Black Tech Internet Cafe System 178-198

 ตอนที่ 178

 

ลูกค้าหลายคนเมื่อได้สัมผัสกับไซเลนต์ฮิลล์แล้ว พวกเขารู้สึกกลัวจับใจนี่จึงเป็นสิ่งท้าทายสำหรับฟางฉีอย่างมาก เพราะทุกคนกำลังตั้งใจรอเวลาเพื่อดูเขาถ่ายทอดสด


 


ในที่สุดซูเทียนจิก็ออกจากเกมแล้ว .. เธอออกเป็นคนสุดท้าย


 


จิตใจของเธอนั้นแข็งแกร่งกว่าคนอื่นมาก เธอสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดได้สองถึงสามตัวตั้งแต่เริ่มเกม ด้วยเหตุผลบางอย่างในใจ เมื่อใดก็ตามที่เธอเห็นสัตว์ประหลาดเธอสามารถระงับความรู้สึกได้อย่างน่าประหลาดใจ อาจเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมาเนื่องด้วยเธอเคยบ่มเพาะด้วยความสันโดษก็เป็นได้


 


แต่หลังจากใช้เวลาฝึกฝนอย่างหนักหน่วงก็ไม่บรรลุผลดั่งใจเสียที และในช่วงก่อนการฝึกฝนอีกครั้งเธอเองเกรงว่าการใช้พลังงานที่เกินตัวอาจเบี่ยงเบนให้เกิดความเสียหายของร่างกายได้ เธอจึงหยุดพักชั่วขณะ


 


ทุกครั้งที่นึกถึงความทรงจำนั้น เธอรู้สึกวิตกกังวลภายในจิตใจอย่างมาก เธอหวังว่าจะลืมมันได้ในสักวัน อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้พักผ่อนและหนีจากการฝึกฝน ตอนนี้ความวิตกกังวลภายในใจลดลงอย่างมาก


 


“นี่เป็นผลของเกมหรือไม่?” เธอไม่รู้ว่านี่เป็นผลจากเกมหรือภาพลวงตา


 


อย่างไรก็ตามกระบวนการเล่นทั้งหมด ..


 


“ลืมมันไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเล่นใหม่ละกัน” ซูเทียนจิรู้สึกเหนื่อยล้า


 


มันช่างน่ากลัวจริงๆ


 


หากเธอยังคงเล่นต่อไป ระหว่างทางกลับวังหลิวหยุนในตอนกลางคืนเธอต้องหลอนแน่ๆ แต่โชคดีที่เธอมีสองสาวคอยติดตามข้างกาย ด้วยความคิดนี้เธอจึงรู้สึกอุ่นใจขึ้น


 


เธอหันไปมองกำลังใจของเธอ .. ทั้งสองกอดกันกลมด้วยความกลัว


 



 


ลูกค้าหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็นเพื่อที่จะได้ดูการถ่ายทอดสดของฟางฉี แน่นอนเขาจะกลายเป็นคนขี้โกหกทันทีถ้าเกิดงอแงและให้คำตอบว่ากลัว!


 


“นี่ท่าน! นี่เวลาสองทุ่มแล้ว ท่านจะทำการถ่ายทอดสดมั้ย?” ผู้เล่นใหม่อย่างเซียวเลงยู, องค์หญิงและผู้เล่นหน้าเก่า รวมไปถึงนาหลันหมิงสื่อและซูเทียนจิเองต่างหันไปจ้องมองฟางฉีที่ยังคงนั่งเล่น diablo อยู่


 


หากสายตาของพวกเขาสามารถฆ่าฟางฉีได้ ป่านนี้เขาคงได้รับความบาดเจ็บจากสายตาที่แหลมคมนับพันแผล


 


“เจ้าคงจะไม่ผิดสัญญาใช่มั้ย?” ซูเทียนจิจ้องหน้าเขม็ง


 


“เจ้าของ! ได้เวลาถ่ายทอดสดแล้ว” ตงชิงลี่ตะโกนขึ้น เธอเฝ้ารอดูการถ่ายทอดสดแม้ว่าสถานการณ์ในไซเลนต์ฮิลล์จะดูน่ากลัวก็ตาม


 


ผู้เล่นต่างตื่นเต้น!  ที่จะได้ดูการถ่ายทอดสดครั้งนี้ ใช่! แม้เหตุการณ์จะวังเวงชวนขนลุกแต่ก็อดไม่ได้เลยที่จะดูมันซ้ำแล้วซ้ำอีก


 


“เอ่อ ..” ฟางฉีทำหน้าลังเล “ข้าเล่นพรุ่งนี้ได้มั้ย?”


 


“ไม่!”


 


“ท่านต้องเล่นวันนี้”


 


“ตอนนี้! เดี๋ยวนี้!”


 


ผู้ลเ่นยังคงเฝ้ารอคอยเพื่อชมความท้าทายของฟางฉี พวกเขาต่างจ้องหน้าฟางฉีด้วยความคิดที่ว่าอยากจะให้เจ้าของได้เจอประสบการณ์อย่างที่พวกเขาได้เจอในเกม


 


“เจ้าของ! ข้าบล็อกประตูไว้แล้ว!” หลันยันตะโกน “ท่านไม่สามารถหนีไปไหนได้!”


 


ฟางฉีทำหน้าเซง นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!


 


เขาตัดสินใจยกนิ้วชี้ขึ้น “ข้าจะเล่นมันสักครู่นึงแล้วกัน”


 


“ไม่!” ทุกคนทำหน้าเข้ม “ท่านต้องเล่นเท่ากับที่เราเล่น!”


 


“หนึ่งชั่วโมง?” ฟางฉียกนิ้ว


 


“ข้าเล่นทั้งหมดสี่ชั่วโมง!” ซูเทียนจิตอบ


 


ฟางฉีมองยืนคิด “พวกท่านต้องการให้ข้าเล่นทั้งหมดสี่ชั่วโมงหรอ?”


 


“ใช่!”


 


“แน่นอน!”


 


นาหลันฮงวูลูบเคราพร้อมพูดว่า “ข้าเล่นทั้งหมดห้าชั่วโมง แต่ร้านของเจ้าปิดตอนเที่ยงคืนข้าไม่ขอให้เจ้าเล่นห้าชั่วโมงแต่อย่างน้อยสี่ชั่วโมงก็แล้วกัน”


 


ฟางฉีหน้ากระตุก “ท่านผู้สูงอายุ ข้าว่าท่านคงหลงทางรอบๆ ไซเลนต์ฮิลล์อย่างน้อยเกือบห้าชั่วโมงแน่นอน”


 


แน่นอนเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตอบกลับเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง


 


ฟางฉีเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกล้อมไว้ “ตกลง ข้าจะเล่น!”


 


ข้าเห็นว่าขาของเขาเริ่มอ่อนแรงด้วยความกลัว นั่นคือสิ่งที่เจ้าควรได้รับจากการทำให้พวกเขากลัวเช่นกัน หลายคนคิดในใจด้วยความแค้น


 


ตัวอย่างเช่น องค์หญิง, นาหลันหมิงสื่อและซงฉิงเฟิงเองกล่าวว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกหวดกลัวเช่นนี้มาก่อน!


 


สำหรับซูเทียนจิเองเธอก็รู้สึกกลัวไม่น้อยเลย แต่เธอไม่ต้องการที่จะให้ใครเห็นความอัปยศเธอจึงจำต้องเตะต่อยเพื่อป้องกันตัว เธอนึกย้อนกลับไปทำไมเธอถึงตัดสินใจเล่นเกมนี้ตั้งแต่แรกกันนะ?


 


ในขณะที่เธอยืนครุ่นคิด ฟางฉีเองก็ได้คลิกเปิดเกม การถ่ายทอดสดกำลังจะเริ่มต้นขึ้น


 


ด้วยร้านค้าที่ชยายใหญ่ขึ้นจึงมีที่ยืนและที่นั่งเพื่อชมมากมาย บางคนเลือกจะยืนดูข้างหลังฟางฉีและบางคนเองก็เลือกจะนั่งบนโซฟาเพื่อดูการถ่ายทอดสดจากหน้าจอ


 


คนเยอะขึ้นก็อบอุ่นขึ้นเฟงหัวและยูซินที่เคยกลัวจนตัวสั่นรู้สึกผ่อนคลายเมื่อเห็นว่ามีคนอยู่เยอะไม่วังเวงเหมือนในตอนแรก


 


จุดเริ่มต้นที่เหมือนกัน แม้จะมีระดับความเป็นอิสระของตัวละครแต่พล็อตเรื่องก็ยังคงเดิม


 


ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเขากลัวหรือไม่กลัว เฉินชิวงชิงคิดในใจขณะที่ดูฟางฉีบังคับตัวละครให้เดินเข้าไปในหมอกช้าๆ


 


ท้ายที่สุดแล้ว เธอเองนั่นแหละคือคนแรกที่กลัว ..


 


“เจ้าต้องกลัวสิ!” ซูเทียนจิขมวดคิ้ว “ข้าจะต้องทำให้เขาขายหน้า!”


 


แน่นอน จู่ๆ พวกเขาก็เห็นฟางฉียืนหยุดอยู่ที่สุสาน


 


“ท่าน! หยุดทำไมละ”


 


“ไปต่อสิ”


 


“เข้าไปในไซเลนต์ฮิลล์เลย ถ้ากล้าพอ”


 


“ข้าจะอ่านเรื่องนี้ก่อนไม่ได้หรอ?” ฟางฉีกลอกตา


 


ตัวละครหลักที่มีชื่อว่าเจมส์จะพบกับผู้หญิงที่มีชื่อว่าแองเจล่าผู้ซึ่งมาตามหาแม่ เธอจะบอกตัวละครหลักว่าไซเลนต์ฮิลล์เป็นสถานที่ที่อันตรายและน่าขนลุกมมากและพยายามชักชวนให้เขากลับไป


 


ในความจริงที่ทุกคนเดินทางมาที่ไซเลนต์ฮิลล์ พวกเขาล้วนมีเหตุผลส่วนตน


 


“ฉันกำลังมองหา .. ใครบางคนที่สำคัญมากสำหรับฉัน ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อได้อยู่กับเธออีกครั้ง ..” เจมส์กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกไป


 


“ดู! เจ้าของร้านกำลังเข้าเมือง”


 


“เขาห่อไหล่ตัวเอง! ฮ่าๆ กลัวแน่ๆ”


 


“ฉันหวังว่ามันจะต้องสนุกแน่เมื่อได้ดูเขาเล่น”


 


“ถนนสายนี้? วิทยุ?” พวกเขากำลังสับสน


 


พวกเขาไม่รู้ว่าวิทยุมีประโยชน์หรือไม่ รู้แต่เพียงว่าที่นี่มีสัตว์ประหลาดที่สามารถทำลายวิทยุและผู้เล่นให้เกิดความหวาดกลัว


 


พวกเขากำลังแปลกใจที่เจ้าของร้านยังคงเลือกเดินไปทางนี้ ..


 


“ตอนนี้เจ้าของร้านอยู่ในรั้ว!” หลันยันรู้สึกตื่นเต้นเพราะช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดกำลังมาถึง!


 


“เท่าที่ฉันดูฉันว่าไม่เห็นเขามีท่าทีที่กลัวเลย” เฉินชิงชิงเอ่ย


 


“ไร้สาระ!” ตงชิงลี่ตอบ “ข้าดูเจ้าเล่นเกมข้ายังกลัวเองเลย เดินเข้าไปถึงในรั้วขนาดนี้แล้วหนียากแน่นอน นอกซะจากออกไปให้สัตว์ประหลาดมันจัดการ!”


 


“หรือยกเว้นว่าเจ้าต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาด!” นาหลันหมิงสื่อเสริม เธอจำได้ว่าเธอเองก็รู้สึกกลัวจนหน้าซีดไปเหมือนกัน


 


จากนั้นร่างที่บิดเบี้ยวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าฟางฉี .. เขาหยิบไม้เท้าขึ้นมาและฟาดมันลงที่หน้าสัตว์ประหลาดสามครั้ง!


 


“บ้านเกิดของฉันอยู่ในเมืองนี้ ..” เขาฮัมเพลงและเหวี่ยงขาข้ามรั้วพร้อมวิทยุในมือ


 


“…”


 


ฟางฉีกล่าว “วิธีการโจมตีหลักของสัตว์ประหลาดตัวนี้คือมันจะพ่นพิษใส่ ดังนั้นพวกเจ้าต้องตีที่หน้ามันก่อน!”


 


“ไม่ว่าฉันจะกลัวขนาดไหนก็ไม่สามารถตกใจกับสัตว์ประหลาดตัวเล็กๆ ในขณะเริ่มเกมใช่มั้ย?” เขาบ่นพึมพำ


 


มุมปากของทุกคนกระตุก

 

 

 


ตอนที่ 179

 

“เป็นไปได้ยังไง!?” ผู้ชมต่างเฝ้ารอดูสีหน้าอันวิตกกังวลและกลัวปีศาจของฟางฉีนั้นต่างตะลึงงัน


 


เจ้าของไม่กลัวสัตว์ประหลาดที่กลัวเลย เขากลับทำให้สัตว์ประหลาดล้มลงกับพื้นและเดินจากไปอย่างสงบ


 


“ตอนดูเจ้าของจัดการกับสัตว์ประหลาดทำไมมันจัดการได้ง่ายดายขนาดนั้น?” ตงชิงลี่ถาม


 


“เจ้าของร้านแข่งแกร่งมาก!” เฟงหัวและยูซินเอ่ยชมด้วยความอิจฉา


 


“…” ซูเทียนจิ


 


“สัตว์ประหลาดตัวนี้อ่อนแอ!” ซูเทียนจิตะโกน “ถ้าพวกเจ้าระวังตัวดีและมีอาวุธติดตัวยังไงก็สามารถกำจัดมันได้”


 


แต่ .. มันดูน่ากลัว เธอคิดในใจว่าแน่นอนถ้าเป็นเธอเล่นเองคงไม่กล้าพูดแบบนี้แน่


 


ผู้เล่นหมายคนมักถูกจับตัวโดยไม่ทันได้ระวัง แม้แต่นักรบหรือผู้ปลูกฝังเองก็สามารถที่จะพลาดได้ เพราะร่างกายของตัวละครหลักนั้นมีการตอบสนองช้า


 


ที่สำคัญสัตว์ประหลาดตัวนี้เคลื่อนไหวโดยการคลาน มันจะคลานเร็วขึ้นอีกเท่าเมื่อพลังชีวิตของมันใกล้จะหมดลง ซึ่งเป็นการทดสอบความระมัดระวังและการตัดสินใจของผู้เล่น


 


แม้ว่าฟางฉีจะรู้วิธีการจัดการกับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ แต่เขาเองเลือกที่จะหลีกเหลี่ยงพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ยกเว้นตัวแรก


 


“ดูเหมือนว่าเขาจะเกร็ง” เพื่อกู้ชื่อเสียงคืนมาซูเทียนจิเลยแอบสบประมาทฟางฉีเล็กๆ “ถ้าเป็นข้า ข้าก็จะกำจัดพวกมันด้วยไม้เท้าเหมือนกัน”


 


“เจ้าของร้านเล่นเหมือนคนขี้กลัว” นาหลันหมิงสื่อเองก็แอบว่าเขาเล็กน้อย เขากล่าวว่าหากนาหลันหมิงสื่อไม่เล่นเขาก็จะไม่ทำการถ่ายทอดสด เธอจึงถูกบังคับให้เล่นเธอรู้สึกกลัวมากนี่จึงเป็นเหตุผลให้เธอโกรธเคือง


 


“เขาจะมีปัญหาเมื่อสัตว์ประหลาดรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก” ซงฉิงเฟิงกล่าวด้วยความไม่พอใจเมื่อเห็นฟางฉียังคงวิ่งผ่านเหล่าสัตว์ประหลาดไปอย่างง่ายดาย


 


ในขณะเดียวกันฟางฉียังคงออกอากาศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง แต่คนอื่นสามารถได้ยินเสียงเขาผ่านหน้าจอยักษ์ “ตอนนี้ข้าจะแสดงการวิ่งแบบปาร์กัวร์ให้ดู”


(ผู้แปล : Parkour ปาร์กัวร์หรือเรียกอีกชื่อว่า Free running)


 


“ปาร์อะไรนะ?” ทุกคนทำหน้างง


 


ฟางฉียังคงวิ่งไปอย่างต่อเนื่องพลางหยิบกุญแจขึ้นมาและปลดล็อคประตูเหล็กหน้าอาคารอพาร์ตเมนต์ราวกับเขากำลังกล่าวคำอำลาเหล่าสัตว์ปนะหลาดที่วิ่งไล่ล่า เขาปิดประตู ปัง!


 


ผู้ชมทั้งหมดนิ่งอึ้ง!


 


ในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้เงียบแถมไม่มีแสงสว่างเลยโชคดีที่เป็นเวลากลางวันมันจึงไม่ได้มืดสนิท ฟางฉีเดินขึ้นไปยังชั้นสองและเดินเข้าไปในห้องทางด้านขวามือเพื่อรับไฟฉาย เมื่อได้รับไฟฉายเขาฉายกวาดไปรอบๆ เสียงในเกมชวนขนลุกดังขึ้น จากนั้นแมนเนควินที่นอนอยู่บพื้นก็โผล่ขึ้นมาทันที!


 


(ผู้แปล : Mannequin คือ แมนเนควิน เป็นปีศาจมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับแมงมุม ที่ประกอบร่างขึ้นจากชิ้นส่วนซากศพของเหยื่อที่ถูกทำร้าย ลักษณะโดยรวมจะเป็นรูปร่างของผู้หญิงที่ไม่มีหัว มีเพียง “ขาล่าง” และ “ขาบน” โดยขาล่าง มีไว้เดิน และขาบนมีไว้หนีบร่างของศัตรู เป็นปีศาจที่ตัวบางแถมพรางตัวได้)


 


“อ่า!” เมื่อเห็นฉากนี้ปรากฏขึ้นเฟงหัวและยูซินกอดกันตัวกลอม


 


“นา นาหลัน ..” หลันยันตกใจเซไปหานาหลันหมิงสื่อ


 


เวลาเดียวกันกับที่หลันยันตกใจเซ เจียงเสี่ยวหยูก็หันไปกอดเธอเช่นกัน พวกเขากอดกันแน่น


 


ซูเทียนจิเองก็รู้สึกตกใจอย่างมากเหมือนกัน แต่เธอยังพอตั้งสติได้อยู่


 


เนื่องจากสาวกของเฉิงจิ้งยืนเกาะกันเป็นกลุ่มพวกเขาจึงไม่ได้ออกท่าทีมากเท่าไร .. แต่แน่นอนพวกเขาก็กลัวไม่แพ้พวกเธอเลย


 


“เจ้า ..​เจ้าของต้องกลัวบ้างสิ” หลิวหยุนเอ่ยเสียงสั่น ผู้ชมจำนวนหลายคนเริ่มมีอาการขนลุก


 


“ข้า ..​ก็ว่างั้น” ยิ่งซงซวนตอบกลับด้วยเสียงสั่น


 


“เจ้าเด็กนั้นไม่เห็นหรือไง?” ซูเทียนจิพูด “เข้าควรจะกลัวบ้างสิ”


 


ตงชิงลี่และคนอื่นๆ ยังไม่เคยเห็นฉากนี้เช่นกัน พวกเขารู้สึกตื่นเต้นกว่าตอนแรกแต่ก็กลัวในขณะเดียวกัน


 


ในความจริงฟางฉีก็ตกใจ เขารีบก้าวออกจากประตูอย่างรวดเร็ว


 


ปัง!


 


“สาระสำคัญของการเล่นแบบปาร์กัวร์คือ วิ่งและปิดประตูด้านหลัง!” ฟางฉีอธิบายขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น


 


หน้าของซูเทียนจิมุ่ย


 


เธอบังคับตัวเองให้ไปข้างหน้าพร้อมฆ่าเจ้าสัตว์ประหลาดด้วยไม้เท้าอย่างบ้าคลั่ง แค่คิดก็ขนลุก


 


ตงชิงลี่, องค์หญิงและคนอื่นๆ กำลังตั้งใจดูด้วยความหวาดกลัว นั่นอะไร? เขากำลังเล่นด้วยวิธีไหนกันแน่!?


 


อย่างไรก็ตามแม้แต่ละเหตุการณ์จะดำเนินมาแต่โดยรวมฟางฉีก็ยังไม่ได้เข้าไปในไซเลนต์ฮิลล์ลึกเท่าไร เขาสามารถกำจัดสัตว์ประหลาดและควบคุมสติตัวเองได้อยู่


 


เฮ้อ .. เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยังคงออกสำรวจต่อไป


 


ส่วนแรกของไซเลนต์ฮิลล์สอง สำหรับผู้เล่นใหม่ถือว่าเป็นการเดินทางที่ชวนสับสน พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไรนอกจากสำรวจสถานที่ ในความเป็นจริงมันกำหลังเปิดเผยว่าตัวละครหลักรู้สึกอย่างไร เขามีปัญหาด้านความสับสนและความกลัว แต่เขาต้องค้นหาเบาะแสกับความทรงจำพร้อมคำสองสามคำในจดหมาย


 


ฟางฉียังคงสำรวจในอพาร์ตเมนต์ที่เต็มไปด้วยอันตรายพร้อมบรรยากาศที่ชวนขนลุก ลึกเข้าไปฟางฉีได้พบปืนพก แต่ .. มันอาจไร้ประโยชน์สำหรับที่แห่งนี้


 


เขาไม่ได้พบกับสัตว์ปรนะหลาดมากมาย แต่เขาก็ยังต้องค้นหาเบาะแสต่อไป ทุกครั้งที่เขาเปิดประตูผู้คนที่ยืนชมกันจะลุ้นจนตัวสั่นด้วยความกลัวว่าจะมีบางสิ่งแปลกๆ กระโจนออกมา!


 


เมื่อถึงตอนนี้ฟางฉีได้สำรวจชั้นสามเสร็จแล้วเขากำลังเดินกลับไปที่ชั้นสอง จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องโดยหวนดังขึ้นจากอพาร์ตเมนต์ที่เงียบสงบ


 


เสียงหญิงสาวบางคนกำลังกรีดร้อง


 


พวกเขาเห็นสัตว์ประหลาดหัวสามเหลี่ยมยืนอยู่อีกด้านจากมุมหนึ่ง .. ข้างหลังของมันมืดมิดทำให้ดูเหมือนว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ถูกส่งตัวมาจากนรก!


 


“ฉันดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ..” เฟงหัวและยูซินปิดตา “ฉันไม่อยากดูแล้ว”


 


แม้แต่ฟางฉีเองก็รู้สึกว่าโคนผมของเขาตั้งขึ้น เมื่อได้เห็นมัน


 


สัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่ขยับเขยื้อน มันยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องมองมายังทิศที่เขายืนดู .. มันช่างน่าขนลุกอะไรเช่นนี้


 


ฟางฉีเดินหันเข้าไปในห้องที่พื้นเต็มไปด้วยเลือด พบโซฟาข้างๆ ทีวีที่เปิดอยู่มองไปยังโซฟาเขาพบศพถูกคว้านท้องทิ้งไว้!


 


แม้ว่าใบหน้าจะไม่ชัดเจน แต่เมื่อมองดูพบว่ามีบางอย่างที่มันไม่ถูกต้อง


 


“ทำไมผมของผู้ชายคนนี้ถึงเป็นสีทอง ..”


 


“ผมของเขาคล้ายกับตัวละครหลัก!?”


 


“เป็นไปไม่ได้ ..​ก็ตัวละครหลักยืนอยู่นี่ข้างๆ!”

 

 

 


ตอนที่ 180

 

สถานการณ์เริ่มเลวร้ายมากขึ้น ทุกคนที่เฝ้าชมต่างกลัวจนแทบกระโดดกอดคอกัน!


 


พวกเขาต่างไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นอีก .. ผู้เล่นจะพบศพที่ดูเหมือนตัวพวกเขาหรือไม่ บรรยากาศในเกมยิ่งลึกเท่าไรยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่าใน ส่งผลให้บรรกาศในคาเฟ่ชวนขนลุกไปตามๆ กัน


 


ด้วยบรรยากาศทั้งภายนอกและภายในที่ชวนขนลุกนั้น จึงส่งผลให้ผู้คนต่างเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครหลักมากขึ้น


 


“เราจะ ..​ หยุดดูหรือดูต่อ” หลายคนรู้สึกไม่อยากดูต่อ


 


“ไม่! หากเรากลัวเพราะดูการถ่ายทอดสด ลองนึกถึงเจ้าของร้านสิ พวกเจ้าคิดว่าเขาไม่กลัวหรอ!?”


 


“ดูก่อนสิ! เจ้าของร้านต้องกลัวแน่นอน” สาวกจากเฉิงจิ้งและซียี่ให้กำลังใจกัน


 


“ความกลัวอาจทำให้กางเกงเขาเปียก” สาวกขำคิกคัก


 


“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่กลัว!” ซูเทียนจิไม่เชื่อและยังเฝ้าดูต่อไป


 


ในขณะเดียวกันเขาเห็นฟางฉีเดินไปยังปลายทางอีกด้านของชั้นสาม เขากำลังเปิดประตู สัตว์ประหลาดที่มีเลือดเต็มตัวมีหัวเป็นสามเหลี่ยมกำลังทรมานหุ่นสองตัวด้วยความรุนแรงจนร่างกายของหุ่นนั้นบิดเบี้ยวไม่เป็นชิ้นดี


(ผู้แปล : หัวสามเหลี่ยมหรือปีรามิดเฮด (อีกชื่อหนึ่งคือ Boogey Man และ  Red Piramid) เป็นสุดยอดปีศาจในโลกของเกม Silent Hill)


 


ฟางฉีหลบหลีกมันด้วยการคลานเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ในเวลาเดียวกันปิรามิดเฮดก็หันหัวมาเห็นฟางฉีพอดี!


 


หัวใจทุกคนตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม! เขาเสร็จแน่ เขาถูกต้อนเข้ามุมอย่างแน่นอน!


 


ตึกตัก .. ตึกตัก เสียงหัวใจของผู้เล่นดังออกมาอย่างใจหาย


 


เวลาเดียวกันฟางฉีพบกุญแจในตู้ เขาหันตัวกลับออกจากตู้เสื้อผ้าพลางหยิบปืนที่ได้รับออกมารัวยิ่งใส่สัตว์ประหลาดโดยทันที!


 


มันไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย แถมยังเดินเข้าไปหาฟางฉีใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนมองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความระทึกใจ


 


สัตว์ประหลาดตัวนี้มันตัวอะไรกัน! แม้แต่กระสุนก็ทำอะไรมันไม่ได้เลยหรอ? เขาจะต่อกรกับมันอย่างไร?


 


ก่อนหน้านี้เขายังสามารถกำจัดมันด้วยไม้เท้าธรรมดาได้อยู่เลย แต่นี่เป็นถึงปืนทำไมไม่สามารถสร้างความเสียหายใดได้เลย!


 


“ฉันต้องทำอะไรนะ เขารีบวิ่งและปิดประตูลง!” ฟางฉีปิดประตูด้วยความตื่นตระหนก สัตว์ประหลาดตัวร้ายพยามที่จะกระแทกประตูด้วยความโกรธ แต่เขาก็ไม่อยู่ให้มันฆ่าหรอก!


 


ในเวลานี้ฟางฉีออกจากเกมและถอดชุดหูฟัง VR อย่างรวดเร็ว


 


“ท่าน! หยุดเล่นทำไมละ”


 


“ฮ่าๆๆ เขากลัวมาก” หลายคนหัวเราะอย่างสะใจเมื่อเห็นฟางฉีเลิกเล่นเกมอย่างรวดเร็ว


 


“เขากลัวแน่”


 


ฟางฉีชี้นิ้วไปที่มุมขวาล่างของหน้าจอ “ตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ได้เวลากลับบ้าน!”


 


“ไป ..” พวกเขารทำหน้าเซ็ง เมื่อรู้ว่าฟางฉีออกจากเกมเพราะมันหมดเวลาตั้งหาก!


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาที่จะมานั่งเถียงกัน เพราะกำลังกังวลใจกับสิ่งที่น่ากลัวกว่า ในเวลาแบบนี้และต้องกลับบ้านหลังจากดูหนังสยองขวัญ บรื๋ออออ!


 


พวกเขาลืมนึกถึงสิ่งนี้ไปเลย แต่ตอนนี้ ..


 


“ฮือออ ..” ทุกคนกำลังทำท่าเหมือนจะร้องไห้


 


“ท่าน!” ซงฉิงเฟิงมือสั่นเมื่อหันมองถนนอันมืดมิดข้างนอกร้าน “ข้าขออยู่ที่นี่จนเช้าได้มั้ย”


 


เขาไม่อยากไป!


 


“ไม่!” ฟางฉีกลอกตา “ข้าถามพวกเจ้าแล้วนะว่าจะดูถึงสี่ชั่วโมงใช่มั้ย”


 


พวกเขาทั้งหมดหน้าซีด


 


ซูฉีซินและเฉินชิงชิงเองก็ต้องการถามคำถามเดียวกับซงฉิงเฟิง พวกเขาต้องการอยู่ที่นี่คืนนี้!


 


คนธรรมดาอาจนอนบนพื้นของร้าน แต่ .. สมาชิกของราชวงศ์และสาวกชั้นยอดคงไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถนอนกับพื้นได้อย่างแน่นอน!


 


มันน่าอาจเกินที่จะคิดถึงเรื่องนี้!


 


“เฟงหัวยูซิน!” ซูเทียนจิเรียก “กลับกับฉัน!”


 


“รับทราบค่ะ!” เด็กหญิงทั้งสองเดินไปหาซูเทียนจิ


 


“ไม่มีอะไรต้องกลัว!” นาหลันฮงวูเบ้ปากและเดินออกไปด้วยความภาคภูมิพร้อมประสานมือไว้ด้านหลัง “ผู้เฒ่าไปกันเถอะ!”


 


“รุ่นพี่พูดถูก!” เหลียงเฮอหูเอ่ยเสียงดัง “สาวกของเฉิงจิ้งตามข้ามา!”


 


สาวกของเฉิงจิ้งกอดคอกันและเดินออกนอกประตู ฟางฉียิ้มมุมปากเมื่อเห็นองค์หญิงและองค์ชายทั้งสองปะปนไปในกลุ่มของสาวก


 


“ฉันจะขอให้ชิงเฮมารับฉัน!” ตงชิงลี่ส่งข้อความทันที ข้างนอกมันมืดมากเธอจะกลับได้ยังไงกัน!


 


“ท่าน! ช่วยไปส่งเราที่หน้าประตูสำนักได้มั้ย!?” ซงฉิงเฟิงมองไปด้านนอกแล้วเอ่ยขอร้อง


 


ฟางฉีกลอกตา “ในฐานะลูกผู้ชาย โตแล้วก็ต้องกลับเองได้สิ”


 


“เราไม่ใช่ผู้ชาย!” เฉินชิงชิงเหลือบมองหน้าซงฉิงเฟิง “ท่านพาเรากลับที อย่าไปสนใจเขา!”


 


“ท่าน! ข้าด้วย” หลันยันหันมาทันทีเมื่อได้ยิน


 


“ฉันด้วย!” นาหลันหมิงสื่อที่ดูสงบเย็นชา แต่แฝงความกลัวอยู่ข้างใน


 


ฟางฉียืนนิ่งพลางจ้องมองที่หญิงสาว “ลาละ! ข้าจะไม่ไปส่งใครทั้งนั้น!”


 


นี่ท่านกำลังล้อเล่นใช่มั้ย? ท่านเป็นคนสร้างปัญหาให้พวกเรากลัว!


 


“โปรดกลับได้แล้ว นู้นประตู!” ฟางฉีนั่งบนเก้าอี้พร้อมชี้นิ้วไปที่ประตู “ข้าจะปิดร้านแล้ว!”


 


“ท่านไม่กลัวหรอ?” นาหลันหมิงสื่อจ้องที่ฟางฉีด้วยความสงสัย


 


“ไม่มีอะไรให้กลัว มันเป็นแค่ขนมเค้กชิ้นหนึ่งสำหรับข้า!” ฟางฉีโบกมือบ๊ายบาย


 


สาวกของทั้งสองสำนักพร้อมซูเทียนจิและคนอื่นๆ ที่เพิ่งเดินออกจากประตูได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนหน้ากระตุก!


 


พวกเขาพ่ายแพ้ครั้งใหญ่! พวกเขาไม่รู้เลยว่าฟางฉีกลัวหรือไม่ แต่ .. พวกเขากลัวจนไม่กล้าเดินกลับบ้าน!


 


มันช่างน่าโมโหมาก!


 


ฟางฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจมองเห็นลูกค้าหลายคนที่กำลังเดินออกจากร้านด้วยความไม่พอใจ “นั่นคือสิ่งที่พวกท่านได้รับจากไหวพริบและความกล้าหาญ” เขาเอ่ย


 


ทุกคนที่ได้ยินอยากจะเดินกลับมาบีบคอเขาให้รู้แล้วรู้รอด!


 


ไม่ถึงสิบนาที .. ทุกคนกลับออกไปกันหมด ได้เวลาที่ทุกคนจะนอนไม่หลับ


 


เรือจิตวิญญาณที่บินไปวังหลิวหยุน เกือบจะซวนเซเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องจากหญิงสาวทั้งสองที่มาจากร้านศาลาลมและพระจันทร์


 


ใบบ้านพักส่วนตัวของสำนักหลิงหยวน เวลาเที่ยงคืนกว่าแล้วไฟยังคงเปิดอยู่


 


“นา นาหลัน .. ฉันขอนอนด้วยได้มั้ยคืนนี้” หลันยันเอ่ยร้องขอ


 


“มาสิ”


 


“อ่า!” สองสาวกรีดร้องและนอนกอดกันตัวกลมในผ้าห่ม


 


ขณะเดียวกัน ณ คาเฟ่อินเตอร์เน็ต


 


“เสี่ยวหยู มานี่หน่อย” ฟางฉีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตะโกนเรียกเจ้าตัวเล็ก!


 


“ว่างไงเจ้านาย! มีอะไรรึ?” เจียงเสี่ยวหยูทำหน้านิ่ง เธอนั่งอยู่ไม่ไกลจากเขา!


 


“ช่วยข้าด้วย! ขาของขามันกลายเป็นเยลลี่ไปแล้ว!”


 


เจียงเสี่ยวหยูน้ำตานอง “ฮือ .. เจ้านายขาของข้าก็เช่นกัน ..”

 

 

 


ตอนที่ 181

 

ณ วังหลิวหยุน


 


ซูเทียนจิพร้อมสาวกทั้งสองเฟงหัวและยูซินได้เดินทางกลับมาถึงวังอย่างปลอดภัย แต่ .. ถึงยังงั้นพวกเขาก็ไม่สามารถนอนหลับได้เนื่องจากภาพยังคงติดตา


 


ขณะเดียวกันเซียวหยูกำลังหมกหมุ่นกับการอ่านหนังสือใต้แสงไฟ ก่อนหน้านี้ทุกวันเขามักใช้เวลาไม่เกินหกชั่วโมงในคาเฟ่ เนื่องจากเขาไม่ต้องกังวลกับการรอเพื่อเล่นเกมหรือเฝ้าดูละคร ดังนั้นเขาจึงไปมาได้อย่างอิสระ


 


ชีวิตประจำวันของเขาเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้เจอดงชิงลี่ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเขาเองก็ไม่ได้เดินทางไปคาเฟ่เลย ในมือของเขาตอนนี้มีแผ่นหยกอันงดงามพร้อมตัวละครจำลองสองตัวและนี่คือการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง!


 


“ฮ่าๆ ฝ่ายจิตวิญญาณของวังหลิวหยุนนั่นลึกซึ้งและลึกลับจริงๆ!”


 


เขายืนอยู่หน้ากระจกทองเหลืองพร้อมร่ายคาถาด้วยมือของเขา “ข้าไม่เชื่อว่าพวกท่านจะเห็นข้าในครั้งนี้” เขาพึมพำ เซียวหยูใช้เวลาและพลังงานไปพอตัวกับเรื่องนี้และในที่สุดตอนนี้มันก็สามารถใช้งานได้


 


การแปลงร่างเป็นเวทย์มนตร์ระดับสูงของวังหลิวหยุน มันสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์สถานะบรรยากาศรอบกายได้!


 


ในขณะที่เขาใช้คาถาดวงตาของเขาช่างสดใสและเป็นประกาย “คราวนี้แหละ ข้าจะดูละครกระบี่เทพสังหารตอนที่ห้าและหกพร้อมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและดื่มโค้กให้สมใจ ..”


 


เมื่อนึกถึงกลิ่นหอมหวลชวนหิวของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในคาเฟ่แล้วท้องของเขาก็คำรามทันที แค่คิดก็อดใจแทบไม่ไหวแล้ว


 


ในไม่ช้าตอนนี้เขาก็ประสบผลสำเร็จกับการร่ายคาถาเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปแต่รัศมีรอบกายก็เปลี่ยนตามไปด้วย ราวกับคนอื่นดีๆ นี่เอง!


 


เช้าวัดถัดมา


 


“อรุนสวัสดิ์ท่านอาจารย์ ..” เฟงหัวและยูซินเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าซีดเซียวเห็นได้ชัดว่าพวกเธออดหลับอดนอน


 


แม้ว่าผู้ฝึกฝันอย่างพวกเธอไม่ต้องการการนอนหลับมากเท่าคนธรรมดา แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องทรมานอย่างมากเพราะนอกจากจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้วภาพที่อยู่ในหัวยังคงติดตาแถมต้องมาระแวงอีกว่าอาจจะมีสัตว์ประหลาดคลานออกมาจากที่ไหนสักแห่งหรือเปล่าในเวลากลางคืน


 


หลังจากเอ่ยทักทายอาจารย์ของพวกเธอแล้ว เธอก็เดินกลับออกไปทันที


 


“ฉันว่าเรากลับไปนอนกันเถอะ ..” เฟงหัวเอ่ยขึ้นพลางเดินกลับไปที่บ้านพัก


 


“วันนี้เราจะไม่ไปจิวหัวกับอาจารย์กันหรอ?” ยูซินถาม


 


“ตอนนี้เราไม่ต้องไปต่อแถวเมือนก่อนแล้ว ค่อยไปสายๆ ก็ได้”


 


เวลาเดียวกันเซียวหยูก็ได้เดินผ่านข้างหน้าของวัง เขาจ้องมองและแอบฟังสิ่งที่สองคนนั้นกำลังคุยกัน นี่พวกเธอจะไม่ไปที่นั้นแล้วหรอ? ที่นั่นมีแต่สาวๆ น่ารักๆ ..


 


เขาต้องระมัดระวังเมื่อได้พูดคุยกับสาวๆ ที่คุ้นเคย! เซียวหยูคิดในใจ เขสจบต้นขาตัวเองทันทีเมื่อคิดออกแล้วว่าจะแกล้งเป็นใคร .. มันช่างเป็นของขวัญที่พระเจ้าส่งมา!


 


หลังจากนั้นไม่นาน .. ศิษย์สาวคนหนึ่งสวมเครื่องแบบชั้นสูงของวังหลิวหยุนเดินออกจากวังเพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือจิตวิญญาณที่กำลังจะออกจากท่า


 


“ศิษย์พี่อาวุโสเฟงหัว?” เสาวกคนอื่นเอ่ยเรียก


 


“พี่ไม่ได้ติดตามท่านอาจารย์ซูทุกวันหรอกหรือ ทำไมวันนี้มาคนเดียวละ?”


 


“ท่านจะไปจิวหัวคนเดียวหรอ?” เหล่าศิษย์น้องคำนับเธอ


 


เขายิ้งอย่างภูมิใจ ไม่มีใครจำข้าได้! .. มันช่างเป็นการเริ่มต้นที่ดี


 


หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วงโมงเฟงหัวและยูซินที่มียังคงมีท่าทางง่วงนอนอยู่เล็กน้อย เดินออกมาเพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือจิตวิญญาณ


 


“ศิษย์พี่เป็นยังไงบ้าง” ยูซินถาม


 


“ดีขึ้นมาก!” เฟงหัวตอบ


 


“ด้วยเหตุผลบางอย่างข้าไม่รู้สึกกลัวแบบในตอนแรกแล้ว ..”


 


“ข้าก็เช่นกัน”


 


“ในตอนแรกข้ารู้สึกกลัวมาก แต่หลังจากผ่านส่วนที่น่ากลัวที่สุด ข้าก็รู้สึกกลัวน้อยลง ..” เฟงหัวพึมพำด้วยความประหลาดใจ


 


“เกมนี้ออกแบบมาเพื่อทำให้จิตใจของพวกเราแกร่งขึ้น ..” พวกเขาอุทานด้วยความดีใจ “นี่ก็หมายความว่าพลังทางจิตของเราเพิ่มขึ้นหรอ!?”


 


“ข้าไม่ได้ข้าสัตว์ประหลาดเลยนะเมื่อวาน” เฟงหัวกล่าว


 


“ข้าวิ่งไปรอบๆ ด้วยความกลัวอย่างไร้จุดหมาย”


 


“แต่อาจารย์ของเราก็ไม่ได้ระดับเพิ่มหลังจากฆ่าสัตว์ประหลาดเหมือนกัน ..” พวกเธอมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ “หรือมันหมายความว่าเกมนี้เราไม่จำเป็นต้องฆ่าสัตว์ประหลาดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง”


 


“ใช่! เจ้าไม่สังเกตหรอว่าเจ้าของร้านแทบจะไม่ได้ฆ่าสัตว์ประหลาดเลยระหว่างเล่นเกม” พวกเขาพูดคุยขณะเดินไปที่เรือจิตวิญญาณ


 


“เฟง ..” เหล่าสาวกกำลังจะตะโกนทักทายพวกเขา แต่จูๆ ก็ชะงักลง


 


“ทำไมเธอถึงดูพี่อาวุโสเฟงหัวมาก!”


 


“ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้รีบร้อนไปจิวหัวหรอกหรอ?”


 


“บางทีเราอาจมองผิดไป” พวกเขามองหน้ากัน “การตรวจสอบโดยผู้จัดการหยางต้องมีอะไรผิดแปลกไป แน่ๆ แต่ไม่เห็นเขาพบปัญหาใดเลยนี่ ..”


 


วันนี้ฟางฉีเปิดร้านค่อนข้างสาย ตอนนี้เวลาแปดโมงครึ่งแล้ว โชคดีที่ได้ทำการขยายร้านให้ใหญ่ขึ้นผู้เล่นจึงไม่ได้มาเร็วแบบเมื่อก่อน เพราะรู้ว่าตอนนี้ไม่ต้องรอคิวอีกต่อไป


 


เมื่อเขาเปิดประตูร้านมีลูกค้าหน้าเก่าสองสามคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นคือเฟงหัวที่มีท่าทางหวาดกลัวเมื่อคืน


 


“เจ้ามาเร็วนะวันนี้” ฟางฉีเอ่ยทักทาย “เจ้านายของเจ้าละ? ไม่มาด้วยหรอ?”


 


ฮ่าฮ่าฮ่า! เซียวหยูหัวเราะในหัวอย่างสะใจ เขาได้รับคำทักทายจากฟางฉี เจ้าของร้านที่เคยโยนเขาออกจากร้านอย่างน่าขายหน้า!


 


แต่ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าฟางฉีโดยที่เจ้าของจำเขาไม่ได้สักนิด! คาถาทางจิตวิญญาณของวังหลิวหยุนนั้นลึกลับและทรงพลังจริงๆ


 


ฟางฉีขยี้ตา เขาพบว่ารอยยิ้มของเฟงหัวดูเย็นชากว่าปกติ เขากำลังสงสัยว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาหรือเปล่านะ


 


“ท่าน! เปิดใช้งานละครตอนที่ห้าและหกให้ข้าที!” เขารู้สึกโกรธเคืองที่เรื่องราวคราวก่อนจบอย่างค้างคา


 


วันนี้แหละจะไม่มีใครหยุดข้าจากการดูละครได้!


 


“โอ้ เจ้ายังไม่ได้ดูตอนที่ห้าและหกใช่มั้ย?” ฟางฉีเอ่ยถามพร้อมยื่นมือออกไปรับเงิน


 


“เธออยู่ไหน” เซียวหยูหลบสายตา “ช่างเถอะ เสี่ยวหยูรับเงินไป!”


 


เจียงเสี่ยวหยูเดินไปรับเงินพลางเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว


 


“นั่นพี่เฟงหัวไม่ใช่หรอ? เธอมาที่นี่ด้วยตัวเอง?” เจ้าตัวเล็กถาม


 


“ข้าจะไปรู้เรอะ”


 


ฮ่าฮ่าฮ่า! เซียวหยูนั่งยืดเหยียดบนเก้าอี้และกดเข้าไปในโหมดดูละครอย่างพอใจ แม้แต่เจ้าของร้านก็จำข้าไม่ได้ ดูสิ้! ว่าใครจะหยุดข้าได้ ..​เขาคิดในใจ


 


ทันใดนั้น [ท่านอยู่ในบัญชีดำของร้านค้า โปรดออกจากเกมและรับเงินคืนที่เคาน์เตอร์] ประโยคเด็ดก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ


 


“อ๊ากกกกก!” เขากรีดร้องออกราวกับหัวใจจะสลาย

 

 

 


ตอนที่ 182

 

ผู้เล่นและผู้ชมเหมือนเริ่มจะรู้สึกถึงผลรับของเกมไซเลนต์ฮิลล์ หลังจากเดินทางกลับบ้านพวกเขารู้สึกหวาดระแวงและกลัวว่าจะมีอะไรแปลกๆ กระโดดออกมาทำให้ตกใจ เช้าวันนี้บางคนจึงมีสีหน้าคล้ายกับแพนด้าเพิ่งหนีออกจากสวนสัตว์


 


แน่นอน! ตอนนี้พวกเขายังคงกลัวอยู่ .. แต่น้อยลง!


 


องค์หญิงพร้อมองค์ชายทั้งสองกำลังยืนมองวิวอยู่บนเรือจิตวิญญาณที่กำลังเดินทางไปยังเมืองจิวหัว


 


“ไม่มีอะไรต้องกลัว! ข้าจะไม่กลัวอีกต่อไป!” เธอตะโกนขึ้น


 


“น้องหญิง! ปิรามิดเฮด!”


 


“ไหนอยู่ไหน!?” เธอตะโกนขึ้นด้วยความตกใจพร้อมหันไปหาองค์ชายทั้งสองที่หายตัวไป


 


“วิ่งหนีทำไมมมมมม!”


 



 


ขณะเดียวกันฟางฉี, ซงฉิงเฟิง, นาหลันฮงวูและซูเทียนจิกำลังเพลิดเพลินกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


 


“ท่าน!” เฟงหัวและยูซินเอ่ยทักขณะถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเดินมุ่งหน้าไปหาซูเทียนจิ วันนี้พวกเธอสองคนมาช้ากว่าปกติซูเทียนจิจึงมาถึงก่อน


 


ฟางฉีเงยหน้าขึ้น “อ้าวเธอไม่ได้ดูละครอยู่หรอกหรือ” ฟางฉีมองหน้าเฟงหัวด้วยความสับสน


 


ก่อนหน้านี้เฟงหัวได้เปิดใช้งานโหมดดูละคน .. แต่ตอนนี้เธอกลับเดินมากินบะหมี่กึงสำเร็จรูป


 


“เจ้าไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องที่สิบหกอยู่หรือ?” เขาเดินไปที่คอมหมายเลขสิบหก “เธอยู่ไหน?”


 


“คอมพิวเตอร์เครื่องที่สิบหกอะไร?” เฟงหัวทำหน้างง “ฉันเพิ่งมาถึงพร้อมยูซินเมื่อกี้”


 


“ตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง” ซูเทียนจิเหลือบมองพวกเธอ


 


“หลังจากได้พักผ่อนพวกเรารู้สึกดีขึ้นมาก” พวกเธอเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงสดใส


 


“โอ้ ท่าน!” เฟงหัวเรียกฟางฉี “ท่านหมายถึงอะไรหรอคอมพิวเตอร์เครื่องที่สิบหก?”


 


–  ณ ห้องน้ำของคาเฟ่  –


 


“เจ้า!” ผู้สอนจากสำนักหลิงหยวน ยูเหลียงเอ่ยเรียกหญิงสาวคนหนึ่งในชุดกระโปร่งสีขาวเดินเข้าไปในห้องน้ำผู้ชาย


 


ปัง! ปัง! ปัง!


 


เขาเคาะประตูแล้วเดินเข้าไป แต่.. ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ข้างใน


 


เธอคนนั้นอยู่ที่ไหน?


 


“นี่มันห้องน้ำผู้ชายนะท่าน!” ยูเหลียงตะโกน


 


–  บริเวณ ลานนั่งเล่นทางเข้าคาเฟ่  –


 


ฟางฉีอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


“ท่านเห็นเฟงหัวเดินไปที่คอมพิวเตอร์หมายเลขสิบหก เพื่อดูละคร? เฟงหัวมีสองคน?” ซูเทียนจิและอีกสองคนจ้องหน้าฟางฉีด้วยสายตาตึงเครียด


 


“ข้าก็เห็นเจ้า!” เจียงเสี่ยวหยูเอ่ยยืนยัน


 


“ถ้าพูดอย่างนั้น ..” นาหลันฮงวูเองก็มาที่นี่ทุกวันในเวลาเช้า เขาพูดต่อว่า “ดูเหมือนข้าเองก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าคล้ายกับเฟงหัว ..”


 


“ท่าน ..” ซงฉิงเฟิงทำหน้าตากังวล “ท่านว่าไซเลนต์ฮิลล์มีอยู่จริงบนโลก ..”


 


ซงฉิงเฟิงเอ่ยขึ้นพลางทำให้คนอื่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ที่มีตัวละครหลักสองตัวในเวลาเดียวกัน!


 


“อ๊ากก!” เฟงหัวเกือบกระโดดขี่คอยูซินด้วยความกลัว เธอจำได้ว่าศพที่นอนอยู่นั้นคล้ายกับตัวละครหลักมาก “หมายความว่ายังไง เฟงหัวอีกคนมาจากไซเลนต์ฮิลล์งั้นหรอ!?”


 


“ท่าน!” ยูเหลียงเอ่ยเรียกเจ้าของร้านด้วยท่าทางรีบร้อน “ข้าเพิ่งเห็นหญิงคนหนึ่งสาวมกระโปรงเดินเข้าไปในห้องน้ำชาย .. ตอนนี้ยังไม่เห็นเธอออกมา”


 


พวกเขาหันมองหน้าดันด้วยความประหลาดใจ หญิงสาวเข้าห้องน้ำชาย?


 


“ตัวปลอม!” นาหลันฮงวูตะโกน “รีบไปจับมันสิ!”


 


พวกเขารีบเข้าห้องน้ำชายด้วยความรวดเร็ว


 


ขณะเดียวกันเซียวหยูก็ย่องออกมาจากมุมลับด้วยเหงื่อกที่เปียกชุ่มตัวไปหมด


 


ไม่มีใครเห็นฉัน เขาคิดในใจ เซียวหยูยืนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำชาย โชคดีที่เขาไม่ได้ถูกจบ มิเช่นนั้นตอนจบคงจะเลวร้ายกว่าการถูกเตะออกนอกร้านเป็นแน่!


 


เวลาเดียวกันซูเทียนจิที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังปลอบสาวกทั้งสองด้วยพลางคิดถึงรองเท้าบู๊ตสีขาวในวังที่หายไปคู่หนึ่งมันไปไหนปกติก็เห็นทุกวัน


 


เธอเงยหน้าขึ้นปะทะกับเซียวหยูที่ยิ้มหวานและเอ่ยทักทาย


 


“สวัสดีท่านป้า!”


 


ซูเทียนจิทำหน้านิ่ง


 


“อ๊ากกกกก!” เสียงกรีดร้องของเซียวหยูดังขึ้น เขาถูกเตะออกนอกร้านอีกครั้ง!


 


“กลับไปเปลี่ยนร้องเท้าเดี๋ยวนี้!” ซูเทียนจิทำหน้ายักษ์ใส่เขา


 


บ้าเอ้ย!


 



 


“ไม่เห็นมีใครอยู่ ..”


 


“อะไรกัน!?”


 


พวกเขาค่อยๆ เดินออกมาจากห้องน้ำชายทีละคน


 


“ท่าน! จะทำการถ่ายทอดสดอีกหรือเปล่า?” ซูฉีซินเอ่ยถาม


 


แม้ว่าเธอจะแอบกลัว แต่หลังจากผ่านเมื่อคืนไปได้เธอก็ไม่รู้สึกกลัวเท่าเก่าอีกแล้ว หลังจากได้พักผ่อนตอนนี้จิตใจของเธอเริ่มแข็งแกร่งขึ้น


 


“ถ่ายทอดสดตอนกลางวันไม่ได้หรอ?” ซูเทียนจิถามขณะที่กำลังกินบะหมี่


 


มันน่ากลัวเกินกว่าจะดูในตอนกลางคืน จะดีมากถ้าเล่นตอนกลางวัน!


 


“พวกท่านเล่นด้วยตัวเองไม่ได้หรอ?” ฟางฉีเงยหน้าขึ้น เขาตัดสินใจว่าวันนี้เขาจะพักผ่อน!


 


“นั่นสิ! งั้นวันนี้เราจะเล่นตอนกลางวันนี้ละแล้วรีบกลับดีกว่า” ซูเทียนจิกล่าว


 


“อ๊ะ .. ท่านจะเล่นหรอ?” ซูฉีซินและคนอื่นๆ อ้าปากค้างเมื่อได้ยิน


 


แม้จะเริ่มกลัวน้อยลง แต่พวกเขาค้นพบว่าการดูคนอื่นเล่นมันดีกว่าแน่นอน .. มันช่างน่ากลัวเกินกว่าจะเล่นด้วยตัวเอง


 


“พวกเจ้ากำลังพูดถึงเกมใหม่เมื่อวานกันอยู่หรือเปล่า?” อันหูเว้ยและคนอื่นๆ เดินเข้ามาทักทาย


 


ในที่สุดฟางฉีก็เอาชื่อเกมใหม่ขึ้นกระดานดำเสียที นั่นทำให้หลายคนเริ่มรู้ว่ามีเกมใหม่เพิ่งมาเร็วๆ นี้


 


บางคนพูดถึงเกมหลังจากได้ยินบทสนทนา แต่พวกเขายังไม่ได้ลองมันด้วยตัวเอง


 


ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเล่น .. บางคนยังคงลังเลใจอยู่เลยแม้ว่าจะออกมาสองถึงสามวันแล้ว


 


อันหูเว้ยและอันเชงเองยังไม่ได้ตัดสินใจเช่นกัน “แลดูน่ากลัวใช่มั้ย?”


 


นาหลันฮงวูพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ “คนที่มีจิตใจอ่อนแอเท่านั้นแหละที่จะกลัวเกมนี้ ดูข้าสิ! ข้าสบายดี ..​ เด็กๆ อ่อนหัดอย่างพวกเจ้าคงขวัญอ่อน”


 


อันหูเว้ยหัวเราะเบาๆ “ใครจะแข็งแกร่งเท่าท่านละศิษย์พี่ใหญ่”


 


“แน่นอน!” นาหลันฮงวูยิ้มเยาะ “ข้าจะไปลุย”


 


“ข้าเริ่มเข้าใจเกมนี้แล้ว มันพยายามที่จะโจมตีจิตใจของเรา ชี้นำไปในทางที่ชวนขนลุกทำให้เรากลัว ทั้งๆ ที่จริงแล้วสัตว์ประหลาดนั้นไม่ได้มีพลังมาก ตราบใดที่เรามีสมาธิก็จะสามารถรับมือกับลุกเล่นเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย”


 


“หืมม” ผู้คนหลายคนที่ได้ยินเริ่มฉุดคิด “รุ่นพี่พูดถูก ท่านจะเล่นแล้วหรอ?”


 


“ใช่สิ” นาหลันฮงวูหัวเราะ “ข้าจะแสดงวิธีการเล่นให้ดู คนหนุ่มสาวจะต้องได้เห็นฉากอันน่าสะพึง”


 


“เยี่ยม!”


 


“ไปกันเถอะผู้อาวุโสแสดงให้พวกเขาดูว่ามันเล่นยังไง” นาหลันฮงวูนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมคนกลุ่มใหญ่ข้างหลังที่รอดู


 


ซูเทียนจิก็รีบตามเขาไป ผู้ว่าความแข็งแกร่งด้านทักษะการต่อสู้ของเธอจะแข็งแกร่งแต่เมื่อเทียบกับด้านจิตใจเธอยังด้อยกว่านาหลันฮงวูอย่างมาก


 


“เจ้านาย!” เจียงเสี่ยวหยูมองไปที่ผู้คนเบื้องหลังนาหลันฮงวู “เราควรไปดูกันมั้ย?” 

 

 


ตอนที่ 183

 

ฟางฉีต้องการสังเกตความแตกต่างของภาพจำลองเสมือนจริงที่ระบบสร้างขึ้นว่าแตกต่างและแปลกใหม่จากของเดิมยัง ในพล็อตเรื่องก่อนหน้านี้เขาได้เรียนรู้ว่าสัตว์ประหลาดจะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปตามความรู้สึกของผู้เล่น


 


สำหรับฟางฉีสัตว์ประหลาดที่เขาพบในตอนนี้ไม่ต่างจากรุ่นดั้งเดิมเท่าไรซึ่งนั่นก็หมานยความว่าเขาไม่ได้มีความคิดที่ชั่วร้ายเพราะการปรากฏขึ้นของสัตว์ประหลาดเปรียบเสมือนตัวแปรของความคิด


 


มันเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง


 


หลังจากนาหลันฮงวูเข้าเกม ฟางฉีสังเกตว่าตัวละครของผู้อาวุโสเพิ่งได้ค้นพบกุญแจและเข้าไปในอพาร์ตเมนต์


 


เกมดังกล่าวให้เบาะแสแก่ผู้เล่นในการค้นหาอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ เห็นได้ชัดว่านาหลันฮงวูใช้เวลานานพอตัวเพื่อค้นหาเบาะแสและเดินทางมาที่นี่


 


เมืองในเกมนี้มีขนาดใหญ่และให้ความเป็นอิสระกับผู้เล่นสูงซึ่งนั่นหมายความว่าผู้เล่นสามารถที่จะเข้าไปสำรวจสถานที่ต่างๆ หลายๆ แห่งได้ตามต้องการ ผู้เล่นที่ไร้เดียงสาอาจต้องใช้เวลาในการสำรวจสถานที่ในเกมมากขึ้น


 


โชคไม่เข้าข้างเขาสักเท่าไรนาหลันฮงวูใช้เวลาเล่นนานกว่าซูเทียนจิแถมความก้าวหน้ายังน้อยกว่าเธออีก ขณะเดียวกันลูกค้าหลายคนที่กินบะหมี่เสร็จก็ลุกขึ้นจากโซฟาพุ่งตัวมายืนให้กำลังใจอยู่ข้างหลังเขา


 


“หืม? พวกเขาดูใครกัน?” ตงชิงลี่เดินไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


“เรากำลังดูผู้อาวุโสนาหลันเล่นเกม!” ซูฉีซินและเฉินชิงชิงหันไปหาเธอ


 


“ผู้อาวุโสมีจิตใจที่แน่วแน่พร้อมทั้งยังมีพลังภายในอันบริสุทธิ์ มันเป็นประโยชน์ต่อเราในการดูเขาเล่นเกม” ซูเทียนจิกล่าว


 


“จริงหรอ?” ตงชิงลี่เหลือบมองฟางฉีและถามว่า “นี่ท่านกำลังรับชมเหมือนกันหรอ? วันนี้ไม่ถ่ายทอดสดหรือ?”


 


ฟางฉีชี้นิ้วไปที่หน้าจอ “ข้ากำลังดูท่านผู้อาวุโสเล่นเกม”


 


“ท่านผู้อาวุโส” ฟางฉีเรียก “หากมีผู้ชมมากมายท่านสามารถเปิดลำโพง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องให้พวกเขาจ้องคำบรรยาย” เขาเอ่ยพลางสอนนาหลันฮงวูให้รู้วิธีเปิดลำโพง


 


ลำโพงจะแตกต่างจากการสื่อสาร มันจะสามารถปล่อยเสียงภายในเกมได้อย่างเดียว การปฏิบัติดังกล่าวอยู่ที่ว่าได้รับอนุญาติหรือไม่ เพราะหากทุกคนได้รับอนุญาตจะทำให้ที่นี่มีเสียงที่ดังมากเกินไป


 


“ดีมาก!” นาหลันฮงวูหัวเราะ เขารู้สึกประหลาดใจกับตัวเลือกนี้


 


เมื่อเขาสวมหูฟัง VR อีกครั้งผู้ชมข้างนอกจะสามารถได้ยินเสียงในเกมเช่นเดียวกับเขา


 


นาหลันฮงวูพึมพำกับตัวเอง “เมื่อวานเจ้าเด็กนั้นไปที่ชั้นสองและได้รับไฟฉาย ..”


 


“เมื่อวานฉันสำรวจที่นี่มาเกือบครั้งวันไม่เคยจะรู้ว่ามีอะไรแบบนี้อยู่ด้วย” เขาถือไม้เท้าไว้ในมือ เขาสังเกตเห็นแมนเนควินนอนอยู่บนพื้นด้านหลังไฟฉาย


 


นาหลันฮงวูเดินอย่างระมัดระวัง


 


“ท่านผู้อาวุโสทำอะไรน่ะ?”


 


“หืม? ทำไมเขาถึงเดินไปข้างหลังไฟฉาย?”


 


นาหลันฮงวูกำไม้เท้าไว้แน่นเดินผ่านแมนเนคินด้วยความระมัดระวัง “ไม่มีอะไรน่ากลัว!”


 


“ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็น! ข้าจะฆ่ามันด้วยการโจมตีสองครั้ง”


 


ทุกคนที่ดูอยู่กลั้นหายใจไปตามๆ กัน  .. !!??


 


เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เหิดขึ้น .. จู่ๆ แมนเนควินก็ลุกขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว!


 


นาหลันฮงวูยังไม่ได้หยิบไฟฉาย .. เขาชี้ไม้เท้าเต๊ะท่า “ฉันอนุญาตให้มันเริ่มก่อน!”


 


ทุกคนอึ้งนิ่งพูดไม่ออก .. กลัวจนต้องกลั้นหายใจ


 


แมนเนควินกระโดดพุ่งเข้าหานาหลันฮงวูด้วยความรวดเร็ว แต่เขาหลบหลีกไปด้านข้าง!


 


แมนเนควินพลาดเป้าหมาย!


 


จากนั้นนาหลันฮงวูก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของสัตว์ประหลาดและทุบมัน!


 


.. แมนเนควิน แน่นิ่ง


 


“ผู้อาวุโส ท่านเจ๋งมาก!”


 


“ไม่เกินความสามารถท่านจริงๆ”


 


“เยี่ยมๆ” ฟางฉีชื่นชมวิธีการจัดการกับสถานการณ์


 


ไหนตอนแรกเขาบอกว่าให้มันเริ่มก่อน? นาหลันฮงวูดูเคอะเขิน “ข้าลืมไปข้าควรให้มันเริ่มก่อน ไม่เป็นไว้จะต่อให้สัตว์ประหลาดตัวต่อไป”


 


ทุกคนเงียบ


 


นาหลันฮงวูถือไฟฉายไว้ในมือ เขาทำการค้นหาห้องพักทีละห้องและได้พบกับปีศาจที่บิดเบี้ยวอีกตัวหนึ่งมีรูปร่างแปลกประหลาดคล้ายกับถุงศพ


 


“ข้าจะต่อให้เจ้าตัวนี้”


 


“พรวด!”


 


สัตว์ประหลาดพ่นกรดรดใบหน้าของเขา!


 


“…” นาหลันฮงวูหลับตาทันที


 


“…” ทุกคน


 


“ไม่นะ น้ำกรดเข้าไปในตาเขา”


 


“ผู้อาวุโสตกอยุ่ในอันตราย” ผู้ชมร้องอุทาน


 


“กล้าทำกับฉันหรอ?” นาหลันฮงวูเหวี่ยงไม้เท้าลงไปที่มันอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดมันก็ตาย


 


“อืม..” ซูเทียนจิมองด้วยความพอใจ เธอไม่ใช่คนเดียวที่มีท่าทางงุ่มง่ามสินะ


 


“ฮู่ว ฮู่ว” นาหลันฮงวูก้มหน้าหายใจแล้วเอ่ย “ข้าทำมันเพื่อเป็นบทเรียนให้พวกเจ้าเห็น จะได้ไม่ประมาทเหมือนข้า!”


 


“ตัวละครหลักธรรมดาเกินไป!” โชคที่เขาได้รับยาซึ่งสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้


 


เขานั่งลงกับพื้นเพื่ออธิบาย หากตัวละคนมีพลังภายในสักเล็กน้อย คล้ายกับคริสใน Resident Evil เขาตงจะสามารถหลบหลีกการโจมตีได้อย่างได้ก็ตามด้วยร่างนี้เขาไม่สามารถที่จะตอบสนองอย่างรวดเร็วได้


 


หลังจากหยุดพักนาหลันฮงวูก็ยืนขึ้น


 


เขารู้สึกอายตัวเอง “ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกมันโจมตีก่อนแล้ว!”


 


“อืมม ..” ผู้ชมมองด้วยสายตาแอบเหนื่อยแทน


 


“ผู้อาวุโสควรจะตั้งใจกว่านี้” ซูเทียนจิรู้สึกอึดอัดใจแทน “เกือบตายแล้วมั้ยละ”


 


“ตัวต่อไปคือตัวอะไร?” อันหูเว้ยเอ่ยถามขณะกินฮาเก้นดาส “ข้าว่าหากยังไม่แข็งแกร่งก็ควรจะระวังตัวกว่านี้”


 


“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ตัวต่อไปน่าจะปิรามิดเฮด ..” ฟางฉีตอบ


 


“ปิรามิดอะไรนะ?” คนอื่นฟังไม่ทัน


 


“นี่เจ้าของ เวลาท่านแสดงความคิดเห็นแบบนี้แล้ว ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เกมสยองขวัญเลย”


 


“ทำไมมันแอบตลก” เฉินชิงชิงเกือบหัวเราะ


 


เธอไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี!


 


“ผู้อาวุโสไม่ได้ยินเสียงพวกท่านหรอกนะ ..” นาหลันหมิงสื่อพูดขึ้น


 


“นี่ฉันควรจะแสดงความดีใจหรือเสียใจแก่ท่านผู้อาวุโสดี ..” ตงชิงลี่ทำหน้าเพลีย

 

 

 


ตอนที่ 184

 

นาหลันฮงวูเดินตามเส้นทางเดิมของฟางฉี เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ได้พบกับปีรามิดเฮดที่กำลังทำท่าทางบิดเบี้ยวชวนขนลุก


 


ใบหน้าของนาหลันฮงวูซีดราวกับไม่มีเลือด “…”


 


ไม่กี่วิเขาเอ่ย “ไม่มีอะไรน่ากลัว ข้าจะต่อให้มันโจมตีก่อนละกัน!” เมื่อพูดจบประโยคเขาเดินพุ่งตรงไปหาปีศาจตัวนั้นแล้วจิ้มมันหนึ่งครั้ง “จัดการข้าสิ!”


 


ปีศาจหันหัวกลับมาช้าๆ … จากนั้นมันปล่อยพลังคลื่นใส่เขา!


 


นาหลันฮงวูขมวดคิ้ว เขารู้สึกมีอะไรแปลกๆ ผิดปกติเกิดขึ้นภายในร่างกาย เขาไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ที่เกิดจากปีศาจตัวนี้มาก่อน แต่เขารู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้อย่างบอกไม่ถูกเหมือนกับว่าเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วแต่ถูกผนึกไว้เป็นเวลาเนินนาน!


 


อย่างที่บอก “ร้อยคนเล่นไซเลนต์ฮิลล์ก็เจอร้อยสถานะการณ์ที่แตกต่างกัน”


 


ปีศาจตัวนี้ช่างแตกต่างกับตอนที่ฟางฉีเจอ มันเดินเชื่อยงช้าแทนที่จะพุ่งมาโจมตีนาหลันฮงวูทันทีกลับกันมันกับพยายามจะฉีกหัวสามเหลี่ยมออกจากกันเพื่อเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน


 


นาหลันฮงวูรู้สึกตกใจอย่างไม่ทันตั้งตัวเขาเกรงว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้หัวสามเหลี่ยมอาจเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง โดยที่ไม่ทันคิดหรือตั้งตัวเขาชักปืนและเหนี่ยวไกใส่มัน!


 


แทนที่มันจะไล่ตามเขามันกลับถอยหลังราวกับทำตามความประสงค์ของเขา


 


“ศิษย์พี่โจมตีจนมันล่าถอย!”


 


“ผู้อาวุโสแข็งแกร่งมาก!”


 


“ใช่! เจ้าของร้านเอาแต่ปิดประตู ดูท่านปู่สิช่างแข็งแกร่ง!” นาหลันหมิงสื่อออกความเห็น


 


ผู้ชมยังคงรู้สึกชื่นชน พวกเขาคิดว่านาหลันฮงวูควรรู้สึกดีใจหลังจากที่สามารถจัดการกับปีศาจได้สำเร็จ


 


อย่างไรก็ตาม .. ความคิดในหัวของเขานั้นเปลี่ยนไป มันเป็ยนภาพลวงตาหรือเปล่า? นาหลันฮงวูส่ายหัวพลางมองปิรามิดเฮดที่กำลังวิ่งหรี


 


ปีศาจในไซเลนต์ฮิลล์แต่ละตัวให้ความหมายเฉพาะที่ต่างกัน ปีศาจแต่ละตัวมีความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกของตัวละครหลัก แม้ว่าปิรามิดเฮดจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างลึกล้ำซ่อนอยู่ภายใน


 


นาหลันฮงวูรีบออกจากเกมอย่างรวดเร็ว!


 


“เอ้อ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าข้าต้องกลับไปจัดการบางอย่างที่บ้านข้าควรจะหยุดก่อน!” นาหลันฮงวูลูบเครา “ท่านผู้เฒ่าเรากลับกันเถอะ!”


 


“รับทราบ!”


 


ผู้ชมต่างงงงวย จู่ๆ พวกเขาก็รีบออกจากคาเฟ่ด้วยความรวดเร็ว พวกเขาสวมเสื้อเบาบางตามฤดูร้อนในประเทศ


 


“ทำไมเสื้อของผู้อาวุโสถึงติดอยู่ที่หลังแบบนั้น”


 


“วันนี้อากาศร้อน ข้าเดาว่าเขาคงจะสั่นจากการนั่งที่นี่เป็นเวลานาน ..” นาหลันหมิงสื่อกล่าว


 


“วันนี้อากาศร้อนหรอ?” เจียงเสี่ยวหยูเอียงคอถาม


 


ทุกคนคิดว่าบางทีผู้อาวุโสอาจกลัวมากจนไม่กล้าเล่นต่อ ..


 


“เดี๋ยวเขาก็กลับมา ..” ฟางฉีมองไปรอบๆ “ใครอยากเล่นอีกมั้ย?”


 


เซียวหยูรีบตอบรับ “ข้า!”


 


“ข้าจะเล่นเอง” แม้ว่าซูเทียนจิจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาหลันฮงวูที่แสดงท่าทีที่กล้าๆ กลัวๆ แต่เธอก็ไม่ได้หวั่นไหวกรือรู้สึกกลัวแถมยังได้รับแรงบาลดาลใจรูปแบบการฆ่าจากการผู้อาวุโสอีกด้วย


 


เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถเล่นเกมได้ด้วยวิธีแบบนี้ .. มันน่าสนใจ!


 


“ท่าน! พรุ่งนี้ท่านจะถ่ายทอดสดมั้ย? กล้าหรือเปล่า?”


 


“ใช่! เวลาดูมันไม่น่ากลัวเลย” ตงชิงลี่เคยรู้สึกกลัวแต่วันนี้เธอพบว่าการเฝ้าดูมันก็สนุกดี


 


“เจ้าของสามารถทำให้เราตกใจได้ระหว่างถ่ายทอดสด” เจียงเสี่ยวหยูเหมือนว่ากำลังชื่นชม “แต่เขาเองก็ตกใจไม่แพ้เราหรอก” ยัยตัวเล็กตบหัวแล้วลูบหลัง


 


“อืม ..” ฟางฉีทำหน้าระอา คิดไว้แล้วว่าอย่างเธอหรือจะชมฉัน


 


“ดูนั่นสิ ศิษย์พี่ซูกำลังเริ่มเล่นแล้ว!”


 


“พวกเธอควรจะเรียกท่านว่าป้าซู!” ฟางฉีทำหน้าขึม


 


“หากเจ้าของไม่เล่นเกมด้วยวิธีแบบท่านผู้อาวุโส ข้าก็จะไม่ดูเขาเล่น!” เจียงเสี่ยวหยูเอ่ยหน้ามุ่ย “ถ้าเขาไม่สู้ข้าต้องนอนไม่หลับอีกคืนแหง”


 


“ข้าเห็นด้วย!” ตงชิงลี่เสริม “ตอนที่ข้าดูวิธีการเล่นของเขา เขาเอาแต่วิ่งไม่ตื่นเต้นเลย”


 


“ข้าก็ว่างั้น!” นาหลันหมิงสื่อสมทบ “ถ้าเจ้าของร้านไม่เล่นด้วยวิธีใหม่ข้าก็จะไม่ดู!”


 


“ข้าด้วย” เซียวหยูกล่าว “ข้าอยากดูละครมากกว่า!”


 


ขณะที่พวกเขากำลังออกความเห็น ซูเทียนจิพลาดเธอถูกแมนเนควินจับได้ เธอพยายามต่อสู้กับปีศาจตัวนี้ด้วยการต่อสู้ระยะประชิดอย่างบ้าคลั่ง


 


หน้าของเซียวหยูกระตุก


 


“การดูครั้งนี้ช่างสนุกจริงๆ” ผู้ชมเอ่ย


 


ฟางฉีทำหน้าเพลียทำไมทุกคนที่นี่เริ่มหาข้อเปรียบเทียบของการเล่นของแต่ละคน โชคดีที่เขาเป็นผู้เล่นที่ดำเนินเรื่องราวได้รวดเร็วที่สุดอีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งทางจิตใจจึงทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวมากเท่าตอนแรก “พรุ่งนี้ข้าจะทำการถ่ายทอดสดให้พวกท่านได้ดู ว่าการเล่นที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร แล้วพวกท่าจะได้รู้ว่าวิธีเล่นของท่านผู้อาวุโสนั้นธรรมดามาก!”


 


ทันใดนั้นเขาก็ได้สติขึ้นมาว่าการที่พูดอย่างนั้นเหมือนกำลังขุดหลุมฝังตัวเอง .. เขามีท่าทีที่อึดอัดใจเล็กน้อย ใช่ถ้ามองว่ามันก็แค่เกมก็คงไม่มีปัญหาอะไรแต่เมื่อคิดถึงคำพูดที่พูดออกไปแล้วย้อนมองกลับไปถึงความล้มเหลวของผู้อาวุโส จู่ๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้น


 


“นั่นท่านกำลังข่มหรือเปล่า?” เจียงเสี่ยวหยูเอ่ยมองด้วยสายตาไม่มั่นใจ!


 


“วิธีการฆ่าที่แท้จริงคืออะไร?”


 


ผู้ชมรอบๆ กลอกตา “อืม .. พวกเราเฝ้ามองการถ่ายทอดสดของท่านเมื่อวานแล้วบอกได้คำเดียว .. ขี้ขลาด”


 



 


“ท่านคิดอย่างไรกับนาหลันฮงวู?” จีวูยูที่นั่งอยู่บนหน้าผา ณ ลานในบ้านพร้อมหมากรุกในมือ


 


“เมื่อสมัยก่อตั้งดาจินและได้เกิดการรวมตัวของกองกำลังหลักในประเทศ” ร่างสีดำปรากฏตัวขึ้น “ในยุคนั้นมีวีรบุรุษปรากฏตัวขึ้น”


 


“ข้าจำได้” จิวูยูหัวเราะ “ข้าจำได้ว่านาหลันฮงวูมีชื่อเสียงมากในยุคนั้น”


 


“ใช่”


 


“อย่างไรก็ตาม ..” จีวูยูวางหมากรุก “มีคนเคยบอกว่ามีความแปลกในการต่อสู้ขึ้นครั้งนั้น ข้าสงสัยว่ามันจริงหรือไม่ ..”


ตอนที่ 185

 

“ทำไมพวกท่านยังเฝ้าดูกันอยู่” เซียวหยูมองดูผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ด้านหลังซูเทียนจิ “เกมนี้มันดีจริงๆหรอ?”


 


“มันดูธรรมดา ..” เขาพูดพึมพำ “มันก็คล้ายกับการค้นหาสิ่งต่างๆ ในห้องมืด .. ไม่เห็นน่าสนใจเท่ากับ Resident Evil! เลย”


 


ในขณะเดียวกันอันเชงเดินมาข้างหลังเขา “อ้าวศิษย์พี่หยูท่านมาดูเขาเล่นเกมอีกแล้วหรือ?”


 


“ ‘อีกครั้ง?’ เจ้าหมายความว่าไง?” ใบหน้าอันหล่อเหลาของเซียวหยูกระตุก “ชั่งเถอะ .. ว่าแต่ไซเลนต์ฮิลล์นี่สนุกมั้ย? เห็นคนดูกันเต็ม”


 


“ท่านอยากดูหรอ เดี๋ยวข้าจะเล่นให้ดูตั้งแต่แรกเอง”


 


“เยี่ยม!” เซียวหยูพูดอย่างตื่นเต้น


 



 


ช่วงเวลาเช้าของทุกวัน .. สองผู้เล่นประจำคาเฟ่มักชอบนั่งกินอาหารบริเวณห้องนั่งเล่น ณ​คาเฟ่


 


“อืม! ข้าชอบทุกสิ่งที่อยู่ในถ้วยนี้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารที่อร่อยที่สุด!” อันหูเว้ยสูดกลิ่นอันหอมหวล


 


ซงฉิงเฟิงนั่งอยู่บนโซฟาส่วยหัวไปมา “ข้ามีอายุแค่สิบหกปีเท่านั้น ข้านี่ช่างร่ำรวยมากจนไม่รู้จักวิธีใช้เงิน ในอดีตข้าเคยนำน้ำเปล่าอันบริสุทธิ์เข้าไปในคาเฟ่เพื่อจิบระหว่างวัน แต่ตอนนี้ช่างดีเป็นไหนๆ ที่ข้าสามารถเพลิดเพลินกับโค้กและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพร้อมไส้กรอกทุกวัน ข้าพบว่าตัวเองกำลังหลงไหลจนหาทางออกไม่เจอแล้ว!”


 


คนอื่นๆ หันไปจ้องมองซงฉิงเฟิงที่กำลังพร่ำเพ้อด้วยสายตาประหลาดใจ


 


ฟางฉีหันไปมองซงฉิงเฟิงที่กกำลังพร่ำเพ้อ “เจ้าบ้า ..”


 


“อะไรนะ” ซงฉิงเฟิงมองหน้าที่บูดบึ้งของฟางฉี “ข้าได้ยินนะ”


 


“หืม!” ซูเหลียวแทรกในขณะเคี้ยวบะหมี่ “ข้าก็ได้ยิน”


 


ซงฉิงเฟิงที่นั่งอยู่บนโซฟาพูดต่ออีกว่า “ตั้งแต่ผลสอบระดับชาติของข้าออกมาเป็นที่น่าพอใจ ข้าก็ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวมากขึ้น นี่จึงเป็นสิ่งที่ข้าภูมิใจและรู้สึกดีมากในตอนนี้”


 


“ข้าเห็นด้วย!” ซูฉีซินเห็นด้วยกับเขา


 


ทุกคนรอบๆ หมดคำพูด


 


“พวกเจ้าช่วยหยุดสาธยายได้มั้ย ..” ฟางฉีกลอกตา


 


“โอ้! ท่าน” ซงฉิงเฟิงยืนขึ้น “วันนี้ท่านจะเล่นไซเลนต์ฮิลล์มั้ย?”


 


“พวกเรารอดู!” เมื่อทุกคนได้ยินคำถามของซงฉิงเฟิงจึงชิงตอบด้วยความพร้อมเพียงกัน


 


“ท่านจะเล่นเมื่อไร พวกเรารู้ดูอยู่!”


 


“ใช่! เจียงเสี่ยวหยูกล่าว “เจ้าของร้านบอกว่าวันนี้เขาจะถ่ายทอดสดการเล่นที่แท้จริงให้เราดู”


 


“ข้าพูดเช่นนั้นหรอ?”


 


“ใช่ ท่านทำได้!” นาหลันหมงิสื่อเงยหน้าขึ้นจากถ้วยบะหมี่


 


“ข้าก็ได้ยินแบบนั้น” หลันยันสนับสนุน


 


“เจ้าของร้านจะเบี้ยวหรอ?” ตงชิงลี่ทำหน้ากวน


 


“ข้าก็แค่เกรงว่าพวกเจ้าจะกลัวหากข้าเข้าไปลึกกว่านี้”


 


“พวกเราแค่เฝ้าดู มันจะทำให้กลัวได้อย่างไร”


 


“ไม่ฟังข้ออ้าง!”


 


“ท่านเล่นเลย” แต่ละคนต่างตั้งหน้าตั้งตาหาคำพูดเพื่อทำให้ฟางฉียอมจำนน


 


“เจ้าของร้านกำลังจะเล่นไซเลนต์ฮิลล์อีกรอบใช่มั้ย?” องค์หญิงและผู้คนจากอีกสองสำนักที่เพิ่งเดินเข้ามาหันไปจ้องมองกลุ่มคนที่กำลังสนทนากันอย่างเมามัน


 


“ไปดูกันเถอะ!” แม้ว่าบางคนจะรู้สึกกลัว แต่มันมีแรงกระตุ้นบางอย่างที่ทำให้พวกเขารู้สึกอยากดูไม่แพ้กัน


 


ยิ่งพวกเขากลัวมากเท่าไรพวกเขาก็ยิ่งอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับไซเลนต์ฮิลล์และชะตากรรมของตัวละครหลักมากขึ้นเท่านั้น!


 


นอกจากนี้นี่ยังเป็นเวลากลางวันพร้อมทั้งผู้คนมากมายๆ มันจะน่ากลัวแค่ไหนกัน


 


เฟงหัวและยูซินมองหน้ากัน .. พวกเธอพบที่ที่เหมาะสมที่จะรวมตัวแล้ว “น้องเซียว! เราเป็นผู้หญิงเจ้าเป็นผู้ชายนั่นเจ้ากำลังทำอะไร?”


 


“ศิษย์พี่ ..​ฉัน ฉัน” เซียวหยูกระซิบ “เกมนี้น่ากลัวมาก!”


 


“แล้วเจ้าดูทำไม?” พวกเขาทำหน้าเพลีย


 


“ท่านสองคนก็กำลังดูไม่ใช่หรือ”


 


“กลัวนักก็กลับบ้านไปเลย” พวกเขาไล่ “หรือเจ้าจะเปลี่ยนไปใส่ชุดเมื่อวานแทน”


 


เซียวหยูสตั้น .. สองสาวเอ่ยถึงความทรงจำเมื่อวานอันน่าอับอายของเขา!


 



 


ขณะนี้ฟางฉีได้กำลังทำการถ่ายทอดสด


 


“ตอนนี้เจ้าของอยู่ที่ไหนในเกม?” เซียวหยูถาม


 


“เขาเพิ่งหลบหนีจากปิราดมิดเฮด” เฟงหัวและยูซินตอบด้วยความเร่งรีบ


 


“มีคนบอกว่าวันนี้เจ้าของจะแสดงให้ดูว่าการฆ่าที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร” เฟงหัวตอบเสียงต่ำ


 


“ใช่ ข้าก็ได้ยิน”


 


พวกเขาเฝ้าดูด้วยความสนใจ


 


“เจ้าของทำไมขี้ขลาดแบบนั้น” เซียวหยูที่ซุกตัวด้วยความกลัวอยู่ในมุมห้องพูดดูถูกเมื่อเห็นเจ้าของร้านกำลังวิ่ง


 


นาหลันฮงวู, ซูฉีซินพร้อมคนอื่นๆ ไม่รู้สึกกลัวเท่าวันก่อนอาจเป็นเพราะวันนี้พวกเขาได้รับชมการถ่ายทอดสดในเวลาเช้าพร้อมฝูงชน จึงไม่รู้สึกเสียวสันหลังแบบที่ผ่านมา


 


อย่างไรก็ตามหลังจากดูการถ่ายทอดสดของฟางฉีเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง


 



 


“อ่า!” ทุกคนรู้สึกขนลุก พวกเขาพบว่าฉากที่กำลังปรากฏขึ้นเป็นเตียงนอนที่เต็มไปด้วยผู้คน ซูฉีซินและเฉินชิงชิงกอดกันกลม


 


“ท่าน! ไหนรูปแบบการฆ่า!”


 


“ใช่!” ตงชิงลี่และคนอื่นๆ ประท้วง “เราเห็นว่าท่านปิดประตูแล้ววิ่ง ทำไมระแวงขนาดนั้น”


 


ฟางฉีกล่าวสั้นๆ “ดูอย่างระมัดระวัง ข้ากำลังจะเริ่มแล้ว”


 


“อ่ะ!” ตงชิงลี่กรีดร้องพร้อมปืดตา “มันสายไปแล้ว! ตอนนี้พวกเราเริ่มระแวงแล้ว”


 


ฟางฉีทิ้งปืนมืดสั้นและไม้เท้าทั้งหมดแล้วเปิดประตูออกพร้อมที่จะวิ่งออกจากอพาร์ตเม้นแห่งนี้


 


“เขากำลังทำอะไรอยู่?” ผู้ชมทั้งหมดทำหน้าสงสัย


 


“ท่านบ้าไปแล้วหรอ” เซียวหยูตะโกน


 


“เขาทิ้งสิ่งของทั้งหมด? เขาจะต่อสู้กับปีศาจมือเปล่า?”


 


ผู้ชมต่างตั้งหน้าตั้งตาเฝ้าชม ขณะเดียวกันฟางฉีีเดินลงบันไดเพื่อไปหาเจ้าปิรามิดเฮดที่กำลังทรมาณปีศาจตัวอื่นด้วยความรุนแรง เมื่อเดินเข้าไปในห้อง จู่ๆ ประตูด้านหลังเขาก็ปิดลงโดยอัตโนมัติ!


 


มันถูกปิดและถูกล็อคจากอีกฝั่งหนึ่ง!


 


ขณะนี้ฟางฉีค่อนข้างตื่นตระหนก เขาถูกขังไว้กับปิรามิดเฮดในห้องแคบใต้บันได ที่สำคัญปีศาจตัวนี้มีมีดขนาดยักษ์ในมือ


 


ทุกคนเริ่มสั่นด้วยความกลัว


 


ฟางฉีไม่สนใจสถานการณ์ภายนอก


 


“รูปแบบการฆ่านี้ค่อนข้างจะไม่ธรรมดา ข้าจะอธิบายว่าทำอย่างไร”


 


“อ๊ากกกก!” เสียงกรีดร้องในคาเฟ่ดังเพิ่มขึ้นทุกวินาที


 


บนหน้าจอฟางฉีกลิ่งตัวลงบนพื้นเพื่อหลบมีดยักษ์ จากนั้นเขากระโดนขึ้นและวิ่งหลอกพาไปในที่แคบๆ นี่เป็นการแข่งขันที่ต้องใช้สมอง ความรวดเร็วและความกล้าหาญ


 


ผู้ชมปิดบางเงียบ ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอยแถมยังหรี่ตาเพื่อรับชม


 


ฟางฉีจะต้องตายแน่ หากถูกห่ำหันด้วยมีดยักษ์อันนี้!


 


เขาจะต่อสู้กับปิรามิดเฮดอย่างไร? ด้วยมือเปล่างั้นหรอ? ซูเทียนจิอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


 


แม้แต่อันหูเว้ยเองก็ยังไม่เข้าใจ “เจ้าของ ..”


 


“อ่า! เจ้าของร้านถูกบังคับให้จนมุม” ช่างแตกต่างจากคนอื่น มันเดินไปหาพวกเขาอย่างเชี่องช้า แต่กับเจ้าของร้านมันกับวิ่งได้


 


เหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เจ้าปีศาจปิรามิดเฮดกำลังพุ่งหน้ามาหาเขาและง้างมีดเพื่อตัดลง


 


ฉึบ!


 


เพียงเสี้ยววิที่ฟางฉีหลบ มีดยักษ์ฟาดเข้ากับผนังข้างหลังเขาลึกเกือบหนึ่งฟุต!


 


หัวใจทุกคนหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม


 


หากการโจมตีครั้งนี้ไม่พลาด ฟางฉีคงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเป็นแน่!


 


เฉินชิงชิงและตงชิงลี่กลัวมากเธอสองคนหลบตาปี๋


 


เสียงไซเรนดังขึ้นฟางฉีส่ายหัวสะบัดตัว เขาลุกขึ้นยืนและต่อยเข้าที่ปีศาจอย่างต่อเนื่อง ด้วยความน่าประหลาดใจปีศาจตัวหนีกลับหันหลังและวิ่งหนีไป


 


มันหนีไปในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้น่ะหรอ!?


 


“ท่านไม่สามารถที่จะต่อสู้กับปีศาจนี้ได้เพราะมันมีหัวรูปปิรามิดที่ทำจากเหล็ก มันไม่สามารถฆ่าด้วยกระสุน เพียงแต่เราต้องทำให้มันตกใจโดยการเขย่าร่างกายที่แข็งแกร่งของเราและส่งสถานะที่ทรงพลังออกมา มันจีหนีไปด้วยความกลัว” ฟางฉีอธิบาย


 


นี่เขาล้อเล่นใช่มั้ย!?


 


ผู้ชมทุกคนรวมถึงซูเทียนจิและเฉินชิงชิงรู้สึกโกรธเคือง นี่มันเรื่องไร้สาระใช่มั้ย!?


 


นอกจากจะกลัวจนหัวหดแล้วต้องมาโดนหลอกอีกหรอ!!??




 

 

 


ตอนที่ 186

 

เมื่อปิรามิดเฮดวิ่งหนีหายไปสุดท้ายประตูก็เปิดขึ้นอีกครรั้งบรรยากาศชวนขนลุกเริ่มจางลง ฟางฉีหยิบของแล้วเดินลงบันได หลากหลายสถานการรณ์เกิดขึ้นในไซเลนต์ฮิลล์ ตัวอย่างเช่น หลายสถานที่ถูกปิดกั้น พื้นที่โดยรอบเกิดหลุมยักษ์ขนาดใหญ่


 


แม้ว่าในเมืองแห่งนี้จะมีพื้นที่ขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีีเส้นทางให้เลือกไปมากมายนัก .. ฟางฉีพอจำได้อยู่ลางๆ สุดท้ายแม้เขาจะเป็นคนมีความสามารถในเกมแต่เขาเองก็เลือกที่จะยึดติดอยู่กับเรื่องราวทำนองเดิมมากกว่า


 


หมอกในเมืองค่อยๆ หนาขึ้นบรรยากาศกลับมามาคุอีกครั้ง .. เงียบราวกับป่าช้า


 


“สวนสนุกเลคไซค์?” นาหลันหมิงสื่อนั่งบนโซฟาพลางดื่มโค้กและจ้องมองหน้าจอ “นี่เป็นสถานที่พิเศษที่ถูกระบุไว้ในจุดหมายหรือเปล่า?”


 


“สถานที่พิเศษคืออะไร?” ตงชิงลี่และจางวันยูกอดกันตัวกลมข้างๆ เธอ โซฟามีขนาดใหญ่นุ่มและสบายสามารถรองรับคนได้หลายคน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นที่หลบภัยสำหรับสาวๆ ประจำคาเฟ่ไปแล้ว


 


“ตัวละครหลักอยู่ที่นี่เพื่อค้นหาภรรยาของเขาใช่มั้ย?” นาหลันหมิงสื่อวิเคราะห์ “ภรรยาของเขาเขียนในจดหมายว่าเธอกำลังรอเขาอยู่ในสถานที่พิเศษในไซเลนต์ฮิลล์”


 


“พวกเจ้าจำพล็อตเรื่องได้หรือไม่?” ไม่เพียงแต่ตงชิงลี่เท่านั้นที่จำไม่ได้ องค์หญิง, ซูฉีซินและสาวกจากสำนักอื่นก็หันมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ


 


พวกเขากลัวจนความจำเสื่อม


 


“ตัวละครหลักติดตามเบาะแสพยายามหาทาง เขามาที่นี่โดยเส้นทางนี้เพราะเส้นทางอื่นๆ ถูกตัดขาดหมด”


 


“เขาพบเธอหรือยัง”


 


“หืม?” ผู้ชมหลายคนเงยหน้ามองด้วยความสนใจ


 


.. ฉากที่ปรากฏตรงหน้าคือผู้หญิงชาวต่างชาติคนหนึ่งเธอมีผมสีบลอนด์ใชชุดแดงดวงตาสีีเขียว


 


“ไม่ ..” เสียงตัวละครหลักเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา คำตอบเดียวทำเอาผู้ชมผิดหวังไปตามๆ กันที่คิดว่าเขาผ่านความยากลำบากมาในที่สุดก็ได้พบสักที


 


ทุกคนรู้สึกผิดหวังคิดว่าเขาได้พบภรรยาของเขาในที่สุดก็ได้หลุดพ้นจากที่นี่เสียที


 


สถานที่แห่งนี้ช่างน่าขนลุกจนผู้เล่นไม่รู้เลยว่าหากมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งซึ่งไร้ความสามารถใดๆ จะต้องจัดการกับปัญหาเหล่านี้ยังไง เฮ้อ .. ยิ่งคิดยิ่งขนหัวลุก


 


“คุณดูเหมือนภรรยาของฉันที่ตายไปแล้ว .. ไม่อยากเชื่อสายตาเลย คุณทั้งคู่เหมือนกันยังกับแฝดแม้แต่เสียงยังเหมือนกัน แตกต่างเพียงแค่สีผมและเสื้อผ้าของคุณ”


 


คำพูดจากตัวละครชาย ส่งผลให้ผู้ชมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวมีความแปลกยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเห็นร่างที่คล้ายกับตัวละครหลัก แต่ตอนนี้กลับเห็นร่างหญิงสาวที่คล้ายคลึงกับภรรยาของเขาอีก


 


“ทำไมเกมมันแปลกๆ” ซูฉีซินขมวดคิ้วเธอรู้สึกว่ายิ่งสำรวจมากขึ้นเหตุการณ์ยิ่งชวนสับสน


 


“มันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า?” ตงชิงลี่กล่าว “ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยจินตนาการของตัวละครหลักเนื่องจากเขาเสียภรรยาของเขาไป”


 


แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็พบว่าหญิงคนนั้นเป็นของจริง ..​ไม่ใช่ภาพลวงตา


 


ชื่ขอของเธอคือมาเรียซึ่งแตกต่างจากแมรี่ภรรยาของตัวละครหลัก พวกเขามีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


“คิดให้ดี ยังมีีสถานที่พิเศษที่ไหนอีกหรือไม่?” เจมส์รู้สึกผิดหวังที่เขายังหาภรรยาไม่พบ สิ่งที่มาเรียเอ่ยเหมือนกับว่าเธอรู้ว่ามีสถานที่พิเศษอีีกแห่ง


 


ทำไมฉันรรู้สึกเหมือนผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เบาะแสกับเจมส์? นาหลันไมิงสื่อขมวดคิ้วคิดในใจ


 


สาวกจากสองสำนักต่างวิเคราะห์เบาะแสพูดคุยหาคำตอบ


 


เฟงหัวเอ่ย “ถ้าเป็นฉันฉันไปตั้งนานแล้ว ฉันจะไม่เข้าไปเหยียบที่นี่แน่นอน”


 


“นั่นหมายความว่าเจ้าอ่อนแอกว่าคนธรรดา ค่อยๆ ดูหากเขาทำได้ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะทำไม่ได้!” ยิ่งซงซวนตอบ


 


ในความเป็นจริงไซเลนต์ฮิลล์ไม่เพียงแต่จะสร้างบรรยากาศที่แปลกและน่ากลัวเท่านั้นแต่เนื้อเรื่องของเกมยังยอดเยี่ยมอีกด้วย!


 


ในขณะที่ผู้ชมกำลังดูการถ่ายสดของฟางฉี เวลาเดียวกันพวกเขารู้สึกเหมือนว่ากำลังดูหนังที่มีพล็อตเรื่องเนินนานชวนขนลุก แม้บางครั้งจะอยากช่วยสำรวจสถานที่แต่ก็ขออยู่ให้กำลังใจข้างนอกจะดีกว่า


 


มันเป็นมากกว่าเกมสยองขวัญ


 


แน่นอนเรื่องราวยังคงความน่ากลัว ด้วยรูปลักษณ์แบบคลาสสิคของนางพยาบาลสาวสวยที่ส่งตรงจากนรกเพื่อสร้างบรรยากาศให้ชวนขนหัวลุกมากขึ้น


 


ขณะนี้ฟางฉีได้ทำการถ่ายทอดสดเป็นเวลานานกว่าสองช่วงโมง ตอนแรกก็เฉยๆ แต่หลังจากค้างคาในสภาพแวดล้อมแปลกประหลาดเป็นเวลานานในที่สุดตอนนี้เส้นผมของเขาก็ลุกขึ้น


 


“ประตูถูกล็อคอีกครั้ง!”


 


ฟางฉีควบคุมเจมส์เพื่อจะเดินไปอีกห้องหนึ่ง จู่ๆ ประตูห้องที่อยู่ปัจจุบันก็ถูกปิดล็อคโดยทันทีี


 


ขณธเดียวกันปีศาจหน้าตาบิดเบี้ยวพร้อมปากที่น่าเกลียดกำลังคลานมุ่งหน้ามาทางฟางฉี พวกมันมีีชื่อเรียกว่าเฟลซลิป!


 


“อ๊าก ตัวอะไรเนี่ย?” ตงชิงลี่โวยวายด้วยความสยอง เธอสงสัยว่าปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวแบบนี้มีอยู่ในโลกได้อย่างไรกัน


 


ซูเทียนจิรู้สึกเหมือนโดนอะไรกระแทกหัว มันมึนสับสนไปหมด น่าเกลียดจนตาเบลอ เธอตัวสั่นเมื่อจินตนาการภาพว่าหากได้ถูกตัวพวกมัน!


 


โชคดีที่ฟางฉีมีทักษะและสติพอที่จะกำจัดปีศาจทั้งสามได้ .. ปีศาจเหล่านี้มีความสามารถพิเศษตั้งแต่ที่ตัวละครหลักถูกส่งมายังโลกของพวกมัน การกำเนิดตัวตนที่น่ากลัวส่วนหนึ่งเกิดจากจิตใจสำนักของผู้เล่น


 


“เกิดอะไรขึ้น?” ตงชิงลี่รู้สึกนั่งไม่ติด เธอระแวงมากแม้จะในเวลากลางวันแบบนีี้


 


“ดูเหมือนเขาถูกพลักออกไปกระแทกกับอะไรสักอย่าง” นาหลันหมิงสื่อตอบ เห็นได้ชัดว่าเจมส์กำลังนอนอยู่บนเปลหาม


 


เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเมื่อยืนขึ้นเปลหามก็หายไป เขากำลังยืนอยู่ในที่ที่หนึ่งราวกับว่ามันคืออีกโลกหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเจมส์ยืนอยู่นอกอพาร์ตเมนต์ ข้างนอกกำลังฝนตก


 


แปลกมาก แม้ว่ามันจะดูเหมือนนอกอพาร์ตเมนต์แต่บรรยากาศมันแปลกมันไม่ใช่พื้นดินหรือสภาพแวดล้อมเหมือนยก่อนเข้าไปภายในอพาร์ตเมนต์สักนิด ไม่มีหมอกแถมยังมืดกว่าปกติ!


 


ผู้ชมต่างเงียบราวกับกลัวว่าเสียงของพวกเขาจะไปรบกวนบางสิ่ง ไม่มีคำบรรยายหรือคำอธิบายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่สมเหตุสมผลเอสซะเลย


 


บรรยากศที่นี่ดูแปลกว่าในเมืองไซเลนต์ฮิลล์ แปลกไปหมดทั้งบรรยากาศและสภาพแวดล้อมรอบตัว


 


“อะไรกัน? .. ที่นี่คืออะไร?” เฟงหัวและยูซินกอดกันก้ม พวกเธอถามอย่างร้อนใจ


 


ตอนนี้.. ฟางฉีเดินมาถึง Otherworld ภายในไซเลนต์ฮิลล์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


(ผู้แปล : โลกคู่ขนานหรือโลกสนิม (หรือ Other World) จะแตกต่างกันไปตามตัวเอกของแต่ละภาค เนื่องจากพล็อตที่บอกไว้ว่า เมืองไซเลนท์ฮิลล์จะดึงเอาจิตใจของผู้คนออกมาแสดงให้เห็นในความจริง)


 

 

 


ตอนที่ 187

 

ในโลกคู่ขนานนั้นสภาพแวดล้อมผนังของสิ่งก่อสร้างตัวอาคารถูกปกคลุมไปด้วยคราบน้ำคราบเลือด ร่องรอยของการขีดข่วนซึ่งเกิดจากลวดเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิมแถมพื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยซากศพ


 


โลกคู่ขนานเป็นโลกของการเปิดเผยความคิดชั่วร้ายและอารมณ์ด้านลบที่ซ่อนหยั่งลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของผู้คน


 


ภายใต้แสงสว่างของไฟฉายตามผนังบนทางเดินแคบๆ แต่สามารรถมองเห็นโลหะที่ถูกกัดเซาะทีี่เต็มไปด้วยคาบเลือดปะปนกันอย่างชัดเจน เสียงโดยรอบๆ เงียบมากจนได้ยินเพียงแค่ฝีเท้าและเสียงน้ำไหลจากผนัง


 


แม้จะพอมีแสงไฟจากกระบอกไฟฉายตามผนังแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ตัวละครหลักรู้สึกปลอดภัยเลยแถมเมื่อเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งมืดบรรยากาศชวนอึดอัดยิ่งกว่าเดิม


 


ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกเหมือนจมน้ำมากเท่านั้น ตัวละครหลักเดินลึกเข้าไปจากโรงพยาบาลไปจนถึงคุกที่ถูกทิ้งร้าง


 


“เจ้าของกำลังทำอะไร?” ผู้ชมเห็นห้องเล็กๆ พร้อมทางเข้าเล็กๆ มันเป็นรูที่เล็กมากสามารถผ่านเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น


 


“เข้าจะเข้าไปในนั้นหรือ!?” ในคุกแห่งนี้เต็มไปด้วยปีศาจมากมายแถมหลุมนี้ยังดูลึกมากลึกราวกับว่ามันยาวไปถึงจุดศูนย์กลางของโลก!


 


หากคิดถึงความเป็นจริง ถ้ามีปีศาจซ่อนตัวอยู่ในรูแคบๆ แบบนั้นเยอะแยะไปหมดแล้วเขาเข้าไปเขาไม่รอดเป็นแน่


 


“นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ ..” นาหลันหมงิสื่อมองลงไปในรูหลุมดำบนหน้าจอ เธอทำหน้าเหมือนกำลังคิดไตร่ตรองว่าถ้าเธอเล่นเองเธอจะกล้าลงไปมั้ย “มันก็แค่สถานที่ในเกม” เธอพึมพำ


 


ในขณธเดียวกันทุกคนกรีดร้องด้วยความตกใจ ตัวละครหลักกำลังกระโดดลงไปในหลุมดำ!


 


หลังจากกระโดดลงมาเขาตกกระทบสัมผัสกับพื้นแข็งเมื่อลืมตาพบว่าในหลุมมีีความลึกมาก แสงตามทางมืดสลัวเดินเมื่อเดินลึกเข้าไปก็ได้พบเขากับประตูทางเข้าอุโมงค์ใต้ติดที่มืดครึ้มและอับชื้น


 


มันเป็นเหมือนทางที่พาไปสู่ก้นเหวลึก!


 


ยิ่งตัวละครหลักลงไปลึกเท่าไรยิ่งเหมือนกับว่าเขากำลังเดินทางเข้าไปใกล้ชิดกับความมืดมิดที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเขา


 


เวลานี้ไม่เพียงแต่สาวๆ เท่านั้นที่รู้สึกตกใจ หลายคนแม้แต่ผู้ชมผู้ชายก็รู้สึกหวั่นเช่นกัน


 


ต่อให้ตัวละครหลักหรือผู้ชมเองอยากที่จะเพิกเฉยต่อสิ่งรอบข้าง แต่ด้วยความมืดบรรยกาศอันชวนขนลุกพร้อมปีศาจแสนน่ากลัวนั้นทำให้พวกเขาหยุดจินตนาการไปไกลไม่ได้เลย


 


การต่อสู้ทางจิตใจนั้นเริ่มขึ้น ยิ่งลึกลงไปความกลัวที่มีมากขึ้นก็มาพร้อมจิตใจที่กล้าแข็งเช่นเดียวกัน แม้ตอนนี้จะเป็นเวลากลางวัน แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้ชมหยุดจินตนาการได้เลย หัวใจเต้นราวกับได้อยู่ในเหตุการณ์จริงด้วยตัวเอง


 


“เกมนี้ ..” อันหูเว้ยและคนอื่นๆ ต่างทำหน้าสับสน


 


พวกเขารู้สึกว่าแต่ละขั้นตอนของเกมนั้นทำให้ผู้เล่นมีอารมณ์ร่วม ตัวละครหลักจะต้องเดินตามและแก้ไขปัญหาทีละขั้นตอนโดยไม่สามารถหลีกหนีจากความกลัวได้เลย “ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อตามหาเธอ” เสียงบทพูดของตัวละครหลัก


 


ฟางฉีีไม่สามารถจบเกมได้เพียงในวันเดียวเขาจึงตัดสินใจที่จะแยกมันออกเป็นสามส่วนและใช้เวลาเล่นโดยประมาณสามวัน


 


ณ หลุมฝังศพของโลกคู่ขนาน เรื่องราวและผู้คนแองเจล่า, แมรี่และตัวละครหลักถูกเชี่ยมโยงต่อกันเพื่อให้จบลงที่นี่


 


ไซเลนต์ฮิลล์เป็นสถานที่ที่พิเศษที่ถูกกล่าวถึงในจดหมายของภรรยา เป็นส่วนที่ลึกที่สุดในความทรงจำของตัวละครหลัก หลักฐานความจริงเป็นเทปวิดีีโอที่ถูกบันทึกทิ้งไว้ในโรงแรม


 


ในที่สุดเมื่อเขาได้พบเทปวิดิโอก็ได้เข้าใจ .. ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาได้ฆ่าแม่รี่ที่ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เขาฆ่าเธอโดยการกดหมอนลงบนใบหน้าเธอจนขาดอากาศสิ้นลมหายใจ


 


เมื่อตัวละครหลักได้เข้าใจถึงจุดจบเช่นนี้ .. กลุ่มผู้ชมต่างยืนนิ่ง


 


หลังจากได้ดูจุดเริ่มต้นของเกม บางคนพบว่ามันเป็นเรื่องราวของความรักที่น่าชื่นชม แต่หลังจากที่ได้พบความจริงทุกคนต่างตื่นตนกและประหลาดใจเช่นเดียวกับเจมส์


 


.. เหตุการณ์ที่เทปบันทึก เสียงของแมรี่ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสาร เขาหยิบมันขึ้นมาและออกตามหาเพื่อที่จะได้พบเธอให้เร็วที่สุด หลังจากเดินออกไปหาเขาก็ได้พบเข้ากับมาเรีย หญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับภรรยา แต่มีบุคลิกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เธอเปรียบเสมือนภาพภรรยาในอุดมคติของเขา


 


ปิรามิดเฮดถูกสร้างขึ้นจากก้นบึ้งจากจิตใจของเจมส์เพื่อลงโทษเขาที่ก่อเหตุอาชญากรร ปีศาจถูกสร้างขึ้นจากความชั่วร้าย


 


เรื่องราวในเทปบันทึกยังคงดำเนินต่อไป .. ย้อนกลับไปในวันหนึ่งเขาพาแมรี่ไปสวนดอกไม้ แต่แมรี่อารมณ์ไม่ดีนักเมื่อรู้ตัวว่าเธอคงอยู่ในโลกใบนี้ได้ไม่นาน เธอระบายอารมณ์ทั้งโกรธเหวี่ยงวีนและเศร้าโศกทั้งหมดให้เจมส์ได้ฟัง


 


หลังจากที่เจมส์รับรู้ เจมส์เองรู้สึกแย่มาก แมรรี่รู้ตัวว่าเธอได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดเธอขอร้องไห้เจมส์กลับมา ..


 


จุดจบในเกม .. ท้ายที่สุดทั้งสองได้พบกัน บนทางเดินคล้ายกับสะพานเหล็กชั้นบนสุดของโรงแรม


 


“ยกโทษให้ผมด้วย”


 


“ฉันอยากตายเจมส์ ฉันอยากให้ความเจ็บปวดมันจบลง”


 


“นั่นคือเหตุผลที่ผมทำแบบนั้นที่รัก ผมไม่อยากให้คุณต้องทนทุกข์ทรมาน” เจมส์ตอบด้วยเสียงสั่นเครือ แต่จู่ๆ น้ำเสียงเขาก็เปลี่ยนไป “ไม่หรอก ผมโกหกความจริงผมเกลียดคุณมาก ผมแค่ต้องการชีวิตของผมกลับคืนมา”


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง .. ทำไมคุณดูเศร้าจัง” แมรี่สกิดแผลในหัวใจ


 


เมื่อได้เห็นบทสนทนาบนหน้าจอ ทุกอย่างดูชัดเจนในเรื่องนี้ไม่มีวีรบุรุษหรือความรักที่ยิ่งใหญ่


 


นี่คือเรื่องราวทั้งหมด


 


ในตอนท้ายของเกม .. เขาได้รับจดหมายของภรรยาอีกครั้งซึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอ


 


“ในความฝันของฉัน .. ฉันเห็นเมืองนั้น”


 


บางทีนี่อาจเป็นส่วนที่มีสเน่ห์ที่สุดของเกม มันไม่เพียงทำให้ผู้เล่นและผู้ชมมีอารมณ์ร่วม .. แต่มันหักมุมสุดๆ

 

 

 


ตอนที่ 188

 

ฟางฉีเคยเล่นเกมนี้จบไปแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง


 


เวอร์ชั่นดั้งเดิมมีตอนจบถึงหกตอน ส่วนเวอร์ชั่นรีเมคของระบบอาจจะมีตอนจบที่มากขึ้นความเข้าใจและความแข็งแกร่งของจิตใจที่แตกต่างกันจะส่งผลให้เกิดตอนจบที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับเหตุการณ์ของแต่ละคน


 


แน่นอนว่าแต่ละเหตุการณ์ที่แต่ละคนจะได้สัมผัสนั้นล้วนเกิดขึ้นจากส่วนลึกที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ ตัวอย่างเช่นซงฉิงเฟิงและเฉินชิงชิงมีความแข็งแกร่งทางจิตใจแต่ไม่สูงเท่านาหลันฮงวู เหตุการณ์ที่ได้พบก็จะต่างกัน แต่ทุกคนล้วนได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มเติมหลังจากเล่นเกม


 


นอกจากการเล่นเกมจะไถ่ถอนความคิดที่แอบซ่อนในใจแล้วยังช่วยทำให้ความคิดชั่วร้ายและอารมณ์ที่มืดมัวค่อยๆ จางหายไปอีกด้วย


 


ความสยองขวัญของแต่ละคนจะแตกต่างกัน .. เพราะส่วนหนึ่งเกิดจากการจินตนาการแต่ละตัวบุคคล


 


สำหรับผู้ฝึกฝนที่มีความแข็งแกร่งทางจิตใจและไม่มีความชั่วร้ายอย่างอันหูเว้ยและซัวเต๋า พวกเขาพบว่าเกมนี้น่าตื่นเต้นแปลกตาและดูไม่น่ากลัวจนเกินไป


 


ซูเทียนจิรู้สึกตกใจและกลัวเป็นครั้งคราว แต่โดยรวมแล้วเธอสนุกกับการเล่น


 


แต่สำหรับเหล่าสาวกส่วนมาก .. มันน่ากลัวจนแทบยืนไม่ไหว


 


“ศิษย์พี่หลิววันนี้เราจะเล่นไซเลนต์ฮิลล์กัยหรอ?” ตรงทางเข้าคาเฟ่เยเฟิงหัวจากสำนักซียี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน


 


“ในฐานะศิษย์ชั้นยอดพวกเราต้องมีความแข็งแกร่งและกล้าหาญ!” ยิ่งซงซวนกล่าวอย่างมีศักดิ์ศรี


 


“ศิษย์พี่อาวุโส” หลิวหยุนผู้ที่กำลังดูการถ่ายทอดสดของฟางฉีีเอ่ยเรียก “ทำไมหลังของท่านเปียกโชกขนาดนั้น”


 


“…” ยิ่งซงซวน


 



 


–  สองวันก่อน –


 


ผู้คนบนโลกนี้ไม่เคยพบหรือสัมผัสเกมที่ให้ความรู้สึกสยองขวัญหรือสร้างจินตนาการที่น่ากลัวมาก่อนพวกเขาได้พบหรือลองเล่นไซเลนต์ฮิลล์ภายใต้การสนับสนุนของฟางฉี


 


ในขณะเดียวกันฟางฉีได้รับภารกิจใหม่


 


ภารกิจใหม่ : รับชมละครในโลกแห่งนี้


 


ความคืบหน้าของงาน : เปิดใช้งานไซเลนต์ฮิลล์ 2 (200ครั้ง)


 


รางวัลภาระกิจ : ละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้า(ฟงหวิน)


 


วันเดียวกันนั้นการเปิดใช้งานเกมเพิ่มขึ้นถึง 100 ครั้งตามคำแนะนำของฟางฉี


 



 


วันนี้หลังจากฟางฉีถ่ายทอดสดไซเลนต์ฮิลล์เสร็จสองวันถัดมาพบว่าการเปิดใช้งานพุ่งขึ้นสูงถึง 168/200 ครั้ง


 


ตั้งแต่ฟางฉีถ่ายทอดสดตอนจบเกมผู้เริ่มใช้งานก็เริ่มเพิ่มขึ้นในทุกวัน


 


“ฮู้ว ..” ฟางฉีหายใจเข้าออก


 


เขาแยกการถ่ายทอดสดออกเป็นเวลาสามวัน ทุกขบวนการทุกขั้นตอนจัดว่าเป็นอะไรที่น่ากลัวและทรมานใจ เขาต้องอดกลั้นเพื่อกระโดดลงไปในหลุมลึกเพื่อค้นหาอุโมงค์ใต้ดินที่มืดสนิท ทุกครั้งที่เล่นหัวใจมักเต้นแรงตลอดเวลา


 


เนื่องจากโฮสต์ทำงานหนักจึงส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากโบนัสพิเศษ  : ห้องบ่มเพาะเกม 3 วัน


 


ฟางฉีเอ่ยถาม “นี่ฉันต้องเข้ารับการฝึกฝนที่หนักหน่วงหลังจากเล่นเกมสยองขวัญหรอเนี่ย นี่คือสิ่งที่คุณต้องการให้ฉันทำ? มันเรียกว่าโบนัสจริงหรอ?”


 


ระบบตอบกลับ “โฮสต์ไม่ต้องการเข้ารับการบ่มเพาะ งั้นทำงานต่อไป”


 


“งานหรอ?” ฟางฉีอ้าปากค้างพลางดูหน้าอินเทอร์เฟซ


 


ภารกิจใหม่ : ขยายสาขา


 


เป้าหมาย : เปิดสาขาใหม่ในสถานที่ที่อินเตอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึง


 


รางวัลการกิจ : ชิ้นส่วนอาวุธ


 


เวลางาน : 40 วัน


 


เพิ่มเติม : ย้ายภูมิภาค หากล้มเหลวระบบจะทำการค้นหาโฮสต์ใหม่


 


ฟางฉี “…”


 


“จริงจัง? ทำงานร่วมกันมาตั้งนานไม่คิดถึงตอนที่ฉันทุ่มเทบ้างหรอ?” ฟางฉีถาม “คนอื่นจะทำเงินได้มากเท่าฉันเลยหรอ? หากได้ยอดไม่เพียงพอเท่าที่ฉันทำละ? ทำไมไม่คิดถึงใจกันบ้างเลย”


 


“…” ระบบเงียบ


 


เมื่อรู้ว่าระบบคงไม่ตอบคำถามเหล่านี้ฟางฉีจึงเปลี่ยนเรื่อง “บอกหน่อยว่าชิ้นส่วนอาวุธคืออะไร?”


 


“รวบรวมเพื่อสร้างอาวุธชิ้นใหญ่” ระบบตอบกลับ “ตัวอย่างเช่นอาวุธนี้เป็นอาวุธที่พระเจ้าสร้างขึ้นสามารถรวบรวมเพื่อสร้างดาบวู่เฉิน”


 


“แล้วการเคลื่อนย้ายละ” ฟางฉีถาม “ฉันจะต้องทำไง”


 


ระบบตอบ “คุณสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองได้ระหว่างร้านค้าต่อร้านค้า”


 


“คล้ายกับใน Diablo หรอ” ฟางฉีจำได้ว่าระบบได้จำลองทุกอย่างคล้ายคลึงกับ Diablo


 



 


“เจ้าของร้านสุดยอดมาก!”


 


“เขาเล่นจบเกมแล้ว” ขณะนี้ผู้เล่นบางคนได้เดินทางเข้าสู่โลกคู่ขนานแล้ว บางคนที่เข้าถึงพล็อตเรื่องได้รวดเร็วท้ายสุดแล้วตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่จบเกมสักที


 


แม้ว่าจะได้ดูเรื่องราวอันน่ากลัวเพื่อเตรียมใจไว้บ้างแล้วแต่พวกเขาพบว่าการสัมผัสด้วยดูเองน่ากลัวกว่าการเฝ้าดูเป็นไหนๆ ฟางฉีเองก็ค้นพบว่าการเล่นด้วยหูฟังนั้นชวนขนลุกกว่าการใช้ตัวช่วยอย่างเม้าส์และคีบอร์ด


 


หลังจากได้ดูการถ่ายทอดสดของฟางฉี ผู้ชมหลายคนก็มีความอยากที่จะลองสัมผัสด้วยตัวเอง สำหรับผู้ที่พลาดการถ่ายทอดสดนี้ไป พวกเขาก็ได้แต่ถามคนอื่นๆ เกี่ยวกับประเด็นสำคัญหรือบางคนเริ่มลงมือสำรวจด้วยตัวเอง


 


“เอ้อ!” ชายวัยกลางคนรูปร่างสง่างามในชุดคลุมสีเหลืองเขายืนอยู่ที่หน้าซอยของคาเฟ่ ชายผู้นี้มีรูปหน้าเหลี่ยมดวงตาประกายสดใส เขายืนทอดมองไปข้างหน้ามือประสานกัน


 


“ที่นี่แหละ” ข้างหลังเขาคือผู้รับใช้คนเก่าแก่ตอบด้วยเสียงแหลม ดวงตาของเขาแจ่มใสเต็มไปด้วยพลังงาน


 


“จำได้ว่าฉันปลอมตัวมา” ชายชุดคลุมสีเหลืองกล่าว “อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว!” คนรับใช้ตอบด้วยความเคารพ


 


“ฉันอยากรู้ว่าร้านนี้น่าอัศจรรย์เพียงใดทำไมนายกและเหล่านายพลถึงได้ชื่นชมกันนัก”


 



 


–  ณ ชายแดนของดาจิน  –


 


ฝนกำลังตก


 


เรือฝ่ายจิตวิญญาณขนาดใหญ่บินมาจากทางไกล


 


ในท้องฟ้าที่มืดครึ้มสายฟ้ากระพริบเป็นครั้งคราว แต่นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเรือทางหรืออารมณ์ของผู้คนบนเรือเท่าไรนัก


 


ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวท่าทางหรูหราชุดของเขาปักด้วยด้ายสีทอง ชายหนุ่มมีท่าทางเย็นชาเชายืนอยู่ที่หัวเรือพลางมองทอดยาวไปยังเบื้องหน้า


 


เขาดูเหมือนคนวัยยี่สิบ แต่ดวงตาการแสดงออกท่าทางและพฤติกรรมของเขาต่างจากวัยหนุ่มสาวทั่วไป


 


เขายิ้มเยาะด้วยรอยยิ้มอันเย็นชาที่มีไม่กี่คนจะเข้าใจ ..


 


“ที่นี่ ‘ดาจิน’ ”

 

 

 


ตอนที่ 189

 

ชายชรากล่าวด้วยเสียงสูง “นายกรัฐมนตรีีและคนอื่นๆ ต่างติดอกติดใจในละครเรื่องกระบี่เทพสังหารสุดๆ พวกเขากล่าวว่าได้พบคาถาและเทคนิคที่แท้จริงมันวิเศษมาก ซึ่งเหมาะแก่การรับชมเป็นไหนๆ”


 


เนื่องจากจีวูไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของเขา พวกเขาจึงแทนตัวเองว่าท่านขุนนางกับหัวหน้าคนรับใช้


 


“อืม ..” จีีวูพยักหน้า “นายกรัฐมนตรีีบอกกับฉันว่าสาวกทั้งหมดของกลุ่มเมฆเขียวสามารถใช้เทคนิคการควบคุมดาบมันมีีความวิเศษยิ่งกว่ากลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยในประเทศของเราเสียอีก!”


 


เขาโบกมือ “ท่านหัวหน้านานๆ พวกเราจะเดินมาที่เจียงหนาน ไปดูละครกระบี่เทพสังหารกันเถอะ!”


 


“ขอรับ!” หัวหน้าหยูรีีบพุ่งตัวไปยังเคาน์เตอร์


 


ในขณะเดียวกันจีวูมองไปรอบๆ คาเฟ่ “ตามรายงานของเกร์ ร้านนี้มีปรมาจารย์ผู้ปลูกฝังลึกลับอยู่เบื้องหลัง แม้เขาจะไม่สามารถเข้าถึงข้างในได้ก็ได้เถอะ แต่ฉันก็ยังอยากรู้อยู่ที่ว่าที่นี่นั้นมีอะไรกันแน่” เขาพึมพำ


 


เขาพบโซฟาที่นั่งใกล้กระจกพลางนั่งลงคิดตามคำที่นายกรัฐมนตรีเคยกล่าวไว้ว่าละครเรื่องกระบี่เทพสังหารสามารถเพิ่งความแข็งแกร่งในด้านการฝึกฝนจากการรับชมได้ คล้ายกับผ่านการบ่มเพาะ ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าจะเป็นอย่างที่เขาเคยกล่าวไว้หรือไม่ หากเป็นความจริงร้านนี้จะนำโชคลาภมาสู่ตาจินแน่นอน


 


ด้วยความคิดเช่นนี้เขาจึงเลือกที่จะเดินทางมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง .. นั่งพักพลางคิดจู่ๆ กลิ่นหอมก็วิ่งมาเตะปลายจมูก


 


กลิ่นหอมอันชวนหิวแบบนี้คืออะไรกัน จีวูรู้สึกประหลาดใจ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นบ้านอาหารในวังหรืออาหารป่าหายากแค่ไหนฉันก็ได้ลิ้มลองมาทั้งหมดแล้ว แต่ไม่เคยได้กลิ่มหอมชวนลิ้มลองแบบนี้มาก่อนเลย!


 


ชายสองคนเดินผ่านเขาไป ..


 


“อาจารย์เฉินท่านเยี่ยมมาก! สาวกที่มีความสามารถมากหมายในห้องเรียนของท่าน”


 


“โชคก็แค่เข้าข้างข้า!”


 


พวกเขาคุยกันพลางยืนถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขณะหาที่นั่ง ชายวัยกลางคนชุดคลุมสีเหลืองหน้าตาเคร่งขรึมเอ่ยถาม “พวกท่านกินอะไรกันน่ะ!?”


 


“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป!” เฉินจงชี้ไปที่เคาน์เตอร์ “ท่านลองถามเด็กผู้หญิงคนนั้นได้”


 


ขณะเดียวกันอึนหยูเองกำลังจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อเปิดใช้งานละคร จีวูพยักหน้า “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นหอมมากไปซื้อให้ข้าที”


 


“รับทราบนายท่าน!” ในไม่ช้าหัวหน้าอึนหยูเดินกลับมาพร้อมถ้วยบะหมี่สองถ้วย


 


จีวูรับถ้วยแล้วสูดหายใจเข้า “หืม .. มันหอมน่ากินมาก! หากไม่นับผู้ปลูกฝังทรงพลังที่อยู่เบื้องหลัง ร้านนี้ต้องมีพ่อครัวที่ดีกว่าในราชวังของฉันด้วยแน่ๆ”


 


เขากัดหนึ่งคำพร้อมตามด้วยน้ำซุปที่อุดมไปด้วยกลิ่นสมุนไพร “มันเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดในโลก! เจ้าได้ถามพวกเขาหรือเปล่าใครทำบะหมี่นี่?”


 


“เอ่อ ..” อึนหยูยืนนื่ง “ความจริงแล้วข้าน้อยทำเอง​ ..”


 


จีวูอึ้ง “ท่านหัวหน้าหยูไปเรียนรู้ทักษะนี้เมื่อไรกัน!?”


 


อึนหยูตอบ “ข้าน้อยก็แค่ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในถ้วยแล้วเทน้ำร้อนตามและรอเพียงสองสามนาที ใครๆ ก็สามารถทำอาหารอันโอชะนี้ได้”


 


“นี่เป็นะบหมี่ที่สุดยอดมันต้องเป็นจานพิเศษของที่นี่แน่ๆ” อึนยูพูดพลางชี้นิ้วไปที่ไส้กรอกในถ้วยของจีวู “ไส้กรอกนี้คือพระเอกตัวสำคัญของอาหารถ้วยนี้!”


 


ในไม่ช้าพวกเขาก็เพลิดเพลินกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพร้อมไส้กรอกแสนอร่อย


 


“ท่านขุนข้าจะไปนำโค้กมาให้ท่านได้ลิ้มลองเด็กผู้หญิงคนนั้นบอกว่ามันรู้สึกดีมากหากดื่มพลางดูละครไปพร้อมกัน” อึนหยูกล่าว “หลังจากนี้ก็ตามด้วยฮาเก้นดาส เขาบอกกันว่ามันอร่อยกว่าภูเขาน้ำแข็งกรอบเสียอีก!”


 


“มีขั้นตอนมากมายในการดูละครจริงๆ” จีวูพยักหน้าเอนหลังดูละครพร้อมกินของว่าง


 


–  หกชั่วโมงต่อมา  –


 


“ตอนที่เจ็ดและแปดอยู่ไหน!?” จีวูยืนขึ้น


 


“ข้าถามพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่ายังไม่มีเพิ่มเติมเนื่องจากต้องรอการถ่ายทำ”


 


“พวกท่านโชคดีมากละครจะเพิ่มตอนวันพรุ่งนี้” เฉินจงที่นั่งอยู่ไม่ไกลที่เวลาเพิ่งเอ่ย “พวกข้ารอมานานกว่าครึ่งสัปดาห์แล้ว!”


 


“ละครกระบี่เทพสังหารสนุกมาก เป็นละครเกี่ยวกับผู้ปลูกฝังสำหรับนักรบธรรมดาแล้วคงยังต้องใช้เวลาอีกมาเพื่อเรียนรู้จากละคร”


 


“เจ้าพูดถูก ข้าว่าพวกเขาสร้างละครมาเพื่อเน้นการฝึกฝนของเหล่านักรบ เจ้าเห็นมั้ยขนาดเซียนกระบี่เทพสังหารนั้นยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกฝนเลย ส่วน Diablo เป็นเกี่ยวกับคนต่างชาติแถมยังสอนทักษะบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากโลกของเรา .. พวกเรายังต้องใช้เวลาอีกมากในการฝึกฝนและเรียนรู้”


 


ชายหนุ่มสองสามคนพูดคุยกันระหว่างเดินออกจากคาเฟ่


 


จีวูขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกัน “ประเด็นที่พวกเขาพูดคุยกันน่าสนใจดี คาเฟ่นี้อัศจรรย์จริงๆ หัวหน้าหยูไปถามพวกเขาทีว่า พวกเขาขายคอมพิวเตอร์มั้ย”


 


เนื่องจากจักรพรรดิองค์นี้ไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในตาจินได้อย่างสมบูรณ์เขาเองก็ยังคงระวังตัวจากผู้ปลูกฝังเบื้องหลังร้านนี้เช่นกัน


 



 


“ขาย?” ฟางฉีที่เพิ่งเล่น Diablo จบหันมองชายชราและชายวัยกลางคนที่กำลังขอซื้อคอมพิวเตอร์จากเขา


 


ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสูงพร้อมชูห้านิ้ว “ข้าให้ราคาห้าหมื่นคริสตัลเจ้าว่าไง? เจ้ามีสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณมากมาย มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะแบ่งขายสักชิ้นหรอกใช่มั้ย?”


 


ฟางฉีทำหน้าขรึมเมื่อคิดถึงมูลค่าที่พวกเขาตีให้สูงขนาดนี้  แต่อย่างไรในอนาคตอันใกล้เขาเองก็อาจทำยอดได้ตามจำนวนเงินที่พวกเขาเสนอมาก็เป็นได้


 


“ท่านคิดว่าต้องการถึงห้านหมื่นคริสตัลเลยหรือ?”


 


อึนหยูทำหน้าอึกอัก


 


ขณะเดียวกันคนที่ยืนอยู่ข้างหลังของเขาแทรกตัวเข้ามาพร้อมยื่นข้อเสนอ “ท่านมีความสนใจที่จะย้ายร้านหรือขยายไปที่อื่นบ้างมั้ย?”


 


ฟางฉีทำหน้าสับสนเมื่อมองดูใบหน้าที่สง่างามปนอารมณ์ที่เคร่งขรึมของชายผู้ยื่นข้อเสนอ เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นชายคนนี้ที่ไหนสักแห่ง


 


“ข้าทำที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องย้ายไปไหน”


 


“แล้วหากย้ายไปอยู่ในพระราชวังละ?” จีวูค่อนข้างมั่นใจในข้อเสนอที่มอบให้ฟางฉี “ท่านมีความสนใจหรือไม่?”


 


ฟางฉีรู้สึกแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม “องค์ชายและองค์หญิงยังเดินทางมาที่นี่ทุกวันเพื่อเล่นเกม ทำไมข้าต้องย้ายไปที่ราชวัง?”


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร!?” หัวหน้าหยูตะโกน


 


“หัวหน้าหยู!​” จีวูเรียกชื่อเขาเพื่อเตือนสติจากนั้นเขาหันกลับไปจ้องหน้าฟางฉีอีีกครั้ง “นี่เจ้าของร้าน ถ้าท่านจักรพรรดิแห่งตาจินเชิญผู้ปลูกฝังที่อยู่เบื้องหลังของเจ้าไปที่ราชวังและขอให้เจ้าย้ายไปที่นั้นเจ้าจะทำอย่างไร?”


 


“คำเชื้อเชิญจากท่านจักรพรรดิหรอ?” ฟางฉีลังเล


 


“ท่านถูกส่งตัวมาโดยท่านจักรพรรดิหรือ?” ฟางฉีมองพวกเขา


 


จีวูยืนนิ่งไม่ปฏิเสธคำถามใด “ท่านจักรพรรดิจะปฏิบัติต่อแขกของเขาในฐานะผู้มีเกียรติ”


 


“นี่เป็นเกียรติที่ควรค่าแก่การได้รับและหายากอย่างมาก!” อึนหนูกล่าวด้วยความภูมิใจ “หลังจากได้รับคำเชื้อเชิญแล้วท่านจักรพรรดิของเราจะประทานตำแหน่งให้แก่เจ้า”


 


“ไม่เห็นน่าสน” ฟางฉีหยักไหล่


 


จีวูสูญเสียคำพูด


 


หัวหน้าผู้รับใช้รู้สึกโกรธทันที “เจ้านี่มีโอกาสแต่ไม่สนใจ! มันยากมากรู้ตัวมั้ย?”


 


จีวูรู้สึกไม่พอใจเช่นกัน “ขอข้าพบกับผู้ปลูกฝังที่อยู่เบื้องหลังเจ้าหน่อย”


 


ไม่สำคัญว่าผู้อยู่เบื้องหลังจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่นี่มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีแขกผู้มาเยือนเป็นถึงผู้ปกครองประเทศ!

 

 

 


ตอนที่ 190

 

คนที่อยู่เบื้องหลังฉันเนี่ยนะ!? ถ้าเจอได้ตัวเป็นๆ ฉันเจอเขาไปนานแล้ว!


 


ฟางฉีรู้สึกตะหงิดใจเล็กน้อยเหมือนว่าชายวัยกลางคนกำลังเรียกตัวเองว่าเป็นจักรพรรดิทางอ้อม อย่างไรก็ตามเขาเคยเห็นหน้าองค์จักรพรรดิมาก่อนและคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนสักนิด


 


ฟางฉีตอบกลับอย่างไม่เต็มใจนัก “ท่านผู้ปลูกฝังเขาฝากบอกข้าว่าเขาไม่สนใจอะไรนอกเสียจากร้านอินเตอร์เน็ตเท่านั้น หากพวกท่านต้องการเจอเขาจริงๆ ก็ลองสร้างปัญหาในร้านและรอดูปฏิกิรริยาตอบโต้ด้วยตาตัวเอง”


 


“สร้างปัญหา?” จีวูทำหน้าไม่สบอารมณ์ “นี่เรามีความปรารถนาดี เจ้าบังคับให้ข้าร้ายงั้นหรือ?”


 


ฟางฉีตอบ “ข้าอยู่ทีนี่สบายดี ทำไมท่านต้องให้ข้าย้ายไปในวังด้วย นั่นเป็นการแสดงความปรารถนาดีของท่านงั้นหรือ ทั้งๆ ที่ข้าก็บอกท่านไปแล้วว่าไม่รับข้อเสนอ”


 


จีวูทำขมวดคิ้วพลางคิดหรือว่าผู้ปลูกฝังท่านนี้ไม่สนใจเกียรติยศชื่อเสียง เขาถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ท่านผู้ปลูกฝังอยู่ที่เจียงหนานแล้วสบายใจดีหรอ?”


 


“ท่านหมายความว่าอะไร? ก็เขาจะอยู่ที่นี่!” ฟางฉีตอบกลับ เขาเริ่มจับทางความคิดของจีวูได้จึงตอบกลับอย่างตัดบท เนื่องจาก ‘ท่านผู้ปลูกฝังลึกลับ’ ไม่ต้องการจะย้ายไปในวังของตาจิน เขาจะอยู่ที่คาเฟ่ไม่ย้ายไปที่อื่น


 


“ก็ดี!” จีวูลังเล แต่ก็รู้แล้วว่านี่เป็นคำตอบสุดท้ายที่เขาได้รับ ตราบใดที่คาเฟ่ยังคงอยู่ในปีเทศตาจินของเขา ยังไงเขาก็ยังคงได้รับประโยชน์จากมัน!


 


“แต่ก็นะมันใช้เวลามากในการเดินทางโดยเรือจิตวิญญาณเพื่อมาดูละครในวันพรุ่งนี้” หัวหน้าผู้รับใช้กล่าวเตือนจีวูด้วยความกังวล “ท่านมีงานสำคัญหลายอย่างที่ต้องสะสางในแต่ละวัน ท่านจะเสียเวลากับสิ่งนี้ได้อย่างไร?”


 


“ขอโทษที่พูดอย่างตรงไปตรงมา มันค่อยข้างเป็นเรื่องปกติที่คนร่ำรวยจะใช้เครื่องบินส่วนตัวในการเดินทางไปไหนมาไหน” ฟางฉีกล่าว “หากพวกท่านไม่มีเงิน พวกท่านก็ขึ้นรถไฟด่วนได้นี่แถมยังสามารถใช้ห้องโดยสารดื่มกาแฟอ่านหนังสือหรือพักผ่อนระหว่างเดินทาง หรือหากพวกท่านยากจนจริงๆ ท่านสามารถมาที่ร้านของข้าเพื่อเรียนรู้เทคนิคการควบคุมดาบก็ได้นะ เทคนิคนี้ใช้เวลาเดินทางไปกลับน้อยกว่าสองชั่วโมง!”


 


ทั้งสองมองหน้ากันอย่างสับสน “เครื่องบินส่วนตัวคืออะไร? รถไฟด่วน?”


 


ฟางฉีรู้ว่าเขาอยู่ในโลกที่ล้าหลังกว่าโลกเก่าของเขาคิดว่าโลกนี้ก็ควรจะมีสิ่งที่คล้ายคลึงกันบ้าง อย่างไรก็ตามเขารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำอธิบายจากพวกเขา


 


“เจ้าหมายถึงห้องโดยสารส่วนตัวของเรือทางจิตวิญญาณใช่มั้ย?” จีวูทำหน้างง “ที่นั้นมีโต๊ะนั่งพักอันหรูหรา”


 


คนส่วนมากที่สามารถใช้เรือทางจิตวิญญาณได้ทุกคนล้วนมีสถานะที่สูง หากเป็นนักรบหรือคนธรรมดาพวกเขามักใช้เวลาเดินทางเท้ามากกว่าแม้จะช้าแต่ประหยัดเงินได้มากโข


 


ฟางฉีเอ่ย “ห้องผู้โดยสารคือห้องส่วนตัวของแต่ละคน เช่นห้องพักทำนองนั้น”


 


แม้ว่าเรือทางจิตวิญญาณส่วนใหญ่จะไม่ได้รวดเร็วเท่าเทคนิคการควบคุมดาบ แต่มันก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการเดินทางไปยังเมืองอื่น!


 


มันไร้ประโยชน์ที่จะต้องมีห้องโดยสารส่วนตัวเพราะมันไม่ใช่โรงแรม! แถมใช้ยังเวลาไม่นานเพื่อเดินทางไปและกลับ ..


 


ฟางฉีทำหน้าเพลีย “ไม่แปลกใจที่ไม่มีใครใช้บริการมันเท่าไร นอกจากจะราคาสูงแล้วยังไม่คุ้มค่าอีก”


 


จีวูยืนนิ่ง .. ต้องยอมรับว่าฟางฉีพูดถูก แม้จะพูดออกนอกเรื่องแต่บอกเลยว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นชวนคิดจริงๆ


 


เช่นสำนักซียี่ที่ต้องการมาเข้าร่วมการสอบระดับชาติ พวกเขาเดินทางโดยใช้เรือลำเล็กๆ ซึ่งนั้นไม่สามารถพาคนจำนวนมากหรือแม้แต่นักรบระดับสูงเดินทางมาได้ในเวลาพร้อมเพียงกัน ต้องคอยทยอยกันมาจึงเกิดการเสียเวลา


 


หรืออีกเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ..


 


ในการดูแลเรือจิตวิญญาณมันจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากและประเทศของเรากำลังสูญเสียเงิน สำหรับเรือขนาดกลางหรือเล็ก เมื่อเทียบกันแล้วมันทำกำไรไม่ได้มากนัก รายได้หลักคือการขนส่ง


 


ใช่ .. มันเป็นปัญหาที่แม้แต่จักรพรรดิแห่งตาจินเองยังรู้สึกว่าแก้ไขได้ยาก


 


เมื่อได้ยินฟางฉีพูดถึงสิ่งต่างๆ เช่นรถไฟด่วน เขารู้สึกทึ่งเหมือนสมองกำลังตื่นตัวเริ่มรับรู้ว่ามีวิธีที่จะทำให้ประเทศมีการคมนาคมที่ราบรื่นและราคาไม่แพงแล้ว!


 


“ข้ารู้สึกประหลาดใจกับความคิดของเจ้ามาก!” จีวูเอ่ย “ข้ากำลังคิดว่าเจ้ามีคำแนะนำหรือรายละเอียดหรือไม่?”


 


ฟางฉีทำหน้างง .. และค้นพบว่าตัวเองกำลังพูดกับชายวัยกลางคนเรื่องการขนส่ง


 



 


ขณะเดียวกันฝั่งกลุ่มพันธมิตรวู่เว้ย


 


ในฐานะพันธมิตรกองกำลังกลุ่มบลูเฟรมของวังหลิวหยุนและกลุ่มโอเซียนคือสองกลุ่มที่ทรงพลังที่สุด


 


ณ สนามอันกว้างใหญ่และงดงามซึ่งสร้างจากหินสีขาวจากฝีมือของสาวกของกองกำลังกลุ่มวู่เว้ย ตอนนี้พวกเขายืนเรียงแถวกันอย่างมีระเบียบ


 


“ยินดีต้อนรับ!” ชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมสีขาวเดินผ่านเหล่าสาวกด้วยท่าทางสง่างามสีหน้าของเขาดูเย็นชา


 


เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า “ท่านอาจารย์ของท่านอยู่ที่ไหน!?”


 


“ท่านอาจารย์รอท่านอยู่ในห้องโถงใหญ่!” ชายวัยกลางคนตอบกลับพร้อยผายมือเชิญ


 


“ไม่ต้องพิธีการก็ได้” ชายหนุ่มชุดขาวส่งเหรียญหยกให้ชายวัยกลางคน “ดินแดนแห่งการเพาะปลูกจะเปิดขึ้นทุกๆ 30 ปีนี่คือเหรียญหยกขาว”


 


อาณาจักรแห่งการเพาะปลูกเป็นสถานที่ในตำนวนตั้งแต่สมัยโบราณ ที่นี่มีสมบัตริล้ำค่ามากมาย ทางเข้าทั้งสามทางนั้นได้รับการปกป้องจากกลุ่มฤๅษีีโบราณมีชื่อที่รู้จักกันดีคือ นักบวชผู้รักษาประตู


 


นักบวชสามกลุ่มไม่เคยมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างประเทศและไม่เป็นพันธมิตรกับกองกำลังใดๆ พวกเขาไม่สนใจทางโลก


 


ดินแดงแห่งการเพาะปลูกจะถูกเปิดขึ้นทุกๆ สามสิบปีและนักบวชทั้งสามกลุ่มจะเชื้อเชิญผู้ฝึกฝนทุกกลุ่มจากทั่วสาระทิศเพื่อเข้าร่วมการชิงคุณสมบัติในการเข้าสู่อาณาจักรแห่งการเพาะปลูก


 


เนื่องจากมีผู้เพาะปลูกไม่กี่คนที่จะสามารถเข้าสู่อาณาจักได้ ดังนั้นกองกำลังหลักอย่างวู่เว้ยจึงรวบรวมคนเพื่อเข้าแข่งขัน


 


ตั้งแต่มีการแย่งชิงเพื่อเข้าสู่อาณาจักรแห่งการเพาะปลูก เรื่องนี้ทำให้แต่ละคนมีความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้เข้าถึงมัน แม้จะมีข้อกำหนดที่รุนแรงก็ตาม!

 

 

 


ตอนที่ 191

 

“ท่านลู!” เรือจิตวิญญาณขนาดใหญ่ที่กำลังบินโฉบอยู่บนท้องฟ้าในนั้นเต็มไปด้วยสมาชิกของกลุ่มพันธมิตร “พันธมิตรวู่เว้ยเป็นกำลังสำคัญพวกท่านคิดว่าสามจุดนั้นเพียงพอสำหรับพวกเขามั้ย?”


 


ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บ้านเรือจิตวิญญาณหมุนวนของเหลวในแก้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “สามสิบปีที่ผ่านมาพันธมิตรวู่เว้ยก็ไม่ได้ทำอะไรที่มีความหมายสักเท่าไร เพียงสามจุดก็คงเพียงพอ”


 


เขาเอ่ย “จากความคิดฉันสามจุดก็เป็นสิ่งที่เพียงพอสำหรับพวกเขาที่สมควรจะได้รับ หากไม่ใช่เพราะการเตรียมงานที่ดีเมื่อสามสิบปีก่อนพวกเขาก็คงไม่ได้รับสามจุดนี้หรอก”


 


ชายชราผู้มีเคราสีขาวยืนข้างๆ เชาปฏิบัติตัวต่อชายหนุ่มด้วยความเคารพอย่างสูง


 



 


ในเวลาเดียวกันวังหลิวหยุนและกลุ่มโอเซียนก็ได้รับข้อความจากอาณาจักรการเพาะปลูก


 


ณ ห้องโถงใหญ่ของวังหลิวหยุน


 


“น้องซู ..​เจ้าอายุน้อยที่สุดในหมู่พวกเราและความแข็งแกร่งในการฝึกฝนของเจ้านั้นสูงมาก ..” ซัวเต๋ามองดูซูเทียนจิด้วยแววตาสลด “กติการสมัครของอาณาจักรรเพาะปลูกคือผู้เข้าร่วมต้องมีอายุน้อยกว่า 200 ปี ..​เจ้าเป็นผู้สมัครที่ดีและเหมาะสมที่สุด เจ้าจะ ..”


 


“ไม่! ท่านไปเองเถอะถ้าท่านต้องการ”


 


“อืม ..” ซัวเต๋าทำหน้าเศร้า “แต่ตอนนี้ข้าอายุ 201 แล้ว ..”


 


“การเดินทางไปเข้าสู่การประชุมต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน” ซูเทียนจิเอ่ยแย้ง “ท่านรู้มั้ยว่ามันทำให้ฉันต้องห่างจากคาเฟ่นานแค่ไหน!?”


 


“นอกจากนี้การเข้าสู่อาณาจักรแห่งการเพาะปลูกยังต้องใช้เวลาถึงสองปี” ซูเทียนจิจ้องหน้าซัวเต๋า “หนึ่งถึงสองปีไม่ใช่หนึ่งถึงสองวัน! พี่อาวุโสจะได้ดูละครจนจบในขณะที่ข้ากำลังฝึกฝนเนี่ยนะ!?”


 


“ข้ากำลังทำงานหนักเพื่อกลุ่มของเรา ..” ซัวเต๋าก้มหน้า


 


“ถ้าท่านทำเพื่อเราจริงๆ ท่านควรแนะนำให้สาวกของเราเดินทางมาที่คาเฟ่สิ” ซัวเต๋าที่ไม่กล้าสบตาตอบ “ถ้าพวกเขาไปเราก็จะไม่มีที่นั่งน่ะสิ”


 


“…” ซูเทียนจิ


 


ในขณะเดียวกัน ณ กลุ่มโอเชียน


 


ชายชราที่มีผมสีขาวยืนอยู่ตรงโถง พร้อมสาวกที่ยืนตรงหน้าเขา จากออร่าที่พุ่งออกจากตัวเขาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการเพาะปลูกที่อยู่ในระดับสูง!


 


เยซงเต๋าที่จ้องมองพวกเขาสลับกับชายชราผมขาว “พี่อาวุโสหยุนท่านมีความเห็นอย่างไรกับเหล่าสาวก ท่านคิดว่าพวกเขาสามารถเข้าร่วมการประชุมอาณาจักรเพาะปลูกเพื่อการเพาะปลูกในนามของกลุ่มเราได้หรือไม่?”


 


“อืม!” หยุนไฮ่มองไปที่สาวกหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “ตามเงื่อนไขที่แนบมาได้บอกว่า พวกเขาจะต้องเป็นผู้ฝึกฝนที่มีอายุน้อยกว่า 200 ปี, 100 ปี และ 40 ปีตามลำดับที่ลดลงมา สำหรับผู้สมัครคนแรกของเราคงไม่สามารถแข่งขันกับผู้อาวุโสซูจากวังหลิวหยุนได้ ดังนั้นข้าวางแผนว่าจะเลือกศิษย์ที่อายุต่ำกว่า 40 ปีเพื่อเติมเต็มจุดสุดท้าย ใครต้องการเข้าร่วมบ้าง​?”


 


หยุนหลานส่ายตัว


 


หยุนเหลียนส่ายหัวเช่นกัน


 


สาวกคนอื่นๆ ส่ายหัวไปตามๆ กัน


 


ผู้อาวุโสหยุนไฮ่ยืนนิ่ง “เกิดอะไรขึ้น!?”


 


“เราไม่สามารถเข้าร่วมอาณาจักรแห่งการเพาะปลูกได้” เยเสี่ยวเย้กล่าว “พรสวรรค์ของเราไม่ดีเท่าอัจฉริยะระดับสูง ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งพาการเล่นเกมเพื่อพัฒนาจุดแข็งด้านเพาะปลูก เราคิดว่าคาเฟ่แห่งนี้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรรับการเพาะปลูก มันดีมากกว่าดินแดนเพาะปลูกเป็นไหนๆ และเราชอบที่นี่มาก!”


 


“น้องหญิงพูดได้ดี!” หยุนเหลียนแอบชมเธอเบาๆ


 


“มันดีใช่มั้ยละ” เยเสี่ยวเย้ตอบกลับเบาๆ “ข้าได้ยินคำพูดแบบนี้จากเจ้าของร้านน่ะ เลยเอามาเปลี่ยนคำพูดนิดหน่อย มันตรงประเด็นดีใช่มั้ยละ”


 


พี่หยุนเหลียนมองเธอด้วยสายตาเพลีย


 


เยซงจับหัวยัยลูกสาวตัวแสบ “เจ้ามานี่สิ้!”


 



 


ณ กลุ่มบลูเฟรม


 


“เฮารัน .. สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่สร้างขึ้นใหม่นี่ เรียกว่าปืนใช่มั้ย?”


 


“ท่านอาจารย์ข้าไม่ต้องการเข้าร่วมอาณาจักรแห่งการเพาะปลูก”


 


ณ กลุ่มถ้ำมังกรเงินของผู้อาวุโสยิ่งล่ง


 


“สาวก ..”


 


“ไม่พวกเราไม่ต้องการไปที่นั้น”


 


“…”


 



 


หลันโมรู้สึกตัวแข็งเมื่อได้รับรายชื่อ ..


 


[ซูไป่ อายุ 198 ปี จากอาณาจักรแม่น้ำหยวน]


 


“ท่านอายุ 198 ปี ยังไม่ถึงในระดับสูงสุดใช่มั้ย? ท่านยังต้องรับการแข่งขันกับคนอื่นอีกนะ”


 


เขาดูถูก


 


[หลินยูซี อายุ 86 ปี จากอาณาจักรใบไม้ผลิ]


 


“เวรกรรม!”


 


[วังชิ อายุ 38 ปี จากอาณาจักรพลังควบแน่น]


 


หลันโมกระแทกกำปั้นลงบนโต๊ะ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”


 


“ศิษย์พี่ใจเย็นก่อน” ชายชราในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเดินมาหาเขา “ข้าได้ยินจากเฮารันว่ามีร้านชื่อว่าต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ต ..”


 


จากนั้นเขากระซิบบางอย่าง ..


 


“เซียนกระบี่เทพพิชิตมาร? กระบีี่เทพสังหาร? เทคนิคการควบคุมดายบ?” ใบหน้าของหลันโมดูสับสน “พวกเขายอมไม่เข้าร่วมเพีียงเพราะสิ่งนี้หรอ?”


 


หลันโมลูบเครา “นักบวชทั้งสามที่อาศัยอยู่ในที่ห่างไกลพวกเขาไม่ฝักไฝ่ทางโลก แต่พวกเขาก็มีความสุขกับสถานที่สูงเช่นนี้และได้ชื่อเรียกว่านักบวช ใบซัวเต๋าและคนอื่นๆ ถึงได้ละทิ้งโอกาสที่หายากแบบนีี้!?”


 


“ใจเย็นก่อน ท่านผู้นำ!” ชายชราใชุดคลุมน้ำเงินเอ่ย “ข้าเคยเห็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่เรียกว่าปืน หลี่เฮารันและคนในคณะสร้างมันขึ้นมา มันมีความพิเศษมาก! มีการกล่าวเล่ากันว่าพวกเขาได้เรียนรู้เทคนิคใหม่จากที่นั้น”


 


“พรุ่งนี้ข้าจะลองไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบดู แล้วค่อยทำการตัดสินใจ” ชายชราเสนอแนะ


 


“ตกลง” หลันโมตอบ “ข้าจะรอ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่านเพื่อดูว่าที่นั่นมีลูกเล่นอะไร”


 



 


“อ่า!” ฟางฉีค่อนเซ็งเนื่องจากชายวัยกลางคนที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวยืนกรานที่จะพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับการขนส่งจนรามไปถึงเรื่องสวัสดิการต่างๆ


 


“ชายผู้นี้คือจักรพรรติจริงหรอ?” ชายวัยกลางคนยืนกรานจะไม่ไปจากร้าน จนกว่าฟางฉีจะปิดร้าน เขาจึงยอมจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก


 


ฟางฉีเหลือบมองแทบงานของเขา พบว่าเป้าหมายการดูละครเรื่องกระบี่เทพสังหารเกือบสำเร็จแล้ว


 


ละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้ามันค่อยข้างสนุก แต่เทคนิคและทักษะในละครเรื่องนี้ค่อนข้างทรงพลังนอกจากนี้ยังรวมเทคนิคตั้งแต่ต่ำไปสูงเป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมาก


 


.. วันรุ่งขึ้น


 


ชายชราสองคนคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มพร้อมอีกคนในชุดคลุมสีไพลิน เดินเข้ามาในร้าน


 


ชายชราในชุดคลุมสีไพลินสวมหมวกทรงสูงใบหน้าของเขาดูซีดเซียว เขามองรอบๆ ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกสักเท่าไร “ร้านช่างอยู่ในมุมที่ห่างไกล” เขาออกความเห็นด้วยน้ำเสียงไม่ชอบพอนัก


 


ก่อนที่พวกเขาจะเอ่ยอะไรไปมากกว่านี้ ชายวัยกลางคนพร้อมกลุ่มหนุ่มสาวจำนวนมากเดินเข้ามาในร้านพร้อมคำถาม “โอ้! ละครตอนใหม่เรื่องกระบี่เทพสังหารมาหรือยัง?”


ตอนที่ 192

 

“ตอนใหม่ถูกปล่อยตัวแล้ว!” ฟางฉีชี้ไปที่ด้านบนของกระดานดำ “วันนี้จะทำการเพิ่มตอนที่ 7 และ  8 ”


 


“ท่าน! บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งถ้วยเพิ่มใส่กรอกและโค้กหนึ่งขวด!” เยเสี่ยวเย้แตะที่กระเป๋าเล็กๆ ของตัวแล้วชี้ไปที่พ่อ “เก็บตังที่พ่อ!”


 


“…” เยซงเต๋าทำหน้างง


 


“นั่นใช่ท่านเยหัวหน้ากลุ่มหรือเปล่า?” หลันโมมองดูขณะที่ก้าวขาเข้ามาในคาเฟ่


 


“กระบี่เทพสังหาร? คืออะไร?”


 


“ไม่!” จุนหยางซีผู้สวมชุดคลุมสีน้ำเงินมีศักดิ์เป็นอาจารย์ของหลี่เฮารันเขาตอบด้วยความสับสนว่า “เพื่อเรียนรู้วิธีการทางจิตวิญญาณณ เราต้องเล่น Resident Evil และ CS ใช่มั้ย?” พวกเขาคุย แต่เวลาเดียวกันมีคนกลุ่มหนึ่งเปิดประตูตามหลังเขาเข้ามา


 


“คนที่เพิ่งเดินเข้ามาดูคุ้นๆ นั่น .. อันหูเว้ยใช่มั้ย?” หลันโมตาแตก


 


“ใช่แล้ว!” จุนหยางชีกล่าว “ชายทั้งสองข้างอันหูเว้ยน่าจะเป็นอาจารย์โอหยางจากตระกูลโอหยางและอีกคนคืออาจารย์บุจากตระกูลบุ”


 


“เอ้ะ?” พวกเขามองหน้ากัน


 


“เขาคืออันหูเว้ยจริงๆ” ในที่สุดหลันโมก็ยืนยันข้อสงสัย


 


อันหูเว้ยจ่ายเงินหน้าเคาน์เตอร์จากนั้นเขาเดินไปที่ตู้เพื่อหยิบถ้วยชามสีม่วงก่อนจะฉีกเปิดซองเครื่องปรุงรส ดูเหมือนมืออีกด้านหนึ่งของเขากำลังถือขวดแก้วพร้อมของเหลวสีดำในขวด


 


“หือ?” พวกเขาอ้าปากค้างเมื่อเห็น


 


“อ๊ะ!? ท่านหลันโม .. ท่านจุนหยางชี?” เยซงเต๋าเบิกตาโพงเมื่อเห็นทั้งสอง “ทำไมพวกท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”


 


หลันโมตะโกน “มันควรจะเป็นคำถามของข้ามั้ยละ ท่านเป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทำไมถึงไม่เข้าร่วมอาณาจักรเพาะปลูก แต่กลับกลายเป็นทุกคนมาอยู่ในที่ห่างไกลแห่งนี้  นี่พวกท่านทำอะไรกันอยู่!?”


 


“เรื่องนั้น ..” เยซงเต๋าเรียก “เสี่ยวเย้มาทำบะหมี่ให้ลุงทั้งสองหน่อย เพิ่มไส้กรอกด้วยละสองถ้วย!”


 


“รับทราบ”


 


“ไปดูละครกันเถอะ!” เยซงเต๋าพาพวกเขาไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน


 


“ดู .. ละคร!?” พวกเขามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ


 


“หืม? พันธมิตรหลันโมและท่านจุนหยางชี? พวกท่านก็อยู่ที่นีด้วยหรือ!?” ซัวเต๋าเดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มสาวก


 


“เจ้าด้วยหรอ!?” หลันโมทำท่าตกใจ “ท่านมาที่นี่ด้วยหรอ? แล้วละครกระบี่เทพสังหารและสิ่งที่พวกท่านเอ่ยถึงมันคืออะไร?”


 


“ท่านจะเข้าใจหลังจากได้ดู!” เยซงเต๋าคลิกเปิดละครให้พวกเขา


 


ขณะเดียวกันเยเสี่ยวเย้เดินเข้ามาพร้อมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหอมๆ สองถ้วย


 


“ว้าว! กลิ่นมันหอมมาก!” ทั้งสองสวมหูฟัง VR พร้อมหยิบถ้วยบะหมี่ขึ้นมา “วู้ว! กลุ่มเมฆเขียวนี่งดงามจริงๆ”


 


“ถึงกระนั่นก็คงยังไม่เท่าพันธมิตรวู่เว้ยของเราหรอก!”


 


“อาจารย์นักรบบรรพบุรุษคนนี้ ..”


 


“เขาเป็นอมตะหรือไม่!?”


 


“นั่น เขากำลังบินด้วยดาบหรอ!? มันสะดวกและรวดเร็วมากฝ่ายไหนในโลกทำได้บ้าง” พวกเขาเริ่มสนุกกับละครพร้อมกินบะหมี่ด้วยความอร่อย


 


“พลังการฝึกฝนของเขาถึงจุดสูงสุด!” พวกเขาดูเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครและเหตุการณ์ในนั้นมาก


 



 


“ข้าละสงสัยจริงๆ มันจะเกิดการนองเลือดอีกหรือเปล่า” ซูเทียนจิกล่าวขณะที่กำลังเปิดละครกระบี่เทพสังหาร


 


“เสี่ยวฟานจะตายมั้ยนะ”


 


“ท่านอาจารย์! เรารีบดูกันเถอะ” ยูซินเอ่ยชวนก่อนจะเปิดดูละครเป็นคนแรก


 


“อะไร!?” ซูเทียนจิเปิดละครทันที พบว่ากำลังจะเกิดการนองเลือดอีกครั้งจากกลุ่มคนผิวสีสองกลุ่มต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับจางเสี่ยวฟานเป็นแน่ .. เขาถูกโจมตี!


 



 


หลังจากกลุ่มผู้โจมตีได้ดูดซับเลือดของเสี่ยวฟานไปแล้ว พวกเขารวมตัวเข้าหากันแทนที่จะต่อสู้กันเอง!


 


“เกิดขึ้นได้ยังไงกัน!?”


 


“มันเป็นอะไรที่ควรจะขัดแย้งกัน เป็นไปได้มั้ยว่าตอนนี้พวกเขามีพลังงานที่เหมือนกันหลังจากได้ซึมซับเลือดของเสี่ยวฟานเข้าไป นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาหยุดต่อสู้!?” ซูเทียนจิบ่นเกี่ยวกับฉากนี้ “นี่แค่ความคิดคราวๆ .. แต่ไม่แน่รายละเอียดอาจซับซ้อนกว่านี้”


 


“ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าปัญหาใหญ่จะได้รับการแก้ไขด้วยวิธีนี้ มันไม่สมเหตุสมผล”


 


“นี่อาจเป็นอีกเทคนิคที่พิเศษมาก” ซัวเต๋ากล่าวด้วยความตื่นเต้น “มันเป็นเรื่องบังเอิญที่คนสองกลุ่มที่เหี้ยมโหดจะรวมเข้ากัน มันอาจก่อให้เกิดเทคนิคการรวมตัวก็ได้”


 


“อย่างไรก็ตาม .. ข่าวดีที่เสี่ยวฟานยังคงมีชีวิตรอด”


 


“โอ้ย ข้าอิ่ม!” ซูเทียนจิโผงขึ้นหลากจากกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเสร็จ “เพื่อหลีกเลี่ยงการสะอึกข้าควรกินฮาเก้นดาสอีกสักถ้วย!”


 


ขณระเดียวกันผู้เล่นที่เปิดใช้งานไซเลนต์ฮิลล์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขากำลังสะสมจุดแข็งแกร่งในจิตใจแม้จะช้าแต่พวกเขาก็กระตือรือร้นที่จะใช้เกมนี้เพื่อพัฒนาและบรรลุจุดประสงค์ให้ได้


 


หลันโมและจุนหยางชีกำลังเพลิดเพลินกับละคร “อืมม .. มันดีจัง”


 


“พวกเราจำเป็นต้องเพิ่มเทคนิคการเพาะปลูกพื้นฐานให้แก่ฝ่ายของเรา .. ดูเหมือนว่าพวกเราจะอ่อนแอกว่าในสะครเสียอีก”


 


“พวกเขาไม่อ่อนแอ .. แต่ก็ยังไม่ไปถึงเทคนิคขั้นสูง จริงๆ เทคนิคขั้นสูงของกลุ่มบลูเฟรมของเรานั้นทรงพลังมาก”


 


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เมิื่อเปรียบเทียบกับเทคนิคของเราแล้ว เทคนิคไต้ฉีมีความเป็นเอกลักษณ์แถมยังควรค่าแก่การเรียนรู้อย่างมาก เอ่อข้าว่าเทคนิคระดับสูงของฝ่ายเราควรได้รับการปรับปรุง!”


 


“ใช่ๆ”


 


“มันหมายความว่ากลุ่มโอเชียนและวังหลิวหยุนนั้นเริ่มพัฒนาไปก่อนแล้วใช่มั้ย” หลันโมตบต้นขาตัวเอง


 


“เราจะปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้ไม่ได้! ในขณะที่พวกเขาเดินทางอย่างสะดวกสบายด้วยดาบ พวกเรายังคงต้องเดินทางโดยอาศัยเรือทางจิตวิญญาณ ไม่ได้มันน่าขายหน้า!”


 


“วังกวนผู้ส่งสารทำไมไม่รายงานเรื่องนี้ให้ข้ารู้!” หลันโมทำท่าโมโห


 


“อืม .. ท่านพี่อาวุโสข้าจำได้ว่าท่านดุเขาว่าอย่าพูดเรื่องไร้สาระ ..”


 


“ฉันน่ะหรอ!?” หน้าหลันโมกระตุก


 


“ช่างมัน! เราจะมาเริ่มศึกษาเทคนิคคาถาทางจิตวิญญาณไต้ฉีก่อน!”


 



 


ตอนนี้ซูเทียนจิพร้อมคนอื่นๆ ได้ดูตอนใหม่ล่าสุดจบแล้ว


 


“โชคดีที่คราวนี้ละครไม่จบในช่วงเวลาสำคัญ!” อันหูเว้ยกล่าว


“ท่าน!” ซูเทียนจิบ่น “เพิ่มอีกสักสองตอนได้มั้ย ข้าอยากดูให้จบ!”


 


“ใช่!” เยเสี่ยวเย้ประท้วง “ข้าว่าสองตอนวันนี้มันสั้นมาก! เจ้าโกงเราหรือเปล่า!? ”


 


ฟางฉีเองก็เพิ่งดูจบเช่นกัน “ดูเวลาด้วยแต่ละตอนตั้ง 55 นาที ไม่น้อยเท่าไรนะ”


 


“เจ้าอาจจะปรับเวลาเร็วกว่าปกติหรือเปล่า” นาหลันหมิงสื่อตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง


 


หน้าของฟางฉีกระตุกเล็กน้อย “พวกเจ้าหยุดกล่าวหาข้าได้มั้ย”


 


จากนั้นเขามองไปที่หน้าอินเทอร์เฟชส่วนประสานงานของเขาและพูดขึ้นว่า “วันนี้มีละครเรื่องใหม่ พวกท่านอยากดูมั้ย!?”


 


เมื่อกล่าวจบเขาเพิ่มข้อมูลบนกระดานดำทันที


 


[ละครเรื่องใหม่วันนี้ : ละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้า สี่ตอนแรก]

 

 

 


ตอนที่ 193

 

“ขี่พายุทะลุฟ้า!?”


 


ทุกคนที่ตั้งใจมาดูละครกระบี่เทพสังหารทำหน้าฉงนใจเมื่อได้ยินว่ากำลังจะมีละครเรื่องใหม่ “ละครเรื่องใหม่!?”


 


“สี่ตอน!”


 


พวกเขากำลังประหลาดใจปนตื่นเต้น


 


“มันเกี่ยวกับอะไร” นาหลันหมิงสื่อถาม “เนื้อเรื่องเกี่ยวกับคนกลุ่มใหญ่พร้อมเทคนิคอันทรงพลังคล้ายกับกลุ่มเมฆเขียวในเรื่องกระบี่เทพสังหารหรือไม่?”


 


“มีเทคนิคการควบคุมดาบมั้ย?” ตั้งแต่เล่นเกมจนรามมาถึงละครบาง ส่วนมากมักเกี่ยวข้องกับเทคนิคการควบคุมดาบ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาคิดว่าเทคนิคนี้เป็นส่วนสำคัญของคาเฟ่แน่ๆ


 


ฟางฉีส่ายหัว “ละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักรบไม่มีเทคนิคการควบคุมดาบ”


 


“เกี่ยวกับนักรบ? ไม่มีเทคนิคใดๆ?” อันหูเว้ยมองด้วยสายตาทำธรรมไม่มีท่าทีตื่นเต้น


 


ซูเทียนจิก็ทำหน้าผิดหวังเช่นกัน “เนื่องจากกรระบี่เทพสังหารเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพาะปลูกเป็นหลัก มันจึงเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีละครเกี่ยวกับนักรบ”


 


อย่างไรก็ตามนาหลันหมิงสื่อกลับดูสนใจ “ตัวละครหลักเป็นนักรบหรือไม่? เปิดใช้งานให้ฉันด้วย!”


 


“ตัวละครหลักของละครเรื่องนี้เป็นนักรบหรือ?” ตอนนี้หลายคนรวมถึงสาวกจากสามสำนักที่เพิ่งดูกระบี่เทพสังหารได้ยิน พวกเขามองด้วยสายตาคาดหวังว่าอาจจะมีอะไรดีๆ ให้พวกเขาดูพวกเขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งเมื่อได้ยินชื่ออะไรใหม่ๆ ที่นี่


 


ในฐานะนักรบอิสระเหลียงชีชอบเล่น Resident Evil และเมื่อร้านได้ทำการเพิ่มเกมเซียนกระบี่เทพสังหาร เขาจึงเก็บตังเพื่อศึกษาเทคนิคการควบคุมดาบไว้ใช้ประโยชน์รวมถึงหารายได้เสริม เขารู้ว่านักรบสามารถเรียนรู้เทคนิคเสริมจากละครเรื่องกระบี่เทพสังหารได้เช่นกัน แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับละครเรื่องใหม่ที่เกี่ยวกับแนวทางของนักรบเป็นหลักเขาตัดสินใจเปิดใช้งานโดยทันที!


 


“ท่าน! เปิดใช้งานละครขี่พายุทะลุฟ้าให้ข้าด้วย!”


 


“พวกข้าด้วย!” วูฉานและแบล็กกี้พร้อมอีกสองสามคนตะโกนขึ้น พวกเขาไม่ได้มาที่คาเฟ่หลายวันเพราะมัวแต่ออกไปทำภารกิจเพื่อหารายได้เสริม


 


“สามคริสตัลใช่มั้ย?” พวกเขาจ้องมองราคาบนกระดานดำ “มันถูกกว่าละครกระบี่เทพสังหารอีก!”


 


พวกเขาเป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆ ของร้าน แต่พวกเขาระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายอย่างมากเนื่องด้วยตอนนี้ งานของพวกเขาเริ่มขาดทุน ซึ่งการที่เจอเกมหรือละครราคาถูกนั่นถือเป็นเรื่องประหยัดลงแม้จะแค่หนึ่งคริสตัลก็ตาม


 


อาจารย์จากสำนักหลิงหยวนเช่น เฉินจิงและยูเหลียงก็เปิดเลือกที่จะชมละครเช่นกัน “ท่านเปิดละครเรื่องใหม่ให้พวกข้าด้วย!”


 


“ตัวละครหลักเป็นนักรบหรือ?” องค์หญิงและสาวกคนอื่นๆ มองหน้ากันพลางคิดว่ามันควรจะดูค่าแก่การรับชมหรือไม่


 


เซียวเล้งหยู, ยิ่งซงซวนและเพื่อนร่วมกลุ่มของพวกเขาอ้างว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องดูละครเรื่องนี้!


 


ตงชิงลี่กล่าวด้วยความตื่นเต้น “ละครในร้านนี้ยอดเยี่ยมมาก! ฉันไม่สนใจว่าจะเกี่ยวกับอะไรหรอก ฉันจะดูมัน!”


 


“ท่าน! ตงชิงลี่เรียกด้วยน้ำเสียงร่าเริง “มีของว่างใหม่ๆ บ้างมั้ย”


 


เธอชีี้นิ้วไปที่ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ว่างเปล่าพร้อมกับขวดโค้กบนโต๊ะ “มันไม่พอ”


 


“ตอนนี้ยังไม่มี” ฟางฉีกลอกตา


 


“ทราบ ..” ตงชิงลี่ทำหน้าหงอยแล้วเดินกลับที่นั่ง


 



 


[การรวมตัวกันในโลกภายใต้อำนาจของซงปานั้นขยายไปอย่างรวดเร็วและยิ่งใหญ่อย่างมาก]


 


ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นการรวมตัวของสหภาพที่ยิ่งใหญ่ในโลก


 


นั่น.. คือกำลังสำคัญ พวกเขาสงสัยว่ามันมีประสิทธิภาพเท่ากับกลุ่มเมฆเขียวหรือไม่!?


 


“เฮ้ ท่าน!” ผู้ที่นักถัดจากฟางฉีเอ่ยเรียก ฟางฉีนั้นมีค่าเสมอเมื่อพวดเขาต้องการให้ฟางฉีบอกเล่าสปอยเกี่ยวกับหนังหรือเกมล่วงหน้าและแม้กระทั่งเรียนรู้เคล็ดลับจากเขา


 


วันนี้นาหลันหมิงสื่อได้ที่นั่งใกล้ฟางฉี เธอกินฮาเก้นดาสและกระแทกศอกใส่ฟางฉีเพื่อทักถาม “ท่านว่าสหภาพโลกหรือกลุ่มเมฆเขีียวใครมีีพลังมากกว่ากัน”


 


ฟางฉีทำหน้าสับสน .. เขาจะเปรีียบสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงได้อย่างไร


 


แต่เมื่อคิดพิจารณาแล้วกลุ่มเมฆเขยวดูจะมีประสิทธิภาพมากกว่า


 


“ข้าคิดว่าเมฆเขียว” ฟางฉีตอบ ”เจ้าดูด้วยตัวเองไม่ได้หรอ”


 


เมื่อดูไปสักพักก็ค้นพบว่าเนื้อเรื่องมีความตื่นเต้นไม่แพ้กระบี่เทพสังหาร แต่มีีความแตกต่างกันในความแปลกใหม่ที่ต่างจากการเพาะปลูก


 


“หืม .. นั่นพระพุทธเจ้าสามารถทำนายอนาคตของซงปาได้ด้วยหรอ? สุดยอด!”


 



 


วันนี้ซงฉิงเฟิงช่างโชคดีที่ได้ที่นั่งข้างขวาของฟางฉี “ชิบแล้ว! น้ำท่วมหัวเข่ารูปปั้นพระพุทธรูปยักษ์ แถมไฟยังมาใหม่ห้องหลิงหยุนอีกหมายความว่าพวกเขาจะทำการต่อสู้ที่ด้านบนสุดของรูปปั้นงั้นหรอ?”


 


“พระเจ้า! ดาบยาวมาก!”


 


ฟางฉีดูละครด้วยความตกใจ “เนอเลียนหวังสร้างดาบพลังงานยาวถึง สี่สิบเมตร!?”


 


ระบบได้ทำอะไรแผลงๆ แบบนี้หรือเปล่านะ ..


 


ฟางฉีจำได้ว่าดาบพลังงานในเวอร์ชั่นการ์ตูนไม่ได้ยาวขนาดนี้ เขาสงสัยว่าละครเรื่องนี้อยู่ในเวอร์ชั่นไหนกันแน่


 


“อืม .. มันคงไม่ถึงสี่สิบเมตรใช่มั้ย” ซงฉิงเฟิงวัดความยาวของดาบพลังงานด้วยสายตา


 


“ช่างไร้เดียงสานัก” นาหลันหมิงสื่อกล่าว “ดูก็รู้ว่าเจ้าของร้านพูดเกินจริง”


 


“หรอ” ซงฉิงเฟิงทำหน้ารับ “ความแข็งแกร่งของเนอเลียนหวังต่ำกว่าตัวละครหลังเรื่องกระบี่เทพสังหารอีก แม้จะถูกกว่าแค่คริสตัลเดียวก็เถอะ”


 


“เจ้านี่ไม่เข้าใจเทคนิคเอาซะเลย” นาหลันหมิงซื่อเอ่ย “แม้ว่าความแข็งแกร่งในการฝึกฝนของเนอเลียนหวังจะต่ำกว่ากลุ่มเมฆเขียวแต่เทคนิคดาบของเขานั้นดีจริงๆ มันเพียงพอสำหรับพวกเราแน่นอนหากฝึกฝนให้เชียวชาญ”


 


“ใช่!” ซงฉิงเฟิงพยักหน้า “ที่เจ้าพูดมามีเหตุผล เราสามารถควบคุมดาบเพื่อต่อสู้จากระยะไกลได้ แถมเรายังมีทักษะการต่อสู้ระยะประชิดอีก ทีนี่ละใครก็ตามที่กล้าท้าทายข้ามันจะต้องตาย!”


 


“ถูกต้อง!” ฟางฉีกล่าว


 


เมื่อผ่านไปครึ่งตอน จู่ๆ พวกเขาก็ตะโกนขึ้น “อะไรน่ะ!? ทำไมถึงมีไฟท่วมร่างกาย”


 


“นั่นมันกิเลนนี่”


 


“ไม่มีทาง!? สัตว์ร้ายในตำนานจะมีอยู่ในโลกแห่งความจริงได้อย่างไร?”


 


ในขณะเดียวกันเหลียงชีและคนอื่นๆ ตะโกน “นั่นท่านอาจารย์ซงปากำลังสอนฝ่ามือลมและฝ่าเท้าพระเจ้า!”


 


“แถมยังมีลูกเตะน้ำแข็งอีก”


 


“ไม่นะ เราไม่สามารถที่จะเรียนรู้เทคนิคพวกนี้ได้แค่เวลาอันสั้น”


 


องค์หญิงและองค์ชายทั้งสองมีท่าทางตื่นเต้นเช่นเดียวกับคนอื่น


 


“ท่านเฟิงกำลังจะต่อสู้กับกองกำลังของเมืองวูชง!”


 


“ซงปาเป็นคนดีมาก เขามีพลังและความทะเยอทะยานมาก!” จี๊หยางกล่าว “ข้าละสงสัยว่าท่านปู่ของข้าจะมีพลังแบบนี้บ้างมั้ย”


 


“ไร้สาระ!” จียูกล่าว “ท่านปู่เรามีพลังมากกว่าซงปาอีก!”


 


“เอ่อ .. สี่ตอนจบแล้วหรอ!?”


 


“ข้ายังไม่ได้รเียนรู้ฝ่ามือลมและฝ่าเท้าเทพเจ้าเลย!”


 


“เมื่อไรข้าจะเชียวชาญเทคนิคดาบพลังงานที่ยาวถึงสี่สิบเมตร!?”


 


“นี่เราดูสี่ตอนครบแล้วหรอ?”


 


ทั้งคาเฟ่ทำหน้าเหลอหลา

 

 

 


ตอนที่ 194

 

“นี่เจ้าของ! มีอะไรให้ทำอีกมั้ย?” ซงฉิงเฟิงถามด้วยเสียงโหยหวน


 


“นี่เจ้าใช้เวลามาเกือบจะ 6 ชั่วโมงแล้วนะ!” ฟางฉีกลอกตา “แม้ว่าจะมีมากกว่านี้แต่เจ้าคิดว่าจะสามารถทำให้เสร็จได้เพียงวันเดียวหรอ”


 


“เอ่ออ .. เจ้าพูดถูก!”


 


“รูปแบบการต่อสู้ในละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้านั้นช่างแตกต่าง ..” นาหลันหมิงสื่อบ่น “เทคนิคต่อสู้ไม่เพียงแต่จะทรงพลัง ..”


 


“ใช่ ช่างซับซ้อนกว่ารูปแบบการต่อสู้ที่เราได้เรียนรู้” หลันยันเสริม


 


“ข้ามองว่ารูปแบบพวกนี้มีประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน” ทุกคนเคยเห็นนาหลันหมิงสื่อผสมผสานทักษะการต่อสู้ระยะประชิดเช้ากับเทคนิคการควบคุมดาบในการสอบระดับชาติครั้งที่ผ่านมา “ข้ารู้สึกประหลาดใจที่ผู้คนส่วนมากในละครขี่พายุทะลุฟ้าใช้รูปแบบการต่อสู้ที่มีการพัฒนาไปอย่างมาก”


 


อันที่จริงหากผู้ใดที่ถูกจัดอยู่ในระดับนักรบธรรมดา พวกเขาส่วนมากมักไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดการต่อสู้มากนัก เพราะใช้กำลังมากกว่าเทคนิค มีเพียงนักรบระดับสูงอย่างเหลียงเหอหูและนาหลันฮงวูที่ให้ความสนใจกับรายละเอียดของเทคนิคพวกนี้


 


อย่างไรก็ตามนักรบส่วนมากมักเข้าใจในเทคนิคหรือทักษะต่างๆ จากประสบการณ์การต่อสู้จำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเก็บเกี่ยวความรู้เล็กๆ น้อยๆ เพราะส่วนมากพวกเขาเน้นการใช้แรงมากกว่าทักษะ


 


ผู้ฝึกฝนหรือผู้ปลูกฝังส่วนมากมักมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคมากกว่าการใช้กำลัง พวกเขาใช้เพียงกำลังภายในในการฝึกฝนและต่อสู้ ยิ่งฝึกกำลังภายในมากมันก็จะค่อยๆ เพิ่มอายุการใช้งานนั้นทำให้อายุของตัวบุคคลเพิ่มขึ้นตามลำดับ


 


หากมีเทคนิคที่เชี่ยวชาญพร้อมกำลังภายในที่แข็งแกร่งก็จะเพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์ การใช้เทคนิคจะช่วยประหยัดเวลาในการต่อสู้ ซึ่งหากเมื่อนำมาผสานรวมกับพลังของนักรบแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ลงตัวอย่างมาก


 


นักรบและผู้ฝึกฝนในโลกนี้จะมีเทคนิคหรือทฤษฏีตามที่ตัวเองถนัด นอกจากนี้พวกเขายังมีการฝึกฝนและพัฒนาจนทำให้มันเกิดประโยชน์แก่ตนเอง


 


หลังจากที่ได้ดูสี่ตอนแรกของละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้าไปแล้วนักรบในคาเฟ่ก็ต่างเริ่มพูดคุยกัน


 


“เทคนิคฝ่าเท้าลมของพระเจ้าช่างเป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิคการต่อสู้บวกกับการเคลื่อนไหว” เหลียงชีวิเคราะห์ “ถ้าเราเรียนรู้เทคนิคนี้ได้มันจะต้องนำไปใช้ประโยชน์ได้มากแน่”


(ผู้แปล : ขอเปลี่ยนเป็นลูกเตะพระเจ้าเพื่อความเท่ละกันเนอะ)


 


“เมื่อนำเทคนิคมารวมกันมันจะต้องได้ผลเกินคาดแน่” วูฉานหลับตาพร้อมจินตนาการ “ข้าจะต้องตั้งใจดูมัน หากเราเรียนรู้อย่างเชี่ยวชาญเราจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเราได้แน่!”


 


“น่าเสียดายที่หนี่เฟงตัวน้อยแสดงเทคนิคออกมาเพียงไม่กี่อย่าง ข้าเองยังจับท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้เท่าไร”


 



 


อีกด้านหนึ่งเหล่าสาวกชั้นยอดของสำนักเฉิงจิ้งและซียี่กำลังเดินออกจากคาเฟ่


 


“น่าเสียดายจริงๆ เวลาของเราทุกวันหมดลงไวมาก ข้ายังดูลูกเตะพระเจ้าไม่เข้าใจเลย” เยเฟงหัวกล่าวขณะเดินกลับ “ศิษย์พี่ยิ่งท่านพอจะเข้าใจบ้างมั้ย?”


 


“ไม่เท่าไร” ยิ่งซงซวนตอบด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ท่านอาจารย์ซงสอนเร็วเกินไปเทคนนิคนั้นลึกซึ้งมาก แม้เราจะสามารถเข้าใจมัน แต่ในตอนนี้เข้าถึงแค่เพียงเบื้องต้นเท่านั้น”


 


อีกด้านหนึ่งของผู้ชมที่เริ่มทยอยออกจากคาเฟ่


 


“โอ้! นี่มันเทคนิคหญ้าพลิ้วนี่ การเคลื่อนไหวขั้นสองของลูกเตะพระเจ้า!”


 


ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเย็นชาเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วราวกับพายุ เขาคือหลีซัวยี่ศิษย์อันดับหนึ่งของบ้านสวรรค์จากเฉิงจิ้ง


 


เหลียงชีและคนอื่นๆ วิ่งกรูออกจากร้านเพื่อมาดูเขา “เขาเรียนรู้ได้เร็วมาก”


 


“ชายคนนี้ดูเหมือนเขาคือสาวกผู้อัจฉริยะของสำนักซียี่ ..” วูฉานถอนหายใจ “เราไม่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้”


 


“สุดยอด!” จากนั้นเสียงอุทานดังขึ้น องค์ชายห้าจี้หยางป้องกันเทคนิคลูกเตะพระเจ้าด้วยฝ่ามือ


 


“นี่เป็นการรเคลื่อนไหวครั้งแรกของเทคนนิคฝ่ามือลม”


 


“ดูนั่น!” ผู้คนอ้าปากค้าง ฟางฉีก็เดินตามออกมาเช่นกัน


 


เพื่อให้เกิดความเข้าใจของทักษะ เมื่อพวกเขาดูเสร็จจึงรีบออกมาฝึกซ้อมให้เข้าถึงมากขึ้น


 


“ท่าน!” ซงฉิงเฟิงเรียก “ท่านว่าการผสมผสานของทักษะทั้งสองของข้ามันจะดีมั้ย?”


 


จากนั้นเขาเริ่มฝึกซ้อมการผสมเทคนนิคหน้าคาเฟ่


 


“ลม!”


 


เขาเริ่มตะโกนดังขึ้น


 


“ซงฉิงเฟิงเจ้านี่ยอดเยี่ยมมาก!” หลินเซียวส่งเสียงเชียร์เขา


 


“อย่าเพิ่ง! ดูลูกเตะพระเจ้าของข้าก่อน!” ซูเหลียวลองบ้าง


 


“ลูกเตะพระเจ้า อืม..” ซงฉิงเฟิงเริ่มตั้งสมาธิ


 


ซูเหลียวหันไปมองด้วยสายตาเกรงกลัว “หืม นั่นเขากำลังตั้งใจอย่างจดจ่อ”


 


พวกเขาเริ่มฝึกฝนกันอย่างสนุกสนาน


 


“นี่เป็นการเคลื่อนไหวครั้งที่ห้า!”


 


“พระเจ้า! นี่ครั้งที่หก”


 


“ขบวนการครั้งที่เจ็ด! ท่านซงสอนเพียงครั้งเดีียวเอง!”


 


“พลังคลื่น! นี่คือการฝึกฝนครั้งที่แปด!”


 


“นั่น ..”


 


“นาหลันหมิงสื่อ ผู้อัจฉรินะจากสำนักหลิงหยวน!”


 


“พระเจ้า! เธอเปลี่ยนเป็นเทคนิคดาบ!”


 


“เราควรสังเกตเทคนิคจากหนี่เฟง!”


 


“น่าตื่นเต้นมาก เธอเรียนรู้ทันด้วยหรอ? มันไวมากนะ”


 


ผู้คนต่างอ้าปากค้าง


 


เธอมีความสามารถมากเธอสามารถจับสังเกตแม้จะเป็นเพียงการดูโดยใช้เวลาไม่กี่วิ


 


“ศิษย์น้องนาหลันหมิงสื่อเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก” ตงชิงลี่เอ่ยชมพลางวิ่งออกไปดูพวกเขาฝึกซ้อม


 


“แน่นอน” ในขณะเดียวกันนาหลันหมิงสื่อชักกระบี่ออกมาด้วยความภูมิใต เธอมองไปที่ฟางฉี “นี่เจ้าของท่านจะคิดแสดงให้พวกเราเห็นกันบ้างมั้ย?”


 


ฟางฉียักไหล่ .. นิ่ง


 


“บางทีถ้าเขาอาจจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยก็เป็นได้” หลันยันจ้องมองด้วยความดูถูก


 


“อืม ..” จางวันยูดูเหมือนจะได้ข้อสรุป “ข้าเริ่มแน่ใจว่าพรสวรรค์ของเจ้าของร้านอาจไม่ได้ดีเท่านาหลันหมิงสื่อ”


 


“ไม่เป็นไร” ตงชิงลี่ปลอบโดยน “ทุกคนมีความสามารถที่ต่างกันออกไป”


 


คำพูดดูเหมือนจะปลอบใจ ..


 


“หืม? ทำไมเขายังคงนิ่ง ..” เหล่าสาวกจากสองสำนักต่างมองฟางฉีที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู


 


ในที่สุดเขาก็หนีจากการตรวจสอบในขณะการสอบระดับชาติครั้งนั้นด้วยดาบ .. ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจมาก


 


แต่ตอนนี้ .. เขาไม่ได้เรียนรู้ทักษะใดบ้างเลยหรอ?


 


เมื่อนาหลันหมิงสื่อรู้สึกว่าเธอสามารถเอาชนะฟางฉีได้ในครั้งนี้ เธอรู้สึกพอใจในตัวเองมากแม้จะไม่ได้แสดงออกมาก็ตาม


 


“อืม ..” ด้วยเสียงอึกทึกในคาเฟ่ เธอจึงหันกลับไปมอง


 


ด้วยท่าทางที่สบายๆ ฟางฉีโบกมือของเขาพร้อมพลังดาบ “ข้าไม่สามารถพึ่งพาพรสวรรค์ของตัวเองได้ ข้าแค่ได้รับการสนับสนุนจากการเพาะปลูกส่วนตัวจาก ‘รุ่นพี่’ ของข้า”


 


“บ้าไปแล้ว กระบี่ระยะสี่สิบเมตร!”


 


“เจ้าของสุดยอดมาก”


 


“เขาทำสิ่งนี้ได้เช่นไร!?”


 


“ท่าน! เรียนรู้ได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร”


 


นาหลันยืนนิ่ง เธอจุกรู้สึกพูดไม่ออก


 


ผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึงเช่นกัน


 


ฟางฉีบอกพวกเขาว่านี่เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง จากนั้นเขาโบกมือแล้วเดินกลับเขาไปในคาเฟ่ เพื่อดูละคนเรื่องขี่พายุทะลุฟ้าต่อ ท้านยที่สุดเขาก็ยังคงหมดเวลาไปกับการเล่นเกมและยังคงดูไม่จบทั้งสี่ตอนสักที!

 

 

 


ตอนที่ 195

 

วันนี้นาหลันฮงวูค่อนข้างเดินทางมาถึงคาเฟ่เป็นเวลาช้ากว่าปกติ แม้ว่าละครเรื่องกระบี่เทพสังหารจะทำการเพิ่มตอนที่เจ็ดและแปดแล้วก็ตาม


 


เขาไม่ได้พูดถึงละครเรื่องใหม่เลย เมื่อชมละครกระบี่เทพสังหารจบแล้วก็เล่นเกมไซเลนต์ฮิลล์ต่อโดยทันที


 


เซียวหยูเองผู้ไม่มีอะไรทำก็มานั่งรอบนโซฟาเพื่อตั้งหน้าตั้งตาดูละครบนจอยักษ์ “นี่เจ้า! วันนี้ไม่ถ่ายทอดสดละครกระบี่เทพสังหารตอนที่ห้าและหกหรือ?”


 


“วันนี้ข้าจะถ่ายทอดสดละครเรื่องใหม่เป็นครั้งแรก!” ฟางฉีเหลือบตามองเขา “จากนั้นค่อยถ่ายทอดสดละครเรื่องกระบี่เทพสังหารต่อ”


 


“อ้าาา” เซียวหยูร้องออกมาด้วยเสียงเล็กด้วยความดีใจ เขาต้องรออีกประมาณสองชั่วโมงเพื่อที่จะได้รู้สักทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นในกระบี่เทพสังหาร


 


ฟางฉีทำหน้าเพลีย “คนขอทานไม่สามารถเป็นผู้เลือกได้ ท้ายที่สุดเจ้าก็มาชมโดยไม่เสียอะไร”


 


“อืม ..” เซียวหยูเกาหัวแล้วพบว่าเขาน่าจะแอบมีประเด็น


 


“ข้าอยากดู! ข้าจะดู!” เจียงเสี่ยวหยูตะโกนขึ้น เธอรู้สึกเบื่อที่จะนั่งหลังเคาน์เตอร์ทุกวัน ในที่สุดวันนี้ก็เป็นวันจันทร์สักทีทุกวันจันทร์เวลาสองทุ่มเธอจะสามารถดูละครได้!


 


“เจ้าจะถ่ายทอดสดละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้าหรือไม่?” อันหูเว้ยและซูเทียนจิยืนขึ้นถาม เมื่อได้เห็นคนอื่นๆ กำลังตะโกนและฝึกซ้อมการต่อสู้อยู่ข้างนอก


 


หลังจากไถ่ถาม พวกเขาเข้าใจว่าเทคนิคที่ทรงพลังที่สุดในละคนหากเทียบกับนักรบระดับสวรรค์แล้วพวกเขาไม่ค่อยสนใจมันสักเท่าไร


 


แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็จะดูการถ่ายทอดสด เพราะในตอนนี้พวกเขาต้องบริหารเวลาหกชั่วโมงให้มีค่า จึงเลือกใช้โอกาสนี้เพื่อดูการถ่ายทอดสดเพื่อวัดว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาควรให้ความคาดหวังมากแค่ไหน


 


แน่นอน .. บางคนอยากดูซ้ำเช่นนายกจาง หรือจะเป็นแฟนคลับละครอย่างตงชิงลี่เธอก็ยังตั้งใจเพื่อจะดูอีกครั้ง สำหรับเธอแล้วสามารถดูได้สามถึงสี่รอบหรืออาจมากกว่านั้น


 


“ละครเรื่องใหม่?” นาหลันฮงวูที่กำลังจะออกไปเดินเล่นหันมอง เมื่อได้ยินบางคนกำลังพูดคุยถึงละครเรื่องใหม่ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักรบ เขานั่งลงข้างๆ ผู้เฒ่าฟูทันที


 


นอกจากนาหลันฮงวูแล้วซูเทียนจิพร้อมผู้ปลูกฝังคนอื่นๆ ก็นั่งอยู่บนโซฟาเดียวกับที่ฟางฉีนั่งอยู่ เขาเป็นเจ้าของร้านที่ตั้งใจดูรายการพิเศษช่วงเวลาสองทุ่มของทุกวันจันทร์เช่นกัน


 


เมื่อมองดูสหภาพโลกอันสูงสุดประชาชนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่ออาจารย์ปรากฏตัวขึ้นพวกเขารู้สึกว่า ..


 


“ท่าน!” เจียงเสี่ยวหยูบ่นพึมพำพร้อมทำหน้ามุ่ย “พวกเขาดูอ่อนแอ ข้าอยากดูกระบี่เทพสังหารแล้ว!”


 


“ข้าละสงสัยว่ารูปปั้นของพระพุทธเจ้าจะสามารถช่วยนักรบได้ยังไงกัน” ซูเทียนจิขมวดคิ้ว “แต่ชั่งเถอะข้าสามารถล้มนักรบกลุ่มใหญ่เหล่านี้ด้วยเทคนิคทางจิตวิญญาณ!”


 


ฟางฉียักไหล่อย่างเฉยเมย


 


อันหูเว้ยเองส่ายหัวและพูดว่า “ท่าอาจารย์ซงผู้นี้เป็นถึงสุดยอดแห่งอาณาจักรนักรบ ..”


 


“ท่าน! เรื่องนี้ตอนหนึ่งราคาสามคริสตัลหรือ?” ลูกค้าบางคนทักถามเพื่อที่จะชั่งน้ำหนักดูว่าพวกเขาควรจะดูละครเรื่องนี้ดีหรือไม่ “ข้าขอดูเรื่องละครกระบี่เทพสังหารละกัน”


 


“เดี๋ยวก่อนสิ ..” ซูเทียนจิชักชวน “ลองดูก่อน มันไม่ได้เสียอะไรสักหน่อย”


 


เหลียงเหอหูที่นั่งถัดจากนาหลันฮงวูเอ่ยถาม “ศิษย์พี่มีความเห็นยังไง?”


 


“ข้าไม่ชอบสักเท่าไร” นาหลันฮงวูส่ายหัว “ละครทั้งหมดที่เกี่ยวกับนักรบระดับนี้เหมาะกับคนหนุ่มสาวมากกว่า ข้าไม่ค่อยอยากดูนัก”


 


เหลียงเหอหูพยักหน้ารับพลางมองไปที่เหล่าสาวกจากเฉิงจิ้ง “เทคนิคการต่อสู้ในละครนั้นดีสำหรับสาวก แต่สำหรับพวกเรามันค่อนข้างน่าดึงดูดน้อยกว่าการเล่นเกม”


 


“หืม? เจ้าคิดว่าขี่พายุทะลุฟ้านั้นง่อยหรอ?” เซียวหยูกล่าว “ข้าว่ามันก็ดีนะ .. เป็นการต่อสู้ที่สนุกดีี พระเจ้า! ถ้าข้าถูกโจมตีโดยนักรบเช่นนี้ ข้าต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่!”


 


ในขณะเดียวกันคนรับใช้ของเขาเดินเข้ามาพร้อมกล่องอาหาร “ท่านเซียวนี่คืออาหารว่างของท่าน!”


 


“ดีมาก” เซียวหยูวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะน้ำชา เขาเปิดมัน พบว่ามีหม้อสุราสีเงินพร้อมแกะสลักลวดลาย


 


“ดี .. มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมที่จะได้ลิ้มรสไวน์ขณะดูละคร!”


 


ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาเห็นป้าของเขากำลังหันมาจ้องมอง “ท่านป้า! ข้าสั่งมันมากจากร้านศาลาลมและพระจันทร์โดยเฉพาะ ท่านอยากลองมั้ย?”


 


“อะไร? ท่านไม่ต้องการหรอ?” เซียวหยูหยิบอาหารขึ้นมา “ลืมซะเถอะ! ข้ากินเอง”


 


ด้านข้างคือตงชิงลี่เจ้าของร้านศาลาลมและพระจันทร์ เธอควรจะทำท่ามีความสุขที่ได้เห็นผู้คนเพลิดเพลินกับอาหารจากร้านของเธอ แต่กลับกันเธอกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก!


 


“ว้าว! ผลไม้นี่ช่างยอดเยี่ยม” เซียวหยูตักผลไม้คำโตเข้าปากในขณะดูละคร


 


“ว้าว! ลูกพีชนี้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน” เซียวหยูหยิบลูกพีชขึ้นมาแล้วยัดใส่ปาก “ข้าเตรียมของขบเคี้ยวมามากมายสำหรับคืนนี้


 


ทุกคนรอบตัวเขาเงียบกริบ


 


“น้องสาวทั้งสอง” เซียวหยูเรียกตงชิงลี่และจางวันยู “เจ้าต้องการผลไม้สักชิ้นมั้ย?”


 


ตงชิงลี่มองหน้าเขาสลับกับผลไม้ด้วยสายตาเอียน


 


“ไม่ละ!” ตงชิงลี่ตอบกลับ


 


“ข้าก็ไม่” จางวันยูตอบ


 


“มีใครอยากลองมั้ย?”


 


“ข้า ข้า ข้า!” เจียงเสี่ยวหยูนักชิมตัวน้อย เธอไม่สามารถควบคุมความอยากตัวเองได้ เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยกินของจากร้านศาลาลมและพระจันทร์ จำได้ว่ามันอร่อยมาก แต่ทุกวันนี้ .. ไม่มีเงิน


 


ฟางฉีเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตอบรับของเจียงเสี่ยวหยูทีี่กำลังเพลิดเพลินกับของว่างเหล่านั้น


 


อาจจะถึงเวลาที่เพิ่มโบนัสพนักงาน ..​ หลังจากที่ทักษะการทำอาหารของเธอมีปีะสิทธิภาพมาขึ้น การทำงานของเธอค่อนข้างพัฒนาขึ้นและเขาเองก็ไม่ต้องกังวลเพราะมีเธอคอยจัดการทุกอย่างในคาเฟ่ .. ฟางฉีลูบคางพลางไตร่ตรอง


 


ตอนนี้กลุ่มคนส่วนมากนั่งบนโซฟาตาจับจ้องไปที่หน้าจอยักษ์ ในขณะที่เซียวหยูกำลังเพลิดเพลินกับของกินข้างหน้า


 


เจียงเสี่ยวหยูที่นั่งข้างฟางฉีก็ไม่แพ้กันเธอนั่งดูพลางจกขนมไปด้วย


 


สำหรับตงชิงลี่ .. เธอให้ความสำคัญกับละครเสมอ เธอมองเซียวหยูที่กำลังกินของว่าง เธอและจางวันยูพบว่าผู้ชายคนนี้ค่อนข้างเป็นพิษ .. ควรจะรักษานะยะห่างจากเขาจะดีกว่า!


 


พวกเขาทำท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตร ..​ พร้อมย้ายตัวเองออกห่างโดยไม่รู้ตัว


 


“ท่าน! ตอนใหม่ของละครเรื่องขี่พายุทะลุฟ้าจะเพิ่มวันพรุ่งนี้หรือไม่?” หลังจากที่ดูไปสองตอนแล้วเซียวหยูเริ่มติดใจ


 


“อืม ..” ฟางฉีเอ่ย


 


“เยี่ยมที่สุด” เซียวหยูกล่าวอย่างตื่นเต้น “วันนี้ยังมีละครเรื่องกระบี่เทพสังหารให้ดูด้วยใช่มั้ย!?”

 

 

 


ตอนที่ 196

 


 


“แล้วผลกระทบในเจียงหนานล่ะ ..”


 


แกร๊ก!


 


“ทุกอย่างพร้อมแล้ว สิ่งที่เราต้องการก็แค่เหนียวไกปืน!” จีวูกระแทกหมากรุกสีดำบนกระดาน


 


“อันที่จริงร้านเล็กๆ ที่มีชื่อว่าต้นกำเนิดอินเตอร์เน็ตคาเฟ่นั้นถือว่าเป็นร้านที่ข้าโปรดปราน ..” จีวูกล่าวด้วยน้ำเลียงเย็นๆ “มันช่างดึงดูดความสนใจของกองกำลังสำคัญๆ มากมายถึงขั้นทำให้พวกเขาบางคนละทิ้งต่อหน้าที่ในบางครั้ง! มันค่อนข้างเป็นภัยเงียบ”


 


“ใช่” เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากความมืด “ต้องขอบคุณร้านเล็กๆ นี้ มันทำให้การเตรียมงานในมณฑลเจียงหนานของเขาสำเร็จเพิ่มขึ้นถึงร้อยละสามสิบ!”


 


“ในวัยนี้เขาคงไม่ได้มีพลังมากเท่าไร แต่ก็ถือว่าเป็นถึงหัวหน้าครอบครัวนาหลัน ..” จีวูพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ตอนนี้เขาอาจไม่จำเป็นสำหรับเราเท่าไร”


 


“ฝ่าบาทเราได้ทำการตรวจสอบปัญหาที่ท่านพูดถึง” ในขณะที่เขากำลังพูดตัวเลขสีดำก็ปรากฏขึ้นกลางลาน


 


“ว่าต่อ!”


 


“เมื่อสองร้อยปีก่อนนาหลันฮงวูได้นำทหารห้าหมื่นนายเข้าร่วมการต่อสู้กับฟูเป่ยไฮ่ที่ภูเขาเรือนจำ”


 


“ฟู ..” จีวูพูดลอยๆ “ไม่ค่อยได้ยินชื่อตระกูลนี้มานานแล้ว ..”


 


“ก่อนที่จะก่อตั้งตาจินที่นั้นเต็มไปด้วยครอบครัวใหญาๆ พร้อมกองกำลังที่ซับซ้อนมากมาย ..” จีวูถามกลับ “พลังต่อต้านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ..?”


 


“พวกเขามีชื่อว่าครอบครัวหน้าผากิเลนและพวกเขาเป็นหัวหน้าครอบครัวตระกูลฟู” เสียงจากเงามืดรายงาน “จากการตรวจสอบของเรา​ ..”


 


เขาหยิบม้วนหนังสือออกมา


 


“ฟูเป่ยไฮ่อาสัยอยู่ที่หน้าผากิเลนด้วยความทะเยอทะยายของเขาจึงทำให้ชื่อเสียงดังไปทั่วทั้งภสาคใต้ ในยุคนั้นเต็มไปด้วยวีรบุรุษเขาชนะการประเมินขั้นสูง .. ช่างน่าสนใจ”


 


“ชายสองคนนี้เป็นเพื่อนกันหรอ?” จีวูทำหน้าสงสัย รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเนื่องจากครอบครัวนั้นเป็นกบฏแถมยังเป็นศัตรูต่อตาจิน


 


“หลังจากการต่อสู้ที่หน้าผากิเลนบุคลิกของนาหลันฮงวูเปลี่ยนไปอย่างมาก แม้แต่คนในครอบครัวเขาเองก็ไม่กล้าพูดถึง”


 


ในขณะที่อ่านม้วนหนังสือ ท่าทางการแสดงออกของจีวูดูเปลี่ยนไป “ข้าได้ยินมาว่าความสามารถของนาหลันฮงวูนั้นสูงเทียบเท่ากับจีซวนตง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงทำให้ความคืบหน้าของการพัฒนาทักษะของเขาช้าลง มันหยุดดำเนินไปนานกว่าร้อยปี .. ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องกาแผนสองเพื่อรับมือกับแผนที่เราวางไว้”


 


จีวูหัวเราะ “ปัญหาช่างเล็กน้อยแต่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก! นาหลันฮงวูแก่และไร้ประโยชน์ข้าสามารถจัดการกับเขาได้แน่ แต่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ!”


 


“บังลังก์ของตาจินจะถูกลงไปยังกิ่งก้านของตระกูลจีของข้าในมหาสมุทรตะวันออก จีวูน่ะหรอมีความสามรถอะไรบ้าง? ทำไมเขาถึงได้นั่งบัลลังก์ หึ .. พวกเขาเพิ่งจะตั้งฉายาราชาให้ข้าเอง”


 


“อันที่จริงแล้วราชาอีกสามแว้นเพิ่งให้การสนับสนุนลับกับพวกเรา หากเราทำลายครอบครัวนาหลันและครอบครัวใหญ่อื่นๆ ในเขตเจียงหนานได้ จีซวนตงเนื่องจากท่านไม่เข้าร่วมกับเรา เราก็จะนำพาตัวเองไปเอง!”


 


“ท้ายที่สุดผู้มีอำนาจเท่านั้นที่จะสามารถครองบัลลังก์ได้!”


 



 


วันรุ่งขึ้น นาหลันฮงวูผู้เล่นไซเลนต์ฮิลล์มาใกล้ถึงจุดจบ


 


“ศิษย์พี่ฟู .. ข้าทำอะไรพลาดไปหรือ?”


 


“เจ้าต้องทำหน้าที่สมาชิกในตาจินของเจ้า ..” ผู้เฒ่าพูดต่อ “เจ้าไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้”


 


“จะเกิดอะไรขึ้นหากข้าแพ้อีก?”


 


“…” ผู้เฒ่าเงียบคิด


 


“เจ้าทำเพื่อประเทศนี้และเราสามารถใช้แผนการได้ทุกรูปแบบในสนามรบ”


 


นาหลันนิ่ง


 


เราจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างไรก็ตามทุกคนไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกผิดในใจของพวกเขาได้


 


ท้องฟ้ายามค่ำคืนอันสดใส แสงดาวประกายส่อง .. จู่ๆ ฝนก็เริ่มปรอยลงมา


 


เมื่อมองไปยังสายฝน .. เขายอมรับว่าเกมที่นี่น่าอัศจรรย์มาก มันสามารถทำให้ความคิดของพวกเขาสับสนได้ หลังจากเดินเข้าไปในร้านเขาพบว่าบรยากาศยังคงร่าเริงเหมือนปกติ แต่ทุกวันเขากลับรู้สึกเหมือนกลายเป็นคนนอก


 


เมื่อเปิดเกมขึ้นเขาเห็นความมืดมิดในไซเลนต์ฮิลล์ที่ทำท่าทางเหมือนกับว่ากำลังจะกลืนกินเขา


 


เมื่อมองไปยังหลุมฝังศพ .. นาหลันฮงวูที่กำลังควบคุมตัวละครหลักเพื่อจะกระโดดลงไป หัวใจเขาตอนนี้ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่เขาก็เลือกที่จะทำต่อไปจนกระทั่งได้รับเทปวิดีโอ


 


ในขณะที่กำลังดูการเกิดอาชญากรรมที่ตัวละครหลักกระทำอยู่นั้น นาหลันฮงวูเหมือนเห็นภาพซ้อนย้อนอดีตของเขาขึ้น


 


ความทรงจำกลับแสดงขึ้นในหัวอย่างชัดเจนราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน


 


“ก่อนที่เราจะเข้าสู่การต่อสู้ขอดื่มอีกหนึ่งแก้วเพื่อยืนหยัดต่อสู้กับชีวิตต่อไป!”


 


ชายข้างหน้าเขายกแก้วเหล้าและพูดว่า “เจ้าเคยถามข้าบ้างมั้ยว่านักรบคนโปรดของข้าคือใคร ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ตอนนี้เขาเป็นปรมจารย์คนเก่าแก่มีชื่อว่าโบยู้”


 


นาหลันฮงวูรู้สึกประหลาดใจที่คู่ต่อสู้ของเขานำหัวข้อนี้ขึ้นมาพูด เขาดื่มเหล้าทันทีเพื่อลดทอนเทคนิคการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขา ในขณะที่มองใบหน้าคู่ต่อสู้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กรน้อยเมื่อกำลังภายในของเขาเย็นลง


 


ตามตำนานของนักรบโบยู้และเทียนเฮง ทั้งสองเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่โบราณ


 


ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกเขา โบยู้นั้นทรงพลังกว่าแต่เขากลับพ่ายแพ้และถูกสังหาร ก่อนที่เขาจะสิ้นใจเขากล่าวว่า “ข้านั้นแก่แล้ว ช้าจะทิ้งบางสิ่งไว้กับเด็กๆ มันกำลังจะมาถึง”


 


ประมาณร้อยปีต่อมา พบนักรบจักรพรรดิคนแรกสามารถยืนอยู่ในอากาศได้ .. เมื่อนึกถึงอดีตอันยาวนานที่เขาไม่สามารถเผชิญหน้าได้ จู่ๆ นาหลันฮงวูก็ตัวสั่นทันที


 


ในที่สุดเมื่อเขายืนอยู่ต่อหน้าอดีตที่แอบซ่อนภายในจิตใจเหตุการณ์เหล่านั้นดูเหมือนจะมีความหมายครั้งใหม่เกิดขึ้น .. แม้ว่าเขาจะไม่สามารถลบความรู้สึกเหล่านั้นทั้งหมดออกจากจิตใจได้ แต่ความมืดส่วนใหญ่ที่ถูกเก็บไว้ในตัวเขาเป็นเวลานานเริ่มจางหายไปบ้างแล้ว


 


เขาตัดสินใจที่จะ .. ค้นหาคำตอบ!


 


นาหลันฮงวูเดินออกจากคาเฟ่พร้อมผู้เฒ่า “ผู้เฒ่าฟูเราไปที่ภูเขาเรือนจำกันเถอะ!”


 



 


ขณะที่นาหลันหมิงสื่อกำลังเดินออกจากคาเฟ่


 


“หืม? ฝนตกหรอ?” เธอหันมองท้องฟ้าด้วยสายตาประหลาดใจ เธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย


 


“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” หลันยันเอ่ยถาม


 


“หลันยัน เจ้ายังคงจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งก่อนได้มั้ย? ที่ร้านค้าทั้งหมดในเมืองจิวหัวทำการคว่ำบาตรร้านของฟางฉี” เธอถาม


 


“มันแค่เรื่อในอดีตไม่ใช่หรอ?” หลันยันขมวดคิ้ว


 


“ไม่ ..” นาหลันหมิงสื่อกล่าวต่อ “ข้ารู้สึกแปลกๆ เหมือนกับสิ่งที่เรามองไม่เห็นกำลังผลักทุกอย่างออกไป”


 



 


ณ ภูเขาเรือนจำ


 


“ฝ่าบาท! ข้าเจอแล้ว!” ชายชุดดำเอ่ยทัก ในมือของเขาถือดาบสีดำที่ดูหนักหน่วง


 


ในหุบเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนักมีหลุมฝังศพเรียงรายอยู่


 


“นี่คือดาบทีี่ยอดเยี่ยม” แม้ว่าดาบนี้จะถูกฝังลงไปในดินนานกว่าสองร้อยปีแต่รูปแบบของมันนั้นไม่ได้ปรากฏให้เห็นถึงรอยกัดเซะสักนิด


 


หลังจากเขาทำความสะอาดมันด้วยผ้าไหม .. มันดูดีีเหมือนใหม่


 


“เรื่องทั้งหมดเริ่มชัดเจนขึ้น ข้ารู้ว่ามันต้องมีความหมายลึกซึ้งในใจนาหลันฮงวูอย่างแน่นอน” จีวูกล่าว “หากเขาได้เผชิญหน้ากับดาบที่ฟูเป่ยไฮ่ใช้ นาหลันฮงวูจะอยู่ไม่สุขแน่ มันสามารถลดความแข็งแกร่งของเขาได้ร้อยละยี่สิบเลยละ .. ไปนำดาบนี้ไปที่ชางกวนหยวนหัวหน้าตระกูลหมายเลขสองของภูมิภาคเจียงหนาน เขาวางแผนมานาน ข้าเดาว่าเขาจะต้องร้อนใจมากกว่าข้าเป็นแน่!”


 


“ด้วยข้อตกลงทีี่ข้าทำขึ้น อีกไม่นานเจียงหนานจะต้องเป็นของข้า หากไม่มีนาหลันพวกเขาก็จะได้เห็นสักทีว่าจีวูนี่ละที่สามารถจะต่อสู้กับฝั่งมหาสมุทรตะวันออกได้เหมือนกัน!”


 


 

 

 


ตอนที่ 197

 

ลูวูเป็นผู้ส่งสารการแจ้งเตือนไปยังกองกำลังหลักเพื่อเข้าร่วมการประชุมการพัฒนาอาณาจักร แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้ส่งสาร แต่เขาก็มีความสุขในแบบธรรมดาๆ ทีี่คนสถานะสูงมองหา


 


ท้ายที่สุดแล้วกลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยได้ยินดีต้อนรับเขา รวมไปถึงกลุ่มพันธมิตรหลันโมก็แอบทักทายเขาเป็นการส่วนตัวเช่นกัน


 


สถานที่ในตำนานโบราณคืออาณาจักรแห่งการเพาะปลูกซึ่งอนุญาตให้ผู้ปลูกฝังเข้าได้เท่านั้น ซึ่งมันเป็นกฏที่ไม่มีใครสามารถทำลายได้


 


ทั้งหมดเป็นผลมาจากตำแหน่งที่สูงส่งของนักบวชทั้งสามกลุ่มที่ประจำตรงหน้าทางเข้า


 


ณ ​กลุ่มพันธมิตรวู่เว้ย


 


“ท่านอาจารย์หลันตัดสินใจว่ายังไง” ลูวูหรี่ตา “ท่านตัดสินใจเลือกผู้สมัครและเตรียมตัวรับมือกับปัญหาที่จะตามมาได้หรือไม่?”


 


สิ่งนี่ทำให้เสียเวลาไปมาก .. เขาเริ่มเกลียดเวลาที่เสียไป


 


“อืม ..” หลันโมดูไม่แน่ใจ


 


“อะไรนะ?” ลูวูยืนนิ่ง “ท่านคิดว่าจุดสามจุดนั้นไม่เพียงพอใช่มั้ย? สำหรับกลุ่มวู่เว้ยเนี่ย ..”


 


“ไม่ ..” ยังไม่ทันพูดจบหลันโมขัดจังหวะ “ก่อนหน้านี้เราพบผู้ฝึกฝนที่มีความสามารถลดลง ..”


 


เขาหยิบเหรียญหยกขาวออกมาและส่งมอบให้วูลู “เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรสำหรับการประชุมการพัฒนาอาณาจักรครั้งนี้ พันธมิตรกลุ่มวู่เว้ยจึงของตัดสินใจไม่เข้าร่วม!”


 


การแสดงออกของวูลูดูไร้ค่าทันที!


 


“อะไรกัน? พูดอีกทีได้มั้ย?” วูลูคิดว่าเขาได้ยินผิด “ท่านไม่รู้หรือว่าแม้ผู้สมัครจะไม่สามารถเข้าถึงอาณาจักรแห่งการเพาะปลูกได้ พวกเขาก็ยังคงได้รับรางวัลลมากมายตราบใดที่พวกเขาทำผลงานออกมาได้ดี”


 


“อืม ..” หลันโมทำหน้านิ่ง “ข้ากลัวว่าสาวกของข้าจะอึดอัดใจกับกลุ่มพันธมิตรอื่นๆ”


 


สมองของวูลูว่างเปล่า .. นี่ชายคนนี้เขาคิดยังไงกันแน่ หรือพวกเขาแค่ไม่ต้องการเข้าประชุม!?


 


มันเป็นคำตอบสุดท้าย


 


ด้วยคำตอบที่เงียบงันลูวูจึงกลับมาพร้อมเหรียญหยกสีขาวและเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น “กลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยไม่สนใจที่จะเข้าร่วมกับทางเรา”


 


ด้วยความโกระเขาจึงเดินออกจากที่พักของกลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยและเดินขึ้นเรือจิตวิญญาณ


 


“ท่านโกรธอะไรหรือ?” ชายชราที่สวมเสื้อขาวคำนับให้เขา “พวกเขาอาจไม่พร้อมหรือมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่า?”


 


“บัดซบที่สุด!” ลูวูพูดเสียงดังด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์


 


“พวกเขามีข้ออ้างหรือ?” ชายชราถามด้วยความสงสัย


 


“หลันโมอ้างเหตุผลต่างๆ แถมยังมอบเหรียญหยกขาวคืนให้” ลูวูกล่าว “พวกเขาไม่สนใจที่จะสาวกเข้าร่วมการประชุมใดๆ”


 


แน่นอนเขาไม่รู้เลยว่าผู้ปลูกฝังส่วนมากที่ตกลงจะเข้าร่วมประชุมนั้นอ่อนแอมาก แม้แต่คนธรรมดายังมองรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ บางทีการยอมแพ้ซะยังดูดีกว่า


 


“พวกเขาทำเช่นนั้นหรือ!?” ชายชราตัวแข็ง “ในอดีต ..”


 


“พวกเขาต่อสู้เพื่อมีจุดยืนมากกว่า!” วูลูกล่าว “ข้าพบว่ามันค่อนข้างแปลกเหมือนกันว่ามีคนกำลังสร้างปัญหา ข้าจะต้องรายงานต่อหัวหน้าเพื่อให้มีการตรวจสอบปัญหานี้!”


 


“มันต้องเข้มงวดกว่านี้” ชายชราเอ่ยอย่างเคร่งขึม “ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน”


 


“อย่างไรก็ตามหลันโมไม่ได้เอ่ยรายละเอีียดอะไรเลยหรือท่าน?” เขาถาม


 


“เขาระวังตัวมาก!” ลูวูพูดด้วยความโมโห “ลืมมันซะ! ต้องจัดการกับปัญหานี้!”


 



 


ฟางฉีคิดเสมอว่าเขานี่ก็ขยันอยู่ไม่น้อย .. หลังจากเปิดห้องบ่มเพาะเขาค้นพบตัวละครในเกมทีี่คุ้นเคย


 


พาลาดินของเขาตอนนี้อยู่เหนือระดับสามสิบพร้อมไอเทมที่ยอดเยี่ยมมากมายยิ่งกว่านั้นสกิลของเขาเองอยู่ในระดับมากกว่าสิบ


 


ตัวละครในเกมพาลาดินของเขายืนอยู่ตรงหน้าในมือขวามีดาบคริสตัลพร้อมโล่สีทอง ในชุดเกราะอัศวินสีีเงินดูงดงามยิ่ง


 


การบ่มเพาะ : พาลาดิน


การเข้าถึง : 53%


การประสานรวบรวม : 36.8%


 


เช่นเดียวกับตัวละครหลี่เสี่ยวเหยา ตัวละครเกมนีี้ช่างไร้อารมณ์ เขายกดาบชี้ขึ้นฟ้า แสงสีขาวปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวเขา พื้นที่รอบตัวภายในระยะ 30 เมตรเต็มไปด้วยสายฟ้ามันกลายเป็นเขตต้องห้าม


 


ในขณะที่แสงสีขาวจากท้องฟ้าฟาดผ่าลงมา ทำให้พื้นที่โดยรอบเกิดแสงวาบ เกิดไฟสว่างขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมากระทบกับพื้นดิน พลังงานจากสายฟ้าแทรกซึมอยู่ในอากาศ โชคดีที่มันไม่ได้ตกกระทบชนกับอะไรเข้า


 


เขายกโล่ของเขาขึ้นและพุ่งเข้าหาฟางฉีอย่างรุนแรง ในขณะนี้พลังงานสายฟ้าของตัวละครทั้งสองกำลังปะทะกัน


 


ฟางฉีรู้สึกสั่นเทสด้วยความเสียวซ่านที่กระจายไปทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันดาบคริสตัลโปร่งแสงเฉือนร่างเขา


 


ฟางฉีียกดาบของเขาขึ้นมาบล็อคโดยรวดเร็ว! ดาบทั้งสองชนกันเกิดแสงสีขาวเสียดสีีกันระหว่างใบมีด!


 


แม้ว่าสายฟ้ายังไม่แรงพอที่จะสังหาร แต่สายฟ้าที่ปล่อยออกมาก็สร้างความรบกวนทางสายตาและทำให้เกิดความยากที่จะป้องกันตัว!


 


ตัวละครหลี่เสี่ยวเหยาของฟางฉีนั้นแข็งแกร่ง .. แต่ถือว่าฟางฉีมีไหวพริบที่สามารถป้องกันตัวเองได้


 


อย่างไรก็ตามความรู้สึกของการถูกโจมตีโดยคลื่นสายฟ้ามันไม่ได้เป็นความรู้สึกดีีเลย .. เขาตั้งใจจะทำให้การฝึกฝนการต่อสู้ครั้งนี้จบลงโดยเร็ว!


 


ความแตกต่างของหลี่เสี่ยวเหยาและพาลาดินช่างต่างกัน หลี่เสียวเหยาใช้เทคนิคการควบคุมดาบที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพในการโจมตี แต่พาลาดินนั้นโจมตีด้วยดาบและป้องกันตัวเองด้วยโล่เหล็ก ซึ่งการโจมตีีอย่างกระทันหันจากสายฟ้าส่งผลให้ฟางฉีรู้จักการระวังตัวเสมอ


 


ที่สำคัญทั้งสองมีความแข็งไม่แพ้กัน แต่สร้างความเสียหายในรูปแบบที่ต่างกัน ฟางฉีได้ใช้เวลาฝึกฝนในระหว่างวัน แต่หากไม่มีเวลามากพอเขาก็จะใช้เวลากลางคืนหลังจากปิดร้าน


 


.. ขณะเดียวกันในพื้นที่ห่างไกล


 


ชาราในชุดคลุมสีขาวขอบทองซึ่งเป็นชุดที่คล้ายเคียงกับลูวูกำลังนั่งสมาธิขสไขว้กัน .. จู่ๆ หยกสื่อสารที่อยู่ระหว่างเข็มขัดของเขาก็สว่างขึ้ย


 


“พันธมิตรวู่เว้ยไม่ตกลงในการเข้าร่วมกานประชุมงั้นรึ!?”


 


“เป็นเวลานานกว่าจะได้เวลาการเปิดประตูอาณาจักรในครั้งนี้นักบวชจากทั่วโลกต่างเดินทางมาร่วม .. ใบพวกเขาสนใจที่จะเข้าร่วมในครั้งนี้เลย ดูเหมือนว่ามีบางคนกำลังพยายามสร้างปัญหา ..”

 

 

 


ตอนที่ 198

 

“หมดกันพลังทั้งหมด .. เลิกกัน” ชายชราพึมพำกับตัวเอง “ในช่วงพันปีที่ผ่านมาไม่เคยเหิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาก่อน ..”


 


กลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยถือว่าเป็นกำลังสำคัญในการฝึกฝนอย่างมาก เนื่องในตอนนี้ตาจินไม่ได้มีสงครามใดๆ เกิดขึ้นและก็ไม่ได้ค้นพบว่ามีสถานที่ลึกลับใดๆ ที่พวกเขาจะต้องทำการสำรวจหรือค้นหาเพื่อเสี่ยงต่อชีวิต ผู้ปลูกฝังเองจึงไม่ต้องการรที่จะเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ .. มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อ!


 


“นี่ถือเป็นปัญหาที่ร้ายแรง หากมีใครก็ตามที่พยายามที่จะสร้างปัญหาให้กับการประชุมการพัฒนาอาณาจักรเราจะไม่ปล่อยให้มันผ่านไป!”


 


“ท่านอาจารย์เรียกข้ามีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” ชายหนุ่มผิวขาวคิ้วโก้งแหลมพร้อมดวงตาอันสดใสเดินเข้ามา เขาสวมชุดคลุมสีีขาวพร้อมเครื่องหมายรูปเพชรขนาดเท่าเม็ดข้าวติดอยู่ระหว่างคิ้ว


 


ตาของเขาเล็กหรี่ราวกับเขานั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลา ตาของเขาเปิดขึ้นช้าๆ แสงอันน่าตกใจเปล่งออกมาจากดวงตาของเขา แสงนั้นสว่างมากจนทำให้ห้องนี้สว่างวาป


 


ผู้ที่มีจิตใจไม่มั่นคงคงจะต้องตื่นตาด้วยแสงอันแรงกล้าจนต้องยอมจำนนต่อเขาเป็นแน่!


 


“เยี่ยมมาก” ชายชราพยักหน้า “เดินทางไปตาจิน”


 



 


“ทำไมเดี๋ยวนีี้ข้าไม่ค่อยได้เจอท่านอาวุโสนาหลันเลย” อันเชงและคนอื่นๆ เดินเข้าไปในคาเฟ่และหันมองกระดานดำเล็ก “Act V ออกแล้วหรอ?”


 


บูเช่บ่น “ข้ารอให้ผู้อาวุโสเล่นให้ดู ทำไมเดี๋ยวนีีเไม่เจอเขาเลย”


 


“เจ้าของร้านกำลังจะเล่น Act V” อันเชงหันไปเห็น “ไปดูเขาเล่นกัน”


 


ในขณะเดียวกันฟางฉีนำโล่สีฟ้าอ่อนขนาดยักษ์ที่ได้จากช่างตีเหล็กออกมา เมื่อเขาคลิกที่รายการของใช้ พวกเขาต่างอุทาน “โอ้โห! เต็มสี่ช่อง”


 


“พวกเราเพิ่มได้มากสุดสามช่องใช่มั้ย”


 


“นี่มันอะไรกัน!? เจ้าของร้านได้รับของดี” เสียงตะโกนของอันเชงดังขึ้นจนหลายคนหันมามอง


 


“บ้าไปแล้ว! นี่เขากำลังเล่น Act V อยู่!” จี๋หยางยังเล่น Act II ไม่จบเขาหันมองฟางฉีด้วยสายตาอิจฉา


 


“นี่เจ้าจะทำอะไรกับโล่สี่ช่องนี้น่ะ?” อันเชงเอ่ยถามในฐานะผู้เล่นที่มีประสบการณ์ เขาสงสัยว่าฟางฉีีกำลังจะทำอะไร


 


“ข้าจะสร้างโล่แห่งจิตวิญญาณ” ฟางฉีตอบ “โล่สามช่องมันน้อยไปต่อการตอบสนอง”


 


ผู้ชมเฝ้าดูฟางฉีีบรรจุรูนลงช่องของโล่


 


“บวกสองเพื่อเพิ่มความสามารถทั้งหมดหรือ?” อันเชงและคนอื่นๆ รู้สึกงง


 


“การป้องกันเพิ่มขึ้นถึง 250% จากการโจมตีระยะไกล?”


 


“ต้านทานสกิลทั้งหมด?”


 


ทุกคนต่างจ้องและทักถาม .. จนไม่รู้จะพูดอะไรกันต่อ


 


“นี่เจ้าเล่น Diablo คนเดียวเองหรอ?” จี๋หยางเอ่ย


 


“คนเดียวก็ไหว เขาน่ะเล่นมาตั้งแต่เริ่ม” อันเชงตอบ “นี่เขาเล่นไปถึง Act V แล้ว”


 


“Act V??” จี๋หยางทำหน้างง “ข้าไม่เข้าใจ”


 


“ช่างมันเถอะ” อันเชงยิ้ม “ข้าแนะนำให้เจ้าไปหานิยาย Diablo ที่เขียนโดยเฉินอ่านซะ ตอนนี้หนังสือรุ่นสองเปิดขายแล้ว!”


 


พล็อตของ  Diablo ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนนักเพียงแต่เวอร์ชั่นใหม่จะเพิ่มเรื่องราวเกี่ยวกับบาอัลเข้าไป


(ผู้แปล : Baal บาอัล เป็นคนที่โหดเหี้ยม เขาถูกเนรเทศออกนอกประเทศ แอดไม่แม่นเนื้อเรื่องเท่าไร แต่ในเรื่องก็จะสื่อว่าบาอัลเนี้ยคือตัวละครใหม่ในเกม)


 


–  ในขณะเดียวกันในภูมิภาคของกลุ่มวู่เว้ยสำนักใหญ่ของกลุ่มบลูเฟรม  –


 


“ท่านพี่อาวุโส ข้าต้องศึกษาหาวิธีก่อน เดี๋ยวข้าจะขอเดินทางไปยังคาเฟ่ด้วยตัวเอง!”


 


“ข้าคิดว่าเจ้ากำลังศึกษาวิธีการทางวิทยาศาตร์ในการสร้างสิ่งประดิษฐ์!” หลันโมพูดด้วยหน้าตานิ่ง


 


“เฮารันบ่นว่าคนดูแลนั้นลึกลับเกินไป เขาจึงขอความช่วยเหลือจากฉันอีกแรง” จุนหยางชีีกล่าวง “สำหรับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการสร้างสิ่งประดิษฐ์นั้น เด็กคนนี้มีความคืบหน้าอย่างมากแต่ข้าเหนื่อยแล้วจะขอไม่เข้าร่วม”


 


“ตกลง! เอาละหลังจากทีี่ข้าศึกษาแล้วพบว่า ..” จุนหยางชีเดินเช็ดเหงื่อ “วิธีนี้เป็นอะไรที่แปลกมาก”


 


“เจ้าจะไปหรือไม่?”


 


“ข้าจะตามไปทีหลัง” จุนหยางชีตอบด้วยสีหน้าหงุดหงิด


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าไปละ” หลันโมบอก “ข้าต้องไปที่นั่นเพื่อศึกษเกี่ยวกับเทคนิคการควบคุมดาบ ข้ารอไม่ได้!”


 


“ไป! ไป!”


 


“ดี ข้าจะไปดูละคร!” หลันโมหัวเราะเบาๆ และเดินออกจากที่พักของกลุ่มวู่เว้ย


 


ในห้องสร้างสิ่งประดิษฐ์จุนหยางชีเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของดาบสีเทาอย่างระมัดระวัง


 


“อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทีียบกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์วิธีนี้ถือว่าใกล้เคียงกับสไตล์ของข้ามาก เอาละข้ารู้สึกสับสนจริงๆ กับตารางธาตุ องค์ประกอบสูตรปฏิกิริยาและฟังก์ชั่นตรีโกณมิติ!”


 



 


–  ในนิคมอุตสาหกรรมอันหรูหราบนขอบมณฑลเจียงหนาน  –


 


จีีวูยูนั่งนิ่งพร้อมชายคนหนึ่งขนาบข้าง หากอันหูเว้ยหรือขุนนางคนอื่นๆ ในเจียงหนานอยู่ด้วยพวกเขาจะรับรู้ทัยทีว่าชายคนที่นั่งด้านซ้ายมือของจีวูคือฉางกวนหยวนหัวหน้าครอบครัวฉางกวน เขาเป็นครับครัวดังอันดับสองในเจียงหนานรองจากครอบคัวนาหลัน! เขาสวมเสื้อคลุมสีเทาเข้มลวดลายดาว ไว้เคราสั้นคิ้วหนามีแววตาดุร้าย


 


ส่วนคนที่นั่งถัดจากฉางกวนหยวนคืออาจารย์ผู้หนึ่งร่างกายของเขาเปล่งออร่าอย่างรุนแรง


 


ตอนนี้ร่างเงาซ่อนตัวอยู่ในความมืดหลังจีวูยู เขาเป็นชายวัยกลางคนในชุดดำและจะปรากฏตัวขึ้นในเวลามืดหรือยามที่รอบตัวมืดมน


 


“ข้าได้รับข่าวว่าจากครอบครัวนาหลันว่านาหลันฮงวูออกเดินทางไปท่องเที่ยวเมื่อสองสามวันก่อนและดูเหมือนว่าปลายทางของเขาน่าจะเป็นภูเขาเรือนจำทางตอนเหนือ! นี่ถือเป็นโอกาสทองสำหรับพวกเรา!” จีีวูยูกล่าว


 


“ตอนนีี้นาหลันฮงวูและครอบครัวนาหลันอยู่ห่างกันแล้ว” จีวูยูเสริม “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรอเวลานี่มานานแล้ว!”


 


“นี่ถือเป็นโอกาสทองอันยอดเยี่ยมในการทำลายครอบคัวนาหลัน!” จีีวูยูยิ้มเยะา “ต่อจากนี้จะต้องไม่มีไม่เหลือใครที่ใช้นามสกุล ‘นาหลัน’ อีก!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม