Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย 464-470

ตอนที่ 464

 

แม้ว่าซุเฟิงในตอนนี้จะอายุน้อยกว่าสิบปีที่เขาเคยเจอในชาติที่แล้ว ทว่าชูฮันก็มั่นใจว่าเขาจำไม่ผิดอย่างแน่นอน คนคนนี้ในโลกาวินาศเมื่อสิบปีที่แล้ว เป็นรองแค่จากป่ายหวีเนอที่เรียกว่าทรงพลังเหลือล้ำระดับตำนาน


 


ซูเฟิง! นักฆ่าขนนก! ปืนไรเฟิลด้ามยาวที่ดูน่าหวาดกลัวสำหรับผู้ที่ได้พบเห็น ผู้คนมักถูกฆ่าด้วยปืนของซูเฟิงโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโดนยิงตายจากมุมไหน วิธีการทำงานของซูเฟิงนั้นทั้งเย็นชาและโหดเหี้ยม บุคลิกของเขาก็ยากที่จะคาดเดาได้ออก เขาไม่เคยเข้าร่วมกับองค์กรไหนๆเลยตั้งแต่แรกจนจบ ไม่เข้าร่วมกับพวกลูกผสม ไม่เข้าร่วมกับค่ายหรือฐานทัพไหนๆและไม่สนใจแม้แต่จะเข้าร่วมสมาคมนักล่าที่แสนจะอิสระเสรีไร้กฏเกณฑ์…ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่


 


ซูเฟิงเป็นคนสันโดษที่ทรงพลังอย่างน่ากลัว แต่เรื่องหนึ่งที่เป็นที่รู้กันดีก็คือเขาชอบการท้าทายขีดจำกัด เห็นได้จากในชาติที่แล้วเหล่าปรจารย์ที่มีชื่อเสียงและอยู่อันดับสูงๆบนรายชื่อประเมิณของเสาหินหลายคนถูกซูเฟิงฆ่าตาย


 


มันมีการตั้งค่าพิเศษสำหรับการจัดอันดับของพละกำลังการต่อสู้โดยเฉพาะ นอกเหนือจากการประเมิณโดยรวมและวิธีการในการเอาชนะการประเมิณ มันคือการฆ่าคนที่อยู่บนรายชื่อเฉพาะเจาะจงภายในระยะเวลาที่จำกัดเพื่อทำการประเมิณพิเศษของพละกำลังต่อสู้ให้สำเร็จ ชื่อของคนที่ตายจะกลายเป็นสีเทา  ส่วนชื่อของนักฆ่าจะเปล่งประกายอยู่เหนือบนชื่อสีเทาของคนที่ตายของวันนั้นๆ มันคือหนึ่งในวิธีสร้างชื่อเสียงที่นิยมที่สุดเพราะแต่ละเสาหินจะแสดงรายชื่อของทุกคนในอันดับเหมือนกันหมดทุกเสาหินให้ผู้คนได้เห็นเพราะฉะนั้นการมีชื่อเป็นนักฆ่าแบบนี้จะเป็นการเรียกร้องความสนใจที่ดีที่สุดและทำให้ทุกคนได้เห็น


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันสร้างแรงบันดาลใจที่เหมือนกับไฟลุกโชนให้ผู้คนที่ต้องการให้ตัวเองเป็นที่นิยมมากมายแค่ไหน ศีลธรรมเริ่มเสื่อมลงทุกวันๆจนแทบจะไม่หลงเหลือให้เห็นอีกในโลกาวินาศ การฆ่าคนที่มีชื่อเสียงบนรายชื่อประเมิณเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองกลายเป็นเรื่องธรรมดาและซูเฟิงเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่กระตือรือร้นจะฆ่าคนบนรายชื่อเหมือนกัน ชื่อของซูเฟิงมักปรากฏอยู่บนเหนือชื่อสีเทาของรายชื่อคนตายอย่างเปล่งประกายให้เห็นอยู่เสมอๆ


 


ความประหลาดใจของชูฮันเป็นเพียงความคิดในหัวของเขาเองคนเดียวเท่านั้น ไม่นานเขาก็กลับมามีสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม แม้ว่าหัวใจของเขาจะดิ่งลงก้นทะเลลึกไปนานแล้ว ความจริงแล้วตอนนี้โลกาวินาศได้ผ่านพ้นมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว มันจึงเป็นปกติที่คนที่แข็งแกร่งทั้งหลายที่เขารู้จักในชาติที่แล้วจะเริ่มๆค่อยปรากฏตัวขึ้น


 


แต่สำหรับซูเฟิง ที่รู้จักในนาม นักฆ่าขนนก กลับปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้แถมปืนไรเฟิลของเขาก็ยังน่าสนใจเป็นอย่างมากอีกด้วย แต่ชูฮันไม่รู้ว่าทำไมปืนไรเฟิลนี้ถึงมาอยู่ในมือของนักฆ่าขนนกนี้ได้เร็วขนาดนี้ เพราะในชาติที่แล้วซูเฟิงเป็นที่รู้จักในฐานะปรมาจารย์ผู้ทรงพลังหลังจากโลกาวินาศปะทุผ่านไปแล้วหลายปี แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงปรากฏตัวขึ้นแล้วแถมยังทรงพลังอย่างมากอีกด้วย?


 


ส่วนผู้หญิงผมสีม่วง ชูฮันไม่รู้จักเธอเลย ถ้าหากเขาเคยเจอเธอมาก่อนแล้วเขาจะต้องจำได้อย่างแน่นอนเพราะรูปลักษณ์ของเธอคนนี้โดดเด่นและพิเศษอย่างมาก ทว่าชูฮันกลับมั่นใจว่าเขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อน


 


มองไปที่พื้นของการต่อสู้ที่กลายเป็นเรียบซึ่งแสดงให้เห็นเลยว่าเกิดจากกากระทำของคนระดับสูงอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นผู้หญิงผมสีม่วงคนนี้แข็งแกร่งมากขนาดไหนกัน? ถึงกับได้เคียวยักษ์มาจากหุบเขาหยินหยาง คนระดับนี้น่าจะเป็นที่รู้จักโด่งดังอย่างมากในชาติที่แล้ว แต่ทำไมเขากับไม่เคยได้ยินหรือเห็นหน้าเธอมาก่อนกัน?


 


มีหนึ่งคำถามผุดขึ้นมาในใจชูฮัน ทำให้เขาพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง


 


แต่ทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามชูฮันประมวลผลในหัวเรียบร้อยทันทีที่เห็นชูฮันตั้งแต่แรก สายตาทั้งสองคู่ที่จ้องมาเผยให้เห็นถึงการคำนวณอย่างชัดเจน โดยเฉพาะแววตาของผู้หญิงผมสีม่วงที่ส่งเสียงดังลั่นออกมาทันทีที่เห็นตราพลเอกบนหน้าอกของชูฮัน “คุณคือพลเอกชูฮันใช่มั้ย? คนคนนี้ชื่อว่าซูเฟิง กรุณาร่วมมือกับฉันเพื่อฆ่าเขา!”


 


ซูเฟิงก้าวถอยหลังทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากจู่ๆเขาก็กลับตั้งท่าสำหรับการป้องกันตัวจากผู้หญิงผมสีม่วง พวกเขาสู้กันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายแต่กลับไม่มีผลแพ้ชนะเพราะชูฮันโผล่มา แต่ครั้งนี้ถึงแม้ฟ้าจะลำเอียง เขาก็ต้องชนะให้ได้


 


“ไม่ละ!” อย่างเหนือความคาดหมาย ชูฮันที่ไม่ต้องการทำก็พูดปฏิเสธผู้หญิงผมสีม่วงออกมาตรงๆ และพยักหน้าให้กับตัวเองอยู่ในใจ…คนคนนี้คือซูเฟิงจริงๆด้วย


 


และในขณะเดียวกันนั้นเอง ทั้งสองคนขยับตัวอย่างพร้อมเพรียง ซูเฟิงเอามือแตะคางตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา หากมองไปที่ชูฮันด้วยสายตาอันตราย เสียงของหญิงสาวผมสีม่วงเต็มไปด้วยความเย็นชา หลังจากส่งประกายความเยือกเย็นในแววตาใส่ชูฮัน เธอก็พูดโพล่งขึ้นมา “ฉันขอความช่วยเหลือในฐานะกัปตีนทีมสำรองของเขี้ยวหมาป่าของจีน ท่านพลเอก กรุณาร่วมมือกับฉัน!”


 


เฮือก!


 


ทันที่หญิงสาวผมสีม่วงพูดออกมา ไม่เพียงแต่ชูฮันที่นิ่งค้างแต่หวังไคที่อยู่ในกระเป๋าชูฮันเองก็นิ่งไปด้วย และเฉินช่าวเย่ที่คลานตามเข้ามาและแอบดักฟังอยู่ก็ยิ่งตกใจค้างเข้าไปอีก


 


เขี้ยวหมาป่า?


 


กัปตีนทีมสำรองของเขี้ยวหมาป่า?


 


ชูฮันตกใจอย่างมากจนได้แต่มองหญิงสาวผมสีม่วงนิ่ง หากพักหนึ่งเขาก็ได้สติและกระพริบตาปริบ “ดีนี่กัปตันสาว ฉันคือชูฮัน แต่เธอชื่ออะไรล่ะ?”


 


กัปตันของทีมเขี้ยวหมาป่า? ทำไมเขาถึงไม่รู้!


 


แต่สาวน้อยถึงแม้จะพูดมาอย่างนั่นมันก็เปล่าประโยชน์ เพราะเขาได้ขโมยชื่อเขี้ยวหมาป่ามาใช้แล้ว และมันก็ได้รับการอนุมัติจากค่ายซางจิงเรียบร้อยแล้วด้วย ตอนนี้ทีมสำรองของเขี้ยวหมาป่าไม่มีตัวตนอีกต่อไป มีเพียงแค่ค่ายเขี้ยวหมาป่าและเขาก็กำลังจะสร้างกองกำลังเขี้ยวหมาป่าขึ้น


 


คิ้วของหญิงสาวผมสีม่วงย่นเล็กน้อย สายตายังคงความเย็นชาเอาไว้ เช่นเดียวกับน้ำเสียง “ฉันชื่อว่าหลิงโหลว รหัสชื่อคือสิบเอ็ด”


 


หลิวโหลวไม่ทราบถึงการกระจายข่าวต่างๆเกี่ยวกับค่ายทั้งหลายของจีน และเธอก็ยังไม่รู้ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ของซางจิงในตอนนี้ มันยิ่งเข้าใจยากเข้าไปใหญ่เมื่อกองทัพในตอนนี้แตกต่างจากในยุคศิวิไลซ์อย่างสิ้นเชิง


 


องค์กรเขี้ยวหมาป่าจัดตั้งขึ้นมาเดือนสุดท้ายของในยุคศิวิไลซ์ก่อนเท่านั้นเอง พวกเขาพึ่งจะเจอกับการประเมิณขั้นตอนสุดท้ายของทีมสำรอง ซึ่งการทดสอบนี้ก็คือการส่งหัวหน้าทีมเขี้ยวหมาป่ามาดำเนินการด้วยตัวเอง ส่วนเนื้อหางาน ตำแหน่ง จำนวนคน ข้อกำหนดงานทุกอย่างเป็นความลับทั้งหมด สมาชิกทุกคนในองค์กรจะรู้เพียงแค่เนื้อหาของภารกิจของตัวเองเท่านั้น เป็นการดำเนินการอย่างอิสระโดยสมบูรณ์แบบ มีเพียงแค่ซางจิ่วตี้และเลาเสี่ยวเสียวเท่านั้นที่ถูกส่งออกมาปฏิบัติภารกิจด้วยกัน


 


แต่โชคร้ายที่ภารกิจของทั้งคู่ยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ มันก็เกิดการปะทุของโลกาวินาศขึ้นซะก่อน!


 


ดังนั้น เขี้ยวหมาป่าจึงแตกต่างจากหลงยาและฮูหยา สมาชิกของเขี้ยวหมาป่าตอนนี้กระจายตัวออกมาจากองค์กรหมด เป็นหรือตายไม่มีใครรู้ สมาชิกระดับสูงของเขี้ยวหมาป่าที่ยังมีชีวิตอยู่และทางซางจิงรับรู้คือมีแค่ป่ายหวีเนอ ซางจิ่วตี้และเลาเสี่ยวเสียว อีกทั้งพวกเธอทั้งสามคนนี้ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของชูฮัน นั่นคือสาเหตุที่ชูฮันสามารถขโมยชื่อเขี้ยวหมาป่ามาใช้ได้อย่างง่ายๆ


 


ทีมสำรองของเขี้ยวหมาป่าได้หายสาปสูญไปนานแล้วและภารกิจของกัปตันหลิงโหลวนั้นก็อยู่ไกลถึงสุดของทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในยุคโลกาวินาศพื้นที่ตรงนั้นเป็นตำแหน่งที่มีซอมบี้อยู่เยอะที่สุดรองจากจีน  เนื่องจากตำแหน่งตรงนั้นเป็นพื้นที่โล่ง นั่นคือสาเหตุที่มีซอมบี้อยู่หนาแน่นและแทบไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตเหลือรอด


 


แสดงว่า…หลิงโหลวไล่ฆ่าซอมบี้ทั้งหมดตลอดทางมาจนถึงที่นี้!


 


หลังจากผ่านไปครึ่งปี ไม่ต้องพูดเลยว่าที่นั่นจะมีซอมบี้เพิ่มขึ้นมามากแค่ไหน แค่นี้มันก็มากพอแล้วสำหรับความเร็วในการเดินทางของเธอจนทำให้ชูฮันรู้สึกประหลาดใจ ไม่แปลกใจที่เธอแข็งแกร่งอย่างมากภายในระยะเวลาครึ่งปีนับตั้งแต่เกิดการปะทุ เพราะเธอได้ฝึกปรือฝีมือมาตลอดทางนี้เอง


 


แน่นอนว่าชูฮันไม่รู้เรื่องเลยสักนิด แต่เขาสามารถพอจะเดาสาเหตุของการขัดแย้งของทั้งสองคนนี้ได้ เมื่อมองไปที่ซูเฟิง เห็นได้ชัดว่าคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้นมาขวางสองคนนี้มีจุดจบที่ความตาย ทั้งสองคนนี้มีพละกำลังในการต่อสู้ที่สูสีกัน ดังนั้นผลลัพธ์ของเรื่องนี้ก็เป็นได้แค่คนหนึ่งเจอกับความตายส่วนอีกคนก็ต้องนอนบาดเจ็บสาหัส!

 

 

 


ตอนที่ 465

 

เบาะแสทั้งหมดได้ทำให้ทุกอย่างกระจ่างอย่างชัดเจนสำหรับชูฮัน แสดงว่าในชาติที่แล้วไม่มีคนที่ชื่อว่าหลิงโหลวมีชีวิตรอดจากการปะทุ เพราะอย่างนั้นซูเฟิงจึงกลายเป็นที่รู้จักหลังจากการปะทุผ่านไปไม่กี่ปี


 


และในขณะที่ชูฮันกำลังอยู่ในช่วงเร่งรีบ หลิงโหลวก็พูดขึ้นมาอีกครั้งซะก่อนด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว “พลเอกชูฮันถึงแม้ฉันจะไม่มีตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงในกองทัพ แต่คุณก็น่าจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของของทีมสำรองเขี้ยวหมาป่าในฐานะพลเอกของจีน ฉันถือเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณ ดังนั้นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันขอความร่วมมือจากคุณให้ช่วยกันฆ่าคนคนนี้!”


 


“ไม่!” ชูฮันปฏิเสธ เขาพูดขัดคำพูดของหลิงโหลวขึ้นอย่างไม่สนใจ


 


หลิงโหลวหายใจเข้าอย่างรุนแรง การขอความร่วมมือจากชูฮันทั้งถูกปฏิเสธทั้งสามครั้ง เห็นได้ชัดว่าชูฮันได้ทำการตัดสินใจที่อันตรายลงไป


 


ทันทีที่ชูฮันเห็นบรรยากาศที่กำลังก่อตัวขึ้น เขาก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องดี เขาแอบมีความกังวลอยู่ในใจเล็กน้อยและคิดหาเหตุผลที่เหมาะสมขึ้นมาเพื่อใช้อ้างต่อหน้าทั้งสองคนที่เขาพึ่งได้พบเจอ เขายกมือขึ้นกางพลางยิ้มใส่ทั้งสอง “ฉันรู้สึกว่ามันไม่ดีที่เราจะฆ่าเองกัน”


 


หวังไคที่อยู่ในกระเป๋าชูฮันและเฉินช่าวเย่ที่อยู่ข้างหลังห่างไปไม่ไกลต่างกรอกตาพร้อมๆกันโดยมิได้นัดหมาย นี้เป็นคำพูดจากปากชูฮันเองเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อ!


 


ชูฮันหมดหนทาง นอกเหนือจากเหตุผลนี้เขาไม่สามารถหาอะไรมาเพื่อห้ามทั้งสองคนไม่ให้สู้กันได้แล้ว สำหรับซูเฟิงนั่นแน่นอนว่าไม่ใช่ศัตรูของเขาอยู่แล้ว ถึงแม้สำหรับในชาตินี้ซูเฟิงและเขาจะยังไม่รู้จักกันและกัน แต่ในชาติที่แล้วพวกเขาเป็นเพื่อนกัน


 


ส่วนหลิงโหลวที่เป็นทีมสำรอง แต่แน่นอนว่าป่ายหวีเนอและซางจิ่วตี้ไม่น่าจะใกล้ชิดกับหลิงโหลว หากใครจะรู้ไม่แน่เธออาจจะมีความสัมพันธ์กับหัวหน้าทีมเขี้ยวหมาป่า? แล้วถ้าเขาฆ่าผิดคนล่ะ?


 


สิ่งสำคัญที่สุดก็คือซูเฟิง และจากการสังเกตและการคาดเดาทั้งหลาย…แม้ซูเฟิงและหลิงโหลวจะไม่สามารถระบุตัวตนได้แน่ชัดว่าเป็นวิวัฒนาการหรือพรสวรรค์กันแน่ แต่ระยะของทั้งคู่น่าจะต้องเป็นระยะ 6 หรือมากกว่า ส่วนตัวเขาเองนั้นเป็นแค่วิวัฒนาการระยะ 4 เขาจะกล้าเผิชญหน้ากับระดับปรมาจารย์ทั้งสองคนตรงหน้าได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าเขากลัวแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรกับระยะ 6


 


สีหน้าของหลิงโหลวยิ่งเย็นชาขึ้น เธอควงเคียวยักษ์ในมือหมุนวนไปรอบๆจนมันเกิดเป็นลมหมุนขนาดย่อมในอากาศ ทันใดนั้นมันก็มีจิตสังหารแผ่กระจายอยู่รอบตัวเธอและเผยให้เห็นถึงพลังผันผวนระดับสูงซึ่งมันหนักหน่วงอย่างมาก หากก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเธอเป็นวิวัฒนาการหรือพรสวรรค์ระยะไหนกันแน่


 


เช่นเดียวกับน้ำเสียงของเธอที่ยิ่งดุดันมากกว่าเดิม “หรือว่ามันยากที่คุณจะฆ่า? พลเอกชูฮัน คนตรงข้ามนี่คิดจะฆ่าฉันมาเป็นสิบวันแล้ว!”


 


ชูฮันตะลึงไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นหากเขาก็รีบดึงสติตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุดเขาก็ได้รับการชี้แจงข้อมูลอย่างกระจ่างจากคำพูดของหลิงโหลว  ทั้งสองคนต่างต่อสู้กันไปมาอยู่แบบนี้มาถึงสิบวันแล้ว การต่อสู้ของคนระดับสูงที่ทรงพลังเหลือล้ำช่างน่าตะลึงจริงๆ!


 


ความคิดมากมายทั้งหลายถูกชูฮันซ่อนไว้ในใจ จากนั้นเขาก็หันหน้ามาและมองไปที่ซูเฟิง “คุณกำลังไล่ล่าหญิงสาวน่ารักอย่างงั้นเหรอ?”


 


หลิงโหลว? แน่นอนว่าไม่น่ารัก!


 


ภาพลักษณ์ที่เธอแสดงออกต่อภายนอกนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและดุดันแต่ชูฮันสามารถดึงตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมาได้เพราะฉะนั้นตอนนี้มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เขาจะดึงทั้งสองคนนี้ให้มาเป็นพวกเขา


 


แววตาของซูเฟิงเริ่มเย็นยะเยือกขึ้น “ยัยนั่นฆ่าหมาฉัน!”


 


ชูฮันเหงื่อแตก นี่มันอะไร? จากนั้นก็เหลือบกลับไปที่หลิงโหลวอย่างลังเลและสับสนเล็กน้อย “ทำไมคุณฆ่าไปฆ่าหมาเขา?”


 


“หมานั่นมันเป็นซอมบี้และความสามารถมันอาจฆ่าล้างบ้างคนทั้งค่ายเลยได้ด้วยซ้ำ!” น้ำเสียงของหลิงโหลวเต็มไปด้วยความดุดันและจริงจัง เห็นได้ชัดจากน้ำเสียงของเธอว่าเธอเริ่มหมดความอดทนแล้ว “จะไม่ให้ฉันฆ่ามันแล้วก็ปล่อยมันไปอย่างนั้นเหรอ?”


 


ชูฮันพูดอะไรไม่ออก นี้มันเรื่องบ้าบออะไรกัน? สู้กันเป็นเวลาสิบวันสิบคืนเพราะเรื่องหมา? เห็นได้ชัดเลยว่าระดับสมองของคนระดับปรมาจารย์นั้นแตกต่างจากคนทั่วไป!


 


แต่ต่อหน้าสายตาสองคู่ที่มองมา สีหน้าของชูฮันกลับปรากฏให้เห็นแต่ความนิ่งสงบ จากนั้นเขาก็มองไปที่ซูเฟิง “นี่ถือเป็นความผิดของคุณ คุณไม่สามารถปล่อยให้หมาคุณกินอะไรก็ได้ แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญตอนนี้คุณหาหมาตัวใหม่เลี้ยงแทนซะ”


 


“อะไรน่ะ?” “อะไรน่ะ?” ซูเฟิงและหลิงโหลวต่างตะโกนใส่ชูฮันขึ้นมาพร้อมกัน สีหน้าของซูเฟิงเต็มไปด้วยแววสังหาร หิมะรอบๆปลิวว่อนด้วยแรงกดอากาศมหาศาล ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองคนพร้อมจะฉีกชูฮันออกเป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ


 


เฉินช่าวเย่กลัวมากจนถอยเท้าหนีไปหลายก้าว แม้เดิมทีเขาจะอยู่ห่างออกมาอยู่รอบแต่พลังผันผวนของทั้งสองที่ระเบิดออกมามันรุนแรงและสูงเกินไปจนทำให้เฉินช่าวเย่กลัว


 


หวังไคที่อยู่ในกระเป๋าชูฮันหัวใจเต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมา ในตอนนั้นสถาการณ์ทำให้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดคำถามขึ้นมา…ถ้าชูฮันตาย ตัวมันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม จากนั้นก็รอให้เจ้าบ้านคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นอย่างนั้นสินะ?


 


ชูฮันไม่กลัวที่จะเดินหน้าพูดต่อ การกระทำของเขายิ่งทำให้เฉินช่าวเย่กลัวยิ่งกว่าเดิม เขาใช้น้ำเสียงเป็นมิตรพูดอธิบายต่อ “เหตุผลที่พวกคุณจะทำร้ายฉันเพียงเพราะว่าฉันให้คำแนะนำพวกคุณเนี่ยนะ? แล้วพวกคุณก็จะไม่มีทางหยุดต่อสู้กัน มันได้ประโยชน์อะไร? ลองคิดดู พวกคุณทั้งคู่มีระดับพลังเท่ากัน ไม่ใครสักคนจะต้องลงท้ายด้วยการตายและอีกคนก็คงจะบาดเจ็บสาหัสและต้องรักษาตัวไปอีกนาน?”


 


ซูเฟิงอึ้งพลางเลียริมฝีปาก เขายังไม่เคยเอ่ยปากพูดอะไรเลยตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ แต่ในตอนนี้ที่เขาได้ยินทฤษฏีประหลาดของชูฮัน เขาก็ตัดสินใจฟังเพราะเขาเองก็เหนื่อยเหมือนกัน


 


ส่วนหลิงโหลวนั้นเป็นเพราะทั้งเธอและชูฮันต่างก็เป็นทหารเหมือนกัน เธอจึงไม่ได้แสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อชูฮัน ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อตัวตนของชูฮันที่ค่อนข้างสูงมากด้วย ที่เธอรู้เพราะว่ามันไม่ได้มีพลเอกเยอะมากมายอะไรในจีน


 


ดังนั้นทั้งสองคนจึงทั้งประหลาดใจและสงบลงเมื่อได้ยินคำพูดของชูฮัน ทั้งคู่ต่างมองมาที่ชูฮันอย่างเงียบๆ


 


“แต่พวกคุณโชคดีที่ได้เจอฉันก่อนในช่วงเวลาสำคัญ” โดยไม่สนใจสายตาประหลาดใจจากทั้งสองที่มองมา ขูฮันยังคงพูดล้างสมองทั้งคู่ต่อไป “เพราะฉันเป็นคนนอก เพราะฉะนั้นการตัดสินจากคนนอกที่เป็นคนสังเกตการณ์นั้นจะสมเหตุสมผลมากกว่า และจากมุมมองของฉันแล้ว นี้มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ทั้งสองคนต้องมาต่อสู้กันเลยสักนิด”


 


“ปัญหาที่มีในตอนแรกกับหลิงโหลว เนื่องจากเธอถูกคุณไล่ตามก่อนเธอจึงต้องต่อต้านเพื่อป้องกันตัว ส่วนสาเหตุที่คุณไล่ตามเธอนั้นก็เป็นเพราะหลิงโหลวฆ่าหมาซอมบี้ของคุณที่เป็นภัยอันตรายต่อมนุษยชาติ จากมุมของหลิงโหลวมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสมควรที่จะทำ…ซึ่งมันก็ถูกต้องแล้ว”


 


สีหน้าของหลิงโหลวเปลี่ยนไปพร้อมกับเชิดคางขึ้นเล็กน้อย


 


หลังจากพูดแบบนั้นชูฮันก็ไม่สนใจสายตาอันตรายจากซูเฟิง เขายังคงพูดต่อ “มาพูดถึงด้านซูเฟิงกัน อย่างแรกโลกาวินาศได้ปะทุผ่านมาครึ่งปีแล้ว หมาของคุณกลายเป็นซอมบี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


ซูเฟิงอึ้งไปและขณะที่กำลังจะเอ่ยปากตอบนั้นเอง——


 


“ความจริงแล้วมันไม่สำคัญว่ามันกลายเป็นซอมบี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” จู่ๆชูฮันก็พูดแทรกซูเฟิงที่กำลังจะตอบขึ้นมา “สิ่งที่สำคัญก็คือมันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว ซอมบี้ก็คือซอมบี้ สายพันธุ์เดียวกัน มันเป็นพลังชั่วร้ายที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับสิ่งมีชีวิตบนโลก เพราะฉะนั้นถ้าเจอเมื่อไหร่ก็ควรฆ่าทิ้งทันที”


 


ทันใดนั้นจิตสังหารของซูเฟิงก็ระเบิดออกมา “แก!”


 


“โอเค ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ มันเป็นเรื่องเศร้าที่ต้องเสียสัตว์เลี้ยงที่เรารักและเลี้ยงดูมา ฉันเข้าใจคุณจริงๆ” ชูฮันขัดจังหวะซูเฟิงอีกครั้ง “แต่คุณเคยคิดถึงบ้างมั้ยว่าหมาซอมบี้ของคุณกินคนไปแล้วมากมายเท่าไหร่ แล้วมันจะกินคุณเข้าสักวันมั้ยเมื่อมันยกระดับขึ้นไปสูงเรื่อยๆในอนาคต? คุณควรจะตรวจสอบให้มั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวคุณไม่เคยถูกมันกัดหรือมีบาดแผลรอยข่วนที่เกิดจากมัน”


 


ทันใดนั้นร่างของซูเฟิงก็สั่นสะเทือน แววตาของเขาแสดงออกถึงความเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ชูฮันพูดนั้นไม่ได้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของซูเฟิงเลย เขาไม่สนว่าคนกี่คนที่ถูกหมาเขากินไป แต่เขากับหมาของเขาไม่เคยแยกจากกันเลยตั้งแต่ในอดีตถึงแม้ตอนนี้มันจะกลายร่าง การพึ่งพาและความใกล้ชิด นอกเหนือจากความหิวกระหายที่มันต้องการจะกินเขาอยู่หลายครั้ง!

 

 

 


ตอนที่ 466

 

ชูฮันเห็นแววตาของซูเฟิงที่มองมา แววตาของชูฮันในตอนนี้ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับก่อนหน้านี้ หากมันเต็มไปด้วยความจริงจังอย่างถึงที่สุด “มันไม่ใช่เพื่อนรักที่คุณรู้จักในอดีตอีกต่อไป มันจะไม่กระดิกหางให้คุณอีก มันจะไม่วิ่งวนรอบๆไปมาเพราะเห็นแท่งกระดูกอีก มันไม่มีแม้แต่รูม่านตาสำหรับการมองเห็นด้วยซ้ำ เหงือกของมันใหญ่บวม น่าตาประหลาดๆ มันคือสายพันธุ์ซอมบี้อย่างสมบูรณ์แบบ!”


 


หลิงโหลวมองชูฮันด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย หัวใจของเธอเต้นแกว่ง


 


เฉินช่าวเย่ที่ฟังอยู่ไกลออกไปรู้ว่าหัวหน้าของเขามีสติสัมปชัญญะที่จะเห็นแก่นแท้ของสิ่งต่างๆและนั่นคือเหตุผลที่เขาเลือกจะมุ่งมั่นติดตามชูฮันตลอดไป


 


“คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?” ชูฮันยังคงพยายามอย่างต่อเนื่อง “ไม่ใช่ว่าหลิงโหลวฆ่าหมาของคุณแต่เธอช่วยมันต่างหาก มันตายไปแล้วตั้งแต่วินาทีที่มันกลายพันธุ์”


 


ซูเฟิงตะลึง


 


แน่นอนว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ชูฮันพูดมาทั้งหมดดีแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับความจริงนี้เอง โดยเฉพาะการต้องอยู่ตัวคนเดียวในโลกาวินาศแบบนี้ ที่ซึ่งมนุษย์ถูกทำลายล้าง ศีลธรรมและความเชื่อมั่นระหว่างผู้คนเป็นศูนย์ ในเวลานี้เขามีความสุขกับการอยู่หมาของเขาและเดินทางไปด้วยกันมากกว่า แต่หมาของเขาไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว


 


“ไม่! มันมีแค่ตัวเดียวเท่านั้น!” ซูเฟิงทนไม่ไหวและเริ่มต่อต้าน เขาไม่อยากจะยอมรับความจริง


 


ชูฮันเข้าใจว่าสมองของปรมาจารย์นั่นมักจะแตกต่างกับคนธรรมดาทั่วไป มันเป็นความจำเป็นที่ต้องฆ่าหมาทิ้งแต่ซูเฟิงกลับไม่ยอมทำ ดังนั้นชูฮันเลยใช้วิธีการใหม่เขาคว้าหูกระต่ายของหวังไคขึ้นมาจากกระเป๋า


 


ซูเฟิงและหลิงโหลวมองตามกระต่ายที่โดนชูฮันโยนออกมา จากนั้นก็เบนสายตากลับมามองชูฮัน นี่มันหมายความว่ายังไง?


 


“กระต่ายของฉันก็มีแค่ตัวเดียวในโลก มันสามารถพูดได้ อยากได้ยินมั้ยล่ะ?” ชูฮันที่คว้าหวังไคขึ้นมาพูดพร้อมใช้นิ้วดันหลังหวังไค จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “หวังไค ร้องเสียงหมาสิ”


 


หวังไคช็อคค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก มันรู้สึกตลกสิ้นดีกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากหลุดอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่งมันก็ค่อยๆขยับปาก “โฮ่ง”


 


ทันทีที่เสียง ‘โฮ่ง’ ดังออกมา ทันใดนั้นหวังไคก็รู้สึกว่าชีวิตของมันคงจบสิ้นแล้ว ซูเฟิงและหลิงโหลวที่อยู่ตรงข้ามได้แต่ยืนตะลึงค้างตกใจอย่างมากจนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็หันไปมองกระต่ายที่รู้วิธีเห่าเหมือนหมา


 


ชูฮันตบเรียกสติหวังไคที่ช็อคค้างไปแล้วให้กลับมา พลางเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและแสดงถึงความเข้าอกเข้าใจให้ซูเฟิง “คุณเห็นมั้ย มันก็มีแค่ตัวเดียวเหมือนกัน กระต่ายที่สามารถเห่าเหมือนหมาได้ หรือจะให้ฉันช่วยคุณหาหมาที่สามารถส่งเสียงกระต่าย?”


 


ลำคอของซูเฟิงแห้งผากและไม่สามารถส่งเสียงพูดออกมาได้


 


“สรุปว่ายังไง? คุณอยากจะตามฉันไปด้วยกันมั้ย?” ชูฮันยังคงวางเบ็ดต่อไป “คุณคิดว่า ในโลกนี้มันจะมีหมาที่เรียนรู้วิธีส่งเสียงแบบกระต่ายมั้ย?!”


“กระต่าย แต่ปกติกระต่ายมันไม่ส่งเสียงนะ” ซูเฟิงไม่สามารถตามความคิดประหลาดๆของชูฮันได้ทัน


 


“โอ้ะ ขอโทษที งั้นฉันจะหาหมาที่สามารถวิ่งเหมือนกระต่ายให้ละกัน” ชูฮันยิ้ม หวังไคมีแค่ตัวเดียวในโลกเท่านั้น แน่นอนว่าหมาที่สามารถวิ่งแบกระต่ายได้นั่นไม่มีอยู่จริงแต่เขาสามารถบอกให้หลูปิงเซ่อทำให้สัตว์เชื่องได้!


 


ปัญหาที่กำลังถกเถียงกับชูฮันอยู่นั่นเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของซูเฟิง ไม่ว่าทั้งเรื่องกระต่ายหรือหมา ซูเฟิงหมดความคาดคิดที่จะสู้กับหลิงโหลวต่อและจิตสังหารที่เขาปล่อยแผ่กระจายออกมาก่อนหน้านี้ก็สลายหายไปหมดแล้ว


 


“ดี! งั้นฉันจะคิดว่านั่นคือคำตอบตกลงละกัน” ชูฮันตัดสินใจให้ซูเฟิงแทน จากนั้นก็หันไปยิ้มกับหลิงโหหว “ส่วนสำหรับเธอ ต้องการเข้าร่วมกับฉันมั้ย? ซางจิงในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อตอนในอดีต เธอจะผิดหวังเมื่อไปถึงที่นั่น”


 


“ขอโทษ แต่ฉันจะไม่เข้าร่วมกับคุณ” น้ำเสียงของหลิงโหลวเย็นชา แววตาที่มองซูเฟิงแสดงถึงความไม่เป็นมิตร “ฉันไม่อยากเข้าร่วมกับผู้ชายคนนี้”


 


“อย่าใช้ความเกลียดชังแบบนั้นมาตัดสินสิ เธอไม่จำเป็นต้องเกลียดฝังลึกขนาดนี้และเขาก็ไม่ได้พูดจาดูถูกเธอซะหน่อย” ชูฮันค่อนข้างเสียใจกับคำปฏิเสธของหลิงโหลว


 


“คุณ! คุณอยากตายใช่มั้ย?!” ความโกรธของหลิงโหลวปะทุขณะเดียวกันจิตสังหารของเธอก็ล้นทะลักพุ่งเข้ามาปะทะชูฮัน


 


“อย่าพูดอย่างนั้น” โดยไม่คาดคิด ชูฮันกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับอารมณ์รุนแรงของหลิงโหลวเลย กลับกันเขายังมีท่าทีผ่อนคลายอีกด้วยซ้ำ “ฉันแค่คิดว่าเธอไม่ใช่คนโง่!”


 


หลิงโหลวที่ปล่อยจิตสังหารรุนแรงออกมาทว่าข้างในใจเธอกลับรู้สึกอิจฮาชูฮัน เธอไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของชูฮันด้วยซ้ำ แม้แต่ภายใต้พลังผันผวนระยะ 6 ของเธอ เขายังกล้าเผยชื่อตัวเองให้รับรู้? เขาควรจะเก็บเงียบชื่อของเขาไว้ในใจ ไม่ใช่พูดมันออกมาง่ายๆแบบนี้!


 


ซูเฟิงที่หลบข้างสังเกตสถานการณ์อยู่เองก็สังเกตเห็นรายละเอียดนี้เช่นกัน เขามองชูฮันด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ


 


“ก็ ในเมื่อคุณพูดแบบนั้น งั้นก็มาพูดถึงอีกปัญหากันเถอะ” ทันใดนั้นชูฮันก็เผยรอยยิ้มเรียบๆออกมาและชี้นิ้วไปที่ข้างล่างภูเขา “รอยแตกขนาดใหญ่บนภูเขานั่นมันอะไรกัน? และเพราะรอยแตกนั่น ทีมของฉันและตัวฉันจึงต้องปีนเขาขึ้นมาแทน แต่โชคร้ายที่การปีนเขาพังทลายลงเพราะหิมะถล่มที่เกิดจากการต่อสู้ของพวกคุณทั้งสองคน ตอนนี้มากกว่าหนึ่งร้อยคนของหน่วยทหารของฉันได้หายตัวไป ใครจะเป็นคนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้? รอยแตกนั่นเกิดจากพวกคุณสองคนใช่มั้ย?”


 


ในเมื่อความขัดแย้งได้รับการแก้ไขแล้ว ชูฮันจึงยกเรื่องต่อไปมาพูด รอยแตกที่ทำให้ชูฮันรู้สึกแปลกๆนั่นน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนนี้อย่างแน่นอน แต่นี้มันยิ่งกว่าเหลือเชื่อ รอยแตกนั่นมันต้องสำหรับคนที่แข็งแกร่งมากต้องเป็นวิวัฒนาการระยะ 9 หรือมากกว่า ไม่เช่นนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดรอยแตกใหญ่ขนาดนี้ได้?


 


และเห็นได้ชัดว่าซูเฟิงและหลิงโหลวในตอนนี้ยังไม่ทรงพลังมากขนาดนั้น


 


เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของชูฮันที่ขัดแย้งกับน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยนัยนะบางอย่างกับคำถาม ซูเฟิงและหลิงโหลวที่อยู่ระดับสูงก็มีสีหน้าหงิกงอ


 


“คุณต้องการจะถามอะไรเรากันแน่?” ดวงตาของหลิงโหลวส่องประกายอันตราย


 


ซูเฟิงเป็นนอกคอกเพราะพฤติกรรมที่แปลกประหลาดกว่าคนทั่วไปของเขา เขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเพราะจู่ๆเขาก็เริ่มสนใจในคำพูดของชูฮัน การพูดของผู้ชายคนนี้มักจะเหนือความคาดหมายของเขาเสมอ


 


ชูฮันไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวต่อทั้งสองคนตรงหน้าที่มีระยะสูงกว่าและแข็งแกร่งกว่าเขา อีกทั้งยังสบตากับหลิงโหลวจากนั้นก็ชี้นิ้วใส่ตราตำแหน่งตรงหน้าอกตัวเอง “ทีมสำรองของเขี้ยวหมาป่าถูกยุบไปแล้ว ถ้าเธอไม่เชื่อเธอจะไปที่ค่ายซางจิงแล้วถามกับผู้บัญชาการมู๋เลยก็ได้ ซึ่งมันหมายความว่าตอนนี้เธอเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีประวัติใดๆในการเข้าร่วมกับกองทัพ และเพราะฉะนั้นฉันเป็นถึงพลเอกจึงมีสิทธิถามคำถามเธอ ไม่ใช่เหรอ?”


 


หลิงโหวนิ่ง หัวใจเต้นรัว แน่นอนว่าเธอไม่สามารถเอาชนะสิ่งที่ชูฮันพูดมาได้และเธอก็หมดคำที่จะเถียงเช่นกัน


 


หลังจากพูดจัดการหลิงโหลวเสร็จ ชูฮันก็หันไปมองซูเฟิงอีกครั้ง “สำหรับคุณเนื่องจากคุณจะเข้าร่วมกับฉัน คุณจะคือผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันและฉันคือหัวหน้าคุณ ฉันสามารถถามคำถามคุณได้มั้ย?”


 


ซูเฟิงเองก็ตะลึงและพูดไม่ออก หากมันไม่ใช่เพราะเขาโง่เง่าแต่มันแค่ดูไม่ควรจะพูดมากกว่า


 


เฉินช่าวเย่ที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไปก็ยกนิ้วโป้งให้หัวหน้าของเขา สุดยอดที่สุด!

 

 

 


ตอนที่ 467

 

“ตอนนี้คุณสามารถตอบคำถามของฉันได้หรือยัง?” ชูฮันกระแอมลำคอและเอ่ยถามต่อ เขาถึงกับหยิบสมุดบันทึกและปากกาตรงแขนขึ้นมาซึ่งความจริงแล้วเขาล้วงมันออกมาจากประตูมิติต่างหาก “ก่อนอื่นให้ฉันอธิบายสาเหตุของรอยแตกด้านล่างก่อน ฉันสามารถคำนวนความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้”


 


การปฏิบัติตัวอย่างเป็นทางการของชูฮันทำให้ซูเฟิงและหลิงโหลวนิ่งไปครู่หนึ่งแต่ชูฮันก็ได้บันทึกชื่อของผู้กระทำผิดลงไปบนสมุดแล้วเรียบร้อย “ผู้กระทำผิดมีสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ชาย นามสกุล…ซู ชื่อ…เฟิง ระยะ…?”


 


“ระยะ 6…วิวัฒนาการ” ซูเฟิงตอบ


 


“ซูเฟิงวิวัฒนาการระยะ 6 ” ชูฮันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็จดบันทึกลงต่อ “ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง นามสกุล…หลิง ชื่อ…”


“ขออภัย นามสกุลของฉันคือเจียง” คิ้วของหลิงโหลวผูกกันเป็นปม เธอกำลังฝืนตัวเองเพื่อตอบคำถามชูฮันด้วยอารมณ์อึดอัดอย่างมาก “เจียงหลิงโหลว วิวัฒนาการระยะ 6”


 


ชูฮันเหลือบมองมาที่หลิงโหลว เขากระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น นามสกุลเจียง? น่าจะมีคนที่อิทธิพลอยู่เบื้องหลังเธอแน่ๆ?


 


หลังจากจดบันทึกลงไป มันก็มีแววตาที่อธิบายไม่ได้ของชูฮันปรากฏขึ้น “คุณเป็นแค่ระยะ 6 กันเท่านั้น? นี้มันเป็นไปไม่ได้ ความสามารถของพวกคุณไม่สามารถสร้างรอยแตกขนาดใหญ่ข้างล่างแบบนั้นได้…”


อะไรคือแค่? ซูเฟิงในตอนนี้ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ “ใครบอกว่าฉันไม่สามารถ!? ฉันยิงปืนและเธอก็เอาเคียวยักษ์นั่นขึ้นกั้น!”


หลิงโหลวที่อยากจะเอ่ยปากห้ามก็สายไปเสียแล้ว เธอจึงทำได้แต่เพียงกลืนคำพูดลงคอพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อน…พวกใจร้อน!


รอยยิ้มในแววตาชูฮันยิ่งลึกขึ้นไปอีก “ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ มันต้องอย่างน้อยพลังของวิวัฒนาการระยะ 9 สองคนรวมกันถึงสามารถสร้างรอยแตกขนาดนี้ได้”


 


สายตาของหลิงโหลวส่องประกายเย็นชา “ถ้างั้นมันก็คงเป็นแผ่นดินไหว”


“โอ้ โอเค ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ” ชูฮันตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากนั้นก็พูดต่อขึ้นมา “แน่นอนว่าวิวัฒนาการระยะ 6 ไม่สามารถทำได้ มันคงเกิดจากแผ่นดินไหวนั่นแหละ!”


 


“แต่ฉันยังข้องใจอยู่ เพราะฉันยิงปืนออกไปที่ถนนจนเกิดเป็นรู” ซูเฟิงมีความหยิ่งผยองอย่างมาก โดยไม่สนต่อสายตาของหลิงโหลวที่มองมา เขายังคงตะโกนพูดกับชูฮันอย่างไม่ยอมรับ “มันเป็นสาเหตุจากพวกเรา ยังไงก็ตามแต่ฉันจะชดใช้ให้เอง”


 


สวยงาม!


ชูฮันยิ้มเยาะอยู่ในใจ กับดักที่เขาวางไว้ได้ล่อเหยื่อให้ติดเบ็ดเรียบร้อยแล้ว “ทำลายถนน ทำให้ถนนกองทัพของเราถูกกั้นเดินทางต่อไม่ได้ และการต่อสู้ของพวกคุณที่ทำให้เกิดหิมะถล่มส่งผลให้หน่วยทหารของฉันแตกกระเจิงไปคนละทาง…สำหรับหนึ่งคนค่าเสียหายคือ 50,000 เหรียญล่มสลาย กรุณาจ่ายด้วย”


การขอราคาที่ 50,000 นั่นเป็นจำนวนที่ไม่ถูกตามหลักอะไรเลย และตอนนี้ที่เหรียญล่มสลายพึ่งได้รับการตีพิมพ์และป่าวประกาศจากซางจิง ทำให้หลิงโหลวที่กำลังมุ่งหน้าไปซางจิงและซูเฟิงที่ไม่สนใจเรื่องภายนอกอะไรทั้งนั้นนอกจากเรื่องของตัวเองเท่านั้น ไม่รู้ว่าเหรียญล่มสลายคืออะไรและไม่เคยได้ยินมาก่อน จำนวน 50,000 เหรียญล่มสลายหมายถึงอะไรสำหรับทุกคน?


 


แน่นอนว่า ครึ่งชั่วโมงต่อมา…


คริสตัลทั้งหมดที่ซ่อนไว้ในตัวของหลิงโหลวถูกกวาดออกมาจนหมดจนไม่เหลือแม้แต่แดงเดียว อีกทั้งเธอยังติดหนี้ชูฮันอีกหลายพันเหรียญล่มสลายด้วยซ้ำ


 


ซูเฟิงเองก็ติดค้างชูฮันไว้ ด้วยเพราะเขาไม่รับรู้เรื่องราวของคริสตัลเลย เขาไม่รู้ว่ามันมีระดับคริสตัลต่างกันในหัวซอมบี้แต่ละระยะ หากเขาก็ยังเก็บมันมาบ้างบางส่วน ซูเฟิงเกาหัวจากนั้นก็หยิบคริสตัลของซอมบี้ระยะ 4 ที่เขามีอยู่สองชิ้นออกมา


 


ซูเฟิงไม่รู้ว่าสกุลที่ใช้ในตอนนี้คืออะไร เขาไม่รู้ราคาตลาด จึงตกลงไปอยู่ในหลุมหลอกที่จำเป็นต้องทำงานชดใช้ให้ชูฮันไปอีกเป็นเวลานานเลยทีเดียว


 


อยากจะไปเหรอ? ได้ แต่คืนเงินให้ฉันก่อน!


 


เฉินช่าวเย่ที่ยืนดูสถานการณ์ทั้งหมดได้แต่เชิดชูหัวหน้าเขาอยู่ในใจ หัวหน้าเขาสามารถสยบวิวัฒนาการระยะ 6 ได้และยังทำให้วิวัฒนาการระยะ 6 อีกคนติดหนี้ นี้แหละคือความสามารถของหัวหน้าเขา


 


สองวันต่อมา หลิวยู่ติงและเฉินเสี้ยนกาวก็ขึ้นมาถึงยอดเขาพร้อมกับกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่ติดตามมาด้วย 80 คน พวกเขารวบรวมคนได้อย่างรวดเร็วหลังจากประสบกับหิมะถล่ม ซึ่งขนาดของกลุ่มคนในตอนนี้ที่เขารวบรวมมาได้ก็เกือบจะเท่ากับก่อนเจอหิมะถล่มแล้ว แต่มันยังมีอีกมากกว่ายี่สิบคนที่ยังหาตัวไม่เจอ หลิวยู่ติงชื่นชมการคาดการณ์ต่อเหตุการณ์ล่วงหน้าที่ยังมาไม่ถึงของชูฮัน อีกทั้งการออกคำสั่งที่มีประสิทธิภาพต่อสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยความเร็วสูง เรียกได้ว่าชูฮันเป็นผู้นำที่ดีที่สุดตั้งแต่เขาเคยเจอมาก็ว่าได้ ถ้าไม่ใช่คนที่ได้รับการฝึกปรือและอยู่กับการต่อสู้มานานไม่มีทางที่จะมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้รวดเร็วขนาดนี้


สำหรับหลี่ซิงยูและฮัวหมิงนั่น หลิวยู่ติงได้รับรายงานว่ามีคนรอดชีวิตเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น…กูเหลียงเฉิน


 


กูเหลียงเฉินที่ยังคงเงียบมาตลอดเป็นเวลานานพอสมควร เขาไม่เคยต้องอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางคนมากมายที่หลายล้อม อีกทั้งน้ำเสียงของชูฮันที่พูดก็ยังแปลกมากๆ “เขาไม่พูดอะไรเลยเหรอ?”


 


“ไม่ครับ” หลิวยู่ติงส่ายหัว “ไม่ว่าฉันจะถามอะไรเขาก็ไม่ตอบเลย”


ชูฮันเงียบนิ่งกว่าเดิม ความภักดีของกูเหลียงเฉินมีค่าต่ำที่สุดในทีมแต่อย่างน้อยมันก็ยังมี ถึงยังไงก็ตามผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ลึกลับอย่างมาก ค่าความภักดีที่แสนจะต่ำต้อยจนแทบจะไม่มีนั่น ชูฮันมั่นใจเลยว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นซึ่งขัดกับหลักการของกูเหลียงเฉินละก็ คนคนนี้จะพร้อมที่จะจากไปทันทีอย่างไม่มีความลังเลแน่นอน


 


“ถ้านายไม่สามารถถามเขาได้ งั้นนายจะทำอะไรก็ได้เลย” ชูฮันไม่อยากคิดอะไรให้มากความอีกต่อไป อย่างน้อยเจ้ากูเหลียงเฉินนั่นก็ยังมีบรรทัดฐานและหลักการของตัวเองอยู่ ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว เขาแค่ต้องการถามเพื่อความชัดเจนเท่านั้น


 


“ฉันเองก็ไม่อยากคิดมากไป ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเองกันทั้งนั้น และครั้งนี้เราต้องขอบคุณเขาที่กลับตัวกลับใจได้ทันเวลาพอดี” หลิวยู่ติงและพูดต่อ “คือหลี่บี๋เฟิงต่างหากที่อยู่เหนือความคาดของฉัน จู่ๆฉันก็ถูกกระชากออกมาจากและหลี่บี๋เฟิงก็เข้ามาควบคุมสถานการณ์แทน และทุกอย่างก็เริ่มร้อนแรงขึ้น”


 


ชูฮันส่งเสียงจิ๊ในลำคอและพึมพำ “หลี่บี๋เฟิงก็ยังเป็นหลี่บี๋เฟิงเหมือนเดิม”


 


“เขาฝึกฝนมาอย่างดี นั่นคือความสามารถส่วนตัวของเขา” หลิวยู่ติงคร่ำครวญหากจู่ๆเขาก็ชายตาขึ้นและเอ่ยถาม “ใช่สิ นายจะทำยังไงต่อกับเส้นทางต่อไป? ตอนนี้พวกเราไม่มีรถแล้วและมันก็อันตรายเกินไปที่จะเข้าเมืองไปหารถ แต่ถ้าเราเดินเท้ากันไปแบบนี้เราจะโดนซอมบี้ฆ่าตายกลางทางเอาได้”


 


ชูฮันหยิบเอากระดาษออกมาหลายแผ่นและเริ่มขีดเขียน “รถอะไร? ถ้าใช้รถยนต์มันจะยิ่งช้ากว่าเดิม! เราจะเดินหน้าเต็มกำลัง!”


ศักยภาพของมนุษยชาตินั้นไม่มีที่สิ้นสุด และการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนกลุ่มนี้เท่านั้นที่จะสามารถช่วยกันก้าวข้ามผ่านสภาพที่เป็นอยู่และมุ่งหน้าสู่หนทางนักรบที่แท้จริง


 


“แล้วเราจะถึงปีไหนกัน?” หลิวยู่ติงไม่ใช่คนมองโลกในแง่บวกขนาดนั้น


 


“สามเดือน เราจะไปถึงเมืองอันลูภายในสามเดือน” ชูฮันตอบอย่างหน้านิ่งๆ “มันคือการฝึกซ้อมไปในตัว เร็วเข้า”


 


เฮ้!


 


หลิวยู่ติงตะลึง มันจะเป็นไปได้ยังไง!


สัปดาห์ต่อมา ชูฮันได้ตั้งเต้นท์ตรงยอดเขาเพื่อรอให้ใครสักคนมาวางแผนการฝึกครั้งต่อไป ตอนนี้กว่าร้อยคนต่างพูดกันว่าพวกเขาจะไม่มีวันทรยศต่อเขา


 


หลังจากหลี่ซิงยูและฮัวหมิงทรยศและตายไป ผู้คนที่เหลือยกเว้นคนที่พึ่งเข้ามาใหม่อย่างซูเฟิงต่างมีคะแนนความภักดีต่อเขาอย่างน้อย 5%


 


และนั่นก็เพียงพอแล้ว


 


จากตรงนี้ถึงเมืองอันลู เส้นทางมันไม่ได้ใกล้เลย มันอาจเป็นไปได้ที่จะไม่มีอะไรเลยระหว่างทาง คนมากกว่าครึ่งจากทั้งหมดกว่าร้อยคนเป็นแค่คนธรรมดา การต่อสู้กับซอมบี้คนพวกนี้จำเป็นต้องพึ่งกลยุทธ์ในการรบเพื่อเอาชนะซอมบี้ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้ระดับสูงเมื่อไหร่ ทีมของพวกเขาจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน


 


ภายใต้การสร้างความเชื่อมั่นว่าสมาชิกทุกคนในทีมจะมีชีวิตรอด ชูฮันตัดสินใจที่จะดำเนินการฝึกอบรมสุดโหดสำหรับทุกคน!

 

 

 


ตอนที่ 468

 

ครั้งแรกเฉินช่าวเย่มีสายตาสงสัยกับการฝึกฝนแต่หลังจากผ่านไปสามวันเขาก็ไม่กล้าจะพูดกับชูฮัน พยายามอยู่ห่างๆและเกาะติดกับเหล่าทหารที่ตามขึ้นมาถึงยอดภูเขา


 


ซูเฟิงที่เห็นภาพนี้ยิ่งเกิดความสงสัยเข้าไปอีก เขาแอบลอบเข้าไปในเต้นท์ของชูฮันเพื่อแอบดูแผนการฝึกอบรมโดยใช้ความสามารถของวิวัฒนาการระยะ 6 ของเขา


 


และทันทีที่ได้เห็น ซูเฟิงรู้สึกเหมือนกับคนโง่


 


กระดาษ 8 แผ่นที่เต็มไปด้วยข้อมูลมากมายทั้งสองหน้ากระดาษ แผ่นแล้วแผ่นเล่า


 


หัวข้อแรกของโปรแกรมการฝึกอบรมทำให้ซูเฟิงเห็นความพังพินาศได้อย่างชัดเจน เขารู้อยู่แล้วว่ามันมีคนทั้งหมดประมาณหนึ่งร้อยคนในทีมของชูฮัน หากวิวัฒนาการมีจำนวนอยู่แค่ประมาณ 30% เท่านั้นและที่เหลือมากกว่า 70% เป็นแค่คนธรรมดา ดังนั้นแค่โปรแกรมการฝึกอบรมบทเรียนแรกมันก็เรียกได้ว่าเกินขีดจำกัดของคนพวกนี้แล้ว


 


โปรแกรมการฝึกอบรมที่ 1: แผนการฆ่าซอมบี้ตลอด 24 ชั่วโมง


จำนวน: สิบตัว


ส่วนเนื้อหาถัดไปคือตำแหน่ง เวลา จำนวนซอมบี้ และกลยุทธ์ของหัวใจของการฝึกอบรม


 


นี่มันเกมส์อะไรกัน? และซูเฟิงก็เห็นคำที่ชูฮันขีดเส้นใต้เน้นข้อความไว้ตรงคำว่า ‘เชือด’ การฝึกอบรมที่มากกว่าเดิมถึงสิบเท่า ตลอดทางมาถึงนี้คนพวกนี้ได้ฆ่าซอมบี้อย่างไม่คิดชีวิตเอาเป็นเอาตาย เนื่องจากตามเนื้อหาของโปรแกรมการฝึกที่ระบุไว้ ทุกครั้งที่เกิดการสังหารหมู่จำนวนของศพที่ระบุได้จะเพิ่มอย่างทวีคูณเสมอ!


 


ซูเฟิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที เป้าหมายแบบนี้…ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย แม้แต่ทีมที่เต็มไปด้วยวิวัฒนาการหนึ่งร้อยคนก็ยังไม่สามารถทำสำเร็จได้!


 


จากนั้นซูเฟิงก็ก้มลงอ่านเนื้อหาในมือต่อ ยิ่งเขาเห็นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเขาอ่านมาถึงเนื้อหาตรงกลางซูเฟิงก็ยิ่งช็อค การฝึกอบรมนี้แทบจะไม่ต่างอะไรกับกลยุทธ์การรบเลยด้วยซ้ำ คนหนึ่งร้อยคนถูกแบ่งออกเป็นสองทีม แต่ละทีมจะมีจำนวนวิวัฒนาการและพรสวรรค์เท่ากันเพื่อความยุติธรรม


 


แต่สิ่งที่ซูเฟิงคิดไม่ถึงก็คือมันคือการต่อสู้จริงแถมยังอันตรายอย่างมาก ในโครงการนี้ชูฮันได้ระบุทิศทางทั้งหมดไว้ในกระดาษทั้งหมดถึงสามแผ่น และนี้คือโปรแกรมฝึกอบรมที่ใช้เวลาในการจัดสรรมากที่สุดและยาวนานมากที่สุด


 


ตั้งแต่ตำแหน่งไปจนถึงระยะเวลา เนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงของเกมส์ ชูฮันระบุไว้หมด โดยเฉพาะเนื้อหาของเกมส์ ชูฮันใช้ปากกาและน้ำหมดไปเยอะเพื่อออกแบบ และซูเฟิงก็เห็นสถานที่ของการประลองซึ่งอยู่ในเมืองขนาดกลางที่มีประชากรซอมบี้มากถึง1.5 ล้านตัว ส่วนเนื้อหาการฝึกนั้นคือรอบเมืองภายในระยะเวลาสองวัน และต้องมั่นใจว่าจำนวนบิสกิตในกระเป๋าเป้สะพายหลังของแต่ละคนจะต้องมีไม่ต่ำกว่าสิบถุงและน้ำดื่มจะต้องไม่น้อยกว่าสองขวด อีกทั้งทุกคนจะต้องเก็บคริสตัลของซอมบี้ระยะ 2 กลับมาได้อย่างน้อยสิบชิ้น


 


มันยังไม่จบแค่นั้นเพราะมาตรฐานของชัยชนะที่ตามมานั้น น่าตกใจยิ่งกว่า—–


 


ในสองวันนั้น แต่ละคนจะต้องขโมยชั้นในของสมาชิกอีกทีม ห้ามแอบบอกล่วงหน้า ห้ามโกง และสองวันต่อมาทีมไหนที่มีจำนวนชั้นในมากที่สุดจะได้รับชัยชนะ และของในกระเป๋าเป้จะกลายเป็นเครื่องบรรณาการแก่ผู้ชนะ


 


เพราะทั้งสองทีมถูกจับแยกขาดออกจากกันเพื่อการต่อสู้เสมือนจริง นอกเหนือจากการฝึกอบรมแล้วมันคือการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมด้วย มันต้องมีมาตรฐานของชัยชนะเพื่อมั่นใจว่าทั้งสองทีมจะดำเนินการแข่งขันกันต่อไป


 


นี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจที่สุด ที่แย่ที่สุดคือเมื่อชูฮันบอกให้คนพวกนี้เข้าไปในเมือง แท้จริงแล้วกระเป๋าเป้ทั้งหลายมีแต่ความว่างเปล่า!


 


กล่าวก็คือ บิสกิตสิบถุง น้ำเปล่าสองขวด คริสตัลของซอมบี้ระยะ 2 สิบชิ้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คนพวกนี้จะต้องหามาด้วยตัวเองเมื่อเข้าไปในเมือง ขณะต้องเดินทางฝ่าวิกฤตข้ามเมืองและต้องคอยจู่โจมอีกทีมเพื่อขโมยชุดชั้นและต้องแก้ปัญหาเรื่องอาหารไปด้วย


 


บ้าไปแล้ว!


 


ทันทีหลังจากซูเฟิงได้เห็นเนื้อการฝึกอบรมที่เฉพาะเจาะจงแต่ละอัน เขาก็ได้เห็นลายมือของชูฮันที่เขียนเน้นไว้ด้วยปากกาสีแดงอย่างชัดเจน : ไม่อนุญาตให้มีคนตาย ทุกคนต้องมาถึงหมด


 


ไม่อนุญาต? นี้เขาใช้คำว่าไม่อนุญาตจริงๆงั้นเหรอ?


 


เมื่อได้เห็นแบบนั้นซูเฟิงรู้สึกอยากจะถอนหายใจยาวขึ้นไปถึงท้องฟ้า มันจะเป็นไปได้ยังไง!


 


โปรแกรมการฝึกอบรมทั้งหมดคือการเปลี่ยนแปลง มันคุ้มค่ามากจริงๆที่แม้แต่ตัวชูฮันเองยังเรียกมันว่าการฝึกอบรมปีศาจ ซูเฟิงที่เห็นแผนการฝึกที่เต็มไปด้วยรายละเอียดอัดแน่นทั้งหมดของชูฮันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมชูฮันขึ้นมา กระดาษทั้งหมด 8 แผ่น 16 หน้าเต็มไปด้วยตัวหนังสือที่เขียนอัดแน่นจนไม่มีพื้นที่ว่าง  มันไม่ได้มีเพียงแต่เนื้อหาของการฝึกอบรมที่ไม่ซ้ำกันเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงข้อมูลการกระจายของซอมบี้ที่มีรายละเอียดสูงมาก ทั้งหมดนี้ทำให้ซูเฟิงรู้ว่าชูฮันได้ตรวจสอบข้อมูลมาอย่างดีเพื่อมั่นใจต่อความปลอดภัยของทีม ชูฮันได้พิจารณามาอย่างจริงจังรอบคอบแล้ว ไม่ใช่แค่การเขียนสุ่มๆ ทุกการฝึกดูอันตรายร้ายแรงอย่างมาก ความจริงแล้วมันเกินขอบเขตที่ใครจะทำได้


 


แต่ข้อมูลของชูฮันนั้นแม่นยำอย่างมาก!


 


จะมีคนกี่คนที่สามารถสร้างแผนการฝึกอบรมอย่างละเอียดขนาดนี้ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน? ปีนี้ชูฮันอายุแค่ 21 เท่านั้น เขาเคยรบมาแล้วกี่ครั้งกัน? ในระบบการศึกษาไม่ได้การสอนอะไรแบบนี้สักหน่อย?


 


เมื่อมองดูกำหนดการฝึกอบรมจากมุมกว้างไปจนถึงรายละเอียดยิบย่อย…การควบคุมเวลาตามจุดของเส้นการเดินทาง จุดหมายปลายทางในไม่กี่เดือน และแม้กระทั่งเวลามาถึงของจุดหมายปลายทางที่เมืองอันลู ทุกอย่างถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน


 


มันได้เปิดเผยความสามารถของชูฮันอย่างชัดเจน ไม่แปลกใจเลยที่คนแบบนี้จะอยู่แค่ที่ระดับวิวัฒนาการระยะ 4 ถ้าคนแบบนี้ยกระดับขึ้นด้วยความเร็วที่มากกว่านี้มันจะไม่ยุติธรรมกับทุกคน!


 


หลังจากดูโปรแกรมการฝึกอบรมจนหมดแล้ว ซูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมชูฮัน ผู้ชายคนนี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่ากองทัพซะอีกจนมาถึงจุดที่เรียกได้ว่าเหลือเชื่อ


 


โปรแกรมการฝึกอบรมนี้ได้รวบรวมเนื้อหาครอบคลุมไว้หมดทุกด้าน ถ้าคนหนึ่งร้อยคนสามารถสำเร็จการฝึกอบรมทั้งหมดได้ภายในสามเดือน ถ้างั้นทุกคนตั้งแต่หัวจรดเท้า จากทีมสู่บุคคล ความสามารถของทุกคนจะพัฒนาขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด


 


สิ่งที่ทำให้ซูเฟิงหัวใจเต้นแรงที่สุดคือการฝึกทั้งชุด การทำงานร่วมกันของทีมเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก!


เวลานี้ในที่สุดซูเฟิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมการฆ่าซอมบี้สิบตัวถึงถูกวางไว้ในหัวข้อการฝึกหัวข้อแรก เมื่อเทียบกับการเนื้อหาการฝึกอบรมด้านหลัง การฆ่าซอมบี้และตัดมันสิบตัวเป็นเรื่องที่ง่ายและสบายที่สุดแล้วโปรแกรมการฝึกทั้งหมด


 


ต่อมาซูเฟิงก็ต้องอุทานเสียงยาวเมื่อเขาเปิดมาจนถึงเนื้อหาหน้าสุดท้าย ในหน้านี้มีรายชื่อที่ถูกระบุไว้มากกว่าสิบชื่อ…เฉินช่าวเย่ หลิวยู่ติง หลี่บี๋เฟิง และเหล่าคนที่แข็งแกร่งทั้งหลาย ที่ด้านหลังชื่อของแต่ละคนจะตามมาด้วยโปรแกรมการฝึกเฉพาะที่แยกออกไป และบรรทัดสุดท้ายซูเฟิงก็ได้เห็นชื่อของตัวเอง


 


ซูเฟิง : วิวัฒนาการระยะ 6 คนคนนี้ไม่ชอบเข้าสังคม จำเป็นต้องโยนเข้าไปให้อยู่รวมกับคนอื่นเพื่อปรับตัวและสั่งสอน


 


ห้ะ?


 


ซูเฟิงวางตารางฝึกอบรมลงและออกจากเต้นท์ไปอย่างเงียบๆและหาจังหวะที่จะหลบหนีออกไป ถึงอย่างนั้นซูเฟิงก็ยังสงสัยเกี่ยวกับการฝึกอบรมต่อไปของชูฮันและไม่สามารถทำใจหนีไปได้!


 


ชูฮันที่ควรจะหลับอยู่ในเต้นท์ลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็เก็บตารางฝึกซ้อมที่ซูเฟิงได้เห็นไปแล้วขึ้นมา…

 

 

 


ตอนที่ 469

 

หนึ่งเดือนต่อมา ณ หมู่บ้านที่พังทลายจากฝีมือของฝูงซอมบี้และได้กลุ่มของชูฮันเข้ามาช่วยเหลือทันเวลา ตอนนี้ชูฮันกำลังนั่งอยู่บนหลังคาของห้องห้องหนึ่งเพื่อจัดเตรียมตารางการฝึกซ้อม เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนกำลังคนของทีมฝึกไปตามแต่ละเดือน หลิวยู่ติงกำลังจัดระเบียบข้อมูลของคนทั้งหนึ่งร้อยคนในทีมอยู่


 


ภายในเวลาหนึ่งเดือน การเดินทางทั้งหมดถูกควบคุมโดยชูฮัน พวกเขาเดินเส้นทางสำเร็จไปแล้วหนึ่งในสามที่วางแผนไว้ อีกทั้งระยะห่างระหว่างถนนแต่ละเส้นนั้นก็ไม่ได้แย่มาก แค่นี้หลิวยู่ติงก็ตกใจมากแล้วที่ทุกอย่างสำเร็จไปภายในระยะเวลาแค่เดือนเดียว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หลิวยู่ติงเองก็ออกตัวไว้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แต่พอหนึ่งเดือนต่อมาเขาไม่คิดเลยว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะกลายมาเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างที่ชูฮันคาดการณ์ไว้ดำเนินไปอย่างแม่นยำและพัฒนาไปอย่างสมบูรณ์ตามที่ชูฮันคาดการณ์ไว้ทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย


 


และเมื่อสองวันก่อน ชูฮันได้เรียกทุคนมารวมตัวและเปิดโปรแกรมฝึกอบรมเสมือนจริงขึ้นเป็นครั้งแรก โปรแกรมฝึกนี้ทำให้หลิวยู่ติงรู้สึกกลัวที่จะดำเนินการตาม เขากลัวว่ามันจะมีอุบัติเหตุร้ายๆเกิดขึ้น อย่างไม่คาดคิดทีมทหารของชูฮันหนึ่งร้อยคนต่างเดินทางตามมาถึงที่หมู่บ้านนี้ตามตารางเวลาอย่างแม่นยำ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ทุกคนมาถึงกันหมดอย่างพร้อมเพรียง!


 


ชูฮันเพียงแค่ยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลกๆ โดยปกติแล้วนิสัยความเคยชินของมนุษย์จะคงค้างอยู่ที่สิบห้าวัน ดังนั้นเวลาหนึ่งเดือนนั้นมากพอแล้วที่จะสร้างความคุ้นชินกับจิตใต้สำนึกและทำให้ทุกคนสามารถนำไปใช้ในการต่อสู้จริง ชูฮันได้ฉีดอัดข้อมูลมากมายเข้าไปในหัวของทุกคนตั้งแต่เดือนที่แล้วมาเรื่อยๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ในเวลานี้การปล่อยโปรแกรมฝึกออกไปอย่างกระทันหันไม่เพียงแต่เพื่อต้องการฝึกฝนทหารทุกคนแต่ยังเพื่อปล่อยให้ทุกคนได้มีเวลาผ่อนคลายล่วงหน้าก่อนเพราะพวกเขาคงจะไม่มีโอกาสได้หาเวลาผ่อนคลายกันแบบนี้แล้วเมื่อเข้าไปในเมือง


 


และเพียงแค่ครั้งแรกแม้เนื้อหาที่แท้จริงของโปรแกรมการฝึกจะทำให้หลิวยู่ติงเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกดดันและหวาดกลัวแต่ตอนนี้มันก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะตามมาทีหลัง


 


“ข้อมูลถูกคัดแยกออกแล้ว” หลิวยู่ติงรายงาน


 


ณ จุดนี้เรียกได้ว่าหลิวยู่ติงคือมือขวาของชูฮันก็ว่าได้ ถึงแม้เขาจะไม่แข็งแกร่งและมีความสามารถที่น่ากลัวเท่ากับเฉินช่าวเย่  แต่ในด้านการจัดการประสิทธิภาพของทีมนั้นไม่มีใครเทียบเท่าหลิวยู่ติงได้


 


ชูฮันรับเอกสารที่หลิวยู่ติงส่งมาไว้ ซึ่งมันก็คือการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในแต่ละทีมตามการบันทึกอย่างละเอียด


 


“คนทั้งหมด 30 คนได้รับการกระตุ้นจนพัฒนาเป็นวิวัฒนาการจากหนึ่งเดือนที่ผ่านมา” หลิวยู่ติงค่อยๆพูด “จำนวนของมนุษย์สายพันธ์ใหม่ในทีมตอนนี้มีมากกว่าครึ่ง ทั้งหมดคือ 68 คน”


 


มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ คือคำเรียกของ…วิวัฒนาการและพรสวรรค์ แม้ว่าคำคำนี้จะยังไม่ได้ถูกมาใช้อย่างเป็นที่นิยมในจีนทว่าชูฮันนำมันมาใช้เมื่อเขาเริ่มทำการจัดเก็บข้อมูลของลูกทีมเขา


 


“การเพิ่มขึ้นโดยรวมทั้งหมดอยู่ในระดับที่ดี” ชูฮันพยักหน้า “ซอมบี้สิบตัวและการฝึกสังหารหมู่สี่ครั้งทุกๆสิบวันตลอดไปอีกสองเดือน แต่เราจะไม่ใช้ถนนเส้นทางเดิมอีก คราวนี้เราจะเข้าไปในเมืองกันแทน”


 


หลิวยู่ติงกลืนน้ำอึกอย่างกังวล เขาเคยเห็นตารางการฝึกของชูฮันแล้ว เขาไม่เข้าใจอะไรหลายอย่างในนั้น แต่ก็เหมือนกับซูเฟิง…หลิวยู่ติงรู้สึกหวาดกลัว โปรแกรมการฝึกของเดือนที่แล้วถือว่าน่ากลัวและแย่พอแล้ว สำหรับการกระตุ้นให้คน 30 กลายเป็นวิวัฒนาการ ลองนึกภาพดูว่ามันต้องฝึกฝนอย่างเดิมๆซ้ำอยู่กี่ครั้งถึงสำเร็จได้


 


แต่นี้มันเป็นแค่ปฐมบทเท่านั้นเมื่อเทียบกับโครงการที่จะตามมา การฝึกปีศาจที่แท้จริงพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น


 


“นี่เรารวมถึงลูกทีมที่ค่ายไปด้วยหรือยัง?” จู่ๆชูฮันก็ถามออกมา


 


หลิวยู่ติงไม่เข้าใจความคิดของชูฮัน หากเขาก็พยักหน้า “สถิติของเรายังไม่ได้รวมคนที่ค่ายเขี้ยวหมาป่า นี้เป็นแค่จำนวนของกลุ่มคน 200 คนเท่านั้น ซึ่งมีวิวัฒนาการและพรสวรรค์อยู่บางส่วน ไปกันเถอะ”


 


ชูฮันยกมือขึ้นแตกคาง “เราช่วยแก้ปัญหาฝูงซอมบี้ให้ แล้วคนพวกนี้ว่าอะไรบ้าง?”


 


“ขอบคุณ” หลิวยู่ติงพูดพลางย่นคิ้วจนหน้าขมวด “แต่มีหลายคนที่ไม่พอใจ พวกเขาสูญเสียพวกพ้องไปพอสมควรและการขออาหารจากพวกเราก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง บางคนมาเคาะประตูแทบจะทุกนาทีและเมื่อพิจารณาถึงจำนวนของคนที่ไม่มีความละอาย มันมากเกินกว่าที่ทีมพวกเราจะทนไหว อีกทั้งคนของพวกเราก็เหนื่อยล้ามากพออยู่แล้วเป็นทุนเดิมจากการสู้รบ”


 


ชูฮันเลิกคิ้ว “มันมากเกินไป และบางครั้งการระงับอารมณ์รุนแรงของเราเอาไว้ก็ดีกว่าการเปลืองน้ำลาย”


 


หลิวยู่ติงบิดมุมปาก เขารู้อยู่แล้วว่าชูฮันจะพูดแบบนี้


 


“แล้วทัศนคติของวิวัฒนาการและพรสวรรค์ 20 คนจากซางจิงเป็นยังไง?” จู่ๆชูฮันก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง


 


“นายต้องการโน้มน้าวคนพวกนั้น?” หลิวยู่ติงรู้ทันความคิดของชูฮันและพยายามจะห้าม “อย่าเชียวนะ คนพวกนั้นอยู่กับพวกกลุ่มผู้ลี้ภัยมานาน  บุคคลิกของคนพวกนั้นยากที่จะดึงตัวมาได้ ดึงพวกเขาออกมาจากครอบครัว มันคือการกระทำที่ไร้คุณธรรมและบรรทัดฐานอย่างสิ้นเชิง และถึงแม้ว่าต่อหน้าคนพวกนี้จะแสร้งทำเป็นซาบซึ้งในบุญคุณ แต่ฉันเกรงว่ามันจะไม่ง่ายต่อการควบคุมการทำงานของทั้งทีม”


 


“มันฟังดูสมเหตุสมผลดี งั้นเรียกรวมทุกคนและคนสองร้อยคนของหมู่บ้านออกมา ฉันมีเรื่องบางอย่างจะพูดกับพวกนั้น” หลังจากพูดประโยคนั้นออกไปหลิวยู่ติงก็นิ่งไปพักหนึ่ง ชูฮันมองไปที่โปรแกรมการฝึกอันต่อไปบนตารางฝึก—–


การฝึกเพื่อเอาชีวิตรอด


 


หลิวยู่ติงมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่


สิบนาทีต่อมา พื้นที่โล่งเพียงจุดเดียวในหมู่บ้านเล็กๆก็ถูกเติมเต็มจนล้น สมาชิกหนึ่งร้อยคนในทีมของชูฮันยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างอย่างเป็นระเบียบ หน้าตาเรียบนิ่งราวกับรูปปั้น ไม่มีใครเปิดปากพูดคุยหรือแม้แต่สายตาก็ยังไม่มีการขยับล่อกแลก


 


ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนได้เปลี่ยนทุกคนให้กลายเป็นกองทัพนักรบที่แท้จริงแม้พวกเขาจะยังอยู่ห่างไกลจากข้อกำหนดของชูฮันแต่แค่นี้พวกเขาก็ถือว่าห่างไกลจากทีมทั่วไปมากพอแล้ว โดยเฉพาะทีมที่พลัดถิ่นมาแบบนี้


 


ในขณะนี้ศูนย์กลางของสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย คนสองร้อยส่งเสียงดังวุ่นวาย ทุกคนยืนรวมตัวกันด้วยสีหน้าปกติของเหล่าผู้ลี้ภัยในโลกาวินาศหรือบางคนก็นั่งอยู่ที่พื้น พวกเขาไม่สนใจว่าพวกเขาจะสกปรก ไม่สนใจว่ากลุ่มทหารของชูฮันที่ยืนอยู่ด้านข้างจะมองพวกเขายังไง พวกเขาต้องเพียงแค่อาหารและผู้หญิงเท่านั้น


 


ติงเซวและชูเซี่ยที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดท่ามกลางกลุ่มทหารหนึ่งร้อยคนของชูฮัน พวกเธอถูกจับจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้าจากสายตาของพวกผู้ลี้ภัยทั้งสองร้อยคน สายตาที่เต็มไปด้วยความโลถและความกระสันที่มองมาอย่างหยาบโลน


 


ถึงเช่นนั้น แต่ติงเซวและชูเซี่ยกลับมีท่าทีไม่แยแส ทว่าแววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาของพวกเธอแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ภายในที่ขุ่นมัวอย่างไม่พอใจ


 


และเมื่อชูฮันเดินออกมาจากตัวบ้าน เขาก็ได้เห็นภาพที่เกิดขึ้น แววตาของทั้งสองสาวที่เป็นประกายคมวาวและทั้งพื้นที่ที่เต็มไปด้วยวุ่นวายของผู้ลี้ภัยสองร้อยคน


 


“เงียบ!” หลิวยู่ติงเดินตามหลังชูฮันออกมาพร้อมกับเอกสารในมือที่เต็มไปด้วยข้อมูล และทันทีที่หลิวยู่ติงเห็นภาพตรงหน้าเขาก็ตะโกนลั่นออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดทันที “ทุกคนเงียบ! ท่านมีเรื่องจะพูด!”


 


ใครจะสนใจ? คิดว่าแค่ใส่เครื่องแบบทหารแล้วดีนักเหรอไง?


 


ไม่มีใครสนใจคำพูดของหลิวยู่ติงแถมเสียงก็ยิ่งดังหนวกหูขึ้นกว่าเดิมอีก หลายคนเริ่มแหกปากตะโกนใส่ชูฮันและมองด้วยสายตาหยาบคาย


 


เหล่าทหารทั้งหนึ่งร้อยนายของชูฮันก้าวเดินเขยิบเข้ามาอย่างพร้อมเพียงเป็นจังหวะเดียวกันด้วยท่าทีคุกคาม หลังจากการฝึกฝนตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทัศนคติที่มีต่อชูฮันได้เปลี่ยนไปแล้ว คำสั่งของท่านคือที่สุด ขัดขืนไม่ได้!


 


เหล่าคนต่อต้านในฝูงชนเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ หลายคนเริ่มกังวลกับท่าทีเรียบนิ่งของเหล่าทหารรอบๆ หากเสียงจากฝูงชนก็ยังคงดังน่ารำคาญอยู่ดี


 


ชูฮันเพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือออกมาห้ามนายทารหนึ่งร้อยคนที่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจเอาไว้ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวอันพร้อมเพรียงและน่าประหลาดใจสลายไปทันที


 


เมื่อได้เห็นภาพนั้น เหล่าผู้ลี้ภัยสองร้อยคนก็ยิ่งมีท่าทีหย่ิงผยองและอวดดีมากกว่าเดิม จากสายตาดูถูกไปจนถึงการก่นด่า

 

 

 


ตอนที่ 470

 

ชูฮันยิ้มอีกครั้ง ไร้การเตือนใดๆ—-


 


“ปัง!”


กำปั้นชนเข้ากับกำแพงที่อยู่ถัดไป!


“ผลั้วะ ~”


บ้านหลังเล็กๆเพียงหลังเดียวที่มีสภาพสมบูรณ์จากทั้งหมู่บ้านถล่มลงมาอย่างกระทันหันจนกลายเป็นเหลือแต่กองซากปรักหักพัง


 


ครั้งนี้ ฝูงชนกลายเป็นเงียบสนิททันที


 


อารมณ์ทั้งหลายตีกันวุ่นไปหมด ทั้งช็อค วิตก และความไม่พอใจต่างปรากฏอยู่บนสีหน้าหลายๆคนทันที จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดลั่นที่เต็มไปด้วยอาการหวาดกลัวของเหล่าผู้ลี้ภัย 200 คนที่ตีกันวุ่น


 


ไม่เพียงแต่แค่ 200 คนนั้นที่อึ้งแต่หลิวยู่ติงที่ยืนอยู่ข้างชูฮันก็ช็อคเช่นกัน เขามองไปที่บ้านที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว หัวใจเต้นรัวราวกับจะระเบิด ก่อนหน้านี้ชูฮันให้เอกสารในมือให้เขามาถือเอาไว้ แสดงว่าชูฮันรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น นี้เขาคาดการณ์และวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้วสินะ


 


เฉินช่าวเย่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางทีม 100 คน ก็ตะลึงไปเช่นกัน น้ำเสียงของหัวหน้านั้นดังชัดเจนท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด “ฉันรู้ว่าพวกคุณไม่พอใจอย่างมากกับการมาถึงของพวกเรา”


 


โดยไม่คาดคิด นี้คือการพูดเปิดของชูฮัน ไม่มีการแนะนำ ไม่มีการคำรามอย่างโมโห ไม่มีการใช้อารมณ์เพื่อให้มันสอดคล้องกับบรรยากาศดุดัน!


 


“แต่พวกคุณไม่ใช่ทั้งถูกรบกวนและไร้ประโยชน์ พวกซอมบี้ทั้งหมดถูกพวกเราฆ่าเรียบร้อยแล้ว วิกฤตปัญหาถูกแก้ไขแล้วโดยพวกเรา เราเข้ามายึดครองสถานที่แห่งนี้!” ชูฮันยกเท้าขึ้นและออกเดินย่ำไปมาตามขนาดพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งจังหวะการเดินของชูฮันเป็นเหมือนการยั่วยุอารมณ์ของคนคนหนึ่งให้ปะทุขึ้นมา


 


“พวกคุณมีอะไร? พวกคุณไม่มีอะไรสักอย่าง!” เมื่อชูฮันพูดขึ้นมาอีกรอบ ฝูงชนต่างก็ทำตัวไม่ถูกกันไปหมดแล้ว “พวกคนที่มีความสามารถก็ไม่มีใครกล้าจะทำอะไร เพราะแต่ละคนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นจะตาย พวกคุณสนแต่ตัวเองเท่านั้น ฉันสามารถฆ่าพวกคุณทั้งหมดและปล่อยเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำได้ง่ายๆ เพราะอย่างไรก็ตามนี่เป็นยุคโลกาวินาศ การที่จะฆ่าผู้ลี้ภัยสองร้อยคนหรือแม้แต่พันคน ก็ไม่มีใครสามารถเอาผิดฉันได้”


 


หลังจากพูดแบบนั้นพร้อมกับหยุดยืนต่อหน้าฝูงชนด้วยสายตาน่ากลัว ชูฮันก็เลิกเสื้อคลุมออกเล็กน้อยเพื่อให้เห็นด้านบน นิ้วแตะลงตรงตราบนหน้าอก “พวกคุณรู้จักตรานี้มั้ย?”


ทันใดนั้นกลุ่มคนก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแค่เพราะคำพูดของชูฮันแต่เป็นเพราะพวกเขานึกไม่ออก ด้วยความรู้ที่มี…พวกเขาไม่เคยได้เห็นหรือรับรู้ถึงตราสัญลักษณ์นี้มาก่อนเลย


 


“นี่คือเครื่องหมายแสดงถึงพลเอก” ชูฮันอธิบายจบ อีกครั้งที่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและความกดขี่ก็ดังขึ้น “ฉันชูฮัน พวกคุณอาจรู้จักชื่อฉันแต่ไม่เคยเห็นหน้าฉันมาก่อน ฉันเป็นหนึ่งในสิบห้าพลเอกของจีนและก็ยังเป็นนายพลเอกที่อายุน้อยที่สุด ฉันอายุ 21 ปี ต่อสู้จนได้รับชัยชนะมามากมาย และทุกครั้งที่มีสงครามและการต่อสู้กวาดล้างฝูงซอมบี้ กองทัพของฉันไม่เคยมีใครเสียชีวิต!”


 


ภายในการพูดไม่กี่ไม่ประโยคของชูฮัน ส่งผลให้ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมา ทั้งสองร้อยคนต่างถูกดึงดูดไปกับคำพูดของชูฮัน เนื่องจากความมืดภายในใจของพวกเขานั้นคิดว่าไม่ใช่เพราะชูฮันไม่ได้น่าเบื่อเหมือนกับพวกคนมียศคนอื่นๆ แต่เป็นเพราะเนื้อหาที่ชูฮันพูดนั้น่าสนใจและดึงดูด


พลังการต่อสู้ที่สุดยอด เอกลักษณ์ที่โดดเด่น การกระทำระดับตำนาน แต่ละอย่างทำให้หลายๆคนได้แต่เกิดความสงสัย ในเวลานี้เหล่าคนสองร้อยคนไม่ได้คิดว่าเลยว่าคนแบบนี้จะมายืนปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา และกลายเป็นว่าคนคนนั้นคือชูฮัน ผู้ที่ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี!


“ฉันไม่สนใจเกี่ยวกับพวกคุณและไม่สนใจความคิดของพวกคุณเลยสักนิด พวกคุณอยากจะพูดอะไรก็พูดไปแต่รู้ไว้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมาขออะไรจากฉัน ฉันแค่จะบอกว่ารอให้ฉันจากไปเอง อยากจะทำอะไรก็ทำแต่อย่าทำต่อหน้าให้ฉันเห็นละกันเพราะฉันเป็นที่รู้จักดีเรื่องฆ่าคน” น้ำเสียงของชูฮันโหดเหี้ยม “ทรัพยากรของฉันนั้นมีไว้สำหรับทหารของฉันเท่านั้น ไม่ใช่เอามาเสียเปล่ากับพวกขยะ!”


 


หลังจากชูฮันพูดจบ สองร้อยคนต่างพลันหน้าซีดเผือด


 


หากยังมีอีกเสียงโพล่งขึ้นตามมา “ฉันไม่ใช่ขยะ!”


 


ชูฮันบิดปาก


 


“ไม่ใช่ขยะ?” ชูฮันเย้ยหยันและพูดต่อ “กลุ่มคนจำนวนสองร้อยคน กลัววิ่งหนีหดตดหายเมื่อเห็นซอมบี้พันตัวเข้ามาใกล้ นี่ไม่ใช่ขยะงั้นเหรอ?”


“นั่นก็เพราะพวกเราไม่มีปืน!” บางคนโต้แย้งขึ้น


 


น้ำเสียงของชูฮันตอบกลับอย่างเย็นชา “คนของฉันไม่มีปืน”


 


“นั่นก็เพราะพวกแกทั้งหมดเป็นวิวัฒนาการต่างหาก!” เสียงคัดค้านยังคงดำเนินต่อไป “พวกแกต้องเป็นวิวัฒนาการไม่ก็พรสวรรค์ ไม่อย่างนั้นพวกแกจะเอาชนะซอมบี้มากขณะนี้ได้ยังไง แต่พวกเรามีแค่ 20 ที่เป็นและอีก 180 คนก็เป็นแค่คนธรรมดากันหมด มันจะไปเทียบกันได้ยังไง?”


 


“คนธรรมดาจำเป็นต้องกลัวซอมบี้ด้วยเหรอ? คนธรรมดาก็สามารถฆ่าซอมบี้เป็นพันตัวได้เหมือนกัน!” รอยยิ้มในแววตาของชูฮันฉายวาวขณะคำนวนทุกอย่างอยู่ในหัว ชูฮันแสยะยิ้มจากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางกองทัพหนึ่งร้อยคนที่ยืนอยู่ถัดไปด้วยสีหน้านิ่งๆ “ในกลุ่มนี้ มีเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่และอีกครึ่งก็เป็นคนธรรมดา”


 


ความสยองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสองร้อยคน จากนั้นมันก็กลายเป็นความไม่เชื่อ


 


“ไม่เชื่องั้นเหรอ?” ชูฮันสั่งหลี่ชวน “หลี่ชวน บอกพวกเขาสิ”


สายตาของทุกคนพลันเปลี่ยนจากชูฮันไปมองที่ด้านข้างแทนทันที


 


หลี่ชวนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น หากสีหน้าที่แสดงออกต่อหน้าทุกคนกลับเป็นความจริงจัง เขาแสดงท่าวันทยาหัตถ์แก่ชูฮันและร้องตอบเสียงดังฟังชัด “ครับ! ท่าน!”


 


การปฏิบัติตามระเบียบของทหารที่ดูเป็นทางการสะดุดตาของทุกคน เครื่องแบบทหารของหลี่ชวนเองก็เปื้อนไปด้วยหยดเลือดสีดำของซอมบี้ ซึ่งแตกต่างจากเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านของทหารหลายๆคน


 


หลังจากทำท่าวันทยาหัตถ์เสร็จ หลี่ชวนก็ยืนตัวตรงพร้อมพูดเสียงดังสุดคอและเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “ผมชื่อหลี่ชวน อายุ 22 ปี ตำแหน่งสิบเอก ไม่ใช่ทั้งวิวัฒนาการหรือพรสวรรค์!”


หลายคนที่ได้ยินต่างมีแววตาประกาย คนธรรมดาก็สามารถเป็นทหารได้?


 


“ผม…ผมมีประสบการณ์การต่อสู้มาแล้วทั้งหมด 6 สนาม!”


 


“ครั้งแรกคือการต่อสู้เคียงข้างท่านชูฮัน สงครามครั้งนั้นคือสงครามเมืองแห่งความตาย กองกำลังของเขามีคนทั้งหมด 700 คน เราฆ่าซอมบี้ตายทั้งหมดโดยไม่มีผู้บาดเจ็บ!”


 


“ครั้งที่สองก็คือการต่อสู้ร่วมกับท่านชูฮันเช่นกัน กองทัพของเราหนึ่งร้อยคนสามารถฆ่าซอมบี้ 3,000 ตัวตายโดยไม่มีผู้บาดเจ็บ! อีกทั้งมันยังมีซอมบี้ระยะ 3 และ 4 อยู่ด้วย ซอมบี้ระยะ 3  หนึ่งร้อยตัว ในสงครามครั้งนี้ตัวผมได้ฆ่าซอมบี้ซอมบี้ระยะ 2 ไปทั้งหมดแปดตัว และซอมบี้ระยะ 1 สามสิบตัว!”


“ครั้งที่สามคือสงครามซอมบี้ และกองทัพของเรามีคนทั้งหมดหนึ่งร้อยคน ภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง เราฆ่าซอมบี้ไปได้ทั้งหมด 2,500 ตัว โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ! ในสงครามนี้ ตัวผมฆ่าซอมบี้ระยะ 2 ไปทั้งหมดสี่สิบตัว และซอมบี้ระยะ 1 อีกนับไม่ถ้วน!”


 


“ครั้งที่สี่…!”


หลี่ชวนรายงานไปเรื่อยๆตั้งแต่สงครามครั้งแรกของสงครามเมืองแห่งความตาย ซอมบี้หลายพันตัวที่ถูกฆ่าในวันนั้น ข้อมูลทุกอย่างถูกรายงานไปทีละอันเรื่อยๆ ชูฮันพอใจอย่างมากกับสิ่งที่ได้ยินและตั้งใจฟัง มันคือความสำเร็จของพวกเรา เหล่าทหารที่เหลือหนึ่งร้อยคนเองก็ภาคภูมิใจอย่างมากกับสิ่งที่ได้ยินและยิ่งตกใจมากกว่าเมื่อได้เห็นสีหน้าตกใจของผู้ลี้ภัยสองร้อยคน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม