของมานานนับพันปี! แม้เหล่าผู้เชี่ยวชาญในสำนักพันปีศาจ ยังไม่มีผู้ใดกล้าหาญจะท้าทายอำนาจนี้ ส่วนผู้ที่มีความกล้าหาญมักจะพ่ายแพ้และตายตกไปจากความเหนื่อยล้า


เจ้าอ้วนยังมีข้อสงสัยบางอย่าง เนื่องจากการจัดการกับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าเป็นเรื่องที่ยากเย็น แล้วยู่เฟิงได้รับการยอมรับได้อย่างไรกัน? ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้มากไปกว่าเจ้าอ้วนเลย แต่ตอนนี้เจ้าอ้วนก็ไม่สามารถจัดการกับปัญหาตรงหน้าได้ เจ้าอ้วนได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ภายในใจอย่างช่วยไม่ได้


เมื่อคิดเช่นนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ข้าขอถามได้หรือไม่ เจ้านายคนก่อนของพวกท่านทำเช่นไร เขาเป็นนายน้อยแห่งสำนักพันปีศาจและเขาผ่านการทดสอบอย่างไร?”


ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของหญิงงามทั้งเก้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นผู้ฝึกตนประเภทดาบหัวเราะก่อนที่กล่าวออกมาว่า “เด็กหนุ่มผู้นั้นเกรี้ยวกราดอย่างมาก ข้ายังไม่อยากเชื่อว่าเขาจะสามารถผ่านการทดสอบของปีศาจเทวะร่ายรำได้!”


“อะไรนะ?” เจ้าอ้วนประหลาดใจ “ยู่เฟิงเกิดในสำนักที่เดินบนเส้นทางแห่งปีศาจ แต่กลับเลือกวิธีทดสอบของความชอบธรรม? เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน? หรือว่าเขาจะเป็นขันที ถ้าไม่เช่นนั้น….” ขณะที่เขากล่าวเช่นนี้ เขาได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นเขามองไปที่หญิงงามทั้งเก้าและถามต่อ “เรื่องจริงงั้นหรือ? ข้าไม่คิดว่าเขาจะกระทำเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ใช่หรือไม่?”


หนึ่งในนักบวชเหล่านั้นยักไหล่พร้อมกล่าวอย่างสบายๆ “แน่นอน เห็นได้ชัดเจนว่าเขาจะต้องถูกตอนออกไปแล้ว!”


“ให้ตายเถอะ!” เจ้าอ้วนตะโกนพร้อมกล่าวออกมาอย่างชื่นชม “พี่ใหญ่ยู่เฟิง ข้าชื่นชมเจ้าจากใจจริง!”


“เอ๊ะ อาจจะมีบางสิ่งผิดพลาด?” หลังจากที่เขาตะโกน จากนั้นดวงตาพลันสว่างขึ้นพร้อมกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ได้ตรวจสอบเขาอย่างละเอียด แต่เขาก็เหมือนบุรุษทั่วไปที่มีความต้องการ เขาดูไม่เหมือนขันทีเลยสักนิด!”


“นั่นเป็นเพราะเขาเตรียมตัวมาก่อน เขาตัดมันออก จากนั้นเก็บไว้ที่เย็นและต่อกลับเข้าไปหลังจากที่ผ่านการทดสอบ” นักบวชอธิบาย


หญิงสาวผู้หนึ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็นพร้อมกล่าวว่า “สิ่งที่สวรรค์กำหนดมานั้นไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อทุกสิ่งได้แปรเปลี่ยนจะไม่มีวันย้อนคืนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ เห็นหรือไม่ว่ายู่เฟิงได้รับความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นเท่าใด แต่ถ้าหากเจ้ายอมจ่ายในราคาที่เราเรียกร้อง พวกเราทั้งหมดก็ยินดีจะรับเจ้าเป็นนายคนใหม่โดยไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นคนเลวร้ายเยี่ยงไร!”


“ไม่มีทาง ย่อมไม่ได้!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาส่ายหน้าอย่างรุนแรงพร้อมปฏิเสธ “ข้าเป็นบุตรชายเพียงผู้เดียว หน้าที่ของข้าคือต้องแบกสายเลือดนี้ไปให้ถึงฝันให้ได้!”


“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าจะขอบอกเจ้าตรงนี้ว่าแม้แต่เจ้าก็ไม่ใช่เจ้าของชีวิตตัวเจ้า!” หญิงสาวผู้หนึ่งกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม


“เป็นเช่นนั้น?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วแน่นทันที


ตอนนี้เจ้าอ้วนไม่ได้คิดเรื่องอื่นนอกจากคำกล่าวของแม่นางฉุ่ยจิ้ง สำหรับน้องสาวผู้นี้ เขาเคารพนางจากใจจริงหรือกล่าวว่าแทบจะบูชานางเลยก็ว่าได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงมอบภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านี้ให้กับเขา แม้ค่าใช้จ่ายของมันคือการท้าทายอำนาจของอาวุโสในสำนัก!


ถ้าเขาไม่สามารถจัดการกับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้ การกระทำของฉุ่ยจิ้งครั้งนี้จะไร้ประโยชน์ทันที ภาพวาดนี้จะกลายเป็นเพียงภาพวาดธรรมดา ถ้าหากเป็นเช่นนั้นคงจะต้องนำมันกลับไปที่สำนัก และได้รับรางวัลใหญ่จากสำนักเท่านั้น! แต่เจ้าอ้วนไม่เชื่อว่าฉุ่ยจิ้งจะกระทำเรื่องนี้โดยไร้ความหมาย ตั้งแต่ที่นางยกภาพวาดนี้ให้กับเจ้าอ้วน นางจะต้องคิดมาแล้วว่าเขาสามารถจัดการกับภาพนี้ได้ นางจึงละเลยที่จะสนใจมัน


นี่เป็นเพียงกำไรที่เจ้าอ้วนได้รับ และเขาตัดสินใจว่าจะทำมันด้วยความเชื่อใจทั้งหมดที่มีให้แก่ฉุ่ยจิ้ง เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว เจ้าอ้วนตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการทดสอบ “พี่สาว มีเพียงสองวิธีงั้นหรือที่จะสามารถจัดการกับพวกท่านได้?”


“แน่นอน! บุคคลที่สร้างพวกเราขึ้นมาเป็นผู้ตั้งกฏเหล่านี้!” นักบวชเหล่าพร้อมรอยยิ้ม


แต่สตรีนางหนึ่งกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ฮี่ฮี่ เรื่องนี้อาจจะไม่จำเป็น! กฎคือของตาย แต่คนคือของเป็น!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกายพร้อมถามว่า “หมายความว่าอย่างไร? อย่าบอกนะว่ามีหนทางให้หลีกเลี่ยงกฎ?”


“แน่นอน กฎใดบนโลกใบนี้ล้วนแตกหักได้เสมอ กฎนี้ก็เช่นกัน แต่ปัญหามีอยู่อย่างเดียวคือเจ้าไม่สามารถทำลายกฎได้!” สตรีนางนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่เขายังคงถามต่ออย่างระมัดระวัง “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าจะทำลายกฏของพวกท่านได้อย่างไร!”


“ฮี่ฮี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่ง ตราบใดที่เจ้าสามารถจัดการความแข็งแกร่งที่สุดของพวกเราได้แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว!” พวกนางกล่าวออกมาอย่างมีไหวพริบ “ข้าขอเตือนเจ้าไว้หนึ่งอย่าง ตอนนี้พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นระดับเฟินเสินขั้นสูงสุด”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาเป็นเกือบจะหน้ามืดไปทันที ระดับของเขาตอนนี้เพียงเซียนเทียนขั้นสิบสามและต้องเอาชนะผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิน เขาอาจจะต้องใช้เวลามากถึงพันปี เมื่อคิดเช่นนั้นเจ้าอ้วนเข้าใจแล้วว่าพวกนางกำลังพยายามให้เจ้าอ้วนเลือกสองทางขั้นต้นเท่านั้น นั่นก็คืออดทนกับการเก็บตัวฝึกฝนหรือจะอดทนต่อการร่ายรำของปีศาจเทวะ


แน่นอนว่าการเก็บตัวฝึกฝนนั้นน่ากลัวเกินไปและไร้ความหวังที่จะสำเร็จ แต่ทางเลือกการร่ายรำของปีศาจเทวะก็ยังมีท่าไม้ตายที่สามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหรือเฟินเสินให้ตายตกได้โดยง่าย เห็นได้ชัดว่ามันแข็งแกร่ง ถ้าไม่เช่นนั้นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินคงจะค้นพบช่องโหว่นานแล้ว แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งความชอบธรรมจะดูมีโอกาสมากกว่า


เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว เจ้าอ้วนถามเกี่ยวกับการทดสอบอย่างสุภาพ “พวกท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดที่พิเศษในการร่ายรำของปีศาจเทวะ?”


“ฮ่าฮ่า หน้าตาของเจ้าดูคล้ายกับคนโง่เขลา แต่ทว่าฉลาดไม่เบา เจ้ากำลังจะค้นหาจุดอ่อนของการร่ายรำของปีศาจเทวะสินะ!” นักบวชสาวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“เหอะ เป็นความคิดดีที่ แต่เจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นคนโง่งั้นหรือ?”


“ฮี่ฮี่ แล้วมันจะเป็นอย่างไรถ้าหากเขารู้ความพิเศษของการร่ายรำปีศาจเทวะ? ด้วยพลังของเรา วิธีใดงั้นหรือที่ไขมันตัวน้อยระดับเซียนเทียนจะสามารถป้องกันได้?”


“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล แล้วเหตุใดเราจึงไม่อธิบายให้เขาฟังล่ะ? อย่างน้อยเขาก็ยอมมาเล่นสนุกกับเรา หลายพันปีที่ผ่านมาพวกเราเบื่อกับชีวิตหลังความตายมานานพอแล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะหาใครสักคนมาเล่นสนุกกับเราเช่นนี้!”


“ใช่แล้ว ถูกต้อง! เจ้านายคนเก่าก็คุมขังพวกเราจนไม่สามารถออกจากภาพได้ตามใจชอบ มันน่าเบื่อมากที่จะต้องอยู่บนพัดใบนั้นตลอดเวลา เหตุใดเราจึงไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อเล่นสนุกกับเขาล่ะ อย่างน้อยการเดินทางครั้งนี้ก็จะไม่สูญเปล่า!”


“ถูกต้อง ข้าเห็นด้วยกับเจ้า!” เหล่าสตรีคนอื่นตอบกลับอย่างร่าเริง


เมื่อเห็นว่าพวกนางทั้งหมดประชุมกันเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าอ้วนยิ้มอย่างร่าเริงและรีบถามต่อทันที “ข้าขอขอบคุณพี่สาวทุกท่านมาก ข้าขอสัญญาว่าข้าจะร่วมเล่นสนุกกับพวกท่านอย่างแน่นอน แต่ก่อนอื่นท่านต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับการร่ายรำของปีศาจเทวะกับข้าก่อน!”


“ฮ่าฮ่า ง่ายมา! การร่ายรำของปีศาจเทวะนั้นเป็นเพียงชื่อเรียกและมันเป็นเพียงการร่ายรำ!”


“มันก็คงจะดีถ้าเจ้าปิดตาของเจ้าและไม่มองพวกข้า!”


“นอกจากนี้เรายังมีเสียงครางที่ทรงพลังซึ่งสามารถล้มบุรุษที่แข็งแกร่งได้โดยง่ายดาย!”


“เจ้าเพียงต้องควบคุมหูของเจ้าให้ได้!”


“นอกจากนี้พวกเรายังมีกลิ่นที่เย้ายวนอีกด้วย”


“เจ้าก็แค่ไม่ต้องดมกลิ่นนั้น!”


“กล่าวก็คือ พวกเราทั้งหมดไม่สามารถสัมผัสเจ้าได้ เราสามารถใช้เสียง การมองเห็นและกลิ่นเพื่อยั่วยวนเจ้าเท่านั้น ตราบใดที่เจ้าสามารถจัดการกับสัมผัสทั้งห้าได้ มันก็เป็นเรื่องง่ายดายที่เจ้าจะรอดพ้นจากการร่ายรำของปีศาจเทวะ!”


เมื่อได้ยินเหล่าสตรีทั้งหลายกล่าวเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่ามีหนทางให้เขาเดินต่อไปแล้ว เพียงแค่ปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าเขาก็จะสามารถรอดพ้นไปได้ ฟังดูเรื่องทั้งหมดอาจจะไม่ยากเกินไป แต่ปัญหาก็คือถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้โดยง่าย เหตุใดพวกนางจึงไร้เจ้านายมานานนับพันปี? แล้วเหตุใดยู่เฟิงจึงกล้าหาญพอที่จะเข้าร่วมการทดสอบนี้?


ในหัวของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย แต่ด้วยความงามเบื้องหน้านี้ พวกนางสมควรตกเป็นสมบัติของตน เรื่องราวทั้งหมดมันจะเป็นอย่างไรกับชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าที่จิตใจไม่มั่นคงเช่นนี้?


ภายใต้การทดสอบของสมบัติวิญญาณขั้นเก้า ทำให้เจ้าอ้วนไม่สามารถแม้แต่จะนั่งลงเพื่อรับประทานอาหาร อีกทั้งหลายปีมานี้ทุกสิ่งอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงตกลงที่จะเข้าร่วมการทดสอบด้วยการร่ายรำของปีศาจเทวะทันทีตามที่หญิงงามทั้งเก้าชักชวน


เมื่อได้ยินว่าเจ้าอ้วนพร้อมที่จะเข้ารับการทดสอบ สาวงามทั้งเก้าร้องไห้ออกมาอย่างปิติยินดี พวกนางทั้งหมดร่าเริงอย่างรู้สึกสนุกนาน เมื่อมองเห็นความตื่นเต้นของพวกนาง เจ้าอ้วนรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยดี แต่เขาได้กล่าววาจาออกไปแล้วถ้าหากคืนคำคงจะต้องสร้างความอับอายไม่ใช่น้อย ดังนั้นเขาไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันแล้วเดินหน้าต่อ


เขาหยดเลือดสองหยดลงบนหยกที่อยู่บนพัดตามคำแนะนำของสาวงามทั้งเก้า หลังจากที่หยกกลืนกินเลือดของเขาเสร็จสิ้น การทดสอบของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าก็ได้เริ่มต้นขึ้น!



บทที่ 142: หนทางจำกัด


เพราะภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าเป็นสมบัติวิญญาณที่แข็งแกร่ง และการปรับแต่งมันยังต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างถึงที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เคล็ดวิชาปีศาจเทวะเสียหาย ผู้ปรับแต่งจึงต้องใช้ความรอบคอบอย่างมากในการสร้างข้อจำกัดของสมบัตินี้ ข้อแรกคือจำกัดความแข็งแกร่ง ซึ่งพลังของหญิงงามในภาพสามารถปลดปล่อยออกมาได้มากกว่าผู้ครอบครองมันหนึ่งระดับเท่านั้น เช่นนี้หากเจ้านายของภาพวาดอยู่ในระดับเซียนเทียน หญิงงามทั้งเก้าจะสามารถปลดปล่อยพลังได้เพียงระดับปฐมภูมิเท่านั้น ในส่วนของพลังที่เหลือจะถูกปิดผนึกในภาพวาด


ต่อมาจะเป็นข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวของพวกนาง เนื่องจากมีพลังมหาศาลของปีศาจเทวะปิดผนึกอยู่ในภาพวาด พวกนางไม่สามารถเดินไปมาอย่างได้อิสระหากปราศจากเจ้าของ และไม่สามารถเลือกเจ้านายคนใหม่ได้เองดั่งเช่นสมบัติวิญญาณชิ้นอื่น ๆ ถ้าหากหญิงงามทั้งเก้าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ หญิงงามทั้งเก้าคงจะสังหารมนุษย์ทั้งโลกจนหมดสิ้น หรือแม้แต่การสังหารเหล่าปีศาจตนอื่นที่อ่อนแอกว่าด้วย ดังนั้นสิ่งนี้คือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อควบคุมพวกนางไม่ให้สร้างความเดือดร้อนในอนาคต


ข้อจำกัดข้อสุดท้ายคือการเลือกเจ้านายคนใหม่ เพื่อที่จะได้เป็นเจ้านายคนใหม่ของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ปราณจิตวิญญาณที่แทรกซึมอยู่ภายในภาพ ทั้งสองฝ่ายจะสามารถรับรู้ได้ทันทีถ้าหากถูกเลือกให้ทดสอบแล้ว หากถูกยอมรับแล้วจะสามารถหยดเลือดลงหยกบนภาพวาดได้ จากนั้นภาพวาดจะถูกปลดผนึกและพวกนางจะสามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดของตนเองได้ชั่วคราว


เรื่องราวที่มาของภาพวาดเหล่านี้ เจ้าอ้วนยังไม่เข้าใจมากนัก เขาคิดว่าเมื่อยอมรับการทดสอบ หญิงงามทั้งเก้าคงไม่แข็งแกร่งไปกว่าเขาสักเท่าไหร่นัก แต่ความจริงนั้นเขากำลังเข้าใจผิดอย่างรุนแรง หลังจากที่เขายินยอมหยดเลือดลงบนหยก พลังของหญิงงามทั้งเก้าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมในตอนที่ยังมีชีวิตนั่นคือระดับเฟินเสินขั้นสมบูรณ์


แน่นอนแม้ว่าพวกนางจะฟื้นคืนพลังของตนเองได้ แต่พวกนางยังถูกพลังของภาพวาดควบคุมไว้ พวกนางสามารถใช้พลังของปีศาจเทวะเพื่อเกลี้ยกล่อมเจ้าอ้วนเท่านั้น แต่ไม่อาจใช้พลังนี้โจมตีเขาได้


อย่างไรก็ตามบุรุษที่ยังหนุ่มยังแน่นเช่นเจ้าอ้วน ไม่ใช่บุคคลที่สามารถต้านทานพลังของปีศาจเทวะ แม้ว่าเขาจะปิดผนึกประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อพยายามตาบอดหูหนวก ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาจะกระทำเช่นนี้มันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง


สาวงามทั้งเก้าล้อมรอบเจ้าอ้วนไว้ พวกนางส่ายสะโพกไปมา ยกขายั่วยวนพร้อมส่งเสียงครางเบา ๆ พวกนางใช้ทุกวิถีทางเพื่อล่อลวงเขา พร้อมกับส่งพลังเข้าไปรบกวนจิตใต้สำนึกของเขาอีกด้วย แม้ว่าในตอนนี้เจ้าอ้วนจะกลายเป็นคนตาบอด หูหนวก แต่เขายังสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน และได้ยินทุกสิ่งเช่นกัน เขาปิดจมูกของตนเองแต่ทว่ากลิ่นหอมนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นจิตสัมผัสของเขาไปได้เลย


เพียงไม่กี่อึดใจ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แม้แต่บุคคลที่มีหัวใจแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าก็ย่อมพ่ายแพ้ เจ้าอ้วนหายใจอย่างยากลำบากในขณะที่เขากำลังต่อสู้กับความปรารถนาภายในจิตใจ ไม่ว่าเขาจะพยายามป้องกันมากเพียงใด ในเวลาเช่นนี้มันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ในตอนนี้สหายน้อยคู่กายของเขาพลันชูชันขึ้นแล้ว เสื้อผ้าของเขาทั้งหมดถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เผยให้เห็นโครงสร้างกล้ามเนื้อที่ยอดเยี่ยมอย่างชัดเจน


หญิงงามทั้งเก้าดวงตาสว่างสุกใสเป็นประกายทันที เห็นได้ชัดว่าพวกนางไม่เคยพบเจอบุรุษผู้ใดที่มีกล้ามเนื้อสวยงามเช่นนี้มาก่อน พวกนางเผยยิ้มพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างร่าเริง “อุ๊ย กล้ามเนื้อเช่นนี้ ข้าต้องการมันเหลือเกิน!”


“เมื่อใดที่เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขาจะมอบมันให้กับเราอย่างแน่นอน!” หญิงสาวอีกคนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน


“ฮ่าฮ่า ประเสริฐยิ่งนัก นอกจากนี้เราอาจจะได้ทดสอบการเก็บตัวฝึกฝนกับเขาอีกด้วย!”


“ครั้งสุดท้ายของพวกเราคือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่คิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องบนเตียง หลังจากผ่านไปห้ารอบ เขาทิ้งพวกเราไว้กลางทาง ข้าสงสัยเหลือเกินว่าอ้วนน้อยผู้นี้จะต้านทานไว้ได้สักเพียงใด?”


“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาไม่อาจต้านทานได้ถึงเก้ารอบอย่างแน่นอน”


ในขณะนั้น เจ้าอ้วนมีสติครบถ้วนและได้ยินทุกสิ่งที่พวกนางคุยกัน ในที่สุดเขารู้ตัวทันทีว่าถูกหลอกเสียแล้ว เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกต่อไปได้แต่บ่นออกมาอย่างโกรธแค้น “ผู้หญิงสารเลว นี่พวกท่านหลอกข้าจริงงั้นหรือ?”


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เมื่อพวกนางได้ยินเช่นนั้น เหล่าหญิงสาวระเบิดหัวเราะออกมาอย่างมิอาจอดกลั้น


หลังจากที่หัวเราะกันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง สตรีนางหนึ่งกล่าวตอบเจ้าอ้วน “น้องชายอ้วน เจ้าช่างน่ารักยิ่งนัก เจ้าคิดว่าจะมีสัจจะอยู่ในหมู่ปีศาจเช่นพวกเรางั้นหรือ?”


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” จากนั้นคลื่นเสียงหัวเราะระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับเจ้าอ้วนในตอนนี้ปอดของเขาแทบระเบิดเพราะความโกรธ พร้อมกับคิดในใจ ‘ข้าเป็นคนที่ภูมิใจในตนเองเสมอมาในเรื่องของความฉลาดที่มี เหตุใดเหตุการณ์โง่เขลาเช่นนี้ข้าจึงต้องรู้สึกพ่ายแพ้ด้วย? นี่เป็นกับดักอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่เด็กน้อยยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ข้ากลับมองไม่เห็น ข้าจะต้องเอาชนะสิ่งยั่วยวนเหล่านี้ให้ได้เพื่อครอบครองพวกนาง!’


ช่างน่าสงสารที่บนโลกใบนี้ไม่มียาสำหรับระงับความเสียใจ ทางเลือกเดียวที่เหลือของเจ้าอ้วนตอนนี้คือหาหนทางให้สมองสามารถควบคุมตนเองไว้ ในขณะนี้เขานึกขึ้นได้ว่ายู่เฟิงจัดการกับตนเองอย่างไรเพื่อผ่านการทดสอบนี้ ‘ถ้าหากยู่เฟิงเต็มใจที่จะเป็นขันทีเพื่อผ่านการทดสอบ ข้าก็ควรทำได้เช่นกัน แม้ชั่วชีวิตของข้าจะต้องเป็นขันที แต่ก็ย่อมดีกว่าที่จะไม่มีชีวิตอีกต่อไป!’ เขาไตร่ตรองอย่างเคร่งเครียด


เจ้าอ้วนตัดสินใจที่จะจัดการสหายน้อยของตนเอง แต่ทว่าขณะนี้เขาสูญเสียการควบคุมร่างกายไปแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับนิ้ว นับประสาอะไรกับการเฉือนดวงใจทิ้ง!


การค้นพบหนทางในเวลาเช่นนี้นับว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง พอตระหนักได้ ‘หมดหวังแล้ว ข้าเปรียบเหมือนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ถูกวางไว้บนเขียงและเฝ้ารอให้เหล่าสตรีพวกนี้เหยียบย่ำอย่างสาสมใจของพวกนาง!’


เหล่าหญิงงามทั้งเก้ารับรู้ถึงความคิดของเจ้าอ้วนในตอนนี้ พวกนางไม่อาจทำสิ่งใดได้จึงระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นสตรีนางหนึ่งแสดงความเห็นออกมา “น้องชายอ้วน เหตุใดเจ้าจึงเป็นคนใจร้อนเช่นนี้ล่ะ ยับยั้งช่างใจการทำลายสหายน้อยอันแข็งแกร่งนั้นเสีย!”


“เหอะ แท้ที่จริงแล้วต่อให้เจ้าทำลายไปก็หาได้เป็นอันใด พวกเราสามารถเข้าไปจัดการสภาวะในจิตใจของเจ้าได้ แน่นอนว่าเจ้าจะกลายเป็นบุคคลวิกลจริตจากแรงปรารถนา!” นางผู้นั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง


“ว่าอะไร?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างตกใจ “พวกท่านไม่ได้บอกข้าเองหรือว่ายู่เฟิงผ่านการทดสอบด้วยวิธีเช่นนี้? ให้ตายเถอะ อย่าบอกนะว่าพวกท่านโกหก?”


“ฮ่าฮ่า เรื่องนั้นน่ะหรือ?” สตรีนางหนึ่งรีบตอบกลับอย่างสุภาพ “แน่นอนว่าพวกเราไม่ได้โกหก เด็กหนุ่มผู้นั้นทำเช่นนั้นจริง แต่สิ่งนี้สามารถช่วยให้เขาต้านทานพลังของปีศาจเทวะได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเราต้องการเล่นกับเขาจริง ๆ แน่นอนว่าเขาก็ไม่ต่างจากเนื้อชิ้นหนึ่ง!”


“แล้วเหตุใดพวกท่านจึงไม่เล่นกับเขาจนตาย?” เจ้าอ้วนรีบถามอย่างสงสัย


“เพราะว่าพวกเราไม่สามารถทำได้!” สตรีนางหนึ่งกล่าวออกมาพร้อมถ่มน้ำลายอย่างรังเกียจ “เจ้าเด็กสารเลวนั่นมีสมบัติที่มีความสามารถในการยับยั้งพลังของปีศาจ ถึงแม้ว่ามันจะไม่อาจปกป้องเขาได้อย่างสมบูรณ์จากเคล็ดวิชาปีศาจเทวะ แต่เมื่อควบคู่กับการตอนตนเอง จึงทำให้แม้เป็นพวกเราก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่าเขาจะผ่านการทดสอบ!”


“สมบัติเหล่านี้ไม่อาจพบเห็นได้โดยง่าย แต่ในก่อนหน้านี้พวกเราได้ทำลายมันไปแล้ว!” สตรีอีกนางหนึ่งกล่าวออกมาอย่างชั่วร้าย “และพวกเราไม่คิดว่าเจ้าจะมีสมบัติที่สามารถปราบปรามเราได้! เหอะ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมแพ้เสียที!”


“น้องชายอ้วนจงมั่นใจเถิด พวกเราทั้งหมดจะทำให้เจ้ารู้สึกถึงสวรรค์ชั้นเจ็ด!” เหล่าสตรีที่เหลือพากันหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อได้เย้าแหย่เจ้าอ้วน


อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนในตอนนี้เริ่มมีแนวโน้มที่จะเอนเอียงตามพวกนางมากขึ้น เขาบ่นกับตนเอง ‘มีสมบัติที่สามารถต้านทานพลังของปีศาจได้งั้นหรือ? ในตอนเช้าระฆังของข้าก็ไม่ได้พ่ายแพ้ต่อภาพวาดนี้มิใช่หรือ? สิ่งเดียวที่ข้าสามารถคิดได้คือระฆังอาจเป็นสิ่งเดียวที่สามารถช่วยชีวิตข้าในตอนนี้!’


ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าอ้วนเริ่มมีประกายแห่งความหวังขึ้นมาในหัวใจ เขาใช้สัมผัสวิญญาณเรียกระฆังออกมาจากมิติลึกลับเพื่อปกป้องร่างกายของเขาไว้ อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังใช้สัมผัสวิญญาณนั้นดูราวกับว่ามันไม่มีประโยชน์เลย เหมือนกับว่าเขากำลังโยนหินลงไปในมหาสมุทร


“ฮี่ฮี่ น้องชายอ้วน เจ้ายังไม่ยอมแพ้งั้นหรือ? พี่น้องของเรายอมตายเพื่อที่จะได้รับใช้เจ้า แต่เจ้ากลับต้องการเรียกระฆังออกมาเพื่อปราบปรามพวกเรา เหตุใดเจ้าจึงเป็นบุรุษไร้หัวใจเช่นนี้?!”


“เหอะ แม้ว่าพลังของระฆังจะน่าเกรงขามอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่เหล่าพี่น้องของเราไม่ได้ง่ายดายเช่นเดิมแล้ว ถ้าหากไม่มีเจ้านายคอยสนับสนุน แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสมบัติวิญญาณขั้นเก้า มันก็ไม่อาจหยุดความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินขั้นสมบูรณ์ทั้งเก้าได้ น้องชายอ้วน ข้าขอแนะนำให้เจ้ายอมแพ้เสีย การตายในอ้อมอกของพี่สาวเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหล่าบุรุษทั้งหลายปรารถนา เจ้าเลิกหลอกตนเองได้แล้ว!”


เจ้าอ้วนหมดความหวังทันทีเมื่อถูกปัญหาถาโถมอย่างหนักหน่วง เขารู้ตัวแล้ว ในตอนนี้ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงไหน เขาไม่สามารถเรียกระฆังได้เลย นอกจากนี้พวกนางยังกล่าวความจริงที่ว่าสตรีทั้งเก้านั้นอยู่ในระดับเฟินเสิน แม้ข้อจำกัดของพวกนางคือไม่สามารถทำร้ายเขาได้ นอกจากนี้เจ้าอ้วนใช้ไพ่ในมือที่ถือครองไว้จนหมดสิ้น และโชคชะตาของเขาในตอนนี้เหมือนกับว่าจะต้องถูกสูบน้ำจนแห้งเหือดเพียงเท่านั้น


ในขณะนี้เจ้าอ้วนไม่สามารถควบคุมตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงร่างกายเท่านั้น รวมไปถึงสัมผัสวิญญาณ ปราณจิตวิญญาณ เขากำลังถูกครองงำ สถานการณ์ของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากผักที่นอนแน่นิ่ง เขาทำได้เพียงมองดูไฟแห่งความปรารถนาที่กำลังเผาไหม้จิตใจของเขาไปอย่างช้า ๆ มันกำลังเปลี่ยนให้เขาเป็นศพเดินได้ ณ จุดนี้ถึงเวลาที่เขาจะตายตกไปอย่างแท้จริง และในเวลาถัดจากนั้น เหล่าหญิงงามทั้งเก้าจะดูดเอาพลังของเขาไปจนเหือดแห้ง


สำหรับตอนนี้สายตาของเจ้าอ้วนเริ่มเบลอ ตันหาเริ่มครอบงำ ทันใดนั้นมิติลึกลับของเขาเริ่มสั่นไหวและเปล่งแสงสีแดงออกมา มันปรากฏตัวเหนือศีรษะของเขา ไม่มีการควบคุมใดจากเจ้าอ้วน ระฆังทองแดงปรากฏขึ้นทันทีพร้อมเปล่งเสียงก้องกังวาน


เสียงของมันในตอนนี้แตกต่างจากเสียงก่อนหน้านี้ทั้งหมด เหล่าคนที่น่ารังเกียจจะไม่มีวันเข้าใจกฎแห่งสวรรค์ ความสามารถนี้ดูไม่เลวร้ายเท่าไหร่นักในสถานการณ์เช่นนี้ เสียงของมันไพเราะและเต็มไปด้วยความชอบธรรม ดังนั้นไม่ว่าสิ่งน่ารังเกียจใดที่เหล่าปีศาจเทวะกำลังร่ายรำอยู่ พวกมันล้วนถูกทำลายจนหมดสิ้นโดยระฆังทองแดงทันที เจ้าอ้วนที่ถูกเผาไหม้ด้วยไฟแห่งตัณหาได้ฟื้นกลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว


สำหรับหญิงสาวทั้งเก้า พวกนางกรีดร้องออกมาอย่างรุนแรงอีกทั้งยังไม่สามารถรักษารูปร่างของตนเองไว้ได้ เวทมนตร์ของพวกนางแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว พวกนางทั้งหมดถูกบังคับให้กลับคืนสู่สภาพร่างกายเดิมทันที


หลังจากนี้ระฆังทองแดงเปล่งแสงสีทองออกมาครอบคลุมหญิงงามทั้งเก้าไว้ ร่างกายของพวกนางสั่นไหวและกรีดร้องออกมาอย่างน่าสมเพช แต่ที่น่าแปลกใจคือร่างกายของพวกนางไม่ได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนกับว่าพวกนางกำลังว่ายวนอยู่ในหม้อน้ำเดือดอย่างไรอย่างนั้น


เจ้าอ้วนที่เพิ่งรอดพ้นจากความตายถึงกับตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ก่อนที่เขาจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขาได้ยินคำวิงวอนจากหญิงงามทั้งเก้า “นายท่าน พวกเรายอมที่จะเป็นทาสรับใช้ของท่านตลอดไป ได้โปรดปล่อยเราเถิด!”


“เรายินดียอมรับท่านเป็นนายคนต่อไปของเรา นายท่านได้โปรดหยุดสิ่งนี้เถิด!”


“นายท่าน เร็วเข้า ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน!”


“นายท่าน ข้ากำลังจะถูกเผาตายด้วยแสงสีทองนี้แล้ว!”


เวลาเช่นนี้เจ้าอ้วนเข้าใจทันทีว่าแสงสีทองจากระฆังทองแดงคือพลังที่สามารถปราบปรามปีศาจเหล่านี้ได้ ดังนั้นร่างกายซึ่งเป็นร่างของปีศาจเทวะจึงถูกทำลายอย่างสมบูรณ์และพวกนางกำลังทรมานอย่างแท้จริง


เมื่อครู่เขาเกือบตายตกเพราะหญิงงามเหล่านี้ เช่นนั้นตอนนี้เขาจะสามารถปล่อยวางพวกนางไปโดยง่ายได้เช่นไร?


เจ้าอ้วนเค้นเสียงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “เหอะ ไม่ใช่ความคิดของพวกท่านงั้นหรือที่จะเผาไหม้ข้าจนตายตกไป? อย่างไรแล้ว แม้ว่าข้าจะครอบครองร่างกายของพวกท่าน แต่ข้าสามารถหาผู้อื่นมาแทนที่ได้เสมอ!”


“นายท่าน ร่างกายของเราเชื่อมต่อกับผู้ฝึกตนเหล่านั้น ถ้าหากเราตาย ความทรงจำและพลังของพวกนางทั้งหมดจะหายสาบสูญไป ท่านจะได้รับร่างกายที่ไร้วิญญาณเท่านั้น และภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าจะหายไป!”


“นายท่าน พวกเราขอสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อท่านเพียงผู้เดียว ท่านจะทนเห็นทาสรับใช้ที่ทรงพลังอำนาจถูกทำลายได้งั้นหรือ?”


“นายท่าน ปีศาจเช่นเรามีความสามารถมากมาย ท่านไม่เสียดายงั้นหรือถ้าหากจะทำลายพวกเรา ท่านสามารถใช้งานพวกเราได้อย่างเต็มที่เพื่อให้เราได้แสดงความสามารถเหล่านี้ ได้โปรดปลดปล่อยเราเถิด!”


“นายท่าน พวกเรายินดีรับใช้ท่านทุกสิ่งอย่างที่ท่านต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทางจิตวิญญาณหรือร่างกาย ท่านสามารถเพลิดเพลินกับพวกเราได้ตลอดเวลา! ข้าขอร้อง ได้โปรดปล่อยข้าออกไปจากตรงนี้เสียที!”


เมื่อได้ยินคำอ้อนวอนจากหญิงงามทั้งเก้า ความโกรธของเจ้าอ้วนมลายหายไปแทบหมดสิ้น อีกทั้งภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าเป็นสมบัติชั้นเลิศ มันออกจะน่าเสียดายเกินไปหากถูกทำลายทิ้งเช่นนี้ หลังจากที่เขาไตร่ตรองชั่วครู่หนึ่ง เขากล่าวว่า “ข้าไม่อาจปล่อยพวกเจ้าไปได้ในตอนนี้ เราจะต้องทำพิธีเพื่อที่จะเป็นนายกับทาสกันก่อน! หลังจากที่ข้าได้เป็นเจ้านายคนใหม่ของพวกเจ้า ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!”


“ตกลง ตกลงนายท่าน! พวกเราได้รับเลือดของท่านแล้ว ต่อจากนี้ขอให้ท่านหยดเลือดลงบนศีรษะของพวกเราทั้งเก้าคนบนพัดใบนั้น จากนั้นท่านจะสามารถใช้จิตวิญญาณเพื่อเชื่อมต่อกับพวกเราได้และสามารถควบคุมทุกอย่างได้ดั่งใจนึก ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ ทุกสิ่งอย่างเป็นของท่านแล้วในตอนนี้” สตรีนางหนึ่งตอบกลับอย่างรวดเร็ว


หลังจากได้ยินคำกล่าวที่จริงใจเช่นนั้น อีกทั้งสภาพของพวกนางตอนนี้ดูไม่ค่อยดีนัก เขารีบใช้เลือดหยดลงบนศีรษะของพวกนางบนพัดตามคำแนะนำอย่างรวดเร็ว เลือดถูกดูดซึมไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าอ้วนรู้สึกได้ทันทีว่าพวกเขาได้เชื่อมโยงกันเป็นที่เรียบร้อย และรับรู้ความเจ็บปวดของพวกนางได้ทันที


หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น เจ้าอ้วนสามารถควบคุมภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้แล้ว คลื่นข้อมูลของพวกเขาทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องราวในชีวิตของเขาและพวกนาง ทักษะ และอื่น ๆ ข้อมูลมากมายไหลเข้ามาหาเข้าอย่างไม่อาจรับไหว ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงคิดว่าเรื่องนี้ควรพักไว้ก่อน เขาจะจัดการข้อมูลเหล่านี้ในภายหลัง



บทที่ 143: อาหารเช้าสุดโรแมนติค


ขณะนี้เจ้าอ้วนได้ยินคำวิงวอนจากหญิงงามทั้งเก้าอีกครั้ง แต่ในครานี้พวกนางไม่ได้ใช้เสียง แต่ใช้กระแสจิตแทน “นายท่าน รีบช่วยเหลือพวกเราเถิด! พวกเราไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปแล้ว!”


เจ้าอ้วนดึงตนเองออกจากมาความงุนงงและยกมือขึ้นเพื่อหยุดแสงสีทอง หลังจากนั้นเขาเรียกระฆังกลับคืนไปยังสถานที่ของมัน ภายใต้จิตสำนึกของเขาได้เกิดยันต์วิญญาณก่อตัวขึ้นพร้อมชื่อเรียกว่า ‘เสียงเพรียกปีศาจ’ เห็นได้ชัดเจนว่าทักษะนี้มีไว้เพื่อควบจัดการเหล่าปีศาจ


เจ้าอ้วนรู้สึกแปลกใจที่เขาได้รับยันต์วิญญาณอื่นเพิ่มเติม แต่ในตอนนี้เขามีสิ่งอื่นที่ต้องทำมากมายและไม่มีเวลาที่จะทดสอบมัน ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงเลือกจะวางมือตรงนี้ไว้ก่อนและหันไปกล่าวกับหญิงงามอย่างไร้ความปราณี “นี่พวกเจ้าแกล้งตายงั้นหรือ?”


“ไม่ใช่นะนายท่าน!” เหล่าปีศาจร่ำไห้ออกมาอย่างวิงวอน “พลังของพวกเราเพียงแต่ใกล้จะหมดและไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นยืน!”


“จริงหรือ?” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างงุนงง “ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินบาดเจ็บจากแสงสีทองเพียงเล็กน้อยเท่านี้งั้นหรือ?”


“นายท่านยังไม่ทราบ แน่นอนว่าพวกเรานั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินมาก่อน แต่หลังจากพวกเรายอมรับท่านเป็นเจ้านาย พลังของเราทั้งหมดถูกผนึกโดยภาพวาดและเหลือเพียงระดับปฐมภูมิเท่านั้น! แต่ทว่าพลังของแสงสีทองไม่ได้ลดลงตามไปด้วย เราไม่สามารถใช้ระดับเฟินเสินเพื่อปกป้องตนเองได้ แน่นอนว่าพวกเราที่อยู่ในระดับปฐมภูมิไม่อาจต้านทานได้! ถ้าหากนายท่านช้ากว่านี้ พวกเราทั้งหมดคงถูกเผาเป็นธุลีไปแล้ว!” สตรีนางหนึ่งกล่าวออกมาเพื่ออธิบาย


“รักษาตนเองซะ ข้าไม่เชื่อเจ้า!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ แต่ถึงแม้เขาจะกล่าวเช่นนั้นแต่ภายในใจลึก ๆ เขาเชื่อพวกนาง เพราะตอนนี้เขาเป็นเจ้าของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าแล้วและหญิงงามเหล่านี้ไม่กล้าโกหกเขาแน่นอน เขาเพียงแค่รู้สึกอยากแก้แค้นกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เท่านั้น


ความจริงในตอนนี้คือหลังจากที่เจ้าอ้วนกล่าววาจาเช่นนั้นออกไป หญิงงามทั้งเก้าร่ำไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา พวกนางเริ่มวิงวอนและกล่าวให้เขาเชื่อว่าพวกนางไม่มีวันทรยศเขาอย่างแน่นอน เจ้าอ้วนถามต่อพร้อมขมวดคิ้วแน่น “อาการบาดเจ็บของพวกเจ้าสาหัสเพียงใดและต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการฟื้นฟู?”


“พวกเราทั้งหมดเกือบตายตกไป มันสาหัสมาก แม้ว่าปราณจิตวิญญาณยังคงหนาแน่น แต่คงต้องใช้เวลาสักสองถึงสามปีเพื่อฟื้นฟูพลังทั้งหมดของเรา!” หนึ่งในสตรีเหล่านั้นตอบกลับอย่างขมขื่น


“สวรรค์ สองสามปีงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนตกตะลึกทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นเขาจึงตอบกลับอย่างไม่คิด “ถ้าเช่นนั้นเวลาสองสามปีจากนี้พวกเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับขยะงั้นหรือ?”


“ต้องขออภัยนายท่าน!” หญิงงามทั้งเก้ากล่าวออกมาอย่างโศกเศร้า


เจ้าอ้วนรู้ดีว่าสิ่งนี้ไม่อาจตำหนิพวกนางได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ บอกข้ามาว่าสิ่งใดจะทำให้พวกเจ้าฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่นยาอายุวัฒนะหรือสิ่งอื่น?”


“มีหนทางอยู่ แต่ทว่ายาอายุวัฒนะสามัญไม่อาจใช้กับพวกเราได้ เดิมทีเราคือผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิน!” หญิงงามรีบตอบกลับ “แต่ถ้าหากนายท่านมอบน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าให้กับพวกข้า ข้ามั่นใจว่าพวกเราทั้งหมดจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว!”


“รวดเร็วเพียงใด?” เจ้าอ้วนถามพร้อมขมวดคิ้วแน่น


“เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับว่านายท่านจะมอบให้เรามากเพียงใด!” หญิงสาวตอบกลับ “ถ้าหากนายท่านมอบน้ำขวดใหญ่ให้กับเราหลังจากที่พวกเราทั้งหมดเข้าไปฟื้นฟูตนเองภายในภาพวาดแล้ว ข้ามั่นใจว่าพวกเราจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น!”


“ไม่มีปัญหา!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาโยนขวดน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าออกไปทันที เนื่องจากเขามีบ่อน้ำนี้อยู่ แน่นอนว่าถ้าหากเขารักษาสภาพความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนั้นได้อย่างดีเยี่ยม เขาจะมีน้ำเหล่านี้ใช้ไปตลอดชีวิต ความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณก็ไม่ได้ทำยากเย็นนัก เพียงแค่หาวัสดุมาแยกสลายออกจากกันเพียงเท่านั้น เจ้าอ้วนจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้ามากนัก ท่าทีที่เขาโยนมันออกไปดูคล้ายกับว่ากำลังล้างถังขยะใบหนึ่งเท่านั้น


หญิงสาวทั้งหมดงุนงงต่อเหตุการณ์ตรงหน้ามากและพวกนางพลันทราบว่าเจอเจ้านายจิตใจกว้างขวางเข้าให้แล้ว พวกนางทั้งหมดเริ่มร้องไห้และกล่าวขอบคุณอย่างจอแจ สตรีนางหนึ่งกล่าวออกมา “นายท่าน ท่านดีกับพวกเราเหลือเกิน! เมื่อพวกเราฟื้นฟูพลังเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราจะออกมาปรนนิบัติท่านอย่างดี!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของเขาสั่นไหวพร้อมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ ขอบใจ ข้าไม่ต้องการที่จะกลายเป็นชิ้นเนื้อบนเขียงเพียงเพื่อให้พวกเจ้าปู้ยี้ปู้ยำ!”


“ฮ่าฮ่า นายท่านกำลังเข้าใจผิดแล้ว!” สตรีผู้หนึ่งกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “วิธีการเก็บตัวฝึกฝนแห่งสาวงามนั้นเป็นวิธีการที่เราใช้กับศัตรูของเราเท่านั้น แต่สำหรับนายท่าน พวกเราจะกล้าทำร้ายได้อย่างไร? พวกเราทั้งหมดเพียงแค่อยากให้นายท่านผ่อนคลายและมีความสุขเท่านั้น สิ่งนี้ไม่ดีงั้นหรือ?”


ในขณะที่พวกนางกำลังกล่าวเช่นนั้น ดวงตาทั้งเก้าคู่จ้องมาที่เจ้าอ้วนอย่างเอียงอาย เมื่อรู้ความจริงว่าพวกนางจะไม่ใช้เคล็ดวิชาปีศาจเทวะ เจ้าอ้วนรู้สึกลิ้นแห้งผากจากความปรารถนาอันแรงกล้าภายในช่องท้องของเขา


อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนพยายามควบคุมตนเองไว้พร้อมกล่าวว่า “ทุกคนจงกลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะดูแลพวกเจ้าในเวลาที่อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว!”


“ฮ่าฮ่า ขอบคุณมากนายท่าน!” หญิงงามทั้งหมดขอบคุณเจ้าอ้วนพร้อมกับค่อยๆดื่มน้ำแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้า จากนั้นพวกนางทั้งหมดจึงกลับเข้าไปในภาพวาดอีกครั้ง


ขณะที่พวกนางกลับไปแล้ว เจ้าอ้วนที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบ รู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างหยาบกระด้างไปเสียหมด เขาบ่นออกมาอย่างร่าเริง “สวรรค์ สวรรค์จริง ๆ! พวกนางล้วนแต่เป็นอสรพิษ! คำพูดเพียงเล็กน้อยจากพวกนางทำให้ข้าเสียการควบคุม ถ้าหากบทสนทนาเมื่อครู่ยาวนานกว่านี้ ข้าเกรงว่าน้ำของข้าคงถูกพวกนางสูบจนแห้งเหือดแม้ไร้เคล็ดวิชาปีศาจเทวะ!”


หลังจากที่จัดการตัณหาภายในจิตใจจนหมดสิ้น เจ้าอ้วนถูกดึงความสนใจไปที่ระฆังทองแดง เขาคิดกับตนเอง ‘ลูกน้อยผู้นี้ช่างวิเศษยิ่งนัก ในเวลาที่ข้ากำลังตกอยู่ในอันตราย มันออกมาเพื่อปกป้องข้าอย่างไม่ต้องร้องขอ ในครั้งแรกเกิดตอนที่ต่อสู้กับฉุ่ยจิ้งและครั้งนี้กำลังจะถูกผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินรุมทึ้งจนเกือบตายตกไป’


นี่ไม่ใช่สมบัติวิญญาณที่สามารถครอบครองได้โดยง่ายดาย พลังของมันเหลือเชื่อเกินไป แม้ว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าจะแข็งแกร่งมากแต่ระฆังทองแดงสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งมันยังสามารถเอาชนะภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าในขณะที่พลังของพวกนางอยู่ในระดับสูงสุดได้ เหตุผลเพียงเท่านี้เพียงพอที่จะบอกได้ว่าระฆังทองแดงนั้นแข็งแกร่งมากกว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า! ถ้าหากเป็นเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าระฆังทองแดงอาจจะเป็นสมบัติในตำนาน!


สมบัติในตำนานเป็นเพียงชื่อเรียกขานเท่านั้น มันถูกปรับแต่งมาอย่างยาวนานชั่วกัลปาวสาน เหล่าผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน เขาจะสามารถปรับแต่งได้เพียงสมบัติวิญญาณเท่านั้น เฉพาะเหล่าเซียนที่อยู่บนสวรรค์เบื้องบนเท่านั้นที่จะสามารถปรับแต่งสมบัติในตำนานได้


แน่นอนว่าสมบัติในตำนานย่อมมีคุณภาพสูงกว่าสมบัติวิญญาณอย่างมาก ความแตกต่างของมันกว้างยิ่งกว่าความแตกต่างของอุปกรณ์วิเศษกับสมบัติวิญญาณเสียอีก ดังนั้นหากผู้ใดครอบครองสมบัติในตำนาน แน่นอนว่าบุคคลเหล่านั้นจะอยู่สูงกว่าคนทั่วไป พวกเขาไม่อาจเทียบชั้นกันได้


อย่างไรก็ตาม ระดับของสมบัติในตำนานนั้นสูงเกินไป มันเป็นอะไรสักอย่างที่มีอยู่แต่ในตำนานและเจ้าอ้วนไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต แม้แต่เหล่าอาวุโสของพวกเขาหรือแม้กระทั่งจ้าวสำนักก็ยังไม่เคยพบเจอมาก่อน เจ้าอ้วนเคยอ่านพบเรื่องราวของมันในบันทึกของสำนักเสวียนเทียน แต่เจ้าอ้วนก็ยังคิดว่ามันมีอยู่เพียงในตำนานเท่านั้น


แต่วันนี้ระฆังทองแดงได้แสดงความสามารถของตนเองจนเจ้าอ้วนไม่อาจเก็บความตื่นเต้นไว้ได้ เขาจึงกลับมาคิดเรื่องต้นกำเนิดของมันอีกครั้ง มันสามารถเล่นกับหญิงงามระดับเฟินเสินได้อย่างง่ายดาย ระฆังใบนี้น่าเกรงขามเกินไป ดูเหมือนว่าพลังของมันจะไม่ถูกจำกัดเมื่อต้องช่วยผู้ที่เป็นเจ้าของมัน นี่คือความพิเศษของสมบัติในตำนาน


เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เจ้าอ้วนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่อาจอดกลั้น แต่เขาออกมาพบเจอโลกภายนอกเพียงไม่กี่ปี จึงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าที่เขาคิดถูกต้อง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาค้นพบแล้วตอนนี้คือมิติลึกลับที่เขาครอบครองอยู่นั้นมีต้นกำเนิดที่น่าหวั่นเกรงอย่างมาก และอย่างน้อยมันก็เป็นสมบัติวิญญาณ ถ้าหากข่าวนี้รั่วไหลออกไป แน่นอนว่ามันจะทำให้เขาตกที่นั่งลำบากหรืออาจจะเดินสู่ประตูนรกได้รวดเร็วขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือเก็บงำความลับและกลิ่นอายของระฆังนี้ไว้อย่างเงียบเชียบที่สุด


เจ้าอ้วนนั่งลงพร้อมกับใช้ลมทองแดงเช่นเดิมเพื่อครอบระฆังไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะเหลือวัสดุอยู่ไม่มากนัก แต่มันก็เพียงพอที่จะครอบมันไว้สักพักหนึ่ง เจ้าอ้วนจึงใช้เวลาทั้งคืนเพื่อจัดการกับพื้นผิวด้านนอกของระฆังใบนี้


หลังจากผ่านพ้นค่ำคืนแห่งการทำงานอย่างหนัก เขารู้สึกว่าหญิงงามทั้งเก้ากำลังมาในขณะที่เขาเสร็จเรื่องกับระฆังทองแดงแล้ว เขารีบหันหลังกลับไปมองพร้อมตระหนักว่าหญิงงามทั้งเก้าในตอนนี้อยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์ งดงาม และสง่าอย่างมากกำลังเดินเข้ามาหา


พวกนางทั้งหมดล้อมรอบเจ้าอ้วนด้วยใบหน้าที่ยั่วยวน ผู้ฝึกตนประเภทอัคคียืนอยู่ด้านหน้าของเขาดันหน้าอกขึ้นให้มันตั้งตรงประจันหน้ากับเขา จากนั้นนางกล่าวออกมาอย่างเว้าวอน “นายท่าน พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ท่านต้องการนมหรืออาหารเช้า?”


“ข้าก็มีเช่นกัน!” ในขณะที่สาวงามคนอื่นเห็นสหายของพวกนางใช้ประโยชน์จากร่างกายมากเกินไป พวกนางเริ่มทำตามและแย่งชิงพื้นที่ด้านหน้าของเจ้าอ้วน ในขณะนั้นวิสัยทัศน์ของเจ้าอ้วนเริ่มถูกบดบังด้วยทะเลสีขาวที่เต็มไปด้วยน้ำนม


เมื่อต้องพบเจอกับสิ่งสวยงามเหล่านี้ แม้แต่นักบุญยังไม่อาจต้านทานได้ไหวแล้วนับประสาอะไรกับเจ้าอ้วน? เขาตะโกนออกไปอย่างรวดเร็ว “อย่าได้พูดมากอีก มาพูดถึงความเสียใจเมื่อข้าตัดสินใจจะทำมันดีกว่า!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาเริ่มทิ้งตัวลงด้านหน้าขณะใช้ปากและมือ มันยุ่งเหยิงไปหมด แต่เขากลับมีความสุขอย่างล้นเหลือ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าของเจ้าอ้วนถูกหญิงสาวทั้งเก้าแย่งชิงไปจนหมด จากนั้นนางก็เริ่มเข้ามายุ่งกับสหายน้อยของเขา สิ่งที่ตามมาคือเสียงของความเหนื่อยหอบอย่างมีความสุขได้ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ


เจ้าอ้วนจัดการกับหญิงงามทั้งเก้าได้สำเร็จก่อนที่เขาจะผละออกจากทะเลสวาทแห่งนี้ได้หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง


ขณะที่เขาเดินออกมา เขาประหลาดใจอย่างมากและรีบเข้าสู่สมาธิทันที เขารู้ทันทีว่าปราณจิตวิญญาณของเขานั้นไม่ลดลงเลยแต่มันกลับเพิ่มขึ้น เห็นได้ชัดเจนว่าเขาได้ดูดซึมสิ่งสกปรกต่าง ๆ ของหญิงงามทั้งเก้ามา เหตุการณ์ในครั้งนี้สามารถบอกได้อย่างตรงไปตรงมาว่าพวกนางนั้นซื่อสัตย์กับพวกเขามากเพียงใด พวกนางเพียงแค่ต้องการสนุกและมอบความสุขโดยไม่ทำร้ายเจ้านายของตน!



บทที่ 144: พบผู้ฝึกตนปีศาจครั้งแรก


หลังจากที่มั่นใจในข้อเท็จจริงแล้ว เจ้าอ้วนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมกันเขาหยิบเสื้อผ้าออกมา ในขณะที่กำลังจะสวมใส่ สิ่งเหล่านี้ถูกหญิงสาวทั้งเก้าฉกฉวยไปอย่างรวดเร็ว พวกนางใช้โอกาสนี้เพื่อบริการเจ้าอ้วนด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าให้ราวกับเป็นหญิงรับใช้ส่วนตัว อีกทั้งยังช่วยเช็ดคราบเหงื่อตามร่างกายของเจ้าอ้วนอีกด้วย แต่การกระทำเช่นนี้คล้ายปลุกไฟสวาทในร่างกายของเจ้าอ้วนขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขากระทำมันซ้ำอีกรอบ จากนั้นทั่วบริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์แห่งความสุขสม


หลังจากพวกนางแต่งตัวให้เจ้าอ้วนเรียบร้อย หญิงสาวกล่าวกับเจ้าอ้วนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “นายท่าน เสียงระฆังของท่านเมื่อวานนี้ช่างทรงพลังยิ่งนัก! มันแทบทำเอาพวกเราทั้งหมดเกือบตายตก พวกเราไม่เคยพบเห็นสมบัติที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน! อย่าบอกนะว่ามันคือสมบัติในตำนาน?”


ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น ดวงตาทั้งหมดของพวกนางจ้องมองไปที่ระฆังทองแดงที่ถูกปกคลุมด้วยลมทองแดงแล้วครึ่งหนึ่งในตอนนี้ เจ้าอ้วนยักไหล่พร้อมตอบกลับอย่างไม่แยแส “ใครจะไปรู้? ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าต้นกำเนิดของมันคืออะไร! ข้าได้รับมันมาโดยบังเอิญ”


“งั้นคงกล่าวได้ว่านายท่านได้รับพรจากสวรรค์!” หญิงสาวอีกนางหนึ่งกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “มันจะต้องเป็นสมบัติในตำนานอย่างแน่นอน นอกจากนั้นข้าก็ไม่สามารถมองเห็นสมบัติใดที่สามารถปราบปรามพวกเราในฐานะผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินได้แล้ว!”


“ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน มันคือสมบัติในตำนาน!”


“นายท่านช่างโชคดียิ่งนัก!” หญิงสาวร่วมพูดคุยกันอย่างร่าเริง


“ฮี่ฮี่” เมื่อมองเห็นเหล่าสตรีทั้งหลายกำลังยกยอ เจ้าอ้วนไม่อาจเก็บความภูมิใจนี้ไว้ได้จึงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน


ในขณะนั้นหญิงสาวนางหนึ่งถามเขาออกมา “นายท่าน เหตุใดท่านจึงต้องปกปิดมันเช่นนั้นกันล่ะ?” เห็นได้ชัดว่านางหมายถึงลมทองแดง


เจ้าอ้วนไม่คิดปิดบังเหล่าทาสรับใช้พวกนี้ เขาจึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “มันสะดุดตาผู้อื่นเกินไป ทุกคนสามารถมองมันแล้วรู้ได้ทันทีว่ามันคือสมบัติล้ำค่า แต่ทว่าข้าเป็นเพียงมือใหม่อยู่ในระดับเซียนเทียนเท่านั้น แน่นอนว่าข้าคงไม่อาจปกป้องมันได้ ดังนั้นข้าจึงเอาลมทองแดงมาปกคลุมมันไว้เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าด้านในคือสิ่งใด!”


“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านเป็นคนที่น่าประหลาดใจอย่างแท้จริง นอกจากนี้ท่านยังใช้ระฆังใบนี้ตบตาเจ้านายเดิมของพวกเราและซุ่มโจมตี จนเขาต้องเข้าไปอยู่ภายใต้ระฆังใบนี้อีกด้วย!” หญิงสาวอีกนางหนึ่งกล่าวอย่างรวดเร็ว


“ช่างวิเศษ แสร้งทำตนเป็นสุกรเพื่อสังหารพยัคฆ์! นายท่านฉลาดและเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!” หญิงงามคนอื่นเริ่มจะทำการสรรเสริญเขาต่อไป


เจ้าอ้วนรู้สึกได้ว่าพวกนางกล่าวออกมาจากใจ เพราะจิตวิญญาณเชื่อมต่อกันอยู่ เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อได้ยินคำว่าขี้โกงอยู่ในคำเยินยอเหล่านั้นด้วย แต่มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่เขาไม่เก็บมาใส่ใจ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะอย่างขื่นขมพร้อมกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงมาตราการฉุกเฉินเท่านั้น!”


“จริงหรือนายท่าน แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นงานหนักนะ ให้พวกเราช่วยท่านเถอะ!” หญิงสาวกล่าวออกมาอย่างจริงใจ


“ใช่แล้ว ให้พวกเราช่วยนะนายท่าน” หญิงสาวผู้อื่นกล่าวเสริม เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างประหลาดใจ “อะไรนะ? พวกเจ้ารู้วิธีที่จะอำพรางมันด้วยงั้นหรือ?”


“แน่นอน มันไม่ใช่วิธีการปรับแต่งที่ง่ายที่สุดงั้นหรือ? พวกเรารู้ทุกสิ่ง นอกเหนือจากระดับการฝึกฝนและทักษะการใช้ดาบ เรายังสามารถปรับแต่งยาอายุวัฒนะและปรับแต่งอุปกรณ์ได้อีกด้วย!” หญิงสาวตอบกลับ


“เพียงแค่ระดับขั้นการฝึกฝนของพวกเราถูกจำกัดไว้ในระดับปฐมภูมิเท่านั้น ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ทักษะการปรับแต่งได้ในระดับนี้ แต่สำหรับการวางลมทองแดงบนสมบัติในตำนานของนายท่าน ทักษะของพวกเราในตอนนี้เพียงพอแล้ว!” หญิงสาวตอบกลับอย่างร่าเริง


“ฮ่าฮ่า ประเสริฐยิ่งนัก!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที จากนั้นเขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าขอฝากเรื่องนี้ไว้กับพวกเจ้าทุกคน ถ้าหากลมทองแดงมีไม่เพียงพอ เจ้าสามารถรื้อมันได้จากหุ่นลมทองแดงทั้งสามสิบตัวตรงนั้น!” ขณะที่เขากล่าว ก็ชี้ไปยังหุ่นลมทองแดงที่อยู่ใกล้ ๆ


“รับทราบแล้ว!” หญิงสาวทั้งเก้าตอบกลับอย่างร่าเริง


ในขณะนั้น เจ้าอ้วนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาไม่เต็มใจที่จะผลักดันหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนออกไปสักเท่าไหร่นัก จึงกล่าวว่า “พวกเจ้าจงจัดการเรื่องพวกนี้อยู่ที่นี่ ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องออกเดินทางแล้ว!”


“นายท่าน มีอสูรกายมากมายที่ด้านนอก มันไม่ปลอดภัยถ้าหากว่าท่านออกไปคนเดียว เหตุใดจึงไม่พาพี่น้องของเราออกไปด้วยสักสองสามคน พวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างโดยไร้สสารได้ อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องเกรงกลัวอสูรกายเหล่านั้น!” หญิงสาวรีบทักท้วงเขาอย่างรวดเร็ว “ถูกต้อง พวกเราสามารถเตือนท่านได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิด! ถ้าหากเราพบกับศัตรู พวกเราสามารถช่วยท่านสังหารมันได้!” หญิงสาวคนอื่นรีบกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว


“เป็นเช่นนั้น!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยิน เขาถูกล่อลวงโดยคำพูดเหล่านั้นทันที แม้ว่าเขาจะรู้ความต้องการของพวกนางที่อยากออกไปด้านนอก แต่นี่ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว แต่เขาก็ยังมีข้อที่หนักใจอยู่ เจ้าอ้วนจึงกล่าวออกมาว่า “พวกเจ้าต้องเข้าใจว่าการที่ข้าครอบครอบภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าจะต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับ แล้วข้าจะทำเช่นไรหากมีผู้อื่นพบเห็นพวกเจ้าล่ะ?”


“อย่ากังวลไปเลยนายท่าน รูปแบบร่างกายที่ไร้สสารทั้งแข็งแกร่งมาก แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ แต่ทว่าแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันก็ไม่อาจค้นหาพบถ้าหากพวกเราต้องการจะหลบซ่อน เราสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านเสียแผนเด็ดขาด!” หญิงสาวผู้หนึ่งอธิบายให้เจ้าอ้วนฟัง พร้อมกับใช้หน้าอกที่นางมีบดขยี้แขนของเจ้าอ้วนอย่างออดอ้อน


เจ้าอ้วนหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจทำอะไรได้ “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ให้เหล่านักบวชตามข้าออกไปด้านนอก พวกเจ้าที่เหลือช่วยข้าปกปิดระฆังใบนี้”


ในตอนแรกเจ้าอ้วนคิดว่าเหล่าหญิงสาวที่ไม่ถูกเลือกจะไม่พอใจ แต่ทว่าพวกนางเหล่านี้กลับมีเหตุผลมากกว่าที่เขาคิด นักบวชทั้งสี่ที่จะได้ออกไปข้างนอกโห่ร้องอย่างตื่นเต้น สำหรับผู้ที่ไม่ได้ถูกเลือกพวกนางไม่ได้แสดงอาการโศกเศร้าแต่อย่างใดถึงแม้จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง พวกนางทั้งหมดเชื่อฟังเจ้าอ้วนอย่างดีซึ่งนั่นทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง


หลังจากนั้น เจ้าอ้วนเริ่มออกเดินทางไปยังทิศเหนืออีกครั้ง แต่ในขณะนี้เขาไม่ได้เดินทางคนเดียวอีกแล้ว เขามีนักบวชสาวสองคนอยู่ด้านข้าง และอีกสองคนอยู่ที่ด้านหน้าเพื่อตรวจสอบศัตรู เจ้าอ้วนเดินทางอย่างรวดเร็วในขณะที่พวกนางคอยช่วยเหลือ เพราะว่าเขาสามารถเข้าใจสถานการณ์โดยรอบอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอสูรกายอยู่ตรงไหน สถานที่ตรงไหนที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ หนองน้ำ เขาจะได้รับข้อมูลอย่างรวดเร็วจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการถูกซุ่มโจมตีอีกต่อไป


อีกอย่างนักบวชที่เดินตามหลังเขาทั้งสองคนได้เตรียมตัวอย่างดีเพื่อคอยปกป้องเขาในยามฉุกเฉิน แต่ทว่าคำพูดที่แสนอ่อนโยนของพวกนางทำให้เจ้าอ้วนแทบจะหยุดอารมณ์ปรารถนาภายในใจไว้ไม่ไหว สองถึงสามครั้งที่เขาถูกล่อลวงให้เล่นบทสวาทกับพวกนางบนหลังของพยัคฆ์ปีกแหลม! เนื่องด้วยวัยที่ยังหนุ่มแน่น เขาจึงรู้สึกอับอายที่จะต้องทำมันในเวลากลางวันเช่นนี้ ดังนั้นในขณะที่เขาตั้งแคมป์สำหรับกลางคืน ความปรารถนาของเขาที่สะสมมาทั้งวันแทบจะระเบิดออก เหตุการณ์ต่อมาคือหญิงสาวทั้งเก้าเงียบลงในขณะที่เขาทำมันจนสาแก่ใจแล้ว


ในตอนนี้หยกสีเขียวเตือนเขาถึงวันเวลาที่ใกล้จะหมดลง เจ้าอ้วนเสพความสุขจนสำลักและลืมเลือนหน้าที่หลักที่ต้องทำจนแทบหมดสิ้น วันเวลาผ่านไปสามวันในชั่วพริบตา บ่ายวันนี้เขาอยู่บนหลังของพยัคฆ์ปีกแหลมและดื่มเหล้ากับนักบวชสาว ทันใดนั้นเขาได้รับคำเตือนจากนักบวชที่อยู่ด้านหน้าว่ามีผู้ฝึกตนปีศาจสองคนกำลังเดินมาทางนี้


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินว่าเป็นผู้ฝึกตนปีศาจ ดวงตาของเขาถูกกระตุ้นทันทีพร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะว่าเขานั้นมาจากสำนักแห่งความชอบธรรมและในช่วงเวลาที่เขาเติบโตมานั้น เขาได้ยินเรื่องราวที่น่ารังเกียจของเหล่าคนจากสำนักปีศาจมามากมายนับไม่ถ้วน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความยุติธรรม อีกทั้งสถานที่แห่งนี้คือสถานที่สำหรับค้นหาผลไม้วิญญาณ ทุกคนสามารถฆ่ากันเพื่อแย่งชิงมันได้ สำหรับพวกเขาที่ยังอยู่รอดมาได้ถึงวันนี้ แน่นอนว่าสมควรมีสมบัติอยู่ในมือบ้างแล้ว สิ่งนี้ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นความชอบธรรมหรือเรื่องส่วนตัว แต่เจ้าอ้วนไม่อาจปล่อยให้ทั้งสองคนนี้รอดไปได้


แต่ว่าเจ้าอ้วนไม่เคยต่อสู้กับผู้ฝึกตนปีศาจมาก่อน ดังนั้นเขาค่อนข้างกังวลในการสู้รบครั้งแรกของตนเอง หนึ่งเป็นเพราะว่าผู้ฝึกตนปีศาจนั้นแตกต่างจากผู้ฝึกตนชอบธรรม ผู้ฝึกตนที่เดินบนเส้นทางแห่งความชอบธรรมจะกระทำการต่าง ๆ ตามกฎแห่งสวรรค์ แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้แต่ก็ไม่อาจละทิ้งกฎเหล่านี้ได้ สำหรับผู้ฝึกตนปีศาจ พวกเขาจะทุ่มเททุกสิ่งที่มี เช่น เวลา การเรียนรู้ทักษะ หรือสิ่งใดที่เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และทำทุกหนทางเพื่อให้ได้รับชัยชนะ


ดังนั้นผู้ฝึกตนปีศาจมักจะมีวิธีการที่หลากหลาย ดังเรื่องเล่าที่เคยมี ผู้ฝึกตนปีศาจต่อสู้กับผู้ฝึกตนแห่งความชอบธรรม ในขณะที่พวกเขาเผชิญหน้ากัน จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ถ้าหากประมาทเพียงนิดเดียวจะถูกสังหารไปจากมือที่มองไม่เห็น


แม้ว่าในตอนนี้เจ้าอ้วนจะแข็งแกร่งมาก แต่อีกฝ่ายมีถึงสองคน ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากัน เขาอาจจะเสียเปรียบ!


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนไม่ตัดสินใจสักที นักบวชที่ยืนอยู่ด้านข้างราวกับว่าเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังคิด นางกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นายท่าน ในตอนนี้ท่านคิดจะจัดการเขาทั้งสองคน แต่ว่าท่านไม่ต้องการทำมันด้วยตนเองใช่หรือไม่?”


“ใช่!” เจ้าอ้วนพยักหน้าพร้อมตอบกลับ “เจ้าก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายมีทักษะมากเกินไป พิษ แมลง คำสาป มันยากมากถ้าต้องป้องกันสิ่งเหล่านี้ ความกลัวเล็กน้อยสมควรมี!”


“ฮ่าฮ่า ท่านจะกลัวเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร? ท่านเพียงแค่บอกให้พี่น้องของเราทั้งสองที่อยู่ด้านหน้าจับเขาไว้เพียงเท่านั้นเอง!” นักบวชกล่าวออกมาอย่างสนุกสนาน


“จริงหรือ?” เจ้าอ้วนอุทานด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ได้รับเลือกจากสำนัก ทั้งหมดเป็นชนชั้นสูง ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิยังไม่อาจเอาชนะได้ แม้ว่าพวกนางจะแข็งแกร่ง ทว่าระดับของพวกนางเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีอุปกรณ์วิเศษใด แน่ใจงั้นหรือว่าสามารถเอาชนะพวกมันได้โดยง่าย?”


“นายท่าน ได้โปรดฟังข้า เรื่องนี้ไม่มีทางผิดพลาด!” นักบวชคนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ “ถ้าหากเราไม่สามารถจัดการเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้ พวกเราคงเป็นได้เพียงขยะเปียกเท่านั้น แล้วพวกเราจะกล้าหาญกล่าวออกไปได้อย่างไรว่าเราคือสมบัติวิญญาณขั้นเก้า?”


เมื่อมองเห็นความมั่นใจของนาง เจ้าอ้วนจึงไม่รั้งรออีกต่อไป เขาบอกนักบวชทั้งสองคนที่อยู่ด้านหน้าให้จับเป็นผู้ฝึกตนปีศาจโดยทันที ในขณะนั้นเขาคิดกับตนเอง ‘มันไม่สำคัญว่าพวกนางจะล้มเหลวหรือไม่ อย่างมากที่สุดข้าก็แค่เพียงส่งพวกนางออกไปอีกไม่กี่คน ข้าไม่เชื่อว่าสองคนนั้นจะต้านทานการโจมตีของเหล่าปีศาจเทวะทั้งเก้านี้ได้ เว้นเสียแต่ว่าพวกมันมีสมบัติวิญญาณที่ระดับสูงกว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า!”



บทที่ 145: ความน่ากลัวของหญิงสาว


เดิมเจ้าอ้วนคิดให้นักบวชสาวสองคนไปจัดการผู้ฝึกตนเซียนเทียนทั้งสองที่ภายในร่างนั้นน่าจะเต็มไปด้วยสมบัติ เรื่องนี้ชัดเจนว่าการต่อสู้ต้องเกิด เขาไม่เคยคาดคิดว่าเวลาเพียงครู่เดียว การต่อสู้ก็สิ้นสุดแล้ว ความจริงไม่อาจเรียกว่าต่อสู้ เพราะสหายโง่เง่าทั้งสองนั้นไม่อาจมีโอกาสแม้จะตอบโต้


เจ้าอ้วนเห็นการโจมตีทั้งหมดจากการเชื่อมต่อวิญญาณกับพวกนาง ปีศาจทั้งสองลอบวิ่งเข้าด้านหลังด้วยความเร็วแสงและพุ่งชนเข้ากับร่างกายของอีกฝ่าย จากนั้นพวกนางใช้สัมผัสวิญญาณที่แข็งแกร่งเข้าควบคุมร่างกายของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย


กระบวนการเหล่านั้นเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนทั้งสองที่ตกเป็นเหยื่อไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งรับ เขาทั้งสองคนกลายเป็นหุ่นเชิดของนักบวชสาวเสียแล้ว


เมื่อเห็นเช่นนั้น เขารู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า อีกทั้งยังเข้าใจด้วยว่าเหตุใดนักบวชฮัวอวิ๋นจึงกล่าวว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เป็นสิ่งเดียวที่จะทำลายร่างกายที่ไร้ตัวตนได้ และกระดองเต่าดำเท่านั้นที่จะสามารถใช้ป้องกันได้


กล่าวก็คือการโจมตีที่ไร้รูปร่างเช่นนี้สามารถป้องกันได้โดยกระดองเต่าดำของฉุ่ยจิ้งเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดฉุ่ยจิ้งจึงสามารถหลบหนีจากยู่เฟิงได้เมื่อหลายวันก่อน และหนีจนได้พบกับเจ้าอ้วน ถ้าหากว่านางไม่ได้ครอบครองกระดองเต่าดำ แน่นอนว่านางคงต้องกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของยู่เฟิงไปแล้ว


ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังจมดิ่งลงไปในความคิดของตนเอง นักบวชสาวทั้งสองที่ควบคุมสุกรน้อยมาให้เขาได้เรียกสติของเขาอย่างนุ่มนวล “นายท่าน!”


“ประเสริฐยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนรีบออกจากภวังค์พร้อมกับเอ่ยปากชมเชยทันที จากนั้นเขาถามออกไปว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสองคนนี้คือใคร?”


หลังจากกล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนสังเกตพลางพิจารณาและคิดว่าพวกเขาทั้งสองคนอายุราวสามสิบปี พวกเขามีความชั่วร้ายแผ่ออกมาจากใบหน้า เจ้าอ้วนไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนปีศาจมาก่อน ดังนั้นจึงไม่อาจตัดสินพวกเขาจากใบหน้าได้


แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนักบวชสาว ผู้ที่ยืนอยู่ด้านซ้ายตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “นายท่านประเมินพวกเราต่ำเกินไป เรานั้นเป็นปีศาจที่มีชื่อเสียง! ตราบใดที่มีเจ้านาย จะควบคุมพวกเราและสามารถมองดูความทรงจำ อีกทั้งยังรู้ระดับการฝึกฝนและสมบัติที่พวกเขาครอบครอง! เพียงแค่ระบุว่าคือใครจะไปยากอะไรกัน?”


“บุคคลผู้นี้ชื่อโยวหวน เป็นผู้ใช้แมลงโดยจะนำสมองมนาย์ใช้เป็นอาหารให้แมลงสัตว์เลี้ยง ส่วนอีกคนเขามีชื่อว่าเฉิงหลิงเป็นผู้ใช้แมลงเช่นกัน โดยจะนำวิญญาณของมนุษย์มาหล่อเลี้ยงแมลงของตน” นักบวชสาวอธิบาย


“หืม? พวกเขามาจากหุบเขาแมลงงั้นหรืออีกทั้งสองคนนี้ยังเป็นคู่หูการเพาะเลี้ยงแมลง?” เจ้าอ้วนเข้าใจเรื่องราวอย่างรวดเร็ว


“ใช่แล้วนายท่าน!” นักบวชทั้งสองตอบกลับ


“โอ้” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกว่ารอดพ้นจากความตายแล้ว แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่เคยพบเจอกับสหายสองคนนี้มาก่อน แต่ชื่อเสียงด้านความร้ายกาจของพวกเขาได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างไปทั่วทั้งหุบเขา! ต้นกำเนิดของเขานั้นพื้นเพแล้วเป็นสำนักที่กึ่งชอบธรรม กึ่งปีศาจ แม้ว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับเส้นทางแห่งปีศาจเล็กน้อย แต่สิ่งที่พวกเขากระทำนั้นชั่วร้ายมากเกินไป


แน่นอนว่าสำนักปีศาจทั้งหลายสนใจพวกเขาสองคนมาก นี่เป็นเพราะผู้หนึ่งกินสมอง อีกหนึ่งกินวิญญาณ พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนสายโบราณที่หาได้ยากมาก ในเวลานี้เหล่าคนขี้โกงทั้งสองคนนี้ไม่ได้สนใจแม้แต่เหล่ามนุษย์ในเทือกเขา พวกเขาสามารถสังหารทุกคนที่ย่างกรายข้ามผ่านได้อย่างเลือดเย็น


มีข่าวลือออกมาว่าหมู่บ้านได้ถูกทำลายไปมากกว่าพันแห่ง อีกทั้งชาวบ้านสูญหายไปจนหมดสิ้น สมองและวิญญาณของพวกเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในขณะนั้นพวกชาวบ้านต่างคิดว่ามีอสูรกายได้ออกมาเพ่นพ่าน เหตุการณ์นี้ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับทั้งสอง หลังจากนั้นผู้ฝึกตนหลายคนให้ความสนใจกับเรื่องราวเหล่านี้และเริ่มค้นหาตัวผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง


แต่ในขณะนั้น ผู้ฝึกตนทั้งสองแข็งแกร่งอย่างมาก แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิที่ครอบครองสมบัติวิเศษยังไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้จากการต่อสู้ สิ่งที่น่ากลัวของสองคนนี้คือการซุ่มโจมตี เขามักจะเข้าโจมตีเป้าหมายในขณะที่กำลังเข้าสู่สมาธิ เป้าหมายไม่มีเวลาเตรียมตัวตั้งรับการโจมตีเหล่านั้นได้ทัน จึงทำให้ถูกเหล่าแมลงกัดจนตายตกไป


แม้เจ้าอ้วนครอบครองสมบัติมากมาย แต่ก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะปกป้องตนเองจากแมลงเหล่านั้นได้หรือไม่ พวกมันทั้งรวดเร็วและคล่องตัวสูง เป็นเรื่องยากที่จะตั้งป้อมป้องกันเอาไว้ สิ่งน่ารำคาญที่สุดคือพวกมันไม่สนว่าอุปกรณ์ที่ใช้ป้องกันจะระดับสูงเพียงใด หากเจ้าอ้วนต้องเผชิญหน้าและเผลอเปิดโอกาสให้โจมตีเข้าใส่ เขาอาจไม่สามารถตั้งรับได้ทัน แมลงพวกนั้นอาจเข้าสู่ร่างกายนำพาไปยังปัญหาอันใหญ่หลวง


ขอบคุณสวรรค์ที่เหตุการณ์เหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น เจ้าอ้วนระมัดระวังเรื่องเช่นนี้อย่างมากและให้เหล่านักบวชสาวออกหน้าแทนเขา เขาทำได้เพียงกล่าวชื่นชมหญิงสาวเหล่านี้อีกครั้ง “วิเศษ วิเศษมาก ประเสริฐยิ่งนัก ช่วยเหลือข้าได้อย่างมหาศาลจริง ๆ!”


เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนชื่นชมอย่างมากมาย เหล่านักบวชหญิงแทบสำลักความสุขจนเริ่มเข้าไปเย้ายวนเจ้าอ้วนอีกครั้ง ขณะที่พวกนางกำลังจะลูบไล้เจ้าอ้วนนั้นเอง พวกนางพลันหลงลืมว่าอยู่ในร่างของชายทั้งสอง พอเจ้าอ้วนเห็นชายสองคนคิดเข้าหาตนเองด้วยกามอารมณ์ เจ้าอ้วนเร่งร้อนผลักออกด้วยความเดียดฉันท์


เขารีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “พอก่อน หยุดได้แล้ว ส่งกระเป๋ามิติมาให้ข้าก่อน!”


“ตกลงนายท่าน!” นักบวชสาวทั้งสองไม่รีรอและรีบส่งกระเป๋ามิติทั้งสองใบให้กับเจ้าอ้วนทันที


หลังจากที่เจ้าอ้วนรับมาแล้ว เขารู้ทันทีว่าสองคนนี้ไม่ได้ยากจน แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสมบัติวิเศษ แต่กลับมีอุปกรณ์วิเศษมากมาย แถมเป็นระดับสูงอีกด้วย นอกจากนั้นพวกเขามีสมุนไพรต่าง ๆ และหินจิตวิญญาณ เจ้าอ้วนยังไม่สนใจที่จะนับมันในตอนนี้เพราะเขากำลังสนใจกล่องหยกสีทองทั้งสอง


“ฮ่าฮ่า!” เจ้าอ้วนหยิบเอากล่องหยกทั้งสองออกมาพร้อมกล่าวอย่างร่าเริง “ข้ายังคงมีโชคลาภอยู่บ้างสินะ!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขารีบเก็บกล่องหยกเข้าไปในมิติลึกลับทันที ในตอนนี้เขามีผลไม้วิญญาณจำนวนห้าผล เพียงอีกสี่ผลก็จะครบตามที่เขาตั้งเป้าหมายไว้แล้ว


หลังจากที่เขาทำเช่นนั้น เขาลูบคางของตนพร้อมกล่าวว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าบอกว่าสามารถใช้ระดับพลังของพวกเขาได้ และใช้อุปกรณ์วิเศษที่พวกเขามีด้วย ถูกต้องหรือไม่?”


“เป็นตามนั้น!” นักบวชทั้งสองตอบกลับพร้อมกัน “นายท่านต้องการให้พวกข้าทำสิ่งใดงั้นหรือ?”


“ฮี่ฮี่ ข้าอยากให้พวกเจ้าใช้พลังของพวกเขา ปลดปล่อยให้แมลงของพวกเขาต่อสู้กัน ทำได้หรือไม่?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ทั้งสองคนนี้ได้ทำร้ายผู้คนมากมายนัก ถึงเวลาแล้วที่ความแค้นจะต้องถูกชำระ!”


เมื่อนักบวชสาวทั้งสองได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของพวกนางสว่างสดใสพร้อมกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา นายท่านโปรดรับชมการแสดงนี้!”


ในขณะที่กล่าวเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองหันหน้าเข้าหากันพร้อมยกมือขึ้น จากนั้นเจ้าอ้วนสังเกตเห็นมีเงาดำพุ่งออกมา ทั้งสองคนเริ่มร่ำไห้อย่างเจ็บปวด หนึ่งในนั้นจับกุมหน้าอกของตนเองไว้ ในขณะที่อีกคนล้มลงบนพื้นและดิ้นอย่างทุรนทุราย ร่างกายของพวกเขาทั้งสองคนเริ่มมีเลือดไหลออกมาอย่างช้า ๆ


หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความทรมาน พวกเขาค่อยหยุดการเคลื่อนไหว และตายตกไปอย่างเงียบเชียบ หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนสิ้นชีวิต ในตอนนี้สภาพร่างกายของพวกเขาราวกับไม่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน


สำหรับนักบวชทั้งสองคน พวกนางทิ้งเหยื่อไว้ตรงนั้นและกลับสู่ร่างกายที่เป็นหญิงสาวผู้งดงามอีกครั้ง มองดูใบหน้าที่อ่อนเยาว์และความเขินอายที่เกิดขึ้น ราวกับว่าพวกนางไม่ได้สังหารคนเมื่อสักครู่นี้


เจ้าอ้วนถามออกมา “ตอนที่ทรมานพวกเขา เจ้าทั้งสองคนเจ็บปวดหรือไม่?”


“ฮี่ฮี่ ความเจ็บปวดเหล่านั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกข้าล่ะ? เราเพียงแค่ควบคุมร่างกายเขาเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความเจ็บปวดที่เขาได้รับ การที่พวกเขารู้สึกเจ็บปวดหรือทุรนทุราย มันเป็นเพียงเรื่องของพวกเขาที่ต้องเพลิดเพลินกับตนเอง!” นักบวชสาวอธิบาย


“พวกเจ้าล้วนยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาอุทานออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น


“ไม่ว่าเราจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่พวกเราทั้งหมดเป็นทาสรับใช้ของท่าน!” หนึ่งในนักบวชกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม


“ซึ่งหมายความว่านายท่านแข็งแกร่งที่สุด!” นักบวชสาวกล่าวเสริม “ฮี่ฮี่” เจ้าอ้วนหัวเราะอย่างร่าเริง จากนั้นเขาสั่งให้ออกเดินทาง แต่ในขณะนั้นเขาอนุญาตให้นักบวชที่เพิ่งทำภารกิจเสร็จอยู่ข้างเขา และสลับอีกสองคนไปดูต้นทางที่ด้านหน้า ราวกับว่าเรื่องเช่นนี้เป็นรางวัลให้กับพวกนาง ถัดมาไม่กี่วัน เจ้าอ้วนพบผู้อื่นในป่าหกคน พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มกำลังเดินสำรวจอย่างระมัดระวังในป่า แต่เมื่อพบเจอกับเหล่านักบวชปีศาจ ทุกอย่างก็ง่ายดายไปเสียหมด


ในกลุ่มของศัตรู หนึ่งเป็นผู้ฝึกตนบนเส้นทางแห่งความชอบธรรม อีกกลุ่มเป็นผู้ฝึกตนบนเส้นทางปีศาจ สำหรับคนที่มาจากสำนักปีศาจ เจ้าอ้วนไม่แสดงความเมตตาแม้แต่น้อย เขาสังหารทั้งหมดและฉกฉวยสมบัติมาเป็นของตน แต่สำหรับผู้ฝึกตนที่ชอบธรรม เจ้าอ้วนไม่คิดที่จะสังหารพวกเขา แม้ว่าในเวลาที่ต้องสังหารผู้ใด เขาจะดูโหดร้าย แต่เขาก็ไม่สามารถสังหารผู้บริสุทธิ์ได้ นั่นไม่ใช่หนทางที่เจ้าอ้วนต้องการจะเดินไป เขาเป็นคนที่ชัดเจนในความรู้สึกของตนเอง เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ทำผิดจรรยาบรรณเด็ดขาด


แม้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เจ้าอ้วนก็ไม่ลืมเลือนจุดประสงค์หลัก เขาไม่สังหาร แต่เลือกจะฉกฉวยเอาผลไม้วิญญาณทั้งสามผลมาเท่านั้น ในเมื่อเป็นการปล้นซึ่งหน้า เจ้าอ้วนไม่มีอะไรให้ติดค้างในใจ จุดประสงค์เหตุการณ์ครั้งนี้คือแย่งชิงผลไม้วิญญาณ กฎบอกเอาไว้ชัดเจนว่าสามารถฉกฉวยเอาจากผู้อื่นได้


กล่าวก็คือการปล้นผลไม้วิญญาณไม่ใช่เรื่องผิด และการสังหารเพื่อแย่งชิงก็ไม่ใช่เรื่องผิด เช่นเดียวกันพวกเขาก็สามารถสังหารเจ้าอ้วนได้! แต่เจ้าอ้วนไม่ได้มีเจตนาที่จะสังหารพวกเขาและไว้ชีวิต ซึ่งเป็นการกระทำที่ใจกว้างอย่างมาก


แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง เจ้าอ้วนสั่งให้นักบวชสาวล้างความทรงจำของพวกเขา พวกเขาจะรับรู้เพียงแค่ถูกซุ่มโจมตีและไม่สามารถจำได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ผลลัพธ์ของมันก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่มีทางย้อนกลับมาหาเจ้าอ้วน


จากบุคคลทั้งหก ทำให้เจ้าอ้วนได้รับกล่องหยกสีทองเพิ่มอีกหกกล่อง ตอนนี้เขาครอบครองผลไม้วิญญาณถึงสิบผลด้วยกัน นับว่าเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว


คืนนี้เป็นคืนแห่งความผ่อนคลาย เจ้าอ้วนได้มีความสุขร่วมกับเหล่าปีศาจเทวะทั้งเก้าอีกครั้ง มันเป็นคืนที่มีความสุขมากเพราะว่าเขาทำให้หญิงงามทั้งเก้าร่ำไห้ออกมาเพราะต้องยอมจำนนต่อความแข็งขืน


สำหรับเรื่องพวกนี้ หญิงงามทั้งเก้าไม่เคยขัดอารมณ์เจ้าอ้วนแต่อย่างใด ความจริงคือพวกนางทั้งประหลาดใจระคนมีความสุข เป็นความโชคดีที่เหล่าแม่มดทั้งเก้านี้ได้พบกับเจ้านายที่มีความดุดันเทียบเท่ากับพวกนาง นี่นับเป็นความสุขที่สุดหลังจากที่พวกนางตายตกมานานนับหมื่นปี ดังนั้นขณะที่พวกนางมีความสุขมาก พวกนางยิ่งรู้สึกจงรักภักดีต่อเจ้าอ้วนมากยิ่งขึ้นอีก


หลังจากที่เจ้าอ้วนมีความสุขกับการดื่มนมทุกเช้า ในวันนี้เขาเริ่มที่จะค้นหาหานปิงเอ๋อ เขาเดินตรงไปยังทิศเหนือเช่นเดิม เขาเชื่อมั่นในคำทำนายของฉุ่ยจิ้ง แม้ว่าจะไม่มีร่องรอยของหานปิงเอ๋อเลยภายในสองสามวันที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก เห็นได้ชัดว่าเขาเดินทางใกล้จะถึงขอบของหุบเขาแล้ว เขาจะเดินต่อไปจนกว่าจะพบเจอกับหานปิงเอ๋อ ซึ่งการทำนายของเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรนั้นมีความแม่นยำอย่างมาก และเจ้าอ้วนก็เชื่อมั่นเช่นนั้น


ช่วงเช้าของวัน เจ้าอ้วนเดินทางมาได้สองชั่วโมงแล้ว เขาพลันได้รับข่าวคราวจากนักบวชที่ระวังภัยอยู่แนวหน้าว่าพบร่องรอยหานปิงเอ๋อ ขณะนี้นางกำลังต่อสู้อยู่กับผู้ฝึกตนปีศาจสามคน


พอได้รับข่าวคราว เจ้าอ้วนฮึกเหิมโดยทันทีพร้อมเก็บพยัคฆ์ปีกแหลม เขาสั่งให้นักบวชทั้งสี่เข้าสู่สถานะไร้ตัวตนขณะเดินไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ


ด้านหน้าห่างออกไปราวหนึ่งลี้มีต้นไม้ยักษ์ยืนหยัด สตรีนางหนึ่งพร้อมบุรุษสามคนกำลังเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียด ผู้หญิงมีออร่าที่สง่างามเปล่งประกาย ผู้ชายทั้งสามกลับมีแต่ความน่ารังเกียจเข้าปกคลุม


ผู้ฝึกตนปีศาจเต็มไปด้วยความกังวล กล้ามเนื้อและเส้นเลือดทุกส่วนล้วนปูดออกมาราวกับเพิ่งถูกโจมตีมาเมื่อไม่นานนี้


ผู้ฝึกตนทั้งสามอายุราวยี่สิบปี พร้อมทั้งมีจิตสังหารแผ่ออกมารอบตัวของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแอและอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบสอง


บุรุษที่ยืนอยู่ตรงกลางเต็มไปด้วยหนวดเครา เขาอยู่ในชุดสีดำและมีจิตสังหารที่แข็งแกร่ง ความโดดเด่นของเขาคือมือทั้งสองข้างดำสนิทและส่งกลิ่นเหม็นออกมา ชัดเจนว่ามือนั้นมีไว้เพื่อใช้วิชาชั่วร้าย


บุรุษทางซ้ายผอมแห้ง ดวงตาของเขาจ้องมองไปรอบ ๆ ราวกับเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะหนีตลอดเวลาหากรู้สึกไร้หนทาง


บุรุษด้านขวาเป็นเด็กหนุ่มแต่งตัวประหลาด คิ้วของเขามีรอยแผลและแสดงความวิตกกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ในมือถือดาบวิญญาณยาวราวยี่สิบฟุตไว้ มันดูคล้ายกับวิญญาณร่ายรำ และชัดเจนว่ามันไร้ประโยชน์กับเรื่องราวตรงหน้า มันเป็นเพียงอุปกรณ์แห่งความชั่วร้ายที่ปรับแต่งขึ้นมาจากวิญญาณเท่านั้น


ขณะนี้ทั้งสามล้วนตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ราวกับว่าผู้หญิงเพียงคนเดียวเบื้องหน้าไม่ใช่นางฟ้าจากสรวงสวรรค์ แต่เป็นเทพธิดาแห่งความตายที่กำลังรอรับชีวิตของพวกเขา ทั้งสามล้วนเหงื่อไหลท่วมตัวราวกับชั่วชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้หลั่งเหงื่ออีกเป็นครั้งที่สอง!



บทที่ 146: หนึ่งต่อสาม!


หากประเมิณอย่างจริงจัง บุรุษทั้งสามนั้นมาจากสำนักพันปีศาจ ซึ่งบุคคลที่มาจากสำนักพันปีศาจและสำนักไผ่ขื่นขมล้วนไม่อ่อนแอ ความจริงคือพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาเต็มไปด้วยสมบัติวิเศษและเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝน พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเสี่ยวไป่หลงหรือดาบเทวะไร้ผู้ต้านจากสำนักเสวียนเทียนเท่าใดนัก ในบรรดาศิษย์ที่เข้ามาภายในหุบเขาเหล่านี้ แน่นอนว่าทั้งสามคนนี้ย่อมแข็งแกร่งมากกว่าค่าเฉลี่ยอย่างแน่นอน ถ้าไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงไม่สามารถเข้ามายังพื้นที่แห่งนี้ได้


ตอนนี้พวกเขาทั้งสามเป็นบุคคลชั้นนำของสำนัก ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาย่อมมีมาก แน่นอนว่าพวกเขาสามารถเดินไปมาในหุบเขาได้อย่างอิสระ แต่ในตอนนี้พวกเขาพบเจอกับหานปิงเอ๋อภายในหุบเขา แม้ว่าจะมั่นใจในตนเองมากเพียงใด พวกเขาทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้นเมื่อต้องพบเจอกับผู้ที่ครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ ซึ่งนี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสักเท่าไหร่!


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของหานปิงเอ๋อ ทั้งสามคนตกอยู่ในสภาวะหดหู่ พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้เลย และการที่จะหลบหนีไปก็มีแต่จะเร่งให้เวลาตายเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จะไม่รวดเร็วดังเช่นกระบี่เฟิ่งหมิง แต่มันก็ยังเป็นสมบัติวิญญาณที่มีความเร็วถึงหนึ่งหมื่นลี้ต่อชั่วโมง ซึ่งไม่มีประโยชน์แม้ทั้งสามคนจะวิ่งอย่างสุดกำลัง ความจริงคือพวกเขาจะถูกสังหารทีละคน ดังนั้นทั้งสามคนไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากร่วมมือกันและต่อสู้กับสิ่งที่กำลังเผชิญ บางทีถ้าหากพวกเขาสามารถทำให้หานปิงเอ๋อบาดเจ็บได้ โอกาสรอดของพวกเขาก็จะสูงขึ้น


แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางกำลังกล่าวกับหานปิงเอ๋ออย่างมีความหวัง “แม่นางปิงเอ๋อ ข้าทราบถึงความแข็งแกร่งของเจ้าดี แต่พี่น้องของเราคงไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน แม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ แต่พวกเราสามารถสร้างปัญหาให้กับเจ้าได้! มีผู้คนมากมายในหุบเขาแห่งนี้ เหตุใดเจ้ายังต้องการที่ก่อปัญหากับเราล่ะ? ขอให้เราจบกันเพียงเท่านี้และแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตนเองเถิด!”


แต่หานปิงเอ๋อกล่าวออกมาอย่างสบาย ๆ “ในสายตาของข้า ข้ามองไม่เห็นปัญหาใด ข้ามองเห็นเพียงแต่ความตายของบุคคลตรงหน้าทั้งสามเท่านั้น!” เมื่อได้ยินที่หานปิงเอ๋อกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่านางต้องการที่จะสังหาร!


เจ้าอ้วนที่กำลังมองดูพวกเขาจากระยะไกลพร้อมกับปีศาจเทวะที่ไร้ตัวตน อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “หญิงสาวผู้นี้ช่างน่าสนใจ ข้าไม่คิดว่าหญิงสาวที่เยือกเย็นเช่นนั้นกลับมีอารมณ์ขันได้ถึงเพียงนี้ ชักรู้สึกชอบนางแล้วสิ!”


“งั้นจับตัวนาง และเล่นกับความอัปยศของนางเลยดีหรือไม่นายท่าน!” แม่มดสาวกล่าวอย่างรวดเร็ว “ถ้าหากนายท่านสั่งมา เราจะทำให้ท่านทุกอย่าง!”


“รอก่อน ยังไม่ถึงเวลา!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เหตุใดเราจึงไม่ปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กันไปก่อนแล้วค่อยหาประโยชน์ช่วงที่อ่อนแอล่ะ!”


“นายท่านฉลาดมาก!” นักบวชสาวตอบกลับอย่างชื่นชม


“นี่มันเรื่องปกติของข้า!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ


ในขณะที่เจ้าอ้วนกับหญิงงามกำลังลูบไล้กัน บุรุษทั้งสามได้แต่ก้มหน้ามองพื้นดินคล้ายว่ากำลังสื่อสารกันอยู่ ตามที่คาดคิดไว้พวกเขาเริ่มโจมตีก่อน คนผอมย้ายตนเองไปที่ด้านหน้า ชายคนกลางถอยหลังไปเล็กน้อย ชายทางด้านขวาเริ่มขยับมือของเขาเล็กน้อย


แน่นอนว่าคนที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้รับรู้ได้ทันทีว่าพวกเขากำลังจะหลบหนี แม้แต่หานปิงเอ๋อก็รับรู้ได้เช่นกัน ขณะที่นางเห็นเช่นนั้นนางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจ “แม้ว่าศิษย์พี่ซ่งจงที่มาจากสำนักเสวียนเทียนจะดูเป็นคนกลับกลอกและทำร้ายน้องสาวของข้าจนต้องนอนเป็นผัก แต่เขายังมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับข้าอย่างชอบธรรม ในขณะที่พวกเจ้ามีถึงสามคนแต่กำลังคิดจะหลบหนี! อย่าบอกนะว่าศิษย์ที่มาจากสำนักพันปีศาจล้วนไร้ยางอายและศักดิ์ศรี?”


เมื่อทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาแสดงถึงความโกรธเกรี้ยว แต่พวกเขาไม่ได้ชะลอการหลบหนีเลย อีกทั้งพวกเขายังเร่งความเร็วขึ้นอีก


เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หานปิงเอ๋อได้แต่ส่ายศีรษะพร้อมกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม “เพราะพวกเจ้าไม่คิดสู้ ข้าคงต้องจัดการโดยเร็วที่สุด!” หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น มือขวาของนางยกขึ้น ทันทีมีหินย้อยออกมาจากมือของนางยาวประมานหนึ่ง รูปร่างของมันโปร่งแสงโดยสมบูรณ์ราวกับคริสตัล สิ่งที่เห็นทำให้พวกเขาที่กำลังมองอยู่รู้สึกเหน็บหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง


สมบัติวิญญาณชิ้นนี้เกิดขึ้นจากธรรมชาติ มันไม่ได้มีเพียงความสวยงาม แต่กลับมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพียงแค่มันปรากฏออกมาพื้นที่โดยรอบถูกแช่แข็งไปแล้วเป็นรัศมีหนึ่งร้อยฟุต ซึ่งความหนาวเย็นเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกสั่นสะเทือนทันที


สำหรับทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหน้าของหานปิงเอ๋อ พวกเขาสั่นจนถึงจุดที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้แล้ว พวกเขาพยายามร่ายอาคมทั้งหมดที่มีเพื่อป้องกัน ในขณะนี้พวกเขากำลังตกใจกับพลังของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์โดยสมบูรณ์และรีบเพิ่มความเร็วในการหลบหนีให้มากขึ้นอีก หานปิงเอ๋อไม่ลังเลที่จะสั่งการให้ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์พุ่งตรงไปยังบุคคลทั้งสามทันที


ในขณะนั้นผู้ฝึกตนทั้งสามถอยร่นลงไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเปิดใช้งานสมบัติวิเศษทันทีเพื่อรับการโจมตีของหานปิงเอ๋อ คนแรกที่เปิดฉากการโจมตีคือเด็กหนุ่มที่มาจากสำนักพันปีศาจ ซึ่งสำนักพันปีศาจเป็นสำนักที่ใหญ่และถือกำเนิดมามากกว่าพันปี เป็นสำนักที่เชี่ยวชาญด้านการฝึกฝนและกล่าวกันว่าเป็นสำนักที่มีเคล็ดวิชาการฝึกฝนที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าสำนักพันปีศาจ


การฝึกฝนของชายหนุ่มผู้นี้คือเคล็ดวิชาการปรับแต่งปีศาจ สิ่งที่เขาถืออยู่ในมือนั้นสามารถดึงวิญญาณของมนุษย์และทำลายระดับการฝึกฝนได้ พร้อมทั้งเปลี่ยนคนผู้นั้นให้กลายเป็นปีศาจสีเขียว ขณะที่มันถูกปลดปล่อยพลังออกมา ปีศาจเหล่านี้จะแสดงพลังที่น่าเกรงขามและทรงพลังอย่างยิ่ง


ขณะที่เขากำลังถ่มเลือดออกมาสองสามคำเพื่อเรียกวิญญาณออกมา ปีศาจกำลังงุนงง ภายใต้สถานการณ์เลือดเช่นนี้มีควันสีดำพวยพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว สภาพแวดล้อมของหานปิงเอ๋อรายล้อมไปด้วยหมอก ภายใต้หมอกหนาเช่นนั้นมีเหล่าปีศาจมากมายกำลังเรียกร้องให้นางชดใช้อยู่


แต่ในขณะนั้น บุคคลจากสำนักพันปีศาจยังคงคำรามออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมด้วยมือที่ขยายออกเป็นสามสิบฟุตเพื่อทำการโจมตีหานปิงเอ๋อ สำนักพันปีศาจนั้นนับได้ว่ามีเคล็ดวิชาการต่อสู้ของปีศาจนับพันอยู่ภายในสำนัก มันจึงถูกเรียกว่าสำนักพันปีศาจ เคล็ดวิชาที่ชายหนุ่มผู้นี้ใช้ถูกเรียกว่า หัตถ์ปีศาจทมิฬ มือทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยยาพิษซึ่งแม้แต่ผู้ฝึกตนปีศาจด้วยกันก็ไม่อาจต้านทานได้ อีกทั้งเขายังมีสมบัติวิญญาณที่เป็นถุงมืออีกด้วย มันจึงเพิ่มพลังของอาคมที่เขาใช้ได้เป็นอย่างดี เพียงแค่สัมผัสกับพลังที่เขาปล่อยออกมาโดยไม่ต้องสัมผัสร่างกายก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนตายตกไปได้อย่างง่าย


แม้หานปิงเอ๋อแข็งแกร่ง แต่นางทำได้เพียงแค่ป้องกันตนเองจากออร่าที่ถูกปลดปล่อยออกมาเพียงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นนางคงได้รับบาดเจ็บจากพิษ และมันก็เพียงพอที่จะพรากชีวิตของนางได้


สำหรับคนที่ผอมที่สุด เขาไม่ได้น้อยหน้าแต่อย่างใดแม้ว่าจะมาจากสำนักไผ่ขื่นขม สำนักนี้จะเน้นเรื่องของการฝึกฝนร่างกาย แม้ว่าเขาจะมีลักษณะผอมแห้งแต่ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาสามารถเทียบเท่ากับอุปกรณ์วิเศษได้ อีกทั้งเขายังครอบครองสมบัติวิเศษที่ปรับแต่งขึ้นโดยเฉพาะของสำนักไผ่ขื่นขมอีกด้วย นั่นคือตะบองไผ่ขม ในขณะที่มันถูกเรียกใช้งาน มันจะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาขึ้นหนึ่งระดับ กล่าวก็คือในขณะที่เขาคือผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นสิบสาม ถ้าหากเรียกใช้งานเขาจะก้าวเข้าสู่ระดับปฐมภูมิทันที


นอกเหนือจากช่วยให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น มันยังมีอีกความสามารถหนึ่งนั่นคือการหลบซ่อนตัว ดังนั้นผู้ที่มาจากสำนักไผ่ขื่นขมมักจะเป็นนักลอบสังหารที่ร้ายกาจที่สุด


เมื่อหานปิงเอ๋อติดอยู่ในหมอก ชายหนุ่มจากสำนักไผ่ขื่นขมเรียกใช้งานอุปกรณ์โดยทันที ร่างกายนั้นเริ่มสั่นไหวขณะเลือนหายไป แม้แต่เจ้าอ้วนและนักบวชสาวข้างกายยังไม่อาจจับตำแหน่งได้ เมื่อเห็นสถานการณ์พลิกผลันเจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจและคิดภายใน ‘ผู้คนจากสำนักไผ่ขื่นขมถึงกับครอบครองตะบองไผ่อันอัศจรรย์นัก ในอนาคตคงต้องระวังให้มากขึ้นหากพบเจอผู้คนจากสำนักนี้!’


ขณะที่เจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อกำลังเข้าใจอะไรบางอย่าง การเคลื่อนไหวทั้งหมดก่อนหน้านั้นกลายเป็นเรื่องตลก พวกเขาไม่ได้คิดจะหลบหนี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแสดงขึ้นมาเพื่อที่จะซุ่มโจมตี อีกทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสามคนร่วมกันต่อสู้ พวกเขาเข้าขากันได้อย่างดีในการสู้รบ ชายผู้หนึ่งปิดกั้นการมองเห็นของนาง อีกคนหนึ่งเตรียมใช้พิษกับนาง ถ้าทุกอย่างผิดพลาดยังมีชายหนุ่มจากสำนักไผ่ขื่นขมซุ่มโจมตีนางอยู่


ชัดเจนว่าทั้งหมดเป็นแผนการที่ตระเตรียม พวกเขาอาจถึงขั้นฝึกผสมร่วมกันด้วย เพราะเหตุนี้การกระทำจึงลื่นไหลราวสายน้ำหลากและไร้ซึ่งข้อผิดพลาดใด


ขณะรับชม เจ้าอ้วนที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็อดเป็นห่วงความปลอดภัยของหานปิงเอ๋อไม่ได้ ภายในการประสานงานของคนทั้งสาม แม้เป็นเจ้าอ้วนยังไม่อาจพูดได้ว่าจะป้องกันได้


แต่เจ้าอ้วนไม่ได้ประเมินหานปิงเอ๋อต่ำนัก ด้วยความสามารถของนางแน่นอนว่านางย่อมทำได้ แม้ว่าจะพบเจอกับการซุ่มโจมตีที่ไม่อาจคาดคิด ปฏิกิริยาของนางไม่ได้ชักช้าแต่อย่างใด ในความจริงอาจกล่าวได้ว่านางรวดเร็วกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะคาดคิด!


หรือก็คือหานปิงเอ๋อเตรียมตัวตั้งรับเสร็จสิ้นแล้วในขณะที่พวกเขากำลังเคลื่อนไหว ดูจากคลื่นพลังจากมือของนาง ดาบดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์นั้นไม่สนใจสิ่งใด มันตัดผ่านปีศาจทุกตนภายในหมอกหนานี้ เกิดเป็นแสงสีขาวขึ้นภายในพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องของเหล่าปีศาจ จากนั้นชายหนุ่มที่มาจากสำนักไผ่ขื่นขมปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของนาง ร่างนั้นถูกตัดขาดออกเป็นสองท่อนแทบทันที ชีวิตที่สูญไปนั้นเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเคล็ดวิชาของสำนักไผ่ขื่นขมไม่อาจเอาชนะดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ได้แม้เพียงนิด!


บทที่ 147: จับกุม!


ไม่มีผู้ใดสนใจความตายของเด็กหนุ่มที่น่าสงสารผู้นั้น โดยเฉพาะหานปิงเอ๋อที่กำลังถูกคุกคามจากหัตถ์ปีศาจทมิฬ นางยกมือขึ้นเพื่อเรียกเอาดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์กลับมาทันที ภายใต้บรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วน นางเฉือนหัตถ์ปีศาจทมิฬออกเป็นสองสามชิ้น ไม่ว่าสมบัติวิเศษที่เขามีอยู่จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่อมันต้องเผชิญหน้ากับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์มันก็เป็นเพียงเศษเหล็กหยาบกร้านอันหนึ่งเท่านั้น


หลังจากที่สมบัติวิเศษถูกทำลาย เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด โลหิตก้อนใหญ่หลั่งออกมาจากปาก อาการเช่นนี้แน่นอนว่าได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ภายในจิตใจของเขาตอนนี้มีเพียงหนึ่งเดียวคือการหลบหนี แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายเกินไป แสงดาบสีเงินได้ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา มันมาพร้อมกับความหนาวเหน็บที่เย็นเชียบไปถึงกลางใจ หลังจากนั้นร่างกายของเขาขาดเป็นสองท่อนทันทีพร้อมร่วงลงสู่พื้นดินอย่างน่าสังเวช ร่างกายของเขากลายเป็นน้ำแข็งสองก้อนใหญ่พร้อมแตกกระจายทันทีเมื่อกระแทกกับพื้นดิน


เมื่อมองเห็นพี่น้องทั้งสองที่ตายตกไปอย่างรวดเร็วจากการถูกแช่แข็ง ชายหนุ่มที่ยังยืนอยู่เลือกยอมแพ้ เขาหันกลับพร้อมกับเริ่มหนีทันทีอย่างไม่ลังเล เขาสั่งให้เหล่าปีศาจที่ถูกเรียกออกมาป้องกันด้านหลังไว้พร้อมกับหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต


ทว่าหานปิงเอ๋อหรือจะปล่อยให้หนีไปโดยง่าย? นางเพียงหัวเราะออกมาอย่างเย็นเยียบ จากนั้นนางขยับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เบา ๆ จนเกิดเป็นระเบิดไอเย็นออกมาแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ พื้นที่โดยรอบถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์ บริเวณที่เต็มไปด้วยหมอกสีดำในตอนนี้กลายเป็นแดนหิมะไปเรียบร้อย ร่างนั้นกำลังร่วงลงสู่พื้นดินด้วยความงามของน้ำแข็ง เหล่าปีศาจล้วนแข็งตายจนหมดสิ้น


แม้แต่เหล่านักบวชของเจ้าอ้วนยังไม่สามารถจัดการกับความหนาวเย็นเช่นนี้ได้ พวกนางทั้งหมดหนีอย่างไม่ยั้งคิด ขอบคุณสวรรค์ที่ยังมีเหล่าหมอกสีดำและปีศาจในนั้นคอยดึงดูดความสนใจของหานปิงเอ๋อ ไม่เช่นนั้นนางคงตรวจพบสิ่งแปลกปลอมในบริเวณใกล้เคียงอย่างแน่นอน


เจ้าอ้วนรับรู้ได้ทันทีว่านักบวชสาวของเขาทรมานจากความหนาวเย็นมากเพียงใด รูปร่างที่ไร้ตัวตนเช่นนี้ไม่เกรงกลัวอาคมทั่วไป แต่สำหรับความหนาวเย็นเช่นนี้พวกนางไม่อาจจัดการได้ สถานการณ์นี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกกังวล เขายิ่งเข้าใจคำพูดของนักบวชฮัวอวิ๋นที่กล่าวว่ามีเพียงดาบเทวะจิตเหมันต์เท่านั้นที่สามารถจัดการกับร่างกายที่ไร้ตัวตนของพวกนางได้


หลังจากที่หานปิงเอ๋อจัดการกับหมอกดำลงอย่างง่ายดาย สายตาของนางเต็มไปด้วยจิตสังหารเมื่อมองไปยังบุคคลที่กำลังหลบหนี นางกล่าวออกมาอย่างรังเกียจพร้อมหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ยังคิดหนีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์งั้นหรือ? ช่างไร้ไม่รู้อะไรเสียเลย!”


ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางยกมือขึ้นพร้อมกล่าวอย่างนุ่มนวล “ไป!”


สิ่งที่ตามมา ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เปล่งแสงสีเงินออกมาพร้อมกับพุ่งไปหาชายหนุ่มผู้นั้นราวกับสายฟ้า


เพียงเกิดเสียงกรีดร้องออกมาเบา ๆ ดาบพุ่งทะลุเข้ากลางลำตัวเกิดเป็นช่องโปร่งใสทันที แน่นอนว่าการโจมตีนี้ไม่อาจสังหารผู้ฝึกตนได้ อย่างไรแล้วดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ขยับเล็กน้อยพร้อมกับส่งลำแสงดาบออกไปอีกครั้ง มันต้องการที่เฉือนอีกฝ่ายแยกออกไปสิบชิ้นส่วน ซึ่งนั่นจะทำให้ชายหนุ่มผู้น่าสงสารไม่มีแม้แต่ศพของตนเอง แต่ทว่าขณะนั้นดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์สั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับมันรู้ว่าเจ้านายของมันกำลังตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นมันจึงเลือกที่จะหยุดการสังหารไว้เพียงเท่านี้และรีบกลับไปเพื่อปกป้องนายของตนทันที ทว่าพอกลับมา คล้ายมันแตกตื่น บางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเจ้านาย แต่สิ่งที่มันทำได้คือลอยล่องอยู่ในอากาศโดยไม่อาจทำอะไร


ขณะที่หานปิงเอ๋อปล่อยดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ออกไป เจ้าอ้วนตระหนักได้ทันทีว่านี่คือโอกาสสำคัญแล้ว เพราะว่าหานปิงเอ๋อมักจะเก็บดาบไว้ในร่างกายของตนเอง


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันเป็นเรื่องยากที่เหล่าแม่มดของเขาจะจัดการนางได้ถ้าหากนางมีดาบอยู่ใกล้ตัว แน่นอน ถ้าหากพวกนางดันทุรังเท่ากับพวกนางแสวงหาความตายนั่นเอง แต่ในตอนนี้สถานการณ์แตกต่างออกไป หานปิงเอ๋อปล่อยดาบออกไป ซึ่งไม่ต่างกับเปิดโอกาสให้เจ้าอ้วน โดยไม่ต้องกล่าวอันใด เขารีบสั่งให้นักบวชสาวของเขาควบคุมนางทันที


แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุด แต่ระยะเวลาที่นางเกิดมาบนโลกนี้น้อยเกินไป นางอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามเท่านั้น ถ้าหากปราศจากดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ นางจะสามารถปกป้องตนเองจากเหล่าปีศาจเทวะนี้ได้อย่างไร? ดังนั้นนางถูกควบคุมทันทีโดยไม่มีแม้แต่เวลาจะตอบสนองสิ่งใด


แม้ว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จะรู้สึกได้ แต่มันก็ไม่สามารถทำสิ่งใด ถ้าเป็นสิ่งที่มีรูปแบบและกำลังคิดปองร้ายกับเจ้านายของมัน แน่นอนว่ามันจะต้องกลับมาช่วยเหลือได้ทันท่วงที แต่สถานการณ์ตอนนี้ผิดแผกไป เจ้านายของมันถูกควบคุมร่างกายไปเสียแล้ว ถ้าหากมันโจมตีก็เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายเจ้านายของมันเช่นกัน ดังนั้นดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จึงรู้สึกไร้หนทางและหมดหวังที่จะทำสิ่งใด


ในความจริงดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ผู้เดียว เจ้าอ้วนรู้สึกเป็นห่วงเช่นกัน แม้ว่าพลังปราณของดาบจะไม่สามารถทำร้ายเหล่านักบวชของเขาภายใต้ร่างกายของหานปิงเอ๋อ แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้และวนเวียนอยู่รอบตัวของเจ้านายมัน


ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้! เขาเกรงว่าช่วงเวลาที่เขากำลังเดินเข้าไป เขาจะถูกเฉือนออกเป็นชิ้น แน่นอนว่าเขาไม่สนใจที่จะต่อสู้กับสมบัติวิญญาณขั้นเก้าที่กำลังเกรี้ยวกราดเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงติดต่อกับนักบวชสาวของเขาที่อยู่ในร่างกายของหานปิงเอ๋อว่า “เจ้าสามารถทำให้ดาบเทวะจิตวิญญาณนั่นสงบลงได้หรือไม่?”


“นายท่าน ดาบนี่เป็นสมบัติวิญญาณขั้นเก้า อีกทั้งยังเกิดมาจากธรรมชาติสรรสร้าง ดังนั้นการทำเช่นนั้นมันไม่ง่ายเลย!” นักบวชสาวกล่าวเสริม “แต่ปัญญาของมันนั้นก็เพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ก็ไม่ยากเย็นนักหากจะจัดการมัน เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย!”


ในขณะที่เขาได้ยินคำพูดของนาง เจ้าอ้วนรีบตอบกลับทันทีพร้อมรอยยิ้ม “ประเสริฐยิ่งนักถ้าหากเจ้าสามารถจัดการได้ เวลาของเรายังเหลืออีกมาก เจ้าสามารถใช้เวลาได้เท่าที่ต้องการ ในเวลานี้ข้าจะไปกล่าวทักทายกับเหล่าชายทั้งสามที่เพิ่งตายตกไปเสียก่อน!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขารีบเดินออกไปทันที ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จ้องมาที่เขาอย่างรวดเร็วทันทีที่เขาเดินเข้าไปในเขตแดนของมัน ในขณะนั้นเริ่มมีแสงสีเงินและความหนาวเย็นแผ่กระจายออกมาจากดาบ อุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างรวดเร็ว


การกระทำของดาบเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนกลัวจนถึงที่สุด เขายอมจำนนโดยการยกมือขึ้นทั้งสองข้าง จากนั้นเขาเดินอย่างระมัดระวังไปยังศพของชายหนุ่มที่มาจากสำนักพันปีศาจอย่างช้า ๆ


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนกำลังเดินห่างออกไปจากเจ้านายของมัน ดาบหยุดการกระทำนั้นทันที แต่ท่าทางของมันยังคงไม่ลดการป้องกันลงเลย เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้าอ้วนรู้สึกหดหู่และอิจฉา เขาหงุดหงิดที่ไม่สามารถเด็ดดอกไม้งามได้เพียงเพราะเจ้าดาบบ้าที่หวงเจ้านายยิ่งกว่าสิ่งใด พร้อมทั้งอิจฉาหานปิงเอ๋อที่ได้ครอบครองสมบัติวิญญาณที่จงรักภักดีเช่นนี้ด้วย


เจ้าอ้วนเดินมาปรากฏตัวต่อหน้าเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าที่สดใส หน้าอกของเขาปรากฏรูที่โปร่งใสพร้อมทั้งร่างกายถูกแช่แข็ง ไม่มีเลือดไหลออกมาเปรอะเปื้อนแม้แต่หยดเดียว มันเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์มาก


แต่การบาดเจ็บเช่นนี้ไม่เพียงพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นสิบสาม แม้ว่าอาการในตอนนี้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าหากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง แน่นอนว่าเขาจะสามารถฟื้นฟูตนเองได้เป็นปกติ


แต่หลังจากที่เด็กหนุ่มมองเห็นใบหน้าของเจ้าอ้วน เขารู้สึกสิ้นหวังทันที เขารู้ว่าสำนักเสวียนเทียนและหอเฉวียนจี้นั้นเป็นมิตรต่อกัน “สหายผู้น้อง คล้ายว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจะหนักหนาเอาการ!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมใบหน้าที่ชั่วร้าย


แม้รู้ว่าเจ้าอ้วนกำลังหยอกล้อเขาเล่นเพื่อความสนุกสนาน เขายังเผยยิ้มออกมาด้วยความหวังลึก ๆ พร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซ่ง หัตถ์ประกายแสงนั่นเอง!”


“หัตถ์ประกายแสง?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างประหลาดใจ “ข้ามีฉายาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


“อย่าบอกข้าว่าศิษย์พี่ซ่งไม่ทราบ?” ชายหนุ่มกล่าวอธิบายออกมาอย่างตื่นเต้น “ในวันที่ท่านเข้าสู่หุบเขาแห่งนี้ ท่านได้สร้างการต่อสู้ที่น่าประทับใจกับหานปิงเอ๋อแห่งหอเฉวียนจี้ ในขณะนั้นที่ศิษย์พี่ซ่งใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ด้วยมือเพียงข้างเดียวเพื่อป้องกันคลื่นพลังของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ของหานปิงเอ๋อ ช่วงเวลาที่มันปะทะกันเกิดเสียงดังสนั่นและสามารถเปรียบได้กับความอัศจรรย์ อีกทั้งศิษย์พี่ซ่งอยู่ในอาการที่สงบตลอดเวลา เหล่าคนที่รับชมการต่อสู้ครั้งนั้นต่างชื่นชมกันไม่น้อย ดังนั้นหลังจากที่การต่อสู้จบลงพวกเราทั้งหมดจึงยอมรับท่านในชื่อหัตถ์ประกายแสง! ศิษย์พี่ซ่ง นี่คือสิ่งที่ทุกคนมอบให้ท่านจากหัวใจ หวังว่าท่านจะรับไว้!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที! พร้อมกับคิดในใจ ‘หัตถ์ประกายแสง! ฉายานี้นับว่าไม่เลว! แน่นอนว่ามันดีกว่าไขมันบัดซบ! ในที่สุดข้าก็มีชื่อเรียกใหม่เสียที หลังจากที่ใช้ชื่อแห่งความโชคร้ายมายาวนานเหลือเกิน!’


อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังถูกยกยอโดยชายหนุ่มผู้นี้ อารมณ์ของเขาดีขึ้นอย่างมาก เขากล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “หัตถ์ประกายแสงนั้นเป็นชื่อที่ดี แต่ข้าว่ามันดูจะเกินไปสักหน่อย!”


“ท่านถ่อมตนเกินไปแล้ว ชื่อนี้เหมาะกับศิษย์พี่ซ่งมากที่สุด!” ชายหนุ่มยังไม่หยุดยกยอเจ้าอ้วน


เมื่อได้ยินคำกล่าว เจ้าอ้วนอดเผยรอยยิ้มไม่ได้ ใครกันจะทราบว่าเจ้าเด็กสารเลวนี้คิดแผนการชั่วร้ายอันใดอยู่? เพราะเหตุนั้นพอปลาบปลื้มกับชื่อใหม่อยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวธุระการมาครั้งนี้พร้อมรอยยิ้มปีศาจ “ฮ่าฮ่า สหายผู้น้องเข้าใจยกยอยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอมอบของขวัญสุดวิเศษคืนกลับ ขอความตายอันสงบมาสู่เจ้า!”


บทที่ 148: ย่ำยีนางสวรรค์


เมื่อชายหนุ่มได้ยินที่เจ้าอ้วนกล่าว เขาโกรธจนแทบจะอกแตกตายพร้อมร่ำร้องในใจ ‘ข้าได้ย่ำยีศักดิ์ศรีของตนเอง ยกยอปอปั้นเจ้า แต่เจ้ากลับไม่คิดจะช่วยเหลือข้าอีกทั้งยังมีความตั้งใจจะสังหารข้าอีก ไขมันสารเลวชื่อนี้เหมาะกับเจ้ายิ่งนัก!’


ทว่าตอนนี้ชีวิตตกอยู่ในกำมือเจ้าอ้วน แม้ว่าเขาจะโกรธสักแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจแสดงมันออกมาได้แม้แต่น้อย ดังนั้นเขารีบกล่าวอย่างอ้อนวอน “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ซ่งฟังข้าก่อน ชีวิตของน้องชายผู้นี้ไร้ค่ายิ่งนัก ตราบใดที่ท่านยินดีจะช่วยเหลือ ข้ายินดีจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ท่าน!”


“ฮ่าฮ่า!” เจ้าอ้วนเผยยิ้มกว้าง พร้อมกันเขาหยิบกระเป๋ามิติของชายหนุ่มขึ้นมาพร้อมกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเจ้างั้นหรือ? ทำไมข้าไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดน่าสนใจเลยล่ะ? อืม อย่าบอกนะว่าสิ่งของที่ต้องสูญเสียในการสู้รบนั้นคือสมบัติของเจ้า?”


“คือว่าเรื่องนั้น…” เมื่อเห็นการกระทำที่น่ารังเกียจของเจ้าอ้วน เขาแทบจะกระอักเลือดตายอยู่ตรงนั้น ณ ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและทรัพย์สินทั้งหมดถูกฉกฉวยไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับไขมันบัดซบผู้น่ารังเกียจ ไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็ชัดเจนว่ามีแต่ความตายที่รออยู่!


แต่ชายหนุ่มผู้นี้เป็นถึงศิษย์แห่งสำนักพันปีศาจ แน่นอนว่าเขาย่อมมีปัญญาที่ดีพอสมควร ในพริบตาคล้ายคิดอะไรดีงามได้ จากนั้นจึงกล่าวออกมาอย่างอ่อนน้อม “ข้าขอถามศิษย์พี่ซ่งสักคำ บิดาของท่านคือผู้ที่จะได้รับการสืบทอดตำแหน่งจ้าวสำนักเสวียนเทียนใช่หรือไม่?”


“หืม?” ในขณะที่เขาได้ยินเจ้าเด็กนี่กล่าวถึงบิดาของเขา มันทำให้เขาตกใจไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นเขาตอบกลับพร้อมขมวดคิ้วแน่น “อืมถูกต้องแล้ว บิดาของข้าเป็นเด็กกำพร้าถูกรับเลี้ยงโดยจ้าวสำนัก ทำไมเจ้าจึงถามเรื่องนี้?”


“ฮี่ฮี่!” ชายหนุ่มยิ้มสดใส จากนั้นเขาจึงกล่าวออกมาอย่างมีเลศนัย “ศิษย์พี่ซ่ง ครอบครัวของท่านสูญหายไปอย่างลึกลับเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านทราบรายละเอียดเชิงลึกหรือไม่?”


“หืม?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนสีพร้อมคำรามออกมาเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้!?”


“ฮี่ฮี่!” เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเจ้าอ้วนเริ่มควบคุมตนเองไม่ได้ เขารู้ได้ทันทีว่านี่คือจุดอ่อน ตอนนี้เขาเลิกกังวลว่าเจ้าอ้วนจะสังหารอีกต่อไป จากนั้นเขากล่าวต่อด้วยความเริงร่า “ศิษย์พี่ซ่ง ตราบใดที่ท่านคืนสิ่งของพวกนั้นให้กับข้า และสาบานว่าจะปล่อยข้าไป ข้าสัญญาว่าจะเล่าทุกอย่างที่ข้ารู้ให้ท่านฟัง!”


ขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินที่สหายผู้สารเลวตรงหน้ากล่าวเงื่อนไขเหล่านี้ออกมา เขารู้สึกหงุดหงิดและกล่าวตอบอย่างรังเกียจ “แน่นอนว่าทรัพย์สินของเจ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้า แต่ข้ากังวลว่าข้าจะได้รับเพียงข่าวเล็กน้อย!” เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเจ้าอ้วนไม่ได้แยแสมากนัก เขารีบกล่าวทันที “เป็นไปไม่ได้ นอกเหนือจากข้าแล้วมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกทั้งหลังจากที่เราออกจากหุบเขาแห่งนี้ศิษย์ทั้งหมดจะกลับเข้าสำนักของตนเองเพื่อฝึกฝน และท่านไม่อาจค้นหาพวกเขาพบ! ศิษย์พี่ซ่ง ถ้าหากท่านละเลยโอกาสเช่นนี้ ท่านจะไม่พบเบาะแสอื่นอีกเลย! อย่าบอกนะว่าท่านไม่เต็มใจที่จะชำระแค้นให้กับบิดาของตนเองเพียงเพราะต้องการทรัพย์สมบัติของข้า?”


“เหอะ แน่นอนว่าสักวันข้าจะต้องค้นพบเรื่องราวของครอบครัวข้าอย่างแน่นอน สำหรับความลับพวกนั้นข้าจะต้องค้นพบมันได้แน่!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมหัวเราะเสียงเบา “เหอะ ข้าต้องขออภัยที่ไม่อาจรับข้อเสนอ เรื่องราวเหล่านี้มันจะต้องถูกเปิดเผยในสักวัน!”


“เป็นไปไม่ได้ ข้าขอกล่าวอะไรกับท่านสักอย่างนะศิษย์พี่ซ่ง พวกเราที่เกิดมาในสำนักปีศาจนั้นพบความยากลำบากมามากมายนัก ถ้าคิดว่าเราจะส่งข้อมูลให้ท่านเพียงแค่ท่านจับพวกเรามาทรมาน! แม้ว่าท่านจะสังหารข้า ข้าก็จะไม่มีวันเอ่ยออกมา!” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเคร่งเครียด


“เหอะ อย่ากังวลไปเลย ข้าไม่ต้องใช้วิธีนั้นหรอก แต่เจ้าจะบอกกับข้าด้วยตนเอง!” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น เขาโบกมือขึ้น หลังจากนั้นปรากฏรูปร่างที่คลุมเครือขึ้นตรงหน้าของชายหนุ่ม


เนื่องจากเขามาจากสำนักพันปีศาจ เขาย่อมรู้ทันทีว่านี่คือรูปร่างไร้ตัวตนของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ในขณะที่เขาเห็นเจ้าอ้วนเผยไผ่ตายออกมา เขารีบกล่าวออกมาอย่างกระวนกระวาย “ปีศาจเทวะ! นี่คือปีศาจเทวะในภาพแห่งหญิงงามทั้งเก้างั้นหรือ? สวรรค์ช่วย เจ้าครอบครองมันได้ยังไงกัน!”


“ข้าเพียงแค่สังหารสหายน้อยยู่เฟิงก็เท่านั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าควรจะพักผ่อนได้แล้ว!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ปีศาจเทวะเข้าควบคุมร่างกายของชายหนุ่มทันทีตามคำสั่งของเจ้าอ้วน


ชายหนุ่มร่ำไห้ออกมาทันที แต่มีเพียงเสียงเล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถเล็ดลอดออกมาได้ จากนั้นเขาถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ “นายท่าน ข้าสามารถควบคุมได้แล้ว!”


“ดีมาก ช่วยค้นหาความทรงจำเรื่องครอบครัวของข้าที!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างสบายอารมณ์


“ข้าค้นพบแล้ว!” นักบวชสาวตอบกลับอย่างรวดเร็ว “นี่คือเรื่องที่ข้าค้นพบ ในสองสามปีที่ผ่านมา เขาผู้นี้ได้พูดคุยกับอาจารย์ของเขา อาจารย์เล่าให้ฟังว่าได้เข้าซุ่มโจมตีผู้ฝึกตนสองคนที่กำลังจะได้รับสืบทอดให้เป็นจ้าวสำนักคนต่อไปของสำนักเสวียนเทียน!”


“ซุ่มโจมตีงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่าสำนักพันปีศาจล่วงรู้มาก่อนว่าครอบครัวของเขาจะต้องไปที่นั่น จากนั้นพวกเขาจึงถูกสังหารอย่างไร้ร่องรอย โดยตอนนี้ยังไม่ทราบว่าพวกเขาทั้งสองหายไปไหน สำนักเสวียนเทียนระบุว่าพวกเขาตายตกไปเพราะหยกประจำตัวของพวกเขาแตกสลาย แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ร่างกายของพวกเขาก็ยังไม่มีใครค้นพบ


เจ้าอ้วนรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้คล้ายซับซ้อนยิ่งกว่าที่เห็น ภายในเทือกเขามีผู้ฝึกตนจำนวนมากที่ตายตกไปไม่ทราบสาเหตุ แม้ว่าเจ้าอ้วนอยากจะตรวจสอบเรื่องครอบครัวของตนมากเพียงใด แต่มันก็ไม่เคยมีเบาะแสเลย ในตอนนี้เขาไม่เคยคาดคิดว่าฆาตกรจะมาจากสำนักพันปีศาจ สิ่งที่ทำให้เจ้าอ้วนประหลาดใจมากที่สุดคือคำว่า ซุ่มโจมตี แน่นอนว่าคำนี้ทำให้เขาคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าครอบครัวเขาถูกทรยศจากเหล่าคนใน ถ้าหากไม่ใช่เช่นนั้น คนจากสำนักพันปีศาจคงไม่อาจค้นพบตำแหน่งของพวกเขาได้


เมื่อคิดได้ ความโกรธของเจ้าอ้วนพวยพุ่ง เขาพยายามควบคุมอารมณ์ของตนไว้พร้อมถามออกไปอีกครั้ง “อาจารย์ของมันชื่ออะไร?”


“นามว่าเมิ่งซู ฉายาคือวิญญาณร้าย เป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันขั้นกลาง!” นักบวชสาวตอบ


“เจ้าทราบหรือไม่ว่าสารเลวตัวนั้นมันอยู่ที่ใด?” เจ้าอ้วนถามออกไปอีกครั้ง


“ไม่ทราบ เรื่องนี้ได้ยินเพียงครั้งเดียวตอนอาจารย์เมาสุรา หลังจากนั้นอาจารย์ไม่เคยกล่าวสิ่งใดอีกเลย หลังจากเหตุการณ์นั้นอาจารย์ยังเตือนว่าไม่ให้เหล่าศิษย์แพร่กระจายเรื่องนี้ออกไป ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา!” นักบวชสาวตอบกลับอย่างรวดเร็ว


“ปัญหาใหญ่ยักษ์กำลังจะล้มทับมัน!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างเคียดแค้น “ตอนนี้ข้ารู้เรื่องแล้ว ไอ้สารเลวนั่นไม่มีวันจะอยู่อย่างเป็นสุขอีกต่อไป!”


“จะว่าไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกมันจึงต้องซุ่มโจมตีครอบครัวข้า?” เจ้าอ้วนพลันนึกบางสิ่งได้จึงถามออก “เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับจินตัน เหตุใดมันจึงสนใจครอบครัวของข้า? มันพยายามซุ่มโจมตีมือใหม่ทั้งสองคนเพื่อสิ่งใดกัน? พวกมันไร้ซึ่งยางอายหรืออย่างไร การกระทำเช่นนี้เท่ากับการคุกคามสำนักเสวียนเทียน ไม่ว่าข้าจะมองอย่างไรมันดูไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้!”


นักบวชพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ร่างกายนี้ไม่ทราบสิ่งอื่นใดอีก!”


“งั้นก็ปล่อยมันไป ความดีงามของมันคือมอบข้อมูลให้แก่ข้า เท่านี้นับว่าเพียงพอแล้ว ให้มันเจ็บปวดน้อยที่สุดแล้วกัน!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาสั้น ๆ


“ได้ตามที่นายท่านต้องการ!” นักบวชสาวตอบกลับ จากนั้นนางควบคุมชายหนุ่มให้ยกมือขึ้นและโจมตีเข้าใส่ศีรษะ พร้อมกันนั้นเสียงระเบิดจึงดังออก


เจ้าอ้วนมองฉากนี้อย่างไม่แยแสพร้อมหยิบกระเป๋ามิติทั้งสามใบออกมา คล้ายโชคหลุดลอย ท่ามกลางผู้ฝึกตนทั้งสามกลับครอบครองผลไม้วิญญาณเพียงแค่สองผล


เรื่องนี้ยิ่งทำให้เจ้าอ้วนหดหู่ยิ่งกว่า แต่เขาปรับอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อนักบวชอีกคนได้ส่งข่าวใหม่มาให้ ตอนนี้นางสามารถควบคุมหานปิงเอ๋อได้แล้ว และทำให้ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์สงบลงอีกด้วย มันนอนนิ่งอยู่บนพื้นและหยุดการปกป้องหานปิงเอ๋อโดยสมบูรณ์


นักบวชสาวที่ควบคุมหานปิงเอ๋อได้กล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “นายท่าน ข้าทำสำเร็จแล้ว! ข้ารอท่านอยู่ที่นี่เพื่อให้ท่านมารื่นรมย์!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางใช้มือของตนเองเปิดเสื้อผ้าบริเวณหน้าอก เผยให้เห็นเนินขาวสองลูกที่ซ่อนอยู่ภายใน แม้ว่าขนาดของนางไม่อาจเทียบเท่ากับเหล่าปีศาจเทวะ แต่ความงามแบบสาวแรกรุ่นนั้นน่าหลงใหลเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นหานปิงเอ๋อซึ่งจัดอยู่ในบุคคลชั้นสูง มันทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น


พอเจ้าอ้วนเห็นดังนั้น ก็รีบพุ่งเข้าหาโดยทันที คล้ายได้รับอิสระภาพแห่งกามอารมณ์ เจ้าอ้วนใช้ริมฝีปากเพลิดเพลินไปกับร่างกายที่งดงามอย่างเต็มที่


กลิ่นหอมจากร่างของนางทำให้เจ้าอ้วนอารมณ์พลุ่งพล่านจนถึงที่สุด คลื่นแห่งความปรารถนาอัดแน่นเต็มท้องของเขา ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ไม่อาจบรรยายออกมาได้


ลมหายใจที่หอบอย่างหนักทำให้เจ้าอ้วนไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป เขาฉีกเสื้อผ้าทั้งหมดของนางออก ร่างกายที่งดงามอย่างไร้ที่ติถูกเปิดเผยอยู่ตรงหน้า เจ้าอ้วนได้พบหญิงงามมากมายหลายคนในช่วงชีวิตที่ผ่านมา แต่ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์เช่นนี้ ร่างกายของนางเปรียบกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน


ในขณะนั้นเจ้าอ้วนเสียการควบคุมตนเองอย่างสมบูรณ์ เขาคำรามพร้อมเดินหน้ากระทำการเช่นนั้นอย่างเต็มกำลัง มือและปากของเขาไม่ว่างจะทำสิ่งอื่นใดนอกจากคุกคามร่างกายอันงดงาม อีกทั้งเหล่านักบวชสาวยังมาช่วยเจ้าอ้วนถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนให้เขากลายเป็นพยัคฆ์ไร้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว


แต่ในขณะที่เขากำลังจะใช้อาวุธพิเศษเพื่อจัดการกับนาง มันกลับยากลำบากเพราะนี่คือครั้งแรกของหานปิงเอ๋อ แต่แล้วกลับมีภาพปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา นั่นคือภาพของหญิงสาวที่งดงามกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ศิษย์พี่ซ่ง ให้อภัยนางแม้ว่านางจะทำผิดต่อท่าน!”


เจ้าอ้วนตื่นขึ้นจากไฟแห่งราคะ เพราะนั่นคือภาพสุดท้ายที่ฉุ่ยจิ้งทิ้งไว้ เขาส่ายหัวพร้อมตบหน้าตนเองและกล่าวอย่างขำขัน “โอ้ ข้าทำไม่ได้! แม้ว่าข้าจะมีความแค้นกับสตรีนางนี้ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ดีหากข้าจะข่มขืนนางโดยเหตุผลเพียงเท่านี้ ข้าทำไม่ได้ ถ้าหากทำเช่นนั้นข้าคงไม่ต่างจากเหล่าอสูรกาย!” เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนหยุดมือลง ปีศาจเทวะทั้งเก้าอยู่ในสภาวะมึนงงไปวูบ หนึ่งในนั้นถามออกมา “นายท่าน นางก็เป็นหญิงสาวหรือไม่ใช่? แล้วมันจะเกิดสิ่งใดขึ้นถ้าหากท่านข่มขืนนาง มันจะสร้างปัญหาใหญ่งั้นหรือ?”


“อย่าบอกนะว่านายท่านกลัวปัญหาที่จะตามมาในอนาคต? ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราจะลบความทรงจำของนาง อีกทั้งเรายังสามารถทำให้นางเงียบได้ตลอดชีวิต เท่านี้ก็จะไม่มีผู้ใดทราบเรื่องแล้ว นายท่านไม่ต้องกังวลสิ่งใด!”


“ไม่ใช่!” เจ้าอ้วนส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “ข้าไม่ได้กลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ข้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถตอบตนเองในอนาคตต่างหาก พวกเราล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนที่มีอนาคตอันสดใสรออยู่ ถ้าหากข้าไม่สามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ ข้าคงจะต้องถูกทำลาย! อีกทั้งข้าคงไม่อาจฝันถึงอนาคตอันสวยงามได้!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาลุกขึ้นพร้อมกับแต่งตัว “ปล่อยให้เรื่องนี้จบลงเท่านี้! แม้ว่าซ่งจงจะไม่ได้เต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่ข้าจะไม่กระทำตนน่ารังเกียจเช่นนี้เด็ดขาด ความแค้นทั้งหมดสิ้นสุดลงแล้ว!”


“จบลงเท่านี้?” เหล่าหญิงสาวถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นายท่าน นางแทบจะทำให้ท่านพิการ! ท่านจะปล่อยนางไปแบบนั้นได้อย่างไรกัน?”


“ใช่แล้ว!” สตรีนางอื่นเห็นด้วยพร้อมถามกลับ “แม้ว่าท่านจะไม่ข่มขืนนาง แต่นางควรต้องตอบแทน!”


“ตอบแทน?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วพร้อมถามต่อ “ยังไงกันล่ะ?”


“เหตุใดนายท่านไม่ให้พวกเราจัดการเสียล่ะ?” จากนั้นเหล่าปีศาจเทวะแนะนำแผนการให้กับเจ้าอ้วน


เดิมทีเจ้าอ้วนมีปมในใจกับหานปิงเอ๋อเป็นการส่วนตัว แต่เขาไม่อยากให้เรื่องราวเลยเถิดเพราะการแก้แค้น เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเขาสว่างขึ้นมาพร้อมคิดกับตนเอง ‘นี่เป็นแผนที่ดี มันทำให้ข้าได้ระบายความโกรธได้บ้าง อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอีกด้วย’


เมื่อคิดได้เช่นนั้น เจ้าอ้วนพยักหน้าและยอมรับแผนของเหล่าปีศาจเทวะ หลังจากนั้นเขาหยิบเอาชุดชั้นในของนางออกมาพร้อมละสายตาจากร่างกายของนางอย่างไม่เต็มใจนัก เขาหันหลังพร้อมกับถอนหายใจ แม่มดเหล่านี้จะจัดการให้เขาเองโดยที่เขาไม่ต้องทำสิ่งใด สองชั่วโมงถัดมาหานปิงเอ๋อตื่นขึ้น นางรู้สึกว่าได้รับความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายโดยเฉพาะร่างกายส่วนล่าง นางรีบลืมตาขึ้นพร้อมกับตรวจสอบความเจ็บปวดของตนเองทันที


ในขณะนั้นเองนางพบว่าตนเองนอนเปลือยเปล่าอยู่กับพื้น บนร่างกายที่ขาวราวกับหิมะของนางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ โดยเฉพาะหน้าอกคู่นั้นของตนที่เต็มไปด้วยรอยฟันมากมาย! นอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้หานปิงเอ๋อรู้สึกโกรธจัดในตอนนี้คือความเจ็บปวดที่บริเวณนั้นของตนเอง


หญิงสาววัยแรกรุ่นจะเข้าใจเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อนางไม่เคยพบเจอมันมาก่อน? สิ่งแรกที่นางคิดคือนางได้สูญเสียความบริสุทธิ์ของตนเอง มันถูกทำลายโดยสัตว์ร้ายบางตน ด้วยความโกรธจัด ทำให้นางละเลยสิ่งเล็กน้อยที่ว่าเลือดบนบริเวณนั้นมันไม่ใช่ของนาง


สิ่งเหล่านี้ถูกละเลยเพียงเพราะความโกรธ หานปิงเอ๋อรู้สึกคับแค้นใจอย่างยิ่ง นางเป็นถึงศิษย์ผู้แข็งแกร่งที่สุดภายในหอเฉวียนจี้ อีกทั้งไม่เคยเผยจุดอ่อนกับผู้ใดมาก่อน ตอนนี้สิ่งที่นางทำได้คือลุกขึ้นและล้างคราบเลือดออกช้า ๆ พร้อมกับแต่งตัวใหม่อีกครั้ง นางหยิบดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ขึ้นมาพร้อมแตะเบา ๆ ด้วยจิตสังหารที่เต็มเปี่ยม “ร่างกายที่ไร้ตัวตนของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้างั้นหรือ ยู่เฟิงจากสำนักพันปีศาจและเหล่าปีศาจเทวะของมันสินะ ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นศพไร้ญาติ!”


บทที่ 149: ความคลั่งของสตรี!


ไม่นานหลังจากที่หานปิงเอ๋อจากไป เจ้าอ้วนโผล่ออกมาจากป่าด้านหลัง เขาเพียงแค่ซ่อนตัวและเฝ้ามองกระบวนการของเหล่าปีศาจเทวะ รวมถึงฉากการอาบน้ำของนางทั้งหมด


บ่อน้ำทั้งหมดถูกนางแช่แข็งโดยสมบูรณ์ เขาได้แต่บ่นพึมพำอย่างช่วยไม่ได้ “สวรรค์ ในเวลาที่เฝ้ามองหญิงสาวอื่นอาบน้ำ ข้ารู้สึกว่าร่างกายถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง แต่ขณะที่ข้ามองดูหานปิงเอ๋ออาบน้ำ นางสามารถทำให้บรรยากาศโดยรอบถูกแช่แข็งพร้อมทั้งแผ่จิตสังหารออกมามากเกินไป ขอบคุณสวรรค์ที่ข้าไม่ได้เข้าไปอยู่ในสมองของนาง ด้วยความแข็งแกร่งของนาง ทุกอย่างถูกจัดการโดยปีศาจเทวะจนหมดสิ้น นางจึงเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คือการโจมตีของร่างกายไร้ตัวตนของเหล่าปีศาจเทวะ อีกทั้งนางยังไม่รู้ว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้เปลี่ยนเจ้านายแล้ว เรื่องเหล่านี้คงไม่สามารถโยงมาถึงข้าได้ แน่นอนว่านางจะต้องเดินออกไปเพื่อค้นหายู่เฟิงแห่งสำนักพันปีศาจเพื่อแก้แค้น เหอะเหอะ! สิ่งที่น่าสนใจในตอนนี้คือความเกรี้ยวกราดของเทพธิดา! ใครกันจะสามารถหลบหนีดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์นี้ได้? พวกเขาทั้งหมดจะต้องหายสาบสูญไปอย่างแน่นอน! ฮ่าฮ่า ข้าชื่นชอบเรื่องราวเช่นนี้ที่สุด!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนหยิบเอาชั้นในของหานปิงเอ๋อออกมาจากเสื้อคลุมพร้อมสูดเข้าไปลึก ๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นเขาบ่นกับตนเอง “ไม่ ข้าจะต้องปกป้องนาง มันจะเป็นการดีถ้าหากเราปกป้องความงามนั้นไว้! หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ ข้าไม่สามารถปล่อยให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์จากร่างกายของนางได้แน่!” เมื่อคิดเช่นนั้น เจ้าอ้วนสั่งให้ปีศาจเทวะที่อยู่ในร่างไร้ตัวตนติดตามหานปิงเอ๋อไปหนึ่งตน ตามกำหนดการล่าผลไม้วิญญาณ ในเวลานี้ศิษย์ทุกคนจะต้องเดินไปยังประตูเคลื่อนย้ายได้แล้ว ซึ่งมันห่างจากตรงนี้ประมานหนึ่งร้อยลี้ มันจะส่งทุกคนออกไปยังพื้นที่ด้านนอกซึ่งก็คือจบการล่าผลไม้วิญญาณ ถ้าหากไม่สามารถออกไปได้ทันเวลา พวกเขาทั้งหมดสามารถเดินออกไปได้ด้วยตนเอง แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาและความพยายามอย่างมาก ซึ่งหากได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหล่าอสูรกายภายในหุบเขาแห่งนี้ ทุกสิ่งจะยากลำบากขึ้นทันที ดังนั้นจึงไม่ควรมีผู้ใดคิดพลาดโอกาสนี้เด็ดขาด


สำหรับเหตุผลที่ต้องมีสองประตูคือป้องกันผู้ฝึกตนที่ชอบธรรมและปีศาจพบเจอกัน พวกเขามักจะต่อสู้กันเสมอ เพื่อป้องกันการสูญเสียศิษย์น้ำดีของสำนัก แม้ว่าจุดประสงค์หลักของการทำภารกิจนี้คือการค้นหาผลไม้วิญญาณ แต่เหล่าศิษย์สามารถต่อสู้กันได้เสมอ ดังนั้นวิธีนี้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด


ไม่มีใครรู้ว่าเหล่าอาวุโสนั้นคิดเห็นอย่างไร ประตูเคลื่อนย้ายภายในหุบเขานี้ถูกสร้างขึ้นอย่างดี พื้นสีฟ้าหลายร้อยฟุตถูกสร้างขึ้นจากอาคม หลังจากที่ใช้งานประตูเคลื่อนย้ายแล้ว จะพบกับห้องโถงขนาดยักษ์ที่ไร้กำแพง ด้านหน้าของมันมีศาลาและพื้นที่สำหรับพักผ่อนให้กับเหล่าศิษย์อีกด้วย


สองวันก่อนที่การล่าจะสิ้นสุดลง ศิษย์ส่วนใหญ่เดินทางมาถึงประตูเคลื่อนย้ายแล้ว สำหรับประตูเคลื่อนย้ายของสำนักปีศาจ มีผู้ฝึกตนราวสามสิบคนเดินทางมาถึงและเริ่มพักผ่อน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับบุคคลอื่น แต่พวกเขาก็อยู่ในท่าทีที่ระมัดระวังและไม่ล้ำเส้นใคร อีกทั้งยังมีการเตรียมยันต์และดาบบินเพื่อเตรียมพร้อมตั้งรับสถานการณ์ไม่คาดฝันไว้เสมอ เห็นได้ชัดว่าทุกคนนั้นกลัวการถูกทรยศหรือฉกฉวยสมบัติในตอนนี้


“พวกเจ้าได้ยินเรื่องหานปิงเอ๋อแห่งหอเฉวียนจี้บ้างหรือไม่ นางดูราวกับคนบ้าไปแล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานางสังหารทุกคนที่นางพบเห็น ไม่ใช่แค่เหล่าผู้ฝึกตนบนเส้นทางปีศาจเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ทว่าผู้ฝึกตนฝ่ายนางโดนกระทำด้วยเช่นกัน ทุกคนตายตกไปเพราะดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา


“เหตุใดข้าจึงไม่ได้ยินเรื่องราวเช่นนี้เลย? นางดูร้ายกาจยิ่งกว่าพวกเราที่เดินบนเส้นทางของปีศาจเสียอีก ระหว่างทางที่ข้ามาสถานที่แห่งนี้ ข้าพบศพของเพื่อนร่วมสำนักสองคน สวรรค์ พวกเขาถูกหั่นออกเป็นแปดชิ้น จากบาดแผลเห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกหั่นเป็นชิ้นก่อนที่จะตายเสียอีก นางมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำเช่นนี้ด้วย” ผู้ฝึกตนที่สวมชุดยาวสีดำกล่าวเสริม


“ไม่ใช่แค่นั้น ข้าเห็นหานปิงเอ๋อราวกับแม่มด นางสามารถสังหารผู้คนได้อย่างรวดเร็วแต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น นางเลือกใช้วิธีทรมานพวกเขาอย่างช้า ๆ จากนั้นนางจึงจะหั่นแขนและขาของพวกเขาทิ้งทีละท่อน” ผู้ฝึกตนอีกคนกล่าวเสริมขึ้นมา


“กล่าวเกินจริงมากไปแล้ว! เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นได้? แม้ว่านางจะไม่ค่อยถูกชะตากับพวกเรา แต่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำถึงขนาดนี้กัน?” อีกคนกล่าวเสริม “ในขณะนั้นข้าได้ยินหานปิงเอ๋อถามหาเบาะแสของยู่เฟิง จากการแสดงออกที่น่ากลัวของนาง ดูเหมือนว่านางจะต้องสูญเสียสิ่งใดให้กับยู่เฟิงมาก่อน ดังนั้นนางจึงต้องการที่จะชำระแค้น!” ผู้ฝึกตนในชุดเหลืองกล่าวออกมา


“หืม งั้นหรือ? ฮ่าฮ่า เรื่องนี้ท่าทางจะสนุก! พวกเรารู้ดีว่านายน้อยยู่เฟิงของเราเป็นเช่นใด เขามาจากสำนักพันปีศาจ อีกทั้งเขายังเป็นจอมเผด็จการอีกด้วย ถ้าหากว่าหานปิงเอ๋อเผชิญหน้ากับเขาด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นนั้น ไม่คิดว่าน่าสนุกไม่ใช่น้อยหรือไร?” อีกคนกล่าวเสริมอย่างออกรส


“อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะนายน้อยยู่เฟิงข่มเหงนาง?” อีกคนกล่าวออกมาอย่างตกใจ


“ข้าไม่คิดว่าเพียงแค่การข่มเหงจะสามารถทำให้หานปิงเอ๋อบ้าคลั่งได้ ถูกไหม?” อีกคนถาม


“ฮ่า อย่าบอกนะว่านางถูกข่มขืนโดยนายน้อยยู่เฟิง?” เด็กหนุ่มชุดเหลืองกล่าวออกมา


“เหอะเหอะ ข้าเกรงว่านี่จะเป็นคำอธิบายเดียวที่ถูกต้อง ทุกคนรู้ดีว่านายน้อยยู่เฟิงนั้นครอบครองภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า สิ่งนี้แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ อีกทั้งรวมกับความแข็งแกร่งของเหล่าปีศาจเทวะไร้ตัวตน มันไม่ใช่เรื่องที่เกินกำลังเลยถ้าหากเขาจะสามารถจับกุมหานปิงเอ๋อในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่!” อีกคนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะอย่างร่าเริง


“แต่ทำไมนายน้อยยู่เฟิงจึงไม่สังหารนางหลังจากเสร็จกิจ?” อีกคนถามอย่างสงสัย “หรือพอได้สนุกสนานร่วมด้วยจึงใจอ่อนขึ้นมา?” อีกคนกล่าวเสริม


“ฮ่าฮ่าฮ่า” สำหรับผู้ฝึกตนปีศาจที่ยืนอยู่ละแวกนั้นหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน


แต่ในขณะที่พวกเขากำลังครื้นเครงอยู่นั้น ความหนาวเย็นไร้รูปร่างได้พัดผ่านร่างกายของพวกเขา อากาศเย็นเยือกนี้น่าหวั่นเกรงเกินไป ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนไม่อาจอดทนต่อสภาพอากาศเช่นนี้ได้


จากนั้นทุกคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นรู้สึกถึงจิตสังหารอันรุนแรง ความกลัวสั่งให้พวกเขาทั้งหมดยืนขึ้นทันทีเพราะการมาเยือนของศัตรู สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังต้นทางทันที ตรงหน้าของพวกเขามีสตรีชุดขาวยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร คลื่นความหนาวเย็นแผ่กระจายออกมาจากร่างกายและดาบของนาง


ไม่ต้องสงสัยสตรีผู้นี้คือหานปิงเอ๋อที่พยายามตามหายู่เฟิงเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว ไม่กี่วันที่ผ่านมานางได้สังหารเหล่าผู้ฝึกตนไปมากมาย แต่นางก็ยังไม่สามารถค้นหายู่เฟิงพบ นางจึงตัดสินใจที่จะออกมาด้านนอกและสังหารผู้ฝึกตนปีศาจที่รวมกลุ่มกันอยู่หลังประตูเคลื่อนย้ายแทน


ในขณะที่ผู้ฝึกตนปีศาจมองเห็นหานปิงเอ๋อ ทุกคนอยู่ในสภาวะตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ จากนั้นพวกเขากระจายตัวไปรอบหานปิงเอ๋อและล้อมนางเอาไว้โดยทันที


ผู้ฝึกตนปีศาจที่อยู่ห่างจากนางไม่กี่ร้อยฟุตตะโกนถามนางว่า “หานปิงเอ๋อเจ้ามาทำอะไรที่นี่!” หานปิงเอ๋อไม่ใส่ใจกับบุคคลเหล่านี้ นางเริ่มการถามไถ่ทันที “ยู่เฟิงอยู่ที่ใด!”


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีผู้ฝึกตนปีศาจคนไหนกล้าที่จะเผชิญหน้ากับหานปิงเอ๋อ แต่ทว่าพวกเขาได้เปรียบด้านจำนวนจึงทำให้มีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้น


ผู้ฝึกตนรายหนึ่งถามขึ้นมาอย่างไม่อาจอดกลั้น “เจ้าจะค้นหานายน้อยยู่เฟิงเพื่ออะไร? อย่าบอกข้านะว่าเจ้าต้องการหาใครสักคนเพื่อมาผ่อนคลายกับความตึงเครียดที่ผ่านมา?”


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ผู้ฝึกตนปีศาจโดยรอบหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง


เดิมทีชายผู้นี้ต้องการจะหยอกล้อนางเท่านั้น แต่หลังจากที่หานปิงเอ๋อได้ยินจบคำ ผลลัพธ์ของมันแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะหลังจากที่เจ้าอ้วนได้ล้ำเส้นของหานปิงเอ๋อ เขาเลือกที่จะไม่หยิบกระเป๋ามิติของนางไว้ แม้แต่ผลไม้วิญญาณทั้งสี่ผลยังอยู่กับนางเช่นเดิม ซึ่งนี่ถือเป็นความภาคภูมิใจของเจ้าอ้วนอย่างมาก แต่ใครเล่าจะรู้ว่านี่คือความผิดพลาดของเขา!


ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือยู่เฟิงเป็นผู้ฝึกตนบนเส้นทางอันชั่วร้ายอีกทั้งยังโหดเหี้ยม ถ้าหากว่าเขาข่มขืนหานปิงเอ๋อ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างมากที่เขาปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป อีกทั้งเขายังไม่สัมผัสกับสมบัติที่นางมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้วิญญาณทั้งสี่ผล การกระทำเช่นนี้มันคือการกระทำของผู้ฝึกตนปีศาจงั้นหรือ? แม้ว่าผู้ฝึกตนที่เต็มไปด้วยความชอบธรรมอย่างเช่นหานปิงเอ๋อ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นแน่นอนว่านางจะต้องหยิบฉวยเอาผลไม้วิญญาณอย่างแน่นอน


หานปิงเอ๋อไม่ใช่คนบ้าแต่อย่างใด เหตุการณ์ก่อนหน้าที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความโกรธของนาง นางเริ่มคิดได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเมื่อไม่กี่วันหลังจากนั้น ยู่เฟิงไม่สามารถกระทำการซื่อสัตย์เช่นนั้นได้อย่างแน่นอน


แม้ว่านางจะหายู่เฟิงพบในตอนนี้ นางจะไม่โจมตีเขาโดยทันที แต่ทว่านางต้องพูดคุยกับเขาก่อน แต่เมื่อนางได้ยินศิษย์ร่วมสำนักของอีกฝ่ายกล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกอย่างราวกับว่ายู่เฟิงยอมรับแล้วว่าเขากระทำเช่นนั้นลงไปจริง หานปิงเอ๋อตั้งใจเรียบร้อยแล้วว่ายู่เฟิงคือบุคคลที่สมควรตาย เพราะการกระทำที่ต่ำช้าของเขาอีกทั้งยังป่าวประกาศให้บุคคลโดยรอบรับรู้อีกด้วย


ไม่ต้องบอกว่าสตรีผู้หนึ่งจะสามารถโกรธได้มากถึงเพียงใด ถ้าหากมีผู้ใดกล่าววาจาให้นางรู้สึกอับอาย ภูเขาไฟแห่งความโกรธเริ่มปะทุขึ้นภายในใจของนางอย่างต่อเนื่อง


แต่ในขณะนั้น เหล่าศิษย์คนอื่นเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มล้อเลียน “แม่นางหานปิงเอ๋อ นายน้อยยู่เฟิงไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าท่านต้องการที่จะปรนเปรอความปรารถนาของท่าน ข้าก็ยิ่งดีอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือ! ไม่ต้องกังวล ทักษะของข้านั้นก็ไม่ด้อยนัก ข้าสัญญาว่าท่านจะตายตกไปอย่างมีความสุข!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเราก็สามารถทำได้เช่นกัน!” เหล่าศิษย์สำนักปีศาจคำรามออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


ท้ายที่สุดนางกลับโดนผู้ฝึกตนเหล่านี้เหยียดหยาม หานปิงเอ๋อไม่อาจอดทนต่อไปได้อีก ดวงตาของนางแผ่จิตสังหารออกมาอย่างแรงกล้า นางเพียงขยับดาบเบา ๆ หลังจากที่ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เปลี่ยนเป็นสีเงินโปร่งแสงและหายวับไป ผู้ที่หยอกล้อนางกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งทันที พร้อมทั้งเกิดลมกระโชกแรงพัดมาทำให้รูปปั้นนั้นแตกออกกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว เขาหายไปเพียงพริบตาขณะเหลือทิ้งไว้เพียงรองเท้าเท่านั้น


เมื่อเห็นว่าหานปิงเอ๋อสังหารพวกพ้อง ทุกคนตกใจทันที


“เหล่าพี่น้อง! มารวมตัวกันเพื่อฆ่านังแพศยาคนนี้!”


“นางคิดว่าสามารถที่จะต่อสู้กับพวกเราทั้งสามสิบคนได้เพียงเพราะมีสมบัติวิญญาณงั้นหรือ? ช่างโอหังเกินไปแล้ว!”


บทที่ 150: อันตรายที่คาดไม่ถึง


“สั่งสอนบทเรียนให้กับนาง ทุ่มเททั้งหมด อย่าให้นางรอด!” ผู้ฝึกตนปีศาจคำรามออกมา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะตะโกนออกมาดังเท่าไหร่ ก็ยังไม่มีใครกล้าที่จะเปิดการโจมตี นั่นเป็นเพราะว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์น่าเกรงขามมากเกินไปสำหรับเหล่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน แม้ว่าพวกเขาจะมีสมบัติวิเศษก็ไม่สามารถหยุดการสังหารของมันได้ สิ่งเดียวที่สามารถปกป้องพวกเขาได้ในตอนนี้คือการร่วมมือกัน


ทุกคนทราบดีหลังจากที่พวกเขาอยู่รอดมาร่วมเดือน พวกเขาคือชนชั้นสูงของสำนักตนเอง ผู้ที่ตายตกไปนั้นไม่ต่างอะไรจากขยะ ดังนั้นในหมู่คนที่เหลือราวสามสิบคน มีเพียงยี่สิบคนเท่านั้นที่ครอบครองสมบัติวิเศษ


ถ้าหากใช้สมบัติวิเศษนี้พร้อมกันทั้งยี่สิบชิ้น มีความเป็นไปได้ว่ามันจะไม่พ่ายแพ้ต่อดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ เรื่องนี้เป็นเพราะว่าความแข็งแกร่งของหานปิงเอ๋อยังน้อยเกินไปและนางไม่สามารถปลดปล่อยพลังของดาบได้อย่างเต็มที่ ถ้าหากวันหนึ่งนางเข้าสู่ระดับหยวนหยินหรือจินตัน แม้ว่าสมบัติวิเศษเหล่านี้ทั้งหมดจะล้อมนางไว้ก็ไม่อาจทำอันตรายนางได้แม้แต่ปลายเล็บ แต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้นางอยู่ในระดับเซียนเทียนเท่านั้น หลังจากที่นางเรียกใช้งานดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ไปสักพัก ปราณจิตวิญญาณของนางจะหมดลง ถ้าหากพวกเขาทั้งหมดร่วมมือกัน แน่นอนว่าชัยชนะก็เห็นอยู่รำไร แต่ในเมื่อพวกเขาไม่มีใครกล้าเข้าไปเป็นเหยื่อให้นาง ตอนนี้พวกเขาต่างฝ่ายต่างดูเชิง หาได้ร่วมมือกันแต่อย่างใด


แม้ว่าผู้ฝึกตนปีศาจทั้งหลายจะเกรงกลัว แต่สำหรับหานปิงเอ๋อนั้นตรงกันข้าม นางสั่งให้ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์พุ่งไปด้านหน้าเพื่อทวงหนี้แค้น ในหัวของนางตอนนี้คือการต่อสู้กับผู้ฝึกตนทั้งสามสิบคนด้วยตัวคนเดียว! ตอนนี้แววตาของนางไม่ได้แสดงถึงความโกรธแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่นางแสดงออกมาในตอนนี้คือความบ้าคลั่งโดยไม่สนใจความตาย นางมีเพียงความคิดที่จะสังหารพวกมันทั้งหมดเท่านั้น!


ผู้ฝึกตนปีศาจไม่เคยคาดคิดว่าหานปิงเอ๋อจะกระทำการบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งหมดแตกกระจายไปคนละทิศจากพลังของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ ผู้ฝึกตนปีศาจสามคนตายโดยที่ยังไม่ทันได้ตอบสนองสิ่งใด ศพของเขากลายเป็นน้ำแข็ง คนอื่นที่มองเห็นเช่นนั้นไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้ พวกเขาเริ่มหาทางหลบหนี หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่าหานปิงเอ๋อจะต้องสังหารพวกเขาทั้งหมดอย่างแน่นอน


แต่อย่างไรแล้วพวกเขาคือเหล่าชนชั้นสูงที่สำนักไว้วางใจส่งมาที่นี่ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่คนโง่ หลายคนกลับฉลาดนัก ขณะที่พวกเขาเห็นสถานการณ์ดำเนินไป ทั้งหมดเข้าใจได้ทันทีว่าไม่อาจปล่อยให้มันเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้ เหล่าชนชั้นสูงที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ต่างส่งสัญญาณลับหากันขณะลอบตกลง


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีชายหนุ่มผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมา “สำนักพันปีศาจฟังคำสั่งจากข้า จงต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่พวกเจ้ามี! ผู้ใดที่กล้าหาญจะหลบหนี จะถูกประหารชีวิตทันทีด้วยกฎของสำนัก!”


“สำนักปีศาจโลหิตฟังคำสั่งข้า! จงต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่พวกเจ้ามี! ผู้ใดที่กล้าหาญจะหลบหนี จะถูกประหารชีวิตทันทีด้วยกฎของสำนัก!”


“สำนักไผ่ขื่นขมฟังคำสั่งข้า! จงต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่พวกเจ้ามี! ผู้ใดที่กล้าหาญจะหลบหนี จะถูกประหารชีวิตทันทีด้วยกฎของสำนัก!”


“……” จากนั้นสำนักอื่นต่างก็ตะโกนออกมาตามกัน


กฎของสำนักปีศาจนั้นรุนแรงมาก มันเพียงพอที่จะใช้ข่มขู่ การตายด้วยกฎพวกนี้นับได้ว่ามีสิบชีวิตก็ไม่เพียงพอให้ทรมาน เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินคำสั่ง พวกเขาหวาดกลัวทันทีและหยุดความคิดที่จะหลบหนี แม้ว่าจะตายตกไปด้วยมือของหานปิงเอ๋อ พวกเขาจะตายอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากต้องตายตกไปเพราะกฎแห่งสำนักปีศาจ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก!


 


ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งหมดหันหลังกลับมาและเริ่มการโจมตี หานปิงเอ๋อและดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ไม่ได้น่าเกรงขามเช่นเดิม หลังจากที่นางสังหารอีกสองคน นางรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงใช้พลังส่วนใหญ่เพื่อการป้องกัน ซึ่งไม่อาจหาช่องทางที่จะตอบโต้ได้เลย และด้วยความที่เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจมีจำนวนมากกว่า อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสมบัติวิเศษ ต่างคนต่างใช้ทุกสิ่งอย่างที่มีโจมตีใส่ เปลวไฟปีศาจ พิษที่อยู่ในอาวุธ พิษในแมลง และควันพิษ เมื่อสิ่งเหล่านี้รุมเร้า นางก็ยากป้องกันทั้งหมด


เมื่อเห็นว่าหานปิงเอ๋อเริ่มที่จะตั้งรับ ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งหลายเริ่มมีความหวังขึ้นภายในจิตใจ ทำให้การโจมตีของพวกเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เดิมทีผู้ฝึกตนปีศาจเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เลวร้าย พวกเขาทั้งหมดจะหลบหนีเป็นอันดับแรก แต่ถ้าหากการต่อสู้เป็นไปได้ดี พวกเขาจะโจมตีอย่างหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์หลังจากสู้รบมากที่สุด แต่ผู้ฝึกตนปีศาจเหล่านี้ดีใจเร็วเกินไป หานปิงเอ๋อที่อยู่ในสภาวะบ้าคลั่งไม่ได้จัดการโดยง่าย ในขณะที่นางหยุดการโจมตีลง แววตาของนางเริ่มเลือนรางหายไป กล่าวได้ว่าสติของนางขาดไปแล้วโดยสิ้นเชิง จากนั้นสัญลักษณ์พลันปรากฏในมือของนาง นางเริ่มอ่านบทร่าย ชั่วอึดใจนางบ้วนเลือดออกมาบนมือของตนเอง


ขณะที่เลือดของนางเข้าสู่ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ ดาบกลายเป็นสีแดงทันที แน่นอนว่าดาบที่อ่อนไหวเช่นนี้ย่อมรับรู้ถึงอารมณ์ของเจ้านายมันได้เป็นอย่างดีพร้อมเริ่มกรีดร้อง ในขณะนั้นอากาศที่หนาวเย็นแผ่กระจายออกมาจากตัวของดาบราวกับว่าพลังของมันทั้งหมดถูกเปิดออก


เกิดเป็นพายุหิมะพัดโหมกระหน่ำไปทั่วบริเวณ ในทุกหนแห่งมันได้พัดผ่านไปไม่ว่าจะเป็นสมบัติวิเศษ อาคม แมลง หมอก ทุกอย่างล้วนถูกแช่แข็ง สำหรับเหล่าศิษย์บางคน พวกเขากลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งที่รูปร่างราวกับคริสตัล


เพียงแค่การโจมตีครั้งเดียว ผู้ฝึกตนสิบคนและสมบัติวิเศษสิบชิ้นถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว บางชิ้นแตกสลาย บางชิ้นถูกแช่แข็งไว้ แม้ว่าพวกมันจะไม่ถูกทำลาย แต่ก็ยังไม่อาจฟื้นคืนได้ในเร็ววัน อีกทั้งยังต้องได้รับการซ่อมแซมก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้อีกครั้ง


แต่หานปิงเอ๋อหาได้สังหารผู้ฝึกตนปีศาจทั้งหมด ท้ายที่สุดมีเจ็ดคนที่สามารถหลบหนีไปได้ พวกเขาคือเหล่าชนชั้นสูงที่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ออกมาต่อสู้เองและคอยยืนสั่งการอยู่ด้านหลัง เพื่อเป็นการรอรับผลประโยชน์สูงสุดจากการสู้รบตรงหน้าและไม่ต้องการเปลืองมือ


เพราะเหตุนั้น เมื่อหานปิงเอ๋อปลดปล่อยการโจมตี พวกเขาจะไม่อาจหลบหนีโดยง่าย การโจมตีอันแข็งแกร่งนี้เกิดขึ้นกลางอากาศ เพื่อป้องกันตนเอง พวกเขาจำเป็นต้องใช้สมบัติวิเศษป้องกันคลื่นพลังที่เกิดขึ้นจากนั้นจึงค่อยหลบหนีโดยเร็วที่สุด


อย่างไรแล้วแม้จะมีคนโชคดีถึงเจ็ด แต่สำหรับหานปิงเอ๋อหาได้ใช่ความโชคดี การโจมตีที่เพิ่งปลดปล่อยเมื่อครู่นี้เป็นการใช้งานธรรมชาติของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ ความแข็งแกร่งเพียงนี้ลำพังนางไม่อาจเรียกใช้ อย่างน้อยนางต้องอยู่ระดับปฐมภูมิเสียก่อน แต่ในเมื่อสถานการณ์อันตราย นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฝืนใช้งาน


แม้ว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้จะดีขึ้น แต่หานปิงเอ๋อสูญเสียทั้งพลังและการควบคุม นอกจากนี้ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ไม่อาจอยู่นอกร่างกายของนางได้อีกต่อไป ตอนนี้มันทำได้เพียงอย่างเดียวคือต้องกลับเข้าไปในร่างกายของนาง


อันที่จริงอาการของหานปิงเอ๋อค่อนข้างร้ายแรง นางเสียเลือดมาก อีกทั้งอวัยวะภายในบาดเจ็บสาหัส เพราะอาคมที่นางใช้เมื่อครู่ต้องใช้ปราณจิตวิญญาณมหาศาล ทำให้ความสามารถการควบคุมพลังของนางลดต่ำลงอย่างถึงที่สุด นางกระอักเอาโลหิตออกมาอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าอวัยวะภายในกำลังพยายามฟื้นฟูโดยเร็ว


แม้ภายนอกดูสบายดี แต่ภายในกลับมีเลือดออก สถานการณ์ค่อนข้างอันตราย และนางยังถูกศัตรูล้อมเอาไว้ ตอนนี้นางไม่มีโอกาสแม้ต่จะหยิบยาอายุวัฒนะออกมาเพื่อทำการรักษา นางทำได้เพียงแค่อดกลั้นต่ออาการบาดเจ็บ


ผู้ฝึกตนทั้งเจ็ดที่สามารถหลบหนีไปได้ล้วนไม่โง่เขลา กลับกัน พวกเขาฉลาดมาก พวกเขาไม่ได้เกรงกลัวการโจมตีที่รุนแรงของหานปิงเอ๋อ แต่พวกเขาสามารถรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติจากใบหน้าที่ซีดขาวและร่างกายที่สั่นเทาของนาง


แต่พวกเขาทั้งเจ็ดคนยังคงระมัดระวังตนเองอย่างถึงที่สุด พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้หญิงสาวผู้นี้ก่อนที่จะยืนยันได้ว่าหานปิงเอ๋อได้สูญเสียการควบคุมตนเองไปแล้ว พวกเขาล้อมรอบนางจากระยะไกลพร้อมทดสอบนางด้วยเสียงอันเย็นเยียบ “หานปิงเอ๋อ เจ้าทำได้ถึงเพียงนี้ นับว่าน่าประหลาดใจมากแล้ว เทียบกับพวกเรา เจ้าไม่ต่างอะไรกับตะเกียงที่ขาดน้ำมัน มา พวกพี่ชายจะแสดงฝีมือให้ได้เห็น!”


หานปิงเอ๋อไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเพียงแต่จ้องมองพวกเขาด้วยแววตาที่เย็นชา


คนทั้งเจ็ดไม่ทราบว่าท่าทีของหานปิงเอ๋อหมายถึงสิ่งใด พวกเขากำลังมองภาพรวม ทันใดนั้น หนึ่งในกลุ่มคนพลันกล่าวออกมา “แม่นาง ข้ารู้ว่าปราณจิตวิญญาณของเจ้าหมดแล้ว แม้กระทั่งดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ของเจ้ายังไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากเข้าไปอยู่ในร่างกายของเจ้า ฮ่าฮ่า ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่? เรื่องนี้เจ้าไม่อาจปิดบัง!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาดีดนิ้วพร้อมปรากฏหินจิตวิญญาณขนาดเล็กขึ้นมาพร้อมกับส่งมันไปให้หานปิงเอ๋อ


แม้ว่าจะมองเห็นว่าหินกำลังพุ่งมาทางนี้ แต่หานปิงเอ๋อไม่สามารถแม้แต่จะหลบมันได้ นางทำได้เพียงยอมรับให้มันกระแทกเข้าใส่ ถึงแม้ว่าความเจ็บปวดนี้จะทำให้นางต้องกัดริมฝีปากไว้แน่น แต่นางก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่สงบนิ่ง


เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที แต่พวกเขายังคงกลัวว่าหานปิงเอ๋อเพียงแค่หลอกให้ตายใจ พวกเขาทั้งหมดจึงเริ่มโยนหินไปที่นางอีกครั้ง เหตุผลแรกคือต้องการทดสอบนาง เหตุผลสองคือความสนุกสนานของพวกเขาเอง!


เมื่อโดนหินขว้างเข้าใส่ไม่กี่ก้อน หานปิงเอ๋อไม่สามารถยืนต่อได้ไหว นางล้มลงไปกองอยู่บนพื้นทันที ผมของนางยุ่งเหยิงอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา “ฮ่าฮ่า ในที่สุด สาวงามผู้นี้ก็ยอมสงบลงเสียที!”


“ประเสริฐยิ่งนัก วันนี้พวกพี่ชายจะได้มีอะไรให้เล่นสนุก!”


“กับศิษย์อันแข็งแกร่งของหอเฉวียนจี้ พวกเราจะขอเล่นให้หนำใจในทุกคืนวัน!”


“พี่น้อง ใครเล่าจะเป็นคนแรก?” เหล่าผู้ฝึกตนทั้งเจ็ดเริ่มพูดคุยกันอย่างชั่วร้าย


ขณะที่หานปิงเอ๋อได้ยิน ใบหน้าของนางเปลี่ยนสี สายตาเริ่มแข็งกร้าว นางเงยหน้าขึ้นขณะดึงมีดสั้นออกจากอกเสื้อคลุมพร้อมยกมันขึ้นเหนือศีรษะและตะโกนออกดังลั่น “หากไร้ซึ่งทางให้ข้าเดินอีกต่อไป ข้ายอมตายด้วยตัวเอง!” เมื่อนางกล่าวออก นางไม่ลังเลที่จะแทงมีดสั้นลงกับหน้าอกของตน


“ไม่!” เมื่อผู้ฝึกตนทั้งเจ็ดได้ยินเช่นนั้น พวกเขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาทั้งหมดต้องการที่จะหยุดนางแต่ก็ไม่สามารถทำได้


ขณะนั้นเอง คล้ายปรากฏอสูรกายตนหนึ่งตรงหน้าหานปิงเอ๋อ ร่างนั้นได้หยุดมีดสั้นไว้


บทที่ 151: การต่อสู้ของผู้ฝึกตนทั้งเก้า


มีดสั้นที่หานปิงเอ๋อหยิบจับออกมานั้นถูกออกแบบมาอย่างประณีต แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะไม่มีปราณจิตวิญญาณเพื่อเรียกใช้งานมัน แต่ความแหลมคมของมันเพียงอย่างเดียวก็สามารถตัดผ่านโลหะได้สบาย แต่แล้วบุคคลที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนางกลับใช้มือเปล่าจับมันได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาดึงมีดสั้นออกจากมือของนางช้า ๆ ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งหมดมองเห็นการกระทำของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน บุรุษรูปร่างสูงราวแปดฟุต มีพุงขนาดใหญ่ หากมองผ่านในครั้งแรกพวกเขาทั้งหมดคิดได้เพียงมันคือหมีตัวหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่มีสมบัติวิญญาณข้างกายและดูเรียบง่าย แต่ทุกคนรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังที่เปล่งประกายออกมาจากร่างกายของเขา มันเป็นกลิ่นอายแห่งความโกรธแค้นและจิตสังหารที่ล้นเหลือ!


“เป็นท่านงั้นหรือ? ศิษย์พี่ซ่ง?” เมื่อหานปิงเอ๋อมองเห็นว่าเขาเป็นใคร นางกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ “ท่านมาทำอะไรในที่แห่งนี้?”


“ฮ่าฮ่า ข้าหลงทางและเข้าประตูผิดน่ะ อีกทั้งตอนนี้ข้ายังมองเห็นกลุ่มคนหมู่มากกำลังข่มขู่หญิงสาวที่ไร้ทางสู้ ข้าไม่อาจยอมรับเรื่องราวเช่นนี้ได้!” เจ้าอ้วนหยิบเอายาอายุวัฒนะออกมาและส่งมันให้หานปิงเอ๋อ “ศิษย์น้องกินนี่ก่อน ในส่วนที่เหลือข้าจะจัดการให้เอง!” หานปิงเอ๋อหยิบยาจากเจ้าอ้วนด้วยความเอียงอายพร้อมทั้งกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่ พวกเขามีจำนวนมากกว่าท่าน ข้าเกรงว่าท่านจะไม่อาจรับมือได้ มันจะดีที่สุดถ้าหากท่านทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ และช่วยให้ข้าตายตกไปอย่างไม่เจ็บปวด ข้าจะขอบคุณในน้ำใจของท่านอย่างยิ่ง!”


“ฮ่าฮ่า” เจ้าอ้วนยิ้มกลับ “ศิษย์น้องสังหารผู้ฝึกตนปีศาจร่วมยี่สิบคนด้วยตนเอง ข้ารู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง! แม้ว่าพี่ชายผู้โง่เขลาคนนี้ฝีมือจะห่างชั้นกับศิษย์น้องอยู่มากโข แต่ข้าคิดว่าเพียงขยะเจ็ดคนนี้ข้าสามารถจัดการได้!”


เมื่อผู้ฝึกตนปีศาจทั้งเจ็ดได้ยินสิ่งที่เจ้าอ้วนกล่าวออกมา แน่นอนว่าพวกเขาโกรธจัดทันทีพร้อมกับตะโกนออกมา “ไขมันบัดซบ เจ้าไปเอาความกล้าหาญนี้มาจากที่ใด!”


“เจ้าคงเหนื่อยคิดมีชีวิตอยู่สืบต่อ ยืนอยู่ตรงนั้นเสีย ข้าจะจับเจ้าต้มยำทำแกงให้เอง ถึงตอนนั้นค่อยดูกันว่าเจ้ายังสามารถยโสโอหังต่อไปได้หรือไม่!”


ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งเจ็ดต่างพากันตะโกนเหยียดหยามเจ้าอ้วน แต่เขาหาได้เก็บมาคิดใส่ใจไม่ เขาโบกมือหนึ่งครั้งพร้อมปรากฏดาบแห่งธาตุทั้งห้าออกมาลอยอยู่ในอากาศรอบตัว


ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งเจ็ดคนถูกคลื่นความกดดันจากสมบัติวิเศษนี้โดยสมบูรณ์ คนทั้งเจ็ดสีหน้าเปลี่ยนโดยฉับพลัน ปัญหาก็คือเจ้าอ้วนเป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้า อีกทั้งเขายังครอบครองสายฟ้าถึงสามประเภทด้วย และยังสามารถต่อสู้กับหานปิงเอ๋อได้อย่างเท่าเทียม เมื่อดาบแห่งธาตุทั้งห้ามาอยู่ร่วมกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ความน่าเกรงขามของมันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากระมัดระวังตัวให้มาก พร้อมทั้งเริ่มคุยกันผ่านสัมผัสวิญญาณอีกครั้ง หานปิงเอ๋อรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นสมบัติวิเศษของเจ้าอ้วน นางขมวดคิ้วแน่นพร้อมถามออกไปอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ซ่ง น้องสาวผู้นี้เคยขุ่นเคืองกับท่านมาก่อนและเกือบจะทำให้ท่านพิการ เหตุใดท่านจึงปกป้องข้า? ท่านก็รู้ว่าแม้จะมีสมบัติวิเศษพร้อมทั้งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจเอาชนะพวกมันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นสถานที่แห่งนี้!”


“ใช่แล้ว!” เมื่อผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของพวกเขาสว่างขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “นี่คือประตูเคลื่อนย้ายของผู้ฝึกตนปีศาจ คนของพวกเราจะหลั่งไหลเข้ามายังสถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ถ้าหากเจ้ายังอยากจะขุดหลุมฝังตนเองไว้ที่นี่ ข้าเกรงว่ามันจะเป็นการเสียสละที่เปล่าประโยชน์!”


เจ้าอ้วนไม่ได้สนใจสิ่งที่ผู้ฝึกตนปีศาจกล่าวออกมา แต่เขากลับหันหลังและกล่าวกับหานปิงเอ๋อ “ศิษย์น้อง ความขุ่นเคืองของเรานั้นเกิดขึ้นจากเรื่องราวระหว่างสำนัก พี่ชายผู้นี้ไร้ความสามารถและพ่ายแพ้ต่อเจ้า แม้ว่ามันจะไม่เป็นทางการ แต่ข้ายินยอมรับความพ่ายแพ้นั้นแต่โดยดี ถ้าหากในอนาคตมีโอกาสได้พบเจอกันอีกครั้ง พี่ชายผู้โง่เขลาคนนี้จะขอท้าทายเจ้าอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ศิษย์น้องตกอยู่ในอันตราย เป็นเรื่องธรรมดาที่พี่ชายผู้นี้จะขอปกป้องเจ้า! ข้าไม่อาจกล่าวว่าตนเองคือวีรบุรุษ แต่ข้าไม่สามารถมองเห็นศิษย์น้องถูกรังแกโดยคนชั่วเหล่านี้แล้วนิ่งเฉยได้!”


สิ่งที่เจ้าอ้วนกล่าวออกมานั้นเกิดจากก้นบึ้งของหัวใจเขาและตรงไปตรงมา หานปิงเอ๋อสงบลงเพราะนางรับรู้ได้ว่าเจ้าอ้วนไม่ได้โกหก นางตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยติดหนี้เจ้าอ้วนพร้อมกับไม่ได้กล่าวทักท้วงอะไรอีก นางคำนับเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวอย่างจริงใจ “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าต้องรบกวนศิษย์พี่ด้วย!” เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางกินยาอายุวัฒนะที่เจ้าอ้วนมอบให้ ไม่มีคำกล่าวใดออกมาอีก นางเข้าสู่สมาธิทันที พร้อมตัดขาดโลกภายนอกอย่างรวดเร็ว เช่นนี้คือนางมอบชีวิตของตนเองไว้ให้เขาปกป้องแล้ว


แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมามากนัก แต่เจ้าอ้วนรับรู้ได้ว่านางเชื่อใจเขา นับตั้งแต่ที่เขาถูกไล่ออกจากบ้านของตนและต้องเร่ร่อนกลายเป็นคนรับใช้ เขาได้พบเจอกับความอัปยศมากมาย คนเดียวที่เขาสามารถไว้ใจได้คือเจ้าลิง แม้แต่หานหลิงเฟิงเขาก็ยังไม่อาจไว้ใจนางได้! ในตอนนี้มีหญิงสาวผู้หนึ่งไว้วางใจเขาอย่างเต็มใจ แม้กระทั่งมอบร่างกายของตนเองให้เขาดูแล สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของเขาพองโตขึ้น เขาคิดกับตนเองภายในใจว่าจะไม่ยอมให้เกิดอันตรายกับนางโดยเด็ดขาด!


เจ้าอ้วนไม่ใช่บุคคลที่มีดีแค่คำพูดเท่านั้น หลังจากกล่าวคำสาบานในใจแล้ว เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมแต่เริ่มขยับร่างกายทันที เขาขยับมือหนึ่งครั้งเพื่อปลดปล่อยดาบแห่งธาตุทั้งห้าออกไปสร้างวงกลมขนาดสามสิบฟุตเพื่อล้อมรอบหานปิงเอ๋อและตนเองไว้


ดาบทั้งห้าเริ่มเปล่งแสงที่แตกต่างกันออกมา ดาบทำการปิดผนึกพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็ว ถ้าหากผู้ใดต้องการที่จะเข้ามาโจมตีในตอนนี้จะต้องพบกับความน่าเกรงขามของดาบทั้งห้าเล่มนี้เสียก่อน


ในขณะนั้น เจ้าอ้วนวางมือซ้ายไว้ด้านหลังและใช้อาคมเพื่อควบคุมดาบ สำหรับมือขวาของเขากำลังถือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์โปร่งใสอยู่ ถ้าหากมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้น แน่นอนว่าเขาจะเริ่มการโจมตีโดยไม่ลังเล


ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งเจ็ดรู้สึกปวดหัวกับกลยุทธ์ที่แสนขี้ขลาดของเจ้าอ้วน ความจริงแล้วพวกเขาทั้งหมดสามารถทำลายดาบเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ช่องโหว่มีมากเกินไป ถ้าหากพวกเขาโจมตีพร้อมกัน แน่นอนว่าจะไม่มีปราณจิตวิญญาณสำหรับการป้องกัน อีกทั้งหลังจากนั้นถ้าหากเจ้าอ้วนใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์พวกเขาทั้งหมดจะตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก


ในขณะนั้นผู้ฝึกตนปีศาจทั้งเจ็ดไม่สามารถหาทางออกได้ แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์ต้องการจะเห็นความตายของเจ้าอ้วน ในเวลาเดียวกันมีผู้ฝึกตนปีศาจโผล่มาที่บริเวณประตูเคลื่อนย้ายอีกสองคน ในตอนนี้การต่อสู้คือหนึ่งต่อเก้า!


ทั้งสองคนที่เดินเข้ามาใหม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนชั้นสูงและเต็มไปด้วยสมบัติวิเศษ ความสมดุลของการต่อสู้ถูกทำลายลงทันที พวกเขาประชุมลับผ่านสัมผัสวิญญาณพร้อมเริ่มต้นแผนการทำลายดาบทันที


บุคคลแรกที่เดินเข้ามาคือผู้ฝึกตนแมลง เขาหยิบอุปกรณ์ออกมาพร้อมเริ่มใช้งานมัน ตัวต่อสีดำจำนวนมากบินออกและปรากฏตัวอยู่ในอากาศ แม้ว่ามันจะดูคล้ายกับตัวต่อทั่วไป แต่ทว่าพิษของมันร้ายแรงมาก หากผู้ใดโดนพิษเข้าไป ความเจ็บปวดนั้นเกินบรรยาย มีผู้ฝึกตนหลายสิบคนที่ต้องตายตกไปเพราะความเจ็บปวดเหล่านี้


ภายใต้คำสั่งผู้ฝึกตน ตัวต่อทั้งหลายจะบินออกพร้อมต่อสู้ พวกมันตอนนี้สภาพไม่ต่างเมฆดำขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเข้าหา


ขณะนี้ ผู้ฝึกตนคนอื่นล้วนนำสมบัติวิเศษออกมา ทั้งดาบบิน ไม้เท้า อุปกรณ์อันหลากหลายปรากฏขึ้นพร้อมกัน พวกมันส่องประกายแสงแตกต่างกันไปพร้อมบินไปมาทั่วท้องฟ้า หากมีผู้พบเห็นคงได้ประทับใจกับแสงสีเหล่านี้


ราวกับพวกเขาสื่อสารกันก่อนแล้ว เมื่อฝูงตัวต่อนับล้านปรากฏ กลางอากาศตอนนี้ต่างก็มีสมบัติวิเศษจำนวนมากเข้ากดดันพร้อมกัน พวกมันพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศทาง


เจ้าอ้วนไม่ล่าช้าเช่นกัน เขาสั่งให้ดาบแห่งธาตุทั้งห้าทำงานเต็มกำลังทันที ด้วยคุณสมบัติของดาบแห่งธาตุทั้งห้าที่สามารถหักล้างกับทุกสิ่งอย่างได้ วินาทีต่อมาคือสมบัติวิเศษปะทะเข้ากับดาบแห่งธาตุทั้งห้าอย่างรุนแรง แม้ว่าระดับขั้นของดาบแห่งธาตุทั้งห้าจะเหนือกว่า แต่ด้วยจำนวนของฝ่ายศัตรูมีมากกว่า อีกทั้งเจ้าอ้วนต้องใช้ปราณจิตวิญญาณทั้งหมดที่เขามีทำให้เจ้าอ้วนต้องจำกัดพลังของมันเอาไว้ ดาบทั้งหมดจึงกระจัดกระจายออกจากกัน แต่ดาบแห่งธาตุทั้งห้าของเขาไม่ได้ถูกทำลายแต่อย่างใด


ถ้าหากพวกเขาดันทุรังที่จะต่อสู้กันต่อไป เจ้าอ้วนจะไม่มีเวลาที่จะใช้แสงจากดาบอีกครั้ง ขอบคุณสวรรค์ในตอนนี้เขามีแผนภายในใจแล้ว หลังจากที่สมบัติวิเศษถูกส่งกลับไปยังเจ้าของของพวกมัน เจ้าอ้วนเริ่มทำการยิงสายฟ้าทันที นั่นทำให้อีกฝ่ายที่ไม่ได้อยู่ในสถานะจะป้องกันสูญเสียโอกาสทันที และเจ้าอ้วนจะมีเวลาเพื่อตรวจดูแสงดาบของตนเองและเริ่มจัดการกับมันอีกครั้ง


แต่ในขณะนี้เกิดคลื่นลูกใหม่กำลังก่อตัวขึ้น ดูคล้ายกับตั๊กแตน มันพุ่งตัวมาด้านหน้าอย่างรวดเร็วในขณะที่ดาบยังไม่เสร็จสมบูรณ์


แม้ว่าพวกมันเหล่านั้นส่วนใหญ่จะถูกทำลายลงไปจากลำแสงของดาบ แต่มีหลายตัวที่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้และพุ่งเข้ามาหาเจ้าอ้วนกับหานปิงเอ๋อ


เจ้าอ้วนรู้ทันทีว่าติดกับดักเข้าให้แล้ว ในตอนแรกพวกเขาตั้งใจที่จะโจมตีพร้อมกันเพื่อทำลายลำแสงของดาบ จากนั้นจึงปล่อยให้เหล่าแมลงจัดการต่อ


เมื่อพวกเขารู้ว่าเจ้าอ้วนไม่ได้มีท่าไม้ตายอะไรซ่อนไว้ จึงเริ่มการโจมตีแบบบ้าคลั่ง เจ้าอ้วนส่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีออกไปหลายสิบลูกที่ด้านนอกของรัศมีดาบ ทำให้เกิดการปะทะระหว่างสายฟ้าและเหล่าแมลงเกิดเป็นระเบิดหลายสิบครั้ง


แต่เนื่องจากว่าแมลงนั้นมีเยอะมาก การระเบิดของสายฟ้าแม้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแต่ยังทำให้เกิดผลลัพธ์ที่โดดเด่นมาก มันส่งผลให้พวกแมลงกลายเป็นขี้เถ้าโดยสมบูรณ์


เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนแมลงเห็นดังนั้น หัวใจของเขาปวดร้าวถึงขั้นที่ต้องหลั่งน้ำตาออกมา ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการสร้างแมลงนับล้านไม่ใช่เรื่องง่าย มันแทบใช้ความมั่งคั่งทั้งหมดที่ตนเองมีเพื่อทุ่มเทให้กับมัน แต่ในตอนนี้พวกมันกลายเป็นขี้เถ้าไปเสียแล้ว ความพยายามอย่างหนักของพวกเขาตลอดสิบปีกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า! แล้วจะไม่ให้รู้สึกปวดหัวได้อย่างไรกัน?


สำหรับผู้ฝึกตนปีศาจอีกแปดคน พวกเขาไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก แม้กระทั่งบางคนกล่าวสบถออกมาว่ามันเป็นเพียงความโชคร้ายของเขาเท่านั้น ในความจริงพวกเขาไม่สนใจว่าพันธมิตรของตนเองจะกำไรหรือขาดทุนเท่าใด ความสนใจของพวกเขาทั้งหมดในตอนนี้คือดาบแห่งธาตุทั้งห้า ถ้าหากพวกเขาสามารถทำลายมันลงได้ แน่นอนว่าความใกล้ชิดที่คิดฝันไว้กับหานปิงเอ๋อจะต้องกลายเป็นจริงอย่างแน่นอน!


แต่แล้วเจ้าอ้วนก็ส้างความผิดหวังให้อีกครั้ง เมื่อจัดการปัญหาภายนอกเรียบร้อย เจ้าอ้วนหัวเราะอย่างเย็นเยือกขณะหยิบยันต์ระดับปฐมภูมิออกมา และเรียกใช้งานมันทันทีไม่คิดรีรออันใด เกิดลำแสงสีเขียวขึ้นรอบร่างของหานปิงเอ๋อเพื่อเข้าคุ้มกันตัวนาง เจ้าอ้วนยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังดาบพร้อมส่งปราณจิตวิญญาณเข้าไปเล็กน้อย ดาบธาตุอัคคีพลันเกิดลำแสงระเบิดออกอย่างเร็วยิ่ง เพียงแค่ช่วงเวลาเล็กน้อย คลื่นความร้อนที่แผ่พุ่งออกมาได้สังหารแมลงทั้งหมดอย่างง่ายดาย และอาคมที่เจ้าอ้วนใช้ป้องกัน มันทำให้หานปิงเอ๋อปลอดภัยไร้กังวล เจ้าอ้วนยังไม่ได้รับอันตรายใดจากการระเบิดครั้งนี้เพราะเป็นเจ้านายของดาบแห่งธาตุทั้งห้า


ในตอนนี้เขามีโอกาสที่จะได้ซ่อมแซมดาบแล้ว เขาเริ่มดื่มน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าอีกครั้งเพื่อเพิ่มปราณจิตวิญญาณ หลังจากนั้นก็เพียงยืนสงบนิ่งเพื่อรอการโจมตีครั้งต่อไป เมื่อเห็นว่าแผนที่สมบูรณ์แบบทั้งหมดถูกทำลายลงโดยเจ้าอ้วน เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจทั้งเก้าแทบจะกระอักเลือดตายอยู่ตรงนั้น พวกเขาสูญเสียแมลงนับล้านตัว แต่เจ้าอ้วนสูญเสียสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เพียงสิบ นับว่าพวกเขาขาดทุนอย่างไร้ทางกอบกู้


แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เปรียบในเรื่องของจำนวน อีกทั้งสถานที่แห่งนี้พวกเขามีอำนาจเหนือกว่า หลังจากประชุมกันเล็กน้อย ผู้ฝึกตนทั้งเก้าสรุปได้ว่า พวกเขาจะไม่ใช้ลูกเล่นอะไรกับเจ้าอ้วนอีก


หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ห้าคนสำหรับโจมตีและสี่คนสำหรับป้องกัน แม้ว่าเพียงห้าคนจะยากต่อการทำลายลำแสงของดาบ แต่พวกเขาสามารถทำให้ปราณจิตวิญญาณของเจ้าอ้วนหมดลงได้ ตราบใดที่พวกเขาสามารถยืดระยะเวลาการต่อสู้ออกไปได้และรอให้เจ้าอ้วนหมดแรง อีกสี่คนที่ทำหน้าที่ป้องกันค่อยเข้ามาเป็นกำลังในการโจมตีอีกครั้ง


อีกทั้งสถานที่แห่งนี้คือพื้นที่สำหรับผู้ฝึกตนปีศาจ มีผู้ฝึกตนปีศาจอีกมากที่ยังเดินทางมาไม่ถึง ทุกอย่างจะเกิดประโยชน์ถ้าหากพวกเขายื้อการต่อสู้นี้ไปเรื่อย ๆ


ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งห้าที่ได้รับหน้าที่เป็นกำลังในการโจมตีนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ครอบครองสมบัติวิเศษที่ดูคล้ายกับภูเขาขนาดเล็ก รูปร่างของมันคล้ายกับภูเขาโลหะขนาดเล็ก แต่หากถูกเรียกใช้งานมันจะขยายใหญ่ได้ถึงร้อยฟุต ในขณะที่มันกำลังปรากฏอยู่บนอากาศ กลิ่นอายของมันสามารถกดดันดาบแห่งธาตุทั้งห้าได้ นับว่าเหตุการณ์นี้ทำเจ้าอ้วนปวดหัวได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


บทที่ 152: ร่างกายที่น่าเกรงขาม


เจ้าอ้วนคิดที่จะทำลายสมบัติวิเศษเหล่านั้น แต่หลังจากที่เขาโยนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีออกไปนับสิบลูก มันไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาจึงคิดว่ามันคือสมบัติที่ล้ำค่ามาก แม้ว่ามันไม่อาจปลดปล่อยพลังของตนเองได้ในตอนนี้เพียงเพราะเจ้านายของมันระดับน้อยเกินไป แต่ความแข็งแกร่งของมันไม่เปลี่ยนแปลงเลย ถ้าหากคิดที่จะทำลายมันเจ้าอ้วนอาจจะต้องใช้งานสมบัติวิญญาณ


เจ้าอ้วนยังคงไม่ย่อท้อกับความคิดของตน เขาโจมตีสมบัติวิเศษนั้นไปเรื่อย ๆ แต่สมบัติวิเศษก็คือสมบัติวิเศษ แม้ว่าสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ระดับเซียนเทียนของเจ้าอ้วนจะดูมหัศจรรย์และระดับของพวกเขาทั้งสองคนเท่ากัน แต่มันก็ไม่อาจเทียบกับสมบัติวิเศษได้ ดังนั้นแล้ว การโจมตีของเจ้าอ้วนจึงทำได้เพียงแค่ถ่วงเวลาการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม และลดทอนความกดดันให้กับดาบของเขาเอง


แต่สำหรับเจ้าอ้วนเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องใช้ปราณจิตวิญญาณมากมายเพื่อซ่อมแซมดาบ แต่เมื่อเขาดื่มน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าเข้าไปแล้วทุกอย่างฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ตอนนี้ทำให้ฝ่ายศัตรูทั้งเก้าคนหดหู่อย่างมาก หลังเปิดฉากการต่อสู้มายาวนานถึงสี่ชั่วโมงจนตะวันคล้อยต่ำแล้ว พวกเขาทั้งหมดยังไม่สามารถทำลายดาบได้ อีกทั้งยังไม่สามารถหลีกหนีความจริงที่ว่าทั้งคณะเริ่มอ่อนแรงกันแล้ว


ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกตนปีศาจอีกสามคนเดินเข้ามาบริเวณประตูเคลื่อนย้าย ทั้งหมดตอนนี้กลายเป็นสิบสองคน เมื่อจำนวนเพิ่มมากขึ้น ความมั่นใจของพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้น ทั้งหมดระงับการโจมตีขณะเข้าสู่สมาธิรวบรวมปราณจิตวิญญาณอีกครั้ง


หลังได้พักหายใจสักครู่ การโจมตีเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ณ ตอนนี้จำนวนของผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมบุกโจมตีกลายเป็นแปดคน อีกสามอยู่ในตำแหน่งป้องกัน คนสุดท้ายยังคงอยู่ในห้วงสมาธิ เขาไม่โจมตี ไม่ป้องกัน แต่เลือกทำหน้าที่ผู้นำ


แต่เจ้าอ้วนกลับรู้สึกถึงอันตรายจากบุคคลผู้นั้น เขาจึงให้ความสนใจกับการป้องกันบุคคลดังกล่าวเป็นพิเศษ


แม้ที่จริงแล้วตั้งแต่เจ้าอ้วนได้แลกเปลี่ยนการฝึกกับฉุ่ยจิ้ง เขามีลางสังหรณ์ลึกลับ ในขณะที่เขากำลังปรับแต่งดาบและจัดการกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เขารู้สึกถึงความผิดปกติที่ใต้ดิน โดยไม่ต้องคิดสิ่งใดต่อ เจ้าอ้วนกระโดดหลบทันที อึดใจถัดมา ปรากฏอสูรกายสีเหลืองพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ถ้าหากไม่ใช่การตอบสนองที่รวดเร็วของเขา ชัดเจนว่าร่างกายคงถูกกัดขาดเป็นสิบท่อน


เจ้าอ้วนตกใจกับความรวดเร็วของอสูรกายตนนี้ ร่างกายของมันเต็มไปด้วยเกราะและสูงใหญ่กว่ายี่สิบฟุต มันมีกรงเล็บทั้งห้าที่แหลมคม อีกทั้งฟันของมันยังมีพลังทำลายล้างสูง สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความร้ายกาจของมัน


เมื่อเห็นลักษณะของอสูรกายอย่างชัดเจนแล้ว เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างตกใจ “อสูรปฐพี!”


“ถูกต้อง นี่คืออสูรกายขั้นสี่ อสูรปฐพี!” ขณะนั้นเขากล่าวต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าของมันแล้ว ความแข็งแกร่งของมันนับว่าไม่เลวและยังฉลาดมาก เจ้าไขมันสารเลวเอ๋ย ในตอนนี้มีคนโจมตีเจ้ามากพอแล้วจากด้านบน ส่วนข้าจะโจมตีเจ้าจากใต้ดิน แม้ว่าเจ้าจะมีสามหัวหรือหกแขนก็ไม่สามารถหลีกหนีความตายพ้น! ฮ่าฮ่าฮ่า!”


เจ้าอ้วนเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดบุคคลผู้นี้จึงทำให้เขารู้สึกว่าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เป็นเพราะว่าเขาเลี้ยงดูอสูรกายไว้ใกล้ตัวนั่นเอง อีกทั้งยังเคลื่อนย้ายจิตวิญญาณของตนเองไปยังอสูรปฐพีอย่างรอบคอบ ทุกอย่างถูกวางแผนมาอย่างดี ในตอนนี้เจ้าอ้วนตกอยู่ในอันตรายอย่างถึงที่สุด แต่แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างเลวร้าย เขาก็ไม่ได้นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด เขากล่าวออกมาอย่างเหยียดหยัน “เจ้าสัตว์ตัวน้อยนี่คือสิ่งใดกัน? คิดหรือว่ามันจะทำอะไรข้าได้?” หลังจากที่เขากล่าวคำ เขายังคงโจมตีบุคคลบนพื้นดินต่อไปขณะเลิกสนใจอสูรปฐพีอย่างไม่มีเยื่อใย


เมื่อเห็นเจ้าอ้วนไม่สนใจแม้สักนิด ผู้ฝึกตนปีศาจโกรธจัดพร้อมคำรามออกมาทันที “ไขมันสารเลว เจ้าหาญกล้าที่เพิกเฉยต่อข้างั้นหรือ? จงตายซะ!” ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาพุ่งเข้าหาเจ้าอ้วนทันที กรงเล็บของมันพุ่งเข้ามาที่คอของเจ้าอ้วนเพื่อหวังที่จะขย้ำคอที่น่ารังเกียจให้หายไปจากโลกนี้เสีย แม้ว่าอสูรปฐพีจะมีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีและมีความคล่องตัวอย่างมาก แต่หากอยู่บนพื้นมันหาได้ว่องไวแต่อย่างใด ความเร็วของมันถูกจำกัดด้วยขาที่แข็งกระด้าง เจ้าอ้วนสามารถหลบการโจมตีเหล่านั้นอย่างง่ายดายขณะสนใจแต่การโจมตีจากบนพื้นดินอย่างยี่หระ


ในขณะที่ผู้ฝึกตนอสูรกายเห็นฉากตรงหน้า เขาเข้าใจได้ทันทีว่าตอนนี้ตนได้กลายเป็นของเล่นให้กับเจ้าอ้วน ความเร็วเพียงเท่านี้ไม่สามารถจับกุมได้ ไม่สามารถแม้แต่จะสัมผัสเสื้อคลุมด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ายังห่างชั้นเกินไป


ผู้ฝึกตนอสูรกายเริ่มโกรธเกรี้ยวหลังโจมตีไปสองถึงสามครั้ง แต่เจ้าอ้วนยังคงสบายอกสบายใจ สุดท้ายเขาจึงค่อยทราบว่าไม่อาจสัมผัสเนื้อหนังของชายอ้วนแต่ดูคล่องแคล่วนี้ได้เลย เขาหยุดการโจมตีเจ้าอ้วนทันทีพร้อมเปลี่ยนเป้าหมายไปที่หานปิงเอ๋อที่กำลังอยู่ในสมาธิเพื่อฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณ


“ไขมันสารเลว แม้ข้าไม่อาจจับต้องตัวเจ้า แต่คิดหรือว่านางนั่นข้าจะไม่อาจสัมผัส? ข้าจะฉีกนางออกเป็นชิ้น ๆ ต่อหน้าเจ้า!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาพุ่งเป้าหมายไปที่หานปิงเอ๋อทันทีพร้อมเสียงคำรามที่ดังสนั่น


แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะอยู่ในสมาธิ แต่นางสามารถรับรู้เหตุการณ์ภายนอกได้เป็นอย่างดี อาการบาดเจ็บของนางหนักเกินไป อีกทั้งยังสูญเสียเลือดมาก นางไม่สามารถใช้เวลาอันสั้นเพื่อฟื้นฟูได้ ดังนั้นการทำสมาธิของนางเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ในขณะที่อสูรปฐพีเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ตน นางตื่นขึ้นโดยทันที แต่อาการของนางสาหัสนัก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเคลื่อนไหวหลบหลีกได้ทัน นางทำได้เพียงมองไปยังอสูรปฐพีที่กำลังพุ่งเข้ามา ลมหายใจที่น่ารังเกียจของอสูรปฐพีอยู่ชิดกับใบหน้าของนาง ในขณะนั้นหานปิงเอ๋อไม่คาดหวังสิ่งใดอีกต่อไป นางปิดตาลงพร้อมกับรอความตายที่กำลังจะมาถึง


แต่ในจังหวะสุดท้าย เจ้าอ้วนปรากฏตัวขึ้นอย่างอัศจรรย์ตรงหน้าของนางอีกครั้งพร้อมกับปกป้องนางจากอสูรกายขั้นที่สี่อย่างรวดเร็ว


ผู้ฝึกตนอสูรกายเห็นดังนั้น เขายิ้มออกมาอย่างยินดีพร้อมกางกรงเล็บออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความหวังที่จะฉีกร่างของเจ้าอ้วนเป็นชิ้น ๆ ด้วยพลังของอสูรกายขั้นที่สี่แน่นอนว่าสามารถฉีกร่างกายของมนุษย์ได้เป็นชิ้น ด้วยกรงเล็บที่หนาและฟันที่คมของมันเทียบเท่ากับการโจมตีด้วยอุปกรณ์วิเศษระดับต่ำเลยทีเดียว แม้ว่าเจ้าอ้วนจะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่ร่างกายของเขาก็ไม่อาจแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอุปกรณ์วิเศษอย่างแน่นอน


หลังจากเสียงคำรามของอสูรกายปฐพี กรงเล็บที่แหลมคมปักบนหน้าอกของเจ้าอ้วนเกิดเสียงฉีกขาดดังสนั่นในอากาศ เสื้อคลุมของเจ้าอ้วนขาดออกเป็นชิ้น ๆ ในขณะนั้นเลือดของเจ้าอ้วนกระจายเต็มใบหน้าของอสูรกาย


ผู้ฝึกตนอสูรกายที่สามารถโจมตีเจ้าอ้วนได้กลับไม่ยินดี เขารู้สึกตกใจเพราะว่ากรงเล็บของอสูรกายไม่สามารถสร้างอาการบาดเจ็บสาหัสให้กับเจ้าอ้วนได้เลย ในตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังโจมตีสมบัติวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าผิวหนังของเจ้าอ้วนจะฉีกขาด แต่ก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่กระดูกด้านในได้


ในตอนนี้ผู้ฝึกตนอสูรกายไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีกต่อไป ร่างกายของมนุษย์สามารถแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร? แม้แต่ผู้ฝึกตนบ่มเพาะกายยังไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ บุคคลผู้นี้อยู่ในระดับเซียนเทียนเท่านั้น เขาไม่ควรจะป้องกันกรงเล็บของอสูรกายขั้นที่สี่ได้ อีกทั้งไขมันบัดซบนี้ยังเป็นผู้ฝึกตนสายฟ้าอีกด้วย แล้วเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?


ในขณะที่ผู้ฝึกตนอสูรกายกำลังมึนงง เจ้าอ้วนกำลังโกรธจัด ตั้งแต่ต่อสู้มานี่คือครั้งแรกที่เขาบาดเจ็บ ในครั้งที่เขาถูกโจมตีโดยผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทั้งสี่คน เขายังสามารถหลบหนีได้โดยไร้อาการบาดเจ็บ แต่ในตอนนี้เขากลับได้รับการบาดเจ็บจากสิ่งที่น่ารังเกียจตนนี้ แม้ว่าบาดแผลจะลึกเพียงไม่กี่เซนติเมตร แต่มันเจ็บ! กรงเล็บทั้งสิบพร้อมความยาวสองฟุตฝากรอยแผลไว้บนหน้าอกของเขา ทำให้ร่างกายของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความโกรธ เจ้าอ้วนโกรธจัดจนลืมใช้สมบัติวิญญาณหรือแม้แต่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เขากำหมัดแน่นพร้อมกระแทกเข้าที่ใบหน้าของอสูรกายทันที!


กำปั้นที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าพร้อมทั้งกล้ามเนื้อที่เป็นเลิศของเขาฉีกผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมกระโชกอย่างรุนแรงพร้อมทั้งเสื้อผ้าฉีกขาด! หลังจากนั้น เกิดเสียงดังสนั่นราวกับเหล็กกระแทกกับโต๊ะไม้!


กำปั้นของเจ้าอ้วนปะทะเข้าที่คางของอสูรปฐพี จากนั้นฉากที่น่าตกใจได้เกิดขึ้นต่อทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น หัวของอสูรกายถูกเป่ากระเด็นภายในกำปั้นเดียว! คอของมันหล่นสู่พื้นดินราวกับใบไม้ร่วง พร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาราวกับหยาดฝน ในขณะนั้นผู้ฝึกตนอสูรกายที่นั่งสมาธิอยู่ร่ำไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด เขาบ้วนเลือดออกมาก้อนใหญ่พร้อมล้มลงกับพื้นทันที เพราะว่าอสูรของเขาถูกสังหาร ส่งผลให้จิตวิญญาณของเขาบาดเจ็บอย่างหนัก


แม้ว่าเขาจะล้มลงไปแล้ว แต่เขายังคงพยายามที่จะยืนขึ้นและตะโกนออกมาอย่างสับสน “เป็นไปไม่ได้! ร่างกายของเจ้ามันคืออะไรกัน! แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิยังไม่อาจมีร่างกายเช่นนี้ได้!”


หานปิงเอ๋อรอดพ้นจากความตายอีกครั้งโดยบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง เกิดความรู้สึกที่ยุ่งยากขึ้นภายในจิตใจของนางอีกครั้ง แต่นางไม่ใช่คนที่แสดงออกได้ดีนัก ดังนั้นนางจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเพียงแต่ยื่นผ้าให้เขาเพื่อซับเลือด


“ขอบคุณมากศิษย์น้อง!” เจ้าอ้วนไมได้มีพิธีรีตองมากนัก เขากล่าวขอบคุณอย่างเรียบง่าย เขาหยิบผ้าที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของหานปิงเอ๋อและเช็ดเลือดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชากับผู้ฝึกตนอสูรกาย “ข้าเพียงแค่หนังหนาและมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เจ้าคิดว่าจะทำอะไรกับข้าได้?”


เมื่อผู้ฝึกตนอสูรกายได้ยินเช่นนั้น เขาแทบจะตายตกไปเพราะโกรธจัด ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปอย่างขุ่นแค้น “ต่อให้ผิวหนังของเจ้าจะหนาเพียงใด และกล้ามเนื้อจะแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า แต่วันนี้เจ้าไม่อาจหลีกหนีความตาย!”


บทที่ 153: กระบี่เฟิ่งหมิงจากสวรรค์


หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาตะโกนใส่พวกพ้องทันที “พี่น้อง โจมตีมัน! มีพิษอยู่บนกรงเล็บของอสูรปฐพี เวลาของมันใกล้หมด อีกไม่ช้ามันต้องตาย! อย่าให้มันมีเวลาล้างพิษนั่น!” เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น พลังของพวกเขากลับมาทันทีพร้อมกับเริ่มการโจมตีที่ดุเดือด


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจ้าอ้วนโต้กลับด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก จนเป็นผลให้อีกฝ่ายถอยกลับ หลังจากนั้นเขาใช้ลำแสงของดาบเพื่อคุ้มกันตนเองอีกครั้งและรีบตรวจสอบร่างกายทันที แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะเลวร้าย เจ้าอ้วนยังคงไม่ลืมเก็บผ้าที่หานปิงเอ๋อมอบให้เมื่อครู่นี้ ผ้าชิ้นนี้คือผ้าเช็ดหน้าที่นางพกติดตัวไปทุกที่ เป็นนางเห็นชอบแล้วว่าสมควรมอบมันให้กับเจ้าอ้วนเพื่อห้ามเลือดในตอนนี้ ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงถือวิสาสะเก็บมันไว้กับตนเองไปโดยปริยาย เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนทำเช่นนั้น หานปิงเอ๋อรู้สึกเขินอายอย่างไม่มีเหตุผล ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นางคงจะสังหารทุกคนที่กล้าทำอย่างนี้กับนาง แต่ตอนนี้ถือว่าเป็นข้อยกเว้น ในตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับความตาย นางไม่อาจให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เป็นอุปสรรคสำหรับเขาได้ แม้ว่าจะรู้สึกลำบากใจและขุ่นเคือง แต่นางก็ปล่อยให้มันผ่านไปทั้งอย่างนั้น


ในขณะที่หานปิงเอ๋อกำลังตำหนิเจ้าอ้วนอยู่ภายในใจ เขาก็จัดการร่างกายของตนเองเสร็จสิ้นแล้ว ความเป็นจริงคือพิษยังคงมีอยู่ที่บาดแผล เห็นได้ชัดว่ามันเป็นพิษที่ถูกใช้โดยผู้ฝึกตนอสูรกาย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าอ้วนที่มีปฐมกาลแห่งความโกลาหลอยู่ในตัว นี่นับเป็นความพิเศษของมันที่สามารถปรับแต่งพิษเหล่านี้ให้กลายเป็นปราณจิตวิญญาณได้ แม้ว่าจะไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดกับเจ้าอ้วนมากนัก เขาเพียงแค่รู้สึกร้อนราวกับยืนอยู่บนกองไฟ แต่เพียงไม่นานพวกมันก็สลายไปจนหมดสิ้น


ในตอนนี้พิษไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจยังคงรายล้อมอยู่รอบตัว ทั้งสิบเอ็ดคนที่เหลือรอดต่างใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อโจมตีเจ้าอ้วน จนกระทั่งเจ้าอ้วนไม่อาจทนความรำคาญนี้ได้จึงต้องโยนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ออกไปนับสิบลูกเพื่อหยุดการกระทำเช่นนี้ แต่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจำนวนจำกัดและมันมีวันหมด ถ้าหากเวลานั้นมาถึง แน่นอนว่าจุดจบของเจ้าอ้วนจะมาถึงเช่นกัน


ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบเช่นนี้ หานปิงเอ๋อรู้สึกเหมือนมีมีดสั้นแหลมแทงผ่านหัวใจของนาง ‘เพียงเพื่อช่วยระบายความโกรธของศิษย์น้องมู่ ข้าบังคับให้ศิษย์พี่ซ่งต่อสู้กับข้าครั้งก่อนหน้านี้ เขาใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นับร้อยในการต่อสู้ แต่ในเวลานี้ข้าไม่เคยคาดคิดว่ากำลังพึ่งพาสายฟ้าของเขา ถ้าหากข้ารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าต้องไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน! นี่คือผลผลิตที่ข้าได้หว่านออกไป! ช่างน่าสงสารศิษย์พี่ซ่งที่จะต้องถูกลากมาลำบากกับข้า!’


เมื่อคิดเช่นนั้น ภายในจิตใจของหานปิงเอ๋อเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ จากนั้นแววตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและพยายามที่จะยืนขึ้นอีกครั้ง นางเดินไปหาเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวเบา ๆ “ศิษย์พี่ซ่ง ท่านสามารถออกไปด้านนอกได้หรือไม่? ศิษย์น้องผู้นี้มีพลังเพียงพอที่จะโจมตีครั้งสุดท้าย ให้ข้าต่อสู้กับพวกมันอีกครั้งเถิด!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้นจึงตกใจทันที แต่เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าสถานการณ์กำลังเป็นเช่นไรพร้อมหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะใช้อาคมเลือดอีกครั้ง? ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะตายทันทีหลังจากการโจมตี!”


“ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้เราทั้งคู่ล้วนกำลังจะตาย เรื่องนี้ต้นเหตุมันมาจากข้า และข้าก็ไม่เคยคาดคิดที่จะให้ศิษย์พี่ต้องมาร่วมชะตากรรมเช่นนี้ ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะเข้าใจในความปรารถนาสุดท้ายของศิษย์น้องผู้นี้!” หานปิงเอ๋อกล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด


“ศิษย์น้องเรื่องราวยังไม่ได้เลวร้ายมาก เชื่อข้าเถิด ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!” เจ้าอ้วนพยักหน้าพร้อมกล่าวจริงจัง


“แต่ท่านได้สูญเสียสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปมากมายในตอนที่สู้กับข้า ถ้าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่าจะต้องใช้มันมากขึ้นอีก!” หานปิงเอ๋อกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ท่านจะไม่สามารถกลับออกไปได้แม้ว่าท่านจะต้องการ!”


“ข้าจะไม่หนี อย่างน้อยที่สุดข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าและหนีไปตามลำพัง! ศิษย์น้องอย่าทำให้ข้าต้องกล่าวโทษตนเองในอนาคต เข้าใจหรือไม่?”


เมื่อหานปิงเอ๋อได้ยินที่เขากล่าวออกมา ร่างกายของนางสั่นไหว ดวงตาของนางเริ่มมีน้ำใส ๆ เอ่อล้นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวจอมอหังการร้องไห้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ


ราวกับว่าเจ้าอ้วนรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นที่ด้านหลัง เขาลูบหัวหานปิงเอ๋อเบา ๆ พร้อมกล่าวว่า “ได้โปรด เชื่อในตัวข้า!”


“อือ!” หานปิงเอ๋อพยักหน้าพร้อมกับหลบอยู่ด้านหลังเจ้าอ้วนอย่างเชื่อฟัง ในขณะนั้นความรู้สึกของผู้หญิงที่ภาคภูมิใจในตนเองได้หายไปจนหมดสิ้น ราวกับว่านางคือผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่เฝ้ารอให้อัศวินขี่ม้าขาวเข้าช่วยเหลือ


จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเจ้าอ้วนถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้งโดยหานปิงเอ๋อ ลำแสงของดาบที่เขาส่งออกไปมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แม่นยำมากขึ้น


ในขณะที่ท้องฟ้ากำลังมืดมิด มีแสงประกายของเหล่าสมบัติวิเศษและอาคมต่าง ๆ ที่กำลังปะทะกัน เกิดการระเบิดมากมายนับไม่ถ้วนในรัศมีหนึ่งพันฟุต ต้นไม้ต้นหญ้าล้วนถูกลบไปจากพื้นที่โดยสมบูรณ์ เหลือไว้เพียงหลุมขนาดใหญ่ เกล็ดน้ำแข็ง พิษ และคราบเลือดที่น่าสะอิดสะเอียนมากมายอยู่บนพื้น ทำให้พื้นที่ที่ดูสวยงามในตอนต้นกลายเป็นสถานที่ซึ่งไม่น่าอภิรมย์


แม้ว่าสมบัติวิเศษของเจ้าอ้วนจะแข็งแกร่งทั้งยังมีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาไม่ได้นำภาพวาดแห่งสาวงามทั้งเก้าออกมาสู้รบ หลังจากที่ผ่านการต่อสู้อันขมขื่นมาสี่ชั่วโมง เจ้าอ้วนรู้สึกสิ้นหวัง สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขาหมดลง แม้แต่ดาบของเขาก็ยังถูกทำลาย ดาบแห่งธาตุทั้งห้าแตกหัก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะหยิบสิ่งอื่นที่อยู่ในมิติออกมา


ในขณะนั้นท้องฟ้ากำลังจะสว่าง พระอาทิตย์กำลังขึ้นจากขอบฟ้า อาการบาดเจ็บที่เจ้าอ้วนได้รับถาโถมเหมือนถูกภูเขาทับไว้ทั้งลูก แต่เขายังยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ในสนามรบ เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งพร้อมกับบาดแผลมากมาย แม้แต่บนใบหน้าของเขายังมีรอยแผลจากดาบปราณจิตวิญญาณ ทำให้ท่าทีของเขาดูน่ากลัวยิ่งขึ้น แต่ต้องขอบคุณร่างกายของเจ้าอ้วน แม้ว่าเขาจะมีรอยแผลที่มากมายเช่นนี้แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บมากนัก ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ พวกเขาเหล่านั้นอาจจะตายตกไปแล้วสักร้อยครั้ง เนื่องจากแผลที่มากมายเช่นนี้และการเสียเลือดมันมากพอที่จะสังหารให้คน ๆ หนึ่งตายได้ แต่ทว่าเจ้าอ้วนเพียงแค่รู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น


แม้ว่ากำลังจะหมดหวัง แต่เจ้าอ้วนก็ยังคงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งนักสู้ เขายืนอย่างมั่นคงดั่งเช่นภูเขาเบื้องหน้าของหานปิงเอ๋ออย่างไม่คิดรับความพ่ายแพ้


อาจกล่าวได้ว่าหานปิงเอ๋อที่ยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าอ้วนนั้นได้พบกับความมหัศจรรย์เข้าแล้ว ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความสกปรกบนร่างกายของนาง นอกเหนือจากใบหน้าที่ซีดขาว ไม่มีสิ่งใดผิดปกตินอกจากนั้นเลย ราวกับนางไม่เคยพานพบการต่อสู้อันโหดร้ายมาก่อน เห็นได้ชัดว่าเจ้าอ้วนปกป้องนางอย่างดี


แม้ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังเช่นนี้ มือซ้ายของเจ้าอ้วนคว้าเอามือของหานปิงเอ๋อไว้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะได้รับอะไรจากนาง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้นางใช้อาคมเลือดอีกครั้ง ความจริงคือถ้าหากเจ้าอ้วนไม่หยุดนางไว้ แน่นอนว่านางจะใช้มันอีกครั้งและปลดปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายออกไป หลังจากที่ผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบาก ผู้ฝึกตนปีศาจได้ใช้ปราณจิตวิญญาณไปมากกว่าครึ่งและเริ่มอ่อนแรง พวกเขาเริ่มตื่นเต้นกับชัยชนะที่ตัดสินผ่านสายตา จากนั้นพวกเขาเริ่มตะโกนเย้ยหยันเจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋ออย่างสนุกสนาน “ไขมันบัดซบเอ๋ย แสดงความโง่เขลาของพวกเจ้าออกมาอีกสิ พวกข้าเฝ้าดูอยู่!”


“ข้าจะถลกหนังของเจ้าเพื่อแก้แค้นให้กับอสูรปฐพี!” ผู้ฝึกตนอสูรกายกล่าวออกมาอย่างโกรธแค้น


“ฮี่ฮี่ ให้พวกเราดูแลเจ้าเถิดอ้วนน้อย ในตอนนี้พวกข้าห่วงก็แค่แม่นางผู้งดงามตัวเล็กจ้อยด้านหลังของเจ้าเท่านั้น! บิดาของเจ้าผู้นี้จะต้องเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มลองนาง!” พวกเขากล่าวออกมา “ไร้สาระ! ข้าคือคนแรก!” อีกคนกล่าวออกมา


“บัดซบ ข้าต้องเป็นคนแรก!”


“ไม่ ข้าเท่านั้น!” เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจถกเถียงกัน


ตั้งแต่ที่หานปิงเอ๋อได้รับความอัปยศมาจากเรื่องราวก่อนหน้านี้ นางเริ่มขมวดคิ้วและร่างกายเริ่มสั่นไหวด้วยความโกรธ นางพยายามจะแกะมือของตนออกจากเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ให้ข้าไปสั่งสอนพวกมัน!”


เจ้าอ้วนคว้ามือนางไว้แน่นพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใจเย็น ใจเย็นก่อน ใกล้ได้เวลาแล้ว เหตุใดเจ้าจึงต้องโกรธเคืองเหล่ากลุ่มคนที่ตายไปแล้วด้วยล่ะ!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น หานปิงเอ๋อตกใจไปชั่วขณะ ผู้ฝึกตนปีศาจหยุดการถกเถียงกันทันทีพร้อมกับมองมาที่เจ้าอ้วนด้วยความมึนงง


“ไขมันสารเลว เจ้าคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแห่งนรกแล้วยังกล่าววาจาเช่นนั้นได้งั้นหรือ?” บุรุษผู้หนึ่งกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ “เหอะ! พวกเจ้าต่างหากที่ต้องตาย! ข้าเอาหัวของข้าเป็นเดิมพัน!”


เจ้าอ้วนไม่โต้ตอบแต่รอยยิ้มปีศาจ พร้อมทั้งเตรียมภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าที่เขาซ่อนไว้ ในขณะนี้เขามีปราณจิตวิญญาณเพียงสองในสิบเท่านั้น นับว่ายังเพียงพอให้ใช้งานภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า เมื่อใดที่ภาพวาดเปิดเผย ข้อเท็จจริงที่เขาขืนใจหานปิงเอ๋อก็จะถูกเปิดเผยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะใช้มันถ้าหากไม่จำเป็น


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ในขณะนั้นเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจต่างพากันหัวเราะเจ้าอ้วนอย่างบ้าคลั่ง


“ไขมันสารเลว เจ้าไม่คิดว่าหัวของเจ้าในตอนนี้มันเป็นของพวกเราแล้วงั้นหรือ!” หนึ่งในนั้นกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม


“ฮ่าฮ่า ความจริงเจ้าไม่ควรกล้าที่จะเดิมพันกับพวกเราด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วศิษย์จากสำนักเสวียนเทียนนั้นไร้ยางอายยิ่งนัก!” ทุกคนในบริเวณต่างพากันหัวเราะอย่างสนุกนาน ในขณะที่พวกเขากำลังสนุกอยู่นั้น เจ้าอ้วนรู้สึกได้ถึงบางอย่างในหัวใจของเขา ดวงตาของเขาเบิกโพล่งแสดงออกถึงความตกใจอย่างถึงที่สุด จากนั้นเขาปลดปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกล่าวว่า “ฮ่าฮ่า! พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถสังหารพวกเจ้าได้โดยใช้คำพูดเพียงประโยคเดียว!”


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เมื่อผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น พวกเขาเริ่มหัวเราะอีกครั้งทันที


ผู้ฝึกตนอสูรกายได้ยินเช่นนั้นจึงมองมาที่เจ้าอ้วนพร้อมกล่าวอย่างดูถูก “ข้าก็เชื่อเช่นกันว่าข้าสามารถหักคอเจ้าได้ทันทีเพียงแค่ยกมือขึ้น!” ในขณะที่เขากล่าว เขาเดินเข้าหาเจ้าอ้วนทันที ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ เจ้าอ้วนที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว เขาเตรียมภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าพร้อมตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า “ศิษย์น้อง ได้โปรดปกป้องข้าด้วย!”


เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น ทั้งหมดตกใจและเข้าสู่การป้องกันทันที แต่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็สรุปว่าถูกเจ้าอ้วนหลอกเข้าให้ ผู้ฝึกตนอสูรกายคำรามออกมาด้วยความโกรธ เขาหยิบเอาดาบออกมาพร้อมกับต้องการฟันคอเจ้าอ้วนให้ขาดสองท่อน


เจ้าอ้วนตกอยู่ในความมึนงง เขารู้สึกว่าทำอะไรผิดพลาด เขาส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปภายในมิติอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรขณะเตรียมเรียกใช้งานภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า


แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เกิดเสียงกรีดร้องจากฟากฟ้า! ในเวลาถัดมาปรากฏแสงสีทองพาดผ่านหัวของผู้ฝึกตนอสูรกาย ทันใดนั้นศีรษะของเขาล่วงหล่นลงสู่พื้นทันที ความน่ากลัวของเหตุการณ์นี้คือไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น!


บทที่ 154: ซุ่ม


หลังเกิดแสงสีทองปรากฏขึ้นต่อหน้าเจ้าอ้วน ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังมองหน้าเจ้าอ้วนด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางเป็นบุตรสาวของจ้าวสำนัก หงหยิง มีเพียงสมบัติวิญญาณกระบี่เฟิ่งหมิงเท่านั้นที่สร้างผลงานเช่นนี้ได้ ในขณะนี้กระบี่เฟิ่งหมิงกำลังกรีดร้องอยู่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามันพร้อมที่จะสังหารผู้เคราะห์ร้าย อีกทั้งคุณสมบัติของมันคือความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้!


สำหรับหงหยิงที่พบหน้าเจ้าอ้วน เมื่อเห็นเขาบาดเจ็บสาหัสนางก็อดไม่ได้ที่โกรธเกรี้ยวพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “พี่ชายอ้วน เหล่าคนสารเลวพวกนี้ใช่หรือไม่ที่ทำกับท่านเช่นนี้ ข้าจะส่งมันไปยังปรโลกให้หมด!” ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางเริ่มใช้งานกระบี่เฟิ่งหมิงอีกครั้งทันที


เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ความกลัวเข้าครอบงำพวกเขาอย่างรุนแรงถึงขั้นที่หยิบทุกสิ่งอย่างที่มีออกมาปกป้องตนเอง เมื่อได้เห็นความเร็วของกระบี่เฟิ่งหมิง แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดอยากตายตกไปด้วยสภาพเช่นนั้น


เจ้าอ้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนเองมีกำลังเสริมเข้ามา จากนั้นเขาเผยยิ้มกว้างพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้อง ข้ารู้สึกดีมากที่เจ้ามาทันเวลา ถ้าหากมาช้ากว่านี้อีกเพียงเล็กน้อย ข้าคงไม่มีวันได้พบหน้าเจ้าอีกแล้ว!”


“พี่ชายอ้วนอย่าได้ห่วง ถ้าหากว่าข้ายืนอยู่ตรงนี้จะไม่มีผู้ใดรังแกท่านได้แน่นอน!” หงหยิงให้สัญญา


“เหอะ!” เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น พวกเขาส่งเสียงเหยียดหยามออกมาทันที


“สาวน้อย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครงั้นหรือ? มีเพียงดาบเล่มเดียวและไร้กำลังสนับสนุน อย่างเจ้าจะทำสิ่งใดได้?”


“อย่าคิดว่ากระบี่เฟิ่งหมิงแข็งแกร่ง แม้ว่าพวกเราจะอ่อนแอแต่พวกเราก็มีสมบัติเช่นกัน สมบัติวิเศษนับสิบชิ้นยังอยู่กับเรา! ซึ่งมันเพียงพอที่จะสั่งสอนเจ้า!”


“ฮี่ฮี่ สาวน้อยเอ๋ย เจ้ามาที่นี่เพื่อเสียสละโดยแท้จริง!”


“ประเสริฐยิ่งนัก เพียงแค่หานปิงเอ๋อไม่เพียงพอให้พวกเราเล่นสนุก พวกข้าขอต้อนรับเจ้าด้วยใจจริง!”


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างน่ารังเกียจ


ความอดทนของหงหยิงได้หมดลงในตอนนี้ ปราศจากคำพูดที่สอง นางสั่งให้กระบี่เฟิ่งหมิงโจมตีทันที แต่ในตอนนี้การโจมตีของนางไม่มีผลใด มันไม่สามารถต่อกรกับไฟปีศาจจากอุปกรณ์ป้องกันของพวกเขาได้ ถ้าหากว่าหงหยิงอยู่ในระดับหยวนหยินและเป็นผู้ใช้กระบี่เฟิ่งหมิง การทำลายอุปกรณ์และสังหารพวกมันทั้งหมดย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่หงหยิงในตอนนี้เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนเท่านั้น นางจึงไม่สามารถทำลายสิ่งใดได้แม้ว่าจะครอบครองกระบี่เฟิ่งหมิงก็ตาม


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจรู้สึกว่าภูเขาที่กำลังทับถมอยู่ได้ถูกยกออกแล้ว จากนั้นพวกเขาเตรียมจัดแบ่งกลุ่มเพื่อเล่นสนุกกับหงหยิงอย่างออกหน้าออกตา แต่ก่อนที่จะทันได้กล่าวสิ่งใดออกมา เจ้าอ้วนพูดตัดหน้าอย่างรวดเร็ว “ความคิดของพวกเจ้าในตอนนี้จะนำพาพวกเจ้าไปสู่ประตูแห่งนรก ข้าคงไม่สามารถช่วยได้จึงขอยืนชื่นชมการกระทำอันโง่เขลาของพวกเจ้าอยู่ตรงนี้!”


“บัดซบ เจ้าคือคนที่ทำลังจะตาย! เจ้าคิดงั้นหรือว่าพวกเรานับสิบจะเกรงกลัวสามคนที่เป็นง่อยและหญิงสาวไร้กำลัง?” ผู้ฝึกตนปีศาจคนหนึ่งตะโกนออกมา


“สามงั้นหรือ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาดั่งเช่นปีศาจ “มีสมองมากมายเกลื่อนกลาดอยู่ในที่แห่งนี้ แต่พวกเจ้ากลับมีสายตามองเห็นเพียงสามงั้นหรือ? พวกเจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตอนนี้กำลังอยู่ท่ามกลางคนของข้า? ข้ากล้าพูดว่ามีผู้ฝึกตนบนเส้นทางแห่งความชอบธรรมนับสามสิบคนกำลังวิ่งตรงมาที่นี่แหละพวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว! ข้ากล่าวถูกหรือไม่ศิษย์น้อง?”


“ถูกต้องแล้วพี่ชายอ้วน พวกเขาทั้งสามสิบคนกำลังมา เพียงเพราะข้ารวดเร็วกว่าจึงมาถึงก่อนผู้ใด ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะมาถึงในอีกไม่ช้า!” หงหยิงกล่าวเสริม “เหอะ พวกเจ้าคิดว่ากำลังพูดกับเด็กอยู่งั้นหรือ?” ผู้ฝึกตนปีศาจกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “คิดว่าพวกข้าจะหลงกลเชื่อพวกเจ้างั้นรึ?”


“แน่นอนว่าประตูเคลื่อนย้ายนี้เป็นของผู้ฝึกตนปีศาจ พวกมันจะไม่มีทางมุ่งหน้ามาที่แห่งนี้แน่นอน ในขณะนี้พวกมันคงจะยืนอยู่ที่ประตูเคลื่อนย้ายฝั่งของตนเอง!” อีกคนกล่าวออกมา “แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มาถ้าหากไม่มีธุระใดกับสถานที่แห่งนี้ แต่ถ้าหากว่ามีผู้ฝึกตนปีศาจมากมายได้ตายตกไปมากกว่าครึ่ง เจ้าคิดว่าพวกเขาจะไม่มุ่งหน้ามางั้นหรือ? อีกทั้งผลไม้วิญญาณมากมายก็ยังคงอยู่ในสถานที่แห่งนี้!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่คิดว่าเหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมจะปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ไป!”


“ฮ่าฮ่า ถ้าหากเจ้ารู้สถานการณ์เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพวกมันจึงยังไม่มากันล่ะ แต่ข้าไม่คิดว่าสุกรอย่างเจ้าจะสามารถทำนายอนาคตได้….” ผู้ฝึกตนปีศาจเหยียดหยามเจ้าอ้วน


ก่อนที่เขาจะกล่าวได้จบประโยค ใบหน้าของผู้ฝึกตนปีศาจเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “แม่นางฉุ่ยจิ้ง….” พวกเขากรีดร้องออกมาพร้อมกัน


ถูกต้องแล้วเป็นนางจริง ๆ คนอื่นไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่นางสามารถทำได้ ในระหว่างการต่อสู้เมื่อวันก่อนหานปิงเอ๋อสังหารเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจนับยี่สิบคน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการแตกหักของสมดุลระหว่างผู้ฝึกตนปีศาจและผู้ฝึกตนชอบธรรมโดยสมบูรณ์ แล้วเรื่องราวเหล่านี้ฉุ่ยจิ้งจะไม่อาจทำนายได้อย่างไรกัน? นอกจากนี้หลังจากที่นางได้ทำนายทุกอย่างเสร็จสิ้น นางจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปอย่างไร? ไม่มีสิ่งใดต้องสงสัยอีกต่อไป ด้วยเกียรติของนาง แน่นอนว่านางสามารถเอ่ยปากชวนพวกพ้องได้เพียงคำพูดเดียว!


ผู้ฝึกตนปีศาจไม่ได้โง่เขลา พวกเขาเข้าใจกระบวนการทั้งหมดแล้ว ในตอนนี้พวกเขาจะเอาสิ่งใดไปต่อสู้? พวกเขาทั้งหมดตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว หนี!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ผู้ฝึกตนปีศาจวงแตกกระจัดกระจายออกไปราวกับฝูงนก แต่ทว่าในตอนนี้สายเกินไปเสียแล้วคิดจะหลบหนี หลังจากที่วิ่งออกไปได้ระยะสั้น ๆ ไม่มีผู้ใดปล่อยให้ขุมทรัพย์ขนาดย่อมหนีไปเช่นนี้ ผู้ฝึกตนชอบธรรมเข้าล้อมพวกเขาทันที


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกตนปีศาจรับรู้ได้ถึงความตายที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะพร้อมทั้งใช้ไพ่ใบสุดท้ายที่มีเพื่อที่จะหลบหนี แต่ช่างน่าเวทนาเมื่อการกระทำเหล่านั้นไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ท่ามกลางบุคคลนับสามสิบ แต่พวกเขามีเพียงแค่สิบกว่าเท่านั้น อีกฝั่งเป็นบุคคลเพิ่งมาและอยู่ในสภาพที่พร้อมต่อสู้ อีกฝ่ายเป็นบุคคลที่ผ่านการต่อสู้มายาวนานทั้งคืน อีกฝ่ายมีสมบัติวิญญาณ แต่ในขณะที่พวกเขามีเพียงสมบัติวิเศษ ความแตกต่างนี้มากเกินไปและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่สามารถเรียกว่าการต่อสู้ได้อีกแล้ว


ดังนั้นในขณะที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ความได้เปรียบหลายอย่างเกิดขึ้นจนมองเห็นได้ชัดเจน ผู้ฝึกตนปีศาจทำได้เพียงส่งเสียงร้องออกมาสั้น ๆ ก่อนที่ผู้ฝึกตนชอบธรรมจะเริ่มทำการสังหารพวกมันทั้งหมด ผู้ฝึกตนปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มถูกรายล้อมไปด้วยเหล่านักสู้และหงหยิงที่ครอบครองกระบี่เฟิ่งหมิง อีกทั้งยังมีฉุ่ยจิ้งคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังอีกด้วย เหล่ากลุ่มคนก่อนหน้านี้ได้ตายตกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บรรดาผู้ฝึกตนชอบธรรมกำลังสังหารผู้ฝึกตนปีศาจอย่างเร่าร้อน หญิงสาวที่ใส่ชุดสีขาววิ่งไปหาเจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อหลังจากที่นางสังหารผู้ฝึกตนปีศาจไปมากมายพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าคิดถึงท่านมาก”


นางต้องการจะโยนตัวเองเข้าไปในอกของหานปิงเอ๋อ นางยืนอยู่ตรงหน้าของหานปิงเอ๋อและเจ้าอ้วนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับมองพวกเขาที่กำลังจับมือกันอยู่! เห็นได้ชัดเจนว่าการต่อสู้อันสิ้นหวังในคืนที่ผ่านมา เจ้าอ้วนไม่ได้ปล่อยมือนางออกเลยจนถึงตอนนี้ นิ้วของพวกเขาเชื่อมกันอย่างเป็นธรรมชาติและไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยมือแต่อย่างใด


หานปิงเอ๋อที่เพิ่งรอดพ้นจากสถานการณ์แห่งความตายไม่รู้สึกถึงความผิดปกตินี้มาก่อน จนกระทั่งนางถูกจ้องมองโดยน้องสาวผู้นี้และตระหนักได้ว่ามือของนางถูกจับกุมไว้อย่างแน่นหนา นางรีบดึงมือออกทันทีแต่ในขณะนั้นใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรียบร้อยแล้ว


เจ้าอ้วนยังคงยืนอยู่ที่เดิมท่ามกลางความอึดอัดใจเช่นกัน อย่างไรก็ตามเขาเข้าใจเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวผู้นี้ดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ดูเหมือนกับว่านางจะเป็นหญิงสาวที่เขาช่วยเหลือให้รอดพ้นจากเหล่าผึ้ง เมื่อชัดเจนแล้วว่าเป็นนาง ดวงตาของเจ้าอ้วนสว่างไสวพร้อมทั้งเผยยิ้มกว้างและกล่าวทักทาย “ใบหน้าของศิษย์น้องช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่?”


แน่นอนว่าหญิงสาวเห็นเจ้าอ้วนแล้วและเกิดความรู้สึกกระวนกระวาย นางขโมยสิ่งของบางอย่างจากเขาหลังจากที่เขาช่วยชีวิตของนางไว้ การเนรคุณดังกล่าวทำให้นางรู้สึกผิดอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากรีบตอบกลับอย่างร้อนใจ “ข้าไม่เคยพบท่านมาก่อน จริงนะ! ไม่เคยพบเลย!”


“งั้นหรือ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาจจะจำคนผิด ข้าจำได้เพียงว่ามีหญิงสาวผู้ฝึกตนธาตุไม้ใช้สมบัติวิเศษที่เป็นกระจก หลังจากที่ข้าช่วยชีวิตนางไว้ นางทำการขโมยผลไม้วิญญาณไปจากข้า ฮ่าฮ่า หัวใจของมนุษย์ช่างยากเย็นเกินกว่าจะเข้าใจ!”


“ว่าอะไร?” เมื่อหานปิงเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางโผเข้ากอดน้องสาวอย่างห่วงหา “ศิษย์น้อง เจ้าไม่เคยรู้จักศิษย์พี่ซ่งได้อย่างไร? ข้าจำได้ว่าเราเคยพบเขามาก่อนที่จะเดินเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ไม่ใช่หรือ”


เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้น นางเผยใบหน้าอึดอัดใจพร้อมคิดภายในใจ ‘ให้ตายเถอะ ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท แล้วข้าจะทำเช่นไร?’


เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ เหตุใดหานปิงเอ๋อจึงจะไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนอย่างรวดเร็วพร้อมกับกดไหล่ของหญิงสาวไว้ “เจ้ายังไม่คืนมันให้เขางั้นหรือ?” ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะรู้ว่าน้องสาวของนางทำผิด แน่นอนว่านางจะต้องยืนเคียงข้างน้องสาวของตนเสมอ แต่ในวันนี้เรื่องราวของนางกับเจ้าอ้วนได้เปลี่ยนแปลงไป นางเลือกที่จะยืนข้างเขา เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้เกรงกลัวหานปิงเอ๋ออย่างมาก ดังนั้นแม้ว่านางจะไม่เต็มใจที่จะหยิบมันออกมา แต่นางก็จำยอม นางหยิบกล่องหยกสีทองออกมาพร้อมส่งคืนให้เจ้าอ้วน ในขณะที่นางทำเช่นนั้นดวงตาของนางเริ่มมีน้ำตาขึ้นมาเอ่อล้น


เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เจ้าอ้วนยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้าคือพี่ชายของเจ้า ให้คิดซะว่าผลไม้วิญญาณนี้เป็นของขวัญจากพี่ชายแล้วกัน!”


“งั้นหรือ?” เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้น นางรีบตอบกลับทันที “พี่ชาย พี่ชายของข้า พี่ชายที่ดีที่สุด ท่านห้ามเสียสัจจะกับข้านะ!” ในขณะที่นางได้ยินเช่นนั้น นางหุบมือที่ถือกล่องหยกกลับไปทันที “ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าบุรุษจะไม่มีวันคืนคำ!” เจ้าอ้วนหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ใช่แค่ผลไม้วิญญาณเท่านั้น ข้ารักษาคำพูดทุกคำที่ข้ากล่าวเสมอ!”


“โอ้ ท่านผ่อนคลายเช่นนี้ แสดงว่าท่านครอบครองมันมากเพียงพอแล้วใช่หรือไม่?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวอดถามออกมาไม่ได้


“เหอะเหอะ!” เจ้าอ้วนยิ้มออกมาอย่างร่าเริง โดยไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด พร้อมทั้งเผยผลไม้วิญญาณทั้งหมดที่เขามีให้นางเห็น


“ศิษย์น้อง!” หานปิงเอ๋อโกรธจัดทันทีที่น้องสาวของนางไร้มารยาท เมื่อได้รับผลไม้วิญญาณแล้วแต่นางก็ยังถามซักไซ้และสอบสวนเขาต่อ นี่เป็นเรื่องที่ไร้ยางอายมากเกินไป!


หลังจากที่โดนสายตาอันแหลมคมของหานปิงเอ๋อ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะกระโดดออกไปด้วยความตกใจ นางไม่อาจควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้จึงกล่าวออกไปว่า “ก็ได้ ข้าจะไม่ถามอะไรอีกแล้ว!”


หานปิงเอ๋อไม่สนใจท่าทีของนางพร้อมสั่งสอนนางอย่างใจเย็น “จงจำไว้ว่าในวันนี้เจ้าไม่ได้เห็นสิ่งใด ถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้รับการดูแลอย่างดีจากข้า!”


“ห้ามบอกผู้อื่นเรื่องใดกันหรือ? อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว!” หญิงสาวเข้าใจอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่มั่นใจได้ พวกท่านได้ปิดปากของข้าด้วยผลไม้วิญญาณแล้ว ข้าสัญญาว่าจะไม่กล่าวเรื่องท่านกับศิษย์พี่ซ่งให้ผู้ใดรับรู้!”


เมื่อหานปิงเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางแทบจะตายทันทีจากความโกรธ นางอยากจะเดินตามไป ทว่าร่างกายของนางที่บาดเจ็บหนักไม่ยอมให้นางทำเช่นนั้น ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงมองน้องสาวที่กำลังวิ่งหนีไปพร้อมเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง สำหรับเจ้าอ้วนที่กำลังใส่เสื้อคลุมอยู่ข้างกายนั้น เขาก็ยืนหัวเราะเบา ๆ อยู่เพียงผู้เดียว เมื่อหานปิงเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงโกรธอีกครั้งพร้อมถามว่า “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะท่าน แล้วยังหัวเราะได้อีกงั้นหรือ?”


“เหอะเหอะ ไม่เห็นต้องกังวล นางจะไม่เปิดเผยเรื่องนั้นแน่นอนหลังจากข้ามอบสิ่งนั้นให้กับนาง” เจ้าอ้วนตอบอย่างยียวน


“งั้นหรือ!” หานปิงเอ๋อถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ จากนั้นใบหน้าของนางเปลี่ยนแปลงเป็นจริงจังพร้อมกล่าวกับเจ้าอ้วนว่า “ศิษย์พี่ช่วยชีวิตข้าไว้ในวันนี้ ข้าหานปิงเอ๋อจะจดจำมันไว้และจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอนในอนาคต!”


หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนจากหอเฉวียนจี้ได้เสร็จสิ้นการสังหารผู้ฝึกตนปีศาจ และเริ่มเข้ามาดูแลหานปิงเอ๋อ จากนั้นนางจึงเตรียมที่จะกลับออกไปพร้อมกับพวกพ้องภายในสำนักของตน


ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าอ้วนจะพลันตะโกนออกมา “ศิษย์น้องช้าก่อน!”


หานปิงเอ๋อหันหลังกลับมาพร้อมถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่มีอะไรอีกงั้นหรือ?”


“สิ่งของที่ตกอยู่ภายในสนามรบนี้เป็นของรางวัลจากสงคราม เจ้าจงหยิบมันกลับไปด้วย!” เจ้าอ้วนชี้ไปยังสมบัติวิเศษที่ถูกแช่แข็งไว้


สิ่งของพวกนี้ถูกแช่แข็งโดยพลังของหานปิงเอ๋อก่อนหน้านี้ แม้ว่ามันจะได้รับความเสียหาย แต่สามารถนำกลับมาใช้ได้หากได้รับการซ่อมแซมที่เหมาะสม ทั้งหมดเป็นสมบัติที่มีมูลค่ามาก มันสามารถทำไปเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณได้มากมาย เจ้าอ้วนบอกนางอย่างไม่ลังเลถึงสมบัติเหล่านี้ หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหันหลังพร้อมกับเดินออกไปทันทีโดยไม่หันกลับมาอีก ทุกคนที่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นได้แต่ชื่นชมอยู่ภายใน ‘แม้ว่าเจ้าไขมันนี้จะดูเหมือนเป็นคนที่ชั่วช้า แต่การกระทำทุกอย่างของเขาช่างใจกว้างและเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี เขาคือสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง’


เจ้าอ้วนเข้ารวมกลุ่มกับสำนักเสวียนเทียนทันทีหลังจากแยกตัวออกมาจากหอเฉวียนจี้ ในขณะที่เขาเดินมารวมกลุ่มก็ถึงกับตกใจเพราะในขณะนั้นมีผู้ฝึกตนจากสำนักเสวียนเทียนเหลืออยู่เพียงสามคนคือ ฉุ่ยจิ้ง หงหยิง และเจ้าอ้วน ส่วนคนอื่นต่างหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น


แต่เจ้าอ้วนเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว มีเพียงร้อยคนเท่านั้นที่เข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ รวมแล้วเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจและผู้ฝึกตนชอบธรรมราวเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน หลังจากเสร็จสิ้นการล่าจะเหลือเพียงคนเพียงสามสิบเท่านั้นซึ่งก็คือประมานครึ่งหนึ่งของจำนวนเต็ม กล่าวก็คืออัตราการเสียชีวิตในการล่านี้เท่ากับห้าในสิบ แต่สิบคนจากสำนักเสวียนเทียนเหลือเพียงสามเท่านั้น กล่าวก็คือสำนักเสวียนเทียนสูญเสียยอดฝีมือไปถึงเจ็ดในสิบ!


เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความตกใจ “เหล่าศิษย์คนอื่นอยู่ที่ไหนกัน? อย่าบอกนะว่าพวกเขาตายตกไปจากการต่อสู้?”


“ไม่ใช่ ยังมีอีกสองคนที่ไม่ได้มายังที่แห่งนี้!” ฉุ่ยจิ้งอธิบาย


“โอ้ เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่เขากล่าวออกมาด้วยความสับสนอีกครั้ง “แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่มากันล่ะ? อย่าบอกนะว่าพวกเขาไม่เชื่อการทำนายของเจ้า?”


บทที่ 155: หญิงสาวผู้ลวงหลอก


“แน่นอนว่าไม่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว จากนั้นนางกล่าวเสริมอย่างโศกเศร้า “หนึ่งในสองคนที่ไม่ได้มาคือดาบเทวะไร้ผู้ต้าน เขาสังหารยู่เฟิงและกำลังทรมานกับคำสาป แน่นอนว่าเขากลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์จึงไม่อาจมาที่แห่งนี้ได้ อย่างไรก็ตามเราไม่อาจนิ่งเฉยโดยทิ้งเขาไว้ที่นี่โดยลำพัง เราจึงให้ศิษย์พี่ผู้หนึ่งคอยอยู่ดูแลเขา ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงไม่ได้มาที่นี่!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางมองมาที่เจ้าอ้วนอย่างตำหนิราวกับว่าเป็นความผิดของเขาที่ไม่สามารถหาแพะรับบาปได้ดีกว่านี้  ทันทีที่เจ้าอ้วนมองเห็นความคับข้องใจในแววตาคู่นั้น เขาอยากจะอธิบายแต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะสมเพราะหงหยิงอยู่ที่นี่ เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและถามออกไปว่า “แม้ว่าศิษย์พี่จะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่อาจสามารถสังหารยู่เฟิงที่ครอบครองภาพวาดแห่งสาวงามทั้งเก้าได้หรอก จริงหรือไม่?”


“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าไม่!” หงหยิงกล่าวออกมาอย่างยินดีในความโชคร้ายนั้น “มันเป็นเพียงเขาที่คันไม้คันมือมากเกินไป ในขณะสำรวจเขาได้สังหารอสรพิษตนหนึ่ง แต่ทว่ายู่เฟิงอยู่ภายในท้องของเจ้าอสรพิษนั้น เรื่องราวจึงกลายเป็นว่าเขากลายเป็นผู้สังหารยู่เฟิง!”


“โอ้ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนหันไปกระพริบตาใส่ฉุ่ยจิ้งพร้อมกล่าวอย่างร่าเริง “มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันเสียจริง ไม่สามารถคาดเดาได้เลย!” เขาพยายามจะบอกกับฉุ่ยจิ้งว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ฉุ่ยจิ้งขมวดคิ้วแน่นพร้อมกล่าวออกมาว่า “มันเป็นอุบัติเหตุจริงงั้นหรือ?”


“แน่นอนว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครบังคับให้เขาสังหารอสรพิษ จริงไหม?” เจ้าอ้วนเผยยิ้มกว้าง “อีกอย่างใครจะไปรู้ว่าเขาจะปรากฏตัวที่นั่นได้อีกนอกจากเจ้า?”


“หือ? พวกเจ้ากำลังพูดถึงอะไรกันอยู่” หงหยิงรู้สึกว่าบทสนทนานี้ช่างแปลกประหลาด อีกทั้งคำพูดสุดท้ายของเจ้าอ้วนยังไม่เกี่ยวกับสิ่งใดทั้งสิ้น ดังนั้นนางจึงถามออกมาอย่างสับสน “อย่าบอกนะว่าเจ้ากำลังสงสัยว่าฉุ่ยจิ้งกระทำการปล่อยยู่เฟิงไว้ในท้องของงูพิษเพื่อเล่นงานดาบเทวะไร้ผู้ต้าน?”


“เจ้ากำลังพ่นวาจาไร้สาระอะไร?” ฉุ่ยจิ้งรีบตอบกลับทันที “ข้าจะมีความสามารถเอาชนะภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้อย่างไร?”


“ใครจะรู้?” หงหยิงกรอกตาไปมาพร้อมกับลูบคางตนเองและกล่าวว่า “ท่ามกลางบรรดาศิษย์มากมายที่เข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ เจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถต่อสู้กับยู่เฟิงได้ เพราะว่าเจ้ามีความสามารถในการทำนายเรื่องราวต่าง ๆ เจ้าอาจจะคาดเดาเส้นทางของยู่เฟิงและซุ่มโจมตีเขา ก่อนที่เขาจะทันได้ใช้ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า เจ้าก็สามารถเอาชนะเขาได้แล้ว! ดังนั้น เจ้าจึงโยนความผิดทั้งหมดนี้ให้กับดาบเทวะไร้ผู้ต้าน! ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ใช่หรือไม่? ถูกต้องหรือไม่?”


หงหยิงคว้ามือของฉุ่ยจิ้งพร้อมกับเขย่าอย่างรุนแรง ฉุ่ยจิ้งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรในตอนนี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางต้องการจะอธิบายแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน ดังนั้นนางจึงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ศิษย์น้องเจ้าประเมินข้าสูงเกินไป ข้าไม่มีความสามารถที่จะทำร้ายยู่เฟิงได้!”


“จริงหรือ?” หงหยิงถามต่อ “งั้นบอกข้ามาว่าใครสังหารเขา! อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ เจ้าก็พยากรดูสิ!”


เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกว่าหมดหนทางที่จะกล่าวสิ่งใดต่อ แต่นางก็ไม่อาจทรยศต่อเจ้าอ้วนได้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงเผยยิ้มจาง ๆ พร้อมกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้ายอมรับว่าข้ารู้ว่าผู้ใดสังหารยู่เฟิง แต่ข้าสัญญากับเขาไว้ว่าจะไม่เผยแพร่เรื่องนี้ต่อผู้ใด ดังนั้นเจ้าควรลืมเรื่องนี้ไปซะ!”


“ไม่ใช่เจ้างั้นหรือ?” หงหยิงตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นนางดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก และกล่าวว่า “ฮ่าฮ่า ข้ารู้แล้ว จะต้องเป็นหานปิงเอ๋ออย่างแน่นอน เพราะว่านางครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ นั่นย่อมสามารถต่อสู้กับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้ ถูกต้องหรือไม่?”


แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าหงหยิงนั้นเดาผิด แต่ฉุ่ยจิ้งไม่คิดจะตอบกลับแต่อย่างใดเพื่อปลดปล่อยตนเองออกจากการสอบปากคำนี้เสียที ดังนั้นเมื่อหงหยิงเห็นว่าฉุ่ยจิ้งเงียบไป นางจึงคิดว่านี่คือคำตอบที่ถูกต้องและเริ่มตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้ จากนั้นนางจึงหันมาสนใจอาการบาดเจ็บของเจ้าอ้วนและคิดหาทางช่วยเหลือเขา แต่แท้จริงแล้วอาการของเจ้าอ้วนนั้นไม่ได้บาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด แต่เขาไม่สามารถกล่าวสิ่งใดกับหงหยิงได้ ดังนั้นเขาจึงหาสถานที่เงียบสงบเพื่อให้สตรีสองคนนี้ดูแลเขาอย่างที่พวกนางต้องการ


การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นภายในหุบเขาแห่งนี้ ผู้ฝึกตนมากมายที่อยู่ตรงกลางของประตูเคลื่อนย้ายต่างสนุกสนานท่ามกลางหอคอยสีฟ้าสูงใหญ่นับร้อยฟุต ในเวลานี้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความคึกคักของเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักต่าง ๆ


พื้นที่ตรงกลางถูกครอบครองโดยผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน พวกเขาแยกตัวออกเป็นสองกลุ่ม แบ่งเป็นสองแถว มีเจ็ดคนที่แยกตัวออกไป ส่วนอีกสามคนไม่เข้ากลุ่มกับผู้ใด


ผู้ฝึกตนหยวนหยินมักจะให้ความใส่ใจกับความรู้สึกของตนเอง ดังนั้นทุกคนต่างอยู่ในสมาธิพร้อมกับเหล่าคนรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อย่างสง่างาม เนื่องด้วยจากเวลาของการล่าใกล้หมดลงแล้ว หลังจากผ่านมาเนิ่นนานหลายปี ผู้ฝึกตนปีศาจและผู้ฝึกตนชอบธรรมจะต้องจบการทะเลาะเบาะแว้งลงภายในปีนี้อย่างไม่มีข้อยกเว้น


ผู้เฒ่าเฟิงที่มาจากสำนักพันปีศาจ ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างามของเขาพร้อมกับเคราที่น่าเกรงขาม ได้กล่าวออกมาว่า “เวลาได้มาถึง เมื่อพวกเราได้ส่งผู้ฝึกตนปีศาจซึ่งแข็งแกร่งออกไป ได้เวลาแล้วที่พวกเขาจะกลับมาพร้อมสมบัติอันมากมาย หากพวกเจ้าต้องสูญเสียศิษย์มากเกินไป ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะไม่นำเรื่องเหล่านั้นเก็บมาใส่ใจนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น พวกเขาส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความอหังการ เหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมไม่อาจอดทนต่อความอัปยศนี้ได้ นักบวชฮัวอวิ๋นซึ่งอารมณ์อ่อนไหวต่อการยั่วยุเช่นนี้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มปีศาจ “ข้ายอมรับว่าข้าไม่มีความสามารถในการโอ้อวดเช่นท่าน แต่ถ้าหากท่านต้องการเปรียบเทียบในด้านการต่อสู้ย่อมได้! เหอะ ศิษย์ของเรามีสมบัติวิญญาณอยู่สามชิ้น มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนปีศาจสามารถเปรียบเทียบได้!”


“ฮ่าฮ่า!” เมื่อผู้ฝึกตนชอบธรรมได้ยินเช่นนั้น พวกเขาหัวเราะออกมาทันที


อย่างไรก็ตามผู้เฒ่าเฟิงไม่ใช่จะยอมแพ้ง่ายๆ เขาโต้ตอบอย่างรวดเร็ว “สิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวนั้นไม่ถูกต้อง ความแข็งแกร่งของสมบัติวิญญาณนั้นน่าทึ่งมากจริง ๆ แต่มันอยู่ที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ เพียงแค่ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าก็สามารถเอาชนะสมบัติวิญญาณทั้งสามชิ้นได้แล้ว ถ้าหากพวกเขาพบกัน แน่นอนว่าฝ่ายข้าจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน ภายในหุบเขาแห่งนี้เป็นภูมิประเทศที่ซับซ้อนยิ่งนัก ข้าเกรงว่าเหล่าศิษย์ของพวกท่านจะไม่มีโอกาสได้พบกันเพราะว่าพวกเขาล้วนถูกสังหารโดยยู่เฟิง! ทุกคนรู้ดีว่ายู่เฟิงมีความสามารถที่จะสังหารเหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมได้ทั้งหมด!”


“ใช่แล้ว ถูกต้องแล้ว!” เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย


“ดูเจ้ามั่นใจยิ่งนัก!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับพร้อมหัวเราะอย่างเย็นชา “อย่าลืมล่ะ ในบรรดาศิษย์ที่เข้าไปในหุบเขา มีลูกศิษย์ของศิษย์น้องข้าที่เป็นถึงเทพธิดาพยากร นางชื่อว่าฉุ่ยจิ้ง! จะมีใครอีกเล่าที่สามารถทำนายอนาคตเช่นนางได้ นางสามารถเปลี่ยนแปลงโชคร้ายให้กลายเป็นพรจาสวรรค์ พวกท่านควรจะตระหนักไว้ว่าเด็กเหล่านี้อาจวางแผนเพื่อรวมตัวกันสังหารยู่เฟิง!”


“ฮ่าฮ่า ความโอ้อวดของท่านนั่นล้นเหลือ! ถ้าหากฉุ่ยจิ้งวางแผนเช่นนั้นจริง แต่ทว่ากลับไม่มีหนทางใดที่นางจะเอาชนะภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้เลย ถ้าคิดว่าข้าไม่รู้จุดอ่อนของเคล็ดวิชาพยากร ขอบอกว่าสิ่งนั้นสามารถใช้งานได้เพียงการต่อสู้กับหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเป็นการต่อสู้แบบกลุ่มนางจะไม่สามารถทำนายเส้นทางได้ แต่ทว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้ากลับปลดปล่อยปีศาจเทวะได้พร้อมกันถึงเก้าตน แล้วฉุ่ยจิ้งจะสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของปีศาจเทวะทั้งเก้าได้งั้นหรือ?” ผู้เฒ่าเฟิงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ถ้าหากว่านางทำนายล่าช้าไปเพียงเล็กน้อย นางจะถูกจับกุม ข้าไม่อยากจะกล่าวสิ่งใดมากนัก ซึ่งมันไม่ดีแน่นอนถ้าหากว่านางต้องพบเจอเขา แต่ถ้าหากนางพบเจอเขาโดยบังเอิญ ข้าเกรงว่านางจะกลายเป็นหญิงสาวของยู่เฟิงต่างหาก!”


“ฮ่าฮ่า ข้าขอแสดงความยินดีที่นายน้อยแห่งสำนักพันปีศาจจะมีภรรยาที่งดงามเช่นนี้!” เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจตะโกนออกมาอย่างร่าเริง


ในขณะที่นักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดพร้อมกับคำรามออกมา “สารเลว ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งหมดจะต้องจบชีวิตลงในที่แห่งนี้!”


“เหอะ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเราลองมาพนันกันดู!” ผู้เฒ่าเฟิงกล่าวอย่างเย็นเยือก “หินจิตวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันก้อน ข้าขอพนันว่าจะมีผู้ฝึกตนชอบธรรมออกมาน้อยกว่าฝ่ายข้า!”


“ใบหน้าของเจ้ามีมูลค่าเพียงหนึ่งพันงั้นหรือ?” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาเม้มปากอย่างรังเกียจพร้อมกล่าวต่อ “สองพัน ข้าขอเดิมพันว่าผู้ฝึกตนปีศาจจะเดินทางออกมาน้อยกว่าแน่นอน!”


“ผู้ฝึกตนชอบธรรม หนึ่งพัน!”


“ผู้ฝึกตนปีศาจ สองพัน!” ตามด้วยเสียงนั้น เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหมดโยนหินออกมามากมายเพื่อเดิมพัน สำหรับสำนักที่เป็นกลางพวกเขาทำหน้าที่ในการเป็นพยานการเดิมพันครั้งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมด้วยแต่ก็ไม่ใช่จำนวนที่ยิ่งใหญ่มากนัก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากจะเข้าสู่สงครามระหว่างผู้ฝึกตนปีศาจและผู้ฝึกตนชอบธรรม


ในระยะเวลาสั้น ๆ ทุกคนวางเดิมพันเสร็จสิ้นแล้ว สำหรับนักบวชฮัวอวิ๋นและผู้เฒ่าเฟิงดูเหมือนว่าจะเกิดประกายไฟขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน ในตอนท้ายพวกเขาเดิมพันกันด้วยสมบัติวิเศษขั้นเจ็ด ซึ่งมูลค่าของมันคือล้านหินจิตวิญญาณระดับต่ำ! ในขณะนั้นทุกคนไม่อาจเก็บงำความแปลกใจนี้ไว้ได้


หลังจากการเดิมพันเสร็จสิ้น ไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดต่อ ทุกคนตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับเฝ้ารอเวลาสุดท้ายที่กำลังจะมาถึง


ในที่สุดครึ่งชั่วโมงถัดมา เวลาของประตูเคลื่อนย้ายได้มาถึง พวกเขาทะเลาะกันเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตูของผู้ฝึกตนชอบธรรมก่อน นักบวชฮัวอวิ๋นและผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทุกคนร่ายอาคมเพื่อให้ประตูเปิด เกิดเป็นแสงสีเขียวปรากฏขึ้นทั่วประตูเคลื่อนย้าย หลังจากแสงหายไปมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ออกมาจากประตู! ทั้งยังมีชายผู้หนึ่งกลายเป็นคนพิการ!


เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนชอบธรรมตกใจทันทีพร้อมทั้งเกิดความโกลาหลขึ้น สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากเจ็ดสิบเหลือเพียงสองคนเท่านั้น! นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ผ่านมาไม่รู้กี่ทศวรรษ ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน!


นักบวชฮัวอวิ๋นพร้อมทุกคนวิ่งไปด้านหน้าด้วยความกังวล เพียงเพราะอยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อผู้ฝึกตนปีศาจเห็นเช่นนั้นพวกเขาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าเห็นอะไรงั้นหรือ? ผู้ฝึกตนชอบธรรมตายหมดแล้วยังไงล่ะ!”


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” คลื่นพลังของเสียงหัวเราะถาโถมมาดั่งเช่นพายุ “เร็วเข้า ส่งเด็ก ๆ ออกมา เราจะได้ตอบแทนพวกเขา!”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจร่ายอาคมเพื่อเปิดประตูเคลื่อนย้ายของตนเอง เกิดเป็นแสงสีเขียวขึ้นจากนั้นมีผู้ฝึกตนจำนวนสามสิบคนเดินออกมาจากประตู!


“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเราทั้งหมดเหลือสามสิบคน ประเสริฐยิ่งนัก” ผู้เฒ่าเฟิงและเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน


แต่ทว่าเสียงหัวเราะพลันหยุดลงและใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนทันที และเกิดเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดขึ้น “นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมผู้ฝึกตนชอบธรรมจึงมาอยู่ตรงนี้? แล้วศิษย์คนอื่นล่ะ?”


ขณะนี้ผู้ฝึกตนปีศาจล้วนเกิดความกังวลใจ ผู้ฝึกตนชอบธรรมแปรเปลี่ยนเป็นเกิดเสียงโห่ร้องสนั่นพร้อมเข้าล้อมเหล่าศิษย์เพื่อคุ้มกันโดยทันที ชัดเจนว่าพวกเขาเกรงเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจเข้าโจมตีศิษย์ด้วยความโกรธแค้น


บทที่ 156: การต่อสู้เขย่าสวรรค์


“ฉุ่ยจิ้งเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเจ้าจึงเดินออกมาจากประตูนี้? แล้วเหล่าศิษย์ปีศาจอยู่ที่ใด?” นักบวชฮัวอวิ๋นถามออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน


“ท่านอาจารย์ลุง พวกเราทั้งหมดซุ่มโจมตีผู้ฝึกตนปีศาจในจุดที่พวกเขารวมตัวกัน หลังจากสังหารผู้ฝึกตนปีศาจนับสามสิบคน พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะถอยกลับ ดังนั้นพวกเราจึงใช้ประตูเคลื่อนย้ายของพวกเขากลับออกมา!” ฉุ่ยจิ้งอธิบาย


เมื่อฉุ่ยจิ้งกล่าวดังนั้น เกิดความปั่นป่วนขึ้นทันทีภายในบริเวณนั้น ผู้ฝึกคนชอบธรรมต่างพากันโห่ร้องอย่างยินดี แต่ทว่าฝ่ายผู้ฝึกตนปีศาจกำลังส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าเฟิงซึ่งไม่อาจเชื่อในคำอธิบายของฉุ่ยจิ้ง เขาคำรามออกมา “โกหก ยู่เฟิงของเราครอบครองภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าซึ่งเป็นสมบัติวิญญาณขั้นเก้า เป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะซุ่มโจมตีที่จุดรวมตัวของพวกเราได้!”


“ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างเงียบสงบ “ศิษย์พี่ยู่เฟิงถูกสังหารโดยดาบเทวะไร้ผู้ต้านเมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย!”


“อะไรนะ?” ผู้เฒ่าเฟิงคำรามออกมาอย่างไม่เชื่อคำพูดนั้น “เจ้ากำลังบอกว่าศิษย์ที่ไร้สมบัติวิญญาณสังหารยู่เฟิงที่ครองครองภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้างั้นหรือ?”


“เป็นความจริง!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างสงบ “ดาบเทวะไร้ผู้ต้านกำลังรับความทุกข์ทรมานจากคำสาป เขาไม่สามารถนอนหลับได้ และไม่อาจเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งสุดท้ายได้! ตอนนี้เขาอยู่กับศิษย์พี่ผู้หนึ่งกำลังดูแลเขาอยู่ ซึ่งอยู่ที่ประตูเคลื่อนย้ายของผู้ฝึกฝนชอบธรรม!”


บุคคลรอบข้างตาสว่างขึ้นมาทันที เขานึกได้ว่ามีผู้ฝึกตนชอบธรรมสองคนอยู่ที่ประตูเคลื่อนย้าย แน่นอนว่ามีคนหนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนพื้นนั่นเป็นเพราะเขาถูกคำสาปเล่นงาน ในขณะนี้ดาบเทวะไร้ผู้ต้านได้พบกับเหล่าศิษย์คนอื่นแล้ว พวกเขาหันกลับมามองดาบเทวะไร้ผู้ต้านที่ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณจิตวิญญาณสีดำ ‘เด็กคนนี้น่ะหรือที่สังหารยู่เฟิงและฉกฉวยเอาภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าไป?’ เมื่อคิดถึงความสวยงามของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น


แต่ผู้เฒ่าเฟิงดูจะเป็นคนที่กระวนกระวายใจมากที่สุดในตอนนี้ เพราะสถานะของยู่เฟิงนั้นมีความสำคัญอย่างมาก อีกทั้งภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้ายังหายไปภายใต้การดูแลของเขาอีก ปัญหานี้ใหญ่เกินไป เขาอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตต่อไปถ้าหากกลับไปถึงสำนัก


แต่ในขณะนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป เขาเริ่มการถากถางทันที “ฮ่าฮ่า ตาเฒ่าเฟิง เจ้ายอมรับหรือยังว่าเจ้าพ่ายแพ้?” เมื่อผู้เฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาแทบตายตกไปเพราะโกรธจัด เขามาจากสำนักปีศาจและไม่มีอารมณ์จะรักษาสัญญา สถานการณ์ต่างๆได้บังคับให้เขาดื้อดึงที่จะเดินต่อไป


ไม่มีคำกล่าวใดต่อจากนั้น เขาหยิบดาบดำของตนเองออกมาพร้อมคำรามอย่างบ้าคลั่ง “สารเลว!”


ขอบคุณสวรรค์ที่นักบวชฮัวอวิ๋นเข้าใจธรรมชาติของเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจอยู่แล้ว เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ จากนั้นเขาหยิบดาบเทวะมังกรอัคคีออกมาเพื่อตั้งรับการโจมตีทันที


การกระทำที่ไร้ยางอายของผู้เฒ่าเฟิงทำให้นักบวชฮัวอวิ๋นโกรธจัดโดยสมบูรณ์ เขาตะโกนออกมา “ตาเฒ่าเฟิง เจ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้งั้นหรือ?”


ผู้เฒ่าเฟิงไม่สนใจสิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นตำหนิเขา แน่นอนว่าเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใด เรื่องพวกนี้สำคัญมากเกินไป เหล่าศิษย์ของเขาได้ตายตกไปจนหมดสิ้น แต่เหล่าศิษย์ของฝ่ายชอบธรรมเดินทางกลับมาพร้อมกับรางวัลมากมาย ถ้าหากปล่อยพวกเขาไปแน่นอนว่ามันจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเขาในอนาคต! สถานะของเขาในตอนนี้ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะสรรหาเหล่าศิษย์ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้อีกแล้ว อีกทั้งยังไม่สามารถปล่อยให้ผลไม้วิญญาณที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหนึ่งร้อยปีหลุดไปได้อีกด้วย


ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าสำนักอันชอบธรรมก้าวหน้ามากไปกว่านี้ในอนาคต หนทางเดียวคือต้องสังหารพวกเขาทั้งหมด


เขาตะโกนออกมาอย่างรวดเร็วใส่นักบวชฮัวอวิ๋น “เหล่าศิษย์จากสำนักปีศาจทั้งหมดได้ตายตกไป ศิษย์ชอบธรรมก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถ้าไม่เช่นนั้นเหล่าคนสารเลวพวกนี้จะก้าวหน้าขึ้นอีกมากในอนาคต ซึ่งจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเราในอนาคต!”


เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจไม่ได้เป็นคนโง่งม พวกเขาเข้าใจประโยคนี้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการสูญเสียเหล่าอัจฉริยะของพวกเขานับว่ามากเกินไป ในขณะที่ผู้เฒ่าเฟิงตะโกนเช่นนั้นออกมา ทุกคนเตรียมพร้อมเข้าสู่การสู้รบอย่างรวดเร็ว “ถูกต้องแล้ว พวกเราควรสังหารพวกเขาทั้งหมด!”


“เป็นเช่นนั้น ข้าเห็นด้วย!”


“แล้วพวกเรารอสิ่งใดอยู่ โจมตีพร้อมกัน!” หลังจากการคำรามของเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจ การต่อสู้ครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นทันที


ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งเจ็ดคนจากสำนักปีศาจและเหล่าคนรับใช้ระดับจินตันเปิดฉากการต่อสู้กับเหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมทันที ผู้ฝึกตนชอบธรรมไม่รอช้า พวกเขาเตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้อย่างรวดเร็วพร้อมกับปกป้องเหล่าศิษย์นับสามสิบคน


สำหรับสำนักที่เป็นกลาง พวกเขาทั้งหมดรีบพาศิษย์ของตนเองออกจากประตูเคลื่อนย้ายและหนีไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่สนใจที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้


เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าอ้วนและทุกคนร่วมกันเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ที่เขย่าฟ้าดินนี้ทันที ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสิบสี่คนและผู้ฝึกตนระดับจินตันยี่สิบหกคนกำลังต่อสู้กัน การต่อสู้ของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนับเป็นปรากฏการที่ยิ่งใหญ่ การโจมตีของพวกเขาทุกท่วงท่านั้นเปรียบได้กับสิ่งที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้ ผู้ฝึกตนหยวนหยินทั้งเจ็ดคนได้ทำการร่ายอาคมเพื่อปกป้องเจ้าอ้วนและเหล่าศิษย์คนอื่น ๆ ในรัศมีหนึ่งร้อยฟุตอีกด้วย


สำหรับผู้ฝึกตนปีศาจที่อยู่ด้านนอก พวกเขาเริ่มทำลายลำแสงเทวะต่าง ๆ ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของเหล่าปีศาจ ทั้งแมลงพิษและสมบัติวิเศษ พวกเขารวมพลังกันและโจมตีไปที่ผู้ฝึกตนชอบธรรมพร้อมกันอย่างน่าเกรงขาม


อสรพิษที่อยู่บนไม้เท้าของผู้เฒ่าเฟิงได้ถูกเปลี่ยนเป็นอสูรกายขนาดใหญ่กำลังโจมตีลำแสงเทวะอย่างบ้าคลั่ง สำหรับนักบวชฮัวอวิ๋น เขาควงดาบเทวะมังกรอัคคีพร้อมกับส่งลำแสงมังกรนับร้อยฟุตออกไปทั่วท้องฟ้า ทั้งสองฝ่ายโจมตีกันอย่างรุนแรง อสรพิษพ่นพิษออกมาทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้นกัดกร่อนทุกสิ่งที่มันได้ผ่าน อุปกรณ์ระดับต่ำถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว


สมบัติวิเศษของนักบวชฮัวอวิ๋นนั้นไม่ธรรมดา มันเป็นสมบัติวิเศษขั้นเก้าซึ่งแข็งแกร่งอย่างมาก พลังของมันสามารถได้รับชัยชนะจากการต่อสู้สองต่อหนึ่งได้ไม่ยากเย็นนัก


ผู้ฝึกตนหยวนหยินคนอื่นเข้าร่วมการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้ด้วย ทุกสิ่งที่ถูกร่ายออกมาทำให้เกิดหลุมมากมายและเสียงการปะทะอย่างรุนแรง ประตูเคลื่อนย้ายถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของเหล่าผู้ฝึกตนหยวนหยินเหล่านี้


การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เพียงแค่รุนแรงเท่านั้น แม้แต่นาวายักษ์ที่จอดอยู่ยังเข้าร่วมการสู้รบครั้งนี้ด้วย หลังจากที่ด้านล่างเริ่มต่อสู้กัน เหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านบนจึงเริ่มใช้งานระบบป้องกันทันที สิ่งประดิษฐ์ยักษ์เหล่านี้ไม่เคยมีโอกาสได้สู้รบเลย พวกมันมีไว้ใช้เคลื่อนย้ายคนจำนวนมากเท่านั้น แต่พลังอำนาจการสู้รบของมันนั้นแข็งแกร่งไม่น้อย ในครั้งนี้พวกมันจึงได้แสดงความสามารถที่มี


นาวายักษ์ของสำนักเสวียนเทียน หลังจากการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น นาวายักษ์พลันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียว จากนั้นหอคอยที่อยู่บนเรือเริ่มดูดซึมปราณจิตวิญญาณโดยรอบทันที เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมมันจะปล่อยลูกบอลสีเขียวออกมาจากปืนที่อยู่ด้านบนสุดของเสากระโดงเรือ


บอลสายฟ้าแห่งสวรรค์นี้นามว่าสายฟ้าแห่งเทพไท่อี้ สิ่งที่ให้กำเนิดสายฟ้าเป็นเจดีย์ทั้งหลายซึ่งถูกเรียกขานว่า เจดีย์เทพไท่อี้ มันถูกสร้างขึ้นโดยนักบวชเต๋าที่ยึดหลักของเทพเจ้าไท่อี้ จากนั้นจึงค่อยใช้ปราณจิตวิญญาณไท่อี้สร้างขึ้นเป็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ภายหลังได้ปรากฏช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ช่วยชักนำปราณจิตวิญญาณสร้างขึ้นเป็นสายฟ้าแห่งเทพไท่อี้จนออกมาเป็นสมบัติวิเศษดังกล่าว


สมบัติประเภทนี้ภายหลังถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะขนาดที่เหมาะสมและพลังอำนาจที่มหาศาล นาวาสีขาวของสำนักเสวียนเทียนก็บรรจุเจดีย์เทพเจ้าไท่อี้เอาไว้จำนวนไม่น้อย


สายฟ้าแห่งเทพไท่อี้นับว่าเกินกว่าธรรมดา เพียงเจดีย์ขนาดหนึ่งจ้างก็สามารถสร้างสายฟ้าแห่งเทพไท่อี้ออกมาได้ไม่ต่ำกว่าสามฟุต พลังนับว่าทัดเทียมได้กับผู้ฝึกตนระดับจินตันที่โจมตีออกอย่างสุดแรง กระทั่งว่าเป็นเจดีย์ที่ขนาดเล็กลง มันก็ยังสามารถปลดปล่อยพลังระดับปฐมภูมิออกมาได้


ในขณะที่มันถูกเปิดใช้งาน ลูกบอลสายฟ้าสีน้ำเงินนับสองร้อยลูกพุ่งโจมตีเข้าใส่เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจราวกับอุกกาบาต ทั้งความยิ่งใหญ่และพลังการโจมตีถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างมาก สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้เต็มไปด้วยเครื่องมือที่ทรงพลัง นั่นทำให้มันแข็งแกร่งอย่างมาก! แน่นอนว่าไม่ใช่นาวายักษ์ของสำนักเสวียนเทียนเท่านั้นที่แข็งแกร่ง เหล่านาวายักษ์ของสำนักอื่นก็ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน หอเฉวียนจี้มีนาวาวิญญาณวารีสายฟ้า ในขณะที่มันถูกเปิดใช้งาน สายฟ้าวารีนับร้อยจะพุ่งออกมา และพลังของมันยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันได้


ทางด้านผู้ฝึกตนปีศาจก็หาได้น้อยหน้าไม่ ไม่ว่าจะเป็นนาวายักษ์สีดำของสำนักพันปีศาจ นาวายักษ์กระดูกขาวของสำนักปีศาจโลหิต ทั้งสองสิ่งนี้ต่างแข็งแกร่งไม่แพ้กัน มันสามารถปลดปล่อยสายฟ้าได้ และยิงลูกศรวิญญาณซึ่งนับว่าเป็นพลังที่ชั่วร้ายอย่างมาก


หลังจากทั้งสองฝั่งเปิดศึกเต็มรูปแบบ สมบัติวิเศษขนาดใหญ่เหล่านี้ของแต่ละพรรคต่างสำแดงพลังอำนาจกันอย่างเต็มที่ อย่างไรแล้วสมบัติวิเศษขนาดยักษ์เหล่านี้ก็ยังมีความแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย แต่หากไม่มีนายเหนือนั่งควบคุมการโจมตีพวกมันแม้มีแรงก็ไม่อาจกระทำออก ดังนั้นแล้วทั้งสองฝ่ายตอนนี้จึงต่างกินกันไม่ลง


ในตอนนี้ทั้งแสงสว่างและเสียงดังลั่นปรากฏทั่วทั้งสมรภูมิรบ รัศมีของสมรภูมิรบยิ่งผ่านไปยิ่งขยายกว้างขึ้นเป็นหลายลี้เกิดเป็นการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ เจ้าอ้วนและผู้อื่นทำได้เพียงแค่รับชมเรื่องราวพร้อมคาดหวังว่าสมบัติวิเศษของพวกตนจะได้มีโอกาสสำแดงพลังอันใดได้บ้าง แต่เรื่องราวครั้งนี้นับว่าเกินมือไปมาก


แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนและพรรคพวกต่างก็ไม่คิดหวาดเกรงสงครามครั้งนี้ สถานการณ์ในสมรภูมิรบมีแต่จะขยายออกกว้างไม่มีทีท่าลดน้อยลงแม้สักนิด


กับสถานการณ์นี้กล่าวตามตรงคือแต่ละฝ่ายต่างไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายอย่างหมดจดได้ ทุกคนต่างมีพละกำลังที่ทัดเทียมกัน ในเมื่อสถานการณ์ค่อนข้างสมดุล การจะบอกว่าฝ่ายใดคือผู้ชนะก็นับเป็นเรื่องยากแล้ว


แต่ปัญหาก็คล้ายมีอยู่ ด้านผู้ฝึกตนชั่วร้ายลูกศิษย์ล้วนตายกันสิ้น พวกเขาไม่มีห่วงใดหลงเหลือจึงสามารถโจมตีออกได้โดยไม่ต้องกังวล แต่กับผู้ฝึกตนอันชอบธรรมต่างมีลูกศิษย์ให้ต้องปกป้อง เจ้าอ้วนและศิษย์สำนักเสวียนเทียนต่างก็ว้าวุ่นใจเพราะไม่อาจเป็นกำลังเสริมให้การศึกครั้งนี้ ทั้งยังเป็นตัวถ่วง ผู้ฝึกตนอันชอบธรรมต่างคล้ายโดนมัดมือมัดเท้าเอาไว้จนเริ่มโรยรากันไปทีละน้อย


บทที่ 157: โอกาสในการอยู่รอด


ถ้าหากเป็นเหล่าศิษย์ของสำนักอื่น นักบวชฮัวอวิ๋นและผู้ฝึกตนหยวนหยินคนอื่นคงจะไม่สนใจหากพวกเขาจะตายตกไป แต่ทว่าศิษย์เหล่านี้คืออัจฉริยะชั้นนำภายในสำนัก ฉุ่ยจิ้ง หงหยิง และหานปิงเอ๋อซึ่งครอบครองสมบัติวิญญาณ ด้วยสถานะของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินพวกเขาไม่อาจละเลยการคุ้มครองศิษย์เหล่านี้ได้


เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจรู้จุดอ่อนนี้ดี ดังนั้นการโจมตีของพวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่ศิษย์เหล่านี้ ส่งผลให้ผู้ฝึกตนชอบธรรมไม่อาจอยู่เฉยได้ ถ้าไม่ใช่สถานการณ์เช่นนี้ ความพ่ายแพ้ของพวกเขาแน่นอนว่าย่อมวัดกันที่เวลาเท่านั้น!


เหล่าศิษย์ระดับเซียนเทียนที่อยู่ใต้การคุ้มครองนี้ต่างตระหนักได้ดีว่าสถานการณ์กำลังอยู่ขั้นที่เลวร้าย เหล่าอาวุโสของพวกเขาไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลย ถ้าหากว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินพ่ายแพ้ พวกเขาทั้งหมดยังสามารถหลบหนีได้ แต่ทว่าเด็กเหล่านี้จะถูกทอดทิ้ง อย่างมากที่สุดคือเหล่าศิษย์ที่ครอบครองสมบัติวิญญาณจะได้รับการช่วยเหลือจากเหล่าอาวุโส แต่นอกเหนือจากนั้นต้องถูกปล่อยทิ้งให้ตายอยู่ที่นี่


เมื่อเริ่มคิดถึงสถานการณ์ เหล่าศิษย์ระดับเซียนเทียนเริ่มมีอาการวิตกกังวล แม้แต่คิ้วของเจ้าอ้วนก็ผูกกันแน่นอย่างสมบูรณ์ สำหรับหงหยิงนี่คือครั้งแรกที่นางได้พบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ นางกุมมือของเจ้าอ้วนไว้แน่นจนปลายนิ้วเริ่มซีดขาว ถ้าหากว่านางไม่ได้จับกุมมือของเจ้าอ้วนแต่เป็นมือของผู้อื่นแทน แน่นอนว่ากระดูกของคนผู้นั้นย่อมแตกสลายไปแล้ว


ท่ามกลางเหล่าศิษย์พวกนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ หนึ่งคือหานปิงเอ๋อที่ครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ การฝึกฝนของนางทำให้จิตใจของนางมั่นคงและเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็ง แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายต่อชีวิตตนเองเช่นนี้ แต่ใบหน้าของนางยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและสงบนิ่ง


สำหรับอีกคนคือฉุ่ยจิ้ง ในมือขวาของนางมีกระดองเต่าดำกำลังวิ่งเล่นอยู่กับเหรียญชะตาฟ้าดิน ราวกับนางกำลังทำนายบางสิ่งบางอย่าง จนไม่ได้มองว่าโลกภายนอกกำลังเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง


ดูเหมือนว่าฉุ่ยจิ้งกำลังใช้ความพยายามอย่างมากในเวลานี้ สมบัติวิญญาณของนางไม่เพียงแต่เพิ่มความแข็งแกร่งเท่านั้น นางเรียกใช้งานวิชาเทวะจันทราวารีเต็มรูปแบบ หลังจากการคำนวณที่ซับซ้อน ใบหน้าของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่นางไม่ได้สนใจมันแต่อย่างใด


สุดท้ายหลังจากผ่านการคำนวณมานับไม่ถ้วน ในที่สุดฉุ่ยจิ้งก็พบคำตอบที่นางกำลังมองหา นางเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มมั่นใจและเริ่มเช็ดเหงื่อบนใบหน้า นางจึงเห็นว่าเจ้าอ้วนกำลังมองมาที่นางอย่างห่วงใย


เมื่อมองเห็นสีหน้าที่ดีขึ้นของนาง เจ้าอ้วนคิดว่านางค้นพบหนทางที่ดีแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบถาม “ศิษย์น้อง เจ้าค้นพบสิ่งใดงั้นหรือ? พวกเราพอจะมีหนทางหรือไม่?”


“ไม่มี!” ฉุ่ยจิ้งยิ้มพร้อมตอบกลับ “พวกเราทั้งหมดไม่มีทางออก กฎที่ถูกตั้งขึ้นจากเหล่าอาวุโสไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นออกจากพื้นที่ถ้าหากไม่ได้รับการยืนยันตน”


“แล้วเช่นนั้นเจ้ายิ้มอะไร?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างงุนงง


“ข้าหัวเราะเพราะว่าข้าพบวิธีแก้ปัญหาของพวกเรา!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยความมั่นใจ


ในขณะที่ฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนโดยรอบได้ยินและเริ่มหันมาหานาง “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งเจ้ากล่าวว่าพบวิธีแก้ปัญหาแล้วงั้นหรือ?”


“มันง่ายมาก!” ฉุ่ยจิ้งมองไปที่ทุกคนพร้อมกล่าวออกมาว่า “ตราบใดที่เราสามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ เราทั้งหมดจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ ซึ่งภาระทั้งหมดจะตกอยู่กับผู้ฝึกตนปีศาจ!”


“เหอะ!” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาแทบจะร้องไห้ออกมา


“ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งเจ้าหยุดล้อเล่นก่อนได้หรือไม่? พวกเราทั้งหมดเป็นเพียงศิษย์ระดับเซียนเทียน ที่ทำได้มากที่สุดเพียงแค่เอาชนะผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ แต่จะให้พวกเราจัดการกับผู้ฝึกตนระดับจินตันงั้นหรือ? พวกเราไม่ใช่คู่มือที่คู่ควรด้วยซ้ำ!”


“ใช่แล้ว แม้ว่าพวกเจ้าจะมีสมบัติวิญญาณและโจมตีพร้อมกัน แต่เราไม่อาจต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้!”


“พวกเขาสามารถใช้เพียงลมหายใจเดียวเพื่อทำลายพวกเราทั้งหมด!”


“ไร้สาระ!” เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “ศิษย์พี่อาวุโสโปรดฟังก่อน พวกเราจะไม่ท้าทายกับผู้ฝึกตนระดับจินตันด้วยตนเอง แต่เราจะประสานงานกับอาวุโสของเราให้ทำการซุ่มโจมตีที่ร้ายแรงแทน!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายพร้อมกล่าวว่า “ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้ว เราไม่สามารถเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ แต่อาวุโสเหล่านั้นสามารถจัดการได้ ในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับจินตันกำลังหยุดนิ่งเมื่อถูกขัดจังหวะ พวกเขาจะหลุดจากสภาวะป้องกันและสามารถสังหารได้!”


บุคคลที่อยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นคนโง่งม เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เจ้าอ้วนกล่าวออกมา ทั้งหมดเข้าใจตรงกันทันที หากอยู่ในสถานการณ์ปกติเหล่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนไม่อาจต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ แต่ในขณะที่ผู้ฝึกตนจินตันกำลังทุ่มเทพลังของเขาทั้งหมดกับบุคคลอื่นอยู่ เหล่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนสามารถลอบแทงข้างหลังพวกเขาได้


“วิธีนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันมีสมบัติวิเศษมากมายสำหรับการป้องกัน แม้ว่าพวกเราจะดึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีออกมาเพื่อต่อสู้ แน่นอนว่าเหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันจะมีสมบัติเพื่อป้องกันมันอย่างรวดเร็ว ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งคิดว่าเราสามารถสังหารเขาได้จริงงั้นหรือ?” บุคคลหนึ่งถามออกมา


“เดิมทีเหล่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนไม่อาจสังหารได้ แม้ว่าจะมีสมบัติวิเศษ!” ฉุ่ยจิ้งมองไปที่หงหยิงและหานปิงเอ๋อพร้อมกล่าวต่อ “แต่ถ้าสำหรับสมบัติวิญญาณ มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเกินไปกับการสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันหรือทำให้เกราะป้องกันของพวกเขาแตกหัก!”


“แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันนั้นผ่านการต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วน แม้ว่าพวกเขาจะมีช่องโหว่แต่พวกเขาจะสามารถปิดกั้นมันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เรายังไม่รู้ด้วยว่าช่องโหว่ของพวกเขาคือสิ่งใด” อีกคนกล่าวขึ้นมาอย่างมีเหตุผล “เช่นนี้ก็แสดงว่าไม่มีโอกาสที่จะซุ่มโจมตีพวกเขางั้นหรือ?”


“ไม่ใช่ เจ้าคิดผิดแล้ว!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างสงบ “ข้าจะค้นหาช่องโหว่นั้นเอง!”


“อะไรนะ?” ในขณะที่ฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้น ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันที ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรของนาง เดิมทีพวกเขารู้เพียงฉุ่ยจิ้งสามารถทำนายอนาคตได้ นั่นจึงทำให้พวกเขาประหลาดใจอย่างมาก


ทุกคนรู้ดีถึงข้อจำกัดของเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรอย่างดี หนึ่งคือความแข็งแกร่งของนางด้วยระดับเพียงเซียนเทียนเป็นเรื่องยากถ้าหากต้องทำนายการเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนระดับจินตัน แน่นอนว่ามันต้องใช้เวลามากกว่าเดิมสักหน่อย ถ้าหากนางล่าช้าไปนิดเดียวอาจจะพลาดช่องโหว่นั้นไปก็ได้ ซึ่งมันจะไร้ประโยชน์ในการต่อสู้


ต่อมาคือจำนวนของบุคคล ถ้าหากทำนายเพียงบุคคลเดียวประสิทธิภาพของมันจะดีมาก แต่สำหรับจำนวนที่มากเช่นนี้จะเพิ่มความลำบากให้กับนางอย่างเปล่าประโยชน์ ฉุ่ยจิ้งจะสามารถเอาชนะได้ในการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่การต่อสู้กับฝูงชนเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไป


ด้วยเหตุผลทั้งสองประการนี้ ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่นางกล่าวออกมา สถานการณ์ตอนนี้ประกอบไปด้วยผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสิบคนและผู้ฝึกตนระดับจินตันมากกว่าสามสิบคน พวกเขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งกว่าฉุ่ยจิ้งเท่านั้น เพียงแค่จำนวนของพวกเขาก็เกินขีดความสามารถของนางแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้วนางจะทำนายช่องโหว่เหล่านั้นได้อย่างไร? นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้!


เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังสงสัยในตัวนาง นางจึงก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกล่าวว่า “หากต้องอธิบายทั้งหมดมันจะยากเกินไป งั้นข้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ข้าไม่อาจมองเห็นทุกช่องโหว่ของผู้ฝึกตนระดับจินตัน ต้องอาศัยว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันเปิดช่องโหว่เหล่านั้นเป็นเวลานาน จากนั้นข้าจะจัดการทำนายหาวิธีการที่เหมาะสม กล่าวก็คือถ้าหากพวกเราทำงานเป็นทีมมากพอ เราจะสามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันได้และมันจะลื่นไหลดุจสายน้ำ!”


เมื่อได้ยินฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้น ทุกคนเข้าใจทันทีจากนั้นมีหนึ่งคนในกลุ่มกล่าวออกมาว่า “ถ้าหากเรายืนอยู่ที่นี่ก็เป็นเพียงการยืนรอคอยความตายเท่านั้น ทำไมเราไม่ออกไปต่อสู้สักครั้ง ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งบอกมาเถิดว่าพวกเราควรทำสิ่งใด เราจะเชื่อฟังเจ้า!”


“ใช่แล้ว พวกเราจะฟังเจ้า!” ผู้ฝึกตนคนอื่นกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นทีมที่ร่วมมือร่วมใจกันทันที


ฉุ่ยจิ้งยิ้มกว้างเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ นางยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “แท้จริงแล้วแผนการนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมาก ต้องการเพียงบุคคลที่ครอบครองสมบัติวิญญาณเท่านั้น เท่าที่ยืนอยู่ตรงนี้มีเพียงหงหยิง ศิษย์น้องหานปิงเอ๋อ และข้าเท่านั้น แต่ข้าจะใช้กระดองเต่าดำเพื่อพยากร ดังนั้นข้าจึงต้องการแค่หงหยิงและหานปิงเอ๋อเท่านั้น”


“ไม่มีปัญหา!” หงหยิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว


“ข้ายังสามารถโจมตีได้อีกหนึ่งครั้ง!” หานปิงเอ๋อตอบกลับอย่างสงบ


แต่เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมขมวดคิ้วแน่น “แต่หลังจากที่เจ้าโจมตี เจ้าจะตาย! ถูกไหม?”


“ว่าอะไร?” เหล่าฝูงชนที่เพิ่งรู้ว่าหานปิงเอ๋ออยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัสต่างตกใจทันที ทั้งหมดมองหน้าหน้าด้วยความกังวลใจ


หานปิงเอ๋อที่ตกเป็นเป้าสายตากล่าวออกมาอย่างเฉยเมย “เป็นเช่นนั้น ข้าจะตายถ้าหากไม่ต่อสู้ ทำไมข้าจึงไม่ต่อสู้เพื่อให้เหล่าพี่น้องของข้ารอดล่ะ?”


“ศิษย์พี่!” เหล่าศิษย์จากหอเฉวียนจี้ตะโกนออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาร้องไห้ทันทีเมื่อเห็นว่าหานปิงเอ๋อกำลังเสียสละตนเอง


ในขณะนั้นฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องไม่ต้องกังวล ข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว มันจะไม่ร้ายแรงถึงขั้นเอาชีวิตของศิษย์น้องหานปิงเอ๋อแน่นอน!”


“โอ้? เจ้ามีความคิดดี ๆ งั้นหรือ?” เหล่าศิษย์จากหอเฉวียนจี้ถามอย่างกังวล


หานปิงเอ๋อมองไปที่ฉุ่ยจิ้งทันที เนื่องจากว่านางยังเด็กอยู่และยังอยากจะมีโอกาสที่จะมีชีวิตต่อไป


“มันง่ายมาก!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างสงบ “เราต้องการใช้พลังของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ในการทำลายเกราะป้องกันของผู้ฝึกตนระดับจินตันเท่านั้น หลังจากนั้นมีเพียงใครสักคนที่สามารถควบคุมดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์แทนนางได้ก็เพียงพอ!”


ในขณะที่ฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้น ทุกคนเข้าใจทันที พวกเขารู้ทันทีด้วยการอนุญาตจากเจ้าของสมบัติวิญญาณสามารถเปลี่ยนเจ้านายได้ชั่วคราว แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะตื่นเต้นมากที่จะได้รับเลือกให้ควบคุมสมบัติวิญญาณขั้นเก้าชิ้นนี้ ทุกคนต่างคาดหวังให้ตนเองถูกเลือก!


อย่างไรก็ตาม หานปิงเอ๋อกล่าวออกมา “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง เพียงคำพูดนั้นมันง่ายเกินไป ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เป็นสมบัติวิญญาณและเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่อาจควบคุมมันได้เต็มที่ ข้าคิดว่าคงไม่มีผู้ใดสัมผัสมันได้”


“ไม่จำเป็น!” โดยไม่ต้องรอให้ฉุ่ยจิ้งตอบกลับ เด็กหนุ่มสวมชุดสีขาวก้าวออกมาพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง ข้าเป็นผู้ฝึกตนวิชาเยือกแข็งจันทราซึ่งมันเป็นปราณเย็นเช่นเดียวกับวิชาเทวะวิญญาณเหมันต์ ข้าเชื่อว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จะต้องตอบรับข้าแน่นอน !”


บุคคลผู้นี้นามว่า ยูฮาน เขาปรารถนาที่จะครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์มาเป็นเวลานาน ตอนนี้เขามีโอกาสที่จะใช้มันแล้ว แน่นอนว่าเขาจะต้องเสนอตัว เขาคิดว่าวิธีนี้จะทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับหานปิงเอ๋อเพื่อที่จะครอบครองทั้งความงามนั้นและอาวุธของนาง


หานปิงเอ๋อไม่สนใจเขาและยังคงอยู่ในความเงียบ ยูฮานไม่สนใจสิ่งที่นางแสดงออกมาพร้อมหันไปหาฉุ่ยจิ้งพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง ข้าคิดว่าเจ้าควรจะกล่าวสิ่งใดบ้างในตอนนี้!”


“ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจความตั้งใจของท่าน แต่ทว่าสิ่งที่ศิษย์น้องหานปิงเอ๋อกล่าวก็มิผิดแต่อย่างใด ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์นั้นแตกต่างจากสมบัติวิญญาณอื่นและไม่ยอมรับใครโดยง่าย! แม้ว่าท่านจะฝึกฝนวิชาเยือกแข็งจันทรา ท่านก็อาจจะถูกปฏิเสธ!” ฉุ่ยจิ้งหันไปหาหานปิงเอ๋อพร้อมกล่าวชักชวน “ข้าคิดว่าควรจะให้ศิษย์น้องหานปิงเอ๋อเป็นคนเลือก!”


“อะไรกัน?” ยูฮานได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาขาวซีดพร้อมถามว่า “ศิษย์น้องถ้าหากว่าข้าไม่สามารถทำได้ แล้วผู้ใดกันล่ะ? อย่าบอกข้านะว่าพวกเจ้ากำลังเล่นขายของกันอยู่?”


“แน่นอนว่าข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงทุกคน ในความจริง ในที่แห่งนี้มีศิษย์พี่อาวุโสสามารถใช้งานดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ได้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้นพร้อมมองไปที่เจ้าอ้วน


จากนั้นสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เจ้าอ้วนทันที เขาตกใจพร้อมโบกมือและกล่าวว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งอย่าล้อเล่นแบบนี้ ข้าไม่เคยฝึกฝนวิชาเทวะวิญญาณเหมันต์ แล้วข้าจะควบคุมดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ได้อย่างไร?”


“ข้าไม่ได้กล่าวผิด!” ฉุ่ยจิ้งอธิบาย “เคล็ดวิชาการฝึกตนของศิษย์พี่นั้นแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมาในชั่วชีวิตนี้ ดูเหมือนว่ามันจะครอบคลุมไปด้วยองค์ประกอบทั้งห้า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้นทั้งหมด ความวุ่นวายของมันพร้อมทั้งอัคคีต้นกำเนิด มันเต็มไปด้วยกฎแห่งการกำเนิดโลกใบนี้ ถ้าหากมีผู้ใดที่ต้องควบคุมดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ ก็คงจะต้องเป็นท่าน!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง เจ้าแน่ใจหรือว่าความคิดนี้ถูกต้อง?”


“เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรไม่เคยผิดพลาด!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างสงบพร้อมหันไปหาหานปิงเอ๋อพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้าสามารถปล่อยดาบเทวะจิตวิญญาณออกมาได้หรือไม่? ถ้าหากศิษย์พี่ของข้าสามารถใช้มันได้อย่างปลอดภัย มันจะเป็นการยืนยันว่าข้าไม่ได้กล่าวเท็จ”


“ย่อมได้ แต่ปัญหาก็คือถ้าหากเจ้ากล่าวผิด เขาจะถูกโจมตีโดยดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ทันที!” หานปิงเอ๋อตอบกลับ “การโจมตีโดยธรรมชาติของสมบัติวิญญาณนั้นร้ายแรงมาก โดยเฉพาะดาบเล่มนี้ มันจะปล่อยลำแสงเทวะออกมา แม้ว่าผิวหนังและกระดูกของเขาแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจต้านทานมันได้! เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการให้ข้าปลดปล่อยมันให้เขา?”


บทที่ 158: ต้นกำเนินดาบเทวะเหมันต์


 


ผู้แปล : แก้ไขชื่อจาก ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ เป็น ดาบเทวะเหมันต์


 


เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าอ้วนจะสามารถโต้แย้งสิ่งใดได้อีก? เขาสั่นศีรษะอย่างอับจนพร้อมกล่าวว่า “ได้ ข้าจะลองดู!”


“ประเสริฐยิ่งนัก!” ฉุ่ยจิ้งยิ้มออกมาพร้อมหันไปมองหานปิงเอ๋อ “ศิษย์น้องพร้อมที่จะปลดปล่อยสมบัติวิญญาณหรือไม่?”


“แน่นอน!” เมื่อหานปิงเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติมมากนัก จากนั้นนางยกมือขึ้นมาพร้อมส่งดาบเทวะเหมันต์ออกมา


ทุกคนที่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นได้แต่สูดหายใจเข้าลึก เมื่อดาบในตำนานปรากฏออกมา โดยเฉพาะยูฮานที่จ้องดาบจนดวงตาแทบจะถลนออกมา ขณะที่เจ้าอ้วนยังรู้สึกลังเลและหวาดกลัว ยูฮานก้าวออกมาด้านหน้า เขาพยายามจะคว้าดาบเทวะเหมันต์พร้อมตะโกนว่า “ข้าไม่เชื่อว่าข้าไม่อาจปราบปรามสมบัติชิ้นนี้ได้!”


เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้นต่างพากันรู้สึกขุ่นเคืองอย่างเหลืออดกับการกระทำที่ไร้ยางอายเช่นนั้น เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะเข้าไปห้ามปราบ แต่สำหรับหานปิงเอ๋อนางยังอยู่ในท่าทีที่สงบนิ่งและหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาเท่านั้น


ฉุ่ยจิ้งรู้สึกเป็นห่วงอย่างเด่นชัดพร้อมตะโกนออกมาว่า “ระวัง!”


ยูฮานที่กำลังโกรธจัดจึงไม่สนใจสิ่งที่ฉุ่ยจิ้งกล่าวโดยสมบูรณ์ มือของเขาเต็มไปด้วยปราณเย็นพร้อมจะคว้าที่ด้ามของดาบเทวะเหมันต์อย่างมั่นใจ


ในขณะที่มือของเขาอยู่ห่างจากดาบเพียงไม่กี่ฟุต ดาบเทวะเหมันต์สั่นไหวพร้อมกับเปล่งลำแสงเทวะออกมา ลำแสงของดาบและปราณเย็นในมือของยูฮานปะทะกัน ทุกคนมองเห็นทันทีว่าปราณเย็นของยูฮานสลายไปอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งลำแสงเทวะกำลังพุ่งผ่านอากาศเพื่อวิ่งไปหามือของยูฮานอย่างไร้สิ่งกีดขวาง


ในขณะนั้นยูฮานรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด ขณะที่เขากำลังสัมผัสกับลำแสงเทวะ เขาเข้าใจได้ทันทีว่าพลังศักดิ์สิทธิ์นี้น่ากลัวเพียงใด ความแข็งแกร่งของเขาไม่อาจต้านทานมันได้เลย กล่าวก็คือดาบไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตานั่นเอง ถ้าหากลำแสงนี้จะตัดผ่านร่างกายของเขา ชัดเจนว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม


ยูฮานไม่กล้าที่จะอวดฉลาดอีกต่อไป เขาถอยหลังกลับพร้อมยอมแพ้ ในเวลาเดียวกันเขาตะโกนออกมา “ศิษย์น้องปิงเอ๋อได้โปรดหยุดมัน!”


ยูฮานคือเด็กหนุ่มซึ่งเป็นบุตรแห่งจ้าวสำนัก มันคงไม่ดีนักถ้าหากหานปิงเอ๋อปล่อยให้เขาตายตกไปโดยดาบของนาง หลังจากที่ได้ยินคำขอร้องจากเขา นางรีบหยุดดาบด้วยมือของตนเองทันที


แต่อย่างไรแล้วทุกสิ่งคล้ายสายเกินไป ลำแสงเทวะของดาบเทวะเหมันต์นั้นรวดเร็วมาก แม้ว่าการตอบสนองของพวกเขาทั้งสองจะรวดเร็วเพียงใด แต่มือและแขนของยูฮานยังคงโดยลำแสงเทวะเล่นงาน ความหนาวเย็นเริ่มปกคลุมไปทั่วแขนของเขา


ทุกคนที่มองเห็นสถานการณ์พบว่ามือข้างขวาของยูฮานเริ่มโปร่งแสงขึ้น กระดูกของเขาและกล้ามเนื้อต่าง ๆ เริ่มตกผลึกกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง จากนั้นมันพลันปลิวเป็นละอองหายไปทันที


มันไม่ได้คุกคามเพียงแค่มือของเขาเท่านั้น ยังลามไปถึงแขนขวาทั้งหมดของเขา ทุกที่ที่ความหนาวเย็นได้แทรกซึมเข้าไปจะเริ่มโปร่งแสงพร้อมทั้งกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง


แม้ว่ายูฮานจะเรียกใช้วิชาการฝึกตนอย่างเต็มที่ เขาก็ไม่อาจหยุดลำแสงเทวะนี้ได้เลย ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ชัดเจนแล้วว่าเขาจะต้องจบลงด้วยการกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งและปลิวไปตามสายลม


ขอบคุณสวรรค์ที่ฉุ่ยจิ้งมีปฏิกิริยาที่รวดเร็ว นางขยับนิ้วของตนเองพร้อมส่งแสงสีทองออกไป เหรียญชะตาฟ้าดินได้ทำการตัดแขนขวาของยูฮานทันที


ในขณะที่ฉุ่ยจิ้งทำเช่นนั้น แสงสีทองได้เปล่งประกายไปทั่วบริเวณ ถ้าหากว่านางชักช้าไปมากกว่านี้ ลำแสงเทวะจะพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา


แขนขวาที่โชคร้ายถูกตัดและหล่นสู่พื้นเป็นละอองน้ำแข็ง แม้แต่แหวนที่เป็นสมบัติวิเศษของเขายังไม่ถูกละเว้น มันกลายเป็นน้ำแข็งและแตกสลายเช่นกัน


ทุกคนที่มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ไม่อาจหายใจได้ พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าการโจมตีด้วยตนเองของดาบเทวะเหมันต์จะน่าเกรงขามถึงเพียงนี้ ความกลัวเหล่านี้ทำให้พวกเขาทั้งหมดอึ้งอย่างถึงที่สุด


หานปิงเอ๋อกล่าวออกมาอย่างไม่แปลกใจที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ “ในตอนนี้ข้าได้ปลดปล่อยดาบเทวะเหมันต์เพื่อให้ศิษย์พี่ซ่งใช้งานมัน แต่ในขณะที่ข้าทำเช่นนั้น ความสามารถของดาบจะไม่อยู่ในการควบคุมของข้าอีกต่อไป ความแข็งแกร่งของมันจะกลับไปสู่จุดเดิมตามระดับขั้นที่มันมี ไม่น่าแปลกใจที่พลังของมันจะแข็งแกร่งเช่นนี้ อีกทั้งยังทำลายสมบัติวิเศษได้อย่างง่ายดาย!”


เมื่อยูฮานได้ยินเช่นนั้น เขาแทบจะเป็นลมตายไปเพราะความโกรธ พร้อมคิดในใจ ‘แล้วเหตุใดจึงไม่บอกข้าก่อน ข้าจะได้ไม่เสนอตัวไปรับความเสี่ยงเช่นนั้น’


แต่ไม่มีผู้ใดบังคับให้เขาวิ่งเข้าไปหาดาบ ดังนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันมาจากตัวเขาเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามยูฮานเป็นศิษย์ที่มีความโดดเด่นและเป็นอัจฉริยะ เขาไม่ได้โวยวายเสียงดังแต่อย่างใด เขาทำได้เพียงหัวเราะอย่างขื่นขมพร้อมกล่าวว่า “คิดเสียว่าข้าแค่อับโชค! ขอบคุณศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งมากที่ช่วยชีวิตข้าไว้!”


“อย่ากล่าวถึงเรื่องเล็กเช่นนั้นเลย!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องโศกเศร้า ที่สำนักของท่านเต็มไปด้วยยามากมาย ข้าเชื่อว่าเพียงแค่แขนของท่าน มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเลย!”


“อืม เป็นเช่นนั้น! ขอบคุณสำหรับคำปลอบที่เจ้ามอบให้ ข้าขอตัวก่อนเพื่อจัดการกับอาการบาดเจ็บ พวกเจ้าควรดำเนินการต่อได้แล้ว!” ยูฮานตอบกลับพร้อมกับเดินจากไป ในขณะนั้นดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เจ้าอ้วนพร้อมคิดในใจ ‘แม้แต่ข้าที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเยือกแข็งจันทรายังไม่อาจทำได้ แต่ไขมันเดินได้เช่นเจ้าคิดจะควบคุมดาบเทวะเหมันต์งั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อ ข้าจะเฝ้ามองอยู่ตรงนี้เพื่อที่จะเห็นเจ้าเสียแขนไปเช่นเดียวกับข้า!’


ความจริงแล้วยูฮานไม่ใช่คนเดียวที่คิดเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้คิดเช่นเดียวกับเขา พร้อมกับจับจ้องที่เจ้าอ้วนราวกับว่าเขาได้ตายตกไปแล้ว


เจ้าอ้วนที่เคยสงบนิ่งตอนนี้เริ่มกระวนกระวายใจ ไม่ว่าเขาจะมั่นใจมากแค่ไหนแต่มันไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมสมบัติวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติชิ้นนี้เพิ่งทำให้คนผู้หนึ่งพิการ!


จากนั้น เจ้าอ้วนหันไปกล่าวกับฉุ่ยจิ้งอย่างกังวล “ศิษย์น้องเจ้าแน่ใจแล้วงั้นหรือว่าต้องการให้ข้าสัมผัสมัน?”


“ถูกต้อง อย่ากังวลเลย ทุกอย่างจะราบรื่น!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมเผยยิ้มออกมา


“ถ้าหากมันเป็นแบบนั้น ข้าควรจะทำเช่นไร?” เจ้าอ้วนมองไปบนเกล็ดน้ำแข็งบนพื้นอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ศิษย์น้อง ถ้าหากเจ้าต้องการให้ข้าตาย ได้โปรดเปลี่ยนแปลงวิธีการของเจ้า ข้ายังต้องการมีซากศพของตนเอง”


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนกำลังสติแตก ฉุ่ยจิ้งไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ดังนั้นนางจึงหยิบเหรียญชะตาฟ้าดินออกมาเล่นพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่มั่นใจได้ ท่านจะปลอดภัย แม้ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าจะช่วยเหลือทันที อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สูญเสียนิ้วเท่านั้น!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาแทบจะเป็นลมและบ่นต่ออย่างไม่คิดปิดบัง “ศิษย์น้อง แม้แต่นิ้วมือมันก็สำคัญต่อข้า”


“ศิษย์พี่จะมามัวกังวลในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดท่านจึงยังลังเลอยู่? ถ้าหากท่านยังคงจู้จี้เช่นนี้ พวกเราทั้งหมดจะต้องตายอยู่ที่นี่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างจริงจัง “อย่าบอกข้านะว่าท่านต้องการให้ศิษย์น้องปิงเอ๋อสละชีวิตเพื่อให้ท่านรอดตาย? นั่นคือสิ่งที่บุรุษควรกระทำงั้นหรือ?”


“เรื่องนั้น….” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหมดถ้อยคำที่จะกล่าวอีกต่อไป เขาไม่สามารถยินยอมให้หานปิงเอ๋อตายตกไปได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาอย่างจำยอม “ตกลง ข้าจะลองดู แต่ได้โปรดจับตาดูข้าเป็นพิเศษและช่วยเหลือข้าทันทีถ้าหากเกิดปัญหา!”


“ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลท่านอย่างดี!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมรอยยิ้มและโยนเหรียญชะตาฟ้าดินในมือให้เจ้าอ้วนดู


ขณะที่เจ้าอ้วนเห็นเช่นนั้น เขารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย เขาเริ่มสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับยื่นมือขวาออกไปเพื่อจะคว้าด้ามของดาบเทวะเหมันต์


ในขณะนั้นทุกคนที่มองการเคลื่อนไหวของเจ้าอ้วนรู้สึกหงุดหงิด มือขวาของเขาอยู่ห่างจากดาบเพียงสามฟุตเท่านั้น ทุกคนกลั้นลมหายใจเอาไว้ นั่นเป็นเพราะว่ายูฮานถูกโจมตีที่ระยะนี้


แต่ในขณะนั้นดาบเทวะเหมันต์กลับไม่มีท่าทีใด ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก โดยเฉพาะเจ้าอ้วนที่รู้สึกโล่งใจและค่อย ๆ เอื้อมมือไปที่ดาบ


ในระยะสองฟุตไม่มีท่าทีใด ในระยะหนึ่งฟุตยังคงเงียบสงบ ครึ่งฟุตสุดท้ายในขณะที่เขากำลังจะจับต้องมัน ดาบเริ่มมีอาการสั่นไหวพร้อมหัวใจของทุกคนสั่นตามไปด้วย


แต่ทว่าดาบเทวะเหมันต์ไม่ได้ปล่อยลำแสงเทวะออกมาดังเช่นก่อนหน้านี้ มันปล่อยออร่าสีขาวที่อ่อนโยนมายังมือของเจ้าอ้วนเท่านั้น ราวกับสัมผัสจากทารกที่กำลังอยากรู้อยากเห็นสิ่งใหม่


แม้ว่าดาบเทวะเหมันต์จะเงียบสงบ แต่ทว่าภาพของยูฮานยังคงติดอยู่ในดวงตาของเจ้าอ้วน ในขณะที่เขาเห็นแสงสีขาวเปล่งออกมาจากดาบ เขาดึงมือกลับทันที


แต่ในขณะนั้นหานปิงเอ๋อตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล มันไม่ใช่เจตนาร้าย นั่นไม่ใช่ลำแสงเทวะแต่เป็นสัมผัสวิญญาณของมัน!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกโล่งใจพร้อมกับยินยอมให้แสงสีขาวสัมผัสกับมือของเขา หลังจากทั้งสองได้สัมผัสกัน เจ้าอ้วนเข้าสู่สถานที่ลึกลับทันที ในหัวของเขาเต็มไปด้วยภาพของโลกที่หนาวจัด ภูเขาน้ำแข็งมากมายหลายพันลี้ หลังจากผ่านมาเนิ่นนานหลายล้านปี จึงมีความรู้สึกนึกคิดและเริ่มฝึกฝน จากนั้นสภาพแวดล้อมค่อยหดเข้ามาเรื่อยจนกลายเป็นดาบเทวะเหมันต์!


ในขณะนั้นเจ้าอ้วนเข้าใจจุดกำเนิดของดาบทันที มันมาจากเทือกเขาน้ำแข็งที่ใหญ่หลายพันลี้! ไม่ต้องสงสัยเลยถึงความน่าเกรงขามของมันและเหตุใดมันจึงเป็นสมบัติวิญญาณขั้นเก้า!


เจ้าอ้วนกำลังชื่นชมการก่อตัวขึ้นมาของดาบ เขามองเห็นความงดงามของภูเขาน้ำแข็ง ทั้งความหนาวเย็นและความลึกลับของวิชาเทวะวิญญาณเหมันต์ ภายในพื้นที่ลึกลับนี้เต็มไปด้วยกฎที่ซับซ้อนมากมายของธรรมชาติ ซึ่งกำลังเปิดให้เจ้าอ้วนเข้าใจทุกอย่างโดยอิสระ!


บทที่ 159: การต่อสู้อันขมขื่น


น่าเสียดายที่ระดับการฝึกฝนของเขาน้อยเกินไป จึงไม่อาจเข้าใจทั้งหมดได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าอ้วนรู้สึกได้ว่าสภาพจิตใจของเขาได้รับการปรับแต่งให้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งเขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเลย เขาเชื่อมั่นในตัวเองอย่างมากถ้าหากเขาได้เข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนอีกครั้ง เขาจะเข้าสู่ระดับปฐมภูมิได้อย่างง่ายดาย


เช่นเดียวกันในตอนนี้เจ้าอ้วนกำลังถูกดาบเทวะเหมันต์ส่งลำแสงอุ่น ๆ เพื่อยั่วยวนเขาอยู่ ทุกคนที่มองเห็นภาพนั้นกำลังอยู่ในสภาวะโง่งมโดยสมบูรณ์ หลังจากที่ได้เห็นเจ้าอ้วนสัมผัสกับลำแสงที่อบอุ่นของดาบ เขาหยุดเคลื่อนไหวทันที แสงเหล่านั้นกำลังแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเจ้าอ้วน ทุกที่ที่มันได้ผ่านกลายเป็นน้ำแข็ง แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเส้นเลือดของเขายังคงทำงานตามปกติ ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งและหายไป ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเขาไปยุ่งกับเขาในสภาวะที่เขาเข้าสู่จิตใต้สำนึกของตนเอง


เจ้าอ้วนถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งโดยสมบูรณ์และดาบเทวะเหมันต์เริ่มบินรอบเขา ทุกคนมองเห็นว่าดาบกำลังเคลื่อนเข้าหาร่างกายของเจ้าอ้วนอย่างช้า ๆ ราวกับว่าเจ้าอ้วนคือเจ้านายคนใหม่ของมัน


ในขณะที่ดาบเทวะเหมันต์เข้าสู่ร่างกายของเจ้าอ้วน ปราณเย็นแผ่กระจายออกมาจนทำให้บริเวณรอบข้างอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต้องถอยห่างออกไปและเริ่มปรับสภาพร่างกายอย่างรวดเร็ว


ในขณะนั้นไม่ใช่เพียงเจ้าอ้วนเท่านั้นที่งุนงง แม้แต่หานปิงเอ๋อยังไม่อาจอดกลั้นความประหลาดใจนี้ไว้ได้ ราวกับว่านางกำลังตรึกตรองบางสิ่งอยู่ ความหนาวเย็นที่ออกมาจากร่างกายของเจ้าอ้วนนั้นไม่มีผลอะไรกับนางเลย


หลังจากนั้นเพียงอึดใจความหนาวเย็นได้หายไป เจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อลืมตาของตนเองพร้อมกันและจ้องมองกันด้วยแววตาแห่งความยินดี หานปิงเอ๋อเดินเข้าหาเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ ถ้าหากตัวข้ามีโอกาสในอนาคต แน่นอนว่าจะต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน!”


“เจ้ากล่าวเกินไป ศิษย์น้องเป็นคนจิตใจดี อีกอย่างข้ายังได้รับผลประโยชน์มากนักในครั้งนี้ ดังนั้นเราจึงไม่ได้ติดค้างสิ่งใดกัน!” เจ้าอ้วนรีบตอบกลับ


“มันแตกต่างเนื่องจากว่าในครั้งนี้ศิษย์น้องผู้นี้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ข้าควรจะติดหนี้ศิษย์พี่อย่างแท้จริง!” หานปิงเอ๋อตอบกลับอย่างรวดเร็ว


ทุกคนที่อยู่รอบบริเวณต่างพากันงุนงงและไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องอะไร สาวน้อยผู้ขโมยผลไม้วิญญาณจากเจ้าอ้วนรู้สึกสงสัยจนอดไม่ได้ นางวิ่งออกไปและถามทันที “ศิษย์พี่ พวกท่านกล่าวเรื่องอะไรกันหรือ?”


หานปิงเอ๋อเผยยิ้มออกมาและกล่าวกับเจ้าอ้วน “ศิษย์พี่ปลดปล่อยดาบเทวะเหมันต์ออกมาแสดงให้พวกเขาดูสิ!”


“ตกลง!” เจ้าอ้วนยิ้ม ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาตบหลังศีรษะของตนเองเบา ๆ ดาบเทวะเหมันต์โผล่ออกมาจากหน้าผากของเขา


ดาบที่ปรากฏออกมาในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่มันเข้าไปมาก ขนาดของมันเหลือเพียงครึ่งฟุตและไม่มีแสงสว่าง แต่กลับให้ความรู้สึกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความลึกลับ ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงไปมากจากเดิม


เมื่อมองเห็นเช่นนั้น หญิงสาวจากหอเฉวียนจี้กล่าวออกมาด้วยความตกใจ “สวรรค์ สมบัติวิญญาณของเราเล็กลง เขาทำสิ่งใดกับมัน?”


ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นกำลังสงสัยเช่นกันว่าเจ้าอ้วนทำสิ่งใดกับดาบนี้


เจ้าอ้วนตอบกลับด้วยท่าทีที่ใสซื่อ “เหอะ หยุดกล่าววาจาไร้สาระกันเสียที ข้าจะไปมีความสามารถอันใดที่จะยุ่งกับดาบเทวะเหมันต์นี้ได้?”


หานปิงเอ๋อนางปิดปากและเริ่มหัวเราะออกมา นางจับหัวของหญิงสาวพร้อมกล่าวอย่างสดใส “เจ้าอย่ากล่าวอะไรออกมาแล้วทำให้ตนเองดูโง่ได้หรือไม่!”


“แต่ศิษย์พี่ ดูเหมือนว่าดาบจะอ่อนแอลง!” หญิงสาวยังคงพยายามเถียง


“มันไม่ได้อ่อนแอ มันแค่เล็กลง!” หานปิงเอ๋ออธิบายอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “จุดกำเนิดของดาบเล่มนี้ในครั้งแรกคือเทือกเขาน้ำแข็ง มันหดตัวกลายเป็นดาบเมื่อฝึกฝนมานานนับล้านปี หลังจากเวลาผ่านไปมันไม่สามารถหดตัวได้อีกเนื่องจากยังไม่เข้าใจกฎแห่งสวรรค์ แต่ในตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของศิษย์พี่ซ่ง ในที่สุดมันก็พัฒนาตนเองได้! ข้าเชื่อว่าระดับของดาบเทวะเหมันต์ในตอนนี้เกินกว่าขั้นเก้าที่เคยกล่าวกันไว้เสียอีก อีกทั้งมันยังไม่พ่ายแพ้ต่อภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าอย่างแน่นอน!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้รู้ถึงสถานะลึกลับของดาบเทวะเหมันต์ ดาบนั้นรู้สึกถึงปฐมกาลแห่งความโกลาหลอีกด้วย สำหรับหานปิงเอ๋อนางย่อมรู้สึกได้อยู่แล้วเพราะนางคือเจ้าของดาบ ภายใต้ความสามารถของปฐมกาลแห่งความโกลาหล ดาบเทวะเหมันต์สามารถพัฒนาตนเองได้ ดังนั้นมันจึงเป็นประโยชน์ต่อนางเช่นกัน จึงไม่แปลกที่นางจะกล่าวขอบคุณเจ้าอ้วนอย่างจริงใจ


ทุกคนที่อยู่โดยรอบตกใจทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าวออกมา สมบัติวิญญาณที่เกินกว่าขั้นเก้า ความแข็งแกร่งของมันจะมากเพียงใด? ในโลกแห่งนี้สมบัติวิญญาณที่เกินขั้นเก้ามีเพียงภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าเท่านั้น ในตอนนี้กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น และมันอยู่ตรงหน้าของพวกเขา นี่คือเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าของพวกเขา ทุกคนราวกับอยู่ในห้วงเวลาแห่งความฝันและรู้สึกโง่งมไปตามกัน


ในตอนนี้มีเพียงฉุ่ยจิ้งที่ไม่แปลกใจราวกับว่านางรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เมื่อเห็นความงุนงงของเหล่าพวกพ้องนางจึงกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะทุกคน นี่ไม่ใช่เวลามาพูดคุยกัน ในตอนนี้ศิษย์พี่ซ่งสามารถใช้ดาบเทวะเหมันต์ได้แล้ว เราควรจะเริ่มแผนการของเราเสียที!”


“ตกลง!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับทันที “ข้าเพิ่งเรียนรู้การโจมตีใหม่จากดาบเทวะเหมันต์มา ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาต ข้าจะได้ทดสอบมันในแผนครั้งนี้!”


เมื่อดาบเทวะเหมันต์พัฒนาขึ้น มันจึงเข้าใจความลึกลับของปฐมกาลแห่งความโกลาหลได้ ร่วมกับการเข้าใจในลำแสงเทวะของตนเองด้วย จึงสร้างการโจมตีพิเศษขึ้นมาเรียกว่าปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาต


ความพิเศษของมันก็คือการโจมตีนี้เปิดโอกาสให้เจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อร่วมมือกัน เรียกได้ว่ามันสามารถใช้พลังจากทั้งสองคนเพื่อโจมตีในครั้งเดียว การรับแรงกระแทกกลับของดาบนั้นไม่สำคัญนักเพราะเจ้าอ้วนมีร่างกายที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว การบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา แน่นอนว่าเขาและหานปิงเอ๋อต่างก็รู้หน้าที่ของตนเองดี


หลังจากที่ได้ยินว่าเจ้าอ้วนต้องการจะใช้ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาต หานปิงเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะทดลองใช้มัน นางเดินไปที่ด้านข้างของเขาพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ ไปกันเถอะ!”


เจ้าอ้วนตกใจพร้อมถามกลับอย่างรวดเร็ว “ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”


“ท่านก็รับภาระในส่วนของข้าไปสักนิดก็เพียงพอแล้ว!” หานปิงเอ๋อเขินอายพร้อมกล่าวต่อ “ข้าอยากจะทดสอบพลังของปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตจริง ๆ! หวังว่าศิษย์พี่คงจะเข้าใจข้า!”


เมื่อต้องเผชิญกับคำขอร้องของหญิงงาม เจ้าอ้วนไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นเขาจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ก็ได้ ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนดาบและไม่คุ้นเคยที่จะใช้มัน เหตุใดเจ้าจึงไม่เป็นคนควบคุมมันและข้าจะเป็นคนที่ใช้ปราณจิตวิญญาณพร้อมกับการตั้งรับ!”


กล่าวก็คือหานปิงเอ๋อเพียงควบคุมดาบเท่านั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องใช้ตกอยู่ที่เจ้าอ้วนทั้งหมด ซึ่งนางจะไม่ได้รับความเสี่ยงใด เมื่อหานปิงเอ๋อได้ยินเช่นนั้นนางตอบกลับอย่างยินดี “ขอบคุณศิษย์พี่อาวุโส!”


“เล็กน้อย!” เจ้าอ้วนยิ้ม พร้อมหันไปหาฉุ่ยจิ้งพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เมื่อไหร่เราจึงจะเริ่ม?”


“รอก่อนสักห้านาที!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมา นางชี้ไปที่ผู้เฒ่าเฟิงที่อยู่ห่างออกไปพร้อมกับมีผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนอยู่ด้านหลังของเขา “เมื่อข้าให้สัญญาณ พวกเจ้าต้องพยายามอย่างถึงที่สุดโดยการซุ่มโจมตีพวกเขา เป้าหมายของพวกเจ้าคือผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนนั้น! ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถสังหารเขาได้ ส่วนที่เหลือข้าคิดว่าอาจารย์ลุงฮัวอวิ๋นสามารถรับมือได้!”


“เข้าใจแล้ว!” เจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อพยักหน้า


จากนั้นฉุ่ยจิ้งเดินไปหาหงหยิงพร้อมชี้ไปที่ผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ธงสีดำพร้อมกล่าวว่า “หลังจากนั้นข้าจะบอกเจ้าเมื่อเกราะทั้งหมดถูกทำลาย ในเวลานั้นพวกเขาจะอ่อนแอที่สุด จำไว้ว่าห้ามลังเลและต้องโจมตีด้วยทุกสิ่งที่เจ้ามี เจ้าต้องสังหารพวกเขา!”


“ไม่มีปัญหา!” หงหยิงตอบรับพร้อมกับกำกระบี่เฟิ่งหมิงไว้แน่น


“ดีมาก!” ฉุ่ยจิ้งพยักหน้า นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมอีกนอกจากเรียกใช้กระดองเต่าดำพร้อมกับเหรียญชะตาฟ้าดินอย่างเต็มกำลังเพื่อเริ่มการทำนาย

ในขณะนั้นการต่อสู้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทัศนียภาพที่สวยงามถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งพืช ต้นไม้ และลำธารต่างได้รับความเสียหายและไม่เหลือร่องรอยเดิม พื้นดินเต็มไปด้วยหลุมขนาดใหญ่และร่องรอยของพิษร้าย ป่าด้านข้างกำลังถูกเปลวเพลิงลุกไหม้จนเกิดควันมากมายบดบังแสงอาทิตย์


แต่ถึงอย่างนั้นการต่อสู้บนท้องฟ้าก็น่ากลัวเช่นกัน ผู้ฝึกตนปีศาจซ่อนตัวอยู่ในเมฆสีดำ เหล่าปีศาจมากมายโบยบินอยู่บนท้องฟ้า เวทมนตร์ที่ชั่วร้ายมากมายถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง


สำหรับพื้นที่ของผู้ฝึกตนชอบธรรมยังคงดูดีอยู่ มันมีแสงเทวะคอยปกป้องอยู่ตรงกลาง นักบวชฮัวอวิ๋นควงดาบอยู่บนหลังของมังกร รวมกับความแข็งแกร่งของสมบัติวิเศษของพวกเขาทำให้ทำลายเหล่าปีศาจได้อย่างง่ายดาย


สำหรับอีกด้านหนึ่ง เหล่านาวายักษ์ถูกขังอยู่ในการต่อสู้ที่รุนแรง หลังจากผ่านการต่อสู้มาอย่างยาวนานมีผู้คนเสียชีวิต หนึ่งในนั้นคือนาวายักษ์ของเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจได้ตายตกไปอย่างนับไม่ถ้วน ด้านบนสุดของเรือถูกทำลายย่อยยับโดยนาวายักษ์ของสำนักเสวียนเทียน นั่นหมายความว่ามันสูญเสียความสามารถในการทำศึกแล้ว แต่นาวายักษ์ของหอเฉวียนจี้ก็ไม่ได้ดูดีนัก มันถูกโจมตีถึงจุดที่เสียหายไม่อาจทำให้มันบินได้อีกต่อไป สุดท้ายมันจึงถูกบังคับให้จอดลงบนพื้น กลายเป็นเป้าหมายนิ่งที่อยู่บนพื้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


ในขณะนั้นผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนที่หงหยิงกำลังจับตาดูอยู่ เขาทั้งสองคนรู้สึกถึงอันตรายบางอย่างจึงรีบยกธงสีดำในมือขึ้นทันที พร้อมปกป้องตนเองด้วยชั้นของเมฆ จากนั้นเกิดลำแสงของดาบจากผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินตัดผ่านเมฆจนฉีกขาดออกจากกันและเกือบจะสังหารพวกเขาได้ในดาบเดียว!


บทที่ 160: ดาบเขย่าสวรรค์


ผู้ฝึกตนปีศาจไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป ในขณะที่พวกเขาเห็นว่าศิษย์พบเจอกับปัญหาบางอย่าง พวกเขาเรียกใช้อาคมปีศาจทันทีเพื่อปิดกั้นการโจมตีของผู้ฝึกตนคนอื่น เหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันถอยหลังเข้าเมฆ เพียงแค่พวกเขากระพริบตาเมฆจะถูกเรียกคืนสถานะเดิมทันที และในขณะนั้นแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินก็ไม่อาจสังหารพวกเขาได้ในครั้งเดียว อย่างมากก็เพียงแค่ฉีกเมฆออกจากกัน


อย่างไรก็ตามในตอนนี้พวกเขาถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว เกิดเสียงกรีดร้องดังสนั่นมันคือเสียงร่ำไห้ของกระบี่เฟิ่งหมิง มันวิ่งผ่านทั้งสมรภูมิรบอย่างเร็วรี่ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับการระเบิดของอาคมสายฟ้า


แน่นอนว่ากระบี่เฟิ่งหมิงดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้อย่างดี พวกเขามองเห็นแสงสีทองกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนท้องฟ้า หลังจากนั้นศีรษะของผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนล่วงหล่นสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ปรากฏเลือดพุ่งราวกับน้ำพุพร้อมทั้งร่างกายกระแทกกับพื้นดิน หลังจากที่เขาทั้งสองตายตกไป พลังของสมบัติวิเศษที่พวกเขาใช้ก็ค่อยเลือนหายไปเช่นกัน


ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาของตนเอง พวกเขาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน บางคนตะโกนออกมาอย่างไม่ยอมรับ “เป็นไปไม่ได้!”


ความจริงแล้วถ้าหากเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไปเรื่องเช่นนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเสียงกรีดร้องและแสงสีทองคือกระบี่เฟิ่งหมิง แต่อุปกรณ์นี้อยู่ในมือของหงหยิงระดับเซียนเทียนและมันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันภายในดาบเดียว เรื่องราวเช่นนี้คล้ายกับไก่ป่าจิกเสือสองตัวตายในครั้งเดียว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระเกินกว่าจะคาดคิด


แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะพอมีเหตุผลอยู่บ้าง ประการแรกคือผู้ฝึกตนระดับจินตันเปิดช่องโหว่ของตนเอง อีกทั้งหงหยิงสามารถรับรู้ช่องโหว่นั้นได้ แต่ปัญหาก็คือการมองเห็นช่องโหว่นี้ยากเกินไป แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังไม่อาจทำเรื่องเหล่านี้ได้โดยง่าย ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน ถ้าหากไม่สามารถทำนายอนาคตได้ จะไม่มีทางรู้ถึงช่องโหว่เหล่านี้ได้เลย


ซึ่งผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้มีเพียงฉุ่ยจิ้งเท่านั้น พวกเขาไม่อาจคาดคิดว่านางจะสามารถทำนายช่องโหว่ได้ในสนามรบที่วุ่นวายเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนชอบธรรมหรือปีศาจ พวกเขาต่างงุนงงในความสำเร็จของการซุ่มโจมตีครั้งนี้


ก่อนที่ความตื่นตระหนกของพวกเขาจะหายไป ได้เกิดเรื่องน่าประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง


อันดับแรกคือนักบวชฮัวอวิ๋นใช้ดาบเฉือนสมบัติวิเศษของผู้เฒ่าเฟิง การปะทะทำให้เกิดคลื่นพลังขนาดยักษ์ส่งผลให้เหล่าศิษย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขากระเด็นออกไปทั้งหมด โดยเฉพาะผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่คน พวกเขาตกใจจนเปิดช่องโหว่ขนาดเล็กโดยไม่ตั้งใจ


ภายใต้สถานการณ์ปกติมันคงไม่ถูกเรียกว่าช่องโหว่ เพียงกระพริบตาช่องโหว่เหล่านี้จะคืนสภาพโดยสมบูรณ์ แต่ในวันนี้ การเปิดช่องโหว่เช่นนี้ราวกับว่าเปิดโอกาสให้ชีวิตของตนเองตกอยู่ในอันตราย!


ก่อนที่ช่องโหว่จะถูกเปิด เจ้าอ้วนและหานปิงเอ๋อเตรียมพร้อมที่จะใช้ดาบเทวะเหมันต์ภายใต้คำสั่งของฉุ่ยจิ้งแล้ว และในขณะนั้นทั้งสองคนตะโกนออกมาพร้อมกัน “ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาต!”


เกิดเป็นลำแสงเทวะคมกริบออกมาจากดาบเทวะเหมันต์ พลังของมันโอ่อ่าและน่าเกรงขาม มันสามารถทะลุผ่านสมบัติวิเศษสองชิ้นได้ และทุบตีผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนที่เปิดช่องโหว่เมื่อครู่


แม้ความจริงคือลำแสงที่ปกป้องพวกเขาอยู่จะแข็งแกร่งอย่างมาก แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิยังไม่อาจทำลายมันได้ แต่ทว่าเกราะเหล่านี้ไม่อาจหยุดปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตได้เลย พวกมันถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ก่อนที่ผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสองจะได้ทำสิ่งใด ร่างกายของพวกเขาแข็งค้างพร้อมกับปลิวล่องลอยไปกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งในอากาศ!


การโจมตีเช่นนี้น่ากลัวเกินไป แต่กลับมีสิ่งที่น่าตกใจมากกว่าอีกครั้ง หลังจากที่ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตได้สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันไปแล้วสองคน พลังของคล้ายยังไม่หมดลงแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นหานปิงเอ๋อที่เป็นผู้ควบคุมทิศทางของดาบรีบสั่งการต่อทันที รวดเร็วเท่าความคิด ลำแสงของดาบพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทันที นั่นคือผู้เฒ่าเฟิงแห่งสำนักพันปีศาจ!


หานปิงเอ๋อเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนแต่กลับมีความกล้าหาญที่จะโจมตีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน ผู้คนที่ได้เห็นเช่นนั้นต่างรู้สึกโง่งมทันที พวกเขาต่างไม่ทราบว่านางกำลังเล่นสนุกสิ่งใดอยู่หรือนางอาจจะเบื่อหน่ายการใช้ชีวิตแล้วก็เป็นได้


สำหรับเจ้าอ้วน เขาตกใจสุดขีดจนใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ตอนนี้เขาต้องทุ่มเทปราณจิตวิญญาณ และการกระแทกกลับใดล้วนเป็นเขาต้องแบกรับไว้ แม้ว่าพลังของดาบเทวะเหมันต์จะสามารถปกป้องเขาได้ แต่มันคงจะไม่ดีถ้าหากต้องต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน!


เพียงแค่เจ้าอ้วนคิดเรื่องนี้ ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตก็อยู่ตรงหน้าของผู้เฒ่าเฟิงแล้ว แท้จริงแล้วชายชราอยู่ในสภาวะตกใจอย่างถึงที่สุดเช่นกัน เขากำลังต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋นและสถานการณ์กำลังอยู่ในความรุนแรง เขาได้ละทิ้งการปกป้องเหล่าศิษย์ทั้งหมด แต่ในตอนนี้การป้องกันด้านหลังของเขาได้รับความเสียหายและศิษย์ของเขาถูกสังหาร อีกทั้งลำแสงของสมบัติวิญญาณกำลังจะโจมตีเขาในตอนนี้


แม้ว่าลำแสงนี้จะเป็นของผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน แต่อย่างไรมันก็เป็นดาบเทวะเหมันต์ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินก็ไม่อาจต่อกรกับสมบัติวิญญาณขั้นเก้า


สวรรค์ ผู้เฒ่าเฟิงทำได้เพียงรวบรวมปราณจิตวิญญาณเล็กน้อยและทุบไปที่ลำแสงของดาบซึ่งกำลังพุ่งมา เกิดแสงสีเขียวจากมือของเขา ลำแสงของปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตแตกออกทันที ดาบเทวะเหมันต์ถูกส่งกลับไปยังที่เดิมอย่างรวดเร็ว


เจ้าอ้วนที่ควบคุมปราณจิตวิญญาณทั้งหมด เขาตกใจพร้อมกับพ่นเลือดออกมาก้อนใหญ่ ก่อนที่จะถอยหลังออกมาไม่กี่ก้าวพร้อมกับค่อย ๆ นั่งลงบนพื้น เขาบาดเจ็บหนักทันทีเพียงแค่ได้รับการโจมตีครั้งเดียวจากฝ่ายศัตรู เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินและเซียนเทียนว่าช่องว่างนี้มีมากเกินไป


ผู้เฒ่าเฟิงนั้นไม่ได้ประสบความสำเร็จ พลังของปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตนั้นมากกว่าที่เขาคาดคิด แม้ว่าเขาจะจัดการมันได้ แต่ทว่านิ้วของเขาบาดเจ็บหนักจากมันเพราะลำแสงของดาบตัดผ่านนิ้วไป อีกทั้งยังเข้ารบกวนปราณจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขาทันที


ผู้เฒ่าเฟิงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขารีบโคจรปราณจิตวิญญาณทันทีเพื่อไม่ให้ปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตนั้นรบกวนปราณจิตวิญญาณของเขา แต่แล้วเขาทำได้เพียงชะลอการรุกรานเท่านั้น ไม่อาจล้างมันออกจากร่างกายได้


ถ้าหากนี่เป็นช่วงเวลาปกติ เรื่องนี้เขาสามารถเมินเฉย เขาสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าในตอนนี้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้! นักบวชฮัวอวิ๋นยังคงไม่หยุดการต่อสู้ ในขณะที่เขามองเห็นว่าปฐมกาลโกลาหลเหมันต์พิฆาตนั้นได้โจมตีผู้เฒ่าเฟิง เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที เขาจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ผ่านไปได้อย่างไร? นักบวชฮัวอวิ๋นปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่เขามีสร้างมังกรยาวกว่าหมื่นฟุตออกมาพร้อมกับทุบตีไปที่ผู้เฒ่าเฟิงนับร้อยตัว


เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีของนักบวชฮัวอวิ๋น ผู้เฒ่าเฟิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากทันที เขาเรียกใช้งานอสรพิษทั้งสองตนให้มันเข้าป้องกันโดยทันที แต่กลายเป็นว่าปราณจิตวิญญาณที่เขาเรียกใช้งานเพื่อป้องกันนั้นน้อยเกินไป มันจึงไม่สามารถป้องกันลำแสงของดาบไว้ได้


นอกเหนือจากนั้น ศิษย์ของผู้เฒ่าเฟิงยังถูกสังหารโดยศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋น ในตอนนี้เหล่าศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋นรวมตัวกันทำให้การต่อสู้กลายเป็น หนึ่งต่อสาม อีกทั้งนิ้วของเขายังอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บหนัก ในตอนแรกเขาต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างสูสี แต่ด้วยความเสียหายทั้งหมดในตอนนี้ เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เขารีบตั้งสติอย่างรวดเร็วและเขาไม่อาจพ่ายแพ้ได้


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าว ผู้เฒ่าเฟิงยกมือซ้ายของเขาขึ้นพร้อมกับตัดนิ้วที่ได้ถูกรบกวนโดยปราณของดาบ จากนั้นเขาเริ่มกลับมาต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับตะโกนออกมาว่า “เจ้ามันเล่นสกปรก! วันนี้พวกเราพ่ายแพ้! แต่วันหน้าพวกเราจะทำให้พวกมันย่อยยับ! ถอย!”


ผู้เฒ่าเฟิงมองเห็นสถานการณ์ชัดเจนว่าถ้าหากเขาดันทุรังที่จะต่อสู้ แน่นอนว่าจะต้องจบลงที่ความพ่ายแพ้ พวกเขาไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ในเรื่องของจำนวน แต่ทว่าเขายังรู้สึกได้ถึงความกดดันที่แผ่ออกมาจากเจ้าอ้วน อีกทั้งความน่ารำคาญของฉุ่ยจิ้งและสมบัติวิญญาณทั้งสองชิ้นของนาง พวกเขาทั้งหมดไม่เพียงแต่สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันสี่คนเท่านั้น แต่ทว่ายังสามารถสร้างอาการบาดเจ็บให้กับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้อีกด้วย ความสูญเสียนี้มากเกินไปสำหรับพวกเขา ถ้าหากในพวกเขามีคนโดนสังหารเพิ่ม มันอาจจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นเกินไปถ้าหากคิดจะหลบหนีในตอนนั้น ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการถอยก่อนที่ความสูญเสียจะเพิ่มมากขึ้น เบื้องหน้านี้เป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันซึ่งเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ สำนักไม่อาจสูญเสียพวกเขาเหล่านี้ได้!


“ขอรับ!” เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น พวกเขาคำรามออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก แต่พวกเขายังคงเข้าใจสถานการและรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว


เนื่องจากผู้ฝึกตนปีศาจเริ่มถอยกลับ ผู้ฝึกตนชอบธรรมก็ไม่คิดจะติดตามพวกเขาเพราะไม่ต้องการสูญเสียเพิ่มอีกเช่นกัน หลังจากนั้นทุกคนรวมตัวกันเพื่อมองดูความสูญเสียทั้งหมด ในตอนท้ายพวกเขาตระหนักได้ว่ามีผู้ฝึกตนระดับจินตันเสียชีวิตหนึ่งคนและบาดเจ็บหนักสามคน แต่พวกผู้ฝึกตนปีศาจระดับจินตันถูกสังหารสี่คน และผู้เฒ่าเฟิงต้องตัดนิ้วของตนเองทิ้ง ซึ่งนับว่าเป็นชัยชนะของพวกเขา!


ภายใต้ความสับสน ฉุ่ยจิ้งคือผู้ที่มีส่วนร่วมในชัยชนะครั้งนี้มากที่สุด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรและคำสั่งของนาง สงครามครั้งนี้น่าจะจบลงที่ความพ่ายแพ้ของบรรดาผู้ฝึกตนชอบธรรม


หลังจากที่ผู้ฝึกตนชอบธรรมเข้าใจแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาทั้งหมดพากันชมเชยฉุ่ยจิ้ง หงหยิง และหานปิงเอ๋ออย่างร่าเริง แต่เจ้าอ้วนไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาเพราะว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนักจากการสะท้อนกลับการโจมตีที่ผู้เฒ่าเฟิงกระทำ


หลังจากจบการต่อสู้ที่รุนแรง ไม่มีผู้ใดสนทนาสิ่งใดต่อมากนัก ในความจริงทุกคนต้องการที่จะหวนคืนสำนักเต็มทีแล้ว


ผู้คนที่มาจากสำนักเสวียนเทียนเดินทางกลับโดยนาวายักษ์สีดำ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ตระการตาดังเช่นตอนที่พวกเขามา ไม่เพียงแต่มันเต็มไปด้วยบาดแผลใหญ่ ความสามารถในการบินของมันยังถูกจำกัดอีกด้วย ความเร็วของมันลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง การเดินทางที่ควรจะใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน กลับกลายเป็นใช้เวลาถึงสองวัน!


ทันทีที่นาวายักษ์กลับมาถึงสำนักเสวียนเทียน เกิดความวุ่นวายมวลใหญ่ขึ้นทันที จ้าวสำนักและภรรยาเดินทางมาตรวจสอบหงหยิง เจ้าอ้วน และฉุ่ยจิ้งทันทีพร้อมกับผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าทุกคนปลอดภัย หลังจากที่สนทนากับนักบวชฮัวอวิ๋นเล็กน้อยทุกคนแยกย้ายกลับที่พักของตนเอง


จ้าวสำนักและภรรยาได้พาเจ้าอ้วน หงหยิง และฉุ่ยจิ้งกลับเพราะมีบางสิ่งบางอย่างต้องการสนทนาด้วย


หลังจากที่พักฟื้นอยู่สองวัน อาการบาดเจ็บของเจ้าอ้วนถูกรักษาอย่างรวดเร็วโดยยาอายุวัฒนะ หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดได้เดินตามจ้าวสำนักและภรรยาไปยังลาน พวกเขาได้รับคำชมเชยพร้อมกับเงินรางวัลมากมาย


จ้าวสำนักยกมือขึ้นพร้อมกับกล่าวขึ้นมาด้วยความยินดี “ไม่ต้องมีพิธีรีตองให้มากนัก ขอให้ข้าได้ถามพวกเจ้าเถิดว่าพวกเจ้าได้รับผลไม้วิญญาณหรือไม่?”


ทั้งสามคนมองหน้ากันอยู่ชั่วขณะพร้อมกล่าวออกมาพร้อมกัน “พวกข้าได้รับมัน!”


“ฮ่าฮ่า ดีมาก สมแล้วที่พวกเจ้าคือบุคคลของสำนักเสวียนเทียน!” จ้าวสำนักหัวเราะออกมาอย่างชอบใจพร้อมกล่าวต่อ “แล้วพวกเจ้าได้รับมันมาเท่าไหร่?”


“ท่านพ่อ ข้าได้รับมาสองผล!” หงหยิงกล่าวพร้อมกับหยิบกล่องหยกออกมาเพื่อให้บิดาของนางเห็น


“ประเสริฐยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของข้า!” จ้าวสำนักหันไปพร้อมถามต่อ “ฉุ่ยจิ้ง แล้วเจ้าล่ะ?”


“ศิษย์ของท่านทำได้ไม่ดีนัก ข้าได้รับเพียงหนึ่งผลเท่านั้น!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างสงบ


“เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร?” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาถามออกมาอย่างสับสนทันที “เจ้าสามารถทำนายได้! อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่อาจทำนายถึงพื้นที่ของมันได้?”


ฉุ่ยจิ้งยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ของท่านขี้เกียจมากเกินไป แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าข้าจะทำนายได้หรือไม่ ข้าจะได้รับมันเพิ่มเป็นทั้งสิ้นสามผล!”


“ว่าอะไร?” จ้าวสำนักและภรรยาตกใจชั่วขณะ จากนั้นภรรยาจ้าวสำนักถามออกมาว่า “อย่าบอกข้านะว่าอาจารย์ของเจ้าจะมอบมันให้กับเจ้าเอง?”


“ไม่ใช่ ท่านอาจารย์ได้เข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนนานนับร้อยปี ข้าคงไม่ได้พบนาง!” ฉุ่ยจิ้งมองไปที่เจ้าอ้วนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังกล่าวถึงศิษย์พี่ซ่ง ข้าคิดว่าศิษย์พี่ซ่งได้พบเจอการเดินทางที่คุ้มค่าและจะชดเชยส่วนที่หายไปทั้งสองของข้า ใช่หรือไม่?”


แล้วเจ้าอ้วนจะกล่าวอะไรได้? เขาได้แต่หัวเราะอย่างขื่นขมพร้อมกล่าวว่า “แน่นอน ข้าจะมอบให้เจ้าสองผล!” ในขณะที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น เขาหยิบกล่องหยกสีทองออกมาสามกล่อง ส่งให้กับฉุ่ยจิ้งสอง และหนึ่งสำหรับหงหยิงพร้อมกล่าวว่า “นี่คือผลที่สามสำหรับศิษย์น้อง!”


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความใจกว้างของเจ้าอ้วน จ้าวสำนักและภรรยาตกใจอย่างไม่อาจช่วยได้พร้อมกล่าวออกไปอย่างสับสน “อ้วนน้อย เจ้าได้รับมันมาเท่าไหร่? เหตุใดเจ้าจึงยอมปล่อยมือได้ง่ายดายเพียงนี้?”


“ฮี่ฮี่ ข้าไม่ได้มีมากมายนัก แต่มันเพียงพอสำหรับให้ข้ากินได้จนอิ่ม!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมหัวเราะอย่างยียวน หลังจากนั้นเขาก็ไม่คิดจะกล่าวสิ่งใดต่อ


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าคงไม่ดีถ้าหากจ้าวสำนักและภรรยาจะกล่าวสิ่งใดต่อ เจ้าอ้วนได้มอบสมบัตินี้ให้กับบุตรีของเขาแล้ว และมันคงไม่ดีนักถ้าหากพวกเขาจะร้องขอสิ่งใดเพิ่มจากเขาอีก ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างขื่นขม


“โอ้ ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการจะกล่าว พวกข้าก็จะไม่เซ้าซี้อีกต่อไป!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องอื่นได้”


“เรื่องอะไรขอรับ?” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างกังวล เขารู้สึกผิดอย่างหนักเพราะว่าภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความลับ!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม