Black Tech Internet Cafe System 206-212

ตอนที่ 206

 

ฟางฉีมองไปรอบๆ ก่อนจะหันมองชายหนุ่มตรงหน้าเขาอีกครั้ง


 


ขณะเดียวกันเจียงเสี่ยวหยูที่นั่งถัดจากฟางฉีเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงต้องการให้เรายกเลิกการแข่งขัน!?”


 


ฟางฉีีหันไปถามซัวเต๋าผู้ยืนอยู่ข้างๆ “ท่านอาจารย์ซัว! ผู้ที่มีชื่อเรียกว่าสามนักบวช เห็นบอกว่ามีชื่อเสียงที่นี่มาก แต่ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อพวกเขามาก่อนเลย?”


 


“…”


 


“นี่เจ้าแกล้งโง่หรือโง่จริง!?” เฮาชงเย้ย


 


ซัวเต๋าจึงทำการอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับฉายา นักบวชให้ฟางฉีีฟัง


 


“กลุ่มนักบวชทั้งสาม!?” ฟางฉีมองพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “แล้วพวกเขาออกมาที่นี่ทำไม?” ฟางฉีเริ่มชักสีหน้าหัวเขากำลังจะเดือดปุดๆ


 


เวลาเดียวกันหลันโมจากกลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยได้เดินเข้ามา เขาเป็นผู้ส่งสานให้กลุ่มไทยชีหรือไม่!?


 


หลัยโมเองรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นคนจากกลุ่มไทฉียืนอยู่ในร้าน ฟางฉีรู้จักกลุ่มไทฉีด้วยหรือ!? เขาคิดในใจ


 


“ท่านอาจารย์หลัน!” เฟงฉีตะลึงเมื่อเห็นเขา “เอาละเนื่องจากท่านก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสท่านเป็นครั้งสุดท้ายในการเลือก แม้ว่าข้าเองจะไม่รู้เหตุผลว่าร้านนี้ทำสิ่งใดให้ท่านเปลี่ยนใจไม่เข้าร่วมการประชุม แต่ข้ามั่นใจได้ว่าข้าเป็นศิษย์ของไทฉีท่านเองจะต้องอยู่เคียงข้างข้าแน่ หากเขาเล่นแง่ข้าจะจัดการพวกเขาแน่!”


 


คำพูดเขาเป็นทั้งคำเอ่ยเตือนคาเฟ่แห่งนี้และเป็นภัยคุกคามต่อผู้ฝึกฝนหลายกลุ่ม อย่างไรก็ตามที่นี่เงียบสนิทไม่มีใครตอบรับอะไรทั้งสิ้น ..


 


“ทำไมพวกเขาต้องไปที่อาณาจักรฝึกฝนด้วยละ!?” นาหลันฮงวูเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างความเงียบ “หากจะต้องเข้าร่วมการฝึกฝนในเวลาหนึ่งเดือน ขอเลือกอยู่ที่นี่แทนดีกว่า”


 


นาหลันฮงวูตอบกลับ จากประสบการณ์ของเขาเอง ต้องขอบคุณคาเฟ่แห่งนี้ เขาได้รับการพัฒนาและปรับปรุงความแข็งแกร่งทางจิตใจอย่างมาก แม้ว่าเขาเองจะเคยใช้เวลาในการฝึกฝนมาแล้วแต่นั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้ผลลัพท์เท่านี้


 


“มันไม่ใช่ธุระของเจ้า!”


 


“ท่านนักบวช!” หลันโมกล่าว “สิ่งที่ท่านนาหลันฮงวูพูดนั้นถูกต้อง พวกท่านออกไปเถอะ”


 


“เจ้า ..” ใบหน้าของฟางฉีดูไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าไรนัก เขามองไปที่ซัวเต๋าและเยซงเต๋าแล้วถาม “พวกท่านคิดเช่นเดียวกันหรือ?”


 


ไม่มีใครตอบเขา แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเห็นด้วยกับหลันโม


 


“ดื้อด้าน!” เฟงฉีจ้องหน้าฟางฉี “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าที่นี่ทำอะไรไว้กับพวกท่าน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของตั้งใจจะแทรกแซงการประชุมอาณาจักรผู้ฝึกฝนที่ถูกจัดขึ้นทุกๆ สามสิบปีในครั้งนี้”


 


“เราคิดว่าจะจัดการกับมันได้ง่ายดาย แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้านั้นดื้อด้าน ดั่งที่อาจารย์ของข้าได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น ผู้คนมักไม่รู้ว่าพวกเขากำลังยุ่งอยู่กับใคร!”


 


เขาโบแขนซ้ายของเขา .. หม้อต้มสีทองแดงทรงกลมขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อของเขามันลอยขึ้นไปในอากาศ หลังจากเปิดฝามันปล่อยออร่าออกมารอบหม้อ


 


“ไม่!” ผู้ปลูกฝังระดับสูงทุกคนอุทานออกมาด้วยสายตาระแวง “หม้อต้มปีศาจ! มันเป็นขุมทรัพย์ชั้นยอด”


 


“เขานำขุมทรัพย์ล้ำค่ามาด้วย!” ซัวเต๋ากระซิบข้างหูฟางฉี “ผู้อยู่เบื้องหลังจัดการได้มั้ย”


 


เมื่อได้ยินคำถามของซัวเต๋า ผู้ปลูกฝังหันมามองด้วยสายตาอันมีหวัง


 


“สมบัติล้ำค้า!?” ฟางฉีขมวดคิ้ว “สิ่งนี้ทรงพลังหรือไม่?”


 


“มันยิ่งกว่า!” ซัวเต๋าทำหน้าตาน่าสงสาร “ขุมทรัพย์อันสูงสุดของแต่ละฝ่ายจะไม่เหมือนกัน .. แต่ขุมทรัพย์อันนี้อยู่ในระดับสูงมีแนวโน้มว่ามันน่าจะเป็นหม้อปีศาจในตำนาน”


 


“…” ฟางฉียืนนิ่ง


 


ลูกค้าหลายคนเริ่มจิตตกเมื่อเห็นว่าหม้อเล็กเริ่มใหญ่ขึ้นๆ มันใหญ่ขึ้นเท่าตัวคนเพิ่งชั่วพริบตา หากมันยิ่งขยายใหญ่ขึ้นมันจะต้องบดทำลายร้านของฟางฉีและทุกคนในร้านจนเละแน่


 


ซัวเต๋าพูดไม่ออกพลางพยักหน้าให้ฟางฉี


 


หม้อใหญ่ขึ้นเริ่มสูงขึ้นกว่าหลายคนในร้าน ทุกคนเริ่มถอยห่างจากมัน มันเปล่งแสงสีดำดูน่ากลัวและสั่นคลอนราวกับว่าพยายามจะขยายใหญ่ใหญ่กว่าเดิมแต่ถูกกดเอาไว้


 


มันขยายไม่ได้เพราะ .. ติดเพดาน!


 


“มีอะไรผิดปกติ!?” เฟงจินที่กำลังสวดมนตร์ตะโกน


 


หม้อสีีทองแดงสั่นแรงขึ้น แต่มันก็ยังคงทำอะไรเพดานของคาเฟ่ไม่ได้อยู่ดี แถมเพดานข้างบนดูจะไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ สิ้น


 


เฟงจินเริ่มหัวร้อน เขาท่องคาถาทางจิตวิญญาณและแสดงกำลังภายใน เขาเริ่มเหงื่อออก


 


อย่างไรก็ตามหม้อขนาดยักษ์ยังคงสั่นไม่หยุด .. แต่ก็ยังคงไร้ประโยชน์เช่นเดิม


 


ฟางฉีทำหน้ามุ่ยอย่างรำคาญใจ “มีคนสร้างปัญหา!”


 


เปรี้ยง!


 


สายฟ้าฟาดลงมา!


 


ทุกคนตะลึงเมื่อมองเห็นนักบุญผู้สูงส่งของกลุ่มไทฉีีกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นพร้อมพ่นฟองออกจากปาก


 


“เจ้าไม่รู้หรอกหรอว่าการสร้างปัญหาจะทำให้เจ้าถูกฟ้าผ่า!” ฟางฉีโบกมือ .. ประตูร้านเปิดโดยอัตโนมัติก่อนจะเฟงฉีจะถูกโยนออกไป


 


ฟางฉีหันไปมองเฮาชง “เจ้าจะออกไปข้างนอกดีๆ หรือต้องการให้ข้าส่งเจ้าออกไปเช่นเพื่อนของเจ้า


 


“เจ้าเปิดประตูด้วยคลื่นได้อย่างไรกัน!?” เฮาชงเสียงสั่นเทา


 


ฟางฉีคว้าคอเสื้อเขาและโดยนออกไป


 


“…”


 


“ผู้อยู่เบื้องหลังมีพลังมาก ..”


 


“น่ากลัวจริงๆ หม้อต้มปีศาจไม่สามารถทำลายเพดานหรือที่นี่ได้!”


 


“ดินแดงของผู้ฝึกฝนคืออะไร? มันอยู่เหนือขอบเขตอันศักดิ์สิทธิ์ชองมหาสมมุทรหรือไม่!?”


 


“ใครแสดงตัวตนออกมาหรือสร้างปัญหาจะต้องถูกฟ้าผ่า!” ผู้คนในคาเฟ่ต่างเริ่มพูดคุยกัน ทำให้บรรยากาศกลับมาคึกคักอีกครั้ง


 


“นี่เจ้าของ!” เจียงเสี่ยวหยูมองไปที่หม้อแล้วถาม “เราจะทำอย่างไรกับเจ้าหม้อนี้?”


 


ฟางฉีมองไปที่หม้อเขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน “หรือเราจะทำลายมันด้วยสายฟ้า!?”


 


หม้อขนาดยักษ์เหมือนจะเข้าใจคำพูดของฟางฉี มันสั่นและหดลงทันที


 


“หืม? สมบัติล้ำค้าดูจัดการได้ง่ายดาย” หลายคนทองไปที่หม้อด้วยความโลภ มันดูเป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่


 


แต่เมื่อนึกถึงสายฟ้าแล้ว มันน่ากลัวกว่าหม้อเป็นหลายเท่า!


 


“เราไม่ควรไปยุ่งกับสมบัติล้ำค้าของกลุ่มไทฉี” ซัวเต๋าและเยซงเต๋าพยักหน้าให้กัน เขาเอ่ยแนะนำฟางฉีว่ามันไม่สมควร


 


“เดี๋ยว .. มันมีอะไรดี!?” ฟางฉีหยิบหม้อขึ้นมาแล้วทำท่าจะโยนมันออกไป


 


แต่เมื่อคิดอีกที .. เขาจะไม่คืนมันให้เฟงฉีเป็นแน่ เขาจึงโยนมันกลับไปที่เคาน์เตอร์แล้วพูดว่า “เสี่ยวหยูเจ้าอยากทำอะไรกับมันก็ทำได้เลยตามใจ”


 


เจียงเสี่ยวหยูและทุกคนตะลึง


 


หม้อที่ถูกโยนไว้บนเคาน์เตอร์สั่นอีกครั้ง ..

 

 

 


ตอนที่ 207

 

ฟางฉีเดินกลับมานั่งลงที่เคาน์เตอร์ “มาอธิบายเรื่องกฏการแข่งขันกันต่อดีกว่า”


 


“โอ้ .. รับทราบ!” พวกเขาหลายคนยังคงงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเร็วมากอย่างไม่ทันตั้งตัว


 


เนื่องจากสิ่งนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเท่าไรนัก


 


“เราจะพูดถึงกฏการของการแข่งขันแบบทีม” ฟางฉีกล่าว “สมาชิกในทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน CS จะสามารถมีผู้ร่วมทีมเป็นเพื่อนจากกลุ่มเดียวกันก็ได้หรือหาแนวร่วมใหม่ก็ได้แต่ผู้เล่นต้องสมัครใจมิใช่บังคับ ทีมหนึ่งสามารถลงได้สองรายการ”


 


ซูเทียนจิที่เพิ่งเกณฑ์คนเข้าทีมยืนนิ่งเพื่อฟัง สิ่งสำคัญกว่าความแข็งแกร่งในการฝึกฝนไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในเกมยิงปืน กลยุทธ์และประบสบการณ์ตั้งหากเป็นสิ่งมีค่า


 


ในเกมผู้เล่นทุกคนจะกลายเป็นคนธรรมดาได้รับปืนที่เหมือนกัน ซึ่งการใช้ปืนถือเป็นอาวุธใหม่สำหรับพวกเขา สำหรับผู้ฝึกฝนและนักรบระดับสูงแล้วพวกเขาจะต้องเปลี่ยนนิสัยที่เคยชินในการใช้อาวุธมานมนานใหม่


 


เช่น ในความเป็นจริงซูเทียนจิสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเพื่อหลบกระสุนหรือเปิดใช้พลังภายในของเธอเพื่อปิดกั้นป้องกันตัว แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ในเกมเธอจะไม่มีความเร็วในการตอบโต้เพื่อหลบกระสุนเมื่อมันพุ่งเข้ามา


 


พวกเขาต้องทำการคาดการณ์เองโดยการเฝ้ามองฝ่ายตรงข้ามเล็งมุมกะเวลา นั่นคือสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เมื่อเข้าสู่เกม บางอย่างเช่นฝ่ายตรงข้ามอาจเล่นแง่เราก็ต้องไปคาดเดาหรือระวังตัวเองที เพราะครั้งหนึ่งฟางฉีเคยได้ฆ่าซูเทียนจิโดยการยิ่งแบบสะบัดยิง


 


ดังนั้นต่อให้ผู้ฝึกฝนหรือนักรบระดับสูงจะมีพลังมากแค่ไหนก็ไม่เป็นที่ระบประกันว่าเมื่อลงสู่สนามในเกมแล้วพวกเขาจะมีความแข่งแกร่ง


 


ซัวเต๋าดูมีความสุขโดยไม่สนใจซูเทียนจิเท่าไรนักเขากระซิบกับฟางฉีเงียบๆ “ท่าน! ข้าว่านี่เป็นกฏที่ดี”


 


“ข้าไม่เห็นด้วย!” ซูเทียนจิรู้สึกโกรธเนื่องจากหากไม่เสนอข้อบังคับเธออาจหาเพื่อร่วมทีมได้ยาก


 


“…” ฟางฉีไม่ตอบเธอ แต่เขาหันกลับไปอธิบายกฏให้คนอื่นฟังต่อไป


 


ซูเทียนจิ “…”


 


“การแข่งขัน?” เวลาเดียวกันจักรพรรดิจีีวูเขาปลอมตัวเป็นชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในร้าน “นี่คือรางวัลลของการแข่งหรือ?”


 


เขาเห็นพลังของปืนซึ่งเป็นวัตถุทางจิตวิญญาณชนิดใหม่ แม้ว่าเขาจะยังไม่เห็นรางวัลใน Diablo แต่เขาก็เดาว่ารางวัลพวกนั้นไม่ได้เลวร้ายเท่าไรหากเทียบกับปืน


 


ข้าควรจะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ด้วยดีมั้ยนะ? โอ้ะ .. ข้าลืมไปว่าข้ากำลังปลอมมตัวอยู่ แต่ชั่งเถอะนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ


 


เขามองนาหลันฮงวูที่ยืนข้างๆ “ท่านผู้อาวุโส ท่านจะเข้าร่วมหรือไม่?”


 


เนื่องจากมีคนเพียงไม่กี่คนในระดับฝีมือพอๆ กันและการจัดตั้งทีมก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะควบคุม เขาจึงตัดสินใจจะเข้าแข่งขันเดียวใน Diablo


 


หลังจากเล่น Diablo มานานเขามักใช้เวลาไปกับการล่าสัตว์ประหลาดและยังไม่เคยต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่นสักครั้ง!


 


นาหลันฮงวูได้ยินว่าฟางฉีใช้เทคนิคดาบนับไม่ถ้วนผสานเข้ากับเทคนิคฆ้อนสายฟ้า ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าทักษะใน Diablo นั้นมีประโยชน์อย่างมาก ตัวละครพาลาดินของเขามีไอเทมที่ดีที่สุดและอยู่ในระดับสูงนั้นจึงทำให้ฟางฉีไม่กลัวนักรบที่เขาเคยเผชิญ


 


ความแตกต่างของ Diablo คือมีข้อจำกัดสำหรับผู้ฝึกฝนและนักรบระดับสูงน้อยกว่า


 


มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง!


 


หลี่เฮารันลงทะเบียนเพื่อลงแข่งขันในเกม Diablo เขาใช้เวลาอยู่กับมันมากกว่า CS


 


เขาลังเลใจที่จะเลือก .. แต่ด้วยความเห็นแก่ของรางวัล รายการของ Diablo มีคุณสมบัติมากมายนอกจากเทคนิคการสร้างความเสียหายแล้วยังมีเทคนิคในการซ่อมแซมตัวเอง การเพิ่มระดับทักษะการพัฒนาของระดับเทคนิค


 


ตัวอย่างเช่นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญษรสามารถช่วยปรับปรุงเทคนิคเฉพาะของกลุ่มบลูเฟรมได้ในระดับหนึ่งแถมยังเพิ่มคุณภาพให้แก่เทคนิค ซึ่งมันมีค่าเท่ากับการได้รับสมบัติอันล้ำค่าชิ้นใหม่ที่กลุ่มบลูเฟรมค้นพบแถมยังเพิ่มพลังให้เทคนิคถึงร้อยละสี่สิบ!


 


“โอ้ย! มันช่างยากที่จะตัดสินใจ ..” หลี่เฮารันสูดหายใจเขา ในฐานะศิษย์เบอร์หนึ่งของท่านจุนหยางชีีแห่งกลุ่มบลูเฟรม เขากระตือรือร้นที่จะเรีียนรู้เรื่องพวกนี้อย่างมาก


 


หลังจากลงทะเบียนเสร็จเขาซื้อบะหมีี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งชามแล้วนั่งลงบนโซฟาพลางคุยเรื่องต่างๆ กับอันเชงและคนอื่นๆ ที่เพิ่งลงทะเบียนเสร็จ


 


“หืม? นั้น ..” ขณะที่พวกเขาคุยกันสายตาก็ไปสะดุดกับร่างที่คุ้นเคย


 


“เขาเป็นเพื่อนของเจ้าของร้าน” อันเชงกล่าว “เขาร่วมทีีมกับซงฉิงเฟิงตัวละครของเขาคือนักเวทย์”


 


พวกเขารู้มาว่าทีมของซงฉิงเฟิลใน Diablo หากถูกจัดอันดับแล้วจัดว่าอยู่ในลำดับที่สองของคาเฟ่


 


แม้ว่าหวังใต้จะเกมน้อยกว่าคนอื่นๆ แต่เขามีข้อได้เปรียบพิเศษ เขาเป็นนักเวทย์เพียงคนเดียวในทีมแถมยังเป็นนักเวทย์ทีี่มีระดับสูงสุดและมีไอเทมที่ดีที่สุดในคาเฟ่นี้!


 


เนื่องจากในระดับพอๆ กับเขาต้องรับมือกับสัตว์ประหลาดพวกโครงกระดูกและซากซพ มีเพียงไม่กีี่คนในร้านที่จะกล้าเผชิญกับพวกมัน แม้ว่าจะมีคนมากมายในระดับเดี่ยวกับเขาแต่พวกนั้นก็ไม่ได้เป็นนักเวทย์ นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาเป็นที่ต้องการ เพราะอาชีพที่เขาเลือกเล่นคนเล่นน้อย


 


“ฉี! ข้าจะเข้าร่วมการแข่งขันด้วย!” วังใต้เดินพุ่งไปที่เคาน์เตอร์และเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น


 


สุดท้ายเขาก็ยังไมม่ได้เล่นเซีียนกระบี่พิชิตรมารสักทีเพราะมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่ Diablo


 


การแสดงออกของเขาในระหว่างการสอบระดับชาตินั้นไม่ได้มีผลลัพท์ดีเท่าคนรอบข้าง แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมรายการระหว่างสอบเพื่อช่วยเหลือสำนักหลิงหยวน


 


ตอนนี้ในคาเฟ่มีการจัดการแข่งขัน Diablo เขาพบว่ามันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะติดหนึ่งในสาม แต่ถ้าเขาสามาระชนะมันก็จะดีมากเพราะเขาจะได้มีเวลาเล่นเกมเพิ่มถึงสองชั่วโมงต่อสัปดาห์!


 



 


ในระหว่างวันทั้งร้านคึกคักอย่างมาก ลูกค้าหลายคนต่างจับกลุ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับการแข่งขันพวกเขาหาลือและปรึกษากัน


 


มันถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้คนในโลกนี้ที่พวกเขาสามารถแข่งขันกันได้ในเกมเสมือนจริงแถมยังได้รับรางวัล!


แม้แต่ในหยุนชานตาเหวินเองที่ซึ่งเคยเป็นสถานที่ชุมนุมสำหรับนักรบอิสระก็เริ่มพูดคุยถึงมัน


 


จาก Resident Evil จนรามมาถึง CS เกมราคาไม่แพงมาพร้อมความสนุกแถมยังเพิ่มสามารถเพิ่มจุดแข็งให้ทักษะอีก เกมเหล่านี้ได้กลายเป็นตัวเลือกในการฝึกฝนอันดับต้นๆ ของพวกเขา

 

 

 


ตอนที่ 208

 

ตงชิงลี่แฟนคลับตัวยงของ Diablo แม้เธอจะมีระดับเพียงแค่ 20 ก็ตาม เธอใช้เวลาเล่นเกมเพื่อสร้างความบรรเทิงให้ตัวเอง นอกจากเล่น Diablo แล้วเธอยังเล่นเซียนกระบี่เทพพิชิตมารและดูละครอีีกด้วย


 


เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้มีประสบการณ์โดยตรงสำหรับการแข่งขัน แต่มันไม่ได้เสียหายอะไรที่จะลองดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะเข้าร่วมเพื่อความสนุก


 


อาจารย์จากสำนักหลิงหยวนและผู้ฝึกฝนพร้อมนักรบคนอื่นๆ ที่เพิ่งเริ่มเล่นเกมได้แบ่งปันความคิดจากเธอ


 


ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อรับรางวัลอย่างเดียว แต่พวกเขาอยากลองสนามลองต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่นหลังจากได้ปะทะกับสัตว์ประหลาดมากมาย!


 


PVP และ PVE เป็นแนวคิดที่แตกต่างกัน โดยปกติ Diablo ในคาเฟ่จะเล่นแบบ PVE แต่การแข่งขันครั้งนี้เป็นการเปิดตัวของ PVP ซึ่งนี่จึงกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในขณะนี้ มีการผสมผสานทักษะใหม่ล่าสุดและการหลอมรวมของไอเทมที่ใช้สำหรับการต่อสู้ระหว่างผู้เล่น


 


สำหรับการแข่งขันแบบทีมใน CS สาวกของหลิงหยวนกลุ่มแรกที่ลงทะเบียน กัปตันทีมนี้คือนาหลันหมงิสือ สมาชิกได้แก่ซูฉีซิน, เฉินชิงชิง, หลินเซียวและซูเหลียว


 


ในฐานะรักฆ่าระดับสูงสุดและมีไอเทมทีี่ดีที่สุดในชั้นเรียนของ Diablo อย่างซงฉิงเฟิง เขาวางแผนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันใน Diablo ชื่อเขาจึงไม่ปรากฏขึ้นในทีม


 


ผู้เล่นใหม่อย่างจีวูเลือกไม่แข่งขันใน Diablo เนื่องจากเขาไม่ต้องการพลาดโอกาสทองที่จะดึงองค์หญิงและองค์ชายเข้ารว่มทีม


 


เนื่องจากพวกเขามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับปืนน้อยนิด พวกเขาจึงเพิ่มทักษะโดยการรับชมหนังเรื่อง Resident Evil อย่างกระตือรือร้น


 


ดังนั้นทีมราชวงศ์จึงถูกจัดขึ้น .. ฟางฉีรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อเห็นรายชื่อสมาชิกในทีม


 


เวลาเดียวกันกลุ่มอื่นๆ ก็กำลังรวบร่วมทีมใช้เวลายาวไปจนกว่าจะถึงเวลาปิดร้าน


 



 


ในขณะเดียวกันกลุ่มไทฉีอีกด้านของทวีป


 


ชายชรามองดูข้อความที่ส่งถึงเขาในหยกสื่อสารด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


“พวกเขากำลังจัดการแข่งขันในเวลาเดียวกับการปรชมุอาณาจักร .. ร้านค้านี้พยายามดึงพันธมิตรวู่เว้ยของเราออกจากการเข้าร่วมการประชุม!?”


 


“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร!?” ชายชราพึมพำกับตัวเอง “มันดึงดูดกำลังของเราไปมากมาย เรื่องเริ่มใหญ่เกินจะรับมือ”


 


“ช่างยากจริงๆ พลกำลังกลุ่มเล็กๆ ที่เราไม่ได้สนใจในตอนนี้กลับมีความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ในเวลานี้!”


 


เฟงฉียังคงไม่กล้ารายงานว่าเขาได้รับบาดเจ็บและสมบัติอันมีค่าได้ถูกยึดเอาไว้ .. เขาวางแผนที่จะจัดการกับร้านนี้พร้อมเอาสมบัติล้ำค่าของเขาคืน!


 


ตอนนี้เขากำลังวางแผนว่าจะขอความช่วยเหลือจากกองกำลังหลักรอบๆ ตาจิ ..​กองกำลังเหล่านี้พยายามที่จะได้รับความช่วยเหลือจากนักบวชอย่างเรา เฟงฉีคิดในใจดูเหมือนว่าข้าเองก็ต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขาเช่นกัน


 


ในไม่ช้าเฟงฉีก็ส่งแผนการเพื่อขอการอนุมัติ


 


[ในสถานะการณ์เช่นนี้ ข้าอนุมัติคำขอ พวกเรากลุ่มไทฉีจะแสดงความกตัญญูต่อผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้] ชายชราฝ่ายไทฉีตอบกลับคำขอ


 


หลังจากได้รับการอนุมัติแล้วเฟงฉีรู้สึกยินดีแลละโล่งใจ


 


ถ้าฝ่ายไทฉีรู้เรื่องข่าวว่าเขาล้มเหลวในภารกิจแถมยังสูญเสียส้มบัติอันล้ำค่าไปอีก หากข่าวกระจ่ายไปทั่วเขาต้องโดนดีแน่


 


ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่ต้องปิดปากเงียบเพื่อแลกกับเกียรติยศของเขา ดังนั้นเขาต้องไม่รู้สึกถึงความละอายใจเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไข .. แม้จะอยากอายแค่ไหนก็เถอะ


 


หยุนเตียนเป็นดินแดนแห่งจิตวิญญาณที่ห่างไปไม่ไกลในทางตะวันตกเฉียงใต้ของตาจิน


 


แน่นอนมันไม่เพียงใหญ่ หากเทียบกับตาจินแต่มันเป็นดินแดนแห่งการเพาะปลูกขนาดใหญ่ ที่นี่มีดินแดนการปกครองและสร้างกฏหมายอย่างมั่นคง


 


พวกเขาเป็นหนึ่งกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการประชุมอาณาจักรที่จัดขึ้นทุกๆ สามสิบปีี


 


เฟงฉีจับตามองพวกเขา


 


สำหรับผู้ปลูกฝังในตาจินไม่ร่ำรวบเท่ากับคนในดินแดนหยุนเตียน ที่นั้นมีพื้นที่และทรัพยากรการเพาะปลูกมากมาย ผิดกับตาจินที่มีข้อจำกัด มันเหมาะจะเป็นเมืองของนักรบมากกว่า


 


ในความเป็นจริงกองกำลังหลักเช่นกลุ่มบลูเฟรมและวังหลิวหยุน พวกเขาล้วนต้องการความช่วยเหลือจากผองเพื่อนในดินแดนแห่งนี้ในการพึ่งพาทรัพยากรและเทคนิค


 


สิ่งสำคัญของประเทศหยุนเตียนคือที่นี่มีแรร์หายาก มันมีชื่อว่าหยกหยุนเตียนซึ่งเป็นวัสดุทีี่ดีที่สุดในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณอันดับสูง


 


เฟงฉีคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องสร้างสงคราม เขาจะสร้างแรงกดดันให้กับกลุ่มพันธมิตรวู่เว้ย ตัดช่องทางทรัพยากรของพวกเขาออก เชื่อได้เลยว่าพวกเขาจะต้องยอมแน่


 


“ข้าจะบังคับให้เจ้าเด็กนั้นคืนหม้อน้อยและขอโทษฉันให้ได้!”


 



 


ขณะที่เฟงฉีรีบเดินทางไปยังดินแดนหยุนเตียน ร้านคาของฟางฉีก็ได้ทำการเพิ่มตอนละครเรื่องกระบี่เทพสังหารและขี่พายุทะลุฟ้า


 


ในตอนก่อนหน้านี้ของกระบี่เทพสังหารพวกเขาได้ทำการแข่งขันในละครถึงจุดสุดยอด สำหรับขี่พายุทะลุฟ้าเองได้ดำเนินไปถึงส่วนที่หนี่เฟงได้เอาชนะเมืองวงและซงปาเองก็กำลังจะจัดการต่อสู้ขึ้นในเจ็ดวัน ซึ่งนั้นอาจหมายความว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสองสามตอนสุดท้ายจะต้องต่อสู้กัน!


 


ละครทั้งสองเรื่องใกล้เข้าสู่จุดสุดยอดมากขึ้นทุกที แฟนๆ ของทั้งสองเรื่องต่างตื่นเต้นไปตามๆ กัน


 


“อ่า .. ข้ามีความสุขมาก!” ตงชิงลีเอ่ยเมื่อนึกถึงเนื้อหาตอนใหม่ “ท่านวันนีี้มีกระบี่เทพสังหารตอนใหม่ใช่มั้ย?”


 


หลายคนกังวลเกี่ยวกับการแข่งขัน แต่เธอไม่ได้สนใจเท่าไรเพราะเธอคิดว่าแข่งเพื่อความสนุก


 


“ท่าน! รีบเปิดใช้งานเร็ว!” หลันโมและจุนหยางชีที่เพิ่งเดินเข้ามา “ท่านข้าขอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพร้อมไส้กรอกสองถ้วย!”


 


ผู้คนจากกลุ่มบลูเฟรมเองได้จับตามองเรื่องคาถาจิตวิญญาณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ในละครกระบี่เทพสังหารอย่างตั้งใจและเนื่องจากพวกเขาเป็นมือสมัครเล่นสำหลับเกม Diablo และ CS ดังนั้นจึงเลือกหันเหความสนใจไปที่ละครมากกว่า


 


แม้แต่ผู้เล่นที่เตรียมตัวที่จะเข้าร่วมการแข่งขันเองก็เลือกที่จะไม่พลาดละครตอนใหม่!


 


การแข่งขันของเจ็ดภูเข้าในกระบี่เทพสังหารมีความหมายมาก มันแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งโดยรวมของทุกฝ่าย ผู้ฝึกฝนของกลุ่มบลูเฟรมและวังหลิวหยุนจะใช้โอกาสนี้เพื่อซึมซับ


 


ซูเทียนจิเองแม้จะกำลังยุ่งกับการฝึกอบรมทีมของเธอยังต้องหันมาหยุดพักและสั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสักชามก่อนจะพักยกดูละครพร้อมกับสองสาวก


 


ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับบะหมี่นั้นซูเทียนจิสังเกตุเห็นดาบสีสันสดใสมากมายจำนวนมากที่ปรากฏขึ้นภายใต้ท้องฟ้าสีคราม รอบๆ ภูเขาที่แสงให้เห็นวิวอันงดงามมองโดยรวมมันสวยมาก!


 


เมื่อเธอเห็นสิ่งนี้เธอคิดในใจและหวังว่าสักวันเธอจะสามารถก้าวขึ้นไปบนดาบและโบยบินแบบนั้นได้บ้าง


 


ข้าสงสัยว่าสาวกในละครสามารถบินบนดาบได้ถึงพันกิโลเมตรในครั้งเดียว .. ผู้ฝึกฝนหลายคนรวมถึงซูเทียนจิดูละครด้วยความอิจฉา!

 

 

 


ตอนที่ 209

 

“เธอคนนั้นงดงามมาก!”


 


“เธออยู่ไหนละท่านซงได้ตัดสินใจเลือกเธอจากศิษย์ทั้งหมดของกลุ่มภูเขาไผ่” บนจตุรัสที่เต็มไปด้วยสาวกของกลุ่มเมฆเขียว พวกเขารวมตัวกันเพื่อเฝ้ารอดูหญิงสาวจากกลุ่มภูเขาไผ่


 


“ข้าละอยากจะเข้าร่วมกับกลุ่มเมฆเขียว!” ซูเหลียวพึมพำ “ว่าแต่ไหนละหญิงสาวคนสวยมีด้วยหรือ?”


 


“มีสิ! ตรงนั้น เธอไม่ได้อยู่ในกลุ่มสาวก!” ซงฉิงเฟิงตอบด้วยเสีียงตื่นตเ้น ข้างอาจารย์ซงปามีหญิงสาวรูปงามยืนอยู่ เธออยู่ในชุดสีขาวพร้อมดาบยาวที่หลัง มองดีๆ จะพบว่าปลอกสีฟ้าของดาบถูกปกคลุมไปด้วยไฟซึ่งแสดงให้เห็นว่าดาบนั้นเป็นสมบัติของสววรค์


 


“ว้าว!” ซูเหลียวและหลินเซีียวมองไปยังทิศทางที่ซงฉิงเฟิงชี้นิ้ว ปากของพวกเขากลมโตอ้าปากค้าง


 


“ไหน? ไม่เห็นจะมีความมงามปรากฏ?” อันเชงและคนอื่นๆ ที่สนิทกับพวกเขสต่างเปิดทางเลือกสื่อสารภายนอกไว้ พวกเขาอยู่ไม่สุขเมื่อได้ยินกลุ่มของซงฉิงเฟิงพูดถึงสาวงาม


 


“ชู่ว! นั้นไงข้าเห็นเธอแล้ว!” อันเชงมองตาไม่กระพริบ “โอหยางๆ บุเช่ๆ ดูทางนั้นสิ!”


 



 


ซูเทีียนจิรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อเห็นฉากตรงหน้า


 


“เจ้าดูนั้นสิ! กิเลนน้ำอายุพันปี! มันเป็นสัตว์ดุร้ายในตำนาน”


 


“สุดยอด! เราจะได้เห็นกิเลนพ่นไฟทั้งบนบกและในน้ำในกระบี่เทพสังหาร” เฟงหัวและยูซินจ้องมองหน้าจอด้วยความตื่นเต้น


 


ทุกครั้งที่ซูเทียนจิเห็นฝ่ายจิตวิญญาณของกลุ่มเมฆเขียวคอยรักษาประตูทางเข้าของกลุ่มเธอจะรู้สึกโศกเศร้าทุกครั้ง เพราะที่วังของเธอไม่มีผู้คอยปกป้องประตูแบบนั้นบ้างเลย


 


จู่ๆ เสียงคำรามก็ดังขึ้นมันมาใต้จากน้ำ กิเลนรับรู้ถึงรัศมีของลูกปัดกระหายเลือด ลมเปลี่ยนทิศทางโดยทันทีีเมฆก็ได้เปลี่ยนสีเช่นกัน!


 


ลำแสงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นจากน้ำ .. สัตว์ประหลาดทุกชนิดปรากฏขึ้น​ ณ บ่อน้ำอันยิ่งใหญ่ สัตว์ดุร้ายพวกนั้นล้วนเป็นสัตว์ที่ถูกกิเลนสังหารและพวกมันถูกกักขังอยู่ในลำแสงใต้น้ำ


 


“มันช่างน่ากลัวจริงๆ ..” เฟงหัวและยูซินกอดคอกัน


 


“กิเลนมีบาดแผลเต็มร่างกายแต่มันก็ยังสามารถควบคุมน้ำด้วยพลังอันยิ่งใหญ่” หลันโมอุทานด้วยความประหลาดใจ เขาหวังว่าสักวันจะได้จับกิเลนตัวเป็นๆ ด้วยมือของเขาเอง!


 


สัตว์ชนิดนี้หายากมันมีค่ามาก!


 



 


ตงชิงลี่กล่าว “ต้องมีสาเหตุมาจากขุมทรัพย์ทางจิตวิญญาณของเสี่ยวฟานแน่ เสี่ยวฟานชั่งน่าสงสานจริงๆ!”


 


“ใช่!” จางวันหยูเอ่ยอย่างเห็นอกเห็นใจ “เขาไม่มีความสามารถในการฝึกฝนแถมน้องสาวสุดที่รักของเขายังคง ..”


 


“แม้จะมีีพลังอันยิ่งใหญ่จากขุมทรัพย์ แต่ดูเหมือนจะไม่เข้ากันกับวิถีของกลุ่มเมฆเขีียวเอาซะเลย เขาจะทำอย่างไรหากพบว่ามันคือลูกปัดกระหายเลือด?”


 


พวกเธอเป็นห่วงเขา


 


หลังจากนั้น ..


 


“โอ้ไม่!” หลายคนอุทานเกือบกรีดร้องออกมาเมื่อเห็นสองร่างกอดกันภายใต้แสงจันทร์ ชัดเจนภายใต้ดวงตาสองตาของจางเสีี่ยวฟาน


 


ตงชิงลี่รู้สึกเจ็บหัวใจเมื่อเห็นฉากนี้ “มันเกินไป! ในขณะที่คนอื่นฉลาดและเก่ง แต่ทำไมเสี่ยวฟานถึงไม่มีอะไรดีบ้างเลย”


 


ผู้ชมคนอทื่นๆ ส่วนใหญ่มักแบ่งปันความเห็นต่อกัน เฉินชิงชิงเองดูเศร้าหมองขณะที่ดูละครกระบี่เทพสังหาร “อะไรกัน!?”


 


“เอ้อ .. เจ้าเด็กนี่มันทึ่มจริงๆ ..” แม้แต่หลันโมที่เฝ้าดูละครยังเป็นห่วง ในตอนแรกเขารู้สึกไม่ชอบจางเสีี่ยวฟานเท่าไรนัก แต่ยิ่งดูก็ยิ่งกังวลมากกว่าเก่า


 


“น่าเบื่อจริงๆ เดี๋ยวเขาก็จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลสร้าย!” จุนหยางชีกล่าวด้วยความร้อนใจปนโกรธเคือง


 


“ใจเย็นๆ ค่อยๆดูก่อน” หลันโมปลอบโยนเขา “ดูนั้นจางเสีี่ยวฟานจะเข้าร่วมการแข่งขัน!”


 


ก่อนที่จางเสี่ยวฟานจะขึ้นเวลาประกวดศิษย์พี่ของเขาเทีียนหลิงเอ่ยกับเขาว่า “เสี่ยวฟานข้าต้องเดินทางไปแข่งขันเช่นกัน ข้าคงไม่ได้อยู่เพื่อให้กำลังใจเจ้าแต่ถึงอย่างไรข้าเชื่อในตัวเจ้า!”


 


ทุกคนรวมรวมถึงอาจารย์ของเขาเลือกที่จะไปดูเทีียนหลิง .. โดยที่ทิ้งเขา


 


“อืม .. เขาไม่มีใครจริงๆ”


 


“เกิดอะไรขึ้น!? เขามีพวกผองแต่ทำไมพวกเขาถึงทิ้งเสี่ยวฟานไว้”


 


“นั่นสาวกของกลุ่มภูเขาไผ่”


 


“หืม?” หลันโมมองดู “นั้นเสี่ยวฟานหยิบท่อนไม้จิตวิญญาณของเขาออกมาแล้วนี่”


 


“เอาละ .. ชายคนนั้นชื่อชูซูฮงเขาดูมีท่าทางแข็งแรง ข้าจะสงสัยว่าจางเสี่ยวฟานจะไหวหรือไม่” ในเวลานี้คู่แข่งของเสี่ยวฟานปล่อยแสงออกมารอบดาบ


 


เสียงเชียร์ดังมากจากผู้ชมทั่วทิศ


 


ขณะเดียวกันจางเสี่ยวฟานกัดริมฝีปากร่างของเขาด้วยความประหม่า เขากัดแรงจนมันชาไม่รู้สึกถึงเลือดที่ไหลออกมามันหยดไส้ท่อนไม้แห่งจิตวิญญาณของเขา


 


ได้เวลาต่อสู้ .. จางเสี่ยวฟานพุ่งโจมตีชูซูฮงอย่างจังด้วยท่อนไม้ของเขาชูซูฮงร้องขึ้นและถอยกลับไปหลายก้าวก่อนจะล้มลง


 


ผู้ชมต่างเงียบ ..


 


“สุดยอด!” ซงฉิงเฟิงกระโดดดีใจ


 


“ฮ่าๆ ดูหน้าพวกเขาสิ!”


 


“พวกเขาทำหน้าราวกับโดนใครตบหน้า” หลินเซียวรู้สึกว่าในที่สุดเสี่ยวฟายก็ได้ระบายความหงุดหงิดที่สะสมมานานสักที


 


“ข้าเดาว่าทุกคนรู้สึกหน้ามืดเมื่อเห็น!”


 


“เจ๋ง!” อันเชงรู้สึกดีใจมาก “เขาต้องได้รับการยอมรับเป็นแน่”


 


“ข้าพนันได้ว่าเหล่าผองเพื่อนของเขาจะต้องอึ้ง ฮ่าๆ โอ้ยข้าไม่สามารถหัวเราะได้เลย” โอหยางหัวเราะคิกคัก


 


“สมบัติทางจิตวิญญาณของเขาดูอันตราย ..” ตงชิงลี่ขมวดคิ้ว


 


“ถึงอย่างไงมันสนุกจริงๆ เมื่อได้ดูฉากนี้ ดูหน้าผู้คนที่เคยหัวเราะเขาตอนนี้สิ หัวเราะไม่ออก!”


 



 


จางเสี่ยวฟานเดินทางกลับมาบ้าน “เสี่ยวฟานเป็นยังไงบ้าง” คนที่บ้านเอ่ยถามเขา


 


“ข้า .. ข้าชนะด้วยโชค”


 


“โอ้ มันเป็นเรื่องที่ดี ..​ เดี๋ยวนะ จริงหรือ!?”


 


“ฮ่าๆๆ” ซงฉิงเฟิงหัวเราะ “ประหลาดใจละสิ!”


 


“พวกเจ้าประหลาดใจกันใช่มั้ยละ?” ผู้ชมในร้านขำขัน


 


“ท่านอาจารย์! ดูท่าทางพวกเขาสิ” เฟงหัวตะโกนเรียกซูเทียนจิและยูซินด้วยเสียงตื่นเต้น

 

 

 


ตอนที่ 210

 

ภารกิจใหม่ : อาหารใหม่


 


เป้าหมายภารกิจ : เปิดใช้งานขี่พายุทะลุฟ้าแต่ละตอน 250 ครั้ง


 


รางวัลภารกิจ : ขนมแท่ง(ล่าเตียว)


(ผู้แปล : ล่าเตียว Latiao เป็นขนมยอดนิยมในประเทศจีน ส่วนผสมหลักคือแป้งสาลีและพริก)


 


ฟางฉีทำหน้าเซง


 


เขาลังเลที่จะทำงานนี้อย่างมากภารกิจใหม่มาโดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้า ซึ่งโดยปกติการเปิดใช้งานขี่พายุทะลุฟ้าเฉลี่ยแล้วต่อตอนนั้นน้อยกว่าร้อยครั้ง!


 


แต่ถึงอย่างไรเขาจำเป็นต้องทำงานนี้เพื่อผลประโยชน์


 


การแข่งขันของเจ็ดภูเขาถือเป็นจุดสุดยอดจุดแรกของกระบี่เทพสังหารแม้ตอนทั้งหมดที่ผ่านมาจะได้สร้างความหวังรวมไปถึงสร้างความหงุดหงิดค้างคาต่อผู้ชมก็ตาม ตอนนี้แฟนคลับรู้สึกดีที่ได้เห็นเสี่ยวฟานชนะการแข่งครั้งนี้


 


พวกเขาเฝ้าดูกระบี่เทพสังหารอย่างตั้งใจโดยรวมแล้วมันสนุกแถมยังให้เทคนิคดาบอันทรงพลังพร้อมคาถาทางจิตวิญญาณ พวกเขาหลายคนเริ่มจมลงไปในเรื่องราว


 


“ตัวละครหลักนี้น่าสนใจ ..”


 


“ใช่! ก่อนหน้านี้เขาอยู่ไกลจากระดับของหลี่เสี่ยวเหยามาก ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น”


 


“ตอนนี้เจ๋งสุดๆ”


 


สองตอนที่เปิดตัวในวันจันทร์เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันของเจ็ดภูเขา ส่วนตอนที่เปิดตัวเมื่อวันอังคารเป็นการเปิดตัวเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับเหตุการณ์การแข่งขัน ซูเทียนจิที่กำลังเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน CS ถึงขั้นหยุดซ้อมเพื่อชมละคร


 


มาถึงเวลานี้แฟนคลับของกระบี่เทพสังหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในตอนเช้าร้อยละแปดสิบของลูกค้าเลือกจะเปิดดูละครกระบี่เทพสังหาร


 


หากเปรียบเทียบกับขี่พายุทะลุฟ้าแล้วก็มีคนดูอยู่แต่จัดว่าน้อยกว่ากระบี่เทพสังหารเกือบเท่าตัว นาหลันฮงวูกล่าวว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนักรบสวรรค์ซึ่งอาจไม่เป็นที่ดึงดูดสำหรับนักรบระดับสูงบางคน ยกเว้นแต่สาวกจากสำนักต่างๆ ที่ต้องการการเรียนรู้


 


ขี่พายุทะลุฟ้าได้ดำเนินมาถึงการต่อสู้ระหว่างซงปาและมันกำลังจะเข้าสู่ช่วงสำคัญนี่อาจเป็นช่วงดึงดูดนักรบระดับล่างเหล่าสาวกเช่นซงฉิงเฟิง เหลียงชีหรือแม้แต่องค์หญิงจีหยูเองก็ตัดสินใจดูละครเรื่องนี้เช่นกัน


 


สำหรับผู้ปลูกฝังอย่างซูเทียนจิ, ซัวเต๋าและหลันโมเองพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับนักรบทีี่แท้จริงสักเท่าไร ท้ายที่สุดพวกเขามองว่านักรบบางคนนั้นอ่อนแอกว่าผู้ฝึกฝน


 


“ซงฉิงเฟิง! วันนี้เข้าขะดูขี่พายุทะลุฟ้าหรือไม่?” หลังจากหลินเซียวและซูเหลียวดูกระบี่เทพสังหารจบเขาพร้อมแล้วสำหรับการฝึกซ้อมเพื่อจะลงแข่ง แต่ทักถามเมื่อเห็นซงฉิงเฟิงกำลังจะเปิดละครเรื่องนั้น


 


“เจ้าจะฝึกฝนตัวละครในเกมของเจ้าหรือไม่?”


 


“ข้าว่าจะดูละครสักแบบ” ซงฉิงเฟิงโบกมือ “ข้าเป็นนักข้าอันดับหนึ่งของร้านนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล!”


 


“รับทราบ! พวกข้าจะไปเล่น CS กันก่อนแค่ถามให้แน่ใจว่าเจ้าจะทำอะไรต่อ” พวกเขาพยักหน้าใหกันเมื่อแน่ใจแล้วว่าซงฉิงเฟิงเลือกที่จะทำธุรของเขา


 


ซงฉิงเฟิงดูไปตั้งแต่สองตอนเมื่อวานและสองตอนของวันนี้ แม้ว่าเนื้อเรื่องจะดำเนินช้าไปหน่อย แต่เขาคิดว่าพล็อตเรื่องสำคัญควรมาได้แล้ว ด้วยความคิดนี้เขาจึงตั้งใจนั่งรอดูละครขี่พายุทะลุฟ้าต่อ


 


เหลียงชีและเพื่อนๆ ของเขาก็เฝ้ารอดูเช่นกัน .. ในไม่ช้าเนื้อเรื่องก็ดำเนินมาถึงดวนลังหยิบดาบเพลิงออกมา ขณะเดียวกันวู่หมิงเองพยายามที่จะห้ามปราบเขาไม่ให้สู่รบ


 


“ท่านนักบวชแก่แล้ว ..”


 


“ท่านนักบวชผู้ครองดาบแก่แล้ว ในขณะที่ซงปาเองอยู่ในช่วงวัยที่เหมาะสม ข้าเองจะไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้เท่าไร ..”


 


ลูกค้าที่ดูละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้าเริ่มพูดคุยกันถึงอายุของนักรบและความแตกต่างของช่วงวัยที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนถึงข้อได้เปรียบและข้อเสีย


 


“ท่านนักบวชผู้ครองดาบจะแพ้หรือไม่?”


 


เหลียงชีที่เคยผ่านอาณาจักรดินแดนบรรพบุรุษอันยิ่งใหญ่มาแล้ว แม้พวกเขาจะรู้สึกทึ่งกับเทคนิคการต่อสู้ในละครเรื่องนี้แต่เขาก็ภูมิใจว่าครั้งหนึ่งเขาเคยผ่านช่วงเวลาทำนองนั้นมาได้


 


ไม่นานวู่หมิงก็ห้ามการโจมตีของนักบวชผู้ครองดาบได้สำเร็จ .. ในตอนนี้วู่หมิงมั่นใจแล้วว่านักบวชผู้ครองดาบไม่สามารถเอาชนะซงปาได้


 


ถึงตอนนี้ซงฉิงเฟิงไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ได้ดูละครเรื่องนี้ การได้ดูนักบวชผู้ครองดาบคนเก่าแก่นี้ทำให้เขาได้คิดไตร่ตรองว่าบางทีเขาควรจะฝึกฝนก่อนที่จะแก่เกินไป .. ในความเป็นจริงคนรอบข้างเขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน


 


ทางตรงข้ามกัน ณ สนามซานเฟนในสหภาพโลกก่อนการสู้รบที่นี่ดูเงียบสงบไม่มีบรรยากาศใดๆ ที่บ่งบอกได้เลยว่าจะเกิดการสู้รบ


 


อาจารย์หลายคนได้รับเชิญให้มารับชมการต่อสู้ที่เมืองหวู่ชง .. ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศรีษะเวลาแห่งการต่อสู้เดินทางมาถึงแล้ว!


 


นักรบหลายคนยืนอยู่หน้าขั้ยบรรไดราวกับพวกเขากำลังเดินขึ้นไปบนฟ้า .. การต่อสู้ขึ้นอยู่กับพลังและโชคชะตา


 


นักบวชผู้ครองดาบเองมีอายุมากเวลาในทุกๆ วันเดินผ่านไปใกล้ถึงเวลาตอนจบของชีวิต .. ช่างน่าเสียใจหากมันจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต่อสู้!


 


“ข้าต้องการต่อสู้!”


 


ผู้ชมต่างหันไปมองทางเสียตะโกนที่สั่นคลอน


 


ทันใดนั้นเมฆดำปกคลุมท้องฟ้า .. ผู้คนที่มองไปยังนักบวชเขาพบว่านักบวชกำลังยืนอย่างภาคภูมิใจ


 


“อะไรกัน!?”


 


ผู้ชมที่กำลังจะเดินออกจากสนามต่างหันไปชมสีหน้าของพวกเขาเกิดความสับสนทันที


 


เวลาเดียวกันนักบวชผู้มีอายุมากกลับดูแปลกตาไปอย่างจังจากที่ดูเหนื่อยล้าไร้ชีวิตชีวากลับสดชื่นขึ้นทันตา


 


“เกิดอะไรขึ้น!?”


 


“ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้”


 


แม้ซงฉิงเฟิงและเหลียงชีที่เฝ้าดูหน้าจอเองยังรู้สึกทึ่งกับท่าทางของนักบวช


 


การปรากฏตัวในสนามรบนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งทุกอย่างอยู่ในระยะที่สัมผัสได้ว่ามันคือความจริงเหมือนกันพวกเขาถูกหั่นใดใบมีด! และก่อนที่นักบวชจะแสดงฝีมือของเขา ซงปาเองรู้สึกตัวแข็งด้วยความกลัว


 


“การปรากฏตัวที่น่าสยองแบบนี้เกิดขึ้นที่นีี่ได้อย่างไรกัน!?”


 


นักรบยอดเยี่ยมกลุ่มแรกพุ่งออกมาจากด้านหลังของซงปาและพุ่งไปข้างหน้า .. นักบวชเดินไปข้างหน้าช้าๆ ราวกับไม่เห็นพวกเขาและเหล่าลูกสมุนของซงปา บางคนพุ่งโจมตีเขา!


 


อย่างไรก็ตามบรรยากาศเปลี่ยนไป นักรบทุกคนตัวแข็งกลางอากาศ ..​แม้แต่เลือดที่ไหลออกจากร่างกายของพวกเขายังแข็งตัวอยู่ในอากาศ!


 


ซงฉิงเฟิง, เหลียงชีเองและผู้ชมคนอื่นๆ รู้สึกสมองว่างเมื่อเห็นฉากนี้!

 

 

 


ตอนที่ 211

 

“ทำไมพวกเขานิ่วขนาดนั้น!?” ไม่เพียงแต่คนอื่นที่นั่งดูอยู่ระแวกนั้นเท่านั้น แต่เหลียงชีและซงฉิงเฟิงก็นิ่งไม่ไหวติ่งเช่นกัน


 


นี่ไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดาในแบบที่จะสามารถหยุดฝ่ายตรงข้ามได้ .. แต่สิ่งที่เห็นต่อหน้าเป็นสิ่งที่นักรบระดับสูงหรือผู้ฝึกฝนจะสามารถทำสิ่งนี้ได้!


 


สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าคือนักรบทุกคนตัวแข็งกลางอากาศ! .. แม้แต่หยดเลือดทุกหยุดก็หยุนนิ่งราวกับเวลาหยุดลง


 


นี่เป็นส่วนที่หน้ากลัวที่สุด!


 


ความตายห้อมล้อมสนามซานเฟน ณ จุดนี้ไม่มีใครสามารถเคลื่อนไหวหรือกระดิกตัวได้เลย แม้แต่นักรบของสหภาพโลกพันคนก็ยังนิ่งราวกับไม่หายใจ


 


ผู้ชมละครขี่พายุทะลุฟ้าเฝ้าดูนักบวชที่ผ่านฝูงชนที่หนาแน่น ทุกที่ที่เขาไปมีแต่คนตาย!


 


ผู้ชมเฝ้าดูอย่างเงียบๆ เพราะพวกเขากลัวว่าถ้าหากพวกเขาเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียวพวกเขาคงจะต้องจบลงด้วยชะตากรรมเดียวกันกับเหล่านักรบระดับสูงของสหภาพโลกพวกนี้!


 


ในสนามรบซานเฟนตอนนี้เงียบราวกับป่าชา .. ในคาเฟ่ก็เช่นกันเงียบราวกับว่าพวกเขาเคยได้ยินคำสั่งของยมฑูตนั่นจึงทำให้พวกเขาปิดปากเงียบสนิท


 


แม้แต่ซงปาที่มีพละกำลังสูงสุดในกลุ่มก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือกระพริบตาได้!


 


ดูเหมือนว่านักบวชคนนี้อยู่ในอาณาจักรที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเข้าถึงได้! .. ในตอนนี้ทุกคนได้ตระหนักแล้วว่านักดาบคนนี้สมควรได้รับฉายานักบวชผู้ครองดาบ!


 


นักบวชชี้นิ้วชี้กับนิ้วกลางของเขาแล้วทิ่มมันลงที่หน้าอกของซงปาราวกับว่ามันเป็นดาบ!


 


ซงปาผู้เย่อยิ่งไม่มีทางเลือกนอกจาก .. รอคอยความตาย!


 


ผู้ชมยังคงชื่นชมการไล่ล่าของนักบวชและปรารถนาที่จะรอดูการต่อสู้ในช่วงเวลาสุดท้ายของช่วงชีวิตเขา เขาเหมือนชายแก่ผู้ให้ชีวิตการต่อสู้ของนักดาบเหมือนการต่อสู้กับธรรมชาติและโชคชะตาผลสุดท้ายมันก็จะกลายเป็นตำนาน!


 


อารมณ์ที่เศร้าหมองหมดหวังก่อนหน้านี้ทั้งหมดที่เกิดขึ้น บัดนี้มันกลับกลายเป็ยควงามประหลาดใจอย่างที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน


 


ความน่ากลัวที่ของละครเรื่องนี้ส่งผลให้หลายคนน้ำตาคลอ .. นักบวชเป็นนักรบโดยแท้จริง พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นนักรบที่สามารถต่อสู้กับธรรมชาติและโชคชะตาได้เช่นนี้


 


แต่ขณะเดียวกัน พวกเขายังคงเห็นว่านักบวชผู้ครองดาบยังคงยืนอยู่บนบันไดและเดินไปเกือบครึ่งทาง!?


 


นี่มัน .. อะไรกันเกิดอะไรขึ้น!?


 


เขาเห็นปูจิงหยุนเดินขึ้นบันไดพร้อมศพของกงซีในอ้อมแค้นของเขา ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจปล่อยซงปาให้เข้ามาเพื่อแก้แค้น!


 


ความแค้นที่ขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชังอารมณ์อันรุนแรงที่ซงปาปรารถนาจะฆ่าด้วยฝ่ามือของเขสเอง .. อย่างไรก็ตามเมื่อฝ่ามือสัมผัวลงที่ร่างของนักบวช ซงปาพบว่าตอนนี้เขาได้กลายเป็นซากที่เย็นชาไปแล้ว!


 


บนสนามซานเฟนที่ห่างไกล ซงปาที่ยืนนิ่งพร้อมฝ่ามือของเขาที่พลังค่อยๆ จางลงดูเหมือนเขาจะเริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น ในตอนนี้พื้นที่ของเขตฟานเซนถูกระงับและปิดผนึก


 


เสียงกรีดร้องดังกึกก้องทั่วท้องฟ้า .. ตอนนี้ผู้ชมเข้าใจแล้วว่าแม้ว่านักบวชจะตายก่อนการต่อสู้ แต่เจตจำนงของเขายังคงมีชีวิตอยู่ด้วยแรงผลักดันอันทรงพลังของเขาส่งผลให้เขากลายเป็นพลังที่เหนือชั้นเพื่อมาต่อสู้กับซงปา!


 


เพราะเขาตายไปแล้วจึงไม่ติดกับข้อจำกัดของมนุษย์ เขาเข้าใจเทคนิคดาบปีศาจขั้นสูงสุดซึ่งเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ! ดาบระดับ 23!


 


ซงฉิงเฟิง, เหลียงชีและคนอื่นๆ ได้ดูกระบวนกานทั้งหมดของดาบเล่มสุดท้ายในระดับยี่สิบสามของเทคนิคที่ถูกสร้างขึ้น


 


อย่างไรก็ตามท่านนักบวชเองก็ยังไม่สามารถควบคุมชะตากรรมได้แม้ว่าเขาเองจะเข้าใกล้ช่วงเวลาที่จะประสบความสำเร็จอย่างไรขีดจำกัดแล้วก็ตาม


 


ซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ เริ่มรู้สึกสับสนยิ่งกว่า ไม่มีคำบรรยายใดสามารถอธิบายสิ่งที่พวกเขากำลังรู้สึกได้ในตอนนี้


 


ความรู้สึกในใจพวกเขาคือความเสียใจ มันเป็นเรื ่องน่าเศร้าที่เห็นว่าแม้นักบวชจะเข้าใจและสามารถสร้างเทคนิคดาบจนถึงระดับยี่สิบสามซึ่งเป็นเทคนิคที่น่ากลัวมากมมันสามารถทำลายโลกได้ แต่เขาก็ไม่สามารถฆ่าซงปา เขาแพ้ในการต่อสู้!


 


ก่อนหน้านี้ละครเรื่องนี้ให้ความรู้เกี่ยวกับการเป็นผู้ใหญ่และเทคนิคระดับตำนานที่ดี แต่วันนี้มันกลับเปลีี่ยนไป


 


“มันน่ากลัว ท่านนักบวชนั้นทรงพลังมาก!” ซงฉิงเฟิงพูดถึงตอนจบของวันนี้กับคนอื่นๆ การแลกเปลี่ยนความเห็นของพวกเขามองว่านักบวชเป็นเหมือนฮีโร่ แม้ว่าเขาจะล้มเหลวก็ตาม


 


“เจ้าคุยอะไรกันหรือท่านซง ท่านนักบวชชนะหรือไม่?” หลินเซียวที่กำลังเล่น CS ตะโกนถาม


 


“ไม่ ..”


 


“งั้นพวกเจ้าคุยอะไรกันหรือ!?” หลินเซียวดูร้อนใจ


 


“ดาบระดับยี่สิบสาม!” ซงฉิงเฟิงตะโกน “ดาบระดับยี่สิบสามทำลายโลก มันช่างน่ากลัวจริงๆ”


 


เหลียงชีและคนอื่นๆ ก็ตะโกนด้วยความประหลาดใจ พวกเขาตกตะลึงจนจิตใจและสมองของพวกเขาว่างเปล่าสิ่งเดียวที่ยังคงวนเวียนในหัวคือเทคนิคอันน่ากลัวนี้!


 


“เมื่อมันถูกใช้ มันเหมือนกับว่าเวลาได้หยุดลงแล้ว!” ซงฉิงเฟิงตะโกนด้วยความตกใจ “ไม่มีใครขยับได้เลย พวกเขาตัวแข็งกันไปหมด แม้แต่เลือดที่กระเด็นออกมายังแข็งกลางอากาศ ซงปาผู้แข็งแรงก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนรอความตาย!”


 


“อะไรนะ!?” นักรบบางคนรวมถึงเหลียงเหอหูยังหันมาหาเขาเมื่อได้ยิน “เจ้าพูดเกินจริงไปหรือเปล่า? นักรบในละครไม่มีใครจะแข็งแกร่งไปกว่าผู้ที่มาจากอาณาจักรนักรบบรรพบุรุษหรอก”


 


“เขาไม่ได้พูดเกินจริง!” เหลียงชีและคนอื่นๆ ที่ได้ดูเถียง “ข้าก็ได้ดู ฉากนั้นช่างน่ากลัว ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเทคนิคดาบที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย เขาดูเหมือนเทพเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ ทุกคนยืนนิ่งเพื่อรอความตาย!”


 


“เทคนิคดาบแบบนี้มีอยู่ในโลกแห่งความจริงได้อย่างไร!?” เซียวเล้งหยูและองค์ชายห้าที่ยืนข้างเหลียงเหอหูมองดูด้วยสายตาไม่มั่นใจ “แม้ว่ามันจะมีอยู่แต่นักบวชเองก็ไม่เห็นสามารถใช้ในการฝึกฝนของเขาได้!”


 


“เจ้ากำลังพูดเรื่องนี้เพื่อหลอกให้เราเสียเวลาในการฝึกฝนหรือ?” องค์ชายห้าเลิกคิ้วถาม


 


“แม้แต่ท่านอาวุโสนาหลันเองยังบอกเลยว่าละครเรื่องนี้นั้นไม่ได้เรื่อง!” จียูเสริม “มันก็แค่สร้างพื้นฐานให้เราก็แค่นั้น”


 


ซงฉิงเฟิงผู้ขี้เกียจเถียงพึมพำ “เรื่องของพวกเจ้าละกัน”


 


จากนั้นเขาก็พูดเร้าเพื่อนทั้งสอง “ข้าบอกเลยว่าเทคนิคดาบระดับยี่สิบสามนั้นน่ากลัวจริงๆ”


 


“พวกเจ้ากำลังเถียงเรื่องอะไรกัน!?” นาหลันฮงวูที่นั่งถัดจากนาหลันหมิงสื่อเอ่ยถามเมื่อเห็นพวกเขาทะเลาะโต้เถียงกัน


 


“ผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ด้วย ข้าขอให้ท่านช่วยตัดสิน” จียูไม่ต้องการจบ “นั้นพวกเขากำลังสรรเสริญละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้า ข้าก็ชอบละครเรื่องนั้นนะแต่ข้ามองว่ามันไม่ได้สนุกหรือดีอย่างที่พวกเขาพูด!”

 

 

 


ตอนที่ 212

 

ตั้งแต่ซงฉิงเฟิงดูขี่พายุทะลุฟ้าตอนล่าสุดจบเขายังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่เล่าถึงมัน


 


“ทรงพลังหรอ!?” ถึงแม้ว่าตำนานเกี่ยวกับนักรบที่ทรงพลังจะสามารถทำลายภูเขาแม่น้ำหรือพื้นพิภพได้อย่างง่ายได้ แต่ก็ไม่มีใครเคยได้ยินเทคนิคดาบที่ทรงพลังเช่นนั้นมาก่อนแม้แต่นาหลัยฮงวูเองก็เช่นกัน


 


ทุกอย่างถูกตรึงราวกับเวลาหยุดลง ดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้!


 


ใครจะไปเชื่อ .. แม้แต่นาหลันฮงวูยังไม่เชื่อ นอกจากนี้เขาเองยังบอกว่าละครเรื่องนี้มีประโยชน์สำหรับนักรบที่ต้องการพื้นฐานแค่นั้น


 


เขา่เชื่อในการตัดสินใจของตัวเอง


 


“ข้าเห็นด้วย!” ตงชิงลี่ที่เพิ่งรู้สึกตัวจากอาการตกใจ “เทคนิคดาบระดับยี่สิบสามมันไม่ใช่ของมุนษย์ มันช่างน่ากลัวจริงๆ”


 


“ข้าเห็นด้วย!”


 


“ข้าก็ด้วย!”


 


พวกเขาเป็นอาจารย์ของบ้านหวังจากสำนักหลิงหยวน พวกเขาอยู่ในระดับที่ยังไม่สูงมากนัก


 


นาหลันฮงวูทำหน้าเซ็งเขาหันไปหาฟางฉีเพื่อขอความเห็น “นี่เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดยังไง?”


 


“ท่านหมายถึงเทคนิคดาบระดับยี่สิบสามน่ะหรอ?” ฟางฉีเกาหัวและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านรู้มั้ยทำไมข้าถึงยังดูละครขี่พายุทะลุฟ้า เพราาะเทคนิคการควบคุบดาบของข้าเริ่มเข้าสู่ระดับสูงขึ้นแล้ว”


 


นาหลันเงียบ “…”


 


ทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับการดูละครเรื่องนยี้ทำหน้าเซ็ง


 


“มัน .. จริงหรอ!?”


 


จากนั้นพวกเขาก็ตะโกนตามๆ กัน “ท่าน! เปิดใช้งานละครขี่พายุทะลุฟ้าให้ข้าที!”


 


“มันอยู่ตอนไหน ข้าจะดู!”


 


“หรือเพราะพวกเจ้ายังอยู่ในระดับต่ำเลยมองผิดไป!?” นาหลันฮงวูยังคงไม่เชื่อว่าจะมีเทคนิคแบบนี้บนโลก


 


นักรบระดับต่ำ? เช่นนั้นหากคำกล่าวอ้างเป็นจริงว่าดาบระดับยี่สิบสามเป็นจริงแม้พวกเขาจะมีระดับต่ำหรือสูงก็สามารถเรียนรู้ได้น่ะสิ


 


หลายคนแน่ใจว่าหากเทคนิคดาบนี้ปรากฏขึ้นโลกทั้งใบจะต้องพลิกผันไปอย่างแน่นอน


 


“ช่วงสุดท้ายของตอนที่สิบสอง!” มีคนตะโกนขึ้นในไม่ช้าหลายคนที่สงสัยก็ตามไปเฝ้าดู


 


พวกเขาที่เฝ้าดูเห็นฉากที่นักบวชกำลังเดินขึ้นบันไดของสหภาพโลกในตอนแรกหลายคนยังคงไม่เข้าใจว่าชายชราคนนี้น่ะหรอที่จะสามารถใช้เทคนิคดาบทำลายล้างโลกได้ ..​ แต่อย่างไรก็ตามไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเขาต้องตกใจจนอ้าปากค้า


 


เมื่อเห็นว่านักบวชได้แสดงเทคนิคดาบระดับยี่สิบสาม .. สิ่งที่ทุกคนเห็นทำให้พวกเขาตะลึง สมองของพวกเขาว่างเปล่าเนื้อตัวสั่นเทา


 


“เขา .. เขาเป็นนักรบหรือ? ถ้าเช่นนั้นพวกเขาคืออะไร!?” นาหลันฮงวูและนักรบคนอื่นตัวแข็ง


 


พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านักรบท่านนี้จะมีพลังอำนาจมากกว่าคนอื่นๆ เป็นไปได้อย่างไร!?


 


“นี่เจ้าหนุ่ม ..​ เราจะเรียนรู้เทคนิคดาบนี้ได้มั้ย?” คราวนี้นาหลันฮงวูเปลี่ยนใจที่จะหันมาสนใจเทคนิคดาบในละครเรื่องนี้


 


เขารู้สึกว่านักบวชได้พัฒนาเทคนิคดาบนี้ในตอนนี้เขาก้าวพ้นขอบเขตแห่งความตาย แต่ .. คนอื่นไม่สามารถเข้าถึงหรือคัดลอกความตายในแบบที่เขาทำได้!


 


ฟางฉีถามกลับ “ท่านคิดเห็นอย่างไร?” ถ้าข้าเรียนรู้ไม่ได้ข้าจะดูมันไหมละ .. ฟางฉีคิด


 


ฉากที่นักบวชได้แสดงถึงเทคนิคดาบระดับยี่สิบสามนั้นมันเป็นเหมือนกับตำราเรียนของเทคนิคดาบนี้ กล่างอีกอย่างคือเทคนิคนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่องจาก นักบวชพบว่าเขาเริ่มเข้าใจชีวิตและความตายแต่ถึงมันจะมีการพัฒนามันก็มีข้อจำกัดในการใช้อยู่ดี


 


“มันหมายความว่าไง ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเรียนรู้ได้หรือ?” นาหลันฮงวูถาม


 


ฟางฉีตอบ “ใช่! เทคนิคนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถเข้าใจหรือเข้าถึงได้!”


 


แม้แต่เขานักรบแห่งจักรพรรดิเองยังคงไม่เข้าใจเลย .. นาหลันฮงวูคิดในใจ สำหรับเขาอาจมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่จะพอเข้าใจแนวคิด


 


“ข้าตัดสินใจแล้ว!” นาหลันฮงวูพูดขึ้น “ข้าจะมุ่งความสนใจไปที่ละครเรื่องนี้!”


 


“เปิดใช้งานทั้งสิบสองตอนของละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้าให้ข้าที!” เหลียงเหอหูตะโกนขึ้นเสริม


 


“ขณะที่พวกเราดูมัน” นาหลันหมิงสื่อพูดขึ้น “ข้าว่าเราควรจะแนะนำให้แก่ผู้ปลูกฝัง เพราะเมื่อพวกเขาถูกหันเหความสนใจแล้ว เราจะได้มีโอกาสชนะพวกเขาในการแข่งขัน!”


 


เหลียงเหอหู “…”


 


ซงฉิงเฟิง “…”


 


ทุกคนมองเธอด้วยความงุนงง


 


ฟางฉีกลอกตา “นี่เป็นการแข่งขันสนุกๆ เจ้าต้องการทำสงครามจิตวิทยาหรือ?”


 


“หืม? ทุกอย่างคือสงคราม!” นาหลันหมิงสื่อยิ้มเยาะ “ไม่มีกฏนี่”


 


“ก็คงงั้น”


 


“ไปกันเถอะหลันยัน!” นาหลันหมิงสื่อชี้นิ้วไปที่ส่วนอีกมุมของร้าน ที่ซัวเต๋าและเหล่าสาวกของสำนักหลิงหยุนพักผ่อนอยู่ “เราจะไปนั่งแถวนั้นเพื่อคุยหารือเกี่ยวกับเทคนิคดาบระดับยี่สิบสามในเรื่องขี่พายุทะลุฟ้ากัน!”


 


จากนั้นเธอชี้นิ้วไปที่อีกมุมซึ่งมีคนจากกลุ่มโอเชียนอยู่ “หลินเซียวและซูเหลียว พวกเจ้าไปนั่งแถวนั้นเพื่อคุยเรื่องละคร หากพวกเขาถามก็แนะนำละครให้พวกเขาฟัง”


 


“เราจะไปที่คาเฟ่ฝั่งนู้น” องค์หญิงจียูเอ่ย


 


“…”


 


ฟางฉีทำหน้าเพลียขณะที่ดูพวกเขากระจายคนตามแผน


 


ในไม่ช้าเขาก็เห็นความก้าวหน้าในภารกิจของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว!


 


สองวันต่อมาผู้ปลูกฝังที่เคยอ้างว่าเรื่องขี่พายุทะลุฟ้านั้นไม่เห็นมีอะไรที่น่าสนใจ ในตอนนี้พวกเขาหลายคนมีรอยคล้ำใต้ตาจากการจับกลุ่มพูดคุยกันในช่วงดึก


 


“เจ้าของร้าน! ตอนที่สิบสามของขี่พายุทะลุฟ้าอยู่ไหน!?”


 


“การแข่งของพวกท่านกำลังจะเริ่มในหนึ่งวัน ทำไมพวกท่านมาสนใจละครกันตอนนี้!” ฟางฉีขมวดคิ้ว “จะทำการเพิ่มตอนในอาทิตย์หน้า!”


 


“ไม่นะ! มันไม่ยุติธรรม! นักรบจะมีเทคนิคดาบที่ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร? แม้แต่คาถาจิตวิญญาณในกระบี่เทพสังหารยังไม่สามารถเทียบได้”


 


“กระบี่เทพสังหารมีราคาแพงกว่าขี่พายุทะลุฟ้า แต่ทำไมขี่พายุทะลุฟ้านั้นทรงพลังกว่า!?”


 


ฟางฉีไม่มีคำตอบ


 


ขณะเดียวกันหลันโมหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรวู่เว้ย, หัวหน้ากลุ่มบลูเฟรม, เยซงเต๋าและซัวเต๋าพวกเขารวมตัวนั่งอยู่กันบนโซฟา ท่าทางของพวกเขาดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก


 


พวกเขาซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันคนละหนึ่งถ้วย


 


“ท่านอาจารย์หลัน! ท่านเย! พวกท่านได้รับข้อความเช่นนี้หรือไม่?” ซัวเต๋ากล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดี


 


หลันโมกินไปคำหนึ่งก่อนจะตอบ “พวกเขาตัดทรัพยากรทั้งหมด ครอบครัวการเพาะปลูกขนาดใหญ่ในหยุนเตียนกำลังร่วมมือกันกดดันเรา!”


 


ผู้อาวุโสหยินหลงที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกเขาเอ่ย “ท่านอาจารย์พวกท่านมีความคิดอย่างไร ข้ารอฟังอยู่!”


 


เยซงเต๋าที่ยุ่งกับการกินถามต่อ “ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรหรือท่านหลันโม?”


 


“หากก่อนหน้านี้เราไมม่เห็นเทคนิคดาบระดับยี่สิบสาม เราคงต้องทบทวนกลยุทธ์ของเราว่าเราจะสามารถหยุดพวกเขาได้มั้ย” หลันโมกล่าว


 


พวกเขาพยักหน้าตามคำพูดของหลันโม


 


“อย่างไรก็ตามข้าขอให้พวกเจ้าพูดคุยเรื่องนี้แค่ที่นี่เท่านั้น พวกเจ้าต้องรู้ว่าข้ากำลังจะวางแผนทำอะไร” เขากล่าวต่อ


 


“ยังไงก็ตามตั้งแต่ผู้อาวุโสสามารถสร้างเทคนิคที่น่ากลัวระดับยี่สิบสามได้ ใครจะไปรู้ว่าเขามีพลังมากถึงเปลี่ยนแปลงโลกของเราได้”


 


คนอื่นพยักหน้าและคิดว่าที่เข้าพูดมีประเด็น


 


“ดังนั้นข้าเลือกที่จะอุดหนุนร้านนี้ต่อไป ในส่วนของทรัพยากรของพันธมิตตรของวู่เว้ยของเรายังไม่มีแผนสำรอง!” หลันโมบอกพวกเขาว่าไม่ต้องกังวลล


 


เขาคิดในใจกับตัวเองว่าอย่างร้อยทรัพยากรของเราส่วนหนึ่งก็น่าจะค้ำจุนเราได้ซักพัก!


 


“พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลกับมันในตอนนี้! มากินกันต่อเถอะ”


 


“ซู้ดๆ ซู้ดๆ”


 


“…”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม