Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย 457-463

ตอนที่ 457

 

หลี่ชวนไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากกลืนน้ำลายอึก จากนั้นก็ยิ้มแหยออกมา “ฉันชื่อหลี่ชวน อายุยี่สิบสอง เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง เก่งเรื่องร้องเพลงและเต้นเพื่อสร้างความบันเทิงและกระตุ้นทีม ฉันไม่มีตำแหน่งทางทหาร ไม่ได้เข้าร่วมกับกองทัพอย่างเป็นทางการ เป็นแค่กองกำลังอาสา ตั้งใจจะติดตามหัวหน้าชูฮันไปที่ค่ายเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพของหัวหน้าชูฮัน ฉันเป็นแค่คนธรรมดาไม่ได้เป็นทั้งวิวัฒนาการหรือพรสวรรค์ แต่ฉันสามารถฆ่าซอมบี้ได้เป็นจำนวนมาก ฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


“เฮ้ เฮ้” กลุ่มคนที่ได้ยินประโยคแถลงแนะนำตัวเริ่มส่งเสียงหัวเราะกันออกมา ทว่าไม่นานพวกเขาก็เริ่มหัวเราะไม่ออก


 


เพราะคำพูดของหลี่ชวนยังคงไม่จบ “พวกนายเคยได้ยินเรื่องสงครามเมืองแห่งความตายมั้ย? ฉันเป็นคนแรกที่ติดตามการต่อสู้ของหัวหน้าชูฮันตั้งแต่สงครามเมืองแห่งความตายนั่น”


 


ประโยคที่จู่ๆก็โพล่งออกมาอย่างกระทันหันและเหนือความคาดหมายของหลี่ชวนส่งผลให้ฝูงชนเงียบเสียงลงทันที คำว่าสงครามเมืองแห่งความตายทำให้คนกว่าร้อยคนต่างพร้อมใจกันมองไปที่แววตาของหลี่ชวนที่กำลังเปล่งประกาย


 


ใครจะไม่รู้จักสงครามเมืองแห่งความตาย? ใครจะไม่เคยได้ยินล่ะ?


 


และการที่หลี่ชวนที่ไม่ใช่แม้แต่วิวัฒนาการแต่เป็นแค่คนธรรมดาที่รอดมาจากสงครามเมืองแห่งความตายได้ด้วยฝีมือของชูฮัน


 


ไม่แปลกใจ!


 


ทันใดนั้นหลายคนก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวมันคืออะไร ไม่แปลกใจที่คนธรรมดาอย่างหลี่ชวนกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวซอมบี้ แถมยังไล่ฆ่าซอมบี้ได้มากมายต่อหน้าต่อตาพวกเขา มันช่างเป็นสถิติตัวเลขที่น่าตกใจและกล้าหาญยิ่งนัก!


 


สงครามเมืองแห่งความตายมันน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอ? มันทรงพลังถึงขั้นฝึกฝนคนธรรมดาให้กล้าแกร่งได้ถึงขนาดนี้เลย!? มุมปากของชูฮันมีร่องรอยของการยิ้มมุมปากเล็กน้อย การยืมมือหลี่ชวนมาช่วยนั่นได้ผลจริงอย่างที่คิดไว้ มันทำให้เสียงดังของฝูงชนเงียบลงทันทีอีกทั้งยังดึงความสนใจของทุกคนไปหมด ไม่ใช่แม้กระทั่งวิวัฒนาการหรือพรสวรรค์แต่กลับแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ และวันต่อไปในข้างหน้าพลังของหลี่ชวนอาจถูกปลุกให้ตื่นจนกลายเป็นวิวัฒนาการก็เป็นได้?


 


มันเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการออก!


 


“ชื่อของฉันคือเย๋เฉิน” ตอนนั้นเองเย๋เฉินก็ลุกขึ้น เขายังคงสวมแว่นอยู่เหมือนเดิมซึ่งมันทำให้เขาดูเป็นคนที่สุภาพมาก หากไม่ได้มีการร่ายประวัติส่วนตัวซะยาวเหยียดก่อนจะเข้าเรื่องแบบหลี่ชวน เย๋เฉินปาระเบิดเข้าใส่ทันทีอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “ฉันเองก็ติดตามหัวหน้าชูฮันมาจากเมืองแห่งความตาย ฉันเป็นวิวัฒนาการระยะ 2 เป็นคนเงียบๆขรึมๆไม่ชอบพูดคุยกับใครเรื่อยเปื่อย ฉันเก่งเรื่องแทงข้างหลังคนอย่างเช่นการใช้ยาพิษ…จบ”


 


ยิ่งเย๋เฉินพูดบรรยากาศรอบๆยิ่งเงียบสนิทลงมากกว่าเดิมอีก จนมีแต่เสียงเผาไหม้ของกองไฟเท่านั้นที่ได้ยิน สายตาของทุกคนต่างจ้องไปที่เย๋เฉินกันหมด บางคนมีแววตาสยองด้วยซ้ำ ยิ่งท่าทางนิ่งขรึมของเย๋เฉินที่แสดงออกยิ่งทำให้บางคนกลัวจนไม่กล้าจะเอ่ยปาก


 


คนที่ออกมาจากสงครามเมืองแห่งความตายได้น่ากลัวกันอย่างนี้หมดเลยเหรอ? ทำไมแต่ละคนถึงมีออร่าบางอย่างที่พวกเขาบรรยายไม่ถูกอยู่รอบๆตัว?


 


มุมปากของชูฮันยิ่งกดลึกขึ้นไปอีกขณะคิด…หลี่ชวนกับเย๋เฉินนี่เข้ากันดีจริงๆ คนหนึ่งพูดข่มและคลุมเครือ ส่วนคนต่อมาก็สานต่อยิ่งทำให้คนฟังหวาดกลัวเข้าไปอีกกว่าเดิม


 


เมื่อหลี่ชวนและเย๋เฉินเป็นคนนำ เหล่าคนที่ติดตามชูฮันมาเหมือนกันก็ค่อยๆลุกขึ้นไล่ตามกันมาพร้อมกับบอกข้อมูลส่วนตัวของตัวเองด้วยท่าทางจริงจังไล่ไปทีละคนๆข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปของแต่ละคนถูกชูฮันจดจำไว้…


 


“ฉันชื่อกูเหลียงเฉิน วิวัฒนาการระยะ 3” ทันใดนั้นมันก็มีน้ำเสียงเย็นๆดังขึ้นพร้อมกับสายตาที่จับจ้องมาที่ชูฮัน เฉินช่าวเย่และหลิวยู่ติงมองตามเสียงนี้ไปทันที


 


เขาคือชายหนุ่มที่ดูเหมือนกับคนอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวเขา มีตราตำแหน่งสิบเอกติดอยู่ตรงหน้าอก และทันทีที่เห็นคนคนนี้แววตาของชูฮันก็เป็นประกายจ้า


 


คนคนนี้ เขาจำได้ คนคนนี้คือหนึ่งในทหารยี่สิบนายที่เข้าร่วมสู้กับฝูงซอมบี้


 


โดยไม่คาดคิด เขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มทหาร และตั้งแต่แรกเริ่มที่เผชิญหน้ากับกลุ่มของเฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวก ตั้งแต่แรกจนจบมันไม่ข้อแตกต่างชัดเจนให้เห็น แม้แต่ตอนที่ชูฮันกำลังฆ่าซอมบี้ คนคนนี้ก็ไม่ได้คิดจะหลบซ่อนตัว


 


แต่คนคนนี้มีความภักดีต่อชูฮันเป็นศูนย์!


 


แม้จะตัดทอนความเป็นไปได้ของจิตใจที่แข็งแกร่งและความไม่เชื่อของแต่ละบุคคลออกไปแล้ว แต่สำหรับระบบล่มสลายที่นอกเหนือจากป่ายหวีเนอที่มีความผิดปกติลึกลับซึ่งไม่แสดงข้อมูลใดๆเลยในระบบล่มสลายนั้น คนอื่นๆที่ได้เคยเผชิญหน้ากับชูฮันมาแล้วจะไม่สามารถหลบหนีการตัดสินความภักดีของระบบล่มสลายได้ ตราบใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันแม้เพียงเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ได้ชื่นชอบแต่อย่างไรก็ตามมันก็จะมีอย่างน้อย 1 ถึง 10 เปอร์เซ็นของความภักดีต่อชูฮันแสดงให้เห็น


 


เพราะฉะนั้นเมื่อมองในมุมนี้ กูเหลียงเฉินจึงน่าจะเป็นสายที่ใครบางคนจงใจส่งมามากกว่า! คำพูดของกูเหลียงเฉินค่อนข้างสั้นและรวบรัด เขาเป็นคนที่พูดแนะนำตัวน้อยที่สุด เพียงแค่พูดชื่อและระยะวิวัฒนาการของตัวเอง ส่วนเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากนั้นเขาไม่ได้กล่าวถึงเลยสักนิด


 


“ซ่อนตัวไว้ซะลึก!” หวังไคอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาในความคิดของชูฮัน “ผู้ชายคนนี้ช่างเย็นชาเหลือเกิน ส่วนที่เหลือก็ไม่กล้าจะเปิดปากพูดเพราะกลัวความเป็นไปได้ที่จะถูกจับได้”


 


ชูฮันไม่ได้พูดตอบ ทว่าในหัวใจของเขาก็เชื่อมั่นเช่นนั้น


 


การแนะนำตัวเองยังคงดำเนินต่อไป และไม่กี่นาทีต่อมามันก็เสร็จไปแล้วหลายสิบคน ทว่ามีเหลือเพียงแค่สองคน…ฮัวหมิงและหลี่ซิงยู ที่ยังไม่ปรากฏตัว


 


ในเวลานี้ หลี่บี๋เฟิงพูดจบ และหลูเหวินเชิงยืนขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อพูดต่อ ขณะที่หลูเหวินเชิงกำลังคิดว่าเขาจะต้องพูดให้ดี…


 


ปึง! ปัง! ปึง!


ทันใดนั้นเองจู่ๆภูเขาก็สั่นไปมาอยู่พักหนึ่ง


 


เพล้ง!


อาหารที่กำลังถูกปรุงอยู่ล้มลงมาทั้งหม้อ


 


@#$%^@#$%^&*()@#$%^!


 


หลายคนเสียการทรงตัว


 


ร่างอ้วนกลมของเฉินช่าวเย่ที่นั่งอยู่ข้างๆชูฮันไม่สามารถควบคุมความสมดุลได้ แรงสั่นสะเทือนเริ่มรุนแรงขึ้นจนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว ชูฮันไม่มีเวลาจะคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นและเขากำลังยุ่งอยู่กับการจับร่างอ้วนของเฉินช่าวเย่ไว้


 


เจ้าอ้วนเฉินช่าวเย่ได้แต่หวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียงพูดหากเขาสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนมาจากระยะไกล


 


“แผ่นดินไหว” เสียงตื่นตระหนกของหลิวยู่ติงดังมาแต่ไกล


 


“ไม่ใช่!” จู่ๆก็มีเสียงของคนคนหนึ่งตะโกนดังขึ้นมา “มันคือหิมะถล่ม!”


 


@#$%^@#$%^&*()@#$%^!


เกิดเสียงแตกตื่นของทุกคนดังขึ้นมาตามมาทันที่ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองด้านบนสายตาเต็มไปด้วยความวิตก ชูฮันเองก็กระโดดขึ้นด้านบนของภูเขา นัยน์ตาดำสนิทหดตัวลงอย่างรวดเร็ว “ขึ้นไปที่ด้านบน!” ทันทีที่ชูฮันเอ่ยปาก—–


 


“ครืน!—-“


คลื่นหิมะที่พัดผ่านพื้นผิวได้กลืนกินเสียงของชูฮันไปภายในพริบตา คลื่นหิมะขนาดยักษ์ที่สูงกว่าสิบเมตรร่วงลงมาจากด้านบนของภูเขาตกลงสู่ด้านล่างด้วยความเร็วอันน่าตะลึง และภายในพริบตามันก็กลืนกินทุกอย่างหายวับไปจมอยู่ภายในหิมะจนหมด


 


ฝูงชนแตกกระเจิงและชูฮันเองก็ไม่ทันได้มีมาตราตอบโต้กับเหตุการณ์นี้ เขาทำได้แต่เพียงจับเจ้าอ้วนที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดเอาไว้


 


พื้นดินสั่นสะเทือน ท้องฟ้ามืดครึม


 


ท่ามกลางคลื่นหิมะถล่ม หลูเหวินเชิงแทบจะร้องไห้เป็นสายเลือด ทำไมหิมะต้องมาถล่มตอนที่เขากำลังจะพูด? แล้วทำไมจู่ๆมันถึงเกิดหิมะถล่มกระทันหันได้แบบนี้?! ยังดีที่เขาปีนหนีขึ้นมาถึงยอดเขาทันแต่ยังไงพวกเขาต้องไม่รอดแน่ๆ อาหารทั้งหมดถูกหิมะถล่มจนไม่เหลือ คนกว่าหนึ่งร้อยถูกกวาดหายไปหมด ราวกับความมืดแทรกอยู่ในใจกลางหิมะถล่มและกลืนกินทุกอย่างไปจนหมด


 


พวกเขาจะตายกันอยู่ที่นี้ใช่มั้ย?

 

 

 


ตอนที่ 458

 

เขาไม่รู้ว่ามันยาวนานขนาดไหน การสั่นสะเทือนของหิมะถล่มค่อยๆลดความแรงลง


 


“พรึบ!”


ชูฮันที่กลิ้งไปหลายตลบก็ปีนตัวขึ้นมาจากกองหิมะและพยายามฝืนอาการวิงเวียนศรีษะและความไม่สบายตัวไว้ เฉินช่าวเย่ที่กำลังช็อคค้างแหกปากร้องขึ้นมา “นี่มันบ้าบออะไร!”


 


“อ่า? ขาไก่?” เฉินช่าวเย่ลุกขึ้นนั่งอยู่บนหิมะ ถึงแม้เขาจะเจอกับความลำบาก เจอหิมะถล่ม และเกือบจะโดนพายุถล่มทับตาย หากยังไงก็ตามในมือก็ยังคงกำขาไก่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย


 


ชูฮันมองไปรอบๆและเจอแต่ความว่างเปล่า หิมะถล่มก่อนหน้านี้จู่ๆก็โผล่มาอย่างกระทันหันและจุดที่เกิดผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คือจุดที่เขานั่งอยู่ ดังนั้นเขาคาดว่ากลุ่มของเขาน่าจะแตกกระเจิงออกไปเป็นสองทิศทางแยกกันกับเขา ในตอนนั้นชูฮันจับเฉินช่าวเย่เอาไว้ทำให้ตรงจุดนี้ไม่น่าจะมีใครอยู่ได้นอกเหนือจากพวกเขาทั้งสองคน


 


แต่เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้มันมีถุงพัสดุใส่ของกว่ายี่สิบถุงอยู่ด้านหลังเขา ถึงแม้ประตูมิติของเขาในตอนนี้จะอัดแน่นไปด้วยอาหารมากมายที่เขาเก็บไว้ แต่ภายในยี่สิบถุงนั่นเป็นของที่ค่อนข้างสำคัญ นอกเหนือจากอาหารแล้วมันยังมีอาวุธมากมายอยู่ในนั้นอีกด้วย ทว่าหิมะถล่มที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้ทุกอย่างหายสาปสูญไปหมดแล้ว!


 


เขาไม่รู้ว่าคนอื่นๆอยู่ไหน? มีใครได้ยินคำสั่งสุดท้ายของเขาก่อนที่จะแยกตัวกันมั้ย? ในสถานการณ์แบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเหลือทุกคนโดยไม่มีการสูญเสีย มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ชูฮันทำได้แต่แนะนำแนวทางที่ดีที่สุดแก่ทุกคนและชี้แนะทิศทางเพื่อที่เมื่อพวกเขาแยกจากกันแต่ในที่สุดพวกเขาก็จะกลับมาเจอกันได้


 


และในจังหวะที่เฉินช่าวเย่กำลังค่อยๆลืมตาขึ้น—–


 


“เฮ้ยยยย!”


 


ทันใดนั้นมันก็มีจุดสีดำบนฟ้าหลายจุดร่วงลงมาตามมาด้วยเสียงร้อง มันคือถุงพัสดุใส่ของกว่ายี่สิบถุงที่กำลังร่วงลงมาตกจุดที่เฉินช่าวเย่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ ผลกระทบจากแรงปะทะที่เกิดขึ้นคือคลื่นน้ำแข็งและหิมะขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นสูงจากนั้นก็ตกลงมาเกือบจะใส่เฉินช่าวเย่ที่พึ่งจะฟื้นขึ้นมาก็เกือบจะได้เป็นลมไปอีกรอบ


 


ชูฮันเหลือบตามองจากนั้นก็พยักหน้า เขาไม่คิดเลยว่าพัสดุของพวกนี้จะกลับมาที่เดิมอีก


 


“ขาไก่ของฉัน—-” เฉินช่าวเย่แหกปากร้อง


 


“อย่ายุ่งกับขาไก่ของหวังไค!” เสียงบ่นของหวังไคดังขึ้นถัดจากเฉินช่าวเย่


 


เฮ้!


 


เฉินช่าวเย่หลุบตามองไปตามเสียงที่ได้ยินแล้วก็ต้องตะลึงค้างกับสิ่งที่ได้เห็น หวังไคที่ยืนห่างออกไปแค่ไม่กี่เซนติเมตร ในมือถือขาไก่ไว้แน่นไม่ต่างกับตัวเฉินช่าวเย่


 


“แกเป็นใคร!?” เฉินช่าวเย่ที่เกือบจะเป็นลมแหกปากถาม ขณะมองหวังไคราวกับเห็นผี


 


“อ่าาา… ” หวังไคตบหัวตัวเองพลางมองไปที่เฉินช่าวเย่ด้วยท่าทางใสซื่อ “ฉันคือหวังไค”


 


เพี้ยะ! เพี้ยะ!


เกิดเสียงตบดังขึ้นสองครั้ง


 


เฉินช่าวเย่และหวังไคโดนตบเข้าที่กกหูทั้งคู่ ตามมาด้วยเสียงเย็นๆของชูฮัน “รู้จักกันซะ นี่คือเฉินช่าวเย่ และนี่คือหวังไค”


 


เจ้าหวังไค แกตายแน่!


 


หวังไคสะดุ้งตื่นตัวทันทีหลังจากโดนฝ่ามือของชูฮันเข้าไป ทันใดนั้นมันก็พึ่งตระหนักได้ว่าตัวมันกำลังทำอะไรอยู่ มันรีบคว้าหูขนาดใหญ่ทั้งสองข้างของมันมาปิดปากตัวเองทันที


 


เฉินช่าวเย่จ้องหวังไคด้วยสายตาตะลึงค้างและตกใจ และหวังไคเองก็มองเฉินช่าวเย่กลับไปด้วยความกลัวเช่นกัน


 


ห้านาทีต่อมา…


 


“ว้าวววว หัวหน้า! หัวหน้าสุดยอดมาก! คุยกับกระต่าย หัวหน้า! หัวหน้าคุยกับกระต่ายได้! นี่เป็นสัตว์เลี้ยงของหัวหน้าเหรอ?” เฉินช่าวเย่ตื่นเต้นจัด เขาวิ่งวนรอบชูฮันพร้อมถามไปด้วย


 


หวังไคได้แต่นั่งเงียบๆอยู่บนไหล่ชูฮันและกินขาไก่ในมือตัวเอง จากนั้นมันก็แทะกระดูกพร้อมเลียต่อไม่หยุด!


 


“ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงแต่เป็นทาส” น้ำเสียงของชูฮันนิ่งเรียบไร้อารมณ์ คิ้วของเขาย่นเล็กน้อยขณะมองไปที่หิมะขาวโพลนที่ไม่มีที่สิ้นสุดตรงหน้า พร้อมกับพัสดุกว่ายี่สิบถุงที่บรรจุสิ่งของมากมายเต็มไปหมด


 


หวังไคที่กำลังแทะเลียกระดูกอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง หากต่อมามันก็ทำสีหน้าใสซื่อดังเดิม มันไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยตัว มันก็แค่กลัวหิมะถล่ม!


 


ชูฮันถอนหายใจ ณ ตอนนี้พวกเขาถูกแยกออกจากกองกำลังทั้งหมด มันน่าเสียดายเปล่าถ้าสิ่งของมากมายพวกนี้จะต้องถูกทิ้ง อาหารไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ที่เป็นประเด็นหลักก็คืออาวุธมากมายในถุงพัสดุที่ยากที่จะทำใจปล่อยทิ้งไปได้ อีกทั้งอัตราการผลิตในยุคโลกาวินาศนั้นก็ดิ่งฮวบเนื่องจากมันเป็นเรื่องลำบากที่จะดำเนินการอุตสาหกรรมในสถานการณ์แบบนี้


 


ในเมื่อตัวตนของหวังไคถูกเปิดเผยแล้ว และเฉินช่าวเย่ก็ภักดีต่อเขาอย่างถึงที่สุดเพราะฉะนั้นมันจึงไม่เป็นปัญหาถ้าจะให้เฉินช่าวเย่รู้เรื่องประตูมิติ


 


“มีพื้นที่เหลือในประตูมิติของนายเท่าไหร่?” ชูฮันสื่อสารกับหวังไคผ่านทางระบบล่มสลาย


 


หวังไคแอบย่องหนีออกมาและใช้พลังตรวจสอบพื้นที่ในประตูมิติของชูฮัน จากนั้นมันก็ตะโกนด้วยน้ำเสียงโมโหอยู่ในหัวชูฮัน “นายเอาเพิ่มอีกไม่ได้แล้วและนายก็จะไม่ให้คะแนนฉันเพื่อเพิ่มพื้นที่อีกเหมือนเดิมใช่มั้ยล่ะ? นายใช้ให้ฉันกี่คะแนนกันเถอะทั้งหมด? นี่มันเกินไป นายจะเอาจากฉันอย่างเดียว? ฉันไม่ยอม ฉันจะไม่ช่วยนายอีกแล้ว!”


 


“ตัวตนของแกถูกเฉินช่าวเย่ค้นพบ ซึ่งมันส่งผลกระทบกับฉันโดยตรง แกไม่มีความละอายแก่ใจเลยเหรอไง?” ชูฮันโยนประโยคเย็นชาใส่หวังไคทันที


 


“แค่ก! มันคือข้อผิดพลาดต่างหาก ข้อผิดพลาด” หวังไคตอบอย่างสำนึกผิด


 


“รวบรวมของทั้งหมดไป” ชูฮันออกคำสั่งโดยตรง


 


“นายจะเช่าซื้อพื้นที่ใช่มั้ย?” หวังไคยอมผ่อนปรน “ฉันจะช่วยนาย แล้วนายก็ให้ฉัน 20 คะแนนเป็นค่าเช่าต่อวัน”


 


“ตัวตนของแกถูกเฉินช่าวเย่ค้นพบ ซึ่งมันส่งผลกระทบกับฉันโดยตรง แกไม่มีความละอายแก่ใจเลยเหรอไง?” ชูฮันทวนประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง


 


“นายไม่ต้องให้ฉัน 20 หรอก 10 ก็ได้”


 


“ตัวตนของแกถูกเฉินช่าวเย่ค้นพบ—-“


 


“โอเค ฉันให้นายเช่าฟรี!” หวังไคกัดฟันตอบ


 


ห้านาทีต่อมา…เฉินช่าวเย่ยืนตะลึงค้างที่ภาพพัสดุขนาดใหญ่ยี่สิบถุงที่จู่ๆก็หายไปต่อหน้าต่อตา ผสมกับกระต่ายที่ยืนแทะกระดูกอยู่บนไหล่ชูฮันอีก


 


ชูฮันยื่นมือออกมาตบเข้าที่หน้าเฉินช่าวเย่เบาๆจากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น เข้าใจมั้ย?”


 


เฉินช่าวเย่พยักหน้าตามาด้วยเสียงอุทาน “หัวหน้า! สุดยอด! หัวหน้าเก็บของทั้งหมดนั่นไปได้ยังไง? แสดงว่าขวานยักษ์นั่นหัวหน้าก็เก็บไปแบบนี้ใช่มั้ย? หัวหน้าจะเอามันออกมาตอนไหนก็ได้เหรอ? หัวหน้า หัวหน้าทำยังไง?”


 


ชูฮันกดมุมปาก “นายไม่ได้เห็นอะไรไม่ใช่เหรอไง?”


 


เฉินช่าวเย่ตื่นเต้นจนแทบกระโดด “ครับ ผมไม่ได้เห็นอะไรเลย ไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น! แต่หัวหน้า หวัหน้าทำให้ผมดูอีกครั้งได้มั้ย นี่มันเจ๋งชะมัด!”


 


ชูฮันหมดคำพูด


 


“โอ้ะ ใช่ หัวหน้า” ทันใดนั้นเฉินช่าวเย่ก็มองไปที่ใบหน้าของชูฮันด้วยสายตาเคารพบูชา “ในเมื่อหัวหน้าสามารถเก็บของทุกอย่างไปได้ ทำไมหัวหน้าไม่เอาภภรรยาผมไปเก็บไว้ในนั้นด้วยล่ะ? ถ้าแบบนั้นเราจะได้มีข้าวและอาหารร้อนๆไว้กินตลอดทาง!”


 


“ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง? เธอเป็นคนน่ะ?” ชูฮันกรอกตาและก้าวเดินออกมุ่งหน้าไปที่ยอดเขา “ถ้าติงเซวรู้ว่านายคิดจะทำแบบนั้นกับเธอ เธอจะต้องโกดนายมากแน่”


 


ชูฮันเหลือบมอง จากนั้นก็ตบเข้าที่ไหล่ของเฉินช่าวเย่อย่างจริงจัง “ความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยาของนายนี้มันดีจริงๆ”


 


หวังไค “โง่เง่า…”

 

 

 


ตอนที่ 459

 

จุดพักของกลุ่มผู้อพยพขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองอันลู บ้านทั้งหลายที่ถูกทำลายโดยฝูงซอมบี้ถูกผู้คนหลายสิบคนร่วมมือกันสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยความเร็วสูงภายในระยะเวลาสั้นๆ ถึงแม้มันจะไม่ดีเท่ากับในยุคศิวิไลซ์ หากมันก็ยังมีหน้าต่างและประตูที่ช่วยให้หลับนอนหลบความหนาวได้


 


“ขอบคุณมาก!” กลุ่มคนที่ใส่ผ้าขาดริ้วหากมีจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังกล่าวขอบคุณ สีหน้าเต็มไปด้วยอาการตื่นเต้น


 


“ไม่เป็นไรครับ” เสี่ยวเคินลงมาจากขั้นบันไดสู่พื้น สภาพคลุกฝุ่นหากแววตา


กลับเปล่งประกายและร่างกำยำ


 


เหล่าคนในทีมที่อยู่ก็เบนสายตามองตามมา พวกเขายืนอยู่ต่อหน้าเสี่ยวเคินด้วยท่าทางนิ่งสงบ ในมือถืออาวุธคมแหลม ท่าทางเอาเรื่องและแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด ถ้าชูฮันอยู่ที่นี้เขาจะต้องประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของทีมอย่างแน่นอน…เรียบง่ายหากเย็นชา คมในฝัก


 


ทีมกุ้งเสือดำนั่นช่างสมกับชื่อจริงๆ


 


“เพื่อเป็นการขอบคุณ กรุณารับสิ่งของเหล่านี้ไว้ด้วย” ชายชราคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนพร้อมกับถือถุงที่บรรจุของไว้ขนาดใหญ่ออกมา มันไม่ได้ขาวหรือสะอาด แต่อาหารพวกนี้คือสิ่งที่มีค่าที่าสุดที่ท่ามกลางกลุ่มอพยพของพวกเขาจะมีได้แล้ว


 


เสี่ยวเคินพร้อมกับเหล่าคนในทีมของเขาเผยรอยยิ้มออกมาและรับของจากชายชราไป พวกเขาเองก็ขาดแคลนอาหาร พวกเขาคอยช่วยเหลือผู้คนตลอดระหว่างทางและทุกคนก็ตอบแทนพวกเขาด้วยการมอบอาหารให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดเช่นกัน


 


“คุณลุง” หนึ่งในทีมกุ้งเสือดำ ผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ จางโบฮั่นพยายามปกปิดแววประกายในดวงตาของเธอและรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้ “คุณลุงเคยได้ยินชื่อหยางเทียนมั้ย?”


 


“ไม่ ฉันไม่รู้ว่าเขาคือใคร” “ไม่รู้เลย”


 


“ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย”


 


หลายคนต่างส่ายหัวปฏิเสธ


 


แววตาของเสี่ยวเคินฉายร่องรอยของความผิดหวัง และตอนนี้ทีมของพวกเขาเข้าใกล้เมืองอันลูแล้ว แต่ผู้คนที่พวกเขาพบระหว่างทางกลับไม่เคยได้ยินชื่อของหยางเทียนกันมาก่อนเลย ถึงแม้มันจะยังมีเวลาเหลืออีกสิบวันจากระยะเวลาสามวันที่ชูฮันให้พวกเขาไว้ แต่ระยะห่างที่พวกเขามีกับทีมความลับของพระเจ้าประกอบกับความผิดหวังที่ลูกทีมของเขารู้สึกกันในตอนนี้ทำให้ทีมกุ้งเสือดำของเขาต้องระมัดระวังอย่างมาก


 


ทีมความลับของพระเจ้าเองก็ยังไม่เจอหยางเทียนเหมือนกันใช่มั้ย หรือพวกนั่นแอบหัวเราะพวกเขาอยู่ในเงามืด?


 


“ขอให้ทุกคนโชคดี” เสี่ยวเคินบอกลาอย่างสุภาพกับทุกคนตรงหน้าเขา ทีมกุ้งเสือดำหมุนตัวและตัดสินใจจากออกไป ทว่าทันทีที่พวกเรากลับหลังหันกันพวกเขาก็ต้องมึนงงกับภาพตรงหน้า


 


ชายหนุ่มคนหนึ่ง เนื้อตัวดูสะอาดอย่างมาก ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทุกอย่างบนร่างกายประณีตเรียบร้อย ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังทีมกุ้งเสือดำ


 


“ทำไมพวกคุณถึงตามหาหยางเทียน?” ———-


 


ภายในเมืองอันลู บนถนนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เหล่าผู้ลี้ภัยที่ขดตัวนอนกันอยู่กลางถนนใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวมองไปที่ฝูงชนที่เดินผ่านหน้าพวกเขาไป


 


“ใครคือหยางเทียน เขาอยู่ที่ไหน?”  อู๋เจียช่าว สมาชิกคนหนึ่งของทีมความลับของพระเจ้าที่แสร้งทำเป็นเดินลาดตระเวนบ่นขึ้นมา “พวกเราทุกคนครอบครองถนนสายนี้ กัปตันหลูปิงเซ่อเป็นหัวหน้าที่คุมทั้งหมด แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครในถนนเส้นนี้รู้เกี่ยวกับหยางเทียนเลย?”


 


“หรือว่าเขาถูกฆ่าตายไปแล้ว?” ลมฝุ่นเสนอความคิดขึ้น


 


“นี่มันไม่ใช่ เวลาเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว ฉันเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อหยางเทียนเลย” อู๋เจียช่าวขบคิดจนหน้าย่น “หยางเทียนคนนี้เป็นคนดีหรือไม่ดีกัน ไม่ใช่ว่าเราฆ่าเขาไปแล้วหรอกนะ?”


 


“เราลองใช้วิธีคิดจากอีกมุมหนึ่งแทนมั้ยล่ะ?” จู่ๆลมฝุ่นก็ชะงักไป หากสักพักก็พูดต่อ “ไม่ต้องถามถึงหยางเทียน เราลองเปลี่ยนเป็นถามว่าใครรู้จักชูฮัน! ในตอนนั้นหัวหน้าชูฮันไม่บอกตัวตนของหยางเทียนกับพวกเราเลย เราเอาแต่ไล่วิ่งตามหาเหมือนงมเข็มในสมุทรมากันตลอด ถ้าหยางเทียนคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้าชูฮัน มันจะปรากฏออกมาให้เห็นได้เอง และถ้าเป็นศัตรู มันก็เฮเลยทีนี้!”


 


อู๋เจียช่าวก้าวเท้าเข้ามา ตามมาด้วยตากลมโตที่จ้องตากับลมฝุ่น


 


“นายจ้องมาฉันก็จ้องกลับ” ลมฝุ่นมีสายตาที่ไม่สามารถอธิบายได้ “มันผิดหรือไง?”


 


อู๋เจียช่าวกรอกตา จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาขณะขบคิดอยู่ในหัว “ไม่ใช่! ฉันแค่คิดว่าสิ่งที่นายพูดมันสมเหตุสมผลมาก!”


 


“งั้น! ทำไมนายยังกรอกตาใส่ฉัน?” “นี่นายลืมชื่อฉัน? มานี่ อ่านสิ…อู๋เจียช่าว!”


เฮ้ย!


 


ทั้งสองคนเดินมาถึงโถงทางเดินมืดๆ จากนั้นก็เตะเข้าที่ประตูของบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนและก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน ซึ่งมันปรากฏภาพของชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ในบ้านอ้าปากค้าง


 


หัวหน้าแก๊งตะลึงค้างและเหล่าลูกน้องในแก๊งที่ยืนกันอยู่ตามมุมห้องก็ตกใจกันหมดถ้วนหน้า มีสายตาหวาดกลัวปรากฏอยู่บนสีหน้าหลายคนในห้องให้ได้เห็น


 


“พวกนายเป็นใครกันแน่?” มันมีความหวาดกลัวอยู่ในอกของคนที่ถามอย่างเห็นได้ชัด คนพวกนี้ปล้นอาณาเขตของเขาไม่พอยังคิดจะทรมานเขาอีกเหรอ? เขาคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนคุมถนนเส้นนี้ แต่เวลานี้มันไม่ใช่ มันคือกองทัพพวกนี้ต่างหาก!


 


หลูปิงเซ่อหันหน้าไปมองอู๋เจียช่าวและเฟิงจื่อจือที่พยักหน้าส่ง น้ำเสียงแสดงออกถึงอาการหมดความอดทนขณะมองไปที่คนในมุมห้อง “วันนี้ฉันไม่ได้มาถามหาข่าวของหยางเทียน เรามาคุยกันดีๆเถอะ”


 


หลังจากพูดจบ หลูปิงเซ่อก็นั่งลงที่เก้าและพิงตัวเอนทันที “เข้ามา สะกดจิตแล้วก็ทรมานให้มันสารภาพซะ!”


 


ชายที่อยู่ในมุมห้องเซล้มเข่าอ่อนทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกนั้นจะทรมานเพื่อให้เขาสารภาพอย่างงั้นเหรอ?


 


“ฟู่~~~” ลมฝุ่นเป่าปาก จากนั้นก็พูดออกมาอย่างหมดหนทาง “กัปตัน ฉันจะไม่สะกดจิต” หลูปิงเซ่อยิ้มเยาะพลางเกาหัวตัวเอง “แกมีไม้กายสิทธิ์ไม่ใช่ไง?” “เอาล่ะ ถ้างั้นละก็น่ะ” เฟิงจื่อจือกระแอม จากนั้นก็เดินไปที่มุมห้องพลางจ้องชายคนนั้นนิ่งและเอ่ยปากพูด “บอกวันเกิดของคุณ ชื่อและอายุ”


 


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!


 


หลูปิงเซ่อขัดจังหวะลมฝุ่นด้วยการเคาะโต๊ะ “ประเด็นสำคัญ เข้าเรื่อง! นี่แกคิดว่ากำลังทำนายโชคชะตาอยู่เหรอไง?!”


 


ลมฝุ่นทำหน้าซื่อ “นี่เป็นกระบวนการที่ต้องทำ กัปตันช่วยยืนดูอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้ฉันจัดการเองได้มั้ย?”


 


“งั้นก็ช่างมัน เมื่อกี้นายถามอะไรน่ะ?” หลูปิงเซ่อโบกมือ “เร็วเข้า หาข้อมูลมา”


 


สมาชิกของทีมความลับของพระเจ้าและกุ้งเสือดำนั่นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งความสามารถของลมฝุ่นก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดและพวกเขายังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างเต็มที่ ทว่าต้องบอกเลยว่าคนคนนี้มีความสามารถที่ค่อนข้างแปลกประหลาด อีกทั้งที่พวกเขามาถึงได้จุดนี้ก็เป็นเพราะการทำนายของลมฝุ่นที่นำพาพวกเขามาถึงนี้


 


ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ต่างไม่เชื่อกัน แต่ตอนนี้พวกเขาเชื่อแล้วเพราะทีมของพวกเขานำหน้าทีมกุ้งเสือดำมาตลอดระยะเวลาสองเดือนครึ่ง


 


จากตะวันออกไปจนตะวันตก ความมืดที่ไล่กินไปเรื่อยและสร้างความวุ่นวายและพวกเขาก็ได้รับผลประโยชน์จากมัน นี้คือสิ่งที่ทีมความลับของพระเจ้าถนัดที่สุด!

 

 

 


ตอนที่ 460

 

“ชื่ออะไร?” ลมฝุ่นเอาเข็มทิศออกมา มันดูคล้ายกับไม้เท้ากายสิทธิ์


 


“ฉัน ฉันชื่อกูยี่หมิง” ชายที่อ่อนแรงอยู่ในมุมตอบพลางมองไปที่เข็มทิศในมือของลมฝุ่น เข็มทิศหน้าตาประหลาดๆนั่น มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันถูกเก็บมาจากซากขยะกองไหน


 


“กูยี่หมิง ชื่อเพราะดี สะกดยังไง?” ลมฝุ่นย่นคิ้วพลางมองไปที่เข็มทิศตรงหน้า หลังจากมีประกายแวบผ่านนัยน์ตาของลมฝุ่นไป เขาก็เอ่ยปากขึ้น “นายมีน้องชาย ใช่มั้ย?”


 


“เฮือก!”


 


มีเหงื่อไหลซึมที่แผ่นหลังของกูยี่หมิง ท่าทางวิตกกังวลขณะมองไปที่ลมฝุ่น “นาย ได้ยังไง? รู้ได้ยังไง?”


 


ลมฝุ่นจับหัวตัวเองและมองไปที่กูยี่หมิงอย่างไม่รู้จะตอบยังไง “ฉันไม่รู้ ฉันคิดว่าฉันควรถามคำถามต่อไป”


 


สมาชิกคนอื่นๆของทีมความลับของพระเจ้าที่ยืนหลบอยู่ข้างๆต่างตะลึงกันหมด ทุกคนมองมาที่ลมฝุ่นด้วยความตกใจ หลูปิงเซ่อเองก็ทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่งเช่นกัน เมื่อนึกถึงความสามารถของเขากับความสามารถของลมฝุ่นที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง!


 


“ก็ นายมีน้องชายคนหนึ่ง” ลมฝุ่นยังคงพูดต่อขณะมองเข็มทิศ จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปใกล้กูยี่หมิงอีกสองก้าว หากจู่ๆเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้และตั้งคำถามออกไป “น้องชายของนายชื่ออะไรน่ะ?”


 


“กูเหลียงเฉิน” กูยี่หมิงไม่คิดจะปิดบังข้อมูล ทุกอย่างในวันนี้มันเหนือเกินความเข้าใจของเขาไปแล้ว


 


“โอ้ กูเหลียงเฉิน” ลมฝุ่นเริ่มก้าวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีก “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน?”


 


“ฉันไม่รู้ เราขาดการติดต่อกันตั้งแต่เกิดการปะทุ” กูยี่หมิงตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นอย่างยอมแพ้กับคำตอบ


 


ลมฝุ่นส่ายหัวเมื่อได้ยินคำตอบและหลูปิงเซ่อที่คอยดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น “มันไม่มีเบาะแสอะไรเลย”


 


หลูปิงเซ่อสะบัดมือและคำราม “ไม่มีอะไร ถามต่ออีก!”


 


“สุดยอด” นอกเหนือจากเจิ้งเทียนอี้แล้ว ลมฝุ่นคือไพ่ตายของทีมความลับของพระเจ้า


 


ลมฝุ่นจับหูตัวเองและเกา เขาเหวี่ยงเข็มทิศในมือใส่กูยี่หมิงพร้อมพูดเสียงข่มขู่ “เฮ้! นายรู้จักชูฮันมั้ย?”


 


กลุ่มคนที่อยู่ถัดไปต่างถอนหายใจออกมาพร้อมๆกัน พฤติกรรมต่อต้านสังคมของลมฝุ่นนั่นเกินทน อีกทั้งวิธีการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหันของเขาก็เกินจะเหลือรับ


 


อย่างไรก็ตาม กูยี่หมิงที่หวาดกลัวลมฝุ่นนั่นกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูก “ฉันรู้ ฉันรู้ อย่าทำร้ายฉันเลยนะ”


 


พรึบ!


 


หลูปิงเซ่อและคนอื่นๆผุดลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง มันมีความก้าวหน้าจริงๆใช่มั้ย?


 


ลมฝุ่นไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะได้เบาะแสจากคำถามสุ่มๆของเขา ดังนั้นเขาจึงถามต่อไป “นายรู้จักชูฮันได้ยังไง? ความสัมพันธ์ของนายกับเขาคืออะไร?”


 


“ฉันรู้จักเขาแต่เขาไม่รู้จักฉัน” กูยี่หมิงตอบอย่างเศร้าโศก “ชูฮันเป็นอันดับหนึ่งในรายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 3  และได้คะแนนประเมิณ S+ อีก ใครจะไม่รู้จักเขา?”


 


“ไร้ประโยชน์” ลมฝุ่นปล่อยมือที่จับคอเสื้อของกูยี่หมิงออก ขณะคิดในใจ นั่นสิ ตอนนี้ใครจะไม่รู้จักชื่อชูฮันกันบ้างล่ะ?


 


“เดี๋ยวก่อน” หลูปิงเซ่อที่อยู่ด้านข้างมีประกายวาบขึ้นในแววตา เขาจ้องไปที่กูยี่หมิงพลางเอ่ยถาม “นายพูดถึงรายชื่อการประเมิณ? มันมีเสาหินตั้งอยู่ใกล้ๆเมืองอันลูใช่มั้ย?”


 


เหล่าสมาชิกของทีมความลับของพระเจ้าต่างนิ่งค้าง ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า…ตลอดทางพวกเขายังไม่เจอกับเสาหินประเมิณเลย แต่คนตรงหน้าเขาพึ่งพูดถึงรายชื่อประเมิณที่พวกเขายังไม่ได้พูดถึงเลย


 


“ใช่” อย่างไม่คาดคิดกูยี่หมิงไม่คิดจะปิดบังข้อมูบ เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไปทางฝั่งตรงกันข้าม ไม่ไกลจากทางตะวันตกของตัวเมือง มันมีค่ายเล็กๆตั้งอยู่ที่นั่น”


 


ทุกคนรวมตัวเข้าด้วยกัน หากแววตาแต่ละคนกลับแสดงออกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถระบุได้


 


“แม่ง!” อู๋เจียช่าวกระแทกลงกับโต๊ะ “ไปตามทางที่มันบอกกัน มันต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ”


 


“ไป นำทางไปเลย!” หนึ่งในสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของทีมความลับของพระเจ้าดึงตัวกูยี่หมิงขึ้นมา จากนั้นทุกคนออกตัวเดินผ่านประตูบ้านออกไป


 


มันมีค่ายตั้งอยู่ตรงนั้นและหยางเทียนจะต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน!


 


กูยี่หมิงสะบัดไหล่อย่างเคืองๆ อาการบาดเจ็บบนร่างกายเขานั่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาพยายามอดทนต่ออาการมึนงงขณะกวาดตามองภาพรอบๆตัว คนกลุ่มนี้ต้องเป็นกลุ่มพิเศษแน่ๆ วิวัฒนาการทั่วไปไม่น่าจะสามารถขยับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแบบนี้! หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน


 


ทุกคนในทีมของความลับของพระเจ้าได้เดินทางมาถึงทางเข้าของอาคารก่อสร้างจุดหนึ่ง


 


หลูปิงเซ่อและทุกคนทั้งตกใจและตะลึงกับภาพที่ได้เห็น ไม่ต้องพูดถึงความคิดว่ามันจะมีค่ายแบบนี้อยู่ในที่แบบนี้เลย แม้แต่ประตูทางเข้ายังอลังการขนาดนี้ การก่อสร้างค่อนข้างขัดแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์ที่พวกเขารับรู้ในยุคศิวิไลซ์


 


“ใครกัน” บนหอสังเกตการณ์ปรากฏร่างของเจ้าหน้าที่ขึ้น เขาเอ่ยปากถามหลูปิงเซ่อและสมาชิกที่ยืนอยู่ด้านล่างตรงทางเข้า


 


“พวกเราผ่านมา เราคือผู้รอดชีวิต” หลูปิงเซ่อแสร้งเป็นคนทั่วไปที่ต้องการความช่วยเหลือ


 


เหล่าสมาชิกในทีมของหลูปิงเซ่อต่างก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที พวกเขาแสร้งทำเป็นหวาดกลัว มันคือความสามารถโดดเด่นขอวพวกเขา ในกรณีที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์และข้อมูลของอีกฝ่าย การปกปิดความสามารถของตัวเองนั้นเป็นนโยบายที่ดีที่สุด


 


เจ้าหน้าที่บนหอสังเกตการณ์ดูเหมือนกำลังปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานของตัวเองอยู่ หลังจากพักหนึ่งประตูทางเข้าก็ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆเผยให้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนถือสมุดจดยืนอยู่ตรงทางเข้าพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้หลูปิงเซ่อและทุกคน


 


“ยินดีต้อนรับ กรุณาลงชื่อทีละคน”


 


หลูปิงเซ่อและคนอื่นๆยังคงตะลึงค้างตกใจไม่เลิก แต่พวกเขาก็เชื่อฟัง พวกเขาจัดระเบียบเรียงแถว แต่ในขณะที่คนคนแรกของทีมกำลังจะลงชื่อตัวเองลงในสมุดนั้น จู่ๆมันก็มีเสียงสนทนาหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหน้า


 


“นี่เป็นสถานการณ์ปกติของค่ายเรา ยินดีต้อนรับสู่ค่ายเขี้ยวหมาป่า” ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตัวคล้ายๆกับผู้หญิงคนแรก เดินเข้ามาพลางพูดไปด้วย ด้านหลังของเธอมีคนตามมาอีกมากกว่าสิบคน


 


เมื่อได้เห็นภาพคนมากกว่าสิบคนปรากฏตัวขึ้น ทีมความลับของพระเจ้าก็มีการตื่นตัว ผู้หญิงที่เดินมากับทีมกุ้งเสือดำเดินตรงเข้ามาที่ทีมความลับของพระเจ้าพร้อมกับเสี่ยวเคินและสมาชิกของทีมกุ้งเสือดำที่ซึ่งมาถึงก่อหน้าทีมความลับของพระเจ้าได้ไม่นาน “ผู้จัดการสูงสุดของค่ายเราคือ ซางจิ่วตี้ และสำหรับหยางเทียนที่พวกนายกำลังตามหาตัวอยู่ เขาเองก็เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของค่ายนี้ ในเมื่อแนะนำกันอย่างคร่าวๆไปแล้ว ฉันจะพาพวกนายไปดู—-“


 


ผู้หญิงคนที่เป็นคนแนะนำข้อมูลให้กับทีมกุ้งเสือดำไม่ได้พูดอะไร หากเธอสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็หมุนตัวเดินหนีไป


 


ทันใดนั้นมันก็เสียงอุทานดังขึ้น “อ่า! พวกคุณยังเข้าไปไม่ได้ พวกคุณยังไม่ได้ลงบันทึก!”


 


สมาชิกบางคนของทีมกุ้งเสือดำรีบเข้ามาห้ามทีมความลับของพระเจ้า กัปตันหลูปิงเซ่อยืนทำหน้าตาบูดบึ้งไม่พอใจใส่เสี่ยวเคิน


 


“อย่ามายุ่ง!”


 


สมาชิกที่เหลือในทีมกุ้งเสือดำรีบเข้ามาสมทบ มันอาจะเกิดการต่อสู้ใหญ่ขึ้นได้

 

 

 


ตอนที่ 461

 

บนภูเขาหิมะ บางคนที่กระจัดกระจายไปถูกฝังลึกอยู่ในหิมะ บางคนก็ตัวแข็งค้างอยู่ในอาการโคม่า และบางคนที่แข็งแรงก็สามารถเดินกลับมาตามเก็บอาหารที่หล่นกระจายและเจอพรรคพวกได้


 


ส่วนหลูเหวินเชิงนั่นน่าจะเป็นในหนึ่งคนที่น่าสงสารมากที่สุด เมื่อตอนที่หิมะถล่มหลูเหวินเชิงกลิ้งหลุนๆเป็นลูกบอลหิมะ และหลังจากพายุหิมะถล่มจบลง ผลลัพธ์ก็คือหลูเหวินเชิงถูกฝังอยู่ในหิมะลึก 10 เมตร ถึงแม้เขาจะเป็นพรสวรรค์ระยะ 4 และการรับมือกับซอมบี้ระยะ 4 ได้นั่นก็ถือว่าเก่งกล้าแล้วทว่าพละกำลังทางกายภาพของเขานั่นยังไม่แข็งแรงพอ ร่างกายของเขาปรับเปลี่ยนตามระยะพรสวรรค์ไม่ทัน จึงลงท้ายด้วยการถูกฝังอยู่ในชั้นหิมะลึก 10 เมตรเป็นเวลาสองวันเต็มๆ หลูเหวินเชิงยิ้มออกมาอย่างปลงๆจากนั้นก็ปิดตาลง นี้คือพลังเฮือกสุดท้ายของเขาแล้ว เขาเกรงว่าในอนาคตเขาคงจะถูกทิ้งให้อยู่ที่นี้ไปตลอด


 


การปะทุของโลกาวินาศ ความหวั่นวิตก ความสิ้นหวัง ทุกคนเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อหวังที่จะแข็งแกร่งขึ้น ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ไหลย้อนวนเข้ามาในหัวของหลูเหวินเชิง มันมีทั้งความขื่นขมและความพอใจผสมกันอยู่ การเป็นพรสวรรค์ระยะ 4 นั่นเพียงพอแล้วสำหรับความภาคภูมิต่อหน้าคนหลายพันคน แต่วันนี้เป็นเพราะเหตุการณ์หิมะถล่มนี้ ทำให้เขาถูกฝังลึกและทิ้งให้ตายอยู่ที่นี้


 


“เฮือก” และในขณะที่สติของหลูเหวินเชิงกำลังจะหายไป เปลือกตาที่หนักอึ้งและฝืนไม่ไหวจนเริ่มปิดลง และทันใดนั้นเองจู่ๆหลูเหวินเชิงก็สัมผัสได้ถึงแสงสีขาวและบางอย่างที่เจาะเข้ามา


 


หลูเหวินเชิงพยายามฝืนอาการตัวเองและลืมตาขึ้น หลังจากสายตาปรับเข้ากับแสงได้แล้วหันไปเจอกับภาพที่มือที่กำมีดไว้แน่นพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของชายคนหนึ่ง


 


“นาย…กูเหลียงเชิน?”


 


———


 


ในขณะเดียวกัน ที่ลาดชันสูงบนภูเขา เฉินเสี้ยนกาวเดินนำทีม ตามมาด้วยคนหลายสิบคนที่พบเจอระหว่างทาง หลี่ชวน เย๋เฉินและเยวจึก็อยู่ท่ามกลางในทีมนี้เช่นกัน แต่ละคนผิวขาวซีดเนื้อตัวแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งจากความหนาว


 


“มาร่วมมือกันเถอะ มาช่วยกันหาที่ข้างหน้าเพื่อพัก” เฉินเสี้ยนกาวพยายามกระตุ้นทุกคนเพื่อสร้างกำลังใจขณะเดินไปด้วย


 


ด้านหลังสุดของทีมถูกปิดท้ายด้วยคนสองคนที่เอาแต่มองหน้ากันและกันไปมา ทั้งคู่ค่อยๆผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อทิ้งห่างจากขบวนทีมที่เดินอยู่ข้างหน้าพลางแอบกระซิบคุยกัน


 


“นายจะเริ่มเมื่อไหร่”


 


“มีแต่ขยะเต็มไปหมด พวกวิวัฒนาการก็มีอยู่ไม่เยอะเท่าไหร่แต่พวกมันแข็งแกร่งเกินไปที่เราจะรับมือได้ รอจนพวกมันเหนื่อยและหมดแรงก่อนค่อยฆ่าพวกมันทิ้ง”


 


“ไม่ให้เหลือทิ้งสักคน?”


 


“ไม่ให้เหลือรอดสักคน! อย่าลืมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และมันจะเป็นอันตรายใหญ่หลวงในอนาคตถ้าปล่อยให้คนพวกนี้มีชีวิตรอด”


 


“ดี งั้นฆ่าไม่ให้เหลือสักคน”


 


“หลี่ซิงยู ฮัวหมิง ตามให้ทัน!” หลี่ชวนที่อยู่ด้านหน้าหันกลับมาและพูดกระตุ้น “อย่าทิ้งห่างจากทีม มันใกล้จะมืดแล้ว!” “กำลังตามไปครับ!”


 


———-


 


“พรึบ!”


อีกที่หนึ่ง หิมะหนาแต่ละจุดถูกตัดเปิดและหลิวยู่ติงก็คอยดึงคนที่ถูกหิมะฝังอยู่ออกมา ปาดเหงื่อบนหน้าตัวเองออกจากนั้นก็หันไปพูดกับติงเซวที่อยู่ข้างๆ “เอาน้ำร้อนให้เขา”


 


“พลตรีครับ มีตรงนี้อีกคนหนึ่ง!” ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาห่างออกไป


 


หลิวยู่ติงวุ่นวายอยู่กับการช่วยเหลือคน แต่ละคนถูกฝังไว้ลึกมาก


 


หลิวยู่ติงเป็นคนนำทำการช่วยเหลือ และคนอื่นๆก็ค่อยๆทำตามจนสามารถช่วยคนขึ้นมาจากกองหิมะได้เยอะขึ้นเรื่อยๆ โชคยังดีที่ถึงแม้ว่าทุกคนจะกระจัดกระจายกันไปคนละทางทว่าก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันไปไกล ตอนนี้พวกเขารวมตัวคนได้มากกว่า 50 แล้ว แต่ยังเหลือเพียงแค่เฉินเสี้ยนกาวที่พวกเขายังหาตัวไม่เจอ


 


ส่วนชูฮันและเฉินช่าวเย่นั้นหลิวยู่ติงนั้นเห็นชัดเจนเลยว่าทั้งคู่รีบหนีไปอีกทางหนึ่งก่อนที่ทุกคนจะถูกคลื่นหิมะซัดหายไป ซึ่งทางที่ทั้งคู่ไปนั้นเป็นทางตรงกันข้ามของพวกเขาโดยสิ้นเชิง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอกับสองคนนั้น ถึงแม้จะมีความกังวลอยู่บ้างแต่หลิวยู่ติงก็พยายามสร้างกำลังใจให้ตัวเองและนำพาทุกคนปีนข้ามภูเขาไป เขาได้ยินคำสั่งของชูฮันอย่างชัดเจนก่อนจะแยกจากกันและด้วยความสามารถของชูฮันเขามั่นใจชูฮันจะรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเจอกันบนยอดเขา!


 


ขณะที่ความมืดเริ่มคลืบคลานเข้ามา ผู้คนเริ่มมีอาการส่ันจากความหนาว หิมะถล่มไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาพลัดหลงและแตกออกเป็นกลุ่มเท่านั้นแต่ยังทำให้พวกเขาสูญเสียเสบียงส่วนใหญ่ไปด้วย ถึงแม้พวกเขาจะพบเจอเสบียงที่หายไประหว่างทางทว่ามันก็ยังไม่เพียงพอและยากลำบากเหลือเกิน


 


มื้อค่ำของพวกเขาเป็นเพียงแค่เนื้ออบแห้ง


 


ในเวลากลางคืนมันไม่มีเต้นท์สำหรับนอนพัก ทุกคนต่างนอนขดตัวกลมกันอยู่หน้ากองไฟด้วยความหนาว คนห้าสิบคนต่างเบียดอัดกันแน่นเพื่อสร้างความอบอุ่นหากมันก็ยังไม่เพียงพอ


 


และในขณะที่ทุกคนต่างหมดแรงและเริ่มหายใจแผ่วด้วยความทรมาน จู่ๆมันก็มีเสียงดังลั่นขึ้นมาตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เหยียบลงบนหิมะไม่ห่างออกไปเท่าไหร่จากจุดที่พวกเขาตั้งกองไฟ


 


“ใคร?” หลิวยู่ติงเป็นคนแรกที่ได้ยินเสียง เขารีบแตะอาวุธของตัวเองและเพิ่มความระวังขึ้นทันที


 


ผู้คนเริ่มค่อยๆตื่นตัวขึ้นตามกันมาอย่างกระวนกระวายขณะหันไปเพ่งมองความมืดข้างหลัง นอกเหนือจากความลำบากที่ต้องนอนท่ามกลางหิมะแล้วมันยังมีสิ่งมีชีวิตอันตรายมากมายอาศัยอยู่บนภูเขา อย่างเมื่อวานนี้พวกเขาก็เจอกับหมาป่าคลั่งที่มีรูปร่างคล้ายกับหมาป่าในยุคศิวิไลซ์ทว่าตัวใหญ่กว่าจนแทบจะเหมือนกับสิงโต มีฟันเยอะกว่าแถมยังแหลมคมจนสามารถกัดทะลุเหล็กได้ พวกเขาใช้เวลานานมากกว่าจัดการกับมันได้และมีหลายคนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นั้น


 


เสียงนั้นค่อยๆคลืบคลานเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ และมันเริ่มชัดเจนว่าเสียงนั้นมาจากคน ทุกคนรู้สึกโล่งอก แสงจากกองไฟทำให้พวกเขาเห็นหน้าคนที่กำลังเข้ามาใกล้ชัดเจน


 


“กูเหลียงเฉิน?!” หลิวยู่ติงโพล่งขึ้นมาพร้อมกับร่องรอยของความไม่ไว้ใจในน้ำเสียงของเขา เขาจำได้แม่นถึงชื่อสามชื่อที่ชูฮันพูดถึงไว้ก่อนหน้านี้


 


ต่อมาหลิวยู่ติงก็ต้องกระพริบตาอีกครั้งเมื่อเขาเห็นกูเหลียงเฉินลากคนมาด้วยในมือของเขา กูเหลียงเฉินจับที่ข้อเท้าของชายคนหนึ่งและลากมาตามพื้นหิมะราวกับถุงกระสอบทราย


 


“หลูเหวินเชิง?”


 


กลุ่มคนรีบวิ่งถลาเข้าไปเพื่อช่วยหลูเหวินเชิงที่นอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้น


 


กูเหลียงเฉินเองก็ปล่อยมือทันทีเช่นกัน พร้อมกับนั่งลงพักผิงกับหินก้อนใหญ่ใกล้ๆและปิดตาลงด้วยความเหนื่อยล้า


 


หลิวยู่ติงมองตามกูเหลียงเฉินอย่างสงสัย จากนั้นก็หยิบน้ำและอาหารส่งให้ “กินก่อนสิ”


 


กูเหลียงเฉินเปิดเปลือกตาจากนั้นก็ปิดลงอีกครั้ง เขาไม่ได้รับของจากหลิวยู่ติง


 


มือของหลิวยู่ติงค้างเติ่งอยู่ในอากาศเป็นเวลาพักใหญ่ ความสงสัยในอกของเขายิ่งขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ไอ้คนนี้มันอะไรกัน?


 


“เขาตัวแข็งเป็นน้ำแข็ง” เสียงของติงเซวดังขึ้นจากด้านหน้า หลูเหวินเชิงในตอนนี้ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมผืนหนา ต่อมาติงเซวก็ตะโกนขึ้นมาต่อ “ฉันจะต้มน้ำร้อนมาให้เขา พอเขาตื่นมาเราค่อยป้อนอาหารให้เขา ตอนนี้เขายังไม่มีแรงพอ เราต้องค่อยๆ”


 


“เข้าใจครับ”


 


ทุกคนปฏิบัติตามอย่างลำบาก เพราะตอนนี้ทุกคนเองก็ต่างลำบากอยู่พอตัวอยู่แล้ว หลังจากรอให้หลูเหวินเชิงรู้สึกตัว ทุกคนก็เริ่มกลับมาพักผ่อนต่อ พวกเขาเองก็ต้องรักษาพลังงานของตัวเองไว้เพื่อพยุงชีพเช่นกัน


 


“ท่านพลตรี” ซูเซียงหลงซูดน้ำมูกในจมูก จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นผสมกับขึ้นจมูก “ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ?”


 


หลิวยู่ติงที่หลับตาแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนแรง “พูดมาสิ”


 


“วัตถุดิบอาหารที่เรามีในตอนแรกนั้นมันมากกว่าสำหรับสัดส่วนของคนสามร้อยคนสำหรับหนึ่งอาทิตย์ใช่มั้ยครับ?” ซูเซียงหลงรู้สึกว่ามันมีเรื่องคาใจบางอย่างที่เขาต้องการคำตอบ


 


สายตาหลายคู่ของหลายคนจับจ้องมาที่ทั้งคู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาให้ความสนใจกับหัวข้อสนทนานี้เหมือนกัน ทุกคนไม่ได้โง่ ทรัพยากรในการเดินทางปกติแล้วไม่ได้มีมาก ทางค่ายซางจิงต้องการกระตุ้นให้พวกเขาพึ่งพาตัวเอง ถึงอย่างไรแล้วทั้งจีนนั้นมีซุปเปอร์มาร์เก็ตมากมายก็แค่เดินเข้าไปหาอาหารสักที่ก็ได้


 


หูของกูเหลียงเฉินกระดิก หากตาไม่ได้กระพริบ เขายังคงแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย


 


หลิวยู่ตองถอนหายใจ “มันเป็นชัยชนะของพลเอกชูฮัน วัตถุดิบที่เราสามารถเอามาได้นั่นจริงๆมีแค่เพียงรถห้าคัน อาหารสำหรับคนหนึ่งร้อยคนสำหรับเวลาเจ็ดวันและเต้นท์นอนอีกห้าสิบเต้นท์”


 


“น้อยเหลือเกิน?” ซูเซียงหลงที่เกิดและโตมาในกองทัพส่งเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ถึงแม้จะไม่นับพวกของเฉินเสี้ยนกาวเข้ามา แต่แค่จำนวนแรกเริ่มของหน่วยทหารของพวกเราก็สองร้อยแล้ว นอกเหนือจากพาหนะและเต้นท์นอน สัดส่วนอาหารมันควรจะเป็นสำหรับคนสองร้อยคนสำหรับเจ็ดวันไม่ใช่เหรอครับ?”

 

 

 


ตอนที่ 462

 

หลิวยู่ติงยิ้มมุมปาก “ใสซื่อ”


 


“อ่า…” ซูเซียงหลงอ้ำอึ้ง


 


หลิวยู่ติงเหล่มองซูเซียงหลงด้วยสายตามีนัยนะ “ทำไมนายถึงคิดว่าพลเอกชูฮันถึงทำกับแผนกโลจิสติกส์แบบนั้น แม้แต่หัวหน้าแผนกอย่างพันชางเซียนยังถูกทำไม่ต่างจากหมู?”


 


“เพื่อบีบให้ยอม?”


 


“มันเป็นเพราะเรามีเสบียงไม่พอ เดิมทีที่ทางนั่นให้เรามามันน้อยมากเกินไป แต่นี่เป็นวิธีปกติที่แผนกโลจิสติกส์ทำกับทุกคน” หลิวยู่ติงถอนหายใจ “เมื่อตอนที่ท่านพลเอกพาพวกเราทหารออกมาจากค่าย ใครจะสามารถนำเอาเสบียงออกมาได้มากมายในคราวเดียว? พวกนายได้อยู่อย่างสบายมาตลอดระยะสองสามวันที่ผ่านมา รถจี๊ปยี่สิบคันที่มีอุปกรณ์พร้อม ถึงแม้ตอนนี้เราจะไม่มีของให้รถต้องแบกและถนนให้รถวิ่งแล้ว แต่ถ้าเราไม่มีมันตั้งแต่แรกพวกเราคงยากลำบากกันมากกว่านี้เยอะ”


 


ซูเซียงหลงยิ้มอย่างข่มขืน “แต่พวกเราที่มาจากซางจิงกลับเอาแต่เรียกร้องมากกว่านี้”


 


“ฉันเองก็เป็นทหารประจำของฐานทัพซางจิง” แววตาของหลิวยู่ติงดิ่งลึก “เสบียงพวกนั้นมันไม่ใช่สำหรับสัดส่วนของหทารหนึ่งร้อยคน ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำของเรามีตำแหน่งพลเอก พวกเราคงได้ของจัดสรรจากแผนกโลจิสติกส์น้อยกว่านี้อีกด้วยซ้ำ สิ่งที่เป็นของเราจริงๆมันแค่หนึ่งในห้าจากที่ได้มา แต่เป็นเพราะพลเอกชูฮันต่อสู้เพื่อพวกเรา เพราะงั้นเราถึงได้มีเสบียงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้”


 


หลายคนต่างมีสายตาไม่อยากจะเชื่อ โดยเฉพาะเหล่าหทารที่มาจากซางจิง พวกเขาต่างรู้สึกละอายแก่ใจ


 


“พูดได้ว่าของเสบียงส่วนใหญ่ สี่ในห้าของทั้งหมดนั้นเป็นของครอบครัวพลเอกชูฮัน” หลิวยู่ติงยิ้ม “พลเอกชูฮันรายงานว่าเขามีสมาชิกในครอบครัวหนึ่งร้อยคน”


 


หลิวยู่ติงได้ยินมาว่าหลายคนยังไม่เข้าใจความเป็นจริง พวกเขาเอาแต่คิดว่าเฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกคือปัญหา บอกว่าพวกนั้นกินน้ำและอาหารของพวกเขา แต่นี้คือความจริงต่างหาก ดีแล้ว…เพราะมันทำให้สถานการณ์ตอนนี้กลับตาลปัตร


 


“เรื่องพวกนี้ พลเอกชูฮันไม่พูด…” เสียงของซูเซียงหลงเริ่มแผ่วลง


 


“เขาเป็นคนที่ไม่ชอบพูดมาก” หลิวยู่ติงพยักหน้า “เขาคิดว่ามันไม่จำเป็นที่ต้องมาอธิบาย เขาก็แค่ไม่พูด แต่ความจริงแล้วอาการและทรัพยากรทุกอย่างนั้นเป็นสิทธิที่เขาได้มาจากการต่อสู้ของเขา”


 


“แถมเรายังเป็นตัวถ่วงของเขาอีก” ทันใดนั้นหวังหลินก็ถอนหายใจ ส่งผลให้หลูเหวินเชิงที่หวาดกลัวสะดุ้งตื่นขึ้นมา


 


หลูเหวินเชิงที่ยังไม่ทันได้หายจากอาการตกใจก็มีปฏิกิริยากับสถานการณ์ในตอนนี้ จู่ๆเขาก็ผุดลุกขึ้นและพุ่งตัวออกไป


 


“หลูเหวินเชิง! นายจะไปไหน!?” หลิวยู่ติงที่ตกใจเหมือนกัน หากทันทีที่ได้สติเขาก็รีบตะโกนถามไล่หลังหลูเหวินเชิงที่วิ่งหนีไปไกล


 


“ช่วยชีวิตคน!” เสียงเย็นของหลูเหวินเชิงตอบกลับมา


 


———-


 


เฉินเสี้ยนกาวและคนอื่นๆหลายสิบคนรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆล้อมกองไฟ บรรยากาศค่อนข้างจริงจัง หลี่ชวนมักเก่งด้านการสร้างบรรยากาศกระตุ้นผู้คน เขาช่วยสร้างบรรยากาศให้เป็นมิตรสร้างความร่าเริงจนทุกคนเริ่มคล้อยหลับ


 


เปรี้ยะ!


จู่ๆมันก็มีเสียงเสียดสีของอาวุธปะทะกันดังขึ้น ทุกคนที่หลับกันอยู่สะดุ้งตื่น กระพริบตาชตื่นตัวอย่างระแวงกับสถานการณ์


 


“หลี่ซิงยู นายกำลังทำอะไร?!” เฉินเสี้ยนกาวเค้นพลังทั้งหมดของเขาออกมา ดาบยาวของเขาพาดตั้งกลางหน้าอกเพื่อกั้นกริชของหลี่ซิงยูที่เกือบจะแทงเข้าหน้าอกเขาเอาไว้


 


“เพื่ออะไร? จะฆ่าฉันทำไม?!” หลังจากเค้นเสียงถาม ฮัวหมิงที่อยู่ข้างๆก็ชักปืนขึ้นมาและเล็งไปที่หัวของเยวจึ


 


เฉินเสี้ยนกาวตื่นตระหนก ดาบยาวในมือสั่นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทำให้กริชของหลี่ซิงยูมีโอกาสเข้าใกล้อกของเฉินเสี้ยนกาวมากขึ้น!


 


ทันใดนั้นมันก็มีเสียงกระแทก “ฉึก!”


 


กริชตรงหน้าเฉินเสี้ยนกาวลอยปลิวออกไปพร้อมกับเสียงที่มันปักลงพื้นหิมะ จู่ๆก็มีร่างของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย คนคนนั้นเขามาจัดการกับหลี่ซิงยูอย่างรวดเร็ว วิวัฒนาการระยะ 3 หรือ 2 เชาไม่อาจบอกได้เป็นเพราะพลังผันผวนของคนคนนั้นไม่สามารถตรวจจับได้


 


“กูเหลียงเฉิน?”


 


เสียงหวาดกลัวของผู้คนดังขึ้น จากนั้น—-


 


“ปัง!” ทันใดนั้นมันก็เสียงยิงปืน


 


“อ๊ากกก…” เสียงร้องจากฮัวหมิง ปืนในมือของฮัวหมิงร่วงลงพื้นทันที มีกระสุนเจาะทะลุเข้าฝ่ามือของฮัวหมิงตามมาด้วยเลือดที่ไหลย้อยลงมาไม่หยุด


 


ปืนในมือของเย๋เฉินเผยขึ้นต่อสายตาทุกคนพร้อมกับควันที่ลอยออกจากปากกระบอกปืน เหงื่อเย็นๆผุดขึ้นหน้าผากของเขา เกือบไปแล้ว!


 


เยวจึมองเย๋เฉินด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นก็รีบชักอาวุธของตัวเองขึ้นมา หลี่ชวนที่อยู่ข้างๆเองก็รีบยกขวานดับเพลิงของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน


 


ฮัวหมิงไม่มีเวลาที่จะหยิบปืนที่พื้น เขารีบควักมีดพกขึ้นมาด้วยมือข้างซ้าย พลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 3 พุ่งกระจายออกมา แววตาส่องประกายวาว “มึงรนหาที่ตายเองนะ!”


 


“จัดการมันให้สิ้นซาก!” เฉินเสี้ยนกาวบตะโกนสั่ง


 


คนที่เหลือได้แต่นิ่งอึ้ง จากนั้นก็รีบตั้งสติและเตรียมตัวตั้งรับ ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมพรรคพวกที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอดหลายวันถึงจู่ๆคิดจะฆ่าพวกเขาก็ตาม?


 


“กูเหลียงเฉิน? มึงอยากตายเหรอไง สู้สิวะ!” หลี่ซิงยูแหกปากขึ้นมาดังลั่น


 


กูเหลียงเฉินไม่ตอบ เขาปาดเลือดตรงมุมปากออกและพยายามจะวิ่งหนีออกไปอย่างกลัวตาย


 


“เหอะ อย่าคิดว่ากูจะฆ่ามึงไม่ได้ ก็แค่วิวัฒนาการระยะ 2 กล้าจะมาต่อกรกับกู?” หลี่ซิงยูถอนหายใจและกระแทกกำปั้นเข้าใส่หน้าอกของกูเหลียงเฉิน จากนั้นก็แหกปากใส่ทุกคน “วันนี้พวกมึงทั้งหมดต้องตายอยู่ที่นี้!”


 


และอีกฟากหนึ่ง ปัง!


 


พลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 3 ของฮัวหมิงกระจายล้อมรอบตัวและในขณะเดียวกันมือของเขาก็บีบเข้าที่แขนของเยวจึจนกระดูกแทบหัก ทำให้ดาบในมือของเยวจึถูกแย่งไป


 


“กูไม่ใช่ซอมบี้ไร้สมองที่อยู่ใต้อำนาจมึง! กูเป็นวิวัฒนาการระยะ 3!” ฮัวหมิงจ้องเขม็งด้วยสายตาโหดเหี้ยมและทันใดนั้นก็ฟาดดาบเล็งเข้าที่คอของเยวจึ พลังของวิวัฒนาการะยะ 3 ระเบิดออกมา


 


“ปัง!”


 


หากครั้งนี้ฮัวหมิงกลับเป็นฝ่ายร่วงลงพื้น ต่อมาเขาก็โดนเหยียบเข้าที่หน้าอย่างแรงจนโหนกแก้มครึ่งหนึ่งแตกละเอียด เลือดไหลทะลักออกมาจากปากฮัวหมิงจนเต็มพื้นไปหมด


 


หลี่บี๋เฟิงผลักเยวจึออก จากนั้นก็อัดฮัวหมิงต่ออย่างแรง บิดแขนหักจนกระดูกโผล่ออกมาให้เห็น


 


“วิวัฒนาการระยะ 3 งั้นเหรอ?” หลี่บี๋เฟิงมีสีหน้าดุดัน “แต่กูระยะ 4!”


 


หลี่ซิงยูซึ่งอยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่ได้ยุ่งกับกูเหลียงเฉินอีก เขาไม่สามารถจะเอาตัวเองรอดได้ด้วยซ้ำและไม่สามารถดูแลฮัวหมิงที่ยื่นมือเขามาช่วยจนตอนนี้บาดเจ็บหนัก หลี่ซิงยูคิดจะหมุนตัวหนีออกไปแทน


 


แต่ใครจะรู้ จังหวะที่หลี่ซิงยูกำลังหมุนตัวนั่นเอง—–


 


“ปัง!” หมัดกระแทกเข้าที่เบ้าตาของหลี่ซิงยูทันที


 


“พูดมา!” หลิวยู่ติงมองหน้ากูเหลียงเฉินที่เอาได้แต่พยายามกดปากแผลตัวเอง ใบหน้าช้ำและเปื้อนไปด้วยเลือด “พูดให้รู้เรื่อง! นายเป็นวิวัฒนาการระยะ 2 แต่ยังเอาชนะมันไม่ได้ นายสู้อย่างหนักแล้วสินะ?”


 


——–


 


เฉินช่าวเย่ถูกอย่างลากเหมือนหมูมาตลอดทาง แต่ในตอนนั้นเองจู่ๆชูฮันก็หยุดชะงักเมื่อหวังไคที่อยู่ในกระเป๋าของเขายื่นหัวออกมาพูด “แปลกมาก ความภักดีของกูเหลียงเฉินเพิ่มขึ้น​?”


 


คิ้วของชูฮันเลิกขึ้นเมื่อได้เห็นข้อมูลในระบบล่มสลาย เขากำลังจะขึ้นไปถึงยอดของภูเขาแล้วขณะลากเฉินช่าวเย่ให้ปีนตามมาด้วย


 


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง—–


 


“ชูฮัน!” จู่ๆหวังไคก็ตะโกนขึ้นมา “มีคนชื่อหายไปสองคน พวกเขาตายรึเปล่า?!”

 

 

 


ตอนที่ 463

 

ชื่อของสองคนที่หายไปคือหลี่ซิงยูและฮัวหมิงนั่นเอง ชูฮันมองชื่อที่ซีดจางในระบบล่มสลายและอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมากุมคางพลางขบคิดอยู่ในหัว หรือหลิวยู่ติงเป็นคนยิง?


 


จู่ๆในตอนนั้นเองเฉินช่าวเย่ที่นอนอยู่ที่พื้นก็เงยหน้าขึ้นมาเผยให้น้ำตาที่นองหน้าเต็มไปหมด “หัวหน้า! ผมสัมผัสได้ถึงพื้นที่กำลังสั่น มันไม่มีสัตว์ป่าในบริเวณนี้เลย มันต้องเป็นหิมะถล่มอีกแน่!”


 


ชูฮันเลิกคิ้วและปัดเฉินช่าวเย่ให้หลบข้างไปโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ที่แห้งตายไปแล้ว เฉินช่าวเย่หนักเกินไป ถึงแม้ต้นไม้นี่จะใหญ่โตแต่สำหรับสองคนนั้นมันมากเกินที่ต้นไม้นี่จะรับไหว


 


และในเวลาเดียวกันนั้นเองมันก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นมา


 


ที่ความสูงมากกว่าหนึ่งเมตรของต้นไม้แห้งบนภูเขา ทันทีที่ผู้ชายสองคนปีนขึ้นมาต้นไม้ก็โอนเอนสั่นไปมาอย่างน่ากลัวว่าจะล้ม


 


“ลดน้ำหนักซะ” ชูฮันคว้าเฉินช่าวเย่ที่เกือบจะตกเอาไว้ “โชคดีที่มันเป็นหิมะถล่มขนาดเล็ก ไม่อย่างนั้นเราคงโดนหิมะถล่มกวาดไปแล้ว”


 


ทันทีที่ชูฮันพูดจบมันก็เกิดเสียงดังปัง ตามมาด้วยคลื่นหิมะขนาดใหญ่ที่ตามมาอีกรอบ


 


“พระเจ้า!” เฉินช่าวเย่เกือบจะเป็นลม “เราเจอหิมะถล่มมากี่รอบกันแล้ววันนี้?”


 


ชูฮันไม่มีเวลาจะพูด เขารีบดึงเจ้าอ้วนหนัก 200 ปอนด์นี่ขึ้นและกระโดดลงไปที่ก้อนหินจากนั้นก็ไล่กระโดดไปต่อเรื่อยๆที่ก้อนหินแต่ละก้อนเพื่อหนีคลื่นหิมะที่ไล่ตามมา


 


ต้นไม้ที่ตายไปแล้วต้นแรกที่พวกเขาใช้หลบหิมะถล่มถูกคลื่นหิมะซัดหายไปแล้วทันทีที่ทั้งคู่กระโดดหลบจากมา มันกลิ้งหลุนๆและตกภูเขาไปแล้วเรียบร้อยและหลังจากกระแทกเข้ากับก้อนหินตรงหน้าผาหลายรอบไปมาในที่สุดมันก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆจนเหลือแต่ซากเศษไม้


 


เฉินช่าวเย่ที่เป็นพยานต่อภาพเหตุการณ์ทั้งหมดรู้สึกกลัวอยู่ในใจ เขาได้แต่กรีดร้องอยู่ในอกอย่างแสดงออกอะไรไม่ได้เพราะชูฮันกำลังแบกเขาอยู่ เฉินช่าวเย่อยากจะแหกปากออกมาดังๆว่าหัวหน้าเขาสุดยอดมากแค่ไหน!


 


ถ้าตอนที่เกิดหิมะถล่มชูฮันไม่ได้อยู่ตรงนี้และลากคนอ้วนอย่างเฉินช่าวเย่หนีมาละก็ เฉินช่าวเย่ก็คงตายไปแล้ว ถึงแม้ชูฮันจะเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 ที่แข็งแกร่งมากแต่การแบกเฉินช่าวเย่ตัวอ้วนมาตลอดทางก็สามารถทำให้ชูฮันหมดแรงได้เช่นกัน


 


ยิ่งเข้าใกล้ยอดภูเขามากขึ้นเท่าไหร่ชูฮันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ยิ่งขึ้นมาสูงมากเท่าไหร่หิมะถล่มควรจะมีน้อยลงเพราะพื้นที่บนเขานั่นน้อยลงทว่ามันกลับตรงกันข้ามยิ่งพวกเขาขึ้นมาสูงเท่าไหร่ความถี่ของหิมะถล่มยิ่งรุนแรงขึ้น นี่มันผิดปกติ เพราะทุกครั้งที่ชูฮันขึ้นมาสูงขึ้น แรงสั่นสะเทือนจะยิ่งรุนแรงขึ้นและทำให้เกิดหิมะถล่มตามมา


 


ดูเหมือนว่าเขาจะหาสาเหตุของหิมะถล่มเจอแล้ว แต่อะไรคือสาเหตุของการสะเทือนอย่างรุนแรง? นี่มันไม่เหมือนกับแผ่นดินไหว!


 


ในที่สุดหลังจากผ่านไปครึ่งวันกับการเร่งรีบวิ่งหนี ชูฮันที่ใช้งานมือและเท้าอย่างเต็มที่ในการหลบหนีก็ขึ้นมาถึงด้านบนยอดจนได้ ก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนสุดท้ายอยู่ตรงหน้า ชูฮันต้องปีนขึ้นไปหากในขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกๆสองสามวินาที ชูฮันเหวี่ยงร่างของเฉินช่าวเย่ขึ้นไปก่อนจากนั้นก็ปีนตามขึ้นมาโดยใช้สองมือพร้อมกับหวังไค


 


และทันทีที่ขึ้นมาถึง ชูฮันและเฉินช่าวเย่ก็ต้องกระพริบตาปริบ


 


ปัก! เปรี้ยะ! ทั้งสองที่ขึ้นมาถึงยอดเขาได้ยินเสียงปะทะของอาวุธทั้งสองชิ้นตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนของยอดเขาที่ตามมาอย่างต่อเนื่อง บนยอดเขาเป็นพื้นเรียบและมีร่างของคนสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า…ไม่วันนี้ใครคนหนึ่งต้องตายกันไปข้าง!


 


“นั่น…มัน” หวังไคเองก็ช็อคเช่นกัน “นี่มันทรงพลังขนาดสร้างแรงสะเทือนขนาดใหญ่จนก่อให้เกิดหิมะถล่มบนภูเขาสิบกว่าครั้งได้เลยเหรอ!”


 


มันมีความตึงเครียดฉายอยู่ในแววตาของชูฮันขณะมองไปที่ภาพตรงกันข้ามกับตัวเอง “เราเจอกับหิมะถล่มครั้งแรกเมื่อประมาณสองวันก่อนแปลว่าพวกเขาน่าจะต่อสู้กันมาได้สองวันแล้ว และสู้กันจนยอดภูเขาพังจนกลายเป็นพื้นเรียบแบบนี้ได้”


 


เฉินช่าวเย่ตบหน้าตัวเองขณะมองไปที่ภาพตรงหน้าอย่างสยอง สองคนนี้ทำให้พื้นที่ไม่เรียบกลายเป็นเรียบได้ นี่มันเทพเจ้าหรืออะไร?


 


ทั้งสามนิ่งเงียบอยู่ราวห้านาทีด้วยความตะลึงจนเริ่มฟื้นพละกำลังของตัวเองกลับมา ในที่สุดเฉินช่าวเย่ก็เริ่มชินกับภาพตรงหน้า ชูฮันมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นและเดินหน้าเข้าไปหาทั้งสองคนที่ต่อสู้กันอยู่พร้อมกับเจ้าอ้วนเฉินช่าวเย่


 


ปรมาจารย์ นี่มันระดับปรมาจารย์!


 


และเมื่อเข้าไปใกล้ในระยะหนึ่งร้อยเมตร ในที่สุดชูฮันก็เห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น ทั้งสองคนที่สู้กันอยู่นั้นคือผู้ชายและผู้หญิง ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถสัมผัสได้เพราะระยะที่ห่างไกลเกินไปแต่ตอนนี้เขาเข้ามาใกล้ขึ้นแล้ว อาวุธของทั้งคู่นั้นทรงพลังและพิเศษอย่างมาก


 


อาวุธในมือของผู้ชายคือปืนยาว ตัวปืนชเป็นสีทอง และทุกครั้งที่เกิดการปะทะมันจะมีรอยฝังลึกบนด้ามปืน และตัวปืนจะเปล่งแสงสะท้อนทุกครั้งที่มันยิงกระสุนออกมา


 


อาวุธในมือของผู้หญิงนั่นเห็นได้โจ่งแจ้งชัดเจนกว่า มันเป็นเคียวยาวขนาดใหญ่ยิ่งกว่าขวานซิ่วโหลของชูฮันซะอีก ตัวเคียวนั้นมีสีขาวล้วนราวกับเกิดมาเพื่อเป็นพญามัจจุราชที่เก็บเกี่ยวความตาย ตัวใบมีดแกะสลักด้วยลวดลายซับซ้อนที่ทำให้ชูฮันสัมผัสได้ถึงความลึกลับอันน่าพิศวง


 


“ฉันจะเข้าไปก่อน” ชูฮันหันมาพูดกับเฉินช่าวเย่ด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็พุ่งตัวออกไปอย่างเรวเร็ว


 


ยิ่งชูฮันเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น ไม่เพียงแต่กับเคียวยักษ์ในมือของผู้หญิงเท่านั้น แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้มากขึ้นเขาก็ค้นพบว่าปืนยาวสีทองของผู้ชายคนนั้นก็มีรอยสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนและลึกลับเช่นเดียวกัน แต่ละครั้งที่ปืนยิงออกมาตัวลวดลายจะส่องประกายให้เห็นชัดขึ้น


 


ลวดลายแบบนี้ ชูฮันจำมันได้ในทันทีที่เห็น เห็นได้ชัดว่ามันมาจากหุบเขาหยินหยาง!


 


นี่คือสิ่งที่ทำให้เหอซางกลายเป็นคนโด่งดังท่ามกลางสงครามและหุบเขาหยินหยางที่ทุกคนต่างใคร่อยากจะเห็น


 


แต่ตอนนี้ทำไมสองคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี้ได้? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหุบเขาหยินหยางนั้นอยู่ไกลออกไปหลายพันไมล์จากตรงนี้ แต่เป็นไปได้อย่างไรที่อาวุธจากหุบเขาหยินหยางถึงปรากฏขึ้นเร็วขนาดนี้?


 


การเข้ามาใกล้ของชูฮันถูกค้นพบโดยทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว หลังจากตกใจไปเพียงแค่เสี้ยววินาที ทั้งสองก็ถอยหนีทันทีอย่างพร้อมเพรียงและทิ้งระยะห่างกันและกันไว้ที่สิบเมตรอย่างสงบศึกชั่วคราว จากนั้นทั้งสองก็หันมาประจันหน้าชูฮันและสบตากันและกันไปมา


 


ใบหน้าของฝ่ายชายดูหนุ่มมากและดูเหมือนน่าจะอยู่ในช่วงอายุยี่สิบ ผมที่ตัดสั้นอย่างเป็นระเบียบประกอบกับสายตาแหลมคมที่มองมา อีกทั้งแววตาที่แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งและความสงสัย


 


ส่วนฝ่ายหญิงนั้นมีผมยาวสีม่วง เนื้อตัวสะอาดสะอ้านและแต่งกายเรียบร้อยดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูแล้วไม่น่าจะอายุเกินยี่สิบ แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาและโหดเหี้ยม นัยน์ตาสีม่วงของเธอสามารถแช่แข็งคนที่มองได้ทันทีที่สบตา เช่นเดียวกับร่างกายที่ดูเย็นชาไปทั้งร่าง


 


ในขณะนั้นชูฮันได้เข้ามาถึงสนามรบของทั้งคู่ที่ระยะห่างยี่สิบเมตรและรักษาระยะปลอดภัยนี้ไว้โดยไม่ได้ขยับตัวอีก ข้อแรกเลยมันเป็นเพราะว่าทั้งสองคนนี้แข็งแกร่งมากเกินเขาจะจินตนาการได้ ส่วนข้อสองนั่นเป็นเพราะผู้ชายคนนั้น ทันทีที่ชูฮันเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นชัดๆเขาก็ต้องช็อค


 


เขาเป็นอย่างไรบ้าง?

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม