Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย 478-484
ตอนที่ 478
“ถ้างั้น! หัวหน้าต้องการย้ายทั้งทีมของฮูหยามาอยู่ที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าใช่มั้ย?” ติงซือเย้าแทบจะตามความคิดของเหอเฟิงไม่ทัน “หัวหน้าไปได้ความคิดอะไรแบบนี้มาจากไหน?”
“เรียนรู้จากชูฮัน” ปากของเหอเฟิงบิดมุมปากคล้ายกับคำนวนบางอย่างอยู่ในหัว
“อะไรน่ะ? ผมไม่เข้าใจ!” ติงซือเย้ามองหน้าเหอเฟิง
“ทีมลาดตระเวนของค่ายซางจิงค้นหาทีมของชูฮันไม่เจอแต่ทีมหลงยาพบพวกเขาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งขณะที่กลุ่มของชูฮันเผอิญขับรถผ่านสมาชิกของทีมหลงยาที่ไปปฏิบัติภารกิจเข้าพอดี มันเป็นเรื่องบังเอิญมากที่ได้เห็นชูฮันมาพร้อมกับคนอีกสามร้อยคน” รอยยิ้มของเหอเฟิงเริ่มกว้างขึ้นๆ “แน่นอนว่าฉันให้กัปตันทีมหลงยาเก็บเรื่องนี้เอาไว้ เพราะงั้นเลยไม่มีใครรู้”
ติงซือเย้ารีบเอามือตระครุบปาก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวและเต็มไปด้วยความตกใจ ทีมฮูหยาและหลงยา…ไม่ใช่สิ่งที่เขาจินตนาการเลย?
“อีกอย่าง” ทันใดนั้นเหอเฟิงก็ถามขึ้น “ฉันได้ยินว่าหยวนซีเยเป็นแม่ของชูฮัน?”
“ใช่” ติงซือเย้าไม่เข้าใจ “ฉันได้สั่งให้นายทำรายงานภารกิจให้ฉันไปแล้วนะ ฉันพูดไปชัดเจนแล้ว…แต่ใครคือหยวนซีเย? ทำไมฉันต้องใช้สมาชิกของฮูหยาถึงสองคนเพื่อไปปฏิบัติภารกิจช่วยชีวิตเธอ แถมสหายของฉันยังต้องตายไปอีกเพราะภารกิจนี้”
“ที่ข้อมูลส่วนตัวของชูฮัน ในส่วนของพ่อแม่ระบุบางอย่างไว้” แววตาของเหอเฟิงล้ำลึกดั่งมหาสมุทร โดยไม่สนใจแววตาประหลาดใจของติงซือเย้าที่มองมา “Mensa องค์กรนี่ นายรู้จักมั้ย?”
“ผมเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเมื่อตอนที่เจอหยวนซีเยแต่ผมไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร?” ติงซือเย้าตอบตามจริง
“ก่อนหน้านี้ฉันนึกไม่ออก ฉันนึกหาความเชื่อมโยงพวกนี้ไม่ออกจนกระทั่งได้เห็นรายงานภารกิจของทีมหลงยา” เหอเฟิงพูดขณะเดินไปด้วยและมีรอยยิ้มที่ดูแฝงนัยน์บางอย่างปรากฏบนหน้า “คาดว่าคนที่เข้าไปขโมยข้อมูลที่ห้องเก็บเอกสารน่าจะเป็นชูฮัน เพราะข้อสงสัยทุกอย่างมันเข้าเค้าหมด”
ติงซือเย้ารีบเดินตามฝีเท้าของเหอเฟิงให้ทัน “กัปตัน กัปตันก็เห็นว่าอัตราการสำเร็จของภารกิจผมว่าสูงแค่ไหน กัปตันบอกผมสิ?”
เหอเฟิงเพียงแค่เหลือบตามองกลับมาโดยไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้ม
———
ในเมืองหลิงเฉิง มีซอมบี้กระจายตัวอัดแน่นอยู่เต็มพื้นที่ไปหมดจนแทบไม่มีจุดว่างให้หลบซ่อน ทั้งถนนล้นไปด้วยซอมบี้เต็มไปหมด กำแพงเต็มไปด้วยรอขีดขูดและกลิ่นเหม็นเน่าของซอมบี้
กลุ่มทหารสิบหกกลุ่มเข้ามาในหลิงเฉิงที่ไม่ต่างอะไรจากสุสาน โดยแยกกันไปกลุ่มละทิศทาง มันมีเส้นทางมากมายนับไม่ถ้วนให้ไปถึงกลางเมือง ประกอบกับมีต้นไม้ยักษ์ที่เติบโตขึ้นในโลกาวินาศอย่างก้าวกระโดดคลุมเต็มพื้นที่ไปหมด ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในเมือง พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเมล็ดทรายที่ตกลงไปในทะเลทราย พวกเขาเหมือนกับถูกกลืนกินไปอย่างสิ้นเชิงและทำให้ไม่มีหนทางการติดต่อระหว่างพวกเขาเลยสักนิด
สิบคนที่อยู่ในแต่ละกลุ่มทำตามระเบียบการพื้นฐานโดยเดินอย่างเงียบๆเรียงแถวหาทางเข้าไปใจกลางเมือง และในขณะเดียวกันคนที่มาใหม่ก็ถูกพวกทหารเดิมเดินบังไว้ เหล่าคนมาใหม่พยายามเรียนรู้และทำตามพฤติกรรมและระเบียบการของทหารเดิมให้ทัน
ที่ห้องมืดอับแห่งหนึ่ง มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่แขวนอยู่ด้านนอกของตัวบ้าน รอยเลือดเปื้อนเป็นลายทางฝังลึกไว้นานจนไม่สามารถดูได้ออกว่ามันเกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้วและมีอะไรเขียนอยู่บนนั้น
พวกหนูวิ่งพล่านกรูกันเข้าไปในตัวบ้าน ตัวมันสกปรกดำและเปื้อนเลือด ดูไม่ออกว่าเป็นเลือดคนหรือเป็นเลือดซากศพที่พวกมันไปแทะกินเป็นอาหาร หนูพวกนี้มีขนาดใหญ่มาก ฟันแหลมคม ตาของมันเป็นหลุมลึกลงไปโดยไม่มีลูกตา
นี้เป็นหลุ่มหนูซอมบี้ที่กลายพันธุ์จากการกินเนื้อซอมบี้!
“ปัง!”
ประตูถูกเปิดออกโดนลูกเตะ ตามมาด้วยเสียงดังลั่น “พวกนายสามารถเข้าไปที่กลางเมืองวันพรุ่งนี้ได้ คืนนี้พักที่นี้ไปก่อน ไอ้พวกหนูนี้เป็นซอมบี้ ฆ่ามันซะ!”
พัฟ! พัฟ!
หัวของพวกมันถูกฟันขาดทันทีและถูกโยนออกไปนอกบ้าน
“ปัง!”
ตามมาด้วยเสียงปิดประตูดังปังจนประตูสั่นไปอยู่พักหนึ่ง
เกิดความเงียบขึ้นภายในตัวบ้าน คนทั้งเก้าคนเริ่มตกอยู่ในความเงียบนิ่ง หลี่บี๋เฟิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนมีสภาพเหงื่อโชก ทั้งเก้าคนต่างเหนื่อยล้าจนไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น
“ทำไมไม่พูดอะไร?!” ความหงุดหงิดของหลี่บี๋เฟิงถูกระบายอารมณ์ใส่คนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด “เป็นใบ้กันเหรอไง?”
นี่เป็นกลุ่มเดินทางที่ออกมากลุ่มแรก นำทีมโดยหลี่บี๋เฟิง…วิวัฒนาการระยะ 4 เพราะในทีมนี้หลี่บี๋เฟิงถือว่าแข็งแกร่งที่สุด เขาเป็นคนจัดวางทุกอย่างให้สมาชิกทั้งเก้าคน เขาทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของทีมอยู่ในระดับสูงที่สุดและรวดเร็วที่สุด
เพราะหลี่บี๋เฟิงไล่ฆ่าซอมบี้ทุกตัวที่เจอระหว่างทางมาตลอด ส่วนคนทั้งเก้าคนได้แต่วิ่งตามหลังเขามาเรื่อยๆจนขาแทบหักเพราะตามความเร็วของหลี่บี๋เฟิงไม่ทัน หลี่บี๋เฟิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองฆ่าซอมบี้ไปได้ทั้งหมดกี่ตัว ภาพที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจให้แก่ทั้งเก้าคนอย่างมาก พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของวิวัฒนาการระยะ 4 กับตาตัวเองเป็นครั้งแรก
และเป็นเพราะความสามารถที่ไม่อาจจะเทียบได้ของหลี่บี๋เฟิงทำให้ทั้งสิบคนพุ่งตรงเข้ามาที่กลางเมืองในเวลาอันรวดเร็วและลืมภารกิจที่ต้องตามหาร่องรอยของซุปเปอร์ซอมบี้ไปโดยสิ้นเชิง แต่เป็นเพราะว่าการเดินทางทั้งหมดใช้เวลาไปหมดแล้วหนึ่งวัน เพราะฉะนั้นคาดว่าพวกเขาน่าจะทำตามจุดประสงค์ของการฝึกครั้งนี้ได้ในเช้าวันพรุ่งนี้
“เราเดินทางกันมาทั้งวัน นี่เราลืมอะไรบางอย่างกันไปหรือเปล่า?” คนธรรมดาที่ถูกหลี่บี๋เฟิงตะโกนใส่พูดขึ้น “ดูเหมือนเราจะไม่ได้ตามหาร่องรองของซูปเปอร์ซอมบี้กัน?”
“อ่า!” หลี่บี๋เฟิงหันไปมอง จากนั้นก็โพล่งขึ้น “ฉันลืม…”
ทั้งเก้าคนแทบจะเป็นลมเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่บี๋เฟิง หัวหน้าคนนี้…?
“แต่ไม่เป็นไร!” หลี่บี๋เฟิงโบกมือ และพูดตามมที่คิด “ซุปเปอร์ซอมบี้คือราชาซอมบี้ที่มีพลังสูงมาก ฉันไล่ฆ่าซอมบี้มาตลอดทางจนถึงนี้แต่มันไม่การการตอบสนองอะไรจากซุปเปอร์ซอมบี้เลย ถ้ามันอยู่แถวๆนี้มันจะต้องปรากฏตัวออกมาแน่เพราะเราไล่ฆ่าพรรคพวกมันมาตลอดทาง แต่นี่มันไม่มีการตอบสนองอะไร แสดงว่ามันไม่ได้อยู่บริเวณนี้เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องตามหามันที่เส้นนี้แล้ว ตัดทิ้งไปได้เลย”
อย่างนั้นก็ได้เหรอ? บางคนตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“หรือยังไง? จะให้ย้อนกลับไปตามหาเหรอไง?!” หลี่บี๋เฟิงหันกลับไปมองทุกคน “มันไม่เป็นอะไรที่จะใช้การวิธีการตัดออก เชื่อฉันสิ!”
ในขณะเดียวกัน ตรงหน้าประตูร้านค้าที่สกปรก มันมีซากศพซอมบี้นอนกองอยู่ด้านนอกของร้านค้า หากมันมีเสียงบางอย่างที่ดังโวยวายออกมาจากด้านในร้านค้าและไม่นานหลังจากนั้น——-
“แม่ง! เสียเวลาเปล่า!” เฉินช่าวเย่แหกปากโวยวาย “ทำไมไม่มีของอะไรเลยในร้านขายเน้ือ? ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากไข่เนี่ย!”
ติงเซวได้แต่พยายามอดกลั้นฝืนร่างกายที่แทบจะเป็นลมอยู่แล้วเอาไว้และในขณะที่เธอกำลังจะเปิดปากพูด
“นั่นก็เพราะ นายควรจะเดินไปอีกทางอย่างที๋ฉันบอก มันมีร้านอิตาลีอยู่ตรงนั้น!” ซูเซียงหลงและเฉินช่าวเย่ถอนหายใจพรูดอย่างหงุดหงิดเพราะความหิวและกวาดตามองไปรอบๆ
ตอนที่ 479
“ร้านอาหารอิตาลี?” ตาของเฉินช่าวเย่หรี่ลงแสดงอาการตำหนิ แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในโลกาวินาศ ดังนั้นเขาจึงหันหน้าไปถามติงเซว “คุณหญิงมันมีแต่พวกสปาเกตตี้ คุณทานได้มั้ย?”
ติงเซวขมวดคิ้วและมีท่าทีเขินอาย “ดะ ได้ ได้สิ…”
“ดี! งั้นไป! ไปที่ถนนอีกเส้นกัน!” ซูเซียงหลงตะโกนดังและเดินผ่านนำเฉินช่าวเย่และกลุ่มคนที่ยืนตะลึงไป
นี้คือทีมที่สองของเฉินช่าวเย่แต่คนเดียวในกลุ่มที่มีความสามารถระดับสูงและความแข็งแกร่งทางกายภาพนั้นคือซูเซียงหลง เพราะปืนของเฉินช่าวเย่นั้นถูกชูฮันห้ามใช้และยึดเอาไว้ ชูฮันให้เพียงแค่ปืนพกเล็กๆไว้ให้เฉินช่าวเย่ติดตัวสำหรับเหตุฉุกเฉินเท่านั้นและมันก็มีกระสุนเพียงแค่สามนัดเท่านั้น เพราะเหตุนั้นเฉินช่าวเย่จึงไม่ใช่มือปืนพระเจ้าอีกต่อไปแต่เป็นแค่คนอ้วนธรรมดาๆ
ถึงแม้ซูเซียงหลงจะเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 และเป็นวิวัฒนาการระยะสูงที่สุดในทีม แต่หัวหน้าของทีมที่สองนี้ก็ยังคงเป็นเฉินช่าวเย่อยู่
ส่วนสำหรับแปดคนที่เหลือ หนึ่งในนั้นก็มีติงเซวที่เป็นผู้หญิงคนเดียวรวมอยู่ อีกสี่คนเป็นพวกมาใหม่ที่ได้แต่ตะลึงกับวิธีการทำงานของกลุ่มหทารของชูฮัน พวกเขามีความกังวลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะถนนเต็มไปด้วยความวุ่นวายและซอมบี้พลุกพล่านเต็มไปหมด คนพวกนี้เอาแต่เดินตามหาอาหารไม่หยุด มันไม่มีอะไรจะสามารถบรรยายสิ่งที่พวกเขาเจอได้ตั้งแต่วันแรกแล้ว
ไม่เหมือนกับกลุ่มแรกของหลี่บี๋เฟิงที่กล้าไล่ฆ่าซอมบี้และไม่มีอาการเหนื่อยล้าเท่ากับกลุ่มอื่น กลุ่มที่สองนี้ไม่ได้เริ่มต้นที่การทำภารกิจทันทีเพื่อความสำเร็จ กลุ่มนี้รู้ข้อมูลว่ามีอะไรตรงไหนซ่อนอยู่ในเมือง รู้ว่าอาหารอยู่ตรงไหน และรีบกินเข้าไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะอ้วก
กลุ่มที่สามนำโดยหลูเหวินเฉิงและมีเหล่ยเซอเป็นรองหัวหน้าทีม สมาชิกมีชูเซีย เสี่ยวฉีและคนธรรมดาอีกหกคน หลูเหวินเฉิงและเหล่ยเซอเป็นพรสวรรค์ทั้งคู่ ในทีมที่สามนี้ไม่มีวิวัฒนาการอยู่เลย เป็นกลุ่มที่พิเศษที่สุดท่ามกลางทั้งสิบหกทีม และแตกต่างจากกลุ่มแรกของหลี่บี๋เฟิงและกลุ่มที่สองของเฉินช่าวเย่อย่างมาก ตัวอย่างเช่นตอนนี้…
มันเคยเป็นร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในยุคศิวิไลซ์ ร้านค้านี้เป็นร้านที่ดูสะอาดสะอ้านมากกว่าร้านอื่นเป็นเพราะว่ามันไม่มีอาหารอยู่ที่นี้ เหล่าผู้รอดชีวิตจึงไม่คิดจะวิ่งเข้ามาในร้านนี้กันเลยสักนิดเมื่อตอนที่เกิดการปะทุขึ้น ซึ่งมันทำให้ร้านนี้ไม่มีเลือดหรือเครื่องในเหม็นเน่าของซอมบี้กระจายเปรอะเปื้อนเหมือนที่อื่น มันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมอย่างมากสำหรัลการพักค้างคืนชั่วคราว
และในขณะนั้นเอง จังหวะที่ทุกกำลังจะพักผ่อน ทุกคนก็ต่างใช้สายตาจับจ้องไปที่หลูเหวินเฉิงกันหมด
“ใช้ไม่ได้? มันจะใช้ไม่ได้เลยสักอันเหรอไง? ทำไมใช้ไม่ได้?!” หลูเหวินเฉิงเขยิบย้ายไปที่คอมพิวเตอร์ทีละคอมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาเครื่องที่ใช้งานได้
“ไม่ต้องพยายามหรอก” เหล่ยเซออดไม่ไหวที่จะเอ่ยขึ้น สายตาแสดงออกถึงอาการหมดความอดทน “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ถูกโจมตีด้วยพลังงานที่ไม่รู้จัก ตอนนี้พวกมันมีค่าไม่ต่างอะไรจากเศษเหล็กเก่าๆ”
“เฮ้!” หลูเหวินเฉิงโต้กลับทันที “ฉันยังเคยเห็นคอมพิวเตอร์ที่ค่ายซางจิง แล้วทำไมคอมพวกนี้ถึงใช้ไม่ได้?!”
“นั่นอาจเป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ไม่กี่เครื่องที่สามารถใช้ได้ในจีน ในค่ายซางจิงมีกำลังคนเป็นจำนวนมาก พวกเขาเชิญแต่คนระดับหวกะทิของจีนมาอยู่รวมกันเพื่อทำงานและใช้เงินไปมากกับการสร้างขึ้นใหม่ แต่ที่อยู่ต่อหน้านายในตอนนี้เป็นแค่คอมพิวเตอร์ธรรมดาๆ ไม่สามารถเปรียบเทียบกับของที่ซางจิงได้” เหล่ยเซอพยายามอธิบายอย่างอดทน “รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ซึ่งตอนนี้มีคนใช้อยู่น้อยนิด และฉันก็ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลาอีกกี่ปีสำหรับโลกาวินาศที่จะฟื้นฟูยุคของศิวิไลซ์กลับคืนมา”
กลุ่มคนที่อยู่อยู่รอบๆต่างเงียบสนิททันที พวกเขาถูกยั่วยุจนเกิดความคิดล้ำลึกขึ้น
แม้แต่ชูเซียที่เด็กที่สุดในกลุ่มและเสี่ยวฉีที่กล้าหาญ อดไม่ได้ที่จะคิดตามที่ได้ยิน หากความคิดชั่วครู่ในหัวของหลูเหวินเฉิงก็ต้องถูกขัดจังหวะ….
“เหล่ยเซอ! นี่! เหล่ยเซอ นี่สำหรับนาย!” ทันใดนั้นหลูเหวินเฉิงก็ตะโกนดังขึ้นมาด้วยท่าทางตกใจและสั่นมือของเหล่ยเซอไม่หยุด
พั้วะ!
หน้าของเหล่ยเซอพลันเปลี่ยนสีทันที ตามด้วย
เฮือก
อันดับของหลูเหวินเฉิงนั้นสูงกว่าเหล่ยเซอ แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นพรสวรรค์เหมือนกันแต่สมรรถภาพทางร่างกายของเหล่ยเซอนั้นแข็งแกร่งกว่าหลูเหวินเฉิง และครั้งนี้หลูเหวินเฉิงก็ถูกเหล่ยเซอโจมตีจนกระเด็น
“แม่ง! จะสู้กับใครก็เผชิญหน้าตรงๆสิ ฉันจะสู้กับแก!” หน้าขึ้นหลูเหวินเฉิงตึงเครียด จากนั้นก็เริ่มสู้กลับ
การต่อสู้ที่ดุเดือด เละเทะ…
เสี่ยวฉีที่หวาดกลัวกำมือที่ชายเสื้อของชูเซียแน่น ส่วนอีกคนที่เหลือก็ต่างทำอะไรไม่ถูกและได้แต่นั่งกลัว ไม่มีใครกล้าส่งเสียง พวกเขาทำได้แต่มองภาพการต่อสู้ตรงหน้าของหลูเหวินเฉิงและเหล่ยเซอ
ชูเซียที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มกลับเป็นคนที่นิ่งที่สุด แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าเพื่อหลบลูกหลง ทำไมเธอถึงได้มาอยู่ทีมที่ไม่เข้ากันแบบนี้?
คนอื่นยิ่งตะลึงกว่า พวกเขาพอจะรู้ว่าคนพวกนี้แปลกแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะผิดปกติแบบนี้!
“เอาล่ะ เอาล่ะ” ชูเซียไม่อยากจะทนรอการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ดังนั้นเธอเลยพูดขึ้น “ในเมื่อทุกคนมีพลังงานล้นเหลือขนาดนี้ งั้นก็ไม่ต้องพักแล้วเรามาวิเคราะห์เบาะแสที่เราเจอกันวันนี้ เราเหลือเวลาอีกแค่สองวันเท่านั้นเราควรรีบหาเบาะแสให้ทันก่อน อย่างน้อยจะได้มีความก้าวหน้า”
“เราจำเป็นต้องจริงจังกับการค้นหานี้ขนาดนั้นเลย?” หลูเหวินเฉิงนั่งลงพร้อมกับหน้าที่บวมเปล่ง ถึงแม้เขาจะเป็นหัวหน้าของทีมแต่เขาก็ค่อนข้างเกรงใจชูเซี่ยอย่างมาก
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นแต่รองหัวหน้าทีมอย่างเหล่ยเซอก็เช่นกัน เหล่ยเซอทรุดตัวลงนั่งข้างชูเซียอีกฝั่ง อารมณ์ของสองคนนี้ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งทีมโดยตรง ผู้ชายทั้งเก้าคนในทีมที่นั่งล้อมชูเซี่ยกันอยู่ต่างมองมาที่เธอด้วยสายตาจริงจัง
“เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของชูเซี่ยยิ้มอย่างมั่นใจ “เท่าที่ฉันรู้จักพี่ชายชูฮัน พี่ชายชูฮันจะไม่มีทางให้ภารกิจธรรมดาๆมาอย่างแน่นอน”
“ธรรมดา?”
“อย่างมาก?”
คนมาใหม่ทั้งสี่คนที่ได้ยินต่างสยองกันหมด แม้พวกเขาจะไม่ได้เผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่อย่างที่ทหารกลุ่มเดิมได้ประสบมา แต่พวกเขาก็เจอกับฝูงซอมบี้มหาศาลมาเหมือนกัน ทุกครั้งพวกเขาได้แต่หวาดกลัว เด็กผู้หญิงคนนี้ดูท่าแล้วคงน่าจะอายุแค่สิบห้าด้วยซ้ำ แต่กลับพูดออกจากปากว่าเป็นภารกิจธรรมดาๆ?
“ทำไมล่ะ?” เหล่ยเซอนิ่วหน้าและถาม “เราฝึกมาตลอดเดือน เขาอาจจะปล่อยให้เราผ่อนคลายบ้างก็ได้ ว่ามั้ย?”
“ผ่อนคลาย” ชูเซี่ยยิ้มมุมปาก น้ำเสียงเย้า “การฝึกครั้งก่อนนั้นต่างหากคือการผ่อนคลาย จำภารกิจที่เราต้องไปหาแกะขนาดกลางที่ค่ายผู้รอดชีวิตกลางค่ำ อาบน้ำให้พวกมันโดยไม่ให้ถูกจับได้และเอาพวกมันไปเก็บไว้ในคอกเหมือนเดิม แถมพวกมันยังมีต้องสองร้อยตัว”
“ฉันยังจำได้ขึ้นใจ!” หลูเหวินเชิงนิ่งไปครู่หนึ่ง เขามีท่าทีหวาดกลัว “มือของฉันแทบจะพังหมดตอนนั้น ฉันอยากจะโกนขนของพวกแกะนั้นทิ้งซะให้หมดแทน!”
“อย่าขัด!” เหล่ยเซอเอ็ดหลูเหวินเฉิง “ชูเซี่ยพูดต่อสิ”
แววตาของชูเซี่ยเป็นประกาย เธอคือหัวหน้าของการวิเคราะห์ “นั่นเป็นการฝึกภาคปฏิบัติครั้งแรกของพวกเรา มันคือการผ่อนคลายที่แท้จริง นอกเหนือจากการขโมยแกะมาอาบน้ำและส่งมันกลับคืน”
“ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของเราที่เข้ามาฝึกในเมือง และมีชื่อว่าการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอด ความจริงมันคือการฝึกอะไร มีเพียงแค่พี่ชูฮันเท่านั้นที่รู้ ฉันไม่สามารถวิเคราะห์ได้ แต่ดูข้อมูลพื้นผิวของข้อมูลภารกิจแล้ว การตามหาร่องรอยของซุปเปอร์ซอมบี้นั่นสำคัญที่สุด”
“ลองคิดดูสิ ถ้าเราไม่ได้ข้อมูลนั้นเลย หลังจากสามวันผ่านไป และเมื่อได้เจอกับท่านพลเอก จุดจบของกองทัพเราจะเป็นยังไง? อย่าลืมว่ากฎระเบียบทางทหารไร้ความปรานี!”
ตอนที่ 480
อึก!
กลุ่มคนเริ่มสบถกันไม่หยุด จุดจบของภารกิจมันคืออะไรกัน? พวกเขาไม่เคยทำการฝึกแบบนี้มาก่อน เพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาชูฮันเป็นคนนำทีมมาตลอด พวกเขาควรจะได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนว่าควรจะต้องทำอะไร หลังจากการวิเคราะห์ของชูเซี่ย กลุ่มคนก็ได้แต่ประหลาดใจกับความชาญฉลาดของภารกิจครั้งนี้
จุดประสงค์ที่ชัดเจนของการฝึกนี้ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด
“ฉันบอกแล้ว!” หลูเหวินเฉิงพูดขึ้น “การเอาตัวรอดในเมืองสามวันเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับพวกเรา ที่สำคัญและยากจริงๆคือการตามหาซุปเปอร์ซอมบี้”
“ประเด็นสำคัญคือไอ้ซุปเปอร์ซอมบี้นี้มีอยู่จริงๆรึเปล่า? แล้วรูปร่างลักษณะมันเป็นยังไง? เราไม่รู้อะไรเลย” เหล่ยเซอเองก็เริ่มให้ความสนใจ “ท่านพลเอกชูฮันไม่ได้บอกอะไรเราเลย แล้วอยู่ดีๆท่านก็ปล่อยเราเข้ามาในเมือง”
“ทุกอย่างมันแตกแยกกันไปหมด!” ชูเซี่ยหยิบแผ่นกระดาษสองสามแผ่นออกมา “ดูนี่สิ นี่คือเรื่องราวแปลกๆที่ฉันพบระหว่างทาง พี่ชูฮันบอกว่าที่นี้มีซุปเปอร์ซอมบี้ เราจะคาดหวังความโชคดีกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เราจำเป็นต้องมั่นใจก่อนการตามหาตัวมัน การหาความแตกต่างจากซอมบี้ปกติจะไม่ใช่เรื่องยากเลย”
เมื่อมองไปที่กระดาษไม่กี่แผ่นตรงหน้า ทุกคนก็มีอาการตกใจที่ได้เห็นเด็กสาวอายุเพียงแค่สิบห้าปีมีความสามารถมากถึงขนาดนี้ ความสามารถของเธอนั้นพุ่งทะลุฟ้า!
ชูเซี่ยเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย “ก็ ฉันเองก็เป็นนักรบจากสงครามเมืองแห่งความตายเหมือนกันนะ”
ทุกคนมีสีหน้ากลัวอีกครั้ง ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินชื่อคำว่าสงครามเมืองแห่งความตายพวกเขาก็เริ่มเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในอก ในตอนนี้เมื่อมองไปที่ชูเซี่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม ในที่สุดเหล่าคนมาใหม่ทั้งสี่คนรับรู้แล้วว่าทหารพวกนี้เคารพเด็กผู้หญิงคนนี้มากขนาดไหน คนที่เอาชีวิตรอดมาจากสงครามเมืองแห่งความตายนั้นแตกต่างไปจากคนทั่วไป!
และในขณะที่กลุ่มกำลังมองไปที่ข้อมูลตรงหน้าพวกเขาอยู่ ทันใดนั้นมันก็เกิดเสียงที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ดังมาจากทางด้านนอก “ซุปเปอร์ซอมบี้? พวกคุณเจอเบาะแสอะไรหรือยัง? บอกฉันบ้างสิ!”
“ใครน่ะ?!” ทุกคนเริ่มตระหนก หลูเหวินเฉิงและเหล่ยเซอรีบพุ่งตัวเข้ามาบังตัวชูเซี่ยเอาไว้อย่างปกป้องและในขณะเดียวกัน——-
“ปัง!”
เกิดเสียงดังขึ้น ประตูของร้านค้าปลิวว่อนพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนทันที!
ทุกคนรีบกระจายตัวหลบประตูที่พุ่งเข้ามา
“ปัง!”
ประตูกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรงจนเกิดรูขึ้นที่ตัวผนัง
ในขณะเดียวกัน มันก็มีร่างๆหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอยู่ด้านนอกพร้อมกับดาบเยือกเย็นในมือ แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร สายตากวาดๆรอบมองทุกคนในร้านค้า
หัวใจของหลูเหวินเฉิงแทบหยุดเต้น ตอนนี้เขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังในการสู้รบของคนตรงหน้าว่ามันพิเศษมากขนาดไหน นอกเหนือจากกลุ่มทั้งสิบหกกลุ่มของพวกเขาแล้วมันยังมีคนอื่นที่กำลังตามหาซุปเปอร์ซอมบี้ในสุสานแห่งนี้ด้วย
อู๋หยูเฉียงเหลือบตามองกลุ่มคนตรงหน้าเขาพร้อมแสยะยิ้ม “พวกขยะพลังต่ำๆ ถ้าไม่อยากต้องสู้กับซอมบี้ ส่งสิ่งที่พวกแกเก็บข้อมูลได้มาให้ฉันซะ!”
แน่นอนว่า มันต้องมีซุปเปอร์ซอมบี้อยู่ในเมืองนี้แน่ๆ!
ชูเซี่ยกำกระดาษข้อมูลในมือแน่นจนเหงื่อแตก หลูเหวินเฉิงและเหล่ยเซอเองก็สบตากันไปมาอย่างรู้กัน การต่อสู้วันนี้อาจทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายได้
“เอาออกมาเร็วๆเข้า!” อู๋หยูเฉียงคำราม เขาไม่แม้แต่จะสนใจพวกคนธรรมดาไว้ในสายตาด้วยซ้ำ “ถ้าพวกแกไม่ส่งมาให้ฉัน ฉันจะฆ่าพวกแกแล้วหาด้วยตัวเอง!”
และในขณะระหว่างบรรยากาศกดดันของทั้งสองฝ่าย หนึ่งในกลุ่มคนมาใหม่สี่คนก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ชูเซี่ยที่หลูเหวินเฉิงและเหล่ยเซอยืนบังตัวไว้อยู่อ “มันอยู่ในมือของเด็กสาวคนนั้น อย่าฆ่าฉันนะ”
หลังจากนั้นอู๋หยูเฉียงก็หันมามองด้วยท่าทางพอใจ
เสี่ยวฉีมีท่าทีหวาดกลัว เขาหันไปมองผู้ชายคนที่เดินออกไปจากข้างตัวเขา หัวใจของเสี่ยวฉีเต้นรัวแรงแทบจะถึงสองร้อยครั้งต่อนาทีได้เมื่อได้เห็นภาพของผู้ชายทั้งแปดคนยืนเอาตัวบังชูเซี่ยไว้อย่างปกป้อง และอีกคนที่เป็นฝ่ายทรยศ ตอนนี้คนทรยศได้เดินออกจากพวกเขาแล้วและกลายเป็นปรปักษ์กันไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ
“คนคนนี้คือใคร?” หลูเหวินเฉิงมองไปที่คนทรยศด้วยสายตาที่ใครเห็นเป็นก็ต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน
“ชื่อของคนตาย ไม่จำเป็นต้องรู้!” เหล่ยเซอมองไปที่ด้วยสายเคียดแค้น
“เราไม่ควรเสี่ยง อีกฝั่งแข็งแกร่งมากเกินไป เรายังมีโอกาสที่จะหนีไปตอนนี้” ชูเซี่ยกระซิบลอดฟันให้เฉพาะคนที่ยืนอยู่ใกล้เธอได้ยินเท่านั้น
“แล้วมันล่ะ?” หลูเหวินเฉิงถามถึงคนทรยศ
“ตาย ฆ่ามันซะ” เสียงของชูเซี่ยเย็นยะเยือก ความหมายของการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอด…ในที่สุดเธอก็เข้าใจ!
ในเวลานี้อู๋หยูเฉียงได้หมุนตัวหันมาจ้องที่ชูเซี่ย แววตาของเขาที่มองมาเต็มไปด้วยความหยาบโลน “งั้นก็เด็กสาว? ยังดูอ่อนโยนอยู่เลย รอดมาจากโลกาวินาศได้อย่างไร? เมื่อเห็นเธออยู่ในสภาพดีแบบนี้ ฉันจะพิจารณาไม่ฆ่าเธอทิ้งละกันและจะให้เธอมาเป็นอีตัวของฉันก็ดูไม่เลว”
ชูเซี่ยและคนอื่นๆหน้าตึงและอารมณ์ขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่าท่ามกลางสถานการณ์—–
“ปัง!”
เกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ประตูอีกบานถูกอัดกระแทกกระเด็นเข้าใส่กำแพงทันที มีชายอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับดาบยาวในมือที่ชักออกมาจากด้ามฝักพร้อมกัยฝุ่นที่ลอยคลุ้งในอากาศ ตัวใบมีดชี้ใส่อู๋หยูเฉียง “อู๋หยูเฉียง? ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะมีความสนใจเรื่องของซอมบี้ด้วย”
“แกเป็นใคร?” สีหน้าของอู๋หยูเฉียงแสดงอาการตื่นตัวอยู่ครู่หนึ่ง พละกำลังความแข็งแกร่งของคนที่พึ่งปรากฏตัวนั้นเทียบพอๆกับตัวเขา แถมอีกฝ่ายยังพูดถึงซอมบี้ที่เขากำลังตามหาอยู่? คนคนนี้คือใครกัน?
ตัวดาบในมือของชายหนุ่มส่องประกายสีเงินแวว สีหน้าเย็นชานั้นตรงไปตรงมาจนสามารถมองเห็นได้ว่าหัวใจของชายหนุ่มคนนี้สูงส่งและภาคภูมิขนาดไหน “ในละแวกนี้ แกน่าจะเคยได้ยินคำว่า นักฆ่าหลิงหลิงซวน?!”
นัยน์ตาของอู๋หยูเฉียงหดตัวอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงแหบแห้ง “แกคือนักฆ่าหลิงหลิงซวน? ดี ในที่สุดกูได้เจอตัวมึงซะที!”
“งั้นก็มาเจอกับกูสิ!” เสียงของหลิงหลิงซวนเย็นชา
สงครามระหว่างทั้งสองคนกำลังจะระเบิดขึ้นแล้ว พลังผันผวนรุนแรงและมหาศาลของทั้งคู่ระเบิดทะลักออกมาอย่างฉับพลัน
“ไปกันเร็ว!” ภายใต้การสั่งการของชูเซี่ย ทุกคนรีบพุ่งตัวหนีไปทางประตูอย่างรวดเร็ว
ชูเซี่ยและคนอื่นรีบใช้โอกาสที่มีหาจังหวะหนีออกไปอย่างไม่ลังเล เหล่ยเซอรีบพุ่งตัวไปที่ประตูพร้อมกับกริชในมือที่แทงเข้าตรงคอของคนทรยศ
คิดจะทรยศ…ต้องโดนฆ่า!
หลังจากฆ่าคนทรยศ หลายคนก็รีบออกไปที่ด้านนอก
โชคร้ายที่เสี่ยวฉีตามมาไม่ทัน หลังจากวิ่งมาได้ครึ่งทาง พวกเขาก็พึ่งนึกออกว่าขาดไปคนหนึ่ง
“เพื่อที่จะกลับไปหาชูฮัน กฏเหล็กของทีมคือห้ามทิ้งใครข้างหลังเด็ดขาด เสี่ยวฉีก็เป็นคนของพวกเรา!” หลูเหวินเฉิงรีบพูดขึ้น “แต่ตอนนี้ความสามารถของพวกเรามีขีดจำกัด อีกฝ่ายน่าจะเป็นวิวัฒนาการระยะ 5 อย่างน้อย!”
“ไปที่ถนนร้านค้าอาหาร!” ชูเซี่ยสูดลมหายใจและรีบกระซิบบอกคนที่อยู่ข้างๆเธอ
“อ่า…” หลูเหวินเฉิงไม่เข้าใจ “ฉันคิดว่า เราควรขอความช่วยเหลือจากทีมอื่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ไม่ใช่เหรอไง?”
“ไปที่ถนนร้านค้าอาหาร ทีมที่สองจะต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ” เสียงของชูเซี่ยเต็มไปด้วยความมั่นใจ “เฉินช่าวเย่มีกระสุนแค่สามนัด!”
“ใช่! ด้วยลักษณะนิสัยของพลโทเฉินช่าวเย่เขาจะต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน” แววตาของหลูเหวินเฉิงพลันเป็นประกาย “ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะรับมือกับซอมบี้ระดับสูงด้วยกระสุน แต่กับมนุษย์ด้วยกันมันคนละเรื่อง!”
คนมาใหม่อีกสองคนที่ตามชูเซี่ยมารวมกับคนอื่นต่างเกิดความรู้สึกสับสนและมันก็มีท่าทางของความโล่งใจ จุดจบของเรื่องนี้เหมือนกัน พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการกระทำของชูฮันแล้ว
คนทรยศต้องไม่ปล่อยให้รอด สหายกันต้องไม่ทิ้ง!
ตอนที่ 481
บนยอดตึกสูงในเมืองหลิงเฉิง ซูเฟิงกำลังวิ่งหอบ เขาปาดเหงื่อบนหน้าออกและนั่งลงพักข้างชูฮัน “ผมไม่ไหวแล้ว ผมเหนื่อยมากที่ต้องวิ่งตามท่านไปทั่วเมืองแต่ท่านกลับมานั่งดื่มเบียร์อยู่แบบนี้เนี่ยนะ?”
ชูฮันส่งขวดเบียร์ให้ “สักอึกมั้ย?”
“ก็ดีครับท่าน” ซูเฟิงรับมาดื่ม “และท่านบอกว่าสถานการณ์มันคล้ายๆกัน นี่ท่านกำลังหาร่องรอยของซุปเปอร์ซอมบี้โดยใช้เบาะแสจากทีมที่เราส่งกระจายไปทั่วเมืองจริงๆงั้นเหรอ บางกลุ่มเละเทะไม่ก็ขาดสติแทบเป็นบ้า โดยเฉพาะกลุ่มที่สองพวกเขาพุ่งตัวอย่างรวดเร็วไปหาร้านอาหารโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่มันก็ยังมีกลุ่มแรกที่คาดว่าน่าจะเดินทางมาถึงที่นี้ในวันพรุ่งนี้โดยที่ตลอดทางคงเต็มไปด้วยสุสานเลือด!”
“นายน่าจะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ชูฮันพยักหน้า “ใช่มั้ย?”
“ใช่ ผมเหนื่อยมาก ทุกคนในทีมของท่านมีความสามารถที่น่าประหลาดใจซ่อนอยู่กันทั้งนั้น ผมคิดเกี่ยวกับตัวผมเองมาตลอดทาง” ซูเฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดความคิดของตัวเองขึ้นมา “แต่ทีมที่สามกำลังเผชิญปัญหาใหญ่อยู่”
ชูฮันเหลือบตามอง “นายรู้ได้ยังไง?”
“มันเป็นกลุ่มแรกเลยที่มีคนทรยศเกิดขึ้นและคนที่ทรยศคนนั้นก็ตายไปแล้วด้วยฝีมือของเหล่ยเซอ มันเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างสามฝ่ายและพวกเขาไม่ลังเลเลยสักนิดในการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น” ซูเฟิงพูดอย่างช้าๆพร้อมกับนิ่วหน้าไปด้วย “ประเด็นคือมันมีคนแปลกหน้าสองคนปรากฏตัวขึ้น แสดงว่าในเมืองนี้มีคนอื่นอยู่อีกนอกจากพวกเรา? ผมสอดส่องดูจากที่ไกลๆก็เลยไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา แต่คนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นดูเหมือนว่ากำลังตามหาซุปเปอร์ซอมบี้อยู่”
ชูฮันกระพริบตา “บอกมาตามตรง นายได้ติดต่อกับพวกเขาหรือเปล่า?”
หลิงเฉิงเป็นเหมือนขนมปังที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนผู้คนและชูฮันก็ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ดี ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มจะดำเนินไปตามทิศทางอย่างในชาติก่อน การปฏิบัติต่อซอมบี้ของมนุษย์ไม่ได้เหมือนแรกเริ่มที่ผู้คนเอาแต่วิ่งหนีอีกต่อไปแล้ว กลับกันมนุษย์เลือกที่จะเผชิญหน้า การวิจัยขององค์กรหลากหลายที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อตามหาซอมบี้ได้ผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก ถึงแม้มันจะไม่ได้มีอำนาจมากมายเทียบเท่าสถาบันของซาวชุนฮุย แต่องค์กรที่พยายามค้นคว้าข้อมูลวิจัยทั้งหลายก็ไม่ควรถูกมองข้าม
มนุษยชาติเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีศักยภาพมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อัตราการเพิ่มจำนวนชีวิตกำลังประสบปัญหายากลำบากอยู่ และซุปเปอร์ซอมบี้ที่เป็นทิศทางในการวิจัยใหม่ ตอนนี้ผู้คนยังไม่รู้ข้อมูลและนิยามของซุปเปอร์ซอมบี้แต่พวกเขามักจะพบเจอมันในฝูงซอมบี้ที่มีซอมบี้รวมอยู่มากกว่า 500,000 ตัว มันจะมีตัวที่แตกต่างจากตัวอื่นปรากฏอยู่เสมอ
ความแตกต่างเช่นนี้จะดึงดูดเหล่าคนระดับปรมาจารย์มากมายมาเพื่อจัดการกับซุปเปอร์ซอมบี้ บางทีอาจเป็นการทวงคืนผลประโยชน?ของพวกสถาบันวิจัยทั้งหลาย หรือบางทีเพื่อฆ่าและเอาคริสตัลล้ำค่าที่อยู่ในหัวมันมา
โดยไม่คำนึงถึงจุดประสงค์ เหล่านักล่าเองก็ต้องใช้ระยะเวลาจำนวนมากเช่นกันเพื่อไล่ตามล่าซุปเปอร์ซอมบี้
อย่างไรก็ตามในกรณีของชูฮันที่รู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้ว เขารู้ว่าการศึกษาซอมบี้นั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง มันเป็นการสิ้นเปลืองเวลาทิ้งเปล่าๆ การมีอยู่ของซอมบี้นั้นมีไว้เพื่อฆ่า สำหรับมนุษยชาติประโยชน์เพียงอย่างเดียวเกี่ยวกับพวกซอมบี้ก็คือคริสตัลเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์จำนวนมากและทรัพยากรทางด้านการเงินเพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับคริสตัลที่ได้มาจากซอมบี้
ชูฮันไม่มีความสามารถทางนี้และเขาไม่มีพรสวรรค์ทางด้านการวิจัยนี้เลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยเขี้ยวหมาป่าขึ้นมาที่ค่ายและเขาก็ได้กำหนดแนวทางในการวิจัยอย่างชัดเจนขึ้นมาเพื่อส่งต่อมันให้กับผู้เชี่ยวชาญต่อไป
อย่างเช่นนักเคมีวิทยา…เจียงโจวอีกทั้งเขายังเป็นนักชีววิทยาไปในตัว และนักวิทยาศาสตร์อีกมากมายที่เขาจะค่อยๆตามหาไปทีละคน เส้นทางนี้มันยังอีกยาวไกล!
“ไม่ได้ติดต่อครับ” ซูเฟิงไม่รู้ถึงความคิดของชูฮันแต่เขาตอบตามจริง “ผู้ชายคนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ากลุ่มที่สามมีพละกำลังสูงมากจนทีมที่สามไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย ผมอยากจะเข้าไปช่วยพวกเขาแต่แล้วจู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นซะก่อน และในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโต้เถียงและจะลงมือต่อสู้กัน ทีมที่สามก็ใช้โอกาสนั้นหนีออกมาโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้”
“นายมั่นใจว่านายปลอดภัย ไม่มีใครเห็นนาย?” ชูฮันกระพริบตาและเอ่ยถาม
“ผมมั่นใจว่าไม่น่ามีใครตามความเร็วผมได้ทัน ถ้าไม่ใช่เพราะผมยืนอยู่บนชั้นหกที่มีความสูงจนมองเห็นภาพกว้างโดยรอบ ผมมั่นใจว่าผมคงไม่มีทางหาพวกเขาเจอ” ซูเฟิงเถียงกลับ “แต่กลุ่มที่สามแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ชูเซี่ยและคนอีกเจ็ดคนไปที่ถนนร้านค้าอาหารเพื่อขอความช่วยเหลือจากเฉินช่าวเย่ ส่วนอีกคนที่แยกออกไปนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นพรสวรรค์ เขาซ่อนตัวอยู่ ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล”
“พรสวรรค์?” ชูฮันกระพริบตา มันเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิด
“ใช่ พรสวรรค์ แค่มองดูผมก็รู้ได้ทันที!” ซูเฟิงเอามือตบเข้าที่หน้าอกอย่างมั่นใจ “ดูเหมือนว่าจะเป็นประเภทซ่อนเร้นที่สามารถหลีกเลี่ยงซอมบี้ได้”
นั่นมันเหมือนกับจางโบฮั่นและเฟิงจื่อจือเลยนี่นา? ชูฮันกระพริบตา
“เรื่องนี้ผมไม่รู้แต่ผู้ชายทั้งสองที่มีความสามารถระดับสูงต่อสู้กันจนร้านค้านั่นพังยับเยิน แต่ท่านรู้มั้ย?” ซูเฟิงเริ่มใช้น้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ “หนึ่งในนั่นดูเหมือนกับเจียงหลิงโหลวมาก เป็นไปได้มั้ยที่จะเป็นญาติกัน? ผมมาขออนุญาตจากท่าน ใบหน้านั่นของชายทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมฆ่าเขาได้มั้ย? วิวัฒนาการระยะ 5 คนนั้น… “
“ฟู่~” เบียร์ในปากชูฮันพ่นกระจายออกมาด้วยความตกใจ “เหมือนหลิงโหลว? แล้วชื่อของอีกฝ่ายคืออะไร?”
ซูเฟิงปาดน้ำเบียร์ออกจากหน้าและตอบกลับ “ผมไม่ได้ยิน”
ชูฮันผลักซูเฟิงเบาๆ “ไปดูอีกครั้ง เร็ว!”
ซูเฟิงแทบเป็นลม “งานผมล้นมือแล้ว สิบหกกลุ่ม สถานการณ์ความปลอดภัยของพวกเขาทั้งหมดขึ้นอยู่กับการสังเกตการณ์ของผม ท่านไปดูเองดีกว่ามั้ย?”
“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน หรือนายไม่แข็งแรงพอจะทำ?” ชูฮันยิ้มและพูด “นายรีบกลับไปดู ถ้ามีอะไรก็ผิวปากเสียงกระต่ายเรียก ฉันจะรีบไปทันที”
ซูเฟิงอยากจะบอกชูฮันว่ากระต่ายไม่ส่งเสียง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะหมุนตัวและออกวิ่งไปตามที่ชูฮันสั่งอยู่ดี
ชูฮันไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะขี้เกียจเหมือนเดิมอีกต่อไป เขายกมือขึ้นลูบคางพลางเริ่มขบคิดในหัวไปด้วย หลิงโหลวดูน่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต และนามสกุล เจียง นั่นเป็นนามสกุลที่มีชื่อเสียงในชาติที่แล้ว แต่ชื่อที่เฉพาะนั้นเขายังไม่รู้ เขารู้ว่าพี่น้องเจียงมีชื่อเสียงมากมาย ประกอบกับที่หลิงโหลวเป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 6…
“ขออนุญาตครับท่าน?” หลิวยู่ติงที่กำลังหัวหมุนกับการจดบันทึกลงในสมุดจดเอ่ยขึ้น “ผมชื่อหลิวยู่ติง ตำแหน่งพลตรี ผมขอถาม…ท่านตื่นเต้นงั้นเหรอครับ ทำไม?”
“นายเบลอเหรอไง?” หน้าผากของชูฮันกระตุกทันที “เวลาคุยกับแบบส่วนตัวนายไม่จำเป็นต้องพูดแบบนี้ อย่าถามอะไรมาก ทำงานของนายไป อันดับแรกคิดถึงบทลงโทษของกลุ่มที่ทำภารกิจล้มเหลว จำไว้ว่าต้องฉลาด”
“โอ๊ะ” หลิวยู่ติงสะดุ้งเล็กน้อยและเริ่มเขียนลงไปในสมุดจด หัวข้อบนกระดาษที่เขากำลังเขียนต่อไปมันจะกลายเป็นฝันร้ายสำหรับสมาชิกของกองกำลังเขี้ยวหมาป่าในอีกสองสามปีข้างหน้า…กฏระเบียบของกองกำลังเขี้ยวหมาป่า
หลิวยู่ติงเองก็จะกลายเป็นวายร้ายที่ไม่มีเพื่อนพ้อง เขาจะกลายเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเขี้ยวหมาป่าของค่ายเขี้ยวหมาป่า ซึ่งต่อมาจะมีฉายาว่าผู้การทหารเหี้ยมโหด และตอนนี้แววของหลิวยู่ติงก็เริ่มค่อยๆออกลายให้เห็นแล้ว
ตอนที่ 482
“วิวัฒนาการระยะ 6 ถูกปฏิบัติเหมือนกับมือซ้อม ส่วนพลตรีหลิวยู่ติงก็มีหน้าที่เหมือนกับเลขาจดบันทึก” เสียงของหวังไคเต็มไปด้วยการล้อเลียน “ไม่แปลกใจเลยที่นายจะกลายเป็นผู้ชายของป่ายหวีเนอได้”
ชูฮันถูกหวังไคขัดจังหวะขณะเดินไปที่ริมขอบหลังคา ชูฮันมองทะลุความมืดไปที่ถนนไกลออกไปพลางเอ่ยถาม “นายคิดยังไงกับป่ายหวีเนอ? เธอเป็นแค่คนเดียวที่ไม่มีข้อมูลหรือร่องรอยอะไรในระบบล่มสลายเลย”
“มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ฉันพูดไม่ถูก ไม่แน่ฉันอาจจะมองเห็นข้อมูลเชิงลึกของเธอเมื่อระบบสามารถกู้คืนมาได้ 70% แล้ว” เสียงของหวังจริงจัง “ผู้หญิงคนนี้โหดร้ายมากประวัติของเธอน่าจะมีอยู่ไม่น้อย ฉันคาดว่ามันอาจจะมากกว่าที่นายรู้”
คิ้วของชูฮันเลิกขึ้นข้างหนึ่ง “ฉันรู้อะไร? ฉันรู้แค่ว่าตระกูลป่ายเป็นหนึ่งในตระกูลลึกลับของจีน แต่ฉันไม่รู้อะไรเจาะจงเกี่ยวกับตระกูลป่ายเลย และความสัมพันธ์ของป่ายหวีเนอกับตระกูลป่ายก็ค่อนข้างแปลกประหลาด”
“นั่นคือประวัติศาสตร์เก่าแก่และไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด” เสียงของหวังไคค่อนข้างไม่มั่นใจ
“นายหมายถึงอะไรที่พูดว่ากู้คืนระบบได้ 70%?” จู่ๆชูฮันก็ถามขึ้นมา
“ฉันเคยบอกนายไปแล้วว่าระบบล่มสลายต้องการสิบชิ้นส่วนของเศษชิ้นส่วนระบบล่มสลายที่แตกกระจายและเมื่อฉันได้ชิ้นส่วนทั้งหมดกลับมาฉันก็จะสามารถกู้คืนระบบและความทรงจำทั้งหมดกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ” หวังไคไม่คิดปกปิดข้อมูล “ชิ้นส่วนระบบล่มสลายสามชิ้นที่ฉันได้มาก่อนหน้านี้ หนึ่งชิ้นถูกระบบดูดกลืนไปแล้วทำให้ฉันกู้ความทรงจำคืนมาได้ 10% อีกชิ้นหนึ่งใช้ช่วยพยุงชีวิตของแม่นาย และชิ้นที่สามถูกดึงกลับไปเพื่อช่วยนายเอาไว้ เพราะงั้นตอนนี้ฉันมีความทรงจำแค่เพียง 10% เท่านั้น”
“แสดงว่า หลังจากผ่านมาตั้งนมนาน แกก็ยังมีความจำแค่เท่าที่ฉันเจอแกตั้งแต่แรก แกไม่คิดจะทำตัวมีประโยชน์เพิ่มเติมอะไรเลยงั้นเหรอไง?!” เสียงของชูฮันเริ่มตึง
“ไม่ใช่นะ! นายจะพูดแบบนั้นไม่ได้!” หวังไคโต้เถียงอย่างสิ้นหวัง “ถ้านายหาชิ้นส่วนอีกสองชิ้นมาให้ ฉันจะสามารถกู้คืนความจำมาได้ถึง 20% ถึงตอนนั้นสถานการณ์มันจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง”
“อย่าลืมว่าแกเป็นคนรับใช้ของฉัน นี่แกกล้าพูดบีบบังคับนายน้อยของแกงั้นเหรอ?”
“…”
———-
คนที่เก้าของกลุ่มที่สามที่ถูกทิ้งไว้ซ่อนตัวอยู่ระหว่างกำแพงทั้งสองฝั่งที่พังทลาย ร่างของเขาสั่นเทิ้มด้ววความกลัวจนไม่กล้าจะลุกขึ้นยืน มันมีแต่เสียงปะทะต่อสู้และแรงกระแทกดังลั่นเข้าหูของเสี่ยวฉีไม่หยุด ซึ่งเป็นผลจากการต่อสู้ของวิวัฒนาการระดับสูงทั้งสองคนที่ยังคงปะทะใส่กันไม่เลิกจนห้องนี้แทบจะพังถล่มลงมาอยู่แล้ว เสี่ยวฉีสัมผัสได้ถึงพื้นที่สั่นอย่างรุนแรง และร่างของเขาที่ถูกอัดบีบเข้ากับกำแพงทั้งสองด้านขึ้นเรื่อยๆ
เสี่ยวฉีคาดว่า…ถ้าเขาไม่รีบหนีออกไปก่อนตอนนี้ เขาคงจะถูกกำแพงอัดตายอยู่ที่นี้เป็นแน่?
แต่ท้องถนนข้างนอกนั่นมีแต่ซอมบี้เต็มไปหมดและของเหลวสีดำนองเต็มพื้นถนน ไม่เพียงแต่ซอมบี้ที่มีจำนวนมหาศาลจนน่าหวาดหวั่นแต่มันยังเป็นเพราะพวกปรมาจารย์ที่ทำการต่อสู้กันเองแบบนี้ รวมถึงคนที่แปรผันเป็นคนทรยศอีก
การออกไปข้างนอกอันตายมากแต่การอยู่ที่นี้ต่อไปก็เหมือนการรอความตายมาเยือน
และในขณะที่เสี่ยวฉีกำลังหวาดกลัวและสับสน จู่ๆการต่อสู้ก็หยุดลง
เจียงหลิงซวนยืนอยู่บนยอดกำแพงพร้อมกับซากปรักหักพังด้านล่าง เขาตวัดดาบยาวในมือและค่อยๆสอดมันกลับเข้าไปในฝัก “นายกับฉันเสมอกัน ไม่จำเป็นจะต้องสู้กันต่อไปอีก”
“เฮ้! เฮ้!” อู๋หยูเฉียงเองก็ดึงท่าที่ตั้งเตรียมพร้อมสู้กลับมาสงบและยืนตรงอย่างเย่อหยิ่ง “เนี่ยนะเหรอนักฆ่าเจียงหลิงซวนที่เลื่องลือ? น่าอับอายสำหรับผู้คนข้างนอกนั้นเอาแต่พูดโอ้อวดเยินยอนักฆ่าอย่างนาย ทั้งๆที่ฝีมือนายกับฉันไม่ได้ต่างกันเลยด้วยซ้ำ”
เกิดรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นบนหน้าของเจียงหลิงซวน หากเขาไม่คิดจะโต้เถียงอะไรอู๋หยูเฉียงกลับ เจียงหลิงซวนเพียงแค่กระพริบตาและเอ่ยขึ้น “นายกับฉันต่อสู้กันมามากแล้ว และมันเป็นการดึงดูดฝูงซอมบี้ให้มาหาพวกเราเปล่าๆ ส่วนเรื่องการล่าหัวของซุปเปอร์ซอมบี้นั่นมันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าใครจะเก่งกว่ากัน”
“อ๊ากกก!” คำรามดังสนั่นของซอมบี้ดังขึ้นมาจากที่ไกล แสดงให้เห็นว่าฝูงซอมบี้กำลังมุ่งหน้ามาแล้ว อู๋หยูเฉียงมีท่าทีระแวงทันที เขาพลันกระโดดลงไปที่ถนนและหายตัวไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืด
หลิงหลิวซวนยังคงยืนอยู่ที่เดิมมองหาเส้นทางที่จะออกไปจากจุดนี้ ทว่าสีหน้าของกลับเต็มไปด้วยอาการล้อเลียนและตลก “อู๋หยูเฉียงถึงแกจะเป็นวิวัฒนาการระยะ 5 แต่พลังของแกนั้นยังไม่ถึงครึ่งของพลังที่แท้จริงของฉันด้วยซ้ำ ฉันนี่แหละจะต้องได้คริสตัลพิเศษจากซุปเปอร์ซอมบี้ในเมืองนี้!”
เสี่ยวฉีที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินทุกอย่างก็ยิ่งกลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมา
พวกซอมบี้ปรากฏตัวขึ้นที่สุดมุมถนน พวกมันรวมตัวกันมาจากสถานที่ต่างๆและค่อยๆขยับตัวเบียดอัดกันมุ่งหน้ามาตามที่มาของเสียงที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับถนนเส้นอื่นๆที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงก็อัดแน่นไปด้วยซอมบี้ที่กำลังมุ่งหน้ามาเช่นกัน! พวกมันส่งเสียงคำรามดังสนั่นท่ามกลางความมืดมิด ไม่มีแสงสว่างให้ใครได้เห็นตัวพวกมัน ไม่มีใครสามารถกะจำนวนของซอมบี้ที่กำลังมุ่งหน้ามาได้ มีแต่ความมืดและเสียงดังคำรามกู่ก้องเท่านั้นให้ได้ยินซึ่งมันยิ่งทำให้สถานการณ์น่ากลัวขึ้นไปกว่าเดิมอีก
เสี่ยวฉีตัวน้อยสั่นสะท้านอยู่ท่ามกลางกำแพงที่ถล่มลงมา เขากลิ้งตัวมาดูด้านนอกและได้เจอกับฝูงซอมบี้เดินผ่านเขาไป แถมมันยังมีกลุ่มซอมบี้ระยะ 2 ขนาดใหญ่ที่อ้าปากกว้างจนแทบจะงับหัวเขาเข้าไปได้อีก พวกซอมบี้ระยะ 2 ไม่สามารถหาตัวเขาได้เจอ มันได้แต่สูดกลิ่นไปมาด้วยความสับสน นอกจากนั้นมันยังมีซอมบี้ระยะ 3 ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเสี่ยวฉีอีก ซอมบี้ระยะ 3 ดูเหมือนสัมผัสได้ถึงมนุษย์หากมันก็ได้แต่สงสัยเพราะสติปัญญาของมันไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะค้นหาว่าเกิดความผิดปกติอะไรขึ้น พวกมันจึงได้แต่จากไปอีกที่เพื่อค้นหาต่อไป
ร่างของคนทรยศที่ถูกทิ้งไว้ตอนนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มซอมบี้ขนาดใหญ่ที่กำลังรุมทึ้งกัดแทะกันไม่หยุดหย่อน แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังถูกซอมบี้กัดฉีดขาดเป็นชิ้นๆ
“เอาซะเกือบตาย” ซูเฟิงที่กำลังเหนื่อยหอบอ้าปากสูดลมเข้าปอดหยุดยืนอยู่บนยอดของตึกสูง เขากำลังมองไปที่ฝูงซอมบี้หนาแน่นด้านล่าง และในขณะเดียวกันด้วยความสามารถของวิวัฒนาการระยะ 6 เขาจึงสามารถพบตัวเสี่ยวฉีได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว “กลับไปอีกทางสิ! อยู่แบบนี้มันไม่ปลอดภัย! ถ้ามันมีซอมบี้ระยะ 4 ที่นี่ ฉันเกรงว่าเขาจะไม่สามารถซ่อนตัวอีกต่อไปได้”
“ช่วยหรือไม่ช่วยดี?” ซูเฟิงเริ่มตกอยู่ในห้วงความคิดที่ไม่สิ้นสุด “การฝึกภาคปฏิบัติแบบนี้มันน่ากลัวจริงๆ ในแผนของชูฮันเราห้ามปล่อยให้มีสมาชิกคนไหนรู้เลยว่าฉันติดตามพวกเขาอยู่เพื่อที่จะปล่อยให้พวกเขาได้ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดความสามารถของตัวเองในสถานการณ์วิกฤตได้ นอกเหนือแต่ว่าพวกเขากำลังจะตายอยู่ต่อหน้าแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นฉันไม่สามารถยิงปืนได้ แต่ฉันเป็นกังวลว่าไอ้หนุ่มนี้จะกลัวจนทำให้ตัวเองตายเองซะก่อน!” และในขณะที่ซูเฟิงกำลังครุ่นคิดอยู่ ทันใดนั้นมันก็มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นและตามมาด้วยบทสนทนา
“แย่แล้ว! นี่มันฝูงซอมบี้!” นี่คือเสียงของชูเซี่ยที่เต็มไปด้วยอาการหอบเหนื่อและความวิตกกังวล
“ฉันควรทำยังไงดี? แล้วเราจะยังช่วยเสี่ยวฉีได้มั้ย?” หลูเหวินเฉิงมีอาการวิตก “เสี่ยวฉีจะยังมีชีวิตรอดอยู่มั้ย?”
“หลังจากทุกอย่างจบลงแล้ว…” ซูเซียงหลงตื่นตระหนกขึ้นเรื่อยๆ เขาเอามือขึ้นมากุมหัวอย่างวิตก “นายห้ามตาย นายตายไม่ได้ ท่านพลเอกบอกว่านี่มันแค่การฝึกภาคปฏิบัติ ไม่ใช่สงครามจริงๆ ตราบใดที่ยังมีเพื่อนร่วมเดินทาง นายห้ามตาย!”
“มีชีวิตอยู่เพื่อมองเห็นผู้คน ตายเพื่อดูความตาย! ท่านพลเอกชูฮันบอกว่ากองทัพเขี้ยวหมาป่าจะไม่ละทิ้งเพื่อน ถึงแม้มันจะมีฝูงซอมบี้แต่เราก็ต้องฝ่าฝันไปหาเพื่อนของเราให้ได้!” ทันใดนั้นเสียงของเฉินช่าวเย่ก็ดังขึ้นแทรกเสียงวุ่นวายและวิตกกังวลของทุกคน “ลูกทีมทุกคนฟัง ชูเซี่ยและติงเซวพาอีกสองคนไปตรวจสอบดูบริเวณรรอบๆ ฉันคิดว่ากลุ่มที่สิบน่าจะอยู่ที่ทางใต้ของถนนห่างออกไปประมาณสองกิโลเมตร กลุ่มที่เจ็ดอยู่อีกฟากของทางเหนือของถนน รีบติดต่อพวกเขาทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือ”
“คนอื่นๆ—-” เฉินช่าวเย่คว้าขวานดับเพลิงที่หลังออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง “มากับฉัน!”
ตอนที่ 483
ติงเซวและชูเซี่ยรีบพาสองคนออกไปจากจุดนั้นและหายไปอย่างรวดเร็วในความมืด
ส่วนคนที่เหลือไม่ว่าจะทั้งทหารผ่านศึกของชูฮันหรือสมาชิกที่เข้าร่วมใหม่ ทั้งหมดต่างยืนตั้งมั่นในตำแหน่งของตัวเอง เพราะเหล่าทหารมาใหม่ยังไม่มีความสามารถที่จะรับมือกับซอมบี้ได้เองพวกเขาจึงถูกวางตัวให้ยืนอยู่ข้างๆเหล่าทหารผ่านศึก และถึงแม้เหล่าสมาชิกที่พึ่งเข้าร่วมใหม่จะตัวสั่นด้วยความกลัวต่อซอมบี้มหาศาลแต่เมื่อพวกเขาได้เห็นสีหน้าของเหล่าทหารผ่านศึก…สีหน้านิ่งสงบของทุกคนและปฏกิริยาเรียบนิ่งของเฉินช่าวเย่ เหล่าคนมาใหม่ก็ค่อยๆเริ่มสงบสติลง
“ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งฉัน เหล่ยเซอเป็นพรสวรรค์ด้านความรวดเร็วเพราะฉะนั้นนายไปล่อซอมบี้มา!” เหงื่อเย็นๆผุดขึ้นตรงหน้าผากเฉินช่าวเย่ เขามีความประหม่าและกังวล หลังจากการฝึกฝนตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาของชูฮันที่ห้ามเขาใช้ปืนทำให้เฉินช่าวเย่ได้เติบโตขึ้นในฐานะพลโท เขาได้เรียนรู้น้ำเสียงในการพูดของชูฮันเพื่อผ่อนคลายความกังวลและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา “ความปลอดภัยของตัวเองต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง และเอาหัวซอมบี้มาให้ฉันก่อนยี่สิบตัว!”
ทุกคนที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เหล่าทหารผ่านศึกหลายคนพลันนึกถึงชูฮันขึ้นมาทันที ท่านพลเอกชูฮันมักจะทำตัวแบบนี้ ท่าทางหยิ่งจองหองและความแปลกประหลาดของชูฮันมักช่วยทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ
“เข้าใจแล้วครับ!” เหล่ยเซอตอบรับเสียงดังฟังชัด
พรสวรรค์ระดับสองอย่างเหล่ยเซอไม่จำเป็นต้องฆ่าซอมบี้เพราะหน้าที่ของเขาในทีมนี้เป็นหน้าที่ที่สำคัญและอันตรายที่สุด นั่นก็คือเป็นเหยื่อล่อศัตรู!
ซูเซียงหลงยืนอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดนั่นก็คือตรงกลางของถนนซึ่งจะเป็นจุดที่จะปะทะกับคลื่นซอมบี้จุดแรก “พวกเรามีกันทั้งหมดสิบสามคน พวกมันแค่ยี่สิบตัวจะมากพอให้พวกเราฆ่าเหรอ?”
เฉินช่าวเย่จำได้ถึงคำอธิบายของชูฮันก่อนหน้านี้ เขาพูดพลางขมวดคิ้ว “ให้เวลากับคนมาใหม่หน่อย”
เหล่าคนมาใหม่ขยับตัวทันทีที่ถูกเอ่ยถึง และเมื่อนึกถึงที่เฉินช่าวเย่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้แววตาของพวกเขาก็แสดงออกถึงความโล่งใจ การไม่ละทิ้งเพื่อนพ้องถึงแม้จะต้องขุดขึ้นมาจากหลุมฝังลึกขนาดไหนก็ตาม นี่คือวิถีของกองทัพเขี้ยวหมาป่า!
ตอนนี้ ตัวล่ออย่างเหล่ยเซอได้วิ่งกลับมาแล้ว ตามมาด้วยซอมบี้ยี่สิบตัวที่อ้าปากคำรามจนเห็นฟันแหลมคมและเสียงคำรามที่ดังสนั่นอย่างโมโหของพวกมันที่ไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเหล่ยเซอได้ทัน มันจึงทำได้แต่ปล่อยความโกรธและความหิวโหยออกมาทางสีหน้าและเสียง เหล่ยเซอทำได้อย่างที่คิด เฉินช่าวเย่บอกยี่สิบตัวเหล่ยเซอก็พาซอมบี้มายี่สิบตัวอย่างพอดี ซึ่งมันทำให้เหล่าคนมาใหม่ตกใจกับความสามารถนี้จนแทบจะเซ
นี่คือความภาคภูมิใจของเหล่ยเซอ การฝึกปีศาจตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนไม่ได้สูญเปล่า! เนื่องจากท่านพลเอกชูฮันรู้ดีว่าความสามารถเฉพาะทางของเขาคือความเร็ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านเขาจึงโดนฝึกฝนอย่างหนักหนาสาหัส แต่มันก็เป็นเหตุผลพื้นฐานที่ทำให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาทรงพลังมากกว่าพรสวรรค์ระยะ 3 อย่างหลูเหวินเฉิงซะอีก มันคือผลลัพธ์ของการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงและวันนี้มันได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ด้วยฝูงซอมบี้ที่มากกว่าสองพันตัว เหล่ยเซอสามารถล่อพวกมันมาได้ในระยะเวลาสั้นๆแถมยังยึดติดกับจำนวนเจาะจงแค่ยี่สิบตัวเท่านั้นอีก
“รับทราบ!” เสียงของเฉินช่าวเย่ดังขึ้นมาในเวลาที่ถูกต้อง “ลูกทีมทุกคนเตรียมพร้อมในอีกหนึ่งนาที! เหล่ยเซอ ครั้งต่อไปขอสามสิบตัว ขอบคุณที่หาปัญหามาให้!” “ครับ!” ลูกทีมทุกคนตอบรับคำสั่งของเฉินช่าวเย่อย่างพร้อมเพรียงไม่ว่าจะทั้งทหารผ่านศึกหรือคนมาใหม่
ทันทีที่ซอมบี้มาถึงเหล่ยเซอก็กระโดดเหยียบเข้าที่ไหล่ของมันและตีลังกาถีบขาคู่ใส่อย่างสวยงาม จากนั้นก็ลงมายืนอยู่ที่พื้นด้วยเท้าคู่ ร่างของเหล่ยเซอเคลื่อนไหวเหมือนกับลูกกระสุน ต่อมาเหล่ยเซอก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปล่อซอมบี้มาอีกครั้ง ส่วนซอมบี้ที่เขาเหยียบบนไหล่และกระโดดถีบใส่จนล้มนั้นก็ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะได้สติและลุกกลับขึ้นมา
“ปัก! ปัก!”
เกิดเสียงบดขยี้ที่หัวของซอมบี้ดังขึ้นอยู่พักหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงแนะนำจากทหารผ่านศึก
“เฮ้ อย่าใช้พลังงานเยอะเกินไป วิธีที่ง่ายที่สุดคือทุบเข้าที่กกหูมัน”
“ดูนี่ แค่ทุบเข้าไปตรงนี้!”
“ใช่ อย่างนั่นแหละ! นายทำดีแล้ว ถ้าคนมาใหม่สามารถฆ่าซอมบี้ได้ 50 ตัวคนคนนั้นก็จะได้รับยศสิบโท!”
“พยายามต่อไปละ!”
ด้วยน้ำเสียงให้กำลังใจและการชี้แนะจากทหารผ่านศึก รวมถึงการล่อลวงด้วยยศทหาร และการที่เหล่าทหารผ่านศึกจะส่งซอมบี้ระยะแรกที่จัดการได้ไม่ยากมาให้เหล่าคนมาใหม่จัดการก่อนเพื่อเป็นการฝึกปรึกฝีมือ ทำให้เหล่าคนมาใหม่ที่ในตอนแรกทำพลาดและวิตกกังวลเริ่มทำได้ดีขึ้น พวกเขาเริ่มจับจังหวะได้และเข้าใจแล้วว่าทำไมทหารของชูฮันถึงได้เก่งกล้าและน่ากลัวได้ขนาดนี้
ซอมบี้มหาศาลแน่นอนว่ามันหมายถึงอันตราย ถ้าพวกเขาพุ่งเข้าไปสู้ตรงๆแน่นอนว่าพวกเขาจะพบแต่ความตาย แต่วิธีแก้ปัญหานั้นแตกต่างไปจากที่ทุกคนเคยรับรู้ โดยการรวมตัวเป็นวงล้อมที่ชูฮันเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการต่อสู้นั้นได้ผลสำเร็จทุกครั้งในทุกการต่อสู้
กลุ่มคนทั้งสิบสามคน แรกเริ่มพวกเขาจัดการกับซอมบี้ 20 ตัวซึ่งคนมาใหม่สามารถจัดการไปได้สองตัวจากในนั้น ในช่วงเวลานั้นเหล่าทหารผ่านศึกก็ได้ชี้แนะแนวทางแถมช่วงเวลาที่เหลือก็ช่วยแก้ไขวิธีการต่อสู้ที่ผิดให้ถูกแก่คนมาใหม่ ซอมบี้กลุ่มแรก 20 ตัวนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชูฮันในการฝึกครั้งนี้
การฝึกฝนคนมาใหม่!
เหล่าคนมาใหม่ได้ค้นพบพลังที่แท้จริงของตัวเองหลังจากได้ฆ่าซอมบี้ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เข้าใจดีว่าซอมบี้ที่พวกเขาฆ่าเป็นแค่ซอมบี้ระยะแรกที่อ่อนแอที่สุดและเพราะเช่นนั้นพวกเขาจึงสามารถทุบหัวพวกมันจนเละได้อย่างง่ายๆประกอบกับที่มีทหารผ่านศึกร่วมช่วยและชี้แนะทักษะในการจัดการให้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ได้สร้างความมั่นใจให้แก่พวกเขาเพิ่มขึ้น…แม้พวกเขาจะเป็นแค่คนธรรมดาแต่ก็สามารถฆ่าซอมบี้ได้เช่นกัน และนี่ถึงเรียกว่ากองทัพเขี้ยวหมาป่า พวกเขาเกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างไม่อาจบรรยายได้ถูก
อะไรคือความหมายของชีวิตที่เอาแต่หลบหนีและอยู่ไปวันๆ? การลุกขึ้นยืนหยัดสู้ซอมบี้กับพวกพ้องนั่นต่างหากที่เรียกว่าคนจริง!
“หายใจเข้าลึกๆ เตรียมตัวสำหรับซอมบี้คลื่นต่อไป คนมาใหม่ตั้งใจฟังให้ดี หนึ่งคนจัดการกับซอมบี้สองตัว!” เฉินช่าวเย่ออกคำสั่งทันทีที่เห็นร่างของเหล่ยเซอกำลังวิ่งกลับมาเป็นครั้งที่สอง ขวานดับเพลิงในมือของเฉินช่าวเย่ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้
ความสามารถของเฉินช่าวเย่นั้นอ่อนแอลงอย่างมากเพราะถูกชูฮันยึดปืนไรเฟิลไป แต่เพราะการฝึกฝนตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้ความสามารถทางกายภาพของเฉินช่าวเย่เติบโตขึ้นด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ โดยปกติแล้วเขาเป็นแค่คนอ้วนตัวใหญ่และไม่สามารถลงไปสู้ในสนามรบได้ แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทางกายภาพหรือกลยุทธ์ในการต่อสู้ขั้นพื้นฐานและคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ
เพราะอย่างนั้นเฉินช่าวเย่ถึงสามารถออกคำสั่งได้ทันทีหลังจากเห็นฝูงซอมบี้จำนวนมาก และสามารถพาผู้ใต้บังคับบัญชาสิบสามคนสู้กับฝูงซอมบี้มากกว่าสองพันตัวได้อย่างกล้าหาญ ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนพวกเขาไม่อยากจะคิดเลยว่าสถานการณ์มันจะเป็นแบบไหน
ชูฮันไม่ปล่อยให้เฉินช่าวได้ขี้เกียจหรือพักผ่อนเพียงเพราะว่าเขาเป็นมือปืนพระเจ้า หรือไม่ให้สิทธิพิเศษใดๆเพราะว่าเฉินช่าวเย่เป็นคนแรกที่ติดตามเขา ทุกอย่างดำเนินตามแผนที่ชูฮันวางไว้สำหรับความสามารถและตัวตนที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละคน อย่างเฉินช่าวเย่ซึ่งเป็นคนดี เป็นถึงพลโทของจีนและยังเป็นมือปืนพระเจ้า เขาจะต้องทำตัวให้คู่ควรกับฉายาที่ได้รับ! ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง ถึงแม้จะไม่มีใครเก่งกล้าได้เกินกว่าชูฮันก็ตาม แต่ทุกคนถูกดึงศักยภาพสูงสุดของตัวเองออกมา และทุกคนก็กลายเป็นเสพติดต่อพลังที่ตัวเองมี เมื่อได้ใช้มันแล้วพวกเขาก็อยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ
หลังจากที่เฉินช่าวเย่พูดจบ ทุกคนก็พลันปรับการหายใจของตัวให้คงที่ทันที เหล่าทหารผ่านศึกกำอาวุธในมือของตัวแน่น ส่วนคนมาใหม่ก็ตื่นเต้นอย่างมาก มือของพวกทั้งสั่นและตื่นตัว ความรู้สึกของการฆ่าซอมบี้ได้สำเร็จนั้นทำให้พวกเขาตื่นตัวและมีความกล้ามากขึ้น
พวกเขาไม่ได้ซ่อนตัวจากซอมบี้อีกต่อไปแต่กลับกันพวกเขากลับมองหาโอกาสที่ฆ่ามัน สองสิ่งนี้เป็นความรู้สึกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง! ซอมบี้คลื่นที่สองซึ่งมีซอมบี้อยู่สามสิบตัวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ยังมีซอมบี้ระยะ 2 ปะปนอยู่ในกลุ่มด้วย พวกมันมุ่งหน้าเข้ามา ไล่ตามเหล่ยเซอที่กำลังวิ่งมาทางพวกเขา
ตอนที่ 484
“ซูเซียงหลงนายจัดการกับซอมบี้ระยะ 2 ไป ส่วนคนอื่นๆดำเนินการตามแผนเดิมไว้ อย่าทำให้สถานการณ์ซับซ้อนและแก้ปัญหาให้หมดภายในสองนาที!” เสียงสั่งการเรียบนิ่งของเฉินช่าวเย่ค่อยๆช่วยให้อารมณ์ของเหล่าลูกทีมคงที่ขึ้น “เหล่ยเซอนายทำเหมือนเดิม คลื่นต่อไปอีกสามสิบ!”
ซูเซียงหลงทุบหัวซอมบี้จนแบะด้วยดาบขนาดใหญ่ในมือ พลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 3 ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ทั้งความเร็วในการโจมตีและการเคลื่อนไหว ดาบในมือของเขาที่เริ่มจัดการกับหัวของซอมบี้ระยะ 2 ผ่านหน้าของเหล่ยเซอไปเรื่อยๆทีละตัวอย่างรวดเร็ว!
เลือดสีดำของซอมบี้ระยะ 2 กระจายเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ
ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วซูเซียงหลงคงไม่สามารถจัดการกับซอมบี้ได้อย่างหมดจดและรวดเร็สขนาดนี้ แต่หลังจากการฝึกฝนจากชูฮันเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน มันก็กลายเป็นเรื่องกล้วยๆที่จะจัดการกับซอมบี้ระยะ 2 อย่างเช่นในตอนนี้
ซอมบี้ระยะ 2 ที่น่ากลัวถูกซูเซียงหลงจัดการภายในเวลารวดเร็ว ส่วนซอมบี้ที่เหลืออีก 29 ตัวนั้นก็เป็นแค่เพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น สมาชิกคนอื่นในทีมได้ตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีแล้ว พวกเขาเงื้อมอาวุธในมือขึ้นและโจมตีเข้าใส่ฝูงซอมบี้มุ่งหน้าเข้าใส่พวกเขาทันที
ด้วยการฝึกฝนและประสบการณ์ที่เรียนรู้จากการรับมือกับคลื่นซอมบี้คลื่นแรก ทำให้พวกเขาสามารถจัดการกับซอมบี้คลื่นที่สองได่อย่างง่ายดายภายในเวลารวดเร็ว เหล่าคนมาใหม่ตื่นเต้นจนหัวใจเต้นระรัวถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้มีทักษะเป็นเลิศ แต่หลังจากการรับมือกับซอมบี้หลายตัวจนรู้ถึงกลอุบายของมัน ความเร็วในการฆ่าซอมบี้ของพวกเขาก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น
“คลื่นลูกที่สามกำลังมา เร่งมือเข้า! เหลืออีกหนึ่งนาที!” เฉินช่าวเย่สั่งการบอกทุกคนขณะไล่ตัดหัวซอมบี้เพื่อรอการมาถึงของคลื่นซอมบี้คลื่นใหม่
หลังจากจัดการกับคลื่นซอมบี้เรียบร้อย ทักษะของเหล่าคนมาใหม่ก็พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ผลลัพธ์คือกลุ่มคนมาใหม่สามารถฆ่าซอมบี้ไปได้ทั้งสิ้นสี่สิบตัว และในตอนนั้นมันก็เกิดเสียงฝีเท้าขึ้นจากสองฟากของถนนที่ดังไล่ตามกันมา…มันคือเสียงฝีเท้าของกลุ่มที่เจ็ดและกลุ่มที่สิบที่เดินทางมาถึงแล้วนั่นเอง!
“ความเร็วในการส่งต่อดีมาก!” เฉินช่าวเย่สั่งการต่อทันที “หลูเหวินเฉิง นายไปช่วยเหล่ยเซอ คลื่นต่อไปคือหกสิบ!”
“ครับ!” เสียงของคนทั้ง 38 คนหรือทั้งสี่กลุ่มรวมกันที่ตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง
แต่ละกลุ่มมีหน้าที่ของตัวเองให้รับผิดชอบ ติงเซวและชูเซี่ยเองก็ยกอาวุธของตัวเองขึ้นมาเข้าร่วมกับทีมเหมือนกัน และสองกลุ่มที่พึ่งมาถึงก็รีบแจกจ่ายหน้าที่ให้ทหารผ่านศึกและคนมาใหม่ของกลุ่มตัวเอง ทั้งสี่กลุ่มต่างร่วมมือช่วยกันด้วยทักษะของความเป็นมืออาชีพ
ไม่นานก็มีเสียงคำรามของซอมบี้หกสิบตัวดังสนั่นขึ้น ด้วยจำนวนและการปรากฏกายที่น่าหวาดหวั่นได้สร้างความกลัวแก่กลุ่มคนมาใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมการต่อสู้
“ไม่ต้องกลัว!” กลุ่มคนมาใหม่ที่ได้ฆ่าซอมบี้ไปแล้วหลายตัวพูดปลอบใจคนข้างๆ “ฉันเองก็ฆ่าไปได้แล้วหลายตัว หลังจากผ่านไปสักพักพวกนายก็จะทำได้ เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดู มันง่ายมาก!”
“ไม่ต้องกังวล จับอาวุธในมือไว้ให้แน่นและอย่าปล่อยให้ตัวเองตายซะก่อน” เหล่าทหารผ่านศึกเองก็ให้คำแนะนำแก่คนมาใหม่เช่นกัน
“แต่มือไม่จำเป็นต้องเกร็งอาวุธไว้ตลอดเวลา มันเปลืองพลังงานเปล่าๆ”
“คอยฟังคำสั่งเอาไว้ ต้องว่องไวและแม่นยำ!” ประโยคกระตุ้นและให้กำลังใจได้ส่งผ่านไปให้แก่เหล่าทหารทุกคน ฝูงซอมบี้หกสิบตัวพุ่งเข้ามาถึงภายในเวลาไม่ถึงสองนาทีและถูกกลุ่มทหารผ่านศึกและคนมาใหม่ฆ่าตายเรียบ กระโหลกของซอมบี้ถูกทุบจนระเบิดเลือดกระจายไปทั่วพื้น เลือดสีดำไหลนองจนกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เหล่าคนมาใหม่ทั้งหลายเกิดความรู้สึกสำเร็จและความกล้าขึ้นในหัวใจ พวกเขาสามารถฆ่าซอมบี้ไปได้ทั้งหมดถึงสิบแปดตัว!
ทุกคนก้าวเดินมุ่งไปข้างหน้าค่อยๆเคลื่อนไหวเข้าสู่ศูนย์กลางของฝูงซอมบี้
จากทหารมาใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์จนไปถึงการสามารถตัดหัวซอมบี้ได้ ทีละขั้นๆพวกเขากลายเป็นนักฆ่าที่ฝีมือในการฆ่าซอมบี้ไปแล้ว กลุ่มคนมาใหม่พวกนี้กำลังพัฒนาการฝีมือขึ้นไปเรื่อยๆท่ามกลางการต่อสู้ในฝูงซอมบี้ และเป็นเพราะความร่วมมือของทั้งสี่กลุ่ม จากคลื่นซอมบี้คลื่นแรกที่มีซอมบี้หกสิบตัวก็เริ่มเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆจนถึงคลื่นที่ร้อย คลื่นสุดท้ายคลื่นที่สองร้อยพวกเขาฆ่าซอมบี้ได้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
ภายในระยะเวลาไม่นาน ซอมบี้มากกว่าสองพันตัวที่กรูกันมาตามเสียงก่อนหน้านี้ก็ถูกล่อและฆ่าอย่างรวดเร็ว!
ซูเฟิงที่ยืนดูอยู่บนที่สูงมองภาพตรงหน้าอย่างประหลาดใจ เขาค่อนข้างประหลาดใจเพราะไม่เพียงแต่เหล่าคนมาใหม่ที่ฝีมือก้าวหน้าขึ้นไปอย่างมากภายใต้สายตาของเขาเองแล้วแต่เขายังประหลาดใจอย่างมากกับความแข็งแกร่งของการร่วมมือของทั้งสี่กลุ่ม
ทันใดนั้น ซูเฟิงก็เริ่มคิดไปถึงเส้นทางเข้าเมืองที่ชูฮันได้จัดแจงไว้สำหรับกลุ่มต่างๆ ทุกกลุ่มนั้นเคลื่อนที่ไปแต่ละทิศทางที่ต่างกันหลังจากเดินทางเข้ามาในเมือง บางกลุ่มชูฮันก็จงใจจัดเส้นทางที่ยาวไกลให้ บางกลุ่มก็ได้เส้นทางเป็นถนนใหญ่ ในตอนแรกซูเฟิงคิดว่าชูฮันจงใจแยกย้ายทุกกลุ่มออกไปเพื่อที่แต่ละกลุ่มจะได้กระจายไปให้ทั่วรอบเมือง
แต่ตอนนี้เมื่อมองดูดีๆ มันเหมือนว่าชูฮันจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เมืองนี้ก่อสร้างในยุคศิวิไลซ์ซึ่งแต่เดิมมันเป็นถนนที่ซับซ้อน ไม่ว่าถนนจะมีโค้งเลี้ยวมากเท่าไหร่ แต่เมื่อมองจากมุมสูงแล้วจริงๆมันเป็นแค่แค่จุดสองจุดและถนนเส้นเดียวเท่านั้น ซึ่งความจริงก็คือความห่างของแต่ละกลุ่มที่กระจายกันเดินไปนั้นไม่ได้ห่างอะไรกันมากมายเลย โดยเฉพาะหลังจากเวลาผ่านไปและทุกคนเริ่มเข้าใกล้ตัวเมืองขึ้นเรื่อยๆ ความห่างของแต่ละกลุ่มก็จะลดลง
วัตถุประสงค์ของการจัดการนี้ไม่เพียงแค่เพื่ออนุญาตให้เกิดการติดต่อระหว่างกลุ่มรอบๆเมื่อเกิดวิกฤตเท่านั้นแต่ยังเพราะพิจารณาจากการที่ใจกลางเมืองนั้นมีซอมบี้อยู่มากที่สุดอีก ซึ่งจะทำให้สถานการณ์นั้นจัดการได้ง่ายกว่าในกรณีที่แต่ละกลุ่มล้อมจัดก่ชารซอมบี้เป็นวงเข้ามา การฝึกฝนเต็มๆหนึ่งเดือนจะสะท้อนผลลัพธ์ให้เห็น ณ ที่นี้ มันจะแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่แท้จริง!
เมื่อนึกได้เช่นนั้นซูเฟิงก็ได้แต่เงยหน้ามองฟ้า ชูฮันคนนี้จะเหนือฟ้าอะไรขนาดนี้ มีอะไรอีกบ้างที่เขาไม่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า? ไม่แปลกใจเลยที่ชูฮันจะบอกเขาว่าเขามีโอกาสเพียงแค่ 5% เท่านั้นที่จะรอดไปถึงซางจิง ในตอนแรกซูเฟิงไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ด้วยทุกอย่างที่เขาได้รับรู้กับตัวเอง เขาเชื่อแล้วว่าที่ชูฮันพูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง!
ฝูงซอมบี้ที่รวมตัวขึ้นจนมีจำนวนมากกว่าสองพันตัวถูกทำลายล้างด้วยกลุ่มทหารเพียงแค่สามสิบแปดคน แถมจำนวนผู้เสียชีวิตยังเป็นศูนย์อีก ถึงแม้มันจะใช้เวลานานพอสมควรและทำให้ทุกคนเหนื่อยล้าจนหมดแรง แต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นมากเกินกว่าคำบรรยาย! ในหมู่พวกเขา มนุษย์สายพันธุ์ใหม่หลายคนฆ่าซอมบี้ได้จำนวนมากที่สุด มนุษย์สายพันธุ์ใหม่แต่ละคนฆ่าซอมบี้ไปได้มากกว่าหนึ่งร้อยตัวต่อคน ส่วนเหล่าทหารผ่านศึกที่เป็นคนธรรมดาแต่ละคนฆ่าซอมบี้ไปได้หกสิบตัว ส่วนพวกคนมาใหม่ที่เหลือก็ฆ่าซอมบี้ไปได้ประมาณสามสิบตัวต่อคน
พื้นที่จุดนี้เต็มไปด้วยซากศพซอมบี้นอนตายเต็มไปหมด เลือดไหลนองจนแทบจะกลายเป็นแม่น้ำ สภาพเละเทะไปหมด
“แยกย้ายกันไป ตามหาเสี่ยวฉีให้เจอ!” เฉินช่าวเย่ออกคำสั่งครั้งสุดท้าย “หัวหน้าชูฮันเคยพูดไว้ว่า อย่าละทิ้งสหายไว้!”
ในตอนนั้นเอง ตรงช่องว่างระหว่างกำแพงทั้งสองฝั่ง มันก็มีฝ่ามือบางๆค่อยๆแทรกขึ้นมา
“ซอมบี้!” สมาชิกทุกรีบกรูกันเข้ามาทันที
“ผะ ผมเอง” เสียงของเสี่ยวฉีที่อ่อนแรงดังขึ้น มันเต็มไปด้วยความกลัว ร่างกายแทบไม่มีแรงจะขยับตัว ถึงแม้ภาพลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนอาจจะน่าอับอายแต่แววตาของเขากลับเปล่งประกายด้วยความดีใจ
“เสี่ยวฉีน้อย?” ชูเซี่ยตะลึงอย่างตกใจจัด “นายเหรอ? ไม่มีซอมบี้โจมตีนายเหรอไง?”
มันเป็นไปได้อย่างไร? ด้วยซอมบี้จำนวนมากขนาดนี้และมีแม้กระทั่งซอมบี้ระยะ 3 ปะปนอยู่ด้วยซ้ำ มันเป็นไปได้ยังไงที่ซอมบี้ระยะ 3 จะสัมผัสไม่ได้ถึงเสี่ยวฉีที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ เพราะเธอรู้ดีว่าซอมบี้ระยะ 3 มีสัมผัสที่ไวมาก
“ผมเป็นพรสวรรค์ ผมสามารถกลบหลบหายใจและกลิ่นของผมได้” เสี่ยวฉีไม่คิดปกปิดอีกต่อไป เขาบอกเล่าถึงความสามารถของตัวเองทั้งหมดและในขณะเดียวกันความรู้สึกของการหนึ่งเดียวต่อกองทัพเขี้ยวหมาป่าของเสี่ยวฉีก็เพิ่มขึ้นอย่างแรงกล้า
เพื่อที่จะตามหาเขา คนพวกนี้ถึงกับฆ่าฝูงซอมบี้ทั้งฝูง! ไม่อยากจะเชื่อ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น