Black Tech Internet Cafe System 159-177

ตอนที่ 159

 

“การรับชมละครบนโลกนี้?” ฟางฉีมองข้อมูลบนระบบอินเทอร์เฟซ


 


หลังจากที่เดินทางไปจิงฉีก็ลืมไปเลยว่าเขาเองกำลังตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง Diablo อยู่ เป้าหมายสำหรับภารกิจต่อไปคือ การเปิดใช้งานเกมและภาพยนต์


 


และเวลาที่เหมาะก็เดินทางมาถึง ..


 


รางวัลภารกิจ : ซีรี่ย์ราชวงศ์หยก (จูเสี้ยน) จะอัพเดททุกวันจันทร์และอังคารวันละสองตอน [วันแรกจะฉายสี่ตอน]


 


ฟางฉีมองเวลา นี่เป็นวันอาทิตย์แสดงว่าพรุ่งนี้วันแรกจะฉายสี่ตอน ..


 


ถึงอย่างนั้นฟางฉีจำได้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสนใจหนัง Resident Evil และเขาเองก็คิดขึ้นมาได้ว่าทำไมไม่ลองฉายละครผ่านการถ่ายทอดสดดูละ


 


ความคิดดูดี แต่ฟางฉีก็ยังคงต้องการคำตอบจากระบบ


 


[ท่านสามารถที่จะฉายได้สองตอนต่ออาทิตย์และต้องฉายหลังสองทุ่ม แต่ถ้าหากอยากถ่ายทอดสดอย่างที่คิดท่านต้องรออย่างน้อยหนึ่งเดือน]


 


เป็นคำตอบที่แปลก แต่ละครคงไม่ได้สงผลต่อความแข็งแกร่งหรือการฝึกฝนต่อตัวบุคคลสักเท่าไร ผู้คนคงดูเพื่อความสนุกสนานก็แค่นั้น


 


ฟางฉีชะงักครุ่นคิดเล็กน้อย เวลาสองทุ่ม ..


 


ใบขณะเดียวกันฟางฉีเห็นแทบแจ้งเตือนความเสร็จในภารกิจของเขาหน้าอินเทอร์เฟซ


 


[ความสำเร็จในภารกิจ : ความเพลิดเพลินในชีวิต]


 


[รางวัลภารกิจ : โค้ก 3 คริสตัล/ขวด]


 


“รางวัลนี้จากงานไหน?”


 


จู่ๆ ข้อความจากซงฉิงเฟิงก็แจ้งเตือนขึ้น [ท่าน! คืนนี้พวกเราจะเข้าไปเที่ยวในจิงฉี มาด้วยกันเถอะ!]


 


ฟางฉีทำหน้าเซง [ลืมมันซะเถอะ ตอนนี้ข้ากลับมาที่จิวหัวแล้ว]


 


คำอธิบายจากระบบ : รางวัลมอบให้แก่ผู้เล่นที่สนุกกับเกมโดยถ่องแท้


 


[เปิดใช้การถ่ายทดสดเสมือนจริงและปลดล็อคการกระทำบางอย่างที่สามารถเป็นไปได้ พร้อมทั้งผู้เล่นสามารถรับทานของว่างระหว่างการเล่นเกมหรือดูการถ่ายทอด ..]


 


อะไร!?


 


สีหน้าของฟางฉีดูไม่เข้าใจ “แล้วฉันละ? ฉันทำงานหนักเพื่อถ่ายทอดสดและทำความเข้าใจถึงเทคนนิคต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ฉันไม่ได้รับรางวัลบ้างหรอ?”


 


[ท่านได้รับสิทธิ์พิเศษในการปรับปรุงฟังชั่นก์ต่างๆ ในคาเฟ่และเปิดการใช้งานปรับปรุงห้องพัก] ระบบตอบกลับ


 


“การปรับปรุงห้องพัก?” ฟางฉีจำได้ว่าระบบของเขาเพิ่งทำการปรับปรุงคาเฟ่หลังจากเหตุการณ์หลังคาพังในครั้งนั้น “จะมีเหตุการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นอีกหรอ?” เขาพูดแซว


 


[ไม่! มันจะไม่เกิดขึ้นอีก]


 


[สิทธิพิเศษสำหรับพนักงาน เจ้าของร้านสามารถไถ่ถอนคูปองให้แก่พนักงานที่ดูแล เพื่อให้พนักงานได้ใช้จ่ายในคาเฟ่หรือใช้แลกกับอาหารในร้าน พนักงานแต่ละคนสามารถรับคูปองได้เพียงเดือนละหนึ่งครั้ง คูปองไม่สามารถแลกเป็นคริสตัลได้]


 


ตอนนี้ฟางฉีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของกิจการยังไงยังงั้นเพราะเขาเริ่มมีสวัสดิการให้แก่พนักงาน


 


แม้ว่ามันจะไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตนแต่เขาก็พยักหน้ารับเพื่อแสดงความขอบคุณ


 


[ส่วนสิทธิพิเศษที่เพิ่มขึ้นของท่าน ส่วนแบ่งจากรายได้ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 0.3%]


 


“ช่างมีน้ำใจยิ่งนักส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 10.3%!”


 


ฟังฉีทำหน้าเซง ระบบยังไงก็ต้องได้ 90% จากเงินทั้งหมดเสมอ


 


แต่มองอีกมุม หากเขาได้รับสิทธิพิเศษนี้ เขาก็จะได้เพิ่มอีก 300 ในกระเป๋า คิดไปคิดมามันไม่เลวเลย


 


เมื่อนึกถึงบ้านสักหลังในใจกลางเมืองจิงฉีแล้ว ข้อเสนอนี้น่าสนใจสุดๆ ถึงอย่างไรก่อนที่จะเดินทางไปจากโลกนี้ หนึ่งในความฝันของเขาคือการซื้อบ้านหลังใหญ่สักหลังในเมืองหลวง!


 


[โปรดทำงานหนักเพื่อเพิ่มสิทธิ์พิเศษต่อไป] ระบบย้ำ


 


นอกจากซื้อบ้านแล้วก็ยังต้องซื้อยานพาหนะอีก แต่.. ตอนนี้เขาสามารถเดินทางไปไหนมาไหนด้วยการบินด้วยดาบได้แล้ว ยานพาหนะจึงไม่ใช่ความต้องการของเขาอีกต่อไป


 


ทันใดนั้นฟางฉีก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเองมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับดาบวูเฉินเป็นรางวัล ดาบนั้นเป็นดาบของหลี่เสี่ยวเหยาพลางสงสัยว่า เมื่อไรกันที่เขาจะได้รับรางวัลนี้กันนะ?


 


จากนั้นเขาจ้องมองที่หน้าระบบอินเทอร์เฟซ และเห็นว่าภารกิจการควบคุมทักษะการบินด้วยดาบยังคงรอให้เขาฝึกฝนให้สำเร็จ เขาจึงไม่รอช้าที่จะกลับไปฝึกฝนโดยทันที


 


ในช่วงเวลากลางคืนฟางฉีพามูตงไลกลับไปลงที่จิงฉี


 



 


วันรุ่งขึ้น


 


โดยเวลาปกติแล้วฟางฉีจะทำการเปิดร้านในเวลา 08.00 น. เห็นได้ชัดว่าวันนี้เขามีลูกค้ามากกว่าปกติ แม้ว่ายังเช้าอยู่แต่เมื่อคนมาขึ้นก็เพิ่มความคึกครื้นให้คาเฟ่มากกว่าทุกวัน


 


ตัวอย่างเช่นวันนี้ ตงชิงลี่มาถึงที่นี่โดยเช้าตรู่เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเข้าแถวรอ ลูกค้าบางคนเริ่มสังเกตว่าร้านศาลาลมและพระจันทร์ตอนนี้ ได้ยกเลิกข้อจำกัดที่เคยมีต่อร้านต้นกำเนิดอินเตอร์เน็ตคาเฟ่แล้ว


 


ตงชิงลี่และจางวันยูที่เพิ่งมาถึงหน้าคาเฟ่ ..


 


“ท่านหญิง เราจะหยุดการระงับร้านหรือไม่?” จางวันยูมองดูบรรยากาสที่ดูสนุกสนานและมีชีวิตชีวาพลางกระซิบ “งี้คงเราต้องตื่นเช้าทุกวัน ..”


 


ตงชิงลี่รู้สึกหงุดหงิดมาก “หลังจากที่ดูการถ่ายทอดสดเมื่อวาน เจ้าคิดว่าการปราบปรามยังมีผลอยู่มั้ย?”


 


“ท่านพูดถูก” จางวันยูแอบผิดหวังเล็กน้อย ถ้าร้านยังโดนปราบปรามอยู่คนก็จะน้อย และพวกเธอก็ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า


 


เมื่อพวกเธอผลักประตูเช้าไป หันมองดูกระดานดำเล็กๆ


 


[รายการใหม่ของวันนี้ : ละครเรื่องราชวงศ์หยก(จูเสี้ยน) 3 คริสตัล/ตอน]


[โค้ก : 3 คริสตัล/ขวด]


 


“นี่เจ้าของร้านมีของเล่นใหม่มาหรอ?” ตาของพวกเธอเบิกโพง


 


“ว่าแต่ ละคร .. คืออะไร? โค้กด้วยมันคืออะไร?” ตงชิงลี่ทำหน้าคิ้วผูกโบว์


 


“โค้กเป็นเครื่องดื่มคล้ายกับสไปร์ท” ฟางฉีอธิบาย “ส่วนละครคล้ายๆ กับภาพยนต์ แต่นานกว่าเพราะมันถูกแบ่งออกเป็นตอนๆ”


 


ตงชิงลี่ยังคงทำหน้างงอยู่ดี เธอเคยได้ยินสไปร์ทจากลูกค้าบางคนที่เคยเปรียบเทียบกับอาหารที่ร้านของเธอ เมื่อได้ยินว่าโค้กคล้ายกับสไปร์ทเธอจึงพูดกลับไปทันที “เราขอโค้กสองขวด!”


 


“เสี่ยวหยูส่งโค้กสองขวดให้พวกเขา”


 


เจียงเสี่ยวหยูหันมาพร้อมกับโค้กสองขวด


 


เมื่อพวกเขาจิบเข้าไปรสชาติของมันปลุกให้ต่อมรับรสตื่นขึ้น หากเทียบกับรสชาติของสไปร์ทแล้ว โค้กเข้มขนและน่าตื่นเต้นกว่ามาก!


 


“มันดีมาก!” ตงชิงลี่ร้องออกมาอย่างมีความสุข


 


“บ้าเอ้ย! ข้าต้องการดื่มมันให้หมดก่อนจะทำอย่างอื่น ..” จางวันยูกล่าว “แต่ถ้าเรารอจนหมดเราก็จะไม่มีที่นั่งเหลือน่ะสิ!”


 


“ไม่ใช่ปัญหา” ฟางฉีโบกมือ “พวกเจ้าสามารถดูละครและกินขนมไปพร้อมๆ กันได้”

 

 

 


ตอนที่ 160

 

“เราสามารถดูละครพร้อมกินขนมไปด้วยได้ใช่มั้ย?” ตงชิงลี่ถามด้วยความสับสน “มันยังคงอยู่ในโหมดเสมือนจริง?”


 


“ท่านจะรู้เมื่อได้ลอง” ฟางฉีตอบ


 


“น่าสนใจ ..” ตงชิงลี่หัวเราะเบาๆ “แต่ขอเตือนนะ ถ้าไม่ดีข้าจะขอเงินคืน!”


 


ฟางฉีทำหน้านิ่ง “ถ้าเจ้าคิดว่าไม่ดี ข้าจะคืนเงินให้”


 


อย่ามาร้องขอตอนที่ห้าตอนที่หกก็แล้วกัน .. ฟางฉีคิด


 


ผู้เล่นคนอื่นๆ ต่างเดินเข้ามาสอบถามเรื่องรายการใหม่ของวันนี้ บางคนก็รอดูคนอื่นเล่นก่อนตัดสินใจ นอกจากผู้หญิงสองคนนั้นตอนนี้มีเพียงเยเสี่ยวเย้เท่านั้นที่ยอมจ่ายเพื่อได้ลองสิ่งใหม่ๆ


 


หลังจากจ่ายเงินแล้วตงชิงลี่และจางวันยูก็นั่งลงและเปิดโหมดดูละครตามคำแนะนำของฟางฉี มีตัวเลือกใหม่ปรากฏขึ้น [การจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง]


 


เธอเลือกตัวเลือกนี้ หลังจากที่เลือกละครราชวงศ์หยก(จูเสี้ยน) ในโหมดละคร แสงรอบๆ ตัวของพวกเธอจางลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเข้าสู้โหมดเสมือนจริงแล้ว นั่นยังทำให้เธอเห็นโต๊ะคอมพิวเตอร์คีบอร์ดเม้าส์พร้อมทั้งผู้คนที่เดินผ่าน โลกเสมือนจริงและความเป็นจริงอยู่ร่วมในเวลาเดียวกัน


 


“โอ้ มันเจ๋งมาก!”


 


ในขณธเดียวกันเธอค้นพบว่าสามารถทำให้ความเป็นจริงมัวลงได้เพื่อที่เธอจะได้โฟกัสละครและเพลิดเพลินกับโค้ก โดยที่ไม่วอกแวกไปมองสิ่งอื่น


 


“มันเยี่ยมมาก!” ตงชิงลี่ชม “สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณนี้ทำให้เราสะดวกมากขึ้น”


 


[ไม่สนใจธรรมชาติ ไม่สนใจทุกสิ่ง]


 


เสียงก้องกังวานดังเข้ามาในหูของตงชิงลี่ เธอพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนยอดเมฆ!


 


เนื่องจากละครเรื่องนี้อิงต้นฉบับนิยายมาทั้งหมด จึงได้มีการนนำเสนอในแต่ละฉาก


 


ฉากนี้แสดงให้เห็นถึง หมู่เมฆหมอกสีเขียว (ชิงหยุน) พร้อมภูเขาสูงชัน บรรพบุรุษของกลุ่มใบไม้เขียว (ชิงเย้) ที่เพิ่งออกจากการเพาะปลูก เขาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า รอบๆตัวของเขาเต็มไปด้วยแสงสีม่วงอ่อน


 


ชายชราที่เพิ่งออกจากการพำนักในถ้ำเดินออกมาช้าๆ ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์อันงดงาม (หวนหยู)


 


ตงชิงลี่เบิกตาโพง “นี่ชายคนนี้เป็นอมตะหรือไม่?”


 


อาจารย์บรรพบุรุษของใบไม้เขียว ใช้ดาบเพียงเล่มเดียวเพื่อกำจัดศัตรูทั้งหมดจากยอดเขาทั้งหกยอด กลุ่มเมฆเขียวก็เช่นกัน เทคนิคดาบของเขากล้าหาญและแข็งแกร่งไม่มีใครเทียบเทียมได้ เธอรู้สึกชื่นชม


 


ในขณะเดียวกันเองเธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าสภาพแวดล้อมนั่นดูจริงจนเหลือเชื่อ!


 


“เยี่ยมมาก!” เธออุทานออกมาเงียบๆ


 


ฟางฉีที่ยืนดูอยู่เขาพบว่า อาจารย์บรรพบุรุษใบไม้เขียวใช้เทคนิคการควบคุมดาบที่ทรงพลังมาก!


 


เทคนิคการควบคุมดาบของกลุ่มชูชานและสกิลดาบนับไม่ถ้วน ดาบแห่งสวรรค์หรือดาบอมตะนั้นใกล้เคียงกับเทคนิคการต่อสู้บนโลกนี้มาก แต่รายละเอียดของคนบนโลกส่วนใหญ่มุ้งเน้นไปที่พลังโดยรวม


 


หลังจากดูเทคนิคดาบแห่งบรรพบุรุษของใบไม้เขียวแล้ว ฟางฉีรู้สึกเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับเทคนิคการควบคุมดาบยิ่งกว่าเดิม


 


นอกจากนี้เขายังพบว่ามันส่งผลให้การฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นกว่าเก่า


 


เมื่อเวลาผ่านไปกลุ่มเมฆเขียวได้เดินทางมาถึงยุคของเต๋าซวน


 


กลุ่มเมฆเขียว ณ หมูบ้านวัดหญ้าปลายเชิงเขา


 


เด็กชายสองคนกำลังเล่นน้ำในธารระหว่างภูเขากันอย่างสนุกสนาน ทุกอย่างดูร่มรื่นเงียบสงบ


 


ตงชิงลี่ดื่มโค้กและพูดว่า “นี่จัง ที่นี่ช่างน่าทึ้ง!” เธอดูด้วยความสงสัยว่าการดำเนินเรื่องจะเป็นยังไงกันนะ


 


จู่ๆ เหตุการณ์การสังหารอันนองเลือดก็เกิดขึ้นในหมู่บ้านวัดหญ้า เธอรู้สึกตกใจอย่างมาก ผู้บริสุทธิ์มากมายถูกสังหาน ในขณะเดียวกันเธอเองก็เป็นกังวลกับชะตากรรมของเด็กชายสองคนนั้น


 


เธอยังคงเฝ้าดูเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจต่อไป จนกระทั่งเธอพบว่าเด็กชายทั้งสองถูกพาเข้าไปอยู่ในกลุ่มเมฆเขียวโดยเหล่าสาวกที่มาช่วยเหลือ


 


คนในกลุ่มให้ความสนใจหลินจิงหยูมากกว่าจางเซียวฟาน


 


ถ้าเช่นนั้นจะเป็นยังไงต่อ? เธอคิดอย่างกังวลใจ เขาจะกลายเป็นคนไร้บ้านมั้ย? ถ้าเขาไม่เหลือใครจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา?


 


เด็กชายสองคนเป็นตัวละครหลักของเรื่องใช่มั้ย ใยชะตากรรมของพวกเขาช่างเลวร้ายเหลือเกิน! เซียวฟานมีพรสวรรค์ที่ไม่มากพอหรอ? งี้เขาจะกลายเป็นตัวละครหลักได้อย่างไร?


 


จู่ๆ แสงบนหน้าจอจางลงและปรากฏข้อความขึ้น [หากท่านต้องการทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดติดตามตอนต่อไป!]


 


“เอ่อ ..” ตงชิงลี่รู้สึกสตั้น


 


นั้นคือ? ทั้งหมดแล้วหรอ? ฉันดูครบสี่ตอนแล้วหรอ?


 


ข้างๆ เธอ จางวันยูก็งงเป็นไก่ต่าแตกเช่นกัน ตามมาด้วยเยเสี่ยวเย้และอีกหลายคนที่เพิ่งดูจบ


 


พวกเขาซึมซับและรู้สึกอินในเรื่องราวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่..


 


หากท่านต้องการทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดติดตามตอนต่อไป!!!?!!?!?? อะไรกัน!


 


“ท่าน!” ตงชิงลี่ยืนขึ้นจากที่นั่งอย่างท้อแท้


 


เยเสี่ยวเย้และคนอื่นๆ ก็ยืนขึ้นเช่นกัน


 


“หืม? มีอะไรผิดปกติ?” ฟางฉีหันไปมอง


 


“ตอนที่ห้าอยู่ไหน?” ตงชิงลี่ถามด้วยน้ำเสียงดุเดือด


 


เธอกำลังเพลิดเพลินกับการดูราชวงศ์หยก แต่ .. มันจบลงแค่นี้!


 


“ข้าจะทำการเพิ่มตอนที่ห้าและตอนที่หกในวันพรุ่งนี้!” ฟางฉีตอบ


 


“อะไรนะ!” ตงชิงลี่รู้สึกหงุดหงิด


 


ฉันกำลังสนุกกับมันมากๆ แต่ฉันต้องรอพรุ่งนี้!?


 


ถ้าแววตาเธอสามารถฆ่าใครได้ ตอนนี้ตงชิงลี่คงฆ่าฟางฉีไปแล้วร้อยกว่าครั้ง!


 


“ท่าน!” เยเสี่ยวเย้เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่น่ารัก “ทำไมเราต้องรอพรุ่งนี้ด้วย ดูวันนี้เลยไม่ได้หรอ?” เยเสี่ยวเย้รู้สึกหลงไหลในละครมาก


 


เธอชอบการเล่าเรื่องเซียนกระบี่พิชิตมารมาก ยิ่งพอมาเจอละครที่มีเทคนิคการควบคุมดาบที่มีพลังเช่นนี้อีก ยิ่งทำให้เธอหลงไหลเข้าไปใหญ่


 


ขณะที่เธอกำลังสนุกและสงสัยกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเซียวฟางและจิงหยู อยู่ๆ ก็มาหยุดทันที!


 


“มันเป็นละคร ..” ฟางฉีโบกมือ “พวกท่านต้องค่อยๆ ดูและทำความเข้าใจว่ามันมีเนื้อเรื่องที่ยาวไม่สามารถจบลงได้เพียงแค่วันเดียว”


 


“ท่าน! ข้าอยากจะทุบร้านของเจ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด!” ตงชิงลี่กัดฟันกรอด


 


“เอาเลย ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นคนสร้างปัญหา!” ฟางฉีทำหน้านิ่ง นั่นทำให้เธอยิ่งโมโหมากกว่าเดิม


 


เซ๊ยวหยูกระแอ่มเบาๆ “พี่สาวคนสวยข้าช่วยท่านได้ ถ้า ..”


 


“…” ใบหน้าของตงชิงลี่ไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก เธอรู้ว่าหากมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นเธอต้องถูกส่งไปอยู่ในบัญชีดำแบบชายคนนี้แน่นอน


 


“อย่ามาหลอกฉัน!” ตงชิวงลี่ตะโกนใส่หน้าเซียวหยู

 

 

 


ตอนที่ 161

 

นาหลันฮงวูและผู้เฒ่าฟูเองที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าร้าน เพียงไม่กี่นาทีอันหูเว้ยและคนอื่นๆ ก็ตามมาสบทบ


 


นาหลันฮงวูสังเกตประกาศบนกระดาษดำเล็ก “รายการใหม่วันนี้?” เขาบ่นพึมพำ “ราชวงศ์หยกหรอ?” เขาจับเคราพลางคิด “หืม .. ชื่อนี้ฟังดูยิ่งใหญ่”


 


“ละครทีวีคืออะไร?” เขาถาม


 


ฟางฉีอธิบายซ้ำตามที่เขาได้อธิบายให้ตงชิงลี่และคนอื่นๆ ฟัง


 


“เราสามารถเห็นสถานที่หรือสภาพแวดล้อมของละครเรื่องนี้มั้ย?” นาหลันฮงวูหันไปจ้องหน้าตงชิงลี่และเยเสี่ยวเย้ “พวกเจ้าดูจบแล้วใช่มั้ย?” เขาถาม


 


“เป็นยังไงบ้าง? มันคุ้มค่ากับคริสตัลที่พวกเจ้าจ่ายไปหรือไม่?” อันหูเว้ยขยับเข้ามาข้างหลังเพื่อให้ได้ยิน “ชื่อฟังดูยิ่งใหญ่มาก ดีกว่าเซียนกระบี่พิชิตมารหรือไม่?”


 


“ข้าเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าดีกว่าเซียนกระบี่พิชิตมารมั้ย” ตงชิงลี่ยังเล่นไม่ถึงส่วนท้ายสุดของเกม แต่เธอเองรู้สึกตื่นเต้นหลังจากที่ได้ดูสี่ตอนของราชวงศ์หยก “แต่กลุ่มใบไม้เขียวในราชวงศ์หยกมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นกัน ดาบแห่งบรรพบุรุษของใบไม้เขียวนั้นยิ่งใหญ่ ข้าคิดว่าเขาอาจมีชีวิตที่อมตะ นอกจากนี้ข้ายังได้เห็นถึงเทคนิคดาบของเขาในระยะใกล้อีกด้วย”


 


“จริงหรอ?” พวกเขาทำหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น การต่อสู้ระดับปรมาจารย์ระยะใกล้ ฟังแล้วไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะสามารถซื้อมันด้วยเงินเพื่อดูได้


 


สำหรับคนอย่างอันหูเว้ยและนาหลันฮงวูแล้ว ยิ่งพวกเขามีความสามารถที่สูงขึ้นมากเท่าไรมันก็ยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พวกเขามากเท่านั้น มันคุ้มค่ามากหากพวกเขาได้เห็นการต่อสู้ของเหล่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อเพิ่มแรงบรรดาลใจให้ตนเอง


 


จริงๆ โดยหลักแล้วการเล่นเกมของพวกเขาไม่ได้มีแค่การเพิ่มเลเวลให้ตัวละครเพียงอย่างเดียว แต่เหตุผลหลักคือผลพลอยได้ที่ได้รับจากเกม มันเพิ่มพลังความแข็งแกร่ง ทักษะการฝึกฝนและประสบการณ์


 


“แน่นอน!” เยเสี่ยวเย้เอ่ย “นอกจากเรื่องราวที่น่าหลงไหลแล้วข้ายังคิดว่าเนื้อเรื่องมันดีพอๆ กับเซียนกระบี่พิชิตมารเลยละ”


 


“ยิ่งตอนนี้นะโหมดดูละครมีลูกเล่นใหม่ที่ทำให้พวกท่านสามารถทานอาหารว่างระหว่างชมละครได้อีกด้วย” ตงชิงลี่เอ่ยชม “พวกท่านสามารถเพลิดเพลินกับโค้กระหว่างดูละคร ดีสุดๆไปเลย แต่.. เล่นเกมไม่มีลูกเล่นนี้นะ”


 


นาหลันฮงวูและอันหูเว้ยกำลังถูกล่อลวง พวกเขากำลังหวั่นไหว “เรา .. ลองดูมั้ย?”


 


“มาลองกันเถอะ” โอหยางเฉินเสริม “ข้าเชื่อมั่นในคุณภาพของร้านนี้”


 


พวกเขาจ่ายเงินและเดินไปนั่งที่นั่งพร้อมโค้กคนละหนึ่งขวด


 


“ว้าว! รสชาติดีมาก” ก่อนที่ละครจะเริ่มอันหูเว้ยจิบโค้กเบาๆ “หืม.. รสชาติคล้ายสไปร์ท แต่สีและรสชาติเข้มข้นกว่า ดีๆ”


 


“สไปร์ทหายไป แต่มีโค้กมาแทน อืม..” นาหลันฮงวูรู้สึกตื่นตัวหลังจากดื่มโค้ก “ข้ารู้สึกดีจริง ฮ่าๆ มันช่างคุ้มค่ากับราคา”


 


เยเสี่ยวเย้หัวเราะเสียงหัวเราะของเธอบ่งบอกได้ว่าสะใจมากที่เห็นพวกเขากำลังจะดูราชวงศ์หยก เธอนี่ฉลาดแกมโกงจริงๆ


 


อีกด้านหนึ่งตอนนี้ .. ราชวงศ์หยกกำลังดำเนินเรื่องขึ้น


 


[ไม่สนใจธรรมชาติ ไม่สนใจทุกสิ่ง]


 


“ไม่สนใจธรรมชาติ ไม่สนใจทุกสิ่ง?” นาหลันฮงวูเอ่ยซ้ำเพื่อทบทวนความเข้าใจในประโยค เขาพบว่ามันลึกซึ้งอาจมีความหมายที่แท้จริงซ่อนอยู่


 


ประโยคนี้เป็นเหมือนการเปิดประตูเพื่อเข้าสู่โลกของราชวงศ์หยก


 


ในตอนหนึ่งได้เล่าถึงเรื่องราวของกลุ่มเมฆเขียวพร้อมทั้งอาจารย์บรรพบุรุษใบไม้เขียว เนื้อเรื่องบรรยายถึงตำนานที่ยาวนานกว่าสองพันปี เหตุการณ์ความผันผวนของแต่ละฝ่าย ตอนนี้กำลังถูก้ปิดเผยให้แก่ผู้ชม!


 


เมื่อเวลาผ่านไปกลุ่มเมฆเขียวได้กลายเป็นอันดับหนึ่งของโลก จากนั้นก็ปรากฏฉากของเด็กชายสองคน


 


เหตุการณ์ต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ การตั้งข้อสังเกต ความเสมือนจริงที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้เข้าสู่ตัวเหตุการณ์หลักจริงๆ จนมันทำให้รู้สึกเหมือนได้จมเข้าสู่สภาพแวดล้อมของโลกใบนั้น ให้ความแตกต่างจากเกม ละครไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวได้ แต่เกมพวกเขายังสามารถที่จะบังคับตัวละครได้


 


คนบางคนเกิดมาไม่เหมือนกันบางคนมีชีวิตที่เพียบพร้อม และบางชีวิตก็ขาดไปบ้าง ..


 


พวกเขาจ้องมองเด็กชายที่ได้เข้าร่วมกลุ่มกับกลุ่มเมฆเขียว ในขณะเดียวกันผู้ชมเองก็สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตข้างหน้า


 


มันช่างน่าทึ้งจริงๆ พวกเขาคิด ..


 


ขณะที่พวกเขากำลังดูอย่างตั้งใจ พร้อมดื่มโค้กด้วยความเพลิดเพลิน จู่ๆ แสงของหน้าจอก็หรี่ลง


 


“เกิดอะไรขึ้น?” นาหลันฮงวูถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ [หากท่านอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดติดตามตอนต่อไป!]


 


อันหูเว้ยพร้อมคนอื่นๆ นั่งนิ่งพร้อมมองหน้ากัน “หนึ่งสองสามสี่! นี่พวกเราดูจบแล้วหรอ?”


 


“ไม่นะ! ทำไมฉันรู้สึกเหมือนมันเพิ่งเริ่มต้น”


 


หลังจากนั่งสตั้นอยู่พักหนึ่งนาหลันฮงวูก็เรียกสติคืนและกระแทกมือลงบนโต๊ะ “นี่เจ้าหนู! ตอนต่อไปอยู่ไหน?”


 


ขณะเดียวกันเยเสี่ยวเย้, ตงชิงลี่และอีกไม่กี่คนที่เพิ่งเล่นเกมเสร็จ พวกเขาแอบหันไปมองที่นาหลันฮงวูและคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย


 


“พวกท่านไม่เห็นคำพูดบนหน้าจอหรอ? รอตอนต่อไป!” ฟางฉีกล่าว


 


นาหลันฮงวูและอันหูเว้ยทำหน้ามุ่ย “พวกข้ากำลังสนุก แต่เจ้าบอกให้รอหรอ!?”


 


“ข้ารู้ว่าแต่ละตอนมันน่าทึ้งมาก” ฟางฉีทำหน้าตาน่าสงสาร “พวกท่านอายุมากแล้ว ถ้าพวกท่านดูทั้งหมดโดยไม่พักผ่อน พวกท่านอาจตายในคาเฟ่นี้ก็เป็นได้ ทีนี่ข้าจะทำยังไงละ?”


 


ใบหน้าของนาหลันฮงวูเริ่มเปลี่ยนสี “ไร้สาระ! ข้าคิดว่าเจ้ามากกว่าที่กำลังจะต้องตาย!” นาหลันฮงวูรู้สึกโมโหอยากจะบีบคอเขาให้รู้แล้วรู้รอด


 


อันหูเว้ยเอ่ยทัก “ไหนบอกข้าทีว่าเราจะได้ดูตอนต่อไปเมื่อไร”


 


“พรุ่งนี้ข้าจะทำการเพิ่มอีกสองตอน!” ฟางฉีตอบ


 


อันหูเว้ยทำหน้าเนือย “นี่พวกข้าจะต้องรอถึงวันพรุ่งนี้เลยหรอ! อย่างน้อยก็น่าจะให้ได้รู้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับจางเซียวฟาน”


 


“ข้าว่าเขาไม่ถูกพาเข้ากลุ่มแน่เลย” นาหลันฮงวูพูด “เด็กคนนั้นมีพรสวรรค์น้อยไป เอ้ะหรือว่าบางทีเขาอาจจะคล้ายกับหลี่เสี่ยวเหยา มีผู้ปลูกฝังช่วยเหลือ?”


 


“ไม่ไม่!” อันหูเว้ยเสริม “ศิษย์พี่ข้าว่า หลี่เสี่ยวเหยามีความสามารถมากกว่า จางเซียวฟางเขาไม่มีอะไรเลย”


 


นาหลันฮงวูกระแทกมือด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เจ้าหนู เจ้าต้องให้เราดูจนจบให้ได้!”


 


ขณะเดียวกันผู้คนจำนวนมากเดินเข้ามาในคาเฟ่ เยซงเต๋าและซัวเต๋าก็เช่นกัน วันนี้พวกเขานำพาสาวกมาที่ร้าน ตอนนี้แทบจะไม่มีที่นั่งเพียงพอสำหรับทุกคน

 

 

 


ตอนที่ 162

 

เนื่องจากมีการเลี้ยงฉลอง แถมการเดินทางกลับที่แสนไกล จึงทำให้วันนี้นาหลันหมิงและซงฉิงเฟิงมาถึงคาเฟ่ค่อนข้างช้ากว่ากำหนด


 


“ไม่มีที่นั่ง?” พวกเขาเหลือบมองรอบร้าน จากนั้นเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามด้วยความหงุดหงิด “เต็มทั้งสองร้าน อะไรกัน!?”


 


โชคเข้าข้างที่วันนี้แถวไม่ยาวนัก พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะยืนรอและดูคนอื่นเล่นไปพลางๆ


 


ฟางฉีเองก็กำลังเพลิดเพลินกับ Diablo


 


“นี่ท่านกำลังทำอะไร?”


 


“ข้ากำลังพยายามหารูนอยู่” ฟางฉีตอบด้วยน้ำเสียงตั้งใจ


 


ซงฉิงเฟิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินฟางฉีพูด


 


ของที่เจ้าของร้านได้รับต้องดีอย่างแน่นอน และหากพูดถึงความยากก็ต้องยากเป็นเรื่องปกติตามคุณภาพของไอเทม


 


นาหลันหมิงสื่อ, ซงฉิงเฟิงและอีกสองสามคน พวกเขาจิบโค้กไปพลางดูฟางฉีตามหารูน


 


ในขณะเดียวกันนอกเมืองจิวหัว เรือจิตวิญญาณส่วนตัวได้จอดท่าเทียบเรือของเมืองจิวหัว


 


หญิงสาวสวมชุดสีดำกำลังเดินลงจากเรือตามด้วยชายหนุ่มรูปงามสวมเสื้อสีเหลืองสด พวกเขาได้รับการคุ้มครองจากผู้คุ้มกันหลายคน


 


“นานมากแล้ว ที่ข้ามาเยือนจิวหัวครั้งล่าสุด” เจ้าหญิงมองไปรอบๆ กำแพงเมือง “มันเปลี่ยนไปเยอะมาก”


 


ทีมทหารที่แกร่งแข็งยืนอยู่ข้างหน้าซึ่งนำทีมด้วยกงฮี “ท่านผู้บังคับบัญชาอยู่ไหน?” องค์ชายสองถาม


 


กงฮีไม่รู้จะตอบต่อองค์ชายเช่นไร เขาส่งข้อความมากมายไปหาอันหูเว้ย .. สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ


 


“วันนี้ท่านผู้บังคับบัญชารู้สึกไม่ค่อยดี ท่านจึงส่งข้าน้อยมาต้อนรับพระองค์แทน” กงฮีก้มคำนับ


 


“ลืมเสียเถอะ เรามาอยากกระทันหันจึงไม่ได้แจ้งผู้บังคับบัญชาของเจ้า” องค์หญิงกล่าว “ไปที่ร้านต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ต”


 


“เอ่อ ..” กงฮีเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก


 


คาเฟ่ของฟางฉีอยู่ในชายเมืองซึ่งไม่ห่างไกลจากท่าเรือของจิวหัวมากนัก นั่นร้านเล็กๆ อยู่ปลายสายตา “นั่นร้านที่พวกเขาพูดถึงกันหรือเปล่า?”


 


“มันดูธรรมดามาก ..” องค์หญิงจีหยูทำหน้าผิดหวังจากที่ฟังมาพลางคิดคาดเดาว่าร้านจะต้องใหญ่และงดงามเป็นแน่ แต่.. ของจริงแตกต่างกับสิ่งที่เคยคิดสิ้นเชิง!


 


อย่างไรก็ตามร้านตรงหน้าเธอตอนนี้ดูไม่มีอะไรผิดปกติ เว้นแต่ใช้กระจกฟุ่มเฟือยไปหน่อย เมื่อเปิดประตูเข้าไป เธอพบว่าร้านเต็มไปด้วยลูกค้ามากมาย ก่อนจะถึงเคาร์เตอร์ชายชราผมขาวสองคนกำลังพูดถึงบางสิ่งพร้อมเพลิดเพลินกับของว่าง


 


ชายชราทั้งสองดูค่อนข้างคุ้นเคยกับเธอ


 


ใบหน้าสวยๆ ของจีหยูกระตุก .. นั่นท่านผู้นำนักรบนาหลันผู้มีชื่อเสียงเรื่องคุณธรรมอันยอดเยี่ยมในสงคราม!


 


เธอมองไปรอบๆ ร้านสังเกตเห็นว่าซงฉิงเฟิง, นาหลันหมิงสื่อพร้อมผองเพื่อนยืนตะโกนกันอยู่ “ท่านใช้โล่สิ!”


 


“บ้าเอ้ย เจ้าของร้านนั้นแข็งแกร่งสุดๆ ไปเลย”


 


“โอ้นั่น รูน13”


 


ดวงตาของจีหยูเบิกโพง เธอจำได้ว่าพวกเขาเป็นสาวกชั้นสูงที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้เลยในการสอบระดับชาติ! นาหลันหมิงสื่ออัจฉริยะและแข็งแกร่งมาก


 


“…”


 


จากนั้นเธอหันไปเห็นชายวัยกลางคนที่กำลังยืนพิงเคาน์เตอร์พลางพูดเสียงดังพร้อมกินฮาเก้นดาสอย่างเอร็ดอร่อย ..


 


นั่นไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาใช่มั้ย? เขาอ้างว่าเขาป่วย แต่จริงๆ แล้วเขาอยู่ที่นี่งั้นหรอ?


 


เกิดอะไรขึ้น?


 


กงฮีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ “ท่านผู้บังคับบัญชาสั่งไว้ว่าหากอยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องทำตัวทางการกับท่าน”


 


“เจ้าของร้านอยู่ไหน?” เจ้าหญิงจีหยูรู้สึกไม่สบายใจนัก ร้านนี้ช่างต่างกับที่เธอคาดคิดเสียจริง


 


กงฮีมองไปรอบๆ พร้อมชี้นิ้วไปยังจุดศูนย์กลางของผู้ชม “ข้าน้อยเดาว่าเจ้าของร้านกำลังเล่นเกมอยู่ตรงนั้น”


 


จีหยูรู้สึกว่าที่นี่ช่างขัดกับความคิดของเธอ เธอรู้สึกว่ามันต้องเป็นไปตามพื้นฐานที่ทุกคนควรปฏิบัติกับเธอสิ


 


จู่ๆ เหล่าสาวกชั้นยอดของสำนักเฉิงจิ้งและซียี่ก็เดินทางมาถึงพร้อมด้วยนายกจาง


 


“หืม? ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?” นายกจางทำหน้าประหลาดใจ


 


“ที่นั่งเต็มหมดแล้ว ..” พวกเขาที่มารู้สึกอยากร้องไห้ ตอนนี้ทุกที่เต็มไปด้วยลูกค้า บางคนเองก็ยังหาที่นั่งไม่ได้


 


ยิ่งซงซวนยืนนิ่ง “พวกเราต้องใช้เวลาอย่างมากเพื่อเดินทางมาที่นี่ แต่นี่เราต้องมาเข้าแถวรออีก?”


 


สีหน้าของเซียวเลงยูนั่นไม่ต่างกัน “เจ้าของร้านมีการจัดการยังไงกัน?”


 


เมื่อหันไปมองรอบๆ เห็นนาหลันหมิงสื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังดูฟางฉีเล่น “นั่นไงเจ้าของร้านนั่งอยู่ตรงนั้น ทำไมเขาให้เธอยืนรอละ”


 


นาหลันหมิงสื่อหันกลับไปมองเซียวเลงยูพร้อมชี้นิ้วไปที่กระดานดำเล็ก กฏบอกอย่างชัดเจนว่า จะเล่นหรือออกไปก็ได้ตามใจลูกค้าทุกคน


 


“แต่เธอก็ยัง ..” เซียวเลงยูกำลังจะพูดต่อ แต่พอนึกย้อนไปเมื่อตอนสอบระดับชาติแล้วไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะเสียเวลาเพื่อรอ


 


จะต้องมีเจ้านายหรือคนยิ่งใหญ่คอยดูแลร้านมหัศจรรย์แห่งนี้เป็นแน่


 


“ฉันเคยได้ยินแต่เซียนกระบี่พิชิตมาร” เซียวเลงยูชี้นิ้วไปที่กระดานดำ “แล้วราชวงศ์หยกคืออะไร?”


 


คนอื่นๆ ต่างมีคำถามในใจเป็นคำถามเดียวกับเลงยู แต่พวกเขาเลือกที่จะเงียบเพื่อฟังคำตอบ


 


นาหลันหมิงสื่อมองหน้าเธอ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”


 


“…”


 


“มีคนเล่าว่าเจ้าฆ่าพระเจ้าในเกมเซียนกระบี่พิชิตมารจริงหรือไม่?” เซียวเลงยูถามด้วยความสงสัย “แล้วราชวงศ์หยกนี่เกี่ยวกับสงครามคนอมตะหรือเปล่า?”


 


“สงครามคนอมตะ!!??” ผู้คนจากสำนักซียี่และเฉิงจิ้งหันไปทางเดียวกันเมื่อได้ยินคำถาม


 


ฟางฉีที่กำลังเล่น Diablo จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้น “โอ้นี่มันกี่โมงแล้ว สองทุ่มหรือยังข้าจะถ่ายทอดสด”


 


“ถ่ายทอดสด?” นาหลันหมิงสื่อทวน “วันนี้ท่านจะถ่ายทอดสดเกี่ยวกับอะไร? รายการใหม่หรือ?”


 


“แทนแท้น!” ฟางฉีทำเสียงล้อ “น่าเสียดายที่ไม่มีรางวัลให้แก่คนที่ตอบถูก”


 


“ถ่ายทอดสดอะไรหรอ?” เซียวเลวยูถามอีกครั้ง


 


“พวกท่านสามารถดูราชวงศ์หยกจากการถ่ายทอดสด” นาหลันหมิงสื่อชี้ไปที่หน้าจอยักษ์


 


“ดู? เท่าไร?” เซียวเลงยูถาม คำถามของเธอได้ถามแทนเหล่าสาวกหลายคน


 


“ฟรี!”


 


“จริงหรอ?” เซียวเลงหยูตอบกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ


 


หลายคนเมื่อได้ยินบทสนทนาพวกเขาต่างตื่นเต้น บทสนทนาได้แพร่กระจายไปยังสาวกของสองสำนักที่เดินทางมา


 


“ดูราชวงศ์หยกกันเถอะ! เจ้าของร้านบอกว่าฟรี!” ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอ

 

 

 


ตอนที่ 163

 

หลายคนที่ได้เห็นราคาแต่ละเกมหรือราคาสินค้าแต่ละอย่างที่มีค่าหลายคิรสตัล พวกเขารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินข้อเสนอเรื่องละครว่าดูฟรี!?


 


ซึ่ง .. มันคือรายการใหม่!


 


พวกเขาที่เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกได้ยินเรื่องเล่าขานจากปากต่อปาก อีกทั้งบางคนก็ได้เห็นของจริงกับตาในการสอบ พวกเขาพอทราบมาบ้างแล้วเกี่ยวกับการเล่นที่เสมือนจริง การเพิ่มระดับความแข็งแกร่งแลทักษะต่างๆ พวกเขาค่อนข้างคาดหวังว่าอาจมีเวทมนต์ในคาเฟ่แห่งนี้


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้คนส่วนมากเริ่มรู้สึกผิดหวัง .. ที่ต้องใช้เวลารอนานแสนนาน


 


เมื่อได้ยินข่าวว่าจะมีการถ่ายทอดสดทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าต่างรู้สึกดีใจอย่างมาก


 


“มาดูราชวงศ์หยกกันดีกว่า อย่างจะรู้จริงๆ ว่ามันจะดีอย่างที่เจ้าของร้านอวดไว้หรือเปล่า” ในร้านตอนนี้เด็กไปด้วยเหล่าสาวกจากทั้งสามสำนัก


 


การถ่ายทอดสดจะฉายแค่สองตอนเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการดูในโหมดเสมือนจริงในคอมนั่นสามารถดูได้สี่ตอนรวด


 


“ละครมีการตั้งค่าจำลองความเสมือนจริงได้มากกว่านิยาย” เยเสี่ยวเย้อธิบายให้กับผู้ที่มาใหม่ฟัง


 


“เราสามารถสังเกตและเรียนรู้คาถา เทคนิคดาบในละครได้หรือไม่?”


 


“มีการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นมั้ย?”


 


คำพูดและคำถามต่างวนเวียนในหูของผู้ที่อยู่บริเวณนั้น นั่นทำให้พวกเขายิ่งมีจินตนาการไปกันใหญ่เกี่ยวกับการเพิ่มทักษะต่างๆ ของตัวเอง


 


ในไม่ช้า ..”นั่นอาจารย์บรรพบุรุษใบไม้เขียว ยังไม่ได้มีชีวติอมตะอย่างแท้จริง แต่ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้นั่นไม่มีใครเทียบเทียมได้เลย” ผู้ชมเอ่ยความเห็น


 


“อย่าพูดสิ ดูเฉยๆ พอ” เหลียงเฮอหูติเตียนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขามีระดับต่ำกว่ารองผู้อำนวยการของสำนักเฉิงจิ้ง เขาดูละครด้วยความตั้งใจ แม้จะผ่านหน้าจอแต่ก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเทคนิคดาบที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์ที่ทรงพลังแบบที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน


 


“ดูเหมือนว่าอาจารย์บรรพบุรุษใบไม้เขียวยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังของเขาอย่างเต็มที ข้าจะอยากจะรู้จริงๆ ว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน หากใช้กำลังทั้งหมด” นาหลันฮงูพึมพำ ขณะเดินเข้าไปร่วมดูละครกับพวกสาวก


 


“หรือว่าท่านเองอาจยังไม่เข้าใจถึงพลังทั้งหมดของเขา” องค์หญิงทำหน้าประหลาดใจ เธอรู้ว่าอาจารย์บนหน้าจอแข็งแกร่งมาก แต่นาหลันฮงวูเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นสูงของดาจิน เขาเองก็ยังไม่เข้าใจเลย


 


เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาดูละครต่อไปด้วยความตั้งใจ เธอไม่เคยคิดเลยว่าละครมันจะสนุกแบบนี้


 


“เด็กสองคนนี้เป็นตัวละครหลักหรือ? เขาเป็นแค่คนธรรมดาใช่มั้ย?” สาวกจากซียี่ที่กำลังดูละครมองหน้ากันไปมา ยิ่งซงซวนที่ยืนข้างๆ หันไปจ้องหน้าพวกเขาพลางคิดถึงเด็กชายสองคนนี้อาจมีจุดเปลี่ยนหลังจากนี้ก็เป็นได้


 


“ท่าน! ข้าเอาโค้กขวดนึง” ซงฉิงเฟิงตะโกน


 


“ท่าน! ข้าขอด้วย” นาหลันหมิงสื่อแทรก


 


“ท่านข้าด้วย ข้า ข้า ข้า ..” สาวกของสำนักหลิงหยวนตะโกนขอโค้กและฮาเก้นดาส จากนั่นก็นั่งดูความเงียบสงบของหมู่บ้านวัดหญ้าขณะกินด้วยความเพลิดเพลิน


 


“นี่พวกเขาเหมาโค้กและฮาเก้นดาสกันหมดเลยเรอะ?” หลิวหยุนทักถาม “หรือบางทีมันอาจช่วยเพิ่มทักษะเมื่อได้ดื่มเข้าไป?”


 


“อืม .. น่าคิดแฮะ” ยิ่งซงซวนตะโกนขึ้น “ท่าน! ข้าขอโค้กขวดนึง!”


 


“พวกเขาซื้อโค้กกันเรอะ” หวังปู่จินและเซียวเลงยูจากเฉิงจิ้งก็ไม่น้อยหน้า “ท่าน! พวกข้าขอโค้กและฮาเก้นดาสด้วย!”


 


ยอดขายในคาเฟ่พุ่งขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่!


 


เมื่อเห็นลูกค้าหลายคนดื่มโค้กและกินฮาเก้นดาสเจียงเสี่ยวหยูกระทืบเท้าของเธอปึงปังด้วยความอิจฉา “โอ้ย! ข้าใช้เงินจนหมดข้าซื้อะไรไม่ได้เลย งื้อ! อยากกิน”


 


“เสี่ยวหยู” ฟางฉีหยิบคูปองออกมา “ข้าให้รางวัลแก่เจ้าที่สร้างผลงานยอดเยี่ยม เจ้าสามารถซื้อสิ้นค้าอะไรก็ได้ในคาเฟ่จะหนึ่งชิ้นหรืออะไรก็ได้ที่ราคาถูกกว่าห้าคริสตัล”


 


“ว้าว!” เธอทำหน้าประหลาดใจพร้อมเอื้อมมือออกไปรับคูปอง “ข้าสามารถกินฮาเก้นดาสได้แล้ว!”


 


“ขอบคุณนะท่านหัวหน้า!” เธอเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง


 


เสียงฮือฮาดังขึ้น


 


“โค้กสดชื่นสุดๆ ไปเลย”


 


“ว้าว! ข้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลยฮาเก้นดาสอร่อยมาก”


 


“…”


 


“มีอะไรซ่อนอยู่ในนี้หรือเปล่านะ”


 


“หืม .. อาจจะ”


 


“โอ้ยข้าไม่สนหรอก ข้าว่ารสชาติมันดีเหลือเกิน!” ผู้ชมต่างเอ่ยชื่นชมและดูราชวงศ์หยกกันอย่างสนุกสนาน


 


ในไม่ช้าเรื่องก็ดำเนินมาถึงตอนที่หลินจิงหยูได้เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อคุมสีดำเขาถูกพาตัวไปโดยซังซอง


 


บนหน้าจอปรากฏการต่อสู้ระหว่างซังซองและปูชิภายใต้ท้องฟ้าสีมืดมนชวนตื่นเต้น หนึ่งในกลุ่มผู้ต่อสู้คือพระภิกษุผู้ศักดิ์สิทธิ์ของวัดฟ้าร้อง (เทียนหยิน) และอีกคนหนึ่งคืออาจารย์แห่งเมฆเขียว


 


พระภิกษุแทบไม่เคยเห็นเทคนิคที่ทรงพลังและยอดเยี่ยมมาก่อน


 


ขณะเดียวกันที่กำลังต่อสู้นั้นซังซองผู้สวมเสื้อผ้าสีดำได้ใช้พลังจนถึงขั้นเจ็ดดาว เขากำลังสวดมนต์คาถาดาบ “พลังแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่ขอจองกลายเป็นสายฟ้าเพื่อฟาดฟันตามเพลงดาบของข้า!”


 


ดาบเล่มนี้คืออะไรกัน? เขาจะนำพาพลังแห่งสวรรค์ได้อย่างไร?


 


เมฆค่อยๆ กลายเป็นสีดำทะมึนพร้อมลมพัดกรรโชกอย่างรุนแรง ผู้ชมต่างรู้สึกตื่นเต้นกับฉากนี้


 


“คาถาที่แท้จริง สามารถควบคุมสายฟ้าได้ด้วย?” บนหน้าจอปรากฏสายฟ้าส่องประกายวิบวับชวนน่ากลัว


 


“คาถาที่แท้จริงควบคุมสายฟ้าด้วยดาบอย่างดุเดือด!” ทุกคนในคาเฟ่อุทาน “นี่โลกนี้มีคาถาดาบหรือไม่?”


 


ผู้ชมต่างรู้สึกประหลาดใจกับตัวละคนอย่างมาก เขาสามารถดึงพลังจากสวรรค์โดยใช้เพลงดาบสะกด


 


เทคนิคดาบนั้นมีอยู่จริงหรือเปล่า? ความสงสัยทำให้พวกเขาตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น พวกเขาแอบคิดว่าอาจสามารถเรียนรู้เทคนิคและคาถาได้จากละคร!


 


ความสงสัยในตัวตนของชายผิวคล้ำทำให้ผู้ชมต่างจินตนาการตามๆ กันว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาสามารถเรียนรู้เพลงดาบสะกดพลังนี้จะมีพลังแข็งแกร่งอย่างชายผิวคล้ำคนนี้หรือเปล่านะ?


 


พวกเขาคิดในหัวอย่างมีความสุข!

 

 

 


ตอนที่ 164

 

“นี่ท่านมาจากกลุ่มเมฆเขียวหรือไท่? กลุ่มเมฆเขียวนั้นเป็นฝ่ายชอบธรรมไม่ใช่หรือ? ท่านเป็นผู้ปลูกฝังที่ชั่วร้ายท่านจะมาจากที่นั่นได้อย่างไร?” เสียงปูชิตะโกนถาม


 


ก่อนหน้านี้ไม่นานชายผ้าดำวางแผนว่าจะสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณขึ้นโดยใช้เด็กชายเป็นเหยื่อ ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ถือเป็นเรื่องอาชญากรรมที่น่ารังเกียจบนโลกนี้


 


ดาบควบคุมคาถาและสายฟ้าของพระเจ้ากำลังจะจู่โจมพุ่งเข้าหาปูชิ ตอนนี้เขาดูกลายเป็นคนอ่อนแอและไร้อำนาจ!


 


“เขากำลังตกอยู่ในอันตราย!” ผู้ชมบางคนมีสีหน้ากังวล


 


จะเกิดอะไรขึ้นกับพระผู้ศักดิ์สิทธิ์และเด็กชายสองคนนี้?


 


ในขณะที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบจากหน้าจอยักษ์ จู่ๆ แสงจากหน้าจอก็จากลงพร้อมข้อความที่ปรากฏขึ้น [ตอนที่สองของละครได้จบลงแล้ว]


 


พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตารอมาตั้งนาน แต่ตอนที่สามก็ยังไม่มา “วันนี้ถ่ายทอดสดจบลงแล้ว”


 


“!!??”


 


“ท่านหมายความว่าไง?” ทุกคนทำหน้างง


 


เกิอะไรขึ้น!? พวกเขาไม่เข้าใจ!


 


ละครดำเนินมาถึงส่วนที่สำคัญและน่าตื่นเต้น แต่มัน .. จบลงโดยไม่มีตอนต่อ


 


“นี่เจ้าของ!” นายกจางทำหน้าไม่สบอารมณ์ “ใครจะตาย คนชั่วร้ายหรือท่านปูชิกันแน่? จุดสำคัญกำลังมาทำไมถึงจบง่ายดายแบบนี้!?”


 


“มันไม่ได้มีสี่ตอนหรอกหรอท่าน?” มีคนถาม


 


“มีเพียงสองตอนเท่านั้นที่เราจะทำการถ่ายทอดสด” ฟางฉีตอบกลับด้วยเสียงเรียบ


 


เซียวเลงหยูกัดฟันรู้สึกอยากร้องไห้ “ข้ารู้สึกไม่เข้าใจ ข้าตั้งหน้าตั้งตารออย่างตั้งใจทำไมมันถึงจบแบบนี้”


 


“นี่คือ ..” เหลียงเฮอหูทำหน้าสงสัย “ท่านตั้งใจทำแบบนี้หรอ?”


 


พวกเขารู้สึกแย่ เมื่อจุดสำคัญและส่วนที่ตื่นเต้นจบลงโดยไม่มีตอนสามและสี่


 


พวกเขากำลังจะขาดใจ!


 


จางวันยูหัวเราะเบาๆ “ข้าจะเอาดาบออกมาเพื่อไล่ตีเจ้าของ!”


 


ตงชิงลี่ทำหน้าเซ็ง แต่อย่างน้อยเธอก็ดูครบสี่ตอนแล้วในตอนนี้


 


ต่างจากอีกหลายคนที่กำลังเข้าแถวรอเพราะเพิ่งรู้ว่ามีอีกสองตอนที่พวกเขาสามารถดูได้!


 


“โชคดีจริงๆ ที่วันนี้ข้าดูครบแล้ว” นาหลันฮงวูถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


องค์หญิงทำหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินคำพูดจากปากนาหลันฮงวู เธอเพิ่งดูไปเพียงสองตอนเท่านั้น! เธอหันไปจ้องหน้าฟางฉีด้วยสายตาอาฆาต


 


ฟางฉีเดินกลับไปนั่งที่เคาน์เตอร์ของเขาอย่างใจเย็นและปิดทุกอย่างบนโต๊ะทำงาน


 


“ท่านเล่นเสร็จแล้วหรอ?”


 


“ใช่” เขาพยักหน้า “ข้าเล่นไปวันหนึ่งแล้ว ตอนนี้ข้าอยากออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง!”


 


“ท่านเจ๋งมาก!” จีหยูชม ระหว่างทางเธอกำลังจะเดินออกไปแต่กลับได้ยินน้ำเสียงเย็นๆ “ข้ามารอก่อนนะ!”


 


“มานานแล้งหรอ? งั้นมานั่งนี่!” ฟางฉีควักมือเรียกนาหลันหมิงสื่อ


 


จีหยูรู้สึกหัวร้อน!


 



 


นาหลันหมิงสื่อ, ซงฉิงเฟิงและสาวกคนอื่นๆ จากสำนักหลิงหยวน พวกเขามาถึงก่อนที่ลูกค้าหน้าใหม่จะมาถึง สำหรับตอนนี้เองห้าชั่วโมงผ่านไปองค์หญิงและสาวกจากอีกสองสำนักก็ได้เวลาเสียที


 


ฉันจะดูตอนสามและสี่ หลายคนกระตือรือร้นที่จะดูละครก่อนจะทำสิ่งอื่นใด


 


“ในที่สุดก็ตาฉันสักที!” องค์หญิงจีหยูรวมถึงลูกค้าที่รอคอยต่างรู้สึกตื่นเต้น


 


– สองชั่วโมงต่อมา –


 


“เซียวฟานจะถูกนำตัวไปมั้ย?”


 


“ไม่มีใครต้องการตัวเขาเลย เขาจะทำยังไงดี?”


 


หน้าจอจาจางลงอีกครั้ง ทุกคนที่ดูต่างพูดไม่ออก มันจบลงแล้ว!


 


พวกเขาคิดว่ามันคงจะแตกต่างจากการถ่ายทอดสด แต่.. เปล่าเลยมันจบลงในช่วงสำคัญอีกครั้ง พวกเขารู้สึกกระอักเลือดเหมือนใจจะขาด รอตอนต่อไปไม่ไหวแล้วว้อย!


 


“ตอนที่ห้าและหกอยู่ไหน!”


 


“เจ้าของร้านบอกว่าเขาจะเพิ่มตอนที่ห้าและหกให้ในวันพรุ่งนี้!” มีเสียงเล็ดรอดตอบกลับ


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตอนนี้ในคาเฟ่บรรยากาศเริ่มหดหู่และเศร้าหมอง เมื่อเห็นหน้าจอดำปรากฏขึ้นอีกครั้งทุกคนใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม


 


“เจ้าของร้านอยู่ที่ไหน เขาอยู่ไหน!?”


 


พวกเขามองหน้ากันแล้วหันมองรอบๆ คาเฟ่ด้วยสายตาที่เหลืออดอยากจะลากเขาและจัดการให้น่วม!


 


“เจ้าของร้านออกไปเล่นข้างนอกเมื่อสองชั่วโมงก่อน” นาหลันหมงิสื่อถอดชุดหูฟัง VR ออกเพื่อตอบคำถาม “ด้วยความเร็วของเทคนิคการควบคุมดาบ ไม่แน่ตอนนี้เขาอาจจะอยู่นอกเมืองดาจินก็เป็นได้”


 


ทุกคนทำหน้าเครียดแค้น!


 


“แต่ถึงยังไง หากเขาอยู่ที่นี่เขาก็จะพูดเหมือนเดิมว่า ถ้าพวกท่านทำอะไรร้านนี้ก็จะถื่อว่าเป็นผู้สร้างปัญหา” ใบหน้าเย็นชาของนาหลันหันไปจ้องมองเซียวหยู ใช่! สิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง ไม่แปลกใจทำไมทุกคนที่ขู่ว่าจะทำร้ายถึงสงบลง


 



 


ในตอนนี้เองฟางฉียังคงอยู่ในดาจิน เขาเองก็เกรงว่าหากออกนอกเมื่อไปแล้วกลับมาในเวลากลางคืนอาจจะจำทางกลับไม่ได้


 


เขาพยายามฝึกฝนเทคนิคการควบคุมดาบให้สำเร็จ ในขณะเดียวกันเขาได้รับภารกิจใหม่อีกเช่นเคย


 


ภารกิจใหม่ : ฝึกจิตใจ


 


กระบวนการทำงาน : การเปิดใช้งานละครราชวงศ์หยก 200 ครั้ง


 


รางวัลภารกิจ : Silint Hill 2 ภาครีเมคเสมือนจริง


 


คำอธิบายงาน : จัดการกับจิตใจที่ไม่มั่นคง สร้างความแข็งแกร่งให้ผู้เล่นที่อ่อนแอเพื่อเพิ่มประสบการณ์


 


ลึกๆ แล้วในใจของฟางฉียังคงรู้สึกถึง ‘กลัว ความอาฆาต’ ในภารกิจนี้


 


“แล้วอย่างปีศาจและสัตว์ประหลาดทุกชนิดในโลกนี้ละ” ฟางฉีเปล่งเสียงอย่างสงสัย “ท่านแน่ใจหรอว่าเกมนี้จะสามารถทำให้จิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น ทำให้พวกเขาหายกลัวสิ่งต่างๆ”


 


ฟางฉีจำได้ว่า Resident Evil เป็นเกมสยองขวัญมันทำให้คนบางกลุ่มกลัว แต่เมื่อได้ฝึกฝนแล้วมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัวเท่ากับการสัมผัสในครั้งแรก


 


สำหรับคำถามของเขาได้รับคำตอบกลับว่า [รับประกันว่าผลิตภัณฑ์ของระบบมีคุณภาพที่ดีที่สุด]


 


ฟางฉีทำหน้าสะอิดสะเอียน เชื่อแล้วจ้า!


 


เขาก็ยอมรับแหละว่ามันเป็นวิธีการที่พิเศษจริงๆ เพราะเกมทำให้จิตใจของเขาแข็งแกร่งและมีความมุ่งมั่นมากกว่าแต่ก่อนอย่างมาก!


ตอนที่ 165

 

หลังจากได้รับภารกิจแล้ว ฟางฉีจ้องมองที่ส่วนต่อประสานงานเพื่อทำความเข้าใจในรายละเอียด เขาพบว่าภารกิจนี้มีความน่าสนใจไม่น้อยเลย ภารกิจนี้มีความต้องการที่จะให้ลูกค้าเปิดใช้งานละครสองร้อยครั้งของแต่ละตอน


 


ตอนนี้มีทั้งหมดสี่ตอน สำหรับตอนที่สามและสี่ได้มีการเปิดใช้มากกว่าร้อยครั้งในขณะเดียวกันสำหรับตอนที่หนึ่งและสองยังคงมีการเปิดใช้ไม่เท่าไร


 


ตอนนี้ลูกค้าทั้งหมดเริ่มสงบลงเมื่อมั่นใจแล้วว่าวันนี้ไม่มีตอนที่ห้าและหกอย่างแน่นอน


 


เนื่องจากฟางฉีไม่อยู่ที่นี่พวกเขาจึงไม่สามารถระบายความโกรธเคืองที่มีได้ พอทำอะไรไม่ถูกจึงเลือกที่จะกลับไปย้อนดูตอนแรกและตอนสองเพื่อสังเกตเทคนิคการควบคุมดาบรูปแบบใหม่เพื่อเข้าใจอย่างลึกซึ้ง


 


ยอดของการเปิดใช้งานของตอนแรกและตอนสองเริ่มขยับขึ้นเรื่อยๆ


 


เวลาเดียวกันนายกจางที่ได้รับชมละครเขารู้สึกแปลกไปสัมผัสของร่างกายเริ่มชัดเจนมากขึ้น ความกังวลใจความอ่อนแอภายในจิตเริ่มชัดเจนรู้สึกตัวเลยว่ามันเริ่มไม่ปกติอีกต่อไป


 


องค์หญิงพร้อมสาวกจากสองสำนักพวกเขามาถึงเมืองจิวหัวในเวลาบ่ายและวางแผนที่จะเดินทางกลับในเวลากลางคืน อย่างไรก็ตามเนื่องจากเกิดความล่าช้าเป็นเวลาหลายชั่วโมงในการรอเข้าแถวตั้งแต่บ่ายจนเกือบเย็น เมื่อเล่นเสร็จก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน ตอนนี้ถึงเวลาเดินทางกลับแล้ว


 


แม้ว่าจะคนส่วนมากที่มาจะดูละครไปสี่ชั่วโมงแถมเล่นเกมอีกสองชั่วโมง รวมแล้วหกชั่วโมงพวกเขาก็ยังคงลังเลใจที่จะออกจากคาเฟ่ เพราะมันเพลิดเพลินเสียจนลืมโลกภายนอกไปเลย


 


“มันเยี่ยมโคตร ไม่รู้มาก่อนเลยว่าสาวกจากสำนักหลิงหยวนจะได้รับการฝึกฝนแบบนี้ทุกวัน!” หลิวหยุนพูดคุยกับเพื่อนของเขาขณะที่เดินออกจากคาเฟ่มาสักพัก “เราสามารถดูการต่อสู้ของเหล่าปรมาจารย์เพื่อสร้างแรงบรรดาลใจจากพวกเขา!”


 


“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีร้านมหัศจรรย์แบบนี้บนโลกด้วย!”


 


“ข้าอยากดูราชวงศ์หยกทุกวัน!” ยิ่งซงซวนกล่าว “จางเซียวฟานและหลินจิงหยูทั้วสองเข้าร่วมกับกลุ่มเมฆเขียว หากหนึ่งในนั้นถูกพาตัวไปในฐานะลูกศิษย์จะสามารถเรียนรู้เทคนิคการบ่มเพาะและเทคนิคการควบคุมดาบ!”


 


“ใช่” หลิวหยุนเสริม “ข้าก็สงสัยว่าพวกเราจะสามารถเรียนรู้คาถาทางจิตวิญญาณและเทคนิคดาบควบคุมสายฟ้าได้หรือไม่!?”


 


“มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น!” เยเฟงหัวศิษย์หมายเลขหนึ่งของบ้านซวนจากบ้านซียี่ ชายหนุ่มหน้าอ่อนกว่าวัยผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะพูด “ข้าเองก็สงสัยไม่น้อยไปกว่าพวกท่านเลย ข้าคิดว่าละครเรื่องนี้คงมีเทคนิคอีกมากสิ่งที่เราเห็นน่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ..”


 


คำพูดของเขาไม่เพียงสกิดใจให้เหล่าสาวกคิดทบทวน แต่.. อาจารย์จากสำนักซียี่ที่ได้ยินก็เช่นกันนั่นเป็นคำพูดที่ชวนสงสัยไม่น้อยเลย


 


“สำหรับจิงหยูแล้วเขาน่าจะมีโอกาสมากกว่าเซียวฟาน เพราะคนอื่นมองว่าเซียวฟานนั่นไม่มีความสามารถเท่าจิงหยู”


 


ขณะที่พวกเขากำลังเดินกลับก็ได้พูดคุยถึงพล็อตเรื่องของราชวงศ์หยก


 


“ความเห็นส่วนตัวนะ ฉันว่าจุดลมหวน(เฟงฮุย) เป็นตัวเลือกที่ดี” หลิวหยุนคาดการณ์ “ณ จุดนั่นฉันว่าดูเหมาะสมแข็งแกร่งและอ่อนโยนน่าจะเหมาะกับเซียวฟาน”


 


“โอ้ เจ้าแน่ใจนะว่าเด็กคนนี้จะได้เป็นตัวละครหลัก?” ยิ่งซงซวนทวนถาม “เขาดูน่าเบื่อ ..”


 


“เราต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ท่านว่าพรุ่งนี้จะมีที่นั่งสำหรับพวกเรามั้ย?” เยเฟงหัวถาม


 


“งั้นรายงานกลับไปยังสำนักว่าคืนนี้พวกเราจะไม่กลับ!” ยิ่งซงซวนกล่าว “เราจะกลับไปวันพรุ่งนี้หลังจากได้ดูตอนที่ห้าและหก”


 


“นั่นเป็นเรื่องดี! พรุ่งนี้เราจะต้องตื่นเวลาเจ็ดโมงเช้าและถึงคาเฟ่ก่อนแปดโมงเพื่อดูราชวงศ์หยก!”


 



 


ด้วยอาการบาดเจ็บนั่นจึงส่งผลให้องค์ชายห้าจีหยางเดินทางมาช้ากว่าคนอื่นๆ “ท่านพี่สองและพี่หญิงวันนี้พวกท่านเล่นเกมอะไรกัน?”


 


“เซียนกระบี่พิชิตมาร!” องค์หญิงพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ฉันได้ผ่านเกาะแห่งสวรรค์และได้เรียนรู้เทคนิคการควบคุมดาบอมตะแล้วเจ้าสองคนละ?”


 


“เอ่อ ..” องค์ชายสองอ่ำอึ้ง “ท่านสุดยอดมาก! ข้ายังอยู่ที่เกาะแห่งสวรรค์อยู่เลย”


 


“ข้าลอง Diablo ก่อนเลยยังไม่ไปถึงไหนเลย” จีหยางกล่าว “เจ้านี่มีฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคเขาได้ยินเสียงอุทานจากสาวกของสำนักเฉิงจิ้ง “น้องเซียว เจ้ามาถึงซูโจวแล้วหรอ? ไวจริงๆ”


 


หลังจากดูละครจบสี่ตอน พวกเขาเหลือเวลาเล่นเพียงแค่สองชั่วโมง


 


องค์หญิงและองค์ชายทั้งสมองหันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ พวกเขาคิดว่าพวกเขารวดเร็วแล้วแต่พบว่า มีใครอีกคนนั้นเร็วกว่า!


 


“ที่ข้าไปได้ไหวก็เพราะท่านเซียวคนนี้!” เซียวเลงยูชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมสีเหลืองเขาโบกมือตอบกลับ


 


“บ้าน่า!” เมื่อเหล่าสาวกจากสำนักเฉิงจิ้งมองไปที่เซียวหยูเขายิ้มเยาะอย่างพอใจ “ข้ารู้ทักอย่างเกี่ยวกับเกมเซียนกระบี่พิชิตมารสำหรับข้ามันหมูมาก!”


 


“เยี่ยม!”


 


เซียวหยูพูดอย่างภูมิใจ “ถ้าท่านทำตามคำแนะนำของข้า ด้วยเกียรติของข้าเจ้าจะเล่นเกมจบต่อหน้าต่อตาคนอื่นในอีกไม่นาน!”


 


เสียงอึกทึกดังขึ้น “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าวังหลิวหยุนจะมีคนที่มีความสามารถมากเช่นนี้!”


 


องค์หญิงและองค์ชายทั้งสองเมื่อได้ยินบทสนทนาพวกเขารีบอีกหน้าเพื่อทักถาม “นี่ท่านคุ้นเคยกับเกมเหล่านี้หรือ?”


 


“ข้าค้นพบมันกับมือ!” เซียวหยูโอ้


 


“นี่ท่านอาจารย์เซียว พรุ่งนี้ข้าจะให้ทิปเจ้าสนใจมั้ย?” องค์ชายสองทำหน้าวาว


 


“ไม่มีปัญหา!”


 


“ข้าได้ยินมาว่าหากมีเพื่อนร่วมทีมจะสามารถเพิ่มระดับได้อย่างรวดเร็ว ข้าไปถามรอบๆ แล้วไม่มีใครสนใจข้าเลย” องค์ชายห้าเอ่ย “ท่านพี่เซียวท่านช่วยพาข้าเข้าร่วมทีมด้วยได้มั้ย?”


 


“ไม่ได้!” สีหน้าของเซียวหยูเปลี่ยนไปจากร่าเริงในตอนนี้เขาดูหนักใจไม่เบา


 


บรรยากาศที่เคยคึกคักรอบตัวเปลี่ยนเป็นวังเวงและเงียบกริบ


 


เงียบ .. จนได้ยินเสียงลมหายใจ


 


“…”


 



 


เทคนิคการควบคุมดาบของฟางฉีในตอนนี้ถือว่าอยู่ในระดับเชี่ยวชาญแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะเป็นรางวัลจากระบบ เห็นได้ชัดว่าการใช้งานค่อยข้างต่างจากการฝึกฝนด้วยตัวเอง แต่มันไม่ได้แตกต่างมากนัก ความแตกต่างอาจเห็นได้จากช่วงเวลาสำคัญ โดยนั่นเป็นส่วนหนึ่งความแตกต่างระหว่างการฝึกฝนด้วยตัวเองกับรางวัลคือความละเอียดอ่อนของเทคนิค


 


สิ่งที่ดีคือฟางฉีได้มีการฝึกฝนจนเข้าใจเขาจึงคุ้นเคยกับการบินด้วยดาบอย่างมาก


 


เกือบจะรุ่งสางแล้วที่ฟางฉีใช้เวลาบินอยู่บนดาบของเขา


 


เมื่อเดินทางกลับมาถึงคาเฟ่ เขาผลักประตูเขาไปรู้สึกพอใจอย่างมาที่เห็นภายในคาเฟ่สะอาดและมีระเบียบ


 


หลังจากฝึกฝนมาหลายวัน เขาแทบไม่ได้นึกถึงเป้าหมายที่ระบบตั้งไว้เลย สำหรับรางวัลภาระกิจคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของชาวจีนในราคาสี่คริสตัลพร้อมไส้กรอกแสนอร่อยอีกสองคริสตัล


 


เมื่อฟางฉีอาบน้ำเสร็จก็เป็นเวลาสำหรับอาหารเช้าพอดี เขาค้นพบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและไส้กรอดขนาดเล็กในตู้ พร้อมเครื่องทำน้ำร้อนเครื่องใหม่ไว้ใช้สำหรับปรุงบะหมี่ เขาเหลือบมองไปที่น้ำข้างในพบว่ามันเป็นน้ำชนิดเดียวกับที่ใช้ผลิตสไปร์ท!


(ผู้แปล : โอเว่อร์มาก ฮ่าๆ)


 


เขาอ่านส่วนผสมของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันทำจากกะหล่ำปีดอกพร้อมสมุนไพรหยกขาวและสมุนไพรทางจิตวิญญาณอื่นๆ หลายขั้นตอน แม้แต่เส้นบะหมี่ยังทำจากข้าวสาลีพร้อมธัญญะพืชต่างๆ ที่ได้รับการคัดเลือกอย่างมีคุณภาพ ปลูกด้วยปุ๋ยชั้นเลิศ แถมไส้กรอกที่ตามมาด้วยนั้นยังผ่านการผลิตที่ยอดเยี่ยมโดยใช้เนื้ออสูรที่ขุนอย่างดี


 


ฟางฉียืนอึ้งเมื่อได้อ่านรายละเอียดส่วนผสม พบว่าส่วนประกอบมันสุดจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 166

 

“ช่างมันเถอะ! ลองเลยดีกว่า” ฟางฉีพึมพำกับตัวเองด้วยความหิว เขาพบว่าซองเครื่องปรุงก็มีความพิเศษเช่นกัน ไม่มีสิ่งติดข้างเลยเมื่อเทเครื่องปรุงลงไป


 


เขาเปิดเครื่องทำน้ำร้อน .. เทน้ำร้อนใส่ในถ้วยจนพอดี ชามกระดาษถูกออกแบบมาให้หนาพอที่จะไม่ลวกมือ จากนั้นเขาใส่ไส้กรอกตามลงไปพร้อมปิดฝา


 


.. สามนาทีต่อมา


 


เพื่อให้แน่ใจว่าวันนี้พวกเขาจะได้ดูราชวงศ์หยกตอนที่ห้าหกแน่ๆ ในวันนี้ทุกคนเดินทางมาถึงคาเฟ่ในเวลาเช้าตรู่


 


องค์หญิงและเจ้าชายทั้งสององค์เดินทางมาถึงคาเฟ่ในเวลาเจ็ดโมงเช้า


 


“นี่น้องหญิงเจ้าทานอะไรมาหรือยัง?” องค์ชายสองถามเขาเองก็ยังคงไม่มีอะไรตกถึงท้อง


 


“ไม่ ..” จียูตอบพลางเอามือแตะท้องด้วยความหิวเพราะตั้งแต่เมื่อวานเธอยืนรอเขาแถวตั้งแต่บ่ายจนเย็นแกมยังเล่นเกมจนเพลินจนลืมกินไปเลย


 


เธอไม่ได้แตะอะไรเลยนอกจากฮาเก้นดาสกับโค้กหนึ่งชวด


 


“ข้าก็ยัง!” องค์ชายห้าตอบ “ร้านอาหารศาลาลมและพระจันทร์เป็นร้านที่มีชื่อเสียงของที่นี่ เราไปที่นั้นหลังเล่นเกมเสร็จกันเถอะ”


 


“อาหารในร้านศาลาลมและพระจันทร์นั้นแตกต่างจากของกินที่นี่นะ” สาวสวยสองคนเอ่ย


 


“ท่าน! เราขอฮาเก้นดาสพร้อมโค้กอย่างละสอง” ตงชิงลี่พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “วันนี้ข้าไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าจะกินให้อิ่มเลย”


 


“เจ้าพูดจริงหรอ?” องค์ชายบห้ามองพวกเธอ ”ทำไมเธอดูคล้ายกับเจ้าของร้านศาลาลมและพระจันทร์ ..” เขายืนมองผู้หญิงสองคนนี้เดินผ่านไป เธอสองคนนี้หน้าคุ้นมากเหมือนเคยเจอมาก่อน


 


พวกเธอดูเปลี่ยนไปมาก หรือว่าเราจะหลอนไปเอง!


 


ตงชิงลี่ที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ได้กลิ่นหอมโชยมา “กลิ่นอะไร? มันหอมมาก!”


 


บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของฟางฉีตอนนี้พร้อมเสิร์ฟขึ้นโต๊ะแล้ว เขาเปิดฝาออกมาจึงทำให้ความหอมแผ่กระจายไปทั่วสถานที กลิ่นหอมเบาๆ ชวนหิวจริงๆ


 


“ท่าน! นี่คืออะไร?” จางวันยูจ้องหน้าฟางฉีด้วยสายตาดุดัน “มีขายมั้ย?”


 


ฟางฉีไม่ตอบอะไร .. เขาตักบะหมี่เข้าปากพร้อมซู้ดน้ำซุปตาม


 


ด้วยความหอมของเส้นบะหมี่ที่ทำจากสมุนไพรทางจิตวิญญาณที่อยู่ในปากของเขาพร้อมน้ำซุปที่หอมหวานชวนฝัน เมื่อรวมกันมันลงตัวอย่างมาก ความอบอุ่นของน้ำไหลผ่านลำคอลงสู่ท้อง ..


 


“อร่อยจัง!” ดวงตาของฟางฉีเปล่งประกาย


 


“ท่าน! ทำไมทำแบบนี้” ตงชิงลี่ทำหน้ามุ่ย เธอละอยากจะเอื้อมมื้อไปคว้าถ้วยบะหมี่จริงๆ


 


“ท่าน! มันมีขายมั้ยเนี่ย” จางวันยูเลียริมฝีปากของเธอ เธอยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าแถมยังต้องมาเห็นภาพฟางฉีที่กินอย่างเอร็ดอร่อยอีก


 


เธอรู้สึกอยากฟาดใครบางคน!


 


“สี่คริสตัลสำหรับบะหมี่หนึ่งถ้วย!” ฟางฉีกล่าว “เจ้าสามารถเพิ่มไส้กรอกได้อีกด้วยคริสตัลสองก้อน แต่.. พวกเจ้าต้องบริการตัวเอง”


 


“บริการตัวเอง?” พวกเขามองหน้ากัน ทำไมเราต้องมาบริการตัวเองด้วยนะ!?


 


“ข้ารู้สึกหิวแต่ต้องให้ข้ามาทำอะไรด้วยตัวเองแบบนี้ มันเหมาะสมแล้วหรือกับหญิงสาวแสนสวยอย่างข้า!?” ตงชิงลี่และจางวันยูรู้สึกอึมครึมพลางเดินไปทำบะหมี่


 


โชคดีที่บะหมี่นั้นเตรียมง่าย หลังจากพวกเธอทำตามแนะนำของฟางฉี บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของพวกเธอก็ได้เวลาเสิร์ฟ


 


องค์ชายทั้งสองทีร่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องก็เช่นกัน พวกเขาเลียริมฝีปากและพูดว่า “น้องหญิงเรา ..”


 


องค์หญิงเดินไปที่เคาน์เตอร์อย่างดุเดือด เธอเชิ่ดหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “ท่าน! ข้าขอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพร้อมไส้กรอกสามถ้วย!”


 



 


ในไม่ช้าตอนนี้คาเฟ่ก็เต็มไปด้วยลูกค้าที่กำลังโซ้ยบะหมี่ด้วยความอร่อย


 


ตงชิงลี่และจางวันยูพวกเธอถอดผ้าคลุมหน้าออกแล้วนั่งกินบะหมี่อยู่ในมุมลับ แต่ก็หนีไม่พ้นสายตาขององค์ชายห้า อืม.. ข้าว่าแล้วว่าพวกเขาสองคนมาจากร้านศาลาลมใและพระจันทร์จริงๆ ด้วย!


 


องค์หญิงก็ไม่แพ้กัน เธอวางถ้วยบะหมี่ไว้บนโต๊ะหน้าคอมพิวเตอร์พร้อมกินด้วยท่าทางสง่างาม กินไปกินมาเธอก็เลือกที่จะย้ายไปนั่งข้างในที่มีคนน้อยเพื่อที่จะได้กินได้ถนัดขึ้น


(ผู้แปล : มัวแต่ห่วงสวยเลยไม่อิ่มสักที ฮ่าๆ)


 


เธอเหลือบมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นมีใครเธอจึงหันไปกินด้วยความหิวอีกครั้ง โอ้ย! มันอร่อยมาก! เธอคิดในหัว แม้แต่พ่อครัวในวังยังทำอาหารสู้ไม่ได้!


 


ในเวลาเดียวกันอาจารย์สองคนของสำนักหลิงหยวนเดินเปิดประตูเข้ามาในคาเฟ่ เมื่อเดินเข้ามาเชาพบกับชายหนุ่มสองคนในชุดคลุมสีทองกำลังกลืนกินบะหมี่ด้วยความอร่อยข้างประตู


 


“ท่านสองคนกำลังหาที่หลบภัยอยู่หรือ?”


 


องค์ชายทั้งสองรู้สึกจุกพูดไม่ออก เขาหันมองหน้ากันและหันไปมองทั้งสองด้วยสายตามืดมน


 


อาจารย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลัว “ไปดีกว่า พวกเขาดูไม่ปลื้มเราเท่าไร ไปๆ”


 



 


นี่มันเป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าเท่านั้น ในคาเฟ่น่าจะคนยังไม่เยอะเท่าไรแต่อย่างไรก็ตามจากความสนใจที่ลูกค้ามีต่อละครราชวงศ์หยกจึงส่งผลให้ทุกคนมาที่นี่ให้เวลาเช้า ไม่นานลูกค้าประจำเช่นนาหลันฮงวูและคนอื่นๆ ก็มาถึง


 


“นี่มันกลิ่นอะไร? มันหอมมาก!” นาหลันฮงวูสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว กลิ่นฟุ้งทั่วร้านเตะจมูกเขา


 


“มันมีอะไรพิเศษแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทำไมพวกเขาถึงได้กินกันได้น่าอร่อยขนาดนี้” นาหลันฮงวูเอ่ย องค์ชายสองคนที่นั่งอยู่ข้างประตูได้ยิน เขาซุบซิบกันว่า “มันอร่อยว่าอาหารที่พ่อครัวในวังของเราทำเป็นสิบเท่า!”


 


“ไส้กรอกก็ไม่แพ้กัน มันสุดยอด” องค์ชายห้าที่กำลังจะกัดไส้กรอกพูดเสริม “มันทำให้ความหิวของฉันหายไปในพริบตา”


 


“เฮ้ ท่านสองคนกินอะไรกันอยู่น่ะ ทำไมน่าอร่อยขนาดนั้น” นาหลันฮงวูหันไปถาม


 


“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป!” พวกเขาชี้นิ้วไปที่หน้าเคาน์เตอร์ “รายการใหม่ของวันนี้ มันสุดยอดมาก!”


 


“ท่านมีรายการใหม่อีกแล้วรึ?” นาหลันฮงวูยื่นนิ่ง “เจ้าหนู! ข้าขอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย”


 


“แปลกจริง ข้าเพิ่งกินข้าวเช้ามา แต่รู้สึกหิวอีกแล้วเมื ่อได้กลิ่นนี้” นาหลันฮงวูบ่นกับตัวเอง


 


“ยังไงวันนี้ ราชวงศ์หยกตอนที่ห้าและหกมาเพิ่มหรือยัง?”


 


“แน่สิ” ฟางฉีตอบ “ท่านสามารถดูได้เลย”


 


“เยี่ยม! ไปดูราชวงศ์หยกกันเถอะ” องค์หญิงและองค์ชายทั้งสองพร้อมคนอื่นๆ หยุดกินอย่างกระทันหันเมื่อได้ยินเช่นนั้น


 


นาหลันฮงวูและผู้เฒ่าฟูทำตามคำแนะนำของฟางฉี พวกเขานั่งดูละครพร้อมโซ้ยบะหมี่


 


“ในที่สุดข้าก็จะได้เห็นจางเซียวฟานเข้ากลุ่มเมฆเขียวเสียที!” นาหลันฮงวูพึมพำขณะซู้ดน้ำซุป

 

 

 


ตอนที่ 167

 

นาหลันฮงวูกำลังกินบะหมี่ด้วยความอร่อยพลางดูละครเรื่องโปรดไปด้วย บนหน้าจอปรากฏฉากของหมู่บ้านวัดหญ้า


 


“น้องเทียนหมู่บ้านวัดหญ้าแห่งนี้เคยเกิดเหตุการณ์ฆ่าสังหารทั้งหมู่บ้าน ซึ่งที่นี่ถูกค้นพบโดยซงดาเรนลูกศิษย์ของเจ้า ดูเหมือนว่าเขาจะพบเด็กคนหนึ่งเข้าและกำลังพาเด็กคนนั้นไปยังกลุ่มไผ่ยักษ์(ดาชู)”


 


อาจารย์เทียนบูยี่หัวหน้ากลุ่มไผ่ยักษ์รู้สึกพูดไม่ออก


 


“พวกเขาจะพาจางเซียวฟานไปอยู่ในกลุ่มไผ่ยักษ์หรอ? ฉันละกลัวจริงๆ ว่าเขาจะลำบาก” นาหลันฮงวูบ่นกับตัวเองขณะตักบะหมี่เข้าปาก “โอ้ยนี่มันอร่อยกว่าอาหารที่ฉันกินมาเมื่อเช้าอีก!”


 


“อ๊ะ! น้ำมันติดเคราฉัน! ฉันไม่ควรรีบร้อน” นาหลันฮงวูหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อซับน้ำมันที่เปื้อน


 


เวลาเจ็ดโมงครึ่ง ลูกค้าต่างเดินทางมาที่คาเฟ่แห่งนี้เพื่อดูละครราชวงศ์หยก


 


ซูเทียนจิเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อวานเธอรู้สึกเหนื่อยล้ามาก แต่จากคำเล่าลือเกี่ยวกับละครเรื่องนี้ทำให้วันนี้เธอจำเป็นต้องมาที่นี่แต่เช้าเพื่อมาดูให้แน่ว่ามันดีมากจริงหรือไม่


 


เช้านี้เธอรีบเดินทางมาคาเฟ่อย่างด่วนจี๋พร้อมกับสองสวยเฟงหัวและยูซิน


 


“วันนี้ร้านเปิดเร็วจัง”


 


“ท่าน! ท่านเพิ่มตอนละครราชวงศ์หยกแล้วหรือยัง?” เธอเดินบุ่มบ่ามเข้าไปหน้าเคาน์เตอร์เพื่อทักถามฟางฉีด้วยแววตาอยากรู้


 


“เรียบร้อย” ฟางฉีเหลือบมองรอบร้าน เขาคิดว่าเวลานี้เจียงเสี่ยวหยูนั่นน่าจะเพิ่งตื่นเธอยังไม่ลงมาจากข้างบน เขาเองก็กำลังรอเพื่อจะดูตอนที่ห้าหกเช่นกัน


 


“เอ่อ ..” ซูเทียนจิหยุดชะงักเธอรู้สึกถึงกลิ่นหอมเตะจมูก “กลิ่นนี้มาจากไหน?”


 


นักรบส่วนมากมักจะกินเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกาย ส่วนผู้ปลูกฝังมักจะกินน้อยเว้นแต่น้ำทิพย์หรือชาสมุนไพรทางจิตวิญญาณเพื่อแก้กระหายดังนั้นซูเทียนจิจึงมักไม่กินจุกจิกในระหว่างวัน


 


แน่นอน ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมากหลังจากที่ได้ลองฮาเก้นดาสของฟางฉี


 


และตอนนี้ ..


 


“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ฟางฉีตอบ “ท่านต้องการสักถ้วยมั้ย?”


 


“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป?” เฟงหัวและยูซินที่ได้ยินทำตาโต “ท่านเราเอา!”


 


“เอาสาม!” ซูเทียนจิมองรอบๆ “คอมพิวเตอร์หมายเลขสาม” เธอบอกเพื่อให้นำไปเสิร์ฟ


 


“ท่านต้องทำเอง”


 


ซูเทียนจิทำหน้ามุ่ยโดยสงสัยว่าทำไมถึงไม่นำมาให้ทั้งๆ ที่เธอจ่ายเงิน!


 


“เฟงหัวและยูซินฉันฝากด้วย” เธอสองคนพยักหน้าพร้อมเดินไปจองคอมพิวเตอร์


 


“รับทราบท่านอาจารย์!” พวกเธอเดินไปใส่น้ำร้อนพร้อมเครื่องปรุงตามคำแนะนำของฟางฉี เวลาเดียวกันสาวกจากลำนักซียี่และเฉิงจิ้งพร้อมเยซงเต๋าจากกลุ่มโอเซียนคลาวเดินเข้ามา


 


พวกเขาทำท่าสูดกลิ่นพร้อมกัน


 


สามนาทีต่อมามือของพวกเขาเต็มไปด้วยถ้วยบะหมี่


 


เฟงหัวและยูซินเดินถือถ้วยบะหมี่มาด้วยรอยยิ้มพร้อมวางถ้วยลงบนโต๊ะ “ท่านอาจารย์ บะหมี่พร้อมแล้ว!” พวกเขาเริ่มซู้ดเข้าปากด้วยความอร่อย


 


ในขณะที่ซูเทียนจิกำลังซู้ดบะหมี่เธอก็พูดว่า “เร็วเข้าเปิดละครเร็ว ในที่สุดเซียวฟานก็ได้เข้าร่วมกลุ่มวันนี้” พูดไปเคี้ยวไป


 


“จริงๆ แล้วมีคนพาจางเซียวฟานมาใช่มั้ย?” ซู้ดดดด ..​เสียงซู้ดปาก


 


“ใช่ ฉันว่านายคนนั้นดูโหดอ่ะ” จ้อบแจ้บ


 


“…”


 


“อ่า ฉันอิ่มละ”


 


“ทำไมเซียวฟานถึงได้เป็นตัวละครหลัก? ฉันคิดว่าจิงหยูเสียอีก”


 


“ทำไมตอนนี้มีแต่จขางเซียวฟานละ หลินจิงหยูผู้มีพรสวรรค์อยู่ที่ไหน”


 


ยิ่งพวกเขาดูละครมากเท่าไรนั่นยิ่งเพิ่มอยากรู้อยากเห็นมากเท่านั้น พวกเขากำลังสงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวละครหลัก จางเซียวฟาน? หรือหลินจิงหยู?


 


“ท่าน พวกเราขอโค้กสามขวด!” ซูเทียนจิยังไม่พอใจสั่งโค้กมาเพิ่มอีก


 


เวลานี้ฟางฉีได้เริ่มดูละครเช่นกัน เสี่ยวหยูเองก็ทำตามหน้าที่ในทุกวัน


 


หลังจากได้รับโค้กสามขวด พวกเขาดื่มและพูดคุยระหว่างดูละคร “อาจารย์ ข้าว่าพี่ชายและรุ่นน้องพวกเขาดูใจดี แต่นายอีกคนดูดุร้ายจัง” อึก .. เสียงกลืนโค้ก


 


“โอ้! ฉันสงสัยจังว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นอีก” อึก ..​ พวกเธอยังคงดื่มโค้กด้วยความติดลม


 


ซูเทียนจิที่กระดกโค้กพลางดูละครไปด้วย “เขาจะถ่ายทอดเทคนิคของกลุ่มเมฆเขียวแน่เลย” เบิ้กกกกก .. ซูเทียนจิเรอ – –


 


“…”


 


บทสนทนาเงียบลงทันที


 


เนื่องจากทุกคนกำลังกินบะหมี่ด้วยความอร่อย ในคาเฟ่จึงเปิดใช้งานโหมดการจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง


 


ฟางฉีหันไปมองที่เธอ


 


นาหลันฮงวูก็เช่นกัน อันหูเว้ยและคนอื่นๆ ก็หันไปจ้องหน้าเธอ


 


ซูเทียนจิปิดปากด้วยความตกใจ ทุกสายตาที่จ้องมาราวกับว่าอยากจะเฉือดเฉือนเธอ


 


จากนั้นทุกคนหันกลับไปดูละครต่อ..


 


ทุกอย่างในร้านเงียบลง เงียบไปราวๆ หนึ่งชั่วโมง


 


บนหน้าจอปรากฏฉากป่าไผ่ที่เงียบสงัด


 


“ฉากนี้เงียบมาก ฉันรู้สึกอยากกินอะไรบางอย่าง .. เอ่อวันนี้ฉันยังไม่ได้กินฮาเก้นดาส ..”


 


“กลิ่นหอมของน้ำนมที่เข้มข้น”


 


“ท่าน! ข้าขอฮาเก้นดาสสามถ้วย!”


 


พวกเขารับถ้วยมาตักมันเข้าปากด้วยความโหยของหวาน “อาจารย์! ข้าว่าลิงสีเทาตัวนี้น่ารักจัง”


 


“ไม่! ข้าว่ามีบางอย่างแปลกๆ”


 


เรื่องราวได้มาถึงส่วนที่ลูกปัดเลือดของปูชิที่มอบให้กับจางเซียวฟาน มันมีหน้าที่ดูดซับรวบรวมวิญญาณที่ชั่วร้าย นี่เป็นจุดสำคัญของชีวิตจางเซียวฟาน!


 


ซูเทียนจิที่กำลังตักฮาเก้นดาสเข้าปากทำท่าตกใจ “ทำไมหน้าจอถึงดับ?”


 


[หากท่านอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดติดตามตอนต่อไป!]


 


“ตอนหกจบแล้ว!?”


 


“!!??”


 


ทำไมมันถึงชอบจบในช่วงสำคัญๆ เสมอ


 


“จะเกิดอะไรขึ้นกับจางเซียวฟาน? โอ้ยท่านต้องฉายส่วนนี้ให้จบสิ!”


 


นาหลันฮงวู, ซูเทียนจิและคนอื่นๆ ที่นั่งใกล้ฟางฉีหันหน้าไปมองเขา


 


ขณะเดียวกันตงชิงลี่, องค์หญิงและคนอื่นๆ พวกเขาลุกขึ้นยืนหันมามองที่เจ้าชของร้านด้วยสายตาอาฆาต


 


“เจ้าของ! ตอนที่เจ็ดและแปดอยู่ไหน?” ซูเทียนจิถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


“ไม่ได้มีสี่ตอนหรอกหรือ? ทำไมเราถึงได้ดูแค่สองตอนเท่านั้น!?” นาหลันฮงวูจ้องตาเขม็ง


 


“เรามีสี่ตอนแค่วันแรกเท่านั้น หลังจากนั้นเราจะทำการเพิ่มแค่สองตอน” ฟางฉีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“อะไรนะ!?” หนอนหนังสือตงชิงลี่ทำหน้ามุ่ย เธอตะโกน “นี่เราต้องรอจนถึงวันพรุ่งนี้อีกแล้วหรอ ถึงจะดูตอนที่เจ็ดและแปดได้!?”


 


ฟางฉีส่ายหัว


 


เมื่อเห็นฟางฉีส่ายหน้า พวกเขาเริ่มใจอ่อนสถานการณ์อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คาดไว้ก็ได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่ละสายตาจากฟางฉี “ตอนที่เจ็ดและแปดจะเพิ่มในวันจันทร์หน้า!”

 

 

 


ตอนที่ 168

 

“เพิ่มตอนวันเสาร์หน้าหรอ?” ทุกคนร้องเหมือนจะขาดใจ อยู๋ๆ ในหัวของพวกเขาก็ว่างเปล่าอีกครั้ง


 


“ข้าคิดว่าละครจะเพิ่มพรุ่งนี้ แต่เจ้าของร้านบอกว่าเราต้องรออาทิตย์หน้า!”


 


“นี่เจ้าหนู! เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” นาหลันฮงวูหันไปจ้องหน้าฟางฉีตาเขม็ง


 


“ท่าน! ข้าคิดว่าจะมีตอนใหม่มาพรุ่งนี้เสียอีก!” ตงชิงลี่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง


 


“ทำไมเจ้าจ้องหน้าข้าแบบนั้น เจ้าไม่กลับไปอ่านนิยายหรอ?” ฟางฉียืนขึ้น “ที่หนังสือนักรบแห่งสวรรค์ยังลงขายแค่เดือนละตอน ทำไมของข้ารอแค่สัปดาห์เดียวมีปัญหาละ”


 


“แต่ละเล่มมีเน ื้อหามากมาย! แต่เจ้าปล่อยแค่หกตอนเท่านั้น!” ตงชิงลี่โต้


 


“นั่นไงข้าถึงไม่เพิ่มเดินละตอนสองตอนไง” ฟางฉีพูดอย่างมีเหตุผล


 


ทุกคนเงียบ ..


 


“ถ้าเจ้ากล้าที่จะเพิ่มเดือนละตอน ข้าจะจ้างคนมาตีเจ้า!” ตงชิงลี่กัดฟันยิ้ม แต่ในใจเธออยากจะบีบคอฟางฉีให้ตายไปซะ


 


ณ ร้านศาลาลมและพระจันทร์


 


เจียงซิงเฮกำลังกำกับเด็กเสิร์ฟในร้านเกี่ยวกับอาหารเช้าของตงชิงลี่ เนื่องจากเธอรีบออกจากร้านไปตั้งแต่ก่อนมื้ออาหารเช้าและจะไม่กลับมาจนถึงเที่ยงคืน


 


เธอบอกว่าเธออยู่ที่ร้านต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ต ข้าสงสัยว่าที่นั่นไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตของเราแล้วหรอ? เมื่อนึกย้อนไปถึงการยกเลิกการคว่ำบาตรร้านแห่งนี้เจียงซิงเฮรู้สึกใจไม่ดี ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป


 



 


“ท่านเพิ่มพรุ่งนี้เลยไม่ได้หรอ” เฟงหัวและยูซินทำหน้าตาน่าสงสาร พวกเธอรู้สึกตื่นเต้นมากหากมันเป็นจริงอย่างที่พวกเธอขอ!


 


เมื่อคิดว่าต้องรอถึงหนึ่งสัปดาห์แล้วใจแทบสลาย TT


 


“เจ้าต้องเพิ่มในวันพรุ่งนี้!” ซูเทียนจิที่นั่งถัดจากฟางฉีทางขวามือคว้าแขนข้างหนึ่งของเก้าอี้เขาแล้วจ้องหน้าด้วยสายตาที่แหลมคม


 


“ใช่! เจ้าต้องเพิ่มวันพรุ่งนี้!” นาหลันฮงวูที่นั่งอยู่เอามือกระแทกโต๊ะและยืนขึ้น


 


“การถ่ายทำต้องใช้ทุนและเวลา พวกท่านคิดว่าการสร้างละครมันเป็นเรื่องง่ายมากเลยหรือ? ทำไมพวกท่านไม่ไปบอกนักเขียนนิยายให้เขียนจบไปเลยทีเดียวก่อนที่จะนำมาเผยแพร่ละ”


 


ทุกคนเงียบ .. ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ


 


อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถที่จะก่อปัญหาที่นี่ได้


 


ตงชิงลี่ที่เคยขู่ว่าจะตีเขาในช่วงเวลาที่เธอโมโหเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทุกคนที่นี่รู้ดีว่าการก่อปัญหาไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่


 


แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับเงินทุน แต่พวกเขาเข้าใจดีว่าการผลิตต้องใช้เวลา


 


“ช่างมันเถอะ!” ซูเทียนจิถอนหายใจ เธอรู้สึกอยากฆ่าฟางฉีแทบแย่ แต่รู้ว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์เธอโบกมือไปมา “กินของว่างกันดีกว่า ..”


 


“ท่านอาจารย์ พวกเราเพิ่งกินมันไปทั้งหมด ..” ยูซินเอ่ยเตือนเธอ


 


“ที่นี่ไม่มีสินค้าใหม่แล้วเรอะ?” ซูเทียนจิขมวดคิ้ว


 


จากนั้นเธอสตั้นเมื่อหันไปเห็นถ้วยบะหมี่ ขวดโค้กเปล่าพร้อมถ้วยฮาเก้นดาสที่ว่างเต็มโต๊ะ เธอทำหน้าเจื่อนเมื่อได้สติ เธอซัดทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว


 


เธอรู้สึกเหมือนว่าคาเฟ่นี้มีของว่างมากมายเต็มไปหมด นั่นมันเป็นเพียงภาพลวงตาหรอกหรือ?


 


“เรา ..” ตงชิงลี่ก็รู้สึกหิวเช่นกัน เธอกำลังจะชวนกิน แต่.. “เอ่อ ดูเหมือนว่าข้าก็ซัดไปไม่น้อยเลย”


 


องค์หญิงพร้อมองค์ชายทั้งสองและสาวกจากสามสำนักที่เพิ่งดูละครเสร็จเหลือบมองไปที่โต๊ะคอมของตัวเองและต่างพูดไม่ออก


 


“ถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไป ข้ากลัวว่าสักวันเราจะไม่มีเงินสำหรับจ่ายค่าเดินทางกลับแน่” หลิวหยุนพูดอย่างหดหู่


 


“ฉันก็คิดเช่นนั่น” เซียวเลงยูพูดด้วยเสียงสลด “ต่อจากนี้ข้าจะงดของหว่าง!”


 


“ถูกต้อง!” ยิ่งซงซวนกล่าว “เรามาที่นี่เพื่อฝึกฝน!”


 


“ใครอยากเล่น Diablo? มารวมทีมกัน” องค์ชายห้าตะโกน


 


“ข้า!”


 


“ข้าด้วย ข้าเป็นนักเวทย์ระดับสี่ และได้เรียนรู้ทักษะอันแข็งแกร่งผ่านมาแล้ว”


 


“ข้าเป็นแอสซาซินระดับสาม ข้าร่วมด้วย”


 


เสียงผู้คนดังขึ้นเรื่อยๆ


 


“ไม่มีละครให้ดูงั้นก็เล่นเกมแทนละกัน”


 


“ท่านเรามาเล่น CS กันมั้ย?” ซูเทียนจิเอ่ยชวน เธอรู้สึกหมดหนทาง


 


“CS หรอ?” ฟางฉีตอบตกลง “ข้าจะเล่นกับพวกท่าน แต่อย่าว่ากันนะถ้าข้าได้ฆ่า”


 


“…” ซูเทียนจิ


 


“เราเอายังไงกันดี?” ตงชิงลี่และจางวันยูมองหน้ากัน


 


“งั้นเล่นเซียนกระบี่พิชิตมารกันเถอะ!”


 


“ได้! ลุย!”


 



 


ขณะเดียวกันนายกจางกับชายวัยกลางคนผู้มีสายตาอันแหลมคมรูปร่างผม เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้เป็นผู้คุ้มกันที่มีความแข็งแกร่งด้านเพาะปลูกอย่างดี


 


พวกเขานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์พร้อมด้วยถ้วยบะหมี่ขวดโค้กอันว่างเปล่าแถมถ้วยฮาเก้นดาส


 


นายกจางนั่งลูปเคราะและคร่ำครวญ “ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ข้าได้เล่นเกมและดูละคร ข้ารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ได้รับวิ่งทั่วร่างกาย ข้าละสงสัยจริงว่าทำไมข้าถึงรู้สึกเช่นนี้”


 


“ท่านจาง!” ชายวัยกลางคนเรียกเขาด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง


 


“ว่างไงท่านผู้คุมเบียน มีปัญหาอะไรรึ?” นายกจางหันไปถามเขา “ท่านละรู้สึกถึงความอบอุ่นในร่างกายบ้างมั้ย?”


 


“กระแสเลือดอุ่น?” เบียนนั่งคิดอยู่ครู่ “ความรู้สึกคล้ายกับกระแสน้ำอื่นไหลเวียนน่ะหรือ? ข้าว่ามันต้องเป็นเพราะ ..”


 


“ได้รับพลังภายใน?” นายกจางทำหน้านิ่ง


 


“ใช่แล้ว!” เบียนยิ่งตอบกลับ “มันเป็นสิ่งสำคัญทางจิตวิญญาณมันอาจรู้สึกได้ทั้งว่องไวและหนักหน่อง ท่านมีความรู้สึกแบบไหน?”


 


“ข้ารู้สึกหนัก!” นาจกจางตอบ


 


จากนั้นเขารู้สึกตัวสั่น “ฉัน .. กำลังได้รับการบ่มเพาะหรือ?”


 


“โปรดยื่นมือซ้ายของท่านออกมา” เบียนยิ่งจับมือเขาสัมผัสได้ถึงพลังฉีในตัวนายกจาง เขาเองเป็นนักรบที่ทรงพลังมากอยู่แล้ว แต่นายกจางเป็นแค่คนธรรมดาที่ไร้ความสามารถใด


 


แต่อย่างไรก็ตามคนทุกคนสามารถได้รับการบ่มเพาะให้เป็นนักรบได้ แต่สำหรับผู้ที่ไร้ความสามารถหรือความสามารถต่ำต้องใช้เวลาฝึกอย่างมาก


 


เมื่อเบียนยิ่งได้สัมผัสมือนายกจาง เขารู้สึกได้ถึงพลังภายในบริสุทธิ์ในระดับกลางที่เต้นอยู่ในร่างกายของนายก


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยท่านนายก ท่านได้รับพลังภายในอันบริสุทธิ์ แม้ว่ามันยังไม่มากมานนักแต่ท่านมีศักยภาพที่จะเป็นนักรบได้!” ผู้คุมเบียนยิ่งเอ่ย เขายิ้มด้วยความจริงใจ


 


ด้วยสภาพร่างกายของนายกจางเขาไม่สามารถที่จะเข้าร่วมการบ่มเพาะได้ ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะรับการฝึกฝน แต่เมื่อได้รับข่าวดี เขารู้สึกมีความหวังมากกว่าเดิม


 


“ข้าไม่มีความสามารถในด้านนี้เลย ข้าไม่ได้พยายามที่จะฝืนทำมันด้วยซ้ำแต่สองสามวันนี้ข้ารู้สึกร่างกายของข้าเปลี่ยนแปลงไปมาก” นายกจางกล่าวด้วยความภูมใจ “ข้าได้มันมาอย่างไร ..”


 


เบียนยิ่งชี้นิ้วไปที่คอมพิวเตอร์ “หรือมันอาจจะเป็นผลจากสิ่งประดิษฐ์ทางวิญญาณนี้”

 

 

 


ตอนที่ 169

 

จู่ๆ นายกจางก็ลุกขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณนี้ช่วยในการฝึกได้หรือไม่?”


 


“มันมีตัวเลือกนี้มั้ย?” เขามีความคิดว่าคาเฟ่แห่งนี้น่าจะช่วยให้ผู้คนลดระยะเวลาในการฝึกฝน แทนที่จะใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการฝึกฝนในหอศิลปะ


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาเริ่มพบว่าสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่มีชื่อเรียกว่าคอมพิวเตอร์มีพลังมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ มันสามารถช่วยคนธรรมดาอย่างเขา ผู้ไร้ความสามารถใดๆ ให้ได้รับพลังภายในในเพียงแค่สองวันเท่านั้น!


 


สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณชนิดนี้ให้ผลดีกว่า สถานที่ต่างๆ เช่นหอศิลปะการต่อสู้ มันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งและทักษะการฝึกฝนได้ด้วยการแฝงความสนุกและผลลัพท์ที่ชวนทึ้ง


 


เนื่องจากผู้คนจำนวนมากขาดความสามารถจึงส่งผลให้ข้าราชการพลเรือนและพ่อค้าลดน้อยลงไปตามจำนวน หากพวกเขาได้รับพลังภายในเข้าสู่ร่างกายไปบ้าง แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบกับนักรบได้แต่อย่างน้อยก็มีไว้ปกป้องตนเองจากสิ่งชั่วร้าย นอกจากนี้อาจทำให้พวกเขามีชีวิตที่ยืนนานขึ้น


 


ด้วยวิธีนี้ข้าราชการพลเรือนอาจมีพลังและทักษะที่มากขึ้น เพื่อช่วยให้พวกเขาได้ตระถึงหน้าที่และความฝันของพวกเขาโดยไม่ต้องกลัวในวันที่อายุมากขึ้น


 


จากความการคิดและไตร่ตรองของนายกจางที่คาดคะเนไปต่างๆ ทำให้เขาสงสัยว่าใครกันที่เป็นคนสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณเหล่านี้ขึ้นมา จุดประสงค์ของเขาคืออะไร? เหตุใดจึงเกิดขึ้นที่สถานที่แห่งนี้?


 


คนในดาจินนี่ได้รับประโยชน์อย่างมากจากร้านนี้


 


สำหรับการยึดครองร้านนี้ ..


 


ทุกคนมีความโลภจีวูเองอาจะมีแผนในใจ เขาเลือกที่จะส่งนายกจางมายังภูมิภาคเจียงหนาน เนื่องจากพบว่าขุนนางส่วนใหญ่มักมารวมตัวกันที่นี่ เขาเองรู้ว่าการบังคับหรือยึดครองนั่ไม่ใช่ความคิดที่ดี


 


แต่ก่อนอื่นใด หนึ่งพวกเขาต้องพิจารณาถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่นี้ สองภูมิภาคเจียงหนานเป็นแห่งรวมความสนใจกว่าที่ใดๆ ในตอนนี้ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่จะโยกย้ายไปที่อื่น


 


ไม่มีรายงานเกี่ยวกับใครก็ตามที่สร้างปัญหาในคาเฟ่แห่งนี้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้นายกจางเคยได้ยินเรื่องที่นักรบเงาดำทั้งหมดถูกโยนออกจากร้าน


 


หลังจากการตรวจสอบพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วในที่สุดเขาก็ส่งข้อความไปถึงจักรพรรดิจีวูแห่งจิงฉี


 


ขณะเดียวกันจีวูเองตอนนี้เขากำลังฝึกฝนเทคนิคดาบอยู่ภายในสวนของวัง ครืด .. ครืด หยกสื่อสารของเขาสั่น “นายกจาง?”


 


หยกสื่อสารของเขามีไว้สำหรับติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอิทธิพลในเมืองและไว้รับฟังรายงานปัญหาสำคัญเท่านั้น


 


“จากการตรวจสอบเป็นอันตรายต่อประเทศหรือไม่?” จีวูส่งข้อความกลับ


 


“สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณนี้มหัศจรรย์มากสามารถช่วยให้คนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถได้รับการบ่มเพาะได้”


 


หากยกเว้นเรื่องความคิดเกี่ยวกับคนที่อยู่เบื้องหลังร้านนี้ ข้อความจากนายกจางก็ไม่มีข่าวอะไรนอกเหนือ


 


“จริงหรอ?” ดวงตาของจีวูเบิกโพง “ถ้าเป็นเช่นนั้นช่างโชคดีจริงๆ ที่มีร้านแบบนี้”


 


“แต่ ..”


 


อย่างไรก็ตามเขาเองยังไม่ปักใจเชื่อหากไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง


 


เขากำลังสงสัยว่ามีอาจารย์หรือผู้ยิ่งใหญ่บางคนอยู่เบื้องหลังร้านนี้ ต้องลองพิสูจน์แล้วว่าร้านนี้จะยอดเยี่ยมอย่างที่ได้ยินข่าวลือหรือไม่


 


“อาจมีความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือชายหนุ่มผู้นี้ได้รับทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่! แม้ว่ามันค่อนข้างใช้เวลาเดินทางไกล แต่มันก็เป็นสิ่งจำเป็น!”


 


คนที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของดาจินได้ล่วงลับไปแล้ว แต่พวกเขาได้ทิ้งกองกำลังขนาดใหญ่ไว้เพื่อปกป้องเมือง หอดวงดาวและราชวังอันงดงามนี้เป็นตราประทับในใจ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่ามีการจัดตั้งกองกำลังเงาขึ้นในช่วงแรกของการบังคับใช้กฏหมาย


 


เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนพยายามที่จะกระทำงานหรือสิ่งที่ผิดกฏหมายกองกำลังเงานี้จะทำลายสิ้น


 


“ร้านเล็กๆ แห่งนั้นอาจมีกำลังมากจริงๆ” จีวูกำหมัดแน่นเขาพูดด้วยน้พเสียงเย็นยะเยือก “เกรย์ไปสำรวจให้ข้าที”


 


สายลมพัดพลิวขึ้นสู่ท้องฟ้า ดูเหมือนว่าใครบางคนเพิ่งออกเดินทางออกจากสวน


 



 


เวลาเที่ยงคืน ความมืดมิดปกคลุมดินแดน


 


คาเฟ่ของฟางฉีตอนนี้ได้เวลาปิดทำการ ..


 


ฟางฉีที่กำลังปิดประตูหน้าต่างและปิดไฟพร้อมเดินขึ้นบ้าน เวลาเดียวกันร่างสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นกลางถนน ไม่ไกลจากประตูของคาเฟ่นัก


 


“นี่เป็นร้านเล็กๆ ที่ท่านจักรพรรดิทรงให้ความสนใจงั้นสิ” ร่างดำพึมพำด้วยน้ำเสียงแหบพร่าซึ่งสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงนี้ช่างไม่แยแสต่อทุกสิ่งบนโลก


 


พริบตาเดียวร่างดำนี้หายไปจากถนนราวกับลมพัด คืนที่อากาศร้อนแรงแบบนี้ เหล่าเสียงร้องของแมลงและกบเงียบหายราวกับมีเหตุการณ์ผิดปกติ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นต่างเข้านอนกันในเวลาหัวค่ำ


 


หน้าต่างชั้นสองที่มองจากข้างนอกสามารถเห็นได้จากผ่าม่านที่เปิดอยู่ เขาเห็นร่างของฟางฉีนอนพริ้มอยู่บนเตียง


 


“เขากำลังนอนหลับอยู่ในภวังค์ .. ยามหลับก็เปรียบเป็นเหมือนร่างที่ไร้ประสบการณ์ทางโลก” ร่างสีดำที่ยืนจ้องมองนอกหน้าต่างเอ่ย


 


หากสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่ามีร่างสีดำร่างหนึ่งยืนอยู่บนอากาศ!


 


ดูเหมือนว่าการยืนอยู่บนอากาศแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้! ในประเทศดาจินแห่งนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้แบบนี้


 


“ข้าจะเริ่มเลยละกัน!” ร่างดำพึมพำและปีดมือไปทางขวา


 


หน้าต่างควรจะเปิดออกจากคลื่นในมือของเขา!


 


เขารู้สึกสตั้น มันไม่เปิดออกอย่างที่มันควร!


 


“เอ๊ะ!?” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและปัดมือไปทางซ้าย


 


“อ๊ะ!?” เขาขมวดคิ้วและโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า


 


ทนไม่ไหวแล้ว! เขาเคาะหน้าต่างด้วยหมัดของเขา!


 


ปัง ปัง ปัง


 


เขาเตะ!


 


ตึง ตึง ตึง!


 


เขาชักดาบออกมาเพื่อเป็นตัวช่วย!


 


เพล้ง เพล้ง เพล้ง!


 


จากเสียงที่ได้ยินนี่คือเสียงห้นาต่างที่โดนทุบจากข้างนอกของห้องนอนฟางฉี


 


มองดูกระจกที่เปราะบางนั้นไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการแตกหักสักนิดเดียว แถมยังดูดซับเสียงไม่ได้เกิดการรบกวนเวลานอนของฟางฉีอีกด้วย!

 

 

 


ตอนที่ 170

 

“หน้าต่างนี่ต้องมีลูกเล่นพิเศษอย่างแน่ๆ ข้าถึงทำอะไรมันไม่ได้เจ้าเด็กนี่หลับโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย!” ร่างสีดำมีท่าทีมืดมน


 


เขายังคงยืนอยู่บนอากาศข้างหน้าต่างห้องนอนของฟางฉี เขายืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดูเหมือนว่าห้องเจ้าเด็กนี่ได้รับการป้องกันเป็นพิเศษ”


 


เขาชะเง้อหน้ามองหน้าต่างห้องนอนถัดจากห้องของฟางฉี “อืม ..​ ดูเหมือนว่าจะมีพนักงานเพียงแค่คนเดียว เธอคงไม่ได้รับการคุ้มครองเท่าไรหรอก” เขาคิดในหัว


 


ด้วยความคิดนี้เขาจึงย้ายตัวเองมายังหน้าต่างห้องนอนเจียงเสี่ยวหยูแทน


 


เมื่อมองเข้าไปในหน้าต่าง เขาเห็นหัวเล็กๆ ที่โผย่ยื่นออกมาจากผ้าห่มสีขาวลายแมว “ผู้หญิงคนนี้นอนหลับสนิทและข้าเองก็ไม่ควรปลุกเธอ”


 


แต่ .. เขาผลักหน้าต่างด้วยแรงทั้งหมด .. มันไม่ขยับ


 


เขารู้สึกไม่ดีนักแต่ก็ยังไม่หยุดที่จะทำลายหน้าต่าง


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา ..


 


ร่างสีดำนั่งหอบอยู่บนหลังคาของคาเฟ่


 


“แม้แต่หน้าต่างของห้องนอนพนักงานก็ยังได้รับการปกป้อง!” เขายืนบนหลังคาที่ทำจากกระเบื้องสีดำ


 


“กระเบื้อง?” เขามองกระเบื้องหลังคาที่เขากำลังยืนเหยียบแล้วพูดด้วยเสียงหัวเราะ “ไม่ว่าการป้องกันจะแข็งแกร่งแค่ไหนเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างของบ้านที่อยู่อาศัยได้ เจ้าห้ามข้าไม่ได้หรอก!”


 


เขาเอื้อมมือไปดึง .. ไม่มีอะไรขยับ ยิ่งออกแรงดึงมากยิ่งเหนื่อยมาก แถมผลลัพท์ก็เหมือนเดิม นิ่ง!


 


“ฮึบ ฮึบ” เขาปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่


 


“แฮ่ก แฮ่ก” เขาหอบ


 


ไม่นานนักเขารู้สึกเริ่มเหนื่อยและทนไม่ไหว เขาค่อยๆ ดึงดาบยาวออกมาจากเข็มขัดข้างกาย ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าประตูร้าน


 


“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าทุกส่วนของที่นี่จะไม่สามารถแตกหักได้!” เขากำดาบแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ด้วยร่างกายที่แข็งแรงและทรงพลัง เขารวบรวมพลังทั้งหมดควบคุมเป็นหนึ่งเดียว


 


อากาศรอบข้างไม่ไหวติ่ง ค่ำคืนอันหลับไหลท้องฟ้าที่สดใสยามค่ำคืนเปลี่ยนไปกลายเป็นมืดครึ้มและอึมครึม แม้แต่แสงจันทร์แสงดาวก็หายไปราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกอันมืดหม่น


 


เขาง้างดาบขึ้นและกระแทกมันลงด้วยพลังทั้งหมด


 


ปัง!


 



 


“หาว .. ง่วงจริง” ฟางฉีลืมตาขึ้นมองไปนอกหน้าต่างพบว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว


 


ขณะเดียวกันเสียงเปิดประตูจากร้านขายขนมปังข้างๆ ของป้าหวังก็ดังขึ้น ป้าหวังเปิดร้านและมองรอบๆ เธอพบว่ามีนักรบในชุดดำท่าทางแปลกๆ เขากำลังเดินไปยังปลายถนนพร้อมดาบยาวที่ห้อยลากกับพื้น


 


“เขาจะเป็นนักรบที่ดีได้อย่างไรกัน หากปล่อยให้ดาบลากกับพื้นเช่นนี้” ป้าหวังพึมพำ จากนั้นเธอจึงเดินเข้าไปในร้านเพื่อนำขนมปังออกมาวางตามปกติ


 


“…”


 


“เมื่อคืนฉันฝันว่ามีใครบางคนพยายามที่จะทุบหน้าต่างห้องนอนของฉัน” ฟางฉีตบหน้าผากตัวเอง “อาจเป็นเพราะฉันกำลังซึมซับเนื้อเรื่องของละครกระบี่เทพสังหารมากไป”


 


“ช่างมันเถอะ” ฟางฉีมองท้องฟ้าพลางดึงผ้าห่มมาคลุมหัวกลับไปนอนต่อ


 



 


ณ พระบรมมหาราชวัง


 


ท้องฟ้าอันสดใส จักรพรรดิจีวูรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใกล้ๆ เขา “เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


“ร้านนั้นพิเศษจริงๆ ข้าพยายามที่จะวางแผนเพื่อจับเจ้าของร้านและบังคับให้เขาแสดงความสามารถแต่ ..”


 


“แต่ ..” จีวูหันกลับไปถามทันที “การปกป้องร้านนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ”


 


นักรบร่างสีดำพูดไม่ออก “ข้า .. พยายามตลอดทั้งคืน แต่ทำยังไงก็ไม่สามรถเข้าไปในร้านได้เลย”


 


“…” จีวู


 


“จะต้องมีเครื่องมือที่ทรงพลังปกป้องร้านอย่างแน่ ข้าพยายามที่จะทำลายประตูด้วยพลังทั้งหมด แต่มันยังคงไม่บุบสลาย ผลลัพธ์ก็ออกมาเช่นเดิม” นักรบอธิบาย


 


“เครื่องมือป้องกันทรงพลัง?” จีวูลูบคาง “ไม่น่าแปลกใจเลยที่นายกจะตกตะลึงกับที่นั้น ดูเหมือนว่าเราควรทำตามคำแนะนำของนายกจาง”


 


“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?” จีวูถาม


 


“ข้าสบายดี ..”


 


“ดี .. เจ้าไปพักเถอะ”


 


“ขอรับ” เมื่อเขาจากไป ทุกอย่างรอบข้างเงียบลงในทันที


 


แน่นอนว่าจักรพรรดิไม่รู้เลยว่าลูกน้องที่ไว้ใจได้มากที่สุดของเขาใช้เวลาทั้งคืนเพื่อทุบประตูและหน้าต่างของร้านค้าอย่างเหน็ดเหนื่อย


 



 


หลังจากที่ฟางฉีนอนอย่างเต็มอิ่มแล้ว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมตรวจสอบภารกิจของเขาว่ามีการเคลื่อนไหวไปถึงไหนแล้ว ก่อนหน้านี้ละครกระบี่เทพสังหารของเขามีการเปิดใช้งานอยู่ที่ 100 ครั้ง แต่จำนวนตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 170 ครั้งในคืนที่ผ่านมา


 


การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้ไม่นานภารกิจจะต้องเสร็จสมบูรณ์ในวันนี้ไม่ก็พรุ่งนี้เป็นแน่


 


ในขณะเดียวกันฟางฉีได้รับข้อความจากระบบ


 


[ระบบจะทำการอัพเกรดร้านในคืนนี้ หลังการอัพเกรดพื้นที่ในร้านจะเพิ่มขึ้นสี่เท่าและจะได้รับคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นพร้อมลูกเล่นอื่นๆ แต่จะสามารถเปิดใช้งานได้ในภายหลัง]


 



 


มันเป็นเวลาสำหรับการประชุมประจำวันระหว่างจักรพรรดิและเจ้าหน้าที่ของจิงฉี


 


“นาจก ท่านว่าร้านนี้มันพิเศษจริงๆหรอ? แม้แต่นักวิชาการและเจ้าหน้าที่ของรัฐก็สามารถได้รับการบ่มเพาะได้!?” เจ้าหน้าที่พูดคุยกันระหว่างเดินทางไปที่พระบรมมหาราชวัง


 


“แน่นอน” นายกจางกล่าว “พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนขี้โกหกหรือไง ข้านะดูแค่ละครเป็นเวลาสองวันเท่านั้น แต่จู่ๆ ก็เกิดพลังภายในในร่างกายของข้า ผู้คุมเบียนเป็นพยานได้”


 


“สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณนั้นช่างวิเศษเหลือเกิน” ข้าราชการที่เดินอยู่ด้านหลังได้ยินบทสนทนาพวกเขารู้สึกประหลาดใจ “แม้แต่คนธรรมดาอย่างพวกเราก็สามารถได้รับการบ่มเพาะได้”


 


“ในโลกแห่งนี้นี่มีอะไรที่เกิดขึ้นอีกมากมายเลยเนอะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เจ้าหน้าที่พูดคุยกันพร้อมหัวเราะร่า


 


“ท่านนายก ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรสงสัยในคำพูดของท่าน แต่ ..” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยทักอย่างไม่มั่นใจ “ข้าขอสัมผัสถึงพลังภายในของท่านได้มั้ย”


 


“ได้สิ” นายกจางยื่นมืออกมา “เอาเลย”


 


นายกจางวางมือบนแขนของเจ้าหน้าที่คนนั้น เขารู้สึกถึงกระแสอุ่นที่วิ่งไหลผ่านร่างกาย


 


“มันคือพลังภายในจริงๆ ใช่มั้ย”


 


“พวกท่าน! หลังจากประชุมเสร็จในตอนเช้า พวกเราเดินทางไปเจียงหนานเพื่อดูละครกันเถอะ พวกเจ้าตกลงมั้ย?” เสียงเจ้าหน้าที่ในกลุ่มเอ่ยแนะนำ “มันอยู่ไกลจากที่นี่ แต่ตามที่ท่านนายกแนะนำ มันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่จะได้รับนะ!”


ตอนที่ 171

 

กลุ่มของผู้ฝึกฝนในเมืองดาจินพวกเขาส่วนใหญ่รู้จักสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ มันเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินทางอีกทั้งมันยังเป็นสิ่งที่ใหม่และทันสมัย


 


แม้ว่าสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณในการเกดินทางจะไม่ได้มีความเร็วเท่ากับการบินด้วยเทคนิคการควบคุมดาบแต่มันก็ไม่ได้ช้าจนเกินไป


 


แน่นอน .. คนรวยเท่านั้นที่จะสามาถซื้อได้


 


ผู้ฝึกฝนและนักรบธรรมดาส่วนใหญ่มักอาศัยการใช้เรือทางจิตวิญญาณเพื่อเดินทางข้ามภูมิภาคหรือไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ไกลจากบ้านเมืองอาจใช้เวลาเดินทางนานแต่มันประหยัดเงิน


 


แม้ว่าโดยทั่วไปช้าราชการพลเรือนที่ประเทศนี้จะได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่มีพื้นฐานทางการเงินหรือทำงานมานาน พวกเขามีกำลังมากพอที่จะซื้อภาหนะส่วนตัวในการเดินทางไกล เพราะการใช้บริการเรือทางจิตวิญญาณก็คล้ายคลึงกับรถเมย์ หากจับจ้องก่อนก็จะได้ที่นั่งดีวิวสวย


 


อีกสิ่งที่สำคัญสำหรับข้าราชการพลเรือนบางคนคือพวกเขามักเก็บออมเพื่อให้ลูกหลานได้มีโอกาสที่จะเรียนดีๆ ได้รับการบ่มเพาะจนเป็นนักรบที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียง เนื่องด้วยพวกเขาเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีความสามารถใดจึงอยากส่งต่อความสามารถให้แก่คนที่รัก


 


แต่ตอนนี้ .. พวกเขาเพิ่งพบว่าแทบไม่ต้องรอลูกหลานแล้ว พวกเขาเองมีโอกาสที่จะเป็นนักรบได้เช่นกัน


 


ไม่ว่าจะราคาเท่าไรพวกเขาก็จะเดินทางไปทดสอบด้วยตัวเอง!


 


หลังจากการประชุมของเจ้าหน้าที่ในตอนเช้า พวกเขาส่วนใหญ่กำลังตัดสินใจเพื่อเดินทาง ..


 


“นายกจางท่านบอกเราว่า เพียงแค่ดูละครเรื่องกระบี่เทพสังหารเพื่อ ..”


 


“เฮ้! หลายคนแต่คำถามเดียวกัน ข้าขอตอบแทน ละครเรื่องกระบี่เทพสังหารนั้นมีความมหัศจรรย์มากเมื่อเทียบเท่ากับการฝึกฝนในหอศิลปะ แต่นี่สามารถได้รับทักษะจากการรับชมเพียงไม่กี่ครั้ง” ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะเบื่อกับคำถามซ้ำๆ เขาจึงเลือกที่จะตอบเอง “ท่านหมายถึงว่า .. เราสามารถเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้และเวทย์มนตร์ทางจิตวิญญาณในละครได้หรอ?”


 


“ตามตำนวนจักรพรรดิองค์แรกของดาจิน ได้พบกับแผนที่ดาวในถ้ำโบราณหลังจากที่จ้องดูแผนที่ในคืนหนึ่ง ความแข็งแกร่งในการฝึกฝนของเขาพุ่งสู่ระดับสูงสุด!” ผู้คนหันมองหน้ากัน “เป็นไปได้มั้ยที่ละครเรื่องกระบี่เทพสังหารจะมีคุณสมบัติคล้ายๆ อย่างนั้น”


 


นายกจางเบือนหน้าหนี เขาทำหูทวนลมไม่สนใจกับคำตอบของเจ้าหน้าที่คนนั้นสักเท่าไร “แน่นอนเราสามารถเรียนรู้ได้ พวกท่านลองคิดดูสิไม่เช่นนั้นเทคนิคการควบคุมดาบและทักษะระยะประชุดจะโด่งดังหลังจากการสอบหรือ?”


 


“นั่นมาจากเรื่องกระบี่เทพสังหารหรอ?” เจ้าหน้าที่ที่ยืนคุยกันสตั้น


 


ข้าราชการพลเรือนที่นี่ส่วนมากค่อนข้างไปทางสายงานวิชาการมากกว่าการสู้รบ โดยตำแหน่งและพื้นฐานพวกเขาไม่มีทักษะมากพอ แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มเห็นเส้นทางที่จะเพิ่มทักษะให้แก่ตนเองแล้ว


 


“ละครกระบี่เทพสังหารเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก!” นายกจางกล่าว “คาเฟ่นั้นมีหลายเกม แต่ทุกเกมล้วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ที่ดุเดือด ข้าว่าละครน่าจะเหมาะสมที่สุดกับสายงานของเรา”


 


“ใช่! มันง่ายมากก็แค่เฝ้าดูการต่อสู้เพื่อเพิ่มทักษะ ..” พวกเขายิ้มด้วยสายตาเคอะเขินเพราะรู้ตัวเองดีว่าทักษะการต่อสู้ของพวกเขานั้นด้อยกว่านักรบและผู้ฝึกฝน


 


“เราไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกต่อไป” นายกจางสรุป “ข้าคิดว่าเราทุกคนควรดูละครเรื่องนี้!”


 


“ท่านนายกพูดถูก มันไม่สำคัญว่าเราจะยุ่งแค่ไหน เราต้องหาเวลาไปดูละครให้ได้!”


 



 


ณ ด้านนอกคาเฟ่


 


ซงฉิงเฟิง, หลินเซียวและอีกสองสามคนกำลังเดินตามหลังหญิงสาวร่างสูงสวมชุดเกราะหนังสีแดง เขาบอกเธอว่า “เมื่อวานนี้พวกเราดูละครกระบี่เทพสังหารตอนที่ห้าและหกมันสนุกมาก”


 


“ใช่แล้สท่านอาจารย์มู ตอนที่แล้วก็น่าสนใจไม่แพ้ตอนที่ห้าและหกเลย ข้าบอกเลยว่ามันเด็ดจริงๆ”


 


“สองวันก่อนท่าพลาดมาก” ซูเหลียวกล่าว “แต่ก็ไม่เป็นไร ท่านสามารถดูทุกตอนชดเชยวันนี้”


 


“ละครเรื่องนี้ดีจริงๆ หรอ?” มูฮงจูจำได้ว่าเธอยังเล่นเกมตามคนอื่น แถมยังซื้อเซียนกระบี่พิชิตมารทิ้งไว้อีก ตอนนี้เธอควรจะซื้ออะไรเพิ่มอีกมั้ย?


 


ซึ่ง .. แต่ละรายการเป็นอะไรที่ตัดสินใจยากมาก!


 


อย่างไรก็ตามในตอนนี้ .. มูฮงจูกำลังวางแผนว่าเธอจะดูละครกระบี่เทพสังหารได้จบในวันเดียว จากนั้นวันพรุ่งนี้ก็เล่นเกมต่อ “ถ้างั้นวันนี้ฉันจะดูละคร”


 



 


นายกจางและกลุ่มของเขาใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงจนกระทั่ง .. บ่ายสองผู้คนมากมายภายในคาเฟ่


 


“ท่านนายก คนเต็มร้านเลย” บางคนเหลือบมองไปรอบๆ


 


“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล!” นกยกจางลูบเคราของเขา “ข้าคำนวนมาแล้วว่านี่คือช่วงเวลาที่ลูกค้าส่วนใหญ่เล่นเกมครบกำหนด ข้าแน่ใจว่าพวกเจ้าจะต้องมีที่นั่งแน่นอน”


 


“ท่านนายกมีความคิดดี”


 


“ท่านยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงใช่มั้ย?” นายกจางทักถาม “ร้านนี้มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมันค่อนข้างมีราคาสูง แต่รสชาติยอดเยี่ยมมาก แม้แต่องค์ชายยังชื่นชอบมัน หากพวกเจ้าต้องการสามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์”


 


“พวกเรารู้สึกเหนื่อยล้าและหิวโดยจากการเดินทางไกล ที่นี่มีอาหารด้วยหรอ เจ๋งมาก!” เจ้าหน้าที่มองหน้ากัน “พวกเราก็หิว ไปลองกินกันเถอะ จะรสชาติดีอย่างที่นายกพูดไว้หรือไม่”


 


“ไปพวกเราไปซื้อบะหมี่กัน!”


 


ในไม่ช้าคาเฟ่ก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของบะหมี่อีกครั้ง


 


ตงชิงลี่ที่เพิ่งเล่นเกมเสร็จ เธอยืนอยู่ข้างหลังฟางฉีมองดูเขาเล่นเกม “นี่ท่านทำไมท่านไม่ขยายที่นี่ มันแลแออัดเกินไป!”


 


เธอรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เธอมาก่อนจึงได้ที่นั่งก่อน แต่อีกไม่นานต่อไปหากเธอมาเร็วแล้วไม่มีที่นั่งเธอจะทำยังไงดี?


 


เธอแอบได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการซื้อนิยาย Diablo คนต่อแถวยืนรอเพื่อซื้อตั้งแต่เที่ยง เธอจินตนาการไปต่างๆ นาๆ ว่าอีกไม่นานหากคนเยอะแบบนี้ทั้งรอซื้อนิยายและลูกค้าที่มาเล่นเกม เธอคงต้องอดหลับอดนอนเป็นแน่


 


“ดูจากรูปการณ์แล้วที่นี่มีลูกค้ามากขึ้นๆ เราจะทำการขยายร้านในวันพรุ่งนี้!” ฟางฉีกล่าว


 


“พรุ่งนี้หรอ?” ตงชิงลี่และคนอื่นๆ ดูตื่นเต้นกับคำตอบ


 


ซงฉิงเฟิงเองก็ถามเพื่อยืนยันคำตอบอีกครั้ง “พรุ่งนี้จะมีคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นหรอ?”


 


“มีอะไรจะมาอีกมั้ย?” ตงชิงลี่ยังคงถามย้ำ


 


“นี่ท่าน เราไม่เห็นท่านออกไปดูทำเลหรือหาซื้อที่ใหม่เลย” ตงชิงลี่และจางวันยูที่อยู่ในคาเฟ่ตลอดทั้งวันทำหน้าสงสัย


 


“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล พรุ่งนี้พวกเจ้าจะได้เห็นเอง” ฟางฉีตอบ


 


ด้วยคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้น เขาคาดว่าอีกไม่นานลูกค้าจะไม่ต้องรอคิวอีกต่อไป


 


“พรุ่งนี้เราจะได้เห็นหรอ?” ลูกค้าคนอื่นที่ได้ยินต่างฮือฮา “จะมีการเปลี่ยนแปลงที่อัศจรรย์เกิดขึ้นใช่มั้ย?”


 


มูฮงจูที่อารมณ์ค้างคาเดินเข้าไปด้วยความไม่พอใจ “ซงฉิงเฟิงทำไมละครเรื่องกระบี่เทพสังหารถึงจบแค่ตอนที่หก? ที่เหลืออยู่ไหน?”


 


“เอ่อ ..​อาจารย์มู ข้าลืมว่ามีชั้นเรียนข้าไปก่อนนะ”


 


เมื่อซงฉิงเฟิงวิ่งออกไป ก็มีอีกคนสวนเข้ามา


 


“ท่านนี่มันจะสองทุ่มแล้ว วันนี้ท่านจะทำการถ่ายทอดสดตอนที่ห้าและหกใช่มั้ย?” เซียวหยูตะโกนถาม


 


“ละครกระบี่เทพสังหารจะทำการถ่ายทอดสดเฉพาะวันจันทร์และอังคารเท่านั้น และจะฉายแค่วันละสองตอน!”


 


“แล้วตอนที่ห้าหกละ?”


 


“จะถ่ายทอดสดในสัปดาห์หน้าไง” ฟางฉีตอบหน้านิ่ง


 


“อ๊ากกก!” เซียวหยูรู้สึกกำลังจะขาดใจตาย

 

 

 


ตอนที่ 172

 

วันถัดมา


 


เช้าวันนี้เป็นอีกวันสำคัญได้มีการประชุมจัดขึ้น


 


ท่านจักรพรรดิเป็นคนสุดท้ายที่เดินทางมาถึง  ในตอนนี้ทหารพร้อมทั้งข้าราชการพลเรือนทุกคนต่างมารวมตัวกันในวังครบหมดแล้ว


 


เจ้าหน้าที่ทหารตามตำแหน่งแล้วมีอิทธิพลมากกว่าข้าราชการพลเรือน


 


“นายพลลี ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้แบบใหม่มาหรือ? มันเป็นยังไงบ้าง?” นายพลยศสูงอายุมากพร้อมดาบทองคำข้างกายเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปในวัง


 


“ข้าไม่กล้าแสดงเทคนิครูปแบบใหม่ต่อหน้าท่านหรอก ท่านายพลหวัง!” นายพลลีตอบ “ข้ากำลังพบปัญหาบางอย่างในขณะที่กำลังพยายามสร้างเทคนิคการต่อสู้รูปแบบใหม่ ข้าขอคำแนะนำจากท่านด้วย”


 


“เทคนิคการต่อสู้แบบไหนที่เจ้าทำไม่ได้ละ?” นายพลยศสูงหัวเราะ “ไหนลองบอกข้าที”


 


“ข้าตั้งชื่อเทคนิคนี้ว่า ‘ภูเขาผนึกและภูเขาปราบปราม’ ” นาลพลลี่ตอบด้วยน้ำเสียงอ้อนน้อม “คุณสมบัติที่สำคัญของเทคนิคนี้คือ ‘ผนึกและปราบปราม’ ข้าได้รับแรงบันดาลใจจากความพ่ายแพ้ของเหล่าสาวกจากสำนักเฉิงจิ้งในการสอบระดับชาติ”


 


“เยี่ยม” นายพลหวังสูบเคราแล้วตอบว่า “แค่ฟังจากชื่อ ก็รู้สึกได้ว่าเทคนิคนี่ต้องมีพลังมาก”


 


“นี่ข้าสามารถใช้เทคนิคของข้าเพื่อบล็อคอาวุธต่างๆ ได้ แม้แต่เทคนิคการควบคุมดาบก็ไร้ประโยชน์ไปเลย” นายพลมีท่าทีที่พอใจกับเทคนิคที่เขาแสดง “จากนั้นข้าก็จะปราบปรามคู่ต่อสู้ด้วยวิธีนี้และทักษะการต่อสู้ระยะใกล้ก็จะไม่เป็นผล!”


 


“ดี!” เจ้าหน้าที่หลายคนที่อยู่แถวนั้นอุทาน “มันวิเศษมากที่นายพลลีคิดค้นวิธีนี้!”


 


นายพลลีกล่าว “น่าเสียดายที่ข้ายังคงหาวิธีใช้เทคนิคทั้งสองให้มีความเสถียรและสมบูรณ์แบบกว่านี้ไม่พบ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องขอคำแนะนำจากผู้อาวุโสอย่างท่านนายพลหวัง”


 


“อืม ..” นายพลหวังคิดไตร่ตรอง “เราต้องคิดมันให้รอบคอบ”


 


ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ทหารคนอื่นๆ กำลังจับกลุ่มพูดคุยกัน


 


“จากที่นายกจางกล่าว ท่านคิดว่าเราสามารถเรียนรู้คาถาที่แท้จริง การควบคุมดาบสายฟ้าของพระเจ้าได้มั้ย?”


 


“แน่สิ! พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรอ เราสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด”


 


“ใช่! หลังจากที่เราฝึกฝนเทคนิคการควบคุมดาบแล้ว ข้าว่าเราควรจะได้เรียนรู้เทคนิคดาบทุกชนิด”


 


“โอ้ เทคนิคดาบนั้นดูน่ากลัวจริงๆ”


 


“พลังแห่งสวรรค์อันย่งใหญ่พลังการควบคุมดาบสายฟ้าของพระเจ้า” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนส่ายหัว “ฉันละสงสัยจริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากลองสะกดดาบนี้ด้วยตัวเอง”


 


“สายฟ้าฟาดจากสวรรค์และโลกทั้งใบจะเปลี่ยนสี!” เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ พูดชื่นชม “พลังสวรรค์นั้นไม่มีอะไรที่จะปิดกั้นมันได้”


 


“ใช่!”


 


“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะเรียนรู้”


 


“เซียวฟานมีพรสวรรค์ไม่มากพอ แต่เขากลับจะได้เรียรู้มัน!” จู่ๆ ก็มีเสียงคนพูดขึ้นน้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังจะหาเรื่อง


 


“…”


 


เจ้าหน้าที่ทหารหลายคนกำลังพูดคุยถึงเทคนิคการต่อสู้แบบใหม่ พวกเขาอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่พลเรือนกำลังพูดคุยกันอย่างมีความเกี่ยวกับคาถาควบคุมดายสายฟ้าซึ่งพวกเขาเองก็กำลังไม่เข้าใจว่าบทบาทของพวกเขากลับกันหรือเปล่า?


 


“พลังแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่เปลี่ยนเป็นสายฟ้าของพระเจ้าถูกเรียกใช้ด้วยเทคนิคดาบ”


 


สายฟ้า? สวรรค์?


 


“นายพลลีพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน?” เจ้าหน้าที่ทหารมองไปยังกลุ่มเจ้าหน้าที่พลเรือน


 


“มันฟังดูมีพลังมาก”


 


“มีเทคนิคดาบที่สามารถเรียกสายฟ้าได้อีก”


 


“เทคนิคของนายพลลี ‘ผนึกและปราบปราม’ ก็เอาไม่อยู่ใช่มั้ย?”


 


เจ้าหน้าที่ทหารเริ่มพูดคุยกัน “แน่นอนเทคนิค’ผนึกและปราบปราม’ มีพลัง แต่คงไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเอาชนะพลังแห่งสวรรค์ได้”


 


“ใครก็ตามที่สามารถใช้พลังจากสวรรค์ได้จะต้องมีความแข็งแกร่งในการเพาะปลูกอย่างเทียบเทียมไม่ได้แน่!”


 


เจ้าหน้าที่ทหารหลายคนรู้สึกสับสนในขณะพูดคุยกัน “ทำไมเจ้าหน้าที่พลเรือนกำลังพูดถึงเทคนิคอันทรงพลังเช่นนี้”


 


“นายกจาง!” นายพลลีเดินไปถามด้วยสีหน้าเครียด “พวกท่านกำลังพูดถึงอะไรกัน?”


 


“ข้ากำลังคุยเรื่องละครกระบี่เทพสังหารกับพวกเขา” นายกจางตอบด้วยเสียงเย่อหยิ่ง


 


“กระบี่ ..”เจ้าหน้าที่ทหารมองหน้ากัน “อะไรนะ!?”


 


“ท่านจักรพรรดิมาแล้ว”


 


“พระองค์อยู่ที่นี่แล้ว เดี๋ยวค่อยคุยกันหลังประชุมเสร็จ”


 


ท่านจักรพรรดิมาถึงในเวลาสายกว่าปกติ นายพลหวังทำหน้าเซงเขาพยายามที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการควบคุมดาบสายฟ้า แต่.. ก็ถูกคั่นไว้ก่อน


 


เจ้าหน้าที่ทหารหลายคนทำหน้ามุ่ย


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขาก็ต้องทำตามหน้าที่ตามปริยาย


 



 


ในเวลาเดียวกัน เป้าหมายภารกิจสำหรับเกมใหม่กำลังจะมาในเร็วๆ นี้


 


คาเฟ่ของฟางฉีในตอนนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว!


 


เขาตื่นขึ้นและเดินลงมาชั้นล่างพบว่าพื้นที่ด้านในของร้านขยายขึ้นเป็นสี่เท่า!


 


มีคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น พื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนก็ใหญ่ตามไปด้วย มีโซฟาไว้นั่งเล่นนานเล่นอยู่ทางด้านซ้ายของประตูพร้อมโต๊ะน้ำชาที่อยู่ด้านหน้า เขาหันมองพลางคิดนี่มันเป็นสถานที่ให้ความบันเทิงและพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบจริงๆ


 


เก้าอี้คอมพิวเตอร์เตอร์เปลี่ยนจากเก้าอี้โลหะมาเป็นเก้าอี้เบาะหนังที่นั่งสบายกว่าเดิม


 


เนื่องจากการขยายตัวของพื้นที่ในคาเฟ่ทั้งหมดตึงถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วน คอมพิวเตอร์เจ็ดสิบเครื่องโดยประมาณ ชั้นล่างสามส่วนและชั้นบนห้องนอนเขาและเจียงหยูอีกสองส่วน


 


สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยคือกระดานดำเล็กๆ ที่เคาน์เตอร์


 


ตงชิงลี่รีบมาที่คาเฟ่แต่เช้า เมื่อเปิดประตูเข้ามาเธอทำหน้าแปลกใจคิดว่าเข้าผิดร้าน “โอ้โห! ใหญ่มาก!”


 


จางวันยูที่เดินตามเข้ามมา เธอมองรอบๆ ร้าน “มองจากด้านนอกทั้งสองมีขนาดเท่านั้นปกติ ทำไมพื้นที่ข้างในถึงดูโล่งและใหญ่ขึ้นมาก”


 


ซูเทียนจิเองเดินตามมาติดๆ เธอทำท่าตกใจ “!!??”


 


“แปลก ..” เฟงหัวมองรอบๆ ร้านและพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ท่านอาจารย์ การตกแต่งรอบๆ ร้านดูเปลี่ยนไปมา ข้าไม่เคยเห็นการตกแต่งแบบนี้มาก่อนเลย”


 


ซูเทียนจิกล่าวด้วยความประหลาดใจ “มันเป็นการตกแต่งที่ดีจริงๆ การตกแต่งในแบบที่มีจิตวิญญาณ”


 


“มันพิเศษมากเลนใช่มั้ย” เฟงหัวทำตาโต “ช่างน่าแปลกนอกจากท่านผู้อาวุโสจะลึกลับแล้ว ท่ายยังเป็นอาจารย์ระดับสูงอีกด้วย!”

 

 

 


ตอนที่ 173

 

“ว้าว! เจียงเสี่ยวหยูที่เพิ่งเดินลงมาข้างล่างอ้าปากค้าง” เธอแปลกใจมากที่คาเฟ่ของเราตอนนี้ชั่งกว่างขวาง “นี่คาเฟ่ของเราจริงๆ หรอ!?”


 


เธอวิ่งออกไปหน้าร้าน “หืม? ข้างหน้าไม่เห็นใหม่ ..”


 


“ทำไมเธอมายืนอยู่หน้าประตูละ?” นาหลันฮงวูที่เพิ่งมาถึงเอ่ยถามเมื่อเห็นเจียงเสี่ยวหยูยืนเก้ๆ กังๆ


 


ฟางฉีทำหน้านิ่ง “ก็แค่ขยายร้าน ทำไมต้องทำท่าประหลาดใจกันแบบนั้น!”


 


“เจ้าพูดถูก!” นาหลันฮงวูมองไปที่ประตู “อ่อที่ยืนอยู่ตรงนี้เพราะอึ้งสินะ”


 


เขาเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน


 


“…”


 


ดวงตาของเขาเบิกโพง “ใหญ่มาก”


 


ซูเทียนจิทำหน้าประหลาดใจ “นี่ผู้อยู่เบื้องหลังเขากำลังจะเปลี่ยนร้านให้เป็นรัฐหรอ?”


 


“จากนี้ไปเราไม่สามารถเรียกที่นี่ว่าร้านค้าเล็กๆ ได้อีก” ตงชิงลี่พูดอย่างตื่นเต้น “ที่นี่เปลี่ยนแปลงเป็นร้านที่ยิ่งใหญ่โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งคืน! มีคอมพิวเตอร์มากมาย นี่ท่านผู้อยู่เบื้องหลังทำให้ท่านหรอ?”


 


“หืม? เบาะนี่นุ่มกว่าขนสัตว์ปีศาจอีก” จางวันยูนั่งเล่นอยู่บนโซฟา “มันเด้งมาก”


 


“จริงหรอ? ขอฉันลองบ้าง”


 


เจียงเสี่ยวหยูหันมา “ฉันลองด้วย!”


 


ฟางฉีทำหน้าเซง “พวกท่านจะเล่นมั้ย?”


 


“รีบหรอ? มันไม่ต้องต่อแถวแล้วนี่” ซูเทียนจิเอนหลังบนโซฟา “พวกเธอเตรียมบะหมี่ให้ข้าด้วย!”


 


“รับทราบค่ะท่านอาจารย์!” เฟงหัวและยูซินเดินไปเตรียมบะหมี่อย่างสนุกสนาน


 


ฟางฉียืนนิ่ง ..


 


“เอาละ กินบะหมี่กันเถอะ!” พวกเขาไม่สามารถเล่นเกมไปกินไปได้ในเวลาเดียวกัน นาหลันฮงวูจึงเลือกนอนพักบนโซฟาที่นุ่มสบาย “นี่เมื่อไรเจ้า่จะปล่อยละครกระบี่เทพสังหารตอนที่เจ็ดและแปดสักที?”


 


“จะทำการเพิ่มตอนเฉพาะวันพฤหัสเท่านั้น” ฟางฉีที่นอนเล่นอยู่บนโซฟาตะโกน “เสี่ยวหยูข้าขอบะหมี่ด้วยคน!”


 


เจียงเสี่ยวหยูทำหน้ามุ่ยน้ำตาคลอ ฮือออ .. ฉันทำได้แค่เตรียมบะหมี่ แต่ไม่สามารถลิ้มรสมันได้เลย


 



 


ฟางฉีที่รับบะหมี่มาจากเสี่ยวหยู เขาเปิดฝาระบายความร้อนพลางดูรายการภารกิจในหน้าอินเทอร์เฟซของระบบ


 


คนอื่นรอบข้างต่างนั่งหัวเราะและพูดคุยในขณะที่กินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย


 


ในขณะที่พวกเขากำลังนั่งจับกลุ่มกัน ลูกค้าใหญ่ก็เริ่มทยอยเข้ามาในคาเฟ่ ซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ เดินเข้ามาประจวบกับที่เขาเห็นฟางฉีเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดานดำ


 


“ท่าน! กำลังเขียนอะไรอยู่น่ะ?” หลังจากชื่นชมบรรยากาศใหม่รอบๆ ร้านแล้ว ซงฉิงเฟิงและเพื่อนๆ ก็เดินเข้าไปหาเจ้าของร้าน “เอาดี? นี่รายการใหม่อีกแล้วหรอ?”


 


“ใช่แล้ว!” ฟางฉีพยักหน้า


 


“เพื่อเดิมเต็มความว่างเปล่าหลังจากดูละครกระบี่เทพสังหาร นี่เป็นส่วนหนึ่งในการจัดการกับจิตใจที่ไม่มั่นคง ฝึกฝนความแข็งแกร่งให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คาเฟ่ของเราได้สร้างเกมนี้ให้พวกท่านโดยเฉพาะ” ฟางฉีกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ไซเลนต์ฮิลล์?” ซูฉีซินที่เดินตามหลังมาด้วยเอ่ย “หืม .. เป็นเวลานานพอสมควรที่คาเฟ่ไม่ได้ลงเกมใหม่”


 


“เกมใหม่?” นาหลันฮงวูและซูเทียนจิที่เดินผ่านมาได้ยินพอดี แม้ที่นี่จะมีรายการใหม่มาอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่เห็นเกมใหม่ๆ มาระยะหนึ่งแล้ว


 


ซูเทียนจิเองเล่นเกมเซียนกระบี่พิชิตมารผ่านไปแล้วสามครั้ง แถมเธอยังคงเล่น CS อยู่เช่นเดิมหากมีคู่แข่งที่มีความสามารถน้อยกว่าเธอ


 


นาหลันฮงวูเองก็ไม่แพ้เธอ เขาเล่น Diablo Act III ผ่านแล้วและกำลังรอ Act IV อยู่ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาส่วนมากไปกับการตามหาไอเทมใหม่ๆ และก็ยังคงเล่น CS กับผู้เล่นหน้าใหม่เช่นกัน


 


ในขณะที่พวกเขารอการเพิ่มตอนของละครกระบี่เทพสังหาร นี่ถือเป็นข่าวดีในการสร้างความบันเทิงให้ตัวเอง


 



 


“ไซเลนต์ฮิลล์?” พวกเขามองหน้ากัน ชื่อนี้ .. ค่อนข้างแปลก


 


“เพื่อจัดการกับจิตใจที่ไม่มั่นคง? และความอ่อนแอ?” นาหลันฮงวูทำหน้าครุ่นคิด “มันเป็นเกมที่ฝึกจิตใจให้แข็งแกร่งหรอ? คนหนุ่มสาวสมัยนี้ช่างทรหด”


 


“เป็นเรื่องที่ดีน่าคิดพิจารณา” ซูเทียนจิมองหน้าฟางฉีและเอ่ยด้วยความปนะหลาดใจ


 


เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ นี่เกมร้านนี้สามารถพัฒนาจิตของคนและขจัดความชั่วร้ายในใจได้ด้วยหรอเนี่ย!?


 


นี่เป็นคุณสมบัติของเกมที่เหมาะกับคนหนุ่มสาวมาก แต่สำหรับผู้ปลูกฝังอย่างเธอแล้ว การฝึกฝนขั้นสูงสุเที่ยากเย็นคือการเอาชนะความชั่วร้ายในขณะการเพาะปลูก


 


ซูเทียนจิเองก็กำลังสงสัยว่าเธอมีจุดอ่อนหรือไม่และเกมจะช่วยจัดการกับมันได้หรือเปล่า


 


ฟางฉีหยักไหล่และตอบกลับ “ที่นี่เราให้บริการครบวงจร”


 


“เกมใหม่ดีมั้ย? มันสามารถพัฒนาจิตใจให้แข็งแกร่งหรอ?” ซูฉีซินในฐานะผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากเอ่ยถาม เธอมีความแข็งแกร่ง แต่จิตใจของเธอในตอนนี้ไม่ค่อยมั่นคงสักเท่าไรเนื่องจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วแถมยังชอบลองสิ่งใหม่ๆ ดังนั้น “ท่าน! ข้าขอเปิดใช้งาน ไซเลนต์ฮิลล์!”


 


ฟางฉีเอ่ยเตือน “อย่างไรก็ตามเกมนี้น่ะ มีการตั้งค่าบางอย่างที่พิเศษแตกต่างจากเกมอื่น ตัวอย่างเช่น ระหว่างการต่อสู้พวกท่านไม่สามารถออกจากโหมดความเป็นจริงได้และไม่สามารถลดความรู้สึกเจ็บปวดต่ำกว่าครึ่งนึง”


 


เขาอธิบายการตั้งค่าของเกมใหม่ ตัวอย่างเช่นใน Resident Evil หากผู้เล่นยอมแพ้การต่อต้านและใกล้ตายพวกเขาสามารถออกจากโหมดเสมือนจริงได้โดยเลือกใช้การควบคุมจากแป้นพิมพ์และใช้เมาส์แทนเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด


 


อย่างไรก็ตาม .. เกมนี้ใหม่นี้ พวกเขาไม่สามารถออกจากความเป็นจริงได้จนกว่าตัวละครจะตาย หากเลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งแล้วก็ต้องเล่นให้จบเป็นครั้งไป


 


นอกจากนี้ระบบจะปิดการสื่อสารจากโลกภายนอกโดยอัตโนมัติ หากผู้เล่นเข้าสู้พล็อตเรื่องหลักแล้วทางระบบจำทำการตั้งค่าตัวเลือกใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงมลภาวะทางเสียง เพื่อไม่ให้รบกวนผู้อื่นและไม่ให้ผู้อื่นรบกวน


 


“วันนี้ท่านไม่ได้เล่นเกมใหม่มช่มั้ย?” นาหลันหมิงสื่อเดินเข้ามาถาม


 


ฟางฉีเหลือบมองไปรอบๆ ร้าน “ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมเท่าไร ขอยืนดูก่อน”


 


“โอ้ งั้นฉันขอดูด้วย” นาหลันหมิงสื่อซื้อโค้กหนึ่งควรพร้อมยืนดูเช่นกัน


 


“เราจะเล่นมันกันมั้ย?” จางวันยูหันไปถาม


 


“ดูก่อนละกัน” ตงชิงลี่ตอบกลับ เธอยังคงเล่นเกมเซียนกระบี่พิชิตมารและ Diablo ติดลมอยู่


 


“ฉันอยากดูเกมใหม่ด้วย” เจียงเสี่ยวหยูเองเอ่ย


 


“ฮ่าๆ ๆ ๆ เราเล่นเกมใหม่กันมั้ยวันนี้” หลินเซียวและซูเหลียวหัวเราะ “นี่ซงฉิงเฟิง เจ้าลองเล่นและสำรวจเกมเลย!”


 


“ท่านอาจารย์ เล่นด้วยกันมั้ย​?” เฟงหัวและยูซินเปิดใช้งานเกมเป็นที่เรียบร้อย


 


“นี่เจ้า เกมนี้มีตัวเลือกสำหรับผู้เล่นหลายคนมั้ย?” ซูเทียนจิถาม


 


“ไม่”


 


“พวกเจ้าเล่นไปก่อนละกัน” ซูเทียนจิพูดกับลูกศิษย์ด้วยน้ำเสียงนิ่ง


 


“รับทราบท่านอาจารย์!”


 


“ฉันขอดูก่อนละกัน”

 

 

 


ตอนที่ 174

 

ผู้เล่นที่เปิดใช้งานคลิกที่ไอค่อนเพื่อเริ่มเกม


 


ขณะเดียวกันลูกค้าใหม่ๆ ก็เดินเข้ามาในร้าน เจียงเสี่ยวหยูเองต้องรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์เพื่อรับเงิน ก่อนจะรีบวิ่งกลับมาตั้งหน้าตั้งตาดูอีกครั้ง


 


ผู้เล่นไม่สามารถเสือกตัวละครในเกมได้ เนื่องจากมีตัวละครเพียงตัวเดียวซึ่งเป็นเพศชาย คล้ายๆ กับเกมเซียนกระบี่เทพสังหารที่มีหลี่เสี่ยวเหยาตัวเอกเป็นคนเดียว


 


เมื่อมองดูชายหนุ่มรูปงามผิวขาวพร้อมกับผมสีทอง “นี่คนต่างชาติเหมือน Resident Evil ใช่มั้ย?” คนดูต่างสงสัย


 


ผู้เล่นหลายคนไม่ได้เห็นชาวต่างชาติในเกมนี้เป็นเกมแรก แต่พวกเขาเคยเห็นมาก่อนทั้งในเกม Resident Evil, Diablo และ CS มาก่อนหน้านี้ ตอนนี้พวกเขาเริ่มคุ้นเคยกับภาพของชาวต่างชาติบางแล้ว หลังจากเล่นเกมไปสักพักก็เริ่มเข้าใจในโลกและภาษาต่างประเทศมากขึ้น


 


แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่รู้ว่ามีประเทศอื่นๆ อยู่ในโลกจริงหรือไม่ แต่พวกเขาก็ใช้วิธีนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสำรวจอารยธรรมใหม่ๆ พวกเขารู้สึกเหมือนได้เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศขณะที่นั่งอยู่ในคาเฟ่


 


ซูเทียนจิยิ้มและส่ายหัว ซงฉิงเฟิงเองก็กำลังเดินทางเข้าสู้โลกใหม่ในเกม


 


ผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่ต้องการการแจ้งเตือนเนื่องจากข้อมูลจำนวนมากล้วนถูกเก็บไว้ในความทรงจำของพวกเขาโดยอัตโนมัติ ทั้งพล็อตเรื่องการเดินทางรวมไปถึงชีวิตของตัวละครหลัก


 


ไม่เพียงแต่ตัวผู้เล่นเกมเองเท่านั้นที่สามารถจดจำได้ แต่คนอื่นๆ เช่นนาหลันหมิงสื่อพร้อมเพื่อนๆ เองที่ได้รับชมอยู่เบื้องหลัง พวกเขาเองก็จำได้แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ บนหน้าจอ


 


“จดหมายจากภรรยาเขาหรอ?”


 


จากคำพูดในจดหมายสามารถสัมผัสได้ถึงความรักของภรรยาที่มีต่อสามีซึ่งเป็นตัวละครหลักของเกม แต่


 


“ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปเมื่อสามปีที่แล้ว”


 


หัวใจของทุกคนซวนเซ พวกเขามองหน้ากันอย่างสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


บรรยากาศที่น่าขนลุกเริ่มก่อตัวขึ้น


 


ซงฉิงเฟิงควบคุมตัวละครในเกม ตอนนี้ตัวละครของเขายืนอยู่ที่เนินเขาพิงรั้วและจองมองหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยหมอก


 


เขารู้สึกตัวสั่นอย่างไม่มีเหตุผล “ข้า .. รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ..”


 


“ฉีซิน .. ฉันไม่อยากเล่นต่อแล้ว” เฉินชิงชิงพูดด้วยน้ำเสียงกลัวปนเศร้า


 


“อย่าไปกลัว!” ซูฉีซินสนับสนุน “นี่มันหมายความว่าจิตใจของเธอกำลังอ่อนแอ เธอต้องเล่นเกมนี้ให้มากกว่าเดิม”


 


เฉินชิงชิงเงียบไป


 


“ฉันรู้สึกว่าเกมนี้แปลก ..” ซูเทียนจิที่ยืนอยู่ข้างหลังเฟงหัวและยูซินพึมพำ “มันมีอะไรผิดปกติ?”


 


“พวกเจ้ากลัวอะไร? ซูเทียนจิตะโกนถาม “ข้าจะดูว่ามันมีเทคนิคและบทบาทอย่างไรบ้าง”


 


“ไหนทักษะ มันใช้ทักษะอย่างไรกัน”


 


ไม่มีรูปแบบของทักษธปรากฏขึ้น ซูเทียนจิรู้สึกไม่เข้าใจอย่างมาก “นี่เจ้าของร้าน ใช้ทักษะอย่างไร?”


 


“ไม่มีทักษะพิเศษ”


 


“…” ซูเทียนจิ


 


“…” ซูฉีซิน


 


“…” ซงฉิงเฟิง


 


“ก่อนที่จะได้อาวุธดีมา” ซงฉิงเฟิงพึมพำ “เราคงต้องเล่นคล้ายกับตัวละครหลักใน Resident Evil ..”


 


“ไม่นะ! นี่ท่านอาวุธอยู่ที่ไหน?” ในไม่ช้าก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น


 


แม้แต่คริสเองก็ยังมีทักษะการต่อสู้ระยะประชิดและมีดสั้นติดตัวมาแต่เริ่ม


 


“ไม่มีอาวุธ” ฟางฉีตอบ


 


หลินเซียวขยับร่างกายท่าทางของเขาในเกม “ไม่มีทักษะการต่อสู้ระยะประชิดหรอ?”


 


“ไม่มี”


 


“ถ้าเขาไม่มีอะไรเลย ข้าจะเล่นเกมนี้ยังไง?” สีหน้าของซูเทียนจิหมอง “ตัวละครหลักมีอะไรบ้าง?”


 


“ขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบ แต่ .. ตัวละครหลักในเกมนี้เป็นแค่คนธรมมดา”


 


“…”


 


ผู้เล่นทุกคนสตั้น


 


เห็นได้ชัดว่าหมอกที่อยู่ตรงหน้าเต็มไปด้วยอัตรายและไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ตอนนี้พวกเขารู้อย่างเดียวว่าตัวละครหลักเป็นเพียงแค่คนธรรมดา!


 


“ก็ดีที่เล่นเป็นแค่คนธรรมดา” นาหลันฮงวูที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ย “ หากมีทักษะพวกเขาก็อาจไม่เปิดเผยจุดอ่อนภายในใจ”


 


เฉินชิงชิงอยากจะออกจากเกมให้รู้แล้วรู้รอด ถึงแม้ตอนนี้เธอยังคงสื่อวสารกับโลกภายนอกได้ แต่เธอก็ยังคงรู้สึกกลัวจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี


 


ในความจริงแล้วสาระสำคัญของเกมสยองขวัญหลายเกมนั้น มักเป็นการทอดลองความคิดของผู้เล่น ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว ฝึกให้พวกเขาได้ลองจนสามารถเดินผ่านความน่ากลัวนั้นมาได้


 


เกมสยองขวัญที่สร้างขึ้นไม่น่ากลัวเท่าความสยองที่เกิดจา่กจินตนการของตัวเอง!


 


ใยเวอร์ชั่นนี้ดูสมจริงมาก ซึ่งนั่นหมายความว่ามันเป็นเวอร์ชั่นที่ทำให้เกิดความกลัวได้มากกว่าภาคอื่นๆ ผู้เล่นที่มีจิตใจอ่อนเอมักจะถูกควบคุมโดยจินตนาการที่คิดตะเลิดไปไกลของตัวเอง


 


นาหลันหมิงสื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เนื่องจากตัวละครหลักในเกมนี้เป็นแค่คนธรรมดา แต่เขาสามารถขับรถมายังสถานที่แห่งนี้ได้ นั่นหมายความว่าหากคนธรรมดาอย่างเขากล้าที่จะเข้าไป ฉันว่าก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่เราต้องกลัว ..”


 


“ใช่! แม้แต่คนธรรมดาอย่างเขายังกล้ามาที่นี่ ดังนั้นฉันเดาว่าสิ่งเดียวที่น่ากลัวคือบรรยากาศรอบข้างที่ชวนขนลุก” หลันยันกล่าว “แม้ว่าจะมีอันตรายที่เรายังไม่พบ แต่ฉันเชื่อว่าพวกท่านต้องจัดการได้แน่”


 


“เจ้าคิดยังงั้นหรอ?” เฉินชิงชิงที่ขี้กลัวเอ่ยถาม


 


“เจ้าจะได้รู้เมื่อลองด้วยตัวเอง” ซูเทียนจิพูดให้กำลังใจ


 


“นี่ท่าน! ทำไมท่านไม่เล่นละ” เฟงหัวและยูซินหันไปหาฟางฉีและถามด้วยความสงสัย


 


“ข้าอยากลองดูก่อน ข้ากำลังคิดว่าคืนนี้จะถ่านยทอดสด”


 


“คืนนี้?”


 


“ถ่ายทอดสด?”


 


พวกเขามองหน้ากันไปมา


 


บทสนทนานี้ได้ขจัดข้อสงสัยในใจของคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ


 


“ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว! มันแค่ทำให้ข้าตกใจเท่านั้น”


 


“ดูสิ! ข้าบอกแล้วว่ามันไม่เป็นไร” ซงฉิงเฟิงที่เริ่มเดินลึกเข้าไปในหมอกหนา บรรยากาศนั้นดูเงียบกว่าเดิม ขณะเดียวกันเขาพบว่าไม่มีใครคอบกลับคำพูดของเขา .. ไม่มีเสียงใดๆ รอบตัวเขาเลย


 


เขาจำได้ว่าฟางฉีเคยบอกก่อนหน้านี้ว่าจะทำการปิดใช้งานการสื่อสารภายนอกหลังจากเข้าสู้พล็อตเรื่อง


 


เมื่อเดินไปตามถนนบนภูเขาเข้าไปสักพัก เขาเข้าไปในสุสานและได้พบกับ NPC ตัวแรก เขาได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในไซเลนต์ฮิลล์พร้อมได้คำแนะนำ


 


เกมนี้เริ่มแปลกกว่าเดิม ไม่นานหลังจากนั้นผู้เล่นเดินไปตามถนนบนภูเขาอันว่างเปล่าเมื่อเดินเข้าไปในเมืองก็ได้พบกับรอยเลือด หลังจากได้เห็นรอยเลือกก็พบเขากับร่างหนึ่งที่สะดุดล้มลงไปในหมอกหนาทึบ


 


พวกเขาวิ่งตามเพื่อไปดูร่างที่ล้มลง แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า .. ร่างนั้นหายไปแล้ว


 


ในตอนนี้แม้แต่ตชิงลี่และหลันยังที่เฝ้าดูจากด้านหลังยังรู้สึกตัวสั่นแทนซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ


 


“ช่างน่าขนลุกที่พวกเขาเดินโซซัดโซเซ เข้าไปในสถานที่แบบนี้โดยไร้ความสามารถใดๆ” นาหลันฮงวูพูด “เกมนี้ค่อนข้าง ..”


 


.. จู่ๆ ผู้เล่นก็พบกับเสียงวิทยุและศพที่นั่งคุกเข่าบนพื้น พวกเขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อตรวจสอบ แต่แล้ว .. ก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างที่อยู่ข้างหลัง


 


เมื่อมองกลับไปพวกเขาเห็นร่างที่บิดเบี้ยวยืนอยู่!


 


“อ้าาาา”


 


“อ่าาาาา”


 


“อ้าาาาาาา”


 


พวกเขารู้สึกตกใจทำไรไม่ถูก! ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย!


 


แม้แต่นาหลันหมิงสื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟางฉีเอง ก็รู้สึกเหงื่อแตกและมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป จากซีดแล้วซีดลงอีก ขณะกำลังยืนมองเหตุการณ์ของซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ


 


พวกเขารู้สึกกลัวจนขาดสติ!

 

 

 


ตอนที่ 175

 

นี่มัน ..


 


โลกนี้มีสัตว์ประหลาดและปีศาจมากมาย แต่ไม่เคยมีใครเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มาก่อน ..


 


สัตว์ประหลาดที่เห็นอยู่ข้างหน้ามีรูปร่างที่น่ากลัวชวนขนลุก ยิ่งมองรายละเอียดยิ่งเห็นความสยดสยองของมัน ซงฉิงเฟิงมองไปที่หน้าอกและท้องของมันด้วยสายตาสะอิดสะเอียน


 


ฟางฉีครุ่นคิดว่านี่ระบบสร้างเกมไซเลนต์ฮิลล์ได้เหมือนจริงขนาดนี้เลยหรอ ในฐานะคนคุ้นเคยกับเกมนี้ฟางฉีรู้ถึงความน่าขนลุกของสถานที่แห่งนี้มากกว่าคนอื่นๆ มันมีกองกำลังพิเศษที่สามารถทำให้ความคิดอันลึกซึ้งของผู้คนเป็นจริง


 


หากใครที่มีความคิดมืดๆ ซ่อนอยู่ภายในจิตใจพวกเขาจะตกอยู่ในโลกแห่งทางเลือกอย่างง่ายดาย


 


เห็นได้ชัดว่าปีศาจตัวนี้เป็นผลผลิตจากความคิดอันมืดมิดของตัวละครหลักร่วมกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้เล่น เช่นความเครียดและขมขื่นในหัวใจ


 


เนื่องจากเป็นความเกี่ยวข้องทางอารมณ์ภายใน พวกมันสามารถบังคับควบคุมและให้คำแนะนำอันทรงพลังผ่านทางจิตใจที่อ่อนแอ


 


อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งก็เกิดจากอารมณ์ของผู้เล่นร่วมด้วย หากมีจิตใจดีและแข็งแกร่งก็จะสามารถไปต่อได้ แต่หากมีจิตใจอ่อนแอมืดมนก็จะต้อง ..


 


ภายใต้ความน่ากลัวของสภาพแวดล้อมและบรรยากาศรอบๆ ทำให้ทุกคนที่ต่างรับชมรวมไปถึงนาหลันฮงวูเองที่ยืนชมอยู่รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ


 


เจียงเสี่ยวหยูเองกำลังเอามืดปิดตาพร้อมกรีดร้อง “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!?”


 


เธอไม่ได้กลัวปีศาจหรือสัตว์ประหลาด แต่ .. นี่มันมากเกินไปจริงๆ


 


ที่สำคัญกว่านั้นตัวละครหลักในเกมคือผู้ชายธรรมดาไม่มีความสามารถพิเศษใด!


 


หากเขามีกำลังภายในสักนิดผู้เล่นอาจรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเพราะกลัวว่าจะโดนคว้า!


 


หากพวกเขาไม่หาทางชนะ มันก็ไม่มีทางหลบหนีใดได้เลย


 


โชคดีที่สัตว์ประหลาดในช่วงเริ่มต้นของเกมไซเลนต์ฮิลล์ไม่ได้แข็งแกร่งมากเท่าไรนัก นอกจากนี้ผู้เล่นบางคนทั้งชายและหญิงยังเป็นถึงนักรบผู้ประสบความสำเร็จ พวกเขาจึงค่อนข้างมีความกล้าหาญอยู่เป็นทุน


 


เฉินชิงชิง, ซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ วิ่งหนีปีศาจด้วยความเร็วสูง เมื่อตั้งหลักได้พวกเขานึกถึงทักษะการต่อสู้ระยะประชิดจาก Resident Evil จึงนำมันมาใช้ชกต่อยก่อนที่ปีศาจจะล้มพับลง


 


ซูเทียนจิเองรู้สึกจิตตกจนลืมไปว่าตัวเองไม่มีความสามารถในการต่อสู้ ..​เธอรู้สึกกลัวอย่างบ้าคลั่ง


 


โชคดีที่จิตใจของเธอมีความแข็งแกร่งกว่าคนอื่นอยู่มาก เมื่อถูกฉุดให้ได้สติเธอก็พยายามที่จะต่อยเตะเพื่อป้องกันตัวเอง


 


บางคนเลือกที่จะวิ่งต่อไปจนแน่ใจแล้วว่าปีศาจตัวนั้นไม่ตามมา พวกเขาตัวสั่นเทิ่มและรีบออกจากโหมดเสมือนจริงทันที


 


ซูเทียนจิเองรีบถอดหูฟังวีอาร์ออก ก่อนจะหันไปจ้องมองฟางฉี เขาเป็นคนเดียวที่ยืนสงบนิ่ง หลายคนเมื่อได้ออกมาจากความน่ากลัวพวกเขาแทบอยากจะโยนชุดหูฟังใส่เจ้าของร้านทันที


 


ซูเทียนจิรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก .. ก่อนหน้านี้เธอมั่นใจอย่ายิ่งว่าเธอจะต้องออกมาพร้อมชัยชนะที่ได้โอ้ไว้กับเหล่าสาวก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อได้เล่นไปเพียงครึ่งชั่วโมง เธอรู้สึกกลัวจนหัวหก


 


เธอรู้สึกอับอายที่จดจำการต่อสู้ไม่ได้แถมยังมีท่าทางที่เงอะงะอีกด้วย


 


หลันยัน, เจียงเสี่ยวหยูและนาหลันหมิงสื่อพิงหลังหากัน พวกเธอรู้สึกตัวสั่นในขณะเดียวกันตัวของนาหลันหมิงสื่อนั้นเย็นกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด


 


ตงชิงลี่, จางวันยู, เฟงหัวและยูซินเองก็ซุกตัวอยู่ในกลุ่ม


 


นาหลันฮงวูที่ยืนดูด้วยความหวั่นใจ “นี่เจ้าหนุ่ม นี่เรียกว่าการฝึกจิตให้แข็งแกร่งหรือ?” เขาเอ่ยถาม


 


“ท่าน!” ซงฉิงเฟิงเรียก “ข้าจะเอาชนะได้อย่างไร ข้าว่าข้าคงจะกลัวจนตายซะก่อน!”


 


“ใช่!” เฉินชิงชิงตบหน้าอกตัวเองเพื่อไม่ให้ใจเต้นแรง “ฉันโชคดีมากที่ไม่ถูกจับได้”


 


พวกเขาไม่ได้กลัวปีศาจหรือซอมบี้ แต่พวกเขากลัวสภาพแวดล้อมทั้งจดหมายจากคนตายและยังรวมไปถึงเมืองที่เงียบ .. ไร้ผู้คน!


 


เห็นได้ชัดว่าสัตว์ประหลาดไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถจัดการได้ด้วยความง่ายดาย!


 


“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าของไม่เล่น!” เจียงเสี่ยวหยูทำหน้าหลาดกลัว เธอไม่ได้เป็นผู้เล่นแต่เมื่อได้ดูก็รู้สึกกลัวราวกับเล่นเอง “ฉันรู้แล้วแหละว่าท่านไม่กล้าเล่น!”


 


“ใช่!” หลันยันเสริม “ใครกันสร้างเกมที่น่ากลัวขนาดนี้”


 


“เจ้าของร้านบอกว่าเขาจะเล่นพร้อมถ่ายทอดสดคืนนี้” นาหลันหมิงสื่อหันไปจ้องหน้าฟางฉีด้วยสายตาดุเดือด เธอขาดหวังว่าเขาจะทำตามคำพูดที่เขาเคยเอ่ย


 


“ข้าจะถ่ายทอดสดคืนนี้” ฟางฉีเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียง


 


ซูเทียนจิเองที่เคยอยากปะลองฝีมือกับฟางฉีเป็นการส่วนตัว เธอกลืนความท้าทายลงคือเมื่อได้ยินคำตอบจากปากฟางฉี


 


“คืนนี้เจ้าจะถ่ายทอดสดจริงหรือ?”


 


“ข้าเคยกลับคำพูดหรอ!?” ฟางฉีตอบ


 


“เจ้าไม่กลัวรึ?” ซูเทียนจิเย้ยและทำหน้าไม่เชื่อเขาสักเท่าไร


 


ฟางฉีชี้นิ้วไปที่หน้าจอ “ดูสิ! ตัวละครหลักเป็นแค่เพียงคนธรรมดายังไม่กลัวเลย ทำไมข้าต้องกลัว” เขาหันมองหน้าซูเทียนจิ “ท่านไม่เล่นต่อหรอ? หรือว่ากลัว?”


 


ทุกคนเงียบ ..


 


เวลาเดียวกันนาหลันฮงวูพูดขึ้น “จากความเห็นฉัน ฉันว่าเกมนี้ทำให้จิตใจของคนแข็งแกร่งขึ้นนะเพราะสภาพแวดล้อมที่ดูน่ากลัว มีคำใบ้ในการผ่านมันไปมั้ย?”


 


ฟางฉียักไหล่


 


นาหลันฮงวูกล่าวต่อว่า “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าทุกคนสามารถหลบหนีสัตว์ประหลาดได้แม้ว่าจะเป็นแค่คนธรรมดาในเกม นั่นหมายความว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าจิตนาการที่สร้างขึ้นเอง”


 


เมื่อได้ยินคำพูดจากเขานั้นหลายคนรู้สึกเห็นทางสว่าง “ผู้อาวุโส ท่านกำลังหมายความว่าแม้แต่คนธรรมดาเองก็มีโอกาสที่จะสามารถเอาชีวิตรอดจากเกมนี้งั้นหรือ?”


 


“แน่สิ” นาหลันฮงวูตอบ “ไม่เช่นนั้นจะสร้างเกมและมีข้อกำหนดแบบนี้ได้อย่างไร”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว!” ซูเทียนจิพยักหน้าเงียบๆ “ในสภาพแวดล้อมนี้จิตใจที่ไม่มั่นคงจะทำให้เราเคลิ้มตามไปได้ เราต้องมีสติและสงบจิตใจเพื่อความอยู่รอด”


 


“เกมนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก”


 


“หืม? เช่นนั้นหรอ” ซูฉีซินและเฉินชิงชิงทำหน้าสับสน พวกเธอมองหน้าฟางฉีอย่างสงาัยว่าเกมนี้มีวัตถุประสงค์แบบใดกันนะ เกมต้องการให้ผู้เล่นกลัวก่อนจะกระทำการอื่นใดหรอ


 


“ท่าน! แน่ใจหรือว่าท่านจะเล่นมันคืนนี้?” เฉินชิงชิงปรายตามองด้วยความไม่มั่นใจจึงเอ่ยถามเพื่อยืนยัน


 


“แน่นอน!”


 


“ฉันจะลองอีกสักตั้ง!” ซูเทียนจิพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งเพื่อเรียกกำลังใจ เธอไม่ยอมรับว่าจิตใจของเธออ่อนแอ หากเจ้าเด็กฟางฉีกล้าเล่น เธอเดาว่ามันคงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

 

 

 


ตอนที่ 176

 

เนื่องจากบรรยากาศในเกมช่างน่ากลัวชวนขนลุกเหลือเกิน ซูฉีซินและเฉินชิงชิงเลยนั่งนิ่งเพื่อพิจารณาว่าเธอสองคนควรไปต่อหรือพักก่อน


 


หลินเซียวและซูเหลียวเองก็หันไปเหลือบมองซงฉิงเฟิง “ฉิงเฟิงเราควรเริ่มต้นอีกครั้งมั้ย?”


 


ซงฉิงเฟิงไม่ใช่คนใจร้อน เมื่อได้ยินคำถามจากเพื่อนและได้คิดไตร่ตรองแล้ว เขาพบว่าเมื่อได้ฟังคนอื่นพูดถึงเกมมากเข้า มันอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด


 


หลังจากนั่งพิจารณา “มาเล่นกันเถอะ! มันก็แค่สัตว์ประหลาดเพียงตัวเดียวเอง ถ้าเราเอาชนะมันไม่ได้ก็แค่วิ่งหนีไปให้ไกล นอกจากนี้มันก็แค่เกมจะตายกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร”


 


ด้วยความคิดแบบนี้ความกลัวจึงลดลงมากจากตอนแรก


 


“ฮิฮิ! เจ้าพูดถูก!” หลินเซียวตะโกน


 


“มาต่อกันเลย! ถ้าเจอปีศาจอีกเราก็แค่วิ่งและหลบมัน!” ในขณะเดียวกันคนอื่นๆ เองก็มายืนรายล้อมอยู่ข้างหลังพวกเขาเพื่อรอรับชมเหตุการณ์อันหน้าตื่นเต้นโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะมีเกิดขึ้น


 


“ท่านอาจารย์ .. ทำไมถนนในเกมของท่านถึงเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้” เฟงหัวจ้องมองที่หน้าจอของซูเทียนจิ เธอเห็นร่างบิดเบี้ยวจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นจากหมอกหนา!


 


ไหนบอกว่ามีสัตว์ประหลาดตัวเดียวไม่ใช่หรอ? เด็กหญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังกอดคอกันและกำลังหักห้ามใจไม่ให้กรีดร้อง


 


มีหลายคนหรอ!? ใบหน้าของซงฉิงเฟิงและผู้เล่นคนอื่นกระตุก พวกเขาร้องตะโกน “วิ่ง! วิ่ง!”


 


หลังจากวิ่งไปสักระยะพวกเขาก็บ่น “นี่ข้าอยู่ที่ไหนแล้วเนี่ย” แม้ว่าพวกเขาบางคนจะมีแผนที่แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกซึ้งเนื่องจากรอบๆ เต็มไปด้วยหมอกหนา


 


จากหมอกที่หนาจนมองแทบไม่เห็นอยู่แล้ว กลับหนาขึ้นกว่าเดิมสภาพแวดรอบตอนนี้นอกเหนือจากแขนตัวเองไปแล้วก็มองไม่เห็นอะไรอีก


 


ไม่รู้เลยว่ามีอะไรซ่อนตัวอยู่ หรือกำลังจะเจออะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีกมั้ย .. บรรยากาศชวนขนลุกพาให้ผู้เล่นจินตนาการไปต่างๆ นาๆ


 


ในโลกแห่งความจริงพวกเขาคาดคิดว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้อาจถูกควบคุมโดยผู้เล่นอื่น แต่ .. นี่เป็นแค่เกมในคาเฟ่นั่นทำให้พวกเขายังพออุ่นใจขึ้นมาบ้าง


 


พวกเขาตัวสั่นเทิ่มไปด้วยความกลัวและกังวล แต่ถึงอย่างนั้นก็จำต้องสำรวจให้ลึกลงไปอีก ยิ่งกลัวมากเท่าไรยิ่งต้องสำรวจให้มากขึ้นเท่านั้น!


 


ท้ายที่สุดพล็อตเรื่องของตัวละครหลักได้เดินทางมาที่นี่เพื่อตามหา๓รรยาของเขา เพื่อเสาะหาเบาะแส ในขณะเดียวกันผู้ชมที่สังเกตกลับพบว่าเกมนี้เริ่มจิตขึ้นเรื่อยๆ


 


ใบหน้าของนาหลันฮงวูเริ่มกระตุกเมื่อเห็นว่าผู้บังคับตัวละครเริ่มเดินเข้าไปในที่ที่มืดมิดและชวนสยองชวัญ เขารู้สึกหัวใจสั่นจนคิดว่าตัวเองคงไม่อาจจับเกมนี้ได้


 


ซงฉิงเฟิงในตอนนี้รู้สึกก้าวไม่ออกเหมือนกับว่าขาของเขานั้นละลายกลายเป็นวุ้น แม้จะเพิ่งเจอกับปีศาจแค่เพียงตัวเดียวก็ตาม


 


ฟางฉีเริ่มสังเกตเห็นว่านี่ไม่ใช่ไซเลนต์ฮิลล์ที่เขาเคยเล่นมาก่อน เพราะในเวอร์ชั่นนี้บนโลกนี้ สภาพแวดล้อมนั่นจำลองเสมือนจริงมาก ..


 


แค่คิดว่าตัวเองถูกพาไปในสภาพแวดล้อมที่เหนือจริง ก็แทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื ่องจริงหรือแค่ฝันไป บรื๋อออ!


 


หลายคนกำลังรู้สึกสิ้นหวังที่จะดำเนินเกมต่อไป


 


ในทางกลับกันสิ่งที่ฟางฉีเคยพูดมันถูกต้องแล้ว พวกเขาควรต้องฝึกฝนให้จิตใจแข็งแกร่ง เพื่อเตรียมพร้อมในการเพาะปลูกที่หนักหน่วง หากมีจิตใจที่อ่อนแอและความอดทนน้อยอาจเกิดปัญหาตามมาได้ในอนาคต


 


ผู้ชมรอบข้างบางคนเริ่มร้องไห้ในขณะที่ดูซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ เล่นเกม ปีศาจแต่ละตัวเป็นเหมือนตัวแทนของอารมณ์และความรู้สึกในด้านลบ หากผู้เล่นไม่สามารถแยกแยะออกได้ก็จะทำให้เสียหลัก ปีศาจที่มีภาพลักษณ์หน้ากลัวอยู่แล้วบวกกับจินตนาการเสริม ยิ่งทำให้ขนลุกเข้าไปใหญ่


 


เกมนี้ไม่มีอะไรให้ผู้เล่นเลยนอกเสียจากแผนที่ นอกจากนี้ก็อยู่ที่ตัวผู้เล่นเองว่ามีทักษะมากน้อยแค่ไหน


 


หลักจากเล่นเกมผ่านช่องแคบไปหลายจุด พวกเขาเริ่มเข้าใจในแผนที่มากขึ้น


 


“เฮ้! ข้าผ่านแล้ว ข้าออกมาแล้ว!” ซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ ตัดสินใจที่จะหยุดพักก่อน เพราะสภาพจิตใจของพวกเขาตอนนี้ไม่สามารถรับไหว


 


ซูเทียนจิเป็นคนเดียวที่ยังคงดำเนินเกมต่อไป


 


“พวกท่านมาทำอะไรกันที่นี่?” เหล่าสาวกจากสำนักเฉิงจิ้งและซียี่เดินเข้ามาทักทายด้วยความอยากรู้ว่าพวกเขายืนมุงดูอะไรกัน


 


เนื่องจากไม่ต้องรอเข้าแถมเหมือนแต่ก่อนแล้ว พวกเขาจึงมีเวลาว่างที่จะเข้ามาทักทายผู้คนในร้าน “เกมที่ทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น” คนดูตอบ


 


“สาวกจากหลิงหยวนไม่เล่นกันหรอ?” นับตั้งแต่ที่พวกเขาแพ้สำนักหลิงหยวนไป สาวกอีกสองสำนักต่างรู้สึกแย่ไปสักพัก


 


ได้ยินว่าสาวกฝีมือดีหลายคนไม่กล้าเล่นเกมต่อ ซึ่งนี่อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขา แม้ว่าก่อนหน้านี่พวกเขาจะเล่นเกมเซียนกระบี่พิชิตมารรวมถึงเกมอื่นๆ แพ้ซงฉิงเฟิงก็เถอะ


 


อย่างไรก็ตามพวกเขาสามารถแข่งใหม่อีกครั้งในเกมใหม่! หากพวกเขาเล่นได้อาจทำให้พวกเขาดูเก่งขึ้นมากกว่าเดิม


 


พวกเขาต่างจ้องมองไปที่หน้าจอของซูเทียนจิ พบว่าตัวละครชายกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างในสายหมอกที่หนาทึบ


 


เกมนี้ดูไม่มีอะไรที่น่ากลัวสักนิด! แม้ว่าพวกเขาจะเห็นสิ่งมีชีวิตที่ดูบิดเบี้ยวในหมอก แต่พวกเขาก็มองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร


 


แน่นอนพวกเขาไม่รู้เลยว่าเกมสยองขวัญดังกล่าวเริ่มสร้างความน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆ กัดกินจิตใจทีละน้อย ดูแว้บเดียวมันไม่ได้ชวนขนลุกเหมือนตอนเล่นตั้งแต่เริ่มต้น


 


ยืนดูไปสักพักก็ได้ตัดสินใจว่ายังไงพวกเขาก็สามารถผ่านไปได้อย่างแน่นอน!


 


“จิตใจของเหล่าสาวกหลิงหยวนนี่ช่างยากจะคาดเดาเหลือเดิน หญิงคนนี้ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าเลย!” แน่นอนว่าที่พูดมา พวกเขาไม่รู้เลยว่าหญิงงดงามที่นั่งเล่นอยู่ตรงนี้คือใคร


 


ยิ่งซงซวนกล่าว “พี่ชายและน้องสาว พวกเรามาเล่นไซเลนต์ฮิลล์กันเถอะ เราต้องแสดงให้สาวกจากหลิงหยวนเห็นหน่อยว่าเรากล้าหาญแค่ไหน”


 


“ตกลง” พวกเขาตกปากรับคำทันที


 


“ท่าน! เปิดใช้งานเกมไซเลนต์ฮิลล์ให้พวกเราที”


 


“น้องเซียว! พี่ลี่!” องค์ชายห้าที่ยืนอยู่ตรงนั้นหันไปพูดกับเซียวเล้งยูพร้อมชายชุดคลุมสีแดงที่มีสายตาเย็นชาว่า “ข้าควรเล่นด้วยดีมั้ย?”


 


“น้องหญิงเราลองเล่นกับพวกเขากันมั้ย?” องค์ชายสองก็ดูหวั่นไหวไม่แพ้กัน

 

 

 


ตอนที่ 177

 

“ลองดูก่อน!” องค์หญิงจีหยูรู้สึกว่ามันก็แค่เกมเกมหนึ่งไม่ได้น่าสนใจเท่าไรนัก แต่เมื่อได้เห็นชื่อเกม จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ


 


แม้แต่สาวกจากหลิงหยวนก็ยังไม่กล้าเล่นหรอ? เธอจ้องมองที่ซงฉิงเฟิง, นาหลันหมิงสื่อและคนอื่นๆ ด้วยความอยากรู้


 


องค์ชายสองรู้สึกลังเลใจเมื่อได้ยินคำตอบจากจีหยู “ตกลง เราจะยืนดูมันก่อนละกัน”


 


ด้วยความร้อนวิชายิ่งซงซวน, หลิวหยุนและสาวกคนอื่นๆ จากซียี่ได้เปิดใช้งานเกมและเข้าเกมอย่างรวดเร็ว สาวกจากสำนักเฉิงจิ้งก็ไม่แพ้กัน เซียวเลงยูและองชายค์ก็เปิดใช้งานเข้าเกมตามไปติดๆ


 


เป็นการแข่งขันที่ช่างเงียบงัย พวกเขาต้องใช้โอกาสนี้เพื่อไถ่ถอนความพ่ายแพ้ที่ผ่านมา


 


“คนขี้ขลาดจะกลายเป็นนักรบได้อย่างไรกัน” จี้หยางเข้าเกมด้วยความรวดเร็ว ในตอนต้นเกมนั้นง่ายเดี๋ยวรู้เรื่อง


 


ตัวละครชายตัวหลักมีชื่อว่าเจมส์ เขาได้รับจดหมายจากแมรี่ภรรยาของเขาผู้เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน ในจดหมายได้เขียนไว้ว่าเธอกำลังรอเขาอยู่ในสถานที่พิเศษซึ่งอยู่ในเมืองไซเลนต์ฮิลล์ ด้วยความสงสัยที่ติดอยู่ในใจ เจมส์กระตือรือร้นที่จะไปยังไซเลนต์ฮิลล์


 


ในขณะที่จี้หยางทำการควบคุมตัวละครชาย เขาจำเนื้อหาของจดหมายได้บางส่วนแต่ไม่คิดเลยว่าเมืองนี้จะเงียบสงบและเต็มไปด้วยหมอกหนาเช่นนี้


 


จี้หยางพูดไม่ออก


 


ก่อนหน้านี้ที่ยืนมองซูเทียนจิเล่น เขาเองไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่หลังจากได้ลองเล่นเกมด้วยตัวเองเขากลับรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง


 


“มันก็ปกติดีนี่ ..” เซียวเลงยูเอ่ยขึ้น แต่เมื่อเล่นไปสักพักบรรยากาศรอบๆ เริ่มเปลี่ยนไป


 


เธอจำได้ว่าก่อนเปิดใช้งานเจ้าตัวเล็กเจียงเสี่ยวหยูได้บอกคุณสมบัติต่างๆ ของเกมให้เธอฟัง ตัวอย่างเช่น ระบบจะทำการตัดการสื่อสารภายนอกเมื่อผู้เข้าสู่พล็อตเรื่องของเกม


 


เธอรู้สึกไม่สบายใจที่ตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่ในความเงียบ สงบ ..


 


องค์หญิงพร้อมด้วยองค์ชายสองที่ยืนดูอยู่ข้างหลัง พวกเขาเริ่มมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไป “หืม? คนธรรมดาๆ จะต้องตามหาใครสักคนอย่างงั้นหรือ?”


 


ในโลกแห่งความเป็นจริงพวกเขาจะส่งกองทหารไปทำการค้นหา แต่ .. คนธรรมดาแบบนี้เข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน!?


 


เขาจะเดินทางกลับได้ยังไง?


 


จากภาพจำของความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในสนามรบเหล่าสาวกทั้งสองสำนักจึงต้องบังคับตัวเองไม่ให้กลัว หากพวกเขาเลิกเล่นไปตอนเริ่มเกม มันจะต้องเป็นที่น่าขายหน้าต่อสำนักหลิงหยวนอย่างแน่นอน


 


อย่างไรก็ตามท่องไว้มันก็แค่เกม! มันคงทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้หรอก ด้วยความคิดนี้จี้หยางและคนอื่นๆ จึงบังคับใจให้เล่นเกมต่อไป


 


เมื่อผ่านสุสานในที่สุดพวกเขาก็เริ่มพบความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในไซเลนต์ฮิลล์  เดินต่อไปเข้าไปในเมืองไม่มีความเสียหายอะไรเลย นอกเสียงจากความเงียบงัน ความเงียบและบรรยากาศชวนขนลุก ..


 


หลิวหยุนมีความต้องการอยากมากที่จะออกจากเกมในตอนนี้!


 


เธอไม่เคยกลัวเลยในทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับอสูร เธอพบว่าหากเปรียบเทียบกับบรรยากาศตอนนี้ บอกได้เลยว่าอสูรนั้นน่ารักมาก!


 


สีหน้าขององค์หญิงเริ่มเปลี่ยนไป “ฉันอยากจะเผชิญหน้ากับกลุ่มนักฆ่ามากกว่าเข้าไปที่นั่น” เธอเอ่ย


 


ในสถานที่ที่ไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อนช่างแปลกประหลาดอย่างมาก ผู้คนกำลังเดินเข้าไปลึกข้างในเพื่อเปิดเผยความจริงบางอย่างที่แสนน่ากลัว แค่นึกภาพสศัตรูก็ขาสั่นแล้ว


 


สถานการณ์และสภาพแวดล้อมเช่นนี้หยุดไม่ได้เลยที่จะจินตนาการไปต่างๆ นาๆ


 


ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไรจินตนาการที่สร้างขึ้นยิ่งดุเดือดมากเท่านั้น การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดนั้นยังคงวิ่งหนีได้ แต่การจินตนาการนั้นทำให้วิตกกังวลไมาหยุด


 


องค์ชายสองรู้สึกโชคดีที่ได้ทำจตามคำแนะนำขององค์หญิง ลองสังเกตการณ์ก่อนจะเล่นด้วยตัวเอง ..


 


เมื่อความกลัวของผู้เล่นเพิ่มถึงขีดจำกัด ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นสิ่งบิดเบี้ยวปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา! สถานการณ์ที่พวกเขาเคยเจอในชีวิตจริงและอันตรายที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับอสูร


 


แต่ .. นี่เป็นสถานการณ์ที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน


 


“อ่า!”


 


ในตอนนี้บางคนเลือกที่จะหลบนี้หรือวิ่งออกไป แต่องค์ชายสองพร้อมองค์หญิงกำลังเห็นบางคนถูกโจมตีอยู่!


 


พวกเขาจินตนาการไปต่างๆ ถึงความสิ้นหวัง แต่ไม่สามารถออกจากเกมได้


 


จีหยูรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก “อ้า!” เธอร้องรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้เธอกรีดร้องออกมา ส่งผลให้คนรอบข้างเริ่มสั่นไปตามๆ กัน


 


เสียงกรีดร้องของของเธอได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ ในคาเฟ่ จีหยูรีบหลบข้างหลังองค์ชายสองทันที


 


มันน่าอาจที่สุด!


 


พวกเขาโอ้อวดเรื่องความกล้าหาญ แต่กลับแสดงความกลัวออกมามากกว่าคู่แข่ง!


 


นอกจากเสียงกรีดร้องที่น่าอายแล้ว คนอื่นๆ ที่เล่นเกมเองก็รู้สึกกำลังจะตายเพราะความกลัวปนอับอายเช่นกัน!


 


องค์ชายสองเงยหน้าขึ้นร้องตะโกนออกมาว่า “ท่าน! ใครกันที่เล่นเกมนี้ได้ น่ากลัวจะตาย!”


 


“ทำไมละ?” ฟางฉีมองหน้าพวกเขา


 


“ตัวละครหลักเป็นแค่คนธรรมดาและเขายังต้องเดินทางเข้าไปในสถานที่อันตรายเช่นนี้อีก” จีหยูโต้เถียง “เกมนี้ไม่มีเข้าท่าเอาซะเลย”


 


“มีอะไรผิดปกติ? เพราะเป็นเพียงคนธรรมดาหรอ?” ฟางฉีกล่าวต่อ “หาดพวกท่านรู้สึกกลัว ท่านก็จะไม่มีพลังในการฝึกฝน ซึ่งนั่นหมายความว่าความแข็งแกร่งเป็นผลของจิตใจที่แข็งแกร่ง หากจิตใจอ่อนแอพังทลายลงร่างกายก็จะแพ้เช่นกัน เหมือนกับเราขาดความเชื่อมั่น”


 


คำพูดของฟางฉีกระแทกลงไปในความเครียดชองผู้คนมากมาย ส่งผลให้พวกเขาเริ่มรู้สึกตัว


 


ฟางฉีกล่าวงเสริม “จากความเห็นของข้า ข้าว่าพวกท่านควรเล่นเกมซักร้อยครั้ง”


 


หน้าของแต่ละคนกระตุก


 


เล่นร้อยครั้ง!? นี่เจ้าของร้านอยากให้เราตายเพราะกลัวหัวหดหรอ


 


“ถ้างั้นทำไมเจ้าไม่เล่นละ” เซียวเลงยูที่เพิ่งหนีรอดจากปีศาจถอดหูฟังออกแล้วจ้องหน้าฟางฉี


 


“ใครบอกเจ้า” ฟางฉีกลอกตา


 


“เจ้าของร้านจะเล่นคืนนี้” นาหลันหมิงสื่อตอบเพื่อป้องกันไม่ให้ฟางฉีตอบกลับ


 


“ถ่านทอดสด?” ทุกคนจ้องหน้าเขา “ท่าจะถ่ายทอดสดเกมนี้?”


 


“ใช่แล้ว” นาหลันหมิงสื่อรีบตอบ


 


ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของคาเฟ่ นายกได้ยกกลุ่มเหล่าข้าราชการพลเรือนและทหารมาดูละครในยามว่าง


 


ส่วนด้านนี้สาวกจากสามสำนักกำลังสนทนากันอย่างดุเดือด “ดี พวกข้าจะรอดูความอัปยศของท่าน!”


 


ฟางฉียืนนิ่ง เขาไม่มีทีท่าที่กังวลสักนิด


 


“หึ! ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ร้องไห้งอแงและขอความเมตตา!”


 


ฟางฉีหยักไหล่และหันไปมองหน้านาหลันหมิงสื่อ “เจ้าไม่ลองบ้างหรอ?”


 


“…” นาหลันหมิงสื่อ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม