Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย 485-498

ตอนที่ 485

 

ที่ไหนสักแห่งบนหลังคาของตึกใจกลางเมืองในหลิงเฉิง


 


“ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้…” ชูฮันชี้ไปที่กฎระเบียบทหารที่หลิวยู่ติงเป็นคนร่างขึ้นมา “มันต้องแก้ไข บทลงโทษพวกนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากลัวและสำนึก การเตือนแบบนี้มันยังเบาไป”


 


สมองของหลิวยู่ติงรีบแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว “ฉันว่า ฉันไม่สามารถคิดได้ออก ฉันไม่รู้ว่านายต้องการระดับไหน แล้วความผิดแบบไหนถึงจะนับ ถ้านายมีความคิดทุกอย่างไว้ในหัวอยู่แล้ว ถ้างั้นจะใช้ฉันเขียนไปทำไม?”


 


ชูฮันกรอกตา “นายพูดอะไร นายกำลังคิดจะทำอะไร? ฉันมีเรื่องให้คิดมากมายเต็มไปหมด หลังจากนี้มันยังมีความผิดระดับ 2 ถึง 5 อีก นายอยากจะให้ฉันหัวระเบิดใช่มั้ย?”


 


หลิวยู่ติงถอนหายใจ “งั้นนายก็ช่วยชี้แนวทางเพื่อให้ฉันหาแรงบันดาลในใจการคิดหน่อยที?”


 


ชูฮันเอามือแตะคางอย่างกำลังใช้ความคิด “ความผิดฐานเบาที่สุดของระดับหนึ่งคือพวกความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ไม่จำเป็นต้องกำหนดโทษหนักเกินไป แต่มันก็ไม่ควรง่ายดายจนพวกเขาไม่รู้สึกกลัว ความผิดเล็กๆน้อยๆก็อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่โตร้ายแรงได้ในภายหลังถ้าไม่รู้จักแก้ไขก่อนให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นโทษมันต้องไม่หนักไปและไม่เบาไป ไม่อาจเป็นการลงโทษทางร่างกายได้ จุดประสงค์คือทำให้พวกเขาจำและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก”


 


หลิวยู่ติงอยากจะสลบไปให้รู้แล้วรู้รอด “หัวหน้า แล้วผมจะทำตามข้อกำหนดนี้ได้ยังไง? ห้ามให้หนักไปหรือเบาไปแต่ต้องพิเศษพอให้พวกเขาจดจำ ประหลาดอะไรอย่างงี้!”


 


“ใครบอกว่าแปลกประหลาด” ชูฮันส่งสายดุๆให้หลิวยู่ติง “ตัวอย่างเช่นครั้งนี้ทีมที่หนึ่งของหลี่บี๋เฟิงใช้อำนาจตามอำเภอใจนำพากลุ่มไปโดยไม่คิดตามหาซุปเปอร์ซอมบี้ พวกเขาเอาแต่ไล่ฆ่าซอมบี้ตลอดทาง ถึงแม้พวกเขาจะได้ชัยชนะในเรื่องความเร็วที่มาถึงจุดหมายก่อนกลุ่มอื่น แต่คำสั่งภารกิจของฉันกลับทำไม่สำเร็จและมองข้ามอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นเพราะมันไม่มีผู้บาดเจ็บ สถานการณ์ในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นความผิดสถานเบาอยู่”


 


“แล้วต้องลงโทษอย่างไร?” ตาของหลิวยู่ติงเป็นประกาย เขารีบกระดิกหูฟังชูฮันอย่างตั้งใจ นี่คือโอกาสที่เกิดขึ้นได้ยากมาก…คำแนะนำจากปากชูฮันตัวต่อตัว


 


“ใช้ประโยชน์จากเบาะแสของซุปเปอร์ซอมบี้ที่แต่ละกลุ่มเจอ” ชูฮันมีรอยยิ้มอยู่ในแววตา “จากนั้นเราก็ไปดูที่กลุ่มแรก พวกเขาได้ออกตัวไปกลุ่มแรกแต่พวกเขากลับเอาแต่สนใจที่จะล้มซอมบี้ หลี่บี๋เฟิงจะต้องได้รับโทษมากที่สุดเพราะเขาเป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่บทลงโทษก็ควรยืดหยุ่นได้ตามอารมณ์ของผู้ที่ถูกลงโทษและจุดอ่อนของแต่ละคน”


 


“เอ่อ อืม” หลิวยู่ติงพยักหน้า “แล้วมันมี?”


 


“โอ้ะ!” ชูฮันมองหลิวยู่ติงและเขาก็เฉลยทางออกให้หลิวยู่ติงอย่างง่ายดาย “ตัวอย่างเช่น บางกลุ่มอาจจะไม่ได้รับชัยชนะของการมาถึงสามกลุ่มแรกหรือไม่ได้ฆ่าซอมบี้มากมายอะไรหรืออาจจะไม่ได้เจอเบาแสของซุปเปอร์ซอมบี้เลยสักนิด แน่นอนว่ากลุ่มพวกนี้ทำตัวง่ายๆสบายๆและไม่จริงจังกับการฝึกครั้งนี้ทั้งๆที่มันเป็นสิ่งจำเป็น ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมทำตามแผนการฝึก งั้นก็ให้อยู่แบบใส่ถุงเท้าเน่าๆไปสำหรับหนึ่งอาทิตย์”


 


“พุฟ! แค่ก! แค่ก!” หลิวยู่ติงสำลักน้ำลายตัวเองทันทีที่ได้ยิน “นั่น? นั่นมัน นั่นมัน?”


 


ถุงเท้าเน่า…หลังจากฆ่าซอมบี้ตั้งมากมาย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดข้นเน่าเหม็นและยังต้องอยู่กับถุงเท้าเน่าและตัวที่เหม็นเหงื่อท่วมตัวอีก นี่มันโหดร้ายมาก!


 


“โหดร้าย! นี่มันแย่มาก!” หลิวยู่ติงร้องลั่น “แต่ฉันชอบ!”


 


เมื่อมองไปที่แววตาของหลิวยู่ติง ชูฮันก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ลองคิดไปในแนวนี้ดู อะไรที่จะทำคนขยาดและไม่อยากต้องเจออีก ลองคิดถึงบทลงโทษแบบนี้สำหรับความผิดฐานเบาดู ก็นะ…เพราะเราไม่สามารถลงโทษทางร่างกายได้ แต่เราสามารถทำให้มันเป็นที่จดจำและเข็ดขยาดได้!”


 


“นี่มัน นี่มัน…” จู่ๆอารมณ์ของหลิวยู่ติงก็เปลี่ยนไปเป็นท่าทางตื่นเต้น “ในอนาคต กฏระเบียบทางทหารนี้จะไม่ได้ใช้เฉพาะเจาะจงแค่กับคนพวกนี้ แต่ฉันอยากจะนำมันไปใช้กับทุกคน”


 


“ใช่ ฉันต้องการมอบอำนาจนั้นให้นาย กองทัพของฉันห้ามได้รับการปฏิบัติอย่างพิเศษ ใครก็ตามที่ทำผิดจะต้องถูกลงโทษทุกคน!” ชูฮันพูดอย่างใส่อารมณ์ “คนที่ทำผิดฉันจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายจัดการ นายสามารถจัดการได้ตามที่เห็นสมควร ส่วนเรื่องจะลงโทษอย่างไรนั่นสิ่งที่ฉันขอให้นายเขียนวันนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่าง ฉันต้องการบทลงโทษหลายร้อยข้อตามลำดับความผิดตั้งแต่ฐานเบาไปจนถึงฐานหนัก ฉันต้องการให้บทลงโทษเข้าถึงคนที่โดนลงโทษ ลงโทษเพื่อให้เกิดการพัฒนาและก้าวหน้า เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกๆวันและเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่กล้าที่จะทำผิดอีกครั้ง!”


 


“เข้าใจแล้วครับ!” หลิวยู่ติงเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เขารีบกลับไปตั้งใจทำงานของตัวเองต่อ


 


หลังจากหลิวยู่ติงจากไป เสียงของหวังไคก็ดังขึ้นในหัวชูฮัน “ชูฮัน อยู่ดีๆตัวเลขความจงรักภักดีต่อนายก็เพิ่มขึ้น”


 


ชูฮันปาดข้อมูลของความจงรักภักดีที่แสดงบนหน้าจอระบบล่มสลายออกไป แน่นอนว่า หลายสิบชื่อที่อยู่ในนั้นความจงรักภักดีไม่ใช่เลขศูนย์อีกต่อไปและมีตัวเลขของอีกหลายคนที่ไม่คงที่อย่างเคย ตัวเลขความภักดีต่อชูฮันกำลังระเบิดพุ่งขึ้นอย่างถล่มทลาย หนึ่งในนั้นก็คือของเสี่ยวฉี


 


“ดูเหมือนจะเป็นคนมาใหม่ของกลุ่มที่สอง สาม เจ็ดและสิบ? หวังไคตกใจมากที่ได้เห็นแถวของข้อมูลที่ขึ้นแสดง เขารู้ว่าปกติตัวเลขของความจงรักภักดีนั่นมักจะเชื่อมโยงกับคนที่อยู่กับชูฮันในเหตุการณ์ แต่ตอนนี้สมาชิกของกลุ่มพวกนี้กำลังแยกย้ายไปฝึกตามลำพัง ชูฮันอยู่ไหนก็ไม่รู้สำหรับคนพวกนั้น!


 


ชูฮันคลำคางตัวเองอย่างใช้ความคิด “เอาล่ะ ตอนนี้เสี่ยวฉีมีความจงรักภักดีสูงที่สุด จากทั้งสี่กลุ่มของคนมาใหม่มีคนตายไปหนึ่งคน ส่วนสมาชิกที่เหลือต่างมีความจงรักภักดีต่อฉันกันหมดและยังเพิ่มขึ้นอีก นั่นหมายความว่าพวกเขาพึ่งร่วมต่อสู้ด้วยกันมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีกลุ่มของเฉินช่าวเย่ที่ซึ่งความจงรักภักดีของเฉินช่าวเย่นั้นสูงที่สุดอยู่แล้วที่ 100% ฉันชื่นชมที่เขามอบความภักดีให้ฉันมากที่สุดอย่างเดิม เขาน่าจะเป็นคนสั่งการรบ”


 


หวังไคมองชูฮันด้วยสายตาสยอง ชูฮันพูดต่อ “มันเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่พอควรและพวกเขาได้รับชัยชนะ ตามรายงานจากซูเฟิง มันเป็นการต่อสู้ของวิวัฒนาการระยะ 5  สองคนที่ดึงดูดฝูงซอมบี้เข้ามา”


 


หวังไคยิ่งประหลาดใจเข้าไปอีก มันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “นายใช้อะไรวิเคราะห์?”


 


“ทั้งเวลา สถานที่ คนและเหตุการณ์ มันเป็นการวิเคราะห์ที่ดี”


 


หวังไคส่ายหัว “มันไม่ใช่การวิเคราะห์ที่ดี นี้มันคือการคาดเดาของนายเองล้วนๆ ไม่มีพื้นฐานหลักการ”


 


และในจังหวะหวังไคไม่เชื่อสิ่งที่ชูฮันบอกและชูฮันก็ขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งอธิบาย หลิวยู่ติงก็เข้ามาจากทางด้านหลังและร้องอุทานขึ้นอย่างตื่นเต้น


 


“หัวหน้า!” หลิวยู่ติงวิ่งเข้ามาและส่งแบบร่างที่ได้ทำการปรับปรุงบทลงโทษแล้วให้ชูฮัน “นี่คือบทลงโทษระดับ 2 สำหรับความผิดที่แรงกว่าระดับแรก บมลงโทษเองก็รุนแรงขึ้น หัวหน้าว่ายังไง?”


 


ชูฮันรับเอกสารมาและทันทีที่ได้เห็นเนื้อหาข้างในหัวใจของชูฮันก็เต้นรัว เขาแทบจะทำกระดาษในมือหล่น จากนั้นเขาก็หันหน้ามองไปหลิวยู่ติงด้วยความตกใจทันที

 

 

 


ตอนที่ 486

 

“มันเป็นยังไงบ้าง? คิดว่าไง?” หลิวยู่ติงตื่นเต้นและพยายามกระตุ้นให้ชูฮันตอบรับ “หัวหน้า เห็นทิศทางของบทลงโทษทั้งหมดนี้มั้ย?”


 


ชูฮันพยักหน้าและมองหลิวยู่ติงด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความต่อต้าน เขาถือได้ว่าเขาโชคดีมากที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในที่นี้ และตราบใดที่เขายังอยู่ที่ค่ายของเขาก็จะไม่มีใครลงโทษเขาได้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าหลิวยู่ติงจะได้รับแรงบันดาลใจจนทำให้เขาหลอนได้ขนาดนี้


 


ดูที่รายการที่หลิวยู่ติงเขียนมาทั้งหมดนี้สิ ถ้าไม่ทำให้คนตายขึ้นมาจริงๆก็กัดลิ้นตายอยู่ในอก!


 


“เฮ้ โอ๊ะ!” หลิวยู่ติงดูเหมือนได้เจอกับความสนุก “ฉันยังมีไอเดียอีกมากมายให้เขียน พอเวลา—-“


 


“ก่อนอื่น มันพอแล้ว พอแล้ว” ชูฮันเริ่มกลัวอยู่ในใจ “ตอนนี้เริ่มเขียนบทลงโทษของอีกสองระดับได้แล้ว ระดับ 4 ก็ให้รุนแรงขึ้น ระดับ 5 อย่าให้ถึงตาย”


 


“เข้าใจแล้วครับ!” หลิวยู่ติงกลับไปทำงานต่อ


 


หลังจากหลิวยู่ติงจากไป ชูฮันก็เริ่มเกิดความรู้สึกลึกๆว่าหลิวยู่ติงจะทำกับกฏหมายทหารนี่อย่างเกินความคาดหมายที่เขาคาดไว้ แต่ถึงอย่างนั้นตั้งแต่การลงโทษระดับ 1 และ 2 แน่นอนว่ามันเป็นไปตามคำขอของเขาเองแต่ว่ามันเลวร้ายเกินกว่าที่เขาคิด


 


ชูฮันต้องการที่จะขยายกองทัพของเขา เขาจำเป็นต้องเกณฑ์คนแต่เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าทุกคนจะจงรักภักดีต่อเขา ซึ่งมันคือความเป็นจริง เพราะฉะนั้นการมีอยู่กฏหมายทหารของหลิวยู่ติงจะเป็นเครื่องที่ยืนยันผลลัพธ์ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายทหารอย่างเคร่งครัด ถ้าใครไม่ทำตามกฏระเบียบ คนคนนั้นจะถูกส่งมอบให้หลิวยู่ติงนำไปลงโทษ


 


และในตอนนี้ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลยเพราะหลิวยู่ติงพึ่งสร้างสิ่งที่ไม่ต่างจากปีศาจขึ้นมาตามคำสอนชูฮันที่ให้หลิวยู่ติงไป มันได้กลายเป็นฝันร้ายสำหรับทั้งกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่เป็นกองทัพนักรบเหนือกองทัพใดๆ ทุกคนที่ได้เห็นกองทัพเขี้ยวหมาป่าต่างหวาดกลัวแม้จะได้ยินแค่เพียงเสียงร่ำลือจากข่าวลือก็ตาม


 


กฏหมายปีศาจของหลิวยู่ติง ชื่อนี้จะกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งจีนด้วยชื่อเสียงของกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่ดังก้องไปทั่วทั้งประเทศ


 


“ท่านชูฮัน! ผมกลับมาแล้ว!” จู่ๆเสียงของซูเฟิงก็ดังขึ้นตามมาด้วยร่างที่ปรากฏตัวต่อหน้าชูฮันด้วยท่าทางตื่นเต้นไม่ต่างจากหลิวยู่ติงเมื่อครู่


 


ชูฮันมองกลับไปด้วยแววตาลึกลับ “นายตื่นเต้นอะไร?” “ผมจะเล่าให้ฟัง…” แววตาของซูเฟิงเป็นประกาย มันฉายทุกอย่างอย่างชัดเจนให้คนที่สบตา


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ดูทั้งสี่กลุ่มทำลายล้างฝูงซอมบี้สองพันกว่าตัวโดยไม่ต้องมีคำสั่งของชูฮัน มันยิ่งทำให้ความชื่นชมของซูเฟิงที่มีต่อชูฮันเพิ่มขึ้นไปอีก กลุ่มของเด็กใหม่ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องกลยุทธ์ในการต่อสู้เมื่อเดือนก่อน แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่เดือนเดียว พวกเขากลับสามารถประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ท่ามกลางสถานกาณณ์สำคัญและวิกฤต มันคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แถมยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอีก!


 


เฉินช่าวเย่เป็นผู้นำเพียงคนเดียวและสมาชิกทั้งหมดต่างร่วมด้วยช่วยกัน การพลิกกลับราวกับมีมนต์ขลังนี้แท้จริงแล้วคือผลจากการได้รับการฝึกฝนจากชูฮันภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น


 


หลังจากได้ฟังการรายงานของซูเฟิง มันก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชูฮัน เขาห้ามใจไม่ให้ตัวเองดีใจไม่ได้ ตื่นเต้นใช่มั้ยล่ะ? นี่แหละคือกองทัพที่เขาฝึกมาเอง!


 


หวังไคอึ้งไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเทียบกับรายงานผลการฝึกทีละขั้นของซูเฟิง หวังไคยิ่งตกใจเข้าอีกกับสิ่งที่ชูฮันวิเคราะห์ไว้ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ การพัฒนาของเรื่องๆต่างนั้นเป็นไปตามที่ซูเฟิงอธิบายอย่างพอดิบพอดี ทุกอย่างเป็นไปตามที่ชูฮันคาดไว้ทั้งหมด


 


“ท่านชูฮัน ค่อก แค่ก ท่านชูฮัน?” หวังไคกอดขาชูฮันพร้อมกับอ้อนวอน “นายน้อยคือเทพมาจุติชัดๆ!”


 


———–


 


เช้าวันถัดมา แสงเริ่มสาดส่อง มันเป็นวันที่สองสำหรับทั้งสิบหกกลุ่มที่เข้ามาในสุสานแห่งนี้ แต่ละกลุ่มมีความก้าวหน้ากันทั้งหมด ทั้งสี่กลุ่มที่ร่วมมือกันทำลายล้างฝูงซอมบี้เมื่อคืนนี้ได้แยกย้ายกันไปคนละทิศทางของตัวเองแล้วเรียบร้อยตามแผนการของชูฮันที่วางไว้แต่แรก


 


เมืองหลิงเฉิงเองก็ได้มอบแสงอาทิตย์ยามเช้าที่อบอุ่นให้แก่ทุกคน แต่มันมีซากศพซอมบี้กองอยู่ที่พื้นมากเกินไป ศพเหล่านี้คือผลงานของทั้งสิบหกกลุ่มที่ตั้งแต่เข้าเมืองมาเมื่อวันก่อน


 


ชูฮันยังคงอยู่กับหลิวยู่ติงบนหลังคาตึกใจกลางเมือง หลิวยู่ติงนั่งเขียนกฏหมยทหารข้ามคืนไม่หลับไม่นอน


 


ซูเฟิงเองก็ไปจากหลังคาและทำหน้าที่เดิมของตัวเองต่อไป นั่นก็คือช่วยชูฮันติดตามเฝ้าดูทั้งสิบหกกลุ่ม ซูเฟิงจึงได้แต่วิ่งไปรอบๆเมืองไม่หยุดอย่างวุ่นวาย


 


หลิงหลิงซวนที่หนีฝูงซอมบี้มา ในตอนนี้เองก็กำลังมุ่งหน้าไปทางกลางเมืองเช่นกัน แต่แล้วจู่ๆเขาก็ต้องหยุดชะงักกลางถนนพลางนิ่วหน้าใส่กลุ่มคนที่ยืนตั้งมั่นอยู่ตรหน้าเขา


 


ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สุสานนี้ถึงมีคนโผล่มาเต็มไปหมด?


 


ไหนจะคนที่เขาเห็นเมื่อวานหรือกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้อีก หลิงหลิงซวนใช้สัมผัสของเขาสัมผัสได้ว่าคนพวกนี้เป็นแค่คนธรรมดา


 


กลุ่มที่สี่ซึ่งนำโดยกูเหลียงเฉินยืนมองหาร่องรอยเบาะแสของซุปเปอร์ซอมบี้กันอยู่ตามคำแนะนำของชูฮัน และในตอนน้ีจู่ๆหลิงหลิงซวนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาโดยไร้สัญญาณเตือนใดๆและแน่นอนว่าพลังผันผวนของหลิงหลิงซวนทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัด


 


พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าหรือปรมาจารย์อยู่!


 


หลี่ชวนยืนอยู่ข้างๆกูเหลียงเฉิน ทันทีที่ได้เห็นคนแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า หลี่ชวนก็อ้าปากค้างและยืนจ้องไปที่คนแปลกหน้าทันที


 


กูเหลียงเฉินหรี่ตา หลังจากเผชิญหน้ากับหลิงหลิงซวนอยู่ครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าที่เขยิบเข้ามาหาพวกเขาก็ทำให้กูเหลียงเฉินและหลี่ชวนต้องยอมหลบให้ เหล่าทหารผ่านศึกหลายคนเข้าใจความหมายของกูเหลียงเฉินทันทีว่า…พลังการต่อสู้ของของคนแปลกหน้าของนี้ไม่ธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อกรได้


 


หลังจากความลังเลเล็กน้อย สมาชิกที่เหลือทั้งหมดก็ถอยหนีไปยืนชิดถนนทั้งสองฝั่ง เพื่อเปิดทางให้คนแปลกหน้า ทำให้หลิงหลิงซวนมีที่พื้นที่เพิ่มเป็นถนนทั้งเส้น


 


คิ้วของหลิงหลิงซวนเลิกขึ้น ช่างเป็นระเบียบวินัยและแบบแผน? แต่พวกเขาไม่ใช่ทหาร?


 


ความคิดแล่นผ่านเข้ามาในหัว หลิงหลิงซวนยกเท้าขึ้นและก้าวเดินไปด้านหน้า แต่ในใจของนั้นกำลังยิ้มเยาะ…พวกทหารก็มักเป็นแบบนี้ ทำให้ตัวเองไม่มีคุณค่าของความเป็นทหารเลยสักนิด


 


กูเหลียงเฉินผู้เย็นชาไม่ได้พูดอะไร เขามองคนแปลกหน้าที่ก้าวเดินผ่านกลุ่มพวกเขาไปจนร่างของคนคนนั้นหายไปจากระยะสายตา


 


ทั้งหลี่ชวนและกูเหลียงเฉินไม่มีการพูดคุยกันใดๆจนกระทั่งคนแปลกหน้าหายเดินทิ้งห่างไปไกล


 


“พี่กู คนคนนั้นแข็งแกร่งมากเลยเหรอ?” หลี่ชวนที่ไม่ใช่มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


ในขณะที่กูเหลียงเฉินกำลังจะอ้าปากตอบ—–


 


“ถามอะไรไร้สาระ? ไม่เห็นเหรอไงว่าหัวหน้ากลุ่มยอมหลบให้ขนาดนั้น?” น้ำเสียงเยาะเย้ยดังมาจากกลุ่มของคนมาใหม่…ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม…เจิ้งเย้าพูดอย่างเหยียดหยาม “พอเห็นคนเก่งกว่าก็รีบหดหัวทันที เนี่ยนะเหรอกองทัพ! ที่บอกว่าฆ่าซอมบี้ได้มากมายและได้ชัยชนะมาหลายสงครามนั่นก็เรื่องโกหกไว้โอ้อวดทั้งนั้นใช่มั้ยล่ะ?!”

 

 

 


ตอนที่ 487

 

คนอื่นพลันขมวดคิ้วหากเป็นไปด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป เหล่าทหารผ่านศึกไม่ได้เอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรก ส่วนอารมณ์ของกูเหลียงเฉินนั้นคือเขาไม่แยแสว่าใครจะคิดยังไงเกี่ยวกับเขา


 


หลี่ชวนที่หาเสียงของตัวเองไม่เจอไปพักหนึ่ง ไม่สนใจว่าเจิ้งเย้าจะเป็นผู้หญิงหรือเปล่า เขาพลันเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจิ้งเย้า อย่าคิดว่าเพราะเธอเป็นผู้หญิงแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ เธอไม่ใช่ติงเซวหรือชูเซี่ย ทางที่ดีอย่ามายั่วอารมณ์ดีกว่า แยกย้ายไปซะ”


 


“เฮ้ย?” เจิ้งเย้าตวัดสายตามองหลี่ชวนทันที “ถ้านายชอบติงเซวและชูเซี่ยมากนัก ทำไมนายไม่ไปข่มขืนพวกมันซะเลยล่ะ? ทั้งฉันและพวกมัน ยังไงฉันก็ไม่ได้อยู่ในกองทัพอยู่ในทีมของพวกนายอยู่แล้ว อย่าพูดให้ดูดีไปหน่อยเลย!”


 


“หุบปากซะ! ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าขยะแขยงอะไรได้ขนาดนี้!” หลี่ชวนโกรธจัด


 


ติงเซวเป็นภรรยาทางกฏหมายของเฉินช่าวเย่ ส่วนชูเซี่ยนั้นเป็นเด็กผู้หญิงอายุแค่สิบห้าปี ยัยเจิ้งเย้าคิดบ้าบออะไรอยู่?


 


ยิ่งไปกว่านั้นชูฮันได้ระบุไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน ชูฮันจะไม่ยอมให้มีสถานการณ์ไม่เหมาะสมใดๆเกิดขึ้นในกองทัพของเขาเด็ดขาด กองทัพก็คือกองทัพ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงทั้งหมดคือทหารเทียบเท่ากันหมด!


 


คำพูดของเจิ้งเย้าไม่เพียงแต่ทำให้หลี่ชวนโกรธ แต่ยังทำให้เหล่าทหารผ่านศึกที่เหลือจ้องมาอย่างไม่พอใจกันหมดรวมถึงกูเหลียงเฉินที่มองมาด้วยสายตาเย็นยะเยือกและแฝงไปด้วยจิตสังหาร


 


“เหอะ!” เจิ้งเย้ามองไปที่กลุ่มคนที่จ้องเธอพลันแสยะยิ้มใส่โดยไม่คิดจะสงวนท่าทางของตัวเองเลยสักนิด แถมเจิ้งเย้ายังอาละวาดขึ้นหนักกว่าเดิมอีก “หรือเพราะนายแอบคิดไม่ซื่อกับติงเซว? นายคิดจะพูดอะไร คิดจะพูดอะไร? เหอะ! นี่มันกลุ่มรวมแต่ขยะชัดๆ มีแต่พวกสมองครึ่งๆกลางๆ! เอาแต่อยากคิดจะมีอะไรกับฉัน!”


 


เจิ้งเย้าที่ใช้ชีวิตท่ามกลางโลกาวินาศไม่มีความสนใจในมนุษยชาติและศีลธรรม เธอไม่มีอะไรให้ต้องหลบซ่อน ในตอนนี้เธอไม่คิดว่าเธอทำอะไรผิดด้วยซ้ำ


 


นอกเหนือจากการโดนข่มเหงและถูกข่มเหง!


 


และในขณะที่กลุ่มทหารกำลังตัวสั่นด้วยความโกรธ เช่นเดียวกับหลี่ชวนที่อารมณ์ปะทุและโกรธจัด—–


 


เพี้ยะ!


ทันใดนั้นก็มีมือตบเข้าที่หน้าของเจิ้งเย้า!


 


เจิ้งเย้าเป็นแค่คนธรรมดา เมื่อโดนแรงอัดของฝ่ามือที่ตบลงมาเข้าไป มันทำให้เจิ้งเย้าไม่สามารถลุกขึ้นมาจากพื้นได้เป็นเวลาพักใหญ่เลยทีเดียว


 


ลูกตบนี้เป็นฝีมือของกูเหลียงเฉิน


 


ทุกคนประหลาดใจที่ได้เห็นกูเหลียงเฉินทำแบบนั้น หลี่ชวนกระพริบตาปริบอย่างตกใจ หลี่ชวนไม่คิดเลยว่าการสั่งสอนแรกสำหรับเจิ้งเย้าจะมาจากกูเหลียงเฉิน…ภูเขาน้ำแข็ง ถือว่าเจิ้งเย้าต้องเหลือเกินและต้องคุ้มค่าแก่กูเหลียงเฉินพอที่จะลงมือเอง สามารถทำให้ถูเขาน้ำแข็งหลุดจากขั้วโลกออกมาได้


 


กูเหลียงเฉินชักมือกลับมา เขาเหยียกปากแสดงออกถึงการดูถูก “ครึ่งเดือนที่แล้วเราได้พบกับกลุ่มคนของค่ายอื่นและในกลุ่มนั้นมีโสเภณีอยู่ด้วยหลายคน แต่กลุ่มของเราไม่มี พวกนั้นคิดว่าผู้หญิงสองคนในกลุ่มเราเป็นโสเภณี ท่านชูฮันให้ติงเซวตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับอีกฝ่ายที่คิดจะข่มขืนเธอ ซึ่งอีกฝ่ายเป็นวิวัฒนาการระยะ 1 ส่วนติงเซวเป็นแค่คนธรรมดา ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดนี้ทำให้ทุกคนเป็นห่วง แต่ผลลัพธ์คือเป็นเพราะติงเซวนั้นได้รับการฝึกฝนและควบคุมอารมณ์มาอย่างดี เธอจึงใช้มีดปาดคอวิวัฒนาการระยะ 1 คนนั้นตายคาที่ได้ทันที!”


 


“ติงเซวฆ่าคนนั้นและพวกของชายคนนั้นก็รีบหนีกระเจิงกันไปทันที เธอรู้มั้ยว่าทำไม?” กูเหลียงเฉิยยิ้มโค้งมุมปากอย่างเย็นชา


 


กลุ่มของคนมาใหม่ไม่มีใครกล้าปริปากพูด ทุกคนช็อคค้างด้วยความกลัวและตั้งใจฟังสิ่งที่กูเหลียงเฉินพูด แม้คำพูดที่กูเหลียงเฉินใช้จะไม่ใช่คำที่เรียบง่ายแต่มันไม่ได้ขัดขวางความกลัวที่สมองพวกเขารับรู้ได้ ตั้งแต่แรกแล้วติงเซวและชูเซี่ยเป็นบุคคลที่โดดเด่นอยู่แล้วท่ามกลางผู้คน พวกเธอเป็นคนสวย และยิ่งตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกี่ยวกับความสามารถของคนธรรมดาอย่างติงเซวแต่กลับสามารถฆ่าวิวัฒนาการได้ มันจึงเกิดความช็อคขึ้นในหัวใจของพวกเขา


 


เธอกล้าแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ? เจิ้งเย้าที่กำลังสำลักอย่างน่าเวทนาอยู่ที่พื้นไม่พอใจและมีสีหน้าบิดเบี้ยว เธอรู้สึกเหมือนกับว่าฟันเธอหลุดออกมาและหัวของเธอเหมือนถูกกระแทกอัดเข้าอย่างแรงจนมึนไปหมด ลูกตบจากกูเหลียงเฉินไม่เบาเลยทีเดียว ไอ้ขยะนี้พอเวลาเห็นคนอื่นเก่งกว่าตัวเองก็หลบทางให้เขา เธอก็แค่พูดความจริงแต่มันกลับทำเธอฟันร่วง!


 


“เคยมีคนถามท่านพลเอกชูฮันว่าทำไมกองทัพเขี้ยวหมาป่าถึงมีผู้หญิงอยู่ด้วย ฉันคิดว่าคำตอบของท่านพลเอกสมเหตุสมผล ท่านตอบว่า…มันมีคนอยู่สองประเภทในกองทัพ ไม่ใช่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่เป็นคนกล้าหาญและขี้ขลาด” อีกครั้งที่กูเหลียงเฉินเปิดปากพูดพร้อมกับจ้องตากับเจิ้งเย้าอย่างเย็นชา “เพราะติงเซวเป็นคนกล้าหาญ ที่ไม่เคยทำผิด!”


 


ทหารผ่านศึกทั้งหลายต่างภาคภูมิใจในตัวเพื่อนทหารกันเอง แต่เหล่าคนมาใหม่ทั้งสามคนในกลุ่มที่สี่กลับมีแววตาเป็นประกาย…กล้าหาญและขี้ขลาด นี่คือมาตรฐานที่กองทัพเขี้ยวหมาป่าใช้แยกแยะระหว่างแต่ละคน!


 


“ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง—-” หลี่ชวนไม่ลืมที่จะเติมเชื้อเพลิงเพิ่มเข้าไป “ติงเซวเป็นภรรยาของพลโทของจีนอย่างเฉินช่าวเย่ และชูเซี่ยก็มีศักดิ์เป็นน้องสาวของพลเอกของจีน”


 


ยิ่งหลี่ชวนพูดแบบนี้มันยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้คำพูดของกูเหลียงเฉินเข้าไปอีก


 


เจิ้งเย้าในตอนนี้ที่เมื่อได้ฟังการบอกเล่าของกูเหลียงเฉิน เธอไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดหรือเข้าใจอะไรทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อได้เห็นท่าทางจริงจังและตึงเครียดพร้อมกับคำบอกเล่าของหลี่ชวนที่สมทบมาอีกนั้น จู่ๆความกลัวก็เริ่มเข้าเกาะกุมหัวใจของเจิ้งเย้า อารมณ์มากมายเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เธอรู้ว่าติงเซวและชูเซี่ยนั้นเป็นคนระดับสูงและเธอไม่ควรพูดถึงผู้หญิงสองคนนั้นแบบนี้เพราะโทษคือประหาร


 


เจิ้งเย้าไม่กล้าจะพูดอะไร เธอพลันรีบทรุดตัวลงกับพื้นและเงยหน้าอ้อนวอนกูเหลียงเฉิน “ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว ฉันมันบ้า ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย อย่าทำร้ายฉันเลย จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ จริงๆนะฉันยอม”


 


ไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวใดๆในแววตาของกูเหลียงเฉินเลยสักนิด คงไว้แต่ความเหน็บหนาวและเย็นชาสำหรับคนที่มองมา “งั้นเหรอ? เธอมันคนขี้ขลาดพูดจากลับกลอก กองทัพเขี้ยวหมาป่าจะไม่ยอมรับคนขี้ขลาด อันดับแรกวันนี้เธอเยาะเย้ยดูหมิ่นผู้นำสูงสุดของกองทัพเรา และยังทำให้เพื่อนร่วมกลุ่มอับอายขายขี้หน้า ฉันในนามของหัวหน้ากลุ่มที่สี่ขอสั่งโทษประหารให้เธอ”


 


เหล่าทหารผ่านศึกได้แต่ตะลึงเพราะโดยปกติกูเหลียงเฉินจะเป็นคนพูดน้อยมาก แต่วันนี้กลับพูดเยอะเกินกว่าที่พวกเขาเคยเห็น


 


บุคคลที่มีปัญหาควรถูกกำจัดให้หมดอย่างรวดเร็วทันทีที่ตรวจเจอความบกพร่อง แม้ว่าแนวทางของกูเหลียงเฉินอาจจะทำเกินเหตุแต่โทษประหารก็ยังถือเป็นข้อสรุปบทลงโทษที่เจิ้งเย้าต้องได้รับอยู่ดี เหล่าทหารผ่านศึกทั้งเจ็ดคนต่างไม่มีใครโต้แย้ง ความคิดของพวกเขาสอดคล้องไปทางเดียวกันหมด การฆ่าเจิ้งเย้าเพื่อจัดการกับปัญหาอันตรายที่ซ่อนเร้นซึ่งอาจสร้างความวุ่นวายได้ในภายภาคหน้าถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเชือดไก่ให้ลิงดู


 


เหล่าคนมาใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมกับกลุ่มอาจจะมีความขัดแย้งขึ้นในใจแต่พวกเขาเองก็จำเป็นต้องรู้ด้วยว่าวิธีการทำงานของกลุ่มก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน แต่ก่อนที่พวกเขาจะลงโทษประหารแก่เจิ้งเย้าพวกเขาก็ต้องให้เหตุผลที่สมเหตุสมผล ไม่อย่างนั้นเหล่าคนมาใหม่ก็จะมีแต่ความหวาดกลัวและระแวงว่าตัวเองจะถูกฆ่าทันทีถ้าไม่เชื่อฟังคำสั่ง แทนที่จะเป็นจิตแรงกล้าที่อยากติดตามกองทัพเขี้ยวหมาป่าด้วยใจจริง


 


ตามที่ทหารผ่านศึกหลายคนคาดไว้ เหล่าคนมาใหม่ที่เหลือตกต่างอยู่ในห้วงความคิดทันที


 


ก่อนที่คำพูดของกูเหลียงเฉินจะได้รับการปฏิบัติตามอย่างที่บอกกับเจิ้งเย้าที่กำลังจะตายไว้ คำพูดของกูเหลียงเฉินที่พูดกับเจิ้งเย้าก็เหมือนเป็นการบอกกล่าวผ่านไปยังคนมาใหม่ที่เหลือด้วยว่าเขาสามารถฆ่าทุกคนที่ทำผิดได้หมด เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเหมือนกันหมด การตัดสินใจทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง


 


และในขณะที่กูเหลียงเฉินพูดจบ เขาก็ยกดาบยาวในมือขึ้นและกำลังจะเริ่ม——-


 


ฟรึบ!


 


จู่ๆก็มีคาบโค้งมาเข้าสกัดวิถีดาบของกูเหลียงเฉินเอาไว้ และกระแทกอาวุธหลุดออกจากมือของกูเหลียงเฉิน! 

 

 


ตอนที่ 488

 

กูเหลียงเฉินรู้สึกได้ถึงแค่พลังโจมตีที่แข็งแกร่ง ถ้ามันไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายต้องการรีบกำจัดอาวุธของเขาให้เร็วที่สุด คาดว่าแขนของเขาคงขาดไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแขนของเขาก็ยังเจ็บหนักจากแรงกระแทกที่รุนแรงนั่นอยู่ดี กล้ามเนื้อของเขาเริ่มบวมเป่งและความเจ็บเริ่มแทรกซึมลงไปถึงกระดูก


 


เขาเงยหน้าขึ้น มองไปที่ดาบโค้งตรงหน้าด้วยความระวัง การโจมตีระดับนี้อย่างน้อยอีกฝ่ายต้องเป็นวิวัฒนาการระยะ 5


 


คนอื่นๆเองก็ช็อคกันหมดกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทหารผ่านศึกทั้งหลายต่างรวมตัวและยืนตั้งท่าป้องกันรอบกูเหลียงเฉินทันที


 


ในตอนนั้นเอง ตรงข้ามกับกลุ่มทหารผ่านศึก ดาบโค้งก็ถูกชักกลับไปในมือของอีกฝ่าย อู๋หยูเฉียงมองไปที่ผู้คนตรงหน้าเขา เขาก้าวเท้าตรงเข้ามาข้างหน้าโดยไม่สนใจสายตาของทุกคนที่มองมาและเมื่ออู๋หยูเฉียงเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เขาก็ค่อยๆหลุบตามองต่ำลง มองไปที่เจิ้งเย้าที่ยังคงหมอบอยู่ที่พื้น


 


“พวกแกก็เหมือนกับผู้หญิงคนนี้นั่นแหละ มีแต่พวกขยะทั้งนั้น” อู๋หยูเฉียงทำตัวสูงส่งเหนือคนอื่นอย่างไม่คิดปิดบัง “ฉันนั่งฟังพวกแกพล่ามเรื่องไร้สาระมาได้ห้านาทีแล้ว ตั้งแต่ฟังมาฉันยังไม่เห็นว่าพวกแกคนไหนสักคนจะไม่ใช่ขยะเลย? เสียเวลาเปล่าชะมัด! เหอะ! พลเอก? ฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


อู๋หยูเฉียงพูดอย่างไม่ไว้หน้ากูเหลียงเฉินหรือคนอื่นๆในสายตาเลย เพราะถึงอย่างไรเขาถือว่าตัวเขาเป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 5 และก็มีแค่กูเหลียงเฉินที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มที่สี่นี้ซึ่งก็เป็นเพียงแค่วิวัฒนาการระยะ 3 เท่านั้น คนพวกนี้ไม่มีใครเทียบเขาได้


 


กูเหลียงเฉินกุมแขนที่เจ็บของเขาไว้ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความกังวล ผู้ชายตรงหน้ามีบุคลิกที่แกร่งมากและการปรากฏตัวของเขาก็น่าดุดัน ไม่เหมือนกับผู้ชายคนที่พึ่งจากไปก่อนหน้านี้


 


“ใช่ ใช่แล้ว!” เจิ้งเย้าที่สบโอกาสก็คว้าผลประโยชน์ตรงหน้าเอาไว้ทันที เธอตะกายตัวขึ้นไปกอดขาของอู๋หยูเฉียงไว้พลางชี้นิ้วไปที่กูเหลียงเฉินและคนอื่นๆตรงข้าม “พวกมันก็ดีแต่โม้ ก็แค่กลุ่มขยะไร้ประโยชน์ นี้ต่างหากคนที่แข็งแกร่งจริงๆ คนที่ทรงพลังจริงๆได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกแกเลิกเห่าได้แล้ว!”


 


“ออกไป!” อู๋หยูเฉียงไม่มีความสงสาร เขาใช้เท้ายันตัวเจิ้งเย้าออกไปจากตัว “อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกคิดอะไรอยู่!”


 


อู๋หยูเฉียงได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านั้นชัดเจน ชื่อของชูฮันในตอนนี้ใครจะไม่รู้จัก? ชื่อมันดังก้องฟ้าซะขนาดนี้ อู๋หยูเฉียงที่มักจะสนใจเกี่ยวกับอันดับของนักต่อสู้อยู่แล้วรู้ดีถึงเอกลักษณ์ของชูฮัน และในเมื่อกลุ่มคนพวกนี้เป็นหนึ่งในกองทัพของชูฮันซึ่งเป็นพลเอกที่อายุน้อยที่สุดของจีน เขา…อู๋หยูเฉียงก็ต้องใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าหาชูฮัน เขาต้องกั้นอีกฝ่ายไม่ให้ฆ่าได้อย่างง่ายๆ


 


อย่างไรก็ตาม การไม่ฆ่าไม่ได้หมายความว่าอีนี่จะทำอะไรตามใจชอบได้


 


เมื่อนึกได้เช่นนั้น อู๋หยูเฉียงก็ยื่นเท้าออกไปเขี่ยคางของเจิ้งเย้าด้วยท่าทางเหยียดหยามอย่างมาก พลางเบนหน้าหันไปพูดกับกูเหลียงเฉิน “มีคนต้องโทษประหารให้ฆ่า พวกกลุ่มขยะพวกนี้ไม่มีแม้แต่ความเมตตาให้กับผู้หญิงเลย น่าสนใจนี่งั้นก็เอาขยะที่พวกแกไม่ต้องการมาให้ฉันใช้ประโยชน์น่าจะดีกว่าเพราะฉันไม่ได้สัมผัสผู้หญิงมาหลายวันแล้ว!”


 


ตาของเจิ้งเย้าเป็นประกาย “ฉันสัญญา—-“


 


พั้วะ! ภาพตัดอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครมองตามทัน คำพูดของเจิ้งเย้ายังไม่ทันจบประโยคดี เธอถูกอู๋หยูเฉียงกระฉากตัวขึ้นมา ทุกคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง อู๋หยูเฉียงก็พลันหายตัวไปอย่างว่องไวในอากาศ


 


กูเหลียงเฉิงคิ้วกระตุก “นี่เป็นปัญหาใหญ่แล้ว”


 


“ปัญหาอะไร? แต่ถึงยังไงเจิ้งเย้าก็ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มเราแล้ว เราไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นกังวลอะไรเกี่ยวกับเธอ” บางคนไม่เข้าใจว่าทำไมกูเหลียงเฉินต้องเป็นกังวล ทั้งยังแววตาของหลี่ชวนที่แฝงไปด้วยความกลัวขณะมองตามอู๋หยูเฉียงที่หายไป “คนไหนแข็งแกร่งกว่ากัน คนนี้หรือคนก่อนหน้านี้? พวกเรารวมกันสู้น่าจะมีสิทธิ!”


 


“ฉันไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างสองคนนั้นได้ อีกอย่างพลังของฉันนั้นสูงกว่าระยะวิวัฒนาการของฉันเยอะ” กูเหลียงเฉินส่ายหัวและถอนหายใจ


 


ทหารผ่านศึกหลายคนเริ่มคิดวิเคราะห์


 


“เรื่องมันก็จบไปแล้ว เราเริ่มค้นหาร่องรอยซุปเปอร์ซอมบี้ต่อไปแต่เร่งความเร็วขึ้น ตอนนี้มีนักต่อสู้ระดับสูงสองคนอยู่ในหลิงเฉิงแล้ว นี้มันไม่ใช่แล้ว!”


 


“ใช่ เราจำเป็นต้องเร่งความคืบหน้าขึ้นและไปให้ถึงจุดนัดพบให้ไวที่สุด!”


 


“อืม เราจำเป็นต้องรายงานสถานการณ์ต่อท่านพลเอก”


 


ยืนอยู่ห่างออกไป ซูเฟิงยืนดูอยู่พร้อมกับเอามือเตะคางอย่างใช้ความคิด ตอนนี้เขากำลังคิดว่าเขาจำเป็นต้องสู้กลับ เขารู้ว่าอีกฝ่ายพึ่งจับตัวผู้หญิงและจากไปแถมมันเป็นการกระทำที่ฉลาดมาก


 


———


 


ครึ่งวันต่อมาบนทางเดินที่มืดมิด อู๋หยูเฉียงคิดว่าบริเวณนี้น่าจะไม่มีใครอยู่ เขาใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออกจากนั้นก็โยนเจิ้งเย้าในมือลงไปที่พื้น


 


เจิ้งเย้าที่ถูกปฏิบัติไม่ต่างกับกระสอบทราบที่ถูกหิ้วโยนไปมาสำลักออกมาเป็นเลือด เธอนอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกเต็มไปหมด มันมีทั้งเลือดเหม็นเน่าและเศษชิ้นส่วนที่น่าขยะแขงกระจายอยู่ไปทั่วห้อง


 


แววตาของเจิ้งเย้าวาวด้วยความขุ่นเคือง เธอเจอกับกลุ่มคนโง่ๆที่ไม่สนใจเธอจริงจัง และตอนนี้คนที่เธอกอดขาเพราะคิดว่าเป็นทางออกกลับทำกับเธอเหมือนขยะ


 


อู๋หยูเฉียงไม่ให้เกียรติเจิ้งเย้าเลยสักนิด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการกดดัน ข่มขู่และคุกคาม “ฉันจะถามคำถามแกและแกควรจะตอบมาตามจริง ไม่อย่างนั้นแกก็รู้ว่าในห้องนี้เต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานเต็มไปหมด ฉันจะขังแกไว้ในนี้และไม่ช้าก็เร็วแกก็จะเหลือแต่ซากกระดูกที่เน่าเปื่อย”


 


สัตว์ทั้งหลายในโลกาวินาศถูกจำแนกออกเป็นสองสายพันธุ์ พวกสัตว์ที่กลายพันธุ์ทางพันธุกรรมเป็นบ้าคลั่ง คล้ายกับมนุษย์ที่กลายเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ ส่วนอีกประเภทก็คือพวกที่รับไวรัสที่ไม่รู้จักเข้าไปในร่างเหมือนซอมบี้และก็กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ซอมบี้ ที่เนื้อสดๆคือของโปรดปราน เลือดทำให้มีฤทธิ์คลั่งและต้องการ


 


ยกเว้นสัตว์ป่าที่มักไม่ค่อยพบเจอกับซอมบี้ซึ่งอยู่ในป่าทึบ สัตว์ในเมืองอย่างพวกหนู แมลง แมว หมา พวกมันส่วนใหญ่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบของซอมบี้จำนวนมหาศาลได้ พวกมันจึงกลายพันธุ์เป็นซอมบี้กันหมด


 


สัตว์เลื้อยคลานที่ซึ่งตอนนี้อยู่ในห้องนี้คือหนอนที่มีไวรัสซอมบี้อยู่ในร่าง เมื่อคนธรรมดาถูกพวกมันกัด คนคนนั้นจะติดเชื้อทันทีไม่ต่างจากถูกซอมบี้กัด พวกสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก อาจดูไม่น่ากลัวแต่พวกมันมีจำนวนมหาศาลอยู่ภายในตัวเมืองและอันตรายที่เกิดจากมันนั้นรวดเร็วและไม่สามารถประมาทได้เลย


 


นี่เป็นเหตุผลข้อที่สองที่ทำให้ค่ายทั้งหลายเลือกที่จะตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง นอกเหนือจากเหตุผลที่ตัวเมืองมีซอมบี้อยู่เป็นจำนวนมาก


 


“อย่า ฉันไม่กล้า ไม่กล้า” เจิ้งเย้ารีบอ้าปากตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งทันที เผยให้อู๋หยูเฉียงเห็นฟันที่เหลืองอ๋อยสกปรก


 


และในขณะเดียวกัน แววตาของเจิ้งเย้าก็เผยความกลัวที่แสดงให้เห็นถึงคนขี้ขลาด พวกสัตว์เลื้อยคลานบนพื้น…แม้แต่เจิ้งเย้าก็ยังสามารถได้ยินเสียงเคี้ยวที่น่าขยะแขงของพวกหนอนพวกนี้ชัดเจน พวกมันค่อยกลืนกินเนื้อมนุษย์จากกระดูกอย่างรวดเร็ว


 


อู๋หยูเฉียงไม่มีความรังเกียจบนสีหน้าเขาเลยสักนิด เขาพูดขึ้นอย่างเย็นชา “พวกแกเป็นทหารหนิ รู้จักพลโทเหอซางมั้ย?”

 

 

 


ตอนที่ 489

 

“ไอ้หัวล้านนั่นเหรอ ฉันไม่เคยเจอ” เจิ้งเย้าส่ายหัวอย่างไว “พวกเราเป็นแค่ชาวบ้านที่แค่มาบังเอิญเจอพวกนี้ แล้ว—–“


 


พ้ะ!


อู๋หยูเฉียงเป็นคนใจร้อน เขาให้รางวัลตอบแทนแก่เจิ้งเย้าด้วยลูกตบเข้าที่หน้า “กูรู้ทันมึง อย่ามาตอแหลกับกู กูถามว่าพวกมันใช่ทหารมั้ย?”


 


“ชะ ใช่ ใช่พวกมันเป็นทหาร” เจิ้งเย้ารีบเอามือประกบหน้าด้านที่ถูกตบด้วยความเจ็บ และในขณะเดียวกันในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าจริงๆแล้วอีกฝ่ายต้องการอะไร


 


“โง่เง่า!” อู๋หยูเฉียงไม่คิดปิงบังคำพูดถากถางของเขาและยังคงถามต่อ “แสดงว่านี้ก็คือกองทัพทหารจริงๆ? แล้วชูฮันที่พวกนั้นพูดถึงก็คือหัวหน้าของกลุ่มทหารพวกนั้น?”


 


“ชะ ใช่” อีกครั้งที่เจิ้งเย้าพยักหน้ารัวๆและไม่กล้าจะพูดอะไรอีก


 


“แล้วแกได้เห็นคนที่ชื่อว่าชูฮันนั่นมั้ย?” อู๋หยูเฉียงถามต่อ


 


“แล้วความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น ก็แค่เพราะมีตำแหน่งสูงส่งอย่างพลเอกค้ำคอเท่านั้นแหละ” เจิ้งเย้าที่เมื่อเห็นช่องทางก็รีบคว้าโอกาสพูดอย่างใจคิด


 


เมื่อคิดได้เช่นนั้น อู๋หยูเฉียงก็หลุบตาลงคิด ยังไงอันดับของชูฮันก็ยังคงค้างอยู่ที่อันดับที่หนึ่งของรายชื่อระยะ 3 อยู่ ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้ความจริงแล้วชูฮันจะเป็นวิวัฒนาการะยะ 4 แต่ความคิดของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเพราะถึงอย่างไรตัวเขาก็อยู่ในรายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 5 แต่ชูฮันกลับอยู่แค่ในรายชื่อของระยะ 3 เท่านั้นแต่กลับได้เป็นถึงพลเอก นี่มันหยามกันชัดๆ ใครในซางจิงเป็นคนทำการตัดสินใจเรื่องนี้กัน น่าสมเพช! นี้มันกลุ่มคนที่ไม่มีตัวตนหรือความสามารถอะไร มีแต่พวกขยะทั้งนั้น!


 


“ฉันได้เห็นแล้ว” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัวของเจิ้งเย้าดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ขัดจังหวะอู๋หยูเฉียงที่กำลังใช้ความคิดอยู่ข้ึนมา


 


“อะไร?” อู๋หยูเฉียงไม่ได้ยินว่าเจิ้งเย้าพูดอะไร แววตาของอู๋หยูเฉียงแข็งกร้าว ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น “แกเคยเจอชูฮันมั้ย?”


 


“ใช่ ฉันเคยเจอเขา” เจิ้งเย้าตกใจและเมื่อได้สติเธอก็รีบตอบคำถามอย่างรวดเร็ว “เขาพากองทัพมาที่นี้”


 


ชูฮันมากับกองทัพจริงๆด้วย!


 


อู๋หยูเฉียงประหลาดใจอยู่ในอก หากไม่นานจังหวะหัวใจของอู๋หยูเฉียงก็กลับมาเต้นที่จังหวะเดิมและค่อยๆเดินเข้าไปก้มลงบีบคางของเจิ้งเย้าไว้ “เอาแบบเนื้อๆ มีคนทั้งหมดกี่คนในกองทัพ? ใครคือที่เป็นทหารระดับสูงบ้าง? พลังการต่อสู้ของพวกมันคือเท่าไหร่? ประเด็นก็คือพวกมันมาทำอะไรในหลิงเฉิง?”


 


พลันแววตาของเจิ้งเย้าก็เปลี่ยนพร้อมกับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้า “ถ้าฉันบอก นายจะให้รางวัลฉันได้มั้ย?”


 


อู๋หยูเฉียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงตัวเองกลับมา เขาหันไปจ้องเขม็งใส่เจิ้งเย้า “แล้วแกอยากได้รางวัลอะไร?”


 


“ไม่มาก ไม่มากอะไร” แววตาของเจิ้งเย้าเป็นประกาย “ขออาหารให้ฉัน มีน้ำ โอ๊ะใช่ มีคริสตัล ฉันอยากได้คริสตัลของซอมบี้ระยะ 3”


 


หลังจากพูดไปเจิ้งเย้าก็มองไปที่อู๋หยูเฉียงด้วยสายตาคาดหวัง ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าคริสตัลพวกนี้จะเอาไปทำอะไรได้ แต่เธอเห็นกูเหลียงเฉินและคนอื่นๆเก็บซอมบี้เมื่อฆ่าซอมบี้ได้ เพราะงั้นเธอเดาเอาว่ามันคงเป็นของที่มีมูลค่ามากแน่นอน!


 


อู๋หยูเฉียงแสยะยิ้ม “ถ้าแกบอกความจริงกับฉัน ฉันจะให้คริสตัลซอมบี้ระยะ 4 ด้วยซ้ำ”


 


ขณะพูดอู๋หยูเฉียงก็หยิบคริสตัลของซอมบี้ระยะ 4 ออกมาจากกระเป๋าเป้ข้างหลังและโยนคริสตัลสองสามชิ้นไปตรงหน้าเจิ้งเย้า


 


เจิ้งเย้ารีบมองตามไปทันที มันคือคริสตัลที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน มันมีขนาดใหญ่กว่าคริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 ถึงสีจะดำแต่มันกลับเปล่งประกายแววเหมือนกับเพชร หัวใจของเจิ้งเย้าลิงโลดด้วยความดีใจเหมือนกับเธอพึ่งได้ลาภก้อนใหญ่เข้าปาก กูเหลียงเฉินและคนอื่นๆสามารถฆ่าได้แค่ซอมบี้ระยะ 3 เท่านั้น แถมยังต้องใช้กำลังจากทั้งกองทัพเพื่อจัดการกับซอมบี้ระยะ 3 อีก ทั้งต้องล่อหลอกและคอยป้องกัน ใช้เวลาตั้งครึ่งวันกว่าจะฆ่าซอมบี้ระยะ 3 ได้ แต่ผู้ชายคนตรงหน้ากลับสามารถหยิบคริสตัลซอมบี้ระยะ 4 ออกมาให้เธอได้!


 


“เย้” สีหน้าของเจิ้งเย้าแสดงออกชัดเจนถึงความโลภและการประจบสอพลอ เธอลืมลูกตบที่โดนไปก่อนหน้านี้แล้วสิ้นเชิง “เดิมทีกองทัพพวกมันมีกัน 100 คน แล้วพวกเราที่พลัดถิ่นมาก็เข้าร่วมกับพวกมัน ตอนนี้ทั้งกองทัพมีทั้งหมด 160 คน ส่วนเรื่องพลังต่อสู้นั้นฉันไม่รู้เลย แต่ฉันเห็นพวกมัน 100 คนสามารถฆ่าซอมบี้ได้ 1,000 ตัวต่อหน้าต่อตา มันเป็นภาพที่น่าสยองขวัยมาก มีแต่ซากศพ ซอมบี้หัวขาดเต็มไปหมด ตอนแรกฉันคิดว่าพวกซอมบี้มันตายมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าความจริงจะเป็นฝีมือของทหาร 100 คนที่ฆ่าเอง”


 


“เข้าเรื่องซะที!” อู๋หยูเฉียงกัดฟันพูด พยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ เขามองไปที่เจิ้งเย้าด้วยสายตาเย็นชาจนเจิ้งเย้าที่เห็นก็ได้แต่หวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก


 


“คะ ค่ะ!” เจิ้งเย้าที่พึ่งได้สติกลับมารีบพูดต่อ “คนที่ชื่อชูฮันนั่น? ใช่ เขาเป็นพลเอกที่โด่งดังคนนั้น เขาเอาแต่โอ้อวดไม่หยุดปาก ส่วนคนอื่นๆฉันไม่รู้เรื่องอะไร มันมีพวกมียศมีตำแหน่งเต็มไปหมด ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมาก ฉันไม่รู้ แต่ฉันรู้ว่ามีพลตรีที่ชื่อว่าหลิวยู่ติงอยู่ด้วย”


 


หลังจากพูดจบเจิ้งเย้าก็หยุดมองดูปฏิกิริยาของอู๋หยูเฉียง เธอกลัวว่าเธอจะพูดอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจออกไป เพราะเธอต้องการอาหารและคริสตัล เพราะเช่นนั้นเธอต้องทำให้อีกฝ่ายพอใจให้มากที่สุด


 


อู๋หยูเฉียงตกอยู่ในภวังค์ความคิด จีนมีพลเอกทั้งหมดสิบห้าคน ชูฮันนั้นโด่งดังไปไกลทั่วทั้งจีน เป็นไปได้อย่างไรที่กองทัพเขาจะมีทหารแค่ 100 คนเท่านั้น? แถมยังมีแค่พลตรีคนเดียวในกองทัพ ไม่ใช่แม้แต่พลโทด้วยซ้ำ? หลิวยู่ติงคนนี้คือใคร เขาไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน คาดว่าน่าจะไม่ใช่พวกเก่งกล้าอะไร


 


“หึ!” เขาคงประเมิณพลังของชูฮันนี่สูงเกินไป


 


เมื่อคิดได้เช่นนั้นอู๋หยูเฉียงก็ยิ้มออกมา พลันเขาก็หยิบเอาอาหารและน้ำเล็กน้อยออกมาจากกระเป๋า “ดี กินแล้วก็พูดต่อซะ พวกมันมาทำอะไรในหลิงเฉิง”


 


“ขอบคุณนะคนหล่อ!” เจิ้งเย้ารับของเข้ามาในอ้อมแขนอย่างตื่นเต้น เธอเพียงจิบน้ำแค่เล็กน้อยหากยังไม่ได้เปิดอาหารกิน


 


ในกลุ่มของกูเหลียงเฉิน ถึงแม้ตลอดที่ผ่านมามันจะไม่ดีอย่างที่เธอคิดไว้ แต่เธอก็ไม่เคยถูกควบคุมอาหาร ตั้งแต่เกิดการปะทุของโลกาวินาศขึ้น ตลอดสองวันที่ผ่านมาในกองทัพเขี้ยวหมาป่าคือสองวันแห่งการกินของเจิ้งเย้า


 


แต่เจิ้งเย้าก็ยังไม่พอใจ ในเมื่ออาหารไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนพวกนั้น เพราะคนพวกนั้นมักจะได้ของอาหารจากคนอื่นที่หยิบยื่นให้เป็นของตอบแทนในการฆ่าซอมบี้ แล้วทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ออกมาแบ่งอาหารให้เธอตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา?


 


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้น้ำเสียงของเจิ้งเย้าก็พลันแข็งกระด้างขึ้นมา “พวกมันมาทำอะไรในหลิงเฉิงงั้นเหรอ? หึ! มันเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่ชื่อว่าชูฮัน มันว่ามีซุปเปอร์ซอมบี้อยู่ที่นี้ มันให้เรามาที่นี้สามวัน นายว่ามันบ้ามั้ย มันซอมบี้มหาศาลอยู่ในเมืองนี้แล้วพวกเราส่วนใหญ่ก็เป็นแค่คนธรรมดากัน มันให้เรามาตามหาซุปเปอร์ซอมบี้ นี้มันจงใจมาปล่อยพวกเราให้ตายอยู่ที่นี้ชัดๆ!”

 

 

 


ตอนที่ 490

 

อู๋หยูเฉียงตกใจ…ชูฮันมาตามหาซุปเปอร์ซอมบี้จริงๆด้วย เขาไม่คิดเลยว่ากองทัพจะรู้เรื่องของซุปเปอร์ซอมบี้ด้วย แถมยังมีพลเอกมาปรากฏตัวถึงที่นี้อีก?


 


น่าสนุกดี! “มีอะไรอีกมั้ย?” อู๋หยูเฉียงยิ้มพลางจ้องหน้าเจิ้งเย้า น้ำเสียงของเขาค่อนข้างพึงพอใจ


 


“ไม่มีแล้ว” เจิ้งเย้าส่ายหัว แต่แล้วจู่ๆเธอก็เงยหน้าขึ้นมาแหกปาก “โอ้ ใช่ พวกมันดูเหมือนจะหัวเสียกับพวกเรา  60คน พวกมันดูเหมือนกลัวที่จะให้พวกเราอยู่ด้วยและมองว่าเป็นข้อด้อยของกลุ่ม ขี้ขลาดชะมัด”


 


“หัวเสีย?” อู๋หยูเฉียงหัวเสีย อินี่ไร้ประโยชน์จริงๆ เวลาอินี่พูด พูดแบบโง่ๆไม่มีสมอง แต่อู๋หยูเฉียงก็พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาก็เลยถามเจิ้งเย้า “แกพูดว่าทั้งหมด 160 คน แต่ตอนที่ฉันเจอพวกแกมันมีแค่ 10 คน มันยังไงกัน?”


 


“ใช่ หัวเสีย” เจิ้งเย้าเปิดกล่องอาหารออกและมุ่งมั่นแต่จะกินมัน เธอไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางหมดความอดทนของอู๋หยูเฉียง เธอกินอาหารเข้าปากและตอบ “มันถูกแบ่งออกเป็น 16 กลุ่ม มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าไอ้งี่เง่านั่นมันคิดอะไรอยู่ ภายในตัวเมืองด้วยจำนวนซอมบี้ที่มากขนาดนี้แต่มันกลับยังแบ่งพวกเราออกเป็นกลุ่มเล็กๆเพื่อให้ทุกคนแยกกันไปคนละเส้นทาง——“


 


ปัง!


เกิดเสียงกระแทกเบาๆขึ้น เสียงของเจิ้งเย้าพลันหยุดชะงักไปกลางอากาศ


 


พรึบ!


ร่างของเจิ้งเย้าล้มลงกระแทกพื้น คอของเธอถูกบิด สีหน้าบิดเบี้ยวแสดงออกถึงความโศกเศร้าคงค้างไว้ อาหารทะลักคาอยู่ที่ปาก


 


อู๋หยูเฉียงมีสีหน้าพึงพอใจ “แมลงสาบก็เป็นแมลงสาบอยู่วันยังค่ำ ควรตายไปซะ”


 


มองไปที่สัตว์เลื้อยคลานที่พื้นที่ค่อยๆคลืบคลานเข้ามาที่ร่างของเจิ้งเย้าอย่างช้าๆ อู๋หยูเฉียงเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาในหัว…ชูฮันเข้ามาในสุสานนี้ด้วยคน 160 คนแต่กระจายออกไปโดยไม่ได้อะไรเลย เพื่อต้องการขู่หรือกระตุ้นกลุ่มของเขาหรือยังไง?


 


ช่างเป็นการตัดสินใจที่โง่ที่สุด! “หึ!” อู๋หยูเฉียงแสยะยิ้มอย่างสมเพช ความรู้สึกของอู๋หยูเฉียงที่มีต่อชูฮันได้เปลี่ยนจากอิจฉาเป็นเหยียดหยามไปแล้ว  การที่ชูฮันอยากจะมาที่นี้อย่างเจิ้งเย้าพูด ชูฮันเป็นไอ้โง่งี่เง่า แต่เดิมกองทัพของชูฮันก็ไม่ได้มีคนมากพออยู่แล้ว แล้วยังมาแยกพวกเขาออกเป็นกลุ่มเล็กๆอีกเพื่อที่จะได้กระจายกำลังคนออกไปให้ทั่วเนี่ยนะ


 


ตลกสิ้นดี ไอ้โง่แบบนี้เป็นพลเอกได้ด้วยเหรอ? และไอ้โง่แบบนี้อยากจะมาหลิงเฉิงเพื่อหาร่องรอยของซุปเปอร์ซอมบี้? เลิกฝันลมๆแร้งๆได้แล้ว!


 


เมื่อมองไปที่ร่างที่เริ่มถูกแทะกินของเจิ้งเย้าที่พื้น อู๋หยูเฉียงก็ยิ่งรู้สึกสมเพช แถมคนแบบนี้ยังสามารถเข้าร่วมกองทัพของพลเอกได้อีก?


 


มีร่องรอยของความโหดร้ายและตื่นเต้นปรากฏขึ้นที่สีหน้าของอู๋หยูเฉียง “ถ้าฉันฆ่าพลเอกและกองทัพของพลเอกทั้งหมด ฉันจะได้เงินมากขนาดไหนกันนะ?”


 


“น่าจะได้เพิ่มจากเดิมประมาณสามเท่า” จู่ๆเสียงของหลิงหลิงซวนก็ดังขึ้นตรงประตูทางเข้าและมองมาที่อู๋หยูเฉียงด้วยสายตาหยอกเย้า


 


อู๋หยูเฉียงตกใจ “แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่!?”


 


หลิงหลิงซวนยิ้มและก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เมินเฉยต่อร่างของเจิ้งเย้าที่ถูกหนอนซอมบี้แทะกินจนเริ่มเห็นกระดูกสีขาว น้ำเสียงของหลิงหลิงซวนเย็นยะเยือก “ฉันยืนฟังอยู่ข้างนอกมาได้ห้านาทีแล้ว ฉันได้ยินแต่ประโยคไร้สาระจากผู้หญิงคนนี้ แล้วหลังจากฟังเรื่องมาตลอด แกไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของฉันเลยเหรอไง ความระมัดระวังต่ำเหลือเกินนะ”


 


อู๋หยูเฉียงพลันสีหน้าเปลี่ยนทันที นี่มันคำพูดเดียวกับที่ตัวเขาใช้พูดกับกลุ่มทหารที่เขาเจอก่อนหน้านี้ใช่มั้ย? แต่ถึงยังไงครั้งนี้อู๋หยูเฉียงก็ไม่กล้าทำอะไรหุนหันผันแล่นแล้ว การที่หลิงหลิงซวนไม่ล่วงหน้าไปไหน เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายน่าจะติดตามรอบๆเขามานานแล้วแต่ตัวเขาเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย


 


นี้มันเป็นไปได้ยังไง? พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นวิวัฒนาการระยะ 5 เหมือนกัน หรือเป็นไปได้ว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้หลิงหลิงซวนซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้?!


 


หลิงหลิงซวนไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของอู๋หยูเฉียง เขากลับเดินตรงที่เก้าอี้กลางห้องและนั่งลง “อยู่ดีๆก็มีคนมากมายปรากฏตัวขึ้นในหลิงเฉิง แถมยังเป็นว่าคือพลเอกของจีนกับกองทัพทหารของเขาที่มีเป้าหมายมาเพื่อตามหาซุปเปอร์ซอมบี้? น่ารักชะมัด!”


 


“หลิงหลิงซวน!” อู๋หยูเฉียงขี้เกียจเกินกว่าจะเดินตามเกมส์ของหลิงหลิงซวน เขาเปิดประตูออกไปมองภูเขาด้านหน้าแทน “แกอยากจะพูดอะไรกันแน่?”


 


“ฉันแค่อยากจะบอกว่า…” หลิงหลิงซวนค้างปากเอาไว้อย่างต้องการกวนอารมณ์อีกฝ่าย “ฉันไม่อยากได้ซุปเปอร์แล้ว เราเลิกสู้กันดีกว่า”


 


“อะไรนะ?” อู๋หยูเฉียงคิดว่าหูเขาต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เขามองไปที่หลิงหลิงซวนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา


 


หลิงหลิงซวนไม่สนใจท่าทางของอู๋หยูเฉียง เขาผายมือออกพร้อมเอ่ยอธิบาย “ไม่ต้องสงสัย ฉันพูดความจริง ฉันไม่สามารถเอาชนะไอเดียของพลเอกนี้ได้ ฉันก็เหมือนกับหนูตัวเล็กๆที่พยายามไต่ขึ้นเขา ฉันไม่กล้าจะต่อกรกับพลังอันยิ่งใหญ่อย่างนั้น”


 


“หืม!” หลังจากได้ยินอย่างนั้น อู๋หยูเฉียงก็แสยะยิ้มและพูดเยาะเย้ยใส่หลิงหลิงซวน “หลิงหลิงซวน…หลิงหลิงซวน ฉันคิดว่าแกเป็นคนจริง เป็นคนกล้าซะอีก ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะเป็นคนแบบนี้ แค่เห็นว่าอีกฝ่ายมียศตำแหน่งสูงก็เลยกลัวงั้นสิ?”


 


หลิงหลิงซวนไม่ได้สนใจท่าทางเยาะเย้ยของอู๋หยูเฉียง หากเขากลับเลือกที่จะพูดจาคลุมเครือต่อ “แน่นอนว่าฉันกลัว”


 


หลิงหลิงซวนไม่ได้ถึงกับหวาดกลัวขนาดนั้นแต่เขารู้สึกได้ถึงข้อห้ามที่เขาไม่ควรก้าวข้ามไปมากกว่า ข้อห้ามของหลิงหลิงซวนไม่ใช่เรื่องของตัวตนขอพลเอกชูฮันหรือพลังของชูฮันที่ซ่อนอยู่ สำหรับคนที่นับถือลัทธิเต๋า เขาไม่สนใจเรื่องค่ายฐานทัพหรือว่าความแข็งแกร่งของค่าย เขาสนใจแค่เรื่องตัวบ่งชี้ระดับพลังในอันดับรายชื่อ


 


หลิงหลิงซวนอิจฉา เพราะชูฮันเป็นคนเดียวที่ได้คะแนน S+ สามครั้งติดต่อกัน ชูฮันทำได้ยังไง?


 


สำหรับชูฮัน เราไม่สามารถปฏิบัติกับเขาได้ในฐานะวิวัฒนาการด้วยกัน แต่เขาคือปรมาจารย์ตัวจริงที่ทุกคนควรเกรงกลัวต่างหาก!


 


“ในเมื่อแกก็ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแล้ว งั้นฉันก็จะไม่เสียเวลาพร่ำอะไรไร้สาระให้เปลืองน้ำลาย” อู๋หยูเฉียงไม่ล่วงรู้ถึงความคิดของหลิงหลิงซวน เขาพูดอย่างเห็นแก่ตัว “ถึงแม้ชูฮันจะเป็นพลเอก แต่ครั้งนี้เขาพาทหารมาด้วนแค่ 100 คนเท่านั้น ส่วนไอ้ที่เกิน 100 คนมานั้นมันก็แค่พวกขยะเน่าๆที่ไม่นานก็คงกลายเป็นอาหารซอมบี้จนหมด แถมชูฮันก็ไม่ได้มีพลังมหาศาลอย่างคำร่ำลือ ผู้ชายคนนี้ก็มีเป็นคนโด่งดังมีชื่อเสียงแต่ไม่มีความสามารถแท้จริง”


 


หลิงหลิงซวนพยักหน้า “โอ้ อย่างนั้นเหรอ?”


 


อู๋หยูเฉียงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาไม่แยแสของหลิงหลิงซวน “ในเมื่อแกบอกว่าแกอยากจะถอนตัว งั้นก็รักษาคำพูดของตัวเองด้วย อย่าเข้ามาแทรกแซงในสุสานนี้อีกเด็ดขาด และไอ้ชูฮันนั่นฉันจะฆ่ามันเองและกองทัพของมันด้วย”


 


“ฉันจำได้ว่าเหมือนจะมีคนตั้งราคาค่าหัวชูฮันไว้ค่อนข้างสูงอยู่? แกอยากจะได้ค่าหัวสินะ?” หลิงหลิงซวนยิ้มเบาๆ น้ำเสียงของเขาไม่ได้ต้องการหาเรื่องอีกฝ่าย


 


“ถูกต้อง มีมากกว่าหนึ่งคนที่ต้องการคนของชูฮัน รวมถึงขวานยักษ์สีดำของมันด้วยถ้าฉันได้มันมา มีคนต้องการซื้อมันในราคาสูง” อู๋หยูเฉียงพูด “เพราะงั้น หวังว่าแกจะไม่ผิดสัญญา ในเมื่อแกพูดแล้ว แกก็ไม่ควรกลับคำพูด”


 


หลิงหลิงซวนลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอก “แกไม่ต้องกังวล ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ฉันจะไปจากที่นี้เดี๋ยวนี้เลย”


 


หลิงหลิงซวนกลัวว่าถ้าเขาไม่ไปตอนนี้  ชูฮันจะคิดว่าเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับอู๋หยูเฉียงเอา!


 


“ขอบคุณ” อู๋หยูเฉียงเอ่นขอบคุณ หากน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความดีใจ

 

 

 


ตอนที่ 491

 

และในขณะเดียวกัน บนถนนที่อัดแน่นไปด้วยซอมบี้ สมาชิกที่เหลือเก้าคนของกลุ่มที่สี่ก็เริ่มถอนหายใจทีละคน พวกเขานั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง


 


“ทำไมอยู่ดีๆถึงมีกลุ่มซอมบี้โผล่มากระทันหัน?”


 


“ฉันก็ไม่รู้แต่โชคดีที่มันไม่ได้มากันมากแล้วก็ไม่มีซอมบี้ระดับสูงด้วย แถมยังมีซอมบี้ระยะ 2 แค่สามตัว”


 


“ก็ใช่ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่รอด แถมกัปตันกูเหลียงเฉินก็ยังแขนเจ็บ”


 


หลังจากพูดจบ เหล่าสมาชิกในกลุ่มต่างหันมามองที่กูเหลียงเฉินที่มีท่าทางข่มใจเพราะตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรกลุ่มได้ “พี่กู เป็นยังไงบ้าง?”


 


“ไม่มีปัญหา” กูเหลียงเฉินค่อยๆแกว่งแขนที่เกือบจะหักเพราะอู๋หยูเฉียงเบาๆ น้ำเสียงของเขายังคงเรียบนิ่งและเย็นชาเหมือนเคย “ฉันเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 ร่างกายมียืดความหยุ่นสูงแต่คิดว่าวันนี้ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้มาก”


 


“ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” หลี่ชวนตอบ


 


คนอื่นๆเองก็อดไม่ได้ที่จะถาม “กัปตัน เราต้องหาทางรักษาแขนของกัปตันให้ดีขึ้นก่อนวันนี้และก็หวังว่ามันจะค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ”


 


“เอาล่ะ งั้นเราก็ออกเดินทางกัน หาที่พักผ่อนสำหรับคืนนี้ก่อน” กูเหลียงเฉินไม่ได้ฝืนมากเกินไป เพราะถึงอย่างไรแล้วเขาก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและถ้าไม่ใช่เพราะเขาประสบอุบัติเหตุละก็ป่านนี้กลุ่มของเขาก็คงถึงจุดนัดพบไปแล้ว


 


ทุกคนออกเดินทางทันที แต่เพียงแค่เดินมาพ้นมุมมา พวกเขาก็ต้องหยุดอย่างกระทันหัน


 


มีร่างของคนสองคนยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มพวกเขา คนหนึ่งมีร่างใหญ่และอีกคนมีร่างเล็ก คนร่างใหญ่เป็นผู้ชายในวัยสามสิบ มีรูปร่างผอมบาง


 


ส่วนคนตัวเล็กดูเหมือนกับเด็กอายุสิบสามปี เด็กคนนี้สวมฮู้ดอยู่จึงทำให้ดูสูงกว่าความเป็นจริง เด็กคนนั้นสวมเสื้อผ้าคลุมมิดชิดทั้งตัวยกเว้นแค่ส่วนครึ่งล่างของใบหน้าเท่านั้น แม้แต่ดวงตาก็ยังมองไม่เห็น ส่งผลให้สมาชิกของกลุ่มที่สี่รีบรวมตัวเข้าหากันทันทีอย่างระแวง


 


ผิวของคางเด็กคนนี้เรียบเนียนราวกับเจลาติน ริมฝีปากสีแดงฉ่ำ และไรผมยาวๆที่หลุดออกมาจากฮู้ดมองทำให้รู้ได้ว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นเด็กผู้หญิงอย่างแน่นอน ตั้งแต่ครึ่งล่างใบหน้าลงมาทำให้พวกเขาพอจะเดาได้ว่าสถานะของเด็กผู้หญิงคนนี้น่าจะสูงพอควร ทั้งเนื้อตัวที่ดูดีหมดจด ไม่อย่างนั้นคงผิวพรรณคงไม่เรียบเนียนขาวและดูดีแบบนี้


 


เมื่อชายวัยกลางคนเห็นกูเหลียงเฉินและคนอื่นๆ ลูกตาดำของชายวัยกลางคนก็สั่นระริกและแสดงถึงอาการตระหนก จากนั้นเขาโอบเด็กผู้หญิงเข้ามาในอ้อมแขนให้ใบหน้าของเด็กซุกเข้าหาตัวเขาไว้เหมือนไม่ต้องการให้ใครเห็นใบหน้าของเด็กหญิง ราวกับการปกป้องลูกน้อยของเขา จากนั้นก็ตวัดสายตามองมาที่กูเหลียงเฉินและคนอื่นๆด้วยแววตาที่แสดงถึงการปกป้องอย่างเต็มที่


 


เหล่าสมาชิกในกลุ่มที่สี่ลอบมองหน้ากันไปมาอย่างรอคอยให้สักคนเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน และเป็นเพราะการเคลื่อนไหวที่ว่องไวและหุนหันของชายวัยกลางคนทำให้ฮู้ดที่คลุมผมเด็กสาวไว้เลิกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นเส้นผมที่ยาวสลวยที่ดำสนิท ซึ่งผมสีดำสนิทนี้พอมาตัดกับผิวขาวนวลสว่างของเด็กสาวถึงกับทำให้คนที่เห็นหัวใจแทบหยุดเต้น


 


สวยงามมาก! เมื่อชายวัยกลางเห็นว่าเหล่าผู้ชายเห็นเด็กหญิงในอ้อมแขนของเขา สีหน้าของชายวัยกลางคนก็ดุดันและแข็งกร้าวขึ้นพร้อมกับพูดขู่เสียงดัง “ถอยไปซะ! ห้ามใครเห็นหน้าลูกสาวฉัน!”


 


“ขอโทษ ขอโทษด้วย” หลี่ชวนตอบรับอย่างว่องไวและรีบถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่าย “ไม่ต้องกังวลนะ เราเป็นทหาร ไม่—–“


 


“หุบปากซะ ถอยออกไป!” ชายวัยกลางคนไม่ฟังคำอธิบายของหลี่ชวน เขาตั้งท่ากั้นไม่ให้ใครเข้ามาขณะกั้นมาป้องกันลูกสาวของเขาไว้ไม่ห่างตัว


 


“ได้! ไม่ต้องกังวล เราจะไป ไปเดี๋ยวนี้เลย” หลี่ชวนพลันหมุนตัวและจากไป


 


คนอื่นๆในกลุ่มที่สี่รีบตามฝีเท้าของหลี่ชวนไปและจากไปทันทีราว พวกเขาวิ่งทิ้งห่างออกไปและใช้ถนนอีกเส้นแทน จนในที่สุดพวกเขาไม่เห็นพ่อลูกคู่นั้นอีก ต่อมาเหล่าสมาชิกก็ต่างอดไม่ได้และเริ่มพูดคุยกัน


 


“แปลกมาก ทำไมวันนี้เราถึงเจอคนแปลกหน้าเยอะขนาดนี้? นี่มันครั้งที่สามของวันแล้วนะ”


 


“แต่ผู้ชายคนนั้นก็เกินไป เขาตั้งป้อมใส่เราทันทีอย่างไม่ฟังอะไร ทำไมต้องตั้งป้อมใส่พวกเราขนาดนี้?”


 


“นั่นสิ ในเมื่อเราก็บอกอยู่ว่าเราคือทหาร”


 


“เหมือนว่าพร้อมจะทำร้ายฉันทันทีด้วย” หลี่ชวนยิ้มและส่ายหัว “น่าสงสารเด็กสาวที่สวยแบบนี้ และก็เป็นโชคร้ายสำหรับพ่อที่รักลูกสาว ที่ต้องมาใช้ชีวิตเผชิญท่ามกลางโลกาวินาศแบบนี้!”


 


“นายกำลังพูดอะไร?” คนที่เหลือต่างหันมามองคนพูด “เด็กผู้หญิงคนนั้นจะถูกล่วงละเมิดมั้ย?”


 


“แค่เหตุผลเดียวเท่านั้น” หลี่ชวนถอนหายใจ “ตั้งแต่โลกาวินาศปะทุออกมา มนุษยชาติได้บิดเบี้ยวไปมาก ถ้ามีเด็กสาวรูปร่างแบบนี้ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อของเธอต้องปกป้องแสดงท่าทางไม่เป็นภัยต่อผู้ชายขนาดนี้ ยิ่งเวลาเจอกลุ่มคน แม้แต่ทหาร คนเป็นพ่อก็ต้องป้องกันไว้ก่อน”


 


“ท่ามกลางโลกาวินาศเช่นนี้ประกอบกับวัยของเด็กสาว แถวยังผิวพรรณดีขนาดนี้ แค่เห็นหน้าครึ่งเดียวยังรู้ว่าสวยขนาดไหน  แค่นี้ก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงต้องปกป้องขนาดนี้” เหล่าคนมาใหม่ค่อยๆเริ่มวิเคราะห์ “ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่พื้นที่ผู้ลี้ภัยที่ฉันเคยอยู่ เด็กสาวสวยแบบนี้จะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างไร้ซึ่งมนุษยธรรมอย่างแน่นอนแม้แต่ที่ค่ายใหญ่ๆก็ยังหนีไม่พ้น แถมตอนนี้มันยังไม่มีกฏระเบียบจำกัดแล้ว ไม่ว่าเธอจะอายุเท่าไหร่ ถ้าถูกใจก็จะโดนปล้นและข่มขืนทันที”


 


“แค่ครึ่งหน้าล่างยังสวยมากเลย อยากจะเห็นหน้าเต็มๆของเด็กสาวคนนั่นจังว่าจะสวยขนาดไหน?”


 


“ไม่แปลกใจที่พ่อจะพาลูกสาวเข้ามาในเมืองที่มีซอมบี้มากมายขนาดนี้ ฉันว่าเขาคงหวาดกลัวที่จะพาลูกสาวเข้าไปอยู่ในค่าย เขาจึงได้แต่พึ่งแต่อาหารที่พอเหลืออยู่ในเมืองแบบนี้”


 


“เห้อ น่าสงสาร”


 


“เราควรพาพวกเขาไปด้วย น่าสงสารเกินไป”


 


“นี่มันน่าหงุดหงิดใจชะมัด มันไม่มีเรื่องน่าเวทนาแบบนั้นเกิดขึ้นในกองทัพของท่านพลเอกชูฮันแน่นอน!”


 


“เราต้องการที่จะดูแลพ่อและลูกสาว แต่พวกเขาไม่เต็มใจรับความช่วยเหลือของพเรา จำนวนคนที่โดนทำร้ายนั่นสูงมากจนไม่มีใครอยากจะเชื่อใจใครอีก” หลี่ชวนพูดขึ้นเมื่อทุกคนวิเคราะห์กันเสร็จแล้ว


 


กูเหลียงเฉินอยู่ดีๆก็หยุดชะงัก เขาหยุดยืนอยู่ข้างหลังทุกคนห่างออกไปพอสมควรขณะมองไปที่ถนนด้านหลังเขา โดยที่ทุกคนไม่รู้ว่าเขามองอะไรอยู่กันแน่


 


“พี่กู? พี่กำลังมองอะไรอยู่?” หลี่ชวนเดินเข้ามาหากูเหลียงเฉินและเอ่ยถาม


 


กูเหลียงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัวหลังจากได้สติกลับมา “ไม่มีอะไร”


 


ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนตามพวกเขาอยู่ตลอดเวลาเวลา แถมไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย?


 


บนถนนเส้นที่กลุ่มที่สี่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจนเหลือแต่เพียงถนนโล่งที่เงียบสงบ หลงเหลือแต่เพียงเสียงฝีเท้าของพ่อและลูกสาว ความอ่อนล้าเห็นได้ชัดในแววตาของคนเป็นพ่อ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาหมดแรงและเหนื่อยล้ามากขนาดไหน


 


พ่อวัยกลางคนกำข้อมือของลูกสาวตัวเองไว้แน่นขณะเดินนำหน้าไปอย่างระมัดระวัง หากสีหน้าของเขาไม่เหมือนกับตอนที่เจอกับกลุ่มที่สี่อย่างก่อนหน้านี้ หากมันเปลี่ยนเป็นเบื่อหน่ายและว่างเปล่า เหมือนกับเอ้อระเหยไปทั่ว


 


เด็กหญิงที่ถูกกุมมือไว้ไม่ได้ส่งเสียงเลยสักนิดตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เธอก้าวเท้าเดินตามพ่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ใบหน้าครึ่งล่างที่เปิดเผยจะไม่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆเลยแต่เธอก็ยังดูคล่องแคล่วมากกว่าพ่อที่อยู่ด้านหน้า


 


“พ่อไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่” พ่อวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ลูกสาว ตอนนี้เราจะไปไหน”


 


ฝีเท้าของเด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆชะงัก จากนั้นเธอก็หมุนตัวไปทางซ้ายของถนน และตอนนั้นเองมันก็มีลมแรงขึ้นมาทำให้ฮู้ดที่คลุมหัวเธอไว้เปิดออก เผยให้เห็นแววตาที่เหล่าสมาชิกของกลุ่มที่สี่ที่อยากจะเห็น


 


“ที่นี่เหรอ? ดี” พ่อวัยกลางคนเองก็หมุนตัวกลับมาพาลูกสาวเขาเดินไปที่ถนนเส้นลึก


 

 

 


ตอนที่ 492

 

ในขณะเดียวกัน เจียงหลิงซวนที่มุ่งหน้าไปที่ทางออกของเมืองหลิงเฉิงก็หยุดอยู่กลางถนนกว้าง มือที่จับดาบยาวไว้เริ่มตึงแน่นขึ้นเมื่อได้เห็นผู้ชายสองคนยืนอยู่ตรงข้ามเขา


 


ซูเฟิงและ…


 


ชูฮัน


 


ซูเฟิงยืนอยู่ตรงกลางถนนพร้อมกับปืนไรเฟิลยาวสีทองขนนกจากหุบเขาหยินหยาง


 


ส่วนชูฮันนั้นไม่ได้มีขวานซิ่วโหลในมือ เขาเพียงแค่ยืนพิงกำแพงเหมือนกับผู้ชมเฉยๆ แววตาฉายถึงความสงสัยขณะจับจ้องมาที่ซูเฟิงและเจียงหลิงซวน


 


“พวกนายสองคนคือ?” เจียงหลิงซวนตื่นตัวหากเขาพยายามแสร้งทำตัวผ่อนคลายต่อหน้าอีกฝ่าย


 


ชายสองคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขานั้นแปลกอย่างมาก พวกเขาไม่แสดงท่าทางอะไรเลย ไม่เข้ามาสู้ ทั้งๆที่คนที่ยืนแสดงตัวต่อหน้าเขานั้นค่อนข้าดูแข็งแรงและทรงพลังอย่างมาก แต่เจียงหลิงซวนกลับรู้สึกว่าคนที่เขาไม่ควรต่อกรด้วยคือคนที่ยืนสบายๆผิงตัวกับกำแพงดูพวกเขาอยู่ต่างหาก


 


เจียงหลิงซวนไม่ได้มองคนที่ภายนอกเหมือนอู๋หยูเฉียง เขามีวิจารณญาณของเขาเองและรู้ว่าใครคือคนที่มีฝีมือจริงๆ ตัวเขาที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 5 นั้นไม่มีค่าอะไรเลยเพราะสัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าคนที่ถือปืนไรเฟิลยาวสีทองอยู่ในมือนั้นแข็งแกร่งมาก เขาไม่ควรเป็นศัตรูด้วยแต่คนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือนั้นอันตรายยิ่งกว่า!


 


“ไม่จำเป็นต้องรู้ นายอยากจะสู้เหรอไง?” ซูเฟิงเมื่อเห็นหน้าเจียงหลิงซวนก็พลันนึกขึ้นได้ว่าคือคนที่มีเรื่องกันจนเรียกฝูงซอมบี้มาเมื่อวันก่อน


 


เจียงหลิงซวนนิ่วหน้า จะสู้กับเขา?


 


ในตอนนั้นเอง ชูฮันก็เห็นสีหน้าที่แสดงออกของเจียงหลิงซวน เขาก็พลันเดาได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้มีจิตใจที่ละเอียดอ่อนอย่างมากและคาดว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ยอมสู้ด้วยง่ายๆ เพราะงั้นชูฮันก็เลยยิ้มและเดินเข้ามาที่กลางถนนพร้อมกับสีหน้าเย้ยหยันและเดินตรงเข้าไปหาเจียงหลิงซวน “อันดับแรกแนะนำตัวกันก่อน นี่คือซูเฟิง โอ๊ะ คุณอาจจะไม่รู้จักชื่อเขาแต่เขาคือวิวัฒนาการระยะ 6”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของชูฮัน นัยน์ตาของเจียงหลิงซวนก็หดตัวและจ้องตาเข้ากับซูเฟิง วิวัฒนาการระยะ 6? แน่นอนสินะ อย่างที่เขาคาดไว้ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เล่นๆ! ทันทีหลังจากนั้นสายตาของเจียงหลิงซวนก็พลันเปลี่ยนมาที่ชูฮันแทน สถานการณ์มันเห็นได้ชัด ซูเฟิงวิวัฒนาการระยะ 6 คนนี้เป็นแค่ลูกมือของผู้ชายอีกคน


 


ชูฮันเห็นเจียงหลิงซวนที่สบตากับเขาและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจ เจียงหลิงซวนคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามนักฆ่าที่เก่งกาจจนทุกคนเกรงกลัว ที่ไหนที่เจียงหลิงซวนไปที่นั่นจะมีความตายเกิดขึ้น เขาเป็นคนที่ทรงพลังอย่างมาก


 


อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่สำคัญ


 


ชูฮันบิดริมฝีปากยิ้มอย่างมีเลศนัยและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ก่อนหน้านี้เราเจอกับคนคนหนึ่ง…ที่คล้ายๆกับคุณ”


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงหลิงซวนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงขึ้นมา ถึงแม้ต่อหน้าเขาจะตัวนิ่งเงียบก็ตาม แววตาของเจียงหลิงซวนพลันเปลี่ยนไปทันที แต่เป็นเพราะเขายังคงความระวังตัวสูง หลิงซวนจึงไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากมองชูฮันอย่างระแวงมากขึ้น


 


“เธอชื่อเจียงหลิงโหลว คุณรู้จักเธอมั้ย?” ชูฮันเป็นฝ่ายเปิดก่อน


 


บนถนนที่เงียบสนิทจนได้ยินแม้แต่กระทั่งเสียงลมหายใจ ปืนไรเฟิลด้ามยาวสีทองของซูเฟิงดูกระหายเลือด หน้าผากของเจียงหลิงซวนเริ่มชื้นไปด้วยหยดเหงื่อ ทั้งสองคนดูเป็นคนเลือดร้อนทั้งคู่ แต่ชูฮันกลับมีสีหน้าผ่อนคลายสบายๆ


 


“ดูเหมือนจะเป็นการเข้าใจผิด” ชูฮันดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าเขาได้สร้างความกดดันให้เจียงหลิงซวนมากแค่ไหน เขาถอยหลังกลับไปสองสามก้าวโดยไม่ได้ตั้งใจและคอยดูปฏิกิริยาของเจียงหลิงซวนเงียบๆ


 


“ใครกัน?” หัวใจของเจียงหลิงซวนค่อยๆเต้นแผ่วลงอย่างกังวลและไม่แน่ใจ เพราะถึงอย่างไรแล้วเมื่อเทียบกับข่าวลือที่เคยได้ยินมา ชูฮันที่เขาเห็นตอนนี้แตกต่างจากที่เคยได้ยินมาทั้งหมด


 


ข่าวลือบอกว่า ลักษณะนิสัยของชูฮันเป็นพวกเอาชนะ เผด็จการ และขวานยักษ์สีดำก็ไม่เคยห่างกาย แถมยังบอกอีกว่าเขาเป็นคนหยิ่งผยองอวดดีและเป็นฆาตรกร เป็นไอ้ขี้ขลาดที่ไร้สมอง


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวในสุสานแห่งนี้ที่ทำให้เจียงหลิงซวนอิจฉาก็คือชูฮัน ถ้าคนคนนี้ไม่ใช่ชูฮันแล้วเขาคือใครกันแน่? เพราะคนคนนี้ไม่มีขวานยักษ์ดำข้างกาย ไม่มีท่าทางหยิ่งผยองอวดดี และท่าทีเผด็จการข่มขู่ หากกลับดูเป็นคนที่รู้จักใช้จิตวิทยาเพื่อสร้างความกดดันให้อีกฝ่าย


 


ดูเหมือนว่าข่าวลือจะผิดไป ชูฮันนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าข่าวลือซะอีก!


 


เจียงหลิงซวนไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเจตนาของอีกฝ่ายคืออะไรกันแน่?


 


“ฉันเป็นใครนั้นไม่สำคัญ” ชูฮันชี้นิ้วไปที่ซูเฟิง “มันสำคัญที่ว่าพี่สาวไม่ก็น้องสาวของคุณ…เจียงหลิงโหลวฆ่าหมาของเขา และเขาก็เห็นว่าคุณหน้าตาเหมือนกับเจียงหลิงโหลว เขาก็เลยอยากจะแก้แค้น”


 


เต็มไปด้วยคำโกหก


 


แน่นอนว่าเขาจะไม่บอกเจียงหลิงซวนว่าเขาคือชูฮัน เขารังแกน้องสาวของอีกฝ่าย ทำให้น้องสาวหลิงซวนติดหนี้เขา อีกทั้งเรื่องราวของซูเฟิงและหลิงโหลวก็ยังไม่ได้มีการตกลงยินยอมกัน วันนี้เขาก็เลยมาเพื่อทดสอบ…


 


เหตุผลก็เพราะหลิงโหลวคือน้องสาวของหลิงซวน สาเหตุที่ชูฮันรู้ก็เพราะชูฮันรู้ว่าเจียงหลิงโหลวอายุแค่ 19 ปีและด้วยข้อมูลของหลิงซวนที่เขารู้จากในชาติที่แล้ว มันจึงง่ายที่จะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนี้


 


ซูเฟิงไม่รู้ว่าชูฮันต้องการจะทำอะไรจริงๆแล้ว ความคิดของซูเฟิงตีกันยุ่งอยู่ในหัว ก่อนหน้านั้นชูฮันพูดว่าจะพาเขามาตามหาคนและให้เขาตามมาด้วยแต่บอกว่าวันนี้เขาจะไม่ได้อัดใครทั้งนั้น


 


เจียงหลิงซวนอยู่ในอาการตระหนกหากไม่นานเขาก็ได้สติคืนมา อีกแง่หนึ่งของข้อความจากชชูฮันที่เขาตีความได้ก็คือ…เจียงหลิงโหลวยังมีชีวิตอยู่


 


แค่นั่นก็ดีพอแล้ว


 


“งั้นคุณอาจจะกำลังมองหาผิดคน” เจียงหลิงซวนคลายมือที่กำดาบยาวแน่นออกและตวัดดาบไปด้านข้างแทนแสดงออกถึงเจตนาที่ไม่ต้องการต่อสู้ มุมปากของหลิงซวนมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันไม่มีธุระกงการอะไรเกี่ยวข้องกับเจียงหลิงโหลว ฉันไม่สนใจ ฉันมีแต่ความเกลียดชังต่อผู้หญิงคนนั้น”


 


แววตาของซูเฟิงระเบิดประกายจ้าอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็หันไปมองหน้าชูฮัน ผมควรทำยังไง?


 


ปฏิกิริยาของชูฮันนั้นรวดเร็วอย่างมาก เขาตอบกลับด้วยท่าทางพอใจ “งั้นก็ดี เพราะพวกเราถือว่าศัตรูของศัตรูคือเพื่อนของเรา งั้นพี่ชาย พี่อยากจะร่วมมือกับเรามั้ยล่ะ?”


 


กูเอาคืนมึงแน่!


 


เจียงหลิงซวนทนไม่ไหวได้แต่แหกปากด่าอยู่ในใจ เขาพยายามระงับอารมณ์โกรธและความวิตกกังวลในใจลงและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณต้องล้อเล่นแน่ๆ”


 


ชูฮันยักไหล่และเพยิดคางไปทางซูเฟิงให้เปิดทาง


 


หัวใจของเจียงหลิงซวนเต้นรัว วิวัฒนาการระยะ 6 กลับกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชูฮัน? แล้วไอ้งี่เง่าอู๋หยูเฉียงยังกล้าคิดจะต่อกรกัยชูฮัน ผลลัพธ์มันคือตายชัดๆ ไม่ทันที่เจียงหลิงซวนจะได้ตกใจอะไรมาก เส้นทางก็ถูกเปิด เจียงหลิงซวนออกตัวเดินผ่านไปซึ่งขณะเดินผ่านหน้าชูฮันไป เจียงหลิงซวนก็รู้อึดอัดราวกับหายใจไม่ออก เจียงหลิงซวนช็อค หากชูฮันก็เพียงแค่ยิ้มให้ ส่วนซูเฟิงนั้นไม่ขยับไปจากจุดเดิมเลย


 


เมื่อเจียงหลิงซวนจากไป ซูเฟิงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ก็หันไปถามชูฮัน “ทำไมท่านถึงปล่อยมันไป?” “แล้วทำไมต้องไม่ปล่อย?” ชูฮันไม่สนใจ เขาเพียงกลับหลังหันและเดินจากออกไป “เจียงหลิงโหลวไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวล เดิมทีฉันแค่ต้องการตามหาเจียงหลิงเทียนผ่านสองคนนี้เฉยๆแต่โชคร้ายที่เจียงหลิงซวนก็ยังเป็นมนุษย์ที่เรื่องของครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญและแตะต้องไม่ได้”


 


“ใครคือเจียงหลิงเทียน?” ซูเฟิวถูกเมินอย่างสิ้นเชิง


 


ชูฮันยิ้มมุมปากอย่างมีความลับ “ขโมย”


 


เจียงหลิงเทียนมีความสามารถพิเศษที่ชูฮันอยากจะได้อย่างมาก และถ้าเขาสามารถพิชิตเจียงหลิงเทียนได้ มันก็เท่ากับเขาพิชิตชัยทั้งจีนไปได้แล้วครึ่งหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 493

 

การฝึกเอาชีวิตรอดตลอดสามวันได้จบลงแล้วและกลุ่มต่างๆก็ได้เดินทางมาถึงจุดนัดพบตามที่กำหนดไว้ตามตารางฝึกของชูฮัน ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองคือข้อได้เปรียบเพราะมันมีอาหารและพื้นที่มากมาย ส่วนข้อเสียก็คือมันดึงดูดเหล่าผู้รอดชีวิตมากมายให้มาที่นี้เพราะงั้นมันก็จะมีซอมบี้อยู่ตรงบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก


 


กลุ่มที่หนึ่งที่มาถึงก่อนกลุ่มอื่นหนึ่งวันครึ่ง เมื่อพวกเขาเข้ามาในซุปเปอร์มาร์เก็ต ทุกคนเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา พวกเขาเฉลิมฉลองกินอาหารกันอย่างมีความสุขก่อนที่กลุ่มอื่นๆจะเดินทางมาถึงในวันที่สาม


 


ขณะนี้เป็นคืนที่สามสำหรับพวกเขาในเมืองหลิงเฉิงแล้ว ตอนนี้มีทั้งหมด 13 กลุ่มที่มารวมตัวกันอยู่ตอนนี้ แต่ละคนที่หลังจากห่างไกลกันไปสามวันเมื่อได้กลับมาเจอกันทุกคเริ่มเป็นมิตรต่อกัน เหล่าคนมาใหม่ที่เข้าร่วมกับกองทัพเขี้ยวหมาป่าค่อยๆมีความรู้สึกของความเป็นหนึ่งเดียวกันเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่เฉพาะกลุ่มที่ร่วมมือกันฆ่าซอมบี้เท่านั้น แต่กลุ่มอื่นๆก็ทำการสอนใช้อาวุธให้ มีความเป็นกันเองกันมากขึ้น


 


เนื่องจากอากาศที่เย็นและความมืดของช่วงเย็นที่มาถึง ตรงพื้นที่ใจกลางภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตจึงมีหม้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่พร้อมกับไฟที่ลุกโชนและฝูงชนที่ล้อมรอบกองไฟเพื่อหาความอุ่น มีเพียงแค่ชูเซี่ยที่อยู่ถัดออกไปอย่าสงบงนิ่งเพื่อเรียงลำดับข้อมูลที่เก็บรวบรวมตลอดสามวันที่ผ่านมา


 


หลูเหวินเฉิงกำลังกินขนมที่เขาไม่ได้กินมานานก็พลันพูดขึ้น “หลี่บี๋เฟิง ที่นี้น่าจะมีซอมบี้จำนวนมากไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เห็นมี กลุ่มแรกที่มาถึงไม่ใช่ว่าพวกนายฆ่าซอมบี้หมดแล้วหรอกนะ?”


 


“หึ~” หลี่บี๋เฟิงเงยหน้าขึ้น แสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้อหนาแน่นและแข็งแกร่งของเขา “ฉันฆ่าซอมบี้หลายพันตัวตลอดสามวันที่ผ่านมาและตลอดทางที่มาถึงนี้เมื่อวานตอนบ่าย!”


 


“ไม่มีทาง” หลูเหวินเฉิงตกใจ “ซอมบี้ข้างนอกซุปเปอร์มาร์เก็ตถูกนายฆ่าหมดเลย? อย่ามาล้อกันเล่นเลยหลี่บี๋เฟิง ไม่ใช่แค่สะอาดและเรียบร้อย แต่มันยังเป็นระเบียบอีก เมื่อตอนแรกที่มาถึงฉันตกใจมากที่มีทีมซอมบี้มากขนาดนี้มารอต้อนรับเรา!”


 


อย่างที่หลูเหวินเฉิงพูด ตรงด้านนอกของประตูทางเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต มันมีศพซอมบี้หลายพันตัววางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบทั้งสองฝั่งของประตูจนเกิดเป็นเส้นถนนที่ใช้ร่างซอมบี้สร้างขึ้นมา เหมือนกับการต้อนรับแขกที่มาถึง


 


กลุ่มอื่นๆที่ได้ยินต่างแสดงออกถึงความเคารพบูชาทันที พวกเขาต่างสรรเสริญหลี่บี๋เฟิงกันไม่หยุด


 


“ไม่แปลกใจเลยที่นายมาถึงเป็นกลุ่มแรก น่าทึ่งมาก!”


 


“ใช่ ไม่เพียงแค่กลุ่มแรกที่มาถึงแต่ยังรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ”


 


“แถมยังฆ่าซอมบี้อีกมากมาย!”


 


“ทีมต้อนรับซอมบี้พวกนี้กลิ่นแรงชะมัด แรงเกินไป!”


 


ขณะที่ทุกคนกำลังสรรเสริญหลี่บี๋เฟิงกันอยู่ มันก็มีอีกกลุ่มเดินทางมาถึง พวกเขาได้ยินเสียงของหลี่ชวนก่อนเจ้าตัวจะเข้ามาด้านในซะอีก “อ๊ากกก! ใครเป็นคนทำทีมต้อนรับซอมบี้แบบนี้? นี่มันบ้าไปแล้ว!”


 


ทุกคนในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างหัวเราะกันใหญ่


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฉันคิดว่านั่นน่าเป็นเสียงของหลี่ชวน” “ยินดีต้อนรับการมาถึงของกลุ่มที่สี่!” “กลุ่มที่สี่ของพวกนายช้าพอแล้ว มาถึงเป็นลำดับที่สิบสี่และเป็นสามทีมสุดท้าย”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่น่าเลย น่าอับอายจริงๆ!” หลังจากที่สมาชิกของกลุ่มที่สี่เข้ามา กูเหลียงเฉินยังคงมีท่าทีเย็นชานิ่งเฉยดังเดิม ส่วนหลี่ชวนก็พาสมาชิกในกลุ่มเข้ามาเจอกับอีกสิบสามกลุ่ม


 


“เฮ้! ถึงแม้จะเป็นลำดับที่สิบสี่แต่อัตรารอดของกลุ่มเราก็สูงแค่เพราะมันมีคนทรยศ” หลี่ชวนพูดอย่างผิดหวัง


 


“อย่ามาอ้าง กลุ่มที่แปดของเราไม่มีคนทรยศและอัตราการรอดคือ 100%!” “กลุ่มที่เก้าของเราก็เช่นกัน”


 


“แม่ง!” หลี่ชวนกรอกตาและรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ศพซอมบี้ด้านนอกก็มากพอแล้วที่จะกลบกลิ่นพวกเราโดยเฉพาะเพื่อต้อนรับฉัน ใครฆ่าพวกมัน?!”


 


“เฮ้ย เฮ้ย! นายไม่รู้อะไร” บางคนเดินเข้ามาพูด “กลุ่มที่หนึ่งมาถึงกลุ่มแรก พวกเขาฆ่ามัน ไม่ใช่เล่นๆเลยใช่มั้ยล่ะ?”


 


“จะให้ฉันเชื่อ? หลี่บี๋เฟิง!” หลี่ชวนมองไปที่กลุ่มที่หนึ่งอย่างตกใจ


 


แกร๊ก! แกร๊ก!


หลี่บี๋เฟิงเกาหัว “ฉันบอกว่าฉันฆ่าซอมบี้หลายพันตัวตลอดทางแต่ไม่ได้บอกว่าพวกข้างนอกนั้นคือฝีมือฉัน”


 


“อ่า…”


 


ไม่เพียงแค่หลี่ชวนเท่านั้นแต่เหล่าสมาชิกของกลุ่มอื่นๆต่างตะลึงกันหมด เสียงต่างๆเริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็วจนกระท่ังกลายเป็นเงียบสนิท ทุกคนมีสีหน้าซีดเผือด หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่งมันก็ระเบิดขึ้นด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ของฝูงชน


 


“แต่นายเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอไง?!


 


“ถ้าไม่ใช่นายแล้วใครกัน? นายบอกว่านายมาถึงกลุ่มแรก ตอนนายมาถึงมันมีศพซอมบี้กองไว้อยู่แล้วงั้นเหรอ?”


 


“อืม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลี่บี๋เฟิงมองทุกคนด้วยท่าทีอึดอัด เขาเองก็หวังว่าซอมบี้พวกนี้จะเป็นฝีมือของเขาเหมือนกัน!


 


มันก็แค่ว่าหลี่บี๋เฟิงคิดว่าตัวเขาไม่เคยพูดจริงๆแต่ปฏิกิริยาของทุกคนเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


“นายไม่รู้?!” “แล้วตอนนั้นนายเห็นใครรอบๆมั้ย?”


 


หลี่บี๋เฟิงตะลึง “ไม่”


 


เมื่อทุกคนเริ่มเสียงดังโวยวายกันใหญ่ จู่ๆหลูเหวินเฉิงก็ระเบิดอารมณ์ออกมา “ฉันบอกว่าอย่าเสียงดังไง! หลี่บี๋เฟิงฆ่าซอมบี้มากมายอย่างบ้าคลั่ง แต่เขาไม่ได้คิดถึงวิเคราะห์อะไรเพราะงั้นอันดับแรกพวกเราฉันควรรีบวิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้ก่อน”


 


หลี่บี๋เฟิงถึงไม่เห็นด้วยกับที่หลูเหวินเฉิงพูดแต่เขาเองก็รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรให้รอบคอบก่อน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของกองทัพใหญ่เพราะมันมีจุดสังเกตมากมายให้เห็น แต่เป็นเพราะเมื่อเขาได้กลายเป็นผู้นำของกลุ่มเขาก็ลืมเลือนกระบวนการคิดทั้งหมดทันที เขารู้แค่วิธีฆ่าซอมบี้มาตลอดทาง


 


“ถ้างั้นก็…” หลี่บี๋เฟิงไม่พอใจและไม่ได้พูดอะไร เขามองดูกลุ่มคนปรึกษากันอย่างตึงเครียดเงียบๆ


 


สีหน้าของหลายพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังและกลุ่มที่มาถึงอันดับที่สิบสี่ก็เข้าร่วมบทสนทนาเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรแล้วนี่คือเรื่องใหญ่


 


“คนที่สามารถฆ่าซอมบี้จำนวนมากขนาดนี้และวางเรียงอย่างปราณีตเรียบร้อยได้ขนาดนี้จะต้องเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเรา สมิกแต่ละคนจะต้องเป็นนักสู้ระดับสูง”


 


“ใช่ แต่มันแปลก ความตั้งใจในการทำแบบนี้ของพวกเขาคืออะไร? อีกฝ่ายคือใครกันแน่?”


 


“ฉันไม่รู้ว่าพวกนายได้เจอกับคนแปลกหน้าบ้างมั้ย แต่ฉันคิดว่าอาจจะเป็นฝีมือของพวกนั้น มันมีคนอื่นอยู่ในเมืองนี้นอกจากพวกเรา”


 


“อะไรน่ะ? พวกนายได้เจอกับคนแปลกหน้า? หลายคนมั้ย? พวกเราเจอสองคน”


 


“พวกนายก็ด้วยเหรอ? พวกเราก็เจอสองคน!”


 


“กลุ่มของเราด้วย! แล้วพวกนายได้เผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าพวกนั้นมั้ย?”


 


ไม่ช้าทุกคนก็ตกอยู่ในอาการวิตกกังวล เมื่อพวกเขาได้รู้ว่ามีหลายกลุ่มที่ได้เผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าสองคน แสดงว่าคนแปลกหน้าพวกนั้นจงใจปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มพวกเขา?


 


ทันใดนั้นกูเหลียงเฉินที่มีสายตาเย็นวาบก็พูดขึ้น “กลุ่มที่สี่ของเราเจอคนแปลกหน้าสี่คน”


 


และในตอนนั้นมันก็มีอีกกลุ่มพูดขึ้น “พวกเราก็เจอสี่คนเหมือนกัน!”


 


“แสดงว่า จำนวนของฝ่ายตรงข้ามยังคงลึกลับอยู่ แถมพวกเขาก็ได้เจอกับคนของพวกเราแล้ว?” ตาของหลูเหวินเฉิงเป็นประกายเย็นชา “ซอมบี้ข้างนอกก็เป็นฝีมืออีกฝ่าย?”


 


“หลังจากฆ่าซอมบี้ตั้งมากมาย ยังมารอคอยเจอพวกเราทีละกลุ่มอีก ทำไมกัน?”


 


การสาธิต


 


“แล้วยังวางซอมบี้เรียงแบบนี้อีก!”


 


“แสดงว่านี่ไม่ใช่ทีมซอมบี้ต้อนรับเพื่อต้อนรับพวกเรา!” หลี่ชวนตบพื้นดัง แววตาฉายแววถึงจิตสังหารอันรุนแรง “ขณะที่เรากินดื่มกันอยู่ที่ ย่างสบายใจแต่อีกฝ่ายได้ประกาศสงครามกับเราแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 494

 

และในตอนนั้นเอง หัวใจของทุกคนนิ่งงัน ทันใดนั้นทุกคนก็รีบเดินมาที่ทางเข้าของประตูพร้อมกับกลุ่มที่สองที่เดินทางมาถึง


 


“ประกาศสงครามอะไร?” เฉินช่าวเย่ที่มีน่องไก่อยู่ในมือข้างซ้ายและไส้กรอกอยู่ในมือข้างขวาเอ่ยถาม


 


“เฉินช่าวเย่” หลูเหวินเฉิงที่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ตลก รีบเดินเข้ามารายงานสถานการณ์กับเฉินช่าวเย่ “นายเห็นซอมบี้ด้านนอกมั้ย?”


 


เฉินช่าวเย่จ้องตาหลูเหวินเฉิงและพยักหน้าหลังจากกัดน่องไก่คำโตเข้าปากไป “ฉันเห็นแล้ว ว่าไง?”


 


“อย่างนั้นเหรอ” หลูเหวินเฉิงพยายามนึกคำพูดคำต่อไปเพื่อบอกเล่าถึงสถานการณ์ให้อีกฝ่ายได้เข้าใจอย่างง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด “จากกลุ่มแรกที่มาถึง ฝูงซอมบี้ด้านนอกถูกฆ่าโดยใครก็ไม่รู้และเมื่อพวกเขามาถึง ศพซอมบี้ด้านนอกก็ถูกวางเรียงหน้าประตูไว้แบบนั้นโดยที่ไม่มีใครเห็นว่าใครเป็นคนทำ  และพวกเราทั้งสิบสี่กลุ่มได้ทำการวิเคราะห์และได้ผลสรุปว่ามีทีมที่เราไม่รู้เข้ามาในหลิงเฉิงและพวกเขาก็สาธิตฝีมือให้พวกเราดู”


 


“ไม่ใช่การสาธิต มันคือการประกาศสงคราม!” แววตาของหลี่บี๋เฟิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร “เฉินช่าวเย่ พวกเราควรสู้มั้ย?”


 


อารมณ์โกรธของหลี่บี๋เฟิงปะทุขึ้นมาถึงอก ใครคิดกล้าท้าทายเขา!


 


สาธิตเพื่อประกาศสงคราม


 


เหล่าสมาชิกใหม่ของกลุ่มที่สองเมื่อได้ยินต่างก็เหลือบตามองกันทันที


 


เฉินช่าวเย่หันหน้ามาอีกครั้ง มองไปที่ซากศพซอมบี้มหาศาลตรงหน้าที่ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียงเป็นแถว ที่น่ากลัวก็คือวิธีตายของซอมบี้ทั้งหมดนี้เป็นวิธีเดียวเหมือนกันหมด พวกมันถูกทำร้ายที่จุดเดียวกันด้วยอาวุธชนิดเดียวกันหมด และทุกตัวถูกโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตายทันทีโดนคนคนเดียว


 


“ฉันว่า” เฉินช่าวเย่มีความคิดแปลกแยกจากคนอื่น “นายไม่คิดว่าการตายของซอมบี้พวกนี้ดูคุ้นๆเหรอ?”


 


อะไรน่ะ? ดูคุ้นๆ?


 


เมื่อเฉินช่าวเย่พูดอย่างนั้นออกมา ฝูงชนก็พลันมีแววตาดุดันและรีบยกอาวุธของตัวเองขึ้นมาอย่างเตรียมพร้อม


 


“ใช่ศัตรูมั้ย?”


 


“ใครมันกล้า!”


 


“มาสิ กูจะจัดการมึงเอง!”


 


ติงเซวที่กำลังทำอาหารอยู่หัวเราะและมองไปที่ทุกคนอย่างเงียบๆ


 


“มีแต่พวกโง่ทั้งนั้น” เฉินช่าวเย่หมดคำพูดและโบกมือ “เละเทะ กระจัดกระจายเต็มไปหมด ไม่รู้เลยเหรอไงนี่มันลายมือของหัวหน้าชัดๆ”


 


“ห้ะ หัวหน้าทำอะไรน่ะ?” หลี่ชวนอึ้ง ตามมาด้วยสีหน้าตะลึง “ท่านพลเอกชูฮัน?” “เขานั่นแหละ” ชูเซี่ยที่นั่งอยู่หลบมุมอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตยิ้ม “เห็นได้ชัดว่านี่เป็นลายมือของพี่ชายชูฮัน ในเมื่อพี่ชูฮันเป็นคนบอกให้พวกเรามานัดเจอกันที่นี้ เพราะฉะน้ันมันต้องเป็นการจัดการล่วงหน้าไว้ให้พวกเราอย่างแน่นอน เพราะพี่ชูฮันมักเป็นคนรอบคอบและระวังเรื่องงานเสมอ”


 


“เธอ หมายความว่า เธอกำลังพูดว่า…” หลี่บี๋เฟิงพูดตะกุกตะกัก “ท่านพลเอก พวกเขาทั้งสามคน ไม่เพียงแต่มาถึงก่อนพวกเราแต่ยังฆ่าซอมบี้มากมายขนาดอีก?”


 


หลี่บี๋เฟิงเป็นคนที่ตกใจมากที่สุดยิ่งกว่าใครๆ เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่มาถึง กลุ่มของพวกเขาใช้เวลาหนึ่งวันครึ่งสำหรับการเดินทางทั้งหมด แต่เมื่อตอนที่พวกเขามาถึงเมื่อวานตอนช่วงบ่ายนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นหมดแล้ว แสดงว่าชูฮันรวมกับหลิวยู่ติงและซูเฟิงนั้นมุ่งหน้ามาที่นี้ด้วยความเร็วยิ่งกว่าพวกเขาและฆ่าซอมบี้ได้มากกว่า


 


“ใช่ พี่ชายชูฮันเป็นคนทรงพลังมาก พวกนายก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ?” ชูเซี่ยยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็ตบมือลงที่พื้นข้างเธอเบาๆ “นายพึ่งบอกว่านายได้เจอกับคนแปลกหน้าสองคนและบางกลุ่มก็ได้เจอสี่คน ฉันคิดว่าประเด็นเราจำเป็นต้องปรึกษาเรื่องนี้กันต่อ เพราะถึงอย่างไรแล้วนอกเหนือจากซอมบี้ในสุสานนี้ที่เราต้องป้องกันตัวแล้ว เรายังต้องป้องกันตัวเองจากพวกคนแปลกหน้าอีกด้วย”


 


ทันใดนั้นฝูงชนก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล พวกเขาได้สติจากอาการช็อคที่ชูฮันนำพามา มันมีความรู้สึกประหลาดๆเกิดขึ้นในหัวใจของทุกคน ทุกคนรวมตัวกันล้อมวงรอบชูเซี่ย ทีละกลุ่มๆเริ่มบอกเล่าถึงเรื่องราวของคนแปลกหน้าที่พวกเขาได้พบเจอระหว่างทาง


 


“กลุ่มสุดท้ายยังมาไม่ถึง” ชูเซี่ยมองออกไปนอกซุปเปอร์มาร์เก็จ “คาดว่าพวกเขาคงยังจะไม่มาถึงในเร็วๆนี้ งั้นเรามาเริ่มกันก่อนเลย”


 


“กลุ่มที่หนึ่ง ไม่เจอคนแปลกหน้า”


 


หลี่บี๋เฟิงถูกทุกคนเมินเฉยต่อเสียงของเขา กลุ่มที่หนึ่งใช้เวลาในการเดินทางหนึ่งวันครึ่งแต่กลับไม่เจอคนแปลกหน้าเลย!


 


“กลุ่มที่สองเจอคนแปกหน้าสองคน” ติงเซวทำหน้าที่แทนเฉินช่าวเย่ในฐานะกัปตันของกลุ่ม เพราะถึงอย่างไรเจ้าอ้วนนี่ก็เอาแต่กินอย่างเดียว ติงเซวจึงตัดสินใจตอบแทนพร้อมกับรอยยิ้มที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น “เป็นพ่อลูกคู่หนึ่ง เด็กผู้หญิงเป็นคนสวยมาก ทว่าพ่อและลูกคู่นี้ดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาต่อต้านกับผู้ชายสูงมาก”


 


“สถานการณ์ที่กลุ่มที่สามเจอยิ่งซับซ้อนกว่านั้นอีก” หลูเหวินเฉิงค่อยๆเอ่ยขึ้นมา “พวกเราเจอกับวิวัฒนาการระยะ 5 สองคนพวกเขามีปัญหากัน จากบทสนทนาที่เสี่ยวชีได้ยินเหมือนทั้งสองคนนั้นจะชื่อว่าอู๋หยูเฉียงและอีกคนชื่อว่าเจียงหลิงซวน จากนั้นถัดมาอีกสองวันก็ได้เจอกับคู่พ่อลูกคู่หนึ่ง สถานการณ์ของพ่อลูกคู่นั้นเหมือนกับที่กลุ่มของติงเซวพูด พวกเขามีปฏิกิริยาต่อต้านพวกเราอย่างแรง”


 


คิ้วของกูเหลียงเฉินย่นอย่างใช้ความคิด “กลุ่มที่สี่เองก็เจอคนแปลกหน้าทั้งหมดสี่คนเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นวิวัฒนาการทรงพลังสองคน แต่พวกเราเจอพวกเขาทีละคน แถมหนึ่งในนั้นยังจับตัวคนทรยศของกลุ่มเราไป ตอนนี้เราไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อดี นอกจากนั้นเราก็เจอสถานการณ์เดียวกับกลุ่มที่สองและสาม พวกเขาเราเจอคู่พ่อและลูก เด็กผู้หญิงนั้นเป็นคนสวยมาก ทว่าท่าทางไม่เป็นมิตรและต่อต้านนั้นทำให้พวกเรารู้สึกแปลกๆ”


 


ติงเซวมีสีหน้างุนงง


 


กูเหลียงเฉินยิ้มมุมปาก จากนั้นก็พูดโพล่งขึ้นมาท่ามกลางวงสนทนา “ทุกคนได้เจอกับคู่พ่อลูกเหมือนกันใช่มั้ย?”


 


ฝูงชนต่างพยักหน้าพร้อมๆกัน ทั้งสิบห้ากลุ่ม ยกเว้นแค่กลุ่มที่หนึ่งที่มาถึงเร็วกว่ากลุ่มอื่น ส่วนกลุ่มที่เหลือทั้งสิบสี่กลุ่มนั้นต่างได้เจอกับคู่พ่อลูกเหมือนกันหมด!


 


ฟืด ฟืด——-


 


กองไฟที่ลุกโชนท่ามกลางกลุ่มคนที่ล้อมไว้ยังคงเผาไหม้ต่อไปเรื่อยๆ ภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นเงียบสนิทจนได้ยินเสียงทุกอย่าง มันมีบรรยากาศสลัวๆน่าขนลุกแปลกๆเกิดขึ้น


 


“นั่นเป็นคำถามที่ฉันอยากจะถาม” จู่ๆชูเซี่ยก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เธอหยิบเอากองกระดาษขึ้นมาและในขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปากพูด—–


 


“เข้ามาสิ เข้ามาเถอะ ข้างในมันอุ่นนะ”


 


“ไม่ต้องกลัว” จู่ๆมันก็เสียงบทสนทนาที่คุ้นหูดังขึ้นตรงทางเข้าของซุปเปอร์มาร์เก็ต ตามมาด้วยสมาชิกของกลุ่มสุดท้ายที่เดินเข้ามาพร้อมกับคู่พ่อลูกที่พวกเขากำลังพูดถึงอยุ่!


 


นี่คือกลุ่มที่หก ซึ่งความแตกต่างเดียวที่กลุ่มที่หกมีจากกลุ่มอื่นๆก็คือเป็นกลุ่มที่มีสมาชิกผู้หญิงมากที่สุด ซึ่งมีทั้งหมดสามคน


 


ทั้งสิบห้ากลุ่มที่อยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างตะลึงงัน มองไปที่กลุ่มที่หกที่พึ่งเข้ามาข้างในกับคู่พ่อลูกอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา การปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัวตลอดเวลาของเด็กสาวได้ดึงดูดความสนใจจากทุกคน เด็กสาวที่มีท่าทางหวาดหวั่นซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยอาการหวาดกลัว


 


ด้วยจำนวนผู้หญิงที่มากในกลุ่มที่หกทำให้คู่พ่อลูกลดความระแวงลงได้อย่างนั้นเหรอ? อย่างไรก็ตาม ที่นี้มีคนตั้งมากมายและจำนวนผู้หญิงทั้งหมดในที่นี้ก็คือ 5 คน ส่วนที่เหลือคือผู้ชายอย่างน้อยอีก 150 คน


 


“ไม่ต้องกลัวไป” น้ำเสียงของผู้หญิงในกลุ่มที่หกเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังและพยายามปลอบใจคู่พ่อลูก จากนั้นก็หมุนตัวหันมาทุกคนที่เหลือในซุปเปอร์มาร์เก็ต “แนะนำตัวกันก่อน นี่คือพ่อและลูกสาวของเขา”

 

 

 


ตอนที่ 495

 

สายตาของทุกคนพลันหันไปจับจ้องที่คนแปลกหน้าสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันทันที มันไม่ใช่สิ่งที่พวกคาดคิดไว้เลยว่าจะเกิดขึ้น ไม่มีใครคิดถึงเหตุการณ์นี้เลย


 


ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพลเอกชูฮันก็ไม่ได้อยู่ที่นี้ ณ ตอนนี้ด้วย เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงดี


 


กลุ่มที่หกเริ่มพึมพำกับตัวเองอย่างสงสัยว่าพวกเขาทำอะไรผิดลงไปรึเปล่า แววตาที่เย็นชาของคนเป็นพ่อเริ่มเย็นชาขึ้นไปเรื่อยๆขณะยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


 


หลังจากความเงียบที่ก่อตัวขึ้นพักใหญ่ ชูเซี่ยที่อายุสิบห้าปีก็เปิดปากพูดขึ้นก่อนทว่ามันมีความสับสนอยู่ในแววตาของเธอ “น้องสาวคนนี้ดูคล้ายๆฉันเลย ชื่ออะไร?”


 


“เธอชื่ออะไรน่ะ?”


สมาชิกของทีมที่หกที่ถูกถามหมุนตัวหันหลับไปถามคู่พ่อลูก


 


“เธอพูดไม่ได้นะ” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยตอบ บางทีอาจจะเป็นเพราะชูเซี่ยกับลูกสาวของดูคล้ายกัน แถมยังมีอายุไล่เลี่ยกันอีก ท่าทางนิ่งเฉยของชูเซี่ยเองก็ดูไม่ได้เป็นปรปักษ์เหมือนกับคนอื่นๆด้วย “ลูกสาวของฉันเป็นใบ้”


 


ทุกคนต้องตกใจอีกครั้ง บางคนตะลึงจนเห็นได้ว่าพวกเขาอ้าปากค้างหน่อยๆ มันมีความสงสารฉายชัดอยู่บนสีหน้าของทุกคน


 


กูเหลียงเฉิงที่ไม่ค่อยพูด จู่ๆก็เอ่ยปากขึ้น “ความพิการของลูกสาวคุณเป็นตั้งแต่เกิดหรือว่ามีอะไรทำให้เป็น?”


 


ร่างกายเย็นยะเยือกของคนเป็นพ่อสั่นสะท้าน น้ำเสียงที่แสดงชัดถึงความอดกลั้นอย่างแรง “เมื่อวันก่อนนี้”


 


คิ้วของกูเหลียงเฉิงเลิกขึ้น “คุณบอกพวกเราได้ไหมว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร?​”


 


คนเป็นพ่อกำมัดแน่น แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขากัดฟันพูด “เธอร้องไห้ แหกปากจนเส้นเสียงแตก”


 


เมื่อมองไปที่ความเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความเกลียดชังและอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทุกคนก็เริ่มปะติดปะต่อภาพร้ายๆในหัวขึ้น หลายคนอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองกูเหลียงเฉินอย่างข้องใจว่า เขาจะถามอะไรมากมาย เด็กน้อยคนนี้ยังเจ็บไม่พอเหรอไง ไม่สงสารเธอรึไง?


 


มันมีแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยประกายวาบขึ้นในนัยน์ตาของกูเหลียงเฉิน หากเขาก็ไม่เอ่ยถามอะไรต่ออีก


 


สมาชิกในกลุ่มที่หกทนไม่ไหวอีกต่อไป “ทั้งพ่อและลูกสาวน่าสงสารมาก เราปล่อยให้พวกเขาพักก่อนได้มั้ย? เอาอาหารอุ่นๆให้พวกเขากินก่อน แล้วรอท่านพลเอกมาว่าเราจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ต่อไป?”


 


หลายคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หากมีบางคนก็กังวลว่าพวกเขาได้ทำการฝืนกฏระเบียบทหารลงไป


 


สมาชิกของกลุ่มที่หกร่าเริงเกินไป พวกเขาต้อนรับคู่พ่อลูกอย่างดี เชิญให้นั่งข้างกองไฟ เหล่าทหารมากมายก็ต่างกระตือรือร้นที่จะสร้างความอบอุ่นให้แก่คู่พ่อลูก ทว่าท่าทางเย็นชาและไม่เป็นมิตรที่มีต่อกองทัพเขี้ยวหมาป่าก็ยังคงมีอยู่ คนเป็นพ่อไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้ลูกสาวของเขาเด็ดขาด


 


กูเหลียงเฉิงมองไปที่เด็กสาวที่ไม่ยอมเปิดเผยใบหน้าครึ่งบนให้ใครเห็นอย่างเงียบๆ เด็กสาวนั่งถัดไปจากกองไฟ แขนโอบกอดรอบหัวเข่าเอาไว้ ไม่มีการขยับเขยื้อนหรือปฏิกิริยาใดๆทั้งน้ัน ไม่มีการเงยหน้าขึ้น ฮู้ดที่สวมอยู่มีขนาดใหญ่จนปิดบังสัดส่วนของร่างกายมิดชิด แถมกองไฟท่ามกลางความมืดก็ทำให้เห็นเพียงแค่คางและริมฝีปากของเด็กสาวลางๆเท่านั้น แต่ถึงกระนั่นก็ทำให้ผู้ที่เห็นมองออกว่าเด็กสาวเป็นคนสวยมากขนาดไหนและมันก็ล่อตาล่อใจต่อผู้ชายที่พบเห็น


 


“ฮัลโหล?” จู่ๆก็มีมือตบเข้าที่บ่าของกูเหลียงเฉินและเอ่ยกระซิบที่หู “เลิกดูได้แล้ว นายเป็นโลลิคอนหรือไง?” กูเหลียงเฉินไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่สะบัดตัวให้หลุดจากคนนั้นเดินไปนั่งข้างเฉินช่าวเย่ที่กำลังนั่งกินอย่างไม่หยุดหย่อนเงียบๆ เจ้าอ้วนเฉินช่าวเย่ที่กำลังกินอยู่ก็หันหน้ามามองกูเหลียงเฉินขณะที่ปากยังคงเคี้ยวอาหารที่อัดจนล้นปาก


 


กูเหลียงเฉินไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เขาเพียงแค่หุบปาก


 


และในขณะเดียวกัน ซูเฟิง หลิวยู่ติงและชูฮันก็ยืนอยู่บนชั้นสองของซุปเปอร์มาร์เก็ตมองดูทุกคนที่อยู่ชั้นล่างจากมุมที่ทุกคนมองไม่เห็น


 


“พ่อกับลูกสาวคู่นี้ ผมเจอมาเป็นสิบครั้งแล้ว” ซูเฟิงขมวดคิ้วพลางหันไปบอกชูฮัน “ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ คู่พ่อลูกเจอกับทั้งสิบห้ากลุ่มและทุกครั้งพวกเขาก็แสดงท่าทางระหวาดระแวงอย่างผิดปกติ”


 


ชูฮันยิ้มมุมปากอย่างยั่วยุ “มันมีความบังเอิญไม่มากนักในโลกนี้ มันมีแต่การจงใจเท่านั้น”


 


กระบวนการคิดทุกอย่างของหลิวยู่ติงได้ถูกปรับเปลี่ยนทั้งหมดตลอดสามวันที่ผ่านมา ในตอนนี้เขามองไปที่กลุ่มคนด้านล่างและพลิกหน้ากระดาษกฏระเบียบทหารในมือ “กลุ่มที่หนึ่ง หึหึหึ พวกนายจบแล้ว! กลุ่มที่สอง หึหึหึ พวกนายก็จบแล้ว! กลุ่มที่สาม หึหึหึ…”


 


ซูเฟิงมองไปที่หลิวยู่ติงด้วยสายตาหวาดกลัวและดึงเขาออกจากความคิดในหัว จากนั้นซูเฟิงก็เอ่ยปากถามชูฮันอีกครั้ง “หัวหน้าให้อำนาจเขามากเกินไปจนทำให้เขาเป็นบ้า? ผมเองยังไม่สามารถที่จะควบคุมเขาได้ใช่มั้ย?”


 


เสียงของพูดหลิวยู่ติงหยุดลงอย่างกระทัน ขณะหันไปมองชูฮันและซูเฟิง ความหมายในแววตาของหลิวยู่ติงนั้นชัดเจน แม้แต่ซูเฟิงวิวัฒนาการระยะ 6 ยังอยากจะเล่นกับเขา


 


ชูฮันเองก็รู้สึกกลัวพอๆกัน เขาส่ายหัว “ซูเฟิงไม่นับ เขาเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของฉัน”


 


ซูเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเองก็กลัวกับสถานการณ์เหมือนกัน


 


แววตาของหลิวยู่ติงพลันแสดงความผิดหวังออกมา จากนั้นก็หันไปทำงานของตัวเองต่อ ไล่รายชื่อของคนที่ทำผิดกฏทหารจดบันทึกลงไล่ไปทีละคนๆ แววตาของหลิวยู่ติงพลันเป็นประกายจ้า


 


และจู่ซูเฟิงก็ต้องตะลึงอีกครั้งกับขวานซิ่วโหลที่ก็ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหันในมือชูฮัน แววตาของชูฮันประกายวาบก่อนจะเอ่ยปากพูด “หลิวยู่ติงกับฉันจะเดินลงไปข้างล่างเพื่อตรวจดูความคืบหน้าของภารกิจ ซูเฟิงนายรออยู่ที่นี้เพื่อรอจัดการในกรณีฉุกเฉิน”


 


“อ่า—-?” ซูเฟิงอึ้งจากนั้นก็พยักหน้ารับ หากในใจเขายังคงสงสัยและข้องกับคำพูดของชูฮันอยู่ดี มันคืออะไรกรณีฉุกเฉิน?


 


ชูฮันที่พาหลิวยู่ติงลงมาข้างล่างก็ถูกค้นพบโดยฝูงชนอย่างรวดเร็ว ทุกคนยืนตรงเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบทันที ยิ่งทำให้พ่อลูกสงสัยกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหันอย่างมาก…


 


หลิวยู่ติงที่เดินตามหลังชูฮันมามีประกายในแววตาอย่างพึงพอใจ สายตาจองทุกคนที่มองมาที่เขาและชูฮันนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แววของทุกคนที่มองมาที่เด็กสาวด้วยความสงสารและเอ็นดูพลันเปลี่ยนไปเป็นขนลุกด้วยความกลัว หลิวยู่ติงและท่านพลเอกมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง?


 


ชูฮันไม่สนใจแววตาเย็นชาของพ่อและลูกสาวที่มองมาและนั่งอยู่ตรงกองไฟ ชูฮันเพียงก้าวเท้าเดินไปมาระหว่างต่อหน้ากลุ่มทหารที่ยืนตั้งแถว น้ำเสียงของชูฮันไม่ได้ดังมากหากมันกลับดังชัดเจนก้องท่ามกลางความเงียบในซุปเปอร์มาร์เก็ต “ขอแสดงความยืนดีกับการมาถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยของทุกคนด้วย พวกนายพอใจกันมั้ย?”


 


“เย้ เย้ วู้!” ทหารหลายกลุ่มส่งเสียงเฮอย่างดีใจ โดยเฉพาะกลุ่มที่สอง แน่นอนว่าพวกเขาดีใจตลอดสามวันที่ผ่านมาพวกเขาเหมือนกับพวกเร่ร่อนไร้จุดหมาย เคว้งคว้าง และเป็นเวลานานที่พวกเขาไม่ได้ทุบหัวซอมบี้!


 


และจู่ๆเสียงยินดีของหลายคนก็เร่ิมจางหายไปเพราะทุกคนได้เห็นภาพที่ทำให้หัวใจพวกเขาแทบหยุดเต้น ตามด้วยเสียงแสยะยิ้มอย่างน่าขนลุกของหลิวยู่ติงที่อยู่ข้างหลังชูฮัน


 


ชูฮันนับจำนวนทหารทุกคน จำนวนทั้งที่ต้องมีทั้งหมดคือ 150 คนและนับแต่กลุ่มโดยเฉลี่ย มีคนทรยศหนึ่งกลุ่ม ข้อมูลถูกต้อว


 


ชูฮันที่ยืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคน สีหน้าของเขาไม่ได้จริงจังหากมันก็ไม่ได้ผ่อนคลาย “ตอนนี้ เริ่มจากกลุ่มที่หนึ่ง รายงานความสำเร็จของภารกิจมา!”

 

 

 


ตอนที่ 496

 

เมื่อคำพูดของชูฮันหลุดออกไป หลายกลุ่มถึงกับตะลึงไปครู่หนึ่ง ท่านพลเอกหมายความว่าไง? พวกเขาก็มาถึงด้วยสมาชิกครบจำนวนไม่ใช่เหรอ ยกเว้นคนที่ทรยศและท่านพลเอกชูฮันก็พูดไว้เองก่อนหน้านี้ว่าใครที่รอดจากการฝึกครั้งนี้จะได้รับการยอมรับและมันก็ไม่มีใครตายหรือได้รับบาดเจ็บเลยเพราะฉะนั้นพวกเขาน่าจะทำภารกิจสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?


 


หลายคนก็เริ่มตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ ซุปเปอร์ซอมบี้!


 


ชูฮันยิ้มกว้างและเหลือบมองหลิวยู่ติงเล็กน้อย “ผู้คุมด้านกฏระเบียบทหาร ฉันได้มอบหมายภารกิจให้นายไปเมื่อสามวันก่อน นอกเหนือจากตลอดระยะเวลาสามวันในหลิงเฉิงแล้ว มันยังมีภารกิจในการตามหาซุปเปอร์ซอมบี้อีกด้วยใช่หรือมั้ย?”


 


อีกครั้งที่หลิวยู่ติงยิ้มมุมปากอย่างยั่วยุ “ใช่ครับท่าน”


 


เหล่าทหารที่ยืนตัวตรงต่อหน้าทั้งสองคนตะลึงค้างขณะเหลือบมองไปทางหลิวยู่ติงด้วยแววตาสยอง เมื่อกี้ท่านพลเอกพูดว่าอะไรน่ะ?


 


ผู้คุ้มกฏระเบียบทหาร?!


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลี่ชวนเอ่ย “ท่านพลเอก เรื่องผู้คุ้มกฏระเบียบทหารนี่ล้อเล่นใช่มั้ยครับ?”


 


“หลี่ชวน ตำแหน่งสิบเอก อายุ 22 ปี” ไม่มีคำตอบจากชูฮัน หลิวยู่ติงเพียงยิ้มและหันไปมองหลี่ชวน “ท่านพลเอกจะไม่พูดเรื่องกฏระเบียบทหาร ท่านไม่มีเวลามาตั้งคำถามกับทหารทุกนาย คุณทำผิดระเบียบวินัยต่อกฏระเบียบของกองทัพเขี้ยวหมาป่า หากความผิดของคุณยังถือเป็นแค่ความผิดเล็กน้อย ฉันขอสั่งในฐานะผู้คุ้มกฏระเบียบทหารให้คุณ กระโดดตบ 30 ครั้ง และทุกครั้งที่กระโดดให้ตะโกนคำว่าผมทำผิดไปแล้วด้วย”


 


หลังจากเสียงของหลิวยู่ติงจบลง มันก็ตามมาด้วยเสียงวุ่นวายของความตกใจและสับสนของทุกคน


 


@#$%^&(*&^%$#@!@#$%^!


 


เสียงของคนทั้งหนึ่งร้อยห้าสิยคนรวมกันจนเกิดเป็นความวุ่นวายย่อมๆ ทุกคนอ้าปากค้างอย่างตกใจและมองไปที่หลิวยู่ติงด้วยแววตาหวาดกลัว พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่พึ่งได้ยิน นี้มันการทำโทษปีศาจชัดๆ


 


ชูฮันที่ไม่เห็นว่ามันมีอะไรผิดปกติก็หัวเราะและชี้นิ้วไปทางหลิวยู่ติง “ฉันลืมแนะนำให้พวกนายทุกคน นี่คือพลตรีหลิวยู่ติง ผู้คุมกฏระเบียบทหารคนใหม่ของกองทัพเขี้ยวหมาป่า จำไว้ให้ดี ฉันจะไม่พูดอีกครั้ง”


 


“ผะ ผม…” หลี่ชวนตะลึงและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง “ผมไม่อยากรับการลงโทษแบบนี้ ผมขอเปลี่ยน มีซอมบี้ที่ผมต้องฆ่ากี่ตัว?”


 


ให้เขาตะโกนพร้อมกระโดดตบไปด้วยมันน่าอับอายเกินไป!


 


หลิวยู่ติงที่เห็นหลี่ชวนเอ่ยปากถามก็ยิ้มแปลกๆอีกครั้ง “ถ้าไม่เชื่อฟังคำสั่ง จะโดนลงโทษเพิ่มเป็นสองเท่า กระโดดตบ 60 ครั้ง เร็วเข้า และไม่นานทุกคนก็ต้องโดนลงโทษเหมือนกัน”


 


หลี่ชวนรู้สึกกลัวและมองไปที่ชูฮันด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ โชคร้ายที่เขาเห็นแต่ทุกคนหลบสายตาหนี หลิวยู่ติงยิ้มเยาะให้กับตัวเอง


 


หลังจากความเงียบพักใหญ่ หน้าของหลี่ชวนพลันเปลี่ยนเป็นแดงก่ำและเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดจากหลายคนที่กำลังมองมา


 


หลี่ชวนไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้น เขาพยายามลดการมีตัวตนของเขาลงและกลับไปยืนในกลุ่มของตัวเองอย่างเข้าใจถึงสถานะตำแหน่งที่เปลี่ยนไปของหลิวยู่ติง


 


“ท่านพลเอกชูฮัน” หลังจากเหตุการณ์จบลง หลิวยู่ติงพอใจอย่างมากเขาหันไปพูดกับชูฮัน “เชิญท่านพูดต่อครับ”


 


ชูฮันพยักหน้ารับและกวาดสายตามองไปที่เหล่าทหารตรงอย่างเงียบๆพร้อมกับถอนหายใจ “การวัดคความสำเร็จของภารกิจอยู่ที่ ความสำเร็จของภารกิจ 50% และอีก 50% อยู่ที่รายงานภารกิจ เพราะงั้นเรามาเริ่มกันเลย กลุ่มที่หนึ่ง”


 


หลี่บี๋เฟิงหรี่ตาและก้าวขึ้นมารายงานในฐานะกัปตันของกลุ่มที่หนึ่ง “ขออนุญาตครับท่าน กลุ่มที่หนึ่งไม่พบเบาะแสของซุปเปอร์ซอมบี้”


 


หลังจากนั้นสมาชิกของกลุ่มที่หนึ่งคนต่างก้มหน้าต่ำด้วยความระแวงกับบทลงโทษที่อาจได้รับ


 


ชูฮันให้เวลาหลี่บี๋เฟิงได้สำนึกด้วยตัวเองก่อนจะหันไปมองที่กลุ่มที่สอง


 


เจ้าอ้วนเฉินช่าวเย่ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มที่สองเดินนำหน้าขึ้นมาอย่างอุ้ยอ้าย “ขออนุญาตครับท่าน กลุ่มที่สองไม่พบร่องรอยของซุปเปอร์ซอมบี้ แต่เราไปช่วยกลุ่มที่สามในยามวิกฤตเอาไว้ ผมคิดว่ามันน่าจะทดแทนได้”


 


หลี่บี๋เฟิงพลันรู้สึกเสียดาย ทำไมเขาถึงไม่หาคำมาพูดเพื่อกลุ่มแบบนี้นะ? พวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่มาถึง มันน่าจะทดแทนได้ หลี่บี๋เฟิงอยากจะเอ่ยปากพูด หากจู่ๆหลิวยู่ติงที่อยู่ตรงหน้าก็จ้องเขม็งมาที่เขา ทำให้เขาต้องรีบตั้งหลังตรงและหุบปากฉับ เขาไม่ควรพูดอะไรออกไปสักคำเดียว!


 


ชูฮันเองก็ปล่อยให้เฉินช่าวเย่ได้คิดกับตัวเอง จากนั้นก็หันไปมองกลุ่มที่สาม แน่นอนว่าคุณงามความดีที่ทำจะได้รับการชื่นชม แต่ถ้าทำผิดก็จะต้องถูกลงโทษเช่นกัน


 


คนจากกลุ่มที่สามที่มารายงานภารกิจไม่ใช่กัปตันหลูเหวินเชิงแต่เป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม…ชูเซี่ย ที่ก้าวออกมารายงานแทน “นี่คือเบาะแสที่เราค้นพบ เชิญดูคะท่าน”


 


กลุ่มของชายร่างใหญ่ต่างตกใจที่ได้เห็นชูเซี่ยสมาชิกของกลุ่มที่สามทำตัวอวดดีเหนือกว่าคนอื่น


 


ชูฮันเหลือบมองชูเซี่ยสองสามครั้งอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้ชูเซี่ยจะไม่ได้ข้อมูลโดยตรงของซุปเปอร์ซอมบี้ แต่เบาะแสและร่องรอยมากมายที่เธอค้นพบได้สร้างไอเดียให้เขา ความสามารถในวิเคราะห์ของชูเซี่ยนั้นเป็นเลิศมาก บางทีเขาอาจควรแต่งตั้งแผนกวิเคราะห์ขึ้นมา?


 


“ขออนุญาตครับท่าน” ในตอนนั้นเองกูเหลียงเฉินจากกลุ่มที่สี่ก็ยื่นกระดาษส่งให้ชูฮัน “นี่คือรายงานการวิเคราะห์กลุ่มที่สี่ครับ” ทุกคนพลันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง กลุ่มที่สี่ก็ทำภารกิจได้ครอบคลุมเหมือนกันงั้นเหรอ? ไม่เพียงแต่สมาชิกกลุ่มอื่นๆเท่านั้น แต่สมาชิกแปดคนในกลุ่มที่สี่เองก็ตกใจเช่นเดียวกนัน กูเหลียงเฉินทำการวิเคราะห์ด้วย ทำไมพวกเขาไม่รู้เรื่องเลย?


 


ชูฮันมองดูการแสดงออกของทุกคนจากนั้นก็ก้มลงดูกระดาษที่กูเหลียงเฉินส่งมาให้ เพียงแค่นั้นนัยน์ตาของชูฮันก็พลันหดตัวและเหลือบมองกูเหลียงเฉินด้วยความรู้สึกซึ้งใจและขอบคุณ ชูฮันไม่คิดเลยว่าผู้ชายคนนี้จะมีการวิเคราะห์สูงยิ่งกว่าชูเซี่ย ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ที่ชูเซี่ยส่งมาจะไม่ธรรมดาแต่ของกูเหลียงเฉินนั้นเป็นการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมจนเรียกได้ว่าเกือบจะเข้าใกล้ความเป็นจริง


 


ความสามารถพิเศษ!


 


โดยไม่คาดคิด มีคนที่มีความสามารถพิเศษสองคนซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางคนนับร้อยในที่นี้ ถือว่าการฝึกครั้งนี้ก็ไม่ได้เสียเปล่าซะทีเดียว ผลของการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดในครั้งนี้มากกว่าที่เขาคาดไว้ในตอนแรกซะอีก!


 


ต่อมาชูฮันก็นิ่วหน้า ทว่าความจงรักภักดีที่กูเหลียงเฉินมีต่อเขานั้นต่ำมากและเห็นได้ชัดว่าเขาน่าจะเป็นทหารจากหน่วยรบพิเศษซักหน่วยของซางจิง ไม่ก็ถูกฝึกพิเศษมาอย่างดี


 


กลุ่มที่เหลืออยู่รายงานภารกิจต่อชูฮันเหมือนกับกลุ่มที่หนึ่ง พวกเขาไม่พบเบาะแสใดๆของซุปเปอร์ซอมบี้และจนสุดท้ายเมื่อกลุ่มที่สิบหกรายงานภารกิจเสร็จ หลี่บี๋เฟิงที่ทนรอต่อไปไม่ไหวก็ทำท่าวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพต่อชูฮันและเหลือบมองไปที่หลิวยู่ติงอย่างระวังก่อนจะเอ่ยปากพูด “ขออนุญาตครับท่าน ผมชื่อหลี่บี๋เฟิง ตำแหน่งสิบเอก ผมมีคำถาม…กลุ่มของผมมาถึงจุดหมายเป็นกลุ่มแรก ถือว่าทดแทนได้มั้ยครับ?”


 


สมาชิกของกลุ่มที่หนึ่งเองต่างก็มองมาที่ชูฮันด้วยสายตาคาดหวัง ด้วยบทลงโทษที่หลี่ชวนได้รับก่อนหน้านี้ทำให้ทุกคนหวาดกลัวกันอย่างมากโดยเฉพาะหลี่บี๋เฟิงเพราะตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ผลที่ตามมาจากการเพิกเฉยต่อภารกิจแล้ว ท่านพลเอกชูฮันได้ฝึกฝนหลิวยู่ติงให้กลายเป็นปีศาจภายในระยะเวลาสามวันเพื่อรอคอยที่จะมาจัดการกับพวกเขาที่นี่!

 

 

 


ตอนที่ 497

 

“ฉันว่าฉันไม่ได้บอกว่ามันทดแทนกันได้นะ” คำพูดของชูฮันได้ทำลายความหวังของกลุ่มที่หนึ่งทันที


 


เมื่อมองไปที่กลุ่มคนที่มีหน้าตาหมองคล้ำดำคร่ำเครียด ชูฮันก็หันไปยิ้มให้หลิวยู่ติง “กลุ่มที่สองรวมกับกลุ่มที่เจ็ดและสิบช่วยกันกำจัดฝูงซอมบี้เพื่อช่วยแก้ไขวิกฤตของกลุ่มที่สาม คุณงามความดีของพวกคุณจะถูกบันทึกเอาไว้”


 


หลิวยู่ติงยิ้มเยาะก่อนจะจดลงไปในสมุดบันทึก การบันทึกก็คือการบันทึก แต่…ฮึ!


ทั้งสามกลุ่มที่ถูกเอ่ยถึงพลันมีสีหน้าพึงพอใจขึ้นมาทันที แต่ประโยคต่อมาของชูฮันนั้นก็ทำให้พวกเขาช็อคค้าง “แต่มันคือคุณงามความดีและผลตอบแทน ส่วนการล้มเหลวของภารกิจนั้นก็ยังต้องถูกลงโทษเหมือนกลุ่มอื่น”


 


ทำภารกิจไม่สำเร็จ ก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี!


 


“มีทั้งหมดห้ากลุ่มที่ทำภารกิจสำเร็จ” ชูฮันเอ่ยขึ้น “กลุ่มที่สามและสี่ทำเกินภารกิจ พวกคุณจะถูกลงโทษ ผู้คุมกฏระเบียบทหารจะเป็นคนจัดการเรื่องบทลงโทษแก่พวกคุณที่เหลือเอง”


 


“รับรองได้ครับว่าผมจะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์อย่างแน่นอน” หลิวยู่ติงตอบอย่างตื่นเต้น


 


นอกเหนือจากกลุ่มที่ทำภารกิจสำเร็จ กลุ่มที่เหลือต่างก็มีสีหน้าคร่ำเครียดกันหมเ พวกเขาอยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อสามวันที่แล้ว!


 


“ในเมื่อภารกิจได้ทำการรายงานเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการลงโทษจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้” ทันใดนั้นชูฮันก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับแววตาเย็นชา “ตอนนี้มาแก้ปัญหาของซุปเปอร์ซอมบี้กัน”


 


คนหนึ่งร้อยห้าสิบคนต่างรวมตัวกันยืนตรงพร้อมกับความกลัวที่ซ่อนไว้ พวกเขาเข้ามาในสุสานแห่งนี้ก็เพื่อจุดประสงค์เพื่อตามหาซุปเปอร์ซอมบี้ หากหลายกลุ่มไม่พบร่องรอยหรือความผิดปกติใดๆ อีกทั้งตลอดสามวันพวกเขาทำเพียงแค่หาอาหารกินดื่มและเล่นซอมบี้สนุกๆไปเรื่อย โดยไม่ได้มุ่งเน้นการตามหาซุปเปอร์ซอมบี้


 


และเพราะพวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่าชูฮันน่าจะหาซุปเปอร์ซอมบี้เจอแล้ว ส่วนครั้งนี้ก็เป็นแค่การฝึกพวกเขาเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเจอร่องรอยอะไรหรือไม่มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการเผชิญหน้ากับซุปเปอร์ซอมบี้อยู่ดี แต่การตัดสินใจครั้งนี้ของพวกเขาที่เชื่อใจพลเอกชูฮันและเพิกเฉยต่อภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ได้นำไปสู่การลงโทษที่พวกเขาต้องเผชิญในวันพรุ่งนี้


 


มองไปที่กลุ่มคนที่ในที่สุดก็เริ่มมีสีหน้าจริงจัง ชูฮันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปตรวจดูคู่พ่อลูกเย็นชาที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ เหลิงเล่ย…คนเป็นพ่อมักมองเหลือบมองมาทางทุกคนด้วยสายตาระแวดเสมอแต่ลูกสาวของเขากลับมีท่าทีเหมือนเดิมตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ไม่เปลี่ยน…นั่งเงียบๆมองกองไฟ


 


สายตาเย็นชาประกายวาว ชูฮันยกเท้าก้าวออกเดินอย่างค่อยๆเดินผ่านกลุ่มคนหนึ่งร้อยห้าสิบคนตรงหน้าเขาไป น้ำเสียงที่เอ่ยไม่ได้กระชากโฮกฮาก “ฉันบอกพวกคุณแล้วว่าซุปเปอร์ซอมบี้มีศักยภาพที่จะเป็นราชาซอมบี้ และมันก็เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องร้ายแรง แต่พวกคุณ? กลับทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ พวกคุณไม่ได้จริงจังกับภารกิจกันด้วยซ้ำ จากทั้งสิบหกกลุ่ม ทำภารกิจล้มเหลวไปสิบเอ็ดกลุ่ม ถึงแม้สามกลุ่มจะเกือบทำภารกิจไม่สำเร็จเพราะขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และมีแค่สองกลุ่มเท่านั้นที่ทำเกินหน้าที่ นั่นก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก”


 


“แถมมันยังมีแค่สองคนจากหนึ่งร้อยห้าสิบคนเท่านั้นที่พบจุดสังเกตของซุปเปอร์ซอมบี้!” ขณะพูดประโยคนี้สีหน้าของชูฮันเปลี่ยนเป็นรุนแรงอย่างมากพร้อมกับความโกรธที่พุ่งทะลุเพดาน “ฉันฝึกพวกคุณมาหนึ่งเดือน แต่นี่คือผลลัพธ์ของภารกิจครั้งนี้งั้นเหรอ?!”


 


ทุกคนพลันเกิดความกลัวขึ้นในใจ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ชูฮันที่จู่ๆก็ระเบิดอารมณ์ออกมา ไม่มีใครกล้าจะพูดอะไรทั้งนั้น ครั้งนี้พวกเขารู้ได้ในทันทีว่าเรื่องครั้งนี้กลายเป็นเรื่องร้ายแรงแล้วพ


 


หลิวยู่ติงเองก็วางอารมณ์ที่กำลังสนุกสนานของตัวเองลงทันทีและหันไปมองชูฮันอย่างตกใจเช่นกัน นี่มันไม่ใช่แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันถึงทำให้ชูฮันโกรธขึ้นมาได้ขนาดนี้?


 


“หึ!” หลังจากแสยะยิ้ม ชูฮันก็เปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของเขาแสดงพลังอำนาจที่ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเกรงกลัวพร้อมกับเสียงที่ก้องกังวาลไปด้วยอำนาจ “อัตราความสำเร็จของพวกคุณต่ำมาก เอาแต่สู้กับซอมบี้ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะซูเฟิงที่คอยสอดส่องดูแลพวกคุณทั้งหมดตลอดสามวันสามคืนไม่ได้พัก พวกคุณคงโดนซอมบี้กินกันไปหมดแล้ว พวกคุณเจริญอาหารกันอย่างมากจนไม่สนใจอะไรเลย!”


 


เมื่อชูฮันพูดออกไป หลายคนตะลึงงัน พวกเขาไม่คิดเลยว่าซูเฟิงจะคอยปกป้องพวกเขาอยู่อย่างลับๆ อีกอย่างอารมณ์และท่าทางข่มขู่ของชูฮันทำให้หลายคนรู้สึกไม่พอใจ


 


“คงคิดว่าฉันตื่นตูมเกินเหตุ? คิดว่าฉันทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่?!” ชูฮันกวาดสายตามอง น้ำเสียงไม่ได้แผ่วลงเลยสักนิดกลับกันมันยิ่งดุดันและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่พลังผันผวนของชูฮันพวกเขาก็เริ่มทนกันไม่ไหว “ภารกิจผ่านไปนานแล้ว พวกคุณทุกคนล้มเหลว! พวกคุณเป็นผู้แพ้!”


 


คนแพ้! “เฮือก!” หูของทุกคนแทบแตกด้วยเสียงตะโกนแหลมของชูฮัน หัวใจของหลายเต้นรัวจนแทบจะวาย อีกทั้งพลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 4 ของชูฮันที่ระเบิดออกมาอย่ารุนแรงประกอบกับเสียงดังลั่นเหมือนกับคลื่นพลังเสียงทำให้ทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตอัดแน่นไปด้วยเสียงดังก้องจนหูแทบแตก


 


เฉินช่าวเย่เองก็กลัวที่จะเงยหน้ามองหัวหน้าของเขา นอกเหนือจากเมื่อตอนที่เลาเสี่ยวเสียวโดนยิง เขาพึ่งเคยเห็นหัวหน้าโกรธมากขนาดนี้ ทันใดนั้นเฉินช่าวเย่ก็รู้สึกว่าครั้งนี้เขาไม่สามารถสบตากับหัวหน้าได้ แม้ตอนนี้ชูฮันไม่ได้แสดงท่าทางแข็งกระด้างและยังมีสีหน้าปกติอยู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันให้ความรู้สึกเหมือนราชา ที่ทำให้ทุกคนโค้งคำนับและศิโรราบได้โดยไม่รู้ตัว


 


ไม่รอคอยให้ทุกคนได้คืนสติกลับมา น้ำเสียงรุนแรงของชูฮันก็เอ่ยต่อขึ้นมาอีกครั้ง “พวกคุณคิดว่าฉันลำเอียง? ว่าฉันเลื่อนตำแหน่งให้หลิวยู่ติงโดยไม่สนใจพวกคุณ? ว่าฉันเย่อหยิ่งและเห็นแก่ตัวและฝึกพวกคุณผิดวิธี?”


 


ถึงแม้ภายนอกทุกคนจะไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมา แต่ข้างในใจของพวกเขารู้สึกต่อต้านอย่างที่ชูฮันพูด และส่วนเรื่องของหลิวยู่ติงนั้น…แน่นอนทุกคนคิดว่าชูฮันลำเอียง ซูเฟิงเป็นวิวัฒนาการระยะ 6 ส่วนหลิวยู่ติงเป็นแค่วิวัฒนาการระยะ 3 ซึ่งด้อยกว่าหลี่บี๋เฟิงด้วยซ้ำ ทำไมหลิวยู่ติงถึงไม่ต้องเข้าร่วมการฝึกครั้งนี้เหมือนกับพวกเขา ทำไมถึงได้มอบอำนาจมากมายขนาดนั้นให้หลิวยู่ติง หรือเป็นเพราะความสัมพันธ์อันดีในวัยเด็กของชูฮันและหลิวยู่ติง?


 


หลิวยู่ติงเองก็มองชูฮันอย่างไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร


 


ชูฮันไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับกลับไปทันที เขาเดินถอยหลังสองสามก้าว จากนั้นก็เอ่ยปากพูด “กูเหลียงเฉิน!”


 


กูเหลียงเฉินเป็นสิบเอกที่มีหน้าที่มากมาย แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมครั้งนี้ชูฮันถึงเรียกชื่อเขา


 


“จับคนเป็นพ่อซะ!” โดยไม่มีท่าทีใดๆ จู่ๆชูฮันก็สั่งออกมา


 


ความตกใจปรากฏขึ้นบนสีหน้าทุกคน!


 


“ครับ!” กูเหลียงเฉินตอบรับทันทีพร้อมกับปล่อยผัพลังนผวนของวิวัฒนากาารระยะ 3 ของตัวเองออกมาและไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะพุ่งตัวออกไปอย่างไว ไม่มีการข้องใจต่อคำสั่งของชูฮันเลยแม้แต่น้อย


 


“เดี๋ยว! นั่นนายจะ…” เหลิงเล่ยตกใจและโชคร้ายเพราะยังไม่ทันที่เหลิงเล่ยจะได้ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็ถูกกูเหลียงจับตัวกดลงกับพื้นแล้ว


 


ทุกคนช็อค นี่ชูฮันกำลังทำอะไร? นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่?


 


หลายคนที่มีจิตใจดีกังวลเกี่ยวกับเด็กสาว แต่พวกเขากลับต้องประหลาดใจที่ได้เห็นว่าเด็กสาวยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนเดิมอย่างไม่สนใจอะไร ทั้งๆที่พ่อของเธอถูกจับกดลงกับพื้นอยู่แท้ๆ แต่เธอกับไม่มีปฏิกิริยาหรือแม้แต่จะหันมามองด้วยซ้ำ

 

 

 


ตอนที่ 498

 

“ท่านพลเอก! นี่มันเกินไป!” สมาชิกคนใหม่ของกลุ่มที่หกไม่พอใจและพูดโพล่งขึ้นมาทันที “ถึงแม้ท่านจะไม่ชอบให้เราพาคนแปลกหน้ามา แต่นี่มันเกินไปรึเปล่า? ถ้าท่านไม่พอใจก็จับตัวอย่างนี้เหรอ? เหตุผลมันคืออะไร? นี่มันยังเป็นกองทัพอยู่รึเปล่า ท่านใช่พลเอกมั้ย? ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของท่านทั้งหมด!”


 


คำถามข้องใจที่เป็นตัวแทนของใครหลายๆคนดังขึ้น ชูฮันทำเกินไป


 


“เกินไป? พวกคุณคิดว่าซุปเปอร์ซอมบี้เป็นแค่หนอนที่กำจัดง่ายๆงั้นเหรอ? แถมตอนนี้ยังข้องใจต่อหัวหน้าตัวเองอีก?” แววตาของชูฮันเย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยการเหน็บแหนม พร้อมกับความโกรธและผิดหวังที่แฝงอยู่ในอกของชูฮัน


 


“คุณเป็นคนเชิญซุปเปอร์ซอมบี้เข้ามาแต่ยังไม่รู้ตัวอีก!”


 


“เฮือก!”


ฉับพลันหัวใจของทุกตนเต็มไปด้วยความช็อค สายตาทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบคู่มองไปที่ชูฮันด้วยความกลัว หลายคนเริ่มรู้สึกผิดและหลายคนก็ช็อคอย่างมาก


 


โดยเฉพาะกลุ่มที่หก!


 


ซุปเปอร์ซอมบี้ที่แสร้งทำตัวน่าสงสารถูกพาเข้ามาในกลุ่ม


 


เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของชูฮัน แม้แต่คนโง่ก็ยังมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่แววตาของทุกคนเต็มไปด้วยความกลัวขั้นรุนแรง พวกเขามองไปที่เด็กสาวที่นั่งเงียบๆอยู่ข้างกองไฟและเผยให้เห็นเพียงแค่ใบหน้าครึ่งล่างจากตั้งแต่แรกมาจนถึงตอนนี้!


 


“ฉะ ฉันไม่คิดอย่างนั้น” ทหารหญิงที่อยู่ในกลุ่มที่หกพูดขึ้นอย่างติดอ่าง เธอชี้นิ้วไปที่เด็กสาวที่ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆเลยตั้งแต่มาถึง พร้อมกับความโกรธที่ปะทุขึ้น “เธอจะเป็นซอมบี้ได้ยังไง? ทุกคนดูเธอสิ นี่คือคน และเธอก็มีพ่อ ซอมบี้จะอยู่ใกล้ชิดกับคนแบบนี้ได้ยังไง?”


 


ในขณะเดียวกันทหารหญิงก็รู้สึกผิดหวังอย่างมากกับชูฮัน ทำไมท่านพลเอกถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้!


 


เหล่าคนมาใหม่หลายคนก็คิดไปในทางเดียวกันเหมือนกัน ทุกคนรู้ดีว่าซอมบี้จะมีผิวซีดขาว และไม่มีลูกตาดำ ปากจะกว้างฉีกขึ้นไปเกือบถึงหู  แถมยังมีน้ำลายเหม็นเน่าเกาะเป็นชั้นอีก


 


ซอมบี้ยังไม่มีความคิดและปัญญา พวกมันไม่สามารถระงับความยากกินได้ แล้วมันจะอยู่ร่วมกับคนได้ยังไง? แถมยังนั่งเงียบสงบเป็นเวลาตั้งนานแบบนี้?! มีเพียงแค่ทหารผ่านศึกที่ติดตามชูฮันมาหนึ่งปีอย่างเฉินช่าวเย่เท่านั้นที่รู้ดี ความกลัวในใจของเขาเพิ่มขึ้นมากขึ้นทุกขณะ คำพูดของหัวหน้าชูฮันไม่เคยผิดพลาด และสิ่งที่มองเห็นตรงหน้าอาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป อะไรที่เข้าใจผิดก็อาจจะเป็นความจริงได้เช่นกัน…นั้นคือคำพูดของหัวหน้า


 


เด็กผู้หญิงคนนี้มีปัญหาแน่ๆ!


 


โดยไม่รอให้ทุกคนได้คิด เหลิงเล่ยที่ถูกกูเหลียงเฉินจับกดไว้กับพื้นก็แหกปากใส่ชูฮันอย่างบ้าคลั่ง “ลูกสาวของฉันไม่ใช่ซอมบี้! เธอไม่ใช่! แกมันบ้า แกมันปีศาจ แกต้องการให้คนของแกทำร้ายลูกสาวฉันใช่มั้ย? ฉันรู้ทันพวกแก ฉันไม่ยอมให้พวกแกทำสำเร็จแน่!”


 


ชูฮันไม่มีการเปลี่ยนทางอารมณ์ใดๆทั้งนั้น ไม่แม้แต่จะมองกลับไปที่เหลิงเล่ยที่กำลังคลั่ง และในตอนนั้นเองต่อหน้าทุกคนขวานยักษ์สีดำของชูฮันก็ควงเป็นวงพร้อมกับพลังของวิวัฒนาการระยะ 4 ที่ระเบิดออกโดยไม่มีการเตือนใดๆ และภายในพริบตาเดียวเงาดำของชูฮันก็เคลื่อนตัวไปปรากฏอยู่ด้านหลังของเด็กสาวที่นั่งเงียบกอดเข่าราวกับไม่รู้ถึงภัยอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น


 


ทุกคนพลันหยุดหายใจ ความช็อคปรากฏขึ้นบนสีหน้าของทุกคน หัวหน้าชูฮันกำลังจะทำอะไร?!


 


โดยไม่สนใจใครทั้งนั้น ชูฮันฟากขวานซิ่วโหลในมือลงใส่ร่างเล็กตรงหน้า!


 


หัวใจของหลายคนแทบหยุดเต้นมองไปที่ชูฮันอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ชูฮันกำลังจะฟันเด็กสาวตรงหน้าออกเป็นสองท่อน นี่มันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม พวกเขาติดตามคนแบบนี้ได้ยังไง? ท่านพลเอกที่โด่งดังเป็นคนใจหยาบแบบนี้เหรอ!?


 


ทั้งหลิวยู่ติงและเฉินช่าวเย่เองก็ตะลึง สับสนและงงงวย หากผลกระทบที่ใหญ่หลวงได้ทำให้สมองพวกเขาหยุดทำงานชั่วคราว


 


ตึง!


เสียงปะทะของโลหะดังขึ้น ซึ่งเกิดจากแรงกระแทกของขวานซิ่วโหล


 


ขวานยักษ์ดำฟาดลงที่ศีรษะของเด็กสาว ตัวใบมีดปะทะเข้าที่ศีรษะของเด็กสาวอย่างแรง ฮู้ดขาดออกและผมขาดร่วงบางเส้น


 


ทว่า เธอกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน! ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกตัดออกเป็นสองส่วนโดยขวานยักษ์แล้วแต่แม้แต่ร่างกายของเธอก็ไม่แม้แต่จะสั่นคลอน เธอยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ในท่าเดิมอย่างไร้อารมณ์


 


เวลาเหมือนจะหยุดค้าง ความกลัวก่อตัวขึ้นในหัวใจของทุกคนขณะมองไปที่เด็กสาวด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ ขวานยักษ์ที่ทำจากเหล็กฟาดเข้าที่หัวของเด็กสาวแต่มันกลับไม่เกิดอะไรขึ้น…


 


ภาพที่เกิดขึ้นนั้นช็อคทุกคนอย่างมาก!


 


ในตอนนั้นเองขณะที่ทุกคนกำลังช็อคอยู่ เด็กสาวก็ค่อยหันกลับมาอย่างช้าๆเพราะฮู้ดที่ขาดจากฝีมือของชูฮัน เมื่อเธอหันกลับมาใบหน้าของเธอจึงเปิดเผยต่อทุกคน ผิวของเธอขาวเนียนละมุน ริมฝีปากแดงฉ่ำสวยงามเหมือนที่เคยเห็น แถมยังมีจมูกโด่งเชิดเล็กๆน่ารัก หากตาของเธอขาวล้วนไม่มีนัยน์ตา!


 


เมื่อทุกคนได้เห็นใบหน้าของเด็กสาว ทุกคนก็ตะลึงค้างไปกันหมด ความกลัวและวิตกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่มันเป็นไปได้ยังไง?


 


“อ๊ากกกก—” ไม่รู้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องของใคร ทว่ามันดังสะท้อนก้องไปทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ต


 


“พวกคุณ…” เสียงของชูฮันทั้งเย็นชาและไร้ความปรานี คำรามลั่นใส่ฝูงชน “ดูให้เต็มตา!”


 


กูเหลียงเฉินเองก็กระพริบตาให้ตัวเอง…เป็นอย่างที่คิดไว้


 


ชูเซี่ยช็อคไปขณะหนึ่ง หากต่อมาความคิดในหัวของเธอก็ไหลรื่น แสดงว่าเธอเพิกเฉยต่อซุปเปอร์ซอมบี้เพราะรูปร่างของมันแตกต่างจากซอมบี้ปกติ แต่ซุปเปอร์ซอมบี้ไม่สามารถตัดสินได้จากซอมบี้ทั่วไป


 


ชูฮันมองตาชูเซี่ย จากนั้นก็หันไปมองเด็กสาวที่ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับขวานซิ่วโหลพร้อมกับแววตาแข็งกร้าว


 


ขวานซิ่วโหลระเบิดลำแสงสีดำออกมาภายในฉับพลันซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อชูฮันระเบิดพลังออกมาอย่างพร้อมต่อสู้ พลังผันผวนมหาศาลอัดแน่นอยู่ในอากาศมีแสงสีดำล้อมรอบตัวชูฮันไว้ ประกอบกับไฟที่สลัวภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตทำให้ทุกคนไม่สามารถเห็นร่างของชูฮันได้


 


ซูเฟิงที่อยู่บนชั้นสองของซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งตกใจและมองไปที่ชูฮันอย่างสลดใจ ในขณะเดียวกันปืนไรเฟิลยาวสีทองในมือของเขาก็ถูกกำแน่น ชูฮันไปที่หุบเขาหยินหยางมาใข่มั้ย? มีเพียงแค่อาวุธจากหุบเขาหยินหยางเท่านั้นที่จะเปล่งแสงที่คุ้นเคยแบบนี้ออกมาได้? แต่ทำไมพลังผันผวนของชูฮันถึงเป็นสีดำได้?


 


ในจังหวะนั้น จู่ๆเด็กสาวก็ล่าถอยไปด้วยความเร็วสูง ริมฝีปากแดงฉ่ำที่เคยสวยงามแยกออกเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคม สีหน้าพลันกลายเป็นคลั่งและรุนแรง ดูน่ากลัวอย่างมาก แตกต่างจากซอมบี้ทั่วไปปากของเธออ้ากว้างกว่ามาก เขี้ยวแหลมคมกว่าซอมบี้ปกติ และดูน่าเกลียดน่ากลัวอย่างมาก!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม