Chaotic Lightning Cultivation 101-120

 101 ความบ้าคลั่งของหญิงสาว


แสงดาบของเทวะเงาครามได้ตัดผ่านระฆังในขณะที่มันกำลังปกคลุมร่างกายของเจ้าอ้วนไว้ เกิดเป็นคลื่นขนาดใหญ่ปะทะเข้ากับโลหะอย่างรุนแรง บนระฆังเต็มไปด้วยรอยบาดแผลจากคมดาบและเป็นหลุมเป็นบ่อเมื่อถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง


แม้ว่าเทวะเงาครามจะเป็นอุปกรณ์วิเศษระดับสูง แต่ความแข็งแกร่งของมันไม่ได้อยู่ที่ดาบ  พลังของมันอยู่ที่ลำแสงพลังในการโจมตี ดังนั้นพลังที่ออกมาจากดาบนี้จะรุนแรงกว่าพลังของดาบบินทั่วไปถึงสิบเท่า เพียงแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยมันสามารถปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาได้มากกว่าหนึ่งพันดวง แต่พลังเหล่านี้มีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่ และการโจมตีของมันสร้างบาดแผลให้กับระฆังยักษ์ลึกแค่สองถึงสามนิ้วเท่านั้น


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปรากฏขึ้นเป็นผลจากพลังคลื่นดาบของนางทั้งสิ้น เมื่อมองไปที่รอยบาดแผล มู่ซื่อหรงไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด แต่กลับมีความสุขเสียด้วยซ้ำ นางคิดกับตนเองว่า ‘ระฆังบัดซบนี้หนาเพียงสองถึงสามนิ้วเท่านั้น น้ำหนักของมันราวหนึ่งหมื่นจิน ข้าอยากรู้จริงว่าเจ้าคนจนผู้นี้มันคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ ความหนาเพียงเท่านี้ แน่นอนว่าข้าสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย แล้วข้าจะแสดงให้ดูว่าหลังจากนั้นข้าสามารถดูแลเจ้าได้ดีเพียงใด!’


เมื่อคิดเช่นนี้ มู่ซื่อหรงปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดออกมาพร้อมกับละทิ้งการป้องกันทันที นางรวบรวมสมาธิไว้ที่ดาบพร้อมกับปล่อยคลื่นพลังมหาศาลออกมา


คลื่นพลังของดาบนี้สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล รูปร่างของมันคล้ายกับมังกรยาวหนึ่งพันฟุตและกว้างหลายสิบฟุต มันพุ่งไปด้านหน้าอย่างไม่เกรงกลัวพุ่งชนกับระฆังยักษ์อย่างต่อเนื่อง การโจมตีทุกครั้งส่งผลให้เหล็กดำหลุดร่อนออกจากตัวระฆัง เพียงไม่กี่อึดใจ เหล็กสีดำร่อนออกจากตัวระฆังไปมากมาย


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้มู่ซื่อหรงผิดหวังคือแม้ว่านางจะจัดการเหล็กดำบนระฆังออกไปมากมาย แต่ทว่าขนาดของมันยังคงเท่าเดิม มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้ว่าเหล็กดำจะหลุดร่อนไป มันเป็นเพียงแค่ชั้นบาง ๆ ที่ถูกกำจัดออกไปเท่านั้น ไม่มีผลกระทบใดเกิดขึ้นเลย ซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้ไม่อาจทำให้มู่ซื่อหรงยอมรับได้


ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เจ้าอ้วนได้เปล่งเสียงอันน่ารำคาญของมันออกมาจากในระฆัง “ศิษย์พี่ทุ่มพลังทั้งหมดออกมาเถิด! ข้ารอคอยการเหยียบย่ำของท่านอยู่!”


มู่ซื่อหรงอารมณ์เดือดจัดทันที! นางไม่สามารถเก็บอารมณ์ไว้ได้จึงตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ไขมันบัดซบ จงอวดดีต่อไปเถิด! ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ในสภาพที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะอ้อนวอน!” หลังจากนางกล่าวจบ นางหยุดพักแล้วเริ่มรวบรวมปราณจิตวิญญาณเพื่อโจมตีอีกครั้ง ในขณะนั้นดาบเทวะเงาครามเปล่งแสงเข้มกว่าเดิม พลังของมันพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล อีกทั้งเพิ่มปริมาณของมังกรอีกหลายเท่าตัว


อย่างไรก็ตามไม่ว่ามู่ซื่อหรงจะใช้ดาบเทวะเงาครามสร้างมังกรออกมามากเท่าไหร่ แต่สถานการณ์กลับคล้ายว่าเอาก้อนหินไปโยนใส่ระฆังเท่านั้น แม้ว่าระฆังยักษ์นี้จะดูคล้ายกับเศษเหล็กที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ แต่มันกลับไม่สะทกสะท้านต่อการโจมตีของนางแต่อย่างใด


ในเวลาเดียวกัน เจ้าอ้วนยังคงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากล้อเลียนเช่นเคย “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ เร็วอีก รีบขึ้นทับข้าเร็ว ๆ เร็ว เร็วอีก! ช่วยเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม!”


“เหตุใดท่านจึงยังไม่เข้ามาหาข้าอีกนะ? ข้ารอคอยจนเหนื่อยแล้ว!”


“อย่าบอกข้านะ ว่าท่านหลงรักข้าเสียแล้วและท่านกำลังแสดงความภักดีงั้นหรือ? สวรรค์ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าควรจะทำเช่นไรดี!”


ขณะที่มู่ซื่อหรงได้ยินที่เจ้าอ้วนกล่าวเย้ยหยัน นางขาดสติทันที มีเพียงความโกรธเข้ามาครอบงำ! นางกลับมารวบรวมปราณจิตวิญญาณ พร้อมปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีอยู่ แต่ไม่ว่านางจะพยายามอย่างไร มันก็ไม่มีประโยชน์เลย แม้ว่าเสียงของการปะทะจะสนั่นหวั่นไหว แม้ว่าเหล็กดำจะร่อนออกมามากมายเพียงใด แต่ก็ไม่อาจทำลายระฆังใบนี้ได้


เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถจะโจมตีเช่นนี้ตลอดไปได้ ไม่ว่านางจะพยายามมากเท่าใด แต่มันก็ไม่สามารถอยู่ได้นานเกินห้านาที ตอนนี้นางสูญเสียพลังไปมากกว่าแปดในสิบ ในขณะที่เจ้าอ้วนยังคงอยู่ในสภาพไร้รอยขีดข่วนภายใต้ระฆังยักษ์ อาจเป็นไปได้ว่าถ้าหากเจ้าอ้วนออกจากระฆังยักษ์มาในตอนนี้ เขาสามารถเอาชนะนางได้ด้วยดาบบินอินทรีย์ทอง


อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนไม่ยอมปล่อยตัวเองให้ออกไปพบมู่ซื่อหรงอย่างแน่นอน เจตนาของเขาไม่มีแผนที่จะออกไปเร็ว ๆ นี้ เขานั่งลงภายในระฆังและย่างมัจฉาไร้เนตรกินอย่างสบายอกสบายใจ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะเปิดปากเยาะเย้ยนางในขณะที่เปิดไวน์องุ่นไปด้วย


“ศิษย์พี่ ท่านหมดแรงแล้วหรือยัง? ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ท่านต้องยอมรับความพ่ายแพ้นี้เสียแล้ว! ตามเดิมพันที่เราได้วางไว้ ถ้าท่านแพ้ ท่านจะต้องกลายเป็นทาสของข้า! ฮ่าฮ่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านจะไม่ต้องรอคอยเวลาที่ข้ากำลังอาบน้ำ เพราะในขณะที่ข้าอาบน้ำ ท่านต้องมาช่วยข้าทำความสะ….” ก่อนที่เจ้าอ้วนจะกล่าวจบ อารมณ์ของมู่ซื่อหรงได้พ้นจุดเดือดขึ้นไปแล้ว นางไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป


ในตอนนี้มู่ซื่อหรงได้เข้าใจแล้วว่านางหลงกลเจ้าอ้วนเข้าแล้ว เขาจงใจให้นางใช้พลังอย่างมหาศาลเพื่อโจมตี บวกกับตั้งข้อเดิมพันในขณะที่นางกำลังโกรธ ในขณะนี้นางติดกับดักอย่างสมบูรณ์ นางไม่สามารถเอาชนะ แต่นางก็ไม่อาจยอมแพ้ได้! สวรรค์ มู่ซื่อหรงตัดสินใจรวบรวมพลังครั้งสุดท้าย


“สารเลว! ข้าจะสู้กับเจ้า!” เมื่อนางกล่าวจบ นางหยิบยาอายุวัฒนะออกมาและกลืนมันลงไปโดยไร้คำพูดใด


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันร้องตะโกนออกมา “ยาเร่งพลัง? ไม่นะ!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินชื่อยาเร่งพลัง เขาตกใจทันที เขารู้ดีว่ายานี้จะเกิดปฏิกิริยากับร่างกายอย่างรุนแรง มันจะปลดปล่อยพลังทุกส่วนออกมาทั้งหมด หลังจากกินมันเข้าไป ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นจะมากขึ้น แต่ราคาที่ต้องจ่ายอยู่หลังจากนั้น แน่นอนว่ามูลค่าของมันคือการที่เส้นเอ็นและเส้นลมปราณทั้งหมดเสียหายอย่างรุนแรง และต้องพักฟื้นโดยใช้เวลาหนึ่งถึงสองปี ดังนั้นแม้ว่ามู่ซื่อหรงจะได้รับชัยชนะจากการกินยาเร่งพลัง หลังจากนั้นการฝึกฝนของนางจะต้องล่าช้าออกไปอีกหนึ่งถึงสองปี


การที่มู่ซื่อหรงได้กินยาเร่งพลังเข้าไป ทำให้พลังของนางเพิ่มพูนมากขึ้นมหาศาล และมากเกินระดับเซียนเทียนจะรับไหว เจ้าอ้วนรีบตะโกนออกไปทันที “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่! ท่านโกง! ยาเร่งพลังเป็นสมบัติที่ไม่สามารถใช้ได้ในการแข่งขัน!”


“แค่กแคก” ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันไอออกมาสองครั้งด้วยความกระอักกระอ่วนใจที่ต้องประกาศว่ามู่ซื่อหรงพ่ายแพ้เนื่องจากละเมิดกฎการแข่งขัน


แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่ามู่ซื่อหรงจะจ้องมองกลับมาด้วยความโกรธ “สำนักได้กำหนดไว้ว่าสามารถใช้สมบัติได้หนึ่งครั้ง มีเพียงสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์และยันต์เท่านั้นที่ไม่อาจใช้ในการแข่งขันได้ แต่ยาเร่งพลังเป็นยาอายุวัฒนะซึ่งไม่ได้อยู่ในรายการ ดูเหมือนว่ากฎจะไม่ได้กำหนดไว้ ถูกหรือไม่?”


“เรื่องนั้น…” ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันอึกอักทันที ในความเป็นจริง สิ่งที่มู่ซื่อหรงกล่าวมาไม่ใช่เพียงข้ออ้าง กฎคือไม่สามารถใช้อุปกรณ์วิเศษที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวและยันต์ระดับต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ฐานะของผู้ฝึกตนแตกต่างกันมาก ยาเร่งพลังนั้นมีผลเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามมันมีผลข้างเคียงที่มาพร้อมกับตัวยา นี่เป็นเพียงการแข่งขันเล็กเท่านั้น ดังนั้นไม่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำลายอนาคตตัวเองไม่กี่ปีเพื่อใช้ยาชนิดนี้


ถ้าหากนางเป็นเพียงศิษย์ทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันสามารถโต้เถียงข้อเท็จจริงเรื่องนี้กับนางและสามารถประกาศว่านางละเมิดกฎได้ แต่ว่ามู่ซื่อหรงมีผู้แข็งแกร่งสนับสนุนอยู่เบื้องหลังและไม่อาจยั่วยุได้ เมื่อเห็นดวงตาสีแดงฉานของนาง เขาจะกล้าต่อต้านได้อย่างไร?


ในขณะนั้นยาเร่งพลังได้แสดงผลลัพธ์ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ระดับพลังของนางถูกยกขึ้นไปอยู่ในระดับปฐมภูมิทันที ถ้าหากนางยังรอคอยเวลามากไปกว่านี้ ปราณจิตวิญญาณที่เพิ่มพูนขึ้นมานั้นจะค่อย ๆ สลายหายไป และยาเร่งพลังที่นางใช้ไปเมื่อครู่จะสูญเปล่าทั้งหมด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มู่ซื่อหรงไม่อาจใส่ใจกับสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันจะกล่าวได้อีกต่อไป นางรวบรวมปราณจิตวิญญาณใส่ลงไปดาบเทวะเงาครามทันที


102 ผลการแข่งขันที่ผิดพลาด


เวลาต่อมา คลื่นพลังของดาบเทวะเงาครามได้พุ่งออกเป็นลำแสงหนามากกว่าสิบฟุต อีกทั้งจำนวนของมันมากกว่าเดิมถึงสิบเท่า กลายเป็นมังกรนับพันตัวล้อมรอบระฆังยักษ์ไว้อย่างแน่นหนา


สำหรับพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาในครั้งนี้ ทุกคนโดยรอบมองเห็นได้ว่ามันเจาะเข้าไปในพื้นผิวของเหล็กดำได้ครึ่งฟุต ลำแสงเหล่านั้นพันรอบระฆังไว้อย่างแน่นหนาพร้อมกับร่อนพื้นผิวของเหล็กดำออกทันที นอกจากนี้พลังเหล่านั้นไม่เพียงแต่ค่อย ๆ เฉือนเนื้อของระฆังเท่านั้น มันกำลังพยายามเจาะระฆังให้แตกหักอีกด้วย ภายในสนามต่อสู้เกิดฝุ่นคลุ้งมากมาย แม้ว่าจะซ่อนตัวอยู่ภายในระฆัง เจ้าอ้วนยังรู้สึกถึงพื้นดินด้านนอกที่กำลังสั่นสะเทือน อีกทั้งพื้นดินที่เขายืนอยู่ดูราวกับว่ามันกำลังอ่อนนิ่มไม่มั่นคง คล้ายกับว่าเขายืนอยู่บนเรือท่ามกลางคลื่นลมแรง สิ่งนี้ทำให้เขามีปัญหากับการจับแก้วไวน์ในมือ


เจ้าอ้วนไม่ได้ห่วงอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขาเพียงรอให้เหล็กดำด้านนอกเย็นลงแล้วจัดการขยายหรือลดขนาดของระฆังเท่านั้น จากเดิมที่สูงราวสามสิบฟุตก่อนที่จะโดนพลังของดาบเทวะเงาคราม ในตอนนี้มันเพิ่งสูงขึ้นเป็นสามร้อยฟุตอย่างน่าตกใจ ซึ่งระฆังใบนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงหนึ่งร้อยฟุต รูปร่างของมันตอนนี้คล้ายกับภูเขาลูกเล็กมีรากหยั่งลึกลงในดิน ให้ความน่าเกรงขามต่อสายตาผู้คนที่กำลังจับจ้องมา


เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ มู่ซื่อหรงแทบจะหลั่งน้ำตาด้วยความปิติยินดี นางคิดว่าเจ้าอ้วนได้เผยไพ่ใบสุดท้ายออกมาแล้ว นางจึงทุ่มเทพลังในการโจมตีมากขึ้น ลำแสงสีฟ้าพุ่งออกมาจากดาบคล้ายกับน้ำที่ระเบิดออกมาจากสรวงสวรรค์ มันพุ่งโจมตีระฆังอย่างบ้าคลั่ง


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรง เหล็กดำหลุดร่อนออกมามากมายจนนับไม่ถ้วน พวกมันร่วงหล่นสู่พื้นดินเกิดเสียงกระทบกับพื้น *กรุ้งกริ๊ง* เสียงดังแสบหูดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


หลังจากที่เหล็กดำหลุดร่อนออกไปอย่างต่อเนื่อง ขนาดของระฆังยักษ์ก็หดเล็กลง มู่ซื่อหรงกำลังคิดว่านางจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน นางจึงโจมตีต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน อีกทั้งตะโกนต่อว่าเจ้าอ้วนพร้อมกันด้วย “ไขมันบัดซบ เจ้าไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้แล้วหรือ? รอข้าสักครู่ ข้าจะบดขยี้ระฆังโสโครกของเจ้าในเร็ว ๆ นี้ แล้วจากนั้นข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้น ๆ!”


“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นหรือ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่ล่วงหน้าเลยแล้วกัน! ข้าชื่นชมท่านสำหรับความพยายามอันแข็งขันนี้ ในตอนนี้ท่านได้ทำลายพื้นผิวของระฆังไปแล้วหนึ่งในสิบเท่านั้น! ข้าเชื่อว่าท่านคงต้องพยายามอยู่เช่นนี้อีกสักหนึ่งชั่วโมง ท่านจึงจะทำลายระฆังใบนี้ได้ ฮ่าฮ่า ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากกับการแสดงพลังของท่านในครั้งนี้!”


เมื่อมู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น นางตกตะลึงไปชั่วขณะทันที! ประการแรกต้องรู้ว่าหลังจากกินยาเร่งพลังไปแล้ว มันส่งผลให้ปราณจิตวิญญาณเข้มข้นขึ้นสิบเท่าในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งไม่เกินหนึ่งนาที นอกจากนี้จิตวิญญาณที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปไม่อาจพักฟื้นคืนสภาพเดิมได้ และจำนวนที่ใช้ไปทั้งหมดคือปราณจิตวิญญาณที่แตกสลายไป และในตอนนี้มู่ซื่อหรงใช้ปราณจิตวิญญาณของตนเองอย่างบ้าคลั่ง ไม่ต้องพูดถึงเวลาหนึ่งชั่วโมง นางคงไม่สามารถใช้เวลาเพียงนาทีเดียวเพื่อระเบิดมันได้ แล้วจากนี้นางจะต่อสู้อย่างไรต่อ?


นางได้ทำร้ายตนเองไปแล้วอย่างไม่ลังเลด้วยการใช้ยาเร่งพลังที่มีผลข้างเคียงมหาศาล แต่ในตอนนี้นางกลับไม่สามารถมองเห็นชัยชนะได้ ความสิ้นหวัง ความสูญเสีย และความโกรธแค้น อารมณ์ทั้งหมดในตอนนี้พุ่งออกมาจากปากขวดแคบ ๆ จนแทบระเบิด ด้วยความแข็งแกร่งของนางและการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ นางสูญเสียจิตวิญญาณของตนเองไปอย่างไม่คาดคิดมาก่อน พลังงานมากมายที่ถูกปล่อยออกมาทั้งหมดคล้ายกับการควบคุมม้าที่ไร้บังเหียน มันทำให้เกิดหายนะกับเส้นลมปราณของนาง!

สถานการณ์เช่นนี้เป็นความอับอายของผู้ฝึกตน มู่ซื่อหรงเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนเท่านั้น อีกทั้งเส้นลมปราณของนางสามารถอดทนต่อพลังพื้นฐานเดิมของนางเท่านั้น การเพิ่มจำนวนที่มากมายเป็นครั้งคราวอาจจะไม่เป็นไรนัก แต่ในคราวนี้กลับเพิ่มพลังไปถึงระดับปฐมภูมิ ซึ่งทำให้ระบบภายในร่างกายเกิดความวุ่นวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่สามารถควบคุมมันได้ ความสับสนภายในสามารถทำลายเส้นลมปราณของนางได้เพียงเวลาสั้น ๆ!


มีเพียงคนเดียวที่เห็นมู่ซื่อหรงหลั่งโลหิตออกมามากมายจากปากของนาง ก่อนที่จะล้มหมดสติไป ร่างกายของนางล้มลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นนางอยู่บนอากาศสูงถึงหนึ่งร้อยฟุต ถ้าหากนางตกสู่พื้นดินด้วยสภาพเช่นนี้แน่นอนว่ามันไม่อาจทำให้นางตายตกไปได้ แต่จะทำให้กระดูกของนางหักทั้งตัว!


ในตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันเห็นเช่นนั้น เขาจะอยู่เฉยได้อย่างไร ถ้าทำเช่นนั้นราวกับว่าเขามิเกรงกลัวความตายงั้นหรือ? นอกจากนี้เขาจะปล่อยให้มู่ซื่อหรงตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไรกัน? เขาพุ่งเข้าไปรับตัวของนางทันที แล้วพยายามควบคุมพลังที่กำลังอาละวาดอยู่ภายในตัวของนางอย่างรวดเร็ว ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญระดับจินตัน พลังที่เอ่อล้นของมู่ซื่อหรงค่อย ๆ บรรเทาลงอย่างช้า ๆ และเริ่มกลับสู่ความสงบ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามู่ซื่อหรงสามารถชะลอการกลายเป็นคนพิการได้อีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเส้นลมปราณของนางจากผลการกินยาเร่งพลัง นางคงจะต้องใช้เวลาสิบปีหรือมากกว่านั้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเหล่านี้


ด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เจ้าอ้วนรับรู้เหตุการณ์ภายนอกได้แม้จะอยู่ด้านในระฆัง เขาเห็นว่าประโยคของเขาทำให้มู่ซื่อหรงโกรธจัดในขณะที่ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้าย เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจช่วยได้ แต่ในตอนนี้ความรู้สึกยินดีกำลังเข้ามาแทนที่ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย เพราะว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะนำความเดือดร้อนมาสู่เขาอย่างยิ่งใหญ่


เขาเก็บระฆัง พร้อมกับยืนนิ่งรอให้ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันประกาศผล ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันพยายามอย่างหนักเพื่อให้มู่ซื่อหรงมีสติกลับคืนมา เมื่อนางได้สติ นางใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ทั้งหมด นางไม่ได้ทำให้เรื่องราวยุ่งยากมากขึ้น เพียงแต่จ้องมองเจ้าอ้วนด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนที่จะค่อย ๆ เค้นคำพูดออกมา “ไขมันบัดซบ ป้าของเจ้าผู้นี้จะขอยอมรับความพ่ายแพ้ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม จะเป็นการดีถ้าหากเจ้าจะไม่ดีใจเร็วเกินไป เรามีโอกาสได้สนุกร่วมกันอีกครั้งแน่นอนในอนาคต ชั่วชีวิตของข้า ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง!” หลังจากที่นางกล่าวสิ่งที่ต้องการจบ นางหลับตาลงทันทีพร้อมกับแสดงอาการว่าไม่สนใจเจ้าอ้วนอีกต่อไป


เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่นพร้อมหันไปหาเจ้าอ้วน “ซ่งจง อา ขอแสดงความยินดีกับเจ้าก่อนที่จะก้าวสู่ลำดับต่อไป ข้าขอประกาศว่าเจ้าเป็นที่หนึ่งในกลุ่มนี้!”


เจ้าอ้วนรู้สึกถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำเหล่านั้น เขาจึงถามออกไปอย่างรวดเร็ว “ข้าต้องทำอะไรต่อหลังจากนี้?”


“ถ้าให้ข้าแนะนำเจ้า รีบเตรียมตัวจัดงานศพให้ตนเองโดยเร็วที่สุด! เจ้าจะตายตกในเร็ววัน!” เมื่อผู้เชี่ยวชาญกล่าวจบ เขาไม่รอให้เจ้าอ้วนตอบกลับใด ๆ เขาอุ้มมู่ซื่อหรงพร้อมกับบินออกไปทันที


เมื่อมองเห็นทั้งคู่หายไปในขอบฟ้า เจ้าอ้วนเผยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้


“เหอะ ขนาดนี้แล้วยังสร้างปัญหา? พวกโง่เท่านั้นที่จะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใดเลย! บิดาของเจ้าผู้นี้ยังไม่ได้กล่าวถึงสัญญาที่ตกลงกันว่าเจ้าจะยอมเป็นทาสให้ข้าสักนิด นับว่าให้เกียรติอย่างมากแล้ว แต่เจ้ายังกลับกล้าที่จะข่มขู่ข้างั้นหรือ? เห็นว่าเจ้าเป็นหญิงสาว ข้าจึงยอมที่จะไม่เซ้าซี้ แต่ถ้าหากเจ้านำพาปัญหามาสู่ข้าในอนาคต บิดาผู้นี้จะชำระหนี้แค้นนี้พร้อมดอกเบี้ยแน่นอน!” หลังจากกล่าวจบ เจ้าอ้วนเรียกดาบบินออกมาพร้อมกับบินออกไปทันที


เจ้าอ้วนเก็บเอาชัยชนะกลับไปพร้อมกับความพอใจ เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าการกระทำของเขาทั้งหมดในครั้งนี้จะนำพาคลื่นลูกใหญ่มาหาเขาในอนาคต


มู่ซื่อหรงเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปงั้นหรือ? นางเป็นศิษย์ในที่ได้รับการสนับสนุนและถูกวางให้เป็นอันดับสามของสำนัก!


ก่อนการแข่งขัน เหล่าอาวุโสระดับสูงได้สรุปทุกอย่างไว้หมดสิ้นแล้ว ซึ่งอาจจะมีเหตุการณ์ที่ผิดแปลกไปบ้างในกลุ่มคนชั้นล่าง แต่มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มห้าอันดับแรก


แม่นางฉุ่ยจิ้งอยู่ในกลุ่มแรก นางถูกยอมรับให้อยู่ในอันดับหนึ่งจากผู้คนทั้งหมดเพราะความสามารถของนางก้าวไกลไปกว่ารุ่นเดียวกัน และการต่อสู้ของนางก็ไม่มีฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในระดับเดียวกันเลย ดังนั้นไม่มีทางที่นางจะพ่ายแพ้ได้


จากกลุ่มที่สองถึงสี่ บุคคลเหล่านี้เป็นลูกหลานของอาวุโสชั้นใน ทุกคนมีอุปกรณ์วิเศษระดับสูง ความสามารถน่าเกรงขาม ด้วยผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนและระดับปฐมภูมิล้วนไม่อาจต่อกรอุปกรณ์ที่พวกเขาครอบครอง ชัยชนะของพวกเขาถูกรับประกันโดยอุปกรณ์วิเศษที่พวกเขาถือครองอยู่ พวกเขาสามารถต้านทานผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้อย่างง่ายดายแล้วนับประสาอะไรกับเหล่าศิษย์นอกธรรมดา!


สำหรับหงหยิงในกลุ่มที่ห้า แม้ว่าจะไม่มีอุปกรณ์วิเศษที่เหมาะสม นางยังสามารถต่อสู้กับเหล่าผู้ที่ถือครองอุปกรณ์วิเศษได้ ซึ่งความสามารถของนางสามารถเอาชนะผู้คนเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์วิเศษใด อีกทั้งสถานะของนางยังเป็นบุตรแห่งจ้าวสำนักและเกิดในภรรยาหมายเลขหนึ่งอีกด้วย จึงไม่มีใครกล้าที่จะรุนแรงกับนางเช่นกัน


ดังนั้นทั้งห้าคนเหล่านี้ ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ถูกเลือกมาเพื่อที่จะก้าวไปด้านหน้า นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนในสำนักเสวียนเทียนต่างรู้ดีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีอัตราที่จะเอาชนะได้ แต่การวางตัวมู่ซื่อหรงไว้ในกลุ่มสามกลับถูกถอดออกอย่างไม่คาดฝัน จึงไม่สามารถจินตนาการถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงที่จะตามมาได้เลย!


103 ตกที่นั่งลำบาก


หลังจากปรากฏตัวม้ามืดของวงการผู้ฝึกตน เจ้าอ้วนที่เป็นศิษย์นอกและเป็นบุคคลนิรนามได้มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วเพียงข้ามคืน เพียงเพราะเขาสามารถเอาชนะมู่ซื่อหรงอัจฉริยะอันดับสามของสำนักเสวียนเทียนได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ความกล้าหาญของเขา แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือฝ่ายตรงข้ามของเขาตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อเอาชนะเขาด้วยยาเร่งพลัง แต่ว่านางไม่อาจเข้าถึงตัวเจ้าอ้วนได้แม้แต่ปลายผม เรื่องราวช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของทั้งสองคนถูกพูดถึงไปต่าง ๆ นา ๆ ไม่เว้นแม้แต่เทียบขั้นกับแม่นางฉุ่ยจิ้ง


ในขณะเดียวกัน ระฆังยักษ์ของเจ้าอ้วนนั้นแข็งแกร่งอย่างมากและรูปร่างของมันน่าเกรงขาม ในที่สุดมันก็ถูกเอาออกมาเผยแพร่สู่สายตาของคนทั่วไป ซึ่งทำให้มันถูกคาดเดาจากผู้คนไปต่าง ๆ นา ๆ เกี่ยวกับต้นกำเนิดมันและการใช้งานของมัน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากเท่าไหร่ก็ตาม พวกเขาก็ไม่พบวัสดุอื่นนอกจากเหล็กดำ และไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเหตุใดทำไมเหล็กดำจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น


ข่าวดีก็คือมีกฎที่ผู้ฝึกตนไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความวิเศษของอุปกรณ์เหล่านี้ และถือเป็นข้อห้ามในการถามไถ่อย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันการชิงทรัพย์ในอนาคต ดังนั้นแม้ว่าเจ้าอ้วนจะสร้างคลื่นลูกใหญ่ภายในสำนัก แต่กลับไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาสอบสวนเขา ซึ่งความสงบนี้คือสิ่งที่เขาต้องการ


แน่นอน ดั่งคำที่กล่าวไว้ว่า “ที่ใดมีชัยชยะ ก็ต้องมีการพ่ายแพ้” ในขณะที่สถานที่ของเจ้าอ้วนอยู่ในความเงียบสงบ แต่ฝ่ายของนักบวชฮัวอวิ๋นกำลังจะระเบิด


มู่ซื่อหรงเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในฝ่ายของพวกเขา ซึ่งเป็นข้อที่อธิบายได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงมอบอุปกรณ์วิเศษระดับสูงให้กับนาง ในความจริงพวกเขาหวังว่ามู่ซื่อหรงจะจบการแข่งขันนี้ได้ด้วยพายุสักสองถึงสามลูกและอยู่ในกลุ่มสิบอันดับในตำแหน่งที่สาม! แต่โชคร้ายที่ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่พวกเขาหวังไว้ นี่เป็นเพียงรอบสองของการแข่งขันเท่านั้น แต่นางถูกกำจัดออกจากการแข่งเสียแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่ได้เสียสิทธิ์ไม่ได้รับผลไม้วิญญาณเท่านั้น แต่อาการบาดเจ็บของนางถือว่ากลายเป็นคนพิการ ต้องใช้เวลานานนับสิบปีจึงจะกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ ในสิบปีนี้ ถ้าหากระดับการฝึกตนของนางไม่ได้ลดลงก็ยังไม่มีความหมายอะไร ในตอนนี้ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวโอกาสที่จะให้นางได้ปรับปรุงตัว นั่นหมายความว่าสิบปีต่อจากนี้นางจะกลายเป็นบุคคลที่ไร้ซึ่งประโยชน์อย่างสิ้นเชิง


ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าความก้าวหน้านั้นต้องเก็บเกี่ยวตั้งแต่วัยเยาว์ แนวคิดที่กล่าวไว้ว่าจะต้องเข้าสู่ระดับปฐมภูมิในช่วงอายุสามสิบถึงสี่สิบปีไม่มีอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่แยกเหล่าอัจฉริยะออกจากก้อนหินดินทราย มู่ซื่อหรงได้รับกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะเพราะนางมีสิทธิ์จะเข้าสู่ระดับปฐมภูมิก่อนอายุสามสิบ แต่ในตอนนี้ความล่าช้าที่เกิดขึ้นกับนางคือนางสามารถเข้าสู่ระดับปฐมภูมิในวัยสี่สิบปีเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้นางตกอันดับไปกองรวมกับเหล่าศิษย์ธรรมดาที่ไม่หลงเหลือความเป็นอัจฉริยะอยู่เลย


เหตุการณ์นี้มีผลอย่างมากต่ออนาคตของนาง ในตอนแรกนางคาดหวังว่านางจะเข้าสู่ระดับหยวนหยิน แต่ด้วยอาการบาดเจ็บมีผลต่อความก้าวหน้าของตนเอง ความก้าวหน้าที่จะไปยืนอยู่ในระดับหยวนหยินลดลงถึงห้าในสิบ! สิ่งที่เกิดขึ้นกับนางในครั้งนี้ร้ายแรงเกินกว่าจะรับไหว กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตของนางถูกทำลายลงด้วยการพ่ายแพ้ในครั้งนี้เพียงครั้งเดียว


ในตระกูลของผู้ฝึกตน ไม่ว่าพวกเขาจะมุ่งหวังอนาคตเช่นไร แต่การสร้างอัจฉริยะออกมาแต่ละครั้งไม่ง่ายดายนัก มู่ซื่อหรงเป็นอัจฉริยะที่สายเลือดของฮัวอวิ๋นนับได้ด้วยมือเดียว แต่ในตอนนี้นางกลับถูกทำลายลงในการแข่งขันที่ไม่สำคัญ เรื่องนี้ทำให้เหล่าสายเลือดของนักบวชฮัวอวิ๋นไม่พอใจอย่างมาก


อย่างไรก็ตาม การแข่งขันนี้ถือว่าเป็นการแข่งขันที่เป็นธรรมและเสร็จสมบูรณ์แล้ว มู่ซื่อหรงทำตัวเองทั้งสิ้น นางเป็นผู้ที่กินยาเร่งพลังจนร่างกายได้รับความเสียหายนี้เอง ถึงแม้ว่าจะกล่าวโทษเจ้าอ้วนที่กล่าววาจายั่วยุนาง แต่มันก็ไม่ได้ผิดกฎแต่อย่างใด นอกเหนือจากมู่ซื่อหรงที่เป็นคนผิด กินยาเร่งพลังเสียเอง จึงไม่มีสิ่งใดให้น่าภูมิใจ ดังนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นจึงไม่มีสิทธิ์จะต่อว่าเจ้าอ้วนหรือตั้งข้อหาใดกับเขาได้เลย


แน่นอนว่าอาวุโสเหล่านี้กลัวการเสียชื่อเสียงยิ่งกว่าสิ่งใด เขาไม่อาจตั้งข้อหามั่ว ๆ แล้วโยนใส่เจ้าอ้วนได้ การกระทำเช่นนั้นจะนำความอับอายมาสู่ตระกูล มันเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น ผู้คนทั่วไปไม่อาจยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้ อีกทั้งจ้าวสำนักและภรรยาของเขาที่คอยสนับสนุนเจ้าอ้วนอยู่เบื้องหลัง ทำให้นักบวชฮัวอวิ๋นไม่มีทางจะข่มเหงเจ้าอ้วนได้อย่างเปิดเผย ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่เฉยไว้อย่างชาญฉลาด พวกเขาไม่เพียงแต่ยับยั้งตนเอง แต่ยังสั่งให้เหล่าศิษย์ไม่ไปรบกวนเจ้าอ้วนอีกด้วย


อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาทั้งหมดจะละเว้นในการหาเรื่องเจ้าอ้วนในตอนนี้ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปล่อยให้เรื่องราวตรงนี้หายไป สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีแผนที่จะทำอะไรบางอย่างในอนาคตดั่งเช่นหมาลอบกัด เจ้าอ้วนอาจรู้สึกว่าพายุกำลังจะสลายไป ด้วยเหตุว่าคนจากนักบวชฮัวอวิ๋นยังไร้การเคลื่อนไหว แต่หากถึงเวลาเมื่อไหร่พวกเขาพร้อมก็จะเคลื่อนไหวทันที


ในตอนนี้พวกเขาได้แต่เตรียมการไว้ อย่างไรก็ตามไม่อาจทำการอุกอาจต่อหน้าจ้าวสำนักได้ พวกเขาต้องเล่นสกปรกเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขามีความรอบคอบมากพอ เขาจะไม่เลือกใช้วิธีการต่อสู้แบบเปิดเผย


หลังจากเหตุการณ์สงบได้สี่วัน เจ้าอ้วนได้รับจดหมายจากคนของนักบวชฮัวอวิ๋น!


หลังจากการแข่งขันรอบสุดท้ายของเมื่อวานนี้ ได้ข้อสรุปว่าทั้งสิบคนเป็นผู้ใดบ้าง นอกเหนือจากเจ้าอ้วน อีกเก้าคนเป็นศิษย์ในของสำนักทั้งสิ้น


หลังจากที่การตัดสินได้จบลงแล้ว พวกเขาถูกจับกลุ่มเข้าด้วยกันทันที ความแปลกใจปรากฏขึ้นเมื่อบุคคลแรกที่เจ้าอ้วนต้องพบเจอคือแม่นางฉุ่ยจิ้ง


หลังจากได้รับสารนี้ เจ้าอ้วนหัวเราะอย่างขมขื่นพร้อมกับสาปแช่งในใจ “พวกมันสารเลวจริง ๆ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการจงใจ! เขาต้องการให้ข้าสู้กับแม่นางฉุ่ยจิ้งและตายตกไป!”


ถ้าเจ้าอ้วนใช้ทั้งหมดที่เขามีอยู่คือระฆังยักษ์ พยัคฆ์ปีกแหลมหรือวิธีการอื่น ๆ เขาก็อาจจะมีหนทางที่จะชนะได้บ้าง ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเขาได้รับชัยชนะ เขาก็จะยั่วยุผู้คนจากตระกูลอื่นเพิ่มเติม ในตอนนี้เจ้าอ้วนได้ข่มเหงตระกูลของนักบวชฮัวอวิ๋นไปแล้ว และหากเขายั่วยุเทพธิดาเหมยฮวาอีกจะเป็นการสร้างศัตรูที่มากเกินไป ชีวิตของเขาในอนาคตจะยุ่งเหยิง แม้แต่จ้าวสำนักก็ไม่อาจปกป้องเขาได้


แม้ว่าตระกูลของเทพธิดาเหมยฮวาจะไม่ยิ่งใหญ่นัก แต่นางแข็งแกร่งที่สุดในสำนัก หากร่วมมือกับนักบวชฮัวอวิ๋น จะสามารถต่อสู้กับจ้าวสำนักได้อย่างง่ายดาย


อย่างไรก็ตาม หากเจ้าอ้วนพ่ายแพ้ต่อแม่นางฉุ่ยจิ้ง เขาจะลงไปอยู่ที่ด้านล่างของกลุ่ม ซึ่งหากนักบวชฮัวอวิ๋นต้องการจะเปลี่ยนแปลงจากสิบเป็นเก้า ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก แล้วเจ้าอ้วนที่อยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบจะต้องกลายเป็นแพะรับบาปทันที


ดังนั้นในการแข่งขันครั้งต่อไป เจ้าอ้วนไม่อาจเอาชนะ แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน


สวรรค์ ในตอนนี้เขาต้องเข้าพบภรรยาของจ้าวสำนักเพื่อขอคำแนะนำ แต่ด้วยความปากแข็งของตนเองทำให้เขารู้สึกละอายใจอย่างมากหากต้องขึ้นไปขอคำแนะนำตรง ๆ แต่บังเอิญว่าหงหยิงมาพบเขาเพื่อชวนไปเล่นด้านนอกในวันนี้พอดี จึงทำให้เขามีโอกาสที่จะเข้าไปพบ


ดังนั้น เจ้าอ้วนจึงพาหงหยิงไปที่ทะเลสาบทิวทัศน์งามตา จากนั้นเขาเอาเสื่อออกมาพร้อมกับวางอาหารต่าง ๆ ไว้ด้านบน และก่อไฟทันที เขาย่างมัจฉาไร้เนตรทันทีพร้อมกับคิดแผนไว้ในใจอย่างเจ้าเล่ห์ “ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าสิ่งใดจะดีกว่ากันระหว่างชนะหรือพ่ายแพ้ต่อแม่นางฉุ่ยจิ้ง?”


104 กระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดิน!


“ฮ่าฮ่า พี่ชายอ้วน เจ้าคิดว่าเจ้าจะเอาชนะแม่นางฉุ่ยจิ้งได้งั้นหรือ?” หงหยิงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น


“ข้าน่าจะมีโอกาสบ้างสิ ถูกต้องหรือไม่?” เจ้าอ้วนตอบกลับด้วยความขุ่นเคือง “ระฆังของข้านั้นไม่มีจุดอ่อนและมีความแข็งแกร่งมาก แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะกินยาเร่งพลังแต่นางก็ไม่สามารถทำลายระฆังด้วยดาบเทวะเงาครามได้ ข้าไม่เชื่อว่าแม่นางฉุ่ยจิ้งจะสามารถใช้เวทมนตร์วารีทำลายระฆังใบนี้ได้! ถ้าหากนางไม่สามารถทำลายระฆังได้ อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องพ่ายแพ้ ถูกหรือไหม?”


“ฮ่าฮ่า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว!” หงหยิงกล่าวพร้อมหัวเราะร่า “แน่นอนว่าระฆังยักษ์ของเจ้านั้นน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่มันผลิตมาจากวัสดุชั้นต่ำ นอกเหนือจากนั้นจะต้องสร้างเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ข้าเชื่อว่ามู่ซื่อหรงได้ทำลายพื้นผิวของมันไปมากกว่าหนึ่งหมื่นจิน ใช่หรือไม่?”


“เจ้ากล่าวถูก ข้าเสียเหล็กดำไปมหาศาล แต่ข้ายังมีสำรองไว้อีกมากมาย แม้ว่ามันจะหายไปอีกหนึ่งหมื่นจิน มันก็ไม่ใช่ปัญหา ข้าไม่เชื่อว่าเวทมนตร์วารีของนางจะแข็งแกร่งกว่าดาบเทวะเงาคราม! ดังนั้น นางไม่มีโอกาสที่จะชนะข้าเลย!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างเฉียบคม


“พี่ชายอ้วน ที่ท่านกล่าวเช่นนี้เพราะท่านไม่รู้จักไพ่ตายของแม่นางฉุ่ยจิ้ง! ถ้าให้ข้ากล่าวตามตรง นางเป็นศิษย์ของเทพธิดาเหมยฮวา ความมั่งคั่งของนางนั้นอยู่เหนือพวกเราทั้งหมด แม้แต่ท่านพ่อและท่านแม่ก็มิอาจเทียบได้!” หงหยิงกล่าวออกมาอย่างโศกเศร้า


“อะไรนะ? แม้แต่จ้าวสำนักก็ไม่อาจเทียบได้งั้นหรือ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจ “อย่าบอกนะว่านางมีอุปกรณ์วิเศษชั้นเลิศอยู่?”


“ผิดแล้ว แม่นางฉุ่ยจิ้งไม่ได้ใช้อุปกรณ์วิเศษ แต่นางมีสมบัติวิญญาณ!” หงหยิงหัวเราะอย่างขื่นขม “เจ้าก็รู้ว่าพ่อแม่ของข้ามีเพียงอาวุธวิเศษระดับสูงเท่านั้น แต่ไม่มีสมบัติวิญญาณสักชิ้นเดียว!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนสูดลมหายใจเข้าอย่างติดขัด! แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำ แต่เขายังคงคุ้นเคยกับลำดับขั้นของอุปกรณ์ต่าง ๆ แน่นอนว่าอุปกรณ์วิเศษจะถูกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนและระดับปฐมภูมิ ส่วนอาวุธวิเศษจะถูกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับจินตันและหยวนหยิน สำหรับสมบัติวิญญาณมันเป็นสิ่งที่จะถูกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเท่านั้น


สมบัติวิญญาณนั้นเดิมทีมันคืออาวุธวิเศษ แต่ขั้นตอนการปรับแต่งมันนั้นลำบากมาก อย่างแรกต้องเลือกอาวุธวิเศษที่สามารถหลอมเข้าด้วยกันได้ จากนั้นจึงนำมันมาปรับแต่งควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง ทุกขั้นตอนของการปรับแต่งต้องใช้สมบัติล้ำค่ามากมายจนนับไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งจะอยู่ในทุกขั้นตอนของการสร้างอย่างละเอียดอ่อน นอกเหนือจากนั้นผู้ฝึกตนที่ใช้มันจะต้องใช้พลังจิตวิญญาณเพื่อหล่อเลี้ยงมันอีกด้วย หลังจากผ่านมานานนับทศวรรษ จะมีโอกาสที่สมบัติวิญญาณที่ปรากฏมาสักหนึ่งชิ้นนับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก


กล่าวก็คือจะต้องใช้เวลานานนับพันปีจึงจะปรับแต่งอุปกรณ์วิญญาณสักหนึ่งชิ้นสำเร็จ หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ทุกสิ่งที่ทำมาจะไร้ประโยชน์ทันที นอกจากนี้แม้ว่าจะสร้างมันออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ทว่าความรู้สึกทางจิตวิญญาณไม่อาจสร้างขึ้นมาเองได้ จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญระดับเฟินเสินเท่านั้นที่รอคอยมันได้เพราะอายุของพวกเขานานนับพันปี เหล่าผู้ฝึกตนทั่วไปจะปรับแต่งอุปกรณ์วิเศษที่สามารถใช้งานได้ทั่วไปเท่านั้น หากพวกเขาครอบครองอุปกรณ์วิเศษที่มีความรู้สึกทางจิตวิญญาณสักหนึ่งชิ้น สิ่งนั้นนับว่าน่าตื่นเต้นมากแล้ว กล่าวได้ว่าพวกเขาอาจจะสำลักความสุขจนตายตกไปได้เลยทีเดียว ซึ่งความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินจำนวนมากไม่สามารถปรับแต่งอุปกรณ์วิญญาณได้แม้เพียงชิ้นเดียวตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา!


หลังจากที่มันถูกปรับแต่งสำเร็จ จิตวิญญาณของมันจะเชื่อมกับผู้ที่เป็นเจ้าของโดยอัตโนมัติ และมีระดับการฝึกฝน จึงนับได้ว่าอุปกรณ์วิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์วิเศษทั่วไปที่อยู่ในระดับเดียวกัน


แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะดีมาก แต่ทุกครั้งเรื่องราวจะลงเอยด้วยความโศกเศร้า ส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์เหล่านี้มักจะพาเจ้าของของมันให้เดินไปยังหลุมฝังศพของตนเอง นอกจากนี้สิ่งที่น่าประหลาดใจคืออุปกรณ์วิญญาณจะเลือกนายของตนเอง มันเลือกเจ้านายตามใจตนเองแม้แต่จะเลือกผู้ฝึกตนระดับต่ำก็ย่อมได้หากมันต้องการ


ถ้าหากว่าผู้ฝึกตนอื่นต้องการจะแย่งชิงอุปกรณ์วิญญาณ มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ทางแรกคือให้โชคชะตากำหนดหรือบังคับฝืนใจ ถ้าหากว่าความรู้สึกทางจิตวิญญาณถูกลบออกไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นคืออุปกรณ์วิญญาณจะแหกสลายกลายเป็นเพียงอุปกรณ์วิเศษเท่านั้น


เช่นนี้เหล่านิกายต่าง ๆ มักจะยินยอมให้ผู้ฝึกตนระดับสูงสามารถสร้างอุปกรณ์วิญญาณของตนเองได้ อีกทั้งให้มันเลือกเจ้าของเองอีกด้วย


เจ้าอ้วนไม่แปลกใจเลยที่จะมีอุปกรณ์วิญญาณอยู่ในสำนักที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาหดหู่คือการที่มันอยู่ในมือของแม่นางฉุ่ยจิ้ง


ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นมันมาก่อน แต่เขารู้ถึงความแข็งแกร่งของสำนักดี แม้แต่อุปกรณ์วิญญาณระดับต่ำสุดยังแข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์วิเศษระดับสูงสุด มู่ซื่อหรงที่ถือครองดาบเทวะเงาครามนั้นถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์วิเศษที่อยู่ในระดับสูง แต่เมื่อเทียบกับอุปกรณ์วิญญาณแล้วมันกลับกลายเป็นขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น


เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สีหน้าของเจ้าอ้วนแปรเปลี่ยนอย่างไม่อาจทำอะไรได้ เขาถามออกไปว่า “ศิษย์น้องสิ่งประดิษฐ์วิญญาณที่แม่นางฉุ่ยจิ้งมีคืออะไร?”


“กระดองวิญญาณเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดิน!” หงหยิงกล่าว


“อุปกรณ์วิญญาณสองชิ้น!?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยิน เขาแทบจะเป็นลม! ในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนคนอื่น ๆ กำลังหลงใหลกับอุปกรณ์วิเศษระดับต่ำ แต่ว่านางกลับครอบครองอุปกรณ์วิญญาณถึงสองชิ้น! เรื่องนี้… แล้วช่องว่างระหว่างกันจะกว้างแค่ไหนกัน?


“อาจกล่าวได้ว่าเป็นอุปกรณ์วิญญาณสองชิ้น หรือสามารถกล่าวว่าเป็นหนึ่งก็ได้ เพราะว่ามันเป็นชุดเดียวกัน!” หงหยิงอธิบาย “กระดองเต่า เหรียญ พวกมันทั้งหมดเป็นอุปกรณ์สำหรับการพยากร!”


“ใช้สำหรับการพยากร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเบิกโพลงพร้อมถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นการต่อสู้จริงพวกมันก็ไม่สมควรจะมีประโยชน์ ถูกต้องหรือไม่?”


“ฮ่าฮ่า ถ้าเทียบกับอุปกรณ์วิญญาณในระดับเดียวกันแน่นอนว่ามันแย่กว่าในด้านของการต่อสู้ เพราะจุดประสงค์ของมันทั้งหมดมีไว้สำหรับการทำนาย แต่ทว่ามันคืออุปกรณ์วิญญาณ แม้อุปกรณ์วิญญาณที่อ่อนแอที่สุดก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์วิเศษในระดับที่สูงที่สุดอยู่ดี” หงหยิงอธิบายพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “กระดองวิญญาณเต่าดำนั้นเป็นอุปกรณ์สำหรับการป้องกัน ข้ามั่นใจว่ามันแข็งแกร่งกว่าระฆังยักษ์ของเจ้า ส่วนเหรียญชะตาฟ้าดินใช้สำหรับโจมตี กล่าวก็คือมันสามารถหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามและทำการโจมตีได้ ความสามารถของมันสะเทือนฟ้าดินซึ่งนับว่าแข็งแกร่งอย่างมาก!”


“ถ้าหากเจ้าสรุปเช่นนั้น อย่างนี้ข้าคงจบเห่แล้วสินะ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างหดหู่


“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? เจ้าจะต้องมีอุปกรณ์วิญญาณที่แข็งแกร่งกว่ากระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดิน!” หงหยิงหัวเราะ


“เรื่องนั้น…” เมื่อได้ยินหงหยิงกล่าวเช่นนั้น เขาหายตัวเข้าไปในมิติลึกลับมองไปยังไข่มุกเล็ก ๆ ที่เขามีอยู่ หรือจะเป็นระฆังทองแดง ซึ่งพวกมันดูเหมือนกับจะมีความแข็งแกร่งมากมันอาจจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณที่ดีก็ได้


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะหลอกผู้อื่นด้วยระฆังเหล็กดำได้ แต่ถ้าหากเขาเปิดเผยพื้นผิวที่แท้จริงของระฆังทองแดง ชีวิตของเขาอาจจะไม่มีวันสงบลงได้อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ เจ้าอ้วนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับตัดสินใจจะล้มเลิกค้นหาวิธีเอาชนะแม่นางฉุ่ยจิ้ง เขาบ่นพึมพำในใจ ‘เดี๋ยวข้าค่อยประเมินสถานการณ์และตัดสินใจต่อเหตุการณ์ตรงหน้าเอาแล้วกัน! ถ้าหากข้ามีโอกาส ข้าจะใช้ทุ่มเททุกสิ่งที่ข้ามี แต่ถ้าหากไร้ซึ่งโอกาส มันก็คงไม่แปลกถ้าข้าจะยอมแพ้ เพราะในตอนนี้ข้ายืนอยู่ในสิบอันดับแรกแล้ว คนของนักบวชฮัวอวิ๋นคงไม่อาจออกคำสั่งพลิกฟ้าพลิกดินได้ตามใจถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง?’


105 บทที่ 105: สมบัติเคลื่อนที่ทั้งสอง


แล้วก็มาถึงวันที่เจ้าอ้วนจะต้องต่อสู้กับแม่นางฉุ่ยจิ้ง วันนี้เป็นวันที่อากาศสดใส ท้องฟ้ากระจ่าง เจ้าอ้วนขี่ดาบบินมายังสนามและยืนรออยู่ขอบสนาม


การแข่งขันในครั้งนี้ได้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ผู้ชมมากมายหนาแน่นกินพื้นที่ไปมากกว่าร้อยฟุต ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์ในและบุคคลชั้นสูงในสำนักเท่านั้น เหล่าศิษย์นอกทั้งหลายก็ยืนอยู่ในที่นี้เช่นกัน มีผู้คนนับร้อยค่อย ๆ ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกเรียกมาที่นี่เพราะใครบางคน เพราะถ้าหากพวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอ ก็คงจะไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาเหยียบที่นี่ด้วยตนเองอย่างแน่นอน


ดูจากเหล่าฝูงชนมากมายนี้แล้ว เจ้าอ้วนเข้าใจได้ทันทีว่าบุคคลเหล่านี้เป็นคนของนักบวชฮัวอวิ๋น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังมองมาที่เจ้าอ้วนราวกับตัวตลก


แม้ว่าเจ้าอ้วนจะเกิดความไม่พอใจอย่างมาก แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาเหล่านี้ เขาทำได้เพียงยืนอย่างสงบและอยู่บนเวทีการแข่งขันคนเดียวเงียบ ๆ ซึ่งภาพนี้ทำให้เหล่าผู้คนที่เข้ามาชมการแข่งขันนินทาเขาอย่างสนุกปากว่าเป็นเพียงสัตว์ที่ถูกนำมาแสดงบนเวทีเท่านั้น


“โฮ่! มู่ซื่อหรงพ่ายแพ้ให้กับมารตนนี้!”


“โคตรอ้วนและไม่มีความหล่อเหล่าใดทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนักอีกทั้งยังไม่พบจุดประสงค์ที่เขาจะเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้เลย แต่เขากลับเอาชนะดาบเทวะเงาครามของมู่ซื่อหรงได้งั้นหรือ?”


“ว่ากันว่าเขามีระฆังใบยักษ์ แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะได้ใช้ยาเร่งพลังและใช้ดาบเทวะเงาครามแล้วก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ ในตอนจบนางได้ถูกเบี่ยงเบนให้ออกนอกเส้นทางของการฝึกตนแล้ว!”


“จริงหรือ? แล้วทำไมนางจึงทำอะไรเขาไม่ได้?”


“อาจเพราะเขาซ่อนอยู่ในระฆังที่เป็นสมบัติของเขา แต่ว่าการป้องกันของเขาอาจจะเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับแม่นางฉุ่ยจิ้งเป็นคนแรกในสำนักก็ได้!”


“ไร้สาระ! แม่นางฉุ่ยจิ้งถนัดเวทมนตร์ประเภทวารี ซึ่งเป็นการโจมตีระดับต่ำเท่านั้น แต่นางสามารถรับรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามได้ไม่ยากเย็นนัก ในเวลานี้ระฆังของซ่งจงสามารถปกคลุมร่างกายของเขาไว้ได้ ข้าเกรงว่าแม่นางฉุ่ยจิ้งจะไม่มีความคิดว่าจะทำลายมันลงได้อย่างไรเสียมากกว่า!”


“เหอะ มู่ซื่อหรงและเหล่าเพื่อนของนางทั้งหมดล้วนแต่มีอาวุธวิเศษ แม่นางฉุ่ยจิ้งนั้นแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม นางจะไม่มีสิ่งใดซ่อนอยู่เลยงั้นหรือ? ข้าแน่ใจว่านางจะมีอาวุธวิเศษระดับสูงอย่างแน่นอน เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามก่อนหน้านี้อ่อนแอเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยมัน!”


“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าในครั้งนี้นางจะต้องนำมันออกมาเพื่อแสดงให้พวกเราดูอย่างแน่นอน!”


“เฮ้เฮ้ เราต้องขอบคุณพี่น้องซ่งสำหรับเรื่องนี้ซะแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงไม่สามารถเข้ามาชมการแข่งขันนี้ได้! ว่าไปแล้ว ศิษย์พี่ซ่งเป็นเพียงศิษย์นอกของสำนัก ข้าหวังว่าเขาจะสร้างความมหัศจรรย์และดูแลเหล่าศิษย์ในที่เป็นคนของตระกูลชนชั้นสูงได้เป็นอย่างดี!”


“ถูกต้อง พวกสารเลวที่เป็นศิษย์ในนั้นเหิมเกริมมากเกินไป! พวกมันทั้งหมดดูถูกและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง มันไม่ได้มองว่าพวกเราเป็นมนุษย์เช่นกัน! แน่นอนว่านี่เป็นเวลาที่ข้ารอคอยมาตลอดเพื่อให้มีใครบางคนสั่งสอนบทเรียนให้กับพวกมัน!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนยืนอยู่บนเวทีและฟังเสียงทุกคนที่พูดถึงเขา เขาไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี พร้อมกล่าวเบา ๆ “ข้าถูกบังคับให้สอนบทเรียนให้กับมู่ซื่อหรงเพียงคนเดียว พวกเขาคิดว่าข้าต้องการที่จะเป็นตัวแทนศิษย์นอกเพื่อเข้ามาสั่งสอนบทเรียนให้กับเหล่าศิษย์ในงั้นหรือ? พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพ่นออกมานั้นจะส่งข้าไปสู่ประตูความตาย!?”


เมื่อคิดเช่นนั้น เจ้าอ้วนมองไปรอบตัวอย่างช่วยไม่ได้ ทันใดนั้นเขามองไปเห็นเจ้าลิงที่อยู่ริมสนาม สายตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันทีแต่ทว่าสีหน้าของเจ้าลิงนั้นเต็มไปด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าอ้วนเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ แสดงให้เห็นว่าเขาสบายดี เจ้าลิงเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่สีหน้าของเขายังไม่ดีขึ้นนัก


ในขณะนั้นเกิดความวุ่นวายในฝูงชน มีผู้ชมมากมายที่อยู่ด้านหน้าของเจ้าอ้วนกำลังสร้างปัญหา


เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มีคนกำลังสร้างปัญหาให้กับเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กังวลกับตรงนี้มากนัก ไม่มีผู้ใดหาญกล้าขนาดที่ว่าสามารถขึ้นมาบนเวทีอย่างเปิดเผย เพราะนั่นจะสร้างปัญหาให้กับการแข่งขัน และแน่นอนว่ามันจะทำให้เหล่าอาวุโสชั้นสูงไม่พอใจ แม้การมีตัวตนของพวกเขาจะเป็นเรื่องที่พิเศษมากกว่าผู้อื่น แต่หากกระทำการออกนอกหน้าเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาก็จะถูกตำหนิโดยไม่มีข้อละเว้น ผู้คนเหล่านี้เพียงโยนคำพูดแดกดันเจ้าอ้วนเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้เจ้าอ้วนไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทเท่านั้นมิใช่หรือ? ทำไมเขาต้องกลัวเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้? ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงแสดงท่าทีหงุดหงิดใจพร้อมขมวดคิ้วแน่นไปยังบุคคลที่สร้างปัญหาเพียงเท่านั้น


เขาอยู่ในกลุ่มที่สิบ ซึ่งถูกชักนำโดยเด็กหนุ่มสองคนแต่งตัวสะอาดสะอ้าน แม้ว่าคนเหล่านี้จะมีระดับการฝึกตนที่สูงพอสมควร แต่พวกเขาทั้งหมดกลับดูคุ้นเคยอย่างน่ารังเกียจ เจ้าอ้วนไม่ได้สนใจเหล่าผู้ที่ติดตามและจ้องมองที่เด็กสองคนนี้อย่างรอบคอบ


ผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดสีเขียว อีกคนสีเหลือง มันเป็นผ้าไหมที่ถูกถักทอด้วยเทคนิคชั้นสูงและปรับแต่งด้วยการสะกด การป้องกันของมันไม่ต่ำกว่าอุปกรณ์วิเศษใด เสื้อผ้าของพวกเขาประดับไปด้วยความหรูหราต่าง ๆ มีทั้งจี้หยก แหวนที่เป็นอุปกรณ์วิเศษหรือแม้แต่กำไลหยก อุปกรณ์ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์วิเศษที่มีหน้าที่ในตัวมันเอง โดยปกติแล้วคนผู้หนึ่งจะครอบครองเพียงหนึ่งชนิดเป็นอย่างมาก แต่บุคคลเหล่านี้กลับครอบครองสามถึงห้าชิ้นด้วยตัวคนเดียว นั่นทำให้ร่างกายของพวกเขาส่องประกายแวววาวจากเหล่าอัญมณี


แต่วิธีการที่พวกเขานำมารวมกันเช่นนั้นเป็นการทำให้พวกเขาดูแย่มาก อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าพวกเขายังไม่เข้าใจ และคิดว่าการทำเช่นนี้ทำให้พวกเขาดูดี พร้อมกับเดินเชิดหน้าไปรอบ ๆ อย่างภูมิใจ


การแสดงออกเช่นนี้คือต้องการให้เกิดความวุ่นวายขึ้น พวกเขาเดินเข้าไปหาเจ้าอ้วน ผู้สวมชุดสีเหลืองหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นพร้อมกับมองที่เจ้าอ้วนแบบหัวจรดเท้า จากนั้นเขาก็กล่าววาจาเย้ยหยันออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าคือซ่งจงงั้นหรือ?”


“เป็นเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างใจเย็น


“เหอะ ‘ซ่งจง’? ชื่อนี้มันช่างโง่เขลายิ่งนัก!” ชายชุดเหลืองกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยัน “นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เจ้าน่าเกลียดมากขึ้นไปอีก เหตุใดเจ้าจึงมีชื่อที่น่าอับอายเช่นนี้?”


“ถูกแล้ว!” ชายชุดเขียวเข้าร่วมการถากถางทันที “แม้แต่คนที่งี่เง่าเช่นนี้ยังสามารถมีพื้นที่ในสำนักได้งั้นหรือ? นี่เป็นความอัปยศของสำนักอย่างเห็นได้ชัด! ถ้าหากข้าเป็นเจ้า แน่นอนว่าข้าคงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความอัปยศเหล่านี้อย่างแน่นอน!”


“ฮ่าฮ่า!” เมื่อเขากล่าวจบ มันทั้งสองคนหัวเราะออกมาอย่างไร้มารยาท


เมื่อมองเห็นความหยาบคายเช่นนี้ เจ้าอ้วนโกรธที่สุดจากก้นบึ้งในหัวใจ แต่แม้ว่าเขาจะโกรธแต่กลับไม่แสดงสีหน้าออกมาให้เห็นเลย เขากล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย “เป็นเรื่องจริงที่ชื่อของข้าไม่ได้ดีนัก แต่ชื่อของพวกเจ้าก็ไม่ได้ดีนักมิใช่หรือ?”


“ไร้สาระ!” เด็กสองคนตะโกนออกมา “พวกแก บอกมันไปซิว่าข้ามีฉายาว่าอะไร!”


“เจ้าอ้วน เจ้าจงฟังให้ดี!” คนรับใช้ของนายน้อยทั้งสองยืนขึ้นพร้อมตะโกนอย่างภาคภูมิใจ “ท่านผู้นี้คือหยกเม็ดงามเสี่ยวไป่หลง นายน้อยแห่งท่านหลี่จิ่งหลงและหลี่เจี่ย! หรือที่ผู้อื่นรู้จักกันในนามดาบเทวะไร้ผู้ต้าน จางฉิงเจียง ผู้ซึ่งเป็นนายน้อยแห่งตระกูลจาง”


ทันทีที่ได้ยินฉายาของตนเองและเหล่าลูกน้องประกาศถึงตัวเขาด้วยเสียงดังก้อง นั่นทำให้ใบหน้าของเขาสว่างไสวขึ้นพริบตา เชิดคอขึ้นอย่างภูมิใจ ลูกน้องคนอื่นที่เห็นดีเห็นงามด้วยรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมาสรรเสริญเขา


หลังจากที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหันหลังและเดินออกไปอย่างไร้คำพูด


บุคคลแต่งตัวประหลาดในชุดสีเหลืองกังวลและตะโกนออกมาทันที “เด็กเหลือขอ เจ้าจะไปไหน!?”


“ข้าจะไปอ้วกสักหน่อย!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมกลับเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย


บทที่ 106 : พบเจอแม่นางฉุ่ยจิ้งอีกครั้ง


“ฮ่าฮ่าฮ่า” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ หัวเราะออกมาเสียงดัง


เจ้าอ้วนรู้สึกขยะแขยงในขณะที่ได้ยินฉายาของพวกเขา ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะหยุดเสียงหัวเราะเหล่านี้ได้ล่ะ?


มีศิษย์นอกสำนักมากมายที่เข้าชมการแข่งขันในวันนี้ พวกเขาไม่พอใจเหล่าศิษย์ชั้นในที่ชอบข่มเหงศิษย์นอกอยู่ประจำ ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความเอ็นดูแก่เจ้าอ้วนที่เป็นศิษย์นอกด้วยกันมากกว่า ดังนั้นจังหวะนี้จึงเป็นโอกาสที่พวกเขาจะสามารถปล่อยพลังเสียงการหัวเราะออกมาดัง ๆ โดยไม่ต้องคิดสิ่งใด และจำนวนคนที่เปล่งเสียงออกมาในครั้งนี้มากมายเกินกว่าที่เด็กหนุ่มผู้โง่เขลาทั้งสองจะจัดการได้


พวกเขาทั้งหมดตะลึงไปสักครู่เมื่อต้องเผชิญกับเสียงหัวเราะของฝูงชนมากมาย โดยเฉพาะเด็กหนุ่มทั้งสองคน ที่เริ่มรู้สึกหดหู่มากขึ้นทุกที


ผู้ที่สวมใส่ชุดสีเขียวไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากส่งเสียงคำรามออกมา “สารเลว เจ้ากล้าที่จะทำให้พวกเขาดูโง่เขลางั้นหรือ?!”


 


 


“เจ้าอ้วนสารเลว อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวดาบเทวะศักดิ์สิทธิ์ของข้า?” ฉายาดาบเทวะไร้ผู้ต้านได้ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง


ขณะที่พวกเขาตะโกนออกมา ผู้ชมโดยรอบยิ่งหัวเราะหนักมากขึ้นไปอีก ก่อนอื่นที่ทุกคนรู้คือฉายาเสี่ยวไป่หลงนี่ถูกบังคับให้เรียก แต่ชื่อดาบเทวะไร้ผู้ต้านฉายาสุดอัปยศนี้จะอยู่ในผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนอย่างนั้นหรือ? ถ้าหากว่ามันคือผู้ได้รับฉายาดาบเทวะไร้ผู้ต้านจริง ๆ แล้วดาบเทวะมังกรอัคคีของจ้าวสำนักล่ะ? ทุกคนต่างรู้ดีว่าทั้งคนสองตรงหน้านี้คือเหล่าคนโง่ที่มีพรสวรรค์ พวกเขาใช้ความมั่งคั่งของตระกูลเพื่อเข้าสู่การเป็นศิษย์ในเท่านั้น ในด้านฝีมือแล้วไม่ต่างอะไรจากขยะ พวกเขายังอยู่ห่างไกลกับคำว่าอัจฉริยะอย่างมาก บุคคลที่เหมือนกับแม่นางฉุ่ยจิ้งหรือหงหยิงเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเหล่าอัจฉริยะอย่างแท้จริง


หากประเมินกันตามตรงโดยไร้อุปกรณ์วิเศษใด ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาเทียบเท่ากับศิษย์ในเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงโชคชะตาอาจเล่นตลกกับพวกเขาสักเล็กน้อย พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก แต่กลับถูกเรียกว่า เสี่ยวไป่หลง? ควรจะถูกเรียกว่า ดาบเทวะไร้ผู้ต้านงั้นหรือ? เห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเสียงประกาศที่พวกเขาพยายามจะสร้างชื่อให้กับตนเอง เช่นนั้นผู้คนรอบข้างจึงพ่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ขาของเขาหยุดลงทันทีพร้อมกับเอามือปิดหูทั้งสอง พร้อมกับหลับตาลงอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าเขารังเกียจพฤติกรรมเช่นนี้อย่างมาก ซึ่งการกระทำของเจ้าอ้วนในครั้งนี้เรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้งหนึ่ง


‘เสี่ยวไป่หลง’ และ ‘ดาบเทวะไร้ผู้ต้าน’ ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป พวกเขาคำรามออกมาพร้อมกับพุ่งเข้าไปหวังที่จะโจมตีเจ้าอ้วนเพื่อสั่งสอนบทเรียน


ในขณะนั้น มีแสงปรากฏห่างไกลขึ้นไปบนท้องฟ้า ปรากฏกายผู้ฝึกตนระดับจินตันชายหญิงขึ้นบนเวทีประลองทันทีเมื่อเห็นว่าสถานการณ์วุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเหล่าคนรอบข้างที่พยายามจะอดกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้อย่างถึงที่สุด


เมื่อเห็นผู้ฝึกตนระดับจินตัน ทั้งเสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านหยุดการกระทำทันที พวกเขาหยุดหาเรื่องเจ้าอ้วนพร้อมกับรีบเข้าไปทำความเคารพทันที


ฝูงชนทั้งหมดเงียบไปทันที เนื่องจากการปรากฏตัวของผู้ฝึกตนระดับจินตัน


ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏแสงสีขาวขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับร่อนลงมาอย่างแผ่วเบา นางยืนอยู่บนเวทีประลองห่างจากเจ้าอ้วนสิบฟุต นางคือคู่ต่อสู้ของเจ้าอ้วน เป็นแม่นางฉุ่ยจิ้งนั่นเอง


ก่อนที่แม่นางฉุ่ยจิ้งจะมีเวลาหายใจ นางได้ยินทั้งสองคนตะโกนออกมา “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้าเสี่ยวไป่หลง! ข้ามาที่นี่เพื่อให้กำลังใจเจ้า! ไม่ต้องกังวลสิ่งใดพร้อมทั้งทำให้เจ้าอ้วนนี้ยอมศิโรราบให้จงได้!”


“ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง ข้าคือศิษย์พี่ซาง ดาบเทวะไร้ผู้ต้าน ข้ามาเพื่อเป็นสักขีพยานว่าไขมันสารเลวผู้นี้จะพ่ายแพ้ต่อเจ้าอย่างง่ายดาย!”


ในขณะที่ทั้งคู่ได้พ่นวาจาดังกล่าวออกมา เกิดความวุ่นวายมากมายในเหล่าฝูงชน สำหรับแม่นางฉุ่ยจิ้ง นางขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับอยู่ในความรู้สึกที่พูดไม่ออก ราวกับว่านางกำลังกินแมลงวันเข้าไปและใกล้จะอ้วกเต็มทีแล้ว


ผู้ฝึกตนระดับจินตันไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป หญิงสาวระดับจินตันตะโกนออกมาอย่างเด็ดขาด “ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจงหยุดสร้างความวุ่นวายเดี๋ยวนี้!” พร้อมกันนั้นนางจ้องลงไปข้างล่างเวทีอย่างเกรี้ยวกราด


เจ้าคนโง่ทั้งสองยังมีคำพูดที่อยากจะกล่าวต่อ แต่กลับต้องหยุดปากไว้เพียงเท่านี้เมื่อพบเจอกับสายตาของผู้เชี่ยวชาญระดับจินตัน พวกเขาตกใจและหุบปากลงทันที เห็นได้ชัดเจนว่าเขากลัวหญิงสาวระดับจินตันผู้นี้อย่างมาก


เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่สมควรและความวุ่นวายต่าง ๆ ได้จบลงแล้ว ชายผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันจึงประกาศเสียงก้อง “เริ่มการประลองได้!”


ถึงแม้ว่าผู้ตัดสินจะประกาศให้เริ่มการแข่งขันได้แล้ว แต่ทั้งสองไม่ได้ตั้งใจจะแข่งกันในทันที เจ้าอ้วนรู้สึกถึงความเป็นศิษย์น้องพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “ข้าแสดงความเคารพต่อศิษย์พี่อาวุโส ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะไม่รุนแรงกับข้ามากเกินไปนัก!”


“เจ้ากำลังประจบข้า!” แม่นางฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างสุภาพ “ศิษย์น้องอย่าถ่อมตัวมากเกินไป ข้าเกรงกว่าคนที่จะต้องร้องขอให้เบามือไม่ใช่เจ้า แต่เป็นข้า!”


“อา…” ในขณะที่นางกล่าวออกมาเช่นนั้น ฝูงชนโดยรอบต่างตกใจ เพราะพวกเขาทั้งหมดรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของแม่นางฉุ่ยจิ้ง นับเป็นครั้งแรกที่นางกล่าวออกมาอย่างจริงจังซึ่งมันต้องมีเหตุผลที่นางทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน แม้ว่ามันจะไม่ได้หมายความว่านางนั้นอ่อนแอกว่า แต่แสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังที่แม่นางฉุ่ยจิ้งมีต่อซ่งจง อีกทั้งยังไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะ ปรากฏการณ์นี้ต่างสร้างความงงงวยให้กับคนดู


แม้ว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันจะได้ยินที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน พวกเขายังแสดงสีหน้าตกใจออกมา ทั้งสองคนรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของแม่นางฉุ่ยจิ้งดีว่านางเป็นนักพยากรในการดูแลของเทพธิดาเหมยฮวา ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดที่นางกล่าวออกมาย่อมมีความหมายอยู่ลึก ๆ นอกจากนั้นพวกเขาพบว่ามันแปลกที่แม่นางฉุ่ยจิ้ง ผู้ซึ่งสามารถเอาชนะผู้คนที่นางต่อสู้ได้ทั้งหมดในสำนักเสวียนเทียน อีกทั้งนางยังเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในจุดสูงสุดของรุ่นอีกด้วย ถ้าหากมีศิษย์นอกที่สามารถต่อสู้กับนางได้ จะไม่ให้รู้สึกแปลกใจได้อย่างไร!


หลังจากที่เจ้าอ้วนได้ยินแม่นางฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้น เขาหัวเราะอย่างขื่นขมพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่หยุดล้อเล่นเถิด!”


“ไม่จำเป็น!” แม่นางฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างสงบ “ฉุ่ยจิ้งไม่เคยโกหกใคร! ระฆังยักษ์ของเจ้าวิเศษจริง ๆ อย่างน้อยในปัจจุบันนี้ข้าก็ยังไม่พบวิธีที่จะทำลายมัน!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น ดวงตาของนางจับจ้องไปที่เจ้าอ้วนพร้อมกับค้นหาจุดอ่อนของระฆังไปพร้อมกัน


เจ้าอ้วนไม่ใช่คนโง่เขลา หลังจากที่เขาเข้าใจความต้องการของนางแล้ว เขารีบหยิบมันออกมาด้วยการโบกมือแบบสบาย ๆ ของเขา ระฆังลอยอยู่บนฝ่ามือของเขาอย่างเรียบง่ายด้วยความสูงขนาดสองฟุต


“สิ่งนี้แหละ!” ดวงตาของแม่นางฉุ่ยจิ้งเป็นประกายขึ้นพร้อมกับยกยอมัน “มันช่างลึกลับ ข้าไม่เข้าใจแม้แต่รากฐานของมัน! ไม่ต้องพูดถึงการทำลายมันเลย! ถ้าหากศิษย์น้องใช้มันเพื่อปกป้องตนเอง แน่นอนว่าข้าจะไม่สามารถทำสิ่งใดได้!”


“ท่านเยินยอข้าเกินไปแล้วศิษย์พี่!” เจ้าอ้วนเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าว “ข้าเชื่อว่าท่านมั่นใจว่าท่านจะสามารถทำลายมันได้ ถูกไหม?”


เมื่อแม่นางฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “ราวกับว่าเจ้ารู้อะไรบางอย่าง! อา ข้ารู้แล้ว! ดูเหมือนว่าหงหยิงจะทรยศต่อข้า! อืม ข้าพูดถูกไหม?”


บทที่ 107: การปรากฏตัวของอุปกรณ์วิญญาณ


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำพร้อมกับไร้วาจาจะกล่าวต่อ


อย่างไรก็ตาม เหล่าคนรอบข้างก็ไม่มีสิทธิ์พูดสิ่งใดแม้ว่าจะอยากรู้สักเพียงไหนก็ตาม


“ฮ่าฮ่า!” แม่นางฉุ่ยจิ้งหัวเราะออกมาเสียงเบาพร้อมกล่าวว่า “แท้จริงแล้ว มันไม่ได้สำคัญนักหรอก และมันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนัก ดีแล้วที่เจ้ารู้จักมัน ตอนนี้เราอยู่บนเวทีในระดับที่เท่าเทียมกัน!”


ขณะที่นางกำลังกล่าวเช่นนั้น นางโบกมือเบาพร้อมกับปรากฏเต่าดำขึ้นมาข้างตัวของนางและมีเหรียญทองหกเหรียญลอยอยู่รอบตัวของเต่าดำ


เต่าดำวิ่งไปรอบตัวของแม่นางฉุ่ยจิ้งราวกับเด็กน้อย ทุกการเคลื่อนไหวของมันเหมือนกับว่ามีชีวิตจิตใจอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นภาพที่ดูน่ารักน่าชังต่อผู้ชมโดยรอบอย่างแท้จริง


เหล่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักอุปกรณ์วิญญาณ มีเพียงผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันทั้งสองคน เสี่ยวไป่หลง และดาบเทวะไร้ผู้ต้านเท่านั้นที่รู้จักมัน ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันไม่มีคำใดจะเอื้อนเอ่ยออกมา ภายในหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา


แต่เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านกลับตื่นเต้นจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขาเผยรอยยิ้มที่ตื่นเต้นพร้อมกับตะโกนออกมา “กระดองวิญญาณเต่าดำกับเหรียญชะตาฟ้าดิน! อุปกรณ์วิญญาณ! มันคืออุปกรณ์วิญญาณ!”


“อุปกรณ์วิญญาณ?”


“อุปกรณ์วิญญาณงั้นหรือ?”


“อุปกรณ์วิญญาณอะไรกัน?”


ขณะที่เหล่าคนรอบข้างได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับนัยน์ตาสีแดง ทุกคนรู้ดีว่าเหล่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนส่วนใหญ่แล้วไม่มีอุปกรณ์วิเศษระดับสูงในครอบครองอยู่แล้ว เพียงแค่ได้ชื่นชมอุปกรณ์วิเศษระดับสูง หรืออาวุธวิเศษระดับต่ำนั้นเพียงพอแล้วสำหรับพวกเขาที่จะเสียเวลาครึ่งค่อนวันเพื่อชื่นชมมัน แต่ในตอนนี้กลับมีอุปกรณ์วิญญาณสองชิ้นปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา มันเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเท่านั้นที่จะครอบครองได้ แล้วเกิดเรื่องเช่นนี้ในพื้นที่ห่างไกลเมืองหลวงขนาดนี้ จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร?


สำหรับเจ้าอ้วนที่เป็นตัวเอกของวันนี้ เขาจ้องมองไปที่อุปกรณ์วิญญาณทั้งสองชิ้นอย่างไม่วางตาพร้อมกับระมัดระวังมันทั้งสองอย่างรอบคอบ การมองแบบผ่าน ๆ นั้นคล้ายกับว่ากระดองวิญญาณเต่าดำนั้นดูจะไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่ แม้ว่ามันจะมีพลังวิญญาณจำนวนมาก แต่พวกมันก็มีความเป็นระเบียบ เจ้าอ้วนรู้มาว่าอุปกรณ์พวกนี้เต็มไปด้วยเงื่อนไขแห่งสวรรค์ จำนวนตัวเลขของจำนวนวิญญาณจะตรงกับจิตวิญญาณแห่งสวรรค์ ซึ่งไม่ใช่เพียงหนึ่งร้อยแปด แต่เป็นหนึ่งล้านแปดแสน! จารึกทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในตัวของพวกมัน นี่คือความพยายามของอาวุโสนับพันปี


แม้ว่าแม่นางฉุ่ยจิ้งจะสามารถปลดปล่อยพลังของพวกมันได้ แต่ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่คอยปกป้องนางอยู่ เจ้าอ้วนต้องใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นับพันสายเพื่อทำลายพวกมัน แต่ในตอนนี้เขาอยู่ภายใต้กฎที่ไม่อนุญาตให้มีการใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหมายความว่าแทบไม่มีสิ่งใดที่เขาจะทำได้เลย


สำหรับเหรียญทั้งหก พวกมันเปล่งประกายดั่งเช่นทองคำและหมุนรอบเต่าดำราวกับว่ามีชีวิต แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งกว่าอาวุธวิเศษระดับสูง แต่มีสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับความสามารถของมันนั้นคือมันสามารถค้นหาจุดอ่อนและจุดแข็งของคู่ต่อสู้ได้ แม้ว่าในตอนนี้แม่นางฉุ่ยจิ้งยังคงอ่อนแอและไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่ ทว่ามันกลับมากเกินพอสำหรับการต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ! นี่คือความน่ากลัวของอุปกรณ์วิญญาณ แม้ว่าจะเป็นผู้เริ่มต้นหัดใช้อุปกรณ์วิญญาณ แต่ผู้ใช้ก็ยังคงสามารถท้าทายบุคคลที่มีระดับสูงกว่าตนได้อย่างง่ายดาย


ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังคิดเกี่ยวกับกระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดิน แม่นางฉุ่ยจิ้งมองไปยังระฆังยักษ์ของเขาอย่างไม่วางตา ระฆังที่ดูอ่อนแอนี้ช่างเต็มไปด้วยความซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแม่นางฉุ่ยจิ้ง นางฝึกฝนวิชาเทพธิดาพยากรซึ่งสามารถทำนายได้เกือบทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามของนางจะแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าหากมีเวลามากพอ นางยังคงค้นหาจุดอ่อนของศัตรูได้เสมอ


แต่กับระฆังใบนี้ ตั้งแต่นางรู้ข่าวเกี่ยวกับมัน นางพยายามที่จะค้นหาความลับของมันมาตลอด ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันนางไม่พบเงื่อนงำใดเกี่ยวกับมันเลย ทั้งการใช้มัน วัสดุของมัน หรือจะเป็นจุดอ่อน จุดแข็ง นางไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้เลย


การทำนายสิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับนาง เพราะไม่ว่านางอยากจะรู้สิ่งใด นางก็สามารถค้นพบมันได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่สำหรับระฆังใบนี้ มันทำให้นางรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน นางรู้สึกได้ว่ามันแข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่รู้วิธีใช้มัน ในชั่วชีวิตของแม่นางฉุ่ยจิ้ง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก


หลังจากที่นางได้ทบทวนเรื่องราวทั้งหมด แม่นางฉุ่ยจิ้งทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นพร้อมหยุดความคิดที่จะค้นหาต่อไป พร้อมกับมองไปที่เจ้าอ้วน ในเวลาเดียวกัน เจ้าอ้วนก็ได้ละสายตาของเขาจากอุปกรณ์วิญญาณทั้งสองชิ้นเช่นกัน พร้อมกับจ้องมองใบหน้าของแม่นางฉุ่ยจิ้ง พวกเขาทั้งสองสบตากันอย่างอ่อนใจ


พวกเขาทั้งสองคนต้องการที่จะได้รับชัยชนะในวันนี้ การจ้องตาในครั้งนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ ดวงตาของทั้งสองเปล่งประกายออกมาอย่างล้นเหลือ


แต่เมื่อเหตุการณ์นี้ได้ผ่านการคิดอย่างรอบคอบ หลังจากที่พวกเขามองหน้ากัน พวกเขาทั้งสองคน พุ่งเข้าหากันทันที


เจ้าอ้วนรู้สึกว่าเขาถูกดูดเข้าไปในสถานที่ลึกลับ ในที่นี้มีแม่น้ำไหลนิ่ง พร้อมกับดวงดาราที่สุกสว่างอยู่บนท้องฟ้า แสงสีเหลืองสะท้อนกับผิวน้ำให้ความรู้สึกที่ลึกลับ เจ้าอ้วนรู้สึกราวกับว่าเขาถูกกฎแห่งสวรรค์ควบคุมเข้าแล้ว จิตวิญญาณแห่งเต๋าในตัวตนของเขาถูกก่อกวน ปราณจิตวิญญาณในตัวของเขาเริ่มไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายตามแบบของปฐมกาลแห่งความโกลาหล


จากมุมมองของคนที่อยู่ด้านนอก เจ้าอ้วนดูคล้ายกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะและมีคลื่นพลังวิญญาณที่รุนแรงระเบิดออกมาจากร่ายกายของเขา เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่โบกสะบัดด้วยลมที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ส่วนระฆังลอยเหนือศีรษะของเขาและสั่นไหวเล็กน้อย


ขณะนั้นแม่นางฉุ่ยจิ้งก็ปรากฏกายขึ้นภายในสถานที่เดียวกันกับเจ้าอ้วน นางเพียงเข้ามายังปฐมกาลแห่งความโกลาหล ไร้ท้องฟ้า ไร้พื้นดิน มีเพียงปฐมกาลแห่งความโกลาหลที่ไร้จุดสิ้นสุด ราวกับจักรวาล มีพายุ สายฟ้า วารี และอัคคี การเกิด การตาย พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่วุ่นวาย


แม่นางฉุ่ยจิ้งเข้าใจในกฎแห่งสวรรค์อยู่เล็กน้อย จิตวิญญาณแห่งเต๋าของนางสั่นไหวเล็กน้อยจากเหตุการณ์นี้ วิชาเทวะจันทราวารีไหลเวียนอยู่ในอากาศ อุปกรณ์วิญญาณทั้งสองของนางเคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันกำลังพบของเล่นชิ้นใหม่…


บทที่ 108: พายุแห่งปรารถนา


เมื่อมองเห็นการระเบิดปราณจิตวิญญาณของพวกเขา ทุกคนเริ่มคิดทันทีว่าการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งหมดกลั้นหายใจพร้อมกับจดจ่อกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างใจจดจ่อ


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดผิดหวังก็คือเจ้าอ้วนและแม่นางฉุ่ยจิ้งหยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็งไว้ในอีกโลกหนึ่ง พวกเขาเอาแต่จ้องมองกันและไม่มีท่าทีว่าจะเริ่มต่อสู้แต่อย่างใด


หลังจากที่เฝ้ารอมาครึ่งค่อนวัน เหล่าผู้ชมทั้งหมดเริ่มหมดความอดทน แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันทั้งสองคนสามารถรับรู้ได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง นัยน์ตาของเขาทั้งสองแสดงความสงสัย ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง พวกเขาจึงเข้าใจบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้อย่างชัดเจน


หลังจากที่คิดได้ ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันคิดกับตนเอง ‘นี่มันไม่ใช่การแข่งขันภายในสำนักงั้นหรือ? เหตุใดจึงกลายเป็นการฝึกตนแบบคู่ไปได้? อย่าบอกนะว่าข้าประกาศไม่ชัดเจน?’


ในขณะที่พวกเขาทั้งหมดกำลังโง่เขลา ปราณจิตวิญญาณของเจ้าอ้วนและแม่นางฉุ่ยจิ้งได้ขยายตัวไปถึงขีดสูงสุดแล้ว ราวกับว่ามันพร้อมที่จะระเบิดออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันตื่นตระหนกทันที พวกเขารู้ว่าผลของการระเบิดครั้งนี้จะเป็นเช่นไร พวกเขาทั้งสองคนจะหายไปไม่เหลือแม้แต่กระดูก! มันไม่สำคัญหากเจ้าอ้วนจะตายตกไป แต่ถ้าหากแม่นางฉุ่ยจิ้งตาย แม้ใช้สักสิบชีวิตของพวกเขาก็ไม่เพียงพอที่จะระงับความโกรธเกรี้ยวของเทพธิดาเหมยฮวา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันไม่รอช้าพวกเขาทั้งสองยกมือขึ้นเพื่อยุติการแข่งขันนี้ทันที


ในขณะนั้น ระฆังของเจ้าอ้วนได้เปล่งเสียงออกมาเป็นจังหวะ เมื่อทุกคนได้ยินเสียงระฆังซึ่งราวกับว่าเป็นคลื่นพลังแห่งความสำเร็จ พลังลึกลับแผ่กระจายออกมาทั่วสนามประลอง ทุกคนโดยรอบได้ยินเสียงระฆังอย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถรับรู้ความรู้สึกลึกลับของมันได้อีกด้วย สำหรับเจ้าอ้วนและแม่นางฉุ่ยจิ้ง ปราณจิตวิญญาณของพวกเขาทั้งสองคนสงบนิ่งลง ทั้งคู่ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นทั้งคู่รู้สึกตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุใดไม่รู้ระดับพลังของทั้งสองได้เพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น แม่นางฉุ่ยจิ้งอยู่ในขั้นสิบสองและเจ้าอ้วนอยู่ในขั้นสิบเอ็ด!


ความก้าวหน้านี้สำเร็จได้โดยไม่ต้องเหนื่อยแรง เดิมทีการที่ระดับของพวกเขาทั้งสองจะเพิ่มขึ้นได้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีหรือหนึ่งปี แต่ในคราวนี้กลับใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้น ทั้งสองคนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว กระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นราบลื่นโดยปราศจากปัญหาอาการตีบตัน ในตอนนี้พวกเขาค้นพบวิธีที่จะก้าวหน้าอย่างง่ายดาย!


ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากที่พวกเขาก้าวหน้าขึ้นแล้ว ภายในจิตใจของพวกเขายังเต็มเปี่ยมไปด้วยกฎแห่งสวรรค์ เกิดความเข้าใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรนั้นเป็นจิตวิญญาณแห่งเต๋า สำหรับการที่พวกเขาจะก้าวไปข้างหน้าได้ นอกเหนือจากปราณจิตวิญญาณแล้ว ความเข้าใจในกฎแห่งสวรรค์นั้นสำคัญอย่างยิ่ง หากพวกเขาสามารถเข้าใจมัน แน่นอนว่าจะสามารถก้าวหน้าได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับปราณจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่ไม่ใช่สำหรับสภาพจิตใจ ดังนั้นผู้ฝึกตนหลายคนจึงประสบปัญหาอาการตีบตัน และทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวหน้าได้อีกในตลอดชีวิต ดังนั้นผู้ฝึกตนจึงให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกเขาจะใช้ทุกโอกาสที่มีเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้


ดังนั้นเมื่อเจ้าอ้วนและแม่นางฉุ่ยจิ้งรู้สึกว่าพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างแท้จริง แล้วพวกเขาจะต่อสู้กันอย่างได้อย่างในสถานการณ์เช่นนี้? พวกเขาเพียงแต่ส่งยิ้มให้กันอย่างสงบนิ่งพร้อมกับทำความเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ และแยกย้ายกันไป


แม้ว่าเจ้าอ้วนและแม่นางฉุ่ยจิ้งจะออกไปแล้ว ไม่มีผู้ใดหลงเหลืออยู่ในสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากว่าระฆังยักษ์ที่ปรากฏอยู่ในสนามประลองนั้นแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นเมื่อพวกเขารู้แจ้งและจิตใจสงบนิ่งแล้ว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันยังเข้าสู่สมาธิเพื่อควบคุมจิตใจไปด้วย


ไม่กี่วันถัดมา เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นข่าวใหญ่ภายในสำนักเสวียนเทียน เรื่องราวการต่อสู้ของเจ้าอ้วนและแม่นางฉุ่ยจิ้ง ผู้ชมทั้งร้อยต่างรู้แจ้ง สภาพจิตใจพวกเขาถึงกับพุ่งทะยาน ผู้ชมโดยรอบเจ็ดคนมีความก้าวหน้าขึ้นหนึ่งระดับ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันด้วย


หญิงสาวผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันได้ติดอยู่ที่ขั้นต้นนี้เป็นเวลานานนับสิบปี หลังจากได้ยินเสียงระฆังของเจ้าอ้วนที่ดังกังวาน นางเข้าใจกฎแห่งสวรรค์ทันทีและนั่งสมาธิเป็นเวลาเจ็ดวันจากนั้นนางจึงได้เข้าสู่ระดับจินตันขั้นกลาง ความง่ายดายของความก้าวหน้าเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทุกคนรู้ดีว่าการที่จะก้าวหน้าในแต่ละระดับจะต้องเตรียมการอย่างมากมาย เช่น ยาอายุวัฒนะและความช่วยเหลือต่าง ๆ กล่าวได้ว่าผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันนั้นจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อก้าวหน้าไปสู่อีกขั้นหนึ่ง แต่ในตอนนี้นางใช้เวลาเพียงเจ็ดวันโดยไม่พึ่งพายาอายุวัฒนะ การช่วยเหลืออื่น หรือมิติลึกลับใด ๆ นับว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง


เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพราะระฆังยักษ์ในสนามประลอง ผู้ชมรอบสนามต่างก็ได้เข้าใจและรู้แจ้งในจิตวิญญาณแห่งเต๋าและมีถึงเจ็ดคนที่มีความก้าวหน้าขึ้นไป ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!


ถ้าหากระฆังนี้ยังคงดังต่อไป ปัญหาอาการตีบตันต่าง ๆ ก็คงจะถูกคลี่คลายได้โดยง่าย สำนักเสวียนเทียนจะมีศิษย์ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล


ถ้าหากนี่เป็นความสามารถของระฆังจริง นับได้ว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่มีค่าเทียบเท่าอุปกรณ์วิญญาณเลยทีเดียว หรือมันอาจจะแข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์วิญญาณก็ได้ แล้ววิธีการใดที่จะหยุดยั้งเหล่าคนโลภที่อยากครอบครองมันได้? ในทันทีเจ้าอ้วนทำให้เหล่าผู้ฝึกตนในสำนักเสวียนเทียนบ้าคลั่งขึ้นมา ไม่เพียงแต่เหล่าสาวกธรรมดาเท่านั้น แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยินก็ยังมีการเคลื่อนไหว


ถ้าหากไม่ใช่เพราะจ้าวสำนักปกป้องเขาไว้ นักบวชฮัวอวิ๋นจะวิ่งตรงไปสังหารเจ้าอ้วนพร้อมกับแย่งระฆังจากเขาอย่างแน่นอน!


ผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าอ้วนได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว เขาตกใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่หน้าประตูลาน มีผู้ฝึกตนระดับจินตันสี่คนยืนเฝ้าประตูลานของเขาอยู่! แม้แต่จ้าวสำนักก็ยังไม่อาจได้รับการปกป้องเช่นนี้


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนปรากฏตัวขึ้น ผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่ล้อมรอบเขาทันทีพร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ซ่งจง จ้าวสำนักเรียกพบเจ้า!”


“ขอรับ” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างอึดอัดและเดินเข้าสู่โถงเสวียนเทียนภายใต้การคุ้มกันของผู้ฝึกตนระดับจินตันทั้งสี่ทันที


บทที่ 109: วิชาเทวะจันทราวารี


เมื่อเจ้าอ้วนมาถึง เขาถูกกดดันจากผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่าจนเกือบได้รับบาดเจ็บ ขอบคุณสวรรค์ที่ปราณจิตวิญญาณของเขาสามารถต่อต้านมันได้และไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ดังนั้นเมื่อยามที่เจ้าอ้วนเข้ามา ทั้งสองคนที่อยู่ก่อนหน้าเก็บปราณจิตวิญญาณของพวกเขาทันที ส่วนอีกหนึ่งคนเขายังคงลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายเขาก็เก็บมัน


นอกเหนือจากจ้าวสำนักและภรรยาของเขาที่นั่งอยู่ตรงกลาง มีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสามคนปรากฏตรงหน้าของเจ้าอ้วน นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนอีกหนึ่งคนสวมใส่ชุดสีแดงยืนอยู่ทางด้านขวา ผมของเขาสีแดง ใบหน้าของเขาดูดุร้ายและน่ากลัว มังกรแดงถูกปักเด่นเป็นสง่าอยู่บนเสื้อคลุมของเขา โดยไม่ต้องสงสัยเลยนี่คือรองจ้าวสำนักแห่งสำนักเสวียนเทียนอย่างแน่นอน เขาก็คือนักบวชฮัวอวิ๋น


แม้ว่าเขาจะมาจากนิกายที่ต่างกัน แต่ทว่าในตอนนี้เขาเป็นรองจ้าวสำนัก เจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะทำตัวไร้มารยาท เขาทำความเคารพจ้าวสำนักและภรรยา ก่อนที่จะทำความเคารพนักบวชฮัวอวิ๋น


แต่หลังจากที่เจ้าอ้วนทำความเคารพแล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นโบกมืออย่างไม่สนใจพร้อมคำรามอย่างหยาบคาย “เจ้าอ้วน เลิกเสแสร้งได้แล้ว จงรีบพูดออกมาว่าสิ่งใดอยู่ในระฆังใบนั้น?”


เจ้าอ้วนไม่ได้คาดคิดว่านักบวชฮัวอวิ๋นจะหยาบคายและกระทำตนไร้มารยาทกับผู้น้อยอย่างเขาเช่นนี้ ท่าทางของเขาไม่สมควรแก่การเป็นอาวุโสแม้แต่น้อย! เขานิสัยเสียและนำตนเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ท่าทางของเขาคล้ายกับเหล่าอันธพาลที่วิ่งเร่ไปตามท้องถนน การแสดงออกเช่นนั้นทำให้เจ้าอ้วนไม่รู้จะโต้ตอบเช่นไร เขาจึงตกอยู่ในความงุนงงอย่างถึงที่สุด!


แม้ว่าเจ้าอ้วนจะอยู่ในความโง่เขลา แต่จ้าวสำนักก็ไม่ได้กดดันเขาแต่อย่างใด เมื่อเห็นว่านักบวชฮัวอวิ๋นแสดงท่าทีหยาบคายต่อศิษย์ของเขา เขาไม่สามารถอดกลั้นได้จึงคำรามออกมา “ฮัวอวิ๋น เจ้าสามารถหยาบคายได้ถึงเพียงนี้?”


ภรรยาแห่งจ้าวสำนักจ้องมองเขาอย่างเย็นชาพร้อมกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น แม้ว่าเด็กคนนี้จะมีสมบัติ แต่ทว่ามันไม่ได้ขัดกับกฎของสำนัก อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เป็นอาชญากรร้ายแรง เหตุใดท่านถึงต้องพูดกับเขาดังเช่นกำลังสืบปากคำคนร้าย?!”


เมื่อได้ยินที่ทั้งสองคนพูด นักบวชฮัวอวิ๋นรู้ตัวทันทีว่าเขากำลังถูกอารมณ์ครอบงำ เขากระทำการหยาบคายลงไปเสียแล้ว แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนปากแข็งจึงปล่อยเรื่องราวผ่านไปโดยไม่ยอมรับความผิดพร้อมกับตะโกนออกมา “นี่ข้ากำลังสอบปากคำเขาเช่นอาชญากรงั้นหรือ? ข้าเพียงแค่พูดจาเสียงดังเล็กน้อยเท่านั้น! และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าทำเช่นนี้ ข้าเอะอะอย่างนี้มานมนานแล้วไม่ใช่งั้นหรือwi?!”


อารมณ์ของจ้าวสำนักยังขุ่นเคืองอยู่อีกทั้งไม่สนใจคำตอบโง่เขลาที่ฮัวอวิ๋นพ่นออกมา เขาตอบกลับว่า “ข้าไม่สนใจว่านี่จะเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของเจ้า แต่เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติกับศิษย์ของข้าเช่นนี้!”


เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธทันที “นี่เป็นวิธีการพูดของข้าและข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงมัน! เจ้าต้องการอะไรจากเรื่องนี้หรือไร?”


“หุบปากของเจ้าซะถ้าหากเจ้าไม่คิดเปลี่ยนแปลง!” จ้าวสำนักคำรามออกมา


“ข้าไม่หยุด!” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนออกมา


จ้าวสำนักปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาอย่างมหาศาล นักบวชฮัวอวิ๋นยั้งคิดพร้อมทั้งปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาเช่นกัน ในตอนนี้โถงลับนี้ถูกถาโถมไปด้วยปราณจิตวิญญาณมหาศาล ถ้าหากไม่ใช่ภรรยาจ้าวสำนักสร้างม่านพลังเพื่อปกป้องเจ้าอ้วนไว้ สภาพของเขาน่าจะกลายเป็นคนน่าสังเวชที่สุดในห้องนี้ก็เป็นได้


“ทั้งสองคนหยุดเดี๋ยวนี้! ข้าจะสอบถามเขาเอง!” หลังจากที่ภรรยาจ้าวสำนักปกป้องเจ้าอ้วนเสร็จแล้ว นางคำรามออกมา ขณะที่นางกำลังเกรี้ยวกราดนั้น ทั้งจ้าวสำนักและนักบวชฮัวอวิ๋นหยุดนิ่งทันทีและเก็บคลื่นพลังงานทั้งหมดกลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าภรรยาจ้าวสำนักคือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในที่แห่งนี้


เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนหยุดมือแล้ว ภรรยาจ้าวสำนักเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมหันมาหาเจ้าอ้วนอย่างอ่อนโยน “เด็กน้อย เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่เราอยู่ตรงนี้ จะไม่มีผู้ใดข่มเหงเจ้าได้!”


ต่อให้สถานการณ์จะเลวร้ายถึงเพียงใด ศิษย์ตัวเล็กจ้อยอย่างเจ้าอ้วนจะกล่าวต่อว่าผู้ใดได้? เขาเพียงแต่ยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมพยักหน้าน้อย ๆ “ขอรับ ข้าทราบแล้ว!”


“ดีมาก!” ภรรยาจ้าวสำนักจึงเริ่มถามต่อ “เด็กน้อย วันนั้นในขณะที่เจ้าต่อสู้กับฉุ่ยจิ้ง เสียงของระฆังใบนั้นของเจ้าทำให้ผู้คนหลายร้อยรอบสนามประลองเข้าใจกฎแห่งสวรรค์ อีกทั้งยังมีเจ็ดคนที่สามารถก้าวสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้ ข้าอยากรู้ว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้?”


“มีบางอย่างเกิดขึ้นงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนตกใจ เขาหัวเราะอย่างขมขื่นพร้อมตอบกลับ “ศิษย์ของท่านยังคงไม่เข้าใจมันหลังจากที่กลับออกมา ในกรณีเช่นนั้น หลังจากจบการแข่งขัน ข้ารีบกลับเข้าไปหลังประตูเพื่อฝึกฝนและข้าก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง!”


“ตอนนี้เจ้ารู้แล้วว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าสามารถบอกได้หรือไม่ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร?”


“ข้าเกรงว่าเรื่องนี้ข้าไม่อาจกระทำ!” เจ้าอ้วนหัวเราะอย่างขื่นขม “ศิษย์ของท่านไม่รู้อะไรเลยขอรับ!”


“แล้วเกิดอะไรขึ้นในการต่อสู้ของเจ้ากับฉุ่ยจิ้ง? เหตุใดเจ้าทั้งสองจึงก้าวหน้าไปหนึ่งขั้น?” ภรรยาจ้าวสำนักถามต่อ


“เรื่องนั้น…” เจ้าอ้วนลูบศีรษะของตนเองพร้อมตอบกลับ “ศิษย์ไม่แน่ใจนัก อย่างไรก็ตามในวันที่ข้าแข่งขัน เราสองคนจ้องตากัน ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าถูกขังอยู่ในอีกโลกหนึ่ง มันลึกลับมากและดูราวกับว่ามันอนุญาตให้ข้าเข้าใจในกฏแห่งสวรรค์อย่างง่ายดาย ศิษย์รู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งจึงจมดิ่งสู่สมาธิเพื่อทำความเข้าใจมันทันที เมื่อข้าได้ยินเสียงระฆังข้าจึงลืมตาขึ้นมาและพบว่าระดับของข้าก้าวหน้าขึ้นแล้ว!”


“เจ้าเห็นอะไรบ้างที่โลกนั้น?” ภรรยาจ้าวสำนักถามอย่างรวดเร็ว


“ทะเลสาบที่เงียบสงบมีพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนท้องฟ้าและเงาจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำให้ความรู้สึกที่ลึกลับ!” เจ้าอ้วนอธิบายต่อ “แต่ทว่ามันกลับมีกฏแห่งสวรรค์ซ่อนอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน! ข้าถูกครอบงำโดยสิ่งเหล่านั้นและไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้ออกมาได้!”


“วิชาเทวะจันทราวารี!” ในขณะนั้น ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสามคนตะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนแสดงอาการอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับถามออกไปทันที “เอ่อ วิชาเทวะจันทราวารีมันคืออะไรหรือขอรับ?”


“มันคือทั้งหมดที่เจ้าเห็น!” ภรรยาจ้าวสำนักตอบอย่างอิจฉา “สิ่งที่ศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งของเจ้ากระทำนั้นเรียกว่าเคล็ดวิชาโบราณนามวิชาเทวะจันทราวารี ซึ่งเป็นพื้นฐานของวิชาจันทราวารีลึกลับ! ซึ่งสิ่งดังกล่าวอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะจันทราวารีเท่านั้น ผู้คนที่สามารถมองเห็นมันจะเข้าใจกฎแห่งสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย สามารถเพิ่มระดับพลังของการฝึกฝน หรือแม้แต่ผ่านอาการตีบตันไปอย่างราบลื่น! เด็กน้อย เจ้าช่างโชคดียิ่งนักในครั้งนี้!”


“เรื่องนั้น…” เจ้าอ้วนถามกลับด้วยความงุนงง “อย่าบอกนะว่ามันยากมากที่จะพบเห็นสิ่งเหล่านี้?”


“แน่นอน นั่นคือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจิตใจของหญิงสาว ซึ่งนางต้องการเปิดเผยให้เจ้ารู้เท่านั้น รวมกับต้องเป็นการเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญเท่านั้นจึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้! เจ้าคิดว่ามีชายหนุ่มหลายคนงั้นหรือที่แม่นางฉุ่ยจิ้งต้องตาต้องใจด้วย?” ภรรยาจ้าวสำนักดุเจ้าอ้วนพร้อมหัวเราะเสียงบา


เจ้าอ้วนตกตะลึงไปทันที พร้อมกับหัวเราะและตอบกลับอย่างขมขื่น “เอ่อ… เหตุใดกันข้าจึงได้เห็นมัน? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพบกับนาง อีกทั้งเรายังเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันอย่างสมบูรณ์!”


“นั่นเป็นเพราะนางรู้เห็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเจ้า!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ว่ากันว่าวิชาเทวะจันทราวารีเป็นเคล็ดวิชาที่ต้องใช้ความรู้สึก ถ้าหากพบเจอกับวิธีการฝึกตนที่แข็งแกร่งมันจะสามารถตอบสนองออกมาได้ ผู้ฝึกตนทั้งสองจะสามารถเชื่อมจิตวิญญาณเข้าด้วยกันและจะบรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน!”


บทที่ 110: คนกลับกลอก


“ที่จริงแล้วเจ้าไม่สามารถตัดสินหนังสือได้จากปกของมัน ใครจะไปคาดคิดว่าโชคชะตาของอ้วนน้อยจะเป็นเช่นนี้!” จ้าวสำนักไม่อาจทำอะไรได้นอกจากถอนหายใจออกมาดัง ๆ “ไม่แน่ใจว่าเจ้าไปสะดุดเข้ากับเคล็ดวิชาเทวะจันทราวารีได้อย่างไร วิชาดั่งกล่าวเป็นวิชาที่ศักดิ์สิทธิ์และมีมาตั้งแต่โบราณ และยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์เช่นนี้ในหนึ่งพันปีจะเกิดขึ้นสักครั้ง ที่จะมีผู้ใดเล็ดลอดเข้าไปในวิชาเทวะจันทราวารีได้! แน่นอนว่าอนาคตของเจ้าในตอนนี้มันไม่สามารถคาดเดาได้อีกต่อไป!”


จ้าวสำนักและภรรยาของเขารู้สึกยินดีกับเจ้าอ้วนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามนักบวชฮัวอวิ๋นที่นั่งอยู่ด้านข้าง ภายในจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา เขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากสบถออกมาอย่างหยาบคาย “เหอะ ถังขยะใบนี้กับร่างกายที่เต็มไปด้วยธาตุทั้งห้า กำลังฝันถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดงั้นหรือ? ข้าอยากจะหัวเราะให้ตายตกไปซะเดี๋ยวนี้!”


ในขณะที่จ้าวสำนักกำลังมีความสุข เขารู้สึกโกรธทันทีเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นพร้อมกับคำรามออกมาดังสนั่น “แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่รีบไปตายซะ?”


เมื่อได้ยินการตอบกลับที่โหดร้ายเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นไม่พอใจอย่างมาก เขาเตรียมที่จะอ้าปากตอบโต้กลับโดยทันที แต่ทุกอย่างกลับต้องหยุดลงเพราะภรรยาจ้าวสำนักได้ตวาดขึ้นมาดังลั่น “พวกเจ้าจงหยุดปาก หยุดทำเรื่องไร้สาระกันเสียที!”


นักบวชฮัวอวิ๋นและจ้าวสำนักกลับสู่สภาวะเจียมตัวอีกครั้ง มีแต่เพียงส่งสายตาเพื่อเชือดเฉือนกันเท่านั้น ราวกับว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุด


ภรรยาจ้าวสำนักเลิกสนใจพวกเขาทั้งสองคน พร้อมกับหันหน้ากลับมาคุยกับเจ้าอ้วน “สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ เราสามารถสรุปเรื่องราวเหล่านี้ได้อยู่แล้วไม่มากก็น้อย แต่สำหรับระฆังของเจ้า สิ่งนี้ยังคงไม่อาจหาข้อสรุปได้! ตามที่เหล่าศิษย์ซึ่งเป็นพยานในที่แห่งนั้น ความสำเร็จของพวกเขามาจากระฆังใบใหญ่นั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้ามีสิ่งใดจะอธิบายหรือไม่?”


“ไม่มีขอรับ!” เจ้าอ้วนทำได้เพียงยิ้มและตอบกลับ “ระฆังของข้าเป็นเพียงของเล่นที่สร้างขึ้นมาจากเหล็กสีดำเท่านั้น นอกเหนือจากความหนา ก็ไม่มีคุณสมบัติอื่น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอาจจะเป็นเพียงความบังเอิญ!”


“สมบัติล้ำค่ามากมายในโลกนี้ล้วนแต่ถูกปลอมแปลงให้ดูเป็นของที่ไร้คุณค่าและมันจะถูกทำให้ดูเหมือนกับขยะที่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่คุ้มค่า!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวแทรกขึ้นมาอย่างไร้มารยาท “มีความเป็นไปได้สูงว่าระฆังใบนี้เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์!”


“นั่นเป็นไปไม่ได้ขอรับ” เจ้าอ้วนยิ้มอย่างขมขื่นในขณะที่กล่าว


“ไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ มันก็ไม่ควรอยู่ในมือของไก่อ่อนระดับเซียนเทียน ข้ากล่าวถูกหรือไม่?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างดูถูก


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ให้เขาตายตกไปเพราะความโกรธในครั้งนี้ เขาเลือกที่จะหันไปมองทางอื่นและไม่สนใจในคำพูดเหล่านั้น


“แค่ก ๆ” เมื่อเห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ ภรรยาจ้าวสำนักกระแอมไอขึ้นมาเพื่อแทรกบรรยากาศในคราวนี้ พร้อมกับพูดออกมาเบาๆ “เด็กน้อย แม้ว่าอาจารย์ลุงของเจ้าจะเป็นคนหยาบคายและชอบกล่าววาจาไร้สาระ แต่ที่เขาพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง สำหรับพวกเรา เรารู้สึกว่าระฆังนี้เป็นสมบัติล้ำค่าซึ่งเจ้าไม่เคยรู้!”


ภายในจิตใจของเจ้าอ้วนร่ำร้องอยู่อย่างโศกเศร้า ‘แน่นอนมันคือสมบัติล้ำค่าและความจริงก็คือมันเป็นของข้า!’


หัวใจของเขารู้สึกไม่เต็มใจ แต่ด้วยการเผชิญหน้ากับจ้าวสำนักและภรรยาของเขา เขาจึงเรียกระฆังยักษ์ออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างขื่นขม “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้ารบกวนนายหญิงตรวจสอบเรื่องนี้ให้กับข้าด้วย ว่ามันเป็นสมบัติจริงหรือไม่?” เมื่อกล่าวจบประโยค เขาวางระฆังลงบนพื้นเพื่อให้พวกเขาร่วมกันวิเคราะห์


ขณะที่เจ้าอ้วนวางระฆังลงตรงหน้าของเขา จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งทั้งสามเพ่งเล็งระฆังทันทีเพื่อค้นหาความลับของมันอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าระฆังจะมีความสูงกว่าร้อยฟุต แต่มันเหมือนกับกระดาษเพียงแผ่นเดียวเมื่ออยู่ภายใต้จิตวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน พวกเขาใช้เวลาเท่ากับการทานมื้อกลางวันในการตรวจสอบระฆัง ตัวระฆังทุกตารางนิ้วถูกจิตวิญญาณของผู้คนเหล่านี้ตรวจสอบอย่างละเอียด


หลังจากตรวจสอบอยู่สักพักหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยินดึงจิตวิญญาณกลับมาอย่างไม่เต็มใจ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง เห็นได้ชัดเจนว่าการค้นหาของพวกเขาไม่มีประโยชน์ใด


เจ้าอ้วนกำมือแน่นพร้อมกับความรู้สึกโล่งใจ พร้อมกับถามออกไปอย่างร่าเริง “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ท่านอาวุโสพบสิ่งใดหรือไม่?”


“ไม่เลย!” ภรรยาจ้าวสำนักตอบกลับอย่างหดหู่ “มันเป็นแค่ระฆังเหล็กดำเท่านั้น มีเพียงความหนาที่ผิดปกติ นอกนั้นไม่มีสิ่งใดพิเศษมากกว่านี้”


อย่างไรก็ตาม นักบวชฮัวอวิ๋นอุทานออกมา “มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้!”


“โอ้ ศิษย์พี่พบสิ่งใดงั้นหรือ?” ภรรยาจ้าวสำนักถามกลับอย่างตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินนักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวเช่นนั้น


“ข้าไม่ได้ค้นพบสิ่งใด แต่หากสรุปว่ามันเป็นระฆังธรรมดามันก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาเบา ๆ “จากความรู้ของข้า สมบัติวิญญาณจำนวนมากจะจัดการจิตวิญญาณของตนเองได้ แม้กระทั่งระดับเฟินเสินยังไม่สามารถที่จะใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อค้นหาความลับของมันได้ ให้พวกเราคุยกันโดยลำพัง!”


“คำพูดของเจ้านับว่ามีส่วนที่เป็นจริงอยู่บ้าง!” จ้าวสำนักและภรรยาตอบกลับหลังจากเข้าใจทุกอย่าง


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนกรอกตาไปมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี อย่างไรก็ตาม วินาทีถัดมาสมองของเขาปั่นป่วน และเขาตั้งใจจะเปิดเผยความกังวลบนใบหน้าของเขาทั้งหมด


การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้นักบวชฮัวอวิ๋นมองเห็นอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเมล็ดแห่งความสงสัยได้เติบโตขึ้นภายในใจของเขาทันที เขาจึงถามออกมาอย่างจงใจ “นี่เจ้าอ้วน เจ้ากำลังซ่อนสิ่งใดไว้งั้นหรือ?”


เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น เจ้าอ้วนตกใจพร้อมกับรีบตอบกลับอย่างทันควัน “ไม่มี ไม่มีขอรับ ไม่มีอะไรจริง ๆ!”


เมื่อกล่าวคำเช่นนั้นออกไป ท่าทางและคำพูดของเจ้าอ้วนสวนทางกับความคิดของเขาอย่างบ้าคลั่ง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ปลุกความสงสัยในนักบวชฮัวอวิ๋นเท่านั้น แต่กลับปลุกความสงสัยภายในใจของภรรยาจ้าวสำนักอีกด้วย


นักบวชฮัวอวิ๋นจ้องมองเขาพร้อมกับปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง “งั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยงั้นหรือ?”


“ไม่มีอะไรทั้งนั้นขอรับ!” เจ้าอ้วนกระทืบเท้าไปด้านหน้าหนึ่งครั้ง พร้อมทุบหน้าอกตนเองและกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น “ระฆังนี่พังแล้ว ศิษย์ผู้นี้ยากจนข้นแค้น สมบัติอันใดหามีไม่ ส่งมอบให้ท่านคงจะดีกว่า!”


“ยินดี!” เมื่อมองเห็นความตั้งใจของเขา นักบวชฮัวอวิ๋นเหยียดมือออกไปเพื่อจะหยิบระฆังที่อยู่บนพื้นทันที


ประกอบกับความจริงที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วและไม่มีใครคาดคิด นักบวชฮัวอวิ๋นจึงจัดการระฆังใบนี้อย่างไร้ยางอายและไม่แยแสต่อสายตาของทุกคนที่จับจ้องมา


จ้าวสำนักและภรรยาพร้อมเจ้าอ้วนล้วนมึนงง! เขาไม่เคยคาดคิดว่านักบวชฮัวอวิ๋นที่อยู่ในระดับหยวนหยินซึ่งเป็นอาวุโสผู้สูงส่งจะมีพฤติกรรมไร้ยางอายเช่นนี้!


หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ จ้าวสำนักฟื้นคืนสติและกลับสู่สภาวะปกติ เขาตะโกนออกมาทันที “ฮัวอวิ๋น นี่เจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใด?”


“ข้าทำอะไร?” เขาตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไร้เดียงสา นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมา “เจ้าก็ได้ยินไม่ใช่หรือ เขาบอกว่าต้องการมอบระฆังให้ข้า ข้าก็ขอบคุณเขาและเก็บของขวัญ ไม่ถูกงั้นหรือ!”


“บัดซบ! นี่เจ้าไม่มียางอายเลยงั้นหรือ?!” จ้าวสำนักโกรธจัดพร้อมกับคำรามออกมา “เจ้าไม่อายงั้นหรือที่รับของจากศิษย์ผู้น้อย?”


“ศิษย์ไม่ควรแสดงความกตัญญูต่ออาวุโสงั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ศิษย์ของเจ้าได้มอบของขวัญให้แก่เจ้ามากมายเช่นกัน! อีกอย่างระฆังใบนี้เป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่าได้ บอกข้าสิว่าเจ้าก็ไม่อายเช่นกัน?”


“เจ้า… เจ้า… เจ้า! ไอ้คนกลับกลอก!” จ้าวสำนักโกรธจัดจนแทบจะสติแตก


บทที่ 111: แลกเปลี่ยน


ภรรยาจ้าวสำนักไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น เด็กคนนี้ไม่เคยกล่าวออกมาว่าจะมอบมันให้กับท่าน เขาเพียงแต่บอกว่าเขาไม่มีอุปกรณ์วิเศษดี ๆ และต้องพึ่งพาระฆังใบนี้”


“ฮ่า เป็นอย่างนั้นหรือ!” นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะออกมาดังสนั่น “นั่นหมายความว่าเขาจะมอบระฆังให้กับข้าถ้าหากเขามีอุปกรณ์วิเศษระดับสูงใช้สินะ! ไม่เพียงแค่อุปกรณ์วิเศษดี ๆ เท่านั้น ข้ายังสามารถมอบสมบัติชิ้นหนึ่งของข้าให้เขาอีกด้วย!”


หลังจากกล่าวจบ นักบวชฮัวอวิ๋นโยนดาบบินระดับเจ็ดออกมาให้เจ้าอ้วนอย่างไม่แยแส ราวกับว่าเขากำลังโยนเศษเงินให้กับขอทานอย่างไรอย่างนั้น


เมื่อเห็นการกระทำเช่นนั้น จ้าวสำนักถึงกับทนไม่ไหว คำรามออกมาดังลั่น “เขากล่าวเมื่อไหร่กันว่าจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า? เจ้ากำลังบังคับให้เขาทำการแลกเปลี่ยนอยู่ เจ้าคนไร้ยางอาย!”


“อ้อ สงสัยว่าจะเป็นเช่นนั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นยิ้มออกมาพร้อมหันมากล่าวกับเจ้าอ้วน “อ้วนน้อย เจ้าทำให้ข้าสติแตกมากรู้หรือไม่! ศิษย์พี่ของเจ้าจะต้องพักฟื้นถึงสิบปีและหินจิตวิญญาณมากกว่าหนึ่งล้านก้อนต้องจ่ายเป็นค่ารักษา! เรื่องนี้ทำให้ข้าไม่พอใจอย่างมาก! แต่เจ้ายังคงเป็นลูกศิษย์ในสำนักและคงไม่ดีหากข้าจะคิดแค้นเจ้า ถ้าหากในวันนี้เจ้าสามารถทำให้ข้ารู้สึกพอใจได้ ข้าสัญญาว่าเรื่องราวระหว่างเราที่ผ่านมาทั้งหมดจะนับว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถ้าหากเจ้ายังดื้อด้านกับข้า… เหอะ ๆ ต่อให้ข้าจะต้องโดนหยามว่ารังแกเด็กก็ย่อมได้!”


“เจ้าคิดว่าเจ้ามีบุตรอยู่ผู้เดียวงั้นหรือ?” จ้าวสำนักโกรธจัด “ถ้าหากว่าเจ้าคิดว่าจะสามารถข่มเหงเด็กน้อยผู้นี้ได้ ข้าบอกไว้เลยว่าเจ้าพลาดแล้ว! ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้ตายตกไป จะไม่มีผู้ใดรังแกเขาได้! เจ้าสามารถลองได้ถ้าหากไม่เชื่อคำพูดของข้า!”


“ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น สิ่งที่ท่านกล่าวมาช่างจิตใจคับแคบนัก!” ภรรยาจ้าวสำนักกัดฟันกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล


“ฮ่า ๆ อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าสิ่งที่ข้ากล่าวออกไปทั้งหมดคือเรื่องจริงจากหัวใจ ข้าต้องการสร้างมิตรไมตรีที่ดีกับอ้วนน้อยผู้นี้จริง ๆ!” นักบวชฮัวอวิ๋นเผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวออกมาพร้อมหันหน้าไปหาเจ้าอ้วน “เด็กน้อย ข้าคิดว่าเจ้าคงจะไม่ฉีกหน้าข้าหรอกกระมัง?”


เมื่อเห็นใบหน้าที่คุกคามของผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน แล้วเจ้าอ้วนจะกล่าวสิ่งใดได้งั้นหรือ? เขายิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ไม่กล้าทำเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านชอบระฆังใบนั้น ข้าจะมอบมันให้กับท่านและไม่หวังสิ่งใดตอบแทน!”


เมื่อกล่าวจบ เจ้าอ้วนส่งดาบบินกลับคืนให้เขาอย่างสุภาพ


“ฮ่า ๆ ช่างเป็นเด็กดีอะไรเช่นนี้!” นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะลั่นพร้อมกล่าวว่า “แต่การค้าย่อมเป็นการค้า ข้าได้มอบมันให้กับเจ้าแล้ว ดาบบินนี้เป็นของเจ้า จงเก็บมันซะ!”


“น่ารังเกียจ!” จ้าวสำนักตะโกนลั่น “ฮัวอวิ๋น เจ้าได้ละทิ้งใบหน้าและศักดิ์ศรีของเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว!”


“นี่ท่านจ้าวสำนัก ท่านกำลังพ่นวาจาไร้สาระอันใดอยู่? ข้าเพียงแค่ทำข้อตกลงกับเด็กน้อยผู้นี้เท่านั้น! และข้าไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์อันใดจากเขาเลย!” นักบวชฮัวอวิ๋นโกรธจัด “อย่าบอกนะว่าข้าทำผิดกฎ?!”


“แม้ว่ามันจะไม่ผิดกฎ แต่ว่าเจ้ารู้ดีว่าสิ่งนี้มันถูกต้องหรือไม่!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริมขึ้นมาหลังจากสามีของนางระเบิดอารมณ์จนถึงขีดสุดแล้ว นางกล่าวต่อ “สิ่งนี้อาจจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณที่ซ่อนตัว อย่างไรก็ตาม ท่านพยายามแลกเปลี่ยนกับเขาด้วยดาบบินระดับเจ็ดเท่านั้น ท่านคิดว่ามันเหมาะสมแล้วอย่างนั้นหรือ?”


“มันอาจจะเหมาะสมแล้วก็ได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นรีบปกป้องตนเองอย่างรวดเร็ว


“ศิษย์น้อง อย่าลืมว่านี่เป็นระฆังที่ผุพัง ข้าใช้อุปกรณ์วิเศษระดับเจ็ดซึ่งมูลค่าเทียบเท่ากับหินจิตวิญญาณหนึ่งแสนก้อนเพื่อแลกเปลี่ยน แล้วข้าเอาเปรียบเขาตรงไหนงั้นหรือ?”


“ระฆังที่ผุพัง? ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา


“ระฆังที่ใกล้จะพังใบนี้ที่ท่านกำลังกล่าวถึง มันสามารถป้องกันการโจมตีของดาบเทวะเงาครามได้! ถ้าหากคิดว่ามันเป็นของที่เสียหาย แล้วอุปกรณ์วิเศษของท่านจะถูกประเมินว่าอย่างไรกัน? ขยะในขยะอย่างนั้นหรือไง?”


“เรื่องนั้น….” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาตะลึงไปชั่วขณะ ความจริงแล้วในโลกแห่งผู้ฝึกตน ค่าของสมบัติไม่ได้อยู่ที่วัสดุ แต่อยู่ที่ความสามารถของมัน แม้ว่าระฆังใบนี้จะเป็นเพียงระฆังที่ดูใกล้พัง แต่มันกลับป้องกันการโจมตีของอาวุธวิเศษได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันควรจะอยู่ในระดับเดียวกับอาวุธวิเศษ ดังนั้นการที่นักบวชฮัวอวิ๋นได้นำอุปกรณ์วิเศษระดับเจ็ดมาแลกเปลี่ยนเช่นนี้ นับว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากผู้อื่นอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายอย่างมากในโลกของผู้ฝึกตน


“ศิษย์พี่! ศักดิ์ศรีนั้นสำคัญต่อมนุษย์ดั่งเช่นเปลือกของต้นไม้!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด และเริ่มที่จะเหยียดหยามเขา!


นักบวชฮัวอวิ๋นรู้ตัวเองแล้วว่าตอนนี้เขาเดินหมากผิดไปสักหน่อย ดังนั้น เขารีบหาคำพูดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว “ก็ได้ ตกลง! เห็นแก่ใบหน้าของศิษย์น้อง ข้าจะเพิ่มอุปกรณ์วิเศษระดับแปดให้อีกหนึ่งชิ้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่?”


“มันไม่พอ!” ภรรยาจ้าวสำนักตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ยังห่างไกลกับคำว่าเพียงพอ! ท่านจะใช้เพียงอุปกรณ์วิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนกับอาวุธวิเศษงั้นหรือ!”


“ใช้อุปกรณ์วิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนกับระฆังผุพัง? เจ้าคิดว่าข้างี่เง่างั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนออกมาอย่างอดกลั้น


“ศิษย์พี่ ท่านควรรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่พวกข้ากล่าวออกไปนั้นหาใช่เรื่องไร้สาระไม่! แต่ท่านกำลังทำตัวไร้ยางอาย! ระฆังใบนี้อาจจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณ พื้นฐานของมันอาจจะเป็นอาวุธวิเศษ แต่ท่านตั้งใจที่จะลืมเรื่องนี้!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเหยียดยาม “อย่าบอกข้านะว่าท่านคิดว่าพวกเราโง่เขลาถึงขนาดที่จะมองเรื่องแค่นี้ไม่ออก?”


“จริงอย่างที่เจ้าพูด ถ้าหากเจ้าสิ่งนี่เป็นอุปกรณ์วิญญาณจริงก็ดี แต่พวกเราทั้งหมดรู้ดีว่ามันอาจจะไม่ใช่ก็ได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมา “ศิษย์น้อง กล่าวกันตามตรง ข้าคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเสี่ยง!”


“มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงถ้าหากมันเป็นอุปกรณ์วิญญาณจริง! ถ้าหากเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าการเสี่ยงครั้งนี้คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าอะไร!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด


“นี่ยังไม่แน่ชัดอีกหรือ? ศิษย์นับร้อยที่ด้านนอกนั่นได้พิสูจน์เรื่องมหัศจรรย์นี้ทั้งหมดแล้ว!” จ้าวสำนักกล่าวเสริมอย่างเกรี้ยวกราด “เด็กน้อยของพวกเรายังยินยอมมอบอาวุธวิเศษให้ ต่อให้พวกเราไม่ต้องการ และแม้พวกเราสามีภรรยาจะข้นแค้นเพียงใด อย่างน้อยพวกเรายังต้องตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ!”


“สองชิ้น ท่านจะต้องนำอาวุธวิเศษออกมาสองชิ้น!” ภรรยาจ้าวสำนักเผยยิ้มพร้อมหันไปพูดกับเจ้าอ้วน “เราล้วนเป็นอาวุโสของเขาทั้งสิ้น อย่างน้อยพวกเราก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมเพื่อให้พวกเขาให้เกียรติกับเราหรือไม่ใช่?”


“ขอรับ เป็นเช่นนั้น!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารีบตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม “แท้จริงแล้ว ศิษย์ผู้นี้เพียงต้องการให้เกียรติ…”


“หุบปาก!” นักบวชฮัวอวิ๋นตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินและรีบตะโกนออกมา


“ศิษย์น้อง เจ้าไม่เข้าใจความหมายของลำดับฐานะ! สิ่งของชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องการและหยิบมันได้ก่อน! เพียงแค่อาวุธวิเศษเท่านั้นงั้นหรือ? ข้าจะเอามันออกมา!”


“ตกลง จงหยิบมันออกมา!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


“เรื่องนั้น…” ในขณะที่นักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับกล่าวอย่างไร้เยื่อใย “ให้เวลาข้าสักสองสามวันได้หรือไม่? ข้าไม่มีอาวุธวิเศษที่เหมาะสมกับเขาเลยในตอนนี้ ข้าจะนำมันไปมอบให้กับเขาเอง!”


เดิมทีแล้วนักบวชฮัวอวิ๋นนั้นมีอาวุธวิเศษติดตัวอยู่เสมอ แต่เขาไม่สามารถที่จะนำมันออกมาได้ มันเป็นความลับที่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ อีกอย่างคือมันเป็นอาวุธวิเศษระดับสูงที่เขาไม่สามารถจะหยิบยื่นมันออกไปได้ ดังนั้น เขาจึงต้องการเวลาสักสองถึงสามวันเพื่อไปรื้อในถังขยะว่ามีอาวุธวิเศษชิ้นไหนที่เหมาะกับเจ้าอ้วนบ้าง


จ้าวสำนักและภรรยาของเขาเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น ทั้งสองถึงกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “ต้องขออภัยต่อศิษย์พี่ การค้าก็คือการค้า การค้านี้คือมาก่อนได้ก่อน ธุรกรรมจำเป็นต้องดำเนินการด้วยสิ่งของสดใหม่แลกเปลี่ยนต่อกัน และจะไม่มีการติดค้างแต่อย่างใด หากศิษย์พี่ไม่ต้องการปล่อยมือจากสิ่งของ เช่นนั้นโอกาสที่ศิษย์พี่จะได้ครอบครองคือการจ่ายสด!”


บทที่ 112: เหตุการณ์ไม่คาดฝัน


“เป็นเช่นนั้น!” จ้าวสำนักรีบถากถางซ้ำเติมทันที “การค้าขายใดกันที่ต้องมาเฝ้ารอพวกยาจก!”


“ใครเป็นยาจก!?” นักบวชฮัวอวิ๋นคำรามออกมา “ของที่ข้าถืออยู่นี้มันไม่เหมาะสมและข้าเพียงขอเวลาสักครู่เท่านั้น!”


“ไม่จำเป็น!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริม “ไม่ใช่ว่าท่านไม่มีของที่เหมาะสมหรอก ความจริงแล้วท่านมีสิ่งของที่มีค่ามาก แต่ท่านไม่อาจทนได้ที่จะต้องมอบมันให้กับเขา!”


“เจ้าหมายถึงของสิ่งใดกัน?” นักบวชฮัวอวิ๋นถามกลับอย่างกังวลใจ


“ฮ่าฮ่า ข้ากำลังบอกว่าท่านถี่เหนียวเกินไป!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมา นางหันไปหาจ้าวสำนักและกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านยังจำดาบวิญญาณห้าธาตุได้หรือไม่!”


“เหอะ ๆ!” จ้าวสำนักเปล่งเสียงเยือกเย็นออกมาเบา ๆ “แน่นอน ข้าจำได้! ศิษย์น้องฮัวอวิ๋นได้รับสมบัตินี้จากผู้เชี่ยวชาญโบราณเมื่อสองสามทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้มันได้ แต่เขาก็ยังคงเก็บมันไว้ในครอบครองมาเป็นเวลานาน!”


“@$#!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าต้องการให้ข้านำดาบวิญญาณห้าธาตุมาแลกกับระฆังผุพังเช่นนี้? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”


“ฮ่าฮ่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าควรล้มเลิกความคิดทุกอย่างซะ! ปล่อยโอกาสนี้ไปเถิด!” ภรรยาจ้าวสำนักหันกลับมาหาเจ้าอ้วน “เด็กน้อย ข้ามีอาวุธวิญญาณมากมายให้เจ้าได้เลือกตามใจชอบ!”


“เดี๋ยว รอก่อน!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นเห็นสถานการณ์เช่นนั้น เขาตะโกนออกมาอย่างกังวลใจ หลังจากที่มีอาวุธวิญญาณมากมายมาเสนอให้ตรงหน้าและเขาอาจถูกล่อลวงออกไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ในขณะนั้น เขาก็ไม่อาจทนได้ที่จะต้องเสียดาบวิญญาณห้าธาตุ ในตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาทำได้เพียงสูดหายใจลึกพร้อมกับกล่าวออกมา “ขอข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่ ตกลงหรือไม่?”


ในขณะนั้น เจ้าอ้วนหยุดชะงักทันทีพร้อมถามออกมาว่า “นายหญิง ดาบวิญญาณห้าธาตุคืออะไร?”


“ฮ่าฮ่า มันคือดาบบินที่ประกอบด้วยธาตุ อัคคี, วารี, ไม้, พสุธาและทองคำ ดาบถูกปรับแต่งซ้ำไปมาด้วยจิตวิญญาณแห่งธาตุที่บริสุทธิ์ นอกจากนี้มันถูกปรับแต่งยาวนานนับหนึ่งหมื่นปี ส่งผลให้ดาบนี้มีจิตวิญญาณเชื่อมต่อกับผู้ใช้ได้ จากดาบห้าชิ้นถูกนำมาหลอมรวมกันจนเกิดเป็นดาบที่ทรงพลัง แม้ว่ามันจะอ่อนแอกว่าสมบัติวิญญาณ แต่ทว่ามันได้รับการยกย่องให้เป็นอาวุธวิญญาณขั้นที่เก้า!” ภรรยาจ้าวสำนักยิ้มและกล่าวต่อ “อุปกรณ์นี้เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่น่าเสียดายที่มันมีมูลค่ามากเกินไปและอาจารย์ลุงฮัวอวิ๋นของเจ้าไม่มีท่าทีว่าจะยอมละทิ้งมัน ทางเดียวที่เจ้าทำได้คือละทิ้งความคิดที่จะได้รับมันเสีย!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ศิษย์ของท่านไม่ต้องการของชิ้นนั้น ข้าเพียงต้องการระฆังของข้าคืนเท่านั้น!”


“โอ้” หลังจากเจ้าอ้วนกล่าวจบ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขาเพิ่งเผลอกล่าวบางอย่างผิดไปและรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากตนเองทันที พร้อมกับแสดงท่าทีสงบนิ่งออกมา แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายยใจ ราวกับว่ากำลังเปิดเผยความลับในใจให้ใครบางคนรู้


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ภรรยาจ้าวสำนักตกใจไปชั่วครู่ ดวงตาของนักบวชฮัวอวิ๋นสว่างเป็นประกายออกมาและเขาหัวเราะ “อ้วนน้อย ในตอนนี้อารมณ์ของข้าแปรปรวนยิ่งนัก ยิ่งเจ้าไม่ต้องการสิ่งของที่ข้ามีเท่าไหร่ ข้ายิ่งอยากจะมอบมันให้แก่เจ้า! เอ้า รับไป มันคือดาบวิญญาณห้าธาตุ! และระฆังผุพังนี้เป็นของข้าแล้ว! ฮ่าฮ่า!”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาโยนดาบบินออกมาห้าชิ้น จากนั้นเขาหัวเราะลั่นพร้อมกับบินออกไปทันทีโดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม และไม่กล่าวลาจ้าวสำนักและภรรยาแต่อย่างใด


หลังจากที่เขาออกไป และเหลือเพียงพวกเขาสามคนอยู่ในห้องโถงนี้ ภรรยาจ้าวสำนักรีบถามออกมาทันที “เด็กน้อย อย่าบอกนะว่าระฆังใบนั้นเป็นสมบัติจริง?”


“เรื่องนั้น ข้าไม่ทราบ…” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส จากนั้นเขาพุ่งความสนไปใจไปที่ดาบวิญญาณห้าธาตุที่ยาวสองฟุตทันที


เมื่อจ้าวสำนักเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขารู้สึกวุ่นวายใจทันที “เด็กน้อย เจ้าต้องบอกความจริงมา! หากมันเป็นสมบัติวิญญาณซ่อนอยู่ภายในจริง ข้าจะช่วยเพื่อนำมันกลับมาแม้ว่าข้าจะต้องตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับเขา!”


“ใช่แล้ว รีบบอกความจริงมา! เจ้าไม่ต้องกลัว เราจะไม่ยอมให้ใครสามารถข่มเหงเจ้าได้ถ้าหากเรายังไม่ตาย!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองวุ่นวายใจมากแค่ไหน เจ้าอ้วนรู้สึกตื้นตันใจอย่างมากและรีบตอบกลับพร้อมรอยยิ้มทันที “อย่าได้กังวลเลยขอรับ มันก็เป็นเพียงแค่ระฆังผุพัง จะมีสมบัติวิญญาณซ่อนอยู่ภายในได้อย่างไร!”


“จริงหรือ?” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขารีบถามต่ออย่างงุนงง “แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล่าวออกมาว่าต้องการระฆังคืนมา มากกว่าที่จะอยากได้ดาบวิญญาณห้าธาตุกันล่ะ?”


“ถ้าข้าไม่กล่าวเช่นนั้น อาจารย์ลุงฮัวอวิ๋นจะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้ข้าได้อย่างไรกัน!” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น เขากำลังนั่งลูบคลำดาบวิญญาณห้าธาตุอย่างตื่นเต้นพร้อมตอบกลับมา “สิ่งนี้มันช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน! แม้ว่าข้าจะขายชีวิตของข้าทิ้งไป ก็คงไม่สามารถจ่ายเพื่อครอบครองมันได้! แต่ในตอนนี้มีคนนำมันมาหยิบยื่นให้ข้า! เหอะ ๆ!” เมื่อจ้าวสำนักและภรรยาได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ทันที ผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยินทั้งหมดในที่นี้ถูกหลอกให้ติดกับโดยเจ้าอ้วนน้อยผู้นี้ให้แล้ว!


ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “เด็กน้อย… เรื่องเช่นนี้ เจ้าทำมันได้อย่างไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารีบปกป้องตนเองทันที “นายหญิง ข้าไม่ได้บังคับให้เขาแลกเปลี่ยนกับข้า ในทางกลับกัน เขาคือคนที่อยากได้ระฆังใบนั้นและมอบอาวุธนี้ให้กับข้าเอง! ถ้าหากมีอาวุโสหยิบยื่นสิ่งของให้กับข้า ข้าคงไม่สามารถจะปฏิเสธมันได้! ไม่เช่นนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการหักหน้าของเขา!”


ภรรยาจ้าวสำนักหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับตะโกนอย่างร่าเริง “เจ้าเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก อีกทั้งยังทำตัวไร้เดียงสาเสียด้วย!”


“ฮ่าฮ่า!” จ้าวสำนักหัวเราะออกมาดังลั่นพร้อมกล่าวอย่างชอบใจว่า “ทำได้ดีมาก! ปล่อยให้เจ้าตัวบัดซบนั่นอาเจียนเป็นเลือดเพื่อลงโทษเขาแล้วกัน! ใครสั่งสอนให้เขารังแกศิษย์ผู้น้อยกันล่ะ! เขาสมควรได้รับการกระทำเช่นนี้แล้ว!” ภรรยาจ้าวสำนักส่ายหัวพร้อมกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “เด็กน้อย เจ้าต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกต้องแล้ว อย่าลงเอยด้วยการแลกเปลี่ยนเพียงดาบวิญญาณห้าธาตุเท่านั้น ไม่เช่นนั้นในกรณีเช่นนี้เจ้าจะเสียเวลาอย่างมาก!”


“ใช่ หลังจากที่ระฆังทำให้เจ็ดคนรอบสนามประลองเลื่อนขั้นได้ เจ้าแน่ใจงั้นหรือว่ามันไม่มีสิ่งใดผิดปกติ? เจ้าแน่ใจงั้นหรือว่ามันเป็นเพียงระฆังธรรมดาเท่านั้น!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างคิดหนัก


“ข้ามั่นใจมาก!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างรอบคอบ ในขณะนั้น เขาคิดกับตนเองในใจ ‘ระฆังใบนั้นข้าสร้างมันขึ้นมาเอง ทำไมข้าจะไม่มั่นใจกันล่ะ!’


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่ได้เป็นคนโง่เขลา หลังจากที่เก็บตัวฝึกตนเรียบร้อย เขาไม่ได้ออกจากบ้านทันที เขาหยิบระฆังทองแดงที่อยู่ด้านในออกจากเหล็กดำ แน่นอนว่าภายนอกของมันไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในตอนนี้มันกลายเป็นเพียงเปลือกว่างเปล่าที่ไร้สิ่งใดอยู่ด้านใน!


เหตุผลที่เขาทำเช่นนั้นเพราะว่าระฆังใบนี้ดึงดูดสายตามากเกินไป การที่เขาทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ปกป้องสมบัติของเขาเท่านั้น ในสนามประลองที่ผ่านมา ความสามารถของมันยังอนุญาตให้แม่นางฉุ่ยจิ้งก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น แน่นอนว่าความสามารถเช่นนี้จะดึงดูดสายตาของผู้อื่นอย่างชัดเจน ในสถานการณ์เช่นนี้ การให้ระฆังทองแดงซ่อนอยู่ในเหล็กสีดำนั้นอันตรายเกินไป ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงใช้โอกาสนี้นำระฆังออกจากเหล็กดำเพื่อความปลอดภัยของมัน เจ้าอ้วนไม่ได้คาดหวังว่าการที่เขาเสียชุดเหล็กดำครอบระฆังไป จะทำให้เขาได้รับดาบวิญญาณห้าธาตุมาครอบครอง!


ที่จริงแล้วเจ้าอ้วนนั้นอยู่ในฐานะที่ร่ำรวยอย่างมาก ในตอนนี้เขามีความสุขที่ได้รับดาบวิญญาณห้าธาตุ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นมากเท่าไหร่นัก ความจริงคือเขาสามารถหลอกลวงนักบวชฮัวอวิ๋นได้ กล่าวตามตรงก็คือเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้หลอกลวงศัตรูของตนมากกว่า!


บทที่ 113: เสียงอมตะทำลายกระดูก!


หลังจากที่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว จ้าวสำนักและภรรยาได้เริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับเจ้าอ้วนใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่เจ้าอ้วนกระทำลงไปนั้นเป็นเพียงการปกป้องตนเองเท่านั้นและไม่ได้บังคับนักบวชฮัวอวิ๋นแต่อย่างใดจึงไม่นับว่าเป็นการหลอกลวง ทุกอย่างเป็นเพราะความโลภของเขาเอง จึงไม่สามารถที่จะตำหนิเจ้าอ้วนได้ อีกทั้งจ้าวสำนักและภรรยาก็ไม่ได้ต้องการจะลงโทษเขาแต่อย่างใด อีกทั้งยังสั่งให้ทำทุกอย่างให้ชัดเจนและรอบคอบในอนาคต เพื่อที่จะไม่ให้นักบวชฮัวอวิ๋นรู้ตัวว่าเสียท่าให้เจ้าอ้วนแล้ว


เจ้าอ้วนเห็นด้วยกับอาวุโสทั้งสองอย่างยิ่งและหลังจากคุยกันเรียบร้อยเขาจึงกลับออกมาด้านนอก


หลังจากเขาออกไปแล้ว จ้าวสำนักและภรรยามองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะออกมา ภรรยาจ้าวสำนักส่ายศีรษะพร้อมกล่าวออกมาอย่างอดไม่ไหว “เด็กคนนี้ เหตุใดเขาจึงไม่ซื่อสัตย์ดั่งเช่นบิดาของเขา ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเทคนิคต่าง ๆ และความคิดที่เจ้าเล่ห์!”


“ข้าคิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ดี! บิดาของเขาถูกตักตวงผลประโยชน์เพราะว่าเขาซื่อสัตย์เกินไป ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรเช่นนี้ อ้วนน้อยจะถูกเล่นงานจนตายตกได้หากเขาไร้เดียงสาเช่นบิดาของเขา!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเขร่งขรึม “ย้อนไปเมื่อครั้งที่พวกมันขับไล่อ้วนน้อยไปอยู่ที่สำนักชั้นนอก พวกมันทั้งหมดมีเจตนาชั่วร้ายและคิดว่าอ้วนน้อยไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ สถานที่เช่นนั้นไม่อาจสังหารเขาได้ แต่กลับหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม! ในความจริงสำหรับการแก้แค้นของนักบวชฮัวอวิ๋นในวันนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นของหวานสำหรับเขา!”


“ฮ่าฮ่า ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง!” ภรรยาจ้าวสำนักหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด!”


“ฮ่าฮ่า!” ทั้งสองคนหัวเราะพร้อมกันอีกครั้ง


หลังจากเจ้าอ้วนเดินออกมาจากโถงลึกลับ เขาใช้ดาบบินเพื่อบินออกไปยังพื้นที่ที่ห่างไปนับร้อยลี้ จากนั้นเขาขึ้นไปบนหน้าผาสูงหนึ่งพันฟุตและหยิบระฆังทองแดงขนาดใหญ่ออกมาจากมิติลึกลับ


ความจริงคือเหตุผลที่เจ้าอ้วนทำเช่นนี้เพราะว่าเขาจะทดสอบทักษะใหม่ของระฆังทองแดงที่เพิ่งได้รับมา คือการโจมตีด้วยเสียง!


เจ้าอ้วนได้รับความรู้ใหม่ในการใช้ระฆังหลังจากที่วันนั้นมันเกิดเสียงดังกังวานขึ้นจนทำให้มีผู้ฝึกตนรอบ ๆ ก้าวหน้าไปหนึ่งขั้นถึงหลายคน ในอดีตที่ผ่านมาเนื่องจากระดับการฝึกฝนของเขาต่ำเกินไป เขาจึงไม่อาจเชื่อมต่อกับสิ่งที่ต้องการได้ จึงทำได้เพียงใช้มันเพื่อเป็นโล่กำบังเท่านั้น หลังจากที่เขารู้ความสามารถใหม่ของมัน เจ้าอ้วนก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะฝึกฝนการใช้ระฆังใบนี้โจมตีด้วยเสียง!


เมื่อใช้จิตวิญญาณแทรกซึมเข้าไปในระฆัง เจ้าอ้วนเรียนรู้ว่าการจะทำให้ระฆังเปล่งเสียงออกมาเพื่อโจมตีจะต้องใช้ยันต์จิตวิญญาณด้วย เมื่อใส่ยันต์จิตวิญญาณลงไปแล้ว ระฆังจะเปล่งเสียงออกมาตามประเภทที่ยันต์กำหนด


ในปัจจุบัน เจ้าอ้วนสามารถสร้างยันต์จิตวิญญาณได้เพียงเจ็ดถึงแปดแผ่นเท่านั้น แต่ด้วยความสามารถของเขา เขาสามารถวาดยันต์ที่ง่ายที่สุดได้ เสียงอมตะทำลายกระดูก! ซึ่งยันต์ชนิดนี้สามารถทำให้ระฆังปล่อยคลื่นพลังเสียงแห่งการทำลายล้างที่รุนแรงมาก เสียงชนิดนี้สามารถทำลายล้างภูเขาได้เลยทีเดียว


หลังจากฝึกฝนผ่านไปหลายวัน เจ้าอ้วนจึงเข้าใจพื้นฐานของการใช้เสียงอมตะทำลายกระดูกอย่างแท้จริง แต่เขาไม่กล้าที่จะทดสอบพลังนี้ภายในมิติลึกลับของตนเอง เพราะเกรงว่ามันจะทำลายทุกอย่างในนั้น ดังนั้นการฝึกของเขาในครั้งนี้จึงล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น


หลังจากที่เจ้าอ้วนนำระฆังออกมา เขาหดมันเหลือสองฟุต จากนั้นเขายกมือขึ้นพร้อมชี้ไปที่ภูเขา วาดยันต์ซับซ้อนขึ้นมาบนอากาศปรากฏยันต์จิตวิญญาณสีเทาขึ้นมาโดยใช้เวลาเพียงชั่วครู่


แม้ว่ากระบวนการนี้จะดูง่าย แต่ความจริงแล้วมันซับซ้อนมากสำหรับเจ้าอ้วนที่อยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบเอ็ด เขาใช้ปราณจิตวิญญาณถึงแปดในสิบจึงจะวาดยันต์สำเร็จในแต่ละครั้ง อีกทั้งมันยังเป็นยันต์ที่สามารถวาดได้ง่ายที่สุดอีกด้วย เขายังไม่อาจเอื้อมถึงยันต์ชนิดอื่นได้ในตอนนี้และไม่สามารถจะใช้ยันต์ชนิดอื่นได้แม้ว่าจะทุ่มเทพลังทั้งหมดที่เขามีก็ตาม


หลังจากวาดยันต์จิตวิญญาณสำเร็จแล้ว เจ้าอ้วนหายใจอย่างหนักหน่วงพร้อมร่างกายที่ชุ่มเหงื่อ เขาไม่กล้าที่จะชักช้าพร้อมกับส่งยันต์เข้าไปในระฆังทองแดงทันที


หลังจากนั้นเจ้าอ้วนได้ยินระฆังปล่อยพลังเสียงขนาดใหญ่ไปยังภูเขาที่เขากำหนดไว้


ในเวลาต่อมา ภูเขาสูงระดับหนึ่งพันฟุตได้ถูกทำลายลงย่อยยับ มันแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยและเศษซากฟุ้งกระจายออกมาราวกับคลื่นยักษ์


เขามองเห็นการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัว จึงรีบกระโดดขึ้นดาบบินของเขาเพื่อขึ้นไปมองบนที่สูงและพบว่าภูเขาลูกนั้นไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงแต่กองหินที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง


เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนทั้งตกใจและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เขาไม่เคยคาดคิดว่ายันต์ระดับเริ่มต้นจะมีพลังทำลายล้างเช่นนี้ นี่หรือคือพลังแห่งเสียงอมตะทำลายกระดูก? พลังของมันอาจจะทำลายอุปกรณ์วิเศษที่ทำจากโลหะให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงได้เลย!


เจ้าอ้วนเป็นคนที่ได้เห็นพลังของดาบเทวะเงาคราม แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะกินยาเร่งพลังเข้าไปและปลดปล่อยพลังของดาบอย่างเต็มกำลัง แต่นางกลับไม่สามารถทำลายภูเขาได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพลังของระฆังทองแดงนี้มากกว่าดาบเทวะเงาครามหลายเท่า


นอกจากนี้สิ่งที่เจ้าอ้วนรู้ในตอนนี้เป็นเพียงการโจมตีระดับพื้นฐานซึ่งเป็นการโจมตีที่มีพลังน้อยที่สุด มันมีการโจมตีที่แข็งแกร่งกว่านี้ ซึ่งเป็นการเล็งเป้าของศัตรูไว้ก่อนแล้วจึงโจมตีคล้ายกับการนำวิถี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ทักษะเสียงอมตะทำลายกระดูกจะรุนแรงมากขึ้นถึงสิบเท่า!


เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เจ้าอ้วนคิดกับตนเองอย่างมีความสุข ‘สวรรค์ อาวุธชิ้นนี้สามารถเทียบกับอุปกรณ์วิญญาณได้แล้ว อย่าบอกนะว่ามิติลึกลับของข้านั้นก็เป็นอุปกรณ์วิญญาณด้วย!’


เจ้าอ้วนมีความสุขจนหลงลืมสิ่งที่กำลังจะทำในขั้นต่อไปชั่วครู่ จากนั้นเขาจึงกลับมาสงบนิ่งพร้อมกับกล่าวพึมพำว่า “แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องราวดี ๆ แต่ทว่าร่องรอยการแกะสลักบนพื้นผิวของระฆังราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่จริง ตราบใดที่ผู้คนที่มองเห็นไม่ได้โง่งมหรือเป็นคนวิกลจริต เขาจะรู้ทันทีว่าสิ่งนี้ไม่ใช่อุปกรณ์ธรรมดา สมบัติเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับมาโดยง่าย สิ่งที่น่ารำคาญสำหรับเรื่องนี้คือเปลือกภายนอกของระฆังถูกซื้อไปแล้วโดยนักบวชฮัวอวิ๋นและข้าไม่มีเหล็กดำเหลืออยู่เลย นี่อาจทำให้ข้าไม่สามารถนำระฆังใบนี้ออกมาเปิดเผยได้อีกต่อไป!”


“อา!” ใบหน้าของเจ้าอ้วนสว่างสดใสขึ้นมาทันทีที่เขานึกอะไรดี ๆ ออก “ข้าอาจจะมีเหล็กดำไม่มากนัก แต่ข้ายังมีลมทองแดงอยู่ ทำไมข้าจึงไม่เอาลมทองแดงมาปกคลุมสมบัติชิ้นนี้ล่ะ? ฮ่าฮ่า นี่แหละที่ข้าจะทำต่อไป ระฆังเหล็กดำของข้าหายไปแล้วและระฆังลมทองแดงได้ปรากฏตัวแทนที่! นักบวชฮัวอวิ๋นจงมาซื้อลมทองแดงของข้าเสียสิ ถ้าหากเจ้ากล้าพอ!”


เมื่อคิดเช่นนั้น เจ้าอ้วนเลิกคิดเรื่องอื่นอีกต่อไป เขาบินกลับไปยังลานเมฆหมอกของตนเองเพื่อสร้างระฆังลมทองแดงขึ้นมาใหม่ทันที!


บทที่ 114: ความโกรธของฮัวอวิ๋น


ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังริเริ่มสร้างระฆังลมทองแดงขึ้นมาใหม่ นักบวชฮัวอวิ๋นกำลังทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับเขา ในตอนนี้เขากำลังถอดเหล็กสีดำออกอย่างระมัดระวัง


เขาไม่ค้นพบสิ่งลึกลับใด ๆ จากการสำรวจด้วยจิตวิญญาณของตน เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจชำแหละระฆังใบนี้เสีย เขาบรรจงแกะมันออกความลึกไม่เกินหนึ่งนิ้วเพราะเกรงว่าจะพลาดสิ่งสำคัญไป


ระฆังใหญ่โตและหนักเป็นล้านจิน แม้ว่าจะนักบวชฮัวอวิ๋นจะอยู่ในระดับหยวนหยินก็ไม่สามารถแยกมันออกจากกันโดยง่าย โครงสร้างของมันใหญ่เกินไปและต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแยกชิ้นส่วน


สวรรค์ช่วย นักบวชฮัวอวิ๋นเรียกศิษย์ระดับจินตันมาสองคนเพื่อช่วยเหลือในครั้งนี้ หลังจากที่ไม่ได้หลับนอนกันมาสองคืน ระฆังเหล็กดำถูกทำลายลงจากขนาดหนึ่งพันฟุตเหลือเพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น แต่อุปกรณ์วิญญาณที่พวกเขากำลังค้นหานั้นกลับไม่มี!


เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ นักบวชฮัวอวิ๋นที่สูญเสียดาบวิญญาณห้าธาตุเริ่มกระวนกระวายใจ ใบหน้าของเขาคร่ำเครียดพร้อมกับจ้องมองไปยังศิษย์ที่มาช่วยอย่างอ่อนใจ เขากล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “พวกเจ้าค้นพบอะไรบ้างหรือไม่?”


“เรียนท่านอาจารย์ พวกเราไม่พบสิ่งใดเลยขอรับ!” ศิษย์ทั้งสองส่ายหัวอย่างหมดหนทาง


“พวกเจ้าไม่พบอะไรจริงหรือพวกเจ้ากำลังปกปิดข้าอยู่กันแน่!” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล


เมื่อเห็นว่าอาจารย์สงสัยพวกเขา ศิษย์ทั้งสองตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว หนึ่งในนั้นรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ เราทั้งสองคนอยู่ภายในสายตาของท่านตลอดการทำงาน แล้วเหตุใดเราทั้งสองจึงจะมีความกล้าหาญที่จะเล่นตลกกับท่านได้กัน?!”


“ใช่แล้วท่านอาจารย์! เราเป็นศิษย์ที่มีแต่ความซื่อสัตย์ต่อท่าน แล้วเหตุใดจึงจะกระทำการไร้สาระเช่นนั้นได้?” อีกคนรีบกล่าวเสริมทันที “ข้าคิดว่ามันไม่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างในตั้งแต่แรกแล้ว! ท่านอาจจะถูกเจ้าอ้วนนั่นล่อลวงเสียแล้ว!”


“ฮึม…” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นเพื่อทบทวนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง


แท้จริงถึงแม้ว่านักบวชฮัวอวิ๋นมีอายุไม่กี่ร้อยปีแต่เขาก็มองเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากมาย เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นอาวุโสที่ฉลาดหลักแหลม ปกติแล้วลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้าอ้วนไม่อาจล่อลวงเขาได้ แต่ในเวลานี้นักบวชฮัวอวิ๋นถูกความโลภครอบงำอย่างสมบูรณ์แบบ เขาหมกหมุ่นอยู่กับการค้นหาอุปกรณ์วิญญาณโดยลืมมองแผนการของเจ้าอ้วน ในตอนนี้เขาสงบลงแล้วและนึกถึงท่าทีของเจ้าอ้วนในวันนั้น ไม่ว่าเขาจะมองมันยังไงมันก็กลายเป็นเรื่องตลกอย่างแท้จริง!


เช่นนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นจึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าเขาถูกเจ้าอ้วนหลอกเข้าให้แล้ว! เขาคำรามออกมาดังสนั่น “ไขมันที่บัดซบ! เจ้าไขมันบัดซบนั่นบังอาจมากที่กล้าลูกไม้กับข้า! มันทำให้ข้าติดกับดักในช่วงเวลาที่ข้าประมาท!”


เมื่อศิษย์ระดับจินตันได้ยินเช่นนั้น คิ้วของพวกเขาขมวดติดกันแน่นพร้อมกล่าวว่า “ท่านอาจารย์! พวกเราไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉย ๆ ได้! พวกข้าจะไปพบเจ้าอ้วนพร้อมกับขอคำอธิบาย!” ในขณะที่พวกเขากล่าวเช่นนั้น พวกเขาหันหลังพร้อมจะเดินออกไปทันที


“กลับมา!” นักบวชฮัวอวิ๋นเรียกพวกเขากลับมาอย่างขุ่นเคือง “การแลกเปลี่ยนนี้เสร็จสมบูรณ์ทุกประการโดยมีจ้าวสำนักและภรรยาของเขาเป็นพยาน นอกเหนือจากนั้นเราทั้งสองฝ่ายเต็มใจ ด้วยสถานะของข้า จะให้ข้ากลับไปแก้ไขได้อย่างไร! พวกเจ้าคิดว่าใบหน้าของข้ามันมีมากมายเท่าไหร่กันหรือ!?”


“แต่อาจารย์… เจ้าบ้านั่นมันหลอกลวงท่าน…” ศิษย์ทั้งสองกล่าวออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์


“มันใช้คำพูดของมันและท่าทีต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงข้า และมันก็ไม่ได้โกหกข้าแต่อย่างใด ในตอนนี้ข้าทำได้เพียงตำหนิความโลภของตนเองซึ่งเป็นสาเหตุให้ข้าถูกล่อลวงโดยง่ายเช่นนี้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างเศร้าโศก “ส่วนเจ้าอ้วนบัดซบนั่นแม้ว่ามันจะอายุน้อยแต่ทว่าฝีมือและสมองของมันช่างหลักแหลมยิ่งนัก!”


“แต่ท่านอาจารย์ อย่าบอกข้านะว่าท่านจะปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดนี้ผ่านไป?” ศิษย์ทั้งสองถามกลับอย่างปวดหัว “ดาบวิญญาณห้าธาตุเป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง ดาบแต่ละใบที่ประกอบไปด้วยธาตุที่บริสุทธิ์ทั้งห้านั้นหาได้ยากยิ่ง และมันกำลังพัฒนาจิตวิญญาณของตนเอง ในอีกไม่กี่ร้อยปี มันจะกลายเป็นอุปกรณ์วิญญาณอย่างแท้จริง เหตุใดเราจึงปล่อยสิ่งของที่มีค่าเช่นนั้นให้กับเจ้าอ้วนบัดซบนั่นอย่างง่ายดาย?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นรู้สึกราวกับว่าถูกมีดปักเข้าที่กลางขั้วหัวใจของเขา ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือ จิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าที่บริสุทธิ์นั้นไม่ได้หากันง่าย ๆ มันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้จากการสะสมที่มากพอของจิตวิญญาณเท่านั้น ในรอบหนึ่งหมื่นปี จะมีปรากฏออกมาให้เห็นเพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ที่จะสามารถกำเนิดพวกมันได้ นับว่าหาได้ยากยิ่งกว่า เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่ายเลย


ในช่วงชีวิตไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา นักบวชฮัวอวิ๋นยังไม่เคยเห็นองค์ประกอบจิตวิญญาณทั้งห้าที่นำมาทำดาบชุดนี้ ในแต่ละบุคคลกับดาบแต่ละเล่มจะมีจิตวิญญาณที่สอดคล้องกัน เพียงแค่จุดนี้จุดเดียวก็สามารถดึงพลังของดาบออกมาใช้ได้อย่างมหาศาลแล้ว


นอกจากนี้จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์นั้นมีพลังอยู่ในตนเอง ดังนั้นถ้าหากมันได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง แน่นอนว่าในอนาคตมันจะกลายเป็นอุปกรณ์วิญญาณอย่างแท้จริง


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดาบวิญญาณห้าธาตุนั้นมีองค์ประกอบของจิตวิญญาณของธาตุทั้งห้า ผู้ที่ใช้มันจะต้องมีองค์ประกอบทั้งห้าอยู่ในร่างกาย ถ้าไม่เช่นนั้นความสามารถของดาบจะแสดงออกมาได้ไม่สมบูรณ์ เช่นผู้ฝึกตนธาตุอัคคีอย่างนักบวชฮัวอวิ๋นจะไม่สามารถใช้ดาบเหล่านี้ได้อย่างเต็มพลัง มีเพียงดาบที่เป็นธาตุอัคคีเท่านั้นที่เขาสามารถใช้มันได้ ส่วนธาตุที่เหลือก็ไม่ต่างกับปาหี่เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยใช้มันมาก่อน


แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นก็ยังให้ความสำคัญกับดาบพวกนี้ ในครั้งแรกเขาต้องการนำมันไปแลกกับอุปกรณ์ชั้นสูงที่เหมาะสมกับตนเอง แต่เนื่องจากดาบนี้ต้องการผู้ใช้ที่มีองค์ประกอบทั้งห้า นักบวชฮัวอวิ๋นจึงไม่เคยพบเจอผู้ซื้อที่เหมาะสมสักครั้ง ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงเหมาะสมที่จะทำการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ที่สุด


ตอนนี้นักบวชฮัวอวิ๋นได้สูญเสียทั้งแม่ไก่และไข่ไก่จนสิ้น เขาใช้ดาบอันล้ำค่าเพื่อแลกกับกองเหล็กขนาดยักษ์ แล้วเช่นนี้เขาจะสามารถแบกรับความเจ็บปวดนี้ไว้เฉย ๆ ได้อย่างไร?


แต่เป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักและอยู่ในระดับหยวนหยิน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาใบหน้าของเขาออกไปเผชิญและค้นหาเจ้าอ้วนเอง แต่เขายังไม่ได้ประกาศออกไปว่าเขาถูกเจ้าอ้วนหลอกลวง ในที่สุดเขาก็นึกอะไรดี ๆ ออกพร้อมกับพูดอย่างเร่งรีบว่า “ตามข้ามาและไปพบจ้าวสำนัก ทั้งสองคนนี้จะต้องให้ความยุติธรรมกับข้าได้แน่! พวกเขารวมหัวกันหลอกลวงข้า!” หลังจากกล่าวจบ เขาสะบัดมือและเก็บเศษเหล็กขนาดใหญ่พร้อมกับออกไปยังสถานที่ของจ้าวสำนักทันที


ในเวลาเพียงชั่วครู่ นักบวชฮัวอวิ๋นเดินทางมาถึงลานของจ้าวสำนักและภรรยา


เมื่อมองเห็นใบหน้ากระวนกระวายใจของนักบวชฮัวอวิ๋น จ้าวสำนักและภรรยาของเขาจ้องมองมาเพื่อเป็นการถามว่าเขามาที่นี่ด้วยเหตุใด และคิดในใจว่าน่าจะเป็นเพราะระฆังใบนั้นอย่างแน่นอน


เห็นนักบวชฮัวอวิ๋นเดินเข้ามาด้วยความโกรธเคืองและดวงตาที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันจากการอดหลับอดนอนถึงสองวัน จ้าวสำนักรู้สึกมีความสุขมากที่ได้เห็นใบหน้าเช่นนี้ของนักบวชฮัวอวิ๋น เขากล่าวต้อนรับอย่างร่าเริง “ไอหย๋า นี่ใช่ศิษย์น้องฮัวอวิ๋นหรือไม่? เจ้าค้นพบอุปกรณ์วิญญาณหรือไม่? แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”


บทที่ 115: เทพธิดาเหมยฮวา


เมื่อรับรู้ถึงสีหน้าของการเยาะเย้ยที่จ้าวสำนักแสดงออก นักบวชฮัวอวิ๋นยิ่งโกรธมากขึ้นและคิดแค้นว่าจ้าวสำนักสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าอ้วนเพื่อหลอกเขา ดังนั้น เขาตะโกนสุดเสียงทันที “สมบัติวิญญาณกับหัวเจ้าน่ะสิ! ข้างในมันไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ! พวกเจ้ารวมหัวกันเพื่อหลอกข้า!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นโบกมือและนำพาเศษเหล็กมากมายออกมาจากที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งทำให้ลานนี้เต็มไปด้วยเศษเหล็กดำ


ในขณะนั้น เหล่าดอกไม้และมัจฉาในลานที่โชคร้ายถูกบดขยี้โดยเศษซากของเหล็กดำ บ่อน้ำที่ใสสะอาดบัดนี้กลายเป็นน้ำเน่าเต็มไปด้วยเศษเหล็ก ซึ่งทุกอย่างเป็นการเลี้ยงดูของจ้าวสำนักทั้งสิ้น ภายในชั่วพริบตาลานแห่งสรวงสวรรค์นี้ได้กลายเป็นลานที่เต็มไปด้วยเหล็กดำอย่างสมบูรณ์แบบ จ้าวสำนักและภรรยาของเขากำลังเพลิดเพลินกับชายามบ่ายก็ไม่อาจคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกระทำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะการรับมืออย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าพวกเขาจะถูกฝังอยู่ในเหล็กดำ


ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้จ้าวสำนักแทบนั่งไม่ติดและต้องการคำขอโทษ เขาเห็นเพียงชาสุดที่รักของเขาถูกเหล็กสีดำบดขยี้จนเป็นผุยผง เพียงแค่นั้นความโกรธก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


“ฮัวอวิ๋น นี่เจ้ากำลังหาเรื่องใช่หรือไม่!?” จ้าวสำนักดึงดาบมังกรเทวะอัคคีออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นใส่ปราณจิตวิญญาณลงไปทำให้ดาบเปล่งแสงสีแดงออกมาฉาบไปทั่วบริเวณลาน


ขอบคุณสวรรค์ที่ภรรยาของเขาใจเย็นและรีบหยุดมือของสามีไว้อย่างทันท่วงที นางขอให้เขาลดดาบลง พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างผิดหวัง “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น ถ้าหากท่านมีสิ่งใดจะพูด ท่านสามารถพูดได้เลย แต่ท่านใช้เหตุผลอะไรมาทำลายลานของเรางั้นหรือ?!”


นักบวชฮัวอวิ๋นต้องการเพียงนำเหล็กสีดำออกมาเพื่อพิสูจน์ความจริงของเขา แต่ด้วยพายุแห่งความโกรธครอบงำ เขาจึงกระทำมันลงไปอย่างเกรี้ยวกราด จึงส่งผลเช่นนี้ออกมา ทุกสิ่งภายในลานนี้มีมูลค่ามากมายและถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมกลับถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์


นักบวชฮัวอวิ๋นที่โดยแท้จริงแล้วไม่ได้ต้องการให้ผลลัพธ์มันเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะทำผิด เขาก็ยังกล่าวออกมาอย่างไร้ยางอาย “ลานนี้มีมูลค่าเท่าไหร่กัน? ทำไมพวกเจ้าจึงไม่กล่าวออกมาว่าพวกเจ้าทั้งหมดรวมหัวกันหลอกข้าเพื่อแย่งชิงดาบวิญญาณห้าธาตุ?”


“ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น ท่านพูดออกมาได้อย่างไร!” ภรรยาจ้าวสำนักขมวดคิ้วแน่นพร้อมกล่าวว่า “พวกเราไปสมรู้ร่วมคิดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”


“เจ้ากล้าพูดงั้นหรือว่าเจ้าไม่ได้ทำ?” นักบวชฮัวอวิ๋นคำรามออกมา


“แน่นอน พวกเราไม่ได้ทำ!” ภรรยาจ้าวสำนักยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่ยังคงจำได้ดีว่าเมื่อสองสามวันก่อนเราคุยเรื่องระฆังใบนั้นว่าอย่างไร? ขณะนั้นเด็กคนนั้นกำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในลานของเขาและเราส่งคนไปเฝ้าเขาที่หน้าประตู เมื่อเขาออกมา เขารีบมาพบเราทันที! ในขั้นตอนทั้งหมดนี้ คิดว่าข้าทั้งสองจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาก่อนหรือไม่?”


“เรื่องนั้น…” นักบวชฮัวอวิ๋นชะงักไปชั่วครู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความจริงหลังจากที่เขาได้รับข่าวสาร เขาส่งผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันไปหาเจ้าอ้วนทันที จึงทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถติดต่อกับเขาได้ก่อนจะมาพบเจอเขา


อย่างไรก็ตาม นักบวชฮัวอวิ๋นยังคงเถียงออกมาอย่างไร้เหตุผล “พวกเจ้าอาจจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นก็ได้!”


เมื่อได้ยินคำพูดโง่เขลาเช่นนั้น ภรรยาจ้าวสำนักเอ่ยปากออกมาอย่างเหลืออด“ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น ท่านมองเราสองคนสูงเกินไป! เราทั้งสองไม่ได้ร่ำเรียนเคล็ดวิชาจากเทพธิดาพยากรจากศิษย์พี่หญิงมาและไม่มีความสามารถที่จะทำนายอนาคตได้!”


“แต่เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้าไม่รู้ว่าไม่มีอะไรอยู่ในระฆังใบนี้?” นักบวชฮัวอวิ๋นสอบสวนอย่างไม่ลดละ


“#$%@!$#!” ในขณะที่จ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาตะโกนออกมาดังลั่น “ไม่เพียงแต่เราไม่รู้จักมันมาก่อน เราก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันมีหรือไม่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน!”


“แน่นอนว่ามันไม่มี! เจ้าเห็นหรือไม่ว่าข้าหั่นมันเป็นชิ้น ๆ แล้ว? แต่ข้ากลับไม่พบสมบัติบ้าอะไรในนี้เลย!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างแค้นเคือง


“เหอะเหอะ สำหรับคนเก่งอย่างศิษย์น้องฮัวอวิ๋น กลับมาบอกว่าไม่พบอะไรเลยแม้ว่าเจ้าจะพบบางอย่างก็ตาม!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม “ดังนั้น เจ้าจึงมาที่นี่เพื่อร้องเรียนและจะขอยกเลิกการแลกเปลี่ยน ถูกต้องหรือไม่?”


“อะไรกัน!?” นักบวชฮัวอวิ๋นรีบตะโกนออกมา “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้ากำลังใส่ร้ายเจ้างั้นหรือ?!”


“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้ทำ?” จ้าวสำนักกล่าวอย่างเยือกเย็น “เขาไม่เต็มใจที่จะขายมัน แต่เจ้ากลับยืนกรานที่จะซื้อมันให้ได้ หลังจากนั้นไม่กี่วัน เจ้ารู้สึกว่าเจ้าถูกเอาเปรียบและวิ่งป่าวประกาศไปทั่วว่าพวกเราหลอกลวงเจ้า! ศิษย์น้อง เจ้าช่วยมีขีดจำกัดความไร้ยางอายของเจ้าหน่อยได้หรือไม่!”


“บัดซบ ข้าเป็นคนน่ารังเกียจอย่างนั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นต้องการคำอธิบาย


“ถ้าหากในอดีต ข้ายังถือว่าเจ้าคืออาวุโสที่เปี่ยมไปด้วยชื่อเสียง แต่ว่านับตั้งแต่ที่เจ้าข่มเหงเด็กและข่มขู่ขอซื้อระฆังเหล็กดำจากอ้วนน้อย… เหอะเหอะ!” จ้าวสำนักหัวเราะเยือกเย็นพร้อมกล่าวเสริม “ศิษย์น้องฮัวอวิ๋น ข้ารังเกียจเจ้าจริง ๆ!”


“อา!!” นักบวชฮัวอวิ๋นโกรธจัดอย่างสมบูรณ์แบบเขาตะโกนออกมาเสียงดังไปทั่วท้องฟ้าและเตรียมพร้อมจะดำเนินการบางอย่าง


ภรรยาจ้าวสำนักรีบหยุดเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนที่จะบานปลายพร้อมกล่าวออกมาว่า “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น นี่เป็นการตัดสินใจของท่านเอง ไม่มีใครบังคับให้ท่านกระทำเช่นนั้น ในฐานะของอาวุโส ข้าไม่คิดว่าท่านจะสร้างความลำบากให้กับศิษย์ผู้น้อยด้วยเรื่องนี้ โปรดคิดด้วยว่านี่เป็นการกระทำของท่านเองทั้งนั้น!”


“ข้าใช้ดาบวิญญาณห้าธาตุเพื่อแลกกับเศษเหล็กกองโตพวกนี้และเจ้ากลับพูดออกมาว่าให้ข้าคิดถึงการกระทำของตนเอง?” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกรออกมาอย่างเกรี้ยวกราด


“ระฆังใบนั้นถูกทำลายลงจนเหลือเพียงเท่านั้นหรือมันไม่ได้เป็นสมบัติวิญญาณจริง ๆ พวกเราไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่พวกเราสามารถรับรองได้คือเราไม่ได้ร่วมมือกับเด็กเพื่อหลอกลวงท่าน!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวต่ออีกว่า “ในกรณีเช่นนี้ เรื่องนี้สิ้นสุดลงที่นี่ ไม่ว่าท่านจะโชคร้ายหรือโชคดี มันคือการแลกเปลี่ยนของท่านทั้งหมด หวังว่าท่านคงจะไม่สร้างความลำบากให้กับเด็กน้อยผู้นั้น!”


“เหอะเหอะ ข้าได้วางแผนหนทางที่ยากลำบากไว้สำหรับมันจนหมดสิ้นแล้ว พวกเจ้าจะสามารถทำสิ่งใดได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างร้ายกาจ


เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขารีบตะโกนออกมา “ลองดูถ้าเจ้ากล้าพอ!”


ภรรยาจ้าวสำนักรีบหยุดจ้าวสำนักที่เกรี้ยวกราดทันทีพร้อมกับหันไปหานักบวชฮัวอวิ๋นและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ศิษย์พี่ ท่านและสามีของข้านั้นไม่เคยลงรอยกันและไม่เคยเป็นแบบอย่างที่ดี ตำแหน่งของข้าในตอนนี้ค่อนข้างลำบากและข้าช่วยหยุดพวกท่านไม่ให้ลงมือกันเรื่อยมา แต่ในขณะนี้ถ้าหากท่านต้องการจะสร้างความลำบากให้กับเด็ก ข้าจะร่วมมือกับสามีของข้าเพื่อต่อต้านกับท่านจนถึงวาระสุดท้าย!”


เมื่อฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาใจเย็นลงทันที ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือ ทั้งเขาและจ้าวสำนักมีความสามารถเท่ากัน ความแตกต่างมีไม่มากนัก พวกเขามีสิทธิ์ที่จะชนะทัดเทียมกัน เช่นนั้นเขาจึงไม่เกรงกลัวต่อจ้าวสำนักแต่อย่างใด แต่ถ้าหากจ้าวสำนักและภรรยาของเขาร่วมมือกัน ความพ่ายแพ้จะตกเป็นของเขาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้


แม้ว่านักบวชฮัวอวิ๋นจะโกรธจนหัวร้อน แต่เขาก็ไม่โง่เขลาที่จะยื่นมือเข้าไปสู้กับทั้งสองคน ดังนั้น เขากระทืบเท้าของตนพร้อมกล่าวออกมาอย่างแค้นเคืองว่า “ดี ดีมาก ดียิ่งนัก! ถ้าไม่อาจข่มเหงเจ้าทั้งสองคนได้ ข้าจะไปหาศิษย์น้องของข้าเพื่อขอความยุติธรรม!” เมื่อเขากล่าวจบ ร่างกายของเขาหายไปทันทีพร้อมกับเหลือเพียงแสงจาง ๆ ทิ้งไว้ในลาน


ในขณะที่นักบวชฮัวอวิ๋นกำลังทะเลาะกับจ้าวสำนักและภรรยาของเขา มีหญิงสาวสวมชุดขาวนั่งวาดภาพบนกระดาษสีขาวด้วยพู่กันแบบสบาย ๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่


กระดาษนั้นเป็นเพียงกระดาษธรรมดา พู่กันก็เป็นเพียงพู่กันธรรมดา แต่ทว่ารูปภาพที่กำลังวาดนั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย


นางมีพรสวรรค์และเสน่ห์อันน่าหลงใหล ใบหน้าที่งดงามและอ่อนโยน แม้ว่านางจะดูคล้ายกับหญิงสาววัยกลางคน แต่นางกลับมีกลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่เล็ดลอดออกมาจากตัวเสมอ


ในขณะที่นางกำลังตวัดมือขาวราวหิมะ ภาพของเทวะจันทราวารีเสร็จสมบูรณ์ มันส่งกลิ่นอายของความลึกลับออกมาทำให้ดูเป็นมากกว่าภาพวาด


เพียงแต่ในขณะนั้น มีหญิงสาวเดินออกมาจากในป่า นางเพิ่งออกมาจากการศึกษากฏแห่งสวรรค์ในการเก็บตัวฝึกฝน ผู้นั้นคือแม่นางฉุ่ยจิ้ง


นางถือถาด พร้อมกับหม้อชาและถ้วยสองใบ เดินอย่างงดงามไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ นางวาดถาดลงพร้อมกับกล่าวทักทาย “ท่านอาจารย์ ศิษย์ของท่านต้มชาหอมมาไว้สำหรับท่าน!”


“โอ้!” หญิงสาวผู้งดงามจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเทพธิดาเหมยฮวา นางโยนพู่กันออกไปอย่างลวก ๆ และเริ่มมองฉุ่ยจิ้งอย่างรอบคอบ จากนั้นนางพลันร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “ข้าไม่เคยคาดหวังให้เจ้าก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้เลย! ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เจ้าเข้าใจเคล็ดวิชาจันทราวารีลึกลับแล้วงั้นหรือ อีกทั้งยังสามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระ ตอนแรกข้าคิดว่าต้องใช้ระยะสักห้าปีเจ้าจึงจะเข้าใจมันเสียด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้เจ้าทำได้แล้ว ความสามารถของเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก!”


“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการสอนที่เป็นเลิศของท่านอาจารย์!” แม่นางฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมความเอียงอาย


“ผิดแล้ว ความคืบหน้าทั้งหมดนี้เป็นของเจ้าไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะบุรุษผู้นั้นที่ฝึกฝนคู่กับเจ้า!” เทพธิดาเหมยฮวาแกล้งทำหน้าเศร้าหมอง “ข้าละอายยิ่งนัก อาจารย์ของเจ้าไม่อาจเทียบชั้นกับบุรุษผู้นั้นได้!”


เมื่อแม่นางฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางแทบจะเป็นลมในทันที หญิงสาวผู้ไร้เดียงสาจะสามารถจัดการกับสิ่งที่อาจารย์ของนางกำลังล้อเล่นได้อย่างไร? มีเพียงความเงียบงันที่นางทำได้ในตอนนี้


“ท่านอาจารย์ ท่านกำลังพูดถึงสิ่งใด?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ


“ฮ่าฮ่า!” ขณะที่ฉุ่ยจิ้งกำลังขุ่นเคืองกับคำพูดของเหมยฮวา แต่นางกลับหัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ศิษย์ของข้า เพียงแค่วลีเดียวสามารถทำให้จิตใจของเจ้าสับสนวุ่นวายแล้วงั้นหรือ เรื่องเช่นนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้! เจ้าจะต้องพัฒนาอีกมาก!”


สุดท้ายแล้วแม่นางฉุ่ยจิ้งก็เข้าใจว่านางถูกอาจารย์ทดสอบอยู่ แต่ยังก็ยังคงไม่พอใจ “ท่านอาจารย์ ศิษย์รู้ว่าศิษย์ไม่สามารถ แต่ท่านกล่าวกับข้าเกินไป!”


“มันไม่เหมาะสมงั้นหรือ? ข้าได้แสดงความเมตตาแล้ว หรือเจ้าต้องรอจนกว่าจะได้พบพานกับบุคคลที่เป็นปีศาจก่อน จึงจะเรียกว่าเหมาะสม!?” เทพธิดาเหมยฮวาเม้มปากแน่นพร้อมกล่าวเสริมว่า “การแข่งขันสำหรับแย่งชิงผลไม้วิญญาณจะเริ่มขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า นั่นคือสนามที่จะไม่มีผู้ใดแสดงความเมตตาต่อกัน คำพูดของผู้คนเหล่านั้นโหดร้ายเกินกว่าจะคาดเดาได้ พวกเขาสามารถทำได้มากกว่าการล่อลวงเพื่อผลประโยชน์ หากเจ้าไม่สามารถปรับตัวได้ สภาพจิตใจของเจ้าจะพังพินาศด้วยคำพูดเพียงคำเดียว นั่นไม่อาจทำให้เจ้าใช้เคล็ดวิชาพยากรได้อย่างใจเย็น เพียงแค่คาถาวารีธรรมดาของเจ้า มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ถ้าหากเจ้าไม่ระมัดระวัง เจ้าจะไม่สามารถรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้!”


“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” เมื่อแม่นางฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางรู้แจ้งในทันที ดวงตาของนางกลับคืนสู่ความสงบและสถานะภายในใจกลับสู่ความเงียบเหงาเช่นเดิม


เมื่อเห็นเช่นนั้น เทพธิดาเหมยฮวาพยักหน้าด้วยความพอใจพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ดีมากที่เจ้าเข้าใจ วิชาจันทราวารีลึกลับเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของวิชาเทวะจันทราวารี ดังนั้นเจ้าสามารถลบล้างคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าได้ แต่การฝึกฝนที่สมบูรณ์แบบนั้นไม่มีอยู่จริง วิชาจันทราวารีลึกลับก็เช่นกัน ความอ่อนแอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความต้องการของจิตใจ ถ้าหากเจ้าได้รับผลกระทบใดจนกลายเป็นอารมณ์ในเชิงลบ พลังของเจ้าจะถูกหักล้างและเปราะบางมาก มีโอกาสที่เจ้าจะพ่ายแพ้ ดังนั้นจงเน้นการฝึกฝนจิตใจให้มาก และเจ้าจะรู้แจ้งถึงความสงบของวารีและจะไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย”


บทที่ 116: ตัวเลือกแห่งโชคชะตา


“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างใจเย็น “ท่านอาจารย์วางใจได้ ศิษย์ของท่านจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอย่างแน่นอน!”


“จริงหรือ?” เทพธิดาเหมยฮวาหัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “ให้อาจารย์ทดสอบเจ้าอีกครั้ง หากเจ้าสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าเข้าไปต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลไม้วิญญาณ!”


“ท่านอาจารย์ได้โปรดทดสอบข้า” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับด้วยความอ่อนน้อมอย่างถึงที่สุด


“ดี ดีแล้ว ดีมาก!” เทพธิดาเหมยฮวาชมเชยออกมาสามครั้ง พร้อมกับเผยรอยยิ้มแห่งความเจ้าเล่ห์ “ศิษย์ของข้า รีบบอกอาจารย์ของเจ้ามาว่าช่วงกลางวันแสก ๆ ในที่โล่งแจ้ง เจ้าได้ฝึกฝนแบบคู่กับอ้วนน้อย เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างที่ต้องเปิดเผยกับเขาเช่นนั้นในเวลากลางวัน?”


เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนสีทันที มันร้อนวูบวาบและเปลี่ยนเป็นสีแดง สีขาว สีม่วง สลับกันไป หลังจากที่ใบหน้าของนางเปลี่ยนสีครบสามครั้ง นางร้องไห้ออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ตอนที่ข้าทำ… ทำมันในกลางวันแสก ๆ?” เมื่อนางกล่าวถึงวิชาจันทราวารีทำให้นางทรุดลงอีกครั้งหนึ่ง


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น เทพธิดาเหมยฮวาหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ของข้า เจ้าแพ้อีกแล้ว! แล้วข้าจะสบายใจได้อย่างไรถ้าหากเจ้าต้องไปเผชิญหน้ากับเหล่าปีศาจที่โหดร้ายเหล่านั้น?”


“แต่… แต่ว่าท่านอาจารย์ คำพูดของท่านมันน่าเกลียดมากจริง ๆ” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างเศร้าโศก


“เด็กน้อยเอ๋ย เชื่อข้าเถิด” เทพธิดาเหมยฮวากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เหล่าศิษย์แห่งสำนักนี้น่ากลัวกว่าข้าเป็นร้อยเท่า เรียกพวกเขาว่าปีศาจ! ถ้าหากเจ้าไม่สามารถผ่านการทดสอบของข้าได้ เจ้าอาจจะต้องตายตกไปในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลไม้วิญญาณ”


เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางโกรธทันที จากนั้นนางขมวดคิ้วทันทีหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่อาจารย์กล่าว นางสูดหายใจลึก ๆ พร้อมกับเข้าสู่สภาวะสงบนิ่ง จากนั้นนางจึงกล่าวออกมาอย่างสุขุม “ท่านอาจารย์ ศิษย์เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าศิษย์ของท่านยังขาดในส่วนนี้อยู่และไม่สามารถเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนั้นได้ อย่างไรก็ตาม ศิษย์ของท่านไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ข้าตัดสินใจแล้วถ้าหากข้าจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าปีศาจในสำนัก ข้าจะปิดการได้ยินของตนเอง อย่างไรก็ตามด้วยเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรของข้า ข้าจะจัดการกับพวกเขาได้แม้ว่าข้าจะหูหนวก”


เมื่อเทพธิดาเหมยฮวาได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางสว่างสดใสพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “ดีมาก เจ้าทำได้ดีมาก เจ้ามีวิธีแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก อาจารย์ภูมิใจในตัวเจ้าจริง ๆ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเรื่องนี้คงไม่สำคัญนัก ข้าคิดว่าเจ้าสอบผ่าน”


“ขอบคุณท่านอาจารย์!” เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางยิ้มออกมาอย่างร่าเริง “ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าขออนุญาตไปแย่งชิงผลไม้วิญญาณได้หรือไม่?”


เทพธิดาเหมยฮวาตอบกลับด้วยรอยยิ้มลึกลับ “ความจริงแล้วเจ้าสามารถไปได้ แต่เจ้าต้องการมันจริง ๆ งั้นหรือ?”


ฉุ่ยจิ้งตกใจเมื่อได้ยินเทพธิดาเหมยฮวากล่าวเช่นนั้น นางถามกลับด้วยความงุนงง “ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น?”


เทพธิดาเหมยฮวาไม่ได้ตอบคำถาม นางลุกขึ้นยืนช้า ๆ และมองไปยังป่าต้นบ๊วยพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ของข้า บอกความจริงกับข้ามา หลังจากที่เจ้าได้ฝึกฝนควบคุมอารมณ์มานานนับหลายปี จิตใจของเจ้าน่าจะสงบนิ่งดั่งเช่นวารี แต่เหตุใดจิตใจของเจ้ากลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดายโดยอาจารย์ถึงสองครั้งกันเล่า?”


“เรื่องนั้น… เรื่องนั้นเพราะว่าคำพูดของท่านอาจารย์เฉียบแหลมจนเกินไป!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับมาพร้อมหัวเราะอย่างขมขื่น


“ฮ่า ๆ งั้นหรือ?” เทพธิดาเหมยฮวาไม่อาจช่วยอะไรได้นอกจากหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “เป็นเพราะว่าคำพูดของข้าแทงใจเจ้าจนเกินไป? หรือเพราะว่าบุรุษผู้นั้นมีผลต่อหัวใจของเจ้ากันแน่?”


“ท่านอาจารย์ ท่านหมายถึงสิ่งใด?” ฉุ่ยจิ้งถามกลับพร้อมขมวดคิ้วแน่น


“การฝึกฝนแบบคู่ เป็นเทคนิคการฝึกฝนที่ลึกซึ้งที่สุด หลังจากที่ฝึกฝนแบบคู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายจะทิ้งร่องรอยของจิตวิญญาณไว้ให้กับแต่ละฝ่าย” เทพธิดาเหมยฮวากล่าวอย่างเขร่งขรึม “หมายความว่าจุดนี้เป็นจุดอ่อนของเจ้า เหตุผลที่เจ้าล้มเหลวในตอนนี้ไม่ใช่เพราะคำพูดของข้ารุนแรงเกินไป แต่มันเป็นเพราะเขาได้สัมผัสจุดอ่อนของเจ้าแล้วและรบกวนจิตใจของเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ! อืม ข้าพูดถูกไหม?” ฉุ่ยจิ้งไม่เชื่อเหตุการณ์เช่นนี้ในตอนแรก แต่แล้วนางก็เข้าใจว่านางได้สูญเสียสภาพจิตใจให้กับเขาผู้นั้นโดยสมบูรณ์แบบ


เมื่อเทพธิดาเหมยฮวาเห็นเช่นนั้น นางหัวเราะอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องจริง ข้าไม่ได้ใช้คำพูดที่รุนแรงอันใดเลยเพียงแค่ข้ากล่าวถึงเขาผู้นั้นจิตใจของเจ้าก็วุ่นวายทันที!”


“ท่านอาจารย์ แล้วศิษย์ควรจะทำเช่นใด?” เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางรีบถามออกไปทันที อีกครั้งที่เทพธิดาเหมยฮวาไม่ได้ตอบคำถามของนาง แต่กลับถามออกมาว่า “เจ้ายังจำสิ่งที่ข้าให้กับเจ้าเมื่อยามเราพบกันครั้งแรกได้หรือไม่?”


“ข้าจำได้” ฉุ่ยจิ้งพยักหน้าพร้อมตอบกลับ “อย่าบอกนะว่า… เขา… เขาคือบุรุษผู้นั้น?”


“ถูกต้องแล้ว!” เทพธิดาเหมยฮวาพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ในตอนนั้น ข้าบอกว่าเจ้าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์และเกิดมาพร้อมกับความโชคดี ในอนาคต เจ้าเปรียบเสมือนดาวรุ่งพุ่งแรงในโลกแห่งผู้ฝึกตน ความก้าวหน้าของเจ้านั้นไกลกว่าอาจารย์ของเจ้ามากนัก แต่ทว่าเจ้ายังมีโชคร้ายที่เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่จะพบได้เช่นกัน และมันจะอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต มันจะนำพาความโศกเศร้าและความเดือดร้อนมาสู่เจ้า! แต่ในขณะนี้ เขานำพาสิ่งบังเอิญต่าง ๆ ให้เจ้าประสบพบเจอมากมาย ตอนนี้ที่เจ้าทั้งสองได้พบกัน เจ้าไม่ต้องคิดถึงการแยกจากกัน เพราะข้าเชื่อว่าอ้วนน้อยผู้นั้นได้เป็นคู่ฝึกฝนแห่งโชคชะตาที่เจ้าจะต้องพบเจอและไม่มีวันแยกจากเขาได้!”


“…” ฉุ่ยจิ้งเริ่มกระวนกระวายภายในหัวใจ นางไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใดออกไปดี


เทพธิดาเหมยฮวากล่าวเสริมอย่างเคร่งขรึม “แต่ในช่วงนี้เจ้ายังไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเขามากนัก ตราบใดที่อาจารย์ยังช่วยเหลือเจ้าอยู่ เจ้าจะสามารถออกห่างจากเขาได้”


“ท่านอาจารย์” เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางซีดลงอย่างเห็นได้ชัดพร้อมถามกลับ “อย่าบอกนะว่านี่คือโชคชะตาที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง?”


“ฮ่าฮ่า แน่นอน โชคชะตานั้นเปรียบกับแม่น้ำที่ทอดยาวสุดสายตา และมีผู้คนมากมายที่ไม่อาจต่อสู้กับกระแสของแม่น้ำแห่งโชคชะตาได้ พวกเขาทำได้เพียงตั้งรับมันเท่านั้นและไหลไปพร้อมกับแม่น้ำ แต่บางคนแข็งแกร่งเหมือนเรือลำใหญ่ในแม่น้ำ สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเสรี แม้ว่าอาจารย์ของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น แต่ข้าสามารถช่วยให้เจ้าพ้นจากแม่น้ำแห่งการตกหลุมรักสายนี้ได้ แน่นอนว่าที่ทำเช่นนั้นได้เพราะว่าเจ้าอ้วนยังไม่ได้แข็งแกร่งมากในตอนนี้ ถ้าหากข้ารอจนกว่าเขาแข็งแกร่งพอที่จะสู้กับข้าได้ ถึงวันนั้นข้าคงไม่อาจทำสิ่งใดได้”


“ท่านอาจารย์ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?” ฉุ่ยจิ้งถามกลับ


“มันง่ายมาก ละทิ้งการต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลไม้วิญญาณซะแล้วไปสู่ความสันโดษกับข้าเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี นั่นเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการลบเขาออกไปจากจิตใจของเจ้าและกำจัดอิทธิพลของเขาภายในใจเจ้าด้วย จากนั้นเป็นต้นไป เจ้าจะสามารถดำเนินการไปถึงจุดสูงสุดแห่งสวรรค์ด้วยการบรรลุและเข้าใจกฎแห่งสวรรค์อย่างถ่องแท้”


“ข้าจะต้องสูญเสียโอกาสเช่นนี้จริงหรือ?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างไม่เต็มใจ


“แน่นอน ในขณะที่เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลไม้วิญญาณร่วมกับเขา เจ้าทั้งสองคนนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจของกันและกัน จะส่งผลให้เจ้าทั้งสองถูกเชื่อมโยงเข้าหากันตลอดไป เมื่อถึงเวลานั้นแม้แต่ข้าจะก็ไม่สามารถแยกเจ้าทั้งสองออกจากกันได้!” เทพธิดาเหมยฮวากล่าวอย่างจริงจัง “เด็กน้อย นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะกำจัดเขา ถ้าเจ้ายอมแพ้ เจ้าก็เตรียมรับชะตากรรมที่จะต้องติดพันอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตได้เลย”


ฉุ่ยจิ้งอยู่ในความเงียบงันพร้อมกับรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เทพธิดาเหมยฮวารู้ทันทีว่านางไม่อยากจะละทิ้งการค้นหาผลไม้วิญญาณจึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอย่าได้กังวลกับผลไม้วิญญาณเลย ด้วยฐานะของอาจารย์เจ้า พวกเขาจะมีจดหมายแนบผลไม้วิญญาณมาสามชิ้นให้เจ้าเช่นเดียวกับข้า! ข้าสัญญาว่าจะไม่ให้ระดับการฝึกฝนของเจ้าล่าช้าอย่างแน่นอน”


“แต่วิธีเช่นนั้น จะทำให้พวกเขาหยิบยื่นสมบัติมาให้เราอย่างลวก ๆ หรือไม่?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างเคร่งเครียด


“เหอะ ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น ในโลกนี้ อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้เดียวที่สามารถพัฒนาระบบป้องกันต้นไม้วิญญาณและทำลายต้นไม้วิญญาณได้ พวกเขารู้จักข้าดีว่าข้าจะไม่ใจเย็นหากพวกเขาไร้มารยาท ดังนั้นพวกเขาคงไม่กล้าหาญที่จะรุกรานข้าด้วยเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้” เทพธิดาเหมยฮวากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่ผลไม้วิญญาณสามชิ้นไม่ได้มากมายเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากต้นไม้ถูกทำลายลงนั่นเท่ากับว่าหัวใจของพวกเขาได้แตกสลายไปโดยแท้จริง ใช่หรือไม่?”


“วิเศษ!” ฉุ่ยจิ้งหัวเราะอย่างขื่นขมอย่างอดไม่อยู่พร้อมกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์ของท่านไม่เคยเห็นท่านกระทำการใดไร้เหตุผลเช่นนี้เลย!”


“ฮ่าฮ่า เด็กโง่” เทพธิดาเหมยฮวาหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “โลกของผู้ฝึกตนไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนัก ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งเท่านั้น เพียงแค่เจ้าแข็งแกร่งมากพอ เจ้าก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากระดับเท่ากันพวกเขาจะนั่งลงและเจรจาต่อรองกัน! แน่นอนว่าข้าไม่อาจบอกเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมดได้ แต่ทุกอย่างเจ้าจะได้เรียนรู้มันในอนาคต ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าตัดสินใจที่จะเข้าสู่ประตูฝึกฝนแบบปิดในเวลานี้ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเข้าร่วมค้นหาผลไม้วิญญาณ เจ้าค่อยให้คำตอบแก่ข้า! สำหรับคำแนะนำของข้าคือให้เจ้าอยู่ห่างจากเขา แต่ถ้าหากเจ้าไม่อาจเลือกได้ อาจารย์ของเจ้าก็จะไม่บังคับเจ้าอย่างแน่นอน เข้าใจหรือไม่?”


“ศิษย์เข้าใจแล้ว” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมพยักหน้าและเดินออกไป จากนั้นปรากฏแสงสีแดงขึ้นจากดาบบินของนาง


เทพธิดาเหมยฮวายกมือขึ้นและเริ่มสำรวจท้องฟ้าด้วยจิตวิญญาณของตนเอง จากนั้นนางใช้เคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรเพื่อตรวจดูการเคลื่อนไหวจากนั้นนางขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “ท่านอาจารย์ลุงฮัวอวิ๋นของเจ้ากำลังมาที่นี่พร้อมกับความสิ้นหวัง! เจ้าออกไปก่อน ข้าต้องออกไปคุยกับเขาสักหน่อยแล้ว”


“ข้าขอตัวก่อนท่านอาจารย์” ฉุ่ยจิ้งทำความเคารพอาจารย์ของนางพร้อมกับบินเข้าป่าต้นบ๊วยไปทันที


เมื่อเห็นว่าฉุ่ยจิ้งออกไปแล้ว เทพธิดาเหมยฮวาสะบัดมือเพื่อเรียกดาบบินสีขาวออกมา จากนั้นชั่วครู่ นักบวชฮัวอวิ๋นปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของนาง แม้ว่าฮัวอวิ๋นจะเสียงดังและทำตัวไร้มารยาทเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวสำนัก แต่เมื่อนางได้พบกับศิษย์พี่หญิงผู้นี้ เขาทำความเคารพพร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพ “เคารพอาวุโส”


เทพธิดาเหมยฮวาโบกมืออย่างสบาย ๆ พร้อมกล่าวว่า “ลืมพิธีรีตองไปเสียเถิด! ฮัวอวิ๋นข้าต้องการรู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด!”


ฮัวอวิ๋นรู้อยู่แล้วว่าเทพธิดาเหมยฮวานั้นมีความสามารถในด้านการทำนาย ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่นางจะรู้ว่าเขามีปัญหาและมาขอความช่วยเหลือ “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิงได้โปรดช่วยข้า!”


“เหอะ หน้าอย่างเจ้าน่ะหรือจะขอร้องให้ข้าช่วย!” เทพธิดาเหมยฮวาไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี “เจ้าเป็นถึงอาวุโสและเจ้าสามารถหลงกลอ้วนน้อยได้เพียงเพราะถูกความโลภครอบงำ เจ้ารู้สึกละอายบ้างหรือไม่?” นักบวชฮัวอวิ๋นใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมรีบกล่าวต่อว่า “นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งหมดรวมหัวกันล่อลวงข้า ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถูกหลอก!”


“นั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัวของเจ้า จ้าวสำนักและภรรยาไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย” เทพธิดาเหมยฮวากล่าวอย่างสุขุม “วิชาเทพธิดาพยากรของข้าไม่ผิดพลาดแน่นอนหรือว่าเจ้าไม่เชื่อข้ากัน!”


“ข้าไม่กล้า!” ฮัวอวิ๋นตกใจรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “นับตั้งแต่ที่ศิษย์พี่กล่าวออกมา ข้าเชื่อท่านหมดหัวใจงั้นข้าขอตัวก่อน”


“ถ้าหากเจ้าเชื่อข้าจริง จงหยุดแผนการทั้งหมดของเจ้าซะ!” เทพธิดาเหมยฮวากล่าวอย่างเยือกเย็น


“อะไรกัน? เจ้าอ้วนสารเลวนั่นมันหลอกข้าเพื่อเอาดาบวิญญาณห้าธาตุแต่ท่านกลับบอกให้ข้าลืมมันไปงั้นหรือ?!” ฮัวอวิ๋นโห่ร้องออกมาอย่างน่ารังเกียจ


บทที่ 117: ตามล่าอสูรกาย


*ผู้แปล : ขอแก้ไข อาวุธวิเศษ > สมบัติวิเศษ*


“อะไรกัน?” ฮัวอวิ๋นตกใจอย่างรุนแรงพร้อมถามกลับ “นี่ศิษย์พี่หญิงก็ปกป้องมันด้วยอย่างนั้นหรือ?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เทพธิดาเหมยฮวากรอกตาไปมาพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างอดกลั้น “เจ้าคนงี่เง่า! เจ้าไม่สามารถแยกแยะได้งั้นหรือว่าอะไรดีหรือไม่ดี? เราเป็นเพื่อนร่วมสำนักกันมาหลายทศวรรษ และข้าไม่เคยพบกับอ้วนน้อยมาก่อน มีความจำเป็นอันใดที่ข้าจะต้องปกป้องเขา?”


“แล้วอะไรคือสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงต้องการจะทำ?” นักบวชฮัวอวิ๋นถามออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง


“เป็นความลับของสวรรค์ ไม่สามารถเปิดเผยได้!” เทพธิดาเหมยฮวาส่ายหัวพร้อมกล่าวอย่างนิ่งสงบ “วันเวลาที่เงียบสงบของสำนักเสวียนเทียนกำลังจะหมดลงแล้ว อีกสิบปีข้างหน้า จะเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงกับเรา! ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ต้องการที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องใดทั้งสิ้น ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเข้าสู่การฝึกฝนแบบปิด แม้ว่าฉุ่ยจิ้งจะเดินออกไปจากภูเขาเหมย ข้าก็จะไม่ให้นางกลับเข้ามาอีกเด็ดขาด ข้าจะเดือดร้อนหลังจากที่นางเข้าสู่การเป็นศิษย์ในด้วยการดูแลของเจ้าในอนาคต ถ้าหากนางทำผิด โปรดอย่าละเว้นนางเพียงแค่นางเป็นศิษย์ของข้า!”


“ศิษย์พี่หญิง… ท่าน…?” เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นกระวนกระวายใจทันทีและต้องการที่จะตั้งคำถามต่อไป


อย่างไรก็ตาม เทพธิดาเหมยฮวายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเบา ๆ เพื่อแสดงให้เหล่าคนรับใช้รู้ว่า ‘ส่งแขกออกไป ข้าจะดื่มชา!’ ชัดเจนว่านางไม่อยากเปิดเผยข้อมูลมากไปกว่านี้ สวรรค์ เขาทำได้เพียงแค่ทำความเคารพและออกไปเท่านั้น


เมื่อเห็นแสงลับไปจากขอบฟ้าแล้ว เทพธิดาเหมยฮวาบ่นกับตนเองอย่างไม่อาจรั้ง “ข้าหวังว่าการพบกันครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย!”


หลังจากที่นางสนทนาเสร็จสิ้น นางโบกสะบัดมือของตนเองเกิดคลื่นรุนแรงขึ้นมา นางสร้างโครงสร้างขึ้นมาหลายชั้นบนภูเขาเหมย จากนั้นเทพธิดาเหมยฮวาได้เริ่มสร้างข้อจำกัดต่าง ๆ ในการเปิดมัน ซึ่งผู้อื่นจะไม่สามารถเข้ามาได้อย่างอิสระ


ภายในชั่วพริบตาวันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ในขณะนี้เจ้าอ้วนกำลังสร้างลมทองแดงเพื่อปกคลุมระฆังของเขาเอาไว้ เนื่องจากลมทองแดงเป็นวัสดุคุณภาพสูงและเขาไม่ได้มีมันมากนัก จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะติดมันบนระฆังยักษ์ใบนี้ แต่หลังจากที่เขาพยายามมาหนึ่งเดือนเต็ม เจ้าอ้วนสามารถปกคลุมระฆังได้ห้าสิบฟุต และชั้นของทองแดงหนาสามถึงสี่ฟุต


ความแข็งแกร่งของมันน้อยลงเมื่อเทียบกับเหล็กดำ แต่เนื่องจากลมทองแดงเป็นวัสดุคุณภาพสูงและเจ้าอ้วนมีฝีมือที่ดีขึ้น เปลือกด้านนอกของลมทองแดงสามารถป้องกันได้มากกว่าเหล็กดำถึงหนึ่งในห้า แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับปฐมภูมิก็จะไม่สามารถทำลายมันได้โดยง่าย


เจ้าอ้วนรู้สึกเบื่ออย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาทำงานอย่างหนักตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เมื่อเขาใช้ลมทองแดงทั้งหมดที่มีไปแล้ว เจ้าอ้วนต้องออกมาจากการฝึกฝนแบบปิดอย่างช่วยไม่ได้ เขาต้องการหาสถานที่ที่มีทิวทัศน์ที่งดงามและทำให้เขาเพลิดเพลินกับการย่างมัจฉาไร้เนตรพร้อมกับเห็ดจิตวิญญาณเพื่อให้รางวัลกับตนเอง


แต่ก่อนที่เขาจะมีเวลาทำอย่างอื่น มีแสงสีม่วงผ่านมาและหงหยิงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเขาพร้อมกับพยัคฆ์ปีกแหลมพร้อมกล่าวทักทายอย่างตื่นเต้น “พี่ชายอ้วน สุดท้ายท่านก็ออกมาจนได้ รีบตามข้ามาเร็ว พวกเขากำลังจะมาแล้ว!” เมื่อนางกล่าวจบ นางดึงเจ้าอ้วนทันทีโดยไม่รอการตอบรับใดจากเขาเลย


ที่จริงแล้วเจ้าอ้วนสามารถนำพยัคฆ์ปีกแหลมของเขาออกมาด้วยตนเองก็ได้ เขาจึงทำอะไรไม่ถูกในตอนนี้


ในขณะที่กำลังบิน เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างสงสัย “ศิษย์น้อง เรากำลังไปที่ไหนกันหรือ?”


“เรากำลังจะไปล่าอสูรกาย!” หงหยิงตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น “ข้าจะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลแน่นอน!”


“ล่าอสูรกาย?” มันเป็นสิ่งที่เจ้าอ้วนไม่เคยนึกถึง แต่หลังจากที่หงหยิงอธิบายให้ฟังเขาก็เข้าใจทุกอย่าง


ในขณะที่การค้นหาผลไม้วิญญาณใกล้เข้ามาทุกที เหล่าอาวุโสในสำนักเกรงว่าเหล่าศิษย์ในจะไม่มีประสบการณ์ต่อสู้ที่มากพอและจะตกอยู่ในอันตรายเมื่อต้องพบเจอผู้ฝึกตนคนอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงอนุญาตให้มีการล่าอสูรกายในบริเวณที่ใกล้กับสำนักเสวียนเทียน


ต้องเข้าใจก่อนว่าศิษย์ในคือเหล่าคนที่ได้รับการคุ้มครองอย่างดีเยี่ยมและจะไม่มีภารกิจเช่นศิษย์นอก ทรัพยากรที่จำเป็นทั้งหมดของพวกเขาได้รับจากสำนัก ดังนั้นประสบการณ์ด้านการต่อสู้ของศิษย์ในจะมีน้อยมาก นอกเหนือจากการฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมสำนัก นอกนั้นพวกเขาแทบจะไม่เคยพบเจอเหตุการณ์นองเลือดใดเลย


อย่างไรก็ตาม การค้นหาผลไม้วิญญาณนี้เกี่ยวข้องกับสำนักอื่น มันเป็นหนทางแห่งปีศาจ พวกเขาสามารถฆ่าได้โดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองอันใด เหล่าศิษย์ในของสำนักเสวียนเทียนนั้นเปรียบได้กับดอกไม้ในเรือนกระจก ถ้าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับปีศาจ โอกาสที่จะพ่ายแพ้มีสูงมาก ดังนั้นจึงมีการอนุญาตให้พวกเขาออกไปล่าอสูรกาย ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้ประสบการณ์ต่อสู้ของจริงและคุ้นเคยกับสัมผัสแห่งความตาย


แน่นอนว่าสำนักไม่ได้โยนพวกเขาออกไปนอกเทือกเขาที่เต็มไปด้วยอันตราย พวกเขาเลือกอสูรกายระดับสี่และอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ซึ่งผู้ควบคุมสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง นอกเหนือจากนี้ ยังมีเหล่าผู้ฝึกตนระดับสูงคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับพวกเขาอีกด้วย


ก่อนที่จะพูดคุยกันเสร็จสิ้น เจ้าอ้วนและหงหยิงก็มาถึงยังจุดที่กำหนดไว้


ทั้งคู่ลงมาจากพยัคฆ์ปีกแหลมซึ่งเป็นที่สะดุดตาอย่างมาก เมื่อพวกเขาปรากฏตัวเคียงข้างกัน สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่พวกเขาทันที แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นศิษย์ในของสำนักแต่ก็ไม่อาจปิดบังสายตาแห่งความริษยาได้


เจ้าอ้วนรู้ว่าเขาถูกมองว่าเป็นคนนอกและไม่ต้องการที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง ดังนั้นเขาจึงเก็บพยัคฆ์ปีกแหลมของเขาและเก็บตัวอยู่เงียบแถวนั้น


สำหรับหงหยิง นางเดินเข้าไปในศาลาและถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนราวกับว่านางเป็นดวงดาวที่เฉิดฉาย แม้ว่านางจะไม่ชอบเหล่าคนประจบพวกนี้ แต่เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดอยู่ในสำนักเดียวกันกับนาง นางจึงไม่อาจเย็นชาใส่พวกเขาได้


เจ้าอ้วนรู้สึกว่าช่วยไม่ได้ เขาเก็บตัวอยู่ในมุมหนึ่งและเฝ้ามองทุกอย่างที่เกิดขึ้นในศาลาอย่างเงียบงัน


มีทั้งหมดสิบคนที่เข้าร่วมการค้นหาผลไม้วิญญาณ แต่ว่าฉุ่ยจิ้งไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าอ้วนรู้จักอยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกคือเหล่าศิษย์ในที่ล้อมรอบหงหยิงและกลุ่มของคนโง่เขลาทั้งสองคนคือเสี่ยวไป่หลงกับดาบเทวะไร้ผู้ต้าน สำหรับกลุ่มอื่นก็คือเจ้าอ้วนเพียงผู้เดียว เห็นได้ชัดว่าเขาถูกเมินทันทีหลังจากที่เขาเอาชนะมู่ซื่อหรงได้และทำลายจุดอ่อนของนาง


แต่เจ้าอ้วนก็ไม่ได้แยแสต่อเรื่องนี้และจดจ่ออยู่กับผู้ที่นำการล่าในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทุกอย่างถูกเน้นย้ำอย่างสมบูรณ์ในการล่าครั้งนี้ มีผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิสองคน ทั้งคู่สวมชุดสีเขียวและพาดดาบไว้ที่ด้านหลัง เมื่อมองไปที่พวกเขาให้ดีก็ทราบว่าไม่ได้ดูอาวุโสมากนักและยังเป็นเพียงศิษย์ในเท่านั้น พวกเขาอาจจะครอบครองอุปกรณ์วิเศษอยู่ก็ได้ ด้วยการคุ้มกันของทั้งสองคน แน่นอนว่าทุกอย่างจะปลอดภัยแม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิรู้สึกว่าถึงเวลาที่สมควรแล้วพวกเขาทั้งสองลุกขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ศิษย์น้องทั้งหลาย ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่ก็พร้อมจะเริ่มกันแล้ว พร้อมจะไปกันหรือยัง?”


“ทุกคนอยู่ที่นี่งั้นหรือ?” เสี่ยวไป่หลงกล่าวออกมา “แต่ว่าศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งไม่ได้อยู่ที่นี่!”


“ใช่ ถ้าศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งไม่มา พวกเราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ดาบเทวะไร้ผู้ต้านตะโกนออกมา


อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งอยู่ในการฝึกฝนแบบปิดและไม่เข้าร่วมในการล่าอสูรกายครั้งนี้ ดังนั้นเราจึงถือว่าครบแล้ว!”


“เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เมื่อได้ยินว่าฉุ่ยจิ้งไม่มา เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านรู้สึกเศร้านิดหน่อย แต่พวกเขาก็กล่าวออกมาอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้น เราไปกันเถอะ!”


“ตกลง! ทุกคนตามข้ามา!” เมื่อกล่าวจบประโยค เขาทั้งสองบินออกไปด้วยดาบทางทิศบูรพา


เมื่อศิษย์ทั้งเก้าเห็นเช่นนั้น พวกเขาตามไปด้วยดาบบินทันที ในขณะที่พวกเขาเริ่มบิน ความแตกต่างถูกแสดงออกมาทันที ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิบินไปแบบสบาย ๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังพักผ่อนกับทิวทัศน์ที่สวยงาม


ทั้งเสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านนั้นมีสมบัติวิเศษ เสี่ยวไป่หลงใช้ดาบมังกรหยกซึ่งแสดงท่าทีราวกับขี่มังกรแท้จริงอยู่


ดาบเทวะไร้ผู้ต้านนั้นใช้ดาบไร้ผู้ต้าน ซึ่งมันมีปลอกดาบและเขาพาดมันไว้ด้านหลัง ดาบนี้ไม่มีพลังปราณไหลออกมาเพื่อเปล่งแสงสีแต่อย่างใด ทำให้ภาพของมันดูแปลกตาไป


สมบัติวิเศษของพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับต่ำและมันมีความเร็วสูง สามารถแข่งขันกับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้ สำหรับเจ้าอ้วนและหงหยิง พวกเขาทั้งสองคนใช้พยัคฆ์ปีกแหลม และไม่ได้ช้ากว่าทั้งสี่คนด้านหน้า สำหรับศิษย์คนอื่น พวกเขาใช้ดาบบินระดับอุปกรณ์วิเศษ แม้ว่าพวกเขาจะคิดว่าระดับของมันสูงแล้ว แต่มันไม่พอที่จะเปรียบเทียบกับเหล่าผู้นำกลุ่ม พวกเขาจึงต้องอยู่ด้านหลังอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่ว่าด้านหน้าชะลอตัวเล็กน้อย พวกเขาคงจะต้องกินฝุ่นกันอย่างแน่นอน


ระหว่างการเดินทาง ผู้ฝึกตนระดับจินตันไม่ลืมที่จะอธิบายถึงจุดหมายปลายทางและข้อควรระวังต่าง ๆ ด้วยการส่งผ่านกระแสจิต แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะบินอยู่บนฟ้า ทุกคนก็สามารถได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน


สถานที่พวกเขาไปอยู่ห่างจากสำนักเสวียนเทียนสองหมื่นลี้ ภูเขาลูกนี้ชื่อว่าภูเขาเชียนสุ่ย ซึ่งเป็นป่าที่งดงามและเต็มไปด้วยหยกเขียวทั่วทั้งป่า มีทะเลสาปที่สวยงามสมชื่อของมัน


ภูมิศาสตร์เช่นนี้สำคัญมากเพราะมันใกล้เคียงกับภูเขาที่จะต้องไปค้นหาผลไม้วิญญาณ แม้แต่สัตว์ร้ายก็ไม่ต่างกันมากนัก จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การฝึก


ตามหลักแล้วผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิจะอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ในช่วงนี้พวกเขาจะต้องต่อสู้กับเหล่าอสูรกายระดับเดียวกันกับพวกเขาอย่างน้อยหนึ่งครั้งและต้องชนะ หากไม่สามารถทำได้ พวกเขาจะถูกลงโทษเมื่อกลับมา แน่นอนว่าถ้าหากชนะก็จะได้รับรางวัลด้วย


ระยะทางทั้งหมดสองหมื่นลี้เป็นการเดินทางที่ใช้เวลาสองถึงสามวันสำหรับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนทั่วไป แต่สำหรับศิษย์ในที่เป็นถึงกลุ่มคนชั้นนำ ใช้เวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น พวกเขามาถึงที่แห่งนี้ในเวลาค่ำพอดี


แน่นอน หลังจากผ่านการเดินทางดังกล่าวมาแล้ว เพราะเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลสำหรับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน หลายคนเหนื่อยล้าจากการสูญเสียปราณจิตวิญญาณที่ใช้ไปในการเดินทาง ถึงขั้นเหนื่อยมากกันเลยทีเดียว แต่แม้เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านก็หมดแรงเช่นกัน มีเพียงหงหยิงและเจ้าอ้วนเท่านั้นที่รู้สึกร่าเริงอยู่ พวกเขาให้พยัคฆ์ปีกแหลมบินและพวกเขาเพียงนั่งอยู่บนหลังมันทั้งวันเท่านั้น แต่หินจิตวิญญาณทั้งหมดที่ถูกใช้ไปก็สามารถสร้างความเจ็บปวดใจให้แก่พวกเขาได้เช่นกัน


แต่เจ้าอ้วนอยู่ในฐานะที่ร่ำรวย และหงหยิงเป็นบุตรสาวคนเดียวของจ้าวสำนักแน่นอนว่าฐานะของนางไม่ธรรมดา จำนวนหินจิตวิญญาณที่สูญเสียไปทั้งหมด เหล่าคนอื่นจึงไม่กล้าแม้แต่จะเหน็บแนม


ข้างกันนั้น ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทั้งสองยังคงดูดีอยู่ ด้วยความสามารถของพวกเขา ระยะทางเพียงสองหมื่นลี้ไม่เป็นปัญหา เขาทั้งสองจัดระเบียบสำหรับค่ำคืนนี้อย่างรอบคอบพร้อมกับทำหน้าที่เวรยามตลอดคืน


หลังจากผ่านคืนที่เงียบสงบไปแล้ว ทุกคนที่เข้าสู่สมาธิได้ลืมตาและลุกขึ้น พวกเขาทั้งหมดฟื้นฟูพลังตนเองเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับถูมือตนเองไปมาเพราะจดจ่ออยู่กับการล่าอสูรกายที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น


ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิรู้ดีว่าเหล่าหนุ่มสาวพวกนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเหล่าอาวุโสในสำนักและไม่มีประสบการณ์ต่อสู้กับอสูรกาย ดังนั้นพวกเขาจึงตื่นเต้นมากที่จะได้จู่โจม เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของศิษย์เหล่านี้ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเข้าใจทันที พวกเขาไม่พูดมากและเดินนำทางไปยังภูเขาทันทีหลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้น ในขณะที่เดินอยู่พวกเขาอธิบายให้ฟังถึงเหล่าอสูรกายที่อยู่ที่นี่ สิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ควรระวังทั้งหมด


เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาอธิบายอย่างละเอียดและน่าสนใจ หลังจากที่ทุกคนได้ยินแล้ว พวกเขาไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใดแต่กลับสนุกสนานมากขึ้น


หลังจากที่เดินมาสองสามชั่วโมง ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้หยุดเท้าลง หนึ่งในนั้นหันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้ม “ด้านหน้ามีหนึ่งตัวที่เหมาะแก่การลงมือ ใครจะเป็นคนแรก?”


“ให้ข้าลอง ข้าจะลองเอง!” ทุกคนตะโกนออกมาพร้อมกัน


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกตนอีกคนรีบกล่าว “งั้นด้วยวิธีการนี้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะต่อสู้กับอสูรกายตนนี้อย่างเท่าเทียมกัน! ใครสามารถตรวจสอบพบว่ามันคือตัวอะไร จะได้สู้กับมัน!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เสี่ยวไป่หลงหัวเราะออกมาเยือกเย็นพร้อมกล่าวว่า “ไม่เห็นว่ามันจะยากเย็นตรงไหน เพียงแค่อสูรกายระดับสี่ แมงมุมพิษสายรุ้งเท่านั้นเอง ถูกไหม?”


“หือ?” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดตกใจทันที บางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาไม่ทันรู้สึก กลับถูกคว้าไว้แล้วโดยตัวบัดซบผู้นี้ ความจริงคือมันไร้มารยาทจนเกินไป เมื่อเห็นการแสดงออกของทุกคน เสี่ยวไป่หลงรู้สึกเย่อหยิ่งเช่นเดิมอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิจึงรีบกล่าวออกมาอย่างเข้าใจสถานการณ์ “อา ข้าเข้าใจ เจ้าคือเสี่ยวไป่หลงที่ครอบครองจิตวิญญาณแห่งมังกรหยก สิ่งนั้นมีสัมผัสวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นสัมผัสวิญญาณของเจ้าจึงเหนือกว่าคนอื่นในที่นี้ นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้ารู้สึกถึงมันได้!”


“ฮ่า เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ทุกคนเข้าใจในทันที แต่ก็ยังจ้องมองไปที่เสี่ยวไป่หลงอย่างรังเกียจเช่นเดิม


เมื่อเคล็ดลับเล็กน้อยของเขาถูกเปิดเผย เสี่ยวไป่หลงรู้สึกโกรธขึ้นมาภายในใจ เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดแต่อย่างใด “ตามที่สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าหากใครเป็นผู้ที่ค้นพบมัน จะได้ต่อสู้กับมัน” เมื่อเสี่ยวไป่หลงได้ยินเช่นนั้น เขาลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทันที พร้อมกล่าวอย่างร่าเริง “ไม่มีปัญญา ให้ข้าสู้กับมัน!”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เสี่ยวไป่หลงกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปด้านหน้าโดยทันที


บทที่ 118: การเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิด


เสี่ยวไป่หลงถือดาบมังกรหยกด้วยท่าทีไร้ความกลัว เขาอยู่ห่างจากอสูรกายประมานหนึ่งพันฟุต จากนั้นเขาชี้นิ้วไปที่อสูรกาย จากนั้นชั่วขณะดาบมังกรหยกที่อัดแน่นไปด้วยปราณจิตวิญญาณพุ่งออกไปกระแทกเข้ากับเกล็ดของอสูรกาย


เกิดเสียงดังแกร๊ก อสูรกายระดับสี่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนด้วยดาบมังกรหยก อวัยวะของมันไหลออกมาเปรอะเปื้อนไปทั่วพื้นบริเวณนั้น


เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเขาประสบความสำเร็จ เสี่ยวไป่หลงรู้สึกร่าเริงมาก จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างหยาบคาย “เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าอสูรกายระดับสี่กัน? มันไม่สามารถแม้แต่จะทนการโจมตีของดาบนี้ได้แม้แต่ครั้งเดียว!


“ศิษย์พี่เสี่ยวไป่หลง ท่านช่างน่าเกรงขาม!” เหล่าบรรดาศิษย์ในที่เป็นลูกกระจ๊อกของเสี่ยวไป่หลงเริ่มลุกฮือกันประจบทันที


อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ หนึ่งในนั้นกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์น้อง แม้ว่าการปะทะเมื่อครู่ของเจ้าจะน่ากลัว แต่ว่ามันไม่มีอะไรนอกจากความสามารถของอาวุธวิเศษ เจ้ายังไม่ได้แสดงความสามารถของตนเองเลย!”


“ข้าเพียงแค่ฆ่าอสูรกาย ทำไมข้าจะต้องแสดงความสามารถของข้าด้วย?” เสี่ยวไป่หลงโต้เถียงทันที


ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทั้งสองคนแทบจะเป็นลมเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นหนึ่งคนเริ่มอธิบายออกมา “แน่นอนว่าทักษะเป็นสิ่งที่สำคัญ! ตัวอย่างเช่น ในการโจมตีแต่ละครั้งของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันมีพลังทำลายล้างมากเท่าไหร่? แต่ที่แน่นอนคือหินจิตวิญญาณนับหมื่นก้อนถูกทำลาย!”


“หือ?” เสี่ยวไป่หลงตกใจเล็กน้อย หินจิตวิญญาณนับหมื่นนั่นไม่ใช่จำนวนที่เล็กน้อยสำหรับเขาเช่นกัน ในขณะที่เขาได้ยินว่ามันทำให้เกิดความเสียหายดังกล่าว เขาโวยวายทันที “ไม่เห็นจะต้องกล่าวให้เกินจริงเลยนี่?”


“เกินความจริงงั้นหรือ?” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ส่วนที่มีค่าของแมงมุมพิษสายรุ้งคือเกล็ด ถุงพิษ ถุงใยและไส้ของมัน แต่ทุกอย่างเสียหายหมดจากการโจมตีของเจ้า! ถ้าหากสิ่งเหล่านี้สามารถกู้คืนมาได้ มันสามารถขายเป็นหินจิตวิญญาณได้จำนวนเจ็ดถึงแปดหมื่นก้อน!”


ขณะที่เสี่ยวไป่หลงได้ยินเช่นนั้น เขานิ่งเงียบไปทันทีพร้อมรู้สึกผิด ถ้าหากเป็นผู้อื่นที่กระทำความผิดเช่นนี้ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิคงด่าทอและทุบตีอย่างรุนแรง แต่สถานะของเสี่ยวไป่หลงนั้นไม่ธรรมดาและไม่มีใครกล้าที่จะยั่วยุเขามากจนเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและเริ่มอธิบายว่าจะต้องโจมตีแมงมุมพิษสายรุ้งอย่างไรจึงจะเก็บของมีค่าได้ทั้งหมด


ภายในไม่กี่วัน พวกเขาพบสัตว์ร้ายมากมาย และทุกคนมีโอกาสที่จะต่อสู้กับอสูรกาย ดาบเทวะไร้ผู้ต้านก็ทำผิดเช่นเดียวกับเสี่ยวไป่หลงเพราะเขาทุบอสูรกายระดับสี่เป็นชิ้น ๆ ผิวหนังที่มีค่าเสียหายพร้อมแก่นของมัน เขาทำให้ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิแทบจะตายตกไปเพราะความเสียใจ มีเพียงหงหยิงเท่านั้นที่จัดการทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบด้วยการใช้ดาบบินธรรมดา นางสามารถสังหารอสูรกายระดับสี่ได้อย่างง่ายดายและเก็บซากของมันไว้ พร้อมกับได้รับคำชมจากผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ


วันนี้ หลังจากที่ทุกคนได้ลอง ถึงเวลาแล้วที่เจ้าอ้วนจะได้แสดงฝีมือของเขา วันนี้ทุกคนจะรีบลุกขึ้นและรีบออกไปทันทีหลังจากเช้าวันใหม่มาถึง พวกเขาบินไปตามแม่น้ำและเก็บกวาดเหล่าอสูรกายตลอดทาง


หลังจากที่เดินมาสี่ชั่วโมง คล้ายวันอับโชคคือวันนี้ เมื่อเห็นว่ามันเป็นเวลาเที่ยงแล้ว พวกเขาทั้งหมดจึงมองหาที่พักและรับประทานอาหารกลางวัน แต่ในขณะนั้นใบหน้าของผู้ฝึกตนทั้งสองคนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนรีบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที จากนั้นเพียงชั่วครู่แสงสีทองที่มองเห็นได้อย่างไม่ชัดเจนนักปรากฏบนท้องฟ้า แต่แน่นอนว่ามันคือแสงของดาบของผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง ราวกับว่าเขากำลังบาดเจ็บอยู่จึงทำให้บินได้อย่างไม่มั่นคงเช่นนั้น


เมื่อเขามองเห็นเจ้าอ้วนและชาวคณะ เขารีบร่อนลงที่ริมแม่น้ำทันที


เมื่อเห็นฉากดังกล่าว ทุกคนรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งแต่บาดเจ็บอยู่ บุคคลดังกล่าวนั้นแทบไม่แตกต่างจากกองสมบัติเคลื่อนที่ซึ่งพัดพาเข้าหา


ต้องเข้าใจว่าที่แห่งนี้ห่างจากสำนักเสวียนเทียนสองหมื่นลี้ ทว่าก็ยังเป็นเขตของสำนักเสวียนเทียนอยู่ ถ้าหากเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดจะได้รับรางวัลมหาศาลเมื่อกลับไปถึงสำนัก แต่ถ้าหากเขามาจากสำนักอื่น สามารถสังหารเขาได้ทันทีพร้อมกับแย่งชิงสมบัติในตัวของเขา และจะไม่มีความผิดใดทั้งสิ้น เพราะคนผู้นี้จะถูกตัดสินว่าแอบลักลอบเข้าไปในสำนักเสวียนเทียน นอกจากนี้ เทือกเขารกร้างเช่นนี้ ง่ายมากต่อการทำลายหลักฐาน ตราบใดที่พวกเขาทั้งหมดปิดปากอย่างแน่นหนา ก็จะไม่มีผู้ใดค้นพบเรื่องนี้ได้


เทือกเขาใหญ่นี้มีผู้ฝึกตนจำนวนมากและไม่มีกฎเกณฑ์บังคับใช้ในพื้นที่แห่งนี้ ตราบเท่าที่พวกเขามีโอกาส พวกเขาจะไม่ปฏิเสธโชคลาภเช่นนี้อย่างแน่นอน! โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง เป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะมีอาวุธวิเศษระดับสูงครอบครอง ถ้าหากผู้ใดปฏิเสธโชคลาภนี้ พวกเขาคงเป็นตัวโง่งมแล้ว


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิและเหล่าศิษย์ต่างสบตากันอย่างมีเหตุผล มีเพียงหงหยิงเท่านั้นที่สับสนกับการกระทำของทุกคนในขณะนี้ ดังนั้นนางจึงเป็นคนแรกที่เอ่ยปากขึ้นมา “ดูเหมือนว่าอาวุโสจะได้รับบาดเจ็บ รีบเข้าไปดูกันเถอะ!”


“แน่นอน!” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิตอบกลับด้วยรอยยยิ้ม “ถ้าหากเขาเป็นอาวุโสในสำนักของเรา เราสามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้ทันที!”


“แล้วถ้าเขาไม่ใช่อาวุโสในสำนักของเราล่ะ?” เสี่ยวไป่หลงถามออกมาอย่างโง่เขลา


“เขาก็คงจะลำบาก เพราะนี่คือเขตของสำนักเสวียนเทียน ถ้าหากเราเจอคนที่ไม่รู้จัก เราเพียงแต่ต้องนำตัวเขากลับไปที่สำนักให้เหล่าอาวุโสจัดการ!” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิกล่าวออกมาอย่างสุขุม


“ถ้าหากเขาต่อต้านล่ะ?” ดาบเทวะไร้ผู้ต้านถามบ้าง


“เหอะเหอะ เพื่อความปลอดภัยของสำนัก เราไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตาใดทั้งสิ้น!” ผู้ฝึกตนระดับจินตันมองไปที่เหล่าศิษย์ด้วยแววตาที่ลึกลับพร้อมถามว่า “เข้าใจหรือไม่?”


“เข้าใจแล้ว!” ทุกคนตอบกลับพร้อมกันอย่างเข้าใจในความหมาย


แต่มีเพียงหงหยิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไปแต่นางเป่าปากเรียกพยัคฆ์ปีกแหลมออกมาและรีบตะโกนบอกทุกคน “เลิกกล่าววาจาไร้สาระกันได้แล้ว รีบไปช่วยเขา!” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ทุกคนรีบตามนางไปทันที


ทุกคนตามหงหยิงมา ไม่ช้าก็มาถึงสถานที่ที่แสงสีทองได้หายไป สิ่งเดียวที่อยู่ที่แห่งนี้คือแม่น้ำขนาดใหญ่และหน้าผาสูงชันซึ่งก็คือน้ำตกขนาดใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในที่แห่งนี้ไม่มีพืชมากนัก ไม่เหมาะแก่การหลบซ่อนแต่อย่างใด ทุกคนกระจายตัวออกไปเพื่อค้นหา นอกเหนือจากรอยเลือดเป็นบางช่วง พวกเขาไม่ค้นพบสิ่งใดเลย ราวกับว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหายตัวไปในอากาศ


ทุกคนมารวมกลุ่มกันอย่างสับสน ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิกล่าวออกมา “เป็นไปได้ไหมถ้าหากเขาจะซ่อนตัวด้วยอุปกรณ์วิเศษที่มีความสามารถปกปิด?”


“เป็นไปไม่ได้ ถ้าเพียงร่ายคาถาเพื่อทำให้การปกปิดไม่สามารถใช้งานได้ และได้ตรวจสอบสถานที่แห่งนี้หมดแล้ว แต่กลับไม่พบสิ่งใดเลย!” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอีกคนตอบกลับ


“แล้วเขาจะหายตัวไปเช่นนี้ได้อย่างไร?”


“เขาสามารถหลบซ่อนใต้พื้นดินได้หรือไม่?”


“ไร้สาระ เพียงแค่อยู่บนดาบแบบปกติเขายังไม่สามารถทำได้ การลงไปใต้ดินยิ่งเป็นไปไม่ได้ อย่าบอกนะว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อต้องการฝังศพตัวเองให้เรียบร้อย?” เหล่าศิษย์นับสิบคนกำลังโต้เถียงกันอย่างออกรส


แต่เจ้าอ้วนเงียบและมองขึ้นไปยังน้ำตกพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “น้ำตกขนาดใหญ่เช่นนี้ จะมีถ้ำอยู่ด้านใน!”


เมื่อเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น ทุกคนเงียบทันที ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “จริงด้วย สหายผู้นี้ของเราได้รับบาดเจ็บสาหัส มีโอกาสอย่างมากที่เขาจะซ่อนตัวอยู่หลังน้ำตก!”


“แล้วรออะไรอยู่เล่า ไปกันเลย!” ผู้ฝึกตนอีกคนรีบเร่งอย่างเต็มที่ จากนั้นเขาบินไปที่น้ำตก คนอื่นก็รีบบินตามไปเช่นกัน


น้ำตกอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ลี้เท่านั้นและสามารถไปถึงมันได้อย่างรวดเร็วโดยผู้ฝึกตนระดับนี้ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ที่หน้าน้ำตกและผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิร่ายคาถาที่ด้านหน้าเพื่อเปิดทางน้ำออก หลักฐานสำคัญคือมีเลือดอยู่ที่บริเวณปากทางเข้าถ้ำ


เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนตื่นเต้นมาก จากนั้นเขาได้รับคำแนะนำจากอาวุโส “ทุกคนระวังตัวให้ดี เบื้องหน้านี้อาจเป็นผู้ถือครองสมบัติวิเศษ และเดินตามข้าห้ามห่างไปไหน!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาหยิบกระจกดำซึ่งเป็นสมบัติวิเศษออกมาและหันไปสบตากับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอีกคน เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านทั้งสี่คนตรวจสอบถ้ำอย่างละเอียด


หงหยิงไม่เต็มใจที่ถูกทิ้งไว้เช่นนี้  นางเดินตามหลังผู้ฝึกตนด้วยกันอีกสองสามคน สำหรับเจ้าอ้วนเขาอยู่ด้านหลังสุด เดินตามหงหยิงเพื่อปกป้องนางในเวลาที่นางต้องการความช่วยเหลือ


กลุ่มคนเหล่านี้มีสมบัติวิเศษจำนวนมากและมีเครื่องมือที่ทำให้ถ้ำสว่างอย่างเต็มที่ หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาพบว่าถ้ำนี้ใหญ่มาก มันสูงกว่าห้าถึงหกสิบฟุต และกว้างกว่าเจ็ดถึงแปดสิบฟุต พื้นดินไม่เปียกหรือแห้งมากนัก


หลังจากเดินชั่วขณะ พวกเขาพบก้อนเลือดเห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนคนนั้นได้รับบาดเจ็บอย่างมาก ส่งผลให้เขาบ้วนก้อนเลือดออกมา หลังจากที่เดินต่อมาอีกไม่กี่ก้าวและมองเข้าไป พวกเขาพบผู้ฝึกตนบาดเจ็บอยู่ที่ปลายสุดของถ้ำ


คนผู้นี้นอนอยู่ในกองเลือดอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยเลือดและฝุ่น การปรากฏตัวของเขาไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก เสื้อคลุมของเขาไม่แสดงว่าเขาอยู่ในสำนักใด แสดงให้เห็นว่าเขามีแนวโน้มที่จะเป็นศัตรู สำหรับอาการบาดเจ็บของเขา ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเขาพบเจอสิ่งที่อันตรายขนาดไหนมา


บุคคลผู้นี้เหลือเพียงแขนข้างซ้ายเท่านั้น อีกทั้งขาซ้ายของเขายังถูกตัดออก เห็นได้ชัดว่าเกิดจากอาวุธที่มีความแหลมคมอย่างมาก สำหรับขาขวาของเขามันดูเหมือนกับว่าถูกเผาไหม้ แขนซ้ายของเขาหายไปทั้งหมด มีเพียงขาที่เหลือกับไหล่เท่านั้น ราวกับว่าทุกสิ่งอย่างถูกกัดด้วยอสูรกาย


บุคคลนี้เหลือเพียงแขนข้างซ้าย ขาข้างซ้ายของเขาโดนเฉือนทิ้ง เพราะบาดแผลค่อนข้างเรียบ ชัดเจนว่าเกิดจากอาวุธที่แหลมคมเป็นอย่างยิ่ง ทางด้านขาขวานั้นคล้ายโดนเผาไหม้ แขนซ้ายหายจนหมดกระทั่งแทบไม่เหลือไหล่ ราวกับพวกมันโดนกัดกินไปโดยอสูรกาย


นอกจากนี้ทั้งร่างยังเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บ บาดแผลเล็กน้อยต่างปรากฏเห็นเด่นชัดว่าโดนเจาะเป็นรู หนึ่งอยู่ที่หน้าอกจนแทบทะลุผ่านหัวใจ อีกหนึ่งอยู่ใกล้กับจุดตันเถียนอีกทั้งยังเสียเลือดอย่างมาก


บทที่ 119: ปีศาจเฒ่าเฟิ่งหมิง


ผู้ฝึกตนรายนี้บาดเจ็บสาหัสคล้ายกับว่าเขาสูญเสียจิตวิญญาณและพลังชีวิตของตนเองไปแทบจะหมดสิ้นแล้ว แต่คนผู้นี้ยังสามารถใช้ดาบบินได้อยู่ เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน สิ่งที่ทำเขาบาดเจ็บนั้นเป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรง เนื่องจากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ไม่ขึ้นกับสำนักใด แน่นอนว่าเขาจะใช้การบาดเจ็บเช่นนี้ล่อลวงผู้อื่นให้เข้ามาติดกับ แล้วใครกันเล่าจะไม่ถูกล่อลวงโดยสมบัติมากมายเช่นนี้?


เมื่อคิดได้เช่นนั้น ดวงตาของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเบิกโพลงขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่ยืนอยู่ทางซ้ายยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ “พี่ชาย ดูเหมือนว่าท่านจะได้รับบาดเจ็บนะ!”


“ท่านต้องการให้พวกเราช่วยท่านหรือไม่?” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอีกคนถามต่อทันที


“ช่วยข้า?” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่วยปลดอุปกรณ์ของข้าทั้งหมดน่ะหรือ?”


“ฮ่าฮ่า พี่ชายช่างมีสติปัญญาที่เฉียบแหลม!” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิด้านซ้ายหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “พี่ชายบาดเจ็บหนักมากในสถานการณ์ตอนนี้ คงจะทรมานนักถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงไม่ให้เรายื่นมือเข้าช่วยเล่า?”


“หน้าที่หลักของเราคือการช่วยเหลือเหล่าผู้ฝึกตนด้วยกันอยู่แล้ว! พี่ชายไม่ต้องแสดงความขอบคุณแก่เราแต่อย่างใด!” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอีกคนกล่าวออกมาอย่างขำขัน “เราต้องการสมบัติทั้งหมดที่อยู่ในการครอบครองของท่านเท่านั้น!”


“ฮ่าฮ่า!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างอหังการ ราวกับว่าได้ยินเรื่องที่ตลกขบขันที่สุดในโลกอย่างไรอย่างนั้น


“พี่ชาย มีอะไรน่าขำงั้นหรือ?” ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทางซ้ายถาม


“แน่นอนว่ามันตลกยิ่งนัก!” เขาหัวเราะอย่างเยือกเย็นพร้อมกล่าวว่า “กำลังคิดว่าข้าที่สังกัดตระกูลตู๋เจียผู้ซึ่งโดนผู้ฝึกตนมากมายเข้าปล้น และวันนี้ข้ากลับจะถูกปล้นโดยเหล่าเด็กน้อยพวกนี้ เจ้าไม่คิดว่ามันตลกงั้นหรือ?” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาโบกมือขวาที่เหลือและปรากฏดาบทองยาวประมาณหนึ่งขึ้นตรงหน้าของเขา ใบมีดของมันมีนกอมตะพันอยู่รอบ ๆ ในขณะที่มันปรากฏตัวออกมา มันส่งเสียงร้องดังสนั่นหวั่นไหว เสียงก้องกังวานราวกับเสียงจากสรวงสวรรค์


ผู้ฝึกตนทั้งหมดถอยหลังกลับไปสองถึงสามก้าว เมื่อนกอมตะเปล่งเสียงออกมาดังกังวานตรงหน้า แน่นอนว่าอุปกรณ์ชนิดนี้คือสมบัติวิญญาณ! เมื่อเห็นรูปร่างที่มีเอกลักษณ์ของใบมีดและเขากล่าวว่ามาจากตระกูลตู่เจีย ใบหน้าของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิและเหล่าวัยรุ่นต่างตกใจและตะโกนออกมาพร้อมกัน “กระบี่เฟิ่งหมิง! ท่านคือปีศาจเฒ่าเฟิ่งหมิง ตู๋เชียนเฉิง!”


“เหอะเหอะ ข้าเอง!” ตู๋เชียนเฉิงกล่าวออกมาอย่างสดใส “ศิษย์น้อง พวกเจ้ากล้าหมายศีรษะข้าจริงงั้นหรือ? ฮ่าฮ่า ข้าชื่นชมพวกเจ้าจากใจจริง!”


หลังจากที่ทั้งหมดได้ยินคำยืนยันจากปากของเขาแล้ว ทุกคนแทบจะเป็นลม!


ตู๋เชียนเฉิงเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่มีชื่อเสียงอย่างมากในโลกแห่งการฝึกตน ว่ากันว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนอิสระและถูกรังแกจากเหล่าสำนักมากมายจนนับไม่ถ้วนบนเส้นทางแห่งการฝึกฝนของเขา เป็นความแค้นที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน น่าสงสารที่ตอนนี้ความสามารถของเขาไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับคนเหล่านั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนหยัดได้อยู่


แต่วันที่โชคดีของตู๋เชียนเฉิงก็มาถึง เมื่อมีโอกาสได้พบกับผู้ฝึกตนโบราณที่ไร้สำนักและละทิ้งสมบัติทั้งหมดของเขาพร้อมด้วยเคล็ดวิชาการฝึกฝน ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาเข้าสู่ระดับหยวนหยิน แต่เขายังได้รับสมบัติวิญญาณ กระบี่เฟิ่งหมิง!


สมบัติวิญญาณชิ้นนี้เป็นสิ่งวิเศษ มันไม่เหมือนกันกับสมบัติวิเศษอื่น เพราะมันก่อตัวขึ้นมาจากเคล็ดวิชาต้องห้าม และความพิเศษของมันเป็นเฉพาะตัวนั่นคือความเร็วของมัน! ซึ่งเร็วมาก! เมื่อกระบี่เฟิ่งหมิงเคลื่อนไหว นกอมตะจะกรีดร้องออกมา ว่ากันว่าเมื่อเสียงของมันยามกระทบเข้ากับหูของฝ่ายตรงข้าม มันก็จะเป็นช่วงเวลาที่ศีรษะของฝ่ายตรงข้ามโรยราสู่พื้น ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ยามได้ยินเสียงนกอมตะกรีดร้อง เมื่อนั้นศีรษะจักร่วงหล่น’


นอกเหนือจากนั้น กระบี่เฟิ่งหมิงไม่ใช่มีแต่เพียงความเร็วเท่านั้น มันเป็นอุปกรณ์ที่ผู้ฝึกตนสามารถขี่ได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความเร็วของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินพื้นฐานคือหลักพันลี้ต่อชั่วโมง แทบจะไม่มีผู้ใดที่มีความเร็วถึงหนึ่งหมื่นลี้ต่อชั่วโมง แต่ความเร็วของดาบเฟิ่งหมิงนั้นเร็วถึงหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ต่อชั่วโมง! กล่าวก็คือ สามารถบินได้ห้าพันสี่ร้อยลี้ในเวลาสิบนาที!


หลังจากที่เขาครอบครองดาบเฟิ่งหมิง ทำให้ความสามารถของเขาน่ากลัวจนเกินไป ตู๋เชียนเฉิงกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีความเร็วที่สุดในโลก!


แน่นอนว่าตู๋เชียนเฉิงนั้นได้ทำการแก้แค้นเหล่าสำนักทั้งหลายที่เคยรังแกเขาไว้ในอดีต มีสำนักเล็กน้อยถูกทำลายโดยเขามากมาย


เนื่องจากในอดีตเขาประสบกับความอยุติธรรมมากเกินไป จนเกิดเป็นปีศาจขึ้นภายในใจเขา อีกทั้งวิธีการฆ่าของเขานั้นโหดร้ายมาก เขาสนุกกับการสับคนให้เป็นลูกเต๋าและเล่นสนุกกับเหล่าหญิงสาวผู้ฝึกตนจนตายตกไป ภายในใจของเขาไม่เคยรู้สึกเสียใจหรือเวทนาใด ไม่ว่าจะเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่มาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นสำนักที่ชอบธรรมหรือชั่วร้าย เขาจะไม่มีทางละเว้นถ้าหากพบเห็นเข้า ในระยะเวลาสั้น ๆ เขาทำให้เกิดการนองเลือดมากมายในโลกแห่งผู้ฝึกตน


ทั้งสำนักชอบธรรมและเหล่าปีศาจต่างมุ่งหวังที่จะจับตัวเขามาตลอด แต่ก็ไม่มีประโยชน์! ด้วยกระบี่เฟิ่งหมิงในมือของเขา มีไม่กี่คนที่อยู่ในระดับหยวนหยินและสามารถต่อสู้กับเขาได้ ถึงแม้ว่าทุกคนจะเข้าโจมตีพร้อมกัน แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ เพราะว่าเขาสามารถใช้กระบี่เฟิ่งหมิงหลบหลีกการโจมตีของทุกคนได้อย่างง่ายดาย


เหล่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจำนวนสิบสองคนต่อสู้กับเขาตลอดมาสิบปีและพยายามหาจุดอ่อนของเขา แต่แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ถูกการซุ่มโจมตีจนตายตกไปจนหมดสิ้น ทุกอย่างไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันก็ไม่สามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ อีกทั้งเขายังครอบครองสมบัติวิญญาณอีกด้วย ตู๋เชียนเฉิงฆ่าแม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันในยามที่ไม่เหลือผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินแล้วซึ่งเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุด!


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินไม่สามารถร่วมมือกันได้ ความล้มเหลวนับไม่ถ้วนทำให้พวกเขาตำหนิกันเอง ดังนั้นพวกเขาทำได้แค่ยอมแพ้และกลับไปปกป้องสำนักของตนเอง แม้ว่าจะมีกระบี่เฟิ่งหมิง แต่ตู๋เชียนเฉิงก็ไม่เคยประมาทสักครั้ง ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ออกจากสำนัก พวกเขาก็ยังสามารถปกป้องตนเองได้


การถอนตัวของผู้ฝึกตนเหล่านี้ทำให้ตู๋เชียนเฉิงยิ่งโดดเด่นมากขึ้น ในร้อยปีที่ผ่านมาเขาใช้วิธีสังหารผู้ฝึกตนมากมายนับไม่ถ้วนอย่างโหดร้าย เรียกได้ว่าเขาสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันไปนับร้อยคนให้ตายตกไปด้วยมือของเขา!


หลังจากที่สังหารพวกเขาแล้ว แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันนั้นร่ำรวยอย่างมากและมีอาวุธวิญญาณมากมาย


ความมั่งคั่งของเหยื่อทั้งหมดทำให้ฐานะของตู๋เชียนเฉิงมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว นั่นยิ่งทำให้ระดับของการฝึกฝนของเขาพัฒนาขึ้นไปอีก ความโหดร้ายของเขาได้เสริมความแข็งแกร่งของตนเองอย่างมหาศาล และมันยิ่งทำให้เขาได้ใจ ด้วยเหตุนี้มันจึงก่อตัวเป็นวัฏจักรแห่งความชั่วร้ายไม่มีที่สิ้นสุด!


แต่เมื่อตู๋เชียนเฉิงมาถึงจุดสูงสุด เขาทำผิดพลาดที่เป็นคนที่เย่อหยิ่งอย่างถึงที่สุด ข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือความโลภของเขา เขาได้ยินมาว่าเทพธิดาเหมยฮวามีสมบัติวิญญาณสองชิ้นซึ่งไม่ต้องระบุผู้ใช้ซึ่งเป็นเจ้าของ ในขณะที่เขาได้ยินเช่นนั้น เขามีความต้องการที่จะขโมยสมบัติวิญญาณทั้งสองชิ้น แต่จากที่เขารู้คือเทพธิดาเหมยฮวาไม่ได้อยู่ในบริเวณสำนัก และไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของจ้าวสำนัก ซึ่งมันง่ายต่อการแทรกซึมเข้าไป แม้ว่าเขาจะล้มเหลว เขาก็สามารถหลบหนีได้ด้วยกระบี่เฟิ่งหมิงของเขา


แต่เขารู้มาว่าเทพธิดาเหมยฮวานั้นมีเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากร ในช่วงที่เขากำลังวางแผนจะขโมยของ นางรู้สึกได้ทันที นางได้ทำนายทุกสิ่งและรู้ว่าเขากำลังจะไป แม้แต่วิธีการที่เขาจะทำ และเส้นทางที่เขาจะไป ทุกอย่างถูกล่วงรู้ก่อนโดยเทพธิดาเหมยฮวา


ในตอนท้าย ตู๋เชียนเฉิงตกอยู่ในปัญหาใหญ่! เขาคิดว่าเขาสามารถลักลอบเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ แต่เขากลับตกอยู่ในกับดักของอีกฝ่าย เขาติดอยู่ในกับดักของเทพธิดาเหมยฮวาเกือบเดือน สิ่งที่รอตู๋เชียนเฉิงอยู่ไม่ใช่เพียงเคล็ดวิชาเทพธิดาพยากรเท่านั้น ที่แห่งนั้นมีนักบวชฮัวอวิ๋น จ้าวสำนักและภรรยาของเขา พร้อมด้วยเทพธิดาเหมยฮวากำลังรอพบเขาอยู่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะมีกระบี่เฟิ่งหมิงสองถึงสามเล่ม ก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้


อย่างไรก็ตามหลังจากที่ปล้นคนมามากในเวลาหลายปี เขาสะสมความมั่งคั่งมามากมาย เป็นเรื่องปกติที่ผู้ฝึกตนสามารถสร้างอาวุธวิญญาณได้ แต่สำหรับตู๋เชียนเฉิงที่ฆ่าผู้ฝึกตนระดับจินตันมากมาย เขามีอาวุธวิญญาณมากกว่าสามร้อยชิ้น! และเพื่อการหลบหนีด้วยหัวใจที่กล้าแกร่ง เขาระเบิดอาวุธวิญญาณจำนวนสองร้อยห้าสิบหกชิ้นเพื่อสร้างระเบิดขนาดใหญ่ และใช้กระบี่เฟิ่งหมิงหลบหนี


แต่ทว่าเทพธิดาเหมยฮวาก็ยังสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้และทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนสุดท้าย หลังจากที่เขาพักฟื้นตัวอยู่นานนับสิบปี เขาก็ฟื้นตัวขึ้น และหวังอย่างยิ่งว่าจะออกจากภูเขาลูกนี้ได้ แต่แล้วเขาถูกปล้นอีกครั้งและได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เขากำลังจะถูกปล้นโดยเหล่าสาวกที่ต่ำต้อยและไม่ได้อยู่แม้ระดับจินตัน


เรื่องฉาวโฉ่ของตู๋เชียนเฉิงที่พบกับความพ่ายแพ้ภายใต้สำนักเสวียนเทียน สิ่งนี้ทำชื่อเสียงของสำนักเสวียนเทียนยกระดับขึ้นไปอีก ทุกคนในสำนักรู้สึกภูมิใจกับเรื่องเหล่านี้มากและได้ร้องขอให้เหล่าอาวุโสเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอยู่หลายครั้ง แน่นอนว่าทุกคนในสำนักเสวียนเทียนจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เช่นในตอนนี้ตู๋เชียนเฉิงนำกระบี่เฟิ่งหมิงออกมาอีกครั้ง และทุกคนอยู่ตรงนี้รวมทั้งเจ้าอ้วนจึงต่างทราบว่าบุคคลตรงหน้าพวกเขาคือใคร!


หลังจากที่ได้รู้ว่าเขาเป็นใคร ทุกคนตกอยู่ในสภาวะตกตะลึงทันที เหล่ามือใหม่ทั้งหลายที่มีความคิดจะปล้นนักฆ่าที่สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันมาแล้วนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยนใช่หรือไม่?


แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะตกใจ ตู๋เชียนหมิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ด้วยเสียงหัวเราะอันเย็นเยียบ เขากล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “เหล่าเด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าความตายคือสิ่งใด ข้าอนุญาตให้เจ้าไปตายได้!” หลังจากเขากล่าว เขายกมือขวาขึ้นแตะกระบี่เฟิ่งหมิงเบา ๆ จากนั้นกระบี่พุ่งออกไปเป็นลำแสงสีทองและเปล่งเสียงร้องก้องกังวาน


ช่วงเวลาที่พวกเขาทั้งหมดเห็นสถานการณ์ ทั้งหมดรู้ทันทีว่าได้ยืนอยู่ตรงหน้าปีศาจร้ายและปีศาจตนนี้ไม่ยอมให้พวกเขาหนีไปอย่างแน่นอน รวมกับกระบี่เฟิ่งหมิงนั้นมีชื่อเสียงอย่างล้นหลามและมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะหลบหนีได้ เมื่อเหตุการณ์มาถึงจุดนี้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาทั้งหมดหดหายไปทันที แต่ถ้าหากพวกเขาละทิ้งอาวุธวิญญาณสี่ชิ้นในครอบครอง อาจจะพอมีโอกาสรอดชีวิตอยู่บ้าง


บทที่ 120: ปีศาจเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทั้งสองคน เสี่ยวไป่หลงและดาบเทวะไร้ผู้ต้านฟื้นคืนสติทันที พวกเขาตะโกนเสียงดังและปลดปล่อยสมบัติวิเศษและสิ่งที่มีค่าของพวกเขาทั้งหมด ดาบบินสองเล่ม หนึ่งเป็นดาบแต่เต็มไปด้วยพลัง พร้อมกันกับกระจกที่สะท้อนกับแสงของดาบสีทองระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าดาบนั้นไม่มีความมั่นคงเนื่องจากอาการบาดเจ็บของผู้ใช้


เมื่อเห็นว่าสมบัติวิเศษทั้งสี่ชิ้นสร้างคลื่นพลังออกมาและทำให้กระบี่ของฝ่ายตรงข้ามสั่นไหว ทุกคนในที่นี้เริ่มมองเห็นความหวังขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดจ้องไปที่ฉากด้านหน้าอย่างไม่วางตาอย่างหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น


แต่ความจริงช่างโหดร้ายและปาฏิหาริย์ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายนัก แม้ว่าจะมีการปรากฏตัวที่น่าเกรงขามของสมบัติวิเศษทั้งสี่ แต่มันก็ยังคงอ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับสมบัติวิญญาณ นี่เป็นความแตกต่างอย่างสมบูรณ์ของพวกมัน หลังจากที่พวกเขาพยายามจะต่อรอง สมบัติวิเศษของเสี่ยวไป่หลง ดาบเทวะไร้ผู้ต้านและสมบัติวิเศษอื่น ๆ ทั้งหมดถูกทำลายลงทันที ราวกับว่ามันเป็นเพียงเศษขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น


สมบัติวิเศษทั้งสามชิ้นถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ดาบเทวะไร้ผู้ต้านกลับหลบซ่อนอยู่หลังเจ้านายของมันและไม่เข้าร่วมกับการปะทะเมื่อครู่ แต่เนื่องจากวิญญาณของดาบถูกทำลายลง ฝักของมันมีรอยแตกร้าวและพังทันที


เนื่องจากสมบัติวิเศษทั้งสี่นี้เชื่อมโยงจิตวิญญาณกับเจ้าของ การถูกทำลายของพวกมันทำให้ส่งผลกระทบถึงเจ้าของทันที พวกเขาพ่นก้อนเลือดออกจากปากพร้อมถอยหลังด้วยอาการบาดเจ็บหนักอย่างฉับพลัน


สำหรับกระบี่เฟิ่งหมิง มันสั่นคลอนเล็กน้อยหลังจากที่ทำลายสมบัติวิเศษทั้งสี่ไปแล้ว ทว่ามันยังคล้ายต้องการบั่นเศียรของผู้คนเบื้องหน้าเหล่านี้อีก


ในขณะนั้น ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าถอยกลับไปตั้งหลักเนื่องจากอาการบาดเจ็บหนัก เช่นนี้ หงหยิงที่อยู่ตรงนั้นจึงขึ้นมาป้องกันแทนอย่างรวดเร็ว นางหันหน้าไปปะทะกับกระบี่ที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร เด็กหญิงผู้นี้ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ชีวิตเช่นนี้ และการต่อสู้เช่นนี้จะนำพาตัวนางไปสู่ความตาย นางรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งความตายได้ในขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น จึงทำให้ร่างกายสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม สำหรับคนอื่น ๆ มีทั้งคนที่ได้รับบาดเจ็บและคนที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ จึงทำได้เพียงจ้องมองราวเหม่อลอย


เมื่อมองเห็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักกำลังจะถูกเฉือนเป็นสองส่วนด้วยกระบี่เฟิ่งหมิง ร่างกายที่แข็งแรงวิ่งมาอย่างกล้าหาญเพื่อยืนอยู่ด้านหน้าของหงหยิง เขาปกป้องนางด้วยร่างกายของเขาเอง


ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดต่อ เจ้าอ้วนยืนสังเกตการณ์อยู่ที่ด้านหลังตลอดการต่อสู้ ในขณะนี้เขาเห็นว่าหงหยิงกำลังอยู่ในอันตราย เขาไม่ได้ไตร่ตรองแม้แต่นิดเดียวว่าร่างกายเขาจะปกป้องนางได้ เพราะแม้แต่สมบัติวิเศษทั้งสี่ยังไม่สามารถทำได้ เขาเพียงแค่วิ่งออกไปตามสัญชาตญาณเพื่อปกป้องหญิงสาว


แต่เขาก็ไม่ใช่คนไร้สมองและไม่ได้คิดจะป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงด้วยร่างกายของเขา ในขณะที่เขากำลังวิ่ง เขาหยิบระฆังจากมิติลึกลับเพื่อให้มันออกมาป้องกัน


ขณะที่ระฆังลมทองแดงปรากฏออกมา มันปะทะเข้ากับกระบี่เฟิ่งหมิงอย่างรุนแรง ทุกคนสามารถได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจนจากปล่องของระฆังด้านใน แต่สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือระฆังลมทองแดงสามารถป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้ แม้ว่าจะเกิดความเสียหายร้ายแรงก็ตาม แต่กระบี่เฟิ่งหมิงก็โดนดีดสะท้อนกลับสู่เจ้าของ


อย่างไรก็ตาม แม้เจ้าอ้วนจะครอบครองระฆังแต่เรื่องราวไม่ง่าย กระบี่เฟิ่งหมิงนั้นเป็นสมบัติวิญญาณอย่างสมบูรณ์อีกทั้งผู้ใช้มันอยู่ในระดับหยวนหยิน แม้ว่าตู๋เชียนเฉิงจะบาดเจ็บหนัก แต่ทว่ากระบี่เฟิ่งหมิงยังสามารถทำลายสมบัติวิเศษทั้งสี่ได้อย่างรวดเร็วแม้ว่ามันไม่มีพลังหลงเหลืออยู่เลย อีกทั้งความสามารถในการโจมตีของมันยังน่าเกรงขาม คนอื่นอาจไม่รู้ถึงศักยภาพการโจมตีของมัน แต่เจ้าอ้วนเข้าใจทุกสิ่งอย่างชัดเจน


ด้านนอกของระฆังทั้งสี่ฝั่งถูกหั่นออกเป็นแผ่น ความจริงแล้วสิ่งที่ปกป้องเจ้าอ้วนไว้คือพื้นผิวของระฆังทองแดงที่แท้จริง


อย่างไรก็ตามแม้ว่าใบมีดจะหยุดลง แต่ร่องรอยการแสดงพลังของมันยังฝากไว้บนระฆังใบยักษ์นี้ ท้ายที่สุดระฆังใบนี้สูงสามสิบฟุตกำลังพุ่งกลับมาหาฝูงชนที่ยืนอยู่


แรงบินของมันขึ้นอยู่กับน้ำหนักและแรงส่ง มันสามารถทำลายภูเขาลูกเล็กได้อย่างง่ายดาย และเหล่าผู้ฝึกตนที่อ่อนแอทั้งหลายไม่อาจต่อกรกับมันได้


เจ้าอ้วนที่ยืนอยู่ด้านหน้า ใบหน้าเปลี่ยนสีทันทีเมื่อมองเห็นสถานการณ์เช่นนั้น แน่นอนว่าเขาสามารถหลบระฆังใบนี้ได้ แต่ถ้าหากเขาหลบ หงหยิงที่ยืนอยู่ด้านหลังจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายทันที


เพื่อที่จะปกป้องหงหยิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง เจ้าอ้วนกัดฟันไว้แน่นและเลือกที่จะแบกรับระฆังใบนี้ไว้เอง เขาคำรามออกมา กล้ามเนื้อทุกส่วนขยายตัวทำให้เสื้อคลุมของเขาฉีกขาดทันที เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ถูกปกปิดไว้ด้านในอย่างชัดเจน


ในขณะนี้ เจ้าอ้วนไม่ได้เป็นไขมัน! เห็นได้ชัดว่าเขามีกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อของเขาแม้แต่หมีก็ไม่อาจเทียบได้! ราวกับว่าเขามาจากดินแดนอื่นอย่างไรอย่างนั้น ทุกคนที่มองอยู่รู้สึกทึ่งโดยทันทีเมื่อได้เห็น!


หลังจากที่เจ้าอ้วนคำรามออกมา แขนอันทรงพลังของเขายื่นไปด้านหน้าพร้อมเสียงดังที่ทุกคนได้ยินพร้อมกัน ด้วยพลังของคนเพียงผู้เดียว เขากลับสามารถหยุดระฆังลมทองแดงที่ถูกส่งกลับมาได้ มือหนาของเขาจมลงไปในพื้นผิวลมทองแดงถึงสามนิ้ว! พื้นดินตรงเท้าของเขาทั้งสองข้างแตกออก ร่างกายของเขาเคลื่อนที่เล็กน้อย แต่หงหยิงที่อยู่ด้านหลังได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์แบบ


แต่ว่าระฆังลมทองแดงนั้นเป็นเลิศเกินไป แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีร่างกายและเส้นเอ็นที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่อาจทนกับแรงกดดันเช่นนี้ได้ ในขณะที่เขากำลังได้รับผลกระทบของมัน เขาบ้วนเลือดออกมาก้อนใหญ่อย่างไม่อาจอดกลั้น


เพียงชั่วครู่เท่านั้นที่กระบี่เฟิ่งหมิงทำลายสมบัติวิเศษทั้งสี่และถูกป้องกันไว้โดยระฆังลมทองแดง แต่สำหรับเจ้าอ้วนและทุกคน ช่วงเวลาแห่งนี้คือวินาทีแห่งการสัมผัสเหตุการณ์ชีวิตและสัมผัสกับความตาย


หงหยิงที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังจ้องมองไปยังเจ้าอ้วนที่ร่างกายใหญ่โตดั่งภูเขาลูกเล็กพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง หลังจากเวลาแห่งความตื่นตระหนกได้ผ่านไป ทุกคนตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “หนี!” หลังจากที่พวกเขากล่าวจบ พวกเขาทั้งหมดวิ่งออกไปทันที พร้อมกับทิ้งให้เจ้าอ้วนและหงหยิงไว้ข้างหลัง


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนสามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้ ตู๋เชียนเฉิงตกใจเล็กน้อย มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทำให้ทุกคนหลบหนี เขาโกรธทันทีเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากเหล่าหนุ่มสาวทั้งหมดหลบหนีไปได้ แน่นอนว่ามันจะนำพาผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินมาที่นี่อย่างแน่นอน ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเขา เขาไม่อาจหลบหนีได้ด้วยกระบี่เฟิ่งหมิง ดังนั้นเขาจะต้องปิดปากทุกคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงกระโตนออกไปทันที “พวกเจ้าคิดจะไปที่ไหนกัน! พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายอยู่ที่นี่!”


หลังจากเขากล่าวจบ กระบี่เฟิ่งหมิงกรีดร้องออกมาอีกครั้งและพร้อมที่จะเคลื่อนออก เจ้าอ้วนตกใจแต่เขาสามารถฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็วพร้อมคำรามออกไปว่า “ศิษย์น้อง หนีไป! ข้าจะคอยระวังหลังให้เจ้าเอง!” เมื่อเขาตะโกนเช่นนั้น มือขวาของเขาจับไหล่ของหงหยิงไว้ และโยนนางออกไปด้านนอกทันที ในขณะนั้น เขาวิ่งไปหาตู๋เชียนเฉิงราวกับพายุโหม เจ้าอ้วนรู้ขนาดของร่างกายเขาดีว่ามันไม่อาจเร็วเท่ากับกระบี่เฟิ่งหมิง แม้ว่าเขาจะมีระฆังลมทองแดงก็ตาม ตู๋เชียนเฉิงคิดอยู่ชั่วครู่ จากประสบการณ์การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาทั้งหมดที่ผ่านมา เขาจะไม่มุ่งเน้นไปที่การทำลายระฆังเป็นครั้งที่สอง เนื่องจากมันไม่สามารถทำลายได้ สิ่งที่ต้องทำคือฆ่าเจ้าอ้วนและหงหยิง เพราะทั้งคู่จะไม่ทิ้งกัน เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเขาอยู่ตรงนี้ขณะที่ทุกคนกำลังหลบหนี


เห็นได้ชัดเจนว่าช่วงเวลาแห่งความตายนี้ เจ้าอ้วนอนุญาตให้หงหยิงหลบหนีและเขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับกระบี่เฟิ่งหมิง


แม้ว่าเจ้าอ้วนจะกังวลเรื่องความตาย แต่เขายังมีความสงบอยู่มาก ภายในจิตใจของเขามีจิตวิญญาณของฉุ่ยจิ้งหลงเหลืออยู่ ซึ่งมันเงียบสงบราวกับทะเลสาบกว้างใหญ่


สภาพจิตใจดังกล่าวช่วยเขาในการทำนายเส้นทางการบินของกระบี่เฟิ่งหมิง มันปรากฏเป็นภาพวาดขึ้นตรงหน้าของเขา กระบี่เฟิ่งหมิงที่กำลังกรีดร้องมีการเคลื่อนไหวช้า ๆ ขึ้นในหัวของเขา ซึ่งมันแสดงวิถีการบินที่ชัดเจนออกมาให้เจ้าอ้วนรับรู้


เจ้าอ้วนไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงเข้าใจสิ่งพวกนี้ได้ แต่ความสามารถในการทำนายอนาคตเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นของแม่นางฉุ่ยจิ้ง บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เขาฝึกตนแบบคู่กับนางก่อนหน้านี้


แต่ในขณะนี้ เจ้าอ้วนไม่มีสมองที่จะมานั่งคิดเรื่องเหล่านี้ ความนึกคิดของเขาในตอนนี้ต้องเป็นการเอาชีวิตรอดจากตรงนี้เท่านั้น เนื่องจากเขารู้วิถีของกระบี่เฟิ่งหมิง ทุกอย่างก็ง่ายดายขึ้น ฝีเท้าเจ้าอ้วนหยุดชะงักลง จากนั้นเขากระโดดหนึ่งครั้งเพื่อคว้าระฆังลมทองแดงไว้พร้อมเปลี่ยนทิศทางของมันไปยังเส้นทางของกระบี่เฟิ่งหมิง


เมื่อเจ้าอ้วนกำลังวิ่งไปหาตู๋เชียนเฉิงอย่างไม่นึกถึงตนเอง หงหยิงถูกโยนออกมาจากน้ำตกจนร่างกายเปียกปอน แต่ดวงตาของนางยังคงจดจำภาพที่กล้าหาญเช่นนั้นได้อยู่ น้ำตาของนางไหลออกมาพร้อมกับเหล่าคนอื่น ๆ ที่กำลังกลิ้งออกมาจากน้ำตก


ฉากดังกล่าวทำให้หงหยิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที นางควรปล่อยเจ้าอ้วนไว้เช่นนั้นแล้วหลบหนีงั้นหรือ? หรือนางควรจะไปต่อสู้กับศัตรูอย่างหาญกล้า?


ในขณะที่หงหยิงกำลังลังเล เกิดเสียงโลหะปะทะกันจากในถ้ำ นางตกใจและออกจากภวังค์ทันที ในเวลาเดียวกันนางก็ตัดสินใจได้แล้ว!


สำหรับเจ้าอ้วนที่อยู่ในถ้ำ เขาจับกระบี่เฟิ่งหมิงไว้ในระฆังอย่างสมบูรณ์แบบ ในเมื่อเขารู้ทิศทางการบินของมัน ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างง่ายดาย การกระทำเช่นนี้ราวกับว่าเขาทำนายอนาคตได้ ซึ่งทำให้ตู๋เชียนเฉิงตกตะลึงอย่างสมบูรณ์


แม้ว่าเจ้าอ้วนจะประสบความสำเร็จในการป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิง แต่กระบี่เฟิ่งหมิงยังไม่ได้ถูกทำลายแต่อย่างใด การโจมตีของมันทั้งหมดถูกส่งมายังเจ้าอ้วนและทุบตีระฆังให้ลอยขึ้นไปด้านบนของถ้ำ


ผลกระทบขนาดใหญ่ตกอยู่กับเจ้าอ้วนและระฆังของเขาติดอยู่ที่โขดหินในถ้ำ ถ้ำสั่นสะเทือนพร้อมกับหินเริ่มร่วงหล่นลงมาจากเพดานด้านบน


“ฮ่าฮ่า!” เมื่อตู๋เชียนเฉิงเห็นเช่นนั้น เขากล่าวออกมาด้วยเสียงดังสนั่น “อะไรทำให้เจ้าคิดว่าจะป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้? แม้จะทำเช่นนั้น แต่เจ้าก็จะถูกทุบตีจนตายตกไปอยู่ดี! ถ้าหากเจ้าถามข้า ข้าจะบอกให้เจ้าตายตกไปด้วยฝีมือของกระบี่เฟิ่งหมิงซะเพราะมันทั้งรวดเร็วและไม่เจ็บปวด และเจ้าจะได้มีซากศพของตนเองที่เกือบจะสมบูรณ์ แต่ในตอนนี้เจ้ากำลังจะถูกทุบให้กลายเป็นเนื้อบด!”


เห็นได้ชัดว่าตู๋เชียนเฉิงคาดหวังว่าเจ้าอ้วนจะตายตกไปด้วยการโจมตีที่หนักหน่วงของเขา ดังนั้นเขาจึงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับนั่งลงผ่อนคลายอย่างสบายใจ


แต่ตู๋เชียนเฉิงไม่คาดคิดว่าเจ้าอ้วนจะแข็งแกร่งจนต้านทานการโจมตีอันแข็งแกร่งที่เขาโยนออกไปได้ ร่างกายของเจ้าอ้วนนั้นแข็งแกร่งมากและอุปกรณ์เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ล้วนแต่มีคุณภาพสูง ดังนั้นภายใต้การระเบิดครั้งนี้จึงทำให้เขาเพียงแค่ไอออกมาเบา ๆ เท่านั้น


เมื่อปล่อยให้ตู๋เชียนเฉิงหัวเราะไปอย่างเต็มที่แล้ว เจ้าอ้วนมีความคิดจะแก้แค้น เขาวางแผนอยู่หลังโขดหิน พร้อมกับคำรามออกมา ร่างกายของเขาขยายขึ้นอีก และปลดปล่อยตนเองออกจากก้อนหินที่พันธนาการเขาอยู่ จากนั้นเขาพลันพุ่งไปหาตู๋เชียนเฉิงอย่างน่าเกรงขามและด้วยน้ำหนักจากแรงโน้มถ่วง ราวกับว่าพยัคฆ์กำลังวิ่งลงมาจากเนินเขาจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งป้องกัน


เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไป ตู๋เชียนเฉิงไม่มีเวลาที่จะตอบโต้ เขาถูกขังอยู่ในระฆังลมทองแดงพร้อมกับกระบี่เฟิ่งหมิงของเขาทันที เกิดเป็นเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งถ้ำ


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋เชียนเฉิงตกใจทันที เขาดิ้นรนให้กระบี่เฟิ่งหมิงเฉือนระฆังอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาทางออกจากสิ่งนี้


จากด้านนอก เจ้าอ้วนได้ยินเสียงกระทบกันของโลหะ ในขณะที่ระฆังเริ่มเขย่าอย่างไม่มั่นคง เขากลัวจนต้องรีบจับระฆังคว่ำไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่มีอยู่


ในตอนนี้ตู๋เชียนเฉิงที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก เขาถึงขีดจำกัดในการใช้กระบี่เฟิ่งหมิงแล้ว ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนเพียงใด ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่หวนคืนมา ไม่เช่นนั้นเขาคงสามารถส่งเจ้าอ้วนตายตกไปได้ตั้งนานแล้ว


แต่ว่าแม้จะเป็นกรณีดังกล่าว เจ้าอ้วนยังคงมีปัญหาในการระงับเสียงระฆัง เขายังไม่สามารถควบคุมมันได้และระฆังทำท่าว่าจะพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ


ขณะที่ตู๋เชียนเฉิงพยายามจะหลบหนี เห็นได้ชัดว่าเจ้าอ้วนที่ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถป้องกันการโจมตีของกระบี่เฟิ่งหมิงได้แม้แต่ครั้งเดียว


ช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้ มีผู้ที่บินเข้ามาในถ้ำ เวลาถัดมาหงหยิงโผล่ขึ้นบนระฆังพร้อมกับผลักระฆัง ด้วยพลังพิเศษของทั้งคู่ ทำให้ระฆังหยุดสั่นลงทันที


แต่เจ้าอ้วนตกใจอย่างถึงขีดสุด เขาไม่ยินยอมที่จะให้หงหยิงเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นนี้จึงรีบถามออกไปทันที “ทำไมเจ้าจึงกลับมา? ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าหนีไปงั้นหรือ?”


ก่อนที่หงหยิงจะมีโอกาสได้ตอบเขา ตู๋เชียนเฉิงรู้สึกได้ถึงอันตรายที่จะเพิ่มขึ้นและเขายิ่งพยายามดิ้นรนมากขึ้นกว่าเดิม ช่วงเวลาที่เขากำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเจ้าอ้วนและหงหยิงแทบจะไม่สามารถรับมือได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม