Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย 471-477

ตอนที่ 471

 

จำนวนการต่อสู้ในสงครามที่น่าอัศจรรย์ถูกหลี่ชวนรายงานออกมา ระหว่างที่หลี่ชวนพูดทั้งบริเวณก็ตกอยู่ในความเงียบ ผู้ลี้ภัยทั้งสองร้อยคนต่างช็อคเมื่อได้ยินเหตุการณ์ต่างๆที่ทั้งเข้มข้นและน่าตื่นเต้น


 


หลิวยู่ติงเองก็ตกใจเหมือนกัน แววตายามมองไปที่ชูฮันยิ่งลึกล้ำมากขึ้น เมื่อหนึ่งเดือนก่อนกองทัพหนึ่งร้อยคนนี้อ่อนแอมากขนาดไหน…ไม่มีใครรู้ดีเท่าเขา แต่ตอนนี้กองทัพหนึ่งร้อยคนกลับแข็งแกร่งจนยากที่ใครจะต้านทานได้


 


“…ครับ” เสียงของหลี่ชวนไม่ได้ดังลั่นหากมันดังชัดเจนเข้าหูทุกคน จากนั้นก็ตามด้วยท่าวันทยาหัตถ์แก่ชูฮันและหมุนตัวกลับไปยืนหลังตร


ที่ด้านหลังทีม


 


“ได้ยินมั้ย?” ชูฮันถามพร้อมร่องการเยาะเย้ย จากนั้นก็หันไปมองหน้าหลี่ชวนและดึงสายตากลับมาที่ผู้ลี้ภัยสองร้อยคน “หลี่ชวนก็เป็นแค่คนธรรมดาในกองทัพของฉันแต่เขากลับสามารถฆ่าซอมบี้ระยะ 1 ได้มากมาย รวมถึงซอมบี้ระยะ 2 อีกหลายสิบตัว!”


 


ทั้งสองร้อยคนต่างรู้สึกลำคอแห้งผากและจ้องไปที่ชูฮันด้วยแววตาจริงจัง ไม่มีใครในตอนนี้สามารถบรรยายความรู้สึกที่แท้จริงข้างในออกมาได้ สายตาทุกคนเต็มไปด้วยความสับสนขณะสบตามองกันและกันไปมา


 


อาการช็อคและปฏิกิริยาของพวกเขาไม่ต่างจากตอนที่เกิดการปะทุของโลกาวินาศขึ้นเลย!


 


เช่นเดียวกับคนทั่วไป หลี่ชวนได้มีส่วนร่วมในการฆ่าซอมบี้ตั้งแต่หลายเดือนก่อน ก่อนหน้านี้เขาสามารถฆ่าซอมบี้ได้เพียงแค่ไม่กี่ตัวในแต่ละครั้งแต่ตอนนี้เขาสามารถฆ่าซอมบี้ได้จำนวนไม่ถ้วนภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงของการดำเนินไปสู่ความรุ่งโรจน์


 


แตกต่างจากคนอื่นๆที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปเหมือนกันที่เลือกที่จะวิ่งหนี เอาแต่ขอคนอื่นกินและนอนไปวันๆ เวลาที่หลี่ชวนเห็นซอมบี้นับพันๆตัวเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป หลี่ชวนมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับการฆ่าซอมบี้ตั้งแต่เขาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาสามารถฆ่าได้เพียงไม่กี่ครั้งและตอนนี้เขาสามารถฆ่าเวลานับไม่ถ้วนในยี่สิบสี่ชั่วโมง เดินไปสู่ความรุ่งโรจน์ในปัจจุบัน


“และพวกคุณ?” ชูฮันไม่มีความสงสารใดๆให้คนพวกนี้และไม่ลังเลที่จะเอ่ยประโยคที่น่าตกใจสำหรับคนฟังออกมา “โอ้! แต่พวกคุณก็เป็นคนธรรมดาไม่ต่างจากหลี่ชวนหนิ แถมยังมีพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ตั้ง 20 คนอยู่ในกลุ่มพวกคุณ ก้มลงดูสภาพตัวเองสิ? พวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่กลับไม่มีความกล้าหาญเท่ากับนักรบภายใต้การบังคับบัญชาของฉันเลยสักนิด!”


 


“เอาแต่โวยวายและหนีเอาตัวรอด เหยียบย่ำศีลธรรมขั้นต่ำของมนุษยชาติด้วยเท้าตัวเอง พวกคุณมันตัวขี้เกียจ มีอะไรที่สามารถส่งผลต่อพวกคุณได้บ้างนอกจากเรื่องของตัวเอง พวกคุณเป็นพวกระดับต่ำสุดของมนุษยชาติ แม้พวกคุณจะไปที่ค่ายไหน พวกคุณก็จะถูกกวาดให้ไปอยู่ในเขตผู้ลี้ภัยอยู่ดี นี้คือชะตาที่พวกคุณเลือกทางเดินเอง การเห็นแก่ตัวโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น” แววตาของชูฮันคมกริบและน่ากลัวอย่างมาก “ทั้งหมดที่พูดมานี้ พวกคุณยังไม่ใช่ขยะอีกเหรอไง?”


 


ท่ามกลางความผิดหวังและจิตใจที่พังทลายของหลายๆคน หลายคนตัวสั่นและตาแดงก่ำ หัวใจอัดเแน่นไปด้วยความโกรธและอวดดี พวกเขาต้องการให้ชูฮันหุบปากและอยากจะฉีกปากชูฮันทิ้ง หากไม่มีใครกล้าจะลงมือก่อน ไม่มีใครส่งเสียง เพราะสิ่งที่ชูฮันพูดนั้นถูกต้องแล้ว


 


ชูฮันกวาดตามองคนสองร้อยคนตรงหน้ารอบๆ ตามมาด้วยยกยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็ยื่นมือออกไปโบก “ไป!”


 


“ครับ!” เสียงขานรับของทหารหนึ่งร้อยคนดังสนั่นก้อง


 


ฟรึบ—–


 


เสียงเดินเท้าอย่างเป็นระเบียบและเป็นจังหวะของทั้งทีมดังขึ้น มันไม่มีการลังเล ไม่มีการหยุดชะงักใดๆให้เห็น


 


ฝูงชนสองร้อยคนมองตามทีมทหารหนึ่งร้อยนายที่ก้าวเท้าเดินออกไปจากบริเวณและเดินออกเขตหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว ทหารของชูฮันนั้นแข็งแกร่งและไร้ความกลัวจนพวกเขาสามารถเดินทางระยะไกลด้วยเท้าได้


 


ชูฮันเดินตามหลัง หลิวยู่ติงที่อยู่ข้างชูฮันเอียงคอเล็กน้อยเหลือบมองไปที่ด้านหลังที่พวกเขาจากมา จากนั้นก็เอ่ยถามประโยคที่เขาสงสัยอยู่ในใจออกมา “ฉันคิดว่านายต้องการคนพวกนั้นมาเข้าร่วมซะอีก นายพูดมากไปขนาดนั้นแต่กลับไม่เอาคนพวกนั้นแล้วเนี่ยนะ?”


 


สายตาของชูฮันดิ่งลึก “ฉันพูดชัดเจนแล้ว พวกเขาเสียเปล่า”


 


วินาทีนี้หลิวยู่ติงรู้สึกมึนงงอย่างมากซะจนอยากจะเปิดหัวของชูฮันออกมาดูความคิด ถ้าอย่างนั้นจะไปเสียเวลาพูดกับพวกนั้นทำไม?


 


“ถ้าพวกเขายังทำแบบนี้ต่อไป มันเสียเปล่า” ชูฮันพูดขึ้นอีกครั้ง “ฉันไม่ต้องการขยะ ฉันต้องการคนที่สามารถเลือกโชคชะตาของตัวเองได้”


 


หลิวยู่ติงมีแววตาสงสัยและในตอนนั้นเอง——


 


“เดี๋ยว! รอก่อน!” ทันใดนั้นเองมันก็มีเสียงวุ่นวายที่ดังตามมากจากด้านหลัง


 


“ท่านพลเอกชูฮัน! ขอผมเข้าร่วมกองทัพของท่านได้มั้ย?”


 


“ท่านพลเอก! ฉันไม่อยากจะขยะ! ฉันอยากเป็นนักรบ!”


 


“ฉันต้องการฆ่าซอมบี้!”


“รอพวกเราด้วย!”


หลิวยู่ติงเหลือบหันไปดูด้านหลัง จากนั้นก็เบนสายตากลับไปมองสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดของชูฮัน “ทุกคนวิ่งไล่ตามพวกเรามา”


“อืม” ชูฮันไม่สนใจและไม่ได้ออกคำสั่งให้ข้างหน้าชะลอความเร็วลง เขาเพียงแค่เอ่ยออกมา “ปล่อยให้พวกเขาตามมา เราจะดูคนที่สามารถยืนหยัดได้”


 


“ครับ” หลิวยู่ติงเข้าใจแล้วว่านี่คือภารกิจที่ชูฮันเอ่ยกับเขาไว้ แต่นี่มัน…โหดร้าย!


 


หนึ่งวันต่อมา…ทีมของชูฮันได้เปลี่ยนเส้นทางและมุ่งหน้าไปที่ชานเมืองและผลลัพธ์ก็คือพวกเขาได้เจอกับซอมบี้มากขึ้นเรื่อยๆระหว่างทาง ผู้ลี้ภัยสองร้อยคนที่วิ่งไล่ตามมาทีมของชูฮันมาก็ถอดใจและลดจำนวนลงจนเหลือแค่หนึ่งร้อย


 


“หยุด พักก่อน” ชูฮันออกคำสั่งบอกด้านหน้า


 


“หยุด”


 


ทันทีที่หยุดทีมทหารของชูฮันก็ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นข้างถนนทันที บ้างก็หยิบน้ำออกมาดื่มดับกระหายบ้างก็หาของกินเพื่อเพิ่มพลังงานให้ตัวเอง แต่ที่เหมือนกันก็คือทุกคนมองไปด้านหลังของทีมด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


พวกตัวขี้เกียจพวกนั้นตามพวกเขามาแต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้เกินไป


 


กลุ่มผู้ลี้ภัยที่ตามมาทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นเว้นระยะห่างจากทีมของชูฮัน พวกเขาอยู่เงียบๆ พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ถ้าพวกเขาคลาดกับทีมของชูฮันเมื่อไหร่…พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต


 


และในขณะที่พวกเขาเหนื่อยล้าและไม่มีแรงแม้แต่จะส่งเสียง แต่ละคนต่างนอนก่ายบนท้องถนน จู่ๆมันก็มีภาพของรองเท้าบู้ททหารปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา


 


“ท่านพลเอก!?” กลุ่มคนหนึ่งร้อยคนลืมตาโพลงด้วยความตกใจ หากครู่เดียวก็ต้องหยุดชะงัก “ท่านพลตรี?”


 


คนที่เดินมาหาพวกเขาก็คือพลตรีหลิวยู่ติงนั่นเอง


 


หลิวยู่ติงมองไปที่กลุ่มคนซึ่งไม่มีวินัยและบรรทัดฐาน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “อยากจะเข้าร่วม?”


 


แววตาของทุกคนเป็นประกายทันทีพร้อมกับพยักหน้ารัวๆอย่างสิ้นหวัง


 


“พวกคุณพลาดการฝึกซ้อมของเมื่อเดือนก่อนและตอนนี้พวกคุณก็ไม่สามารถตามความคืบหน้าของทีมได้ทัน” หลิวยู่ติงค่อยๆถ่ายทอดคำพูดของชูฮันออกมา “กองทัพของเรากำลังจะเข้าไปในตัวเมือง นี้มันคือการฝึกภาคปฏิบัติ ถ้าหากพวกคุณต้องการเข้าร่วมกองทัพของเราจริงๆ พวกคุณควรพิจารณาให้ดีก่อน ทีมของพวกเรามีกฏระเบียบทางทหารที่เข้มงวด อีกทั้งการฝึกจริงๆก็อันตรายมาก พวกคุณลองคิดถึงตัวเองก่อนเพราะพวกคุณอาจจะตายได้”


 


“พวกเราไม่กลัวความตาย พวกเราไม่กลัวที่จะต้องตาย” ทันใดนั้นก็มีบางคนที่แสดงทัศนคติของตัวเองขึ้นมา ชูฮันได้สร้างความตกใจอันใหญ่หลวงแก่พวกเขาและความคิดที่ชูฮันสามารถทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นก็ได้ครอบงำจิตใจพวกเขาไปแล้ว


 


“ถ้างั้นก็มาลงชื่อกับฉัน” หลิวยู่ติงหยิบเอกสารขึ้นมาและเริ่มจดบันทึกทีละชื่อ


 


ในใจของหลิวยู่ติงนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเล็กน้อยเมื่อนึกถึง ‘การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอด’ ที่กำลังจะมาถึงนี้ มันมีการฝึกเอาชีวิตรอดทั้งหมดสามโปรแกรมในตารางการฝึกอบรมของชูฮัน ทว่าเ

 

 

 


ตอนที่ 472

 

อะไรคือการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอด? ฝึกยังไง อะไรยังไง? นอกเหนือจากชูฮันแล้วไม่มีใครรู้อะไรเลย เมื่อเทียบกับโปรแกรมการฝึกอื่นๆที่มีเนื้อหาอัดแน่น แต่กับโปรแกรมฝึกเอาชีวิตรอดอันนี้มันกลับว่างเปล่าจนทำให้หลิวยู่ติงรู้สึกขนลุก ถ้ามองจากความเข้าใจเกี่ยวกับตัวชูฮันที่หลิวยู่ติงมี เขาบอกได้เลยว่าอะไรก็ตามที่ถูกออกแบบจากชูฮันเองจะน่ากลัวและเลวร้ายอย่างมาก


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา…หลิวยู่ติงเดินมาหาชูฮันพร้อมกับปึกกระดาษหนา “นี่คือมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ 5 คน มีวิวัฒนาการ 4 และพรสวรรค์ 1 คน ส่วนคนธรรมดาที่เหลือถูกบันทึกไว้ในนี้หมดแล้ว”


 


“เหนื่อยมามากสินะ” ชูฮันรับเอกสารข้อมูลมาและพลิกหน้าเปลี่ยนดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เขาออกคำสั่ง “ให้กองทัพเข้ารวมตัวเข้ากับพวกคนพลัดถิ่นพวกนี้ แล้วแบ่งออกเป็น 20 กลุ่ม”


 


หลิวยู่ติงกลืนน้ำลายอึกอย่างกังวล จากนั้นก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ทั้งหมด? กลุ่มละสิบคนงั้นเหรอ?”


 


“ใช่” ชูฮันเหลือบมองมาอย่างไม่เข้าใจว่าหลิวยู่ติงกลัวอะไร


 


“ท่าน ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย” หลิวยู่ติงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นต้องพูดกับชูฮันอย่างสุภาพเอ่ยถาม


 


“ไม่ใช่ตอนนี้” ชูฮันคัดค้าน “หลังจากเข้าไปในเมืองแล้วนายค่อยถาม”


 


นี้ยิ่งทำให้หลิวยู่ติงกังวลมากขึ้นไปอีก


 


ทุกคนรีบกระจายตัวตามคำสั่งของชูฮันและรวมกลุ่มเข้าด้วยกันจนกลายเป็นทั้งหมด 200 คน แต่กระบวนการนี้ไม่ได้ทำอย่างเงียบๆ เกิดเสียงวุ่นวายดังลั่น นายทหารหนึ่งร้อยคนที่ภักดีต่อชูฮันไม่อยากจะแยกจากกลุ่มพรรคพวกของตัวเองไปอยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะหลังจากผ่านการฝึกฝนมากมายมาด้วยกันจนเกิดสายสัมพันธ์อันดี และตอนนี้พวกกลุ่มพลัดถิ่นพวกนี้กำลังทำลายการประสานงานของพวกเขา ในความคิดของทีมทหารหนึ่งร้อยคนพวกเขาไม่สามารถยอมรับคนพวกนี้ได้


 


เมื่อมองไปที่ภาพกลุ่ม 20 กลุ่มที่ถูกจัดแบ่งอย่างเท่าๆกันตามพละกำลังและความสามารถในการต่อสู้ ชูฮันก็ยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนพลางกวาดสายมองอย่างทั่วถึง เพียงแค่กวาดตารอบเดียวชูฮันก็สามารถมองทุกอย่างอย่างเห็นได้ชัด เขาดูออกเลยว่าคนไหนคือทหารกลุ่มแรก คนมาใหม่จะไม่ยืนท่าพักระเบียบทหารและไม่เข้าใจสายตาที่มองมาของชูฮัน


 


หากในใจของเหล่าคนใหม่นั้นต่างดีใจกันหมดเพราะชูฮันปล่อยให้พวกเขาเข้าร่วมกับเหล่าทหารที่ฝึกฝนมาก่อนหนึ่งเดือน พวกเขาทั้งหมดยืนตรงนิ่งด้วยความนับถือต่อชูฮัน


 


มันไม่มีความประหลาดใจอะไรสำหรับชูฮัน หากหลิวยู่ติงนั้นเต็มไปด้วยความกังวลอยู่ในอก


 


“พวกคุณรู้จักชื่อของเมืองต่อไปกันมั้ย” ยังคงไม่มีคำกล่าวเปิดใดๆเหมือนเดิม จู่ๆชูฮันก็โพล่งถามขึ้นมา


 


กลุ่มคนได้แต่ยืนนิ่งและไม่ส่งเสียง พวกเขาไม่รู้เส้นทางไม่รู้แผนที่ พวกเขาเพียงแค่เดินตามถนนที่ชูฮันวางไว้มา เพราะฉะนั้นอะไรที่รออยู่ข้างหน้านั้น…ไม่มีใครรู้เลย


 


“หลิงเฉิง” น้ำเสียงคมของชูฮันค่อนข้างคมชัดทำให้ทั้งสองร้อยคนได้ยินแจ่มแจ้ง “เมืองนี้ไม่ใช่เมืองใหญ่แต่ก็ไม่ได้เล็ก มีซอมบี้ประมาณ 500,000 ตัวเข้ามาตั้งถิ่นฐาน”


 


อึก! อึก!


 


นำโดยหลิวยู่ติง ทุกคนเริ่มเหงื่อแตกและลำคอแห้งผาก ซูเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆชูฮันก็กังวลเช่นกันเมื่อได้ยินสิ่งที่ชูฮันพูด โปรแกรมฝึกเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมาถูกจัดในสถานที่ที่มีซอมบี้จำนวนไม่มากขนาดนี้ในแถบชานเมือง นี่เป็นครั้งแรกที่ชูฮันตั้งเป้าการฝึกไว้ในตัวเมือง แถมยังเป็นตัวเมืองที่มีซอมบี้อยู่มากถึง 500,000 ตัว


 


มีเพียงเฉินช่าวเย่เท่านั้นที่ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัว แถมยังกัดปากและเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ


 


“ไอ้อ้วน! หัวเราะอะไร!?” ติงเซวที่อยู่ข้างฟาดฝ่ามือใส่เจ้าอ้วนเฉินช่าวเย่


 


“เฮ้!เฮ้!” เฉินช่าวเย่กระซิบพูดกับติงเซว “หัวหน้าไม่เคยพูดจาแบบนี้เลย แถมยังใช้คำว่าตั้งถิ่นฐานอีก”


 


ติงเซวอึ้ง หัวใจเต้นรัวพลางมองไปที่ชูฮัน


 


ทำให้ชูฮันต้องปรายตามองมาดูปฏิกิริยาของทั้งสองคนทันทีตามสัญชาตญาณ จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าเขยิบไปด้านหน้าเข้าหาทุกคนหากสายตาของเขาไม่ได้จับจ้องไปที่ใครสักคน เขาเพียงแค่มองไปที่แนวขอบฟ้า


 


มันควรจะเป็นแสงโปร่งแสงจากดวงอาทิตย์ หากมันกลับถูกบดบังด้วยหมอกสีเลือด


 


ความเงียบอันยาวนานได้แผ่กระจายเข้าสู่หัวใจของทั้งสองร้อยคน ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ชูฮันอย่างไม่เข้าใจ…ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เลย


 


“พวกคุณรู้จักราชาซอมบี้มั้ย?” ชูฮันถามเสียงดังก้อง ดึงสายตาที่งงงวยของทุกคนกลับมา ทุกคนได้แต่เหงื่อแตกพลั่กอย่างเต็มไปด้วยความวิตก


 


ราชาซอมบี้


 


ซูเฟิงมีประกายเย็นวาวในนัยน์ตาและมองชูฮันด้วยแววตาคมกริบ


 


หลิวยู่ติงพลันหน้าซีด เขารู้สึกว่าชูฮันน่ากลัวเกินไป แต่ราชาซอมบี้? ไอ้พวกตำนานเรื่องเล่าอะไรนี้มีอยู่จริงงั้นเหรอ?


 


เมื่อหันหน้าไปเห็นสีหน้าอึ้งๆและหวาดกลัวของทุกคน รอยยิ้มบนหน้าชูฮันก็ยิ่งโหดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ “ทุกๆฝูงซอมบี้ 500,000 ตัวจะมีซุปเปอร์ซอมบี้ที่มีพลังเหนือกว่าซอมบี้ตัวอื่นๆอยู่”


 


ตึก! ตึก! ตึก!

ทันใดนั้น หัวใจของทั้งสองร้อยก็เต้นแรงราวกับจะทะลุออกมา หลายคนเหงื่อแตกพลั่กและช็อคเมื่อเห็นว่าคนที่พูดประโยคนี้คือชูฮัน ซุปเปอร์ซอมบี้จะกำเนิดขึ้นท่ามกลางฝูงซอมบี้ 500,000 ตัว เจ้าซุปเปอร์ซอมบี้อาจจะเป็นซอมบี้จากอนาคต และ…เมืองหลิงเฉิงก็มีซอมบี้ 500,000 ตัวพอดี!


“ลูกทีมทุกคนฟัง!” ทันใดนั้นชูฮันก็พูดเสียงดังและเต็มไปด้วยอำนาจที่น่าเกรงขาม “การฝึกเอาชีวิตรอดหนึ่ง : การเอาชีวิตรอดในเมืองหลิงเฉิงเป็นเวลาสามวัน ค้นหาร่องรอยของซุปเปอร์ซอมบี้ในเมือง หลังจากผ่านไปสามวันลูกทีมทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่ใจกลางเมือง”


 


“ครับ!” ทหารหนึ่งร้อยนายตอบรับเสียงดังทันที เสียงของพวกดังก้องกังวาน


 


ส่วนหนึ่งร้อยที่มาใหม่ได้แต่หวาดกลัวจนขาสั่นเข่าอ่อน หลายคนอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามในใจหากเมื่อเห็นภาพสีหน้าจริงจังของทหารหนึ่งร้อยนายของชูฮันพวกเขาก็พูดไม่ออก


 


“ขอ…ผมขอถามอะไรได้มั้ย?” จู่ๆก็มีคนหนึ่งยกมือขึ้นมา เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเตี้ย หากใบหน้าดูไม่ใช่คนมีอายุ สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัว


 


พรึบ! พรึบ!


สายตาของทุกคนหันไปจับจ้องที่ชายคนนี้ทันที ส่งผลให้ชายคนนี้ยิ่งกลัวขึ้นมากกว่าเดิม


 


“ระเบียบทหาร : คุณต้องแสดงวันทยาหัตถ์ต่อท่าน จากนั้นรายงานชื่อของตัวเองและยศด้วยเสียงดังฟังชัด” หลิวยู่ติงนิ่วหน้าพร้อมกับพูดอธิบายไปด้วย “ไม่มีกฎในกองทัพที่ห้ามถามคำถาม แต่คุณจะไม่สามารถถามคำถามได้ถ้าไม่ทำตามระเบียบก่อน”


 


คำเตือนนั้นชัดเจนเพียงพอให้ทุกคนเข้าใจถ้าฉลาดพอ ประกอบกับอีกที่วันนี้ชูฮันอยู่ในอารณ์ดี ชายคนนั้นจึงไม่โดนโทษ หลิวยู่ติงพอจะเข้าใจหัวอกของชายคนนั้นดีว่าเพราะว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน ตัวเขาเองมีคำถามจะถามชูฮันและเขาไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบทหาร ส่งผลให้เขาถูกชูฮันอัดยับทันทีต่อหน้าต่อตาทุกคน…


 


ชูฮันยิ้มและเหลือบมองหลิวยู่ติง จากนั้นก็เบนสายตากลับมาที่ชายคนที่พูดขึ้น


 


“ผม ผม ผมชื่อ เสี่ยวฉี ไม่มียศ ใช่! วันทยาหัตถ์…วันทยาหัตถ์…” ชายคนนั้นพึมพำอย่างทำตัวไม่ถูกและโค้งคำนับชูฮันด้วยพิธีการทหารเก้งๆก้างๆ โดยไม่มีคำว่าถูกระเบียบมาตรฐานเลยสักนิด


 


พิธีการของเสี่ยวฉีแสดงออกถึงความเคารพจากใจจริง แต่ทันใดนั้นมันก็มีเสียงระเบิดหัวเราะตามออกมาเป็นพรวน


 


“ขออนุญาตครับท่าน!” นายทหารคนหนึ่งลุกขึ้นทันที และสาธิตการปฏิบัติพิธีการทางทหารให้ชายคนนั้นดู “ผมชื่อซูเซียงหลง ยศสิบเอก ผมขออนุญาตแสดงการถามคำถามให้เสี่ยวฉีดูได้มั้ยครับ?”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ครั้งนี้เสียงหัวเราะยิ่งดังสนั่นกว่าเดิม

 

 

 


ตอนที่ 473

 

ชูฮันมองไปที่ซูเซียงหลงตรงหน้าและกลุ่มคนที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด ทันใดนั้นเองมันก็มีรอยยิ้มปราฏที่มุมปากของชูฮัน และเมื่อทุกคนเห็นชูฮันยิ้มกลุ่มคนก็ยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก กลุ่มคนมาใหม่หนึ่งร้อยคนมีท่าทางหดหู่ ตัวสั่น หน้าตึง ตาแดงก่ำ ความเกลียดเพิ่มขึ้นในใจ


 


และในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะอยู่ “จำกฎระเบียบทางทหารของกองกำลังเขี้ยวหมาป่าบทที่ 19 กันได้มั้ย?”


เสียงหัวเราะหายไปอย่างไร้ร่องรอยและทหารหนึ่งร้อยคนเริ่มดิ่งลงลึกไปที่ด้นเหว


 


“ขออนุญาตครับท่าน!” หลิวยู่ติงตอบรับเสียงดัง “อย่าหัวเราะพวกพ้องของเราเอง ไม่มีการแบ่งแยก!”


ปากชูฮันยิ่งยกมุมลึกกว่าเดิม “วิดพื้นหนึ่งร้อยครั้ง! ปฏิบัติ!”


“ครับ!”


พรึบ!


 


ทหารหนึ่งร้อยคนที่ถูกฝึกมาตลอดหนึ่งเดือนรีบลงไปนอนที่พื้นและเริ่มทำการวิดพื้นทันทีตามคำสั่ง กฏระเบียบทางทหารได้ถูกปลูกฝังลึกลงไปในสมองของทุกคนแล้วตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ความสำคัญที่สุดคือคำสั่งของผู้บังบัญชา ที่เหลือคือเรื่องรอง


 


คนมาใหม่อีกหนึ่งร้อยคนงุนงง พวกเขาต่างมามองมาที่เหล่าทหารหนึ่งร้อยนายที่เชื่อฟังคำสั่งของชูฮันทันที พวกเขาทั้งตกใจหากในใจก็เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย นี่คือทีมที่ผ่านการฝึกมาอย่างเข้มงวดและเป็นระเบียบ พวกเขาแสดงออกถึงการทำที่ถูกและผิดอย่างชัดเจน ประกอบกับที่ชูฮันไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะสั่งลงโทษทหารของเขา


 


ทันใดนั้นกลุ่มคนมาใหม่หนึ่งร้อยคนต่างมองไปที่ชูฮันเต็มตา แววตาของทุกคนเต็มไปด้วยความชื่นชม ท่านพลเอกเป็นคนที่ชัดเจนและมีเหตุผลและสามารถกำหนดกฏระเบียบทางทหารแบบนี้ขึ้นมา พวกเขาเลือกตามคนถูกแล้ว!


 


ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการเยาะเย้ย อะไรจะดีกว่านี้? รวมถึงเรื่องที่พวกเขาได้เห็นเองกับตา การได้เห็นคนธรรมดากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งและมีตำแหน่งอยู่ในกองทัพ


 


การวิดพื้นหนึ่งร้อยครั้งนั้นไม่ใช่ปัญหาลำบากอะไรเลยสำหรับวิวัฒนาการแต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับพรสวรรค์และคนธรรมดา กลุ่มคนเริ่มเหงื่อแตกพลั่กไม่หยุด เสียงการหายใจก็เริ่มดังรุนแรงขึ้น แต่ไม่มีใครแสดงการปฏิบัติที่ช้าลงหรือหยุดพักเลย แม้แต่เฉินช่าวเย่ที่มักจะอ่อนแอสุดกลับใช้พลังกายทั้งหมดที่มีเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด


 


ตอนนี้ชูฮันมองไปที่ชายคนเดิมที่มีท่าทีซบเซา “ปัญหาของนายคืออะไร?”


 


“ขออนุญาตครับท่าน” เสี่ยวทำตามการสาธิตของซูเซียงหลง ซึ่งเขาก็ปฏิบัติออกมาได้ไม่แย่เท่าไหร่ “ผมชื่อเสี่ยวฉี ไม่มียศทางทหาร ผมมีคำถามครับ : แล้วเรื่องของอาหารสำหรับการอยู่ในเมืองสามวันละครับ? แล้วถ้าเราเจอซุปเปอร์ซอมบี้และตกอยู่ในอันตรายละครับ?”


 


ชูฮันยิ้มมุมปาก “เหตุผลของการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอด แน่นอนว่าพวกคุณต้องหาทางแก้ปัญหาเรื่องอาหารกันเอาเอง เมื่อเข้าไปในเมืองอาหารทั้งหมดที่พวกคุณมีติดตัวต้องถูกส่งคืน พวกคุณสามารถแบกไปได้แต่กระเป๋าเป้เปล่าๆเข้าไปในหลิงเฉิง ส่วนสำหรับอันตรายถึงชีวิตก็เช่นกัน นี้คือสิ่งที่พิสูจน์ความสามารถของพวกคุณ มีเพียงแค่ที่อยู่รอดเท่านั้นของการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดนี้ที่จะสามารถเข้าร่วมกองทัพของฉันได้”


 


เงียบกริบ…


 


เสียงลมหายใจเย็นของคนแล้วคนเล่าดังขึ้น หลายคนมองมาที่ชูฮันอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน นี้มันต้องฝึกฝนน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ? มีเพียงแค่คนที่มีชีวิตรอกจะสามารถเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกองทัพได้อย่างเป็นทางการงั้นเหรอ? มันไม่ต่างจากการผลักให้คนไปตายเอาดาบหน้า?


 


เสียงของชูฮันไร้ซึ่งอารมณ์ “พวกคุณไม่เข้าใจที่ฉันพูดเหรอไง? นอกเหนือจากการเอาตัวรอดจากการฝึกนี้แล้ว พวกคุณยังต้องตามหาร่องรอยของซุปเปอร์ซอมบี้ ฉันแค่พวกคุณไปตามหาร่องรอย จดบันทึกสถานที่ที่น่าสงสัยทั้งหมดและให้พวกคุณทำการสืบสวนเอง ภายใต้การเฝ้าของระวังของฉัน ความเสี่ยงของการฝึกนี้คือศูนย์”


 


เฝ้าระวัง    


 


ศูนย์


หลายคนเริ่มเชื่อว่าคนสองร้อยคนสามารถเข้าไปในเมืองและเผชิญหน้ากับฝูงซอมบี้ 500,000 ตัวได้ แถมยังแบ่งกลุ่มออกเป็นยี่สิบกลุ่มอีก มันจะอันตรายได้ถึงขนาดไหน?


 


ศูนย์


 


รอยยิ้มของชูฮันยิ่งเย็นชาและโหดเหี้ยม “การฝึกนี้เป็นการจริงๆ ถ้าพวกคุณยอมแพ้เพราะความกลัว กลัวที่จะตาย งั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าร่วมกองทัพของฉันเลย ไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็นมะเร็งในกองทัพของฉัน! ซอมบี้จะมีอยู่เสมอและวิกฤตก็จะปรากฏขึ้นมาไม่สิ้นสุด ที่นี้ไม่มีการฝึกปกติ การฝึกทุกอันคือการต่อสู้ที่แท้จริง”


 


นี่คือสิ่งที่ชูฮันยืนยันอยู่เสมอ ค่ายซางจิงคือค่ายผู้รอดชีวิตที่ใหญ่ที่สุดของจีน มีคนระดับสูงที่มีพลังอำนาจมากมายอยู่ที่นั่นนับไม่ถ้วน ทีมมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ 200 คนที่ถูกส่งมาจากแต่ละค่ายไม่มีประสบการณ์ในเชิงปฏิบัติ พวกเขาอ่อนแอยิ่งกว่าเฉินเสี้ยนกาวที่เป็นคนธรรมดาซะอีก


 


สิ่งสำคัญของการฝึกภาคปฏิบัตินั้นควรจะมีตั้งแต่แรกเริ่ม และเพียงแค่การต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้นที่จะเอาชนะได้


 


กลุ่มคนไม่มีใครกล้าจะพูดอะไรอีก ทุกคนต่างมองมาที่ชูฮันอย่างอึ้งๆ และในขณะเดียวกันกลุ่มทหารหนึ่งร้อยคนที่ทำบทลงโทษเสร็จก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนตัวตรงทีละคน ด้วยท่าพักปฏิบัติตามระเบียบทหารดังเดิม  ไม่มีใครมีความกลัวแสดงให้เห็นเลย


 


“พวกคุณสามารถเลือกที่จะถอนตัวตอนนี้ได้” ชูฮันจับจ้องการตอบสนองของเหล่าคนมาใหม่ไว้ในสายตา และจู่ๆชูฮันก็หยิบปึกกระดาษข้อมูลออกมา “แต่คนที่ถอนตัวจะไปอยู่ในบัญชีดำของค่ายเขี้ยวหมาป่า รวมถึงคนที่ไม่เห็นด้วยกับการฝึกนี้ก็จะไปอยู่ในบัญชีดำเช่นกัน เพราะว่าคนที่ไม่เข้าร่วมการฝึกของหน่วยรบเขี้ยวหมาป่าก็ไม่ควรจะหวาดกลัว และค่ายของฉันก็จะไม่ยอมรับคนทรยศ”


 


นี่คือจุดสิ้นสุดของเรื่องราว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากกว่านี้


 


หลิวยู่ติงยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีก ทุกคนต่างมองไปที่ปึกกระดาษในมือของชูฮัน


 


“ฉันขอออก” บางคนเริ่มกลัว


“ฉันก็ด้วย” เมื่อมีคนเปิด มันก็มีคนตาม


 


ชูฮันไม่ห้าม เขาปล่อยให้หลิวยู่ติงจดรายชื่อของคนที่อยากถอนตัวลงไป ผลสุดท้ายจำนวนของคนที่เหลือทั้งหมดสำหรับการฝึกคือ 160 คน ส่งผลให้กลุ่มเหลือเพียง 16 กลุ่ม อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่ทำให้ชูฮันประหลาดใจเล็กน้อย ชายที่ชื่อว่าเสี่ยวฉีที่เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวกลับอยู่ต่อ


 


“จัดกลุ่มใหม่” อีกครั้งที่ชูฮันออกคำสั่งให้ทีมจัดระเบียบใหม่ และเมื่อเขากวาดสายตามองรอบๆกลุ่มคนมาใหม่ทั้งหมด “ฉันหวังว่าคนมาใหม่จะไม่เป็นอันตรายต่อสหายของเรากันเอง”


หลายคนต่างตาโตและพยักหน้ารับด้วยความกลัว


 


“ลูกทีมทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม! เข้าไปในเมืองหลิงเฉิงทีละกลุ่ม!”


กลุ่มคนต่างสะพายกระเป๋าเป้ว่างเปล่า กลุ่มคนสิบคนเคลื่อนตัวเข้าไปในเมือง ชูฮันมอบเส้นทางให้แต่ละกลุ่มแตกต่างกันไป แต่ละกลุ่มจะมีแผนที่ไว้เผื่อสำรองฉุกเฉิน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ในทีมนั้นมีประสบการณ์กันอยู่แล้ว


 


เมื่อกลุ่มคนเดินทางจากไป หลิวยู่ติงและซูเฟิงที่ไม่ได้ถูกจัดรวมกลุ่มก็พูดกับชูฮันขึ้นพร้อมกัน “คุณคิดบ้าอะไรอยู่?”


 


หลังจากนั้น ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันและด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งคู่ต่างเห็นความกังวลและความไม่อยากเชื่อในแววตาของอีกฝ่าย


 


“มีคนที่ไม่มีประสบการณ์รวมอยู่ในกลุ่มด้วย การเพิ่มคนใหม่เข้าในการฝึกสำคัญและอันตรายแบบนี้นอกจากจะทำให้กระบวนการล่าช้าลงแล้ว ยังนำพาปัญหามาให้ทีมอีก” คิ้วของหลิวยู่ติงย่น “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบว่าพวกเขามีความขัดแย้งกันระหว่างปฏิการรึเปล่า แล้วถ้ามีคนทรยศล่ะ?! มันต้องมีบางคนแฝงตัวอยู่สักคนแน่นอน!”


 


ชูฮันเหลือบมองด้วยสายตาดิ่งลึก “การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอกไม่ใช่การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดจากฝูงซอมบี้ในเมืองเท่านั้น แต่มันยังคือการทดสอบความมนุษย์ขั้นพื้นฐานและการตอบสนองของมนุษย์”


 


ทันทีหลังจากพูดให้ทั้งสองคนได้คิด ชูฮันก็พูดบางอย่างต่อที่ทำให้หลิวยู่ติงและซูเฟิงตัวสั่น “และคนที่ทรยศก็จะได้ลิ้มรสชาติที่กล้ามาลองดีกับชีวิตทหารของฉัน”

 

 

 


ตอนที่ 474

 

มันไม่ใช่แค่การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น ชูฮันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว


 


หลิวยู่ติงตกใจ “นี้มันเป็นการฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดหรือเป็นการคัดกรองคน?”


ชูฮันมีสายตาล้ำลึก “ทั้งหมด”


“ไม่กลัวว่ามันจะมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาจริงๆเหรอไง?” หลิวยู่ติงเริ่มเข้าโหมดตึงเครียด “อาจจะถูกวางยาพิษ หรือฆ่าแกงกันเพื่อชิงอาหาร หรือผลักไสพวกพ้องให้เป็นอาหารของซอมบี้แทนตัวเอง เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับพวกผู้ลี้ภัย มันมีปัญหาแย่ๆมากมายที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้”


 


“นายกังวลเรื่องอะไร?” ชูฮันเริ่มให้ความสนใจกับหลิวยู่ติง “ฮัวหมิงและหลี่ซิงยูเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 พวกเขายังสามารถแก้ไขปัญหาได้ ครั้งนี้พวกคนที่มาใหม่มีสี่คนที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 1 ส่วนพรสวรรค์คนเดียวที่มีก็ถอนตัวไปแล้ว การที่จู่ๆฮัวหมิงและหลี่ซิงยูที่ตอนแรกเป็นพวกเราแต่จู่ๆก็ทรยศขึ้นมานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการรับมือกับพวกผู้ลี้ภัยที่อาจจะทรยศขึ้นมาได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ต้องไว้ใจใครเลยงั้นสิ?”


 


“มันก็จริง” หลิวยู่ติงพยักหน้าเห็นด้วย “แล้วกูเหลียงเฉินล่ะ? จนถึงตอนนี้เรายังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ และนายก็ยังจัดให้หลี่ชวนและพวกผู้ลี้ภัยไปอยู่กับกูเหลียงเฉินอีก ในกรณีที่ถ้าเกิดกูเหลียงเฉินทำอะไรขึ้นมา คนของเราจะไม่สามารถรับมือได้เพราะไม่มีกำลังช่วย!”


 


“เขาจะไม่ทำ” ชูฮันดูนิ่งสงบ


 


แม้กูเหลียงเฉินจะดูน่าสงสัยมาตลอดตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้  อีกทั้งยังชอบปลีกตัวไปอยู่คนเดียวและไม่พูดคุยกับใครเลย แต่เมื่อไหร่ที่มองดูกูเหลียงเฉินดีๆก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้วกูเหลียงเฉินเป็นคนเรียบง่ายและอ่อนโยน หากเขาเป็นคนที่ไม่ยอมเปิดเผยอารมณ์ให้ใครได้เห็น ทว่าภักดีของกูเหลียงเฉินที่มีต่อชูฮันนั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนไม่ใช่เรื่องโกหก!


 


ถึงแม้อัตราการเพิ่มจะช้ามากก็ตามที


 


“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอีกอยู่ดี ฉันมีอีกคำถาม!” หลิวยู่ติงมีคำถามที่อัดอั้นอยู่ในใจ “นอกเหนือจากปล่อยให้เหล่าทหารของเราได้ฝึกฝนแล้ว คนที่สามารถรอดชีวิตจากการฝึกครั้งนี้ได้นายจะให้คนพวกนั้นเข้าร่วมกองทัพจริงๆงั้นเหรอ? ด้วยจำนวนคนที่มากขึ้น ระยะเวลาในการเดินทางก็จะช้าลง”


 


ชูฮันเพียงเลิกคิ้ว “ตอนออกจากค่ายซางจิงมาเรามีคนทั้งหมดกี่คน?”


 


หลิวยู่ติงตอบคำถาม “อย่างน้อยสามร้อยคน”


 


จากนั้นชูฮันก็จ้องหลิวยู่ติงและพูด “นั่นเราก็ยังทำได้!”


 


ทันทีที่ชูฮันพูด หลิวยู่ติงก็หันคอควับมาจ้องชูฮัน “นาย…นาย?”


 


ชูฮันกรอกตา “อะไรคือ นาย นาย ฉัน ฉัน ใจเย็น!”


“โอ้!”


 


“มีคำถามอะไรอีกมั้ย? ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว พวกเราก็ต้องเข้าไปด้วย” ชูฮันพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เขาก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าออกไป นอกเหนือจากการฝึกฝนคนหนึ่งร้อยหกสิบคนแล้ว หลิวยู่ติง ซูเฟิงและตัวเขาเองก็มีโปรแกรมการฝึกที่แตกต่างออกไปของแต่คนละเหมือนกัน แต่แค่ได้ยินหลิวยู่ติงและซูเฟิงก็แทบจะเข่าอ่อนแล้ว


 


“เดี๋ยว! ฉันยังมีปัญหาที่ไม่เข้าใจอยู่” ซูเฟิงรีบส่งเสียงรั้งชูฮันที่กำลังเดิน—–


 


พ้ะ!


 


เสียงกระแทกอย่างกระทันหันดังขึ้น ซูเฟิงจ้องไปที่ชูฮัน “คุณเตะฉันเหรอ?”


ชูฮันสั่นขาเพื่อสะบัดกล้ามเนื้อ “คุณไม่ทำตามระเบียบ”


 


———-


 


และในขณะเดียวกัน ที่ห้องทำงานของภายในค่ายเขี้ยวหมาป่านอกเมืองอันลู


 


ก๊อก! ก๊อก!

มีเสียเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องทำงานของซางจิ่วตี้


 


“เข้ามา” ซางจิ่วตี้ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เธอนิ่วหน้าเล็กน้อยและลดเอกสารในมือลง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองตรงประตู


 


เอี๊ยด—–


 


ประตูไม้เปิดอ้าออกและตามมาด้วยคนสองคนเดินเข้ามาในห้อง ชายคนแรกหน้าตาเปรอะเปื้อน ส่วนคนที่เดินตามมาทีหลังคือติงซือเย้าที่ปักหลักอยู่ในค่ายเขี้ยวหมาป่ามาเป็นเวลานานแล้ว


 


ซางจิ่วตี้เหลือบมองติงซือเย้า จากนั้นก็จ้องลึกไปที่ชายที่เดินนำหน้าเข้ามาก่อน เมื่อตอนที่เขาเดินเข้าประตูเข้ามาดูเหมือนเป็นพวกผู้ลี้ภัย แต่เมื่อเข้ามาในห้องแล้วและปิดประตูลงชายคนนั้นนก็รีเปลี่ยนสีหน้าที่แสร้งทำไว้ออก…พลังผันผวนพิเศษ


 


ซางจิ่วตี้รับตำแหน่งดูแลควบคุมค่ายเขี้ยวหมาป่ามาเป็นเวลาทั้งหมดสี่เดือนแล้ว และเธอเองก็คุ้นเคยกับพลังผันผวนแบบนี้ดี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรดมา เขาคือใครกัน?


 


ต่อหน้าต่อตาซางจิ่วตี้ ติงซือเย้าปิดประตูและส่งผ้าเปียกในมือส่งให้ชายตรงหน้า


 


หัวคิ้วของซางจิ่วตี้ย่น หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย เธอยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเธอตำแหน่งเดิมไม่ได้ลุกขึ้น มันมีความอันตรายแฝงอยู่ในแววตาของเธอ “กัปตันเหอเฟิง มีเรื่องอะไรกันถึงได้มายืนอยู่ต่อหน้าฉันแบบนี้?”


เหอเฟิงไม่เพียงแต่จะโด่งดังเรื่องความสามารถแล้วและคุ้นเคยกันดีกับซางจิ่วตี้ แต่เขายังเป็นกัปตันของทีมฮูหยาอีกด้วย ถึงแม้ตัวตนของเขาจะไม่เป็นที่รู้จักในคนกลุ่มน้อย แต่ซางจิ่วตี้ที่เป็นคนของทีมเขี้ยวหมาป่านั่นย่อมรู้จักเขาดีและแน่นอนว่าฝีมือของเธอไม่สามารถเทียบเหอเฟิงได้เลย แต่นี้มันผ่านไปถึงสี่เดือนแล้งตั้งแต่ชูฮันได้รับตราตำแหน่งพลเอก ทำไมจู่ๆเหอเฟิงถึงมาปรากฏตัวที่ค่าย นั่นคือสาเหตุที่เธอตกใจ


 


กัปตันของทีมฮูหยา นี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!


 


“ฉันมาที่นี่เพื่อส่งข้อความสองข้อความให้คุณและของสองสิ่ง” เหอเฟิงตรงเข้าประเด็นทันที

เหอเฟิงเอาผ้าขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาและสิ่งสกปรกตามร่างกาย จากนั้นก็หยิบเอกสารสำเนาสองชุดจากตรงแขนออกมาและวางมันลงต่อหน้าซางจิ่วตี้


 


ติงซือเย้าที่ยืนอยู่ด้านหลังเหอเฟิงมาตั้งแต่แรกไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้มาสบตากับซางจิ่วตี้ เพราะว่าเขาเป็นคนพาเหอเฟิงเข้ามา และตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งโดยตรงจากเหอเฟิงที่เป็นกัปตันทีมฮูหยาของเขา เหอเฟิงสั่งให้ติงซือเย้าพาตัวเขาเข้ามาพบซางจิ่วตี้แบบปลอมตัวเข้ามาและให้รายงานข้อมูลภายในของค่ายเขี้ยวหมาป่าให้ฟัง


 


ตอนนี้ติงซือเย้ารู้สึกว่าบุญโชคดีที่เขาสะสมมาได้หมดลงแล้ว


 


มันเป็นเพราะติงซือเย้าอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด เหอเฟิงและซางจิ่วตี้ไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด ตอนนี้การเผชิญหน้าระหว่างปีศาจทั้งสองตัวได้เริ่มต้นขึ้นแล้วและประโยคต่อไปที่เอ่ยขึ้นก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นกว่าเดิม


 


ซางจิ่วตี้เพียงแค่เหลือบตาไปที่ของสองสิ่งบนโต๊ะ จากนั้นก็ช้อนตาขึ้นสบตากับเหอเฟิง “ขอโทษ ฉันไม่ขอรับ กรุณานำข้อความและของพวกนี้กลับไป”


 


“ฉันมาที่นี่เพื่อยืนต่อหน้าคุณพร้อมกับข้อความแรกที่ฉันนำมา” เหอเฟิงหยิบเก้ามาและนั่งลงเพื่อจ้องหน้ากับซางจิ่วตี้ตรงๆ น้ำเสียงของเขาราบเรียบ “ชูฮันและกองทัพของเขาหายไป”


หลังจากพูดจบ เหอเฟิงก็เงียบเพื่อรอดูปฏิกิริยาของซางจิ่วตี้


 


ซางจิ่วตี้ไม่อารมณ์จะมาเล่นสงครามประสาทกับเหอเฟิง เธอเพียงแค่ยิ้มออกมาเบาๆ “ฉันดูชื่อที่เสาหินทุกวัน ชื่อของชูฮันยังคงอยู่ในอันดับแรกของวิวัฒนาการระยะ 3 อยู่เหมือนเดิม เขายังไม่ตาย เพราะฉะนั้นข่าวนี้ไม่มีผลอะไรต่อฉัน”


 


เหอเฟิงเองก็ไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจออกมาให้เห็นเพราะซางจิ่วตี้มีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างที่เขาคาดไว้ เขาเพียงพูดต่อ “เพราะชูฮันหายตัวไป สิ่งที่ฉันนำมาเพื่อมอบให้เขาจึงสามารถส่งมอบให้แค่คุณได้คนเดียวเท่านั้น”


 


นี่เป็นกลหลวงอีกอันรึไง?


 


ซางจิ่วตี้แสยะยิ้มอยู่ในใจและตัดสินใจพูดออกมาอย่างไม่อ้อมค้อมด้วยน้ำเสียงเรียบ “ฉันไม่สามารถเป็นตัวแทนของชูฮัน ขอโทษด้วย ส่วนข้อมูลของคุณฉันขอไม่รับ กรุณากลับไปเถอะ อ้อและอีกอย่างช่วยบอกพวกผู้บริหารในซางจิงด้วยว่าฉันซางจิ่วตี้จะอยู่ที่นี้ ไม่——“


“ฉันไม่ได้ถูกส่งมาจากค่ายซางจิง ครั้งนี้ฉันเป็นตัวแทนของตัวฉันเอง” จู่ๆเหอเฟิงก็พูดขัดคำพูดของซางจิ่วตี้ขึ้นมา


 


ทันใดนั้นเองซางจิ่วตี้ก็เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารพร้อมกับสีหน้าเหลือเชื่อ “คุณพูดว่าอะไรนะ?”

 

 

 


ตอนที่ 475

 

ปากของเหอเฟิงบิดมุมปาก ทำให้เห็นรอยยิ้มจางๆ “ฉันเป็นตัวแทนของฉันเองและก็สามารถเป็นตัวแทนของทั้งทีมฮูหยาได้เช่นกัน ขอความร่วมมือหน่อยละกัน?”


 


ปึก! เปรี้ยะ!


 


ปากกาในมือซางจิ่วตี้ตกลงพื้นทันที สีหน้าของเธอดูว่างเปล่า คำพูดของเหอเฟิงนั้นตรงชัดแจ่มแจ้ง เขาต้องการถอนการควบคุมของทีมฮูหยาออกจากค่ายซางจิง นี้มันเกิดขึ้นได้จริงงั้นเหรอ?!


 


ติงซือเย้าที่อยู่ด้านข้างเองก็ตกใจเช่นกัน เหอเฟิงเป็นคนที่ชัดเจนเสมอ แต่เขาสามารถพูดอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?


 


หลังจากความเงียบผ่านไปครู่ใหญ่ ซางจิ่วตี้ก็เอนหลังผิงกับพนักเก้าอี้และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงคมเฉียบ “เกี่ยวกับอะไร?”


 


เหอเฟิงยิ้มและกางนิ้วขึ้นสองนิ้ว “สองข้อความ ข้อความแรกคือชูฮันหายตัวไป คนในซางจิงเป็นกังวลมาก ข้อความที่สองคือกัปตีนทีมเขี้ยวหมาป่าสำรองเจียงหลิงโหลวกำลังเดินทางกลับมาได้ครึ่งทางแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว”


 


ซางจิ่วตี้พึมพำ “หลิงโหลว? ตอนนี้เธออยู่ไหน?”


 


“เธอเองก็หายตัวไปเช่นกัน” เหอเฟิงยักไหล่ “หลังจากรู้ว่าทีมสำรองของเขี้ยวหมาป่าได้ถูกยุบไปแล้ว เธอบอกไว้ก่อนจะไปจากซางจิงว่าเธอมีเรื่องส่วนตัวต้องไปจัดการ”


 


ซางจิ่วตี้นิ่วหน้า ทันใดนั้นเธอก็มองไปที่ของสองสิ่งบนโต๊ะ


“จะเปิดดูข้างในมั้ย?” เหอเฟิงยิ้มและพูด “นี่คือความจริงใจของฉันเพื่อแสดงจุดยืนในการอยากความร่วมมือกับคุณ”


ซางจิ่วตี้เปิดเอกสารซองแรกออก มันเป็นปึกกระดาษหนาและเพียงแวบเดียวที่สายตาของซางจิ่วตี้กวาดผ่าน รูม่านตาของเธอก็หดตัวทันที “การโหวตลงนาม?!”


“ใช่” เหอเฟิงพยักหน้าน้ำเสียงลึก “นี่คือเมื่อสามเดือนก่อน เมื่อตอนแรกเริ่มที่ซางจิงค้นหาตัวชูฮันและเมื่อตอนที่เขาได้รับตราตำแหน่งแต่ไม่มีใครสามารถหาตัวเขาได้เจอ การโหวตลงนามโดยทหารระดับสูงของซางจิงจะเป็นตัวตัดสินว่าตำแหน่งพลเอกของชูฮันจะอยู่ต่อหรือถูกถอนออก”


 


“แล้วมันมีเหตุผลอื่นอีกมั้ย?” ซางจิ่วตี้ประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน เธอไม่คิดเลยว่าเรื่องราวมันจะน่าตื่นเต้นขนาดนี้ “จากข้อมูลนี่เสียงข้างมากลงนามให้ปลดเขาออกแล้วทำไมสุดท้ายเขาถึงไม่โดนปลด?”


“มันเป็นเรื่องบังเอิญ” เหอเฟิงพูดอย่างค่อยเป็นค่อยไป “วันที่ลงผลโหวต ชูฮันได้คะแนนประเมิณโดยรวมของวิวัฒนาการระยะ 3 เป็น S+ และยังขึ้นเป็นอับดับที่หนึ่งในรายชื่ออีก ซึ่งมันได้คลี่คลายสถานการณ์ทุกอย่างทันที”


 


ซางจิ่วตี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก และอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น “สมกับเป็นเขาจริงๆ!”


 


เหอเฟิงยิ้มอย่างมีเลศนัย “การโหวตลงนามนี้เองก็ตั้งขึ้นอย่างมีเหตุผล เมื่อตอนที่ท่านเลาให้ฉันรีบเก็บผลโหวตมาก่อนที่ใครจะเห็นและเพื่อที่ฉันจะได้ส่งมอบมันให้ชูฮัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของซางจิง ซึ่งทั้งคุณและฉันที่เป็นคนที่มาจากทีมพิเศษจากยุคก่อนก็น่าจะตระหนักดีถึงความสำคัญของข้อมูลนี้”


 


ติงซือเย้าที่ได้ยินบทสนทนาอันดุเดือดก็รู้สึกเสียใจว่าทำไมเขาต้องมาอยู่ในห้องนี้และฟังเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย? ตอนนี้เขายิ่งอยากจะออกข้างนอกมากกว่าเดิม สถานการณ์ตอนนี้มันคืออะไรกัน? และทีมฮูหยาของเขากล้าที่จะหักหลังซางจิงจริงๆงั้นเหรอ?


 


ในขณะเดียวกัน ติงซือเย้าเองก็ไม่รู้อะไรเลย ทำไมเหอเฟิงถึงส่งข้อมูลที่สำคัญแบบนี้ให้ซางจิ่วตี้? อย่าลืมว่าเธอเคยเป็นหน่วยพิเศษของทีมเขี้ยวหมาป่า!


 


ข้อมูลนี้ ซางจิ่วตี้ได้รับมาอยู่ในมือ และด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของเธอ เธอสามารถแตะตำแหน่งเจ้าหน้าที่อาวุโสของซางจิงได้เลย


“ขอบคุณ” ชางจิ่วตี้เลิกคิ้ว “ความจริงใจนี้เกินความคาดหมายของฉัน”


“ยังมีเรื่องที่สอง” ทันใดนั้นเหอเฟิงก็เริ่มใช้น้ำเสียงจริงจัง เขาชี้ไปที่ข้อมูลชิ้นที่สองที่ถูกวางซ้อนไว้ “คุณจะยิ่งพอใจมากกว่านี้”


โดยไม่คลาดสายตาที่จริงจังของเหอเฟิง ซางจิ่วตี้ขมวดคิ้วและเปิดเอกสารชิ้นที่สองออก ในนั้นมีกระดาษอยู่เพียงแค่แผ่นเดียว เนื้อหาในนั้นมีเพียงแค่ข้อความอยู่ไม่กี่บรรทัดทว่าตัวข้อความกลับพิเศษอย่างมาก


 


“นี่มัน…” ซางจิ่วตี้มองไปที่เอกสารตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “จดหมายเข้ารหัส!”


“ใช่” แววตาของเหอเฟิงคมกริบจากนั้นเขาก็ชี้ไปที่มุมล่างขวาของเอกสาร “ดูที่ลายเซ็นสิ”


 


ซางจิ่วตี้มองกลับไปที่เหอเฟิงพลันก็ต้องด้วยเลิกคิ้วขึ้น…ลายเซ็นนี้เป็นอะไรที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน


 


“นี่คืออะไร?” ซางจิ่วตี้ไม่สามารถยอมรับความไม่รู้นี่ได้ “คุณไปได้เอกสารนี้มาจากไหน?”


“ห้องเก็บเอกสารลับที่เมืองชั้นในของค่ายซางจิง” เหอเฟิงยิ้มมุมปาก “น่าจะเป็นเมื่อตอนปีใหม่ ฉันไม่รู้ว่าใครขโมยเอกสารสองฉบับมาจากห้องเอกสาร ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ขโมยไปทำยังไงโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย มันแปลกมาก ข้อมูลสองชุดถูกขโมยมา อันหนึ่งคือรายงานภารกิจของทีมหลงยาและอีกอันคือรายชื่อคุ้มครองของจีน ฉันไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของฝ่ายที่ขโมยไปคืออะไร?”


 


ซางจิ่วตี้เกิดความสงสัยขึ้น เธอนึกความเชื่อมโยงของเรื่องนี้ไม่ออก


 


“แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าใครขโมยเอกสารสองชุดนั้น แต่ก็ต้องขอบคุณคนคนนั้น เพราะหลังจากเอกสารที่หายไปจากห้องถูกตรวจพบ ทำให้พวกคนในซางจิงเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยของห้องนั้นขึ้นไปอีก” เหอเฟิงพูด พร้อมยิ้มยั่วที่มุมปาก “ซึ่งมันก็ทำให้ฉันซึ่งมีตำแหน่งสูงได้มีโอกาสเข้าไปแอบหยิบของพวกนี้ออกมา”


 


“อ่าาา!” ซางจิ่วตี้แสยะยิ้ม “กัปตันของทีมฮูหยาถึงขั้นขโมยของ? ของสิ่งนั้นคงจะสำคัญมากงั้นสิ? แล้วถ้ามันสำคัญขนาดนั้น ทำไมมันถึงขโมยออกมาได้ง่ายขนาดนี้โดยไม่ถูกจับได้? นี้มันไม่ใช่สำเนาแต่มันคือตัวจริงต่างหาก?”


 


“คุณมีสายตาที่แหลมคมมาก…ใช่ นี่เป็นเอกสารตัวจริง” เหอเฟิงพยักหน้าเบาๆ “อย่างไรก็ตาม เอกสารตัวจริงนี้ถูกค้นพบอยู่ในมุมซอกที่เต็มไปด้วยฝุ่นสกปรกของห้องเก็บเอกสาร และความจริงแล้วเอกสารตัวจริงที่เข้ารหัสไว้นี้ควรจะนำไปแสดงที่การประชุมระดับสูง แต่เห็นได้ชัดว่ามีบางคนจงใจปิดข้อมูลนี่เอาไว้”


 


ซางจิ่วตี้ตกใจและทันใดนั้นเธอก็คิดถึงอีกความเป็นไปได้ “เหตุผลที่คุณขโมยต้นฉบับมาได้เป็นเพราะความสามารถอีกฝ่ายมีจำกัด ความเชื่อมโมงทุกอย่างยังเปิดเผยออกมาไม่หมด และเอกสารนี้เป็นสิ่งเดียวที่สามารถซุกซ่อนไว้ในห้องเอกสารได้โดยไม่ถูกใครค้นพบ พวกเขาไม่รู้รายละเอียดที่แท้จริงของมันและ…”


 


“และนี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ตอนนี้มันอยู่ในมือของคุณแล้ว” เหอเฟิงพูดแทนซางจิ่วตี้พร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น “การถอดรหัสจดหมายนี้เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับคุณ พวกเราจะได้เข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้เมื่อคุณถอดรหัสเอกสารนี้ได้ แล้วเราจะได้มาดูเนื้อหาของมันกัน”


ซางจิ่วตี้รีบทำการถอดรหัสทันที เธอเหมือนกับหลุดไปอยู่ในโลกของเธอเองคนเดียว อย่างที่เหอเฟิงพูด…การถอดรหัสจดหมายเข้ารหัสนี้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ


 


และท่ามกลางช่วงเวลานั้น ติงซือเย้าที่ช็อคไปแล้วกับเรื่องที่ได้ยินก็หัวใจเต้นรัวราวกับจะระเบิดออกมา การสนทนาระหว่างเหอเฟิงและซางจิ่วตี้นั้นแม้แต่คนโง่ก็ยังรู้เลยว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้น


 


แต่ นี้มันสถานการณ์อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น? ใครก่อเรื่อง?


 


และจดหมายเข้ารหัสที่สำคัญนี้เห็นได้ชัดเลยว่ามันมาจากประเทศอื่น ดังนั้นความตึงเครียดที่ตามมานั้นไม่สามารถจะจินตนาการได้เลย!

 

 

 


ตอนที่ 476

 

ติงซือเย้าเหงื่อแตกเข้าไปใหญ่ เหอเฟิงกำลังเล่นเกมส์อะไรอยู่กันแน่? ทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้? ซางจิ่วตี้และชูฮันเกี่ยวพันตรงไหนกับเรื่องนี้?


 


ปัก!


 


เกิดเสียงกระแทกดังขึ้นส่งผลให้ติงซือเย้ายิ่งตกใจกลัวเข้าไปกว่าเดิมอีก เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเหงื่อที่ไหลโชก ในตอนนั้นเองซางจิ่วตี้ที่ได้ถอดรหัสจดหมายเสร็จแล้วมีสีหน้าตกใจฉายชัดเต็มใบหน้าเธอ ปากกาในมือของเธอตกลงกระแทกบนโต๊ะและกลิ้งไถล


 


มีอะไร? มีอะไรกัน?


ติงซือเย้าแทบจะเป็นลม ถึงแม้เขาจะเคยอยู่ในทีมฮูหยาและปฏิบัติภารกิจมานับไม่ถ้วน แถมยังมีอัตราความสำเร็จของภารกิจสูงถึง 100% และไม่หวาดกลัวต่อซอมบี้เลยสักนิด


 


หากปีศาจสองตัวที่กำลังจะพูดบางอย่างต่อหน้าเขากลับทำให้เขารู้สึกกลัว!


“ตระกูล…Rothschild(รอธส์ไชลด์)?!” น้ำเสียงของซางจิ่วตี้สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด เธอดูตกใจอย่างมากที่ได้เห็นข้อความในจดหมายที่ถอดรหัสเรียบร้อยแล้ว “ตระกูลลึกลับนี้กำลังเดินทางมาจีน???”


 


ตระกูลรอธไชลด์ หนึ่งในตระกูลที่เก่าแก่และลึกลับที่สุดของโลก เคยครองเศรษฐกิจโลกโดยครอบครองทองคำมากถึง 80% ของโลก แต่หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองและเศรษฐกิจที่ล้มเหลวในอเมริกา ตระกูลรอธไชลด์ก็เริ่มหายไปจากหน้าสังคมในศตวรรษที่ 21 แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหายตัวไปจากหน้าสังคมยังไงพวกเขาก็ยังคงเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและลึกลับที่สุดในโลกอยู่ดี ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาครอบครองอะไรไว้บ้างในมือและพวกเขามีอำนาจมากขนาดไหน


 


ความตกใจบนสีหน้าของซางจิ่วตี้ไม่สามารถปกปิดได้ ซางจิ่วตี้ทำท่าราวกับว่ากระดาษในมือนั้นเป็นของร้อนที่จับต้องไม่ได้


 


ติงซือเย้าที่ยืนอยู่ถัดไปแทบจะหมดสติกับสิ่งที่รับรู้ รอธไชลด์?!


 


“พี่ชาย? พี่สาว?” ติงซือเย้าทนสถานการณ์นี้ไม่ไหวอีกต่อไป เขาตะโกนเรียกสติทั้งคู่ “นี้มันเรื่องใหญ่เกินไป เราต้องรีบเอาของพวกเขากลับไปเก็บที่เดิม!”


 


“อย่าพึ่งใจร้อน” เหอเฟิงค่อยๆเอ่ย “นายคิดว่าคนในตระกูลนี้จะส่งของแบบนี้มาที่ค่ายซางจิง? เราก็รู้กันอยู่ว่าค่ายซางจิงไม่ได้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองหลวง อีกทั้งข้อมูลในห้องเก็บเอกสารก็ไม่ได้สอดคล้องกับยุคศิวิไลซ์ ข้อมูลในห้องนั้นถูกค่อยๆเก็บสะสมหลังจากเกิดการปะทุขึ้น”


พ้ะ!


ซางจิ่วตี้เอนตัวผิงพนักเก้าอี้ เธอพลันนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ “ตระกูลรอธไชลด์ไม่ได้สูญหายไปในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วเหรอ? แล้วคนของพวกเขาติดต่อข้ามมหาสมุทรมาถึงเราได้ยังไง?”


 


“ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจไม่ได้หมายความว่าด้านอื่นๆจะต้องหยุดชะงัก” น้ำเสียงของเหอเฟิงดูมีอะไรแฝงอยู่ “พวกคุณทั้งสองเป็นต่างก็หนึ่งในสมาชิกของทีม ในยุคศิวิไลซ์พลังอำนาจนั้นมีขีดจำกัด ดังนั้นข้อมูลมากมายจึงยังไม่ชัดเจน ตระกูลรอธไชลด์เองก็มักไม่ทำตัวโดดเด่น พวกเขาไม่เปิดเผยตัว อย่าลืมสิว่าพวกเขาเป็นชาวยิว”


 


ในเวลาเดียวกัน ทั้งซางจิ่วตี้และติงซือเย้าต่างรู้สึกสับสนกับเรื่องที่ได้รับรู้ พวกเขาแทบจะยืนอยู่ไม่ไหว สิ่งที่เหอเฟิงนำพามานั้นเหนือล้ำเกินกว่าพวกเขาจะรับมือและอดทนได้ไหว


 


“อย่าพึ่งรีบเป็นลมไป” น้ำเสียงของเหอเฟิงทั้งราบเรียบและน่ากลัว “เนื้อหาของเอกสารนี้สำหรับในจีนมีแค่เราสามคนเท่านั้นที่รู้ แล้วเราควรทำอะไรก่อนดี?”


“ฉันควรทำยังไง?” ติงซือเย้าโวยวายขึ้นมา “ฉันกำลังถาม นี้ไม่ใช่เรื่องที่เราสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ แต่เราต้องเอามันกลับไปคืน!”


 


“ไม่! เอากลับไปไม่ได้!” ซางจิ่วตี้รีบคัดค้านทันทีและตอนนี้จิตใจเธอเริ่มสงบลงแล้ว แม้เธอเองก็จะทั้งช็อคและวิตกกับสิ่งที่ได้รับรู้ไม่ต่างจากติงซือเย้า แต่อย่างไรก็ตามเธอมั่นใจว่าเหอเฟิงต้องมีเหตุผลในการนำข้อมูลนี้ออกมา


 


“ใช่ เราเอากลับไปไม่ได้” เหอเฟิงหรี่ตา แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาทางออกที่ดีพอได้ “การที่ข้อมูลนี้ถูกปล่อยออกมา แสดงว่าเรื่องของตระกูลที่ลึกลับนี้อาจจะเป็นที่รู้กันกว้างแล้ว พวกเขาต้องการใช้ช่องว่างนี้เพื่อหากำไรหรืออาจจะแสวงหาผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นการจะนำกลับไปคืนนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งโดยเฉพาะถ้าพวกทหารระดับสูงในซางจิงรู้เรื่องมันจะยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก ฉันกลัวว่ามันจะเป็นที่ช็อคสำหรับทุกคนไม่ต่างกับตอนเกิดการประทุโลกาวินาศขึ้น”


 


“ทั้งค่ายซางจิงจะตกอยู่ในวิกฤตและแม้แต่ทั้งจีนก็อาจอยู่ในโกลาหลไปด้วย” หน้าผากของซางจิ่วตี้เอ่อล้นไปด้วยหยดเหงื่อ ผลกระทบของจดหมายเข้ารหัสนี้ใหญ่เกินไปและมันก็ยากมากที่จะรับมือ


 


ติงซือเย้าตัวหดหลบอยู่ตรงมุมห้อง เขาร้องไห้อย่างไม่มีน้ำตา เขารู้สึกเสียใจที่น่าจะขอตัวออกไปตั้งแต่ตอนแรกก่อนที่เหอเฟิงจะพูดทุกอย่างออกมา เขาไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ไม่อยากจะรู้เกี่ยวกับตระกูลรอธไชลด์ ตอนนี้มีพวกเขาสามคนที่รู้เรื่องราวเนื้อหาของจดหมายเข้ารหัสนี้


 


“ทำไมคุณไม่ตามหาชูฮันโดยตรง?” ซางจิ่วตี้ที่ตัวสั่นเอ่ยถาม เธอสบตากับเหอเฟิงด้วยความระมัดระวังเต็มที่ “คุณก็รู้ว่าเรื่องนี่มันสำคัญมากขนาดไหนและความสามารถของฉันก็มีจำกัด ฉันไม่สามารถช่วยคุณได้”


 


ในประเด็นที่สำคัญขนาดนี้ มีเพียงแค่ชูฮันเท่านั้นที่สามารถทำการตัดสินใจได้และมีเพียงแค่กระบวนความคิดของเขาเท่านั้นที่เหมือนกับดาบที่คอยฟาดฟันจะสามารถหาทางออกให้ทุกคนได้ นี่คือมติที่คนทั้งค่ายเขี้ยวหมาป่าต่างเห็นพ้องต้องกันหมด


 


“ก็เขาหายตัวไปและทีมลาดตระเวนของเราก็ไม่พบร่องรอยใดๆของเขาเลย ไม่เพียงแค่นั้นแต่กองทัพที่เขาพาไปก็ยังหายตัวไปด้วยอย่างไร้ร่องรอย คนทั้งหมด 300 คนหายไปหมด” เหอเฟิงค่อยๆพูดเปิดอธิบายอย่างช้าๆและค่อยๆเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ “ที่สำคัญก็คือฉันมาหาคุณเพื่อขอความร่วมมือและต้องเป็นคุณเท่านั้น เพราะความสนใจของฉันและคุณนั้นมีอย่างเท่าเทียมกัน แต่ถ้าเป็นชูฮันฉันไม่สามารถรับประกันได้ว่าฉันจะทำงานร่วมกับเขาได้รอด”


 


เหอเฟิงเป็นคนตรงไปตรงมาจนซางจิ่วตี้ถึงกับอึ้ง ก่อนที่เธอจะทันได้คิดอะไร เหอเฟิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อเดือนก่อนมีคนมากกว่ายี่สิบคนบินมาโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ คนพวกนั้นนำข่าวบางอย่างมาให้เกี่ยวกับสิ่งที่ชูฮันทำกับค่ายซางจิง คุณเองก็ควรจะได้ยินเรื่องนี้”


 


ซางจิ่วตี้พยักหน้า


 


“เพราะงั้นฉันเลยมาหาคุณโดยตรง ถึงอย่างไรแล้วจดหมายเข้ารหัสนี้ก็ไม่ได้ระบุเวลาเจาะจงที่ตระกูลรอธไชลด์จะมาถึงจีน แต่ยังไงมันก็ทำให้เราได้มีเวลาเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า” ขณะที่กำลังพูดจู่ๆเหอเฟิงก็มีท่าทีเปลี่ยนไป “ที่สำคัญที่สุดก็คือฉันมีลางสังหรณ์ไม่ดี”


 


“อะไรน่ะ? ลางสังหรณ์?” จู่ๆซางจิ่วตี้ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา


 


“ถ้าฉันส่งจดหมายเข้ารหัสนี้ให้ชูฮันโดยตรง…” เหอเฟิงพูดพร้อมกับทำสีหน้าแปลกๆ “ฉันคิดว่าเขาคงพุ่งเข้ามาหาฉันและฉีกเอกสารนี่ทิ้งเป็นเศษแน่”


ซางจิ่วตี้ตกใจ “ชูฮันจะปฏิเสธที่จะร่วมมือกับคุณ?”


งั้นตอนนี้เธอควรทำอย่างไรดี?


“ฉันไม่รู้ ฉันไม่สามารถเดาความคิดของเขาได้” เหอเฟิงพูดความจริง “แม้ว่ามันจะฟังดูไร้สาระ แต่เขามักให้ความรู้สึกแปลกๆเสมอเวลาอยู่ใกล้ๆ มันเหมือนกับว่าเขาสามารถคาดเดาอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และเขามักจะเตรียมตัวรับมือมันไว้แล้วล่วงหน้าทั้งๆที่เรายังไม่รู้อะไรเลย”


หัวใจของซางจิ่วตี้เต้นรัว มันไม่ใช่แค่เหอเฟิงที่รู้สึกอย่างนั้น ความจริงแล้วเธอเองก็มักรู้สึกแบบนั้นอยู่บ่อยๆและมันก็เริ่มชัดเจนขึ้นทุกที

 

 

 


ตอนที่ 477

 

“เพราะงั้นฉันก็เลยเลือกที่จะมาหาคุณโดยตรงเพื่อขอความร่วมมือ จะว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ว่าได้” ทัศนคติของเหอเฟิงทำให้ติงซือเย้าตกใจมาก เขาไม่เคยเห็นเหอเฟิงแสดงด้านอ่อนแอออกมาให้เห็นเลย จากนั้นเหอเฟิงก็พูดต่อ “อย่างน้อยฉันก็แสดงความจริงใจให้เห็น ฉันรู้ว่าชูฮันต้องมีทางออกแต่ฉันหาตัวเขาไม่เจอ เพราะงั้นตอนนี้สถานการณ์มันเลยยุ่งยากมาก”


“ถ้าอย่างนั้น คำถามก็คือตอนนี้กัปตันจะทำอย่างไร?” ติงซือเย้ายิ่งแทบจะหน้ามืดเข้าไปเรื่อยๆและทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถตามสถานการณ์ได้ทัน


 


“ฉันมีคำถาม” ทันใดนั้นซางจิ่วตี้ก็พูดขึ้น “ตระกูลรอธไชล์ยังคงเป็นตระกูลที่ลึกลับที่สุดในโลกอยู่มั้ย?”


 


“ฉันไม่รู้” เหอเฟิงตอบตามจริง “ฉันไม่รู้เกี่ยวกับตระกูลลึกลับอะไรนี่มากเท่าไหร่ และฉันก็เชื่อว่าผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงเองก็รู้เพียงแค่เล็กน้อยเหมือนกัน สมกับที่ทุกคนเรียกว่าตระกูลลึกลับ แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้เรื่องเชิงลึกภายในของพวกเขา พวกเราทั้งหมดก็รู้เพียงแค่ข้อมูลผิวพื้นเท่านั้น”


 


“ทำไมอยู่ดีๆตระกูลรอธไชลด์ถึงถึงเขียนจดหมายนี่ขึ้นมาและเราก็ยังไม่รู้เลยว่าชูฮันจะกลับมาเมื่อไหร่” ติงซือเย้าพูดโพล่งขึ้นมา “ผมช่วยอะไรได้? นี้เป็นตระกูลลึกลับที่ครองโลกเศรษฐกิจมากว่าสองศตวรรษและกำลังจะมาจีน เราจะรับมือกับพวกเขายังไง? จุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร? แต่ก่อนจีนเคยมีคนมากที่สุดในโลกแต่ตอนนี้กลายเป็นเรามีซอมบี้มากที่สุดในโลก พวกเขาจะมาทำอะไร?”


 


“มันมีข้อสังเกตบางอย่างอยู่” จู่ๆเหอเฟิงก็ยิ้มมุม “มันมีตระกูลลึกลับมากมายหลายตระกูลในโลก ทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงไม่คิดจะมาจีนเหมือนรอธไชลด์? และในยุคโลกาวินาศเช่นนี้ตระกูลรอธไชลด์ก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ไม่ต่างจากเดิม พวกเขาถึงกับสามารถส่งจดหมายข้ามน้ำข้ามทะเลทรายมาถึงซางจิงทั้งๆที่ก็รู้ว่าตอนนี้มันมีซอมบี้อยู่ทั่วทุกมุมแห่ง ยิ่งการเดินทางในตอนนี้เป็นเรื่องที่ยากมากแต่พวกเขากลับส่งจดหมายมา มันใช้เวลานานเท่าไหร่กันกว่าจดหมายจะเดินทางมาถึงซางจิง? นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?”


 


“พวกเขายังมีมารยาทอีกงั้นเหรอ สุดยอดมาก” ติงซือเย้าพูดอย่างชื่นชมแต่ต่อมาเขาก็ได้สติกลับมา “แต่ยิ่งทำแบบนี้ มันยิ่งดูน่าสงสัยเข้าไปอีก หรือมันมีอุปสรรคงั้นเหรอ?”


 


เหอเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็เอ่ยถาม “นายเคยคิดมั้ยว่าในเมื่อพวกเขาแข็งแกร่งนัก ทำไมพวกเขาถึงต้องให้ความสนใจกับเรื่องของมารยาทในยุคโลกาวินาศแทนที่จะออกคำสั่งกับเราไปเลย?”


 


“เคารพจีน?” ติงซือเย้าเกาหัวพลางพูด “หรือว่ามีข้อห้ามบางอย่างอยู่?”


 


“กลัว? ใช่! ความกลัว! มันมีความเป็นไปได้—-” จู่ๆซางจิ่วตี้ก็นึกขึ้นได้ “จีนเองก็มีตระกูลลึกลับเหมือนกัน!”


 


ติงซือเย้าไม่อยากจะเชื่อ


 


เหอเฟิงเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเป็นจังหวะขณะขบคิดอยู่ในหัว น้ำเสียงเขาดูไม่ได้ตกใจอะไร “มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอไง?”


“อะไร? อะไรที่ชัดเจน?” ติงซือเย้ารู้สึกโง่อย่างมากที่ตัวเองไม่รู้อะไรเลยอยู่คนเดียว


 


“ป่ายหวีเนอ…” ซางจิ่วตี้พึมพำ “ตระกูลป่าย!”


อีกครั้งที่เหอเฟิงยิ้มมุมปาก “ความสามารถของคุณช่างโดดเด่น ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่อยากจะทำงานร่วมกับคุณ”


 


สองชั่วโมงต่อมา ทั้งสามต่างตกลงที่จะเริ่มขั้นตอนแรก เหอเฟิงออกไปจากห้องทำงานของซางจิ่วตี้ โดยกลับคืนสู่สภาพผู้ลี้ภัยดังเดิมอีกครั้งและติงซือเย้าที่อยู่ข้างๆเหอเฟิงก็เอาแต่คอยกวาดตารอบๆไม่หยุดพร้อมส่งเสียงกระซิบคุยกับเหอเฟิง “กัปตัน พวกเราเป็นคนดีใช่มั้ย? พวกเราเป็นฝ่ายคุณธรรมใช่มั้ย? เราไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ใช่มั้ย? เราได้ทรยศต่อค่ายซางจิงหรือเปล่า?”


 


“นายจะกลัวอะไร?” เส้นเลือดบนหน้าผากของเหอเฟิงขึ้นเป็นเส้นด้วยความหงุดหงิด ทันใดนั้นเขาก็หยุดเดินและเผยสีหน้าเย็นชา “กลัวว่ามีคนจะลอบฆ่าตายเหรอไง?”


 


“ผมไม่ได้กลัวตาย” ทันใดนั้นติงซือเย้าก็ค่อยๆสงบอารมณ์ลง ขาของเขาไม่ได้สั่นจนจะล้มเหมือนตอนแรกแล้ว “ผมแค่ไม่เข้าใจว่าผมเป็นใคร ใครภักดีต่อใคร? และใครเป็นสมาชิกของทีมฮูหยากันแน่? ใครเป็นพันธมิตร?”


 


หน้าของเขาเฟิงส่องประกายแปลกๆ เขาเงียบไปครู่หนึ่งและเริ่มมีสายตาดิ่งลึก “นายรู้มั้ยว่าชูฮันทำอะไรเมื่อวันแรกของวันขึ้นปีใหม่ นายรู้มั้ยว่าชูฮันพูดคำสาบานอะไรบ้างตอนที่รับตราตำแหน่งพลเอก”


 


ติงซือเย้ายิ่งมีสายงุนงงกว่าเดิมเข้าไปอีก “คำสาบานของชูฮันเปลี่ยนไปงั้นเหรอ? คำสาบานของทหารระดับสูงนั้นมีเอกสารรับรองที่ซางจิงเตรียมไว้แล้วนี่นา? ถึงแม้ว่าคำสาบานตนของพลเอกกับคนสาบานตนทั่วไปจะแตกต่างกันแต่ว่าคำสาบานของพลเอกทุกคนน่าจะต้องเหมือนกันหมด”


 


“ชูฮันไม่ได้อ่านเอกสารรับรองพลเอกอย่างเป็นทางการ” เหมือนกับว่าเหอเฟิงสามารถมองผ่านทะลุความคิดของติงซือเย้าได้ เหอเฟิงยกเท้าขึ้นออกตัวเดินต่อไปข้างหน้า น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบไร้อารมณ์ “เขาบอกว่าจะจงรักภักดีต่อจีนตลอดชีวิต”


 


ติงซือเย้าอึ้งและเกิดความช็อคขึ้นในหัวใจและร่างกายเริ่มสั่นสะท้านเพราะช็อคอย่างแรง


 


ภักดีต่อจีน?


 


โดยไม่คำนึงว่าใครจะเป็นผู้นำของซางจิง ใครจะมีตำแหน่งสูงสุดในจีน หรือใครจะมีความเกี่ยวข้องกับจีนมากน้อยแค่ไหน ประโยคของชูฮันเป็นเหมือนการชี้นำทิศทางที่ถูกต้อง


 


ไม่ภักดีต่อบุคคลใดทั้งนั้น เพียงแค่ภักดีต่อประเทศจีน นี้ไม่เพียงแค่แถลงการณ์แต่ยังคือเป้าหมายที่ชัดเจน


 


ติงซือเย้าได้สติกลับมาหลังจากผ่านไปพักใหญ่แต่เหอเฟิงก็ได้เดินห่างไปไกลแล้ว ติงซือเย้ารีบวิ่งตาให้ทันเหอเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแฝงไปด้วยอาการตกใจ “เข้าใจแล้วครับกัปตัน”


เหอเฟิงไม่ได้พูดอะไรตอบ เหอเฟิงเอาแต่เงียบ


 


“แต่ว่า” ติงซือเย้าเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “ผมควรทำอย่างไรดีตอนนี้? อยู่ที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าต่อไปหรือกลับไปกับกัปตัน?”


“ทำเพื่อชูฮัน” เหอเฟิงพูดขึ้นมา


 


“อะไรนะ?” ทันใดนั้นเสียงของติงซือเย้าก็เริ่มดังขึ้นและเพิ่มเป็นตะโกน “ผม ผม ผม? นี่ผมไม่ใช่สมาชิกของทีมฮูหยาแล้วเหรอ?”


 


หน้าผากของเหอเฟิงมีเส้นเลือดตึงขึ้นมา ติงซือเย้าก็พูดอะไรไม่ออกทันทีเมื่อเห็นอาการของเหอเฟิง การเป็นสมาชิกของทีมฮูหยานั้นคือถาวร แม้แต่สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดอย่างจุ้ยชูและจุนจื่อก็ยังไม่ต่าง แล้วเขาจะออกมาทีมได้ยังไง? นี่มันเป็นเรื่องประหลาดขนาดไหนกัน?


 


“ฉันจะปล่อยให้นายซ่อนตัวอยู่ที่นี้ต่อไป” เหอเฟิงตะโกนใส่ติงซือเย้า “ตอนนี้ระบบการสื่อสารยังไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้คนสามารถหายตัวไปได้อย่างง่ายดาย ภารกิจก่อนหน้านี้ของนายยังไม่ได้รับการรายงาน คนที่ซางจิงยังไม่รู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่”


 


เฮ้!


ติงซือเย้ามีสีหน้าสยองและหลังจากถอนหายใจ ติงซือเย้าก็พูดขึ้น “หัวหน้า ผม? ผมรายงานกัปตันไปแล้วไม่ใช่เหรอ? หัวหน้า หัวหน้าทำให้ทุกคนคิดว่าผมตาย?”


“อืม” เหอเฟิงไม่ได้มีท่าทีรู้สึกผิดเลย “ฉันดึงข้อมูลส่วนบุคคลของนายออกไปแล้ว”


“ถ้างั้น! งั้นผม ผม ผมก็ตายไปแล้ว!?” ติงซือเย้ารู้สึกไม่อยากจะเชื่อและรู้สึกยอมรับไม่ได้


 


“ใช่ เพราะงั้นตอนนี้นายต้องอย่าทำตัวโดดเด่น และไม่ใช่เพียงแค่นาย” ประโยคต่อไปของเหอเฟิงทำให้ติงซือเย้าแทบล้ม “ฉันจะส่งสมาชิกของฮูหยาออกมาทั้งหมดแล้วก็รายงานว่าพวกเจาตาย จากนั้นก็ทุกคนมาเข้ากับค่ายเขี้ยวหมาป่า”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม