Chaotic Lightning Cultivation 121-139
บทที่ 121: มีหนึ่งคนที่ต้องตาย!
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าอ้วนตกใจสุดขีด เขาไม่รอคำตอบของหงหยิงพร้อมกับตะโกนออกไปทันที “ศิษย์น้อง เราทั้งคู่ไม่สามารถขังเขาไว้ได้อีกแล้ว! รีบออกไปจากที่นี่ซะ! ไม่อย่างนั้นเราจะตายทั้งคู่!”
เมื่อหงหยิงได้เยินเช่นนั้น ร่างกายของนางสั่นไหวพร้อมกับตะโกนกลับมาว่า “ข้ากลับมาเพื่อที่จะตายกับเจ้า!”
‘ข้ากลับมาเพื่อที่จะตายกับเจ้า!’ แม้ว่าคำพูดนี้จะดูเรียบง่ายปราศจากการปรุงแต่งใด แต่มันแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งภายในหัวใจของหงหยิงอย่างแท้จริง! เสียงของนางไม่ได้ดังมากนัก แต่ราวกับว่ามีฟ้าผ่าลงกลางลำตัวเจ้าอ้วนทำให้รู้สึกถึงก้นบึ้งในหัวใจทันที
เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าหญิงสาวผู้สูงส่งและไม่อาจเข้าถึงได้ นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของจ้าวสำนัก เปรียบดั่งเทพธิดาแห่งท้องฟ้า ดูเหมือนว่าหงหยิงมาเพื่อกล่าวอะไรบางอย่างในสถานการณ์ใกล้ความตายเช่นนี้ แต่ในขณะนั้นระยะห่างภายในจิตใจของเจ้าอ้วนและหงหยิงต่างไม่มีอะไรปิดกั้นอีกต่อไป พวกเขาทั้งสองเชื่อมหัวใจเข้าหากัน นั่งสองคนนั่งนิ่งอยู่บนระฆังทองแดงและพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาของกันและกัน ใบหน้าของพวกเขาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันอย่างช้า ๆ ในขณะนั้นไม่ว่าจะเป็นตู๋เชียนเฉิงหรือสิ่งใดที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนโลกนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดได้หายไปจากจิตใจของพวกเขาโดยสมบูรณ์ ภายในหัวใจของเขาทั้งสองคนตอนนี้ ไม่มีสิ่งใดอื่นนอกจากกันและกันเท่านั้น
ในที่สุด ใบหน้าของพวกเขาก็บรรจบกัน ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มได้พบเจอกัน สัมผัสและความรู้สึกต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาอยู่ทั่วท้องของเขาทั้งสองคน ทั้งสองคนตกใจรีบผละออกจากกันทันที
หงหยิงล้มเลิกจูบแรกของนางอย่างเขินอาย แต่นางไม่ได้ตั้งใจที่จะถอยห่างออกไปเช่นนี้ นางจึงหลับตาลงและเม้มริมฝีปากเพื่อรอคอยเจ้าอ้วน
เจ้าอ้วนที่อยู่ด้านหน้าของนางในตอนนี้ กำลังเต็มไปด้วยความสุข แต่ในขณะเดียวกัน จิตใจของเขาก็ได้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ‘ข้าจะต้องปกป้องนาง! ข้าไม่อนุญาตให้นางต้องตายตกไปด้วยมือของตู๋เชียนเฉิงเด็ดขาด!’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจ้าอ้วนยิ้มกว้างพร้อมกล่าวกับหงหยิงอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้อง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย ถ้าหากจะมีผู้ใดต้องตายตกไป คนผู้นั้นต้องเป็นมัน!”
เมื่อหงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางตกใจที่เจ้าอ้วนทำกับนางเช่นนี้ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าอ้วนจึงกล่าวออกมาในขณะที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขายังมีความกล้าหาญที่หยุดการกระทำนี้!
เมื่อคิดเช่นนั้น หงหยิงลืมตาขึ้นมา สิ่งเดียวที่นางเห็นตอนนี้คือเจ้าอ้วนใช้มือขวาจับระฆังไว้ และอีกมือยกขึ้นไปบนฟ้า ปรากฏยันต์ขึ้นบนอากาศภายใต้การควบคุมของเขา
ในที่สุด เจ้าอ้วนคำรามออกมาดังสนั่น “ตู๋เชียนเฉิง จงตายซะ!” ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาทุ่มพลังทั้งหมดที่เขามีฟาดลงไปบนระฆังยักษ์อย่างรุนแรง
ในเวลาต่อมา ระฆังทองแดงเปล่งเสียงกังวานกึกก้อง เสียงของมันแผ่กระจายไปไกลนับร้อยลี้ ด้วยความรู้สึกทางวิญญาณของเขา เจ้าอ้วนสามารถตรวจสอบทุกสิ่งภายในระฆังได้อย่างง่ายดาย ภายใต้การทำงานของยันต์วิญญาณ คลื่นเสียงมากมายถูกขับออกมาจากระฆังและหวนคืนกลับเข้าไปภายในอย่างมหาศาล พวกมันทับซ้อนกันอย่างบ้าคลั่ง สร้างแรงกดดันมากมายขึ้นภายในพื้นที่เล็ก ๆ
ตู๋เซียนเฉิงผู้ที่อยู่ภายในระฆังไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากถูกพลังคลื่นเสียงนี้รบกวนโดยสมบูรณ์และกระดูกของเขาแหลกสลายราวกับข้าวที่โดนบดขยี้ รวมถึงดวงตาที่โหดเหี้ยมของเขา ภาพสุดท้ายคือการระเบิดเป็นผุยผงน่าสยดสยอง ตู๋เชียนเฉิงอาชญากรแห่งโลกของผู้ฝึกตนมายาวนานนับร้อยปี ในตอนนี้ได้ตายตกไปอย่างน่าสังเวช
อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนที่ใช้ยันต์จิตวิญญาณเพื่อสังหารตู๋เชียนเฉิงก็ไม่ได้กระทำโดยง่าย เพื่อที่จะสังหารเขาในครั้งเดียว ปราณจิตวิญญาณของเขาทั้งหมดถูกใช้ออกไปภายในครั้งเดียว จึงทำให้เขาเหนื่อยล้าอย่างหนัก รวมไปถึงอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของเขา แม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ในตอนนี้เขาก็ไม่อาจยืนหยัดได้ไหว
เจ้าอ้วนรู้สึกถึงคลื่นความเจ็บปวดที่ถาโถมเขามาหาเขาในขณะที่เขากำลังจะล่วงหล่นจากระฆัง ร่างกายของเขาไม่มั่นคงอีกต่อไป เขาไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้เลย
หงหยิงรีบคว้าเจ้าอ้วนไว้ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เขาล้มลง แต่ใบหน้าของเจ้าอ้วนซีดลงอย่างรวดเร็ว มุมปากของเขาเริ่มมีเลือดไหลออกมา หงหยิงแทบคลั่งทันทีเมื่อเขาที่อยู่ในอ้อมแขนของนางมีสภาพเช่นนี้และเขย่าตัวเขาอย่างรุนแรง นางตะโกนออกมา “พี่ชายอ้วน พี่ชาย! เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า!?”
“อย่าเขย่าข้า!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะเล็กน้อย “ปราณจิตวิญญาณของข้าหมดเกลี้ยงแล้ว อวัยวะภายในก็เสียหายเล็กน้อย มีการแตกหักภายในนิดหน่อย อาจจะดูน่ากลัวแต่ว่าข้าไม่เป็นอะไรมาก ข้าจะดีขึ้นถ้าหากได้รับยาอายุวัฒนะ!”
เมื่อหงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางรีบกล่าวออกมาทันที “ข้ามียาอายุวัฒนะลึกลับแห่งสวรรค์!”
เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางหยิบขวดสีแดงออกมาจากกระเป๋ามิติทันที หลังจากนั้นนางหยิบยาอายุวัฒนะรูปร่างดั่งไข่มุก มันโปร่งใสมาก มีกลิ่นหอมและสามารถแก้โรคได้ทุกชนิด
เมื่อเจ้าอ้วนเห็นเช่นนั้น เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารีบกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ใช้เพียงยาอายุวัฒนะธรรมดาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาคุณภาพสูงเช่นนี้!”
อะไรคือยาอายุวัฒนะลึกลับแห่งสวรรค์? เป็นยาอายุวัฒนะคุณภาพสูงของสำนักเสวียนเทียน วัสดุของมันต้องใช้สมุนไพรที่มีอายุกว่าร้อยปี และต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญอย่างมาก อัตราความสำเร็จของมันก็น้อยนิดยิ่งนัก แม้ว่าสำนักเสวียนเทียนจะมีความมั่งคั่งอย่างมาก ภายในไม่กี่ร้อยปีพวกเขาสามารถผลิตยานี้สำเร็จได้เพียงสิบในร้อยเท่านั้น
ยาเช่นนี้มีค่ามากเมื่อผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินใช้มันเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือแม้แต่พวกเขาก็ตาม เขายินดีที่จะใช้มันหากได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สำหรับการบาดเจ็บของเจ้าอ้วนที่เล็กน้อยเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ยินยอมที่จะใช้มันเด็ดขาด
แต่หงหยิงกังวลเกี่ยวกับเจ้าอ้วนมากเกินไป อีกทั้งนางไม่เคยสนใจยาอายุวัฒนะเลย ดังนั้นนางจึงไม่ได้ฟังคำทักท้วงของเจ้าอ้วนและยัดมันเข้าปากของเขาทันที
ยาอายุวัฒนะลึกลับแห่งสวรรค์ไม่ใช่ยาธรรมดา แน่นอนว่าผลการรักษาของมันเป็นเลิศมากสำหรับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง เขาก็ไม่สามารถทนต่อยาชนิดนี้ได้ ในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งสมาธิและเดินลมปราณใหม่อีกครั้งเพื่อปรับผลกระทบของยา
โชคดีที่ปฐมกาลแห่งความโกลาหลของเขาเป็นเรื่องมหัศจรรย์ รวมกับภายในของเขาบาดเจ็บหลายอย่าง เขาจึงสามารถกระจายการดูดซับของยาได้ จากนั้นเพียงแค่สิบนาที เขาสามารถดูดซึมยาชนิดนี้ได้ทั้งหมด ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บของเขาถูกรักษาอย่างสมบูรณ์ ระดับการฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เขาติดอาการตีบตันของระดับเซียนเทียนขั้นสิบสองและสามารถที่จะก้าวสู่ระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามได้ตลอดเวลา ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือในเดือนที่ผ่านมา เขาก้าวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นสิบสองด้วยการฝึกตนแบบคู่กับแม่นางฉุ่ยจิ้ง และในตอนนี้เขาก็ติดอาการตีบตันแล้ว ความคืบหน้าเช่นนี้ยังไม่เคยมีบันทึกมาก่อน เห็นได้ชัดเจนว่านี่เป็นผลของยาอายุวัฒนะลึกลับแห่งสวรรค์
หลังจากที่ทำสมาธิเสร็จสิ้น เจ้าอ้วนยืนขึ้นอย่างมีความสุข แต่หงหยิงหลบไปด้านหลังอย่างละอายใจ นางอยากจะมองเขาแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น เจ้าอ้วนงุนงงอย่างมาก เขาจึงมองร่างกายตนเอง แล้วเขาก็เข้าใจทันทีว่าในตอนนี้เขาเปลือยท่อนบนอยู่ และท่อนล่างของเขาก็ดูน่าเวทนานัก เจ้าอ้วนรีบหยิบเสื้อคลุมลัทธิเต๋าออกมาจากกระเป๋ามิติทันทีพร้อมกับสวมใส่อย่างรีบร้อน
หลังจากที่เขาเปลี่ยนชุดเสร็จหงหยิงเคลื่อนตัวเข้ามาหาเขาพร้อมถามว่า “พี่ชายอ้วน อาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ?”
“ข้าได้รับยาอายุวัฒนะลึกลับแห่งสวรรค์เลยนะ เหตุใดข้าจึงจะไม่ดีขึ้นล่ะ?” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“อา ดีแล้วที่เจ้าดีขึ้น!” หงหยิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ดังนั้น นางชี้ไปที่ระฆังยักษ์พร้อมถามว่า “แล้วเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เหอะเหอะ เขาไม่ค่อยจะดูดีเท่าไหร่! เขาตายแล้ว!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงเบา เขาเก็บระฆังยักษ์ทันที จากนั้นก็พบซากศพอยู่ที่ใต้ระฆัง
เมื่อหงหยิงมองเห็นซากศพที่น่าขยะแขยง นางเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ อย่างไรก็ตาม นางสนใจกระบี่เฟิ่งหมิงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เจ้าของของมันตายตกไปแล้ว สมบัติวิญญาณจะเป็นผู้ที่เลือกเจ้าของใหม่เอง บางครั้งมันจะเลือกผู้ที่สังหารเจ้าของมันก่อนหน้านี้ แต่บางครั้งมันก็บินออกไปที่อื่น
ในขณะนี้ เห็นได้ชัดเจนว่ากระบี่เฟิ่งหมิงได้ตัดสินใจแล้ว ด้วยการสั่นของมันเล็กน้อย มันกรีดร้องออกมาและพุ่งเข้าหาหงหยิงเป็นแสงสีทอง
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ใบหน้าของเจ้าอ้วนเปลี่ยนสีทันทีพร้อมกับตะโกนออกมา “ศิษย์น้อง ระวัง!” แม้ว่าเขาต้องการจะปกป้องหงหยิง แต่ความเร็วของเขาก็ไม่อาจสู้กับกระบี่เฟิ่งหมิงได้ ความเร็วของมันนั้นสมบูรณ์แบบ เขาทำได้เพียงยืนดูกระบี่เฟิ่งหมิงที่กลายเป็นแสงสีทองพุ่งหายเข้าไปในหน้าผากของหงหยิง
ขณะนั้นเจ้าอ้วนคิดว่าหงหยิงได้ตายตกไปเพราะกระบี่เฟิ่งหมิงแล้ว แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าหงหยิงไม่มีอาการบาดเจ็บใดเลย แม้ว่าหงหยิงจะตกใจเช่นกันและสิ่งที่เกิดขึ้นน่ากลัวมาก แต่นางก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใด เห็นได้ชัดว่ากระบี่เฟิ่งหมิงไม่ได้ตั้งใจจะสังหารนาง
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนตกใจอย่างมาก แต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น “ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดงั้นหรือ? อย่าบอกนะว่ากระบี่เฟิ่งหมิงต้องการเลือกเจ้าให้เป็นเจ้านายคนต่อไป?”
ตอนนี้สิ่งที่เจ้าอ้วนคิดคือความจริง หลังจากนั้นชั่วครู่ หงหยิงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสดใส พร้อมกับจับมือเจ้าอ้วนและตะโกนออกมา “พี่ชายอ้วน พี่ชายอ้วน กระบี่เฟิ่งหมิงเลือกข้าเป็นเจ้านาย! มันเลือกข้า! และยังสอนเคล็ดวิชาการใช้มันอีกด้วย!”
“ยินดีด้วย ยินดีด้วยจริง ๆ!” เขาทำได้เพียงตอบกลับไปเช่นนั้นพร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม เขาสามารถกล่าวอย่างอื่นได้อย่างนั้นหรือ?
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่นัก หงหยิงรู้สึกผิดทันทีและกล่าวออกมาอย่างลำบากใจ “พี่ชายอ้วน มันเป็นความพยายามของท่านที่จะสังหารตู๋เชียนเฉิง แต่กลับเป็นข้าได้รับสิ่งวิเศษแทน!”
“ฮ่าฮ่า เด็กน้อย เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างใจกว้างทันที “ถ้าหากเจ้าไม่กลับมาช่วยข้า ข้าคงจะตายตกไปแล้วด้วยมือของตู๋เชียนเฉิง! อีกอย่างหนึ่ง กระบี่เฟิ่งหมิงเป็นสมบัติวิญญาณ มันจะเลือกเจ้าของเอง และในตอนนี้มันเลือกเจ้า หมายความว่าเจ้าโชคดีอย่างมากที่ถูกเลือก ข้ารู้สึกยินดีกับเจ้าจริง ๆ!”
ความจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าอ้วนไม่รู้สึกอะไรเลย แน่นอนว่าเขาโกหก นี่ไม่ใช่สมบัติที่จะพบเจอได้ง่าย ๆ มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในโลกของผู้ฝึกตน! แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังไม่อาจมีครอบครองได้ แม้แต่จ้าวสำนักผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักเสวียนเทียนยังไม่มีสมบัติวิญญาณสักชิ้น! เห็นได้ชัดเจนว่าสมบัติวิญญาณนั้นมีค่ามากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม สมบัติวิญญาณนั้นไม่ได้สนใจว่าใครจะเลือกมัน มันสนใจเพียงแค่ว่ามันเลือกใครเท่านั้น โชคชะตาเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นแต่สามารถรู้สึกได้ หากสมบัติวิญญาณไม่ต้องการจะปฏิบัติตาม มันก็ไร้ประโยชน์หากต้องการจะบังคับมัน รวมกับการกระทำของหงหยิงที่ตั้งใจจะกลับมาและตายตกไปพร้อมกับเขา ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงไม่ได้ใส่ใจว่ากระบี่เฟิ่งหมิงนั้นตกเป็นของใคร เขาจึงแสดงความยินดีกับหงหยิงจากก้นบึ้งของหัวใจ
บทที่ 122: การสนับสนุนที่ล่าช้า!
หงหยิงสามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าอ้วนยินดีกับนางด้วยใจจริง มันยิ่งทำให้นางรู้สึกพอใจกับเขาอย่างสุดหัวใจ อย่างไรก็ตามนางรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้รับรางวัลใหญ่เช่นนี้โดยไม่ต้องทำสิ่งใด ตู๋เชียนเฉิงเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินและไม่เพียงแต่มีสมบัติวิญญาณอยู่ในมือเท่านั้น เป็นไปได้ที่เขาจะมีสิ่งอื่นครอบครองอยู่ แน่นอนว่าสิ่งของเหล่านั้นมีมูลค่าน้อยกว่าสมบัติวิญญาณ แต่มันก็เป็นจำนวนเงินที่มากพอที่จะเปลี่ยนฐานะจากยาจกเป็นมหาเศรษฐีได้เลย หลังจากที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนาน เหล่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจะยากจนได้อย่างไร หรือไม่ใช่?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หงหยิงอดทนกับความรู้สึกขยะแขยงและเริ่มค้นหาสิ่งของของตู๋เชียนเฉิง นางหยิบแหวนสีดำออกมาจากมือขวาของเขาได้ หลังจากเช็ดคราบเลือดบนแหวน นางยื่นมันให้กับเจ้าอ้วนอย่างกระตือรือร้นพร้อมกล่าวว่า “พี่ชายอ้วน แหวนมิติเก็บของ! มันเป็นของคุณภาพสูงที่สุดด้วย! แม้แต่บิดาของข้าก็ยังไม่ได้ครอบครองมัน มีของมากมายอยู่ในแหวนวงนี้ มันเป็นของเจ้า!”
“ฮ่าฮ่า งั้นข้าขอดูสักหน่อยว่าในแหวนนี้มีสิ่งใดบ้าง!” เจ้าอ้วนไม่ได้หยิบเอาแหวนมาในทันที เขาใช้จิตวิญญาณเพื่อตรวจสอบสิ่งของภายในแหวน
สุดท้ายแล้ว เจ้าอ้วนได้รู้ว่าภายในแหวนมีมิติขนาดกว้างสามพันฟุตและมีอุปกรณ์มากมายอยู่ภายในนี้ มีหินจิตวิญญาณระดับสูงหลายพันก้อน และหินจิตวิญญาณระดับกลางนับหมื่นก้อน และหินจิตวิญญาณระดับต่ำนับล้านก้อน สำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ เป็นวัสดุที่ใช้ในการปรับแต่งอาวุธและยาอายุวัฒนะ
หลังจากที่เขาตรวจสอบอุปกรณ์ภายในแหวนทั้งหมดแล้ว เจ้าอ้วนได้แต่บ่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “แปลกมาก มีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ข้างในนั้น แต่ไม่มีสมบัติวิเศษสักชิ้นเดียว อย่าบอกนะว่าตู๋เชียนเฉิงไม่ได้สังหารเหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันหลายพันคนเพื่อแย่งชิงสมบัติวิเศษ? มันหายไปไหนกันนะ?”
“บางทีเขาอาจจะใช้มันไปแล้ว?” หงหยิงดวงตาเบิกกว้างขึ้นพร้อมกล่าวว่า “ในครั้งสุดท้ายตู๋เชียนเฉิงถูกซุ่มโจมตีโดยบิดาและมารดาของข้า เขาทำลายสมบัติวิเศษมากกว่าสองร้อยชิ้นเพื่อหลบหนี ในคราวที่เราเจอเขา ตอนนั้นเขาก็บาดเจ็บหนักแล้ว เขาคงถูกโจมตีครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ข้าเดาว่าเขาคงระเบิดสมบัติวิเศษพวกนั้นทั้งหมดแล้วหลบหนีอย่างแน่นอน!”
“จริงด้วย!” เจ้าอ้วนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นเขาเริ่มเอาของออกจากแหวนและเอาไปเก็บไว้ในมิติลึกลับของตนเอง
เมื่อหงหยิงเห็นเช่นนั้น นางถามออกมาอย่างงุนงง “พี่ชายอ้วน เจ้ากำลังทำอะไร?”
“ความมั่งคั่งไม่ควรประกาศให้ใครล่วงรู้ มีหินจิตวิญญาณนับล้านก้อนที่นี่ เราไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับเช่นนี้ได้ ข้าต้องใช้เวลาสักหน่อยเพื่อย้ายมัน และจะเหลือทิ้งไว้เพียงบางอย่างเท่านั้น ถ้าหากมีผู้อื่นพบเห็นหลังจากที่เหลือสิ่งของพวกนี้ไว้ เขาเหล่านั้นจะได้ไม่รู้สึกอิจฉามากเกินไป!” เจ้าอ้วนอธิบายในขณะที่กำลังเคลื่อนย้ายทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว
หลังจากที่หงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางกล่าวออกมาอย่างสับสนอีกครั้ง “พี่ชายอ้วน แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าหากพวกเขารู้? อย่าบอกนะว่าพวกเขาจะปล้นเจ้า?”
“อา ข้าจะพูดอย่างไรดี?” เจ้าอ้วนจ้องมองใบหน้าของบุคคลที่ไม่เคยสัมผัสต่อความโหดร้ายของโลกใบนี้อย่างหนักใจ จากนั้นเขาถอนหายใจพร้อมกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “บางทีพวกเขาอาจจะไม่ทำ แต่พวกเขาอาจจะถูกความมั่งคั่งเช่นนี้ล่อลวงจนหน้ามืดตามัว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่ข้าทำคือการป้องกันปัญหาที่จะตามมาในอนาคต เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“เรื่องนั้น…. ข้าเข้าใจ!” หงหยิงไม่โง่เขลาและนางเข้าใจทันทีหลังจากเจ้าอ้วนอธิบาย
“ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจมัน!” เจ้าอ้วนพยักหน้าพร้อมกับเผยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขารีบเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ทั้งหลายอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาชั่วครู่เขาสามารถเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากพอ วัสดุหลากหลายที่หายากทั้งหมดและสมุนไพรมากมายถูกนำออกไปทั้งหมดไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่ชิ้นเดียว เขาเหลือไว้เพียงอุปกรณ์ที่ไม่สำคัญอะไรเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนกำลังง่วนอยู่กับการเก็บของอยู่ข้างกาย หงหยิงรู้สึกกระวนกระวายในหัวใจ ในแหวนนั้นมีสิ่งของมากมายที่กระเป๋ามิติเก็บของธรรมดาไม่อาจเทียบได้เลย และกระเป๋ามิติของเจ้าอ้วนเล็กมากซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่อาจใส่ของเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน หากใครพบเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องสงสัย แต่หงหยิงเข้าใจเขา แม้ว่าอายุนางจะน้อยกว่าและเห็นว่าเจ้าอ้วนไม่ได้อธิบายสิ่งใด นางรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นความลับของเขา ดังนั้น นางจึงไม่ถามสิ่งใดออกมาอีกแต่หันไปเล่นกับกระบี่เฟิ่งหมิงอย่างตื่นเต้นยินดีแทน
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เขากำลังจะกล่าวอะไรออกมาสักอย่าง แต่ว่าในขณะนี้เขาได้ยินเสียงราวกับท้องฟ้ากำลังสะเทือนอย่างรุนแรง ภูเขากำลังสั่นไหวและหินพร้อมที่จะถล่มลงมาทุกเมื่อ
“ตู๋เชียนเฉิง เจ้ากล้าแตะต้องบุตรสาวของข้างั้นหรือ?! วันนี้ข้าจะถลกหนังของเจ้า!” เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น คนทั้งสามทำลายน้ำตกเข้ามาพร้อมกับหอบลมพายุขนาดใหญ่มาด้วย พวกเขาทั้งสามปรากฏตัวตรงหน้าเจ้าอ้วนและหงหยิงทันที
เห็นได้ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้รีบมาที่นี่อย่างเต็มกำลัง พวกเขาหยุดฝีเท้าลงทันทีที่เข้ามา ลมแรงที่พวกเขาพามานั้นเทียบได้กับพายุใต้ฝุ่นระดับสิบสอง แม้กระทั่งผู้ที่โครงสร้างแข็งแกร่งเช่นเจ้าอ้วนยังถูกเป่ากระเด็นทันที เขาติดอยู่กับผนังถ้ำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แม้ว่าสภาพของเจ้าอ้วนจะน่าสงสารอย่างมาก แต่หงหยิงกลับมีสภาพที่สมบูรณ์เช่นเดิม เพราะเมื่อเกิดพายุขึ้น กระบี่เฟิ่งหมิงได้ปกป้องเจ้าของของมันไว้ด้วยแสงสีทอง ซึ่งแรงลมไม่อาจสู้ได้แม้แต่น้อย
ในตอนแรกหงหยิงคิดว่าเป็นการโจมตีของศัตรูและรีบทำการป้องกันทันที แต่หลังจากมองดูอย่างรอบคอบแล้วนางพบว่าพวกเขาทั้งสามคนคือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินของสำนักเสวียนเทียน คือจ้าวสำนักและภรรยา พร้อมกับนักบวชฮัวอวิ๋น สำหรับคนที่สี่เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิที่รับผิดชอบในภารกิจล่าอสูรกายครั้งนี้ การปรากฏตัวของเขาในครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง ลำคอของเขาอยู่ในมือของจ้าวสำนัก ทั่วทั้งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด
หลังจากที่ทุกคนในภารกิจล่าอสูรกายหลบหนีไป ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิรีบใช้ยันต์แจ้งข่าวไปยังภรรยาของจ้าวสำนักทันที ว่าบุตรีของนางอยู่ในกลุ่มได้พบเจอกับอุบัติเหตุระหว่างทาง ในขณะที่ภรรยาของจ้าวสำนักกำลังกังวลเรื่องความปลอดภัยของหงหยิง นางจึงบอกกล่าวเรื่องนี้แก่จ้าวสำนัก
หลังจากที่ทำลายยันต์นี้ มันถูกสร้างเป็นกระจกขนาดใหญ่ซึ่งสามารถมองเห็นสถานการณ์ได้ นี่คือยันต์สื่อสารทางไกลระดับสูง แม้ว่าจะห่างออกไปหลายพันลี้ก็ตาม ก็ยังสามารถช่วยให้สื่อสารกันแบบเห็นหน้าได้
ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะชื่นชมยันต์สื่อสารและรีบอธิบายทุกสิ่งกับภรรยาจ้าวสำนักทันที หลังจากที่ภรรยาจ้าวสำนักได้ยินชื่อตู๋เชียนเฉิง ใบหน้าของนางตกตะลึงพร้อมกับเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นางทราบว่าหงหยิงไม่ได้หนีออกมาและยังคงติดอยู่ในถ้ำ นางแทบจะเป็นลมในทันที
หลังจากเกิดความวุ่นวายอยู่ในสำนักเสวียนเทียนเสร็จแล้ว หลังจากนั้นจ้าวสำนักกับภรรยาของเขาพร้อมด้วยนักบวชฮัวอวิ๋น รีบพุ่งมาที่นี่ทันที พวกเขาส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปยังเทพธิดาเหมยฮวาแต่ไร้ประโยชน์ นางอยู่ระหว่างการเก็บตัวฝึกฝน แม้ว่าการสนับสนุนจะน้อยลง แต่พวกเขาก็ยังไม่รีรอเพียงเพราะบุตรสาวคนเดียวของพวกเขาอยู่ที่นั่น
ด้วยความเร็วที่น่ากลัวของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน พวกเขาใช้เวลาเพียงยี่สิบถึงสามสิบนาทีเท่านั้นเพื่อมายังที่แห่งนี้ แต่ทั้งสามคนไม่รู้ตำแหน่งของถ้ำ พวกเขาจึงค้นหาผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ จ้าวสำนักที่กังวลใจเกี่ยวกับบุตรสาวอย่างมาก เขาคว้าเอาคอของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิราวกับว่าหยิบจับสุนัขที่ตายแล้วพร้อมกับสั่งให้เขานำทาง
“ท่านแม่!” เมื่อมองเห็นมารดา น้ำตาของหงหยิงที่กลั้นไว้ไหลออกมา นางเก็บกระบี่เฟิ่งหมิงทันทีพร้อมกับวิ่งไปกอดมารดาอย่างโหยหา
จ้าวสำนักและภรรยานั้นกังวลเรื่องบุตรสาวอย่างมาก และยิ่งเห็นว่านางร้องไห้ พวกเขาทั้งสองลืมสิ่งที่ต้องทำไปเสียสนิท จ้าวสำนักโยนผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิราวกับขยะเปียกชิ้นหนึ่งพร้อมกับไถ่ถามกับบุตรสาวของตนอย่างรีบร้อน “หงหยิง ตู๋เชียนเฉิงกับอ้วนน้อยอยู่ที่ใด?”
“พวกเขาควรจะอยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือ?” หงหยิงชี้นิ้วกลับเข้าไปด้านในถ้ำขณะที่ตอบ
เมื่อมองไปยังที่ที่หงหยิงชี้ ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสามคนตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด! พวกเขาเห็นอาชญากรของโลกแห่งผู้ฝึกตนนามว่าตู๋เชียนเฉิงถูกสังหารเสียแล้ว! เขานอนอยู่ตรงนั้นราวกับเศษเนื้อและกำลังจะจมลงไปในดิน!
สำหรับเจ้าอ้วน เขาค่อย ๆ คลานออกมาจากโคลนอย่างยากลำบาก การปรากฏตัวของเขาเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจเนื่องจากเขายังมีชีวิตอยู่และสภาพร่างกายของเขาสมบูรณ์ทุกอย่าง!
เมื่อเห็นดังนั้น ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสามได้แต่จ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตา ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินพร้อมด้วยสมบัติวิญญาณต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนมือใหม่ภายในถ้ำ ในตอนสุดท้ายของการต่อสู้ บุคคลที่ตายตกไปกลับเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน ทุกคนจะเชื่อเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร?
จ้าวสำนักถามออกไปด้วยตกใจ “อ้วนน้อย บอกข้าว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่นี่?”
เจ้าอ้วนลูบศีรษะของตนพร้อมกล่าวอย่างขมขื่น “ท่านจ้าวสำนัก ศิษย์ของท่านและศิษย์น้องหงหยิงพยายามที่จะสังหารตู๋เชียนเฉิง หลังจากที่การพยายามอย่างหนักผ่านพ้นไปแล้ว ในตอนนี้ข้ากำลังจะถูกฆ่าโดยท่านอีกครั้ง!”
จ้าวสำนักและผู้คนทั้งหมดได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ เพราะความจริงในตอนที่พวกเขาเข้ามาที่ถ้ำแห่งนี้ได้ใช้วิธีที่รุนแรงอย่างมาก มันทำให้เจ้าอ้วนต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช ขอบคุณสวรรค์ที่เจ้าอ้วนมีกระดูกที่แข็งแรง ถ้าหากเป็นผู้ฝึกตนอื่น กระดูกของพวกเขาอาจจะแตกหักไปแล้ว
“เหอะ ๆ นั่นเป็นเพราะข้าเป็นห่วงมากยังไงล่ะ!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างอับอาย
นักบวชฮัวอวิ๋นไม่ห่วงเรื่องนั้นแต่เขารีบสอบสวนเจ้าอ้วนอย่างรวดเร็ว “อ้วนน้อย เจ้าบอกว่าเจ้าสังหารตู๋เชียนเฉิงงั้นหรือ? เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้า? แค่เจ้าอย่างนั้นหรือ? สามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้?”
“รายงานท่านอาวุโส ถ้าหากตู๋เชียนเฉิงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แม้ว่าจะมีข้าสักหนึ่งพันคนก็มิอาจทำเช่นนี้ได้ แต่ในตอนที่ข้าเจอกับเขา เขาบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นศิษย์ของท่านจึงขังเขาไว้ในระฆัง และเขาตายตกไปเพราะดิ้นรนที่จะออกจากระฆังใบนี้เพราะทนอาการบาดเจ็บไม่ไหว!”
“อย่างนั้นหรือ?” ภรรยาจ้าวสำนักไถ่ถามหงหยิงด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
“ใช่แล้วท่านแม่!” หงหยิงรีบหยักหน้าพร้อมกล่าว “เป็นเช่นนั้น!” นางไม่แน่ใจว่าเหตุใดเจ้าอ้วนจึงโกหก แต่นางก็เลือกที่จะสนับสนุนบุรุษที่ขโมยจูบแรกของนางไป!
บทที่ 123: โกง!
เห็นได้ชัดว่านักบวชฮัวอวิ๋นนั้นมีอคติกับเจ้าอ้วนและไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพ่นออกมา ดังนั้นเขาจึงไปตรวจสอบศพของตู๋เชียนเฉิงพร้อมกับขมวดคิ้วแน่นและพูดออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ตู๋เชียนเฉิงกระดูกหักสามท่อน ภายในของเขาถูกเจาะและตันเถียนของเขายังถูกทำลาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไร เขาก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้เท่าไหร่นักจากอาการบาดเจ็บเช่นนี้ ในขณะที่เขาต่อสู้ เขาคงควบคุมปริมาณของปราณจิตวิญญาณไม่ได้ จึงทำให้เส้นเอ็นและกระดูกของเขาทั้งหมดถูกบดขยี้ไป!”
นักบวชฮัวอวิ๋นเข้าใจผิดไปอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการใช้วิชาเสียงอมตะทำลายกระดูก อย่างแรกนั้นไม่สามารถตำหนิเขาได้เพราะอาการบาดเจ็บของตู๋เชียนเฉิงใกล้เคียงกันมาก รวมกับไม่มีเครื่องดนตรีอยู่รอบ ๆ เขาเลยไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดจากคลื่นพลังเสียง จึงส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ แต่นั่นทำให้เจ้าอ้วนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ฮ่า!” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดทันที พร้อมกับชี้หน้าของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิที่นอนกองอยู่บนพื้นอย่างเกรี้ยวกราด “บุคคลที่ใกล้จะตายตกผู้นี้น่ะหรือที่ทำให้เจ้าหวาดกลัวจนกางเกงเปียกแฉะและทำการหลบหนีไปพร้อมกับหางของเจ้า! อีกทั้งยังละทิ้งบุตรสาวของข้าและอ้วนน้อยไว้ที่แห่งนี้! เจ้า… เจ้าเป็นคนเช่นใดกัน ถึงได้หาญกล้าเพียงนี้!”
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของหงหยิง จ้าวสำนักจึงโกรธจัดอย่างถึงที่สุด
ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิแทบจะตายตกไปด้วยความหวาดกลัว เขารีบอ้อนวอนทันที “ท่านจ้าวสำนักได้โปรดใจเย็นลงก่อน เราไม่ทราบมาก่อนว่าตู๋เชียนเฉิงจะใกล้ตายแล้ว ท่านไม่เห็นว่าในขณะนั้นเขาน่ากลัวมากเพียงใด! ด้วยพลังของกระบี่เฟิ่งหมิงเพียงครั้งเดียว สมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้นที่พวกเรามีถูกทำลาย! ถ้าหากไม่ใช่ศิษย์น้องซ่งจงใช้ระฆังลมทองแดงเพื่อปกป้องพวกเราทั้งหมดไว้ในตอนสุดท้าย พวกเราทั้งหมดคงถูกสังหารไปแล้วจนหมดสิ้น!”
“อะไรนะ?” ก่อนที่จ้าวสำนักจะเอ่ยปากออกมา นักบวชฮัวอวิ๋นรีบกล่าวแทรกขึ้นมาทันที “เจ้าบอกว่าอ้วนน้อยผู้นี้มีระฆังลมทองแดงงั้นหรือ? และมันสามารถป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้?”
“ใช่ ใช่แล้วขอรับ!” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิพยักหน้าพร้อมกล่าวเสริม “ระฆังไม่ได้ดูดีมากนัก แต่ว่าประสิทธิภาพของมันล้นเหลือ! แม้แต่กระบี่เฟิ่งหมิงยังไม่มีผลกับมัน!”
“โห?” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วพร้อมกับมองไปที่เจ้าอ้วนอย่างโกรธจัด พร้อมกับถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “เจ้าเก่งมากอ้วนน้อย เจ้าขายเหล็กดำที่ไร้ประโยชน์ให้กับข้าและยังมีระฆังลมทองแดงอยู่กับเจ้า! เจ้ามีระฆังอยู่กี่ใบกันแน่!?”
“เรื่องนั้น….” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม “เรียนท่านลุงอาวุโส ข้ามีระฆังเพียงสองใบเท่านั้น พวกมันเป็นเพียงขยะไม่ได้มีความคุ้มค่าอันใด!”
“เจ้าสามารถนำขยะไร้ค่ามาแลกเปลี่ยนกับดาบวิญญาณห้าธาตุกับข้าได้ เจ้าช่างประเสริฐยิ่งนัก!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างโกรธเกรี้ยว
เจ้าอ้วนหมดคำพูดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ขอบคุณสวรรค์ จ้าวสำนักหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ เรื่องราวของระฆังใบนั้นได้สิ้นสุดลงไปแล้ว เลิกกล่าวถึงอดีตเถอะ ตกลงหรือไม่?”
“ย่อมได้ ข้าจะไม่เอาเรื่องเอาราวกับเหล็กดำบ้าบอนั่นอีก แต่ในตอนนี้เขามีระฆังลมทองแดงอีกใบหนึ่ง ข้าต้องการที่จะรับชมมัน!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ข้าสงสัยว่าอ้วนน้อยผู้นี้จะกล้าฉีกหน้าข้าเพื่อปฏิเสธคำขอนี้หรือไม่?” เจ้าอ้วนจะกล้าไปยั่วยุผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้อย่างไรกัน? แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากนำระฆังออกมาและวางบนพื้น
นักบวชฮัวอวิ๋นใช้จิตวิญญาณของเขาตรวจสอบทั่วทั้งระฆัง แม้ว่าระฆังลมทองแดงนี้จะดูคล้ายกับระฆังทั่วไป แต่เขาคิดว่ามันมีสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่เนื่องจากเป็นวัสดุระดับสูงมันจึงมีความสามารถในการปกปิดตนเอง เช่นนี้นักบวชฮัวอวิ๋นจึงไม่สามารถตรวจสอบสิ่งใดได้จากจิตวิญญาณของเขา
นักบวชฮัวอวิ๋นคิ้วขมวดทันทีเมื่อพบว่าเขาล้มเหลวอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนยังไม่ทราบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและอยู่ในอารมณ์ที่หดหู่โดยสมบูรณ์แบบ เพราะกลัวว่าสมบัติของเขาจะถูกค้นพบ
แต่ในขณะนั้น ภรรยาจ้าวสำนักซึ่งได้ตรวจสอบเสร็จแล้ว กล่าวออกมาว่า “มันแปลกมาก เหตุระฆังธรรมดานี้จึงป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้?”
“บางทีปราณจิตวิญญาณของตู๋เชียนเฉิงอาจจะหมดลงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นจึงส่งผลให้กระบี่เฟิ่งหมิงไร้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากสูญเสียพลังไปแล้วหลังจากทำลายสมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้น เช่นนี้เป็นไปได้หรือไม่?” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวขึ้นมา
“ต้องไม่ใช่!” ฮัวอวิ๋นก้มต่ำลงพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “มีคราบเลือดอยู่บนพื้นและรอยเท้าจมลงไปบนพื้นดิน ดูเหมือนว่ามีบางคนกำลังป้องกันบางอย่างที่รุนแรงอย่างมาก!” ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขามองไปที่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอย่างสงสัย
ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ซ่งจงพยายามแบกรับระฆังลมทองแดงที่ถูกสะท้อนกลับมาโดยกระบี่เฟิ่งหมิงขอรับ จึงมีคราบเลือดเกิดขึ้น!”
“โอ้ อย่างงั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นเริ่มเข้าใจและถามต่อ “จากหลักฐานบนพื้น ระฆังน่าจะโดนความรุนแรงเป็นอย่างมาก และยิ่งถูกส่งมาโดยกระบี่เฟิ่งหมิง แต่ปัญหาคือกระบี่เฟิ่งหมิงมีความคมมากและไม่ควรมีปัญหาเพียงแค่พบเจอกับระฆังลมทองแดง ด้วยหลักฐานบนพื้นนี้ แรงของการเชือดเฉือนน่าจะเพียงพอให้จะตัดผ่านระฆังลมทองแดงอย่างง่ายดายและสังหารทุกคน! แต่ในตอนจบกระบี่เฟิ่งหมิงไม่อาจทำอะไรได้เลย เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?”
“หมายความว่าระฆังลมทองแดงแข็งแกร่งกว่าที่เราคิด ดังนั้นมันจึงหยุดการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้ เพียงแค่การโจมตีที่ส่งระฆังกลับมานั้นแท้จริงแล้วได้ทำร้ายให้อ้วนน้อยบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างรู้แจ้ง ดังนั้น เขาจึงถามออกมาอย่างสับสน “แต่ระฆังลมทองแดงที่อยู่ตรงหน้าของเรานี้กลับไม่มีสิ่งใดที่พิเศษเลยไม่ใช่หรือ? มันหนาเพียงสี่ถึงห้าฟุต อีกทั้งไม่มั่นคงเอาเสียเลย!”
“เหอะ ๆ เว้นแต่จะมีความลับที่อยู่ภายในทำให้พวกเราหาไม่พบ!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาพร้อมกับยิ้มให้เจ้าอ้วน เขาหัวเราะและกล่าวต่อว่า “เด็กน้อย ความลับของเจ้าช่างมากมายนัก!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจอย่างรุนแรงแต่เขาก็กลับสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างใจเย็น “ท่านลุงอาวุโสคิดเกี่ยวกับข้ามากเกินไป ความลับแบบไหนกันที่ข้าจะกระทำได้? มันก็เป็นเพียงแค่ระฆังลมทองแดงเท่านั้น เช่นเดียวกับระฆังใบก่อนหน้านี้!”
“งั้นหรือ?” ดวงตาของนักบวชฮัวอวิ๋นจ้องมาที่เจ้าอ้วนพร้อมเจตนาฆ่าฟัน เพราะเจ้าอ้วนได้กระตุ้นเรื่องราวที่เขาถูกหลอกก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นเรื่องจริงขอรับ! ศิษย์กล่าวความจริงทุกอย่าง!” เจ้าอ้วนกล่าวเสริมพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส “ถ้าหากท่านไม่เชื่อข้า เหตุใดท่านจึงไม่แลกเปลี่ยนกับข้าอีกครั้งล่ะ?”
“ไสหัวไป!” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนออกมาอย่างเดือดจัด เขาคำรามออกมา “มีแต่พวกงี่เง่าเท่านั้นที่จะซื้อมันอีกครั้ง! เลิกคิดที่จะหลอกข้าได้แล้ว!”
ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องอับอายอีกเป็นครั้งที่สอง นักบวชฮัวอวิ๋นที่ถูกหลอกมาก่อนหน้านี้ ในตอนนี้เขาจึงรอบคอบอย่างมาก แม้ว่าระฆังจะแสดงความพิเศษของมันออกมา แต่ข้อกังขาของมันยังมีมากมายนัก นักบวชฮัวอวิ๋นยังคงจำภาพประทับใจของเขาและเจ้าอ้วนในก่อนหน้านี้ได้อย่างดีและคิดเพียงว่าเขาจะไม่บุ่มบ่ามเช่นนั้นอีกแน่ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงโกรธจัดอย่างไม่อาจควบคุม
แต่สิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นพลาดไปคือหลังจากที่เขาคำรามเช่นนั้นออกมา เจ้าอ้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกภายในจิตใจของเขา เพราะถ้าหากนักบวชฮัวอวิ๋นต้องการจะแลกเปลี่ยนอีกครั้ง เขาคงต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปอย่างแน่นอน ซึ่งอาจทำให้หัวใจของเขาล่มสลายไปเลยก็ได้ อย่างน้อยนักบวชฮัวอวิ๋นยังคงมีอคติและปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ไปเสียแล้ว
เมื่อได้ยินคำหยาบคายที่นักบวชฮัวอวิ๋นพ่นออกมา ภรรยาจ้าวสำนักไม่อาจช่วยได้นอกจากปรามออกมา “ศิษย์พี่ ดูสิ่งที่ท่านพ่นออกมาสิ!”
“เหอะ!” นักบวชฮัวอวิ๋นรู้ดีว่านี่เป็นความผิดของเขาเองเนื่องจากความโลภ เขาหยุดพูดทุกอย่าง เพียงแต่ตรวจสอบรอบ ๆ ถ้ำราวกับค้นหาบางสิ่งบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จ้าวสำนักและภรรยาของเขารู้ทันทีว่าเขากำลังทำสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมองหากระบี่เฟิ่งหมิงแต่เขาไม่มีใบหน้าที่จะถามเจ้าอ้วนต่อไปเนื่องจากเพิ่งดุด่าไปเมื่อครู่ ดังนั้นเขาจึงทำการค้นหามันด้วยตนเอง
จ้าวสำนักและภรรยาจ้าวสำนักต่างก็สนใจในกระบี่เฟิ่งหมิงเช่นกัน ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้เขามัวแต่ปลอบใจบุตรสาวจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของเขาไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเขาทั้งหมดผ่อนคลายลงพร้อมกับเริ่มค้นหาสมบัติ
ภรรยาจ้าวสำนักลูบหลังของหงหยิงพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “หยิงเอ๋อ เจ้าเห็นกระบี่เฟิ่งหมิงของตู๋เชียนเฉิงหรือไม่?”
“เอ่อ… ท่านแม่… ดูนี่สิ!” หงหยิงกล่าวอย่างร่าเริงพร้อมกับเอากระบี่เฟิ่งหมิงออกมา แท้จริงแล้วเมื่อผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเข้ามาในถ้ำก่อนหน้านี้ กระบี่เฟิ่งหมิงคือสิ่งที่ปกป้องหงหยิงจากพายุโหมกระหน่ำ ด้วยรูปร่างที่เพรียวบางของนางและทุกคนต้องเฝ้าระวังการโจมตีของตู๋เชียนเฉิง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสังเกตุเห็นหงหยิงเลยในครั้งแรก
ในตอนนี้กระบี่เฟิ่งหมิงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ฝึกตนทั้งสามนั้นเคยเผชิญหน้ากับมันมาก่อน พวกเขาจำมันได้ทันทีที่เห็น “สวรรค์ กระบี่เฟิ่งหมิง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวอย่างร่าเริง “มันเลือกเจ้าเป็นเจ้านายคนต่อไปงั้นหรือ?”
“อือ!” หงหยิงกล่าวอย่างตื่นเต้น “หลังจากที่ตู๋เชียนเฉิงตายตกไป มันผูกตนเองไว้กับจิตวิญญาณของข้า ตอนนั้นข้ากลัวมากเลย!”
“นั่นคือขั้นตอนการเลือกเจ้านาย อีกทั้งมันจะสอนเจ้าถึงวิธีควบคุมมันด้วย ถูกไหม?” จ้าวสำนักเข้ามาร่วมพูดคุยอย่างสนุกสนาน
“ใช่แล้ว!” หงหยิงกล่าวอย่างตื่นเต้น “กระบี่เฟิ่งหมิงสอนข้าถึงเคล็ดวิชาการใช้มันด้วย!”
“น่ายินดี!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวพร้อมยิ้มอย่างยินดี
ทั้งสามคนพูดคุยกันภายในครอบครัวอย่างสนุกสนาน แต่ฮัวอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังหดหู่อย่างถึงขีดสุด ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการเดินทางล่าอสูรกายในครั้งนี้เหล่านักเดินทางนั้นส่วนใหญ่เป็นศิษย์ของเขา สมบัติวิเศษทั้งสี่ถูกทำลายลงไป มีสามชิ้นที่เป็นสมบัติของศิษย์ของเขา ในตอนสุดท้ายหลังจากที่เรื่องราวทั้งหมดจบลง อีกฝ่ายกลับได้รับสมบัติทั้งหมดของตู๋เชียนเฉิงและกระบี่เฟิ่งหมิง แต่กลุ่มศิษย์ของเขากลับไม่ได้รับสิ่งใดเลย อีกทั้งยังสูญเสียสมบัติวิเศษถึงสามชิ้น! แล้วเช่นนี้จะไม่ให้เขาหดหู่ใจได้อย่างไรกัน?
เมื่อคิดเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นล้มเลิกความคิดที่จะครอบครองมันอีกต่อไป เขาไอออกมาเบา ๆ พร้อมหันไปคุยกับเจ้าอ้วน “อ้วนน้อย นอกเหนือจากกระบี่เฟิ่งหมิงแล้ว ตู๋เชียนเฉิงควรจะทิ้งสิ่งอื่นไว้เบื้องหลังบ้าง ถูกไหม? ตัวอย่างเช่น แหวนมิติเก็บของ!” ขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขามองไปยังมือข้างเดียวที่เหลืออยู่บนตู๋เชียนเฉิง บนนิ้วของเขามีรอยเด่นขึ้นมาเนื่องจากการสวมแหวนเป็นเวลานาน จากหลักฐานในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าแหวนนั้นถูกถอดออกไปแล้ว
เจ้าอ้วนสาปแช่งสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตนนี้ในใจอย่างเคียดแค้น ไม่ผิดที่เขาจะคิดเช่นนั้น แต่ในตอนแรกเจ้าอ้วนคิดว่าเขาได้ทำลายหลักฐานตรงนี้ไปเสียแล้ว แต่ว่าดูเหมือนเขาจะลืมอะไรบางอย่างไป เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าอ้วนจึงไม่กล้าโกหกและยื่นแหวนมิติออกไปอย่างขมขื่นพร้อมกับกล่าวว่า “ตู๋เชียนเฉิงมีเพียงแหวนมิติเก็บของนี้บนตัวของเขาเท่านั้น เขาไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้ว!”
“งั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นมองไปที่แหวนอย่างสับสน “จากที่ข้ารู้มาตู่เชียนเฉิงนั้นกระทำความผิดมามากมายนับไม่ถ้วนและปล้นผู้ฝึกตนจำนวนมาก เขาควรที่จะร่ำรวย แล้วเหตุใดจึงมีเพียงแหวนมิติเก็บของนี้อยู่บนร่างกายเขา?”
“บางทีเขาอาจจะระเบิดพวกมันไปแล้วทั้งหมดเพื่อหลบหนี!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“อา!” นักบวชฮัวอวิ๋นยังคงสงสัยและเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อนอกจากใช้จิตวิญญาณตรวจสอบภายในแหวน หลังการตรวจสอบเสร็จสิ้น เขาโกรธจนแทบจะตายตกไป อุปกรณ์ที่เหลืออยู่ภายในแหวนนั้นน่าเวทนาเสียยิ่งกว่ายาจก ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังร่ำรวยกว่า! หลังจากเห็นอุปกรณ์ทุกอย่างในแหวนแล้ว ในตอนแรกเขาคิดว่าเจ้าอ้วนเป็นผู้เอาสมบัติเหล่านั้นไปทั้งหมด เขาจึงกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ในแหวนมีเพียงของเล็กน้อยเท่านั้นเองหรือ? เจ้าเอามันไปซ่อนไว้ที่ใด!?”
เจ้าอ้วนตกใจพร้อมกับรีบบอกปัดทันที แต่จ้าวสำนักที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมาว่า “ฮัวอวิ๋น สิ่งของพวกนี้ทั้งหมดเป็นของเขา มันจะเป็นธุระกงการอะไรของเจ้าถ้าหากเขาจะซ่อนมันไว้?”
“เจ้าหมายความว่าอะไรกัน?” ฮัวอวิ๋นกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ตู๋เชียนเฉิงตายเพราะเขาฝืนกำลังของตนเองและบาดเจ็บอย่างหนัก ทุกคนที่อยู่ภายในที่นั่นจะต้องมีส่วนได้รับสมบัติ แต่ในตอนนี้กลับเป็นเขาได้รับมันทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว!”
“เพราะว่าเขาไม่ได้หลบหนี!” จ้าวสำนักตะโกนออกมาทันทีเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้เจ้าอ้วน “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไร้ยางอายเช่นนี้ ลูกศิษย์ของเจ้าทุกคนล้วนแต่ขี้ขลาดและวิ่งหนีการสู้รบ แต่ในตอนนี้เจ้ายังมีหน้ามาขอรับสินสงครามอย่างนั้นหรือ!? อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะนึกถึงศักดิ์ศรีของตนเองบ้างนะว่าไหม?”
ฮัวอวิ๋นไอออกมาสองครั้งอย่างลำบากใจ ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาด้วยความเด็ดขาด “พี่ชาย พวกเรามักจะมีเหล่าศิษย์ที่ไร้ประโยชน์อยู่เสมอ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขาได้เสียสละสมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้นเพื่อช่วยเหลือพวกพ้อง และป้องกันไม่ให้บุตรสาวของเจ้าตาย แต่ในตอนนี้หงหยิงได้รับกระบี่เฟิ่งหมิง ซึ่งถือว่ามันเป็นสมบัติของนางและข้าจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก แต่เจ้าไม่อาจปล่อยให้เหล่าศิษย์ที่เสียสละสมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้นเพื่อปกป้องบุตรของเจ้าจนไม่ได้รับสิ่งตอบแทนเลยสักอย่างเลยหรือ?”
เมื่อได้ยินที่นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าว ภรรยาหมายของจ้าวสำนักเดินออกมาด้านหน้าพร้อมขมวดคิ้วและกล่าวว่า “พี่ชาย สิ่งนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ท่านลืมแล้วหรือว่าตู๋เชียนเฉิงตายตกไปเพราะอ้วนน้อยยืนหยัดต่อสู้กับเขาอยู่ตรงนี้ นอกจากนี้เขายังช่วยเหลือศิษย์ของท่านอีกด้วย ดังนั้นถือว่าอ้วนน้อยมีส่วนร่วมในครั้งนี้มากที่สุดและควรจะได้รับรางวัลทั้งหมดนี้ไป ความจริงแล้วท่านไม่ควรจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ถูกต้องหรือไม่?”
“แต่เขาไม่ได้สูญเสียสิ่งใด แต่ศิษย์ทั้งสามของข้าสูญเสียสมบัติวิเศษไป!” ฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่สูญเสียอะไร สิ่งสำคัญคือหัวใจ!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวต่อพร้อมหัวเราะอย่างเย็นชา “คนที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญกับคนที่วิ่งหนีออกจากสนามรบ ถ้าหากเราทุกคนยอมสละบางสิ่งอย่างในสนามรบพร้อมวิ่งหนีไปและยังได้รับรางวัลในภายหลังอีก ในอนาคตจะมีผู้ใดยืนหยัดเพื่อต่อสู้อย่างกล้าหาญอีก?”
“เรื่องนั้น….” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาไม่มีสิ่งใดจะกล่าวต่อ “ตกลง งั้นปล่อยให้เด็กบัดซบนี่รับทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วกัน แต่ก่อนหน้านั้นเขาคงได้รับผลประโยชน์จากการสู้รบมากพอแล้ว! งั้นเราจงมาแบ่งของรางวัลจากการต่อสู้ครั้งนี้เถอะ!”
เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาทันที “สมบัติที่เหลือจากการต่อสู้อยู่ตรงนี้ จงหยิบไปหากเจ้าต้องการมัน!”
บทที่ 124: หอเฉวียนจี้ผู้อับโชค
“ทำได้อย่างนั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างดีอกดีใจ “ตู๋เชียนเฉิงนั้นข่มเหงผู้ฝึกตนอื่นมานานนับร้อยปี เขาปล้นชิงทรัพย์ผู้อื่นมากมายจนนับไม่ถ้วนและแน่นอนว่าเขาร่ำรวยยิ่งกว่าเราทั้งสี่คนรวมกัน แต่ในแหวนมิตินี้ ไม่มีสมบัติวิเศษแม้แต่ชิ้นเดียว แม้แต่วัสดุที่มียังเป็นของคุณภาพต่ำ ไม่มีวัสดุที่เก่าแก่สักชิ้น แม้แต่ศิษย์ระดับจินตันของข้ายังร่ำรวยกว่าเขาเสียอีก! ใครจะเชื่อว่านี่คือทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา?”
“ฮ่า! แม้แต่ศิษย์ระดับจินตันของเจ้ายังร่ำรวยกว่าเขาอีกงั้นหรือ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะมาร่วมวงการแบ่งสมบัติด้วยเหตุผลใดกันเล่า ทำไมเจ้าจึงไม่ยกรางวัลทั้งหมดนี้ให้อ้วนน้อยของข้าไปเสีย!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างไม่ยี่หระ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังสนับสนุนเจ้าอ้วนอยู่ แม้เขาจะรู้ว่าเจ้าอ้วนซ่อนบางอย่างไว้ แต่เขาก็ไม่คิดจะหยิบจับมาเป็นของตนแต่อย่างใด
เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาคำรามออกมา “ฝันไปเถอะ ข้าต้องการจะค้นตัวเขาเผื่อว่าจะพบสิ่งใด!”
“เจ้ากล้างั้นหรือ!?” จ้าวสำนักตอบกลับทันที
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังจะเริ่มการต่อสู้กันอีกครั้ง ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “พวกเจ้ามีอายุกันมากถึงเพียงนี้ แต่กลับยังโต้เถียงกันราวกับว่าเป็นเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น!”
“เขาเป็นคนไร้เหตุผล เป็นอาวุโสที่ริษยาแม้กระทั่งเด็กอายุน้อยกว่า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าใบหน้าของเขาจะไร้ยางอายถึงเพียงนี้!” จ้าวสำนักตะโกนออกมาอย่างรังเกียจ
“ผู้ใดกันที่ต้องการต่อสู้กับเด็ก? ข้าเพียงต่อสู้เพื่อสิทธิของศิษย์ของข้าเพียงเท่านั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ
“ตกลง เอาล่ะ หยุดเถียงกันได้แล้วพวกเจ้าทั้งคู่!” ดังนั้น ภรรยาจ้าวสำนักหันศีรษะมาหาเจ้าอ้วนพร้อมถามว่า “เด็กน้อย เจ้าซ่อนอะไรไว้หรือไม่?”
“นายหญิง นี่เป็นกระเป๋ามิติใบเดียวที่ข้ามี ท่านจงดูว่ามันสามารถเก็บของไว้ได้มากเพียงใด” เจ้าอ้วนหยิบยื่นกระเป๋ามิติของเขาให้กับภรรยาจ้าวสำนักพร้อมกับแสร้งทำสีหน้าเศร้าโศก
ภรรยาจ้าวสำนักรับประเป๋ามิติมาพร้อมกับตรวจสอบภายในกระเป๋าด้วยจิตวิญาณ หลังจากนั้น นางยื่นมันให้กับนักบวชฮัวอวิ๋นพร้อมกล่าวว่า “ดูเสีย ว่าเด็กน้อยไม่ได้ซ่อนสิ่งใดไว้เลย!”
“หัวใจของเจ้านั้นยิ่งกว่าเหล่าปีศาจร้ายที่สิงสู่อยู่ในร่างกายของปีศาจเฒ่า!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม
ฮัวอวิ๋นไม่สนใจสิ่งใด เขาหยิบกระเป๋ามิติขึ้นมาทันที เป็นความจริงที่เขาไม่สามารถพบเจอสิ่งใดอยู่ภายในนั้นเลย หลังจากนั้นเขาตรวจสอบร่างกายของเจ้าอ้วนด้วยจิตวิญญาณของตนเองอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่พบกระเป๋ามิติใบอื่น หลังจากนั้นเขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมกล่าวว่า “นี่ตู๋เชียนเฉิงข้นแค้นถึงเพียงนี้จริงงั้นหรือ?”
“ไร้สาระ นับตั้งแต่เขาบาดเจ็บจากเราก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้โผล่ออกมาโลกภายนอกเลยหลายทศวรรษ! และเขาเพิ่งออกมาได้ไม่นานนัก ไม่แปลกที่เขาจะยากจน!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริม “พอ จบเรื่องนี้เสียที แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ มันก็มากพอที่เด็กน้อยเหล่านี้จะสนุกไปกับมันแล้ว สิ่งที่ข้าเห็นคือ บุตรสาวของข้าได้รับกระบี่เฟิ่งหมิงจากการต่อสู้ครั้งนี้แล้วนางจึงไม่ได้รับสิ่งอื่นอีก แต่อ้วนน้อยเป็นคนสำคัญในการสังหารตู๋เชียนเฉิง ดังนั้นเขาควรที่จะได้รับแหวนมิติพร้อมกับสิ่งของสัดส่วนเจ็ดในสิบที่อยู่ภายในแหวน!”
“อะไรกัน? เหล่าศิษย์ของข้าได้รับเพียงสามในสิบงั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล “สิ่งนี้ไม่โหดร้ายกับศิษย์ของข้ามากไปหรอกหรือ?”
“เจ้าคิดผิดแล้ว แท้จริงข้านั้นใจกว้าง! ตามกฎของสำนัก พวกเขาทั้งหมดจะถูกประหารเนื่องจากหลบหนีการต่อสู้! แต่ตอนนี้เห็นแก่ใบหน้าของเจ้า ไม่เพียงแต่เราไม่ลงโทษพวกเขาเหล่านั้น แต่เรายังมอบรางวัลให้กับพวกเขาอีกด้วย! แล้วเจ้ายังจะกล่าวสิ่งใดให้มากมายอีกล่ะ?” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด
“เป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งของเพียงสามในสิบแต่มันก็มากพอที่จะชดเชยสมบัติวิเศษที่สูญเสียไป ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พวกเขาได้รับในตอนนี้มันยังไม่ดีพอ งั้นเราคงทำได้เพียงดำเนินการตามกฏของสำนัก!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น
“พวกเจ้า พวกเจ้ากำลังรังแกศิษย์ของข้า!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างเหลืออด
“ข้าเพียงแค่บอกเล่าสถานการณ์ตอนนี้ให้เจ้าฟังเท่านั้น!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวอย่างใจเย็น “หลบหนีการต่อสู้ ปล่อยพวกพ้องร่วมสำนักให้ตกอยู่ในอันตราย เหตุผลเพียงแค่นี้เพียงพอให้พวกเขาตาย แต่เจ้ายังใช้โอกาสเช่นนี้เพื่อแสวงหาโชคลาภให้กับศิษย์เหล่านั้นงั้นหรือ?”
“ต่อให้พี่หญิงอาวุโสจะอยู่ที่นี่ แน่นอนว่านางจะต้องจัดการเช่นนี้!” จ้าวสำนักกล่าวเสริม “ถ้าไม่เห็นด้วยกับข้า ก็จงไปพบนางเพื่อถามคำถามนี้เลยดีหรือไม่?”
“ช่างมัน!” ฮัวอวิ๋นรู้จุดจบของเรื่องนี้ทันทีว่าเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย สำหรับเขาแล้วจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เพียงน้อยนิดแค่นี้นั้นไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน ดังนั้นคงไม่ดีหากเขามีข้อกังขามากเกินไป แม้ว่าจะเกิดการนองเลือดขึ้น ก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อเขาเลย
เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นยินยอม ภรรยาจ้าวสำนักได้หยิบสิ่งของต่าง ๆ ออกมาจากแหวนมิติ หลังจากที่นักบวชฮัวอวิ๋นตรวจสอบมันแล้ว เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อและเก็บของที่ต้องการและออกไปทันที เพราะภรรยาจ้าวสำนักได้มอบสิ่งของให้เขาอย่างยุติธรรมและมูลค่าของมันนั้นมากกว่าสามในสิบที่ตกลงกันไว้เสียด้วยซ้ำ
จากนั้นภรรยาจ้าวสำนักหยิบแหวนมิติคืนให้กับเจ้าอ้วนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงคว้าแขนหงหยิงเพื่อที่จะกลับบ้าน ในตอนนี้กิจกรรมล่าอสูรกายนั้นได้จบลงแล้วและได้ผลตอบแทนมากกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีก หงหยิงได้รับกระบี่เฟิ่งหมิงและเจ้าอ้วนได้รับรางวัลมากมาย และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาสามารถเอาชนะใจของหงหยิงได้
หลังจากที่จ้าวสำนักและภรรยาของเขาได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากหงหยิง พวกเขาได้รู้ว่าเจ้าอ้วนพยายามปกป้องหงหยิงด้วยชีวิตของเขา พร้อมทั้งโยนนางออกไปจากถ้ำ สิ่งนี้สร้างความประทับใจให้กับพวกเขาทั้งสองอย่างมาก ในอดีตที่ผ่านมาพวกเขาคิดว่าเด็กคนนี้มีเพียงแต่ความเจ้าเล่ห์ แต่ในสถานการณ์ที่สัมผัสได้ถึงชีวิตและความตาย เขามีจิตใจที่กล้าหาญและมั่นคงอย่างมาก
หลังจากที่มีชีวิตอยู่มานานนับพันปี จ้าวสำนักและภรรยาของเขารับรู้ได้ทันทีว่าความรักของเจ้าอ้วนและหงหยิงนั้นเป็นรักที่บริสุทธิ์กำลังก่อตัวขึ้นโดยธรรมชาติ ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาไม่ต้องการที่จะให้บุตรสาวตกลงปลงใจกับอ้วนน้อยแสนเจ้าเล่ห์ แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ ความคิดของพวกเขาทั้งคู่เปลี่ยนไปและคิดมากเรื่องของเจ้าอ้วนและหงหยิง เขาทั้งสองตัดสินใจที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
หลังจากเหตุการณ์นี้ หงหยิงและเจ้าอ้วนไม่สามารถแยกออกจากกันได้เมื่อพวกเขาอยู่ที่หลังภูเขา ทั้งสองคนวิ่งไปตามแนวภูเขา พร้อมกับมีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังก้องไปทั่ว ถ้าหากมีใครมาพบแล้วผู้นั้นไม่ได้ตาบอด จะรู้ได้ทันทีว่าหนุ่มสาวคู่นี้กำลังมีความรู้สึกดีต่อกัน
เมื่อมองเห็นสาวงามและชายหนุ่มผู้น่าเกลียดคู่นั้น ดวงตาของคนที่พบเห็นแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ดอกฟ้ากับหมาวัด’ เหล่าศิษย์ที่หลงรักหงหยิงต่างพากันสาปแช่งเจ้าอ้วนผู้นี้อย่างเกรี้ยวกราด พวกเขาทั้งหมดพยายามวางแผนที่จะกำจัดเจ้าอ้วนทิ้งเมื่อมีโอกาส
อย่างไรก็ตามตอนนี้ข่าวที่เจ้าอ้วนเป็นผู้สังหารตู๋เชียนเฉิงนั้นแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีศิษย์ในสำนักคนไหนกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าอ้วน พวกเขาทั้งหมดจึงเป็นเพียงส่วนเกินที่ทำได้แค่มองเจ้าอ้วนกับหงหยิงมีความสุขกันจากระยะไกล
ในสำนักเสวียนเทียน เหตุการณ์ทั้งหมดยังคงสงบอยู่ ความตายของตู๋เชียนเฉิงทำให้เหล่าศิษย์ในสำนักตื่นเต้นกันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้ถูกสังหารโดยเหล่าอาวุโสของสำนัก ดังนั้นเรื่องราวเหล่านี้จึงไม่ถูกเอ่ยขึ้นมากนัก
แต่ไม่มีอุปสรรคใดที่จะปิดกั้นไม่ให้ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วโลกของผู้ฝึกตน ในตอนที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น สำนักต่าง ๆ มากมายในเทือกเขาต่างพากันทราบข่าวจนหมดสิ้น แม้แต่เหล่าสำนักที่อยู่ห่างไกลออกไปยังได้รับข่าวนี้
ตู๋เชียนเฉิงที่ข่มเหงรังแกโลกของผู้ฝึกตนมานานนับร้อยปีได้ตายตกไปด้วยฝีมือของสำนักเสวียนเทียน ถ้าหากเป็นเพียงข่าวนี้แน่นอนว่ามันจะน่าทึ่งมาก และจะไม่มีผู้ใดสงสัยเลย หลังผ่านเวลายาวนานสำนักเสวียนเทียนแข็งแกร่งมากขึ้น จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะสังหารตู๋เชียนเฉิงได้
แต่ข่าวที่แพร่กระจายออกไปคือบุคคลที่สังหารตู๋เชียนเฉิงได้นั้นเป็นเพียงศิษย์ระดับต่ำของสำนักเสวียนเทียน ผู้ที่ไม่มีบทบาทในสำนักชั้นในด้วยซ้ำ ขณะที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป มีผู้คนมากมายตกใจจนนับไม่ถ้วน ชื่อของเขาคืออ้วนน้อย ซ่งจง ซึ่งในตอนนี้มันแพร่กระจายไปอย่างกว้างไกลในโลกของผู้ฝึกตน
รวมกับความจริงที่ว่ากระบี่เฟิ่งหมิงนั้นเลือกหงหยิงเป็นเจ้านายคนใหม่นั้นก็ได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างมาก มากเสียยิ่งกว่าเจ้าอ้วนเสียอีก เขานั้นโชคดีที่สามารถสังหารตู๋เชียนเฉิงได้และไม่มีโอกาสมากนักที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะจดจำเรื่องราวนี้ไปตลอด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับหงหยิง นางเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากอีกทั้งสถานะยังเป็นถึงบุตรสาวแห่งจ้าวสำนักเสวียนเทียน ด้วยสถานะและพรสวรรค์ของนาง แน่นอนว่านางจะต้องประสบความสำเร็จอย่างมากในอนาคต และในตอนนี้นางยังครอบครอบกระบี่เฟิ่งหมิงอีกด้วย!
กล่าวได้ว่าอนาคตของนางนั้นเกินคำว่าไร้ขีดจำกัดไปเสียแล้วและเป็นไปได้อย่างมากที่นางจะไปได้ไกลยิ่งกว่าบิดาและมารดาของตนเอง ด้วยศักยภาพทั้งหลายภายในตนเอง ขั้วอำนาจต่าง ๆ ในโลกของผู้ฝึกตนจะต้องคอยจับตามองนางอย่างไม่อาจคลาดสายตา
เกี่ยวกับการตายของตู๋เชียนเฉิง ทิศทางของโลกแห่งผู้ฝึกตนนั้นเดินไปในเส้นทางที่ดีขึ้น มีหลายคนได้ร่วมแสดงความยินดีกับสำนักเสวียนเทียน แต่มีเพียงสำนักขนาดใหญ่เพียงสำนักเดียวและเป็นสำนักหญิงล้วนเท่านั้น หอเฉวียนจี้ ซึ่งยังคงเงียบสนิท นี่เป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากตู๋เชียนเฉิง!
เมื่อหลายปีก่อน ผู้อาวุโสของหอเฉวียนจี้ได้พบพานกับตู๋เชียนเฉิงโดยบังเอิญ ในขณะนั้นเขากำลังบาดเจ็บ ซึ่งทำให้นางตื่นเต้นมากและรีบรายงานจ้าวสำนักของตนทันที จากนั้นหอเฉวียนจี้ทั้งหมดได้ประชุมกันและวางแผนซุ่มโจมตีตู๋เชียนเฉิงและแย่งชิงกระบี่เฟิ่งหมิงของเขา
แม้แต่สำนักที่ยิ่งใหญ่อย่างสำนักเสวียนเทียน ยังมีสมบัติวิญญาณเพียงแค่สองชิ้น ดังนั้นสำหรับกระบี่เฟิ่งหมิงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดจึงส่งกำลังออกไปอย่างเต็มกำลังเพื่อที่จะคว้าเอาชัยชนะมาให้ได้!
เพื่อป้องกันไม่ให้ตู๋เชียนเฉิงหนี หอเฉวียนจี้ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับเขา ที่จริงแล้วพวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ไม่กี่ปีเท่านั้น พวกเขาขัดเกลาและปรับแต่งสมบัติวิเศษอยู่พร้อมกับฝึกซ้อม หลังจากที่พวกเขาคุ้นเคยกับอุปกรณ์แล้ว พวกเขาเริ่มโจมตีทันที ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งหมดภายในหอเฉวียนจี้ทั้งหมดหกคน พวกเขาทั้งหมดร่วมกันต่อสู้และมีผู้ฝึกตนระดับจินตันนับร้อยคนคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง
แต่ทว่าแผนของพวกเขาทั้งหมดไม่อาจรับการเปลี่ยนแปลงได้ทัน ด้วยพลังของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่ร่วมกันต่อสู้ แต่ทว่าตู๋เชียนเฉิงกลับระเบิดสมบัติวิเศษทั้งหมดเพื่อทำการหลบหนีไปโดยใช้กระบี่เฟิ่งหมิงของเขา
เมื่อเห็นว่าแผนของพวกเขาทั้งหมดล้มเหลวในตอนท้าย เหล่าอาวุโสภายในหอเฉวียนจี้แทบจะกระอักเลือดตาย พวกเขาทั้งหมดรีบเร่งที่จะรวบรวมคนระดับสูงในสำนักเพื่อทำการค้นหาอย่างลับ ๆ
เหตุผลที่พวกเขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับกระบี่เฟิ่งหมิง อีกทั้งอาการบาดเจ็บสาหัสของตู๋เชียนเฉิง ตัวตนของเขาเหมือนกับหีบสมบัติ ถ้าหากข่าวนี้รั่วไหลออกไป แน่นอนว่ามันจะต้องดึงดูดความสนใจจากผู้ฝึกตนทั่วทั้งโลก ในเวลานั้นหอเฉวียนจี้ไม่อาจค้นหาเขาพบ จึงทำให้ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาสูญเปล่าอย่างไม่อาจช่วยได้
บทที่ 125: ทางเลือกของฉุ่ยจิ้ง
ชีวิตได้เล่นตลกกับพวกนางแห่งหอเฉวียนจี้อีกครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นความน่าสงสารซึ่งแม้แต่การวางแผนอย่างรัดกุมก็ยังไร้ประโยชน์ เพียงแค่สองวันหลังจากตู๋เชียนเฉิงได้รับบาดเจ็บและหลบหนีไป มีข่าวมาจากสำนักเสวียนเทียนว่าตู๋เชียนเฉิงนั้นถูกสังหารและกระบี่เฟิ่งหมิงตกอยู่ในมือของหงหยิง ซึ่งไม่อาจจินตนาการได้ว่าเมื่อหอเฉวียนจี้รู้ข่าวแล้วพวกเขาจะอึดอัดภายในหัวใจมากเพียงใด! พวกเขาไม่เพียงแต่เตรียมการมาเนิ่นนานหลายปี แต่พวกเขาสูญเสียผู้ฝึกตนระดับจินตันเจ็ดถึงแปดคนและผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินถึงสองคนในการสู้รบ และในท้ายที่สุดพวกเขาไม่ได้รับสิ่งใดเลย
ในขณะที่มีข่าวเช่นนั้นแพร่กระจายออกมา แทบทุกคนในหอเฉวียนจี้เกือบตายตกไปด้วยความโกรธแค้น ถ้าหากเป็นสำนักอื่น พวกเขาคงจะเดินเข้าไปเคาะประตูเพื่อแสวงหาความยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นสำนักใดก็ตาม แต่ปัญหาก็คือผู้ที่ได้รับรางวัลจากการต่อสู้ครั้งนี้คือสำนักเสวียนเทียน จึงทำให้พวกเขาทั้งหมดรู้สึกว่าเรื่องนี้ยากเกินกว่าจะจัดการได้
เหตุผลไม่ใช่เพราะพวกเขาเกรงกลัวความแข็งแกร่งของสำนักเสวียนเทียน หอเฉวียนจี้นั้นมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินมากกว่าแต่ทว่าสำนักเสวียนเทียนมีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในเทือกเขาใหญ่แห่งนี้คือเทพธิดาเหมยฮวา ทั้งสองฝ่ายไม่มีผู้ใดเกรงกลัวกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นนับว่าดีมาก ทั้งสองสำนักมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมายาวนานและมีการแต่งงานระหว่างสำนักเกิดขึ้นมากมายจนนับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองไม่อาจแยกจากกันได้เพราะว่าสมบัติวิญญาณเพียงอย่างเดียว
แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้ละทิ้งข้อสรุปเหล่านี้ ดังนั้นนายหญิงแห่งหอเฉวียนจี้จึงเขียนจดหมายส่งถึงจ้าวสำนักเสวียนเทียน ระบุถึงความสูญเสียต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายแต่ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่อยากได้ชดเชยเหตุการณ์ในครั้งนี้แต่อย่างใด
จ้าวสำนักเสวียนเทียนไม่ใช่คนโง่เง่า เขาจะมองไม่เห็นจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าหอเฉวียนจี้ต้องการส่วนแบ่งของรางวัลที่ได้จากการต่อสู้ อย่างน้อยก็พอที่จะบรรเทาการสูญเสียของพวกเขา
จ้าวสำนักเสวียนเทียนซึ่งอ่านจดหมายนี้เสร็จสิ้นแล้ว เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ถ้าหากเป็นสำนักอื่นๆ แน่นอนว่าเขาจะไม่ใส่ใจกับเรื่องราวเหล่านี้มากนัก แต่หอเฉวียนจี้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ถ้าหากเขาเพียงแต่ตอบกลับไปพอเป็นพิธี แน่นอนว่ามันจะไม่เกิดการต่อสู้ แต่จะมีปัญหากับความสัมพันธ์ที่ยาวนานนี้อย่างแน่นอน
หลังจากที่พิจารณาและปรึกษากับฮัวอวิ๋น การตัดสินใจครั้งสุดท้ายคือเรียกเอาสิ่งของบางอย่างในสำนัก นอกจากนี้พวกเขายังนำเอาสมบัติส่วนตัวและมันเป็นของขวัญที่มีมูลค่ามากกว่าหินจิตวิญญาณนับล้าน ส่งมอบสิ่งของเหล่านี้ให้กับหอเฉวียนจี้
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่อาจเทียบกับกระบี่เฟิ่งหมิง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังได้แสดงความจริงใจและชดเชยความสูญเสียของหอเฉวียนจี้ กล่าวได้ว่าการกระทำทั้งหมดนี้เพื่อรักษาใบหน้าของหอเฉวียนจี้ไว้ด้วย
แต่สิ่งที่จ้าวสำนักและภรรยาไม่ได้คาดหวังกลับเกิดขึ้นมาอย่างไม่อาจช่วยได้ หอเฉวียนจี้โกรธจัดทันทีเมื่อเห็นของต่างๆที่ถูกส่งมา นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาเห็นว่าความมั่งคั่งของตู๋เชียนเฉิงนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด คนแต่งตัวประหลาดแต่กลับสามารถระเบิดสมบัติวิเศษนับร้อยชิ้น ทรัพย์สมบัติของเขาจะมีมากมายเพียงใดกัน? แม้ว่าเขาจะมีหินจิตวิญญาณเป็นพันล้านก้อนก็ยังไม่น่าแปลกใจ หลังจากที่สำนักเสวียนเทียนได้รับกระบี่เฟิ่งหมิง สิ่งที่เขามอบให้ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในสิบของความมั่งคั่งทั้งหมด ซึ่งพวกเขาอยู่ห่างไกลจากคำว่าตระหนี่เสียอีก
ซึ่งความเป็นจริง ไม่อาจตำหนิจ้าวสำนักว่าเป็นคนตระหนี่ได้ ถ้าหากพวกเขาได้รับความมั่งคั่งที่แท้จริงของตู๋เชียนเฉิง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่กระทำเช่นนี้ เขาจะต้องมอบมันครึ่งหนึ่งแก่พวกเขาอย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือ สมบัติราวเก้าในสิบอยู่กับเจ้าอ้วน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือทิ้งไว้เพียงไม่กี่ล้านเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหยิบยื่นทรัพย์สมบัติของตนเองเพื่อชดเชยความสูญเสียที่หอเฉวียนจี้ได้รับ
แต่หอเฉวียนจี้ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงส่งผลให้พวกเขาเข้าใจผิดต่อสำนักเสวียนเทียน จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองสำนักเริ่มมีรอยแตกร้าว สาเหตุหลักของภัยพิบัติในคราวนี้มาจากความเจ้าเล่ห์ของอ้วนน้อย
ในขณะที่ทั้งสองสำนักกำลังตึงเครียดกันเกี่ยวกับเรื่องสมบัติของตู๋เชียนเฉิง ผู้ก่อปัญหาของเรื่องนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไร เขาใช้ชีวิตไปตามปกติของเขา คือ ฝึกฝน ปรับแต่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ และเล่นกับหงหยิง
ภายใต้สถานการณ์ที่ผ่อนคลายดังกล่าว ระดับการฝึกฝนของเจ้าอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การช่วยเหลือของทรัพยากรจำนวนมาก ในตอนสุดท้ายก่อนที่จะถึงการค้นหาผลไม้วิญญาณลึกลับ เจ้าอ้วนสามารถผ่านพ้นคอขวดและประสบความสำเร็จในการผ่านพ้นระดับเซียนเทียนขั้นสิบสองมาได้ เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนอย่างเต็มขั้นแล้วในตอนนี้
ภายในเวลาสองเดือน เจ้าอ้วนประสบความสำเร็จขึ้นอีกก้าวหนึ่ง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งคือการฝึกฝนอย่างหนักและทรัพยากรจำนวนมากของเขา แต่เหตุผลที่แท้จริงเป็นเพราะยาอายุวัฒนะลึกลับแห่งสวรรค์ที่หงหยิงยัดใส่ปากของเขา ถ้าหากไม่ใช่เพราะยามูลค่าเทียบกับหินจิตวิญญาณนับล้านเช่นนี้ คงไม่มีหนทางที่เขาจะก้าวสู่ความสำเร็จโดยใช้เวลาสั้นๆอย่างแน่นอน
วันที่เจ้าอ้วนหยุดการฝึกฝนของตนเพื่อออกมาสูดอากาศ บังเอิญว่ามันเป็นวันที่พวกเขาทั้งหมดกำลังจะออกไปค้นหาผลไม้วิญญาณลึกลับ ในขณะที่ออกจากบ้านในตอนเช้า เขาพบว่าหงหยิงได้มารอเขาแล้ว
เมื่อหงหยิงมองเห็นเขา นางรีบวิ่งมาจับมือเขาและกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “พี่ชายอ้วน เจ้าประสบความสำเร็จอีกขั้นแล้ว!”
“แน่นอน!” เจ้าอ้วนยิ้ม “นั่นเป็นเพราะยาอายุวัฒนะแห่งสวรรค์ลึกลับที่เจ้าให้ข้ากินเมื่อก่อนหน้านี้ไงล่ะ! เสียดายของจริง ๆ!”
“เจ้าพูดอะไร? สำหรับพี่ชายอ้วนไม่มีคำว่าเสียของ!” หงหยิงเผยยิ้มพร้อมกับดึงเจ้าอ้วนให้หยิบพยัคฆ์ปีกแหลมออกมาและกล่าวอย่างร่าเริง “วันนี้เป็นวันค้นหาผลไม้วิญญาณลึกลับ ถึงเวลาที่เราจะได้พบกับพวกเขาแล้ว!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินดังนั้น เขาไม่รอช้าพร้อมกับบังคับพยัคฆ์ปีกแหลมขึ้นบินทันที เขาทั้งสองคนเหลืองไว้เพียงแสงสีม่วงจาง ๆ มุ่งหน้าไปที่สำนักชั้นใน
ในเวลาสั้นๆ ทั้งสองคนมาถึงหอคอยสูง หอคอยนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ มันสูงกว่าร้อยฟุต ด้านบนของมันมีสมบัติวิเศษคือเรือบินลอยอยู่
มีคนจำนวนมากอยู่บนเรือ เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านได้มาถึงแล้วเช่นนั้น หลังจากที่สมบัติวิเศษของพวกเขาถูกทำลาย อาวุโสที่คอยสนับสนุนเขาก็มอบสิ่งของชิ้นใหม่ให้พวกเขาทันที แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าสมบัติที่เคยมีก็ตาม แต่มันก็ยังคงแข็งแกร่งมากกว่าอุปกรณ์วิเศษ ในช่วงสองเดือนนี้พวกเขาใช้เวลาปรับแต่งสมบัติวิเศษของพวกเขาและนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองคนได้ออกมาสูดอากาศภายนอกบ้าง
หลังจากที่เจ้าอ้วนและหงหยิงขึ้นมาบนเรือ มีผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่และบอกว่าพวกเขาพักอยู่ที่ห้องใดพร้อมทั้งสิ่งที่ควรรู้ต่าง ๆ เจ้าอ้วนเคยขึ้นเรือลำนี้มาก่อนแล้วจึงคุ้นเคยกับมันอย่างมากขณะพาหงหยิงเดินเล่นรอบเรือหลังจากที่จบการสนทนากับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิแล้ว
หงหยิงรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมากเพราะว่านี่คือครั้งแรกของนาง นางกระโดดโลดเต้นไปมาราวกับลิง ถ้าหากผู้คนบนเรือกล้ากระทำตัวเช่นนาง ก็คงจะโดนอาวุโสที่อยู่บนเรือตักเตือน แต่ด้วยสถานะที่ไม่ธรรมดาของนาง ผู้ฝึกตนทั้งหลายจึงได้แต่ส่ายหัวพร้อมทั้งไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะกับการกระทำของหงหยิงดี
ถึงแม้ว่าผู้อื่นจะไม่กล้าตักเตือนหงหยิง แต่เจ้าอ้วนไม่รู้สึกเช่นนั้น เขาไม่เข้าร่วมในการแสดงตลกของนาง แต่เมื่อสังเกตุเห็นสถานการณ์บนเรือ ในขณะนั้นมีศิษย์เก้าคนอยู่ที่นี่เพื่อค้นหาผลไม้วิญญาณลึกลับ แต่ว่าแม่นางฉุ่ยจิ้งไม่ได้อยู่ที่นี่ ผู้นำของกลุ่มนี้คือผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน นักบวชฮัวอวิ๋น นั่นแสดงให้เห็นว่าว่าเหตุการณ์บนท้องฟ้าในครั้งนี้สำคัญอย่างมาก
ในขณะนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นผู้นั่งสมาธิอยู่บนสุดของเรือได้ลืมตาขึ้นและถามว่า “ถึงเวลาแล้วหรือยัง?”
“ถึงเวลาแล้วขอรับ!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ผู้ใดยังไม่ได้ขึ้นบนเรือลำนี้บ้าง?” นักบวชฮัวอวิ๋นถาม
“มีเพียงแม่นางฉุ่ยจิ้งขอรับ!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันกล่าวออกมาพร้อมขมวดคิ้ว “ควรส่งคนไปตามนางหรือไม่?”
“ไร้สาระ!” นักบวชฮัวอวิ๋นส่ายหัว “เหตุผลที่นางไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ อาจเป็นเพราะนางเชื่อฟังอาจารย์ของนาง ถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรอนางอีกต่อไป ออกเรือ!”
“ขอรับ!” แม้จะเกิดความสงสัยในหัวใจของผู้ฝึกตนระดับจินตันมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปพร้อมทั้งพยักหน้าขานรับ จากนั้นเขาจึงเริ่มการทำงานของเรือทันที
แต่ในขณะนั้น มีบุคคลชุดขาวกำลังบินเข้ามา เมื่อมองเห็นเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นรีบตะโกนทันที “หยุด ฉุ่ยจิ้งมาแล้ว!”
ผู้ฝึกตนระดับจินตันมึนงงอยู่ชั่วขณะจากนั้นเขาจึงหยุดการทำงานของเรืออย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเห็นแม่นางฉุ่ยจิ้งกำลังร่อนลงยืนบนเรืออย่างนิ่มนวลราวกับดอกบ๊วยที่สงบนิ่ง
นักบวชฮัวอวิ๋นถามออกไปอย่างรู้สถานการณ์ “ฉุ่ยจิ้ง เจ้าคิดอย่างรอบคอบแล้วงั้นหรือ?”
“ข้าคิดมาดีแล้ว!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมรอยยิ้มพร้อมโค้งคำนับแก่นักบวชฮัวอวิ๋นอย่างสุภาพ นางกล่าวต่อ “ท่านอาจารย์ของข้าจะเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนเป็นเวลาร้อยปีและอยู่ในภูเขาเหมยที่ปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ ในอนาคตฉุ่ยจิ้งขอให้ท่านอาจารย์ลุงดูแลข้าด้วย!”
นักบวชฮัวอวิ๋นรู้แล้วว่าฉุ่ยจิ้งจะตัดสินใจเช่นนี้ เนื่องจากเทพธิดาเหมยฮวาได้บอกเขาแล้วส่วนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าฉุ่ยจิ้งเลือกทางใด เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความเคร่งขรึมบนใบหน้าของพี่หญิงอาวุโสของเขาได้ว่าเรื่องนี้จะต้องสำคัญมากอย่างแน่นอน
เดิมทีนักบวชฮัวอวิ๋นคิดว่าฉุ่ยจิ้งจะเลือกเส้นทางที่ง่ายกว่าคือการเก็บตัวฝึกฝนกับอาจารย์ของตนเอง แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าฉุ่ยจิ้งจะเลือกเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าฉุ่ยจิ้งปรากฏตัวขึ้น นักบวชฮัวอวิ๋นจึงรู้สึกตกใจอย่างไม่อาจอดรั้ง
เขาไม่ได้มีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “เมื่อเจ้ากลับมา ข้าจะหาที่พักในสำนักชั้นในให้เจ้า และเจ้าสามารถมาพบข้าได้ถ้าหากว่าเจ้าพบปัญหาใดๆก็ตามในอนาคต!”
“ขอขอบคุณท่านอาจารย์ลุง!” ฉุ่ยจิ้งโค้งคำนับอย่างจริงใจ หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว นางเหลือบไปมองที่เจ้าอ้วนอย่างจงใจ และหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าห้องของตนเองอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ฉุ่ยจิ้งออกไปแล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนอีกครั้ง “ออกเรือ!”
“ขอรับท่านอาจารย์!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันตอบกลับพร้อมกับเปิดการทำงานของเรืออีกครั้ง
หลังจากนั้น ปรากฏแสงสีเขียวขึ้นรอบเรือ และมีการกำหนดทิศทางของมันอย่างรวดเร็ว เมื่อปะทะกับพลังแห่งพระอาทิตย์ เรือเพิ่มความเร็วขึ้นไปจนถึงความเร็วสูงสุด จากนั้นเรือลำนี้ได้หายลับไปกับขอบฟ้าเหลือทิ้งไว้เพียงแสงสีเขียวเลือนลางเท่านั้น
บทที่ 126: ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์
ความเร็วของเรือโบราณที่เป็นสมบัติวิญญาณนั้นสูงมาก มันสามารถบินได้เร็วถึงสี่พันลี้ต่อชั่วโมง แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ แต่มันสามารถเปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้อย่างสบายๆ ด้วยความเร็วนี้ ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็เดินทางมาถึงภูเขาที่งดงามภายในเวลาเพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น
ภูเขาแห่งนี้เป็นภูเขาที่มียอดเขาสูงสลับกันไปมา มีหมอกหนาทึบล้อมภูเขาลูกนี้ แต่ยอดเขานั้นสูงมากทะลุหมอกขึ้นไปบนฟ้า ทำให้ภาพที่เห็นสวยงามอย่างยิ่ง
เมื่อผู้คนจากสำนักเสวียนเทียนมาถึง ในที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสมบัติวิญญาณจากสำนักอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่รูปร่างคล้ายเรือ แต่บางส่วนมีรูปร่างคล้ายกับหอขนาดเล็ก
มีกลุ่มคนซึ่งเป็นเหล่าตัวแทนของสำนักต่าง ๆ ยืนอยู่เป็นกลุ่มก้อนบนยอดเขา ซึ่งในตอนนี้พบสถานที่ที่เหมาะสมแก่การลงจอดแล้ว เจ้าอ้วนและสหายร่วมสำนักพลันลงจอดภายใต้การการนำของนักบวชฮัวอวิ๋น
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าอ้วนได้มองเห็นผู้ฝึกตนจากสำนักอื่น ๆ มากมายและเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากอยู่ในสถาวะสงบนิ่ง จากนั้นเขาเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าผู้คนเหล่านี้ต่างก็มาจากสำนักใหญ่ภายในเทือกเขาเช่นกัน
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ทุกสิ่งสามารถบ่งบอกได้จากการแต่งกายของพวกเขา ตัวอย่างเช่นผู้ที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีแดงอาจจะเป็นผู้ฝึกตนของสำนักปีศาจโลหิต ส่วนคนที่บอบบางราวกับเนื้อไม้ไผ่มาจากสำนักไผ่ขื่นขม บรรดาผู้ที่แต่งกายประดับประดาไปด้วยเหล่าพืชพรรณและมีแมลงบินว่อนอยู่ที่ร่างกายของพวกเขามาจากสำนักว่านฉง และเหล่าผู้คนที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยบาดแผลของการต่อสู้มาจากสำนักพันปีศาจ
บรรดาเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายนั้นมีพฤติกรรมแปลก ๆ สำหรับผู้ฝึกตนที่มาจากสำนักอื่น ๆ นั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะแบ่งแยกพวกเขาออกจากกัน พวกเขาทั้งหมดคล้ายกันรวมทั้งสมบัติวิเศษบนหลังของเขาเหล่านั้นด้วย แต่ผู้ฝึกตนที่สามารถแบ่งแยกจากกลุ่มอื่นได้อย่างชัดเจนคือผู้ที่มาจากหอเฉวียนจี้เพราะพวกนางทั้งหมดเป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าที่งดงาม
แม้ว่าจะมองจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่ เจ้าอ้วนมองเห็นความหมายของตำแหน่งนั้น ๆ ผู้ที่มาจากสำนักที่ชั่วร้ายและสำนักที่ชอบธรรมจะแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน การแบ่งเส้นเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
แม้ว่าจะมีการปักเขตแดนที่ชัดเจน แต่แปดในสิบของผู้คนที่มาจากสำนักแห่งความชอบธรรมหรือชั่วร้าย พวกเขาทั้งหมดยืนจ้องหน้ากันพร้อมแผ่จิตสังหารออกมาทำให้บรรยากาศรอบข้างเยือกเย็น ทุกคนรู้ดีว่าสามารถเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับเจ้าอ้วนที่กำลังสำรวจสภาพแวดล้อมของตนเอง มีกลุ่มของหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีขาวปรากฏกายขึ้นตรงหน้ากลุ่มของเขาด้วยการนำของหญิงสาววัยกลางคน
หญิงสาววัยกลางคนซึ่งเป็นผู้นำนั้นงดงามราวกับว่าความงดงามเป็นโรคประจำตัวของนาง นางควบคุมปราณจิตวิญญาณของตนเองได้อย่างดีเยี่ยมและเห็นได้ชัดว่านางอยู่ในระดับหยวนหยิน นางเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวทักทายนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างสุภาพ “ทำความเคารพศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น! หลายปีมานี้เราไม่ได้พบกันเลย ท่านยังคงสง่างามเช่นเดิม!”
“เจ้าเยินยอข้าเกินไปแล้ว!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างสุภาพ เขาไม่กล้าหยาบคายกับนางและรีบกล่าวว่า “ศิษย์น้องฮ่าวยังคงสง่างามเช่นเดิม แต่ข้านั้นกลายเป็นคนชราไปเสียแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่กล่าวเกินจริงไปมากโข!” สาวงามตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “สำนักเสวียนเทียนสังหารตู๋เชียนเฉิงและอยู่ภายใต้ความมั่งของของเขา แล้วจะอยู่ในสภาพที่แก่ชราได้อย่างไรเล่า?”
เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนทันทีพร้อมกับที่เขารู้ทันทีว่านางไม่ได้ทักทายฉันท์มิตรกับเขา เขายกยิ้มขึ้นพร้อมตอบกลับอย่างระมัดระวัง “เทพธิดาฮ่าวมองข้าสูงเกินไปแล้ว คนที่สังหารตู๋เชียนเฉิงนั้นเป็นเพียงศิษย์ในสำนัก ข้ามิได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้เลย”
“โอ้ อย่างนั้นหรือ?” แววตาของหญิงสาวมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น “ข้าสงสัยว่าบุรุษผู้ใดช่างกล้าหาญที่เป็นคนสังหารตู๋เชียนเฉิง ข้าพอจะมีความโชคดีที่จะได้พบเขาหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า แน่นอน!” นักบวชฮัวอวิ๋นเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวกับเจ้าอ้วน “ซ่งจงมาเคารพเทพธิดาฮ่าวจากหอเฉวียนจี้!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาเดินออกมาพร้อมกับโค้งคำนับอย่างสุภาพ ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวทักทาย มีคลื่นเสียงแทรกเข้ามาเป็นเสียงหัวเราะซุบซิบเกี่ยวกับชื่อของเขา “ซ่งจง สวรรค์! ชื่อที่แปลกประหลาดนี้คืออะไรกัน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ในขณะที่นางกล่าวออกมาเช่นนั้น เหล่าสตรีที่มาจากหอเฉวียนจี้หัวเราะออกมาอย่างไร้ความปราณี
แม้แต่เทพธิดาผู้เลอโฉมยังหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ สิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากที่สุดในตอนนี้คือเหล่าพวกพ้องที่มาจากสำนักเดียวกันกับเขาก็ต่างพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน ในตอนสุดท้ายความโกรธนี้ได้สะสมอยู่ภายในหัวใจของเขาอย่างท่วมท้น คำพูดที่เขาต้องการจะกล่าวทักทายในตอนแรกนั้นได้หมดไปแล้วอย่างสมบูรณ์
นักบวชฮัวอวิ๋นมีอคติกับเจ้าอ้วนอยู่แล้วและไม่สนใจว่าเจ้าอ้วนจะถูกทำให้อับอายหรือไม่ แต่หงหยิงไม่สามารถอดทนกับสถานการณ์ที่เจ้าอ้วนถูกรังแกเช่นนี้ได้ นางคำรามออกมาเสียงดังลั่นภูเขา “พวกเขากำลังหัวเราะอะไรกัน! มันน่าขันมากงั้นหรือ!”
ฉุ่ยจิ้งที่เดิมเงียบสงบก็กล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น “หอเฉวียนจี้แท้จริงแล้วเป็นสำนักที่ได้รับความชื่นชมว่าเป็นผู้ที่มีสง่างามอย่างมาก!”
อาวุโสฮ่าวตกใจทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองคน นางตกใจที่แม้แต่หงหยิงก็ยังปกป้องเจ้าอ้วนผู้นี้ แต่นางมองอีกเหตุผลหนึ่งคือในอนาคตหงหยิงจะกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีพลังไร้ขีดจำกัด แต่จากการมองด้วยตาเปล่าและตรวจสอบแบบลวก ๆ หงหยิงอาจจะต้องการให้เจ้าอ้วนเป็นพันธมิตรกับนางในอนาคต ในอนาคตนางจะนำพาสำนักของตนเองไปสู่ความรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุด แต่ด้วยความคิดเช่นนี้ของนางจะทำให้นางไม่สามารถเป็นผู้นำสำนักได้เพราะจิตใจนางไม่เข้มแข็งพอ แต่สำหรับฉุ่ยจิ้งนั้นแตกต่างออกไป นางกล่าวออกมาด้วยประโยคสั้น ๆ แต่กลับการเป็นประโยคที่รุนแรงอย่างมากและเป็นการฉุดดึงเหล่าคนพวกนี้ให้นึกถึงจุดยืนของตนเอง ด้วยประโยคเดียวของนางทำให้เหล่าศิษย์ของหอเฉวียนจี้รู้สึกอับอายอย่างมาก
เทพธิดาฮ่าวจมลึกลงไปในความคิดของตนเอง ‘ดูเหมือนว่าศิษย์ของสำนักเสวียนเทียนจะเต็มไปด้วยอัจฉริยะ! หนึ่งในนั้นคือหงหยิงเป็นผู้มีพรสวรรค์ สำหรับฉุ่ยจิ้งนั้นมีพรสวรรค์และยังเฉลียวฉลาด นางอาจจะเป็นมิตรที่ดีในอนาคต ตอนนี้เราจะต้องใส่ใจพวกนางให้มาก!’
การหลุดเข้าไปในความคิดเพียงชั่วครู่ เทพธิดาฮ่าวไม่ได้แสดงสีหน้าออกมาให้ผู้ใดได้เห็น นางตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “โอ้ ทั้งหมดที่พวกเราได้กระทำลงไปเมื่อครู่นี้ ข้ารู้สึกละอายใจอย่างมาก!”
นางใช้ประโยคสั้น ๆ เพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี้ นี่แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของนาง
จากนั้นนางจึงหันมากล่าวกับเจ้าอ้วนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เจ้าสามารถสังหารตู๋เชียนเฉิงได้แม้อายุจะน้อยนัก อนาคตที่สดใสกำลังรอคอยเจ้าอยู่ภายภาคหน้า!”
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ!” เจ้าอ้วนตอบกลับ
“แน่นอนว่ามันแค่บังเอิญ เจ้าเป็นเพียงคนที่สามารถฉกฉวยผลประโยชน์จากสถานการณ์เท่านั้น!” เหล่าหญิงสาวที่เป็นศิษย์กล่าวแทรกขึ้นมาอย่างล้อเลียนราวกับว่ามองไม่เห็นอาวุโสยืนที่อยู่ตรงนั้นด้วย
เทพธิดาฮ่าวทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำที่หยาบคายของศิษย์ตนเอง พร้อมเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางจงใจให้ศิษย์ของนางแสดงกริยาเช่นนี้
เมื่อเผชิญกับการยั่วยุดังกล่าว เจ้าอ้วนไม่สนใจและไม่แยแสสิ่งใดทั้งสิ้น เขากรอกตาไปมาพร้อมกับแสดงท่าทีเมินเฉยอย่างชัดเจน เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ อีกฝ่ายคิดว่าเจ้าอ้วนกำลังหาเรื่องพวกนาง ดังนั้นนางจึงโกรธจัด พร้อมกระโดดออกมาและกล่าวว่า “ไขมันสารเลว อย่าคิดว่าเจ้านั้นเป็นคนโปรด หากเจ้ามีความสามารถจงออกมาสู้กับข้า ให้รู้กันว่าเจ้าเป็นคนมีความสามารถหรือมีแค่ความโชคดีเท่านั้น!”
“ไร้สาระ!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างเฉยชา
“อะไรกัน เจ้ากลัวงั้นหรือ?” อีกฝ่ายยั่วยุ
“แล้วข้าจะไม่กลัวได้อย่างไร!” เจ้าอ้วนเสแสร้งทำเป็นพ่ายแพ้และกล่าวว่า “ถ้าหากข้าแพ้ ข้าก็ต้องอับอายที่พ่ายแพ้ให้แก่สตรี ถ้าหากข้าชนะ ข้าจะถูกกล่าวหาว่ารังแกสตรี! แล้วข้าจะไปนำปัญหาเหล่านั้นมาใส่ตนเองด้วยเหตุใดกัน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ผู้คนที่อยู่รอบข้างหัวเราะออกมา
เทพธิดาฮ่าวตกใจอย่างรุนแรงพร้อมกับคิดในใจ ‘ไขมันสารเลวผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าจะต้องถอยเมื่อใด อีกทั้งยังฉลาดมาก ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันผู้นี้จะแข็งข้อได้มากถึงเพียงนี้! ในอนาคตคงต้องให้ความสนกับมันมากกว่านี้’
เมื่อถูกคนรอบข้างหัวเราะ หญิงสาวผู้นั้นโกรธจัดพร้อมตะโกนออกมา “ไขมันสารเลว อย่างเจ้านั้นคือสุภาพบุรุษงั้นหรือ? เหตุใดจึงพูดจามากความเช่นนี้!”
ในเวลานั้น เจ้าอ้วนไม่คิดแม้แต่จะสนใจนางพร้อมกับหันหัวไปหาเทพธิดาฮ่าวอย่างตั้งใจ “อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าของเราและมันจะดีที่สุดถ้าหากเราไม่ต่อสู้กับสำนักอื่น ๆ เพียงเพราะถูกหัวเราะเยาะ!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหันหน้าไปมองผู้คนที่ยืนอยู่รอบ ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไม่ฉลาดเอาเสียเลยถ้าหากจะต่อสู้กันในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนได้ดึงความขื่นขมที่หอเฉวียนจี้มีต่อเขาออกมาเรียบร้อยแล้ว เทพธิดาฮ่าวเผยยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “ไม่สำคัญหรอก ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋นท่านก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า แน่นอน!” นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างชาญฉลาด “อย่างไรก็ตาม ยังพอมีเวลาก่อนที่เราจะเข้าสู่พื้นที่จำกัด ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรถ้าหากเด็ก ๆ จะสร้างความครึกครื้นเล็กน้อย!”
แน่นอนว่านักบวชฮัวอวิ๋นไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไป เขาเกลียดเจ้าไขมันก้อนนี้จนแทบจะตายตกไปทุกวัน ดังนั้นเขาจึงไม่เพียงแต่ไม่ปกป้อง เขายังผลักดันให้เจ้าอ้วนเข้าสู่สนามรบอีก ซึ่งนั่นทำให้เจ้าอ้วนโกรธจัดโดยสมบูรณ์ แต่อีกฝ่ายอาวุโสกว่า และเวลานี้ยังไม่ใช่ที่เจ้าอ้วนจะสามารถระบายความโกรธได้
เมื่อได้ยินนักบวชฮัวอวิ๋นตอบรับ เทพธิดาฮ่าวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าข้าจะรู้สึกดีมาก! เนื่องจากนักบวชฮัวอวิ๋นเห็นด้วยแล้ว สนุกกันได้เต็มที่!”
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวตอบกลับมาอย่างเร่าเริง “ฮ่าฮ่า ไขมันบัดซบ ลองดูว่าเช่นนี้เจ้าจะหนีไปทางไหน!”
เจ้าอ้วนกรอกตาไปมาพร้อมคิดกับตนเอง ‘แม่นกน้อยเอ๋ยการจัดการกับเจ้านั้นง่ายเสียยิ่งกว่ายกมือขึ้นเสียอีก ข้าต้องหนีอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อเจ้าต้องการความตาย อย่าตำหนิข้าที่ต้องทำลายดอกไม้ที่สวยงามเช่นนี้! สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีข้าปรับแต่งมาเนิ่นนานแต่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้มันสักที! เจ้าจะต้องเสียสละเพื่อทดลองมันสักหน่อยแล้ว!’
เจ้าอ้วนก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าพร้อมนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร พร้อมที่จะต่อสู้กับนางแล้ว แต่ในขณะนั้น เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้น “ศิษย์น้องหญิงกลับมา ให้ข้าจัดการเอง!”
ในขณะที่เสียงนั้นดังขึ้น หญิงสาวผู้งดงามปรากฏขึ้นตรงหน้าของเจ้าอ้วนพร้อมมีรังสีของความแข็งแกร่งแผ่กระจ่ายออกมา
หญิงสาวโต้กลับทันที “ศิษย์พี่ เหตุใดท่านจึงต้องมาแย่งข้า? เขาไม่ใช่ศัตรูของท่าน!” จากนั้นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นกล่าวออกมา “เจ้าจะพ่ายแพ้!”
“เหอะ ข้าไม่เชื่อท่าน!” หญิงสาวตอบกลับมาอย่างขุ่นเคือง
แต่เทพธิดาฮ่าวกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ปิงเอ๋อ เจ้ากลับมาก่อนและปล่อยให้ศิษย์พี่ของเจ้าต่อสู้ ศิษย์น้องซ่งนั้นเป็นคนสำคัญของสำนักเสวียนเทียนและมันเหมาะสมแล้วที่จะให้ศิษย์พี่ของเจ้าต่อสู้กับเขาในครั้งนี้!”
เมื่อได้ยินอาจารย์ของตนกล่าวเช่นนั้น ปิงเอ๋อรีบถอยหลบไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่านางเคารพอาจารย์ของตนเองมากและเชื่อว่านางจะไม่โกหกต่อตนเอง ถ้าหากอาจารย์กล่าวว่านางจะไม่อาจเอาชนะได้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น ซึ่งนั่นทำให้นางเชื่อฟังอย่างไม่อาจช่วยได้
ในขณะนั้นเจ้าอ้วนกำลังมองหญิงสาวที่หนาวเย็นผู้นี้ จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างสุภาพ “ศิษย์น้องมีชื่อว่าซ่งจงแต่ว่าข้าจะเรียกศิษย์พี่ว่าอย่างไร?”
“เราทั้งคู่ต่างอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามและความอาวุโสของเราควรเป็นไปตามอายุ ดังนั้นข้าควรจะเป็นศิษย์น้อง!” นางยิ้มให้กับเจ้าอ้วนพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยเสียงไม่เป็นมิตร “ศิษย์น้องหานปิงเอ๋อ ทำความเคารพศิษย์พี่ซ่ง!”
“เจ้ากล่าวเกินไป!” เขาตอบอย่างสุภาพ และไม่กล้าที่จะดูหมิ่นสาวงามผู้นี้ “เป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่งศิษย์น้องหาน!”
เมื่อทั้งคู่ลุกยืนขึ้น นักบวชฮัวอวิ๋นมองไปที่หานปิงเอ๋อด้วยความตกใจพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องฮ่าว กลิ่นอายแห่งความหนาวเย็นเช่นนี้ที่เป็นเอกลักษณ์ อย่าบอกข้านะว่ามันคือสิ่งนั้น?”
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋นเป็นคนฉลาด ใช่แล้ว หานปิงเอ๋อเป็นผู้ครอบครองสมบัติของสำนัก ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เฉวียนจี้!” เทพธิดาฮ่าวกล่าวออกมาอย่างร่าเริง
ในช่วงเวลาที่เทพธิดาฮ่าวกล่าวออกมา เหล่าคนรอบข้างสูดหายใจเอาลมหนาวเย็นเข้าไปเต็มปอด เหตุผลง่ายนิดเดียว ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์นั้นมีชื่อเสียงอย่างมาก มันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดแห่งหอเฉวียนจี้
ว่ากันว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ได้ถูกปรับแต่งโดยมนุษย์ มันเกิดขึ้นมาจากเทือกเขาใหญ่ นับล้านลี้ขึ้นไปทางเหนือ หลังจากที่มันได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว มันฝึกฝนตนเองด้วยการดูดซับพลังงานจากธรรมชาติ ผ่านมานานนับหลายร้อยปี มันเข้าสู่ระดับเซียนเทียน มันถูกค้นพบโดยความบังเอิญจากผู้ฝึกตนระดับเฟิ่นเสินของหอเฉวียนจี้ หลังจากที่พวกเขาได้พยายามกันอย่างหนักจึงทำให้ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เฉวียนจี้มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ว่ากันว่าหากมันอยู่ในมือของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง มันสามารถแช่แข็งบริเวณโดยรอบได้ถึงห้าร้อยลี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรกาย ทั้งหมดจะหายไปทันที พลังของดาบนี้ทำให้เหล่าคนมากมายหวาดกลัว กล่าวได้ว่าดาบนี้เกิดมาเพื่อสังหารเท่านั้น แม้ว่ากระบี่เฟิ่งหมิงจะมีความเร็วที่เหนือชั้นแต่ก็ไม่อาจเทียบกับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์เฉวียนจี้ได้
แม้ว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จะเคยอยู่ในสถานที่ลึกลับหลังจากเจ้าของเสียชีวิตไป จากนั้นมันไม่เคยปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็นอีกเลยหลังจากผ่านมานานหลายทศวรรษ จนผู้คนต่างหลงลืมมันไปแล้ว
หญิงสาวผู้หนึ่งนามว่าหานปิงเอ๋อกลายเป็นเจ้าของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ โดยนางต้องการต่อสู้กับเจ้าอ้วน
หลังจากที่ทุกคนรู้ว่าหานปิงเอ๋อครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ ทุกคนถอนหายใจและคิดกับตนเอง ‘เด็กโง่ผู้นี้จะต้องตายอย่างแน่นอน!’
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะรู้สึกกังวลอยู่บ้าง เขาทำได้เพียงกลืนน้ำลายพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องหาน เราเสียเวลากันมามากแล้ว เราสามารถไปต่อสู้กันเวลาอื่นได้หรือไม่?” เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าอ้วนก็เกรงกลัวดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์นี้อยู่เช่นกัน
ตอนที่ 127: ดาบปราณเย็นกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่หานปิงเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางหัวเราะเยือกเย็นก่อนจะกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซ่ง อย่าทำให้ข้าคิดว่าท่านกำลังจนมุม!”
เจ้าอ้วนกรอกตาไปมาพร้อมตอบกลับอย่างรังเกียจ “ข้าจะไม่มีวันพ่ายแพ้ถ้าหากเจ้าอยู่ที่ส่วนล่างของข้า!” เขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าอยากจะเล่นกับนางมากกว่าที่จะต่อสู้กัน
หานปิงเอ๋อขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ซ่ง ไม่ว่าเราจะสู้กันวันนี้หรือเมื่อไหร่ไม่ใช่เจ้าเป็นคนตัดสินใจ!”
“ทำไม?” เจ้าอ้วนถามกลับอย่างงุนงง “เราไม่มีความบาดหมางกันในอดีตและนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เราพบเจอกัน แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องบังคับให้ข้าเข้าร่วมด้วย? อย่าบอกนะว่าเจ้าเพียงต้องการชื่อเสียงเท่านั้น?”
“ชื่อเสียงนั้นไม่ได้มีความหมายใดกับข้า เหตุผลเดียวที่ข้ามองหาเจ้าเป็นเพราะศิษย์น้องมู่ซื่อหรง” หานปิงเอ๋อมีความโกรธจัดแสดงออกมาบนใบหน้าพร้อมกล่าวต่อว่า “นางคือมิตรที่ดีของข้า แต่กลับต้องบาดเจ็บหนักด้วยวิธีสกปรกของเจ้าและต้องนอนเป็นผักอย่างน้อยถึงสิบปี วันนี้ข้าจะมาล้างแค้นให้กับน้องสาวมู่!”
เจ้าอ้วนเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างทันทีหลังจากที่หานปิงเอ๋ออธิบายออกมา ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดเทพธิดาฮ่าวจึงต้องการสร้างปัญหาให้เขา ไม่แปลกใจเลยทำไมนักบวชฮัวอวิ๋นไม่หยุดนาง ราวกับว่าพวกเขาทั้งหมดสมรู้ร่วมคิดกันอย่างชัดเจนว่าต้องการให้เจ้าอ้วนตายตกไปในวันนี้
เจ้าอ้วนได้ยินมานานแล้วว่านักบวชฮัวอวิ๋นนั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้คนของหอเฉวียนจี้และไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ต้องเป็นช่วงเวลาเช่นนั้นที่ความสัมพันธ์ของหานปิงเอ๋อและมู่ซื่อหรงได้พัฒนาความสัมพันธ์จนสนิทกัน
แท้จริงแล้วการคาดเดาของเจ้าอ้วนนั้นมีส่วนถูกอยู่มาก นักบวชฮัวอวิ๋นนั้นสนิทสนมกับหอเฉวียนจี้อย่างมาก อีกทั้งหานปิงเอ๋อและมู่ซื่อหรงยังสนิทกัน แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เจ้าอ้วนเดาไม่ถูกต้อง
เหตุการณ์ที่เกิดอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ไม่ได้เป็นแผนการของนักบวชฮัวอวิ๋นที่สมรู้ร่วมคิดกับเทพธิดาฮ่าว แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนได้แยกจากกันนานแล้ว
เหตุผลเดียวที่เทพธิดาฮ่าวเข้ามาสร้างปัญหาในครั้งนี้เนื่องจากนางไม่พอใจที่เจ้าอ้วนสังหารตู๋เชียนเฉิง บังเอิญว่าหานปิงเอ๋อได้รับจดหมายจากมู่ซื่อหรงเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าอ้วน ส่งผลให้หานปิงเอ๋อใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อแสดงพลังของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ หานปิงเอ๋อครอบครองมันมานานเพียงหนึ่งถึงสองปีและนางยังไม่เคยใช้มันต่อสู้เลยสักครั้ง ดังนั้นนอกจากสำนักของนางจึงไม่มีผู้ใดทราบว่านางครอบครองมันอยู่ แม้แต่มู่ซื่อหรงก็ตาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่นักบวชฮัวอวิ๋นจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่นักบวชฮัวอวิ๋นมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่สามารถบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด เทพธิดาฮ่าวเพียงต้องการค้นหาเจ้าอ้วนและระบายความโกรธเล็กน้อยเท่านั้น นางไม่ได้ต้องการที่จะตัดความสัมพันธ์กับสำนักเสวียนเทียนทั้งหมด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักบวชฮัวอวิ๋นไม่เอาตัวเข้าไปขวางหอเฉวียนจี้เพียงเพราะเจ้าอ้วนแน่นอน ความจริงแล้วเขาแทบจะอดทนรอไม่ไหวที่จะมองเห็นคนของหอเฉวียนจี้ฉีกเจ้าอ้วนเป็นชิ้น ๆ เหตุจากความโกรธในคราวที่เขาถูกโกงเอาดาบแห่งธาตุทั้งห้าไป ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะปล่อยเรื่องราวนี้ไปราวกับว่ามองไม่เห็น
เนื่องจากอีกฝ่ายกล่าวถึงมู่ซื่อหรงและนักบวชฮัวอวิ๋นบังคับให้เขาเข้าสู่การต่อสู้ เจ้าอ้วนจึงรู้ทันทีว่านี่คือการต่อสู้ที่ไม่อาจหลบเลี่ยง อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่ากระบี่เฟิ่งหมิง ส่งผลให้เจ้าอ้วนกังวลเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้ เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์นี้อย่างมาก
ขอบคุณสวรรค์ หงหยิงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป นางไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้าอ้วนของตนได้ “ให้ข้าต่อสู้กับเจ้าแทน เห็นได้ชัดว่านี่เจ้ากำลังพยายามใช้สมบัติวิญญาณเพื่อกลั่นแกล้งเขาใช่หรือไม่? สิ่งนี้ถูกต้องงั้นหรือ?!”
เมื่อเห็นว่าหงหยิงกล่าวเช่นนั้น หานปิงเอ๋อขมวดคิ้วพร้อมกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “ศิษย์น้องหงหยิง นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับศิษย์พี่ซ่ง ขอเจ้าอย่าก้าวก่ายเลย!”
“แล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นถ้าหากข้าจะก้าวกาย?” หงหยิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารังแกเขา!”
เห็นได้ชัดเจนว่าหานปิงเอ๋อไม่พอใจที่จะต่อสู้กับหงหยิง เนื่องจากสถานะของทั้งสองคนแตกต่างกัน การที่ทำร้ายนางก็เท่ากับว่าทำร้ายสำนักเสวียนเทียน ดังนั้นนางจึงมองไปที่เจ้าอ้วนและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซ่ง เจ้าเป็นบุรุษ อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการจะยืนหลบอยู่หลังของสตรี?”
“บางครั้งข้าก็ต้องทำเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนยิ้มกว้าง
หานปิงเอ๋อโกรธจัดจนแทบจะตายตกไปทันทีหลังจากที่ได้ยิน ใบหน้าของนางแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดพร้อมกล่าวว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าจะขอแลกเปลี่ยนฝีมือกับศิษย์น้องก่อนที่จะมาดูแลเจ้า!” นางกล่าวพร้อมกับทำท่าพร้อมต่อสู้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หงหยิงเตรียมตัวทันที เจ้าอ้วนดึงหงหยิงกลับมาพร้อมกับกล่าวออกไปว่า “ศิษย์น้อง ให้ข้าจัดการเอง!”
“แต่พี่ชายอ้วน เจ้าไม่มีสมบัติวิญญาณ เจ้าจะไม่สามารถเอาชนะนางได้!” หงหยิงกล่าวออกมาอย่างกังวล “หรือแม้เจ้าจะมีสมบัติวิญญาณ เจ้าก็ไม่อาจเอาชนะนางได้!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างขื่นขม “เราไม่อาจคาดการณ์ผลเสียที่จะเกิดขึ้นได้ ปล่อยให้ข้าไปต่อสู้เถิด! อีกอย่างข้าไม่สามารถหลบหลังของเจ้าไปได้ตลอด!”
“แต่!” เมื่อหงหยิงได้ยินเช่นนั้น นางต้องการจะกล่าวอะไรออกมาสักอย่าง
แต่นางไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าอ้วนจะดึงนางไปยืนอยู่ด้านหลังของเขา “เด็กน้อยฟังข้านะ แม้ว่าพี่ชายของเจ้าจะดูซื่อ แต่ทว่าข้าก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมารังแกโดยง่าย! แม้แต่ผู้ครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ก็ไม่อาจทำได้! เพียงแค่เจ้ารอและมองดู โปรดเชื่อในตัวข้า!”
เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น หงหยิงรู้ทันทีว่าเขามีแผนอยู่ในใจแล้ว ดังนั้นนางจึงถอยไปด้านหลัง “ตกลงพี่ชายอ้วน เจ้าไปเถอะ ไปดูแลสหายผู้นั้นที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”
เจ้าอ้วนไม่ได้ตอบกลับอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น จากนั้นเขาก้าวไปด้านหน้าสองถึงสามก้าวและยืนอยู่ตรงหน้าหานปิงเอ๋อด้วยท่าทีสงบและกล่าวว่า “ศิษย์น้องจงดีใจเถิด ข้าสามารถต่อสู้กับเจ้าได้เพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!”
เมื่อเห็นเจ้าอ้วนเต็มใจจะต่อสู้ นางกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าบุรุษที่แสนจะเจ้าเล่ห์จะเป็นคนที่ร้อนแรงเช่นนี้! ในกรณีนี้ข้าจะไม่รังแกเจ้าโดยการใช้ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ และข้าจะใช้เพียงมือเดียวเท่านั้น!” หลังจากที่กล่าวจบ นางเก็บมือซ้ายไว้ด้านหลัง จากนั้นยกมือขวาขึ้นมาอย่างภูมิใจว่า “ตราบใดที่ศิษย์พี่ซ่งสามารถทนการโจมตีของข้าได้นานสิบนาที ข้าจะถือว่าเรื่องราวของมู่ซื่อหรงได้จบลง!”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เหล่าบุคคลที่อยู่รอบข้างล้วนต่างแต่จ้องมองมาเป็นจุดเดียว ในขณะที่หานปิงเอ๋อกล่าวเช่นนั้น ทุกคนตกใจทันที ความหยิ่งยโสเหล่านี้คืออะไรกัน? นี่คือการเหยียดหยามเจ้าอ้วนต่อหน้าคนหมู่มาก หานปิงเอ๋อกล่าวว่าจะไม่ใช้สมบัติวิญญาณของตนและจะเอาชนะศิษย์ระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามด้วยมือเพียงข้างเดียวภายในเวลาแค่สิบนาที สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือศิษย์ผู้นั้นเป็นบุคคลที่สังหารตู๋เชียนเฉิงไปเมื่อสองเดือนที่แล้ว
ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเข้าใจสถานการณ์ที่หญิงสาวผู้นี้กำลังจะทำ แม้แต่เจ้าอ้วนยังรู้สึกโกรธจัดอย่างช่วยไม่ได้
จากนั้นเขาก็วางมือซ้ายไว้ข้างหลังพร้อมกับยกมือขวาขึ้น “ศิษย์น้องช่างมีความเมตตามากเหลือเกินในวันนี้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นคนโง่ผู้นี้จะขอใช้มือเพียงข้างเดียวเพื่อเล่นกับศิษย์น้องเช่นกัน ถ้าหากเจ้าสามารถทำร้ายข้าได้ ข้าจะไม่ร้องทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น!”
หานปิงเอ๋อเข้าใจทุกอย่างทันทีหลังจากที่ได้ยิน นางเผยยิ้มพร้อมกล่าวอย่างสงบ “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าศิษย์พี่ซ่งจะเย่อหยิ่งเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้จงเตรียมพร้อมรับการโจมตีของข้า!”
เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางฉกมืออย่างรวดเร็วพร้อมกับมีแสงดาบที่อัดแน่นไปด้วยปราณจิตวิญญาณของน้ำแข็งพุ่งมาที่เจ้าอ้วน
ดาบเล่มนี้ไม่กว้างมากนักและมีความยาวเพียงสิบฟุตเท่านั้น มันหนาพอ ๆ กับนิ้วมือและดูเหมือนว่าจะไม่ร้ายแรงอะไรนัก แต่ทว่าปราณจิตวิญญาณแห่งน้ำแข็งนั้นมีความรุนแรงมาก ในขณะที่มันปรากฏออกมา พืชทั้งหมดโดยรอบล้วนแต่ถูกแช่แข็งไว้ทันที
ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิยังไม่อาจหลบการโจมตีครั้งนี้ได้ แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะกล่าวว่านางจะไม่ใช้ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางสามารถยืมความสามารถของสมบัติวิญญาณได้อย่างลับ ๆ ดังนั้นนางจึงโจมตีออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือที่มาของความมั่นใจทั้งหมดที่นางมี สิ่งที่นางคิดคือผู้ที่อยู่ในระดับเซียนเทียนภายในระยะที่นางคาดการณ์ไว้จะไม่อาจป้องกันการโจมตีจากปราณเย็นของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ได้
เมื่อหันไปมองแสงดาบที่กำลังพุ่งมา เจ้าอ้วนมองว่ามันอันตรายมากและไม่กล้าที่จะประมาท เขาขยับนิ้วของตนทันทีพร้อมกับดีดไข่มุกสีเหลืองไปมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พวกมันปะทะกัน ทั้งสีขาวและสีเหลืองเกิดการระเบิดขึ้นทำให้ภูเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
หลังจากการระเบิดนั้นปรากฏเป็นกองไฟขนาดใหญ่ล้อมรอบดอกไม้แช่แข็งไว้ด้านในภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา
หานปิงเอ๋อตกใจทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนสามารถหักล้างการโจมตีของนางได้อย่างง่ายดาย “สายฟ้าแห่งปฐพีศักดิ์สิทธิ์! ศิษย์พี่ซ่งเป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้างั้นหรือ?!”
ทุกคนที่เป็นพยานในที่นี้ตกใจอย่างรุนแรง ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้านั้นไม่ได้มีมากนัก แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนที่จะเป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้าได้นั้นไม่ได้พบเห็นมานานนับพันปีแล้ว เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ต้องมีพรสวรรค์ แต่ยังต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แม้แต่หงหยิงยังสามารถเรียนรู้ได้เพียงสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีและยังไม่เคยปรับแต่งมันด้วยตนเองเลยสักครั้ง ดังนั้นนางจึงไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้า ดังนั้นทุกคนจึงตกใจมากที่เจ้าอ้วนเป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้าในวัยเยาว์เช่นนี้ได้
“ฮ่าฮ่า ข้าคงเป็นเพียงเรื่องตลกต่อหน้าเจ้า” เขายังคงสงบและอยู่ในสภาพที่ดี ในตอนนี้เขาค่อนข้างพอใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะว่าตอนนี้เขาอยู่ต่อหน้าผู้คนหลายสำนัก
แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะตกใจที่เจ้าอ้วนเป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้า แต่นางก็ไม่ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก นางส่งคลื่นปราณเย็นออกไปพร้อมกันสามครั้ง ในทิศทางที่แตกต่างกัน ในเวลาเดียวกันนางกล่าวออกมาอย่างใจเย็นว่า “ความสามารถของศิษย์พี่ซ่งช่างน่าตกตะลึงจริง ๆ มันมากพอที่จะป้องกันดาบปราณเย็นของข้า แต่ข้าสงสัยว่าหากเป็นเช่นนี้ เจ้าจะควบคุมพวกมันได้ไหม!”
ในขณะที่หานปิงเอ๋อกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของเจ้าอ้วนเคร่งขรึม เขาสบถในใจอย่างช่วยไม่ได้ ‘เหตุใดแม่มดตนนี้จึงหลักแหลมยิ่งนัก? เนื่องจากนางรู้ดีว่าการปรับแต่งสายฟ้าไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าจะใช้มันอย่างสิ้นเปลืองไม่ได้ แต่นางกลับบังคับให้ข้าต้องทำเรื่องยากเช่นนี้เสียแล้ว ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้!’
เจ้าอ้วนมองอย่าผิดหวัง เขาไม่มีสิ่งใดจะกำบังดาบปราณเย็นทั้งสามที่ถูกส่งมาจากหานปิงเอ๋อได้ ดังนั้นเขาจึงโยนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ออกไปอีกครั้ง และใช้ปริมาณที่ชัดเจนเพื่อควบคุมการสูญเสีย
ทุกคนได้ยินการระเบิดที่เกิดขึ้นและดาบปราณเย็นของหานปิงเอ๋อได้ถูกป้องกันไว้ แต่เจ้าอ้วนได้สูญเสียสายฟ้าไปทั้งหมดห้าลูก ห้ากับสามเป็นปริมาณที่บ่งบอกได้ว่าหานปิงเอ๋อสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ดีกว่าเจ้าอ้วน
บทที่ 128: พ่ายแพ้
เมื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาของหานปิงเอ๋อเปล่งประกายพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่ซ่ง ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังควบคุมสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองไม่ค่อยได้นะ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ให้ศิษย์น้องผู้นี้สั่งสอนล่ะ!” ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น มือที่เรียวงามของนางได้ส่งคลื่นดาบปราณเย็นออกมาอีกครั้ง เพียงอึดใจเดียว คลื่นดาบปราณเย็นพุ่งฉีกผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว ความเย็นที่แผ่ออกมาจากคลื่นดาบทำให้บริเวณรอบข้างถูกแช่แข็งไปกว่าร้อยฟุต
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างต่อเนื่อง เจ้าอ้วนทำได้เพียงส่งสายฟ้าแห่งปฐพีศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีออกไปเท่านั้น เขาอาศัยธาตุดินที่จะเอาชนะธาตุน้ำได้ ซึ่งในตอนนี้เขาแทบจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีเหล่านี้ได้เลย แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากกว่าคือจำนวนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เขาใช้ออกไปนั้นมากกว่าฝ่ายตรงข้ามถึงสองเท่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่าเขาจะต้องอกแตกตายเพราะความเสียใจ คลื่นดาบปราณเย็นของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ต้องใช้สิ่งใดมากในการสร้างมันขึ้นมา ทั้งหมดเป็นพลังของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ แต่ทว่าสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาผลิตมันขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าในท้ายที่สุดเขาจะพ่ายแพ้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่เด็ดขาดของหานปิงเอ๋อ เจ้าอ้วนรู้สึกหงุดหงิดที่เขาถูกบังคับเช่นนี้ ในตอนนี้เขาเริ่มโกรธจัดแล้ว พร้อมกับเปล่งเสียงออกมาอย่างเยือกเย็น “ศิษย์น้อง เจ้าต้องเข้าใจนะแม้ว่าข้าจะอ่อนแอเรื่องการควบคุมสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าพลังของมันไม่ได้อ่อนแอตาม แม้แต่เจ้าก็ยังสามารถป้องกันได้ลำบาก เราไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและข้าไม่อยากจะเป็นคนที่ไร้ความเมตตา โปรดหยุดการกระทำของเจ้าในตอนนี้ซะ อย่าบังคับข้า!” นี่เป็นคำเตือนสุดท้ายที่เขากล่าวกับหานปิงเอ๋อ ถ้าหากนางยังคงยืนยันจะโจมตีต่อไป เจ้าอ้วนจะเริ่มการต่อสู้ของจริงทันที
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของเจ้าอ้วนไร้ความหมาย หานปิงเอ๋อไม่ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อยพร้อมตอบกลับอย่างเย็นชา “ศิษย์พี่ ถ้าหากเจ้ามีความสามารถก็จงแสดงมันออกมา! นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจนใบหน้าสั่นไหว จากนั้นเขาจึงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ขอให้ศิษย์น้องเตรียมรับมือการโจมตีของข้าบ้าง!” ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น มือเขาของเขาสะบัดไข่มุกสีทองออกมาอย่างรวดเร็วและเกิดเป็นสายฟ้ายิงออกมาอย่างต่อเนื่อง สายฟ้าแห่งปฐพีศักดิ์สิทธิ์ป้องกันการโจมตีของดาบปราณเย็นได้อย่างดี พร้อมด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีที่พุ่งออกมาราวกับมังกรวิ่งเข้าหาหานปิงเอ๋อ อีกทั้งวารีอสนีขั้วลบที่คืบคลานเข้ามาทางด้านหลังของหานปิงเอ๋ออย่างเงียบเชียบ
ดาบปราณเย็นชนเข้ากับสายฟ้าแห่งปฐพีศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง สนามต่อสู้ในตอนนี้ยุ่งเหยิงอย่างถึงที่สุด บวกกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีและอสนีวารีขั้วลบที่อันตราย ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าหากจะบาดเจ็บจากเหตุการณ์เช่นนี้ ในตอนนี้หานปิงเอ๋อไม่ทันสังเกตอันตรายที่อยู่ด้านหลังของตน สมาธิของนางทั้งหมดจดจ่ออยู่กับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคี นางส่งคลื่นดาบปราณเย็นออกไปเพื่อป้องกันตนเองจากสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีก่อนที่มันจะทำอันตรายนางได้
อย่างไรก็ตามเจ้าอ้วนใช้โอกาสนี้เพื่อปลดปล่อยพลังของอสนีวารีขั้วลบที่อยู่ด้านหลังของนางทันที กว่าที่นางจะรู้ตัวสายฟ้าที่อันตรายอยู่ห่างจากนางเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น ซึ่งระยะทางเพียงแค่นี้คือรัศมีการระเบิดของมันแล้ว
ทันทีที่หานปิงเอ๋อสังเกตุเห็นอสนีวารีขั้วลบ นางตกใจมากและร่างกายหยุดนิ่งชั่วขณะ นางใช้ปราณจิตวิญญาณกลับมาเพื่อป้องกันตนเองอย่างรวดเร็ว ในวินาทีสุดท้ายนางไม่อาจป้องกันอสนีวารีขั้วลบทั้งหมดได้ นางจึงดึงพลังของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ออกมาช่วยเหลือทันที แต่ทว่าความเสียหายในครั้งนี้มากเกินไป ในขณะที่ดาบปรากฏออกมา สภาพแวดล้อมในรัศมีหนึ่งหมื่นฟุตถูกเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิให้ติดลบทันที ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบสนามต่อสู้จึงต้องปรับลมปราณของตนเองเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายอย่างรวดเร็ว
สำหรับอสนีวารีขั้วลบ มันระเบิดทันทีเมื่อปะทะกับปราณเย็นที่ถูกส่งออกมา เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่บนเกราะป้องกันของหานปิงเอ๋อ ร่างกายของนางสั่นไหว จากนั้นมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากเรียวบางของนาง เห็นได้ชัดเจนว่านางได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถ้าหากนี่เป็นการซ้อมแบบตัวต่อตัว ถือว่าเจ้าอ้วนได้รับชัยชนะแล้ว แต่ทว่าทั้งนักบวชฮัวอวิ๋นและเทพธิดาฮ่าวยังคงปิดปากของพวกเขาอย่างเงียบเชียบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการให้หานปิงเอ๋อสู้ต่อไป มันเป็นเพียงความประมาทเท่านั้นที่ทำให้นางได้รับบาดเจ็บ ถ้าหากปล่อยให้สู้กันต่อ นางจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดจะปล่อยเจ้าอ้วนไปง่าย ๆ เช่นนี้ ทั้งคู่จึงทำตัวเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินต่อไป
ในขณะนั้น ใบหน้าที่ซีดขาวของหานปิงเอ๋อได้กลับมาเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง นางเช็ดเลือดที่ริมฝีปากพร้อมกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่ซ่ง ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าเจ้าจะมีสายฟ้าถึงสามประเภททั้งปฐพี อัคคี และวารี แน่นอนว่ามันเกินความคาดหวังของน้องสาวผู้นี้อย่างมาก”
“ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนขมวดคิ้วพร้อมกล่าวต่อว่า “ศิษย์น้อง นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พี่ชายผู้นี้จะปรับแต่งสายฟ้าเหล่านี้ได้และข้าไม่ต้องการจะใช้มันกับเจ้า เราควรพิจารณาการต่อสู้ในครั้งนี้ได้แล้วหรือไม่?”
“ไร้สาระ!” หานปิงเอ๋อตอบกลับอย่างรวดเร็ว “สิ่งที่ศิษย์พี่ยังไม่ทราบก็คือน้องสาวผู้นี้ช่างดื้อรั้นอย่างถึงที่สุดและไม่มีวันจะยอมรับความพ่ายแพ้นี้ได้ แต่ที่ข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากศิษย์พี่ในวันนี้ ทำให้ข้าเข้าใจว่าไม่ควรประมาทเจ้าเกินไป และหัวใจของข้ายังไม่อาจยอมรับได้ว่าจะต้องพ่ายแพ้คนเช่นเจ้า!”
“เจ้าหมายความว่าการต่อสู้ของเราในวันนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อมีผู้ใดตายตกไป?” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ไม่จำเป็น!” หานปิงเอ๋อตอบกลับอย่างจริงจัง “แค่ในตอนนี้ศิษย์พี่ได้สั่งสอนน้องสาวผู้นี้อย่างมากมาย แม้ว่าข้าจะไม่อาจยอมรับมันได้ แต่ข้าก็จะไม่ต่อสู้อย่างไร้เหตุผล สำหรับเรื่องนี้ ข้าจะโจมตีอีกหนึ่งครั้งเท่านั้น ไม่ว่าศิษย์พี่จะป้องกันได้หรือไม่ การต่อสู้ทั้งหมดจะจบลงในวันนี้”
ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น แล้วเจ้าอ้วนจะพูดสิ่งใดได้? เขาหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นพร้อมตอบกลับว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ได้โปรดสั่งสอนข้าเถิด!”
“ถ้าเช่นนั้น ขอศิษย์พี่โปรดระวัง!” เมื่อนางกล่าวจบ นางสูดหายใจเข้าและปลดปล่อยคลื่นปราณเย็นออกมา ทุกคนโดยรอบรู้สึกตัวทันทีราวกับว่าพวกเขากำลังเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างฉับพลัน เห็นได้ชัดว่าหานปิงเอ๋อปลดปล่อยพลังออกมาอย่างสุดกำลังและนี่คือการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของนาง
ในขณะนั้น นางค่อย ๆ ยกมือขวาขึ้นและปรากฏหมอกจางบนอากาศ เกิดเป็นแสงสีขาวจางออกมาหลอมรวมกันเป็นกลุ่มก้อน จากนั้นหานปิงเอ๋อตะโกนออกมา “คมดาบเยือกแข็ง!”
สิ้นสุดเสียงของนาง เกิดเป็นดาบมากมายยิงออกมานับไม่ถ้วนจากมือของนาง พวกมันทั้งหมดบดบังท้องฟ้าและยิงไปที่เจ้าอ้วนราวลูกศรนับพันดอก
ในขณะนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดของเจ้าอ้วนในตอนนี้คือระฆังลมทองแดง แต่ก่อนหน้านี้เขากล่าวไว้ว่าจะใช้เพียงมือขวาเท่านั้น แม้ว่าเขาจะมีใบหน้าที่หนาเตอะ แต่ก็ไม่อาจกลืนน้ำลายตนเองได้ ดังนั้นเขาจึงใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่มีเพื่อป้องกันการโจมตีนี้
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นับสิบถูกส่งออกไปโดยเจ้าอ้วน เมื่อมันปะทะกับดาบปราณจึงเกิดการระเบิดขนาดใหญ่ ผู้ชมรอบข้างต่างมองเห็นประกายไฟมากมายจากการระเบิดครั้งนี้
ผู้คนในที่นี้ไม่มีใครอ่อนแอ เมื่อมองเห็นรัศมีการต่อสู้เพิ่มขึ้นพวกเขาสามารถหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว ความตกใจทั้งหมดถาโถมขึ้นภายในใจและคิดในใจ ‘แม้กระทั่งการต่อสู้ของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิยังไม่อาจรุนแรงถึงเพียงนี้ อีกทั้งพวกเขายังคงไม่ได้ใช้เทคนิคสังหารใดอีกด้วย ถ้าหากพวกเขาใช้มือทั้งสองข้าง การต่อสู้นี้จะน่ากลัวเพียงใด? เกรงว่ามันจะกลายเป็นการต่อสู้ที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับจินตัน!’
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากคิดในใจเงียบ ๆ เท่านั้น ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือในอดีตที่ผ่านมา แม้ว่าความแข็งแกร่งของเหล่าสำนักต่าง ๆ จะมีมากเพียงใด แต่ศิษย์ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง เนิ่นนานกว่าพวกเขาจะปรากฏตัวขึ้น ผลไม้วิญญาณสามสิบชิ้นจึงเพียงพอที่จะแบ่งให้พวกเขาทั้งหมดได้
แต่ในปีนี้ มีคนสองคนที่ดื้อด้านอยู่ในที่แห่งนี้ อีกทั้งเหล่าศิษย์ผู้อื่นที่ครอบครองสมบัติวิญญาณ พวกเขาทั้งหมดมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลไม้วิญญาณ ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากสำนักใด ถ้าหากแย่งชิงผลไม้วิญญาณไปได้ ก็ถือว่าไม่ผิดกฏ
นอกจากนี้เหล่าชนชั้นสูงที่มาจากสำนักเสวียนเทียนและหอเฉวียนจี้ ทั้งสองสำนักนี้มีความแข็งแกร่งอย่างมาก ถ้าหากพวกเขาได้รับผลไม้วิญญาณจะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งอย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งทำให้สำนักอื่นกังวลใจอย่างมาก
ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นผู้นำคนสำคัญของสำนักตนเอง พวกเขามองเห็นปัญหาที่อยู่ในสถานการณ์นี้แล้ว ซึ่งมันอันตรายต่อสำนักของพวกเขา เหล่าคนเจ้าเล่ห์ทั้งหลายจึงวางแผนการต่อต้านสำนักเสวียนเทียนและหอเฉวียนจี้อย่างลับ ๆ พวกเขาติดต่อกันด้วยสัมผัสทางจิตวิญญาณเพื่อคุยกัน สำนักใหญ่ทั้งสองที่กำลังต่อสู้ไม่ได้ระแคะระคายเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย
พวกเขาวางแผนอย่างเงียบเชียบ ในตอนจบเจ้าอ้วนใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปนับร้อยลูก เกิดเป็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่บนภูเขาแห่งนี้ ในที่สุดเขาก็ป้องกันการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน หานปิงเอ๋อยังใช้คลื่นดาบปราณเย็นเพื่อดึงดูดความสนใจของเจ้าอ้วนและแอบใช้พลังของดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์อย่างลับ ๆ และปรากฏคลื่นพลังออกมาจากใต้ดินตรงหน้าของเจ้าอ้วนและระเบิดทันที เจ้าอ้วนที่ไม่ได้ตั้งตัวถูกระเบิดเข้าอย่างรุนแรงจนไม่อาจต้านทานไว้ได้
แม้ว่ากล้ามเนื้อและกระดูกของเจ้าอ้วนจะแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า แต่ก็ไม่อาจหยุดพลังของสมบัติวิญญาณได้ ดาบแทงทะลุตัวของเจ้าอ้วนเกิดเป็นรูขนาดเท่าหัวแม่มือ จากนั้นเลือดก็เริ่มซึมออกมาอย่างฉับพลัน
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของนางสำเร็จ หานปิงเอ๋อหยุดมือทันทีพร้อมกล่าวอย่างสงบ “ศิษย์พี่ซ่ง ข้าชนะแล้ว!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางหันหลังกลับพร้อมเดินจากไป
“พี่ชายอ้วน!” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หงหยิงตะโกนออกมาพร้อมกับรีบเข้าไปพยุงเขาทันที นางมองเขาที่ได้รับบาดเจ็บ นางโกรธจัดพร้อมกระโดดออกมาด้านหน้าและตะโกนว่า “หานปิงเอ๋อ เจ้าช่างร้ายกาจนัก! พี่ชายอ้วนเพียงแสดงความเมตตาต่อเจ้าแต่เจ้ากลับทำร้ายเขาเช่นนี้!”
บทที่ 129: สัญญาณอันตราย
สิ่งแรกที่ควรทราบ จุดตันเถียนเป็นศูนย์รวมของพลังทั้งหมด ถ้าหากมันถูกทำลาย แม้ว่าจะไม่ได้ถูกสังหาร แต่การฝึกฝนทั้งหมดจะหายไป สำหรับหานปิงเอ๋อที่ลงมือหนักเช่นนี้ อาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองสำนักซึ่งเรื่องนี้จะต้องถึงหูของเหล่าอาวุโสเพื่อพิจารณา
แม้ว่าเทพธิดาฮ่าวจะไม่สามารถทำสิ่งใดได้ แต่นางกล่าวตักเตือนหานปิงเอ๋อเบา ๆ “ปิงเอ๋อ ข้าเพียงต้องการให้เจ้าสอนบทเรียนแก่เขา เหตุใดเจ้าจึงกระทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้?”
ตอนนี้เทพธิดาฮ่าวรู้สึกผิดอย่างมาก ที่รู้กันคือแม้ว่านางอยากจะจัดการปัญหากับสำนักเสวียนเทียนแต่มันเป็นแค่เพียงอารมณ์โกรธเท่านั้น และนางไม่คิดจะต่อสู้กับสำนักเสวียนเทียนจนถึงแก่ชีวิต ดังนั้นนางจึงใช้หานปิงเอ๋อสั่งสอนบทเรียนแก่เจ้าอ้วน มันไม่สำคัญถ้าหากนางจะทำร้ายใครสักคนเช่นนี้ในการค้นหาผลไม้วิญญาณ แต่สำหรับการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากทำให้เขาพิการเปรียบเสมือนคนตาย!
สำนักทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมายาวนาน การหนักมือเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากการยั่วยุอีกฝ่ายหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นหอเฉวียนจี้ สำนักเสวียนเทียนคงไม่อาจละเว้นและร้องขอคำอธิบาย แต่ทว่าหอเฉวียนจี้ก็ไม่อาจลงโทษหานปิงเอ๋อได้เพราะนางคือผู้ครอบครองดาบ เช่นนี้พวกเขาจึงอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทำให้เทพธิดาฮ่าวหนักใจ
ขณะที่หานปิงเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางขมวดคิ้วแน่นพร้อมอธิบายออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “อาวุโสป้า ศิษย์ของท่านไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้ มันคืออุบัติเหตุ ก่อนอื่นท่านต้องรู้ว่าสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของศิษย์พี่ซ่งนั้นทรงพลังมาก และอาจเหนือกว่าศิษย์ของท่าน การซุ่มโจมตีของเขาทำให้ข้ากระเด็นออกไปไกล ถ้าหากสัมผัสวิญญาณของข้าไม่สามารถตรวจเจอการโจมตีครั้งนั้น ข้าคงถูกทำลายจากสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์คิดว่าเขาไม่ได้โดนโจมตีเข้าจุดสำคัญ”
หานปิงเอ๋อหดหู่เล็กน้อย ในตอนแรกนางคิดจะทำร้ายเขาเพียงเล็กน้อย เพื่อที่จะให้เขาหยุดพักฟื้นสักพักและพลาดการค้นหาผลไม้วิญญาณ ดังนั้นนางเลยคิดจะเอาข้ออ้างเรื่องการแก้แค้นให้มู่ซื่อหรงมาอ้างเพื่อต่อสู้ แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าการโจมตีของนางจะแม่นยำเช่นนี้ มันเจาะผ่านตันเถียนของเขาซึ่งมันอาจทำให้เขาพิการได้!
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหานปิงเอ๋อ แน่นอนว่าเทพธิดาฮ่าวเชื่อนาง แต่หงหยิงไม่อาจยอมรับคำอธิบายนี้ได้ นางหยิบเอากระบี่เฟิ่งหมิงออกมาอย่างรวดเร็วและเดินตรงไปยังหานปิงเอ๋อพร้อมตะโกนออกมา “กลับมาก่อนหานปิงเอ๋อ! ข้าจะทำให้เจ้าพิการเพื่อแก้แค้นให้พี่ชายอ้วน!”
หานปิงเอ๋อหันหลังกลับมาอย่างช้า ๆ พร้อมกล่าวด้วยความใจเย็น “ศิษย์น้องหงหยิง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”
“เราจะต่อสู้กัน!” ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางปลดปล่อยกระบี่เฟิ่งหมิงออกไปทันที ในตอนนี้ทั้งเทพธิดาฮ่าวและนักบวชฮัวอวิ๋นต่างกังวลกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างมาก เนื่องจากสถานะของหงหยิงนั้นสำคัญต่อสำนักเสวียนเทียน ถ้าหากนางบาดเจ็บ จะต้องเกิดปัญหาร้ายแรงอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง สำนักเสวียนเทียนจะต้องออกมาต่อสู้กับหอเฉวียนจี้จนตายตกกันไปข้าง
เห็นได้ชัดว่านางกำลังโกรธและไม่คิดฟังคำอธิบายจากผู้ใดเลยในตอนนี้ นักบวชฮัวอวิ๋นรู้สึกผิดอย่างมากและไม่กล้ากล่าวสิ่งใด กลัวว่าเขาจะสร้างปัญหาให้กับตนเอง ถ้าหากสาวน้อยผู้นี้ต้องการระบายความโกรธแค้นนี้กับเขาคงจะไม่ดีแน่นอน สำหรับเทพธิดาฮ่าว นางเป็นเพียงคนนอกและไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ดังนั้นนางจึงกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะระเบิด เจ้าอ้วนโบกมือให้กับหงหยิงและตะโกนออกมา “ศิษย์น้อง อย่าใจร้อน มาตรงนี้ก่อน!” ในขณะที่เจ้าอ้วนพูดออกมา ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตกใจทันที คำพูดและน้ำเสียงของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาสบายดี ไม่มีอาการของคนที่ถูกทำลายตันเถียนและไม่มีการสูญเสียการฝึกฝนใด ๆ
หงหยิงเห็นแล้วว่าบุคคลตรงหน้าของนางไม่ได้เป็นอะไร นางจึงกล่าวออกมาว่า “พี่ชายอ้วน เจ้าไม่เป็นไรงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนยิ้มกว้างพร้อมกล่าวว่า “ฮ่าฮ่า ดาบเพียงเล่มเดียวไม่สามารถทำร้ายข้าได้หรอก!”
แม้ว่าเขาจะกล่าวออกมาเช่นนั้น แต่ร่างกายของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ สิ่งที่ทำให้เขายังสามารถคุยโม้ได้ในตอนนี้คือจุดตันเถียนของเขาได้ถูกซ่อนอยู่ในมิติลึกลับ ในช่วงเวลาที่มิติลึกลับรู้ว่ามีดาบพุ่งเข้ามาในร่างกายของเขา มันเปิดการป้องกันทันทีและดึงการโจมตีนั้นเข้าไปภายในมิติ ดังนั้นดาบเล่มนั้นจึงส่งผลให้เจ้าอ้วนบาดเจ็บเล็กน้อย มันไม่ได้เจาะลึกและแน่นอนว่ามันไม่โดนจุดตันเถียนของเขา เจ้าอ้วนหยิบยาคุณภาพสูงมาจัดการกับแผลจากนั้นแผลก็ปิดสนิททันที
ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังรักษาอาการบาดเจ็บของเขา เขาก็จัดการตรวจสอบมิติลึกลับไปพร้อมกัน เขาเห็นว่าดาบที่หานปิงเอ๋อส่งมานั้นถูกรับไว้โดยระฆังลมทองแดง เมื่อเห็นเช่นนี้เจ้าอ้วนรู้สึกช่วยไม่ได้พร้อมกับคิดในใจ ‘ถ้าไม่ใช่สมบัติเหล่านี้ปกป้องข้าไว้ ในวันนี้ข้าจะต้องกลายเป็นคนพิการอย่างแน่นอน! บัดซบ เจ้า! หานปิงเอ๋อ เจ้ามันชั่วร้ายนัก! ดีจริง ๆ ที่เจ้ามีการค้นหาผลไม้วิญญาณมาช่วยไว้ ถ้าไม่อย่างนั้นการทำร้ายให้ข้าเลือดออกเช่นนี้ แน่นอนว่าข้าก็อยากจะทำให้เจ้าเลือดออกบ้าง!’
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนทำได้เพียงสาปแช่งในใจเท่านั้น แต่ภายนอกนั้นเขากลับสุขุมเช่นเดิม เขายกมือขึ้นมาคำนับให้กับหานปิงเอ๋อพร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์น้องสำหรับการแสดงในวันนี้ ข้าซ่งจงเต็มใจรับความพ่ายแพ้นี้ไว้ แต่ในอีกหลายปีข้างหน้าถ้าหากเราได้พบกัน ข้าจะสู้กับเจ้าอีกครั้ง หวังว่าศิษย์น้องจะยินยอมรับการสั่งสอนของพี่ชายผู้นี้ด้วย!”
ประโยคนี้ของเจ้าอ้วนอาจไม่ดีนัก เพราะความหมายหนึ่งคือเขายอมรับความพ่ายแพ้แต่อีกในความหมายหนึ่งเขาจะบอกว่าเรื่องนี้จะไม่จบลงง่าย ๆ อย่างแน่นอน ดั่งคำกล่าวที่ว่าสิบปีค่อยแก้แค้นยังไม่สาย! นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนรอบข้างคิดได้ในตอนนี้
เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น ทุกคนรอบข้างต่างชื่นชมที่เขาสามารถปล่อยวางเรื่องราวทั้งหมดลงได้ มีเพียงเทพธิดาฮ่าวที่รู้สึกเสียใจพร้อมคิดในใจอย่างผิดหวัง ‘เฮ้อ ข้าคิดว่าเขาเป็นเพียงไขมันเดินได้และเต็มไปด้วยโชคลาภเท่านั้น แต่เขากลับเป็นพยัคฆ์ที่แกล้งเป็นสุกร ไม่เพียงแค่นั้น เขายังครอบครองสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ถึงสามชนิด และเขาฉลาดมาก ถ้ามองจากสิ่งที่เขาพูดออกมาในตอนนี้แน่นอนว่าเขามองเราเป็นศัตรูแล้ว ทั้งพรสวรรค์ของเขาและสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหงหยิง แน่นอนว่าเขาจะต้องมีสัมพันธ์กับอาวุโสแห่งสำนักเสวียนเทียน เขาอาจจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเราในอนาคต!’ แม้ว่าเทพธิดาฮ่าวจะกังวลอย่างมาก แต่สำหรับหานปิงเอ๋อนางไม่ใช่คนที่คิดอะไรลึกซึ้งนัก นางหันหน้าไปหาเจ้าอ้วนพร้อมยิ้มออกมาอย่างใจเย็น “ข้ายินดีต้อนรับเจ้าตลอดเวลา!” จากนั้นนางโค้งให้เจ้าอ้วนเล็กน้อยพร้อมหันหลังเดินออกไป
ขณะนั้นก็มีเสียงพ่นลมหายใจออกมา “หอเฉวียนจี้ได้สร้างสงครามกับสำนักเสวียนเทียนเสียแล้ว ช่างเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นยิ่งนัก!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น กลุ่มผู้ฝึกตนรอบ ๆ ได้แต่ส่ายศีรษะ
มองจากลักษณะของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกตนที่เดินบนเส้นทางแห่งความชั่วร้าย พวกเขาทั้งหมดเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปีศาจ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีอาวุโสสวมชุดสีดำและถือไม้เท้าอสรพิษ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา สำหรับเหล่าวัยรุ่นที่เป็นคนกล่าวเช่นนั้นออกมาอายุราวยี่สิบปีสวมใส่ชุดสีขาว เสื้อผ้าของเขาถือได้ว่ายอดเยี่ยม และเต็มไปด้วยเครื่องประดับล้ำค่า แม้ว่าคำพูดของเขาจะหยาบคาย แต่เขาก็ยังคงพยายามจะทำตัวให้ดูสง่างาม ในขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเจ้าอ้วน เขาหยิบพัดสีเขียวออกมาพัดให้กับตนเองราวกับว่าเป็นจอมยุทธผู้เย่อหยิ่ง
พัดในมือของเขายาวประมาณครึ่งฟุต มีลวดลายดอกไม้ที่สวยงาม ด้านหนึ่งของมันทำจากวัสดุที่ไม่อาจทราบได้ และมีรูปหญิงสาวอยู่ที่ด้านหลัง ตรงด้านข้างมีรูปนักบวชหญิงกำลังอ่านคัมภีร์อยู่
หญิงสาวทั้งเก้าคนที่อยู่บนพัดนี้ล้วนแต่งดงาม ราวกับว่าพวกนางมีชีวิตจริง ๆ สิ่งที่น่าแปลกประหลาดใจที่สุดคงจะเป็นนักบวชหญิง ซึ่งแต่งตัวประหลาดและใบหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความเย็นชา
เมื่อเจ้าอ้วน หงหยิง และทุกคนมองเห็นพัดนี้ พวกเขามองว่ามันแปลกแต่ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ แต่สำหรับนักบวชฮัวอวิ๋น เทพธิดาฮ่าว และผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทุกคนเปลี่ยนสีหน้าทันทีพร้อมตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “ภาพวาดสาวงามทั้งเก้า!”
แน่นอนว่าทุกคนยังคงสับสนอยู่ พวกเขาจ้องมองไปที่พัดเพื่อหาความอัศจรรย์ของมัน มีเพียงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเท่านั้นที่เข้าใจและได้แต่มองอย่างไม่อาจทำอะไรได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไม่ว่าเจ้าอ้วนจะโง่อย่างไร เขาก็รู้ได้ทันทีว่าพัดในมือชายคนนี้นั้นอัศจรรย์เพียงใด ถ้าไม่เช่นนั้นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินคงจะไม่แสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา แม้ว่าหานปิงเอ๋อจะแสดงตนออกมาว่าครบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์และมันส่งผลให้เกิดความวุ่นวายขึ้น แต่ในตอนนี้กลับมีการเปิดเผยภาพวาดสาวงามทั้งเก้า หลายคนรู้สึกประหลาดใจ ซึ่งอาจจะคิดได้ว่าภาพวาดนี้มีมูลค่าอาจสูงกว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์
เจ้าอ้วนและบุคคลโดยรอบคิดในใจ ‘ดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ได้รับการรับรองแล้วว่าเป็นสมบัติวิญญาณระดับสูง รวมกับที่มันถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติ ถ้าหากสิ่งของชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่า ระดับของมันจะอยู่ที่เท่าไหร่?’
ในขณะที่เจ้าอ้วนและทุกคนกำลังสงสัย เทพธิดาฮ่าวรู้สึกตัวก่อนและกล่าวออกมาอย่างแตกตื่น “สำนักพันปีศาจช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง สมบัติที่สูญหายไปนานนับหมื่นปีถูกค้นพบโดยพวกท่าน แน่นอนว่าพวกท่านจะต้องได้รับผลตอบแทนจากการค้นหาผลไม้วิญญาณในครั้งนี้อย่างมากมาย!”
บทที่ 130: ภาพวาดสาวงามทั้งเก้า
เมื่อชายชรานามสกุลเฟิงได้ฟังเช่นนั้น เขายิ้มพร้อมกล่าวว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร สำนักของเรามีสมบัติวิญญาณเพียงชิ้นเดียว ไม่อาจเปรียบเทียบกับสำนักของเจ้าและสำนักเสวียนเทียนได้ ที่ครอบครองสมบัติวิญญาณถึงสามชิ้นซึ่งจำนวนเช่นนี้แตกต่างกันมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ทางเราก็เสียเปรียบอยู่ดี!”
แม้ว่าจะดูเหมือนกับว่าเขากำลังเสียเปรียบ แต่จากการแสดงออกที่ภาคภูมิใจของเขา เจ้าอ้วนเข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้หมายความเช่นอย่างที่เขากล่าวออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าเขามั่นใจในสำนักของตนเองอย่างมาก เมื่อมองเห็นเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกกังวลใจเพราะเขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงดูมั่นใจนัก จากการแสดงออกของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นดูเหมือนว่าทุกคนจะระมัดระวัง ‘ภาพวาดสาวงามทั้งเก้า’ อย่างมาก ราวกับว่ามันสามารถเผชิญหน้ากับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ กระบี่เฟิ่งหมิง หรือกระดองเต่าดำและเหรียญแห่งชะตาฟ้าดินได้อย่างสบาย ๆ
ในขณะนั้นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างอาวุโสเฟิงกล่าวออกมาอย่างอหังการ “ถ้าหากอาวุโสทั้งสามจากสำนักเสวียนเทียนและหอเฉวียนจี้จะกรุณา แม้ว่าเราจะด้อยกว่าในแง่ของจำนวน แต่เราก็ยังสามารถสู้ได้!”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายมองเขาอย่างตกตะลึงพร้อมคิดในใจ ‘เจ้านี่มันโง่หรือเปล่า? เพราะอะไรกันเขาจึงกล่าวเช่นนี้ออกมาต่อหน้าเหล่อาวุโสได้หน้าตาเฉย?’
และผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งหมดได้เปลี่ยนสีหน้าทันที โดยเฉพาะเทพธิดาฮ่าวและนักบวชฮัวอวิ๋น พวกเขาทั้งสองโกรธจัดทันทีเมื่อได้ยิน
เทพธิดาฮ่าวกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “เด็กน้อยที่อวดดี อย่าอวดดีให้มากนัก ผิวหนังของจ้าวสำนักคนก่อนของเจ้าถูกหอเฉวียนจี้ทำให้กลายเป็นพรมเช็ดเท้า! และเจ้าอาจจะเป็นคนต่อไป!”
“ใต้พื้นของหอคุมกฎแห่งสำนักเสวียนเทียน มีกระดูกของอาวุโสแห่งสำนักพันปีศาจฝังอยู่ ข้ารู้สึกเหนื่อยที่ต้องเหยียบย่ำเขาไปมานับร้อยปี แม้ว่าตอนนี้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแต่เด็กอย่างเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาพร้อมแผ่จิตสังหารอย่างเดือดดาล
เมื่อได้ยินที่ทั้งคู่พูดเช่นนั้น เจ้าอ้วนและผู้คนทั้งหมดก็เริ่มเข้าใจเหตุการณ์ เมื่อพูดถึงหอคุมกฎแห่งหอเฉวียนจี้ พรมเช็ดเท้าของพวกเขาทั้งหมดถูกสร้างจากผิวหนังของคนจากสำนักพันปีศาจ เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่เจ้าอ้วนและเหล่าศิษย์ทั้งหมดไม่เคยได้รับรู้เลย
สำหรับสำนักเสวียนเทียน บันไดของหอคุมกฎมีกระดูกของเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักพันปีศาจฝังอยู่และเรียกกันว่าบันไดกระดูกปีศาจ เจ้าอ้วนเริ่มเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ทันที เขาจำได้ว่าบันไดของหอคุมกฎนั้นตกแต่งไปด้วยกระดูกสันหลังของมนุษย์ เขาไม่เคยคาดคิดว่ามันคือกระดูกของเหล่าอาวุโสจากสำนักพันปีศาจ ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือวัสดุส่วนใหญ่ของบันไดคือกระดูกของผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน! เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้นี้เกิดขึ้นมายาวนานนับพันปี และจุดมุ่งหมายคือการสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน สำหรับศิษย์ระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามนั้นไม่อาจต้านทานได้ไหว พวกเขาทั้งหมดรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขณะไม่กล้าเผยลมหายใจให้ได้ยิน ถ้าหากไม่ใช่เพราะอาวุโสเฟิงปกป้องเขาในเวลานี้ คงกลายเป็นว่าในวันนี้ชายหนุ่มผู้นี้ได้สร้างปัญหาอันใหญ่หลวงให้กับตนเองเสียแล้ว
หลังจากที่อาวุโสเฟิงปกป้องชายหนุ่ม เขากล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ “พวกเจ้าทั้งสองคนเป็นถึงอาวุโส มันไม่มากเกินไปหรือที่จะกลั่นแกล้งศิษย์ผู้น้อยเช่นนี้!”
เทพธิดาฮ่าวโกรธจัดทันทีเมื่อเห็นว่าถูกตักเตือนเช่นนี้ นางกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าสามารถตำหนิข้าได้ถ้าหากว่าเขาได้รับการสั่งสอนอย่างถูกต้อง เหตุเพราะเขาไร้มารยาท มันจึงเป็นเรื่องที่อัปยศเมื่อเจ้านำพาเขาออกมาสู่สังคมด้านนอก!”
“ถ้าหากว่าเด็กคนนี้ยังไม่ขอโทษกับถ้อยคำขยะที่เพิ่งพ่นออกมาเมื่อครู่แล้วล่ะก็…!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวเสริมอย่างเยือกเย็นพร้อมเผยรอยยิ้มปีศาจ “มิตรสหายเฟิงเอ๋ย เจ้าไม่อาจต่อว่าข้าได้ถ้าหากต้องสั่งสอนเขา!”
“เหอะ!” เห็นได้ชัดเจนว่าอาวุโสเฟิงไม่ต้องการเผชิญหน้ากับทั้งสองคนได้ด้วยตนเอง เขาเพียงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ข้าจะทำเป็นเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาดึงศิษย์ของเขาออกไปทันที
เมื่ออาวุโสเฟิงเดินจากไป นักบวชฮัวอวิ๋นและเทพธิดาฮ่าวเห็นใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคนอย่างชัดเจนถึงความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อกัน
จากที่นักบวชฮัวอวิ๋นและเทพธิดาฮ่าวได้มองตากัน พวกเขาสื่อสารกันผ่านจิตวิญญาณ จากนั้นเทพธิดาฮ่าวนำพาสาวกของนางออกไปเพื่อรวมกลุ่มกันอีกครั้งที่ด้านนอก
นักบวชฮัวอวิ๋นเรียกรวมเหล่าศิษย์สำนักตนเองพร้อมกับประกาศว่า “พวกเจ้าทุกคนจงฟังข้า ข้าไม่สนใจความผิดพลาดของเรากับหอเฉวียนจี้ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ สำหรับตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องมองว่าหอเฉวียนจี้คือมิตรที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยกัน! เป้าหมายก็คือชายหนุ่มผู้ครอบครองภาพวาดสาวงามทั้งเก้า! ถ้าหากข้าไม่เข้าใจผิดไป เขาคือบุตรหลานแห่งสำนักพันปีศาจและมีชื่อว่า ยู่เฟิง หลังจากที่ทุกคนเข้าสู่พื้นที่จำกัด พวกเจ้าจะถูกส่งไปยังที่ต่าง ๆ สิ่งแรกที่พวกเจ้าทั้งหมดต้องทำคือการรวมกลุ่มกัน คนจากหอเฉวียนจี้จะมารวมกลุ่มกับพวกเจ้าเช่นกัน สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือค้นหาคนจากสำนักพันปีศาจ ด้วยความพยายามของพวกเจ้าทั้งหมด สังหารพวกเขาให้หมดและแย่งชิงภาพวาดหญิงงามทั้งเก้ามาให้ได้! เรื่องผลไม้วิญญาณทั้งหมดจะต้องถูกพักไว้ก่อน เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจ!” เมื่อเห็นการแสดงออกอย่างเคร่งเครียดของนักบวชฮัวอวิ๋น ทั้งหมดตอบรับอย่างไม่ลังเล
“ดีมากที่ทุกคนเข้าใจ!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวต่อ “เด็กน้อยเอ๋ย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่อาจปล่อยให้ผลไม้วิญญาณหลุดลอยไปได้ แต่เรื่องของภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าสำคัญที่สุดในตอนนี้ แม้ว่าเจ้าจะไม่มีผลไม้วิญญาณก็ตาม แต่ภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นสำคัญอย่างยิ่ง ข้าขอสัญญาณว่าจะมอบผลไม้วิญญาณให้พวกเจ้าคนละสองผลในนามของสำนักเสวียนเทียน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สาวกทุกคนดวงตาพลันสว่างสดใส เสี่ยวไป่หลงกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ “ท่านอาวุโส ผลไม้วิญญาณไม่ได้มีเพียงสามสิบผลงั้นหรือ? หากนับคนจากสองสำนักก็รวมยี่สิบคน หมายความว่าพวกข้าทั้งหมดจะต้องได้รับผลไม้วิญญาณถึงสี่สิบผลใช่หรือไม่?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างเยือกเย็น “ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่เดียวที่มีผลไม้วิญญาณ เรายังสามารถหามันได้อีกจากสถานที่อื่น เพียงแต่ว่าจะต้องใช้ความพยายามที่มากขึ้น ถ้าหากพวกเจ้าสามารถคว้าเอาภาพวาดหญิงงามทั้งเก้ามาได้ แล้วเพียงแค่ผลไม้วิญญาณสี่สิบผลจะนับเป็นอะไรได้? อีกอย่างหนึ่งคือสำนักจะตอบแทนเจ้าด้วยสมบัติวิเศษอีกด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งหมดรู้สึกตกใจทันที พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าสำนักจะยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อที่จะครอบครองภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า
หงหยิงได้แต่ถามออกไปอย่างช่วยไม่ได้ “อาวุโสลุง ภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นวิเศษอย่างไร? มันมีค่ามากขนาดไหนกัน?”
“พวกเจ้าทั้งหมดคงจะต้องเผชิญหน้ากับภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าในครั้งนี้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าจะขออธิบายถึงต้นกำเนิดของสมบัติชิ้นนี้ให้ฟัง!” นักบวชฮัวอวิ๋นลูบคลำหนวดของเขาพร้อมกับเล่าต่อ “สิ่งของชิ้นนี้ได้รับการปรับแต่งจากสำนักพันปีศาจเมื่อราวหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา!” เมื่อเริ่มเล่าความ เขาค่อย ๆ เล่าถึงที่มาของภาพวาดนี้ทีละน้อย
เดิมทีนั้น ภาพวาดสาวงามทั้งเก้าก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ด้วยพลังอำนาจของมันนั้น นับว่าเหนือยิ่งกว่าดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติด้วยซ้ำ หากให้แบ่งออกเป็นเก้าขั้นแล้ว กระบี่เฟิ่งหมิงที่หงหยิงได้รับมาก็เพียงแค่ขั้นที่หนึ่งหรือสองเท่านั้น ในบรรดาสมบัติวิญญาณนับได้ว่าเป็นระดับต่ำ ทางด้านกระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดินของสำนักเสวียนเทียน แม้ว่าจะมีพลังอำนาจเกินกว่ากระบี่เฟิ่งหมิงพอสมควร แต่มันก็เพียงน้อยนิดเท่านั้น และเป็นเพราะมันคือวัตถุที่เอาไว้ใช้ทำนายอนาคต มันจึงไม่ต่างอะไรกับสมบัติวิเศษ เพียงแค่ความสามารถมันเหนือธรรมดาเท่านั้นเอง ทว่าด้วยศักยภาพของมัน ก็อาจนับได้ว่าเป็นขั้นที่หก ส่วนทางด้านดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้น พลังอำนาจของมันจึงล้นพ้น อย่างน้อยก็นับว่าเป็นขั้นที่แปดหรือเหนือกว่าได้! ทว่าภาพวาดสาวงามทั้งเก้า มันคือขั้นที่เก้าอย่างแท้จริง! กระทั่งว่ามันอยู่เหนือกว่าสมบัติวิญญาณระดับที่เก้าด้วยซ้ำ
เหตุผลที่ภาพวาดสาวงามทั้งเก้ามีพลังอำนาจล้นเหลือเช่นนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพราะฝีมือการปรับแต่งรวมทั้งแนวคิดของวัตถุดิบที่หลอมมันขึ้นมาล้วนไม่ธรรมดา วัตถุดิบหลักที่ใช้หลอมมันขึ้น มันคือผู้ฝึกตนที่มีชีวิต เป็นหญิงสาวทั้งเก้าที่อยู่ระดับเฟิ่นเสิน!
ผู้ฝึกตนหญิงทั้งเก้าเหล่านั้นต่างก็เป็นการคัดเลือกที่ไม่ธรรมดา หญิงสาวทั้งห้าได้ถูกเลือกจากการฝึกฝน ทั้งหมดล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญดาบและกระบี่ อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมของทั้งห้าธาตุ ไม้ น้ำ อัคคี พสุธา ตามแต่ละบุคคล และสองคนในนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับหอเฉวียนจี้ ขณะที่อีกหนึ่งเป็นอาวุโสจากสำนักเสวียนเทียน
พอได้รับฟัง เจ้าอ้วนและคณะพลันกระจ่างแจ้ง พวกเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้ถือครองภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าถึงกล่าวว่า อาวุโสทั้งสามจะช่วยเขา นั่นเป็นเพราะเด็กหนุ่มทราบเป็นอย่างดีว่าภาพวาดสาวงามทั้งเก้านั้นถูกหลอมขึ้นจากอาวุโสฝ่ายพวกเขา พอเทพธิดาฮ่าวและนักบวชฮัวอวิ๋นเมื่อได้ฟังจึงโกรธแค้นไม่คิดปิดบัง ไม่ต้องพูดถึงความความรู้สึกเหล่านั้นจะถ่ายทอดกดดันมายังเหล่ารุ่นเยาว์เช่นกัน
สำหรับนักบวชเต๋าอีกสี่คนที่เหลือ พวกเขาต่างก็ไม่ธรรมดากันทั้งสิ้น พวกเขาล้วนเป็นนักบวชเต๋าที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการผสมผสานที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี
ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสิ่นทั้งเก้านั้นมีสติครบถ้วนและถูกลบความทรงจำโดยวิชาโบราณ จากนั้นเหล่าซาตานจึงเข้าครอบงำพวกเขาอย่างเต็มตัว พวกเขาถูกปรับแต่งอยู่นานนับร้อยปีจนกลายเป็นสมบัติวิญญาณที่วิเศษที่สุดขึ้นมา ซึ่งมันถูกเรียกว่าปีศาจเทวะ!
ปีศาจเทวะนั้นหมายถึงการรวมตัวของวิญญาณไร้รูปร่างและรวมเป็นหนึ่ง หลังจากหญิงสาวทั้งเก้าถูกปรับแต่ง พวกเขาทั้งหมดสามารถสับเปลี่ยนร่างกายกันได้อย่างอิสระ เมื่อพวกเขามีร่างกาย พวกเขาจะกลับสู่สภาพเดิมในครั้งที่ยังมีชีวิต อีกทั้งยังสามารถใช้ปราณจิตวิญญาณได้อย่างอิสระ ดังนั้นผู้ฝึกตนทั้งหมดจะสามารถใช้ทักษะทั้งห้าธาตุได้อย่างอิสระ อีกทั้งมีนักบวชเต๋าอีกสี่คนที่สามารถสร้างเกราะป้องกันได้อย่างทรงพลัง เพราะพวกเขาทั้งหมดมีความทรงจำและพลังดั้งเดิมของตนในครั้งยังมีชีวิตอยู่ ความแข็งแกร่งทั้งหมดไม่ได้ลดลงเลยหากเทียบกับตอนที่มีชีวิตอยู่ บวกกับพวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ในสนามรบ พลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองถึงสามเท่า ไม่เกินเลยนักหากจะกล่าวว่าความแข็งแกร่งแท้จริงของมันอาจทัดเทียมได้กับผู้ฝึกตนระดับเฟิ่นเสินนับสิบคน นับว่าพลังอำนาจของมันเกินจินตนาการถึงได้!
ในความจริง ความสามารถของภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นไร้ขีดจำกัด แต่เป็นเพราะร่างกายของผู้ฝึกตนทั้งเก้านั้นถูกจำกัดอยู่ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขากลับสู่สภาพเดิม พวกเขาก็จะกลายเป็นอสูรสังหารทันทีและยังสามารถใช้เวทมนตร์พิสดารจากขุมนรกได้อีกด้วย แต่นั่นจะทำให้พวกเขาไม่อาจป้องกันตนเองได้ สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือพวกเขาทั้งหมดไร้รูปร่างและไร้เงา พวกเขาสามารถหายตัวได้อย่างไร้ร่องรอยและสามารถทะลุทะลวงวัตถุทั้งหลายได้ แม้ว่าจะใช้สมบัติวิเศษเพื่อป้องกัน หรือต่อให้อุปกรณ์วิเศษระดับสูงหรือดาบบินก็ยังไม่สามารถป้องกันการโจมตีเหล่านี้ได้ สมบัติวิญญาณที่ทรงพลังมากเท่านั้นจึงจะทำลายพวกเขาลงได้
เมื่อเขากล่าวถึงตรงนี้ นักบวชฮัวอวิ๋นเตือนหงหยิงเป็นพิเศษ ว่านางไม่อาจใช้กระบี่เฟิ่งหมิงเพื่อจัดการสิ่งเหล่านั้นได้และขอให้นางระวังตัวเป็นพิเศษอีกด้วย ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของสำนัก มีเพียงดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ที่สามารถมีพลังเพียงพอที่จะทำลายสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อมีกระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดินของฉุ่ยจิ้งก็น่าจะพอคุ้มกันทุกคนได้ไหว
กับคนอื่น แม้สมบัติวิเศษจะยอดเยี่ยม แต่มันก็ไม่อาจป้องกันการโจมตีทะลุทะลวงของปีศาจเทวะได้ และยังมีความเป็นไปได้มากที่มันจะคิดค้างหลงเหลืออยู่ภายในร่าง กล่าวก็คือ ต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด ภาพวาดสาวงามทั้งเก้าไม่ใช่สิ่งที่สามารถประมาทได้ เมื่อเผชิญหน้าอย่าได้ผลีผลาม เมื่อต้องต่อสู้จงทำอย่างสุดกำลัง ให้เล็งไปที่เจ้านายของภาพวาดสาวงามทั้งเก้าอย่างยู่เฟิงอย่างถึงที่สุด ตราบเท่าที่สังหารอีกฝ่ายลงได้ ภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าก็จะไร้เจ้าของ
นอกจากนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นยังเน้นย้ำกับพวกเขาอย่างหนัก พวกเขาควรจะโจมตีที่ยู่เฟิงโดยตรง เหตุผลง่ายนิดเดียวเพราะว่ายู่เฟิงคือเจ้าของภาพวาดและเป็นบุตรแห่งสำนักพันปีศาจ ดังนั้นเขาคือคนสำคัญอย่างแน่นอน อีกอย่างในร่างกายของเขาเต็มไปด้วยคำสาปมากมาย คำสาปนี้ถูกจารึกไว้ตั้งแต่เขาเกิดมาเป็นบุตรแห่งสำนักพันปีศาจ ถ้าหากยู่เฟิงถูกสังหาร คำสาปเหล่านี้จะระเบิดและสังหารฆาตกร ไม่ว่าอย่างไรคำสาปนี้จะไม่สามารถถูกลบได้
หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น จ้าวสำนักพันปีศาจย่อมตรวจพบว่าบุตรชายถูกสังหารพร้อมสามารถหาตัวผู้ลงมือได้อย่างไม่ยากเย็น หรือก็คือ ผู้ใดที่ลงมือปลิดชีพเขาจะประสบเภทภัยครั้งใหญ่ จ้าวสำนักพันปีศาจสามารถหาตัวบุคคลผู้นั้นจนพบและนำกลับมาทรมานให้ตายทีละน้อย ถ้าหากฆาตกรได้รับการปกป้อง เขายังสามารถใช้คำสาประยะไกลได้ มันจะก่อให้เกิดความทรมานจนเกินคำบรรยาย แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยินคอยคุ้มครองก็ยังไร้ประโยชน์ ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจะทำได้เพียงมองบุคคลที่อยู่ในคุ้มครองตายตกไปทีละน้อยเท่านั้น
สิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นกำลังจะพูดถึงก็คือใ นขณะที่กำลังต่อสู้ หงหยิงที่ครอบครองกระบี่เฟิ่งหมิงและฉุ่ยจิ้งครอบครองกระดองเต่าดำควรจะเปิดฉากการต่อสู้ การโจมตีของทั้งสองไม่อาจเทียบกับดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ แต่มีความเร็วกว่าเล็กน้อยจึงทำให้สามารถโจมตียู่เฟิงได้อย่างอิสระ และหวังว่าจะทำลายอุปกรณ์วิเศษบนร่างกายของเขาได้และป้องกันทุกคนจากภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า ในขณะนั้นดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์จะต้องเข้าร่วมต่อสู้ด้วย ด้วยความแข็งแกร่งของมันอาจจะสามารถสังหารยู่เฟิงได้ และมันจะถูกย้อมด้วยคำสาปแห่งสำนักพันปีศาจ เมื่อเป็นเช่นนี้สำนักพันปีศาจจะสูญเสียภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า หอเฉวียนจี้จะสูญเสียสมบัติวิญญาณและอัจฉริยะแห่งสำนัก แต่สำนักเสวียนเทียนจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใดทั้งนั้น กล่าวได้ว่าการกระทำเช่นนี้นั้นเปรียบกับการยิงนกนับร้อยด้วยกระสุนนัดเดียว
แน่นอนว่าความคิดนี้เป็นของนักบวชฮัวอวิ๋นเพียงผู้เดียว แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า สำหรับภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นไม่ได้สำคัญมากนัก มันไม่สำคัญหากสำนักจะไม่ได้ครอบครองมัน ตราบใดที่มันไม่ได้อยู่ในมือของสำนักพันปีศาจ เหตุผลแห่งความแค้นนี้อาจเป็นเพราะบนภาพนั้นมีอาวุโสจากสองสำนักรวมกันอยู่ในนั้น มันคือความอัปยศของสำนักทั้งสอง ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้รับมัน วิธีเดียวที่พวกเขาจะทำก็คือทำลายภาพนี้ซะ เพื่อปลดปล่อยอาวุโสทั้งหมดให้คืนสู่อิสระ อย่างไรแล้วท้ายที่สุดมันก็ต้องถูกทำลาย ไม่ว่าผู้ใดได้ไปล้วนไม่เป็นสาระสำคัญ
เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวจบ ผู้ฝึกตนระดับจินตันวิ่งมาถึงพอดีและกล่าวกับนักบวชฮัวอวิ๋นว่า “ท่านอาจารย์ ถึงเวลาแล้วขอรับ!”
บทที่ 131: เริ่มการล่า
ปรากฏแสงสีขาวขึ้นนำพาให้เจ้าอ้วนเข้าสู่พื้นที่มืดมิด สถานที่รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่ากลัวและชุ่มชื้น รวมกับกลิ่นอับคล้ายกับว่าเขาอยู่ในถ้ำ
เจ้าอ้วนอยู่ด้านบนของอุปกรณ์เคลื่อนย้าย เพียงแค่ไม่กี่นาทีถัดมา เขาและพวกพ้องทั้งหมดถูกส่งออกจากพื้นที่ทันที
ตามที่นักบวชฮัวอวิ๋นได้กล่าวไว้ในตอนต้น ว่าพวกเขาจะถูกส่งไปยังสถานที่ต่าง ๆ แบบไม่เจาะจง ซึ่งจะแยกย้ายกันไปตามสถานที่ต่าง ๆ บนเส้นทางแห่งนี้ ภายในภูเขาขนาดใหญ่นี้มันเต็มไปด้วยหมอกหนาตลอดทั้งปีและยังส่งผลกับสัมผัสจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนอีกด้วย อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังมีสายฟ้าที่ทรงพลังซ่อนอยู่ แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังไม่อาจบินในสถานที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงทำได้เพียงเดินอย่างช้า ๆ เท่านั้น ไม่อาจใช้งานดาบบินได้เลย สถานที่แห่งนี้มีรัศมีความกว้างใหญ่กว่าพันลี้ ซึ่งเพียงพอแล้วที่พวกเขาทั้งหมดจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในเวลาไม่กี่เดือนเพื่อสำรวจมัน
หลังจากที่เจ้าอ้วนรู้ตัวว่าอยู่ในถ้ำ เขาตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวทันทีและพยายามค้นหาทางออก แต่ทันทีที่เขากำลังตรวจสอบมันอยู่นั้น สิ่งแวดล้อมเหล่านี้กลับทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกทันที
รอบตัวของเขาคืออสรพิษขนาดยักษ์ที่อยู่ข้างกาย ร่างกายของมันสีเขียวและพิษของมันทำให้มึนงง อีกทั้งผนังถ้ำยังหนามาก มีเหล่าอสรพิษหลายสิบตัวและพวกมันครอบครองถ้ำนี้อย่างสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่าเพื่อนตัวน้อยเหล่านี้ตกใจกับการมาของเจ้าอ้วน เมื่อแสงสีขาวจางหายไปและเหลือเพียงเจ้าอ้วนที่ยืนอยู่ในที่แห่งนี้ เพื่อนตัวน้อยเริ่มการก่อกวนราวกับว่ามีอาหารอันโอชะส่งมาให้มันถึงที่นอน
“บัดซบ!” เมื่อเห็นฉากตรงหน้า เจ้าอ้วนบ่นออกมาอย่างเหลืออด“เจ้าบ้าคนไหนมันบอกนะว่าจะส่งมายังที่ปลอดภัย? ตัวบัดซบเหล่านี้ต้องการจะสังหารข้าอย่างเห็นได้ชัด!”
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาสบถออกไปจะไม่มีผู้ใดรับรู้ ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงกลับสู่ความสงบอย่างรวดเร็วพร้อมกับวางแผนในใจด้วยท่าทีที่หยั่งลึก
ประการแรก ปราณจิตวิญญาณเล็ดลอดออกมาจากเกล็ดของอสรพิษ พวกมันเหล่านี้อาจเป็นอสูรกายขั้นสาม สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในตอนนี้คือพวกมันมีนับสิบตัวหรืออาจจะมากกว่านั้น นอกจากนี้เขายังถูกพวกมันล้อมไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะมองยังไง ท้ายที่สุดเขาก็คงจะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ในขณะที่เพื่อนตัวน้อยคืบคลานเข้ามาใกล้ เจ้าอ้วนยิ่งรู้สึกอับจนหนทางมากขึ้น ตอนนี้เขาตกใจมาก ยิ่งพวกมันยิ่งเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ มันจะยิ่งสร้างปัญหาให้กับเจ้าอ้วนมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการสังหารพวกมันจากระยะไกล ถึงเขาจะต้องการทำเช่นนั้นแต่ก็หมายความว่าต้องใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าตั้งแต่ต่อสู้กับหานปิงเอ๋อ เขาเหลือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่มากนัก ความคิดแรกของเขาคือจะใช้มันในยามจำเป็นเท่านั้น แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องพบเจอสถานการณ์เช่นนั้นก่อนที่จะเริ่มการล่า สวรรค์! เขาตัดใจหยิบสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ออกมาเจ็ดลูก จากนั้นยิงมันที่ประตูของถ้ำ
ด้วยธรรมชาติของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นลบ และอสรพิษกลัวไฟ ดังนั้นเมื่อสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีถูกโยนออกไป จึงทำให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงสำหรับพวกมัน ผนังถ้ำถูกระเบิดอย่างรุนแรงพร้อมกับทิ้งร่องรอยคราบเลือดไว้เต็มพื้นที่ เมื่อเกิดเสียงระเบิด อสรพิษทั้งหลายรีบหลบหนีทันที เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ราวกับว่าฟ้าเปิดทางหนีให้กับเจ้าอ้วนแล้ว เขาไม่กล้าที่จะล่าช้า เมื่อคิดเช่นนั้นเขาวิ่งตรงออกไปทันที
แต่สำหรับอสรพิษยักษ์นั้นไม่ได้เคลิ้มไปกับการดึงความสนใจเช่นนั้น ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังวิ่ง มันสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเริ่มต้นการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง อสรพิษตัวน้อยอีกสองตัวที่อยู่ใกล้มันเปิดปากของมันออกพร้อมกับพ่นพิษร้ายออกมา
ในขณะนั้นเจ้าอ้วนไม่มีแม้แต่จังหวะให้หลบ แต่เขาก็ยังพยายามจะหลบ ความเร็วของเขาในตอนนี้จะถูกลดลงและจะถูกอสรพิษยักษ์ตามทันได้ เขาจึงหยิบเอาระฆังลมทองแดงออกมาเพื่อปกป้องจากด้านหลัง ในตอนท้ายพิษปะทะเข้ากับระฆังลมทองแดง เกิดเสียงเบา ๆ ขึ้นพร้อมกับควันคลุ้งขึ้นมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าลมทองแดงไม่อาจต้านทานพิษได้และมันละลายออกไป
เจ้าอ้วนรับรู้ทุกอย่างอย่างรวดเร็วจากสัมผัสวิญญาณของตนเอง เขากลัวว่าอสรพิษเหล่านี้จะพ่นพิษออกมามากกว่าเดิม แต่ไม่ว่าเขาจะวิ่งได้เร็วสักแค่ไหน เขาก็ไม่อาจรวดเร็วเท่ากับเหล่าอสรพิษได้ ในเวลาสั้น ๆ อสรพิษหลายตัวเข้าถึงระฆังลมทองแดงแล้ว และพวกมันเริ่มโจมตีทันที
เจ้าอ้วนโกรธจัดพร้อมกับสาปแช่งในใจ ‘สงสัยพวกเจ้าคงต้องการให้บิดาผู้นี้แสดงความสามารถสินะ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคงจะมองข้าว่าเป็นเพียงแมวโง่ตัวหนึ่งเท่านั้น!’ เมื่อคิดเช่นนั้น เขาหยิบเอาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีออกมาพร้อมกับโยนออกไปอีกครั้ง จากนั้นเกิดการระเบิดขึ้นมากมาย จำนวนเพื่อนตัวน้อยลดลงกลายเป็นขี้เถ้า และอีกมากมายที่เหลือต่างหลบหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางเนื่องจากความหวาดกลัว
เจ้าอ้วนเพียงแค่จัดการเหล่าอสรพิษที่ไล่ตามหลังมาเท่านั้น ในตอนนี้เขาหลุดพ้นจากปากถ้ำพร้อมปรากฏตัวขึ้นในป่าทึบ เนื่องจากหมอกที่หนาจัดทำให้ระยะการมองเห็นของเขาไกลเพียงร้อยฟุตเท่านั้น นี่คือเวลากลางวัน ถ้าหากเป็นกลางคืน สถานการณ์คงจะหดหู่มากกว่านี้มากนัก ภายนอกถ้ำเป็นสถานที่กว้างเขาจึงสามารถเรียกพยัคฆ์ปีกแหลมออกมาเพื่อใช้หลบหนีได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอสรพิษยักษ์ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเกรงกลัวจนเกินไป เขาจึงเลือกวิธีการโจมตีซึ่งทำให้เขาสูญเสียสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปเล็กน้อย
เนื่องจากเรื่องราวทั้งหมดได้เกิดขึ้นไปแล้วและเจ้าอ้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อีก เขาทำได้เพียงส่ายศีรษะและหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ช่างเป็นการเริ่มต้นที่บ้าสิ้นดี!”
หลังจากที่ถอยออกมา เจ้าอ้วนเรียกพยัคฆ์ปีกแหลมออกมา หลังจากนั้นเขาคิดไตร่ตรองอยู่สักครู่ เขาเรียกเอาหุ่นลมทองแดงออกมาสามสิบตัวซึ่งเขาปรับแต่งมันภายในไม่กี่ปีให้หลังมานี้ แม้ว่าสหายเหล่านี้จะไม่มีการโจมตีที่รุนแรง แต่มันมีประโยชน์มากในสถานที่ที่มีวิสัยทัศน์ย่ำแย่และการใช้สัมผัสวิญญาณได้จำกัดเช่นนี้
ภายใต้คำสั่งของเจ้าอ้วน หุ่นทั้งสามสิบตัวออกมาล้อมรอบเขาไว้เป็นวงกลมรัศมีร้อยฟุต แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมองไม่เห็นพวกมัน แต่เขาจะรับรู้การมีอยู่ของพวกมันจากจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเจ้าอ้วนจะได้รับการเตือนก่อนที่อันตรายจะมาถึงตัว หากมีผู้ใดโจมตีเข้ามา เจ้าอ้วนจะรับรู้ถึงอันตรายได้ทันทีและเตรียมพร้อมเพื่อป้องกัน ในตอนนี้เจ้าอ้วนนั่งอยู่บนพยัคฆ์ปีกแหลมและขณะค่อยเคลื่อนผ่านไปตามยอดไม้
ก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งเข้ามา นักบวชฮัวอวิ๋นได้มอบแผ่นหยกกระจกและแผนที่ของสถานที่แห่งนี้ ในขณะนั้นมันจะบอกถึงตำแหน่งของผลไม้วิญญาณ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องทำเป็นอันดับแรกคือการทำความคุ้นเคยกับสถานที่ พร้อมกับเรียนรู้จากแผนที่ว่าพวกเขายืนอยู่ในจุดไหน จากนั้นพวกเขาจึงจะรู้ว่าผลไม้วิญญาณซ่อนอยู่ที่ใด
แม้ว่าเจ้าอ้วนไม่อาจถือว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ทว่าการทำความเข้าใจกับสถานที่และแผนที่ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินไปสำหรับเขา ในตอนนี้เขาพบเส้นทางของตนเองพร้อมพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เจ้าอ้วนอยู่ทางทิศตะวันตกซึ่งห่างไกลจากจุดนัดพบห้าร้อยลี้ จุดนัดพบดังกล่าวถูกกำหนดโดยนักบวชฮัวอวิ๋น ตลอดทางที่ย่างกรายผ่านไปล้วนแต่เต็มไปด้วยพิษ อีกทั้งทะเลสาบกว้างใหญ่ และอีกหลายพื้นที่ที่ไม่อาจเข้าถึงได้โดยง่าย เมื่อเห็นเช่นนั้นแน่นอนว่าเขาจะต้องใช้เส้นทางอ้อมไป ถ้าหากวัดจากความเร็วในการเดินทางของเจ้าอ้วนคงจะต้องใช้เวลาถึงสิบวัน แม้ว่าเขาจะมีพยัคฆ์ปีกแหลม แต่สภาพตอนนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าไม่มีการต่อสู้ แต่มันจะยิ่งช้าลงหากเขาพบปะอสูรกายหรือว่าคนจากสำนักอื่น แล้วใครจะรู้ล่วงหน้าว่าจะเข้าสู่สถานการณ์เช่นนั้นเมื่อใด? ในขณะนั้นเขาตระหนักได้ว่าด้านหลังของเขาราวหนึ่งร้อยลี้มีผลไม้วิญญาณซ่อนอยู่ แต่ถ้าหากเขาไปที่นั่นก่อน เขาจะล่าช้าต่อการรวมตัวของกลุ่ม
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักเจ้าอ้วนจึงตัดสินใจได้ว่าเขาจะไปค้นหาผลไม้วิญญาณก่อน จากนั้นค่อยไปรวมตัว ที่จริงคำสั่งของนักบวชฮัวอวิ๋นสามารถสั่งให้เขาอยู่หรือตายก็ได้! แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลากังวลเรื่องนั้นเพราะยังมีเวลาเหลือกว่าจะถึงเวลานัดพบกัน ทุกอย่างจะเรียบร้อยถ้าหากเขาไม่ใช่คนสุดท้าย!
เจ้าอ้วนเปลี่ยนเป้าหมายของตนเองพร้อมกับมุ่งหน้าไปค้นหาผลไม้วิญญาณทันที
ชุดหยกเขียวแปรเปลี่ยนเป็นสีขุ่นเนื่องจากที่แห่งนี้มีความชื้นมากเกินไป หลังจากที่เดินมาได้สักพัก ร่างกายของเจ้าอ้วนราวกับถูกแช่น้ำโดยสมบูรณ์ ส่วนหนึ่งมาจากเหงื่อของเขา และอีกส่วนมาจากความชื้นในอากาศ
สวรรค์คล้ายกลั่นแกล้ง เจ้าอ้วนไม่ได้สนใจร่างกายของเขาในตอนนี้แต่อย่างใด เขาถอดเสื้อด้านบนออกพร้อมกับเดินต่อไปด้วยท่อนบนที่เปลือยเปล่า
เมื่อเขาเดินต่อไปอีกสักพัก เขาพบว่าสถานที่แห่งนี้มีเรื่องที่น่ารำคาญมากมาย มันเต็มไปด้วยเพื่อนตัวน้อยที่พร้อมพ่นพิษตลอดเวลาและมีอสูรกายมากมายวิ่งพล่านไปมาราวกับพวกมันเป็นเพียงสุนัขเท่านั้น
ในไม่กี่ลี้ตลอดเส้นทาง เขาจะถูกโจมตีโดยอสูรกาย แม้ว่าพลังของพวกมันจะไม่แข็งแกร่งนัก แต่เขาก็เรียกดาบแห่งธาตุทั้งห้าออกมาใช้เพื่อจัดการพวกมันไปอย่างไม่ยากเย็น
ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าอ้วนในตอนนี้ เขาไม่อาจปลดปล่อยพลังของดาบแห่งธาตุทั้งห้าได้ อีกทั้งการใช้ดาบเพียงระยะเวลาสั้น ๆ สามารถแสดงถึงความโหดร้ายของเขาได้อย่างดี แต่เขาก็ไม่อาจควงมันดั่งเช่นแขนขาของตนเองได้ แต่นี่คือสมบัติวิเศษระดับสูง อีกทั้งมันยังมีธาตุทั้งห้าอย่างครบถ้วน ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ เมื่อเขาพบกับอสูรกายธาตุไฟ เขาจะหยิบยกดาบวารีออกมาใช้งาน ถ้าหากเขาพบกับอสูรกายธาตุน้ำ เขาก็จะหยิบดาบธาตุดินออกมา กล่าวก็คือเขาสามารถจัดการเหล่าอสูรกายด้วยจุดอ่อนของพวกมันได้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้นมาก การต่อสู้ทั้งหมดในเส้นทางแห่งนี้ทำให้เจ้าอ้วนกับดาบแห่งธาตุทั้งห้าเริ่มคุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี
ในชั่วพริบตา หนึ่งวันได้หมดไปแล้ว แต่ก็อยู่ในความคาดการณ์ของเจ้าอ้วนที่สามารถเดินได้เพียงสิบลี้เท่านั้น เขาสังหารอสูรกายไปทั้งหมดเจ็ดตนตลอดเส้นทาง พร้อมกับสูญเสียหุ่นเชิดลมทองแดงไปสองตนเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกหดหู่อย่างมาก
ในขณะที่ท้องฟ้ากำลังมืดมิด เจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะเดินทางต่อ ดังนั้นเขาจึงค้นหาสถานที่สงบพร้อมกับหยิบระฆังลมทองแดงออกมาเพื่อป้องกันภัยให้คืนนี้ผ่านไปอย่างราบลื่น
นับว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ยามเช้ามาถึงในครั้งนี้เขาปล่อยหุ่นเชิดลมทองแดงไว้ที่ด้านหน้าเท่านั้น และจะเดินทางไปช้า ๆ ด้วยพยัคฆ์ปีกแหลม เมื่อกำจัดภาระไปจนหมดสิ้นแล้ว เจ้าอ้วนเดินทางได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น เมื่อเขาพบเจอกับอสูรกายในเส้นทาง เจ้าอ้วนไม่ได้สังหารพวกมันแต่อย่างใด เจ้าอ้วนเพียงแค่หยิบยกดาบแห่งธาตุทั้งห้าขึ้นมาพร้อมกับคำรามให้พวกมันกลัวและหนีไปเท่านั้น อสูรกายเหล่านี้มีชีวิต พวกมันย่อมรู้ว่าสิ่งใดอันตรายและเลือกที่จะหนีไป มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะดื้อด้านต่อสู้ทั้งที่รู้ว่าไม่อาจทำได้ ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับละทิ้งชีวิต
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าอ้วนสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็เดินทางมาถึงสถานที่ที่ผลไม้วิญญาณซ่อนอยู่ในตอนเย็น!
บทที่ 132: หยกกล่องกับดัก
สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นป่า มันเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหินสีดำชนิดพิเศษ รัศมีของที่แห่งนี้กว้างราวหนึ่งพันฟุต ไม่มีหมอกอยู่ภายในและให้วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนอย่างมาก ด้านในของมันเต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่มากมาย ส่วนใหญ่สูงกว่าหนึ่งร้อยฟุต ในขณะที่โขดเล็กมีขนาดเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น ตรงใจกลางของมันมีโขดหินยื่นออกมาพร้อมกับปลายของมันมีกล่องสีขาวขนาดเท่ากำปั้นติดอยู่ บนกล่องหยกนั้นมีประทับตราสีทองเอาไว้
เนื่องจากก่อนหน้านี้นักบวชฮัวอวิ๋นได้ชี้แจงไว้แล้ว เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่านั่นคือผลไม้วิญญาณซึ่งถูกเก็บไว้ในกล่องหยก
แม้ว่าสมบัติจะอยู่ตรงหน้าของเขาก็ตาม แต่เจ้าอ้วนก็ไม่ได้หน้ามืดตามัววิ่งเข้าหามันแต่อย่างใด เขาได้รับการเตือนแล้วว่าทุกที่ที่ผลไม้วิญญาณถูกเก็บไว้ จะมีอันตรายซ่อนอยู่อย่างนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะได้ครอบครองผลไม้วิญญาณ จะต้องผ่านการต่อสู้ก่อนในขั้นแรก ดังนั้นแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะดูราวกับเงียบสงบ แต่เจ้าอ้วนก็ไม่ประมาทที่จะดึงพลังทั้งหมดมาป้องกันตนเอง เขาใช้สัมผัสวิญญาณเข้าตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียด แต่กลับไม่พบสิ่งใด ไม่พบแม้กระทั่งปราณจิตวิญญาณใดราวกับว่ามันคือพื้นที่ว่างเปล่า
จากนั้นเจ้าอ้วนจึงวางแผนที่จะสำรวจพื้นที่ทั้งหมดใหม่อีกครั้งจากเสียงต่าง ๆ ภายในนี้ เขาได้ยินเสียงเบาค่อยจากด้านบน ปรากฏเงาของมนุษย์เดินออกมาจากพื้นที่ของป่า มันปรากฏขึ้นมาอย่างดำมืดและยืนอยู่ห่างจากเจ้าอ้วนไม่กี่ร้อยฟุตเท่านั้น
เขาใช้สัมผัสวิญญาณพุ่งไปเพื่อตรวจสอบอย่างจริงจัง เกิดความประหลาดใจขึ้นภายใน เมื่อพบว่าบุคคลผู้นี้ช่างลึกลับแต่กลับให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง สุดท้ายนั้นเขาก็ทราบว่านั่นคือเสี่ยวไป่หลง! ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์นี้คือเรื่องบังเอิญหรือไม่ แต่ตำแหน่งแรกเริ่มของพวกเขาทั้งสองใกล้เคียงกันอย่างมาก ผลลัพธ์ของมันก็คือทำให้พวกเขาพบเจอกันระหว่างค้นหาผลไม้วิญญาณ
ในขณะนั้น เสี่ยวไป่หลงได้พบเจอกับเจ้าอ้วน เขาไม่ได้โง่และมองหันย้อนกลับไปด้านหลัง เขาเดาสถานการณ์อย่างรวดเร็วว่าเจ้าอ้วนนั้นมาถึงก่อนเขา ตามหลักแล้วในการค้นหาผลไม้วิญญาณ ศิษย์ในสำนักเดียวกันจะไม่ต่อสู้เพื่อแย่งชิง จะใช้หลักการณ์ ‘มาก่อน ได้ก่อน’ ดังนั้นผลไม้วิญญาณชิ้นนี้จะต้องเป็นของเจ้าอ้วน
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวไป่หลงคุ้นเคยกับการปฏิบัติตนเช่นนี้มาอย่างยาวนานเมื่อครั้งยังอยู่ในสำนักเสวียนเทียน ตรงหน้านั้นมีสมบัติวางอยู่ แล้วจะมามัวพูดคุยเรื่องไร้สาระกันได้อย่างไร? แม้เขาจะรู้ดีกว่าทั้งสองคนคือพวกพ้องกัน แต่ก็ไม่อาจหยุดความคิดเขาได้ เสี่ยวไป่หลงวิ่งไปด้านหน้าทันทีเพื่อคว้าเอาสมบัติ พร้อมกันนั้นเขาตะโกนออกมาอย่างอหังการ “ไขมันบัดซบ ผลไม้วิญญาณชิ้นนี้ถูกพบโดยนายน้อยของเจ้า! มันจะเป็นการดีถ้าหากเจ้าไม่ดื้อด้านต่อสู้กับข้าเพื่อแย่งชิงมัน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้าอ้วนแทบจะสำลักความโกรธจนตาย พร้อมกับคิดในใจ ‘เจ้าเด็กสารเลวนี่ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก วันนี้บิดาผู้นี้จะสอนบทเรียนให้สักหนึ่งหรือสองบท!’
ขณะเดียวกันเจ้าอ้วนที่กำลังเตรียมพร้อมจะวิวาทด้วย ร่างกายของเขาพลันแข็งค้างทันทีเมื่อนึกบางสิ่งขึ้นได้ หลังจากนั้นเขาหยุดการกระทำทั้งหมดพร้อมกับวางแผนที่จะตอบโต้กลับ เขาเผยยิ้มอ่อนออกมาพร้อมกับกล่าวอย่างสบาย ๆ “ถ้าหากศิษย์พี่กล่าวเช่นนั้น มันก็สมควรเป็นของท่าน ได้โปรดไปเอามันมาให้ข้าดูเป็นขวัญตาเถิด!”
ในตอนแรกเสี่ยวไป่หลงคิดว่าเจ้าอ้วนจะทะเลาะกับเขา และไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งที่เจ้าอ้วนกระทำในตอนท้ายจะน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนแรก เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาเข้าใจผิดว่าเจ้าอ้วนเกรงกลัวที่จะต่อสู้กับเขา จึงทำให้ความอหังการในตัวพุ่งสูง เสี่ยวไป่หลงตะโกนออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักนายน้อยของตัวเองเสียที! ฮ่าฮ่า!” เขาชะลอฝีเท้าลง เพื่อแสดงให้ดีขึ้นในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปหาสมบัติที่อยู่ด้านหน้า
เมื่อได้ยินความเย่อหยิ่งในน้ำเสียงตรงหน้า เจ้าอ้วนรู้สึกขอบคุณตนเองที่ยังอดทนไม่ตายตกไปเพราะคำพูดเด็กสารเลวผู้นี้ เขาพยายามกลืนความโกรธลงไปพร้อมกับเผยยิ้มออกมาอย่างกล้ำกลืน ‘โง่เง่าชะมัด คนบ้าเท่านั้นที่จะสูญเสียตัวตนเมื่อพบสมบัติล้ำค่า เขาลืมแม้กระทั่งคำเตือนจากอาวุโส ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าคนประหลาดเช่นนี้ จะประหลาดได้มากกว่าที่ข้าคิด ข้าจะยืนรอดูชะตากรรมของเจ้าอยู่ตรงนี้แหละ!’
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าอ้วนจึงปล่อยให้เสี่ยวไป่หลงเข้าไปหยิบสมบัติอย่างง่ายดาย เมื่อเขาสัมผัสกับกล่องหยก เกิดแสงสีดำพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว มีมดสีดำมากมายพุ่งออกมาจากโขดหินจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใดในถ้ำได้อีก จำนวนของมันนั้นมากกว่าแสนแน่นอน มันทั้งหมดกระโดดเข้าหาเสี่ยวไป่หลงพร้อมกับปิดกั้นฟ้าดินออกจากตัวตนของเขาอย่างสมบูรณ์
เสี่ยวไป่หลงตกใจอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงหยิบดาบบินออกมาและคิดบินหนีไป แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อหยิบเอาดาบบินออกมา มันจะถูกดึงดูดไปติดอยู่กับโขดหินทันที
“ภูเขาแม่เหล็กงั้นหรือ?” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เสี่ยวไป่หลงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “สถานที่แห่งนี้คือภูเขาแม่เหล็กงั้นหรือ? สวรรค์! แม้แต่ดาบบินของข้าก็ยังไม่อาจใช้งานได้ ทำยังไงดี!?” แม้ว่าเสี่ยวไป่หลงจะตื่นตระหนกอยู่ แม้ว่าดาบของเขาจะบินไม่ได้ แต่มดเหล่านี้บินได้ และมันพุ่งเข้าหาเสี่ยวไป่หลงอย่างต่อเนื่อง เขี้ยวของพวกมันคมมาก มีแนวโน้มว่าเนื้อของเขาสามารถฉีกขาดได้จากการกัดเพียงครั้งเดียว
เด็กหนุ่มผู้โง่เขลาตะโกนขึ้นมาทันที “เผา เผาพวกมันให้หมด!”
หลังจากสิ้นสุดเสียงตะโกน มีต้นไม้อยู่ห่างจากเขาไปหนึ่งฟุตกำลังส่องแสงออกมา เมื่อมันถูกเปิดออกปรากฏเปลวไฟสีแดงพุ่งออกมาราวกับมังกรคำราม มดทั้งหมดที่บินเข้ามาถูกเผาจนมอดไหม้ทันที แน่นอนว่าสมบัติวิเศษชิ้นนี้คือสิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นมอบให้เขา เมื่อคราวที่เขาได้สูญเสียชิ้นแรกไปแล้ว ด้วยรูปลักษณ์ของมันดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งกว่าดาบที่เขาใช้ก่อนหน้านี้
หลังจากที่เผามดบินมากมายจนนับไม่ถ้วน เสี่ยวไป่หลงรีบหยิบดาบพร้อมกับหนีไปหลังจากที่ได้ของที่ต้องการ
แต่ทว่าเขาประเมินความสามารถของมดบินต่ำเกินไป เพียงเผาไหม้แค่นับหมื่นไม่อาจเทียบจำนวนนับแสนที่มันมีอยู่ได้เลย เมื่อพี่น้องของพวกมันตายตกไป พวกมันยิ่งโกรธจัดมากขึ้นพร้อมกับรายล้อมเสี่ยวไป่หลงจากทุกทิศทางเพื่อสาบานว่าจะกัดชายผู้ส่งพี่น้องของมันให้ตายตกตามกันไป
แน่นอนว่าเสี่ยวไป่หลงที่ใช้สมบัติวิเศษนั้นไม่ได้อ่อนแอ เขาควบคุมมังกรเพื่อเผาไหม้เส้นทางที่เขาต้องการจะไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่เห็นได้ชัดว่ามดบินไม่คิดจะปล่อยเขาไป พวกมันทั้งหมดยังคงไล่ล่าอย่างไม่คิดชีวิต สำหรับเสี่ยวไป่หลงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นภัยกับเขาอีกต่อไป นี่เป็นเพราะเขาออกมาจากขอบเขตของภูเขาแม่เหล็กแล้ว และในตอนนี้เขาสามารถใช้ดาบบินได้อีกครั้ง แม้ว่าจะบินได้ไม่สูงนักเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้าผ่า แต่ความเร็วของดาบก็ยังเร็วกว่ามดบินอยู่มาก
เสี่ยวไป่หลงวางแผนไว้อย่างยอดเยี่ยมและทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เขาหยิบดาบทันทีเมื่อออกจากภูเขาแม่เหล็ก แต่ก่อนที่เขาจะออกไปได้ เกิดแสงสีทองแตกกระจายออกมาในอากาศและมันทุบลงไปบนดาบบินของเขา เกิดเสียงดังขึ้นขณะพบว่าอุปกรณ์วิเศษขั้นเก้าของเขาตอนนี้ได้หักออกเป็นสองชิ้น
เสี่ยวไป่หลงผู้โง่เขลาโกรธจัดทันที ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือเขาจะไม่สามารถบินได้อีกถ้าหากไม่มีดาบบิน และถ้าหากเขาไม่สามารถบินได้ เขาจะไม่สามารถจัดการกับมดที่อยู่ด้านหลังได้ แม้ว่าการโจมตีของมังกรไฟที่เขามีจะเป็นเลิศ แต่ปริมาณของปราณจิตวิญญาณที่มันต้องใช้นั้นนับได้ว่าเป็นราคาที่แพงมาก ซึ่งเสี่ยวไป่หลงไม่มีความสามารถที่จะเผามดบินนับล้านตัวนี้ได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ก่อนที่เขาจะสังหารพวกมันได้หมด ปราณจิตวิญญาณของเขาจะต้องหมดลงก่อนอย่างแน่นอน และนั่นจะทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นอาหารมื้อเย็นของมดบินทันที หรือก็คือการที่เขาถูกทำลายดาบบินนั่นคล้ายกับว่าเขาถูกสังหารไปแล้ว!
เสี่ยวไป่หลงโกรธจัดพร้อมกับหันไปหาแสงสีทองทันทีว่ามาจากไหน เขาพบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยพร้อมกับความเกลียดชังเต็มหัวใจ! มันเป็นใบหน้าของเจ้าอ้วนที่กำลังหัวเราะอย่างชาญฉลาด ในมือของเขาแน่นอนว่ามันคือดาบธาตุโลหะ!
“ไขมันบัดซบ เจ้ากล้ามากที่กระทำเช่นนี้กับข้า! บิดาของเจ้าผู้นี้จะไม่มีวันลืมเรื่องนี้เด็ดขาด!” เขาคำรามไปหาเจ้าอ้วนด้วยความเกรี้ยวกราด เสี่ยวไป่หลงแทบจะตายตกไปเพราะโกรธจัด และในตอนนี้เขาไม่อาจควบคุมความโกรธนี้ได้อีกต่อไป จึงพยายามระบายมันออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อมองเสี่ยวไป่หลงที่ใบหน้าบูดเบี้ยว เจ้าอ้วนก็ไม่ได้ใส่ใจสิ่งใด เขาลูบใบหน้าของเขาไปมาอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างเกียจคร้าน “ศิษย์พี่ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าภัยที่เจ้ากำลังพบเจอตอนนี้หนักหนาสาหัส? ถ้าหากข้าเป็นเจ้า แน่นอนว่าข้าจะไม่มีทางข่มขู่บุคคลเพียงผู้เดียวที่สามารถช่วยชีวิตให้พ้นจากความตายได้!”
เมื่อเสี่ยวไป่หลงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “เจ้าคิดว่าข้าจะตายตกอยู่ในที่แห่งนี้งั้นหรือ? ฝันไปเถอะ! เจ้าคิดว่าฐานะของข้าแร้นแค้นเช่นเจ้างั้นหรือ? ข้าไม่ได้มีดาบบินเพียงเล่มเดียว!” ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบดาบบินขั้นแปดออกมาอีกด้าม
ในคราวนี้เขาระมัดระวังการโจมตีของเจ้าอ้วนมากขึ้น เขาใช้มังกรอัคคีเพื่อปิดเส้นทางการโจมตีของเจ้าอ้วน แต่เขาประเมินความสามารถของเจ้าอ้วนน้อยเกินไป ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ดาบแห่งธาตุทั้งห้าได้พุ่งออกไปหาเสี่ยวไป่หลง เมื่อมองจากวิถีการโจมตีของมัน ในคราวนี้ไม่ใช่การทำลายดาบอีกแล้ว แต่เป็นการโจมตีเสี่ยวไป่หลงโดยตรง!
เสี่ยวไป่หลงผู้โง่เขลาหวาดกลัวอย่างหนักและพยายามจะป้องกัน เขาเรียกอุปกรณ์วิเศษทั้งหมดที่เขามีออกมา พร้อมกับสมบัติวิญญาณเพื่อใช้ป้องกันอีกด้วย ในตอนสุดท้ายเกิดเสียงกระทบกันของโลหะ ในคราวนี้เขาไม่เพียงแต่เสียดาบบินไป สองอุปกรณ์ที่ถูกเรียกออกมาป้องกันถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวไป่หลงกำลังจะตายเพราะความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในอก เขาคิดว่าเขามีอุปกรณ์มากมายเหลือเฟือจึงเตรียมดาบบินมาเพียงสองเล่มเท่านั้น! เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะพบเจอกับเจ้าอ้วนที่ทำลายอุปกรณ์ของเขาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ซึ่งในเวลานี้เขากำลังหมดหวังอย่างรุนแรง
เมื่อคิดเช่นนั้น เสี่ยวไป่หลงโกรธจัดพร้อมคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ไขมันบัดซบ เจ้าพยายามจะสังหารเพื่อนร่วมสำนักของตนเองงั้นหรือ?”
เจ้าอ้วนหยิบดาบบินของเสี่ยวไป่หลงขึ้นมาพร้อมสลักคำว่า ‘เสี่ยวไป่หลงเผามดบิน’ จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างสุขุม “ศิษย์พี่ ไม่ใช่ท่านงั้นหรือที่ข่มขู่ข้าก่อน?”
เสี่ยวไป่หลงตกตะลึงไปชั่วครู่พร้อมกับคิดได้ จากนั้นเขารีบกลับสู่สภาวะปกติทันที เขารู้ทันทีว่านี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรง ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะต้องพึ่งพาการช่วยเหลือของเจ้าอ้วนเท่านั้น ถ้าหากไม่ทำเช่นนั้น เขาจะถูกสังหารตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งในตอนนี้เขาไม่มีทั้งดาบบินและไม่สามารถวิ่งหนีมดบินได้
เมื่อคิดเช่นนั้น เสี่ยวไป่หลงผู้โง่เขลาที่กำลังหวาดกลัวจนถึงขีดสุดคุกเข่าลงและอ้อนวอนเจ้าอ้วน “ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าไม่เคยคิดเลย ศิษย์น้อยได้โปรดให้อภัยในคำพูดของข้า ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
“ศิษย์น้องงั้นหรือ? เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์น้อง?” เจ้าอ้วนกล่าวต่ออย่างสงบ “ข้าคิดว่าข้าถูกเรียกว่าไขมันบัดซบเสียอีก!”
บทที่ 133: ความงดงามที่อันตราย
ในขณะที่เสี่ยวไป่หลงได้ยินว่าเจ้าอ้วนพูดอะไร เขาโกรธจัดจนแทบจะตายตกไป พร้อมคิดในใจ ‘ชีวิตของข้ากำลังอยู่บนเส้นด้าย แต่ไขมันบัดซบอย่างเจ้ากลับกล่าววาจาไร้สาระอยู่งั้นหรือ?! ถ้าหากนายน้อยของเจ้ารอดพ้นไปได้ แน่นอนว่าข้าจะต้องให้เจ้าชดใช้อย่างสาสม!’ เมื่อเกิดภัยคุกคามเช่นนี้ เขารีบพูดทุกอย่างออกไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขากล่าวขึ้นมาอย่างอ้อนวอน “ศิษย์น้อง ศิษย์น้องซ่ง ความผิดที่ไม่ดีของข้าก่อนหน้านี้ ได้โปรดเห็นแก่ที่เราเป็นพี่น้องร่วมสำนักเถิด ได้โปรดช่วยเหลือข้าด้วย!”
“ไอ้ย่ะ แน่นอน เราคือเพื่อนร่วมสำนักกัน!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับส่ายหัว “แต่เนื่องจากข้าเดินมาทั้งวันแล้ว ในตอนนี้ข้าหิวมาก ข้าไม่มีพลังเหลือที่จะช่วยเหลือศิษย์พี่ได้เลย!”
เสี่ยวไป่หลงกรอกตาไปมา พร้อมคิดในใจ ‘เมื่อครู่เจ้ามีพลังมากพอที่จะทำลายดาบบินของข้า แต่ในตอนนี้เจ้ากลับบอกว่าไม่มีพลังเหลือที่จะช่วยข้า เพราะว่าเจ้าหิวงั้นหรือ?’
แต่อย่างที่พูดไป การที่ชีวิตอยู่ภายในมือของผู้อื่น ทางเลือกเดียวที่มีอยู่คือก้มหัว ในตอนนี้ปราณจิตวิญญาณมากกว่าครึ่งของเสี่ยวไป่หลงได้หมดลงไปแล้ว ถ้าหากในเร็ว ๆ นี้เขายังไม่ได้รับการช่วยเหลือ แน่นอนว่าเขาจะต้องกลายเป็นอาหารเย็นของมดบินเหล่านี้ ดังนั้นแม้ว่าเจ้าอ้วนกำลังสร้างความยากลำบากให้กับเขาอยู่ แต่ในเวลาเช่นนี้เขาทำได้เพียงเก็บงำความโกรธไว้และอ้อนวอนต่อไปเท่านั้น “ศิษย์น้อง ได้โปรดมีเมตตาและช่วยข้าก่อนเถิด เมื่อไหร่ที่เราออกไปจากที่แห่งนี้ได้ ข้าจะมอบอาหารทุกสิ่งอย่างที่เจ้าต้องการให้อย่างแน่นอน!”
“งั้นหรือ?” เจ้าอ้วนเผยยิ้มพร้อมเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แม้ว่าข้าจะบอกว่าข้าต้องการกินผลไม้วิญญาณงั้นหรือ?”
“เรื่องนั้น….” เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวไป่หลงไม่ใช่คนงี่เง่า ในขณะที่ฟังเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น เขารู้เจตนาของมันทันที ไขมันบัดซบผู้นี้ต้องการแย่งชิงผลไม้วิญญาณที่เขาเพิ่งไปหยิบมา
แม้ว่าผลไม้วิญญาณจะสำคัญกับเขามาก แต่ในนาทีนี้ชีวิตย่อมสำคัญกว่า ด้วยเหตุนั้นเขาจึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ศิษย์น้องต้องล้อเล่นอย่างแน่นอน เจ้าไม่ได้ต้องการเพียงผลไม้วิญญาณใช่หรือไม่? ตราบใดที่เจ้าช่วยเหลือพี่ชายผู้นี้ แน่นอนว่าข้าจะมอบมันให้เจ้าอย่างไม่ชักช้า!”
“ศิษย์พี่ ไม่ใช่ว่าน้องชายผู้นี้ไม่เชื่อท่าน มันเป็นเพียงหน้าที่ของศิษย์น้องที่ต้องปกป้องท่าน ข้า… อ่อนแอเนื่องจากหิวโหย ข้าไม่อาจเดินได้มากกว่านี้แล้ว เหตุใดท่านจึงไม่โยนผลไม้วิญญาณให้ข้าและข้าจะช่วยเหลือท่านหลังจากข้ากินมันเสร็จล่ะ?” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างสุขุม
ในขณะที่เสี่ยวไป่หลงได้ยินเช่นนั้น เขากระวนกระวายใจทันทีพร้อมกับตะโกนออกไป “แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเจ้าทิ้งข้าหลังจากกินมันล่ะ?”
“ศิษย์พี่ไม่ไว้ใจข้างั้นหรือ!” เจ้าอ้วนแสร้งพูดออกไปราวกับว่าเขาเสียใจและกล่าวต่ออย่างขุ่นเคือง “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าจะไม่รบกวนท่านอีกต่อไป ข้าขอตัวก่อน!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนจึงหันกายกลับไปทันที
เสี่ยวไป่หลงหวาดกลัวฉับพลันเมื่อได้เห็นเช่นนั้น ขณะที่เจ้าอ้วนกำลังจะจากไป เขาก็ต้องตายตกเช่นกันไม่ใช่หรือ? เขารีบตะโกนออกมาทันที “อย่าเพิ่งไป ได้โปรด ข้าจะมอบมันให้กับเจ้า!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบเอากล่องหยกที่เพิ่งได้รับมา พร้อมกับลูบไล้มันอยู่ชั่วครู่ด้วยความอาลัยอาวรณ์ จากนั้นเขาโยนมันให้กับเจ้าอ้วน ในขณะนั้นเสี่ยวไป่หลงสาปแช่งเจ้าอ้วนอยู่ในใจ ‘ไขมันบัดซบ ขอฝากสิ่งนี้ไว้กับเจ้าก่อน เมื่อไหร่ที่นายน้อยของเจ้าปลอดภัย ข้าจะส่งเจ้าไปสู่ความตายเอง!’
ในขณะที่เสี่ยวไป่หลงกำลังโกรธจัดอยู่ภายในใจ เจ้าอ้วนที่ได้รับกล่องหยกอยู่ในสภาวะที่มีความสุขอย่างถึงที่สุด จากนั้นเขาก็ตรวจสอบว่าตราประทับทุกสิ่งยังคงอยู่เช่นเดิมหรือไม่ จากนั้นเขาจึงเก็บมันเข้ามิติด้วยความพอใจ จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมตะโกนออกมา “โอ้ ไม่นะ ศิษย์พี่! ข้ารู้สึกท้องเสีย! ได้โปรดรอข้าสักครู่! ข้าจะกลับมาช่วยเจ้าเมื่อข้านำของเสียออกจากร่างกายจนหมด!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาเรียกพยัคฆ์ปีกแหลมออกมาพร้อมวิ่งออกไปทันที ไม่เปิดโอกาสให้เสี่ยวไป่หลงกล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น จากนั้นเขาก็หายตัวไปในป่าที่หนาทึบ
เมื่อเสี่ยวไป่หลงเห็นเช่นนั้น เขาเดือดดาลจนอวัยวะภายในแทบจะระเบิดออกมาและเกือบจะตายตกไปทันที จากนั้นจึงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ไขมันบัดซบ เจ้ากล้ามากที่หลอกลวงข้า! เรื่องนี้ไม่จบง่าย ๆ แน่!” แต่เจ้าอ้วนได้หลบหนีไปไกลเสียแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ยินอะไรเลย แม้ว่าเขาจะก่นด่าสาปแช่งยังไงก็ไม่อาจช่วยให้สถานการณ์ตรงหน้าดีขึ้นสักนิด ดังนั้นหลังจากตะโกนเสร็จสิ้นเขารวบรวมพลังไว้ที่เท้าของตนเองจากนั้นวิ่งเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
เพราะป่าหนาทึบมาก ความเร็วของเขาจึงถูกจำกัด อีกทั้งปราณจิตวิญญาณของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว แต่ในทางกลับกันพืชพรรณต่าง ๆ กลับไม่ทำให้มดบินช้าลงแม้แต่น้อย พวกมันยังคงไล่ล่าเสี่ยวไป่หลงอย่างแข็งขันจนถึงที่สุด
หลังจากนั้นไม่นาน เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นภายในป่า ในขณะนั้นมีลูกไฟยักษ์ปรากฏขึ้น แต่สถานที่แห่งนี้ชื้นเกินไปและไฟไม่อาจใช้งานได้มันจึงดับไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ช้า เจ้าอ้วนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพยัคฆ์ปีกแหลม จากนั้นเขาเริ่มทำการค้นหาและพบโครงกระดูกสีขาว และเศษซากเสื้อผ้าที่เหลืออยู่ ซึ่งมันคือโครงกระดูกของเสี่ยวไป่หลง และเจ้าอ้วนรู้สึกสมเพชให้กับเขาเท่านั้น!
จากร่องรอยบนพื้นที่ถูกเผาไหม้ เจ้าอ้วนรับรู้เหตุการณ์เบื้องต้นได้อย่างดี แน่นอนว่าเสี่ยวไป่หลงพยายามวิ่งโดยใช้ปราณจิตวิญญาณและบังคับให้สมบัติวิเศษของเขาทำงานเพื่อทำลายเหล่ามดบินที่กำลังไล่ล่าเขา แต่ช่างน่าสังเวช เพราะการที่เขาระเบิดสมบัติวิเศษของตนเองมันทำไม่ต่างเป็นการทำลายชีวิตของตนเองลงไปด้วย แม้ว่าจะมีมดบินหลายตัวที่ตายตกไป แต่เหล่ามดที่เหลือก็ยังสามารถสังหารเขาได้ดังเดิม
สำหรับความตายของเสี่ยวไป่หลง เห็นได้ชัดว่าเจ้าอ้วนไม่รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เขารู้สึกเสียดายนั่นคือสมบัติวิเศษที่ถูกทำลายลงไป เจ้าอ้วนพยายามตรวจสอบว่าเขาสามารถดึงสิ่งใดกลับมาได้หรือไม่แต่ก็น่าเสียดายที่มันไร้ประโยชน์เสียแล้ว เขาทำได้เพียงเก็บกระเป๋ามิติเล็ก ๆ ของเสี่ยวไป่หลงไว้ มันมีของมีค่าบางอย่างเพราะว่าเขาเป็นถึงศิษย์ชั้นยอดของสำนัก อีกทั้งครอบครัวของเขาก็ร่ำรวยอย่างมาก ซึ่งในกระเป๋าเต็มไปด้วยหินจิตวิญญาณนับล้านก้อน นับได้ว่าเป็นโชคลาภเล็กน้อยสำหรับเจ้าอ้วน
เมื่อมองไปที่โครงกระดูกบนพื้นดิน เจ้าอ้วนแสร้งทำท่าเสียใจพร้อมกับกล่าวว่า “ศิษย์พี่ เหตุใดเจ้าจึงไม่อดทนไว้สักหน่อย ข้าเพียงไปเอาของเสียออกจากตัวครู่เดียวเท่านั้น เจ้าก็จากไปเสียแล้ว เจ้าจะอยู่ในหัวใจของศิษย์น้องผู้นี้ตลอดไป! แต่เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ศิษย์น้องจะขอทำสิ่งสุดท้ายให้เจ้ามีความสุข ข้าขอกล่าวอะไรสักอย่าง ข้าคิดว่าชีวิตต่อไปของท่านไม่ควรเกิดมาเป็นมนุษย์อีกแล้ว แต่ควรเกิดเป็นสุกรแทน!” ขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น เขากระโดดขึ้นหลังของพยัคฆ์ปีกแหลมพร้อมกับวิ่งออกไปอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งทิศทางนั้นมีผลไม้วิญญาณอยู่ห่างออกไปราวร้อยลี้
ไม่กี่วันถัดมา เจ้าอ้วนเดินทางมาถึงจุดที่มีผลไม้วิญญาณซ่อนอยู่ แต่ในขณะนั้นเขาจึงพบว่ามาช้าไป มีคนมาถึงก่อนหน้าเขาแล้ว
ในขณะที่เขาพบกับคนผู้นั้น เจ้าอ้วนเก็บพยัคฆ์ปีกแหลมเข้ามิติ จากนั้นเขาร่ายเวทมนตร์ปกปิดตัวตนทันที
เวทมนตร์ม่านหมอกปกปิดเป็นเวทย์ระดับต่ำที่สุดของประเภทวารี มันจะสร้างชั้นหมอกขึ้นมา ถ้าหากเป็นสถานที่แห่งอื่นมันไร้ประโยชน์ แต่สถานที่ที่เต็มไปด้วยหมอกหนาเช่นนี้ แน่นอนว่ามันมีประโยชน์ มันทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งทำให้เจ้าอ้วนหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้อย่างง่ายดายเพื่อสอดแนมอีกฝ่าย
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด เขาพบผู้ฝึกตนหญิงสาวสวมชุดขาวและดูเป็นคนดี เขารู้สึกพอใจทันทีพร้อมกับคิดในใจ ‘ช่างเป็นศัตรูที่ข้าอยากจะพบเจอยิ่งนัก! เป็นเพราะหญิงสาวผู้นี้จริง ๆ วันนี้ข้าจะเล่นกับเจ้าอย่างยุติธรรม!’
หญิงสาวผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนจากหอเฉวียนจี้ ซึ่งเป็นผู้ที่ยั่วยุเจ้าอ้วนเมื่อไม่กี่วันก่อน คำพูดที่เลวร้ายของนางสร้างปัญหาให้กับเขามากมาย และนำพาให้หานปิงเอ๋อมาต่อสู้กับเขา ในตอนจบสร้างบาดแผลและความพ่ายแพ้ให้กับเจ้าอ้วนอีกทั้งยังเกือบทำให้เขาพิการอีกด้วย
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะลั่นวาจาไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับมา แต่ทว่าความแค้นในหัวใจของเขายังไม่เลือนหายใจ ในวันนี้เขามีเจตนาที่จะแก้แค้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่านางจะไม่ได้สังหารเจ้าอ้วนก็ตาม แต่เขาต้องการที่จะสั่งสอนบุคคลที่แสดงความโง่เขลาเช่นนางให้ได้ในวันนี้
ทิวทัศน์บริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นไม้และมีน้ำตาสูงราวหนึ่งร้อยฟุต บนยอดเขาของน้ำตกมีต้นไม้ขนาดใหญ่ กิ่งก้านของมันใหญ่มาก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยรังผึ้งขนาดใหญ่มากมาย เหนือรังของมันมีกล่องหยกเหมือนที่เจ้าอ้วนได้รับมาก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนได้แต่สาปแช่งในใจอย่างช่วยไม่ได้ ‘ผู้ฝึกตนประเภทใดกันที่วางกล่องผลไม้วิญญาณไว้ในสถานที่เช่นนี้ เหตุใดเขาจึงวางมันไว้ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย? ในครั้งล่าสุดข้าพบเจอกับภูเขาแม่เหล็กอีกทั้งมดบินได้ ถ้าปราศจากอุปกรณ์วิเศษที่ใช้สำหรับป้องกัน ทางเลือกเดียวคือตาย! และในตอนนี้ดูเหมือนกับว่ามันถูกวางไว้บนยอดของรังผึ้ง แต่เนื่องจากรังผึ้งมีขนาดที่แตกต่างกัน และปีกของมันเป็นเหล็ก อีกทั้งยังมีพิษที่ร้ายแรง ซึ่งมันจัดการยากยิ่งกว่ามดบินได้’
เมื่อคิดเช่นนั้น เจ้าอ้วนระมัดระวังตัวมากขึ้น จากนั้นเขามองไปรอบ ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ช้าเขามองเห็นต้นชาโบราณเกิดอยู่กลางน้ำตก แม้ว่ามันจะเติบโตอยู่กลางหน้าผา แต่ลำต้นของมันดูแข็งแรง จากรูปลักษณ์ของมันไม่อาจเดาได้ว่ามันมีอายุเท่าไหร่ อาจจะอยู่ที่ราวหนึ่งพันปี ใบของมันเขียวสดและสวยงาม อีกทั้งยังมีส่วนที่ลึกลับของมันคล้ายกับเส้นเลือดดำเกิดขึ้นเป็นวงกลมอยู่กลางลำต้น ราวกับมันเป็นเครื่องหมายอะไรสักอย่าง
แต่นี่เป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ถ้าหากว่าตรวจสอบอย่างรอบคอบ ถ้าหากมองดูแบบคร่าว ๆ ต้นชานี้ดูคล้ายกับพืชพรรณชนิดหนึ่งที่มีปราณจิตวิญญาณแอบแฝงเท่านั้น มีเพียงเจ้าอ้วนเท่านั้นที่มองเห็นมันเพราะเขาทำการตรวจสอบสิ่งรอบข้างอย่างละเอียด
เมื่อมองเห็นต้นชาที่มีลักษณะแปลก ๆ เช่นนี้ หัวใจของเจ้าอ้วนเต้นแรงขึ้นมาทันที เขาคิดถึงมิติลึกลับของตนเองทันที ต้นชานี้ดูไม่เลวร้ายสำหรับมิติของเขาสักเท่าไหร่ จากที่ไตร่ตรองอยู่สักครู่ เขาคิดว่าความคิดนี้ไม่เลวร้ายนักที่จะเก็บต้นชานี้ไว้ภายในมิติ ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังคิดเกี่ยวกับต้นชา หญิงสาวผู้ที่อยู่ด้านหน้าของเขายังคงพยายามที่จะเก็บผลไม้วิญญาณ นางหยิบเอาหยกเขียวออกมา และจากนั้นนางก็หายตัวไปในอากาศ
เจ้าอ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เวทมนตร์ม่านหมอกตกใจทันที จากนั้นเขาก็คิดในใจ ‘ศิษย์ที่มาจากหอเฉวียนจี้นั้นประหลาดอย่างยิ่ง! เหตุใดทุกคนจึงครอบครองสมบัติวิเศษ? อุปกรณ์ที่นางใช้ดูคล้ายกับกระจก ซึ่งดูแปลกประหลาดเมื่อมันเป็นสมบัติวิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตี ป้องกัน ปกปิด หรือตรวจสอบ ทุกสิ่งล้วนมีหน้าที่ที่แตกต่างกันและเป็นสิ่งที่ตรงตามความสามารถของผู้ใช้ ข้าไม่อาจคาดคิดมาก่อนว่าหญิงสาวผู้นี้จะมีสมบัติวิเศษเช่นกัน! แต่มองดูจากปราณจิตวิญญาณที่เล็ดลอดออกมา พวกเขาเหล่านี้เป็นบุคคลที่ไม่ควรยั่วยุ มันคงไม่ดีแน่ถ้าหากจะแย่งชิงผลไม้วิญญาณกับนาง!’
เพียงแค่เจ้าอ้วนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกิดเสียงร้องดังขึ้นจากรังผึ้ง เมื่อมองตามเสียงนั้นจึงมองเห็นว่าหญิงสาวผู้น่าสงสารกำลังพยุงตนเองจากการโจมตีและทำให้เวทมนตร์ของนางไม่อาจใช้งานได้อีกต่อไป
แม้วิธีการของนางจะดูฉลาด แต่ก็ไม่อาจปกปิดผู้รักษาสมบัติได้ ในขณะที่นางเข้าไปถึงพื้นที่ชั้นใน นางถูกค้นพบโดยผึ้งราชาทันที มันเป็นผึ้งที่แข็งแกร่งที่สุดในรัง แต่ความแข็งแกร่งเป็นรองเมื่อเทียบกับผึ้งนางพญา ในรังเต็มไปด้วยผึ้งหลายร้อยหลายพันชนิด มีผึ้งราชาไม่กี่ตัวเท่านั้น น่าเสียดายที่หญิงสาวผู้โชคร้ายคนนี้ได้พบกับมัน
ในขณะที่พวกมันค้นพบว่ามีผู้บุกรุกเข้ารังของมันโดยใช้เวทมนตร์ปกปิด พวกมันเข้าจู่โจมทันที แม้ว่าสมบัติวิเศษของนางจะมีพลังคุ้มกันที่แข็งแกร่ง แต่มันจะเป็นประโยชน์ถ้าหากนางเปิดใช้งานมัน แต่ในขณะที่นางอยู่ในเวทมนตร์ปกปิด นางไม่สามารถที่จะใช้งานการป้องกันตนเองได้
ผลงานของหญิงสาวผู้โง่เขลาล้มเหลวอย่างช่วยไม่ได้ นางถูกต่อยอย่างดุเดือดโดยผึ้งราชาเข้าที่ไหล่ ขอบคุณสวรรค์ที่เสื้อผ้าของนางนั้นสร้างจากไหมสวรรค์และมันถูกปรับแต่งอย่างพิถีพิถัน เช่นนี้จึงทำให้มันดูดซับแรงกระแทกไว้ได้มาก ถ้าไม่เช่นนั้นแขนของนางคงจะขาดไปแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ การต่อยของมันก็ยังคงทิ้งพิษไว้บนร่างกายของนาง อีกทั้งพิษของมันทำให้ผิวของนางไหม้เกรียม สาวน้อยรู้ทันทีว่าพิษของมันกำลังเล่นงานตนเองราวกับโดนเข็มหลายพันเล่มทิ่มแทงพร้อมกัน เมื่อไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดนี้ได้ นางร้องไห้ออกมาและไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป จึงทำให้นางล่วงหล่นกลางอากาศ
ด้วยความเจ็บปวดดังกล่าวทำให้นางพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ใบหน้าของนางเปื้อนคราบน้ำตา แต่ผึ้งเหล่านั้นยังไม่ยอมหยุดมือ พวกมันไล่ล่าตามนางอย่างดุเดือดและต้องการที่จะโจมตีอีกครั้ง เพียงอึดใจเดียวเกิดเสียง ‘หึ่ง’ เต็มไปทั่วท้องฟ้า ปรากฏแสงสีทองพุ่งไปมาอย่างรวดเร็วในอากาศ ขอบคุณสวรรค์! หญิงสาวได้ปรับแต่งอุปกรณ์วิเศษของตนเองมานานหลายปีและทำการเชื่อมโยงจิตวิญญาณกับมันเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่อุปกรณ์นี้เห็นว่าเจ้าของกำลังตกอยู่ในอันตราย หยกสีเขียวเปิดการใช้งานการป้องกันทันที มันล้อมรอบตัวของนางไว้ เมื่อเหล่าผึ้งพุ่งเข้ามาโจมตี มันถูกปิดกั้นการโจมตีทั้งหมดโดยหยกเขียวและทำให้นางรอดชีวิต
แม้ว่าพวกมันจะถูกปิดกั้นการโจมตี แต่ทว่าร่างกายของนางก็ไม่อาจกลับสู่สภาพเดิมได้ ในท้ายที่สุดร่างกายของนางพุ่งลงน้ำ หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายเปียกชุ่มทันที ซึ่งมันเผยให้เห็นความโค้งเว้าบนร่างกายของนางทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นการคืนกำไรให้กับเจ้าอ้วนอย่างแท้จริง
น้ำได้ชำระล้างความร้อนในร่างกายของนางทันที นางตระหนักว่าตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายเกินไปและพยายามตะกายไปที่ริมฝั่ง นางอยากจะใช้ดาบบินเพื่อหลบหนี แต่แล้วนางก็พบว่าตนเองถูกล้อมรอบไปด้วยผึ้งจำนวนนับพัน!
แม้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นโลหะเหล่านี้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนัก พวกมันทั้งหมดมีน้ำหนักประมานหนึ่งร้อยจินเท่านั้น เมื่อพวกมันบินด้วยความเร็วสูงสุด ลมที่เกิดจากปีกของมันสามารถพัดให้โขดหินแตกสลายได้ พวกมันคิดสะสางกับนางจากทุกทิศทางและไม่มีเวลาให้นางได้หยุดพัก ในขณะนั้นมีแสงสีเขียวซึ่งกำลังพยายามปกป้องนางอยู่เช่นกัน แรงกดดันมหาศาลเหล่านี้มันทำให้นางก้าวขาไม่ออก แม้แต่ดาบบินก็ยังไม่สามารถใช้งานได้
บทที่ 134: ดาบทลายภูผา
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกหมดหวังในตอนนี้คือ สมบัติวิเศษของนางเป็นประเภทไม้ ทว่าฝูงผึ้งกลับเป็นพวกโลหะ ไม้ไม่อาจต่อต้านโลหะ ความจริงนี้ทำให้นางแพ้พ่ายโดยสมบูรณ์ ตอนนี้สมบัติวิเศษของนางกำลังถูกกดดันอย่างหนัก อีกทั้งยังเผาผลาญปราณจิตวิญญาณของนางจนแทบหมดสิ้น หากนางไม่อาจหาทางออกให้กับสถานการณ์นี้ ชัดเจนนักว่าอีกไม่ช้านางต้องตายแน่!
แน่นอนว่าด้วยอายุของนางคงยังไม่เคยพบเจอสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ พิษตอนนี้อาบไล้อยู่ทั่วแผลบนไหล่ของนาง จิตสังหารของผึ้งทั้งฝูงต่างทำให้นางคล้ายคนโง่งม เมื่อนางคิดว่าตนอาจต้องตายอยู่ที่นี่ น้ำตาแห่งความอัดอั้นพลันระเบิดออกมาอย่างไม่อาจถ่วงรั้ง
เจ้าอ้วนผู้ที่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ไม่อาจคาดคิดว่าหญิงสาวที่ดูชาญฉลาดในครั้งนั้น จะจัดการสถานการณ์ตรงหน้าด้วยการร้องไห้ออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้อีกต่อไป โดยทันทีเขาจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ขณะที่เขายังคงหัวเราะ แน่นอนว่าหญิงสาวหันควับมองมาทันที ในตอนนี้นางหวังเพียงสิ่งเดียวก็คือการมีคนมาช่วยนางออกไป ในขณะที่นางได้ยินเสียงหัวเราะของเขา นางใช้หยกกระจกส่องไปที่ต้นเสียงทันที ด้วยรังสีของลำแสง ทำให้เวทมนตร์ม่านหมอกที่เจ้าอ้วนร่ายไว้จางหายไป ทันทีที่นางเห็นว่าเป็นเขา นางรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะนางรู้ว่าเจ้าอ้วนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ถึงขั้นที่ต่อสู้กับศิษย์พี่หญิงของนางได้อย่างเท่าเทียมกัน! แน่นอนว่าในตอนนี้เขาสามารถช่วยนางได้ ดังนั้นนางจึงรีบตะโกนขอความช่วยเหลือทันที “อ้วน เจ้าอ้วน ช่วยข้าที!”
ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาแทบกระอักเลือดตายไปพร้อมกับความโกรธ พร้อมคิดในใจ ‘การเรียกข้าว่าเจ้าอ้วนมันคืออะไร นี่คือวิธีการขอร้องของเจ้างั้นหรือ?’
ดังนั้นเจ้าอ้วนกรอกตาไปมาราวกับว่าไม่สนใจนางพร้อมกล่าวอย่างขุ่นเคือง “หือ เจ้าอ้วนที่ไหนกัน? ทางนั้นรึ ตรงโน้นรึเปล่า?” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็ทำท่ามองไปรอบ ๆ
ต่อให้นางจะโง่เขลาเพียงใด แต่นางรู้ได้ทันทีว่านางได้ทำผิดร้ายแรงเสียแล้ว! ขณะนั้นนางเกรงว่าเจ้าอ้วนจะปล่อยนางทิ้งไว้ใต้หน้าผาแห่งนี้ นางรีบตะโกนอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ฟังข้าก่อน ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดช่วยเหลือข้าที!”
“อา จากเจ้าอ้วนกลายเป็นศิษย์พี่ ข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งรวดเร็วเสียจริง!” เจ้าอ้วนพูดแหย่ “ข้าทราบถึงความผิดของตนเองแล้ว ได้โปรดเลิกแกล้งข้าเถิด! รีบช่วยข้าออกไปที!” สาวน้อยกล่าวออกมาอย่างกังวลใจ
“ย่อมได้ ข้ารับการขออภัย!” เจ้าอ้วนทำท่าจริงจังพร้อมกล่าวว่า “การขออภัยอันแสนจริงใจของเจ้านั้น ทำให้ข้ารู้สึกตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าบุรุษผู้นี้ยอมยกโทษให้หญิงสาวผู้ไร้เดียงดาและทำไปเพราะไม่รู้ตัว!”
“ขอบคุณ ขอบคุณศิษย์พี่อย่างยิ่ง เร็วเข้า! รีบช่วยข้า!” หญิงสาวกล่าวอย่างรีบร้อน
“หืม ช่วยเจ้า?” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างรังเกียจ “ข้าเพียงกล่าวว่าข้ายกโทษให้กับเจ้า นั่นหมายความว่าหนี้เก่าที่เราติดค้างกันอยู่ได้ถูกชำระล้างแล้ว ข้าไม่ได้พูดสักนิดว่าข้าจะช่วยเหลือเจ้า! อีกทั้งข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นด้วย!”
“เจ้า เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น ความหวังของนางแทบจะเลือนหายไปพร้อมกับตัวตนของนาง “ไม่ใช่อาวุโสฮัวอวิ๋นบอกหรือว่าหลังจากที่เราเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ เราคือครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ? แต่เจ้ากลับคิดจะปล่อยข้าไว้แบบนี้?”
“นับเป็นเรื่องที่ดี ที่เจ้ารู้ว่าใครกล่าวสิ่งใดไว้ แต่มันไม่มีผลอะไรกับข้า!” เจ้าอ้วนยักไหล่อย่างไม่แยแส
“บัดซบ แน่นอนว่าข้าจะร้องเรียนเรื่องนี้กับนักบวชฮัวอวิ๋นเมื่อข้ากลับไป!” หญิงสาวตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าฮ่า ตกลง ถ้าหากเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดออกไปได้ ข้ายินดีให้เจ้าร้องเรียนเรื่องนี้กับเขา!”
“เจ้า!” และแล้วนางก็เข้าใจสถานการณ์ของตนเองและรู้ทันว่านางจะต้องตายอยู่ที่แห่งนี้ถ้าเจ้าอ้วนไม่ช่วยเหลือนาง เมื่อคิดเช่นนั้น นางเริ่มร้องไห้อีกครั้งและกล่าวว่า “เจ้าคนเลว เจ้าข่มเหงข้า!”
“เหอะ!” เจ้าอ้วนถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยข่มเหงข้าหรือในหลายวันก่อนหน้านี้?”
“แล้วข้าไม่ยอมรับความผิดของข้างั้นหรือ? อีกอย่างเจ้าเป็นบุรุษ เหตุใดจึงใจคอคับแคบเช่นนี้!” นางกล่าวออกมาอย่างคับแค้นใจ
“โอ้ ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นคนใจแคบนิดหน่อยนะ แต่หลังจากที่ข้าได้ถูกข่มเหงโดยเจ้าและถูกรังแกโดยศิษย์พี่ของเจ้าจนเกือบจะพิการ แน่นอนว่าข้าจะต้องชำระล้างความโกรธแค้นทั้งหมดนี้!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มปีศาจ “สำหรับเรื่องนี้ หากเจ้ายอมเรียกข้าว่าพี่ชาย ข้าอาจยอมลืมเรื่องราวในอดีต จากนั้นอาจจะช่วยเหลือเจ้า หากเจ้ายอมทำให้ข้าได้สุขสันต์ล่ะก็นะ!”
“ว่าอะไร? เจ้าคาดหวังให้ข้าเรียกเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร?” หญิงสาวตอบกลับอย่างอับอาย
“ถ้าหากเจ้าไม่เรียกข้าเช่นนั้น ข้าต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้!” เจ้าอ้วนกล่าวเสริม “แบบนั้นแล้วก็จงรอคอยผึ้งเหล่านี้จับตัวเจ้าได้และกินเจ้าอย่างช้า ๆ! ข้ามั่นใจอย่างยิ่งว่าพวกมันได้สุขสันต์กับงานเลี้ยงมื้อนี้อย่างแน่นอน แต่ข้าไม่อาจทราบได้ว่าพวกมันจะกินหัวหรือเท้าของเจ้าก่อน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าอ้วน หญิงสาวยิ่งหวาดกลัวอย่างหนักและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง “หยุดกล่าววาจาเช่นนั้นได้แล้ว ข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่ชาย! พี่ชาย พี่ชายได้โปรดช่วยชีวิตข้าด้วย!”
“ไม่ใช่แบบนั้น เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ชายที่แสนดี พี่ชายสุดที่รัก!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างสนุกสนาน ในขณะที่นางได้ยินเช่นนั้น นางแทบจะเป็นบ้าตาย แต่เพียงแค่เรียกเขาว่าพี่ชาย อีกทั้งชีวิตของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย นางจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับสิ่งอื่น นางตะโกนออกมาสุดเสียง “พี่ชายที่แสนดี พี่ชายสุดที่รัก ได้โปรดช่วยชีวิตข้าด้วย! ถ้าหากท่านไม่รีบช่วยข้าในตอนนี้ ข้าตายแน่! อ๊ะ!”
ในขณะที่นางกำลังตะโกนเช่นนั้น ลำแสงที่ปกป้องนางไว้ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป มันแตกหักอย่างสมบูรณ์ วินาทีต่อมาเหล่าผึ้งทั้งหลายพุ่งเข้าหาร่างกายของนางราวกับดาวตก ขณะนั้นใบหน้าของนางสิ้นหวังพร้อมกับหลับตาลงรอคอยความตายที่กำลังจะมาถึง
แต่ในขณะนั้น เจ้าอ้วนเริ่มขยับร่างกาย ประการแรกคือเขาสร้างคลื่นดาบยาวร้อยฟุตออกมากวาดไปทั่วบริเวณที่มีผึ้งบินอยู่ ธาตุไฟสามารถต่อกรกับโลหะได้ อีกทั้งดาบแห่งธาตุทั้งห้าทำให้ผึ้งตายไปมากมายจากแสงดาบที่ถูกส่งออกมา
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่เจ้าอ้วนกระทำ เขาโยนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีออกมานับสิบลูก รังผึ้งทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ระเบิดออกทันทีและเผาไหม้ทั่วบริเวณจนกลายเป็นพื้นที่สีแดง แม้ว่ากล่องหยกจะกระเด็นไปไกล เจ้าอ้วนดึงมันกลับมาได้ทันทีด้วยลำแสงของดาบเขา
เพียงอึดใจเดียว เจ้าอ้วนสามารถช่วยชีวิตนางไว้ได้ พร้อมสังหารผึ้ง ทำลายรังของพวกมันทั้งหมดและได้รับสมบัติ กระบวนการทุกอย่างราบลื่นดั่งน้ำไหลในลำธารอีกทั้งยังแสดงพลังของผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้าด้วย หญิงสาวที่มองอยู่ด้านข้างตกตะลึงทันที เมื่อสักครู่นี้นางยังอยู่ในสภาวะสิ้นหวังรอคอยความตาย แต่ในเวลาถัดมา ทุกอย่างกลับจบลงอย่างรวดเร็ว จนนางไม่อาจเชื่อสายตาของตนเองว่านี่คือเรื่องจริง
หลังจากที่นางกำลังตกใจอยู่ นางเห็นเจ้าอ้วนกำลังโยนกล่องหยกเล่น ดวงตาของนางเบิกโพลงขึ้นพร้อมกับร้องไห้และกล่าวกับเจ้าอ้วนว่า “พี่ชายที่แสนดี ท่านช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก! ท่านทำให้ข้าประหลาดใจอย่างมาก!”
เมื่อหันมองตามน้ำเสียง หญิงสาววิ่งตรงไปที่เจ้าอ้วนพร้อมกับจับมือของเขาด้วยใบหน้าที่ตื้นตัน
ในขณะนั้นเสื้อผ้าของนางเปียกและแสดงให้เห็นถึงส่วนโค้งเว้าและผิวที่เนียนเรียบของนาง เมื่อเจ้าอ้วนเห็นดังนั้น คลื่นแห่งความปรารถนาถาโถมเข้ามาภายในใจเขาอย่างท่วมท้น ก่อนที่เขาจะฟื้นจากความรู้สึกเหล่านี้ เขารู้สึกว่ามือของเขามีแสงขึ้นมาพร้อมกับกล่องหยกถูกฉกฉวยไป จากนั้นหญิงสาวก็หายตัวไปอย่างลึกลับราวกับว่านางไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
นี่เป็นความสามารถของสมบัติวิเศษงั้นหรือ? เจ้าอ้วนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกหลอกโดยหญิงสาวผู้นี้มาก่อน
ในขณะนั้น หญิงสาวที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ ก็ยังไม่ลืมที่จะข่มขู่เขา “เจ้าก้อนไขมันบัดซบ เจ้าใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนั้นจริง และยังบังคับให้ข้าต้องกล่าวคำอันน่ารังเกียจ คนเช่นเจ้าสมควรตายสักหมื่นครั้ง! แต่วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะไม่ลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับเจ้า จงจำไว้ว่าเจ้าต้องขอบคุณข้าและอย่าสร้างปัญหาให้กับข้าอีกในอนาคต ไม่อย่างนั้น… ข้าจะ….” หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น นางนิ่งเงียบไป ซึ่งในตอนนี้นางต้องการจะข่มขู่เขาแต่ดูเหมือนว่านางจะไม่อาจทำได้
เจ้าอ้วนจึงถามออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่อย่างนั้นอะไรหรือ? เจ้าจะทำอะไรกับข้า?”
สวรรค์ หญิงสาวไม่อาจกล่าวสิ่งใดนอกจาก “ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าจะเรียกให้ศิษย์พี่หญิงหานปิงมาเจาะตันเถียนของเจ้าให้กลายเป็นคนพิการไปจริง!” ขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันที “สิ่งที่เจ้าต้องการนั่นคือการทำลายข้างั้นหรือ?”
นางรู้ทันทีว่าตอนนี้ได้กล่าวสิ่งที่ไม่เหมาะสมออกไปจึงรีบหนีไปพร้อมกับกรีดร้องดังลั่น
เมื่อเห็นว่านางหนีไปแล้ว เจ้าอ้วนหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม สิ่งที่แย่ที่สุดในตอนนี้คือเขาไม่มีสมบัติวิเศษที่จะทำลายเวทมนตร์ปกปิดที่นางใช้ได้เลย เขาจึงทำได้เพียงมองดูฝ่ายตรงข้ามหนีไปเท่านั้น
อีกทั้งเจ้าอ้วนมีความมั่นใจอย่างมากในการล่าครั้งนี้ จุดประสงค์ของเขาคือการได้รับผลไม้วิญญาณเก้าผล สามชิ้นสำหรับเขา เจ้าลิงและหานหลินเฟิง มันไม่สำคัญว่าหญิงสาวผู้นั้นจะหนีเขาไปอย่างไร สำหรับเขาแล้วเขาไม่สนใจที่จะฉกฉวยผลไม้วิญญาณจากผู้หญิง
เจ้าอ้วนไม่ได้เดินออกจากน้ำตกในทันที เขาใช้ดาบบินเพื่อบินไปตรงกลางของน้ำตกและเฉือนเอาต้นชาที่อยู่ตรงนั้นมาวางไว้ในมิติของเขา
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เจ้าอ้วนพบว่าในตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว และเขาควรจะหยุดพักอยู่ที่นี่ก่อน และไปต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น
เป้าหมายต่อไปของเขาคือการไปยังจุดนัดพบ แม้ว่าเขาจะต้องการละทิ้งภารกิจของนักบวชฮัวอวิ๋น แต่เขาไม่อาจละทิ้งเป้าหมายสำคัญของสำนักได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจตามล่าผลไม้วิญญาณได้ดั่งใจที่คิดไว้ ในตอนนี้เขาอยู่ใกล้กับจุดนัดพบและมันมีผลไม้วิญญาณซ่อนอยู่สองผล
แม้ว่าสถานที่แห่งนั้นจะว่างเปล่า แต่เขาก็ยังคงมีความหวังในใจเล็กน้อยว่าเขาอาจจะได้รับมันอยู่
บทที่ 135: ฉุ่ยจิ้งตกอยู่ในอันตราย
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เจ้าอ้วนเดินทางมายังสถานที่ซึ่งผลไม้วิญญาณซุกซ่อนเอาไว้ แต่แล้วเขากลับพบว่ามันถูกหยิบฉวยไปเสียแล้ว สิ่งเดียวที่หลงเหลือคือศพของอสูรกายและเศษซากของร่างกายมนุษย์ ฉากตรงหน้านี้บ่งบอกได้ว่าการจะได้รับมันไปนั้นต้องจ่ายมากเพียงใด
ถ้าเจ้าอ้วนไม่ได้มีภารกิจอยู่ในมือ เขาจะตามล่าบุคคลผู้นี้อย่างแน่นอน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ามันมาจากสำนักพันปีศาจ แต่ร่องรอยของสหายผู้นี้อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่เขาต้องไป อีกทั้งสิ่งนี้เกิดขึ้นมานานหลายวันแล้ว ซึ่งมันไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายหนีไปไกลเพียงใด ดังนั้นสิ่งเดียวที่เจ้าอ้วนทำได้ในตอนนี้คือดำเนินการตามแผนเดิม
เจ้าอ้วนเดินทางต่อไปอีกสองถึงสามวัน บ่ายวันนี้เขากำลังบินข้ามป่าไผ่ด้วยพยัคฆ์ปีกแหลม เขาได้ยินเสียงโลหะปะทะกัน เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้การต่อสู้นี้ดูเหมือนว่ามันกำลังเข้าใกล้เขามาเรื่อย ๆ
หลังจากที่เจ้าอ้วนได้พิจารณาเรื่องราวทั้งหมด เรารีบเก็บพยัคฆ์ปีกแหลมทันที จากนั้นร่ายเวทมนตร์ม่านหมอกเพื่อปิดบังตนเองและเดินเท้าเข้าไป พร้อมคิดในใจ ‘คงจะดีถ้าหากทั้งสองคนนี้กำลังบาดเจ็บอย่างหนักจากการต่อสู้ แบบนั้นข้าจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ครั้งใหญ่นี้เพียงผู้เดียว!’
ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังจินตนาการภาพอันแสนหวานอยู่นั้น ป่าไผ่ที่อยู่ด้านหน้าถูกทำลายลงอย่างฉับพลัน ต้นไผ่ขนาดใหญ่สองถึงสามร้อยฟุตล้มลงส่งเสียงดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ จากรูปร่างของต้นไผ่ที่ถูกเฉือนอย่างเรียบเนียนเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันถูกตัดด้วยดาบ ซึ่งมันทำลายต้นไผ่ทั้งหมดได้ในพริบตาเดียว
มีแสงสีทองสาดส่องออกมาพร้อมกับเหรียญทองที่ล้อมรอบตัวของหญิงสาวไว้ ภาพหญิงสาวที่เจ้าอ้วนเห็นนั้นดึงดูดความสนใจของเขาอย่างมากเพราะบุคคลผู้นั้นคือคนที่เขาเข้าร่วมการเก็บตัวฝึกฝน นางคือฉุ่ยจิ้ง!
ในขณะนั้นฉุ่ยจิ้งอยู่ในสภาพที่น่าเวทนามาก แม้ว่าจะมีกระดองเต่าดำคอยปกป้อง แต่เสื้อผ้าและผมของนางกลับเลอะเทอะอย่างไม่น่าดู แขนซ้ายของนางถูกฉีกขาดโดยสมบูรณ์ เหนือแขนของนางมีแต่ร่องรอยของเลือดที่เปรอะเปื้อน
ล้อมรอบของฉุ่ยจิ้งมีบุคคลที่เลือนรางปรากฏอยู่เก้าคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดไม่มีร่างกาย พวกเขาลอยล้อมรอบฉุ่ยจิ้งดั่งภูตผี ในขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหว ทุกอย่างเงียบสนิทและสามารถทะลุผ่านทุกสิ่งอย่างได้หมดรวมทั้งต้นไผ่ทั้งหมดในป่านี้
เจ้าอ้วนตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างมาก พร้อมกับคิดในใจ ‘สิ่งสวยงามประหลาดพวกนี้มันไม่มีรูปร่างและดูเหมือนมันจะตรงตามที่นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวเตือนไว้ การปรากฏตัวของหญิงสาวทั้งเก้าคนนี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก มันเหมือนกับคนในรูปที่อยู่บนภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า! เดี๋ยวนะ นี่ไม่จริงใช่หรือไม่? บุคคลที่กำลังไล่ล่าฉุ่ยจิ้งคือเจ้าของภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า ยู่เฟิง!’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เจ้าอ้วนไม่อาจเชื่อได้ จากนั้นเขาพยักศีรษะช้าพร้อมคิดในใจ ‘ต้องเป็นมันอย่างแน่นอน นอกเหนือจากมันแล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถทำให้หญิงสาวที่งดงามที่สุดในสำนักเสวียนเทียนต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้ได้หรือ?’
ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังตกใจอยู่นั้น สามคนที่อยู่เบื้องหน้าของฉุ่ยจิ้งได้เปิดการโจมตีอีกครั้ง คนแรกคือผู้ที่ครอบครองภาพวาดหญิงงามทั้งเก้ายู่เฟิง อีกสองคนคือเพื่อนร่วมสำนักของเขา
อีกฝ่ายก้าวเดินมาด้านหน้าสองสามก้าวก่อนจะหัวเราะด้วยน้ำเสียงอันชั่วร้าย “แม่นางฉุ่ยจิ้ง เป็นข้าเตือนเจ้าแล้วว่าไม่อาจหลบหนีไปจากร่างกายของปีศาจแห่งสวรรค์ได้ เหตุใดเจ้าจึงดื้อด้าน? แต่ก็ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเอง!”
กล่ามตามตรงแล้ว ยู่เฟิงนั้นเป็นคนโฉด สิ่งที่เขากล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั้นไม่มีทางเชื่อถือได้อย่างแน่นอน ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่ไม่อาจถ่วงรั้งความต้องการภายในกาย ช่างเป็นภาพที่น่ารังเกียจยิ่งนัก
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น รวมกับอาการบาดเจ็บและปราณจิตวิญญาณที่ใกล้หมดเต็มที แต่ฉุ่ยจิ้งกลับไม่รู้สึกกังวลใจแต่อย่างใด นางยังคงสงบนิ่งและทุกสิ่งดูราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นภาพที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง!
นางกล่าวออกมาอย่างมั่นใจพร้อมรอยยิ้ม “หนุ่มน้อยยู่เฟิง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าการที่เจ้าไล่ล่าข้ามาถึงที่แห่งนี้ จะกลายเป็นตัวเจ้าเองที่ชะตาขาด?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลังจากที่ยู่เฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกล่าวออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “ความตายงั้นหรือ? แม่นางฉุ่ยจิ้ง เจ้าช่างอารมณ์ขันเสียจริง! เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำโกหกของเจ้างั้นหรือ? ความจริงที่ข้าคิดบอกคือ วันนี้เจ้าต้องให้คำตอบแก่ข้าว่าคิดยอมตกเป็นของข้าหรือไม่ ซึ่งแน่นอน หากเจ้าตอบว่าไม่ ข้าจะไม่มีทางให้เจ้าได้ตายอย่างสุขสบาย! แต่ถ้าหากเจ้ายอมล่ะก็ เราจะได้เพลิดเพลินไปตามอารมณ์และไปสู่จุดหมายด้วยกันทั้งคู่! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับ นางเพียงส่ายหัวพร้อมตอบกลับ “ตอนนี้ประตูแห่งความตายของเจ้าได้เปิดรอแล้ว แต่เจ้ายังไม่รู้ ช่างน่าเวทนาเสียจริง!”
เมื่อยู่เฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจนแทบจะกระอักเลือดตาย เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับสบถใส่ “ฉุ่ยจิ้ง อย่าบอกนะว่าเจ้ากำลังเขินอายที่ต้องทำตัวโง่เง่าต่อหน้าข้า? นี่คือบิดาของเจ้า ข้าครอบครองภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า เหล่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนที่เข้ามาภายในภูเขาแห่งนี้ ใครกันเล่าจะเหมาะสมที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า? ผู้ใดกันจะสามารถสังหารข้าได้?”
ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศ “ข้าสามารถสังหารเจ้าได้!”
จากเสียงพูดเหล่านั้น ปรากฏดาวตกสีแดงและสีทองนับสิบพุ่งเข้าใส่ยู่เฟิงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าฉุ่ยจิ้งวางแผนกับบุคคลที่เพิ่งโผล่มาไว้เรียบร้อย นางเก็บกระดองเต่าดำและส่งเหรียญชะตาฟ้าเดินออกไปทันที เหรียญสีทองทั้งหกพุ่งเข้าชนกับศีรษะของยู่เฟิงราวกับดาวตกในยามค่ำคืน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการซุ่มโจมตีอย่างฉับพลัน แน่นอนว่ายู่เฟิงตกใจอย่างมาก แต่เขาคือผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ เพราะช่วงชีวิตของเขาที่ผ่านมานั้นเจอกับศึกนับไม่ถ้วน เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วพร้อมกับเรียกบุคคลในภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าออกมาปกป้องตนเองอย่างรวดเร็ว
ภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นเป็นสมบัติวิญญาณที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดท่ามกลางสมบัติวิญญาณทั้งหมด ชั่วพริบตาเดียวภาพวาดเหล่านั้นแปรเปลี่ยนร่างกายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ทันที พวกเขาทั้งหมดปรากฏตัวขึ้นแล้วในสนามรบ นักบวชทั้งสี่เรียกการป้องกันขั้นสูง โล่สีทองถูกเรียกใช้งานอย่างรวดเร็วพร้อมกับปกป้องยู่เฟิงไว้อย่างสมบูรณ์ ส่วนผู้ฝึกตนทั้งห้าอยู่ในท่วงท่าถือดาบเพื่อทำการป้องกันอีกหนึ่งชั้น
ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือ แม้ว่าจะมีภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า แต่มันก็ยังถูกจำกัดความรุนแรงด้วยระดับพลังของผู้ครอบครอง ผู้ฝึกตนทั้งเก้ามีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ แต่ถ้าหากพวกเขาทั้งหมดรวมพลังกันระดับพลังของพวกเขาสามารถเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตัน ดังนั้นการโจมตีของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จึงไม่อาจใช้เพียงการป้องกันธรรมดาได้ ไม่เพียงแค่นั้น ชายหนุ่มยังถูกซุ่มโจมตีโดยไม่รู้ตัว พร้อมทั้งเพื่อนร่วมสำนักทั้งสองคนของเขายังวิ่งไปด้านหน้ายู่เฟิงเพื่อเรียกการป้องกันอีกชั้นหนึ่งด้วย ในขณะนั้นยู่เฟิงยังเปิดใช้งานสมบัติวิเศษอีกสามชั้นที่ด้านหน้าของตนเอง
ด้วยสมบัติวิเศษทั้งห้ารวมกับภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นเป็นการป้องกันที่มากเกินไป ไม่ต้องนึกถึงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันก็ไม่อาจผ่านการป้องกันครั้งนี้ไปไม่ได้
การปกป้องยู่เฟิงเกิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตา ยู่เฟิงเพียงยืนยิ้มอย่างหยิ่งยโสพร้อมกับรอดูฉากต่อไปที่ผู้ซุ่มโจมตีเขาจะแสดงให้เห็นหลังจากที่เขาเปิดเผยการป้องกันขั้นสูงออกมาทั้งหมดแล้ว
แต่ในขณะนี้สิ่งที่ยู่เฟิงไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นับสิบที่เจ้าอ้วนปล่อยออกไปได้เปลี่ยนทิศทางการโจมตีไปด้านขวา เพื่อโจมตีผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามที่ยืนอยู่ทางซ้ายของเขา
ในเวลาเดียว เหรียญชะตาฟ้าดินที่ฉุ่ยจิ้งส่งออกมาเปลี่ยนทิศการโจมตีไปที่ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนที่อยู่ด้านขวาของยู่เฟิงทันที
การโจมตีของทั้งคู่นั้นสมบูรณ์แบบเรียกได้ว่าเป็นคู่หูอัจฉริยะ ราวกับว่าพวกเขาได้ฝึกฝนร่วมกันมานับไม่ถ้วน แต่ในความเป็นจริงคือพวกเขาทั้งสองคนไม่เคยพูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย
ในความจริง เจ้าอ้วนไม่ได้มีเจตนาต่อสู้ร่วมกับฉุ่ยจิ้ง จุดประสงค์ของเขาคือการซุ่มโจมตีและกำจัดหนึ่งในพวกเขา เจ้าอ้วนรู้สถานะของยู่เฟิงดี แน่นอนว่าเขามีสมบัติล้ำค่ามากมายที่พร้อมจะใช้ปกป้องตนเอง อีกทั้งยังมีภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า แน่นอนว่าการสังหารอีกฝ่ายในครั้งเดียวไม่อาจกระทำ และถ้าหากไม่สามารถสังหารพวกพ้องเขาได้ การซุ่มโจมตีทั้งหมดจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง แล้วสถานการณ์จะถูกเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ของสามต่อสอง!
แต่ถ้าหากเจ้าอ้วนกำหนดเป้าหมายเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของเขา โอกาสที่จะชนะมันจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะดึงดูดความสนใจเพื่อที่จะสังหารผู้ติดตามแทน หากเป็นไปตามแผนการต่อสู้จะกลายเป็นสองต่อสอง ซึ่งแน่นอนว่ามันดีกว่าสามต่อสอง
แต่เจ้าอ้วนไม่คาดคิดว่าฉุ่ยจิ้งจะสามารถทำนายการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงร่วมต่อสู้กับเจ้าอ้วนในครั้งนี้ด้วย เรื่องนี้ทำให้เจ้าอ้วนตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ศิษย์ทั้งสองคนนั้นไม่คาดคิดว่าตนเองคือเป้าหมายในการซุ่มโจมตีครั้งนี้ และไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน พวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะดึงเอาสมบัติวิเศษที่ปกป้องยู่เฟิงอยู่กลับมาปกป้องตนเอง ผลลัพธ์คือพวกเขาทั้งสองถูกสังหารลงอย่างง่ายดาย! เมื่อสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ปะทะกับร่างกายมนุษย์ที่ไร้การป้องกัน ร่างกายจึงสลายหายไปแทบจะทันที เหรียญชะตาฟ้าดินของฉุ่ยจิ้งสามารถสังหารผู้ที่ยืนอยู่ด้านขวาได้ ชั่วครู่เดียวเท่านั้นยู่เฟิงคือผู้เดียวที่เหลืออยู่ในสนามรบ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแม้แต่ยู่เฟิงเองก็ไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เจ้าอ้วนยังคงยิ้ม ขณะขี่พยัคฆ์ปีกแหลม เขาก็ถือระฆังลมทองแดงขนาดสองฟุตเอาไว้ในมือขณะร่อนลงมา ยู่เฟิงพลันตื่นตกใจ ไม่ช้าจึงกล่าวถามด้วยความโกรธเกลียดและอับอายออกมา “ไขมันที่บัดซบ บังอาจกล้าโจมตีนายน้อยคนนี้งั้นหรือ?”
“ศีรษะของเจ้าโดนลาเฒ่าเตะเข้าใส่หรือไร?” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างรังเกียจ “นักบวชผู้นี้เพียงซุ่มโจมตีถังขยะข้างกายเจ้า! ข้าซุ่มโจมตีเจ้าตอนไหนกัน?”
“เฮ้อ” แม้แต่ฉุ่ยจิ้งที่นิ่งสงบ ยังอดไม่ไหวที่จะหัวเราะกับคำพูดของเจ้าอ้วน
สำหรับยู่เฟิง เขาโกรธจัดจนแทบจะไอออกมาเป็นเลือด เขาชี้นิ้วไปที่เจ้าอ้วนแต่กลับไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากปาก!
บทที่ 136: การต่อสู้ที่อันตราย
เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งหาได้สนใจยู่เฟิงที่โกรธจัดแต่อย่างใด พวกเขากลับมองหน้ากันและกันพร้อมหัวเราะออก ไม่ช้าเจ้าอ้วนพลันสะบัดมือหนึ่งครั้งเพื่อโยนขวดหยกไปให้ฉุ่ยจิ้ง
ฉุ่ยจิ้งรับขวดไว้อย่างแม่นยำและดื่มมันเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่ามีสิ่งใดอยู่ด้านใน จากนั้นนางก็เก็บขวดไว้กับตนเอง
เมื่อเห็นว่าน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าได้หายไปอยู่ในมือของฉุ่ยจิ้งเรียบร้อยแล้ว เจ้าอ้วนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขารู้ดีว่าฉุ่ยจิ้งคงรู้ว่าเขายังมีน้ำพวกนี้อีกมากมาย นางจึงเก็บส่วนนั้นไว้โดยไม่เอ่ยปากแต่อย่างใด
เมื่อเห็นความเข้าขากันของพวกเขาทั้งสอง ยู่เฟิงที่กำลังสับสนจึงกล่าวออกมาอย่างเหลืออด “ฮ่าฮ่า แม่นางฉุ่ยจิ้ง ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไป ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเจ้าจะมีีพวกพ้องมาซุ่มโจมตีข้าในสถานที่แห่งนี้!”
ฉุ่ยจิ้งหัวเราะออกมาในขณะที่นางกำลังจัดการทรงผมของตนเอง จากนั้นนางกล่าวออกมาอย่างสงบนิ่ง “ศิษย์พี่ยู่เฟิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับศิษย์พี่ซ่งนั้นเพิ่งได้พบกันครั้งแรกภายในภูเขาแห่งนี้ และเราทั้งสองคนไม่ได้ตั้งใจที่จะซุ่มโจมตีท่าน!”
“ไร้สาระ ถ้าหากเจ้าทั้งสองคนไม่ได้วางแผนมาก่อน จะบอกข้าว่าการที่เขาปรากฏตัวที่นี่เป็นเรื่องบังเอิญงั้นหรือ!” ยู่เฟิงตอบกลับอย่างไม่เชื่อถือ
“หึ!” ฉุ่ยจิ้งหัวเราะเบา ๆ และกล่าวตอบอย่างชาญฉลาด “ศิษย์พี่ยู่เฟิงเหมือนจะลืมว่าสิ่งใดที่ข้าถนัดที่สุด!”
“เจ้าทำนายมันได้ทั้งหมด!?” ยู่เฟิงอุทานออกมาอย่างตกใจ
“ฮ่าฮ่า ถูกต้องแล้ว!” ฉุ่ยจิ้งอธิบายพร้อมเผยยิ้มเล็กน้อย “ในขณะที่ข้าถูกล้อมรอบด้วยพวกท่านทั้งสาม ข้าทำนายหาเส้นทางแห่งความโชคดี ถ้าหากข้าวิ่งมาในทิศทางนี้สิบลี้และหยุดตรงนี้ ข้าจะสามารถพลิกสถานการณ์ให้กลายเป็นพรแห่งสวรรค์ได้! ข้าขอกล่าวอย่างสัตย์จริงว่า ข้าไม่รู้ว่าจะศิษย์พี่ซ่งเป็นคนที่เข้ามาช่วยเหลือข้า! แต่เมื่อข้าได้คิดดูแล้ว ในภูเขาแห่งนี้เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถต่อกรกับภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าได้!”
เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น ฉุ่ยจิ้งมองไปยังเจ้าอ้วนพร้อมยิ้มออกมาอย่างจริงใจ ในขณะที่ยู่เฟิงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างอหังการ “เหอะ ช่างเป็นเรื่องไร้สาระ! ถ้าหากเจ้ากล่าวว่าบุคคลที่จะสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้คือหานปิงเอ๋อจากหอเฉวียนจี้ผู้ครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ ข้าก็จะพอเชื่อถือเจ้าอยู่ แต่นี่เจ้ากลับบอกว่าไอ้อ้วนนี่สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้! ฮ่าฮ่า เจ้าไม่รู้สึกว่ามันจะเกินไปหน่อยงั้นหรือ? เจ้าคิดงั้นหรือว่ามันจะเอาชนะภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ปรับแต่งด้วยพลังของผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน?”
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่ยู่เฟิง ท่านคิดว่าบนโลกนี้มีสมบัติวิญญาณอยู่เพียงเท่านี้งั้นหรือ? เหมือนว่าท่านจะมองทุกคนต่ำเกินไป!”
“หืม?” เมื่อยู่เฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาตื่นตระหนกทันทีพร้อมรีบถามอย่างรวดเร็ว “อย่าบอกนะว่าไอ้อ้วนผู้นี้ก็มีอยู่เช่นกัน? ข้าไม่เชื่อ!”
“ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ข้าก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างสงบ “บนใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความโชคร้ายอย่างถึงขีดสุดแล้ว และภัยพิบัติของท่านก็เดินทางมาถึงในวันนี้! อีกอย่างคือไม่มีใครสามารถช่วยท่านได้!”
“เหอะ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเรื่องโกหกทั้งหลายที่เจ้าพ่นมางั้นหรือ?” ยู่เฟิงตอบกลับอย่างหัวเสีย “สมบัติวิญญาณนั้นไม่ใช่อุปกรณ์ที่จะค้นพบได้ง่ายเช่นเหล่าเศษขยะ อีกอย่างถึงแม้ว่าเจ้าบัดซบนั่นจะครอบครองสมบัติวิญญาณจริงก็ไม่เห็นจะน่าเกรงกลัว เพราะว่าภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสมบัติวิญญาณ กล่าวก็คือไม่มีสมบัติชิ้นไหนคู่ควรที่จะต่อสู้กับมัน! แล้วข้าผู้นี้จะต้องเกรงกลัวสิ่งใดงั้นหรือ?”
“ความเย่อหยิ่งนั้นนำมาซึ่งหายนะเสมอ!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างสงบนิ่งและไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
ในขณะนั้น ใบหน้าของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยความกังวลพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “ศิษย์น้องหญิง เจ้าช่วยหยุดเยินยอข้าก่อนได้หรือไม่? มองข้าตอนนี้สิ ข้าเป็นเพียงก้อนไขมันเดินได้ อีกทั้งข้ายังไม่มีสมบัติวิญญาณสักชิ้น!”
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางเพียงแค่ยิ้มและไม่กล่าวสิ่งใดต่อ แต่เมื่อยู่เฟิงได้ยินเข้าก็ระเบิดหัวเราะออกมาทันที “ฮ่าฮ่า ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าเพียงเล่นละครกันเท่านั้น!”
“ถ้าหากท่านคิดเช่นนั้น สำหรับข้าก็ไม่ติดขัดสิ่งใด!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม ในความจริงเหตุผลเดียวที่นางเสียพูดมากในตอนนี้ก็เพื่อซื้อเวลาฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณของตนเอง แม้ว่าน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าจะน่าประหลาดใจยิ่งนัก แต่มันก็ไม่อาจทำให้ปราณจิตวิญญาณของนางกลับคืนมาได้ทันที ซึ่งต้องใช้เวลาต่ออีกสักหน่อย และในตอนนี้ปราณจิตวิญญาณของนางฟื้นฟูใกล้เสร็จสิ้นแล้ว
ในขณะนั้น ยู่เฟิงสังเกตุเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเขาตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวก่อน ทำไมเจ้าถึงฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณได้รวดเร็วเช่นนี้? ข้ายังไม่เห็นว่าเจ้าเข้าสู่สมาธิเลย นี่เป็นผลของสิ่งที่เจ้าดื่มไปเมื่อสักครู่งั้นหรือ?”
“หึ” ฉุ่ยจิ้งเพียงหัวเราะคิกคัก “ศิษย์พี่ฉลาดขึ้นแล้ว ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ข้าดื่มไปเมื่อครู่นี้สามารถฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณของข้าได้ อีกทั้งยังรวดเร็วยิ่ง ในตอนนี้น้องสาวของท่านพร้อมต่อสู้อีกครั้งแล้ว! ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะไม่ตระหนี่ที่จะสอนบทเรียนให้กับข้า!”
ขณะที่ยู่เฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดทันที เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าฉุ่ยจิ้งจะใช้เทคนิคเช่นนี้กับเขา ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือการฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วนั้นสามารถทำได้โดยใช้ยาอายุวัฒนะ และมันไม่มีในรูปแบบของเหลวอย่างเช่นสิ่งที่ฉุ่ยจิ้งดื่มเข้าไป ในขณะที่นางดื่มน้ำนั้นเข้าไป เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะสร้างปัญหาให้กับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำเช่นนั้นของนาง
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมากที่สุดคือความเร็วในการฟื้นฟูของนาง โดยปกติแล้วถ้าหากว่าใช้ยาอายุวัฒนะก็ยังต้องเข้าสู่สมาธิด้วยเพื่อความรวดเร็วของยา แต่สำหรับฉุ่ยจิ้งนางไม่ได้เข้าสู่สมาธิ อีกทั้งยังยืนอยู่อย่างนั้นใช้เวลาเพียงครึ่งนาทีเท่านั้น เรื่องราวทั้งหมดทำให้เขารู้สึกโง่เขลาอย่างไม่อาจช่วยได้
ยู่เฟิงถามออกไปอย่างหดหู่ “เจ้าดื่มสิ่งใดเข้าไปกัน? เหตุใดมันจึงรวดเร็วเช่นนี้?”
“มันเป็นเพียงแค่น้ำแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าเท่านั้น!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“น้ำแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้างั้นหรือ? สายน้ำบริสุทธิ์พันปีงั้นหรือ? เจ้าดื่มมันอย่างเช่นน้ำเปล่าเลยงั้นหรือ?” ยู่เฟิงกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่า มันไม่ใช่ของข้าสักหน่อย แล้วทำไมข้าต้องใส่ใจด้วยกันเล่า?” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างสบาย ๆ
ในขณะนั้นเจ้าอ้วนจนปัญญาทันที เขามองไปที่ฉุ่ยจิ้งอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้พร้อมกล่าวออกมาว่า “ศิษย์น้องหญิง ที่จริงเจ้าควรจะคืนมันมาให้ข้า!”
“ศิษย์พี่วางใจเถิด ว่าในอนาคตข้าจะทำมากกว่านี้เสียอีก!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมขยิบตาให้เขา ซึ่งเป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง
เมื่อหันมองหนุ่มสาวทั้งสองจีบกัน ยู่เฟิงโกรธจัดจนหน้าแดง ในตอนนี้สถานการณ์เลยเถิดไปไกลแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะมัวนั่งเสียใจ เขากล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “เหอะ! เพียงแค่ฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณได้ไม่เห็นมีสิ่งใดที่ข้าต้องเกรงกลัว เพราะว่าข้าคือผู้ครอบครองภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า!”
ฉุ่ยจิ้งไม่ได้ตอบกลับสิ่งใด นางขยิบตาให้กับเจ้าอ้วน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้าอ้วนเข้าใจความหมายที่ฉุ่ยจิ้งจะสื่อได้ทันที นางต้องการให้เขาเปิดฉากโจมตีก่อน จากนั้นนางจะตามหลังเขา
เมื่อเจ้าอ้วนเข้าใจทุกอย่างแล้ว เขาเริ่มจู่โจมทันที พร้อมกับเผยยิ้มออกมาและกล่าวอย่างตื่นเต้น “โอ้ ภาพวาดหญิงงามทั้งเก้านั้นมีชื่อเสียงอย่างมาก! ข้าสงสัยเหลือเกินว่ามันจะสามารถทำลายระฆังใบนี้ได้หรือไม่?” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบเอาระฆังลมทองแดงออกมาไว้ในมือ ราวกับว่าเขาไม่อยากให้มีสิ่งใดผิดพลาดแม้แต่น้อย
ยู่เฟิงตกใจในทันทีที่มองเห็นระฆังในมือของเจ้าอ้วน มันเป็นระฆังที่เต็มไปด้วยหลุมขนาดใหญ่และรอยขีดข่วนมากมายจนนับไม่ถ้วน อีกทั้งระฆังนั้นสร้างมาจากวัสดุระดับต่ำเพียงลมทองแดงเท่านั้น อีกทั้งการปรับแต่งของมันยังถือได้ว่าต่ำช้าอย่างมาก ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็มองว่ามันคือเศษขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น ยู่เฟิงโกรธจัดจนแทบจะกระอักเลือดตายตกไป เขาคิดว่าเจ้าอ้วนกำลังล้อเล่น อีกทั้งยังทำให้เขาดูไม่ต่างกับคนโง่งม ด้วยความโกรธจัดเขาจึงโพล่งด่าทอออกไป “ไขมันบัดซบ ไม่เพียงแต่นายน้อยผู้นี้ของเจ้าจะทำลายระฆังขยะนั่น แต่ข้าจะตัดหัวของเจ้าและส่งเจ้าไปสู่ความตาย!!!”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น มือของเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย มันกวาดไปรอบในอากาศ จากนั้นปรากฏสาวงามทั้งห้าที่ใช้ดาบกระโดดออกมาพร้อมกับพุ่งเข้าโจมตีเจ้าอ้วนด้วยพลังแห่งธาตุทั้งห้า เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าอ้วนรีบใช้ระฆังลมทองแดงทันที มันขยายใหญ่สามสิบฟุตพร้อมทั้งพุ่งเข้าชนกับผู้ฝึกตนทั้งห้าทันที ราวกับว่าพวกเขาที่กำลังวิ่งมาชนเข้ากับเนินภูเขาขนาดย่อม ทำให้เกิดการปะทะอย่างรุนแรง
ในขณะนั้น ยู่เฟิงคิดว่าเขาสามารถใช้สาวงามทั้งห้าเพื่อจัดการระฆังและสังหารเจ้าอ้วนได้แล้ว แต่ในขณะนี้เขาโกรธอีกครั้งเพราะเจ้าอ้วนยังไม่ได้ถูกสังหาร ดังนั้น เขาจึงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “หั่นระฆังบัดซบนั่นซะ!”
ในขณะที่เขาสั่ง สาวงามทั้งห้าเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของตนเองทันที
โลหะ ไม้ น้ำ ไฟ ดิน รวมกันเป็นห้าธาตุที่บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ คลื่นพลังเหล่านี้ล้อมรอบระฆังลมทองแดงไว้ จากนั้นเกิดเสียงปะทะกับโลหะอย่างสนั่นหวั่นไหว ระฆังลมทองแดงถูกทุบแตกทันที เป็นผลให้เศษของลมทองแดงปลิวว่อนอยู่ในอากาศลอยเต็มท้องฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ยู่เฟิงคิดว่าในตอนนี้เขาระเบิดระฆังลมทองแดงได้แล้ว ไม่ผิดที่เขาจะระเบิดหัวเราะออกมา
อย่างไรก็ตามในขณะนั้นเสียงหัวเราะของเขาจำเป็นต้องหยุดลงอย่างรวดเร็วเพราะการปรากฏตัวของแสงสีทอง
ท้องฟ้าในนี้ปรากฏซึ่งระฆังทองแดงใหญ่โตอีกทั้งยังสง่างามเป็นอย่างยิ่ง แสงจากตัวของระฆังเรืองรอง อีกทั้งยังมีภาพสลักบนตัวระฆัง ท้องฟ้า ดวงดาว อสูรสายฟ้า เทพเจ้า มังกร เต่าดำ ภาพสลักทั้งหมดคล้ายกับมีชีวิตอยู่จริง
ไม่ว่าจะเป็นขนาดของมันหรือภาพสลัก ทุกสิ่งอย่างสามารถบอกได้ทันทีว่าระฆังนี้ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะออร่าของมันที่ส่งออกมา ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้ล้วนแต่สั่นไหวไม่อาจต้านทานได้
ตอนนี้ทั้งยู่เฟิงและฉุ่ยจิ้งต่างเผยสีหน้าไม่ต่างกันนัก ความประทับใจเกิดขึ้นในใจของนางอย่างล้นหลาม ในตอนแรกนางคิดว่าเจ้าอ้วนก็คงจะพอมีสมบัติวิญญาณอยู่บ้าง เพราะว่าการทำนายของนางอาจจะล้มเหลวก็ได้ในครั้งแรกที่นำพาให้มาเจอเขา แต่ในตอนนี้นางไม่อาจควบคุมความตื่นเต้นนี้ไว้ได้ กลิ่นอายของระฆังใบนี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ซึ่งมันแข็งแกร่งเสียกว่ากระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดินรวมกันเสียอีก นางยืนมองมันอย่างโง่งม ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเพราะเกรงกลัวการถูกไล่ล่า
สำหรับยู่เฟิง เขาตกใจมากเช่นกัน เขาไม่เคยคาดมาก่อนว่าจะมีสิ่งใดที่น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่การปรากฏตัวของมันยังสามารถหยุดทุกการเคลื่อนไหวโดยรอบได้อย่างอัศจรรย์ มันทำให้สมบัติวิญญาณที่เขามีอยู่ด้อยค่าลงไปทันที
ในขณะที่ยู่เฟิงกำลังตกใจ เจ้าอ้วนนั้นไม่แปลกใจเพราะเขาคุ้นเคยกับมันอย่างดี จากนั้นเขาโบกมือในอากาศส่งผลให้ระฆังขยายตัวใหญ่ขึ้นห้าร้อยฟุตทันที มันพุ่งชนสาวงามทั้งห้าพร้อมทั้งทุบตียู่เฟิงอย่างต่อเนื่อง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยู่เฟิงไม่มีโอกาสได้หลบหนีเลย แต่สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือเรียกคืนสาวงามทั้งห้าก่อนที่จะถูกคุมขังอยู่ในระฆัง
หลังจากที่สามารถจับกุมยู่เฟิงไว้ในระฆังได้ เจ้าอ้วนรีบเรียกพยัคฆ์ปีกแหลมออกมาพร้อมบินขึ้นไปด้านบนสุดของระฆังทันที
ในขณะนั้น เจ้าอ้วนเริ่มการวาดยันต์กลางอากาศด้วยมือขวา เกิดเป็นไฟปฐมภูมิสีเทาขึ้นมา ยันต์วิญญาณถูกปรับแต่งจากปราณจิตวิญญาณของเขาเอง หลังจากนั้นเพียงครู่เขามาถึงด้านบนของระฆังพอดี เขาทุบยันต์วิญญาณลงบนระฆังทันทีอย่างไม่รีรอ
ไม่ช้าพลันเกิดคลื่นเสียงขึ้นรอบตัวระฆัง ฉุ่ยจิ้งที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงของระฆัง มันยังดังไปต่ออีกหลายร้อยลี้แ ต่นางกลับไม่ได้ผลกระทบอะไรจากเสียงนี้ แต่มันกลับสร้างประโยชน์ให้กับนางเสียด้วยซ้ำ
แต่ยู่เฟิงที่ติดอยู่ด้านในของระฆัง ด้วยเสียงที่ดังนั้นเพียงพอที่จะสังหารเขาได้! เกิดเป็นแสงมากมายพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา ซึ่งมันตัดกันกับคลื่นเสียงที่อัดแน่นอยู่ด้านใน ก่อนที่ทุกอย่างทั้งหมดจะพุ่งเข้าหาตัวของเขาอย่างรวดเร็ว
ด้วยความตื่นตระหนก ยู่เฟิงเรียกสาวงามทั้งเก้าออกมาเพื่อช่วยปกป้องตัวเองทันที การป้องกันทั้งสองชั้นจากด้านนอกก็ยังไม่อาจช่วยอะไรเขาได้
ด้านในของระฆังน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทุกอย่างที่เขาพยายามทำในตอนนี้ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง สาวงามทั้งเก้าที่ก่อตัวขึ้นมาได้เพียงครู่เดียวก็ถูกทำลายหายไปทันที พวกนางทั้งหมดหายกลับเข้าไปในภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะไม่สามารถทำลายพวกนางได้ แต่พวกนางเหล่านั้นก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก อย่างน้อยในตอนนี้พวกนางก็ไม่อาจปกป้องเจ้านายของตนได้เป็นระยะเวลาชั่วครู่หนึ่ง
ทางด้านสมบัติวิเศษสำหรับป้องกันทั้งสามชิ้น ด้วยระดับที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง มันแทบถูกทำลายไปในทันที
แต่การเสียสละทั้งหมดของพวกมันก็นับว่ายังได้ผล เคล็ดวิชาเสียงอมตะทำลายล้างกระดูกนั้นเบาลงไปแล้วกว่าหกในสิบ แม้ว่าทุกอย่างจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่ผลกระทบที่ตกมาถึงร่างกายของเขาก็นับได้ว่าสาหัสอย่างยิ่ง
แม้ว่ายู่เฟิงจะสามารถหลบหนีความตายด้วยสมบัติทั้งหมดที่ครอบครอง แต่นั่นสามารถทำได้หากเขายังมีสภาพที่สมบูรณ์อยู่ ในตอนนี้อวัยวะของเขาทั้งหมดถูกบดขยี้ ทำให้เกิดเลือดออกจากทุกทวารบนร่างกาย แม้แต่การยกศีรษะขึ้นในตอนนี้เขายังไม่อาจทำได้
ในเวลาเดียวกัน เจ้าอ้วนก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดูดีนัก เขาหอบอย่างหนักหลังจากใช้ปราณจิตวิญญาณจำนวนมาก ร่างกายของเขาอ่อนแอทันที ระฆังทองแดงสูญเสียปราณจิตวิญญาณที่เขาต้องส่งมาหล่อเลี้ยง ในตอนนี้มันจึงไม่อาจคงขนาดของมันไว้ได้ แน่นอนว่ามันย้ายตัวเองเข้าสู่มิติลึกลับของเจ้าอ้วนทันที เขาสูญเสียความสามารถในการบินพร้อมกับล่วงลงสู่พื้นทันที ขอบคุณสวรรค์ที่พยัคฆ์ปีกแหลมผู้ภักดีของเขาได้บินเข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้และพาเขาลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย
บทที่ 137: ความปรารถนาของบุรุษ
ในตอนนี้เจ้าอ้วนกลายเป็นบุคคลไร้ซึ่งเรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์ เขารีบดื่มน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าทันทีพร้อมเฝ้าดูอาการตัวเองอย่างเร่งรีบ พร้อมกับมองการต่อสู้ตรงหน้าด้วย แม้ว่ายู่เฟิงจะเสียเลือดมากและอวัยวะของเขาถูกทุบจนแตกหัก พร้อมเหลือปราณจิตวิญญาณอยู่ไม่มากนัก สำหรับผู้ฝึกตนบางคนการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่เรียกว่าร้ายแรงนัก อีกทั้งพวกเขายังมีความสามารถในการสู้รบอีกด้วย
ในขณะนั้นเขาทั้งรู้สึกหดหู่และมีความสุขในเวลาเดียวกัน ความจริงที่ว่าเขาไม่ได้เป็นคนสังหารมันดังนั้นจึงแปลว่าเขาจะไม่ต้องทุกข์ทรมานกับคำสาป แต่สิ่งที่ทำให้เขาหดหู่นั่นคือไม้ตายของเขาไม่สามารถสังหารยู่เฟิงได้
ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือเขาอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบสามและในเขาแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่สู้กับตู๋เชียนเฉิง คลื่นเสียงของเขามีพลังทำลายล้างมากขึ้น การโจมตีครั้งนี้ของเขาสามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ แต่แล้วการโจมตีครั้งนี้ของเขาไม่สามารถสังหารยู่เฟิงได้ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นพลังการป้องกันของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าแน่นอน!
ขณะที่เจ้าอ้วนกำลังคิดเรื่องราวต่าง ๆ ยู่เฟิงเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของเขาและจ้องมองมาที่เจ้าอ้วนอย่างโกรธแค้น จากนั้นเขาเริ่มการข่มขู่ทันที “ไขมันบัดซบ เจ้าเก่งมาก! ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะครอบครองสมบัติเช่นนี้ แต่น่าสมเพชที่เจ้าไม่อาจสังหารข้าได้! ของขวัญที่เจ้ามอบมันให้กับข้า ข้าได้รับมันแล้ว สักวันข้าผู้นี้ขอสาบานว่าจะทำลายเจ้าให้หายไปจากโลกนี้ซะ!”
ความอาฆาตบนใบหน้าของยู่เฟิงในตอนนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับอสรพิษผู้หิวโหย แม้ในตอนนี้เจ้าอ้วนจะไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้แต่เขาก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดที่จะวิ่งหนีการสู้รบ ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ “กล่าววาจาได้ขำขันนัก เจ้ายังคิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปอีกงั้นสิ? เหอะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงจะต้องถามศิษย์น้องหญิงว่าเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้นหรือไม่!”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น เขารีบมองไปที่ฉุ่ยจิ้งอย่างมีความหวัง เจ้าอ้วนรู้ตัวเองดีว่าเขาไม่อาจหยุดยู่เฟิงได้ในตอนนี้ ความตายจะมาถึงตัวเขาอย่างแน่นอนหากฝืนที่จะต่อสู้อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาฉุ่ยจิ้งเท่านั้น
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางเข้าใจทันทีว่าเจ้าอ้วนจะสื่อถึงสิ่งใด จากนั้นนางเผยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและกล่าวด้วยความมั่นใจ “ขอให้ศิษย์พี่อาวุโสวางใจเถิด ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นถูกหยุดไว้ชั่วคราวโดยท่านแล้ว ศิษย์พี่ยู่เฟิงที่เหลือเพียงแค่สมองในตอนนี้ไม่มีทางจะหนีรอดจากที่แห่งนี้ไปได้!”
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนย่อมมั่นใจในตัวของฉุ่ยจิ้งที่มีเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรอยู่ในมือ เมื่อเขาได้ยินนางกล่าวออกมาเช่นนั้น เขารู้สึกผ่อนคลายทันที เพราะก่อนหน้านี้เขากลัวว่ายู่เฟิงจะสามารถหนีไปได้และเปิดโปงสมบัติที่เขาครอบครองอยู่ สมบัติชิ้นนี้มันหยุดการโจมตีของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้และแน่นอนว่าระดับพลังของมันสูงกว่าขั้นแปด
เพียงแค่ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้ายังสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากมายเช่นนี้ ถ้าหากสมบัติของเขาถูกเปิดเผยออกไป มันจะไม่เป็นการเชิญชวนให้ปัญหาใหญ่ตามมาอย่างนั้นหรือ? เช่นนี้เรื่องของระฆังจึงจะต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับ แม้จะไม่รู้ว่าฉุ่ยจิ้งรู้เรื่องราวเหล่านี้หรือไม่ แต่เจ้าอ้วนมั่นใจในตัวนางว่านางจะปิดปากเงียบและไม่เปิดเผยมันให้ผู้อื่นล่วงรู้ แต่กับยู่เฟิง อีกฝ่ายไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้!
เมื่อได้ยินเสียงของฉุ่ยจิ้งที่ตอบกลับ ยู่เฟิงกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “แม่นางฉุ่ยจิ้ง เจ้าดูมั่นใจเหลือเกิน! แม้ว่าข้าจะไม่มีภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า แต่ก็ยังไม่อาจสังหารข้าได้โดยง่ายเช่นนั้น! ถ้าเจ้าคิดจะจับข้า เหอะ ข้าขอให้เจ้าตื่นจากฝันเสียเถิด!”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาทุบหน้าอกของตนเองจนกระทั่งถึงจุดที่บ้วนเลือดออกจากปากก้อนใหญ่ หลังจากคายออกมาเขาไม่ปล่อยให้มันล่วงหล่นสู่พื้น เขาคว้ามันไว้อย่างรวดเร็วและใส่ปราณจิตวิญญาณเข้าไปทันที ด้วยเลือดที่บริสุทธิ์ของเขาสามารถเปิดใช้งานเวทมนตร์ต้องห้ามได้ เขาตะโกนสั้น ๆ “เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนี!” ตามเสียงของเขา ร่างกายของเขาทั้งหมดกลายเป็นเงาสีโลหิตพร้อมกับมีปีกสยายออกมาและเริ่มกระพรืออย่างต่อเนื่อง
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินคำว่า ‘เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนี’ เขารีบตะโกนออกมาทันที “หยุดมัน!”
เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนีเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมากที่สุดของสำนักพันปีศาจ มันใช้เลือดที่บริสุทธิ์เพื่อเปิดใช้งานและทำให้ร่างกายของคนผู้นั้นกลายเป็นเงา ซึ่งสามารถหลบหนีได้ไกลกว่าห้าสิบลี้ ถ้าหากเขาสามารถเปิดใช้งานมันได้สำเร็จ มันจะเป็นเรื่องยุ่งยากทันทีที่จะต้องตามหาเขาภายในหุบเขาแห่งนี้ และคงไม่มีผู้ใดสังหารเขาได้อีก
นอกจากนี้ ในสถานที่แห่งนี้เขาไม่ได้อยู่ลำพัง เขาเป็นถึงศิษย์ของสำนักพันปีศาจ และสำนักพันธมิตรของเขาย่อมให้ความช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน อีกทั้งภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้ายังไม่ถูกทำลาย มันเพียงแค่ถูกผนึกใช้งานไว้ชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า มันจะสามารถฟื้นคืนกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ในขณะนั้นแม้ว่าจะจับตัวเขาได้ก็คงไม่สามารถจะเอาชนะได้อีกครั้ง! ในตอนนี้เจ้าอ้วนได้รับชัยชนะเนื่องจากยู่เฟิงประมาทเกินไป ในครั้งต่อไปคงไม่ง่ายที่จะจับเขาไว้ด้วยระฆังทองแดง
เมื่อมองเห็นเคล็ดวิชาโลหิตหลบหนีพร้อมกับมองใบหน้าที่หดหู่ของเจ้าอ้วน ฉุ่ยจิ้งยังคงอยู่ในสภาวะสงบเช่นเดิม นางยกมือซ้ายขึ้นและเริ่มการทำนาย จากนั้นมือขวาของนางยิงเหรียญชะตาฟ้าดินออกไปทั้งหกเหรียญ สร้างกำแพงสีทองไว้ที่ด้านซ้าย
เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนีของยู่เฟิงและเหรียญชะตาฟ้าดินของฉุ่ยจิ้งถูกเรียกใช้งานพร้อมกัน แต่ความจริงคือฉุ่ยจิ้งเร็วกว่าเขาเพียงเสี้ยวนาที จึงทำให้ยู่เฟิงพุ่งชนเข้ากับกำแพงสีทองอย่างรุนแรง ทั้งที่มีทิศทางอื่นให้พุ่งไปอีกมากมาย ทำให้ร่างกายของเขากระเด็นถอยหลังทันที
ในขณะนั้นยู่เฟิงตกอยู่ในอันตรายอย่างสมบูรณ์ เคล็ดวิชาโลหิตหลบหนีนั้นรวดเร็วอย่างมากแต่ถ้าหากมันถูกขัดขวางนั้นหมายความว่าความเร็วของมันจะลดฮวบลงอย่างน่าตกใจ อย่างไรก็ตามฉุ่ยจิ้งไม่มีเจตนาที่จะสังหารเขา นางจึงสร้างกำแพงขังเขาไว้เท่านั้น
แต่เพื่อที่จะหยุดเขาไว้ นางจึงใช้กำแพงสีทองจับกุมหัวไหล่และขาของเขาไว้อีกด้วย ส่งผลให้ยู่เฟิงที่น่าสังเวชไม่สามารถขยับตัวในพื้นที่แคบเช่นนั้น แม้ว่าลำตัวของเขาจะไม่ถูกควบคุม แต่การถูกกระชากกลับเช่นนี้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงให้กระดูกซี่โครงของเขาถูกทำลายไปสองถึงสามซี่ อวัยวะภายในที่ไม่อาจรับแรงกระชากเมื่อครู่ได้ฉีกออกอย่างรวดเร็ว ราวกับทุกสิ่งถูกทุบจนแตกหักดั่งข้าวต้มในหม้อ
เมื่อเผชิญหน้ากับอาการบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ยู่เฟิงไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีกแถมยังรู้สึกว่าร่างกายจะฉีกออกเป็นชิ้น ฉุ่ยจิ้งเกรงกว่าเขาจะตายตกไปจริงและตนเองจะพบเจอกับคำสาป ดังนั้นนางจึงวิ่งไปด้านหน้าเพื่อตรวจสอบและใช้เวทมนตร์วารีเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดของเขา จากนั้นจึงใช้ยาอายุวัฒนะกับเขาให้อาการของเขาดีขึ้นเล็กน้อยพร้อมหันไปกล่าวกับเจ้าอ้วน “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือข้าในวันนี้! ถ้าหากไม่ใช่ท่าน ศิษย์น้องหญิงคงจะต้องตายตกไปอย่างแน่นอน!”
เจ้าอ้วนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ศิษย์น้องสุภาพกับข้าเกินไปแล้ว ด้วยเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากร เจ้าจะพบเจออันตรายได้อย่างไร? แน่นอนว่าเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงโชคร้ายได้เสมอ แม้ว่าไม่เจอข้า!”
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้เช่นนั้น นางหัวเราะออกมาเล็กน้อยและไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ แต่นางกลับรู้สึกโศกเศร้าอยู่ในใจ ‘ไร้สาระ เจ้าคือผู้ที่นำโชคร้ายเข้ามาในชีวิตข้า ถ้าหากไม่มีเจ้า ข้าจะพบอันตรายได้อย่างไรกัน? ถ้าหากข้าไม่พบเจอกับอันตราย แล้วข้าจะจบเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมดนี้กับเจ้าได้อย่างไร? ท่านอาจารย์กล่าวถูก การที่ข้าออกมาท่องเที่ยวในครั้งนี้ ข้ากับเจ้าจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีกตลอดชีวิต!’
ในขณะที่นางกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางกลัวว่าเจ้าอ้วนจะมองเห็นว่านางกำลังอับอาย นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ศิษย์พี่ ระฆังใบนี้ได้ทำให้ศิษย์หลายร้อยคนพัฒนาตนเองขึ้น และยังช่วยให้ศิษย์ที่มีอาการตีบตันเลื่อนระดับได้อย่างอัศจรรย์ ข้าคิดว่ามันมีสมบัติซ่อนอยู่ด้านใน”
“เหอะ ๆ!” เจ้าอ้วนเพียงหัวเราะเสียงเบา ทว่าไม่ได้ตอบกลับสิ่งใด
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนเงียบ ฉุ่ยจิ้งรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นนางจึงเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวต่อ “ศิษย์พี่ ข้าได้ยินมาว่านักบวชฮัวอวิ๋นทำการแลกเปลี่ยนระฆังใบนี้กับดาบแห่งธาตุทั้งห้ากับท่านเพราะคิดว่ามันคือสมบัติวิญญาณ ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด เขาเอาไปเพียงเปลือกนอกของระฆังเท่านั้น แต่สมบัติที่แท้จริงซ่อนอยู่ภายใน ข้ากล่าวถูกหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าฉุ่ยจิ้งสามารถคาดเดาเรื่องนี้ได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนทันทีพร้อมกล่าวออกมาอย่างอ้อนวอน “ศิษย์น้อง ศิษย์น้องหญิง ในตอนนี้ศิษย์พี่ผู้นี้อยากจะขอร้องเจ้า ช่วยทำเหมือนว่าเจ้าไม่เคยพบเจอสมบัติชิ้นนี้ ได้หรือไม่?”
เมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าอ้วนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฉุ่ยจิ้งไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากเผยรอยยิ้มอย่างยินดี จากนั้นนางจึงถามอีกครั้ง “แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บมันเป็นความลับ แต่หากมีค่าใช้จ่ายสักเล็กน้อยมันก็จะช่วยให้ปากของข้าปิดสนิท ดีหรือไม่ศิษย์พี่?”
“ตกลง!” เจ้าอ้วนตอบตกลงทันทีพร้อมชี้ไปยังกระเป๋ามิติเก็บของสามชิ้นที่หล่นอยู่บนพื้นพร้อมกล่าวออกมาอย่างสุภาพ “ทุกอย่างเป็นของเจ้า พอหรือไม่?”
“ศิษย์พี่เป็นคนใจกว้างยิ่งนัก!” เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางรีบตรวจสอบกระเป๋ามิติทั้งสามอย่างรวดเร็ว กล่องหยกสีทองสามชิ้นปรากฏขึ้นในมือของนาง นางถือมันไว้พร้อมส่ายไปมาและถามเจ้าอ้วน “ผลไม้วิญญาณสามชิ้น ศิษย์พี่จะมอบมันให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าอ้วนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา จากนั้นเขากล่าวกับตนเองในใจ ‘สารเลวยู่เฟิงผู้นี้รวดเร็วเกินไปแล้ว มันมีผลไม้วิญญาณมากกว่าข้าถึงสองผล!’
แต่แม้ว่าจะรู้สึกหงุดหงิด แต่เขาก็กล่าวออกมาอย่างชาญฉลาด “สุภาพบุรุษกล่าวแล้วไม่คืนคำ! ถ้าหากข้าได้กล่าวออกไปแล้วว่าจะมอบมันให้กับเจ้า ข้าก็จะไม่คืนคำพูดเด็ดขาด!”
ฉุ่ยจิ้งมองตาเจ้าอ้วนพลางพิจารณา ราวกับนางกำลังตรวจสอบว่าเขากำลังกล่าวเท็จหรือไม่ เจ้าอ้วนจ้องตากลับอย่างไม่เกรงกลัว ในขณะที่ได้มองใบหน้าที่งดงามของนางโดยไม่ระมัดระวัง คำพูดพลันผุดภายในใจของเขา ‘แน่นอนว่าเจ้านั้นพิเศษสำหรับข้า นางช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน สิ่งสำคัญคือนางฉลาดมาก ราวกับถูกส่งลงมาจากสรวงสวรรค์ นางเกิดมาจากสิ่งใดกันจึงได้งดงามเช่นนี้?’
เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาที่ปราศจากความชั่วร้ายของเจ้าอ้วน ฉุ่ยจิ้งจึงลดละการจ้องมอง นางเก็บผลไม้วิญญาณเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ถ้าหากศิษย์พี่กล่าวเช่นนั้น ศิษย์น้องหญิงก็จะขอเก็บมันไว้เอง!”
หลังจากนั้น ฉุ่ยจิ้งหยิบเอาภาพวาดหญิงงามทั้งเก้าที่ตกอยู่ข้างยู่เฟิงออกมาและถามว่า “ศิษย์พี่ เราควรจะทำเช่นไรกับสมบัติชิ้นนี้?”
ด้วยความซื่อสัตย์ทั้งหมด แน่นอนว่าเจ้าอ้วนถูกล่อลวงด้วยภาพวาดนี้เรียบร้อยแล้ว กล่าวคือมันไม่ได้มีเพียงความสามารถในการสู้รบเท่านั้น ในสถานการณ์ปกติมันยังสามารถใช้งานได้อีกมากมาย หนึ่งในการใช้งานนั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดเหล่าสุภาพบุรุษได้ นั่นก็คือใช้เพื่อเก็บตัวฝึกฝน!
บทที่ 138: ได้รับภาพวาดหญิงงามทั้งเก้า
ต้องเข้าใจว่าร่างกายของสาวงามเหล่านี้ยังอยู่ อีกทั้งพวกเขายังมีทักษะและระดับการฝึกฝนในตอนที่ยังมีชีวิตไม่น้อย มันเป็นเพียงจิตใต้สำนักของพวกเขาถูกควบคุมโดยวิชาโบราณที่ชื่อว่าปีศาจเทวะเท่านั้น อีกทั้งความชำนาญของปีศาจเทวะนั้นกำลังเชื้อเชิญเหล่าบุรุษที่มีความต้องการทางเพศ พวกมันสามารถดึงดูดเหล่าคนโดยรอบผ่านร่างกายเหล่านี้ อีกทั้งตอนนี้มันยังถือครองร่างกายของสาวงามอีกด้วย ยิ่งเพิ่มความยุ่งเหยิงภายในใจของเหล่าบุรุษอีกมากมาย กล่าวได้ว่านี่คือเสน่ห์ที่ดึงดูดอย่างแท้จริง แล้วชายใดเล่าจะต้านทานได้ไหว?
ถ้าหากไม่ใช่ฉุ่ยจิ้งที่ยืนอยู่ตรงนี้ แม้ว่าเจ้าอ้วนจะต้องปิดปากคนที่อยู่รอบข้าง แน่นอนว่าเขาจะต้องได้ครอบครองภาพวาดนี้อย่างแน่นอน แต่เพราะว่าฉุ่ยจิ้งอยู่ที่นี่ เขาอายถ้าหากจะต้องกล่าวเช่นนั้นออกไป หนึ่งในสาวงามนั้นเป็นอาวุโสแห่งสำนักของเขา และเขาไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่น่ารังเกียจได้ อีกทั้งฉุ่ยจิ้งหญิงสาวที่แสนบริสุทธิ์คงจะไม่ยินยอมให้เขาทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
เจ้าอ้วนคิดอยู่ชั่วครู่พร้อมกล่าวออกไปอย่างเจ็บปวด “แน่นอนว่าเจ้าจะได้รับมันถ้าหากเจ้ารับปากว่าจะนำมันกลับไปยังสำนัก ศิษย์น้องสามารถนำมันไปได้เลย!”
หลังจากที่ฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ท่านกำลังโกหกอยู่…”
“เอ่อ?” เจ้าอ้วนตกใจไปชั่วครู่พร้อมถามออกมาอย่างขื่นขม “ทำไมศิษย์น้องหญิงจึงกล่าวเช่นนั้น?”
“ท่านรู้ดี!” ฉุ่ยจิ้งกลอกตาไปมาพร้อมกล่าวว่า “อย่าคิดว่าเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรจะสามารถทำนายได้แต่อนาคตเท่านั้น! ข้าสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดายว่าท่านโกหกหรือไม่ จงกล่าวความจริงกับข้า!”
เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้สึกว่าเขาถูกทุบหัวและแขนขาอ่อนแรงด้วยความเคอะเขิน
ฉุ่ยจิ้งแกล้งเขาต่อ “เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นคนที่ชั่วร้ายมาก แต่ท่านกำลังพยายามที่จะกระทำตนให้ดูสง่างาม ท่านกำลังโกหกตนเองและผู้อื่น รู้หรือไม่?”
เจ้าอ้วนรู้สึกอับอายจากคำพูดของฉุ่ยจิ้งจนแทบจะขุดหลุมเพื่อฝังตนเองไปให้พ้นจากที่ตรงนี้เสีย สวรรค์! เขากล่าวได้แค่ “ศิษย์น้องหญิง ข้ายอมรับความผิดนี้แต่โดยดี!”
“เหอะ แม้ว่าท่านจะยอมรับผิดแล้ว แต่ในหัวใจของท่านยังคงปรารถนาภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าอยู่ ถูกต้องหรือไม่?” ฉุ่ยจิ้งยังคงเย้าแหย่ต่อไป
เจ้าอ้วนรู้ดีว่าในตอนนี้การกระทำทั้งหมดของเขาไร้ประโยชน์เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าของฉุ่ยจิ้ง ราวกับว่าเขากำลังแสวงหาความตายให้กับตนเองอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดปากเผยความจริงออกมาพร้อมหัวเราะอย่างขมขื่น “ก็ได้ ข้ายอมรับ หัวใจของข้าต้องการมัน! เหอะ แต่ไม่ว่าข้าจะมีความต้องการมากเท่าใด แต่ขอให้ศิษย์น้องหญิงจงมั่นใจ ข้าสัญญาว่าจะมอบมันให้กับเจ้าถ้าหากเจ้ารับปากว่าจะนำมันกลับไปทำลายที่สำนัก ข้าจะไม่แย่งชิงมันจากเจ้าแน่นอน!”
“เหอะ แต่ความปรารถนาของเจ้าก็ไม่ควรถูกมองข้ามเช่นกัน!” จากนั้นใบหน้าของฉุ่ยจิ้งเปลี่ยนเป็นซุกซนและมองไปที่เจ้าอ้วน พร้อมกัน นางสะบัดแขนของนางส่งภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าลอยไปยังเจ้าอ้วน
เจ้าอ้วนตกใจพร้อมกับรับภาพวาดนั้นไว้อย่างมั่นเหมาะ หลังจากตรวจสอบแล้วว่ามันเป็นภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าอย่างแท้จริง เขาถามออกมาอย่างแปลกใจ “ศิษย์น้อง นี่คือ?”
“ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านี้เป็นสมบัติวิญญาณที่ล้ำค่านัก อีกทั้งมันยังอยู่ในขั้นที่เก้า มันถูกต้องงั้นหรือที่จะต้องถูกทำลาย? เหตุใดข้าจึงไม่มอบมันให้ท่านและให้ท่านปลดปล่อยพลังของมันซะ!” ฉุ่ยจิ้งตอบอย่างสงบนิ่ง
“โอ้? ของขวัญสำหรับข้างั้นหรือ?” เจ้าอ้วนแทบจะไม่เชื่อที่ได้ยิน พร้อมถามซ้ำอีกครั้ง “ศิษย์น้อง เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?”
ฉุ่ยจิ้งเผยยิ้มเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าอ้วนแต่อย่างใด นางเพียงกล่าวอย่างสุภาพ “ศิษย์พี่ วันนี้ข้าไม่ได้พบท่านเพียงผู้เดียว แต่ข้ายังพบเจอยู่เฟิงและภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าอีกด้วย ท่านเข้าใจหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนเข้าใจความหมายของฉุ่ยจิ้งทันที นางมอบสมบัตินี้ให้กับเขาจากหัวใจจริง และในตอนนี้เขารู้สึกขอบคุณนางจากหัวใจจริงเช่นกัน
อย่างแรกนั้น การครอบครองสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ มีคนมากมายพร้อมที่จะเป็นศัตรูกับเจ้าของสมบัติ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าอ้วนหมดสิ้นปราณจิตวิญญาณ ฉุ่ยจิ้งสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดายเพื่อแย่งชิงสมบัติทั้งหมดของเขา
กระเป๋ามิติพร้อมทั้งผลไม้วิญญาณทั้งสามเมื่อเปรียบเทียบกับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า พวกมันเหล่านั้นล้วนแต่เป็นขยะ! มันทั้งสองสิ่งแตกต่างกันเกินไป
ในความเป็นจริง ถ้าเจ้าอ้วนไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฉุ่ยจิ้ง ยู่เฟิงสามารถสังหารเจ้าอ้วนได้อย่างง่ายดายในตอนที่เขาไร้ปราณจิตวิญญาณ ถ้าหากไม่ใช่เพราะฉุ่ยจิ้งยังคงยืนอยู่ที่นี่ ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แน่นอนว่าเขาสามารถหนีได้ แต่สำหรับสถานการณ์นี้ฉุ่ยจิ้งมีบทบาทอย่างมาก ถ้าหากนางได้รับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า แน่นอนว่านางจะได้รับประโยชน์จากมันมหาศาล ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่ควรตัดสินให้นางได้รับเพียงแค่ผลไม้วิญญาณสามชิ้นเท่านั้น!
เมื่อคิดเช่นนี้ เจ้าอ้วนยืดตัวขึ้นและสะบัดมือหนึ่งครั้ง ปรากฏขวดสิบขวดที่เขาเก็บเอาไว้ออกมา ในนั้นบรรจุน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าไว้ เจ้าอ้วนโยนมันให้กับฉุ่ยจิ้งอย่างไม่ใส่ใจนัก และยังกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่ผู้นี้ไม่มีสิ่งใดที่จะดีไปมากกว่านี้แล้ว ขอมอบมันให้กับเจ้า เจ้าจงรับมันไว้เถิด!”
“วิเศษ!” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ฉุ่ยจิ้งอุทานออกมาอย่างยินดี “นี่คือน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้างั้นหรือ? จริงหรือ? มันคือสมบัติ! ท่านทำเช่นไรจึงครอบครองมันได้มากมายเช่นนี้?”
เจ้าอ้วนเพียงยิ้มกลับและไม่ได้ตอบคำถาม จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างสุภาพ “ถ้าหากในอนาคตศิษย์น้องใช้มันจนหมดสิ้นแล้ว เจ้าสามารถมาพบข้าเพื่อรับมันเพิ่ม!”
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางรู้ได้ทันทีว่าเจ้าอ้วนไม่ต้องการที่จะกล่าวสิ่งใดมากกว่านี้อีกแล้ว เช่นนั้นนางจึงหยุดเซ้าซี้และยิ้มออกมา “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอขอบคุณศิษย์พี่ล่วงหน้า!”
หลังจากที่นางเก็บน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าแล้ว ฉุ่ยจิ้งชี้ไปยังยู่เฟิงที่กองอยู่บนพื้นพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าเกรงว่าเราทั้งคู่คงลำบากเกินไปหากต้องการจัดการกับสหายคนนี้ ศิษย์น้องไม่อยากสัมผัสเลือดของชายคนนี้!”
เจ้าอ้วนตกตะลึงไปชั่วครู่พร้อมหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “เจ้ากำลังบอกให้ข้าสังหารเขา? คำสาปจะตกอยู่กับข้า!”
“ศิษย์พี่อย่าโง่เขลานักเลย!” ฉุ่ยจิ้งหัวเราะเยาะเจ้าอ้วนอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านไม่รู้หรือว่าสามารถสังหารเขาได้โดยการยืมมือผู้อื่น? ในหุบเขาแห่งนี้มีอสูรกายมากมาย ท่านสามารถให้อสูรตนใดก็ได้กินยู่เฟิงซะ เนื่องจากพวกมันเป็นผู้สังหารเขา และนั่นจะทำให้เราทั้งคู่ไม่โดนคำสาป!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย “ใช่แล้ว ทำไมข้าโง่เช่นนี้!? เพราะเหตุนี้ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งจึงเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดเสมอ เพียงแค่ยืมมือผู้อื่น เราก็จะรอดพ้นจากคำสาปของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน!”
“ศิษย์พี่กล่าวชมข้าเกินไป มันเป็นเพียงเรื่องที่ท่านคิดไม่ถึงเท่านั้น!” ฉุ่ยจิ้งโบกมือพร้อมกล่าวต่อ “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ที่แห่งนี้ไม่มีธุระอันใดสำหรับข้าอีกแล้ว ศิษย์น้องขอลาศิษย์พี่ที่ตรงนี้!” เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางหันหลังและออกไปทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนรีบตะโกนทันที “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง รอก่อน! ข้ามีบางสิ่งจะถามเจ้า!”
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางหันกลับมาตอบ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดอีกแล้ว ท่านจะต้องเดินทางขึ้นไปทางทิศเหนือ แต่ศิษย์น้องขอแนะนำท่านไว้หนึ่งอย่าง จงให้อภัยกับคนที่ท่านสามารถให้อภัยเขาได้!”
เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางหายตัวไปในหมอกหนา เจ้าอ้วนพลันกล่าวออกด้วยอาการตกใจ “เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? นาง… นางรู้ว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
เจ้าอ้วนเพียงแค่ต้องการถามนางว่าพอจะรู้ตำแหน่งของหานปิงเอ๋อหรือไม่ ความคิดของเขาทั้งหมดในตอนนี้คือ ‘ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วันกี่คืน ความแค้นจะต้องถูกชำระล้าง’ หนี้แค้นครั้งนี้เจ้าอ้วนคิดสะสาง สิ่งที่นางทำกับเขานั้นเกินกว่าที่จะยอมให้อภัยได้
แผนแรกของเขาคือการเข้าร่วมกับกลุ่มใหญ่และหาโอกาสแก้แค้นเมื่อภารกิจสำเร็จ แต่ตอนนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้การซุ่มโจมตียู่เฟิงไม่จำเป็นอีกแล้ว ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงคิดที่จะค้นหาหานปิงเอ๋อและรีบจบความแค้นนี้โดยเร็ว
แต่ปัญหาก็คือปราณจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้มีจำกัด และภายในหุบเขาแห่งนี้ไม่สามารถใช้ดาบบินได้ การค้นหาใครสักคนในสถานที่เช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
แน่นอนว่าหานปิงเอ๋อยังคงอยู่ในความมืด และยู่เฟิงถูกกำจัดแล้ว ในตอนนี้นางคงกำลังสำรวจพื้นที่เพื่อค้นหาผลไม้วิญญาณ ถ้าหากเจ้าอ้วนเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น แน่นอนว่าเขาจะสามารถพบนางได้ แต่ปัญหาก็คือในเวลานั้นเขาไม่รู้ว่าจะมีใครอยู่กับนาง และทำให้เขาไม่สามารถจัดการนางได้ แทนที่จะได้ต่อสู้กันแต่อาจกลับกลายเป็นเขาถูกทุบตีแทนได้!
ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงคิดจะให้ฉุ่ยจิ้งใช้เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรเพื่อมองดูว่าหานปิงเอ๋ออยู่ตำแหน่งใด จากนั้นเขาจะใช้โอกาสนี้เพื่อดูแลนาง! แต่เจ้าอ้วนไม่ได้คาดหวังว่าก่อนที่เขาจะถามอะไร ฉุ่ยจิ้งสามารถทำนายไว้หมดแล้วว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และให้คำตอบเขาทันที การได้เห็นเทคนิคเช่นนี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกสูญเสียความมั่นใจอย่างท่วมท้น ‘เพียงแค่พลังของเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรขั้นต่ำยังเป็นเช่นนี้ ถ้าหากเป็นเทพธิดาพยากรขั้นกลางล่ะ พลังของมันจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน?’
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน เจ้าอ้วนเก็บความคิดทั้งหมดไว้ หลังจากนั้นจึงเดินไปยังซากศพที่ถูกเผา เขาทำลายสภาพแวดล้อมทั้งหมดด้วยดาบอัคคีเพื่อปกปิดร่องรอยการต่อสู้ โดยเฉพาะหลุมลึกที่เกิดจากระฆังทองแดง หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เขาหันไปคว้าคอของยู่เฟิงและมุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือทันที
หลังจากที่ขี่พยัคฆ์ปีกแหลมมาเป็นเวลาชั่วโมงกว่า เจ้าอ้วนพบกับอสรพิษขนาดใหญ่ แม้ว่าอสรพิษนี้จะเป็นอสูรกายขั้นสองที่อ่อนแอ แต่ลำตัวของมันใหญ่กว่าร้อยฟุต
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเจ้าอ้วนเปล่งประกายทันทีพร้อมกับหัวเราะอย่างปีศาจร้าย “นายน้อยยู่เฟิง น้องชายผู้นี้ค้นหาสถานที่เหมาะสมที่จะให้ท่านได้พักผ่อนแล้ว ช่างเป็นฤดูหนาวที่อบอุ่นจริง ๆ ปราศจากลมและฝน สถานที่แห่งนี้เหมาะสมแล้วที่ท่านจะพักผ่อนอยู่ตรงนี้ชั่วนิรันดร์!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาสั่งให้พยัคฆ์ปีกแหลมบินไปอยู่เบื้องหน้าของอสรพิษ อสูรกายตนนี้ไม่ได้โง่เขลา เมื่อมันเห็นรูปลักษณ์ที่สวยงามของพยัคฆ์ปีกแหลม มันเข้านอบน้อมพยัคฆ์ไว้ทันทีราวกับยินยอมเป็นทาสอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าอ้วนไม่ได้สนใจว่าอสรพิษจะคิดเช่นไร เขาวางยู่เฟิงไว้ตรงหน้าของมัน จากนั้นเขาก็บินออกไปพร้อมกับพยัคฆ์ปีกแหลม แน่นอนว่าเจ้าอ้วนยังคงกังวลว่าจะมีผู้ใดเข้ามาช่วยเหลือยู่เฟิงได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ออกไปไกลนัก เขาใช้เวทมนตร์ม่านหมอกเพื่อปกปิดตนเองห่างออกไปเพียงร้อยฟุตเท่านั้น จากนั้นเขาจ้องไปที่อสรพิษที่กำลังงุนงงพร้อมคิดในใจว่า ‘เลิกโง่สักที รีบกินมันเข้าไปซะ!’
บทที่ 139: แพะรับบาปผู้น่าสงสาร
ท้ายที่สุดราวกับว่าอสรพิษได้ยินคำวิงวอนของเจ้าอ้วน เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่เจ้าอ้วนถอยออกไป มันเริ่มขยับเขยื้อนร่างกายมหึมาของมันเข้าไปใกล้ยู่เฟิง มันใช้ลำตัวของมันโอบอุ้มเอาร่างกายของยู่เฟิงขึ้นมาพร้อมกับใช้ลิ้นตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
ช่างโชคร้ายที่ยู่เฟิงตื่นขึ้นมาในตอนนี้ เมื่อดวงตาลืมขึ้นและจ้องมองสภาพแวดล้อมรอบด้าน ภาพที่เห็นคืออสรพิษยักษ์กำลังรัดร่างกายไว้พร้อมกับใช้ลิ้นของมันสัมผัสกับใบหน้าตลอดเวลา
ถ้าหากสภาพร่างกายของเขาเป็นปกติ แน่นอนว่าอสูรกายระดับสองนี้เขาสามารถจัดการมันได้เพียงแค่ผายลมเบา ๆ เท่านั้น แต่ในตอนนี้แขนขาของเขาทั้งหมดแตกหัก ไร้ซึ่งปราณจิตวิญญาณและสมบัติ แล้วจะมีหนทางใดที่เขาจะจัดการกับอสรพิษยักษ์ตนนี้ได้?
ในขณะนั้น อสรพิษรู้ตัวแล้วว่าเหยื่อของมันตื่นขึ้น มันกลัวว่าเขาจะหนีไป เมื่อคิดเช่นนั้นมันจึงเปิดปากออกและเขมือบยู่เฟิงลงไปทันที
ในขณะนั้น ยู่เฟิงก็แทบจะตายอยู่แล้ว กระดูกของเขาทั้งหมดถูกบดขยี้โดยอสรพิษยักษ์ ความเจ็บปวดทั้งหมดถาโถมเข้ามาที่ร่างกายของเขา อีกทั้งการที่ถูกอสรพิษกลืนกินเช่นนี้ทำให้ความกลัวพวยพุ่งอย่างไร้สิ้นสุด
แม้แต่มนุษย์ที่ถูกสร้างจากเหล็กกล้าก็ไม่สามารถต้านทานสถานการณ์เช่นนี้ได้ ยู่เฟิงทำได้เพียงปล่อยให้ความเจ็บปวดกลืนกินไปจนกว่าจะเป็นอิสระเพราะความตาย ในตอนแรกเจ้าอ้วนคิดว่าจะได้ยินเสียงร่ำไห้ของยู่เฟิง แต่อีกฝ่ายเพียงร้องเสียงเบาเท่านั้น ผ่านไปชั่วขณะเด็กน้อยผู้น่าสงสารถูกกลืนโดยอสรพิษอย่างสมบูรณ์
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้สึกโล่งอกพร้อมถอนหายใจออกมาเมื่อทุกอย่างได้จบลงเสียที แม้ว่าเขาจะสงสารต่อโชคชะตาที่ยู่เฟิงต้องพบเจอ แต่เขากลับไม่เสียใจที่จัดการเรื่องราวเช่นนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะบิดาของเขาที่ลงคำสาปไว้ เจ้าอ้วนไม่คิดจะให้เขาตายตกไปพร้อมกับความเจ็บปวดเช่นนี้แน่นอน แต่ดูเหมือนว่าความตายสภาพเช่นนี้จะทำให้เจ้าอ้วนเดือดร้อนน้อยที่สุดแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เจ้าอ้วนเพียงแค่มองไปยังอสรพิษที่จัดการอาหารของมันเสร็จสิ้นแล้ว เขาส่ายศีรษะเบา ๆ สองครั้งจากนั้นจึงถอยออกไปจากสถานที่แห่งนั้น
แต่ในขณะนั้น เจ้าอ้วนรู้สึกถึงปราณจิตวิญญาณของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เนื่องจากวิชาปฐมกาลแห่งความโกลาหล สัมผัสวิญญาณของเจ้าอ้วนนั้นมากกว่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนธรรมดาทั่วไป เขาจึงสามารถตรวจจับสิ่งผิดปกติได้มากกว่าคนปกติ แม้ว่าอีกฝ่ายจะสามารถค้นหาเขาได้อย่างรวดเร็ว แต่เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่เขาจะคิดแผนเพื่อตั้งรับ
ในตอนแรกเขารู้สึกตกใจทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีคนกำลังมา! จิตใต้สำนึกของเขากำลังหวาดกลัวว่าจะมีผู้ใดมาช่วยเหลือยู่เฟิง และเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากถ้าหากเป็นเช่นนั้น
ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงปกปิดตัวตนทันทีด้วยเวทมนตร์ม่านหมอก เพื่อเฝ้ารอสังเกตุการณ์อยู่ห่าง ๆ
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ มีภาพปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา หลังจากที่ตรวจสอบอย่างรอบคอบว่าเป็นผู้ใด เจ้าอ้วนรู้สึกกังวลใจทันที เขารู้จักกับบุคคลผู้นี้ อีกฝ่ายคือคนบ้าผู้เห็นแก่ตัวในสำนักเสวียนเทียน คนโง่ที่เรียกตนเองว่าดาบเทวะไร้ผู้ต้าน ในขณะนั้นสีหน้าท่าทางของเขาปกติดี แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะทรมานเขามานานหลายวัน แต่เขาก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด มันเป็นเพียงความเหนื่อยล้าที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาเท่านั้น ยิ่งในสภาพแวดล้อมที่อสูรกายพร้อมจะปรากฏตัวขึ้นทุกเมื่อเช่นนี้ วิธีเดียวที่จะเดินต่อไปข้างหน้าคือการนองเลือด แม้จะผ่านการต่อสู้มานานหลายวัน แต่เขายังคงสภาพเช่นนี้ได้ เห็นได้ว่าการถูกเรียกเป็นหนึ่งในสี่ของอัจฉริยะแห่งสำนักเสวียนเทียนนั้นไม่ได้มากมายเกินไปนัก
แต่เจ้าอ้วนไม่ได้ห่วงว่าเขาจะช่วยเหลือยู่เฟิง พวกเขาทั้งสองคนเป็นศัตรูกัน แต่เขาเกรงว่ายู่เฟิงจะแพร่กระจายข่าวเกี่ยวกับสมบัติของเขาให้เจ้าบ้านั่นรับรู้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนอาจจะต้องสังหารดาบเทวะไร้ผู้ต้านเพื่อปกปิดความจริงทั้งหมด ถึงแม้ว่าเจ้าสารเลวนี้จะไม่ค่อยลงรอยกับเจ้าอ้วน แต่พวกเขาทั้งหมดถือได้ว่าเป็นพวกพ้องร่วมสำนักเดียวกัน แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่คิดสังหารผู้ใดอย่างไร้เหตุผล ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสวรรค์ ถ้าหากชายผู้นี้กระทำสิ่งใดที่ไม่รบกวนเขา เขาก็จะไม่สนใจ แต่ถ้าหากเขาได้รับข้อมูลจากยู่เฟิง ก็คงจะต้องโทษความโชคร้ายของเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ในขณะนั้น มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน หลังจากที่ได้กินอาหารอย่างง่ายดาย อสรพิษนั้นหลงคิดว่ามนุษย์นั้นง่ายดายยิ่งนัก ดังนั้นเมื่อมีมนุษย์อีกคนบุกเข้ามาในดินแดนของมัน มันจึงบ้วนพิษของมันเข้าใส่ดาบเทวะไร้ผู้ต้านทันที
อสรพิษตนนี้เพียงมีเจตนาคิดขับไล่ผู้รุกล้ำเท่านั้น หากเป็นผู้อื่นคงไม่คิดยุ่งกับอสรพิษตนนี้และคิดแค่ผ่านเลยไป หุบเขาแห่งนี้มีอสูรกายมากมายนัก หากต้องสังหารทุกตนที่พบเจอแล้ว ไม่นานคนผู้นั้นคงไร้ซึ่งพละกำลังจนตายตก แต่คล้ายดาบเทวะไร้ผู้ต้านจะดื่มยาผิดขนาน เมื่อเห็นอสรพิษคิดโจมตีเข้าใส่ ความโกรธพลันพวยพุ่งพร้อมกล่าวออกอย่างเดียดฉันท์ “เดรัจฉานน้อย เจ้าไม่เห็นหรือความตายอยู่ตรงหน้า นายน้อยผู้นี้จะทำให้เจ้าตาสว่าง!”
หลังกล่าวจบคำ เขาโบกมือทันทีพร้อมปรากฏปราณจิตวิญญาณเป็นรูปดาบนับสิบพุ่งออกมา ส่งผลให้อสรพิษถูกแยกออกเป็นสิบชิ้นทันที
ด้วยการมองอย่างรวดเร็ว เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่าดาบเทวะไร้ผู้ต้านนั้นใช้ดาบเล่มเดิม แม้ว่าดาบของเขาจะถูกทำลายโดยตู๋เชียนเฉิง แต่ดูเหมือนว่ามันจะถูกซ่อมแซมโดยผู้อาวุโสของสำนัก
ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม ดาบเทวะไร้ผู้ต้านสามารถสังหารอสรพิษได้ในดาบเดียว ในขณะที่เขากำลังจะหันหลังเดินจากไป ปราณจิตวิญญาณสีดำพลันพุ่งออกจากร่างอสรพิษอย่างบ้าคลั่งเข้าใส่ผู้สังหาร
ดาบเทวะไร้ผู้ต้านสังเกตเห็นมันอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาสังหารอสรพิษ เขารีบปล่อยดาบออกไปอีกครั้งเพื่อปกป้องตนเอง แต่สิ่งที่ทำให้เขาหดหู่ที่สุดคือไม่สามารถทำลายปราณสีดำพวกนั้นได้เลย พวกมันทั้งหมดพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว ชัดเจนว่าเรื่องราวตรงหน้านี้หาดีไม่ ดาบเทวะไร้ผู้ต้านแตกตื่นยิ่ง เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดกำลังเข้าไปในร่างกาย ดังนั้นเขานั่งลงพร้อมเข้าสู่สมาธิทันที และยังเริ่มตรวจสอบสถานการณ์ภายในร่างกายอย่างรวดเร็วเพราะหวาดกลัวต่อความตาย!
“คำสาปแช่งแห่งการแก้แค้น? บัดซบ ทำไมอสูรกายชั้นต่ำจึงมีของแบบนี้?” ดาบเทวะไร้ผู้ต้านตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มควบคุมตนเองไม่ได้ “เป็นไปไม่ได้! อสูรกายพวกนี้ไม่ควรมีคำสาปเช่นนี้ มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างผิดพลาด!”
ในขณะที่กล่าวเช่นนั้น ดาบเทวะไร้ผู้ต้านเริ่มกระโดดและเตะชิ้นส่วนของอสูรกายอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่สนใจกลิ่นเหม็นที่คละคลุ้งไปทั่ว ฉับพลันนั้นมีศีรษะของคนไหลออกมาจากซากศพ
เมื่อพบเห็น เขารีบรุดหน้าไปดูอย่างรวดเร็ว “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! นี่มันไม่ใช่ยู่เฟิงจากสำนักพันปีศาจงั้นหรือ? แล้วมันมาทำบ้าอะไรในท้องของอสูรกายตนนี้?”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขามองไปยังศีรษะพลางพิจารณา ปรากฏเป็นรอยตัดอย่างเรียบเนียน เมื่อมองชิ้นส่วนของงูพิษที่ถูกตัดขาดออกจากกัน เห็นได้ชัดว่าเขาสังหารยู่เฟิงกับอสรพิษตนนี้พร้อมกัน!
ดาบเทวะไร้ผู้ต้านไม่ใช่คนโง่เขลา เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว จากคำสาปแช่งที่เขารู้มา เห็นได้ชัดว่ายู่เฟิงยังไม่ตายเมื่ออยู่ในท้องของอสรพิษ ถ้าไม่อย่างนั้นคำสาปจะไม่เกิดกับเขา ถ้าหากเขาไม่สังหารอสรพิษตนนี้…
หลังจากที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ดาบเทวะไร้ผู้ต้านโกรธจัด เขาไม่สามารถอดทนต่อเรื่องราวเช่นนี้ได้ “สารเลว ถึงกับเข้าไปอยู่ในกระเพาะของอสรพิษเพื่อสิ่งใดกัน ทำให้ข้าต้องกลายเป็นคนโง่งมที่สังหารเจ้าเพียงเพราะจะสังหารอสรพิษ! ชั่วช้ายิ่งนัก หลังจากนี้จะให้ข้าทำยังไง!?”
เมื่อนึกถึงคำสาปของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน ร่างกายพลันสั่นอย่างไม่อาจยืนต่อไหว! คำสาประดับนี้เขาทราบดีว่าสามารถลบล้างได้โดยผู้นำของสำนักพันปีศาจเท่านั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พวกเขาย่อมไม่มีทางถอนคำสาปให้อย่างแน่แท้ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างบาดหมางกันมานานหลายพันปี จะเป็นไปได้เช่นไรที่จะให้ผู้นำสำนักพันปีศาจช่วยเหลือเด็กน้อยเพียงคนเดียว?
กล่าวก็คือชีวิตของดาบเทวะไร้ผู้ต้านที่มีอยู่ตอนนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งหมดสิ้นสุดลงทันทีเมื่อเขาได้รับคำสาปเหล่านี้ เขาจะถูกทรมานอย่างช้า ๆ จนตาย จนตอนนี้เขาถึงกับเริ่มร้องไห้ตะโกนด่าทอ “มือที่สารเลว! ทำไมถึงคิดแส่หาเรื่อง! เหตุใดข้าจึงไม่ปล่อยวางแล้วจากไป? วันที่บัดซบ! เหตุใดข้าต้องพลั้งมือไปสังหารมันด้วย! อ๊ากกกกก!”
ในขณะนั้น ภายในห้องลับของสำนักพันปีศาจ บุรุษผู้สวมชุดสีแดง รูปลักษณ์ของเขาที่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำสำนักพันปีศาจกำลังเข้าญาณอยู่
ทันใดนั้น ภายในจิตใจของจ้าวสำนักสั่นไหวอย่างน่ากลัว ราวกับว่าได้เกิดเรื่องราวที่เลวร้ายขึ้นแล้ว เขารีบหยิบเหรียญโลหะประจำตัวของบุตรชายออกมาพร้อมกับตรวจสอบมันทันที จากนั้นด้วยการออกแรงเพียงเล็กน้อยเหรียญโลหะแตกละเอียดเป็นผุยผงทันที
เมื่อจ้าวสำนักได้เห็นเช่นนั้น น้ำตาไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้างทันที เหรียญโลหะประจำตัวนั้นเป็นของบุตรชายเพียงคนเดียว ในเวลาที่บุตรของเขาตายตกไป มันจะแตกหักทันที กล่าวก็คือมันเป็นเครื่องมือส่งสารเพียงชิ้นเดียวระหว่างเขากับบุตรชายนั่นเอง
การเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นไม่ง่ายเลยที่จะเลี้ยงดูเด็กสักหนึ่งคน! ยู่เฟิงเป็นเพียงคนเดียวที่เขาสามารถเลี้ยงดูจนมีความสามารถที่โดดเด่น มีพรสวรรค์ ฉลาด และเต็มไปด้วยโชคลาภอีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าอีกด้วย
เดิมทีจ้าวสำนักต้องการให้เขากลายเป็นผู้สืบทอด แต่ตอนนี้บุตรเพียงคนเดียวของเขาตายตกไปสิ้นแล้ว เวลาหลายทศวรรษที่เขาทำงานอย่างหนักได้กลายเป็นไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์! แล้วจะไม่ให้เขารู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร?
แต่ทว่าจ้าวสำนักพันปีศาจเป็นบุคคลที่ไร้ซึ่งความเมตตา เขารีบออกจากสภาวะเศร้าโศกอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขากล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวปนเศร้า “ไม่ว่าผู้ที่สังหารบุตรของข้ามันจะเป็นใคร ข้าจะทำให้มันพบเจอชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!” หลังจากที่กล่าวจบ เขาเปิดใช้งานคำสาปแช่งแห่งการแก้แค้นทันที
ในขณะนั้น หลังจากที่ดาบเทวะไร้ผู้ต้านร้องไห้มาชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะเช็ดคราบน้ำตาแม้แต่น้อย เขาคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด จากนั้นเขาล้มลงบนพื้นทันที เขากลายเป็นอัมพาตอย่างสมบูรณ์ เจ้าอ้วนที่มองจากระยะไกลรู้ได้ทันทีว่าคำสาปได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เจ้าอ้วนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลังจากที่ดาบเทวะไร้ผู้ต้านถูกคำสาปเล่นงาน ปราณสีดำกำลังจู่โจมร่างกายเขาอย่างรุนแรง มันควบคุมกล้ามเนื้อทั้งหมด ในตอนนี้เขาไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ ตอนนี้เขาทำได้เพียงนอนอยู่บนพื้นราวกับซากศพเท่านั้น แต่ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวราวกับไม่อาจอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทรมานอย่างรุนแรง
ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ร่างกายของดาบเทวะไร้ผู้ต้านเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะส่งเสียงร้องอีกต่อไป จากนั้นเกิดเสียงคำรามราวกับสัตว์ร้ายดังขึ้น เด็กน้อยผู้น่าสงสารก็พลันเงียบไปโดยสมบูรณ์
เจ้าอ้วนตกใจคิดว่าอีกฝ่ายตายตก เขาจึงเพ่งมองอีกครั้งอย่างรอบคอบและพบว่าอีกฝ่ายเพียงหมดสติไปเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เจ้าอ้วนประหลาดใจมากที่สุดคือ นอกจากสภาพความเหนื่อยล้าของดาบเทวะไร้ผู้ต้าน มันไม่มีอาการบาดเจ็บสาหัสใดบนร่างกายเลย ในขณะที่อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา ร่างกายยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบ
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้วางคำสาปกำลังเมตตาต่อเขา แน่นอนว่ามันตรงกันข้าม จ้าวสำนักพันปีศาจไม่ยอมให้เขาตายตกไปโดยง่ายดายแน่นอน เขาจะทรมานไปอย่างช้า ๆ จนถึงขั้นวิกลจริตไปเอง
เมื่อได้เห็นว่าเขาทรมานเพียงใด เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนต้องพ่นคำบ่นออกมา ‘ขอบคุณฉุ่ยจิ้งและตัวข้าเองที่ระมัดระวังไม่สังหารมัน ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงจะเป็นผู้โชคร้ายคนนั้น!’
เมื่อคิดได้ นอกเหนือจากความชื่นชมยินดี เจ้าอ้วนเริ่มคิดถึงวิธีที่จะจัดการกับดาบเทวะไร้ผู้ต้าน ควรจะสังหารให้ตายตกไปเพื่อหลบหนีความเจ็บปวดหรือจะเพิกเฉยต่ออีกฝ่ายดีนะ?
แต่ในขณะนั้น เจ้าอ้วนสังเกตเห็นกระเป๋ามิติที่คาดเอวของดาบเทวะไร้ผู้ต้าน ดวงตาของเขาสุกสว่างขึ้นมาทันที เขาหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบอย่างรวดเร็ว เจ้าอ้วนกระปรี้กระเปร่าอย่างรวดเร็วเมื่อหยิบกล่องหยกสีทองออกมาสองชิ้น เห็นได้ชัดว่าดาบเทวะไร้ผู้ต้านนั้นเต็มไปด้วยโชคลาภซึ่งครอบครองผลไม้วิญญาณถึงสองผล!
เจ้าอ้วนหาได้ใช่สุภาพบุรุษไม่ เขาสามารถปรับตัวเพื่อผลประโยชน์ได้เสมอ ในขณะที่เขามองเห็นว่ากำลังจะได้รับผลประโยชน์ ดวงตาของเขาเจิดจ้าพร้อมกับวิ่งหนีไปพร้อมกระเป๋ามิติทันที ในตอนนี้ดาบเทวะไร้ผู้ต้านหมดสติอยู่ อีกฝ่ายย่อมไม่อาจทราบได้ว่าผู้ใดบังอาจขโมยกระเป๋า
สำหรับคำสาปแช่งบนร่างกายของอีกฝ่าย เจ้าอ้วนตัดสินใจว่าจะไม่สนใจมันและปล่อยให้พบเจอกับความพินาศด้วยตนเอง เขาเกรงกลัวคำสาปแช่งอย่างมาก กลัวว่าถ้าหากเขาสังหารดาบเทวะไร้ผู้ต้านแล้วมันจะถูกส่งต่อมาที่เขา จากลักษณะที่โหดร้ายของจ้าวสำนักพันปีศาจ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงเลือกที่จะหลบหนีเพื่อให้ภัยห่างจากตนเองมากที่สุด เนื่องจากว่าเขาก็ไม่ได้มีความผูกพันใดกับดาบเทวะไร้ผู้ต้าน อีกทั้งยังมีความขัดแย้งกันพอสมควร แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่คิดจะแลกชีวิตตนเองกับบุคคลเช่นนี้ เขาจึงเลิกสนใจเรื่องนี้ไปโดยสมบูรณ์
หลังจากที่เจ้าอ้วนออกไปแล้ว ดาบเทวะไร้ผู้ต้านค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เขาไม่ได้อยู่ในอาการเจ็บปวดนานนัก แต่ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้นั้นฝังแน่นเข้าไปภายในร่างกายของเขา จึงทำให้ร่างกายทุกส่วนอ่อนนุ่มลงอย่างไม่อาจช่วยได้ ตอนนี้เขามีปัญหากับการเคลื่อนไหว เมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้เขายังเป็นผู้ฝึกตนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและพละกำลัง แต่ในตอนนี้สภาพของเขาช่างน่าเวทนาเหลือเกิน ขณะที่ดาบเทวะไร้ผู้ต้านกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากรู้สึกหดหู่ เขากล่าวออกมาเสียงเบาด้วยความเสียใจ “ข้าทำเวรทำกรรมอะไรมา เหตุใดต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น