Black Tech Internet Cafe System 135-158

 135

กว่าจะพบร้านหนังสือเล็กๆ แห่งนี้วันยูก็พบว่าที่นี่อยู่ในห่างไกลและในตอนนี้มันก็มืดเสียแล้ว หลังจากที่ค้นหาหนังสือเกือบตลอดทั้งวัน เธอเห็นผู้คนจำนวนมากยืนรออยู่หน้าร้าน


โดยปกติแล้วหากบ้านหรือร้านมีทำเลที่ตั้งใกล้กับตัวเมืองจิวหัวมากเท่าไรก็ยิ่งปลอดภัย เห็นได้ชัดว่าบริเวณนี้ดูดีกว่าที่ตั้งคาเฟ่ของฟางฉี


แน่นอนว่าจางวันยูคงไม่ยืนเข้าแถวเหมือนกับคนอื่นๆ เธอเลือกที่จะเดินไปด้านหน้าแถวและทักถาม “ที่นี่ขายนวนิยายเรื่อง Diablo หรือไม่?”


ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังรับค่าหนังสือด้วยสีหน้าที่มีความสุขหยูซีเว่ย เงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอและพูดอย่างสุภาพ “ฉันขอโทษ หนังสือขายหมดแล้ว”


“หมดแล้ว?..” จางวันยูยืนนิ่ง “นี่เราเพิ่งมาถึงหนังสือก็ขายหมดแล้ว!?”


ชายหนุ่มมองท่าทางของจางวันยูอยู่ห่างๆ เขาสังเกตจากการแต่งตัวที่ดูหรูหราของเธอ “เฮ้ คุณผู้หญิง! หากคุณต้องการหนังสือฉันขายต่อให้คุณได้นะ”


“ขอบคุณ! เท่าไร?” จางวันยูถาม


“คริสตัสเดียว”


“อะไรนะ!?” จางวันหยูถามย้ำ


หนึ่งคริสตัล นี่มันมากพอที่จะซื้อหนังสือนักรบแห่งสวรรค์เกือบทุกภาคเลยนะ!!


“ไม่หรอ?” ชายหนุ่มเห็นท่าทางของเธอเขาจึงชิงพูดขึ้น “งั้นไม่เป็นไรชั่งมันเถอะ”


จางวันยูคิดอย่างใจเย็นว่า เธอต้องโง่มากแน่ หากเสียค่าหนังสือจำนวนมากขนาดนี้!


เธอเดินกลับไปหาหยูซีเว่ย “คุณ หนังสือจะมาใหม่เมื่อไร?”


หยูซีเว่ยกล่าว “ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ หนังสือไม่ทำการตีพิมพ์ซ้ำ” เธอชี้นิ้วไปที่ป้ายข้างประตู [ขายเพียง 1000 เล่ม]


“ฮะ!?”


นอกจากจวงวันยูที่ยืนงงแล้วคนในแถวก็เช่นกัน เพียง 1000 เล่ม? ไม่มีการตีพิมพ์ซ้ำ? ขายดีขนาดนี้คนเขียนโง่หรือเปล่า!?


หลังจากที่ตงชิงลี่ทำงานร่วมกับกองกำลังทางการของเมืองจิวหัว และเวลาแบบนี้เป็นเวลาจำเป็นต่อธุรกิจของร้านศาลาลมและพระจันทร์อย่างมาก เพราะที่ร้านกำลังสูญเสียลูกค้า เพียงหนึ่งคริสตัลแลกกับผลกำไรในอนาคต


ในที่สุดหล่อนก็เลือกกัดฟันและตะโกนออกไป “หยุด! ฉันต้องการมันแลกกับหนึ่งคริสตัล”


“ฮะ!?”


ผู้คนรอบๆ ต่างงงตาแตก


“หนึ่งคริสตัลสำหรับหนึ่งสือหนึ่งเล่ม!?”


“เธอบ้าหรือเปล่า!?”


“เธอกำลังคิดอะไรอยู่”


“เธอรวยแน่ๆ”


แม้แต่หยูซีเว่ยเองที่นั่งอยู่ในร้านยังรู้สึกอึ้งกับเหตุการณ์นี้


แต่ถึงอย่างนั้น Diablo? จางวันยูทวนชื่อและพบว่าชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหู


“เกม!?” ทันใดนั้นเธอจำได้ทันทีว่าลูกค้าในร้านอาหารเคยพูดถึงชื่อนี้!



ในคืนอันเงียบสงบดั่งทุกวัน แต่วันนี้มูฮงจูได้เดินทางมายังคาเฟ่อินเตอร์เน็ต


เมื่อถึงที่หมายเธอเดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางที่ปกติ เธอพบว่าร้านต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ตไม่ได้ดูเหมือนสถานที่ชั่วร้ายอย่างที่เธอจินตนาการเอาไว้เลยสักนิด


ในใจของเธอที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ คือภาพของลักษะร้านที่คล้ายคลึงกับคาสิโนพร้อมชายร่างผอทบางยืนเฝ้าประตู!


แต่เมื่อย่างกายเข้าไปในร้านกับไม่พบสิ่งที่คาดคิดไว้แม้แต่นิดเดียว! ในร้านดูสะอาดเรียบร้อย พร้อมโลลิตัวน้อยหน้าตาน่ารักนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์


นี่มันอะไรกัน เธอรู้สึกสับสน “นี่พวกเขาทำอะไรกัน?”


การต่อสู้ระหว่างอาจารย์ ณ​วังหลิวหยุนและหัวหน้ากลุ่มโอเชียนได้สิ้นสุดลงแล้ว เหลือเพียงผู้เล่นไม่กี่คนเท่านั้น


ก่อนที่มูฮงจูจะมาที่นี่ เธอได้พูดคุยกับนาหลันหมิงสื่อและได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเกมที่สาวกส่วนมากให้ความสนใจ


“มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ..” มูฮงจูคิด


เธอไม่รู้เลยว่านาหลันหมิงสื่อได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว


“หมายเลขช่อง ..” ตามคำแนะนำของนาหลันยหมิงสื่อ เธอเปิดใช้งานเกมสร้างตัวละครของเธอพร้อมหมายเลขช่อง เมื่อกดเข้าเกม เธอรู้สึกว่าบางอย่างไม่ปกติ นี่มันเป็นภาพลวงตาใช่มั้ย? ทำไมมันเหมือนจริงขนาดนี้?


เมื่อค้นหาประตูวาปสีน้ำเงินเพื่อพาเธอเดินทางไปยังในเกมแล้ว ขั้นตอนบางอย่างทำให้เธอแลปกใจแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้สึกได้ว่ามันน่าอัศจรรย์ไม่น้อย


[หลันยันส่งคำขอเชิญคุณเข้าร่วมทีมของเธอ คุณจะยอมรับหรือไม่?]


มูฮงจูรู้สึกประหล่ดใจ เด็กคนนี้อยู่ที่นจริงหรอ?


เธอเลือก [ยอมรับ] ทันทีที่เห็นสัตว์ประหลาดกำลังวิ่งมาด้วยสัญญาตญาณเธอตะโกนขึ้น “ระวัง!” ในฐานะนักรบระดับสูงเธอมีการป้องกันตัวที่ว่องไว


“อาจารย์ คุณเล่นเกมนี้ด้วยหรอ? ไปกันเถอะ!”


“…” มูฮงจู


“กลับไปกลับฉัน” มูฮงจูเอ่ยเสียงต่ำ


“หลักจากเล่นเกมสักแปป” มูฮงจูถูกสาวกลากตัวออกไป


สิบนาทีต่อมามูฮงจูเริ่มเข้าใจเกมหลังจากได้ฆ่าสัตว์ประหลาดมากมายส่งผลให้ระดับของเธอเพิ่มขึ้น


“ในขณะที่ฉันต่อสู้กับสัตว์ประหลาดมากมาย ความแข็งแกร่งจากการฝึกฝนของฉันเพิ่มขึ้น” มูฮงจูพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ฉันสามารถพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็ว!”


แม้จะเล่นเกมเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้นแต่เธอกลับรู้สึกได้ถึงพละกำลังของเธอที่เพิ่มขึ้น


“แน่นอน” หลันยันแทรก “เราถึงเลือกมาที่นี่ทุกวันไง”


“ฉันเข้าใจแล้ว .. มูฮงจูพยักหน้า เธอเคยได้ยินว่ามีการบ่มเพาะเกิดขึ้นที่นี่ แต่เธอไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไรนัก แถมสำนักดันประกาศว่าที่นี่เป็นที่ต้องห้ามอีก เธอจึงจำเป็นต้องทำตามหน้าที่


ตอนนี้เธอสัมผัสได้ว่ากำลังภายในของเธอเพิ่มขึ้นและมันบริสุทธิ์มาก มันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอย่างที่สำนักกล่าวเลย มันไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แถมยังเพิ่มความสามารถในการเพาะปลูกของเธอให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย


หนึ่งชั่วโมงต่อมา .. เธอพบว่าภาพล่วงตาข้างหน้านี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งในการเพาะปลูก แต่มันยังสอนให้เธอได้เรียนรู้ทักษะและเทคนิคจากตัวละคร ตอนนี้เธอเองยังได้รับแรงบันดสลใจจากประสบการณ์ของตัวละครอีกด้วย


หากใครได้มาลองเล่นเกมแล้ว .. บอกได้เลยว่าหอศิลปะการต่อสู้หลิงหยวนชิดซ้ายไปเลย


ในตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมฉินบิงพยายามอย่างมากที่จะระงับคาเฟ่แห่งนี้ แน่นอนตอนนี้เธอรู้สึกลืมทุกสิ่งและกำลังสนุกกับเกมมาก


ก่อนที่จะรู้สึกตัว .. มูฮงจูก็ถูกเกมดูดกลืนเข้าไปแล้ว


136

“นี่ต้องเป็นรูปแบบโครงสร้างจากร้านที่เรากำลังจัดการอยู่แน่!” จางวันยูรับหนังสือมาอ่าน เธอมั่นใจว่านี่จะต้องเป็นอีกหนึ่งสิ่งจากร้านเล็กๆ ที่พวกเขากำลังพยายามปราบปราม!


“นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่พวกเขาใช้แน่ๆ โชคดีที่เราค้นพบมันเสียก่อน ก่อนที่จะส่งผลอันตรายใดๆ แก่ร้านของเรา!” จางวันยูประกาศด้วยเสียงอันดัง


“ดี!” ตงชิงลี่หันเปิดหน้าแรกของหนังสือ Diablo พลางพึมพำกับตัวเอง “หนังสือเล่มนี้ดีจริงหรอ?”


เจียงชิงเฮอรู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างที่มันไม่ถูกต้องเขาคิดเล่นๆ พลางเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก


“การเขียนการเรียบเรียงก็ดูปกติดี ..” แรกๆ ก็เฉยๆ ยิ่งอ่านลึกลงไปเท่าไรตงชิงลี่ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากเท่านั้น นวนิยายเรื่องนี้อธิบายเกี่ยวกับโลกอีกใบที่แตกต่างจากโลกใบที่เธออาศัยอยู่โดยสิ้นเชิง


เธอไม่รู้สึกอิจฉาหรือชื่นชม กลับกลายเป็นความอยากรู้อยากเห็นที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ครั้งที่อ่านตัวอักษร เธอรู้สึกได้เรียนรู้สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ๆ


ยิ่งได้อ่านก็ยิ่งทำให้ความคิดของเธอแตกออกไป ทำให้เธอลองเปลี่ยนมุมมองได้รู้จักโลกใหม่มากขึ้น แน่นอนว่าเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีสิ่งมหัศจรรย์แบบนี้อยู่บนโลกด้วย


ยิ่งใช้เวลากับหนังสือมากเท่าไร ยิ่งเหมือนเธอกำลังถูกดูดเข้าไปมาเท่านั้น เธอหยุดอ่านมันไม่ได้เลยโลกในหนังสือที่เต็มไปด้วยจินตนาการอันล้ำลึก สิ่งที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อนแต่เธอกลับได้รับรู้จากนวนิยายเรื่องนี้ เธอรู้สึกเข้าใจโลกมากขึ้น


ฟางฉีก็เช่นกันเขารู้สึกเป็นเช่นนี้เมื่อได้อ่านนิยาย ได้ใช้จินตนาการที่ผู้เขียนสร้าง เมื่อก่อนตอนที่เขายังอยู่ในโลกใบเก่า คนที่หลงรักนิยายส่วนมากมักจะรู้สึกตื่นเต้นและมีอารมณ์ร่วมอย่างยิ่ง แทบรอไม่ไหวในเวลาไขปริศนา


ในฐานะที่เป็นแฟนตัวยงของนวนิยายตงชิงลี่ถูกนวนิยายเรื่องนี้ดักไว้เสียแล้ว เธอแทบไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าของเธอที่แสดงออกมาขณะที่กำลังอ่านนั้นดูตื่นเต้นจนชวนให้คนรอบข้างลุ้นไปด้วย


ฉันยังมีบางจุดที่ยังสงสัยอยู่เล็กน้อย .. ตงชิงลี่คิดในใจ นี่คือโลกที่คนส่วนมากพูดถึงหรอ .. อืม ฉันต้องอ่านอีกสักรอบ และแล้วเธอก็พลักไปด้านหน้าสุดของหนังสืออีกครั้ง


หากเปรียบเทียบกับเกมแล้ว เกมเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของผู้เล่นจากเนื้อเรื่อง แต่จากพล็อตเรื่องที่ยอดเยี่ยมแล้ว หากได้เล่นเกมร่วมด้วยคงต้องสนุกกว่าเดิมแน่


เจียงชิงเฮอและจางวันยูมองหน้ากัน พวกเขาต่างสงสัยว่าเราควรคว้าหนังสือจากมือของเธอแล้วเผามันทิ้งดีมั้ย .. แต่ก็ได้แค่คิด


ในไม่ช้าความรู้สึกที่เป็นรางไม่ดีของเธอก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อตงชิงลี่พลิกหนังสือและกลับไปอ่านหน้าแรกซ้ำครึ่งที่สอง


บางคนมักจะอ่านส่วนที่ดีและสำคัญที่สุดซ้ำๆ ตอนนี้จางวันยูเริ่มเข้าใจแล้วว่าหนอนหนังสือคืออะไร .. เธอรู้สึกอยากร้องไห้ที่นำหนังสือกลับมา ถ้ารู้ว่าเป็นงี้จะแอบเผาทิ้งซะกลางทาง แต่.. มันก็สายไปแล้ว


เจีงชิงเฮอที่อยู่ตรงนั้นก็รู้สึกขมขื่นไม่แพ้กัน เพราะหลังจากได้ทำแผนลับบางอย่างกับเฮาชง เขาเองก็ไม่สบายใจเช่นกันเมื่อเห็นท่าทางของเจ้านายตัวเองในตอนนี้ แม้ก่อนหน้านี้เธอจะเพิ่งพูดกับเขาเรื่องร้านที่ไร้ยางอายก็เถอะ เจ้านายของเราจะยอมแพ้หรือไม่


บ้าเอ้ย!



ในเวลาเดียวกัน นายน้อยเฉินรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินข่าวว่าร้านบลูเฟรม สามารถสร้างปืนสำเร็จแล้ว!


ในฐานะแฟนตัวยงของ CS เขายินดีอย่างยิ่งที่พบว่าตัวเองสามารถจับต้องอาวุธที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ในโลกแห่งความจริง!


เมื่อทำการสอบถามแล้ว ก็ได้รู้ว่าร้านบลูเฟรมได้สร้างอาวุธนี้ขึ้นมาให้คนบางคนที่มีทุนหนา และเช่นนี้เขาเองจึงรู้สึกตาลุกวาว สำหรับค่าใช้จ่ายมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว เพราะเขาสามารถขอเงินจากพ่อได้เสมอ


“ท่านพ่อ!” ระหว่างกำลังทานอาหารเย็นที่บ้าน “ข้าขอคริสตัลจากท่านสักนิดหน่อยจะได้มั้ย ข้าอยากได้อาวุธ”


“อาวุธ?” เฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ


เขารู้ดีว่าลูกชายเขาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรแก่ที่บ้านนัก แต่ด้วยความเป็นพ่อและลูกชายเพียงคนเดียว เขารักลูกคนนี้มาก แต่นี่อาจเกินไปหรือเปล่าสำหรับการขอในครั้งนี้


“แกต้องการซื้ออาวุธอะไร?” เฉินเฟิงโบกมือ “บอกฉันหน่อย”


“ข้าขอสักหนึ่งพันคริสตัล ข้าต้องการซื้อปืนพก” นายน้อยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“หนึ่ง ..” เฉินเฟิงตัวแข็ง “แกพูดว่าเท่าไรนะ!?”


แม้ตระกูลเฉินจะร่ำรวยมาก แต่หนึ่งพันคริสตัลถือว่าเป็นเงินที่มากมาย เขาคิดว่าอาวุธคงเพียงราคาไม่กี่ร้อยคริสคัลแต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ การประมวลของเขาครั้งนี้ค่อนข้างต่ำไป


อย่างไรก็ตามตอนนี้ลูกชายหัวแก้วร้องขอถึงคริสตัลพันเม็ด!


“ข้านัดกับท่านอาจารย์ซัวแห่งวังหลิวหยุนและท่านเยหัวหน้ากลุ่มโอเชียน เพื่อซื้อาวุธนี้ด้วยกัน” นายน้อยเฉินกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่อยากดูแย่ต่อหน้าพวกเขา”


การเล่นเกมของพวกเขาทั้งสามคนถือว่าอยู่ในระดับเดียวๆ กัน นอกจากนี้นายน้อยเฉินยังเป็นเพื่อนร่วมทีมกับซัวเต๋าโดยใช้กลยุทธ์ Rush B อีกด้วย


“ใคร!?” หน้าของพ่อกระตุกขณธเอ่ยถามเขารู้สึกอยากตบกระบาลลูกชายให้ตื่นจากคยวามฝันสักที


“ซัวเต๋าจากวังหลิวหยุน ลืมไปเลยว่าฉันนัดพวกเขาเล่น CS หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ” นายน้อยเฉินโบกมือ


“เล่นอะไร?” เฉินเฟิงรู้สึกเหมือนเขาไม่สามารถทำหลายความตั้งใจของลูกชายได้เลย


“CS” นายน้อยเฉินตอบ “คาเฟ่ที่ทุกธุรกิจในเมืองกำลังคว่ำบาตร”


สีหน้าของเฉินเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “แกกล้าไปที่นั่นได้อย่างไร?” เขาเอ่ยถาม เพราะเขาเองก็ได้เข้าร่วมการคว่ำบาตรเช่นกัน


“ทำไมไม่ได้ละ” นายน้อยเฉินถาม “อาจารย์ซัวสัญญากับข้าว่า เขาจะพาข้าไปยังวังหลิวหยุนในฐานะลูกศิษย์ของเขา หากข้าพาเขาเข้าร่วมทีมของข้า”


หน้าของเฉินเฟิงกระตุกรัวกว่าเดิมเมื่อได้ยินสิ่งนี้


“เขาเป็นอาจารย์จริงๆ เรอะ?” เฉินเฟิงถามย้ำ “แกแน่ใจนะว่าแกไม่ได้ถูกหลอก!?”


“แม้ว่าข้าจะไม่เคยไปวังของเขามาก่อน แต่นอกจากเขาแล้วข้ายังได้รู้จัก ผู้บังคับบัญชาอันหูเว้ยด้วยนะ” นายน้อยเฉินกล่าวต่อ “บุคคลพวกนี้ที่ข้าเอ่ยถึง พวกเขาไม่ต้องทำความเคารพต่อผู้บังคับบัญชาอันหูเว้ยสักนิด ท่านคิดว่าข้าจะโง่ไม่สังเกตรายละเอียดเลยหรอ?”


เฉินเฟิงรู้ว่าอันหูเว้ยเป็นส่วนหนึ่งที่คาเฟ่เล็กๆ แห่งนั้น และเขาคิดว่าอันหูเว้ยน่าจะมีความสัมพันธ์ที่พิเศษกับมัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังเข้าใจผิด


เขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป “แกพาฉันไปเล่น CS ด้วยสิหลังจากกินเสร็จน่ะ” เฉินเฟิงเอ่ยขอ


137

มูฮงจูรู้สึกโกรธตัวเอง เธอกำลังบ้าไปแล้ว!


แทนที่จะมาพาหลันยันกลับ กลับกลายเป็นมานั่งเล่นเกมกับพวกเขาเกือบทั้งคืน! ตอนนี้เธอรู้สึกดีมากเมื่อได้ร่วมเล่นเกมกับพวกเขา แถมพลังภายในในร่างกายของเธอก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย


นี่มันช่างสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย!


เธอพบว่าผู้นำในทีมเธอไม่ได้มีเพียงหยันยันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ ที่ส่วนมากล้วนเป็นลูกศิษย์ของเธอ


“ทำไมท่านอยู่ที่นี่ด้วย?” ซงฉิงเฟิงมองหน้ากันไปมากับเพื่อนด้วยความสับสน


มูฮงจูหน้านิ่ง “พวกนายไม่กลัวว่าจะถูกไล่ออกจากสำนักหรือ?”


“ถ้าอาจารย์ไม่พูดก็ไม่มีใครรู้หรอก!” ซงฉิงเฟิงยังกล่าวต่ออีกว่า “นอกจากนี้มันเป็นมากกว่าการเล่นเกม มันเหมือนเป็นความศรัทธา!”


“ศรัทธา..” มูฮงจูเกือบสำลักออกมา


“เราต้องแลกกับเกียรติของเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังถูกลงโทษ” หลินเซียวพูด “นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พวกเราต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง”


“นี่พวกนายกำลังล้อเล่นใช่มั้ย?” มูฮงจูถาม “พวกคุณอยู่ในระดับไหนกันแล้ว?”


“นักรบระดับสาม” ซงฉิงเฟิงพูดเบาๆ


“นักรบระดับหนึ่ง” หลินเซียวโอ้


“เหมือนฉัน”


“ฉันอยู่ในระดับสอง” หลันยันก็ไม่น้อยหน้า


มูฮงจูรู้สึกตัวแข็ง


“ฉันจำได้ว่าก่อนที่พวกเธอจะเข้าเรียนที่นี่พวกเธอมีระดับที่ต่ำมาก” เธอเคยคิดว่าพวกเขาเพิ่มทักษะการต่อสู้จากการฝึกซ้อมที่หอศิลปะในสำนักหลิงหยวน แต่เธอคิดผิด


“.. อย่าบอกใครเลยเราพวกเดียวกันนะท่าน พวกเราออกจากสำนักโดยใช้เทคนิคการควบคุมดาบ” ซงฉิงเฟิงเอ่ย


“พวกนายจะกลับไปที่สำนักหรือเปล่า?” มูฮงจูเอ่ยถามพวกเขา เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกลากเข้าไปในโลกของเหล่าสาวก “กำแพงสูงขนาดนั้น พวกนายไต่ออกมาได้ยังไงกัน!?” เธอรู้สึกทึ้งกับความกล้าหาญของพวกเขา


พวกเขากล้าที่จะกระโดดข้ามกำแพงของสำนักและยังไม่กลัวที่จะถูกจับได้!


“ไป ไป ไป ไหนแสดงทักษะนี้ให้ฉันดูหน่อยด้วยเทคนิคการควบคุมดาบของพวกเธอน่ะ!” มูฮงจูกล่าว เธอยืนมองพวกเขาแต่ละคนหยิบดาบออกมาและใช้พลังเพื่อส่งให้ดาบลอยขึ้นเป็นขั้นบันได


“พวกนายได้เรียนรู้คาถาทางจิตวิญญาณ” เธอตัวแข็งเมื่อเห็น


“เรากำลังฝึกควบคุมด้วยพลังภายใน!” ซงฉิงเฟิงขู่ “เราไม่อยากให้อาจารย์บอกใคร เราจะเอาชนะทุกคนให้ได้”


เมื่อยืนมองสาวกของเธอกระโดดข้ามกำลังไปแล้ว เธอก็โดดตามเข้าไปเช่นกันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาทำได้ถึงเพียงนี้ ความเชื่อที่ผิดๆ ของเธอเริ่มทลายลง



ลูกศิษย์พวกนี้ต่างมีระดับนักรบที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนเมื่อเทียบกับสาวกคนอื่นๆ ที่อายุไล่เลี่ยกัน นอกจากนี้พวกเขายังสามารถบังคับการเคลื่อนไหวของดาบในอากาศได้อีกด้วย นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถโจมตีจากระยะไกล


แน่นอนเธอไม่รู้เลยว่ามีนักรบระดับสูงแฝงตัวอยู่ในชั้นเรียนของเธอ! เธอจะประหลาดใจกว่านี้หากได้รับรู้!


ณ บ้านสวรรค์


“เกา คุณได้ยินข่าวบ้างมั้ย? วังชีซุยกลับมาแล้ว!”


“ฉันรู้!” เกาซงตอบเสียงอู้อี้ ในฐานะผู้เล่นระดับต่ำเขาใช้เวลาฝึกฝนเทคนิคการควบคุมดาบและทักษะการต่อสู้ระยะประชิดในเวลาอันน้อยนิด ตอนนี้การสอบวัดระดับก็ใกล้เข้ามาในทุกวัน เขาต้องพยายามหนักขึ้น


ขณะเดียวกัน ณ บ้านซวน


ซูฉีซินที่กำลังทำความปืนพกในมืออย่างระมัดระวัง


“ฉีซิน ฉันได้ยินว่าหลี่เฮารันได้ทำการดัดแปลงปืนนี้หรอ?” เฉินชิงชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอิจฉาเล็กน้อย


“ใช่ มันดีกว่าอันเก่า ฉันคิดว่าฉันจะใช้มันกำจัดนักรบชั้นปลายแถว!”


“…”



ในเวลาเดียวกันฟางฉีเองก็กำลังเพลิดเพลินกับเกมในคาเฟ่


“ใกล้แล้ว ใกล้จะสำเร็จแล้ว ..” เขาเปิดหน้าอินเทอร์เฟซเพื่อดูจุดสุดท้ายของทักษะ


[ทักษะความเชี่ยวชาญ : ทักษะในเกมและการฝึกฝนเทคนิคการควบคุมดาบ (10/10)


ภารกิจ : บินโดยใช้ดาบ (ระดับเชี่ยวชาญ)


คำอธิบายงาน : คุณควรขอบคุณระบบอันทรงพลังของคุณ]


[คุณต้องการรับรางวัลเลยหรือไม่?]


ฟางฉีเลือก [ใช่]


จากนั้นข้อมูลมากมายที่พุ่งขึ้นผ่านม่านตาไหลลงสู้สมองของเขาทันที ตอนนี้ฟางฉีได้รับความรู้ข้อมูลใหม่ๆ เข้ามามากมายในสมอง นอกจากข้อมูลแล้วยังมีกลเม็ดในการควบคุมดาบทุกชนิด เขาเข้าใจเทคนิคทุกเทคนิคในเกมทันที


ในขณะเดียวกัน เขาได้รับงานใหม่!


[งานใหม่ : ฝึกฝนทักษะการเรียนรู้เกี่ยวกับการบินด้วยดาบให้ถึงระดับเชี่ยวชาญ


รางวัลงาน : บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาลูน]


(ผู้แปล : บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของประเทศจีนที่เขาพูดถึงน่าจะเป็นยี่ห้อที่มีคุณภาพและรสชาติดี)


“อะไร? รางวัลคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป?” ฟางฉีขมวดคิ้ว “งงไปหมด”



วันนี้เหล่าสาวกชั้นยอดของสำนักต่างมารวมตัวกันที่จตุรัส พวกเขากำลังจะเดินทางไปยังจิงฉีเพื่อมร่วมกิจกรรมการสอบวัดระดับ


กลุ่มเอของบ้านหวัง


เสียงเศร้าเห่าหอนดังขึ้นในชั้นเรียนเนื่องจากเกือบครึ่งหนึ่งของพวกเขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ นอกจากนี้พวกเขายังกลายเป็นตัวตลกของสำนักอีกด้วย!


มันเป็นเพราะ .. พวกเขาถูกไล่ออกจากการเป็นเด็กดี ทุกอย่างที่เขาพยายามกลับกลายเป็นศูนย์เปล่า!


ซีฉีที่ดูเงียบเหงา เขาเป็นคนมีความสามารถมากแต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้บทบาทเขาหดลงในพริบตา


เขาเคยคิดว่าสักวันตัวเองอาจพ่ายแพ้แก่คนที่มีความสามารถมากกว่า แต่ .. ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะมาโดนแบบนี้


“ซีฉี นายไม่ต้องกังวลไป” ซงฉิงเฟิงปลอบใจ


เขาตบบ่าซีฉีเบาๆ “ฉันรับปากว่าจะนำเกียรติของเรากลับคืนมา”


“พวกเราพยายามอย่างหนักเพื่อให้มันออกมาดีที่สุด” หลินเซียวทุบหน้าอกตัวเอง “ฉันหวังว่านายจะไม่คิดมาก พวกฉันจะเอาชัยชนะกลับมาให้ได้”


“เข้าใจแล้ว” ซีฉีเอ่ยอย่างประทับใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกเราจะใก้ลชิดกันมากขึ้นเพราะเกม


เขากำหมัดแน่นและพูดว่า “เกียรตินั่นไม่ใช่ของฉัน .. แต่มันคือของเรา!”


“แน่นอน!” ซงฉิงเฟิงหัวเราะ “ถ้าฉันเราจะชนะฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ฉันจะต้องละอายมากแน่ที่เรียกตัวเองว่านักเล่นเกมตัวยงของคาเฟ่!”


พวกเขาพยักหน้าให้กันและชนกำปั้นกล่าวอำลา


138

“อาวุธราคาหนึ่งพันคริสตัล?” เฉินเฟิงทำหน้าตกใจ เนื่องจากธุรกิจของตระกูลเฉินนั่นทำการค้าขายครอบคลุมเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์และอาวุธอยู่เช่นกัน


สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นฐานรากของครอบครัวที่มีอำนาจ


ที่สำคัญตอนนี้เขารู้สึกปลื้มใจที่ลูกชายตัวดีที่ไม่มีความสามารถอะไรนักจากใช้ตัง ในตอนนี้เขามีเพื่อนเป็นถึงคนใหญ่โตจากวังหลิวหยุนและหัวหน้ากลุ่มโอเซียนเพราะคาเฟ่แห่งนี้


เขาคิดว่าร้านเล็กๆ แห่งนี้คงมีใครบางคนที่ใหญ่โตอยู่เบื้องหลัง ในสถานการณ์แบบนี้ที่นี่กำลังถูกคว่ำบาตร เกิดการขัดแย้งระหว่างเฮาชงและคนอื่นๆ แต่หลังจากที่เขาได้ทำการตรวจสอบแล้วก็ได้รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ธุรกิจที่ให้ความบันเทิงก็เท่านั้น


ตอนนี้เขารู้แล้วว่าร้านนี้ไม่ได้เป็นแบบที่เขาคาดคิดไว้สักนิด



หลังจากที่ลิ้มรสเนื้อหาของหนังสือถึงสามรอบ ตงชิงลี่วางมันลงอย่างไม่เต็มใจ


“มันน่าทึ่งจริงๆ!” ตงชิงลี่พูดออกมาเต็มปาก “สถานที่ดังกล่าวมีอยู่จริงหรอ แล้วใครเป็นคนเขียน?”


คงเป็นเรื่องปกติถ้าหากเรื่องราวของนวนิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคใหม่ แต่ก็นั่นละสำหรับคนยุคนี้จึงกลายเป็นเรื่องแปลกใหม่แถมยังให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ได้รับรู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีอีกทั้งความเชื่อทางศาสนาที่ไม่เหมือนใครและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกอัศจรรย์


“ฉันหวังว่าสักวันฦฉันจะได้พบกับนักเขียนผู้นี้!” ตงชิงลี่สูดหายใจเข้าด้วยความตื่นเต้น มันรู้สึกอัดแน่นอย่างเต็มอก จู่ๆ เธอก็ลุกพรวดขึ้น “ฉันอยากถามผู้เขียนคนนี้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง”


เจียงชิงเฮอทำหน้างง


จางวันนูก็เช่นกันเธอมีท่าทางที่ลังเลและสงสัย เธอควรจะบอกนายหญิงของพวกเธอดีมั้ยว่านวนิยายเกี่ยวข้องกับร้านที่กำลังถฦูกคว่ำบาตรในตอนนี้เผลอๆ นี่อาจเป็นลูกเล่นหนึ่งของมัน!


ไม่แน่สิ่งนี้อาจเป็นหนึ่งในตัวการของร้านนั่นที่ใช้จัดการกับสถานการณ์แบบนี้ ..


ตงชิงลี่เห็นหน้าตาที่ดูเป็นกังวลของพวกเขาทั้งสอง เธอจึงตะโกนถาม “พวกเธอคิดอะไรกันอยู่?”


“ไม่ ..​ไม่มีอะไร” เจียงซิงเฮอกระแอ่ม


“ก็ดี” ตงชิงลี่ส่งหนังสือให้เจียงชิงเฮอ “มอบหนังสือเล่มนี้ให้กับคุณตวน แจ้งที่ร้านศาลาลมและพระจันทร์ของเราว่าเราจะเล่าเรื่องนี้”


“หืม?” เจีงชิงเฮออและจางวันยูตัวแข็ง


หรือนี่อาจเป็นการโปรโมทของศัตรู!?


“พวกเธอหมายความว่าอย่างไร? ทำไมต้อง ‘หืม?’ ” ตงชิงลี่นั่งลงเก้าอี้ตัวโปรดพลางจ้องหน้าลูกน้องทั้งสองอย่างสงสัย พวกเขาเป็นะนักงานที่ดีที่สุดของเธอ พวกเขาคอยดูแลจัดการร้านศาลาลมและพระจันทร์ให้ในเวลาที่เธอไม่อยู่


“พวกเธอต้องการจะบอกอะไร?” เธอจ้องหน้าพวกเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปมันเย็นชาจนชวนขนลุก


“เรา .. เรามีความจริงจะบอก” เจียงชิงเฮอโค้งคำนับเธอทันที “เราได้ยิน Diablo จากปากลูกค้าหลายคนที่ได้ไปใช้บริการ ณ ร้านต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ต ซึ่งหนังสือเล่มนี้อาจเป็นลูกเล่นหนึ่งของที่นั่น”


“ลูกเล่น?”


ตงชิงลี่รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดกลางหัว เมื่อได้ยิน ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งเอ่ยชมศัตรูตัวร้ายไปหรือนี่!? มันเป็นไปได้ยังไง? ไม่จริงเป็นไปไม่ได้!


คนที่เธอชื่นชมสรรเสริญ จริงๆ แล้วเขาคือศัตรูที่เธอกำลังพยายามเอาชนะอย่างดุเดือด!? ตงชิงลี่นิ่งไปสักพัก


“ท่านหัวหน้า!” เมื่อเห็นความลังเลบนใบหน้าของตงชิงลี่ พวกเขาก็เรียกสติ “เราขอแนะนำให้เผาหนังสือทิ้งและห้ามไม่ให้ใครพูดถึงมันอีก หากใครฝ่าฝืนกฏเราจะเตะพวกเขาออกไป”


“เตะออก?” ตงชิงลี่ยิ้มมุมปาก เสียงของเธอเย็นยะเยือก “แล้วปิดประตูใส่หน้าพวกเขา?”


ทั้งสองเงียบ ..


“มันยังไงกันแน่!” ตงชิงลี่เริ่มโมโห


“ชิงเฮอ!” เธอตะโกนขึ้น “เธอแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าหนังสือเล่มนี้มาจากรา้นนั่น!”


“80%” เจียงชิงเฮอกล่าว “ร้านนี้เป็นร้านที่คุณไม่ชอบมากที่สุด ร้านค้าเล็กๆ ที่ลูกค้าวิจารณ์เปรียบเทียบของว่างของเรา เหตุการณ์ของขี้เมาคนนั้น ..”


“หือ?” ตงชิงลี่ตาโต เขาหยุดพูดทันที


“คุณต้องระวัง นี่อาจเป็นลูกเล่นของร้านนั้น พวกเขาอาจต้องการให้คุณรู้สึกเคลิบเคลิ้มจากการอ่านหนังสือเพื่อที่คุณจะได้ไม่เข้าร่วมการคว่ำบาตรก็เป็นได้”


ตงชิงลี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอตอบเสียงเรียบ “ถือว่าพวกเขาทำสำเร็จ!”


“อะไรนะ!?” ทั้งสองมองหน้าตงชิงลี่ แพลนการของพวกมันสำเร็จงั้นหรอ?


“คุณไม่ได้ชอบร้านเล็กๆ นั่นใช่มั้ย?” หัวใจของเจียงชิงเฮอตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม


“ฉันแค่ชอบนิยายเรื่องนี้เท่านั้น” เธอตอบ


“เราจะไปดูกันว่าพวกเขามีเล่มสองหรือเปล่า ถ้ามีเราก็จะซื้อแต่ถ้าไม่เราก็จะออกมาทันที” ตงชิงลี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ชิงเฮอ วันยู คนไหนอยากไปกับฉัน?”


เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ขี้เมาในครั้งนั้น นั่นจึงเป็นผลให้เธอไม่ชอบทุกสิ่งของคาเฟ่ อย่างไรก็ตามในตอนนี้ดูเหมือนความมุ่งมั่นของเธอเริ่มสั่นคลอน


“เรื่องส่วนตัวระหว่างฉันกับร้านนั่นก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงนี่” เธอลองนึกย้อนกลับไป


“วันยูเธอไปกับท่าน” เจียงชิงเฮอรู้สึกสับสนกับเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เขารู้สึกแย่ที่แผนการและการจัดการทั้งหมดของเขากำลังถูกรบกวน


มันกำลังจะเป็นไปได้ด้วยดี!


“ฉันหวังว่าหัวหน้าของเราแค่อยากไปดู .. แค่นั้น” เขาปลอบใจตัวเองแม้จะขัดกับความจริง


“โอ้! เตรียมผ้าพันคอสักสองผืนเพื่อไม่ให้ดูสะดุดตาและเป็นที่รู้จัก!” ตงชิงลี่เตรียมตัว



“ถึงแล้วที่นี่ไง ท่านพ่อ!” นายน้อยเฉินผลักประตูออกด้วยรอยยิ้มที่ประจบประแจง


“หุบปาก!” เฉินเฟิงกล่าว “ชู่!”


เขาดูลึกลับมากในชุดดำและหมวกไผ่ขนาดใหญ่


เขาได้เข้าร่วมกับเฮาชงในโครงการคว่ำบาตรร้านเล็กๆ นี้ มันจะหน้าอายมากหากเขาถูกค้นพบ เขาเดินเขามามองรอบๆ พบว่ามันเงียบสงบมาก ดูเหมือนว่าการคว่ำบาตรจะส่งผลต่อที่นี่มากจริงๆ เขาพยักหน้า


เฮาชงตั้งใจที่จะรวบรวมธุรกิจใหญ่ๆ ทั้งหมดในเมืองจิวหัว เพื่อร่วมกันคว่ำบาตรร้านเล็กๆ แห่งนี้ แต่นี่มันเป็นปาฏิหาริย์มากที่ร้านยังคงเปิดอยู่


เขามั่นใจมากในการรวมพลังพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในเมืองเองและในภาคใต้แถมยังรวมไปถึงสำนักหลิงหยวน คนใหญ่คนโตอย่างอันหูเว้ยยังไงๆ ก็ต้องรู้สึกกดดันเป็นแน่


ในขณะที่เขากำลังยืนจิตนาการคิดถึงเรื่องนั้น จู่ๆ ชายวัยกลางคนรูปร่างสง่างามสองคนก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกัน พวกเขามาพร้อมสาวกเกือบ 100 คนข้างหลัง


เมื่อทั้งสองเจอหน้ากัน พวกเขาหยุดเดิน บรรยากาศรอบข้างต่างเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ไหว


“อีกแล้วหรอ?”


“เราควรใช้วิธีเดิม” ท่านหัวหน้ากลุ่มเยซงเต๋าถาม


เฉินเฟิงที่เพิ่งมาใหม่กำลังรู้สึกอึ้ง ..


ไม่กี่วินาทีต่อมา คำสั่งดังขึ้นของหัวหน้าทั้งสองดังขึ้นพร้อมเพียงกัน!


“สาวกของกลุ่มหลิวหยุนทุกคนเตรียมตัว!”


“สาวกของกลุ่มโอเชียนทุกคนเตรียมตัว!”


“คว้าที่นั่งเดี๋ยวนี้!”


“???” เฉินเฟิงยังคงยืนมึน


นายน้อยเฉินลากพ่อของเขาเข้ามาในร้านพร้อมกับตะโกน “เสี่ยวหยู! เปิดใช้งานคอมพิวเตอร์ให้ฉันที!”


เมื่อคอมพิวเตอร์รีบูทเสร็จเขาเปิดเข้าเกมอย่างรวดเร็ว


139

งานหลักของมูฮงจูคือสอนเทคนิคการต่อสู้ให้แก่สาวก เธอไม่ได้มีหน้าที่ดูแลสาวกตามกลุ่มนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่ได้ติดตามสาวกที่เดินทางไปยังจิงฉี


 


ฉินบิงผู้นำทับได้พาศิษย์มากฝีมือหลายคนพร้อมอาจารย์ผู้สอนบางคนเดินทางไปที่จิงฉี เพื่อส่งสาวกเข้าร่วมการสอบวัดระดับในครั้งนี้ ส่วนสถานการณ์ในสำนักหลิงหยวนยังคงดำเนินการตามปกติ


 


สาวกส่วนใหญ่ที่มีมักษะฝีมือหรือชนชั้นที่ไม่ถึงตามกฏก พวกเขาล้วนถูกทิ้งให้อยู่ในสำนัก ที่นี่ไม่มีวันหยุดพิเศษอีกทั้งยังเรียนหนักอย่างสม่ำเสมอ


 


หลังจากหมดคาบเรียน มูฮงจูกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งเธอนั่งอยู่บนกำแพงเล็กๆ นอกสนามฝึกพลางนึกคิดถึงสิ่งต่างๆ เธอกำลังรู้สึกสับสนในหัวใจ


 


สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นร้านเล็กๆ ที่กำลังถูกคว่ำบาตร สถานที่ที่สำนักกีดกันจากสาวกทุกคน เธอพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดและการลงโทษของพวกเขาก็รุนแรงเกินไปสำหรับสาวก!


 


“อาจารย์มู!” อาจารย์ยูเหลียงเป็นอาจารย์สอนเทคนิคการต่อสู้อีกคน เธอกำลังจะเดินไปบ้านซวน เดินผ่านมาเห็นอาจารย์มูที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงเอ่ยทัก


 


“คุณมาทำอะไรตรงนี้?” พวกเขาเป็นทั้งผู้ฝึกสอนและเพื่อนร่วมงานกัน


 


“อาจารย์ยู คุณเคยคิดบางมั้ยว่าเหตุใดสาวกหลายคนมักชอบไปคาเฟ่แห่งนั้นทั้งๆ ที่ที่นั่นเป็นที่ต้องห้าม” มูฮงจูเอ่ยถาม


 


“ไม่ใช่แค่บางคนหรอกหรอ?” ยูเหลียงขมวดคิ้ว


 


“หลายคนเป็นชนชั้นสูงจากครอบครัวที่มีฐานะ คุณคิดว่าที่นั่นมีอะไรที่ดึงดูดใจพวกเขาหรือเปล่า?” มูฮงจูกล่าวจริงจัง


 


อาจารย์หลายคนที่นี่ไม่ได้โง่ แต่พวกเขาไม่ได้มองเห็นถึงข้อแตกต่างเหล่านี้ แต่เมื่อมูฮงจูเอ่ยขึ้นก็ทำให้ยูเหลียงเริ่มเอะใจและคิดตาม


 


“โอ้ะ ฉันขอโทษ” มูฮงจูนึกขึ้นได้ขณะมองเวลา “ฉันหวังว่าฉันคงไม่ได้ทำให้ชั้นเรียนของคุณล่าช้าเกินไป”


 


“ไม่เป็นไร! ทุกอย่างปกติ” ยูเหลียงชำเลืองมองที่สนามฝึกซ้อม “ชั้นเรียนยังไม่เริ่มเลย”


 


ยูเหลียงที่ยืนอยู่ตรงนั้นยืนมองมูฮงจูที่กำลังเดินออกจากสนามซ้อมไป .. ทำไมจู่ๆ เธอถึงถามฉันแบบนั้น มันแปลก ..


 



 


“ทำไมเราถึงพยายามอย่างหนักเพียงเพื่อต้องการคว่ำบาตรร้านเล็กๆ นี้กันนะ?” เฉินเฟิงพึมพำกับตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า


 


หลังจากที่เขาได้ทดลองปืนที่อยู่ในมือแล้ว เขาก็ไม่สนใจธุรกิจหรือสิ่งรอบข้างอีก


 


“นี่เจ้าลูกชาย นี่คืออาวุธที่เจ้าต้องการซื้อใช่มั้ย?” เฉินเฟิงถาม


 


“ไม่ อาวุธที่ทำการสลักร่องรอยพลังจิตวิญญาณจะมีพลังมากกว่าอาวุธปกติ”


 


“สลัก?” เฉินเฟิงรู้สึกตกใจและพบว่าปืนในมือเขาไม่มีการแกะสลักร่องรอยสักนิดเดียว


 


มันไม่มีพลังทางจิตวิญญาณ แต่ก็สามารถปลดปล่อยพลังธรรมดาๆ จากอาวุธได้


 


ในฐานะผู้ที่มีอำนาจควบคุมทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของตระกูลเฉินเขาไม่ใช่คนโง่! เขารู้ว่าหากมีการแกะสลักเพิ่มเติมในอาวุธเหล่านี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้มันยิ่งขึ้น นอกจากนี้อาวุธเหล่านี้จะได้รับความนิยมจากผู้คนมากขึ้นอีกด้วย!


 


“แกเคยบอกว่าร้านบลูเฟรมสามารถสร้างอาวุธเหล่านี้ได้ใช่มั้ย?” เฉินเฟิงถามเสียงเข้ม


 


“พวกเขาสามารถลอกเลียนแบบได้” นายน้อยเฉินกล่าว “แต่พวกเขายังไม่สามารถสร้างลวดลายทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งประดิษฐ์ของกลุ่มโอเชียนและผู้เชี่ยวชาญจากหวังหลิวหยุนเองก็กำลังศึกษาอาวุธเหล่านี้เช่นกัน”


 


“พวกเขา .. กำลังศึกษาอยู่หรอ?” เฉินเฟิงได้รับข้อมูลข่าวสารสำคัญจากคำพูดของลูกชาย


 


“งั้น ครอบครัวของเราจะชักช้าไม่ได้!” เขาหยิบหยกสื่อสารออกมาและส่งข้อความ


 


“ท่านพ่อ! ท่านกำลังทำอะไร มาเล่นกันก่อน!”


 


“ฉันกำลังเรียกลุงหยางและลุงหยูผู้เชี่ยวชาญของครอบครัวเราให้มาร่วมเล่น CS!”


 


“เร็วเข้า! เกมเริ่มต้นขึ้นแล้ว! อาจารย์ซัวและหัวหน้ากลุ่มเยกำลังรออยู่” นายน้อยเรียกพ่อ


 


“โอเคๆ ..” เฉินเฟิงรับกลับมาประจำที่


 


เนื่องจากการเป็นการเข้าร่วมเล่นครั้งแรกของผู้เล่นใหม่ ตัวเกมจึงต้องโหลดนานกว่าปกติ ในขณะที่คนอื่นโหลดเสร็จแล้ว เฉินเฟิงยังคงเดินทางตามไป


 


พวกเขาเลือกเล่นแมพ Dusk 2


 


“ซื้อปืน!” นายน้อยเฉินกำลังเล่นบทผู้บัญชาการ “ทำตามข้า RUSH B!”


 


ผู้แข่งขันทุกคนตอนนี้พร้อมแล้ว!


 


“นั่น ระเบิด! ระวังระเบิด!”


 


“แม่งเอ้ย! ใครขว้างวะ มันทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย!”


 


“ฉันก็มองไม่เห็นอะไรเหมือนกัน!”


 


“ขว้างระเบิดควันไป กันให้ฉันด้วย!”


 


ระเบิดควันแปดลูกถูกโยนขึ้นบนอากาศ ผู้รอดชีวิตที่ยังอยู่มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากควันสีเทา!


 


“ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ที่ไหน? ใครยิงฉัน?”


 


“ฮ่าๆๆๆๆ  เหลือแค่คนเดียวเท่านั้น”


 


นายน้อยเฉินยิ่งสาดไปโดยไม่มีจุดหมายด้วยปืนกลของเขา


 


“ข้างหลัง!”


 


“รอบนี้พวกเขาชนะ!”


 


บทสนทนาของทั้งสองทีมดังขึ้นระหว่างเล่นเกม


 


ผู้ชมอย่างเซียวหยูเองที่ชื่นชมเป็นเวลานาน เขารู้สึกเบื่อเกินไปแล้วสำหรับวันนี้


 



 


ขณะเดียวกันระหว่างที่เซียวหยูหันหลังกลับเพื่อจะเดินตรงอื่น ข้างหน้าเขาคือสาวสองคนพร้อมผ้าคลุมหน้า คนซ้ายมือสวมชุดสีเขียวอ่อนผมดำขับผิว ส่วนอีกคนมีดวงตาแหลมคมใส่สวมชุดสีดำสนิททั้งตัว


 


ทำไมผู้คนที่เดินทางมาที่นี่ถึงดูลึกลับ? ก่อนหน้านี้ทั้งชายสวมหมวกไม้ไผ่ ตอนนี้ก็เด็กสาวสองคนสวมผ้าคลุมหน้า ฉันว่าสาวกหลายคนจากสำนักหลิงหยวนคงไม่กล้ามาเหยียบที่นี่อีกแล้วละ


 


เวลาเดียวกันฟางฉีเองก็กำลังนั่งจกฮาเก้นดาสอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ โดยที่มีสายตาอาฆาตของเจ้าตัวเล็กมองจ้องอยู่


 


“ใครเป็นเจ้าของร้านนี้?” จางวันยูมองไปรอบๆ และตะโกนขึ้น


 


“เขาคือ ..” เซียวหยูชี้นิ้วไปที่ฟางฉีผู้นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์


 


“ห้ะ!?” ฟางฉีเงยหน้าขึ้นจากฮาเก้นดาส “ลูกค้าใหม่? กฏอยู่บนกระดานนั่น พวกคุณลองอ่านดูก่อนได้”


 


จางวันยูชักสีหน้า ถ้าเป็นที่ร้านอาหารศาลาลมและพระจันทร์คงจะมีบริกรออกมาต้อนรับลูกค้า แต่ร้านนี้ดันบอกให้พวกเขาอ่านด้วยตัวเอง!


 


ร้านนี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกลแหล่งชุมชน แถมเจ้าของร้านยังมีทัศนะคติที่แย่อีกไม่นานมันคงปิดตัวลงโโยไม่ต้องรอให้พวกเราคว่ำบาตรหรอก เธอคิดในหัวรู้สึกหัวเราะเยาะในใจ


 


ขณะที่เธอกำลังพึมพำกับความคิดอันชั่วร้ายนั้น ฟางฉีกล่าวเรียกสติ “โอ้ว! พวกคุณมาผิดเวลา ตอนนี้คอมพิวเตอร์ทุกตัวที่นี่เต็มหมดแล้ว ฉันเกรงว่าพวกคุณต้องรอสักประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมง”


 


“!!??”


140

“รอสี่ถึงห้าชั่วโมง?” จวงวันยูทำหน้าสงสัยเจ้าของร้านนี่ยังไงกัน? ทำไมทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก!


 


ตงชิงลี่เองหันมองรอบๆ เห็นคำว่า ‘Diablo Two’ บนกระดาษดำ “จริงมั้ยที่นวนิยาย ‘Diablo’ มากจากร้านของท่าน”


 


ขณะตักฮาเก้นดาสเข้าปาก ฟางฉีได้ยินคำถามพอ “โอ้ว .. ท่านหมายถึงหนังสือเล่มนั้นหรอ ใช่สิ”


 


“ท่านมีหนังสือภาคต่อไปหรือไม่? วางแผนที่จะวางขายเมื่อไร? ท่านเป็นผู้แต่งเรื่องเองหรือเปล่า? แล้วโลกแห่งเวทย์มนตร์เกิดขึ้นได้อย่างไร?” คำถามพรั่งพรูพร้อมกับสายตาที่มุ่งมั่น


 


ทำไมตอนนี้ฉันเหมือนกำลังตกอยู่ในเหตุการณ์การเซ็นสัญญา .. หญิงสาวคนนี้ซ่อนตัวตนของเธอไว้ แต่ฟางฉีสามารถจับได้ว่าเธอกำลังตื่นเต้นจากน้ำเสียงของเธอ หรือว่า .. เธอกำลังจะขอลายเซ็นจากฉัน xD


 


จางวันยูที่ยืนอยู่ตรงนั้นเหงื่อผุดไหลจากหน้าผาก “ท่านถามคำถามมากเกินไป ..”


 


“อ่อถ้าท่านหมายถึงสิ่งนั้น” ฟางฉีชี้ไปที่กระดานดำเล็กๆ “นั่นเป็นเกมหนึ่งในร้านของฉัน แต่เรื่องราวของโลกในจินตนาการ .. ท่านต้องไปถามบริซซาส”


 


“บริซซาสคืออะไร?” หูของเซียวหยูกระตุก เขาแอบมองพวกเขากำลังคุยกันเหมือนว่าเขากำลังได้รับข้อมูลสำคัญบางอย่าง


 


“บริซซาส..” ฟางฉีพูดทวนซ้ำพลางจ้องหน้าพวกเขาและเขาพูดด้วยอารมณ์ลึกล้ำว่า “มันคือศรัทธา”


 


“มีการกล่าวว่า : บริซซาสรับประกันคุณภาพเกมทุกเกม” ฟางฉีกล่าว


 


เซ๊ยวหยูที่กำลังตั้งใจฟังอย่างแอบๆ เริ่มเข้าใจ “ท่านกำลังหมายถึง Diablo เป็นผลงานอันยิ่งใหญ่จากบริซซาสใช่หรือไม่?”


 


“เช่นนั้น” ฟางฉีเหลือบมองไปที่แฟนคลับหนังสือเล่มนี้ “ถ้าท่านมาตามหาหนังสือบอกเลยว่าฉันต้องขอโทษด้วย หนังสือขายหมดแล้ว สำหรับภาคต่อไปพวกท่านรอก่อน”


 


“งั้น..” ตงชิงลี่ชี้ไปที่กระดานดำเล็กๆ พลางหันมาถาม “แล้วเกมละ มันมีสามส่วนหรอ?”


 


“Act II เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ที่มีชื่อว่า Lut Gholein” ฟางฉีกล่าว


 


“Lut Gholein เป็นชื่อเรียกของไข่มุกแห่งทะเลทรายในหนังสือเล่มแรก  แล้วเล่มที่สองละ!?” ตงชิงลี่สูดหายใจเข้าเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง “มันจะดีมาก ถ้าท่านจะบอกเล่าเกี่ยวกับเนื้อหาภาคที่สอง!”


(ผู้แปล : Lut Gholein เป็นแมพหนึ่งใน Diablo)


 


“ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมที่ร้านถึงมีลูกค้าจำนวนมาก” ตงชิงลี่เหลือบมองรอบๆ เธอสังเกตเห็นว่าลูกค้าหลายคนสวมยูนิฟอร์มของกลุ่มโอเชียนและยูนิฟอร์มของวังหลินหยุนก็เยอะไม่แพ้กัน มีเพียงไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ที่นี่


 


“ผู้ชายคนนี้สามารถบินด้วยดาบได้มั้ย?” จางวันยูทักถามระหว่างที่มองไปรอบๆ เธอเห็นสาวกคนหนึ่งจากวังหลิวหยุนกำลังเล่นเกมเซี่ยนกระบี่พิชิตมารอยู่


 


“หืม? มีอาวูธอะไรอีกบาง? พวกเขาสามารถฆ่าคนได้จากระยะไกล?” เธอหันมองรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยาเห็น ขณะที่สาวกอีกคนจากวังหลิวหยุนกำลังเล่น CS อย่างเมามัน


 


“นี่คือ เกมหรอ?” ตงชิงลี่ทวนถามอีกครั้งอย่างสับสนนี่ไม่ใช่ฉันกำลังดูละครหรอกหรอ? ฉันสามารถดูได้โดยไม่เสียเงินใช่มั้ย?


 


“เอ่อนี่ท่าน ท่านไม่รู้อะไรจริงๆ หรือ..” เซียวหยูถาม “ท่านเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกโดยไม่ได้ยินข่าวสารใดๆ เลยหรือ?”


 


ตงชิงลี่นิ่งเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกดูถูก เธอไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นอกเสียจากนวนิยายเล่มนี้!


 


“สมาชิกทุกคนมาตรงนี้!”


 


“ใช้พลังไฟหน่อย ฉันต้านพวกเขาไม่ไหวแล้ว!”


 


”ต่อต้านสกิลไฟ!” ตงชิงลี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นหันไปมองผู้คนที่กำลังตะโกนและต่อสู้อยู่บนหน้าจอ


 


“คุณเห็นมั้ยว่า ..” เซียวหยูโบกมือและอธิบาย “สิ่งที่อยู่บนหน้าจอคือตัวละครที่พวกเขากำลังบังคับ หรือเรียกอีกอย่างว่าสวมบทบาท”


 


จากนั้นเขาชี้นิ้วไปที่เหล่าสาวกหลิวหยุนที่กำลังเล่น CS ด้วยความเพลิดเลพิน “นี่เป็นเกมยิงคนเกมแรกที่ผู้เล่นต่อสู้กันด้วยอาวุธที่เรียกว่าปืน”


 


“นอกจากนี้ร้านนี้ยังมีภาพยนตร์ที่พวกเขาเล่าต่อกันว่า สามารถบรรยายให้เห็นภาพของโลกของนวนิยายได้อย่างชัดเช่น แต่เนื่องจากฉันเองก็ไม่เคยเห็นมันฉันเลยไม่สามารถบรรยายออกมาได้”


 


เจ้าตัวเล็กที่อยู่หลังเคาน์เตอร์โผล่หน้าออกมา “นี่นาย ฉันคิดว่าผู้ชายคนนี้อธิบายเกมได้ดีอยู่นะ”


 


“เขาพูดซ้ำในสิ่งที่ฉันพูด” ฟางฉีเบื้อนหน้า


 


“โอ้ ในขณะที่ท่านกำลังนั่งรออยู่” เซียวหยูกล่าวต่อ “ท่านสามารถซื้อฮาเก้นดาสมาเพื่อลิ้มลองรสชาตความอร่อยของมันได้..”


 


เซียวหยูพูดชวนน่าหลงไหลราวกับเขาเคยกินมาก่อน


 


“ท่าน พนักงานของท่านคนนี้ถือว่าทำงานขายได้ดีกว่าท่านเสียอีก” จางวันยูเอ่ยชม


 


“พนักงาน?” ฟางฉีเหลือบมองหน้าเซียวหยู “ท่านกำลังพูดถึงชายที่ติดอยู่ในรายชื่อบัญชีดำของร้านเราน่ะหรอ?”


 


“หืม?” จางวันยูตัวแข็ง


 


เซียวหยูพูดด้วยความมุ่งมั่น “สักวันฉันจะเล่นเกมให้ได้”


 


วังหลิวหยุนของฉันมีเวทย์มนต์ทางจิตวิญญาณทุกอย่าง เซียวหยูคิดเยาะเย้ย ฉันจะต้องหาวิธีมาเล่นให้ได้


 


หลังจากอยู่ที่นี่มานานฉันรู้เกือบทุกอย่างเกี่ยวกับร้านแห่งนี้ เจ้าของร้านในสายตาของสาวๆ เขามักดูดีและแข็งแกร่งเสมอ แต่สำหรับฉัน .. หึ!


 


“มีคนเคยบอกว่าผู้หญิงส่วนมากที่เล่นเกมในร้านนี้มักจะชอบเกม Resident Evil หนึ่งในนั้น ..” เซียวหยูกล่าว


 


“ฮาเก้นดาส?” ตงชิงลี่ขมวดคิ้วเมื่อนึกถึง พลางนึกย้อนกลับไปว่าอาหารของร้านเธอดีที่สุดในเมืองจิวหัว นอกจากนี้ชื่อฮาเก้นดาสยังดูธรรมดาทั่วไป


 


ในขณะที่เซียวหยูเองก็ยังคงอวดรู้ เขาโบกมือ “ฮาเก้นดาสไม่ใช่ของว่างธรรมดา! มันมีขบวนการผลิตที่ได้รับความนิยมมากที่สุด กลิ่นหอมของนมผสมกับกลิ่นของวนิลลาหอมหวานกลมกล่อม ละลายและนุ่มลิ้น”


 


“ส่วนผสมที่ใช้ของ ฮาเก้นดาสได้ผ่านการคัดเลือกด้วยความใส่ใจจนคนอื่นๆ ล้วนติดใจมิรู้ลืม”


 


เขากำลังเริ่มโม้เกี่ยวกับสวนผสมของฮาเก้นดาสต่อไป


 


“ร้านเล็กๆ แห่งนี้ให้ความสำคัญกับของว่างขนาดนั้นเลยหรอ? ตงชิงลี่พูดยี่ยวน “จากนั้นช่วยส่งฮาเก้นดาสให้เราทีสิ เรารออยู่”


 


ฟางฉีหักนิ้วหัวอุ่นๆ “เสี่ยวหยูรับเงินไป”


 


จางวันยูหยิบเงินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านแน่ใจนะ พวกเขาไม่ได้เป็นหน้าม้าของที่นี่!?”


141

วันนี้ยูเหลียงกลับบ้านช้าเพราะดื่มมากไปหน่อย ระหว่างทางกลับบ้านพักในสำนักเขาเห็นร่างดำๆ สองสามคนกำลังยืนกระซิบกระซาบกัน


 


“ตาแก่ฉินบิงหายไปแล้ว” ร่างดำร่างหนึ่งกระซิบ “ฉันรอไม่ไหวแล้ว อาจารย์หลายคนก็หายไป ฉันว่าการดูแลสำนักในตอนนี้น่าจะเข้มงอดน้อยกว่าเมื่อก่อน!”


 


“ไปอินเตอร์เน็ตคาเฟ่กันเถอะ”


 


“เฮ้! นาย..”


 


“อินเตอร์เน็ตคาเฟ่!? นั่นเป็นอีกชื่อหนึ่งของร้านเล็กๆ นั่นหรอ?” ยูเหลียงแอบฟังและพบว่าสาวกเหล่านี้กำลังจะแอบไปคาเฟ่อินเตอร์เน็ตในเวลากลางคืนเช่นนี้


 


พวกเขากำลังแหกกฏ!


 


การเคลื่อนไหวของเหล่าสาวกรวดเร็วและเรียบง่ายราวกับพวกเขาเคยทำเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง การฝึกฝนของพวกเขาแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของทักษะที่ดี


 


พวกเขาวิ่งและกระโดดข้ามกำแพงที่สูงชั้นของสำนัก!


 


ความแข็รงแกร่งของยูเหลียงไม่ได้น้อยหน้า เขาเองก็กระโดดตามไปเช่นกัน


 


“มีคนตามมา!?”


 


“อาจารย์หรือเปล่า!?”


 


“ชิบละ วิ่ง!”


 


“ยังวิ่งต่ออีกเรอะ?” ใบหน้าของยูเหลียงเย็นชาในขณะที่เขายังวิ่งตามต่อไป แต่ระหว่างทางเขาได้ยินเสียงสวดมนต์


 


จากนั้นวิสัยทัศน์เบื้องหน้าของเขามืดลงและจู่ๆ ก็มองไม่เห็นอะไรเลย


 


“วิ่ง! ฉันใช้สกิล Cloak of Shadows เขาจะมองไม่เห็นเราสักแปป”


(ผู้แปล : Cloak of Shadows เป็นชื่อสกิลในเกม Diablo ลักษณะสกิลคือทำให้ท้องฟ้ามืดมนเพื่อบดบัง)


 


“เจ้านี่เจ๋งมาก! เจ้านำสิ่งที่เรียนรู้ในเกมมาใช้ให้เป็นประโยชน์”


 


“ลองดูสิ!”


 


ยูเหลียงที่วิ่งตามพวกเขาในตอนนี้รู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อมองไปข้างหน้าก็ไม่พบใครแล้ว ฉันควรทำอย่างไร? ควรตรวจสอบหอพักเลนจะดีมั้ย?


 


ไม่ .. ยูเหลียงกำลังคิดว่าหากใช้ความจำที่ถูกต้องแม่นยำเพื่อนจับตัวสาวกได้ เขาอาจได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้


 


ถึงแม้สาวกจะลับสายตาไปแล้ว แต่ฉันมั่นใจว่าพวกเขาต้องอยู่ในร้านนั่นอย่างแน่นอน


 



 


“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนนี้ฉันได้เป็นตัวละครหลักของนวนิยาย” ตงชิงลี่ยังไม่หายตื่นเต้นเท่าไรหลังจากที่เล่นไปถึงหกชั่วโมง


 


เธอรักการอ่านนิยายมาก แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันทำเช่นนี้ได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะสามารถเข้าสู่โลกที่ได้รู้จักจากนวนิยายในฐานะตัวละครหลัก!


 


เธอรู้สึกเบิกบานใจ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วได้อยู่ในโลกนิยายที่เธอชื่นชอบในฐานะตัวเอก เมื่อก่อนเธอรู้สึกเบื่อทุกครั้งที่ได้ยินผู้คนพูดถึงเรื่องเกมหรือเอ่ยถึงร้านต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ต เธอมองว่ามันเกินจริงและไร้สาระ แต่ตอนนี้เธอเริ่มชอบที่นี่เข้าให้แล้ว


 


ในความจริงเป็นอาจจะมากกว่าชอบ


 


ฉันกำลังหลงไหลร้านนี้!


 


ตอนนี้เธอรู้สึกว่าไม่สามารถระงับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นได้เลย เธอวิ่งไปถามที่เคาน์เตอร์ “นี่ท่าน ท่านผ่าน Andariel ไปแล้วใช่มั้ย?”


 


“แล้ว Act II ล่ะยากมั้ย?”


 


“เอ้ออ ขนมที่มีชื่อว่าฮาเก้นดาสนั้นมันอร่อยมาก!” ตงชิงลี่พูดพลางเลียริมฝีปากราวกับว่าเธอกำลังลิ้มรสมันอยู่ ในตอนนี้เธอไม่เพียงเป็นแค่หนอนหนังสือธรรมดา แต่เธอยังเป็นนักชิมอีกด้ว! ไม่เช่นนั้นร้านศาลาลมพระจันทร์คงไม่ถือกำเนิดขึ้น


 


“มันอร่อยกว่าของว่างในร้านศาลาลมและพระจันทร์อีก เทคนิคการทำเจ้านี่มันซับซ้อนจริงๆ หรอ?”


 


ร้านไหนที่เธอเป็นเจ้าของกันแน่ จางวันยูทำหน้ามุ่ยและรู้สึกอยากร้องไห้เมื่อมองดูท่าทางของตงชิงลี่


 


ใครจะไปคิดว่าเจ้าของร้านศาลาลมและพระจันทร์จะมาเหยียบที่คาเฟ่แห่งนี้ แถมยังเอ่ยชื่นชมขนมอย่างไม่ขาดอีกด้วย โชคดีที่พวกเขาสวมผ้าและคลุมหน้าจึงทำให้ไม่มีใครจำได้ มิเช่นนั้นจางวันยูคงจะอกแตกตายด้วยความอับอาย


 


ลืมซะเถอะ! มันไม่ได้สำคัญอะไรเพราะยังไงพวกเขาก็ไม่รู้จักเราอยู่ดี


 


“ที่นี่แหละ!” ยูเหลียงพูดขณะผลักประตูเข้ามา เขามองเหฦ็นหญิงสองคนพร้อมผ้าคลุมหน้ากำลังพูดคุยกับชายหนุ่มที่ดูธรรมดาและโลลิตัวน้อยหลังเคาน์เตอร์


 


“พวกเขาอยู่ที่ไหน!?” ยูเหลีงเหลือบมองรอบๆ ร้านแต่ก็ไม่พบสาวกพวกนั้น


 


แม้ร้านของเขาจะมีสองฝั่งและสองชั้น หากเปรียบเทียบกับร้านค้าใหญ่ๆ ในเมืองแล้ว ร้านของเขาก็ยังจัดว่าเล็กอยู่ดี แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดีที่ยูเหลียงจะค้นหาเป้าหมายในเวลาอันสั้น


 


เซียวหยูเหลือบมองไปเหลือบมองที่เขาและหันกลับมาอย่างรวดเร็วโดยคิดว่าเขาเป็นผู้ชายเลยขอเมินดีกว่า


 


ยูเหลียงรู้สึกสับสน เขาเคยคิดว่าที่นี่เป็นคาเฟ่เล็กๆ แต่เมื่อได้มาถึงที่นี่แล้วมันก็ไม่ได้ดูเล็กอย่างที่คิดไว้เลย


 


ฉันควรขอให้เจ้าของร้านร่วมมือกับฉันดีมั้ย เขาส่ายหัวสลัดความคิด ถ้าเจ้าของร้านรู้ว่าเขามาตามจับสาวกเขาต้องถูกเตะออกไปแน่นอน


 


เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาไม่มีข้อมูลหรือรู้จักอะไรเกี่ยวกับร้านนี้สักนิด เขารู้สึกเหมือนกำลังหลงทางเมื่อได้เข้ามาที่นี่ ใช่เขาไม่รู้อะไรแม้แต่นิดเดียว


 


เขาพยายามที่จะนึกถึงเทคนิคที่สาวกคนหนึ่งใช้กับเขา ทันใดนั้นเขาก็จำได้ขึ้นมาว่าเหล่าสาวกพูดว่านั่นคือทักษะที่จำมาจากเกม!


 


จากนั้นคำพูดของมูฮงจูก็ปรากฏขึ้นมาในใจของเขา


 


สาวกจากบ้านโลกไม่ใช่สาวกที่มีทักษะสูงเท่าบ้านสวรรค์ แต่มันน่าแปลกใจมากที่พวกเขาสามารถหนีเขาได้อย่างง่ายดาย


 


เนื่องจากสาวกเหล่านั้นใช้เทคนนิคที่เป็นเอกลักษณ์กับเขา พวกเขาฉลาดมาก!


 


“ท่าน!” การแสดงออกของเขาตะกุกตะกัก “Cloak of Shadow คืออะไรหรอ?”


 


“มันเป็นสกิลหนึ่งของแอสซาซินในเกม Diablo” ฟางฉีชี้นิ้วไปที่กระดานดำ “ท่านต้องการเล่นหรือไม่?”


 


“ฉันต้องการลอง ..”


 


มันเป็นทักษะจากร้านนี้หรอ!? มันเป็นเทคนิคการต่อสู้ใหม่หรือ? ยูเหลียงจ่ายคริสตัลโดยไม่ลังเลย


 



 


ณ ร้านศาลาลมและพระจันทร์


 


“มันดึกมากแล้ว .. ทำไมพวกเขายังไม่กลับมาอีก!?” เจียงชิงเฮอรู้สึกกังวล


 


“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือเปล่า” นี่มันนานมากกว่าสิบชั่วโมงแล้ว ซื้อหนังสือเล่มเดียวมันนานขนาดนี้เลยหรอ ที่สำคัญพวกเขาไม่ตอบข้อความในหยกสื่อสารสักข้อความเลย


 


“บ้าเอ้ย! หรือว่าจะมีคนค้นพบแล้วว่าพวกเขาเป็นใคร”


 


ขณะเดียวกัน ด้านนอกคาเฟ่ระหว่างเดินทางกลับ


 


วันนี้ตงชิงลี่รู้สึกสนุกมาก!


 


เธอยังคงนึกถึงรสชาตความสนุกจากเกมที่เธอได้เล่น “โลกใน Diablo นี่สุดยอดเลย มีการทำสงครามแถมยังได้ผจญภัย”


 


แม้ว่าเธอจะไม่สามารถซื้อ Diablo ภาคที่สองได้ แต่เธอก็รู้สึกดีมากไม่แพ้กันที่ได้รับข้อมูลมากมายเมื่อได้พูดคุยกับฟางฉี


 


“ฮาเก้นดาส อร่อยสุดๆ แถมเกมยังตื่นเต้นอีก” ฟังจากน้ำเลียงของตงชิงลี่แล้วพรุ่งนี้เธอต้องกลับมาอย่างแน่นอน


 


“ถ้าอย่างนั้น เราจะยังคงเข้าร่วมการคว่ำบาตรร้านนี้ต่อมั้ย?” จางวันยูถาม


 


“แน่นอน เราต้องพยายามให้มากกว่าเดิม หากเราหยุดการคว่ำบาตร ลูกค้าจะมาที่นี่มาเกินไป” ตงชิงลี่ยิ้มมีเล่ห์นัย


 


“ในไม่อีกกี่วันข้างหน้าเราต้องติดต่อเฮาชงพันธุ์มิตรทางภาคใต้ของเรา เราต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการทำลายร้านนี้ เราต้องสร้างแรงกกดตันต่อวังหลิวหยุนและกลุ่มโอเชียนและขอให้พวกเขาอย่านำคนมา”


 


“แต่ .. พวกเขาเป็นกลุ่มใหญ่ ฉันเกรงว่าเราจะกดดันพวกเขาไม่ได้”


 


“ทั้งสองกลุ่มต้องซื้อของจำนวนมากจากพันธมิตรทางใต้ของเราใช่มั้ย?”


 



142

“เสือซุ่มโจมตี!”


 


“กรงเล็บมังกร!”


 


“กรงเล็บมังกร!” บนถนนที่ว่างเปล่าในเวลาเที่ยงคืนยูเหลียงปล่อยพลังต่อยทดลองความแข็งแรงระหว่างทางกลับบ้าน


(ผู้แปล : เสือซุ่มโจมตี(Tiger Strike) และ กรงเล็บมังกร(Dragon Claw) เป็นสกิลของแอสซาซินในเกม Diablo)


 


“ฮ่าๆ ฮ่าๆ” ดวงจาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “ฉันสามารถเพิ่มระดับทักษะของฉันโดยการฆ่ามอนเตอร์ แถมความแข็งแกร่งของฉันยังเพิ่มขึ้นอีกด้วยไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีอะรเจ๋งๆ อย่างนี้บนโลกของเรา!”


 


“มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ วิเศษมาก” หลังจากเล่นไปเพียงห้าชั่วโมงเท่านั้น แต่ยูเหลีบงกลับรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวดเร็วกว่าตอนที่เขสใช้เวลาฝึกฝนอยู่ในหอศิลปะต่อสู้ในสำนักหลิงหยวนเสียอีก แม้จะมียาเพิ่มความอึดเป็นตัวเสริมก็เถอะ!


 


“มันเลิศมาก” นอกจากการเล่นเกมจะทำให้เขาได้รับพลังภายในอันบริสุทธิ์แล้ว มันยังขจัดำลังที่เคยบกพร่องอีกด้วย “ปกติฉันต้องใช้เวลามากในการฝึกฝน แต่นี่ฉันใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น!”


 


“ไม่แปลกใจเลยทำไมเหล่าสาวกส่วนมากพร้อมที่จะเสี่ยงเพื่อไปที่คาเฟ่แห่งนั้น” ยูเหลียงบ่นกับตัวเอง “ถ้าฉันทำสิ่งนี้ต่อไป ไม่นานฉันอาจได้เลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ประจำของบ้านโลกก็เป็นได้ เผลอๆ อาจได้สอนเหล่าสาวกที่เก่งที่สุดแห่งบ้านสวรรค์”


 


มันเป็นการเพิ่มความสามารถได้รวดเร็วและสนุกกว่าหอศิลปะอย่างมาก! ความรู้สึกเมื่อได้เล่นมันเกินคำบรรยายจริงๆ ตื่นเต้นที่สุด!


 


อย่างไรก็ตามฉันได้ยินมาว่าผู้เล่นสามารถสร้างทีมหรือเล่นกันเป็นทีมได้ .. สามารถร่วมกันฆ่าสัตว์ประหลาดเพื่อเพิ่มค่าประสบการณ์ได้ เวลาที่เล่นคนเดียวเมื่อตายก็ต้องกลับไปเก็บของใหม่ แต่หากเล่นกันหลายคนโอกาสการตายก็จะน้อยลง!


 


ใช่! บางทีฉันอาจขอให้เพื่อนมาเล่นเกมกับฉันเพื่อช่วนเหลือกันและกันจะดีมั้ยนะ ฉันไม่ค่อยอยากแชร์ของกับใคร แต่ ..


 


ฉันว่าฉันชวนมาสักสองสามคนมันก็คงจะดี ..


 



 


ในขณะเดียวกันเฉินเฟิงเองก็กำลังประชุมกับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านในครอบครัวของเขา และรวมไปถึงผู้ที่มีอำนาจตัดสินบางคนในตระกูลหยางและตระกูลวู พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนมีอำนาจ แต่น้อยกว่าครอบครัวใหญ่ๆ อย่างตระกูลโอหยางและตระกูลบู


 


ท่ามกลางกองกำลังทั้งหมดในมณฑลเจียงหนาน พวกเขานับว่าอยู่ในระดับกลาง


 


“หรือเราอาจจะกำลังถูกเฮาชงหลอก!?” เฉินเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ปกคลุมด้วยขนสัตว์ “เขาห้าไม่ให้เราไปที่ร้านนั้น หรือว่าอาจต้องการหากำไรจากมันอยู่ลับๆ”


 


“สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณนี่สามารถลอกเลียนแบบได้หรือไม่?”


 


“ฉันมีความเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้พลังทางจิตวิญญาณกับสิ่งประดิษฐ์” ชายวัยกลางคนสวมชุดเขียวตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มันไม่ยากที่จะลอกเลียนแบบเท่าไร แต่ฉันก็ยังเข้าไม่ถึงรายละเอียดมากนัก แต่เอ้ะ ถ้าไม่ใช่พลังทางจิตวิญญาณแล้วอาจจะทำให้สิ่งประดิษฐ์ไม่ทรงพลังหรือเปล่า”


 


“ท่านวูพูดถูก” ผู้ปลูกฝังวัยกลางคนมีผมสีเทาเอ่ย “เราไม่สามารถนำอุปกรณ์หรืออาวุธในเกมออกมาทดสอบได้ แต่ด้วยประสบการณ์ของพวกเรา โครงการแบบนี้คงใช้ต้องใช้ทั้งเวลาและความอดทนอย่างมาก”


 


“ทดสอบความอดทน เฮ้!” ผู้ปลูกฝังอีกคนในวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินเฟิงตบต้นขาของจนเอง “นี่พวกท่านกำลังหมายถึงคนก่อนหน้าเราที่กำลังคิดหาวิธีสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณน่ะหรือ?”


 


“ดูเหมือน่วาพวกเราจะช้าไป!”


 


“ศิษย์พี่หนางใจเย็นก่อน” เฉินเฟิงปลอบ “จากที่ข้าสังเกตคนในร้าน ผู้คนส่วนมากที่ศึกษาเรื่องอาวุธเป็นกองกำลังจากวังหลิวหยุนและคนจากกลุ่มโอเชียน เท่าที่ดูพวกเขาส่วนมาคนละระดับกับเรา!”


 


หลังจากหยุดคิด เขาพูดต่อ “ถ้าเราเริ่มไวนี่อาจเป็นโอกาสของเรา!”


 


“โอกาส ..” ฝ่ายประดิษฐ์ของตระกูลวูเอ่ย “ท่านจีเว้ยต้องรู้จักวังของอาจารญ์ซัวเป็นแน่ นั่นเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเรา!”


 


“พวกเราเพียงรู้จักกันผ่านเกม คงจะเป็นไปได้ยากที่จะทำความรู้จักกันจริงจัง” เฉินเฟิงยิ้มมุมปาก “วันนี้ฉันฆ่าพวกเขาไปตั้งหลายต่อหลายครั้ง ถ้าเป็นความจริงป่านนี้พวกเขาคงไล่ฆ่าฉันแล้วละ”


 


“ท่านพูดถูก” ผู้ปลูกฝังจากตระกูลหยางเอ่ย “ฉันเองก็ฆ่าท่านอาจารย์ซัวด้วยการปาระเบิดใส่เขาเช่นเดียวกัน”


 


“เฮ้! ท่านกล้าพูดเรื่องนี้ได้อย่างไร?” เฉินเฟิงชี้นิ้วไปที่เขาแล้วพูดว่า “ข้าก็ฆ่าท่านได้เหมือนกันนะ”


 


“นั่นเป็นเพราะท่านแอบซุ่มโจมตีตั้งหาก” ผู้ปลูกฝังจระกูลหยางตะโกนโต้ “ท่านจะให้ข้าบอกมั้ยว่าข้าฆ่าท่านไปสองครั้งด้วยปืนไรเฟิล”


 


“ข้าประมาทไปเอง!” เฉินเฟิงตบเก้าอี้ “แต่อีกตาข้าก็ฆ่าเจ้าเพิ่มไปอีสองครั้ง”


 


“…”


 


“ศิษย์พี่ทั้งาสอง นี่เรามาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณกันนะ พวกท่านกำลังพูดนอกเรื่อง!”


 


พวกเขาสตั้นไปสองสามวิ โดยตระหนักได้ว่า ใช่! พวกเขากำลังหลงประเด็น


 



 


เวลาไล่เลี่ยกัน ตงชิงลี่หยิบหยกสื่อสานออกมา “โอ้ว ชิงเฮอส่งข้อความมาหลายข้อความเลย”


 


เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นเจียงชิงเฮอกำลังวิ่งมาพร้อมคนกลุ่มใหญ่พร้อมเสียงคำรามอันดุเดือด “ล้อมร้านนั้นไว้ อย่าปล่อยให้ใครหนีไปได้!”


 


“ชิงเฮอ” ใบหน้าสวยๆ ของตงชิงลี่เย็นชากว่าเก่า “นายกำลังทำอะไร?”


 


“นายหญิง!” เจียงชิงเฮอทำหน้าตกใจวิ่งเข้าไปหาเธอด้วยความเป็นกังวล “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


“ร้านเล็กๆ นั่นกักตัวท่านไว้จนถึงตอนนี้หรอ? ข้าจะให้พวกมันชดใช้ให้สาสม!”


 


“เดี๋ยว!” ตงชิงลี่หรี่ตามอง “นายหมายถึงอะไร? กักตัว?”


 


“ไม่ .. ทำไม ..” เจียงชิงเฮอทำหน้างง


 


“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร!” ตงชิงลี่พูดเบาๆ “ฉันสนุกเพลินไปหน่อย จนลืมดูหยกสื่อสาร”


 


“มันมีอะไรไม่ดีใช่มั้ย?”


 


“เราโอเค สบายดีจริงๆ” จางวันยูคว้ามือของเขาแล้วกระซิบ “มาเล่นกับเราในวันพรุ่งนี้แล้วท่านจะเข้าใจ”


 


“พรุ่งนี้ .. พวกคุณยังไปที่นั่นอีกหรอ?” ใบหน้าของเจียงชิงเฮอกระตุก “ฉันว่าฉันขอผ่าน”


 


“ได้!” ตงชิงลี่กล่าว “แต่เราต้องหาที่นั่งให้เขาก่อน”


 


“อย่างไรก็ตามที่ร้านของเราจะคงเล่าเรื่องราวของนักรบสวรรค์ต่อด้วย ไม่สำคัญว่าจะได้เงินมากหรือน้อย แต่เราก็จะทำมันควบคู่กันไป”


 


เจียงชิงเฮอทำหน้าสับสนอีกครั้ง ช่างมีวิธีคิดที่แปลกและแตกต่าง


 


“นอกจากนี้ ..” ตงชิงลี่โบกมือ “พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นเจ็ดฌมงเช้า”


 


“ท่านมักจะบอกเล่าเสมอว่าท่านต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ ..” เจียงชิงเฮอทำหน้าหน่าย


 


ตงชิงลี่ยิ้มอย่างเยือกเย็น “พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นเช้าเพื่อจะได้มีที่นั่ง!”


 



 


หลังจากผ่านคืนของการสนทนาที่ไร้ประโยชน์ เฉินเฟิงกล่าวว่า “ท่านบอกว่าทักษะการจู่โจมของท่านยอดเยี่ยมมาก ช่วยแสดงให้ฉันเห็นทีวันนี้!?”


 


“เยี่ยม? ข้าก็แม่นแต่ไม่เท่าลูกชายข้า” ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งประดิษฐ์ของตระกูลวูกล่าว


 


“ดูเหมือนว่าเราจะเริ่มคุยไม่เข้าใจกันแล้ว วันนี้เราคงตัดสินอะไรไม่ได้สักที ฮ่าๆ” ผู้ฝึกฝนตระกูลหยางพูดด้วยสีหน้ามืดมนปนขำ “อย่าพูดกับข้าจนกว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้”


 


“งั้นมาดูกัน” หลังจากคุยกัยเสร็จ พวกเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “เร็วเข้า! เก้าอี้เต็มแน่ถ้าเราไปสาย!”


143

เซนคังอาจารย์ประจำบ้านโลกมักจะชอบไปนั่งผ่อนคลายที่ร้านอาหารจินเซียงพลางฟังนวนิยายและรับประทานอาหารไปพร้อมกัน


 


ไม่กี่วันที่ผ่านมาร้านแห่งนี้ได้มีการหยิบนำนวนิยาย Diablo ออกมาเผยให้ลูกค้าได้ฟัง เขารู้สึกประทับและตื่นเต้นนี่จึงเป็นเหตุให้เขามาที่นี่ทุกวันเพื่อมาฟังนิยายเรื่องนี้


 


“อาจารย์ใบ นิยายเรื่องใหม่ที่มีชื่อว่า Diablo สนุกมาก”


 


“ใช่ ท่านคิดว่า Andriel มีพลังมากขนาดไหน?”


 


“ใครจะไปรู้ละ พวกเขาบอกแค่เธอเป็นปีศาจที่ทรงพลังมาก!”


 


“…”


 


เซนคังและอาจารย์ผู้สอนจากตระกูลใบเดินพูดคุยกันระหว่างทางไปสอนที่สำนักงาน


 


ยูเหลียงก็กำลังเดินไปสำนักระหว่างเดินไปเขาเห็นอาจารย์ทั้งสองเดินอยู่ข้างหน้า เขาคิดในใจว่าเขาควรจะแนะนำเกม Diablo ให้ทั้งสองคนรู้จักดีมั้ย โดยไม่ทันได้สังเกตว่าทั้งสองเองก็กำลังพูดถึง Diablo เช่นกัน


 


แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเกี่ยวกับ Andriel ยูเหลียงทำหน้าตกใจ พวกเขากำลังพูดเรื่องเดียวกับที่ฉันคิดหรือเปล่านะ!?


 


“ท่านอาจารย์ใบ! ท่านอาจารย์เซน! พวกท่านกำลังพูดเกี่ยวกับ Diablo อยู่หรือเปล่า?”


 


พวกเขากล้าเอ่ยถึง Diablo ในที่สาธารณะแบบนี้ได้ยังไง!?


 


“อาจารย์ยู! ท่านรู้จัก Diablo ด้วยหรอ?” เซนคังทำหน้าตกใจ เขาพบแฟนคลับอีกคนหนึ่งของ Diablo ที่นี่! แม้สำนักหลิงหยวนจะห่างไกลจากถนนเทียนฟุ แต่ก็ยังพอมีคนที่เดินทางไปฟังเรื่องราวที่นั่น


 


“ท่านทั้งสองรู้จักหรอ?” ยูเหลียงทำหน้าสงสัย


 


“ใช่!”  พวกเขาทั้งสามเป็นอาจารย์ร่วมสำนักเดียวกัน ในตอนนี้เซนคังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้รู้ว่า ยูเหลียงเองก็เป็นแฟนคลับ Diablo ด้วยอีกคน เขาหัวเราะ “นอกจากฉันแล้ว อาจารย์ใบและคนอื่นๆ เองก็เป็นแฟนคลับของ Diablo เช่นกัน”


 


“จริงหรอ!!!” ยูเหลียงคิดว่าเขารู้จักอยู่คนเดียว เขารู้สึกดีมากที่ได้แบ่งปันความสนใจ เขาไม่ต้องเป็นกังวลที่จะขาดเพื่อนร่วมทีมแล้ว


 


เขาประหลาดใจ “ข้ารู้สึกประหลาดใจที่ท่านทุกคน ..”


 


เขาเหลือบมองไปรอบๆ โดยคิดว่ามันอาจไม่ปลอดภัยเท่าไรจะเราจะแสดงท่าทางตื่นเต้นกับเกมในที่กลางแจ้งแบบนี้ แต่เพราะความตื่นเต้นจึงหยุดไม่อยู่


 


“ท่านคิดว่าคลาสไหนมีพลังมาก” เขาถามทันที


 


“พาบลาดินยอดเยี่ยมมาก พาลาดินมีพลังป้องกันและทักษะที่แข็งแกร่งแถมพวกเขายังสามารถใช้คาถาทางวิญญาณได้อีก”


 


“จอมเวทย์​ก็เช่นกัน พวกเขามีคาถาทางวิญญาณที่ยอดเยี่ยมสามารถรับมือได้กับทุกสกิล พวกเขาจะใช้ไฟจากนรกเพื่อสังหารกลุ่มสัตว์ประหลาด!”


 


“พวกท่านไม่คิดว่าแอสซาซินทรงพลังหรอ?” ยูเหลียงเอ่ยถาม “พวกเขาเองก็สามารถสร้างความเสียหายได้ไม่น้อย”


 


“ท่านกำลังหมายถึงคนที่ใช้พลังโจมตีเพียงคนเดียวน่ะหรอ? ฉันว่าการเล่นเขาตัวละครนี้ดูเฉยชาเดินไป ท่านชอบแอสซาซินหรอ?”


 


จู่ๆ ในระหว่างทางพวกเขาก็เริ่มเข้าสู่บทสนทนาอันร้อนแรง การสนทนาครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่แปลกใหม่และตื่นเต้นสำหรับพวกเขามาก


 


พวกเขาพูดคุยกันจนเพลินโดยไม่ได้เอะใจ อย่างไรก็ตามยูเหลียงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่มันไม่ถูกต้อง


 


เช่นทำไมทั้งสองรู้จักชื่อตัวละครมากกว่าเขา หรือเป็นเพราะเขาเพิ่งเริ่มเล่นเกมนี้ได้ไม่นาน!?


 


“ไม่มีทาง Blood Raven ดรอปไอเทมง่ายหรอ?” เซนคังรู้สึกมีบางอย่างเริ่มผิดปกติ


 


“พวกท่านได้มาเมื่อไร?” ยูเหลียงมองหน้าพวกเขาที่เริ่มมีท่าทีแปลกๆ


 


“มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเราบ้าง? เราจะเลือกพวกเขายังไง?” พวกเขาสองคนเริ่มทำหน้างง “ท่านมีภาคไหน?”


 


“ภาคไหน?” ยูเหลียงขมวดคิ้ว ที่คาเฟ่มีแค่ Act I, II และ III เขากำลังสงสัยว่าทั้งสองหมายถึงอะไรกันแน่


 


“ไม่ได้หมายถีง Act I หรอกหรอ?”


 


“ใช่สิ” เซนคังพยักหน้า “ท่านแน่ใจนะว่าท่านไม่ได้ไปฟังเวอร์ชั่นละเมิดลิขสิทธิ์จากร้านอื่น”


 


“เวอร์ชั่นละเมิดลิขสิทธิ์?” ยูเหลียงหัวเราะ “ข้าไม่เคยฟังจากที่ไหนเลย ข้าเล่นด้วยตัวเองจะได้ยินเวอร์ชั่นละเมิดลิขสิทธิ์ได้อย่างไร”


 


“เล่นหรอ?” สองคนหันมองหน้ากัน


 


“ใช่! ร้านต้นกำเนิดอินเตอร์เน็ตคาเฟ่!” ยูเหลียงพูดโดยไม่ทันคิด “พวกท่าน ..”


 


เมื่อหันไปสังเกตเห็นดวงตาของพวกเขาเปลี่ยนไป ยูเหลียงมองหน้าพวกเขาและพูดด้วยน้ำเสียงประหม่า “อย่าบอกนะว่าพวกท่านไม่ได้เล่น Diablo ที่ร้านต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ตน่ะ!?”


 



 


นำโดยคณะอาจารย์ นาหลันหมิงสื่อ ซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ ในตอนนี้ได้เดินทางมาถึงจิงฉีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่นี่คือเมืองที่เจริณรุ่งเรืองที่สุดในดาจิน


 


กลุ่มสำนักซียี่จากด้านภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้เดินทางมาถึงก่อนกลุ่มสำนักหลิงยวนไม่นอน และในฐานะที่สำนักเซนจิงซึ่งเป็นเจ้าบ้านในครั้งนี้ พวกเขาได้จัดเตรียมงานเลี้ยงในโรงแรมเพื่อต้อนรับแขก


 



 


ขณะเดียวกัน ณ คาเฟ่อินเตอร์เน็ต


 


“เจ้าของร้านอยู่ไหน?” ตงชิงลี่ออกจากระบบและมองไปรอบๆ ร้านเพื่อตามหาเขา “เมื่อเช้ายังอยู่นี่”


 


“นี่บ่ายแล้ว” เจียงเสี่ยวหยูตอบ “เขาบอกว่าเขาจะออกไปเล่นข้างนอก”


 


“ออกไปเล่น!?” ตงชิงลี่ยืนนิ่งทำหน้ายุ่งสงสัยว่าอยู่ข้างนอกจะไปสนุกกว่าการเล่นเกมได้อย่างไร


 


การพูดคุยเกี่ยวกับ Diablo นั่นยิ่งเพิ่มอรรถรสมากๆ เธอรู้สึกเคืองที่พลาดโอกาศที่จะได้พูฦดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับพล็อตเรื่องของ Diablo


 


“เซียวหยู!” เยเสี่ยวเย้ที่เพิ่งจบเกมลุกขึ้นแล้วถาม “ทำไมเจ้าของไม่เห็นถ่ายทอดสดเลย นี่เขาออกไปเล่นไหน”


 


“ถ่ายทอดสด?” ตงชิงลี่มองเยเสี่ยวเย้ด้วยความไม่เข้าใจ “มันคืออะไรน่ะ?”


 


“มันเป็นเครื่องช่วยให้เราได้ดูเจ้าของร้านเล่นเกม นู้นจอยักษ์นุ้นน่ะ” เซียวหยูตอบพลางมองไปรอบๆ “จากสิ่งที่ฉันสังเกตดู เวลาเจ้าของร้านเล่นเกมนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนที่นี่ชอบที่สุด”


 


แม้ว่าใจจริงเขาไม่อยากจะยอมรับมันเท่าไร แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะน่าสนใจไปเท่ากับการดูฟางฉีเล่นเลย


 


“ประสบการณ์ที่ดีที่สุดคือการได้ดูเจ้าของร้านเล่นเกม แต่ถ้าหากเขาไม่อยู่ที่นี่ฉันก็เลือกที่จะดูศิษย์พี่นาหลันเล่นหรือไม่ก็ดูเพื่อนๆ พวกเขา แต่ถ้าหากทุกคนไม่ได้อยู่ในเวลาแบบนี้ ก็คงมีป้าของฉันคนเดียวเท่านั่นที่ฉันควรจะดู คนอื่นก็แค่มือใหม่ การเล่นของพวกเขาไม่ค่อยน่าดูเท่าไร”


 


“ทำไมการดูคนอื่นเล่นถึงสนุก” ตงชิงลี่และจางวันยูทำหน้างง


 


“ศิษย์พี่เซียวท่านกำลังพูดอะไร?” อันเชงที่เพิ่งปิดคอมของเขาเดินมาทางเซียวหยูด้วยท่าทางกวนๆ


 


“อืม..” เซียวหยูรู้สึกเขินอาย “เอ่อ .. ฉันลืมนึกถึงอีกคน ศิษย์น้องอันเจ้าเล่นได้ดีมาก!”


 


“…”


 


ในขณะเดียวกันพวกเขาหันหน้าไปหาหน้าจอยักษ์ที่เพิ่งเปิดขึ้น


 


“ฮะ!? เจ้าของร้านกลับมาแล้วหรอ?” เยเสี่ยวเย้ทำเสียงร่าเริง


 


“ไม่! ดูนั่นสิ เขาอยู่นอกเมือง” อันเชงชี้ไปที่หน้าจอ ในตอนนี้ฟางฉีอยู่ใกล้กับคูน้ำรอบๆ นอกเมือง


 


“นั่น นายกำลังจะทำอะไร?” เอ่อลืมไปว่าฟางฉีคงไม่ได้ยิน อันเชงจึงเลือกที่จะส่งข้อความไปหา


 


แน่นอนว่าฟางฉีต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่างในการออกนอกเมืองครั้งนี้ .. เขาได้รับภารกิจ


 


ถ่ายทอดสดกลางแจ้ง : ออกอากาศในขณะที่คุณกำลังบินด้วยดาบ


อุปกรณ์งาน : กล้องนาโนอัตโนมัติ


รางวัลภารกิจ : ไส้กรอกแฮม (สามารถซื้อได้หลังจากซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น)


คำอธิบาย : มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมกลางแจ้ง


(ผู้แปล : คนจีนส่วนมากชอบกินไส้กรอกแฮมเป็นของว่าง หรือนำมันมาใส่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป)


144

ปกติแล้วฟางฉีจะใช้เวลาทั้งวันเฝ้าร้านหรือไม่ก็เล่นเกม นี่ก็หลายชั่วโมงแล้วฟางฉียังไม่กลับมา ครั้งสุดท้ายที่ออกไปนานขนาดนี้ก็ตั้งแต่วันที่ออกไปดูธุรกิจนิยาย Diablo


 


ด้วยฝรมือของเจียงเสี่ยวหยูที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้เขาจำเป็นต้องออกไปกินข้าวนอกบ้านเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากไม่มีอะไรจำเป็นเขาก็จะไม่ออกไปไหน


 


ฟางฉีรู้สึกประหลาดใจทั้งๆ ที่เขาอยู่ข้างนอกโดยไม่มีคอมพิวเตอร์แต่เขาก็สามารถเห็นข้อความแสดงความเห็นผ่านหน้าอินเทอร์เฟชได้


 


บนหน้าจอยักษ์ที่ร้านในตอนนี้ ปรากฏการถ่ายทอดสดของฟางฉีขึ้น เขาหันไปมองที่หน้ากล้อง “วันนี้ฉันจะไม่เล่นเกม แต่ฉันจะถ่ายทอดสดตอนฉันอยู่ข้างนอกให้ดู”


 


บูเช่และโอหยางเชงหันไปมองที่หน้าจอ “ทำไมวันนี้เขาเล่นเกมให้เราดู อยู่ข้างนอกสนุกตรงไหน?”


 


“ใช่ ฉันต้องการดูเขาเล่นเกม แต่เขากลับออกไปข้างนอก!” เซียวหยูมองไปที่หน้าจอยักษ์ที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่ “ถ้าข้างนอกสนุก ฉันจะมาที่นี่ทุกวันทำไม”


 


“พวกท่านกำลังดูอะไรกันอยู่หรือ?” คนกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงขีดจำกัดของเวลาในวันนี้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อมาดูการถ่ายทอดสด


 


ซัวเต๋าชำเลืองมองที่หน้าจอยักษ์ “เจ้าเด็กคนนั้นไปทำอะไรที่นั่น?”


 


“ถ่ายทอดสดกลางแจ้ง?” หลายคนดูสับสัน พวกเขาสามารถออกไปข้างนอกได้ตลอดเวลา ทำไมฟางฉีต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้ดูด้วย


 


ในฐานะเจ้าของคาเฟ่ ฟางฉีรู้ว่าตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายทอดสด เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่เพิ่งเล่นเกมเสร็จและกำลังจะหาอะไรทำหรือเดินออกจากร้าน แต่ขณะนี้คนในร้านส่วนมากกำลังเฝ้าดูเขาอย่างใจจดใจจ่อ


 


“สถานที่นี้อยู่นอกประตูทางตะวันออกหรือเปล่า?” ด้านนอกประตูเมืองมีนักรบและผู้ฝึกฝนหลายคนที่เดินทางมาจากนอกเมือง หรือบางคนกำลังเดินางออกจากเมืองและจุดที่ฟางฉียืนอยู่คือจุดหนึ่งที่มีผู้คนไม่น้อย


 


ฟางฉีขยับเข้าไปใกล้ผู้คนก่อนที่เขาจะดึงดาบออกมา


 


“ทำไมเขาเอาดาบตกแต่งออกมา”


 


“เขาจะใช้สกิลดาบที่นั่นหรือ?” อันเชงคาดเดาขณะมองไปที่ผู้คน


 


อันหูเว้ยวิ่งไปหาพวกเขาทันทีที่ได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน “เขากำลังจะทำอะไรน่ะ!?”


 


ผู้คนในคาเฟ่ต่างฮือฮา ขณะเดียวกันางฉีก็ใช้พลังภายในเพื่อบังคับดาบให้ลอยขึ้น ตอนนี้มันกำลังลอยอยู่เหนืออากาศตรงหน้าเขา


 


ฟางฉียกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงบนดาบ มันค่อนข้างนิ่งและทรงตัวได้


 


ผู้คนที่กำลังรับชมเห็นแบบนั้นพวกเขากล่าเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่นะ เขากำลังจะออกตัว ..”


 


“หึ! ฉันว่าไปไม่กี่เมตรเดี๋ยวก็ล่วงละ” ซูเทียนจิพูดน้ำเสียงดูถูก


 


“หืม? พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” ตงชิงลี่ทำหน้าสับสน


 


“การเคลื่อนไหวนี้คือเทคนิคที่เรียกว่าเทคนิคการควบคุมดาบ” เซียวหยูอธิบาย “แต่จากความแข็งแกร่งในการบ่มเพาะของเขาปัจจุบันเขาน่าจะบินได้ในระยะทางประมาณ 50 เมตรในโลกแห่งความจริง”


 


เขาลูบคางและพูดต่อ “เพื่อแสดงความเคารพต่อเขา ฉันขอเอ่ยอวยพรว่าเขาสามารถไปได้อย่างน้อย 100 เมตร!”


 


ก่อนที่จะพูดจบประโชคฟางฉีเคลื่อนที่โดยใช้ดาบ ความเร็วของมันตอนนี้เร็วจริงกว่าจรวด


 


“ชิบ .. อะไรว่ะน่ะ!” เซียวหยูสบถด้วยความงี่เง่า


 


“เขาทำอย่างนั้นได้อย่างไง? เหมือนกับเราตอนที่อยู่ในเกมยังไงยังงั้น” ซูเทียนจิที่เคยกล่าวดูแคลนรู้สึกงงใจไม่แพ้กัน


 


เขาขโมยเทคนิคการควบคุมดาบจากหลี่เสี่ยวเหยามาหรอ!?


 


“อ๊ะ ..” เฟงวูและยูซินกรีดร้องอยู่ด้านหลังซูเทียนจิ “ทำไมเขาบินได้สูงขนาดนี้”


 


“ว้าว! ฉันอิจฉาเขาจัง” เยเสี่ยวเย้ส่งเสียด้วยความตื่นเต้น “ฉันอยากบินด้วย”


 


“นี่นาย! นายโกงหรอ” อันเชงจ้องมองด้วยความตะลึง แม้เขาจะสามารถบินด้วยเทคนิคการควบคุมดาบได้ แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นเลย หากเป็นผู้บ่มเพาะธรรมดาคงต้องใช้เวลาฝึกอย่างน้อยเป็นปีๆ ถึงจะเชี่ยวชาญเทคนนิคนี้


 


นี่ฉัน .. เรียนรู้มานานแค่ไหนแล้วนะ?


 


เทคนิคการควบคุมดาบในเกมนั้นทรงพลัง แต่มันทรงพลังแค่ในเกม เหมือนกันกับการดูโฆษณากว่าจะทำได้คงต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างหนัก ดังนั้นนี่จึงทำให้ผู้ชมต่างตกตะลึงเมื่อพวกเขาได้รู้ว่าในโลกแห่งความจริงก็สามารถทำได้เหมือนในเกมเช่นกัน


 


“เจ้าของร้านนั้นเยี่ยมมาก!” ทุกคนมองหน้าจอด้วยสายตาชื่นชม


 


[นายทำได้อย่างไร?]


 


[ผู้อาวุโสคนนั้นต้องแอบให้บทเรียนส่วนตัวกับนายแน่ๆ มันไม่ยุติธรรม!]


 


“ฉันสาบานได้เลยว่านักรบหรือผู้ปลูกฝังที่อยู่รอบๆ ระแวกนั้นต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน”


 


ผู้คนที่อยู่ระแวกนั้น ต่างตกตะลึง “ข้าไม่เคยเห็นใครที่สามารถบินได้แบบนี้มาก่อน”


 


[ท่านขอเราดูหน้าตาผู้คนแถวนั้นหน่อยสิ]


 


ความเห็นท่วมหน้าจอ!


 


ขณะเดียวกันตงชิงลี่และจางวันยูอ้าปากค้างมองหน้ากันด้วยความตกใจ


 


“เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร!?”


 


“ด้วยดาบสวรรค์เราสามารถเดินทางไปยังสวรรค์และโลกใต้ทะเล” มีคนกำลังตะโกนอยู่ในคาเฟ่


 


เนื่องด้วยผู้เล่นในเมืองจิวหัวถูกจำกัดไม่ให้มาที่คาเฟ่แห่งนี้ ลูกค้าส่วนมากจึงเป็นคนที่มาจากกลุ่มโอเชียนและคนจากวังหลิวหยุน


 


เทคนิคที่พวกเขาโปรดปรานอีกเทคนนิคก็คือเทคนิคการควบคุมดาบ ..


 


“เทคนิคการควบคุมดาบนั่นสุดยอดจริงๆ”


 


“เขาสามารถบินได้ด้วยเทคนิคนี้ในโลกแห่งความจริง มันเจ๋งไปเลย!”


 


“นั่น เจ้าเห็นนั้นมัยลมที่รุนแรงบนท้องฟ้ากำลังถูกแยกออกจากกันด้วยพลังดาบ ไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยจากพายุเลย!”


 


“อ่า นายพาฉันไปด้วยคน” ศิษย์หลายคนจากวังหลิวหยุนตะโกน


 


[ฉันอีกคน] อันเชงส่งข้อความ


 


[นาย! เราต้องการสัมผัสเทคนิคนี้อย่างใกล้ชิด พาเราไปบินด้วยคน]


 


คำขอพุ่งขึ้นหน้าจอเรื่อยๆ ทุกคนต่างตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น


 


[อ่า ฉันอยากให้เขาพาฉันไปด้วยคน] เยเสี่ยวเย้ส่งความเห็นขึ้นไปบนหน้าจอ


 


[ถ้าเขาจะรับใครสักคน คนนั้นคงเป็นฉัน!] เจียงเสี่ยวหยูแอบส่ง


 


ในขณะเดียวกันฟางฉีที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าก็หยิบหยกสื่อสารออกมาอ่านข้อความล่าสุด


 


[มันไม่เป็นไร หากที่ร้านแห่งนี้ไม่ต้อนรับฉัน แต่ฉันหวังว่านายจะพาฉันบินด้วยคน โปรดให้โอกาสฉันด้วย – เซียวหยู]


 


ใบหน้าของฟางฉีมุ่ย ชายคนนี้อยู่ในบัญชีดำของฉันยังกล้าติดต่อผ่านหยกสื่อสารฉันอีกหรอ


 


จากนั้นเขาหันไปพูดกับกล้องว่า “ฉันเสียใจจริงๆ ที่การถ่ายทอดสดในวันนี้พาใครมาด้วยไม่ได้ คราวหน้าอาจไม่แน่”


 


เมื่อได้ยินแบบนั้นในร้านเกิดความโกลาหลทันที!


 


“นายกำลังสนุกอยู่คนเดียว แต่ดันมาอวดให้เราดู!”


 


“นายไม่อายบ้างหรอ?”


 


“นายมันใจร้าย วันนี้ฉันจะประท้วง ฉันจะไม่เล่นเกม” อันเชงเล่นครบหกชั่วโมงแล้วแต่เขาส่งข้อความด้วยหน้ามุ่ยๆ


 


“หึ เทคนิคการควบคุมดาบนี้เป็นของฝ่ายใด? ทำไมฉันไม่เคยเห็นมัน มันดูทรงพลังมาก” มีเพียงผู้เล่นใหม่อย่างตงชิงลี่ที่ไม่อิน


 


“มันเป็นของกลุ่มเขาชูชาน” คนอื่นตอบ


 


“โอ้ ฟางฉีเป็นสาวกของกลุ่มชูชานหรอ?”


 


“พวกเราเป็น” เยเสี่ยวเย้โบกมือ และชูกำปั้นด้วยศรัธทาแรงกล้า


 


ข้างหลังเธอคือเยซงเต๋าพร้อมสาวกจากกลุ่มโอเชียน นี่ถ้าเยเสี่ยวเย้ไม่ใช่ลูกสาวเขาหัวหน้ากลุ่มป่านนี้เธอคงหัวแบะไปแล้ว


 


“พี่สาวคนสวย ท่านต้องการเล่นเซียนกระบี่พิชิตมารและเข้าร่วมกลุ่มชูชานกับพวกเรามั้ย?” เยเสี่ยวเย้ถาม


 


“เราสามารถเข้าร่วมกลุ่มชูชานหลังจากเล่นเกมได้หรือไม่?” ตงชิงลี่และจางวันยูมองพวกเขา


 


พวกเธอสองคนรู้สึกแปลกใจไม่เคยได้ยินกับข้อเสนอเช่นนี้มาก่อน!


145

ตามที่ได้ฟังคนอื่นอธิบาย ตงชิงลี่และจางวันยูได้เรียนรู้ว่ากลุ่มภูเขาชูชานเป็นกลุ่มบ่มเพาะโดยเฉพาะเทคนิคการควบคุมดาบเป็นเทคนิคพิเศษของกลุ่ม


 


“เราสามารถซื้อมันได้มั้ย?” จางวันยูถามขณะที่ตาของเธอมองหน้าจออย่าตั้งใจ เธอกล่าวด้วยความตื่นเต้น “มันสะดวกและรวดเร็วมาก! แม้แต่นักรบธรรมดาก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้!”


 


“พอเราซื้อมาแล้วเราก็จะเล่นพร้อมกันกับ Diablo ด้วยเลย” ตงชิงลี่มองไปที่หน้าจอถ่ายทอดสดด้วยความอิจฉาปนสงสัยเทคนิคนี้ชวนทึ้งจริงๆ


 


“แต่ ..” มีคนส่งข้อความทักถาม [นั่น! นายกำลังจะไปไหน]


 


“นั่นสิ ฉันกำลังจะไปไหน” ฟางฉีเองก็ยังไม่รู้ตัวเองว่าเขากำลังจะไปไหน


 


เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้ด้วยซ้ำนอกจากเมืองจิวหัว เมื่อเขาออกจากเมืองจิวหัวนี่จึงเป็นปัญหา เขาไม่สามารถบอกทิศทางได้เลย แม้แต่ตัวเขาเองยังหาจุดหมายปลายทางที่เจาะจงไม่ได้


 


[นี่นาย! นายสามารถเดินทางไปเมืองของฉันได้นะ] เยเสี่ยวเย้ตอบกลับทันที [ฉันแนะนำเมืองทะเลหมอก นายสามารถที่จะไปทานอาหารที่นั่นและเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันสวยงามของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่เมืองนั้น]


 


หลังจากที่เยเสี่ยวเย้ส่งความเห็นเสร็จ เธอยิ้มอย่างพอใจหลังจากที่ได้เชิญชวนเจ้าของร้านให้ไปเที่ยวเมืองของเธอ!


 


[ไปที่วังหลิวหยุนสิ!] เฟงหัวและยูซินส่งความคิดขึ้นไปเช่นกัน [วังหลิวหยุนของเรารายล้อมไปด้วยวิวเขาอันสวยงาม หากมองดีๆ ท่านอาจจะเห็นวิวอันยิ่งใหญ่ที่คล้ายกับเมืองทะเลหมอก นอกจากจากนี้เราหวังว่าท่านจะชอบดอกไม้ในวังเทียนจิของเรา!]


 


ซัวเต๋าลูบเคราด้วยความมั่นใจใน ความสวยของวังหลิวหยุนของเขานี่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ฮ่าๆ ..


 


[ฉันแนะนำเมืองทะเลหมอกอีกเสียง!] หยุนเหลียนส่งข้อความ [วิวบนเกาะที่ห่างไกลนั่นสวยงามคล้ายๆ กับที่วังหลิวหยุน แถมเมืองเรายังมีผลิตภัณฑ์พิเศษจากใต้ทะเลที่นำมาชงกับชา มีความหอมเป็นเอกลักษณ์]


 


เยซงเต่าพยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่อ่านข้อความบนหน้าจอ ตามที่ความเห็นบอก .. เมืองของฉันถือได้ว่าเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวมากๆ ฮ่าๆๆ


 


[หรือนายอาจอยากไปเที่ยวชมที่พำนักของถ้ำยินหลงของฉันก็ได้!] ผู้อาวุโสยินหลงเองก็ส่งข้อความอวดของดีที่บ้านตัวเอง


 


เมื่ออ่านดูความเห็นหลายความเห็นบนหน้าจอตงชิงลบี่เองก็กระตือรือร้นที่อยากจะเข้าร่วม “เราควรจะแนะนำจุดหมายปลายทางให้เขาดีมั้ย”


 


[นายสามารถเดินทางไปที่จิงฉี จิงฉีเป็นเมืองใหญ่และยังเป็นศูนย์กลางที่เรียกว่าแหล่งโชคลาภของเมืองดาจินอีกด้วย ผู้คนมากมายจากหลากหลายประเทศมักร่วมตัวกันอยู่ที่นั่น นอกจากนี้ยังมีท้องฟ้าจำลองซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของตึกสูงที่มีชื่อว่าตึกดวงดาว หากได้ดูท้องฟ้าจำลองมันจะให้ความรู้สึกราวกับว่าเรากำลังออกไปนอกโลก มันวิเศษสุดๆ ไปเลยละ!] หลังจากที่ได้เรียนรู้วิธีส่งข้อความเธอจึงพิมพ์คำแนะนำและส่งไปในทันที


 


[ในจิงฉีมีอาหารอร่อยๆ เกือบทุกอย่าง!] ตงิงลี่เมื่อส่งข้อความถึงของกินเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอยังไม่ได้กินฮาเก้นดาสแสนอร่อยเลย เธอจึงหันไปหาเจียงเสี่ยวหยูเพื่อซื้อฮาเก้นดาสและเพลิดเพลินกับมันอย่างเอร็ดอร่อย


 


[นายไปจิงฉีสิ] เจียงเสี่ยวหยูสนับสนุนอีกเสียง [ฉันอยากเห็นการถ่ายทอดสดในจิงฉี] เธอไม่กล้าไปที่จิงฉีด้วยตัวเอง เพราะที่นั่นล้วนมีแต่มนุษย์ที่แข็งแกร่งเกินไป แต่เธอก็ยังอยากที่จะเห็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในดาจินว่าเป็นอย่างไร


 


ฟางฉีอ่านคำแนะนำมากมายบนหน้าจอด้วยความสับสน “คำแนะนำมากมาย ฉันควรเลือกอันไหนดี?”


 


ขณะเดียวกันเฉินเฟิงและลูกชายของเขาที่เพิ่งหมดเวลาหมาดๆ ก็ลึกขึ้นจากเก้าอี้ “นี่พวกท่านมาร่วมกลุ่มทำอะไรกัน!?”


 


“เรากำลังชมการถ่ายทอดสดกลางแจ้งของเจ้าของร้านอยู่ พวกเรากำลังแนะนำสถานที่ที่อยากให้เขาไปเยี่ยมชม”


 


“ถ่ายทอดสด!?” เฉินเฟิงมองไปที่หน้าจอยักษ์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าของร้านอยู่ที่ไหน นั่นเขากำลังยืนอยู่บนดาบหรอ?”


 


เขามองเข้าไปที่หน้าจอเห็นก้อนเมฆมากมายลอยอยู่ข้างๆ ฟางฉี “นั่นเขาอยู่บนท้องฟ้าหรอ?”


 


“เทคนิคการควบคุมดาบ!”


 


เฉินเฟิงและคนอื่นๆ ที่เพิ่งเล่นเสร็จต่างมองด้วยความประหลาดใจ


 


“นายไปที่จิงฉีสิ!” หลี่เฮารันพูดขึ้นขณะกำลังพิมพ์ข้อความ [ฉันจะส่งข้อความไปหาท่าสนมู่ นายไปหาเขาสิ เขาต้องดีใจแน่ๆ ที่ได้เห็นนาย]


 


“นายมู่? เขาตคือใครกัน!?” ฟางฉีทำหน้างง


 


“ชายหนุ่มที่มีหนวด ชายหนุ่มที่เคยต้องการซื้อคอมพิวเตอร์ของนายเขาเคยเล่น Resident Evil ไง” เมื่อได้เห็นคำอธิบายของหลี่เฮารันจากหยกสื่อสาร ฟางฉีก็นึกออกทันที “เขามาจากจิงฉีหรอ? แปลกใจจังฉันไม่เห็นเขานานแล้ว”


 


“ตกลงเอาละ! วันนี้ฉันจะเดินทางไปจิงฉีเพื่อถ่ายทอดสด ฉันจะขี่ดาบไปเยี่ยมคนรู้จักเก่าๆ ให้พวกเขาได้รับรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่”


 


[ว้าว นายนี่สุดยอดจริงๆ] เจียงเสี่ยวหยูชื่นชมด้วยแววตาตื่นเต้น


 


“ใครพอจะบอกฉันทีได้มั้ยว่าจิงฉีอยู่ไหนทิศใด” ฟางฉีขมวดคิ้ว


 


[บินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ!]


 


ฟางฉีเหลือบมองไปที่ทิศทางตามที่มีคนบอก เขาควบคุมดาบให้หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดยทันที


 


ในทิศทางที่เขากำลังเดินทางไปเต็มไปด้วยเมฆรอบตัว เมือมองลงไปข้างล่างพบว่าเต็มไปด้วยภูเขาและแม่น้ำ ทุกอย่างที่เห็นสวยราวกับว่ามันถูกวาดขึ้น เมืองจิวหัวนั่นช่างงดงามเหลือเกิน!


 


“ฉันหวังว่าสักวันฉันจะได้บินแบบนี้บ้าง” เยเสี่ยวเย้รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็น


 


“เด็กคนนี้เริ่มเชี่ยวชาญในเทคนิคการควบคุมดาบแล้วเรอะ?” นาหลันฮงวูและคนอื่นๆ มอง “เขานี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


“นั่นนายเห็นข้างหน้ามั้ย นั่นคือเมืองเหวยหนาน เขาบินไวมาก!”


 


“เขาถึงเมืองเหวยหนานแล้วหรอ? โหไวสุดๆ”


 


ตวงชิวลี่และจางวันยูเองที่อยู่ตรงนั้นเมื่อได้ยินแบบนั้นเธอทั้งสองคนรู้สึกตะลึง “ทำไมเขาถึงบินได้ไวขนาดนี้”


 


“ความเร็วในการบินของเขาเกือบเท่ากับเรือทางจิตวิญญาณในความเร็วที่สูงสุดเลยละ”


 


ซูเทียนจิเองก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ถ้าฉันไปถึงในระดับเดียวกับเด็กคนนี้ ฉันคงไม่นั่งเรือทางจิตวิญญาณอีกต่อไป”


 


ซัวเต๋าตะโกนชื่นชม ขณะกินฮาเก้นดาส “สุดยอดมาก!”


 


อันหูเว้ยที่กำลังอร่อยกับฮาเก้นดาสก็กำลังรับชมการถ่ายทอดสด “ในอนาคตข้างหน้าฉันคงไม่ต้องซื้อเรือทางจิตวิญญาณอีกต่อไป เนื่องจากดาบสามารถทำแทนได้แถมยังสะดวกกว่ามาก!”


 


เซียวหยูทำหน้าอิจฉาตาร้อน “เทคนิคการควบคุมดาบนั่นเยี่ยมจริงๆ ฉันอยากเรียนรู้บ้างจัง ..”


 


“ฉันต้องการเรียนรู้ด้วย ..” เจียงเสี่ยวหยูทำหน้าเศร้า “มนุษย์มีคาถาทางจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ฉันอยากเรียนรู้แบบพวกเขาบ้าง ..”


 


“…”


 


“นาย ระวังตัวด้วย อาจมีนกปีศาจแถวขอบๆ ของมฑเจียงหนาน!”


 


“บินคนเดียว .. นายต้องระวังสัตว์ร้าย!”


 


“มันอยู่ไหน?”


 


“มันน่าจะอยู่ข้างหลังเจ้าของร้าน ..”


 


“ฉันไม่เห็น ด้านหลังเขาเลย”


 


“จุดดำนั่น ..”


 


“ท่านแน่ใจนะ ว่าท่านเห็นมัน”


 


“ดูนั่น เขากำลังผ่านเมืองอื่นไปเร็วมาก!”


 


ทุกคนต่างตกใจ


 



 


ณ สำนักหลิงหยวน


 


“ท่านกำลังจะบอกเราว่า หากเล่นเกมมันไม่เพียงแต่จะพาเราเข้าสู่เกมในฐานะตัวละครหลักเพียงอย่างเดียว แต่การเล่นเกมยังเพิ่มทักษะความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายอีกด้วยนะหรอ” เซนคังทวนถามหลังจากพูดคุยเกี่ยวกับ Diablo มาสักพัก เขาพบว่าเพื่อนของเขาไมาได้ฟังนวนิยาย แต่ได้สัมผัสเกมจริงๆ


 


เขาเพิ่งรู้ว่ายูเหลียงได้เล่นเกมในคาเฟ่เล็กๆ แห่งนั่นที่ถูกสำนักกีดกัน สิ่งที่น่าประหลาดใจคือสิ่งที่เขาได้ยินจากปากของยูเหลียงด้วยตัวเอง


 


ยูเหลียงเป็นคนมีประสบการณ์ หลังจากฟังแล้วรู้สึกช็อคครั้งแรก เมื่อได้ฟังเหตุผลก็รู้สึกใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว “ไม่แปลกใจ! ทำไมเหล่าสกวกถึงยังคงเสี่ยงออกไปเช่นนี้”


 


เขาต้องลากสองคนนี้ให้ร่วมทีมให้ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าสองคนนี้จะไม่เอาไปพูดกับใครอื่น


 


“เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง” เซนตังรู้สึกเหมือนกำลังถูกล่อลวง แต่ในใจเขาก็สนใจตัวละครหลักอยู่ไม่น้อย


 


นอกจากจะได้ความบันเทิงแล้วยังได้ความแข็งแกร่งอีกด้วย!


 


ยูเหลียงยังคงล่อลวงพวกเขาต่อ “คิดดูสิ สำนักไม่เคยห้ามอาจารย์สักหน่อย นี่ละคือโอกาสอันสุดยอดของเรา นอกจากนี้ มันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผลข้างเคียงที่ได้รับมันน่าทึ้งจริงๆ”


 


“ข้าจะโกหกพวกท่านทำไม ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้ข้าจะไปจับสาวกที่นั่น ข้าก็ไม่ได้รับรางวัลอะไรจากสำนักอยู่ดี” ยูเหลียงเอ่ย


 


ทั้งสองคนมองหน้ากัน “หรือบางที .. เราอาจลองไปดูสักหน่อย”


146

“นั่นเขาผ่านเมืองเจียงหนานแล้วไปหรอ?” ผู้ชมกำลังเฝ้าดูหมู่เมฆที่ถอยกลับอย่างรวดเร็ว “เขามาถึงเขตเฮยื่อแล้วหรอ?”


 


“ใช่! เมืองเฮยื่ออยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเจียงหนาน” ซัตเต๋ากล่าว “บินขึ้นไปทางเหนือของเฮยื่อก็จะถึงจิงฉีพอดี”


 


“เร็วจัง!” เยเสี่ยวเย้พูดต่อ “เขาจะถึงแล้วหรอ?”


 


“เจ้ารู้อะไรมั้ย?” เยซงเต๋าพูดกับลูกสาว “เขาต้องบินผ่านหลายเมืองมากกว่าจะถึงที่นั่น ไม่งั้นมันคงถึงไวกว่านี้


 


“อ่อออ” เยเสี่ยวเย้พยักหน้ารับ “ก็ข้าไม่เคยไปนี่นา”


 


“ดูนั่น! เรือทางจิตวิญญาณอยู่ข้างหน้า!”


 


ขณะเดียวกันเรือทางจิตวิญญาณขนาดกลางความยาวประมาณ 30 เมตรกำลังบินผ่านหน้าของฟางฉี ตัวเรือทำจากไม้สักมีรูปหอกและงูสลักอยู่รอบๆ พร้อมปีกที่อยู่ด้านข้าง


 


“ท่านอาจารย์การเดินทางด้วยความเร็วคงที่แบบนี้อาจทำให้เราไปถึงที่หมายสายได้” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือมองคำนวนระยะทาง


 


“การแต่งตัวเสื้อผ้าแบบนี้ ..” คนในร้านเอ่ยขึ้น “พวกเขามาจากวัดเมฆดำจากเฮยื่อ”


 


“นั่น ผู้อาวุโสที่สวมเสื้อเทายืนคำนับนั่นคือผู้อาวุโสแห่งวัดเมฆดำใช่มั้ย? ฉันเหมือนคับคล้ายคับคลาว่าเขาเป็น .. ”


 


“จะสายได้ยังไง?” ผู้อาวุโสเสื้อเทาเอ่ย วันนี้เป็นวันที่เหล่าสำนักการศึกษาทั้งสามแห่งได้จัดให้มีการสอบระดับชาจิในจิงฉี ผู้ปลูกฝังบางคนได้รับเชิญให้เข้าร่วมชมการแข่งขัน แม้แต่กลุ่มพันธมิตรวู่เว่ยยังส่งคนไปสังเกตเหตุการณ์


 


ผู้อาวุโสเสื้อเท่าคนนั้นคือหนึ่งในผู้ปลูกฝังที่ได้รับคำเชิญ ..


 


“เรือทางจิตวิญญาณของฉันสร้างขึ้นจากสิ่งประดิษฐ์ที่หาได้ยาก แม้ทรัพยากรที่หาได้จะมีเพียงแค่ 30% แต่มันก็เพียงพอที่จะ …”


 


“ท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างกำลังติดตามเราอยู่” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่พูดขึ้นด้วยตวามตกใจพร้อมชี้นิ้วไปข้างหลัง


 


“มีอะไรบางอย่างกำลังติดตาม? เจ้าตาฝาดหรือเปล่า?” ผู้อาวุโสมองหน้าลูกศิษย์ด้วยสายตาไม่เชื่อนัก ก่อนจะหันหลังกลับไปมอง


 


ดวงตาของเขาเบิกโพลง!


 


เขาเห็นชายหนุ่มกำลังยืนอยู่บนดาบ!


 


“นั่นอะไร?” ในช่วงชีวิตที่ดำเนินมายาวนานผู้อาวุโสอาจเคยหัดบินด้วยวัตถุทางจิตวิญญาณ แต่เขาไม่เคยเห็นใครใช้ดาบและบินด้วยความเร็วสูงมาก่อน!


 


“ท่านอาจารย์ .. นี่ข้ากำลังเห็นผีหรือ บรื๋ออออ” ชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าสีเทาก็ดูตกใจไม่แพ้กัน “บินด้วยดาบหรอ?”


 


[ฮ่าๆ ผู้อาวุโสจากกลุ่มเมฆดำยังต้องทึ้ง นี่คือเทคนิคการควบคุมดาบ] มีคนส่งความเห็น


 


[ฉันพนันได้เลยว่าเขารู้สึกทึ้งจริงๆ]


 


“เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน! เทคนิคการควบคุมดาบที่ยิ่งใหญ่ของเรายอดเยี่ยมมาก!”


 


อันหูเว้ยเองที่กำลังตักฮาเก้นดาสเข้าปากก็ส่งความเห็นไปเช่นกัน [ใจเย็นนะผู้อาวุโส]


 


ตงชิงลี่เองก็รู้สึกอึ้ง “ดูใบหน้าของผู้อาวุโสกลุ่มเมฆดำสิ หน้าตาเขาเหมือนกำลังเห็นผี!”


 


คนบนเรือต่างมองไปที่ชายหนุ่มที่ใช้ดาบบินผ่านเรือด้วยความสับสน “ท่าอาจารย์ไหนท่านบอกว่าเรือของท่านสร้างจากวัตถุที่หายากและมีคุณภาพสูง ทำไมถึงช้าแบบนี้?”


 


หน้าของผู้อาวุโสหดหู่ “ฉันใช้กำลังเพียงแค่ส่วนหนึ่งเอง ฉันจะเพิ่มกำลังเข้าไปอีก!”


 


จากนั้นเขาจับมือประสานกันรวบรวมคาถาและพลังเพื่อเพิ่มความเร็วของเรือ ดูเหมือนว่าความเร็วจะเพิ่มขึ้น 50%


 


“ท่านอาจารย์ทำไมข้ายังรู้สึกว่าระยะมันคงห่างเรื่อยๆ อยู่ละ”


 


ผู้อาวุโสทำหน้าเย็นชา “เฮ้ รอก่อน!” เขาตะโกน


 


จากนั้นเขาร่ายคาถาทางจิตวิญญาณเพิ่ม!


 


แสงแห่งวิญญาณไหลรอบเรือทำให้ความเร็วในการเดินทางเพิ่มขึ้นอีก 50%


 


“ฉันละอยากจะรู้ว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนกัน!?” ผู้อาวุโสกล่าว


 


“ด้านหลังเจ้าของร้าน!” คนในร้านต่างมองไปที่หน้าจอ “ผู้อาวุโสกลุ่มเมฆดำกำลังไล่ตามเจ้าของร้านใช่มั้ย?”


 


“นั่น! นํ่น! ดูสิ ไฟแห่งวิญญาณรอบเรือ เขากำลังรวบรวมพลังทั้งหมดของเขา”


 


“ผู้อาวุโสคนนี้ไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้นี้!”


 


[ผู้อาวุโส : ฉันจะต้องจับแกให้ได้]


 


[เจ้าของร้าน : มาเลยถ้าทำได้]


 


ความเห็นพุ่งพล่านเต็มหน้าจอทั้งผู้ฝึกฝนและนักรบในร้านต่างหัวเราะด้วยความสนุก


 


“มองย้อนกลับไปสิ ผู้อาวุโสคนนั้นกำลังไล่ตามนาย!” เจี่ยงเสี่ยวหยูส่งข้อความถึงฟางฉีทันที


 


“หืม? ผู้อาวุโสกำลังไล่ตามฉันงั้นรึ?” ฟางฉีหันหน้ากลับไปเห็นเรือทางจิตวิญญาณกำลังไล่ตามเขาอยู่


 


“เขาจะทันมั้ย?” อันหูเว้ยถาม พลางดักฮาเก้นดาสเข้าปากตาม “ถ้าเขาจับทันฉันจะไม่ฝึกเทคนิคการควบคุมดาบแล้ว”


 


ในโลกแห่งนี้เรือทางจิตวิญญาณทำการบินด้วยพลังทางจิตวิญญาณของผู้ใช้ หากผู้ใช้มีพลังที่แข็งแกร่งก็สามารถเดินทางได้รวดเร็วและไวขึ้น


 


เทคนิคการควบคุมดาบมีสมบัติที่ยอดเยี่ยมคือความเร็วและนอกจากนี้มันยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว


 


ใบขณะเดียวกันเทคนิคการควบคุมดาบของฟางฉีเริ่มชะลอตัวอย่างกระทันหัน


 


“หือ? ทำไมจู่ๆ เจ้าของร้านบินช้าลง?”


 


“เด็กคนนั้นเริ่มหมดพลังด้านจิตวิญญาณแล้ว” ผู้อาวุโสกลุ่มเมฆดำกล่าว “เขาถึงขีดจำกัดแล้ว ศิษย์ข้าจงดูไว้ ข้าจะตามเขาไป”


 


ด้วยหลังของเรือจิตวิญญารที่แข็งแกร่ง เขาบินไปข้างหน้าและขนานกับฟางฉีอย่างรวดเร็ว


 


“ท่านผู้อาวุโส ฉันอยากขอคำแนะนำจากท่านหน่อย” ฟางฉีโบกมือเรียกเรือ


 


“ขอ?”


 


“ช่วยบอกข้าทีว่าทิศไหนไปจิงฉี? ข้าต้องใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหนกว่าจะถึงที่นั่น” ฟางฉีตะโกนถาม


 


เขาบินมาพักหนึ่งแล้วแต่ก็ยังคงไม่พบร่องรอยของจิงฉี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาบินด้วยดาบ เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจกลัวว่าจะจำทิศทางผิดไป


 


“ไปทางเหนือ! เจ้าอยู่ห่างจากมันเพียงไม่กี่ชั่วโมง”


 


“ขอขอบคุณ”


 


ผู้อาวุโสกลุ่มเมฆดำยิ้มเยาะ พลางคิดว่าเจ้าเด็กนี่มาจากที่ไหนกัน? เขาต้องหมดพลังทางจิตวิญญาณเป็นแน่ หากเขาขอขึ้นเรือ ฝันไปเถอะฉันไม่ช่วยหรอก!


 


ในขณะที่เขากำลังยืนคิด ..


 


“ข้าจะมุ่งหน้าไปทางเหนือ ..” ฟางฉีเอ่ยก่อนจะฮัมเพลงและบินจากไป


 


“นั่นเจ้าของร้านกำลังฮัมเพลงหรอ?”


 


“เพลงที่เขาฮัมเพลงอะไร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน!?”


 


“มั่นใจจริงๆ นะครับท่านเจ้าของ”


 


“ฉันรู้สึกชื่นชมเจ้าของร้าน!” เฉินเฟิงเอ่ยเบาๆ


 


“…”


 


“ท่านอาจารย์ ท่านจับเขาไม่ทันใช่มั้ย?” ชายหนุ่มเสื้อเทาเอ่ยถาม


 


ใบหน้าของผู้อาวุโสกลุ่มเมฆดำกลับมามืดทะมึนอีกครั้ง เกือบแล้ว เขาเกือบจะทันฟางฉีแล้ว!


 

 

 


ตอนที่ 147

 

“นี่กิจการทั้งหมดในเมืองจิวหัวไม่ได้กำลังคว่ำบาตรร้านนี้หรอกหรือ?”


 


“ทำไมถึงมีคนมาที่นี่มากมาย”


 


มองจากนอกร้านเห็นผู้คนมากมายกำลังมุงดูหน้าจออย่างตั้งใจ


 


“พวกท่านอยู่แต่ในสำนักตลอดจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ได้ไง” ยูเหลียงกล่าว “ที่นี่ไม่ขาดลูกค้าเลยและลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นถึงผู้ฝึกฝน”


 


ยูเหลียงเปิดประตูด้วยความมั่นใจกว่าครั้งก่อน “เสี่ยวหยูเปิดใช้งาน Diablo สำหรับเพื่อนฉันด้วย!”


 


“โอ้ ได้สิ!”


 


“นั่นพวกเขากลุ่มนั้นกำลังทำอะไรกัน?” ยูเหลียงและเพื่อนของเขาหันไปจ้องที่หน้าจอขนาดยักษ์ขณะกำลังจ่ายเงิน


 


“เจ้าของร้านกำลังทำการถ่ายทอดสดนอกร้าน”


 


“ถ่ายทอดสด?”


 


“พี่ยู! เรามาเพื่อเล่นเกมนั่นท่านทำอะไร?”


 


“โอ้ พวกเจ้าเล่นเกมกันก่อนเลย ฉันขอดูการถ่ายทอดสดนี่ชั่วครู่!” ยูเหลียงมองดูในหน้าจอดูเหมือนว่าเจ้าของร้านกำลังเดินทางไปจิงฉี


 


“เขาถึงจิงฉีแล้วหรอ?”


 


“ยังไม่ถึง มันดูเหมือนใกล้แต่จริงๆ แล้วมันอยู่ไกลมาก!”


 


ผู้ชมในคาเฟ่พูดคุยกันอย่างคึกคัก จิงฉีเป็นเมืองใหญ่ที่งดงามมีหอคอยดวงดาวเป็นเอกลักษณ์


 


“เทคนิคการควบคุมดาบนั่นยอดเยี่ยมมาก! ใครก็ตามที่ยังไม่ได้ลองเล่นต้องรีบลอง!”


 


“เทคนิคการควบคุมดาบใช่มั้ย?” ยูเหลียงที่ยืนอยู่ได้ยินเสียงผู้คนพูดพลางอ่านหน้าจอแสดงความเห็น


 


เวลาไล่เลี่ยกันมูฮงจูเองที่เพิ่งมาถึงร้าน เธอรู้สึกทึ่งที่เห็นภาพตรงหน้าการบินเหนือเมฆโดยดาบนั่นดูน่าตื่นเต้นกว่าการนั่งบนเรือทางจิตวิญญาณเสียอีก!


 


ในขณะเดียวกันบนหน้าจอปรากฏภาพนกอินทรีปีกเงินยักษ์ พร้อมนักรบระดับสูงสวมแจ็กเก็ตสีดำนั่งหลับตาไขว้ห้างอยู่บนนกยักษ์ ข้างๆ เขาเป็นเด็กหญิงชุดดำ “ลุงหยูบินเร็วมาก ฉันอยากจะมีเจ้าสัตว์ยักษ์แบบนี้ของตัวเองบ้าง” เด็กหญิงพูดเปรย


 


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นักรบระดับสูงแจ็กเก็ตดำหัวเราะ “ถ้าเจ้าอยากบินแบบข้าได้ เจ้าต้องฝึกฝนให้พลังภายในแข็งแกร่ง มิเช่นนั่นจะไม่สามารถควบคุมได้ เผลอๆ อาจถูกลมพัดปลิวไปเลยก็เป็นได้!”


 


“หืม? ฉันรู้สึกว่า ..” เขาลืมตาขึ้นมาพร้อมกับเห็นร่างนั่งยืนอยู่บนดาบผ่านหน้าไปพอดี


 


เสียงคนดูคึกคักอีกครั้ง “ฮ่าๆ นกอินทรีตัวนั่นต้องเป็นของนักรบระดับสูงแห่งดินแทนสักดินแทนเป็นแน่”


 


“นักรบคนนี้อาจอยู่ในระดับอาณาจักรของราชาแน่ๆ”


 


“เขาหรือเปล่า..” ยูเหลียงมองหน้าจอด้วยความจกใจ “ผู้อาวุโสเหลียง .. เหลียงเฮอฟู่ จากสำนักเชงจิ้ง!”


 


เหลียงเฮอฟู่รู้สึกสงสัย ใครกันที่สามารถบินได้โดยใช้ดาบแบบนี้


 


“ท่านลุง นั่น ..” เด็กสาวมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ


 


[ฮ่าๆ ท้องฟ้าไม่ใช่ของพวกท่านหรอกนะ!] ความเห็นบนหน้าจอพุ่งพล่านอีกครั้ง


 


[เจ้านอกน้อยคลอยบินสู่เวหา]


 


[ฮ่าๆ นักรบอีกคนกำลังตกตะลึง]


 


[นกน้อย : ใจเย็นๆ นะเจ้าหนู]


 


“…”


 


ยูเหลียงและมูฮงจูที่เพิ่งเข้ามาในร้านต่างยืนงงกับเทคนิคการควบคุมดาบ จริงๆ มันคือเทคนิคอะไรกันและมันบินเร็วได้ขนาดไหนนะ


 


มูฮงจูจำได้ว่าซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ ได้แสดงเทคนิคการควบคุมดาบของพวกเขาให้เห็นในคืนนั้น ..


 


นี่มันเทคนิคเดียวกันหรือเปล่า เธอสตั้นไปชั่วครู่


 


“ท่านลุง ใครกันบินได้รวดเร็วขนาดนี้!?” เด็กหญิงชุดดำยืนมองฟางฉีขี่ดาบผ่านหน้าไป


 


เหลียงเฮอฟู่เอ่ยขึ้น “ตามไป!”


 


นกยักษ์ส่ายปีกทันทีมันกำลังเร่งความเร็วเพื่อให้ทันฟางฉี


 


“เฮ้! เจ้าหนู!” เหลียงเฮอฟู่ตะโกน “เทคนิคการบินที่เจ้าใช้อยู่คืออะไร?”


 


“เอ้ะ!?” ฟางฉีชะลอเล็กน้อย “ลุงกำลังพูดกับข้าหรอ?”


 


“ลุงหรอ!?” ใบหน้าของเหลียงเฮอฟู่หดทันที “นี่เจ้ามาจากกลุ่มไหน ไม่รู้จักมารยาทเรอะ?”


 


“อาจารย์ของเจ้าคือใครกัน บางทีข้าอาจจะรู้จักเขาหรือเธอก็เป็นได้!?” เหลียงเฮอฟู่พูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง


 


“อาจารย์ ..” ฟางฉียืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หลี่เสี่ยวเหยา ดาบสุราอมตะ ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นอาจารย์ของฉัน”


 


เหลียงเฮอฟู่เกือบจะสำลัก “พวกเขาเป็นใคร ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”


 


ในคาเฟ่ตอนนี้ทุกคนกำลังส่งความเห็นกันอย่างเมามัน


 


[ฮ่าๆ เขากำลังตกใจ!]


 


[ชื่อที่เจ้าของร้านเอ่ยคงธรรมดาเกินไปต้องคนพิเศษๆ อย่างพวกเราที่จะรู้จัก ฮ่าๆ]


 


[เจ้าของร้าน! ท่านควรจะแนะนำเกมเซียนกระบี่พิชิตมารให้พวกเขาเล่น!]


 


[ลุงต้องการเล่นเกมเซียนกระบี่พิชิตมาร!]


 


นาหลันฮงวูที่ยืนดูส่ายหัว “เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ”


 


เด็กหญิงชุดดำดูสนใจ เธอเอ่ยถาม “เทคนิคการบินนี้ยากมั้ย?​”


 


“เจ้าต้องการเรียนรู้หรือไม่?”


 


“ข้าอยากลอง” หญิงสาวตะโกนออกไป


 


“ไร้สาระ!” เหลียงเฮอฟู่เหวียงมือของเขาลงบนหลังนกยักษ์ “มันคงจะเป็นเทคนิคที่ดีที่สุดของกลุ่มพวกเขา เขาจะสอนมันให้แก่เจ้าได้อย่างไรกัน!?”


 


ฟางฉีโบกมือ “ไปที่ร้านต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ตในเมืองจิวหัว แล้วเปิดใช้งานเกมเซียนกระบี่พิชิตมาร โดยใช้คริสตัล 20 เม็ด ฉันสัญญาว่าเจ้าจะสามารถทำได้”


 


“..!?” ทั้งสองทำหน้างง


 


[ฮ่าๆ ขายเก่ง]


 


[เจ้าของร้านนี่ไม่ธรรมดา โฆษนาเก่ง]


 


[หัวหมุนไปเลย มาที่เมืองจิวหัวสิ]


 


[ทำไมพวกเจ้าถึงอยากไปจิงฉี มาเที่ยวหาพวกเราที่จิวหัวดีกว่า]


 


[อย่าชวนคนมามาก เดี๋ยวเราไม่มีที่นั่ง!]


 


“โอ้ะ ท้องของฉัน!” จางวันยูลูบท้อง เธอหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกับตงชิงลี่ “มันตลกมาก”


 


“ฮ่าๆ เขาสัญญากับเธอว่าเธอจะสามารถทำได้” ซูเทียนจิหัวเราะ “เขาพูดออกไปได้ยังไง”


 


“โอ้ ฉันไม่เคยได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้ว ช่วยข้าด้วย” อันเชงหัวเราะ


 


“เขาโฆษณาร้านของเขา เจ้าของร้ายนี่ร้ายไม่เบา” อันหูเว้ยขำ “เจ้าเด็กนี่เก่งเรื่องนี้”


 


โอหยางเชงกล่าว “เหลียงเฮอฟู่เพิ่งส่งข้อความมาหาฉัน ‘มีอาจารย์ชื่อว่าดาบสุราอมตะอาศัยอยู่ในเมืองจิวหัวเป็นผู้สอนเทคนิคควบคุมดาบท่านรู้จักหรือไม่’ ฮ่าๆ”


 


“ฉันสามารถเรียนรู้มันได้เพียงจ่ายคริสตัลเพียง 20 เม็ดน่ะหรอ?” หญิงสาวถามย้ำ “นี่เจ้าให้ข้อมูลปลอมหรือเปล่า?”


 


จู่ๆ ใบหน้าของเหลียงเฮอฟู่ก็เย็นชา “ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง ..”


 


“เมื่อเจ้าเสร็จสิ้นการสอบระดาบชาติ ข้าจะพาเจ้าไปเมืองจิวหัว” เหลียงเฮอฟู่หันไปพูดกับเด็กหญิงตัวน้อย


 


“20 คริสตัล? สามารถเรียนรู้เทคนิคการควบคุมดาบ เพียงเพราะเล่นเกมเซียนกระบี่พิชิตมาร” ไม่ได้มีแค่ยูเหลียงที่คิดประหลาดใจ มูฮงจูที่ยืนอยู่ก็เช่นกัน


 


“เสี่ยวหยู เปิดใช้งานเซียนกระบี่พิชิตมารให้ฉันที!” ยูเหลียงตะโกน


 


“ถ้าอย่างนั่น CS ..”


 


เฉินเฟิงโบกมือของเขา “ไม่! ข้าจะเล่นทั้งสองเกม!”


 


ในตอนนี้ฟางฉีลงจากดาบแล้ว เขาได้เดินทางมาถึงประตูทางด้านทิศใต้ของเมืองจิงฉีเป็นที่เรียบร้อย ..

 

 

 


ตอนที่ 148

 

ณ ร้านยิ่งเทียน ในเมืองจิงฉี


 


ที่นี่เป็นร้านอาหารที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองจิงฉี มีการกล่าวขานต่อกันว่าเจ้าของร้านสืบสกุลมาจากราชวงศ์ ถึงแม้จะไม่มีใครสามารถยืนยันข่าวลือนี้ได้ แต่หลายคนก็ได้ทราบว่าเบื้องหลังของร้านนี้ไม่ธรรมดาเช่นกัน


 


หลังจากมาถึงจึงฉีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฟางฉีก็ได้ทำการปิดการถ่ายทอดสด


 


“นานแล้วที่เราไม่ได้พบกันนะ” มูตงไลชายหนุ่มหนวดยาวสถานะสูงเอ่ยทัก แม้แต่หลี่เฮารันเองยังต้องโค้งคับนับแก่เขา


 


ฟางฉียักไหล่ “ข้ามาแวะมาเที่ยวเล่น ไม่คิดว่าท่านอยู่ที่นี่”


 


“ข้าเป็นคนพื้นเมืองของจิงฉี” มูตงไลส่ายหัว “โชคไม่ดีเท่าไร ฉันดันมีธุระมากมายเลยไม่มีเวลาเดินทางไปเยี่ยมร้านเจ้าอีก แม้จะเป็นแค่เกมแต่ก็เป็นเกมที่สนุกสุดๆ ไปเลย” น้ำเสียงของมูตงไลเต็มไปด้วยความคิดถึง “ข้าได้ยินมาว่าร้านเจ้ามีเกมใหม่”


 


ในเวลาเดียวกัน ณ คาเฟ่อินเตอร์เน็ต


 


“พวกเขาบอกว่า Diablo ภาคอื่นอยู่ที่นี่” กลุ่มนักรบพูดคุยกันหน้าคาเฟ่


 


“พวกเขาบอกว่า .. เราสามารถเป็นตัวละครหลักในเกมได้อีกด้วย”


 


“เบาหน่อย.. เห็นเขาว่ากันว่าพันธมิตรภาคใต้กำลังคว่ำบาตรที่นี่” นักรบหลายคนมองหน้ากัน “เราต้องเข้าไปด้วยความระมัดระวัง หากเราถูกพบเราอาจทำให้ผู้คนหมู่มากขุ่นเคือง”


 


“ชู่! .. แพงไม่เบา” พวกเขาอ้าปากค้างหลังมองดูราคาบนกระดานดำ


 


“ขนาดหนังสือยังมีราคาหนึ่งคริสตัล ไม่แปลกที่เกมจะต้องแพงกว่าอย่างแน่นอน” นักรบอีกคนกล่าว “นี่คงสนุกมากแน่ๆ”


 


เมื่อก่อน Diablo ยังไม่ได้รับความนิยมบวกกับราคาที่แสนแพง จึงทำให้ไม่ได้รับความสนใจกับคนหมู่มากสักเท่าไร


 


“ลองดู มันอาจคุ้มค่ากับราคา” นักรบอีกคนกล่าว “นอกจากนี้เขาบอกกันว่า เกมนี้สนุกและตื่นเต้นยิ่งกว่าอ่านนิยาย!”


 


“ไปกันเถอะ!”


 


หลังจากเดินเปิดประตูเช้าไปในร้าน ก็สังเกตเห็นว่านักรบบางคนหรือผู้คนบางคนสวมหน้ากากเข้ามาในร้าน


 


“แบล็คกี้ เจ้าช่วยกระจายข่าวออกไปได้มั้ย”


 


“แน่นอน!” นักรบสวมผ้าสีดำกล่าว “ข้าไม่สามารถแตะต้องหรือต่อกรกับองค์ขนาดใหญ่แบบนั้นได้ แต่ด้วยคนมากมายที่ถามเกี่ยวกับ Diablo ข้าจะแนะนำพวกเขาให้มาที่นี่ ข้าเองก็ไม่เชื่อหรอกว่าพันธมิตรทางใต้จะทำอะไรพวกเราได้”


 


“แยกๆ รีบไปที่นั่นกันเถอะ” ชายร่างผอมผิวคล้ำพูด “มันนานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ไปเหยียบที่นั่น”


 


“เสี่ยวหยู เปิดใช้งานให้พวกเราที” แบล็คกี้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด “อ่า! กลิ่นที่ข้าคิดถึง”


 


“เร็วเข้ามาเล่นเร็ว ข้ารอมานานแล้ว!”


 


“อ๊ะ!?” แบล็คกี้หันไปเห็นคนกลุ่มใหญ่


 


“เจ้าของร้าน! เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาถึงปิดการถ่ายทอดสด?”


 


“ใช่ ข้ายังอยากดูต่อ!”


 


“ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ เขาถึงจิงฉีแล้วนี่ ทำไมเขาไม่ถ่ายทอดสดต่อ!?”


 


“นั่นน่ะสิ ฉันหวังว่าจะได้เห็นจิงฉีบ้าง ยังไม่เคยไปเที่ยวที่นั่นเลยสักครั้ง!”


 



 


ขณะเดียวกันในร้านยิ่งเทียน เมืองจิงฉี


 


“การสอบระดับชาติ?” ฟางฉีขมวดคิ้วพลางนึก จำได้ว่าซงฉิงเฟิง, นาหลันหมิงสื่อ และคนอื่นๆ เดินทางมาจิงฉีเพื่อทำการทดสอบ


 


“นี่เจ้ารู้หรือไม่?” มูตงไลพูดเบาๆ พร้อมหัวเราะ “นี่เป็นงานกาล่า ข่าวใหม่ล่าสุดในเมืองจิงฉี ทุกคนทั้งหมดล้วนรู้ข่าวนี้”


 


“ข้าได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว” ฟางฉียักไหล่ “แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก ท่านช่วยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังทีได้มั้ย”


 


“ผู้คนจากต่างสำนักทั้งสาม กำลังจะทำการทดสอบในระดับชาติ นี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิคิดขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่มีชื่อว่าการสอบระดับชาติ” มูตงไลกล่าวต่อ “ทั้งสามสำนักได้แก่ เฉิงจิ้ง, หลิงหยวนและซียี่ ทั้งสามสำนักเป็นสำนักที่เก่าแก่และทรงพลังที่สุดในประเทศ”


 



 


ตัดภาพมาที่นาหลันหมิงสื่อ, ซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสำนักเฉิงจิ้ง ที่นี่มีอุปกรณ์มากมายไว้สำหรับการฝึกซ้อมและทดสอบ


 


วันนี้พวกเขาได้รับการทดสอบคุณสมบัติพื้นฐาน สอบความแข็งแกร่งและความรวดเร็ว


 



 


“ข้าได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้ตอนที่ข้าเดินเข้ามาในร้านยิ่งเทียน” ฟางฉีกล่าวพร้อมยกแก้วเหล้าในมือ “ข้าได้ยินมาอีกว่าเจ้าชายองค์ที่ห้ามีพรสวรรค์มากที่สุด แม้เขาจะอยู่ในบ้านโลกของเฉิงจิ้ง เพราะอายุน้อยก็เถอะ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ในระดับสูง หลังจากการสอบครั้งนี้เขาเองมีแน้วโนมที่จะได้อยู่บ้านสวรรค์นี่”


 


หลังจากคิดพิจารณาชั่วครู่ “ที่สำนักหลิงหยวน ความแข็งแกร่งถูกเฉลี่ยและแบ่งกันตามลำดับบ้านใช่มั้ย งั้นระดับบ้านโลกของสำนักหลิงหยวนสามารถจัดว่าอยู่ในระดับนักรบระดับกลางได้มั้ย”


 


มูตงไลตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่ซินเจียงจากบ้านโลก จัดเป็นนักรบระดับกลางได้ แต่ถึงยังนั้นก็ยังคงห่างไกลจากนักรบแห่งบรรพบุรุษอยู่ดี”


 



 


“เป็นไปไม่ได้! หน้าด้าน มันกำลังโกง!” ฉินบิงกระแทกมือลงบนโต๊ะ “เจ้าชายองค์ที่ห้าทำสำเร็จในทันที? เขาอยู่ในระดับกลางและตอนนี้กำลังขึ้นไปในระดับบรรพบุรุษงั้นหรอ? งี้ก็ใกล้สวรรค์แล้วน่ะสิ!?”


 


“ท่านผู้อำนวยการฉินใจเย็นๆ ก่อน” ผู้คนบางคนพยายามปลอบใจเขา “แม้เชาจะได้รับการยอมรับในดำแหน่งนักรบแห่งดินแดนบรรพบุรุษแล้ว ไม่แน่กงฉีซินอาจสามารถเอาชนะเขาด้วยเทคนิคการต่อสู้ก็เป็นได้ ใจเย็นก่อนท่าน”


 


“แล้วเด็กบ้านสวรรค์ของพวกเราาละ? พวกเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาบ้างฮะ?” ฉินบิงถาม


 


สีหน้าเขาในตอนนี้เริ่มไม่สู้ดีนัก เด็กๆ บนเวทีต่างมีเทคนิคการต่อสฝู้ที่ไม่เหมือนใคร


 


นักรบแห่งสวรรค์!


 


“เราตรวจสอบเด็กๆ ในบ้านแล้วไม่พบอะไรผิดปกติ แต่เราเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาซ่อนจุดแข็งของพวกเขาที่ไม่แสดงให้เราเห็นไว้หรือเปล่า”


 


“ใช่ ไม่บ่อยนักที่สาวกของเราจะแสดงอะไรให้เราเห็นโดยแท้จริง” อาจารย์หลายท่านเอ่ย


 


การบ่มเพาะในตอนนี้เริ่มยากเย็นขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน เมื่อก่อนการฝึกฝนของสาวกแต่ละบ้านมีทั้งความสนุก พวกเขาส่วนมากฝึกฝนจนสามารถพาตัวเองไปอยู่ในสถานะที่สูงขึ้น


 


“ดูเหมือนว่าฉันต้องทำอะไรสักอย่าง” ฉินบิงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง


 


“ยังมีพรุ่งนี้ ..” ฉินบิงเอามือกุมขมับ “บอกสาวกของเราฝึกให้หนักขึ้น”

 

 

 


ตอนที่ 149

 

“หู้ว ..” ซงฉิงเฟิงจ้องมองผู้คนมากมายด้วยความตื่นเต้นปนหงุดหงิดเล็กน้อย “ในบรรดาบ้านทั้งสี่หลัง บ้านหวังของเรามีความแข็งแกร่งด้านการบ่มเพาะต่ำที่สุดใช่มั้ย?”


 


“บ้านหวังของเรามีความสามารถที่ไม่แพ้ใคร!” เพื่อนในกลุ่มเอ่ยขึ้น ในขณะที่เหล่าสาวกส่วนใหญ่กำลังฝึกซ้อมในสำนักเฉิงจิ้ง ตอนนี้ต่างเต็มไปด้วยฝูงชนที่ห้อมล้อมพวกเขา


 


“ดูอย่างนาหลันหมิงสื่อสิ เธอมาจากสำนักหลิงหยวนแถมยังเป็นถึงนับรบทางการอีกด้วย”


 


“หวังปูจิน จากสำนักเฉิงจิ้งและเหลียวหยุนจากสำนักฉียี่ ทั้งสองเองก็เป็นถึงนักรบทางการเช่นกัน”


 


เนื่องจากทั้งสามสำนักมีข้อกำหนดการแบ่งชั้นตามฝีมือและอายุ ซึ่งบ้านหวังส่วนใหญ่จัดเป็นศูนย์ร่วมของคนเก่งน้อยมาก มารวมกัน


 


แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาเพื่อฝึกฝนมามากแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาทดสอบจริงๆ พวกเขาก็ยังคงไม่หยุดซ้อม เพื่อที่จะเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการทดสอบตลอดเวลา


 


ซงฉิงเฟิงจ้องมองนาหลันหมิงสื่อและยกนิ้วให้เธอ “เธอนี่เป็นเก่งสุดๆ ไปเลย แม้จะยังไปไม่ถึงนักรบแห่งสวรรค์แต่ในไม่ช้าเธอจะต้องไปถึงอย่างแน่นอน”


 


นาหลันหมิงสื่อพูดด้วยเสียงโทนต่ำ “ฉันว่าคะแนนของฉันน่าจะเพียงพอแล้ว”


 


“นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ดี” ซงฉิงเฟิงตอบ


 


“ซงฉิงเฟิง เจ้าควรแสดงความแข็งแกร่งของนักรบในระดับที่หก พวกเราจะแสดงให้ระดับสี่หรือห้าเอง” หลินเซียวกล่าว


 


“เฮ้! เจ้าเด็กจากบ้านหวังนั่นน่ะ เจอกันอีกแล้ว” หลิวชีจีผู้เคยพบกับซงฉิงเฟิงและเพื่อนๆ เขามาพร้อมนักรบชุดดำ


 


“เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ?” นักรบชุดดำเอ่ยถามด้วยความเร่งรีบ “ไปเหอะ อย่าช้า”


 


“นั่นใช่หวังกุนจากบ้านซวนของสำนักหลิงหยวนหรือเปล่า?”


 


“นักรบอันดับหนึ่งจากบ้านซวนของสำนักหลิงหยวน”


 


“ใครกันที่เดินอยู่ข้างหลังเขา?”


 


สองคนนี้เดินทางมาที่นี่เพื่อทดสอบพลังภายในของพวกเขา หวังกุนเป็นนักรบระดับสูง ส่วนหลิวชีจีเป็นนักรบในระดับเจ็ด


 



 


เวลาเดียวๆ กัน ซูฉีซินเองก็ยังคงลังเลใจอยู่ “ชิงชิงเราควรจะเปิดเผยจุดแข็งของเราหรือไม่?”


 


“อ๊ะ ..” เฉินชิงชิงสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งในระดับหก ซึ่งของซูฉีซินเองอยู่ในระดับห้า เธอทั้งสองมาจากบ้านซวนของสำนัก


 


ขณะที่สาวกบ้านซวนคนอื่นๆ ต่างประสบความสำเร็จจนไปถึงนักรบขั้นสูงกันแล้ว แต่เด็กสาวสองคนนี้เพิ่งมีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด


 


“อย่าไปกลัว”


 


ซูฉีซินจ้องหวังกุนที่เพิ่งทดสอบเสร็จ “เราจะแสดงจุดแข็งแบบเขา”


 


“เอาล่ะ!”


 


ในไม่ช้าผลการทดสอบก็ออกมา “ซูฉีซินจากบ้านซวนได้คะแนนเยอะสุดของนักรบระดับกลาง ส่วนเฉินชิงชิงจากบ้านซวนได้คะแนนสูงสุดของนักรบระดับสูง!”


 


“หืม? พวกเขาซุ่มซ้อมจากไหนกัน!?”


 


สาวกหลายคนของสำนักเฉิงจิ้งและสำนักซียี่ต่างบ่นกันว่า “ซูฉีซิน .. ทำไมฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”


 


“ฉันเคยได้ยินเธอ แต่เธอเคยอยู่ในรายชื่ออันดับต้นๆ ของสำนักหลิงหยวน”


 


“เฉินชิงชิง! เธอคนนี้อยู่ในรายชื่อด้วยหรือไม่? ทำไมฉันเหมือนไม่เคยเห็นเธอมาก่อน”


 


“ฉันไม่เห็นรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเธอเลย เธอเขามาอยู่ในสำนักหลิงหยวนยังไงกัน?”


 


“เหมมือนมันมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง! พวกเขามาจากบ้านซวนจากสำนักหลิงหยวน แถมยังเก่งทั้งคู่ นี่พวกเขามาจากบ้านซวนจริงหรือเปล่า!?”


 


ขณะที่ทุกคนกำลังบ่นกัน ศิษย์อีกคนจากสำนักหลิงหยวนก็ได้เข้าทดสอบ “เกาซง! นักรบระดับห้า”


 


“???”


 


“ผู้ชายคนนี้อยู่ในสำนักนี่ด้วยหรอ?”


 


“ทำไมฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อน!?”


 


“เขามาจากไหน”


 


“เกา .. ฉันไม่คิดว่าจะมีครอบครัวใหญ่ๆ อย่างตระกูลเกามาก่อน ไม่เห็นเคยได้ยินเลย”


 


“เขาเป็น ..”


 


“เขามาจากครอบครัวธรรมดาหรอ!?”


 


ความคิดต่างๆ ถูกส่งต่อไปยังซีรีบรัมของทุกคน


 


“เกิดอะไรขึ้นในเฉิงจิ้งวันนี้? ที่นี่เสียงดังมาก” หญิงสาวชุดดำเดินผ่าฝูงชยเขามา หากฟางฉีปรากฏตัวขึ้น เขาคงจำเธอได้แน่ในฐานะเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่บนนกอินทรียักษ์


 


“ท่านพี่เซียว!”


 


“พี่อยู่ในระดับไหนใช่นักรบบรรพบุรุษหรือเปล่า”


 


“เซียวเลงยูจากบ้านซวน นักรบบรรพบุรุษระดับหนึ่ง!”


 


“เอ่อ .. นักรบบรรพบุรุษ ข้าว่าความสามารถแบบพี่สามารถอยู่โนบ้านโลกได้!”


 


สาวกจากสำนักเฉิงจิ้งต่างตื่นเต้นกับเสียงประกาศ


 



 


ณ ร้านยิ่งเทียน


 


ท่านมูกำลังหัวเราะ “ไม่ได้มีแค่เจ้าชายองค์ที่ห้าคนเดียวในงานที่ธรรมดา เซียวเลงยูหลานสาวของผู้นำก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”


 


“ดูยิ่งซงซวนจากชียี่เป็นตัวอย่าง เขาอายุยังไม่ถึงสามสิบ แต่สามารถเข้าไปถึงในระดับหกของนักรบบรรพบุรุษ ฉันกลัวว่าอีกไม่นานเขาจะสามารถบรรลุไปถึงชั้นสูง”


 


“ด้วยสกิลเทคนิคการเคลื่อนไหวของตระกูลยิ่งและเทคนิคมังกร เขาสามารถเอาชนะทุกคนในหมู่เพื่อนได้” มูตงไลพูดต่อด้วยความสงสัย “ฉันกำลังคิดว่าสำนักหลิงหยวนอาจมีจุดแข็งซ่อนอยู่ ฉันได้ยินมาว่าฉินบินมีแผน ฉันคิดว่ามันอาจเป็นเป้าหมายที่เข้าถึงยาก”


 


“เจ้าของร้าน ท่านอยากดูแผนการการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้มั้ย?” มูตงไลกล่าว “ข้าคิดว่าการสอบระดับชาติครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความสามารถ”


 


ฟางฉีพยักหน้า ขณะหยิบยกสื่อสารออกมา เขาพบข้อความมากมาย


 


[เจ้าของร้าน ทำไมท่านถึงทำแบบนี้ หยุดการถ่ายทอดสดทำไมข้าอยากดูต่อ – อันเชง]


 


[นี่เจ้าของ! ข้าอยากเห็นจิงฉี เปิดถ่ายทอดสดตอนนี้! – เจียงเสี่ยวหยู]


 


[ออกอากาศเถอะ ข้าไม่ได้มีเกมให้เล่นเหมือนคนอื่นๆ ได้โปรด – เซียวหยู]


 


สีหน้าของฟางฉีดูเซง นี่ฉันเป็นเจ้าของคาเฟ่อินเตอร์เน็ตนะ ไม่ใช่พิธีกรหรือทำสาระคดี ทำไมทุกคนแลมีความสุขในขณะที่ฉันเดินทาง ..


 


ฟางฉีเก็บหยกสื่อสารลงในกระเป๋า “ข้าขอไปเดินเล่นรอบๆ เมืองก่อน พรุ่งนี้ข้าไปดูการสอบได้มั้ย? เขาให้คนนอกเข้าไปหรือเปล่า?”


 


“ไม่แน่นอน” มูตงไลกล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไป”


 


ณ คาเฟ่อินเตอร์เน็ต


 


“เจ้าของร้านไม่สนใจข้อความฉัน!” เจียงเสี่ยวหยูทำหน้ามุ่ยกระทืบเท้า


 


“เจ้าเด็กนี้ไม่อ่านข้อความฉันเลย” อันหูเว้ยบ่น


 


“ฉันด้วย” ซูเทียนจิเองก็ส่งไปหลายข้อความ


 


“ส่งข้อความต่อไป! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเมินพวกเราได้!”


 


จู่ๆ หยกสื่อสารของเจียงเสี่ยวหยูก็สั่นขึ้น [พรุ่งนี้ฉันจะทำการถ่ายทอดสดฉันจะไปปดูการสอบระดับชาติ] ข้อความจากฟางฉีเด้งขึ้น


 


“การสอบระดับชาติ?” เจียงเสี่ยวหยูทำหน้าเหยียด “ไม่เห็นน่าสนุกเลย”


 


“เจ้าของร้านบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะไปดูการสอบระดับชาติพร้อมทำการถ่ายทอดสดไปด้วย”


 


มูฮงจูที่อยู่ที่นั่นตัวสั่นเมื่อได้ยินคำพูดจากเจียงเสี่ยวหยู พรุ่งนี้เขาจะถ่ายทอดสดการสอบระดับชาติ!


 


หรือบางทีฉันควรพาสาวกทั้งหมดมาที่นี่เพื่อดูการสอบวัดระดับในวันพรุ่งนี้ดีนะ ..

 

 

 


ตอนที่ 150

 

นวนิยาย Diablo ในตอนนี้เป็นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะในร้านอาหารหรือแม้แต่ถนนเทียนฟุเองผู้คนต่างพูดถึงกันอย่างไม่ขาดสาย


 


แม้แต่คนที่ไม่ใช่แฟนนิยายเองเมื่อได้ยินชื่อนี้ก็ต่างอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน จากการบอกเล่าปากต่อปาก


 


เรื่องเล่าของโลกที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงด้วยสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ของหนังสือที่บรรยายให้เห็นถึงภาพและเกิดการจินตนาการ


 


นักรบและผู้ฝึกฝนอิสระบางคนเดินทางรอบโลกเพื่อท่องเที่ยวและสำรวจสิ่งใหม่ เมื่อพบกับหนังสือเล่มนี้มันให้ความรู้สึกราวกับว่าได้ออกไปผจญภัยในโลกใหม่


 


“ร้านเล็กๆ นั่นยังมีหนังสือ Diablo อยู่หรือเปล่า”


 


“ชู่! นี่มันยังกับยาเสพติด มันทำให้ข้าหลงเข้าไปในโลกแห่งความสนุก”


 


“ไม่น่าแลปกใจที่พวกเขากระตือรือร้นที่จะคว่ำบาตรร้านเล็กๆ แห่งนี้พวกเขาคงอิจฉามากจริงๆ”


 


นอกจากเชนคังและเพื่อนๆ แล้วยังมีอาจารย์จากสำนักหลิงหยวนคนอื่นๆ อีกที่เป็นแฟนคลับ Diablo “เข้าไปข้างในกันเถอะ”


 


พวกเขาสวมหมวกไม้ไผ่เป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ใครจำหน้าได้ว่าพวกเขาคืออาจารย์จากสำนักหลิงหยวนสถานที่ที่เคยทำการห้ามและปราบปรามสาวกไม่ให้มายังคาเฟ่แห่งนี้


 


–  กลุ่มเอจากบ้านซวน สำนักหลิงหยวน  –


 


สาวกบางคนที่มาจากกลุ่มและบ้านซวนได้รับการลงโทษที่รุนแรง ทุกคนล้วนมีคุณสมบัติที่จะได้เข้าสอบระดับชาติ แต่ด้วยการกระทำผิดคนจึงทำให้พวกเขาเกือบครึ่งไม่ได้รับโอกาสที่ดี


 


ตัวอย่างเช่นจุดแข็งของซีฉี เขาอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับซงฉิงเฟิงอย่างมาก เขามีพลังมากอาจสามารถเอาชนะคนเกือบทั้งหมดของบ้านซวนเลยซะด้วยซ้ำ


 


“เจ้ายอมรับมันได้หรือเปล่า” มูฮงจูเอ่ยถามขณะกำลังทำการสอน “พวกเจ้าทุกคนมีความสามารถและกำลังกายที่แข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ สองวันก่อนฉันได้มีโอกาสเล่น Diablo ฉันเองเข้าใจดีว่าพวกเจ้ารู้สึกเช่นไร”


 


สาวกทั้งหมดนิ่งอึ้ง


 


อาจารย์ผู้สอน .. ท่านไปที่คาเฟ่หรอ!?


 


“พรุ่งนี้เจ้าของร้านจะทำการถ่ายทอดสดระดับชาติในเมืองจิงฉี พวกเจ้าต้องการดูมั้ย?” มูฮงจูเอ่ยถาม


 


ซีฉี, ซีเซียวหยุน และคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในสำนักด้วยความเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินคำถามนี้ พวกเขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากในเวลาเดียวกันมันก็น่ายินดีที่พวกเขาจะได้ดูเพื่อนๆ ร่วมสำนัก


 


“อ่า! ข้ารักท่านจัง ท่านอาจารย์มู!” ซีเซียวหยุนเป็นแรกที่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เธอเดินเข้าไปกอดมูฮงจู


 


“อ๊าก เจ้าของร้านถ่ายทอดสดการสอบระดับชาติ!?” ซีฉีเองยังไม่หายตื่นเต้น “เขาไปจิงฉีหรอ?”


 


มูฮงจูพยักหน้า


 


“อาจารย์มั่นใจได้เลย พวกข้าทุกคนจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ!”


 


“ถ้างั้น ..” ซีฉีเหลือบมองรอบๆ ห้อง “มีใครอยากไปมั้ย?”


 


“อยาก!”


 


“ข้าด้วย!”


 


“ข้าก็อยากไปด้วย!”


 


“ไม่มีอะไรที่จะขัดขว้างเราได้แล้ว เราจะไปกันทุกคนเลย ใครกลัวโดนจับได้ก็สวมหน้ากากเอาละกัน!”


 


“นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ไปเหยียบที่นั่น ฉันอึดอัดมาก!”


 


เมื่อได้ยินข่าวว่าจะมีการถ่ายทอดสดการสอบระดับชาติ สาวกหลายคนในสำนักได้วางแผนจะออกไปดูกัน


 



 


สำหรับสถานที่การทดสอบในการสอบระดับชาตินั่นเป็นสนามกีฬารูปวงรีขนาดใหญ่ ที่นั่งของฟางฉีอยู่ในทางทิศเหนือสุดของสนาม เขามองไปทางขวามือเห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดดำลายดอกไม้ เธอดูมีเกียรติและสง่างาม ด้านขวาของเธอเป็นชายหนุ่มรูปงามพร้อมกล้ามเนื้อเขาสวมเสื้อคลุมลายมังกรสีทองส่งผลให้ดูแล้วยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง


 


ทั้งสองฝั่งของสนามเป็นแขกที่ได้รับเชิญให้มาชมการสอบระดับชาติ พวกเขาทั้งหมดดูเป็นคนมีพละกำลังมากมาย ฟางฉีมองไปรอบๆ สะดุดเข้ากับผู้อาวุโสกลุ่มเมฆดำที่อยู่ถัดไปจากเขาไม่ไกลนัก


 


มูตงไลเองนั่งอยู่ข้างซ้ายของฟางฉี พื้นที่แห่งนี้ถูกสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับวีไอพีที่ได้รับเชิญเท่านั้น และห่างไปจากบริเวณวีไอพีนั่นที่นั่งตรงกลางของผู้จัดงานคือชายชราคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำ เขานั่งพักพลางหลับตาพริ้ม


 


จากท่านั่งลักษณะท่าทางแล้ว แม้ว่าจะอยู่ไกลแต่ด้วยสัญชาตญาณของเขาบอกได้เลยว่าชายชราคนนี้มีพลังมากจริงๆ


 


การนั่งตรงกลางในที่แบบนั่น ใครดูก็รู้ว่าเขาเป็นใคร


 


ฟางฉีที่นั่งอยู่เฉยๆ รู้สึกเริ่มเบื่อ เขาจึงเริ่มทำการถ่ายทอดสดในทันที


 


ณ คาเฟ่อินเตอร์เน็ต


 


“เจ้าของร้านจกำลังถ่ายทอดสด!?”


 


“นั่นที่ไหน?”


 


“การสอบระดับชาติเริ่มขึ้นแล้วหรอ?”


 


เสียงผู้คนเริ่มตะโกนดังขึ้นเมือหน้าจอแสดงการถ่ายทอดสดขึ้น


 


[เจ้าของร้าน! มองไปทางขวาสิ] อันเชงเอ่ยพลางส่งความเห็น


 


[ขวา!? เจ้าหมายถึงผู้หญิงสวยๆ ที่อยู่ข้างขวาของฉันน่ะหรอ? เขามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?] ฟางฉีตอบกลับความเห็นโดยการพิมพ์เช่นกัน มันจะดูแปลกๆ หากเขาเลือกที่จะพูดตอบ


 


“สาวสวย?” บูเช่นั่งนิ่ง ในมือก็กำลังพิมพ์ข้อความ [ที่นั่งตรงนั่นมีใครรู้จักกับท่านบางมั้ย?]


 


[เจ้าไปนั่งตรงนั่นได้อย่างไร ..]


 


[เธอคือเจ้าหญิง ..]


 


สมาชิกในร้านต่างส่งความเห็นกันจอแทบแตก


 


[เจ้าของร้านท่านแน่ใจนะว่าไม่ได้กำลังนั่งที่ของคนอื่นอยู่!?] โอหยางเฉินรู้สึกงอแง [คนที่สองที่นั่งด้านขวาของท่านคือเจ้าชายองค์ที่สอง]


 


ฟางฉี “…”


 


สาวสวยที่นั่งถัดจากฟางฉีคือเจ้าหญิงส่วนชายหนุ่มรูปหล่อทางขวามือของเจ้าหญิงคือเจ้าชายองค์ที่สองใช่มั้ย ฟางฉีหันมองเบาๆ พลางคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสมาชิกของราชวงศ์


 


“สมาชิกของราชวงศ์หลายคนรอบตัวเขา เขาควรจะเอ่ยทักอย่างเป็นทางการ” ด้านหลังผู้ชมอันหูเว้ยกระซิบกับหลี่เฮาสรัน “แล้วเขาจะทำตัวยังไงละนั่น”


 


“สมาชิกของหอดวงดาวและกลุ่มพันธมิตรวูเว้ยได้รับการยกเว้นการพูดจาอย่างเป็นทางการ” หลี่เฮารันเอ่ย


 


“หอดวงดาว ชิบ!” อันหูเว้ยดีดนิ้ว “งั้นคนที่นั่งจากเขาก็คือ ..”


 


“มีเพียงคนเดียวจากหอดวงดาว อันหูเว้ยเอ้ย”


 


“มู!?” อันหูเว้ยพูดขึ้นอย่างฉับพลัน


 


ในขณะเดียวกันเจ้าหญิงเองก็หันมาทางฟางฉีด้วยสายตาเย็นชา


 


ฟางฉีรู้สึกทำตัวไม่ถูกเขาเองก็ส่งข้อความเพื่อพูดคุยเช่นกัน [เธอคนนี้น่ะหรอ? เจ้าหญิงทำไมดูดุจัง]


 


[ดุ?]


 


[ท่าน! เดี๋ยวข้อความของท่านก็พาซวยหรอก!]


 


[เจ้าหญิงมีความสามารถด้านกลยุทธ์ ทางทหารและการปกครองระดับประเทศ เธอเป็นคนฉลาดมีความรอบรู้ในด้านศิลปะและการเพาะปลูก]


 


[เธอทั้งสง่าสามและสวยมาก] ศัพท์ทางการมันยาก พวกเขาเลยพิมพ์คำพูดธรรมดาที่ดูเรียบร้อย


 


“ฉันทำอะไรผิด!?” ฟางฉีอ่านความเห็นในหยกสื่อสารของเขา


 


ขณะเดียวกันอันหูเว้ยเองก็กำลังตักฮาเก้นดาสเข้าปากด้วยความอร่อย พลางหันมองคนอื่นที่กำลังอ่านความเห็นกันอย่างเมามัน


 


ฟางฉีรู้สึกหน้ากระตุกทำตัวไม่ถูก นี่ความคิดเห็นของฉันมันหยาบคายหรือมีอะไรแปลกไปงั้นหรอ ..


 


 

 

 


ตอนที่ 151

 

โดยที่ไม่รู้ตัวเลย เจ้าหญิงหันหน้ามาถาม “ท่านมู .. สุภาพบุรุษคนนี้คือ ..”


 


“นี่คือฟางฉี” ดูเผินๆ เหมือนว่ามูตงไลเองไม่ค่อยชอบเข้าร่วมกิจกรรมที่มีผู้คนมากมายนัก


 


“เขาเป็นเจ้าของร้านที่วิเศษที่สุด!” คนรอบๆ ตัวฟางฉีทำหน้างุนงง


 


ร้านค้า? จะวิเศษขนาดไหนกัน? เขาเป็นเพียงเจ้าของร้าน ..


 


หลังจากทักทายกันอย่างสุภาพ ผู้คนที่อยู่รอบๆ หันกลับไปมองที่สนามฝึกเช่นเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


[มีการต้อนรับเจ้าของร้านเล็กน้อย]


 


[ฮ่าๆ เจ้าของร้าน ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าเองจะได้เห็นสิ่งนี้]


 


[เจ้าของ! ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะแสดงเทคนิคการควบคุมดาบ!]


 


[ฉันเห็นด้วย! ท่านแสดงเทคนิคการควบคุมดาบและบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเลย แสดงให้พวกเขาได้เห็น ข้าละอยากจะเห็นจริงๆ ว่าพวกเขาจะทำหน้าแบบไหน]


 


หน้าของฟางฉีเปลี่ยนสี [นี่ข้ามาที่นี่เพื่อดูการสอบระดับชาติ ..]


 


เวลาเดียวกันคนเริ่มหลังไหลเข้ามาในคาเฟ่จำนวนมาก คนในร้านเกือบทั้งหมดต่างสวมหน้ากากเพื่อบดบังใบหน้า บางคนก็มองดูรอบๆ ด้วยความระมัดระวังและใช้น้ำเสียงพูดคุยอย่างแผ่วเบา พวกเขามาที่นี่พร้อมผู้สอน! ช่างเป็นสถานะการที่ไม่อาจจินตนาการได้


 


“การสอบระดับชาติเริ่มต้นขึ้นแล้ว!”


 


“เริ่มแล้ว!”


 


“ดูนั่น อาจารย์มู ข้าเห็นสาวกจากสำนักหลิงหยวนของเราบนหน้าจอ!” ซีเซียวหยุนกระซิบพร้อมชี้นิ้วไปที่หน้าจอ


 


“จริงหรอ? ไหนๆ” พวกเขาทั้งหมดหันมองไปทางเดียวกัน


 


กฏสำหรับการสอบระดับชาติครั้งนี้ค่อนข้างง่าย จากการทดสอบเมื่อวานนี้ สาวกทุกคนมีคะแนนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกคนสามารถท้าทายสาวกจากต่างสำนักได้ไม่เกินสามครั้ง แต่ละคนสามารถยอมรับการท้าทายได้ไม่เกินสามครั้งเช่นกัน ผู้ที่ต่อสู้ชนะจะได้รับคะแนนของอีกฝ่ายทั้งหมดคะแนนของผู้แพ้จะกลายเป็นศูนย์ทันที


 


แน่นอนว่ามีข้อจำกัดบางประการเกี่ยวกับความท้าทาย เราไม่สามารถท้าทายคนที่อ่อนแอกว่าได้ การจัดอันดับของบุคคลขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพวกเขา เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นธรรมและความยุติธรรมสำสำทุกคน


 


“เราจะทำยังไงกัน” อาจารย์เฉินจงจากกลุ่มเอบ้านซวนเรียกทุกคนมารวมตัวกัน


 


“นาหลันหมิงสื่อ เจ้ามีความเห็ฦนอย่างไร?” เฉินจงต้องการฟังความคิดเห็นจากสาวก


 


“เราต้องมีกลอุบาย” นาหลันหมิงสื่อทำหน้าครุ่นคิด “ท้าทายถึงสามครั้งและยอมรับคำท้าสามครั้ง หมายความว่าเราแต่ละคนมีโอกาสที่จะได้รับคะแนนจากผู้อื่น ดังนั้นเราจะต้องปกป้องคะแนนของเรา อย่่งไรก็ตามการที่เราได้คะแนนเยอะนั่นอาจเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น จากการต่อสู้ทั้งสามครั้งหากแพ้จะต้องเสียคะแนนทั้งหมดไปและไม่สามารถเอาคืนได้เลย”


 


“กลยุทธ์ที่ดีคือการป้องกันตัวก่อนแล้วจึงโจมตี” เฉินจงกล่าว


 


านาหลันหมิงสื่อพยักหน้า “หลังจากยอมรับความท้าทายถึงสามครั้งแล้ว จากนั่นเราออกไปท้าทายพวกเขาบ้างแต่จะต้องไม่มีใครได้รับคะแนนจากพวกเราแม้แต่แต้มเดียว!”


 


เฉินจงรู้สึกสตั้น เขาแปลกใจเด็กผู้หญิงคนนี้กล้าแกร่งซะเหลือเกิน “เราจะทำตามกลยุทธ์นี้” เขากล่าว


 


ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์นั่น เสียงประกาศก็ดังขึ้น “หลิวหยุนสาวกอันดับหนึ่งของบ้านซวนจากสำนักซียี่ได้ขอท้าทายนาหลันหมิงสื่อจากสำนักหลิงหยวน!”


 


“หลิวหยุนจากซียี่ งั้นหรอ”


 


เสียงอุทานของผู้ชมดังขึ้น “มีคนกล่าวว่าหลิวหยุนจากซียี่เป็นลูกสาวนายพลหลิว เขาเป็นผู้พิทักษ์ทางทิศเหนือ ได้ยินมาว่าหลิวหยุนใช้เวลาผจญภัยและล่าสัตว์ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 12!”


 


“เธออายุไม่าถึง 17 ปี แต่เดินทางมาถึงระดับสูงขนาดนี้ เธอไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


“เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นคนวัยเท่านี้มีความสามารถมากมาย”


 


ซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ นิ่ง ก่อนที่จะหัวเราะกลบเกลื่อน “ฮ่าๆ ฮ่าๆ พวกเจ้าประเมินนาหลันของเราต่ำเกินไปแล้ว”


 


“นั่นอาจเพราะจุดเริ่มต้นของฉันสูงไปหรือเปล่า” นาหลันหมิงสื่อตอบเสียงแผ่ว ก่อนที่จะเดินออกไปที่สนามรบ


 


“ขอตรวจเช็ค!” เพื่อความเป็นธรรมสาวกทุกคนที่เข้ามาในสนามรบจะถูกตรวจสอบ สิ่งประดิษฐ์และอาวุธทางจิตวิญญาณของพวกเขาจะต้องเกิดขึ้นจากพลังการฝึกฝนของตัวเองไม่ใช่จากแหล่งอื่น


 


“นาหลันหมิงสื่อมีดาบสั้นธรรมดา ไม่มีอะไรอื่น” ชายหญิงที่ทำการตรวจสอบมีท่าทีที่ประหลาดใจ นาหลันหมิงสื่อทิ้งทุกอย่างเหลือไว้เพียงดาบสั้น ซึ่งแขวนอยู่บนเข็มขัดของเธอก่อนจะเดินออกไป


 


“นาหลันหมิงสื่อกำลังจะต่อสู้ในนัดแรกหรอ!?” สาวกจากสำนักหลิงหยวนรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมองเหตุการณ์บนหน้าจอ


 


“จะสู้แล้วหรอ?” ซีฉีที่กำลังซื้อฮาเก้นดาสอยู่หันมาถามด้วยความตื่นเต้น


 


“ผู้หญิงคนนั้นที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินเขาเป็นใครกัน!?”


 


“เจ้าไม่ได้ยินรึ? เธอคือหลิวหยุนศิษย์อันดับหนังของบ้านซวนจากสำนักซียี่!”


 


[ฉันชื่นชมเธอนะนาหลันหมิงสื่อ] ซีฉีส่งความเห็น


 


“น้องหญิง” เจ้าชายองค์ที่สองผู้หล่อเหลาเอ่ยถาม “ระหว่างเด็กสาวจากตระกูลนาหลันและอีกคนจากตระกูลหลิวทางตอนเหนือ ทั้งสองมีความอัจฉริยะล้ำเลิศ เธอทั้งสองอยู่ในระดับสูงทั้งคู่เจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”


 


“หลิวหยุนเข้ามาศึกษาในสำนักซียี่ก่อนนาหลันหมิงสื่อหนึ่งปี ได้ยินมาว่าสำนักซียี่ฝึกสาวกโดยใช้กฏทางทหาร แต่ในทางกลับกันสำนักหลิงหยวนเองก็ใช้วิธีที่รุนแรงไม่แพ้กัน” เจ้าหญิงกล่าว


 


“น้องหญิง เจ้าคิดว่าหลิวจะชนะใช่มั้ย?”


 


เจ้าหญิงพยักหน้า


 


มูตงไลที่นั่งข้างๆ ฟางฉีก็ได้ถามคำถามเดียวกับเจ้าชายเช่นกัน “เจ้าของท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ”


 


“อืม..” ฟางฉีนั่งลูบจมูกและตอบด้วยความงุ่มงาม “ข้าคงต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้หญิงที่ชื่อหลิวหยุนเป็นเวลาสามวิ”


 


[เจ้าของร้านพูดถูกใจข้า] ความเห็นเด้งขึ้น


 


ตอนนี้ความเห็นที่แซวหรือถูกใจคำพูดของเจ้าของร้านเด้งขึ้นอย่างไม่หวาดไม่ไหว


 


“ข้าว่ามีบางคนกำลังเห็นต่าง” เจ้าชายองค์ที่สองกล่าว


 


เห็นได้ชัดว่าผู้คนรอบๆ ข้างเลือกที่จะเพิกเฉยกับความคิดของฟางฉี


 


มีเพียงมูตงไลคนเดียวที่เห็นด้วยกับคำตอบ “ดูเหมือนว่านาหลันหมิงสื่อจะมีแววชนะ”


 


“นี่ท่านมู ท่านเห็นด้วยกับคำตัดสินของฟางฉีหรอ?” เจ้าหญิงมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ น้ำเสียงของเธอไม่เห็นด้วยเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคนรอบตัวค่อนข้างมีความเห็นไปในทางเดียวกัน มีแต่ฟางฉีนี่ละที่เห็นต่าง


 


“เจ้าหนูน้อย เจ้าต้องรีบผิดชอบกับคำพูดของเจ้า” ชายแก่ในชุดดำมองหน้าฟางฉี


 


“ข้าดูเหมือนคนที่พูดไม่คิดถึงผลที่ตามมาหรือ?” ฟางฉีตอบกลับ


 


นาหลันหมิงสื่อที่เดินเข้าไปในสนามรบพร้อมหันไปมองเด็กสาวในชุดน้ำเงินที่มีท่าทางดุร้าย “นี่เจ้าไม่คิดจะอดทนอะไรเลยหรอ? ไม่คิดจะต่อสู้กับคนในระดับเท่าๆ กันบ้างหรือไง?”


 


“ฉันน่ะ ฆ่าอสูรมามากกว่าอาหารที่เธอกินเข้าไปอีกละมั้ง” หลิวหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางดึงดาบยาวออกมา “โจมตีฉันสิ ฉันจะได้รู้ว่าฉันต้องใช้พลังงานมากแค่ไหนในการเอาชนะเจ้า”


 


เห็นได้ชัดว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะจัดการกับเธอ


 


สาวกมองไปที่หน้าจอยักษ์ ทุกคนต่างร่วมกันส่งความเห็น


 


[ฉันรู้สึกไม่โอเคกับคำพูดของยัยคนนี้สักเท่าไร]


 


[พูดขนาดนี้ต้องจัดให้สักหน่อยแล้วแหละ]


 


[แหม! เก่งเหลือเกินแม่สาวน้อย]


 


นี่พวกเจ้ากำลังโมโหแทนใช่มั้ย ฟางฉีอ่านความเห็นและรู้สึกวิงเวียน เอาน่าปล่อยเธอไปเถอะ!


 


“พวกเขากำลังจะโจมตีใช่มั้ย?” สาวกในสำนักต่างร้องอุทาน


 


ในสายตาของพวกเขาหลิวหยุนกำลังเดินช้าๆ ไปยังจุดที่ห่างจากนาหลันหมิงสื่อในระยะสามเมตร เป็นระยะที่กำลังเหมาะสมสำหรับการโจมตี


 


แขนของหลิวหยุนที่งอลงเล็กน้อยและจับดาบด้วยสองมือวางไว้ตรงกลาง ขณะนี้จิตของเธอกำลังจดจ่ออยู่ที่ดาบ แผ่รัศมีอันเยือกเย็น!


 


เธอดูเหมือนคันธนูที่ถูกชักออกจนสุด ที่พร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ!


 


“เตรียมตัวดี” ผู้ปลูกฝังที่นั่งอยู่ข้างหลังฟางฉีเอ่ยชม “เธอยังเด็กอยู่เลย แต่การทดสอบรอบนี้น่าสนใจจริงๆ หวังว่าเธอจะไม่พลาด”


 


อีกด้านหนึ่งของกลุ่มเมฆดำ ผู้อาวุโสนั่งก้มหน้า “ดูเธอแล้วหันมาดูตัวเอง พวกเจ้าต้องฝึกฝนให้หนักขึ้นกว่าเดิม!”


 


เวลาเดียวกันที่หลายคนกำลังพูดคุย หลิวหยุนเองก้าวขาออกไปข้างหน้าแล้วสะบัดดาบของเธอออก กระบี่พุ่งโจมตีด้วยความเร็ว!


 


“นั่นมันคือ เทคนิคลมของสำนักซียี่!”


 


“เธอปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ ชายชราที่นั่งชมพยักหน้าเล็กน้อย “เธอใช้เทคนิคได้ดีทีเดียว”


 


แต่ก่อนที่จะพูดอะไรต่อ .. จู่ๆ กำปั้นสีชมพูก็พุ่งเข้าที่ท้องของหลิวหยุน


 


หลิวหยุน .. ล้มกระแทกพื้นทันที


 


ฟางฉีปิดตาของตัวเอง “หิ้วเธอไปที!”


 


เจ้าหญิงและเจ้าชาย .. พร้อมทุกคนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกสูญเสียคำพูด

 

 

 


ตอนที่ 152

 

“ฮ่าๆ ดูหน้าของคนนั้นสิที่นั่งถัดไปจากเจ้าของร้าน!”


 


“ตะลึง!”


 


[เจ้าหญิง ท่านคงไม่เชื่อสายตาตัวเองสินะ นี่คือทักษะการต่อสู้ระชะประชิด!]


 


หลังจากได้รับชัยชนะในรอบแรก ซีฉีและสาวกคนอื่นๆ ของกลุ่มเอรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก มูฮงจูก็เช่นกันเธอมีความสุขเมื่อได้เห็นฉากบนหน้าจอ


 


“เธอคงไม่ได้ใช้เทคนิคการต่อสู้ใช่มั้ย?” มูฮงจูถามด้วยความสับสน


 


“เป็นไปไม่ได้!” เจ้าชายสองมองไปที่สนามด้วยความประหลาดใจ “เธอไม่ได้ใช้เทคนิคการต่อสู้อะไรใช่มั้ย? ทำไมเธอสามารถทำลายเทคนิคลมได้ด้วยมือเปล่า?”


 


ชายชราที่นั่งถัดจากมูตงไลนั่งคิด “เด็กผู้คนนี้ดูเหมือนจะหลบหลีกการโจมตีของคู่ต่อสู้โดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัว พร้อมกับการตัดสินใจที่แม่นยำ”


 


“มันเป็นส่วนหนึ่งของทักษะการต่อสู้ที่เรียกว่าการต่อสู้ระยะประชดใช่มั้ย?” มูตงไลรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ถึงแม้เขาเองก็คาดหวังอยากให้นาหลันหมิงสื่อชนะในเกม อืม .. ชนะอย่างง่ายดายจริงๆ


 


“ทักษะการต่อสู้ระยะประชิดควรจะเป็นเช่นนี้แหละ” ฟางฉีอธิบายต่อ “ใช้กลลวงและความว่องไวในการฝึกฝนทักษะนี้”


 


ผู้คนรอบตัวเขาถามโดยพร้อมเพียง “ทักษะการต่อสู้ระยะประชิดคืออะไร? มันเป็นเทคนิคแบบไหนกัน”


 


พวกเขาทำหน้าสับสน


 


ในขณะเดียวกันสาวกส่วนใหญ่ของทั้งสามสำนักยังคงงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า “เป็นไปไม่ได้”


 


“การโจมตีเพียงครั้งเดียว?”


 


“ศิษย์น้องหวางปู่ เจ้าเห็นการโจมตีของเธอคนนั้นมั้ย?” ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีทองเอ่ยถาม คนที่นั่งถัดจากเขาคือหวางปู่จิน ศิษย์อันดับหนึ่งบ้านหวังของสำนักเฉิงจิ้ง


 


“อย่ากังวลไปพี่ชาย แม้ระดับของข้าจะไม่สามารถเอาชนะเธอได้ แต่ข้ามีพลังที่ซ่อนเร้น” หวางปู่จินยิ้มอย่างมั่นใจ


 


“ดี” ชายหนุ่มชุดทองพยักหน้า “จงอดทนและอนุญาติให้เธอได้รับคะแนนมากกว่านี้ จากนั่นค่อยท้าทายเธอ”


 


“เข้าใจแล้วพี่ชาย”


 


ในพื้นที่ส่วนตัวของสำนักหลิงหยวนที่ทางเจ้าบ้านจัดไว้ให้ ฉินบิงตะโกนขึ้น “เธอรักษาชื่อเสียงของเราไว้ได้”


 


ขณะเดียวกันสำนักซียี่และเฉิงจิ้งก็ได้เริ่มการแข่งขันนัดที่สอง


 


“ฉิินเจียงท้าทายศิษย์อันดับสองของบ้านโลกจากสำนักเฉิงจิ้ง เพราะนาหลันหมิงสื่อจบการแข่งขันเร็วเกินไป ผู้ชมยังไม่ทันได้เห็นเทคนิคการต่อสู้ของหลิงหยวนเลย เจ้าควรแสดงให้ทุกคนเห็น!”


 


“ได้” ฉินเจียงคำนับ “แล้วองค์ชายห้าละ?”


 


“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา” ฉินบิงหัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่มีใครท้าทายเขา ข้าจะส่งหนิงเฮาและซือหยวนไปท้าทายเขาเอง จากนั่นครั้งสุดท้ายเจ้าก็ค่อยไปท้าทายเขา”


 


ฉินเจียงพยักหน้า หลังจากการแข่งขันสองสามครั้งผ่านไป เขาเอ่ยท้าทายสาวกอันดับสองของบ้านโลกโดยไม่ลังเล เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เขาตั้งใจจะเอาชนะให้ได้


 


เขาชนะได้อย่างง่ายดาย


 


“ช่วงหลายปีผ่านมานี่ดูเหมือนหลิงหยวนเริ่มแข็งแกร่งขึ้นมาก ..” ชายชราคนหนึ่งที่นั่ง ณ ที่นั่งชมเอ่ยขึ้นพลางจับเครา


 


“นั่นเป็นเพราะนักเรีบนหัวกะทิของฉันยังไม่แสดงฝีมือออกมา!” ชายชราที่มีนามสกุลยูเอ่ยแทรก


 


จู่ๆ ประกาศก็ดังขึ้น “เซียวเลงยูศิษย์อันดับหนึ่งจากบ้านซวนของสำนักเฉิงจิ้งขอท้าทายวังกวนศิษย์หมายเลขหนึ่งจากบ้านซวนของสำนักหลิงหยวน”


 


“อะไร!?”


 


“เซียวเลงยู จากเฉิงจิ้ง!?” หญิงสาวคนที่ฟางฉีพบระหว่างเดินทางไปจิงฉีได้ท้าทายศิษย์หมายเลขหนึ่งบ้านซวนจากสำนักหลิงหยวน ซึ่งเป็นเสียงประกาศที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนอย่างมาก


 


“หืม? เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ข้าพบระหว่างทางใช่มั้ย?” ฟางฉีมองไปที่ผู้หญิงคนนี้ เขาจำได้ทันที “เด็กคนนี้ดูแข็งแกร่ง”


 


“เด็กคนไหน?” ผู้ชมรอบตัวฟางฉีทำหน้าเหมือนหัวร้าน “เธอเป็นถึงหลานของท่านผู้นำคุ้มครองประเทศ เธอเก่งเทคนิคการใช้หอกมาก”


 


“ข้าวังกวนจากหลิงหยวน ข้ารับคำท้าเจ้า”


 


“ข้ายอมรับว่าสำนักหลิงหยวนทำได้ดีมากในรอบก่อนๆ ที่ผ่านมา” เซียวเลงยูยกหอกสีเงินในมือขึ้น “แต่นี่คือสิ่งที่เจ้าจะได้รับทั้งหมดในวันนี้”


 


เธอโบกหอกไปมา การปรากฏตัวอันทรงพลังจากปลายหอกแสดงให้เห็นถึงแสงสว่างอันเยือกเย็น ส่งผลให้เศษฝุ่นรอบข้างฟุ้งขึ้น


 


หญิงสาวแทงหอกไปข้างหน้าด้วยแรงอันท้วมท้น!


 


“เทคนิคภูเขา” วังกวนด้วยความตระหนักว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาจึงกำดาบในมือและใช้เทคนิคการต่อสู้ที่ดีที่สุด


 


พลังทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรงสร้างเสียงดังขึ้น!


 


ตู้มมมมมมม!


 


ทั้งร่างหนึ่งลอยกระเด็นไปข้างหลัง


 


“แสงเย็นยะเยือกแบบนั้นปรากฏขึ้นราวกับร่างของมังกร?” ฟางฉีพึมพำ “เด็กหญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


[ทำไมเจ้าของร้านถึงเรียกเธอว่าเด็กหญิงคนนี้?] ผู้ชมต่างตั้งคำถาม


 


[เธอคนนี้ดูแข็งแกร่งจริงๆ]


 


“…”


 


“แข็งแกร่งมาก เธอใช้การโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็สามารถเอาชนะศิษย์หมายเลขหนึ่งของบ้านซวนจากสำนักหลิงหยวนอย่างง่ายดาย” คนดูรอบๆ สนามร้องออกมา


 


“ข้าจะสู้ในนัดต่อไป” ชายชุดทองเอ่ย


 


“นัดต่อไป! จี้หยางขอท้าฉินเจียงจากบ้านโลกของสำนักหลิงหยวน”


 


“อะไร!? หลังจากเซียวเลงยูที่เพิ่งท้าทายวังกวนไป ตอนนี้องค์ชายห้าก็เริ่มฮึกเหินขึ้นและต้องการที่จะท้าทายหนึ่งในคนที่ทรงพลังที่สุดในบ้านโลกของสำนักหลิงหยวนจนได้”


 


ฉินเจียงที่ยืนอยู่ด้านหลังฉินบิงกล่าว “ชัดเจนดี”


 


–  ห้านาทีต่อมา  –


 


จี้หยางยังคงอยู่ภายใต้การโจมตีของฉินเจียง ดูเหมือนจี้หยางจะไม่สะทกสะท้านต่อการโจมตีเลย ฉินเจียงเองดูเหมือนจะสิ้นหวัง


 


“จี้หยางและฉินเจียง .. ผู้ชนะคือ จี้หยาง!”


 



 


“ผู้ชนะคือยิ่งซงซวน”


 


“อะไรน่ะ?” เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่อาจคาดเดาได้เลย การต่อสู้กับสำนักหลิงหยวนผ่านไปง่ายดายหรือนี่จะเป็นแผนของสำนักหลิงหยวน?


 


ภายใต้การโจมตีที่ดุเดือดของคู่แข่ง สำนักหลิงหยวนนั่นพ่ายแพ้ให้แก่ทั้งสองสำนักอย่างง่ายดาย สถานการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้น ผู้ชมต่างพูดคุยกันไม่หยุด


 


“วิธีการฝึกฝนของหลิงหยวนนั่นเบาและดูโบราณเกินไป”


 


“ไม่แปลกที่พวกเขาจะพ่ายแพ้”


 


“ตอนนี้สาวกที่หนึ่งของพวกเขาแพ้แล้ว อ่อนแอจริงๆ”


 


บนที่นั่งวีไอพีชายชราดูมีสีหน้าที่สดใส


 


“รองผู้อำนวยการซู พวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่เข้ากันได้ดี” รองอาจารย์อีกสองเช่นกันพวกเขามีสีหน้าดูสบายใจกว่าตอนแรก


 


ในตอนนี้สาวกสามในสี่คนของหลิงหยวนได้พ่ายแพ้แล้ว แต่คนที่ยังคงอยู่นั่นคือนาหลัยหมิงสื่อ


 


จู่ๆ สถานการณ์ของหลิงหยวนก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน สีหน้าของฉินบิงในตอนนี้จากซีดเผือดกลับกลายเป็นมืดมนและดูหน้ากลัว!


 

 

 


ตอนที่ 153

 

ฉินบิงต้องการที่จะให้การสอบวัดระดับครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี สำนักหลิงหยวนของเขาต้องได้รับชัยชนะและมีชื่อเสียง แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้เหลาสาวกของเขาแพ้จนคะแนนเป็นศูนย์


 


พวกเขาจะทำยังไงต่อไปดี? สาวกของเขาจะพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่?


 


“เป็นไปไม่ได้ จี้หยางต้องปกปิดพลังของตัวเองไว้แน่และเซียวเลงยูเองก็น่าจะใช้กำลังไม่มาพอ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


“การแสดงเริ่มน่าเบื่อ” หญิงสาวที่นั่งถัดจากฟางฉีส่ายหัว “จากผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็น สำนักเฉิงจิ้งคงจะเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยซียี่ ในตอนนี้คงไม่มีใครจะเอาชนะจี้หยางและเซียวเลงยูได้แน่ ฉันว่าเดียวพวกเขาก็คงจะได้คะแนนจากสำนักหลิงหยวนอีกแน่”


 


“ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะจัดคู่ต่อสู้ระหว่างสำนักอย่างเหมาะสม” ชายชรานั่งถัดจากมูตงไลส่ายหัว “ไหงผลมันออกมาชัดเจนขนาดนี้”


 


ผู้ชมในคาเฟ่ได้ยินความเห็นผ่านทางการถ่ายทอดสดของฟางฉี


 


“แหม ท่านผู้อาวุโสรอก่อนสิ”


 


“ฮ่าๆ ไร้เดียงสาจริงๆ เล้ย”


 



 


“ท่านคิดว่าผลคะแนนถูกเกร็งไว้หรือไม่?” ฟางฉีเหลือบมองไปรอบๆ


 


“ท่านไมาคิดงั้นหรอ?” เจ้าหญิงขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


แม้ว่าฟางฉีจะทำนายผลได้ถูกต้องสำหรับการแข่งขัน แต่ตอนนี้สถานการณ์แสดงให้เห็นทั้งความแข็งแกร่งและอ่อนแอในภาพรวมของสำนักหลิงหยวน ถึงแม้นาหลันหมิงสื่อจะแข็งแกร่ง แต่สาวกของบ้านซวนอย่างนาหลันเพียงคนเดียว อาจไม่สามารถพลิกสถานะการณ์ได้ทั้งหมด


 


กลางที่นั่งวีไอพี จู่ๆ ชายชราจากตระกูลซูก็ยืนขึ้นด้วยความโกรธ “ข้ามีธุระเร่งด่วนที่ต้องจัดการ ข้าต้องจัดการเดี๋ยวนี้!”


 


“ใช่เย็นก่อนน้องซู!” ชายชราอีกคนปรามเขา “วันนี้ทั้งสามสำนักกำลังทำการสอบวัดระดับ มันไม่เหมาะที่เจ้าจะออกไปกลางคันแบบนี้”


 


“ที่สำคัญทั้งองค์ชายและองค์หญิงก็อยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า เจ้าต้องอยู่แสดงความเคารพต่อพวกท่านสิ”


 


“นั่งดูก่อน ใจเย็นๆ” ชายชราจากตระกูลซูทำหน้ามุ่ย


 


ในขณะเดียวกัน ณ  ที่พักของสำนักหลิงหยวน ซงฉิงเฟิงกระซิบ “บางทีเราควรจะทำอะไรสักอย่าง ขืนรอต่อไปรองอาจารย์ซูอาจจะทนไม่ไหวจนออกไปแน่”


 


“จากสิ่งที่ข้าเห็นถึงความแข็งแกร่งของทั้งสองสำนัก ฉันว่าฉันสามารถเอาชนะได้”


 


นาหลันหมิงสื่อพยักหน้า “งั้นเริ่มเลย”


 


เสียงประกาศดังขึ้น “ซงฉิงเฟิงศิษย์หมายเลขหกบ้านหวังจากสำนักหลิงหยวน ขอท้าทายหวางปู่จินศิษย์อันดับหนึ่งบ้านหวังจากสำนักเฉิงจิ้ง”


 


“อะไรนะ?” ทุกคนตาโตเมื่อได้ยินประกาศ


 


หลิงหยวนหมายเลขหกต้องการท้าทายหมายเลขหนึ่งของเฉิงจิ้ง?


 


“อะไรกัน? ศิษย์สำนักหลิงหยวนนี่ไม่ธรรมดา” นักรบตัวสูงสวมชุดสีม่วงเดินไปที่สนามรบ


 


หวางปู่จินรู้สึกงงงวย ทำไมเจ้าคนนี้ชั่งกล้าท้าทายเขา?


 


ซงฉิงเฟิงนั่นกระโดดข้ามขั้นมาตั้งห้าขั้น! นี่เจ้าคนนี้อยู่แค่เพียงระดับกลางของนักรบเท่านั้น นี่เขากำลังทำสิ่งนี้เพื่อเยาะเย้ยฉันหรือเปล่านะ หวางปู่จินคิดในหัวเขาไม่ค่อยพอใจนัก


 


“ข้าขอบคุณเจ้าล่วงหน้าที่มอบคะแนนของเจ้าให้แก่ข้า” หวางปู่จินยิ้มเยาะ “ซงฉิงเฟิงเจ้าพร้อมที่จะลดคะแนนหรือยัง”


 


เมื่อผู้ชมได้ยินคำข่มขู่ต่างหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆๆ”


 


“ข้าจะรับคะแนนเจ้าและเป็นอันดับหนึ่งของบ้านหวังเอง” หวางปู่จินพูดด้วยรวยยิ้ม “เจ้าไม่มีความเห็นหน่อยหรอ? ตั้งหมายเลขหกแน่ะ”


 


ฟางฉียักไหล่และพูดเปรย “จุดสุดยอดกำลังมา”


 


“กำลังมา?” เจ้าหญิงและองค์ชายได้ยินแบบนั้นพวกเขาหันมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ


 


“ซงฉิงเฟิง! เจ้าทำได้แน่นอน” ในคาเฟ่ ซีฉีและคนอื่นๆ กำหมัด


 


ตอนนี้เด็กกลุ่มเอบ้านหวังของสำนักหลิงหยวนยืนเฝ้าหน้าจอยักษ์กันอย่างตั้งใจ หึ! พวกเขารอเวลานี้มานานแล้ว!


 


“สู้!” มูฮงจูมองไปที่สาวกที่ยืนอยู่รอบๆ เธอรู้ว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งและเก่ง เพียงแต่พวกเขาไม่ได้รับโอกาสที่จะไปสอบก็เท่านั้น


 


การแบกความหวังครึ่งหนึ่งของชั้นเรียนได้อยู่ที่ตัวแทนผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อไปสอบรดับชาติแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังจะแสดงมันออกมา!


 


เธอกัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกได้ว่าเลือดซิบออกมา เธอใช้กำลังมากเกินไป ในฐานะผู้สอนเองฉันไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้มากกว่านี้เลย สิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้คือขอให้พวกเขาประสบความสำเร็จด้วยเถอะ


 


“เจ้าแน่ใจรึ” ซงฉิงเฟิงปลดดาบจากข้างหลังออกและวางมันบนพื้นข้างหน้าเขา


 


“นั่นเขากำลังทำอะไร?” ผู้คนรอบสนามมองด้วยความแปลกใจ


 


ซงฉิงเฟิงประกาศก้อง “หากเจ้าสามารถป้องกันการโจมตีจากดาบของข้าได้ ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้”


 


“อะไรนะ!?” ทุกคนอ้าปากค้าง


 


“นี่น้องซู ทำไมเด็กในสำนักของเจ้าถึงได้โอหังเช่นนี้” บนที่นั่งวีไอพีชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


 


“ข้าไม่เหมือนเจ้า” ซงฉิงเฟิงหันมอง “ข้าเดินทางมาที่นี่ด้วยความเชื่อ ข้าจะล้มเหลวไม่ได้!”


 


เขาขยับมือขวาและรวบรวมพลัง “ควบคุม!”


 


“ไร้สาระ!” ฉินบิงลุกขึ้นยืน แต่มันสายเกินไป


 


“เป็นไปไม่ได้”


 


“ดาบเนี่ยนะ? จะออกมาจากปลอกเองได้อย่างไร”


 


เวลาเดียวกันเจ้าหญิงที่นั่งอยู่ถัดจากเจ้าของร้านและคนอื่นๆ ในพื้นที่วีไอพี ต่างยืนขึ้นเพื่อมองดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น


 


“นี่คือ..” เซียวเลงยูยืนจับหอกยาวของเธอ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


 


“เทคนิค!”


 


“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังเล่นกลอะไร แต่เจ้าคงจะเอาชนะข้าได้แค่ในฝันนั่นละ!” หวางปู่จินทำหน้าเข้มพร้อมดวงตาอันดุเดือด


 


เขาดึงดาบออกมาแล้วพุ่งไปข้างหน้า “เทคนิคดวงจันทร์สามวงแหวน!”


 


พวกเขาทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณสิบเมตรดาบของพวกเขารวดเร็วมากทั้งคู่ ..


 


ซงฉิงเฟิงชี้นิ้วไปข้างหน้า ดาบของเขาพุ่งไปข้างหน้าเร็วจนมองเห็นเป็นแสงสีเงิน!


 


หวางปู่จินเองที่ใช้เทคนิคดวงจันทร์สามวงแหวนวิ่งพุ่งมาจนเหลือระยะห่างเพียงแค่หกเมตรเท่านั้น!


 


ฉึบบบบบบ!


 


แสงดาบส่องประกาย จู่ๆ หวางปู่จินก็หยุดกึก!


 


เลือดไหลหยดจากแขนของเขา ดาบจากมือล่วงหล่นบนพื้นทันที


 


ความเงียบครอบงำ ..


 


ไม่เพียงแต่สาวกจากสำนักเฉิงจิ้งเท่านั้นที่อึ้งศิษย์จากซียี่ก็เช่นกัน รวมไปถึงผู้ฝึกฝนนักรบและผู้ชมในโซนวีไอพีทุกคนต่างพูดไม่ออก!

 

 

 


ตอนที่ 154

 

ฟางฉีมองไปรอบๆ เห็นถึงท่าทีที่ดูงี่เง่าของผู้คน เขายักไหล่และพูดว่า “แปลกใจกันละสิ!”


 


[ฮ่าๆๆ แปลกใจสิ]


 


[ซงฉิงเฟิง ท่านสุดยอดมาก!]


 


สาวกของสำนักหลิงหยวนต่างเฮกันลั่นร้าน นอกจากนี้พวกเจายังส่งความเห็นกันอย่างต่อเนื่อง


 


“หน้าตาพวกเขาตลกดีเวลาทำหน้าประหลาดใจ ฮ่าๆ” อันหูเว้ยกล่าว


 


“เทคนิคควบคุมดาบของเจ้าเด็กคนนี้มันใช้ได้” นาหลันฮงวูเอ่ยชม


 


เจียงเสี่ยวหยูซึ้งน้ำตานอง “เขาทำได้”


 


เซียวหยูเองก็แอบมีน้ำตา “ท่าน! ข้าต้องการที่จะเรียนรู้ด้วย .. โปรดให้โอกาสข้าด้วย!”


 


ตงชิงลี่รู้สึกเบื่อ แต่เธอเองก็ประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นภาพบนหน้าจอ “ทำไมมีคนเชี่ยวชาญในเทคนิคนี้หลายคน?”


 


เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นฟางฉีใช้เทคนิคการควบคุมดาบ แต่กลับกันตงชิงลี่รู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นคนอื่นใช้เทคนิค


 


“เวลาที่พวกเขากำลังฝึกเทคนิคการควบคุมดาบ เราเองก็พยายามปราบปรามร้านนี้” จางวันยูพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังจะร้องไห้


 


การโจมตีอย่างแท้จริงแม้จะแค่เพียง ครั้งเดียว!


 


ก่อนที่หวางปู่จินจะสามารถป้องกันตัวเองและปลดปล่อยเทคนิคการต่อสู้ออกไป ไหล่ของเขาถูกแฉลบด้วยดาบของคู่ต่อสู้เสียดก่อน!


 


การโจมตีเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมดาบถึงบินเองได้? มีเทคนิคดาบที่น่าอัศจรรย์บนโลกใบนี้ด้วยหรือ? เขาเป็นผู้ฝึกฝนหรือนักรบกันนะ?


 


นี่เป็นคำถามในหัวของคนสว่ยใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น


 


“ท่านซู!” ชายชราจากตระกูลยูพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “นี่ท่านพยายามจะโกงเราหรือ?”


 


ซงฉิงเฟิงที่เดินออกจากสนามรบรู้สึกพล่าเบลอ รองอาจารย์สำนักซูที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ากล่าว “นี่เจ้าหนู ข้าขอมือหน่อย”


 


เพื่อให้แน่ใจอย่างถ่องแท้เขาจึงทำการตรวจสอบอีกครั้ง


 


จากนั้นเขาหัวเราะ “นี่ผู้อาวุโสยูและเจียง เด็กคนนี้มีกำลังภายในร่างราย เขาไม่มีแม้แต่ร่องรอยของพลังทางจิตวิญญาณ หากพวกท่านไม่เชื่อเชิญมาตรวจสอบด้วยตัวเอง!”


 


“มีเพียงนักรบฉี? ไม่มีพลังทางจิตวิญญาณ?” รองอาจารย์อีกสองคนทำหน้างง


 


“หากไม่มีปัญหาอะไร โปรดกลับมายังที่เดิมและให้การสอบดำเนินต่อในทันที” ท่าจักรพรรดิตีระฆัง


 


รองอาจารย์ยูและเจียงไม่พบปัญหาใดๆ นั่นจึงทำให้เขาต้องกลับไปนั่งยังที่เดิม


 


“ขอบคุณพวกท่านที่เตือนความจำ สถานะการณ์กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ” รองศาสตราจารย์ซูของสำนักหลิงหยวนหัวเราะ


 


พวกเขารู้สึกเหมือนหน้ากำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


จักรพรรดิที่นั่งอยู่มองดูด้วยความสงสัยว่าใครกันเป็นผู้สร้างเทคนิคนี้มันพิเศษจริงๆ


 


ซงฉิงเฟิงเพียงแค่ควบคุมดาบและส่งมันพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นั่นยังไม่ได้แสดงถึงพลังที่แท้จริงสักเท่าไร แต่เพียงเท่านี้ก็ยังทำให้หลายคนเกิดความประหลาดใจ


 


มันเป็นเทคนิคการต่อสู้ใหม่ของตระกูลซงหรือเปล่า? ข้าอยากจะถามเขาหลังจากการทดสอบจบ แม้ความอยากรู้ของจักรพรรดิจะมีมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถถามไถ่เขาได้เพราะทุกอย่างจำต้องดำเนินต่อไป


 


.. เขาจะต้องได้รับคำตอบหลังจากจบการสอบระดับชาติครั้งนี้!


 


ขณะเดียวกันเจ้าหญิงและองค์ชายสองพร้อมชายชราที่นั่งอยู่ถัดจากมูตงไลเริ่มเข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘จุดสุดยอดกำลังมา’ ที่ฟางฉีเคยเอ่ย


 


นี่มัน .. สุดยอดจริงๆ


 


ศิษย์มายเลขหกของบ้านซวงจากสำนักหลิงหยวนสามารถเอาชระศิษย์หมายเลขหนึ่งบ้านหวังของสำนักเฉิงจิ้งได้ด้วยเทคนิคดาบอันยอดเยี่ยใ


 


เขาถูกสงสัยว่าเป็นผู้ปลูกฝัง แต่เมื่อได้ทำการตรวจสอบแล้วก็ไม่ะบกับพลังทางจิตวิญญาณใดในร่างกายเขา


 


“ท่าน .. ฟาง?” องค์ชายสองรู้สึกสงสัยทำไมชายคนนี้ดูเหมือนรู้ล่วงหน้ามาก่อน เจ้าหญิงเองก็เหลือบมองเขาด้วยความสงสัย


 


ตอนนี้ทุกคนรอบๆ ต่างหันไปมองหน้าฟางฉีด้วยความไม่ไว้ใจ


 


ณ ที่พักของสำนักเฉิงจิ้ง


 


“เทคนิคการควบคุมดาบหรอ?” หอกในมือเซียวเลงยูสั่น


 


เธอจำได้ว่าชายหนุ่มที่ทิ้งพวกเขางงกลางทางได้พูดถึงเทคนิคการควบคุมได้ ตอนนี้เธอได้เห็นมันอีกครั้งในสนามรบ


 


“ใจเย็น อย่าเพิ่งตื่นตระหนก” ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองเดินเข้ามา “มันเป็นเพียงแค่ชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านหวัง คะแนนที่เหลือจะต้องเป็นของเราแน่นอน”


 


“เราเพียงแต่ต้องนำคะแนนจากบ้านอื่นๆ เพื่อสะสมคะแนนต่อไป”


 


“ศิษย์พี่จีพูดถูก!”


 



 


ณ ที่พักของกลุ่มบ้านหลิงหยวน


 


สาวกในสำนักจากที่เคยชื่นชอบฉินบิงตอนนี้พวกเขาเริ่มรู้สึกกลัว


 


ศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาเรียนในสำนักต่างถูก ตราหน้าว่าเป็นสาวกที่แย่เพียงเพราะแพ้การโจมตี


 


“ฉันยังมีโอกาสที่จะทำคะแนน” ฉินเจียงพูดด้วยเสียงเศร้า จี้หยางนั่นพลังเยอะมาก เขาเองไม่สามารถท้าทายผู้ร่วมเกมคนเดิมได้อีก ตังนั้นต่อจากนี้เขาจะเสียคะแนนอีกไม่ได้


 


“สำนักหลิงหยวนดูไม่ค่อนยดีเท่าไร” เจ้าหญิงส่ายหัว “สำนักซียี่และเฉิงจิ้งกำลังได้คะแนนอย่างต่อเนื่อง สำนักหลิงหยวนก็ตามมาติดๆ แต่ก็ต้องพยามมากกว่านี้”


 


“นั่นถือว่าปกติ” ฟางฉีกล่าว “บางทีคนที่มีคะแนนในมือมากอาจเป็นเพียงแค่คนที่รอโดนสังหาร”


 


“โดนสังหาร?” เจ้าหญิงแสยะยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน “เซียวเลงยูและจี้หยางเป็นถึงนักรบระดับสูง ใครจะไปสามารถฆ่าพวกเขาได้”


 


เมื่อเธอพูดจบ จู่ๆ เสียงประกาศก็ดังขึ้น


 


“นาหลันหมิงสื่อศิษย์หมายเลขหนึ่งจากบ้านหวังของสำนักหลิงหยวนได้ขอท้าทายเซียวเลงยูศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักเฉิงจิ้ง”


 


“อะไรกัน!?” ใบหน้าของเจ้าหญิงดูหดลง


 


ฟางฉีแตะหน้าผากของตัวเองเบาๆ และเอ่ยว่า “ข้าควรจะแสดงความเสียใจให้กับท่านทีตั้งหวังมากไปดีมั้ย”


 


“ฮ่าๆ ฮ่าๆ” ในขณะเดียวกันคาเฟ่ของฟางฉีเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ


 


“ฮ่าๆ เจ้าของร้ายจริงๆ”


 


“สุดยอดไปเลย!”


 


“เธอเป็นคนน่ากลัวอันดับสองรองจากเจ้าของร้าน” คนในคาเฟ่เอ่ยชื่นชมนาหลันหมิงสื่อ


 


“เราทุกคนต่างตั้งใจเชียร์นาหลันหมิงสื่อในครั้งนี้!” ฟางฉีเอ่ย


 


“!!??” เจ้าหญิงทำหน้างง


 


ทุกคนในสนามก็เช่นกัน “!!??”


 


พวกเขาตกตะลึงอย่างไม่คาดคิดอีกครั้ง!

 

 

 


ตอนที่ 155

 

จู่ๆ จากรอบสนามที่อึ้งทึ้งเงียบสงบก็ดังขึ้นด้วยความวุ่นวาย


 


“ท้าทายศิษย์เลขที่หนึ่งของบ้านหลังสูง?”


 


“ใครกันกล้าทำเช่นนั้น?”


 


“เธอบ้าไปแล้ว”


 


สนามปะลองตอนนี้เต็มไปด้วยความร้อนแรง


 


“นี่ท่านยู ข้ารู้สึกประหลาดใจกับสำนักของท่านมากที่มีลูกศิษย์ที่บ้านบิ่นขนาดนั้น” รองศาสตราจารย์ยูยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยขึ้น


 


“ท้าทายคนจากบ้านชั้นสูง?” เจ้าหญิงที่นั่งอยู่ถัดจากเจ้าของร้านหรี่ตามอง “ไม่แน่หลังจากที่ได้อันดับไปแล้วเธออาจะสูญเสียความเป็ฦนตัวเองก็ได้เป็นได้”


 


ในสนามปะลองคู่ต่อสู้ต่างเดินออกจากห้องตรวจสอบความเรียบร้อย นาหลันหมิงสื่อสวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมมีดสั้นห้อยจากเข็มขัดของเธอ


 


ฟางฉ๊นั่งเอนหลังด้วยความเกียจคร้าน “ถึงแม้จะดูไร้อารมณ์ แต่เธอมีการวางแผนและพรสวรรค์ที่เป็นเลิศ”


 


“เจ้าของร้าน ข้าคิดว่าคงไม่ใช่แค่พรสวรรค์อย่างเดียวหรอก” มูตงไลเอ่ยด้วยความสงสัย


 


“ข้าว่าเธอคงเป็ฦนเด็กที่ดีและมีความทะเยอทะยาน” ชายชราที่นั่งถัดจากมูตงไลส่ายหัว “ข้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนี้มาก่อน เธอเป็นหลานของตระกูลนาหลัน เป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับเด็กคนนี้ว่าเธอเป็นอัจฉริยะที่เก่งที่สุดในครอบครัวนั้น ซึ่งครอบครัวนี้มีความเป็นมาประมาณร้อยกว่าปีแล้ว ในอนาคตไม่แน่เธออาจได้เป็นใหญ่เป็นโต”


 


ฟางฉีนั่งเฉย “ท่านไม่คิดจะเชื่อใจข้าสักครั้งบ้างเลยหรอ?”


 


ชายชราจ้องหน้าเขา “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า แต่ข้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด”


 


เขาจ้องหน้าฟางฉีอย่างไม่เข้าใจเท่าไรนัก “แล้วข้าจะเชื่ออย่างนั้นได้อย่างไร?”


 


[ดูถูกต่อไปเถ้อะ ข้าจะดูว่าท่านจะพูดต่อไปได้อีกนานแค่ไหน]


 


[เจ้าของร้านพูดจริง เขานี่ไม่รู้เรื่องเลย]


 


สีหน้าของฟางฉีดูเรียบเฉย เมื่อเห็นข้อความจากคนในคาเฟ่


 


“ฮ่าๆ ข้าละชอบเรื่องแบบนี้จริงๆ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีข้าขอซื้อฮาเก้นดาสเพื่อเพิ่มอรรถรสสักหน่อย” นาหลันฮงวูรู้สึกสนุกกับเหตุการณ์บนหน้าจอและเขาเองก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้กินของอร่อยเลย “เสี่ยวหยูข้าขอฮาเก้นดาสสองข้าหนึ่งพี่อาวุโสฟู่หนึ่ง”


 


จากนั้นเขากลับไปนั่งเพลิดเพลินที่เก้าอี้ต่อ


 



 


“เซียวเลงยูจากเฉิงจิ้งเธอคือศิษย์หมายเลขหนึ่งเพิ่งเอาชนะศิษย์หมายเลขหนึ่งของสำนัก

ซียี่ไปใช่มั้ย?”


 


“ใช่ ผลงานของเธอทำออกมาด้วยดี ไม่มีฝ่ายใดสามารถเอาชนะได้เลย”


 


“มันเป็นความอัปยศที่คนงี่เง่าบางคนกล้าท้าทายเธอ!” ผู้ชมบางกลุ่มพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน


 


เซียวเลงยูที่อยู่ในชุดสีดำเดินถือหอกเงินไว้ในมือพร้อมทิ่มฝังคมลง ทั้งสองฝั่งสนามปรากฏหญิงชุดดำฝั่งหนึ่งพร้อมหญิงชุดขาวฝั่งตรงข้าม กำลังเผชิญหน้ากัน


 


ใบหน้าของเซียวเลงยูดูเย็นชาอย่างเห็นได้ชัดเมืท่อถูกฝ่ายตรงข้ามจ้องมอง “เมื่อเจ้ายืนยันที่จะเสียคะแนนให้แก่ข้า เขาก็จะเมตตาและยอมรับมัน”


 


นาหลันหมิงสื่อเปิดปากอันเรียวงามของเธอ “แล้วแต่เจ้าเลย”


 


“เจ้าหมายความอย่างไร? อะไรก็ตาม?” สีหน้าของเซียวเลงยูมืดมน


 


เธอชัดหอกกลับมาใกล้ตัวอีกครั้ง พร้อมรวบรวมกำลัง โดยส่งผลให้บรรยากาศรอบๆ ตัวเริ่มเปลี่ยนไป


 


“แม้ว่าเจ้าจะมีอันดับที่เท่าไร ฉันขอไม่แสดงความเห็นใจต่อเข้า!”


 


“นี่คือ ..”


 


หลายคนที่นั่งชมอ้าปากค้างโดยอัตโนมัติ “นั่นมันเทคนิคสายรุ้ง?”


 


“เทคนิคขั้นสูงของท่านผู้นำใช่มั้ย?”


 


“การปกป้องประเทศของท่านผู้นำในสมัยนั้น ท่านใช้เทคนิคนนี้ในการต่อสู้”


 


“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอได้เรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย”


 


“เธอจะโจมตีพุ่งไปทางหญิงสาวคนนั้นหรอ?” องค์ชายสองกระซิบ


 


.. เขาหันไปมองหน้าฟางฉีเอ่ยถามว่า “นี่ท่านฟางทำไมท่านไม่ตอบกลับละ”


 


ฟางฉีกระตุกยิ้ม “ท่านไม่เชื่อในคำพูดข้า ข้าจะเป็นต้องพูดอะไรอีก”


 


“ท่า .. ยังคงยึดติดกับคำตัดสินเดิมอยู่หรือไม่?” เจ้าหญิงหันมองด้วยใบหน้าดูแคลน


 


อย่างไรก็ตามคำดูถูกดูแคลนของเธอกลับกลายเป็นการสร้างความตกใจให้เธอภายหลัง


 


“เดี๋ยว! ดูนั่นสิ”


 


“การปรากฏตัวครั้งนี้ ..”


 


“นักรบระดับห้า ..”


 


“ระดับหก?”


 


“ระดับเจ็ด?”


 


“มันสูงขึ้นหรอ?”


 


“ระดับเก้า?”


 


ทุกคนลุกขึ้นฮือฮาพร้อมกัน โดยที่จ้องมองไปกลางสนามด้วยความตกใจ


 


นาหลันหมิงสื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย ตอนนี้อุณหภูมิรอบๆ เริ่มลดลงเรื่อยๆ จนพื้นกลายเป็นน้ำแข็ง


 


“ไม่จริง!”


 


นาหลันหมิงสื่อปลอดดาบออกมา สกิลดาบผ่าลงราวกับสายฟ้า


 


“เทคนิคการต่อสู้แบบนี้นำมาใช้ในระยะเท่านี้ได้อย่างไร? มันห่างตั้งสามสิบเมตร”


 


เซียวเลงยูห่างจากนาหลันราวๆ สามสิบเมตร จู่ๆ แสงสีเงินพุ่งเข้าหาเธอด้วยความรวดเร็ว!


 


“ระวัง!”


 


กระบี่ที่รวดเร็วและแข็งแกร่งได้ทำลายการป้องกันของนักรบที่อยู่รอบๆ เซียวเลงยู


 


ในระยะสามสิบเมตร เซียงเลงยูถูกดจมตีด้วยดาบก่อนที่ได้ใช้เทคนิคหอกของเธอ


 


ตู้ม!


 


เธอหันหอกไปทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้น พวกเขากำลังปะทะกัน! เซียวเลงยูถอยหลังไปครึ่งก้าวในขณะที่ดาบนั้นกำลังบินพุ่งไปทางเธอ


 


ริมฝีปากของฟางฉีโค้งขึ้น “หากท่านต้องการใช้เทคนิคการควบคุมดาบ พวกท่านสามารถให้นำมาใช้ได้ภายนอกร้านของฉัน”


 


เจ้าหญิงทำท่าตกใจ! องค์ชายสองและชายชราที่มีท่าทางนิ่งๆ ก็ตกใจไม่แพ้กัน


 


“นี่คือ ..”


 


“นี่เรียกว่าเทคนิคการควบคุมดาบหรือไม่?”


 


ทุกคนโฦน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อติดขอบสนาม พวกเขากลัวที่พลาดอะไรเด็ดๆ ไป เหมือนเดิมนาหลินหมิงสื่อพยายามที่จะเปลี่ยรนิ้วเพื่อให้ดาบพุ่งออกจากมุมกำแพง


 


“ทีฉันบ้าง” ผู้คนในตอนแรกเห็นเพียงแค่ความรวดเร็วของพลังสายรุ้ง แต่ตอนนี้พวกเขากำลังชื่นชมการประยุกต์ใช้กำลังของนาหลัยหมิงสื่อ!


 


นาหลันหมิงสื่อเป็นคนฉลาดมากในขณธเดียวกันซงฉิงเฟิงเองเป็นคนเก่งและมีความเชี่ยวชาญเป็นทุนเดิม เธอโบกมือเพื่อกระจายพลังส่งกระบี่อันเย็นออกไปเพื่อโจมตี


 


นาหลันยับมืออีกครั้งเพื่อบังคับดาบให้พุ่งเข้าหาเซียวหยู จากนั้นเธอพุ่งตัวตามไปโจมตีในระยะประชัด!


 


เซียวเลงยูถูกโจมตจีด้วยดาบและพลังภายในมัดของนักรบทำให้เธอเองรับมือไม่ไหว มันเหมือนเธอกำลังโดนรุมด้วยคนสามคน


 


เทคนิคการควบคุมดาบนั้นว่องไวทักทักษะและการฝึกฝน และแม้เซียวเลงยูจะมีความแข็งแกร่งมาก แต่เธอก็พบว่าเธอไม่มีโอกาศที่จะโจมตีต่อเลยหลังจากคาดการเคลื่อนไหวผิด


 


“การแสดงนี้ค่อนข้างดี” ฟางฉียิ้มมุมปาก


 


[การควบคุมนี้สุดยอด]


 


[ใกล้เป็นจริงอย่างเจ้าของร้านแล้ว]


 


[มันเกือบลใกล้เคียงกับเจ้าทจองแล้ว]


 


[เจ้าของท่านช่วยขยายหน้าพวกเขาหน่อยได้มั้ย ข้าอยากเห็น]


 


[ข้าด้วย!]

 

 

 


ตอนที่ 156

 

รองอาจารย์ซูมองขึ้นบนหน้าจอปรากฏผลคะแนนกลางลานสนามรบ พร้อมเสียหัวเราะ “ขอบคุณพวกท่านมากที่ค่อยเตือนสติฉัน ตอนนี้เหมือนว่าสถานการณ์กำลังพลิกแพลง”


 


“เป็นไปไม่ได้!” รองอาจารย์ยูเบิกตาโพง “เด็กสาวคนนี้อายุเพียงสิบหกงั้นหรอ? แต่เธออยู่ในระดับเก้าด้วยอายุเพียงสิบหกปี!?”


 


เขาตบต้นขาตัวเองและพูดขึ้น “มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร!?”


 


“นั่นสิ!” รองอาจารย์เจียงพูดขึ้นเสียงดัง “บางทีท่านอาจใช้วิธีพิเศษเพื่อเร่งการฝึกฝนของพวกเขา นี่ท่านซู! ท่านกำลังโกงพวกเราเพื่อให้สำนักหลิงหยวนชนะการสอบระดับชาติในครั้งนี้!”


 


“ไร้สาระ!” รองซูพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นี่ท่านกำลังกล่าวหาข้าและใส่ความสาวกของข้า หากตรวจสอบแล้วไม่พบความยุติธรรม ทูลขอให้พระองค์ทรงตัดสินเลย”


 


ในขณะเดียวกันจักรพรรดิผู้นั่งอยู่ในหมู่พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “กำลังภายในของเธอนั่นบริสุทธฺืและชอบธรรม เธอมีศักยภาพที่ยอดเยี่ยม ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ ที่ดาจินมีคนมีความสามารถเช่นนี้ พวกท่านนั่งลงได้”


 


“ท่านได้ยินด้วยหรือ​ ..” รองอาจารย์ของสามสำนักมองหน้ากันเลิ่กลักก่อนจะหันกลับไปนั่งที่ตัวเอง


 


ณ คาเฟ่อินเตอร์เน็ต นาหลันฮงวูชี้นิ้วไปที่หน้าจอยักษ์ เขาหัวเราะพลางตักไอติมเข้าปาก “ดูท่านจักรพรรดิ! ดวงตาของท่านเกือบเปลี่ยนเป็นสีเขียว!”


 


มีเพียงนาหลันฮงวูนักรบผู้นำชั้นสูงที่อยู่ในยุคเดียวกับจักรพรรดิองค์ก่อนหน้านี้ เขาจึงกล้าที่จะพูดแบบนี้ ต่างจากคนอื่นๆ ที่หัวเราะเบาจนแทบไม่ได้ยิน


 


“เจ้าของร้าน ท่านรู้จักเทคนิคการควบคุมดาบด้วยหรือ?” ผู้คนรอบตัวหันมองไปที่ฟางฉี “มาจากร้านของท่าหรือ?” มูตงไลมองหน้า “นอกจากการต่อสู้ระยะประชิดแล้ว ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าร้านของท่านมีเทคนิคการควบคุมดาบที่ยอดขนาดนี้”


 


“นี่ท่าน ท่านเป็นเจ้าของร้านอะไรกันแน่!?” ในที่สุดเจ้าหญิงก็เริ่มตระหนักว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น หรือว่าเขาอาจจะขายน้ำทิพย์? หรือจะขายสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ? แต่ใครเล่าจะไปรู้กันละว่าเขาอาจจะขายเทคนิคดังกล่าวก็เป็นได้!


 


“ร้านของท่านมีเทคนิคการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์ทุกแบบเลยหรือไม่?” องค์ชายสองเอ่ยถาม “พวกเขาซื้อเทคนิคการควบคุมดาบจากร้านของท่านหรือ?”


 


ถึงตอนนี้ทุกคนเริ่มเห็นแล้วว่าเทคนิคการควบคุมดาบนี้อัศจรรย์และสามารถเพิ่มระยะการโจมตีให้แก่นักรบ!


 


แน่นอนพวกเขาส่วนมากไม่รู้มาก่อนว่าสาวกของสำนักหลิงหยวนเองก็เพิ่งได้เรียนรู้เทคนิคการควบคุมดาบเมื่อไม่นอนมานี้ หากฟางฉีใช้มันให้ทุกคนดูอาจทำให้ทุกคนประหลาดใจกว่านนี้


 


“ด้วยเทคนิคการควบคุมดาบนี้ นักรบจะใช้มันอย่างไม่ต้องเป็นกังวลกับคู่ต่อสู้จากแดนอื่นใด” ชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีดำพูดด้วยน้ำเสียงลึกซึ้ง “ท่านฟาง เทคนิคการควบคุมดาบมาจากร้านของท่านอย่างงั้นหรือ?”


 


“แน่นอนสิ” ฟางฉีกอดออก “พวกท่านอยากเดินทางไปที่ร้านของข้ามั้ยละ?”


 


“มันมีราคาเท่าไร?” องค์ชายสองถาม


 


“ยี่สิบคริสตัล ข้ามั่นใจได้เลยว่าพวกท่านจะประทับใจ”


 


“…”


 


“!?”


 


ผู้คนรอบๆ อ้าปากค้าง มองหน้ากัน


 


นี่เขาล้อเล่นใช่มั้ย? ทำไมมั่นใจอะไรขนาดนั้น!?


 


[ฮ่าๆ เซียนกระบี่พิชิตมารในราคายี่สิบคริสตัลไง]


 


[มาลองดูสิ นอกจากเทคนิคการควบคุมดาบแล้วยังมีสกิลอีกมากมายนับไม่ถ้วน มันเพียงพอที่พวกท่านจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันแน่นอน]


 


สำหรับผู้เล่นในคาเฟ่ บางคนที่ยังไม่เคยซื้อเกมเซียนกระบี่พิชิตมารเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างตะโกน “เราจะซื้อ ตอนนี้!”


 


“มันชื่อเกมอะไร?” มูตงไลเอ่ยถามเนื่องจากคุ้นเคยกับคาเฟ่นี้มาก่อน


 


“เซียนกระบี่พิชิตมาร!”


 


มูตงไลหัวเราะ “ข้าต้องใช้เวลาเล่นสักหน่อยแล้ว แม้จะยุ่งแค่ไหนข้าก็ต้องหาเวลาไปให้ได้ ..​พวกท่านละ จะไปกับข้ามั้ย?”


 


“หืมม? โอ้อืมมม” คนอื่นทำหน้าสับสน แต่ก็พยายามรักษาภาพพจน์ตัวเองไว้


 



 


“เซียนกระบี่พิชิตมารในราคายี่สิบครัสตัลหรอ?” เหลียงเฮอฟู่จากเฉิงจิ้งทำหน้าเศร้าหลังจากมองหน้าเหล่าสาวกผู้ได้รับความพ่ายแพ้ “นี่มันเป็นผลลัพธ์จากยี่สิบคริสตัลหรือ?”


 


–  ณ ลานกว้างในสนามรบ  –


 


“นี่เป็นเทคนิคการควบคุมดาบหรอ?”


 


“ใช่ ข้าจะบอกให้ว่ามันมีราคายี่สิบคริสตัล ขอโฆษณาให้เจ้าของร้านหน่อย ..”


 


“ข้าเคยได้ยินมาแล้ว!” เซียวเลงชูพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “หลังจากผ่านการสอบครั้งนี้ไปแล้ว ฉันจะต้องไปจัดการกับเซียนกระบี่พิชิตมารซะแล้ว!”


 


“ผู้ชนะคือ นาหลันหมิงสื่อ!”


 


“ฮ่าๆๆ เธอฉลาดมาก!”


 


“มาเร็วข้าจะสอนพวกเขาผ่านการเล่นเกมเอง” เซียวหยูตะโกนโอ้ขณะชมการถ่ายทอดสด


 


“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สาวกคนอื่นๆ ของสำนักหลิงหยวนเราจะมีเทคนิคที่ทรงพลังพอๆ กับเธอ” เหล่าสาวกพูดคุยกันถึงนาหลันหมิงสื่อและเพื่อนร่วมสำนัก


 


สถานการณ์เริ่ม้ปลี่ยนไป สำนักอื่นก็เช่นกันพวกเขาเริ่มมีความวิตกกังวลเล็กน้อย


 


“อย่าคิดจะท้ายทายพวกเขา แม้เขาจะมีอันดับต่ำกว่าก็ตาม!”


 


เสียงประกาศในจอดังขึ้นอีกครั้ง ..


 


“หลิวหยุนศิษย์หมายเลขหนึ่งของบ้านหวังจากสำนักซียี่ ได้ขอท้าทายซูเหลียวศิษย์หมายเลขแปดของบ้านหวังจากสำนักหลิงหยวน!”


 


“…”


 


“ผู้ชนะคือ ซูเหลียว!”


 


“หวังเซียงศิษย์หมายเลขสองของบ้านหวังจากสำนักเฉิงจิ้งขอท้าทายหวังใต้สำดับสุดท้ายของบ้านหวังจากสำนักหลิงหยวน!”


 


“…”


 


“ผู้ชนะคือ หวังใต้!”


 


“เยเฟ่งหัวศิษย์หมายเลขหนึ่งของบ้านซวนจากสำนักซียี่ ขอท้ายทายเฉินชิงชิงศิษย์หมายเลขสามของบ้านซวนจากสำนักหลิงหยวน”


 


“ผู้ชนะคือ เฉินชิงชิง”


 


“ไงละท้าทายคนที่มีอันดับต่ำกว่า” เสียงบ่นจากคนในคาเฟ่ที่กำลังนั่งดูการถ่ายทอดสดด้วยความสะใจ


 


แต่ละครั้งที่เสียงประกาศผลดังขึ้น ทุกคนในสนามจต่างตกตะลึง


 


“ยิงซงซวนศิษย์หมายเลขหนึ่งของบ้านสวรรค์จากสำนักซียี่ขอท้าทายเกาซงศิษย์หมายเลขห้าของบ้านสวรรค์จากสำนักหลิงหยวน!”


 


“…”


 


“ผู้ชนะคือ เกาซง!”


 


“!!??”


 


อีกครั้งที่ได้ยินผลลัพท์ ทุกคนตัวแข็งราวกับรูปปั้น


 


แม้แต่ผู้อ่านประกาศเองก็แทบไม่เชื่อสายตา


 


ตอนนี้จักรพรรดิแห่งดาจินที่นั่งอยู่ในที่สูงสุดดูมีอาการงงงวยไม่ต่างจากคนอื่นๆ


 


“พวกเขามาจากที่ไหนกัน!?”


 


“ศิษย์จากสำนักหลิงหยวน พวกเขาใช้เทคนิคอะไรกัน?”


 


เสียงพูดคุยฮือฮา ..


 


ณ คาเฟ่อินเตอร์เน็ต


 


“ฮ่าๆ พวกเจ้าดันมาท้าทายพ้องเพื่อนของเราเอง ไม่รู้ตัวเอากันซะเล้ย!”


 


“ทำไมทุกคนจากสำนักหลิงหยวนถึงได้ดูสนุกกันขนาดนี้” ตงชิงลี่ยืนมองหน้าจอด้วยความรู้สึกอยากร่วมสนุกด้วย


 


ย้อนกลับไปยังที่นั่งของฟางฉี เขากล่างด้วยน้ำเสียงร่าเริง “พวกเขาแข็งแรงกันจริงๆ”


 


“พี่หญิงไม่ต้องกังวล! เรายังมีน้องชายห้าของเรา!” องค์ชายสองปลอบโยนองค์หญิงด้วยน้ำเสียงปลุกพลัง “น้องห้าของเรามีคะแนนสะสมมากมายจากสำนักเฉิงจิ้ง เขาต้องเพิ่มความหวังและปกป้องคะแนนของเขาได้แน่”


 


ในฐานะศิษย์เก่าของเฉิงจิ้งเองเขาหวังว่าเฉิงจิ้งจะต้องได้รับรางวัลแน่นอน


 


“ที่พี่พูดก็มีเหตุผล!” เมื่อองค์หญิงได้ยินเช่นนั้นเธอเริ่มมีสติอีกครั้ง “เราต้องมั่นใจในฝีมือของเขา!”


 


ก่อนที่เธอจะพูดจบ เสียงประกาศก็ต้องขึ้นอีกครั้ง “ซูฉีซินศิษย์หมายเลขสองของบ้านซวนจากสำนักหลิงหยวนขอท้ายทายศิษย์หมายเลขหนึ่งของบ้านโลกจากสำนักเฉิงจิ้ง!”


 


องค์หญิงตาโตเหมือนไข่ห่าน “…” เธอทำท่าทีไม่ค่อยอยากเชื่อกับเสียงประกาศเท่าไรนัก


 


“…” องค์ชายสองก็เช่นกัน


 


เมื่อมองดูบนหน้าจอประกาศคะแนน  อาจารย์จากสองสำนักทั้งซียี่และเฉิงจิ้งต่างมีสีหน้าที่ดูมืดมน


 


ณ​ คาเฟ่


 


“ฮ่าๆ จัดการพวกเขาให้ราบคราบ!”


 


“ง่ายเหมือนหั่นเนื้อหมู!”


 


“อีกสองสำนักคงต้องยกธงขาวขึ้นแล้วละ”


 


 

 

 


ตอนที่ 157

 

“ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว!”


 


“ซูฉีซินแบกสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่มีชื่อเรียกว่า ‘ปืนพก’ และ ‘กระสุน’ จากการตรวจสอบพบว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณในระดับต่ำไปถึงปานกลางซึ่งใช้งานโดยใช้กำลังภายใน สามารถเอาเข้าสู้การแข่งขันได้”


 


จี้หยางที่เดินข้าวมาในสนามรบหันมองหญิงสาวคนนี้ด้วยสายตาเหยียดหยามในขณะเดียวกันเขาเองก็ระมัดระวังตัวอย่างมาก


 


ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่รู้สึกระมัดระวังขนาดนี้ แต่หลังจากได้ดูการแข่งขันวัดระดับของสำนักหลิงหยวนแล้วความคิดในหัวเขาก็เปลี่ยนไป


 


“.. เธอจะปลดปล่อยพลังของนักรบแห่งบรรพบุรุษออกมาหรือไม่?” เจ้าหญิงและองค์ชายสองเอ่ยถาม โดยนที่ก่อนหน้านี้ไม่มีวี่แววเลยที่พวกเขาจะเชื่อในคำพูดของฟางฉี แต่ตอนนี้ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว!


 


“ซูฉีซินคนนี้สามารถใช้เทคนิคการควบคุมดาบได้หรือไม่?” มูตงไลเองก็อยากรู้ไม่แพ้กัน “แม้เธอจะสามารถใช้เทคนิคการควบคุมดาบได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะข้ามระดับขั้นไปถึงชั้นสูงใช่มั้ย?”


 


“เธอไม่ได้เปิดเผยความแข็งแกร่งของเธอหรอกหรอ?”


 


จี้หยางที่ยืนอยู่ในสนามรบเริ่มมีสีหน้าที่วิตกกังวลขณะที่ในมือเขาเองถือดาบสีทองอยู่ในมือ เขาเว้นระยะห่างหลายเมตรและเดินวนไปรอบๆ เพื่อรอโอกาสที่จะโจมตี


 


หลังจากที่เขาได้ดูการแข่งขันในรอบก่อนหน้านี้ เขามั่นใจเลยว่าถ้าเธอใช้เทคนิคการควบคุมดาบ เขาเองคงไม่สามารถจะตอบโต้ได้ หากแต่ต้องใช้เวลาในการร่ายพลังจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะ!


 


จี้หยางเดินอยู่รอบๆ ด้วยระยะห่างไม่มากไม่น้อยในระดับปานกลางพลางคิดถึงเทคนิคที่จะสามารถนำมาใช้ได้โดยคำนึงถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอ!


 


กลางลานสนามรบจี้หยางยังคงเปลี่ยนท่าทางแต่ยังไม่มีท่าทีที่จะโจมตีสักตั้ง


 


“หืม? นั่นองค์ชายห้ากำลังทำอะไร?”


 


“บางทีเขาอาจใช้กลหลอก”


 


“ดูเหมือนว่าเขากำลังหลอกล่อ”


 


ผู้ชมในคาเฟ่ทำหน้าสับสน


 


องค์ชายสองที่เริ่มหมดความอดทน “นั่นน้องเรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมเขาไม่โจมตี”


 


“ใจเย็นสิ เขาอาจจะกำลังทำความเข้าใจและคำนวณคู่ต่อสู้ของเขาก่อน!” เจ้าหญิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “น้องห้ามีคะแนนสูงสุดเขาจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก หากเขาโจมตีโดยไม่คิดทบทวนก่อน เขาอาจถูกโจมตีได้ง่าย”


 


ชายชราสวมชุดดำพยักหน้า “พูดได้ดี เมื่อเจ้าเ(ชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จัก เจ้าต้องมีสติและใจเย็น”


 


ปัง! กระสุนปืนลั่นออกมา!


 


องค์ชายห้าล้มลงกับพื้น!


 


ทุกคนที่นั่งชมการแข่งขันรู้สึกมึนงงอีกครั้ง


 


เกิดอะไรขึ้น!?


 


ซูฉีซินที่อยู่ในสนามเก็บปืนพกของเธอกลับเข้าซองหนังก่อนจะเดินแว้บหายไป


 


ฟางฉีหยักไหล่และพูดขึ้น “ไม่ว่าท่านจะแข็งแกร่งแค่ไหน เพียงนัดเดียวก็สามารถทำให้ท่านล้มลงกับพื้นอย่างง่ายดาย”


 


แน่นอนหากจี้หยางรีบพุ่งตัวกลับไปที่จุดเริ่มต้นและป้องกันตัวเองด้วยกำลังภายใน อย่างในตอนแรกเขาอาจมีโอกาส


 


อย่างไรก็ตาม .. เขาล้มลง


 


ทุกคนในคาเฟ่หัวเราะกันคึกคัก


 


“ฮ่าๆ ไม่ว่าท่านจะแข็งแกร่งแค่ไหนนัดเดียวก็ทำให้ล้ลงกับพื้น! บทสรุปที่รวบรัดมาก ฮ่าๆ”


 


[การหลอกล่อนั้นไม่ว่องไวและฉลาดเอาซะเลย]


 


[องค์ชายห้าควรจะซื้อ CS และ Resident Evil!]


 


[ถ้าข้าเป็นองค์ชายห้านะ ข้าซื้อแล้ว!]


 


ทั้งสนามเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เงียบประหนึ่งได้ยินเสียงน้ำหยด


 


การแข่งขันจบลง นั่นมันอาวุธอะไรกัน? เจ้าล้อเล่นกับข้าใช่มั้ย?


 


“เราต้องตรวจสอบสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณชิ้นนั้น!”


 


ขณะเดียวกันฟางฉีส่งข้อความถึงซูฉีซิน [หากมีคนข้อซื้อให้ขายมันในราคาสามพันคริสตัล มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่สามารถสร้างได้โดยร้านวู่เว้ย และเจ้าสามารถขอให้หลี่เฮารันสร้างขึ้นมาใหม่ได้]


 


ซูฉีซินพูดไม่ออก เธอซื้อปืนพกมาเพียงพันคริสตัล แต่เธอสามารถขายมันได้ถึงสามพันคริสตัล!?


 


“นี่คือปืนที่ถูกลงอักขระไว้หรือเปล่า” มูตงไลพูดแล้วหัวเราะ “มันดีมาก เฮารันสร้างมันขึ้นมาหรอ?” เขาเคยแนะนำร้านฟางฉีให้หลี่เฮารันได้รู้จัก


 


“ครึ่งๆ” ฟางฉีกล่าว “มันค่อนข้างที่จะทำยาก เพราะเนื่องจากหาวัสดุได้ยากตามคุณภาพ”


 


“นี่ท่าน .. สิ่งนี่มาจากร้านค้าของท ่านด้วยหรือ?” ทุกคนเริ่มหันกลับมามองเขาอีกครั้ง


 


ผู้อาวุโสจากกลุ่มเมฆดำที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็แอบตั้งใจฟังรายละเอียดเช่นกัน


 


พวกเขาได้ยินมาว่าฟางฉีมีร้านที่น่าอัศจรรย์ แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ามันจะเหลือเชื่อถึงเพียงนี้


 


“มันหมายความว่า .. เราจะชนะใช่มั้ย?” มูฮงจูเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเหล่าสาวก


 


หลังจากที่เธอได้เห็นช่วงเวลาที่มืดมนของพวกเขา ในที่สุดสาวกของเธอก็จะรอดแล้ว!


 


นาหลันหมิงสื่อเป็นคนฉลาดมากและเธอเองวางแผนแล้วว่าเราควระจะทำอะไรในเวลาไหน .. มูฮงจูคิด


 


“คาเฟ่นี้จะต้องได้รับชื่อเสียงอีกครั้ง!”


 


“สาวกที่ถูกลงโทษจะต้องได้รับการไถ่คืน”


 


ขณะเดียวกันเหล่าอาจารย์ได้รับข้อความ


 


บางคนไม่เชื่อในสิ่งที่คนเคยพูด แต่ตอนนี้หลายคนรีบเดินทางไปยังคาเฟ่เพื่อตรวจสอบว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่ได้ยินหรือเปล่า เวลาเดียวกันเหล่าสาวกของหลิงหยวนทั้งหมดกำลังดีใจอย่างมากกับความสำเร็จครั้งนี้


 


“ทำไมสิ่งเล็กๆ แบบนี้ถึงสามารถปลดปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้”


 


“วัตถุนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่จัดอยู่ประเภทเดียวกับหน้าไม้ แต่ทำไมผลลัพท์ถึงเจ๋งกว่า?”


 


ซูฉีซินที่ยืนได้ยินคำพูด เธอหยุดนิ่ง ในตอนนี้ซูฉีซินคือผู้ชนะ แต่เธอไม่สามารถช้สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณนี้ในการแข่งขันครั้งหน้าได้แล้ว แน่นอนว่าจักรพรรดิอาจทำการตัดสินใจเพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกสำนัก เพื่อที่หลิงหยวนจะได้ไม่ดูมีพลังมากเกินไปในสายตาคนอื่นๆ


 


เมื่อสำนักสองสำนักเห็นเหตุการณ์นี้ ทั้งสองรู้สึกสิ้นหวัง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้แต้มจากเธอกลับมา


 


การสอบระดับชาติสิ้นสุดลงในที่สุด


 


ซูฉีซิน, นาหลันหมิงสื่อ, ซงฉิงเฟิงและคนอื่นๆ เป็นผู้ชนะในรายการ พวกเขาเดินขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับรางวัล สาวกหลายคนในคาเฟ่แอบมีน้ำตา!


 


“ในตอนนี้ข้าแค่อยากพูดกับเพื่อนร่วมชั้นของข้าที่ไม่สามารถมาร่วมการสอบในครั้งนี้ได้ว่า ..” ซงฉิงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงดังและหนักแน่น “พวกเราเก่งที่สุด!”


 


สาวกหลายของสำนักหลิงหยวนในคาเฟ่ต่างใจสั่น พวกเขารู้สึกเหมือนตื่นขึ้นจากความมืดมน!


 


พวกเขาตะโกนโห่ร้องโดยทันทีเมื่อรู้ว่าได้รับชัยชนะในที่สุด!


 


เพื่อนของเราชนะเหมาทั้งสี่รายการ!


 


พวกเขาสุดยอด!


 


มูฮงจูพร้อมทั้งอาจารย์อีกหลายคนก็ดีใจไม่แพ้กัน


 


ความเห็นท่วมหน้าจออีกครั้ง


 


คนที่ไม่เคยพบกับความยากลำบาก พวกเขาจะไม่เข้าใจหรอกว่าเมื่อเวลาแห่งชัยชนะเดินเข้ามาพัดพาความขมขื่นใจให้ออกไปมันเป็นเช่นไร


 


ผู้คนในสนามมากมายไม่รู้เลยว่าเด็กพวกนี้ต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่พวกเขาประทับใจกับสิ่งที่เห็นไม่น่าเชื่อเลยว่าเหล่าสาวกจากต่างสำนักจะส่งเสียงดังร่วมกันขนาดนี้


 


เสียงดังสนั่น ฟางฉีเดินออกจากโซนวีไอพี พร้อมมูตงไลที่เดินตามมาติดๆ “เยี่ยมมาก!” มูตงไลตบบ่า “ฉันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว!”


 


ฟางฉีหันไปยิ้ม


 


“เจ้าของ ท่านจะไปที่ไหนต่อ?” มูตงไลถาม “ไม่อยากพักเที่ยวจิงฉีสักหน่อยหรอ?”


 


“ไม่ละ” เขาตอบ “ข้าต้องกลับร้าน ไปด้วยกันมั้ย?”


 


“มันไกลไปหน่อย” มูตงไลตอบ “ข้าอาจจะเดินทางไปในสองสามวัน”


 


“ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ข้าว่ามันคงไม่ไกลและไม่นานเกิน”


 


“หนึ่งชั่วโมง? เป็นไปไม่ได้!?”


 


“เทคนิคการควบคุมดาบ ไปกันเถอะ!”


 


“ว้าว ..”


 


เสียงอุทานดังขึ้นนอกลานสนามรบ


 


“ชิบ .. ผู้ชายคนนั้นกำลังบินด้วยดาบธรรมดา”


 


“เขาเป็นเจ้าของร้าน”


 


สาวกของสำนักหลิงหยวนทำตาโต


 


“นั่นใคร? เขาบินด้วยดาบได้อย่างไรกัน?” หลายคนเงยหน้าขึ้นเห็นสองคนกำลังยืนอยู่บนดาบ


 


ไม่กี่วิ .. ทุกคนก็เห็นพวกเขาไกลออกไปเหลือเพียงแค่จุดดำ


 


“นี่คือเทคนิคการควบคุมดาบหรือ?”


 


“มันสามารถใช้งานแบบนี้ได้ด้วยหรอ?” องค์หญิงทำหน้างงใจ องค์ชายสองเองเมื่อเห็นก็อ้าปากค้าง


 


รองอาจารย์ทั้งสามคนเมื่อเห็นเช่นนั้นก็สตั้นไปชั่วครู่


 


จักรพรรดิเองตอนนี้ท่านก็ได้แต่ มองเหมือนไร้สติ


 


ไม่มีใครสามารถเรียกสติพวกเขาจากอาการช้อคได้เลย


 



 


การสอบระดับชาติในครั้งนี้ .. สิ้นสุดลงแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 158

 

หลังจากจบการสอบวัดระดับเกิดคำถามและเรื่องราวมากมาย


 


จักรพรรดิกล่าว “เธอเป็นผู้สืบสกุลของนายผลซู! เยี่ยมมากแล้วสิ่งประดิษฐ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร!?”


 


รองอาจารย์ซูถาม “เจ้าไปเรียนรู้เทคนิคการควบคุมดาบจากที่ไหนมา ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!?”


 


รองอาจารย์สองคนจากสองสำนักเอ่ยเสริม “ได้ข่าวมาว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลในสำนักหลิงหยวน ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะยุติธรรมสำหรับเหล่าสาวกสักเท่าไร เจ้าสนใจที่จะเข้าร่วมสำนักของข้ามั้ย?”


 


“ข้าจะต้องจัดการกับฉินบิง!” รองผู้อำนวยการซูโกรธเมื่อได้ยินเรื่องราวความจริงที่ว่าเหล่าสาวกส่วนหนึ่งไม่ได้รับความยุติธรรม ในระหว่างที่เขาไปราชการ


 


เนื่องจากการประพฤติมิชอบของฉินบิงทำให้เขาเกือบเสียสาวกและชื่อเสียง


 



 


“เจ้าของร้าน ข้าไม่รู้เลยว่าท่านสามารถใช้เทคนิคการควบคุมดาบทำเช่นนี้ได้!” ท่าทีของมูตงไลดูตื่นเต้นและประหลาดใจอย่างมาก


 


“นี่เป็นเทคนิคการควบคุมดาบชั้นสูง” ฟางฉีกล่าว “มันยากกว่าจะชำนาญและบินด้วยดาบแบบนี้ได้ ข้าเองก็ใช้เวลานานเช่นกัน”


 


“มันสะดวกและรวดเร็วมากๆ” มูตงไลกล่าวน้ำเสียงของเขายังคงตื่นเต้นไม่หาย “หากใครมีความเชี่ยวชาญเทคนิคนี้นะ แทบไม่ต้องพึ่งเรือทางจิตวิญญาณเลย”


 


“แน่นอน”


 



 


ในขณะเดียวกันฉินบิงเองหยิบหยกสื่อสารของเขาออกมา โดยที่ยังไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เขากำลังจะถูกแบน


 


ทันใดนั้นหยกในมือเขาสั่นขึ้น เขาได้รับข้อความ [ตอนนี้ผู้สอนและสาวกทุกคนได้อยู่ที่ร้านต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ตเพื่อชมการถ่ายทอดสด ตอนนี้ทุกคนรับรู้หมดแล้วว่ามีเหตุการณ์อะไรที่เกิดอะไรขึ้นในการสอบครั้งนี้]


 


“อะไรนะ!?” ฉินบิงเดินโซเซ เขาทรุดตัวลง


 



 


ณ​ ห้องโถงใหญ่ของราชวังแห่งดาจิน


 


จักรพรรดิจีวูแห่งดางจินนั่งอยู่บนบัลลังก์ของเขาพลางคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการสอบระดับชาติ


 


“ความล้มเหลวของเฉิงจิ้งกับซียี่ และการพัฒนาของหลิงหยวนนั่นเกิดขึ้นจากร้านเล็กๆ ที่มีชื่อว่าต้นกำเนิดอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ในเมืองจิวหัว”


 


“สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณพิเศษที่หญิงสาวจากตระกูลซูนำมาใช้งาน แม้จะมีความสามารถไม่มาก แต่มันก็มาจากที่นั่น”


 


“ร้านนี้ปรากฏขึ้นในภูมิภาคเจียงหนานได้อย่างไร? มันอันตรายและเป็นภัยคุกคามหรือไม่?”


 


“สำหรับตอนนี้มันทำให้เกิดความวุ่นวายมากมาย แต่ทางกลับกันมันเป็นประโยชน์อย่างมากต่อดาจิน”


 


“นายกรัฐมนตรีจาง ท่านมีความเห็นอย่างไร?” อาจารย์หลายคนในเมืองดาจินได้มีการหาลือและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านจักรพรรดิเกี่ยวกับข้าราชการพลเรือนที่ไม่มีความเข้มแข็งในการบ่มเพาะเท่าที่ควร


 


นายกจางชายชราอายุราวๆ เจ็ดสิบปีมีผมและเคราสีขาว เขาคำนับให้ท่านจักรพรรดิและกล่าว “ในความคิดของข้าน้อย ข้าคิดว่าเราไม่สามารถลงโทษผู้ที่ก่อประโยชน์ต่อประเทศเราได้ แม้ว่าท่านจะเกิดความสงสัยและแคงใจ โปรดทำการสอบสวนต่อไปด้วยเถิด”


 


“ข้าไม่ว่างทำการสอบสวน จีวูกล่าวต่อ “ท่านทำสิ่งนั้นเพื่อข้าได้หรือไม่?”


 


“ข้าน้อยจะทำให้ดีที่สุด”


 


“ขอบใจเจ้ามาก” จีวูพยักหน้ารับ


 



 


ณ สำนักเฉิงจิ้ง


 


“สำนักหลิงหยวนได้รับชัยชนะทั้งหมด เพียงเพราะร้านเล็กๆ ในเมืองจิวหัว!”


 


“เทคนิคการควบคุมดาบมาจากที่นั่นหรอ?”


 


เหล่าสาวกกำลังพูดคุยกันถึงเทคนิคการควบคุมดาบ เนื่องจากสาวกจากสำนักหลิงหยวนนำมาใช้ในการสอบระดับชาติที่ผ่านมา


 


ทุกคนประทับใจกับเทคนิคการควบคุมดาบ พร้อมทั้งทักษะการต่อสู้ระยะปะชิดรวมไปถึงปืน และที่เด็ดที่สุดคือชายหนุ่มผู้ที่บินด้วยดาบออกจากลานสนามรบ


 


พวกเขาพบว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเองไม่ได้ด้อยไปกว่าสาวกสำนักอื่นหรอก แต่จากผลที่ออกมาจึงทำให้พวกเขารู้สึกผิดหัวงเล็กน้อย


 


“โอเคๆ!” เหลียงเฮอฟู่กล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะพาเหล่าสาวกที่น่ารักของข้าเดินทางไปเยี่ยมร้านนั้น เพื่อตรวจสอบดูว่าที่นั่นมีอะไรพิเศษ”


 


“เลงยู พรุ่งนี้ไปด้วยกันนะ”


 


“รับทราบท่านอาจารย์!”


 



 


ฝั่งสำนักซียี่


 


เวลาเดียวกันสาวกของซียี่ยังคงพักผ่อนอยู่ในโรงแรมที่ทางเฉิงจิ้งจัดไว้ให้


 


พวกเขาเคยอ้างตนว่าจะเป็นที่หนึ่งในการสอบครั้งนี้ แต่แล้ว .. พวกเขาก็ได้อันดับสุดท้ายในท้ายที่สุด


 


พวกเขาใช้เวลาร่างกายทุ่มซ้อมอย่างหนักแต่แล้วกลับต้องพ่ายในครั้งนี้ ยิ่งซงซวนกำหมัดแน่นโกระตัวเองที่แพ้นักรบที่มีภูมิหลังเป็นแค่พลเรือนธรรมดา


 


หลิวหยุนเองก็เช่นกัน เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในการต่อสู้และฝึกซ้อมกับการล่าอสูร แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตามคำบอกเล่าว่าเหล่าสาวกของหลิงหยวนนั้นเป็นมากกว่าอสูรร้ายที่เธอเคยเจอ มันจริง! พวกเขาคือปีศาจ!


 


ดังนั้นทางสำนักจึงได้ตัดสินใจว่าจะเช่าเรือทางจิตวิญญาณเพื่อส่งศิษย์ชั้นยอดอย่างพวกเขาไปเจียงหนาน เพื่อศึกษาเรียนรู้เกมในร้านต้นกำเนิดอินเตอร์เน็ตคาเฟ่


 


ฉันจะทำให้ดีที่สุด หลิวหยุนคิดในใจ สักวันหนึ่งฉันจะต้องแซงพวกเจ้า!


 


นอกจากสำนักทั้งสองแห่งนี้แล้ว เจ้าหญิงและองค์ชายสองเองก็ยังคงต้องลงกันว่าพวกเขาควรเดินทางไปเยี่ยมชมคาเฟ่ของฟางฉีที่เจียงหนานดีหรือไม่


 


สำหรับคนที่เคยนั่งใกล้กับฟางฉี เช่นชายชราชุดดำ, ผู้อาวุโสจากกลุ่มเมฆดำ และคนอื่นๆ พวกเขาเองก็ใคร่ครวญเช่นกัน “หรือบางทีพวกเราควรไปเที่ยวที่เจียงหนานดี?”


 



 


เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่ ซงฉิงเฟิง, นาหลันหมิงสื่อและคนอื่นๆ พวกเขาต้องการกลับไปยังจิวหัวโดยเร็วที่สุด เพื่อฉลอง และหากไปช้าที่นั่งในคาเฟ่อาจจะไม่มีเหลือ!


 


อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องทำตามขั้นตอนและมารยาทพื้นฐาน คือ พวกเขาต้องอยู่เพื่อกินงานเลี้ยงและจะสามารถเดินทางกลับไปเจียงหนานได้ในวันพรุ่งนี้


 


ในขณะเดียวกันคาเฟ่เล็กๆ ของฟางฉีในตอนนี้เต็มไปด้วยเหล่าสาวกและอาจารย์จากสำนักหลิงหยวน เนื่องจาก ข้อห้ามของสำนักได้กลายเป็นโมฆะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!


 


ฟางฉีเองก็เดินทางกลับมาที่ร้านด้วยความรวดเร็วและปลอดภัย


 


“มีเกมใหม่มากมายเลยใช่มั้ย?” มูตงไลเอ่ยถามขณะที่เขาเดินเข้าไปในคาเฟ่ ตอนนี้ในคาเฟ่มีทั้งลูกค้าประจำและขาจร บรรยากาศโปร่งไม่แออัดจนเกินไป


 


“Diablo? เซียนกระบี่พิชิตมาร? CS?” มูตงไลอ่านไล่ทีละชื่อ “หืม เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก”


 


“อืม.. เปิดใช้งานทั้งหมดเลยละกัน”


 


[ปี๊ป! การรับชมละครสำหรับโลกนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว!] ระบบแจ้งเตือนฟางฉี

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม