Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย 429-435

ตอนที่ 429

 

“ครับหัวหน้า!” กลุ่มคนนำโดยเฉินเสี้ยนกาวใช้พลังลมตะเบ็งเสียงออกมาลั่นอย่างดุดันจนอึกทึก ดูเหมือนพวกเขาพร้อมที่ออกรบและเป็นไปได้ว่าน่าจะอยู่ในขั้นที่พร้อมจะฟันซอมบี้เป็นชิ้นๆภายในไม่กี่นาที


 


พลทหารสองร้อยนายที่ได้รับบทเรียนจากชูฮันไปแล้วตัวสั่นเทิ้ม ขณะมองไปที่กลุ่มคนนับร้อยตรงหน้าที่ใส่เสื้อผ้าที่ไม่สามารถสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ ทว่าพวกเขากลับตะเบ็งเสียงดังยิ่งกว่าตอนพวกเขาฝึกซ้อมประจำวันซะอีก มันอยากจะที่จะจินตนาการ คนเพียงแค่ 80 คนตะโกนดังสนั่นกันอย่างพร้อมเพรียง แสดงถึงความเหนียวแน่นที่พวกมันมีต่อชูฮัน ซึ่งมันน่ากลัวอย่างมาก


 


ชูฮันบิดริมฝีปาก เขาไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป เขาก้าวเท้าออกเดินไปข้างหน้า เบื้องหลังของเขาคือเมืองชั้นในที่ทุกคนโหยหาและใฝ่ฝันจะได้เข้ามาอยู่ แต่เขากลับเดินจากไปอย่างไม่ลังเลและไม่สนใจเลยสักนิด


 


เฉินเสี้ยนกาวพร้อมกับกลุ่มคนเดินตามหลังชูฮันไปทันที เพิกเฉยต่อสีหน้าตะลึงของพลทหารกว่าสองร้อยนาย


 


เมื่อเห็นว่าในสุดกลุ่มของชูฮันก็จากไป พันชางเซียนก็ตัวอ่อนเปรี้ยแข็งขาอ่อนอย่างหมดแรง เนื้อตัวอ่อนยวบ ในที่สุดไอ้คนนอกคอกนั่นก็ไปสักที!


 


“ไปเร็ว…” ไปมอบความตายให้ไอ้ชูฮัน พันชางเซียนไม่สนใจใบหน้าที่บวมเฉ่งของเขา เขารีบวิ่งมุ่งหน้าไปทางศูนย์บัญชาการทันที


 


ไม่นานหลังจากชูฮันจากไป เรื่องราวของชูฮันที่พังทลายแผนกโลจิสติกส์และที่สมาชิกในครอบครัวของชูฮันทำร้ายเจ้าหน้าที่พลเรือน ทั้งสองเรื่องได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองราวกับสายฟ้า ทุกอย่างโหมกระหน่ำยิ่งกว่าพายุเกินกว่าจะหยุดยั้งได้


 


อีกครั้งที่ชูฮันได้สั่นประสาทของเหล่าคนใหญ่โตในซางจิง ถ้วยชามมากมายแตกกระตาย โต๊ะและเก้าอี้ถูกเตะล้ม


 


ชูฮันมาซางจิงเพียงแค่ 3 วัน ทว่ากลับสร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งเมืองจนเละไปหมด โชคยังดีที่ชูฮันจากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นค่างซางจิงคงได้พังทลายทั้งค่าย


 


วันแรกที่มาถึง กฏระเบียบด้านสิทธิพิเศษของพลเอกได้รับการเปลี่ยนแปลง หนังสือสาบานตนก็ถูกเปลี่ยนในวันต่อมา ทั้งห้องประชุมมีแต่ความวุ่นวาย และวันที่สาม เจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายและสำนักงานของแผนกโลจิสติกส์ถูกรื้อถอน!


 


เจ้าชูฮันคนนี้! มันจะกล้ามากเกินไปแล้ว!


 


ด้านนอกอาคารสำนักงานของผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงภายในเมืองชั้นใน ตรงแท่นสูงคลุมไปด้วยหิมะ หากมันมีคนหนุ่มสาว 3 คนยืนอยู่


 


สีหน้าของเลาเสี่ยวเสียวแสดงออกถึงความไม่พอใจพร้อมกับถอดชิ้นส่วนปืนไรเฟิลไปด้วย ด้านข้างของเธอคือจุนจื่อและจุ้ยชู…2สมาชิกของฮูหยา สองฝาแฝดมีสีหน้าอึมครึมขณะก้มหยิบชิ้นส่วนปืนที่ถูกเลาเสี่ยวเสียวรื้อขึ้นมาประกอบกลับให้เหมือนเดิม ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะใช้ความรวดเร็วในการประกอบขนาดไหนก็ยังไม่รวดเร็วเท่ากับเลาเสี่ยวเสียวตัวคนเดียวที่คอยรื้อปืนอยู่ เลาเสี่ยวเสียวสามารถใช้เวลาไม่กี่วินาทีแยกชิ้นส่วนของปืนไรเฟิลออกเป็นชิ้นๆ


 


“กระแอม…” จุนจื่อไอเล็กน้อย พยายามบอกใบ้บางอย่างแก่เลาเสี่ยวเสียว “คุณเลา คุณช่วยอย่ารื้อมันได้มั้ย พวกเราเหนื่อยมากกับการตามประกอบมัน”


 


“เฮ้อ!” จุ้ยชูอารมณ์ไม่ค่อยดี สีหน้าอึดอัด “ทำไมเราต้องเสียเวลามาเป็นเพื่อนคุณด้วย? เพื่อมาเล่นถอดชิ้นส่วนปืนของคลังแสง!”


 


“เพราะมันมีปืนไม่จำกัดไง!” เลาเสี่ยวเสียวตะลึง “พี่ชายชูฮันไปแล้ว ชาช่าวหนานก็นอนอยู่บนเตียง ทั้งซางจิงไม่มีใครมาเป็นเพื่อนเล่นกับฉันได้เลย”


 


“ชาช่าวหนานโดนคุณแกล้งจนป่วยสินะ?” จุ้ยชูยกมุมปาก “แต่คุณมีบอดี้การ์ดติดตามอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง? ไปหาพวกเขาสิ!”


 


“แต่พวกเขาไม่เร็วเท่าพวกเธอนิ” เลาเสี่ยวเสียวตอบกลับทันที ทว่าคำตอบของเธอทำให้คู่แฝดถึงกับพูดอะไรไม่ออก


 


“ทำไมคุณถึงไม่ไปกับชูฮัน?” จุ้ยชูคิดพร้อมกับถามออกไป


 


เลาเสี่ยวเสียวหลุบตามองพื้นก่อนจากนั้นก็มองไปที่คู่แฝดด้วยสายตาจริงจัง “ฉันยังเด็กเกินไป แต่ถ้าฉันอายุ 16 เมื่อไหร่ฉันจะไปหาพี่ชูฮันและแต่งงานกับเขา!”


 


“ฮัดชิ้วววว…”


 


“ชู่ววว! อย่าส่งเสียง!” เลาหมิงที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องหลังผ้าม่าน สายตาจับจ้องไปที่หลานสาวของเขาที่ยืนท้าลมหนาวอยู่ด้านนอกพร้อมกับแววตาเศร้าสร้อย


 


ผู้บัญชาการมู๋ซึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดันแว่นสายตาให้เข้าที่ “ฉันแค่จามและถูมือนิดหน่อย นายกังวลไปหรือเปล่า?”


 


“ฉันจะเป็นกังวลต่อหลานสาวฉันไม่ได้รึไง?” เลาหมิงกรอกตา จากนั้นก็หมุนตัวกลับมาถาม “โอ้ ยังหาหลานชายนายไม่เจออีกเหรอ?”


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ผู้บัญชาการมู๋ก็ชะงักไป เขาถอนหายใจจากนั้นก็ส่ายหัว “อย่าพูดถึงเรื่องนี้ มาดูนี่สิ”


 


เลาหมิงมองไปที่สิ่งที่ผู้บัญชาการมู๋บอก ไม่นานแววตาของเลาหมิงก็เป็นประกาย “เด็กคนนี้!”


 


“คิดไม่ถึงใช่มั้ย?” ผู้บัญชาการมู๋มีท่าทีสนใจ


 


“มันทำให้ฉันประหลาดใจ” เลาหมิงตบหน้าตัวเอง “ฉันเป็นคนทำให้แผนกโลจิสติกส์กลายเป็นแบบนี้ ชูฮันนี้มันเด็กจริงๆ”


 


“เกินความคาดหวังของเรา ฉันไม่ได้คาดหวังให้เขาเล่นหนักขนาดนี้” ผู้บัญชาการมู๋เองก็ถอนหายใจเช่นกัน


 


ผู้บัญชาการพยักหน้าพูด “เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ ไม่ต้องกังวล”


 


ผู้บัญชาการมู๋เผยรอยยิ้มบนหน้า “ความกล้าหาญอาจกลายเป็นก้าวร้าวได้ หากในขณะเดียวกันมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คนหนุ่มแบบเขาหาได้ยาก”


 


“แต่ยังเด็กเกินไปและความกล้าหาญก็มากเกิน” เลาหมิงส่ายหัว สายตาลึกซึ้ง “เด็กหนุ่มมักจัดการด้วยยาก เขารู้ว่าต้องทำอะไรและอะไรไม่ควรทำ ใครจะรู้ว่าในอนาคตเขาอาจกล้ากว่านี้อีก จากนั้นก็กลืนกินซางจิง?”


 


“ใครจะรู้?” ผู้บัญชาการมู๋เองก็มีสายตาล้ำลึก “พวกเราก็แก่แล้ว เราไม่สามารถสนับสนุนเค้าได้ไปตลอด ตอนนี้เราก็ได้แค่พนัน และใครก็ตามที่วางเดิมพันก็จะมีความเสี่ยง จะดีกว่าถ้าตอนนี้เราหาคนที่ป่ายหวีเนอกำลังหาตัวอยู่”


 


“พอนายพูดฉันก็ลืมไปเลยว่ายังมีป่ายหวีเนอ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


————-


 


ขณะนั้น ณ บ้านพักของเฉินช่าวเย่ ปากของเซียเหว่ยที่มีเลือดติดอยู่ขณะก้มหัวโค้งต่อหน้าชายคนหนึ่งต่อหน้าเธอ


 


“หึ! ฉันโอนแกมาติดตามเฉินช่าวเย่ แกทำภารกิจอะไรสำเร็จบ้าง ได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง?” ชายคนนั้นนั่งอยู่บนโซฟา น้ำเสียงของเขายังหนุ่มอยู่ หากมีสัมผัสของความเด็ดขาดและเจือจางกลิ่นอายสังหาร ผู้ชายคนนี้คือคนที่ปลอมแปลงคำสาบานตอนที่ถูกส่งไปให้ชูฮัน


 


เซียเหว่ยเงยหน้า พยายามใช้รูปลักษณ์ของตัวเองเพื่อสงบอารมณ์อีกฝ่าย “ท่านเหย่ ดิฉันขออภัย เจ้าอ้วนเฉินช่าวเย่นั้นไม่ทำอะไรเลย นอกเหนือจากให้ดิฉันทำอาหารให้กิน เขาไม่แม้แต่จะเหลือบตามองดิฉันเลยด้วยซ้ำ ขนาดดิฉันเข้าไปอาบน้ำโดยไม่ปิดประตูเขายังไม่คิดจะแล”


 


เหย่จือโปจ้องเซียเหว่ย พร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย “เธอทำแค่นั้น?”

 

 

 


ตอนที่ 430

 

“ไม่ใช่นะคะ” เซียเหว่ยส่ายหัวด้วยความกลัว เธอแทบจะร้องไห้ออกมา “ฉันพยายามทุกทางแล้ว แต่เจ้าอ้วนนั่นอาจจะโง่มากหรือบกพร่องเรื่องความต้องการ เขาไม่แม้แต่จะมองดิฉันเลย”


 


“เหอะ!” เหย่จือโปแสยะยิ้ม “มันไม่แม้แต่จะนึกถึงเธอด้วยซ้ำตอนไปจากซางจิง นี่เธอจะบอกฉันว่าเธอทำงานหนักมา? ล้อเล่นเหรอไง นี่คือความพยายามของเธอแล้วใช่มั้ย?”


 


“เปล่า ไม่ใช่คะท่าน!” เซียเหว่ยนั่งคุกเข่าต่อหน้าเหย่จือโป “อันที่จริงวิธีการของดิฉันดีมาก”


 


พ้ะ!


เท้าข้างหนึ่งของเหย่จือโปถีบเข้าที่หย้าอกของเซียเหว่ยทันที “นังโง่ มัวแต่ใช้วิธีการทำอาหารนะสิ!”


 


เซียเหว่ยที่ถูกถีบไม่แม้แต่จะแสดงอารมณ์ใดๆ หลังจากใช้หลังมือปาดเลือดที่มุมปากออก เธอก็โค้งตัวก้มหัวต่อหน้าเหย่จือโปต่อเหมือนเดิม


 


เหย่จือโปโกรธจัด ถ้ามันไม่ใช่เพราะว่าที่นี้คือบ้านพักของพลโทเฉินช่าวเย่ละก็ เขาคงฆ่าเซียเหว่ยไปแล้วด้วยความโมโห เหย่จือโปพยายามระงับอารมณ์ไว้ในอก หากสายตายังคงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดขณะมองไปที่ชายคนที่นั่งอยู่ถัดไป…พันชางเซียน “เจ้าหน้าที่โลจิสติกส์ของฉัน”


 


“เอ่อออ ครับ” พันชางเซียนรีบผุดลุกขึ้นยืนทันทีต่อหน้าเหย่จือโปพร้อมกับใบหน้าที่บวมเฉ่งจากฝีมือของชูฮัน


 


เหย่จือโปเอนหลังและเปลี่ยนท่านั่งเป็นสบายๆบนโซฟา มองไปที่หน้าพันชางเซียนด้วยท่าทางสนใจ “คุณอ้วนขึ้นเหรอ?”


 


“พัฟ! แค่ก! แค่ก!” ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเหย่จือโปอดไม่ไหวจนหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นไอแทนเมื่อเห็นสีหน้าของเหย่จือโป


 


เหย่จือโปหน้าตึงทันที มันมีแววสังหารอยู่ในสายตาของเขา “จ่าวฮ่าวฮาว เวลาฉันพูด แกควรจะคุมปากตัวเองให้หุบไว้”


 


มีแววตาบางอย่างฉายวูบผ่านนัยน์ตาของจ่าวฮ่าวฮาวก่อนที่มันเปลี่ยนเป็นแววตาแห่งความเคารพก่อนจะตอบเหย่จือโป “ครับ”


 


เหย่จือโปไม่มีความอดทนหรืออารมณ์สุนทรีย์อะไรแล้วในตอนนี้ เขาลุกขึ้นยืนพลางเหลือบมองพันชางเซียนที่หลุบตาหลงพื้น “แกสามารถอ้วนขึ้นได้อีก”


 


พันชางเซียนอึ้งอย่างไม่เข้าใจและได้แต่กัดริมฝีปาก “ท่านเหย่ ผมขอถามได้มั้ยครับว่าผมทำอะไรผิด?”


 


เซียเหว่ยที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นมีสีหน้าเหยียดๆ…ไอ้โง่นี้


 


เหย่จือโปหันไปมองพันชางเซียนเต็มตาและเงื้อมมือขึ้นตบเข้าไปที่หน้าของพันชางเซียนอย่างไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ภายในทีเดียวปากของพันชางเซียนก็มีเลือดซึมออกมาพร้อมกับฟันหลุดจากปาก หน้าที่บวมก่อนหน้านี้อยู่แล้วด้วยฝีมือของชูฮันยิ่งบวมจนน่าเกลียดหนักกว่าเดิม


 


“มีแต่ไอ้หน้าโง่เง่ากันทั้งนั้น!” เหย่จือโปเกรี้ยวกราดขึ้นมา “นี่กูเลี้ยงแต่ขยะไว้เหรอไง มีแต่ไอ้หน้าโง่แล้วยังกล้าเสนอหน้าถามกูอีกเนี่ยนะ?!  กูน่าจะโยนพวกมึงไปอยู่ในพื้นที่ผู้ลี้ภัยซะ!”


 


ทั้งเซียเหว่ยและพันชางเซียนหน้าซีดเผือด หน้าตาบิดเบี้ยวและบวมช้ำกันทั้งคู่หากไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรทั้งนั้น พันชางเซียนมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งหากหลังจากนั้นเขาก็เงื้อมมือขึ้นและเริ่มตบตัวเองอย่างแรงจนเสียงดังลั่น


 


จ่าวฮ่าวฮาวเลิกคิ้วเล็กน้อย อารมณ์ก่อนหน้านี้ของเหย่จือโปทำให้เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้เท่าไหร่ ตอนนี้แม้แต่พันชางเซียนที่เป็นหัวหน้าควบคุมแผนกโลจิสติกส์ของทั้งค่ายซางจิงเหย่จือโปยังเริ่มไม่พอใจ แล้วเหย่จือโปต้องการทำอะไรต่อไป เขาต้องการควบคุมทั้งซางจิงหรือแม้กระทั่งทั้งจีน?


 


และในขณะที่เสียงตบยังคงดังลั่นอยู่ในที่พักของเฉินช่าวเย่ ความโกรธของเหย่จือโปก็ยากเกินกว่าจะควบคุม จู่ๆมันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น


 


ก๊อก! ก๊อก!


เสียงเคาะประตูสองครั้งดังขึ้น ไม่เร่งรีบหรือช้าไป ไม่ดังหรือเบาไป


 


พันชางเซียนรีบหยุดมือตัวเองทันทีพร้อมกับแสดงอาการตระหนกออกมา


 


“เอาทุกอย่างไปซ่อนไว้ข้างบน!” เหย่จือโปกระซิบสั่ง ในใจก็อยู่ในอาการตระหนกเช่นกัน เซียเหว่ยปาดเลือดที่เปื้อนที่หน้าตัวเองออกจนหมด เหย่จือโปบีบคางเซียเหว่ยพร้อมออกคำสั่งอย่างดุดัน “เธอไปที่ประตู และรู้ใช่มั้ยว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด?”


 


เซียเหว่ยพยักหน้าด้วยความเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่ามันมีความกลัวอยู่ในแววตาของเธอ


 


เหย่จือโปมองเซียเหว่ยด้วยสายตาข่มขู่ จากนั้นก็เดินขึ้นไปห้องด้านบนพร้อมกับจ่าวฮ่าวฮาวและพันชางเซียน


 


ก๊อก! ก๊อก!


เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง


 


“โอ้ย รอก่อน” เซียเหว่ยรีบส่งเสียงออกไปก่อน ขณะแต่งหน้ากลบร่องรอยเสร็จพอดี เธอก้าวเท้าเดินออกไปเปิดประตู


 


ผั้วะ!


เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับร่างที่น่าเกรงขามในชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศปรากฏต่อหน้าเซียเหว่ยพร้อมกับตราตำแหน่งพลเอกประกายวาวบนหน้าอก!


 


เซียเหว่ยอึ้งค้าง เธอค่อยๆช้อนสายตาขึ้นมาใบหน้าของคนตรงหน้า


 


“อ่า! ท่านพลเอก!” อัตราการเต้นหัวใจของเซียเหว่ยพุ่งไปถึงสองร้อยต่อนาที เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะกดอาการตระหนกของตัวเองขณะฝืนยิ้มอย่างสุภาพออกมา “พลเอกตวนเจียงเหว่ย สวัสดียามบ่ายค่ะ”


 


ตวนเจียงเหว่ยมีรอยยิ้มในแววตาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “พลโทเฉินช่าวเย่ไปแล้วใช่มั้ย?”


 


เซียเหว่ยไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้ถึงรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี เซียเหว่ยรีบปรับสีหน้าของตัวเองและพยายามหาเสียงที่หาไปของตัวเองให้เจอ “ใช่ค่ะ เขาไปแล้ว”


 


ตวนเจียงเหว่ยหรี่ตามองภายในตัวบ้านด้วยสายตาบางอย่าง “เธอควรจะเชิญฉันเข้าไปนั่งในบ้านไม่ใช่เหรอ?”


 


“อ่า ขอโทษค่ะท่าน!” เซียเหว่ยรีบหลบทาง “ได้โปรดเชิญคะ”


 


ทันใดนั้นตวนเจียงเหวยก็ลอบยิ้มมุมปาก “ไม่เป็นไร ฉันจะไปจากซางจิงในเร็วๆนี้”


 


เซียเหว่ยเงยหน้าขึ้นมามองตวนเจียงเหว่ยด้วยสายตาไม่เข้าใจ คนที่บอกว่าอยากจะเข้าไปนั่งในบ้านก็คือเขาเองแต่สุดท้ายกลับบอกว่าจะไปจากซางจิงเร็วๆนี้?


 


“ฉันแค่แวะเข้ามาเพื่อบอกประโยคที่พลโทเฉินช่าวเย่ฝากมาให้เธอ” รอยยิ้มบนใบหน้าของตวนเจียงเหว่ยดูสวยงามาก ถ้าเฉินช่าวเย่อยู่ที่นี้เขาคงแปลกใจที่เห็นตวนเจียงเหว่ยยิ้ม โดยเฉพาะรอยยิ้มที่เหมือนกับชูฮัน


 


“พลโทเฉินช่าวเย่ฝากมาเหรอคะ?” ความประหลาดใจบนใบหน้าของเซียเหว่ยไม่ใช่การเสแสร้ง หลังจากเฉินช่าวเย่ไปแล้ว ตวนเจียงเหว่ยยังจะฝากคำพูดไว้?


 


“ถูกต้อง” ตวนเจียงเหว่ยเอามือล้วงไว้ในกระเป๋ากางเกงพลางพูด “เขาบอกว่าระหว่างนี้ให้เธอทำอาหารเตรียมไว้สักสองสามร้อยจานก็ดี และรอเขากลับมากิน”


 


ทันใดนั้นเซียเหว่ยก็มีสีหน้าอึมครึมทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น หากเธอไม่สงสัยอะไรในคำพูดของตวนเจียงเหว่ย แน่นอนว่าคำพูดโง่ๆแบบนี้มันเป็นของไอ้อ้วนเฉินช่าวเย่แน่ๆ มีแต่เรื่องกิน กิน กิน อยู่อย่างเดียว


 


“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ลาก่อน” ตวนเจียงเหว่ยกล่าวพร้อมกับหมุนตัวเดินจากไป


 


เซียเหว่ยมองตามตวนเจียงเหว่ยที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ปิดประตูและรีบขึ้นไปด้านบนทันที เฉินช่าวเย่ ไอ้ปัญญาอ่อน ตะกละตะกลาม ขณะไปแล้วยังคิดแต่เรื่องกิน


 


มันก็แค่เซียเหว่ยไม่รู้เลยว่าหลังจากเธอปิดประตูแล้วตวนเจียงเหว่ยที่หันหลังเดินไปก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาเห็นว่าที่คางของเซียเหว่ยมีรอยช้ำที่พยายามปกปิดอยู่…


 


เขาตั้งใจมาที่นี้เพื่อมาดูลาดเลาและก็ได้เห็นความจริงของเซียเหว่ย มันมีด้วยเหรอที่พลเอกต้องมาหาพลโทถึงที่? เขาไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเซียเหว่ยจะรู้ตัวมั้ยว่าทำทุกอย่างพลาดเพราะควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ได้


 


ตั้งแต่ที่ซางจิงถูกชูฮันปั่นป่วนจนวุ่นวายไปหมด แน่นอนว่าตวนเจียงเหว่ยก็จะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปและมันจะต้องวุ่นวายมากมากขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

 


ตอนที่ 431

 

หลังจากตวนเจียงเหว่ยจากไปไม่นาน…บนชั้นที่สองของบ้านพักพลโทเฉินช่าวเย่ เซียเหว่ยในตอนนี้นอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น แก้มทั้งแก้มบวมช้ำอย่างแรง ทั้งเนื้อทั้งตัวเห็นได้ชัดว่าถูกทำร้ายมา


 


เหย่จือโปแสยะยิ้ม “แกคิดว่าตวนเจียงเหว่ยมาเพื่อคุยกับแกจริงๆงั้นเหรอ? พลเอกช่วยมาพูดให้พลโท สมองของมึงถูกหมากินไปหมดแล้วเหรอไง!”


 


“นี่กูเลี้ยงคนโง่ๆแบบนี้มาได้ยังไง?!” เหย่จือโปเตะใส่เซียเหว่ยที่ได้แต่กัดฟันรับความเจ็บ


 


จ่าวฮ่าวฮาวทนไม่ไหวกับภาพที่เห็นจึงพูดขึ้น “มันอาจจะเป็นจริงก็ได้? ความจริงแล้วเราไม่รู้ว่าเฉินช่าวเย่หรือตวนเจียงเหว่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรือเปล่า?”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร?” เหย่จือโปตอบกลับมา จากนั้นก็ชะงักพลางหันไปมองจ่าวฮ่าวฮาวที่รีบโค้งหัวให้ “ใช่ มันมีความเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เฉินช่าวเย่กับตนเจียงเหว่ยที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เป็นชูฮันต่างหาก”


 


“ผมเองก็เชื่อแบบนั้น” จ่าวฮ่าวฮาวเริ่มบรรยายความคิดของตัวเองออกมา “พลเอกทั้งสองคนต่างสนิทกันสนมกันดี เราเห็นแล้วในงานเฉลิมฉลองปีใหม่ พวกเขามักพูดคุยกัน ถึงแม้ในการประชุมตอนบ่ายพวกเขาจะไม่พูดคุยกันเลยแต่พวกเขาเหมือนจะเข้าใจกันทางสายตา ราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมาก่อนและ—-“


 


“และมิตรภาพของพวกเขาไม่ใช่ผิวเผิน” จู่ๆจ่าวฮ่าวฮาวก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยผสมด้วยอารมณ์โมโห “พวกเขาแค่ตบตา ความจริงแล้วสองคนนี้เป็นพวกเดียวกัน!”


 


“ไม่ใช่เสมอไป?” พันชางเซียนพูดขึ้น “ไม่มีข้อมูลอะไรเลยที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนรู้จักกัน”


 


“แต่ตวนเจียงเหว่ยกลับมาหาถึงที่นี้ มันมีความเป็นไปได้แค่สองกรณีเท่านั้น” ความคิดของจ่าวฮ่าวฮาวเริ่มชัดเจน “ไม่ตวนเจียงเหว่ยและชูฮันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและนี้ก็เป็นทางหนึ่งในการส่งต่อข้อความ หรือตวนเจียงเหว่ยและชูฮันมีความเกลียดชังเหมือนกัน และจุดประสงค์ที่แท้จริงของการส่งข้อความคือเพื่อติดต่อเราเพื่อแสดงให้รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องเรา?”


 


เหย่จือโปรู้สึกกระวนกระวาน “ในกรณีใดๆนั้น เราอาจถูกเปิดเผยแล้ว เราต้องเปลี่ยนแผน ด่วน!”


 


ทุกคนในห้องเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที พวกเขาตะลึงกับคำพูดของตวนเจียงเหว่ย


 


———–


 


ในตอนนั้น ไก๋หนานที่ยืนอยู่ข้างถนนก็เห็นตวนเจียงเหว่ยเดินมาถึงตรงหน้า เขาจึงทำความเคารพตามระเบียบทหาร “ท่านพลเอก เฮลิคอปเตอร์เตรียมพร้อมแล้วครับ”


 


ตวนเจียงเหว่ยพยักหน้ารับ ไก๋หนานถูกเลือกมาจากกลุ่มทหารโดยเฉพาะ เขาเป็นเลิศในทุกด้าน เขากลับมาถึงซางจิงและพาหลูชูซเวกลับมาด้วย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นที่ไก๋หนานได้เลื่อนขั้นเป็นเพราะความสามารถที่เป็นเลิศของเขาเอง


 


“นายเคยติดต่อพูดคุยกับชูฮัน เขาเป็นคนแบบไหน?” ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ตวนเจียงเหว่ยถามไก๋หนานขึ้นมาระหว่างเดินไปพร้อมกัน


 


ไก๋หนานที่เป็นคนซื่อ ไม่รับรู้เลยว่าความจริงแล้วมันเป็นความตั้งใจของตวนเจียงเหว่ย เมื่อเขาได้ยินหัวหน้าสูงสุดของเขาพูดถึง น้องชายหวังไค ของเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึง “เด็กนั่น เป็นคนที่ทรงพลังมาก เขาดูจริงใจและเป็นคนเงียบๆ!”


 


“ดูจริงใจ?” ตวนเจียงเหว่ยทวนคำพูดด้วยเสียงกระซิบ ขณะหันไปมองไก๋หนานที่ดูเหมือนจะตกอยู่ในความทรงจำของตัวเอง ตวนเจียงเหว่ยใช้คำพูดล่อ “ผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย เขาพูดจาคำหยาบคายแต่ยังทำให้ใครหลายคนชื่นชม นายมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขามั้ย?”


 


ไก๋หนานพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ผมไม่ได้สนิทสนมกับเขาครับ”


 


ตวนเจียงเหว่ยยิ้มมุมปาก “เป็นคนน่าสนใจ ทำไมนายถึงไปรู้จักกับเขาได้?”


 


“ตอนนั้นเขาเป็นคนที่ไม่โดดเด่นอะไรเลย ทำตัวเงียบๆ แต่ตอนนั้นในทีมของเรามีสายของลูกผสมปนอยู่ พวกเราลำบากกันมาก” ไก๋หนานพูดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้สังเกตถึงสายตามีนัยนะของตวนเจียงเหว่ยเลย “แล้วจากนั้นเขาก็เอาชนะลูกผสม แต่ผมไม่คาดเลยว่าเขาจะถนัดมือซ้าย!”


 


ตวนเจียงเหว่ยหยุดฝีเท้าทันทีอย่างตกใจ จังหวะหัวใจเต้นรัว “มือพิฆาตซ้าย?”


 


นี่ถือเป็นข่าวใหญ่ แน่นอนว่าเป็นข่าวที่ลับที่สุด ตอนนี้ทั้งจีนรู้เรื่องชูฮันกันหมดแล้วแต่ทุกคนคิดว่าชูฮันถนัดใช้ขวานยักษ์ด้วยมือสองมือ และพลังการสู้รบของเขาก็เป็นที่กล่าวขานแต่ใครจะรู้เลยว่ามันจะกลายเป็นว่าชูฮันถนัดมือซ้าย


 


ถ้าข่าวนี้เล็ดรอดไปถึงหูผู้คน แน่นอนว่าข่าวนี้จะต้องขายได้ในได้ราคาสูงอย่างแน่และจะปั่นเกมส์ให้ยิ่งสนุกมากขึ้นไปอีก


 


“ใช่ครับ ถนัดซ้าย ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไก๋หนานไม่ได้รับรู้เลยว่าตวนเจียงเหว่ยคิดอะไรอยู่ในหัว เขายังคงพูดต่อไปอย่างตื่นเต้นเมื่อครั้งที่ได้สู้กับชูฮัน “ในตอนนั้น เราทั้งสองอยู่ระหว่างการเดินทางบนเขา ผมพยายามซ่อนตัวเองและใช้จังหวะลอบโจมตี ใครจะรู้ว่าเด็กนั่นจะสามารถตอบโต้การโจมตีของผมกลับมาได้ทั้งๆที่เขาไม่มีเวลาตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ทุกคนรู้ดีว่าอาวุธของชูฮันคือขวานยักษ์สีดำ แต่เพราะตอนนั้นชูฮันไม่เคยเอาขวานออกมาเลย และเพราะอย่างนั้นผมถึงไม่รู้ว่าเขาคือชูฮันในตอนนั้น แต่ท่านพลเอกดูสิ ตั้งแต่เขามาซางจิงท่านเห็นเขากับขวานบ้างหรือยังครับ?


 


“ฉันไม่เคยเห็น” ตวนเจียงเหว่ยมีความจริงจังในสายตา มันมีความสงสัยบนสีหน้าของตวนเจียงเหว่ย


 


“ผมคิดว่าเรื่องขวานยักษ์สีดำเป็นแค่ข่าวลือด้วยซ้ำ!” ไก๋หนานมีสีหน้าตื่นเต้น “เมื่อตอนที่ผมอยู่กับเขา ผมเห็นว่าอาวุธที่เขามักใช้คือกริชคมอย่างดีและเขาใช้มือซ้าย ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นคนเราต้องใช้สัญชาตญาณป้องกันตัว ผมมั่นใจอย่างแน่นอนว่าเขาถนัดมือซ้าย!”


 


“อาวุธพิเศษทำเองงั้นเหรอ?” ตวนเจียงเหว่ยยิ่งมีสีหน้าจริงจังมากขึ้นไปอีก เขาทำถูกแล้วที่โอนตัวไก๋หนานมาอยู่กับเขา ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้ความลับของชูฮัน “เป็นอาวุธแบบไหน? พื้นผิวดีขนาดไหน?”


 


นี่คือจุดสำคัญ…การที่ได้ยินว่าชูฮันสามารถฟันซอมบี้ขาดได้ด้วยขวานยักษ์ ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ แต่ตราบใดที่พลังมหาศาลในร่างกายของชูฮันที่ทุกคนคิดว่าเขามียังไม่สามารถระบุที่มาได้ เขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าต้นพลังที่แท้จริงของชูฮันคืออาวุธ


 


“ดีมากครับ!” สีหน้าของไก๋หนานยืนยันทุกอย่าง “ในตอนนั้น กริชของชูฮันคาอยู่ที่คอผมประมาณ 5 นาที ผมได้มองดูมันอย่างถี่ถ้วน มันเป็นกริชด้ามยาวไม่มีรูปแบบอะไรเลย สีก็เป็นดำทองด้าน ถ้าไม่สังเกตดีๆก็จะคิดว่ามันเป็นดำสนิท และมันดูคมกริบอย่างมาก ผมไม่เคยเห็นอาวุธแบนี้ที่ไหนมาก่อนเลย ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นช่างมีฝีมืออาชีพทำขึ้นมาให้เขาโดยเฉพาะ”


 


“แล้วฝักกริชล่ะ?” ตวนเจียงเหว่ยมั่นใจไปแล้ว 80% ว่าชูฮันเป็นคนถนัดซ้าย และทันทีที่ถามประโยคนี้ออกไป หัวใจของตวนเจียงเหว่ยก็เต้นระรัว ถ้าบนตัวกริชไม่มีลวดลายหรือรูปแบบอะไรเลยถ้างั้นตัวฝักกริชก็จะเป็นหลักฐานเพียงอย่างเดียวที่จะยืนยันที่มาได้


 


“ผมไม่ได้เห็นมัน” ไก๋หนานที่กำลังตื่นเต้นเล่าต่อไปเรื่อยๆ “ในตอนนั้นชูฮันผูกกริชซ่อนไว้ในแขนข้างขวาใต้เสื้อ ไม่อย่างนั้นผมคงเห็นมันแล้วครับ”


 


ผูกติดไว้กับแขนขวา? ซ่อนไว้ใต้เสื้อ?


 


หัวใจของตวนเจียงเหว่ยเต้นอย่างบ้าคลั่ง!

 

 

 


ตอนที่ 432

 

ตวนเจียงเหว่ยเกือบนิ่งค้างไปแล้ว เขารีบดึงสติกลับมาและหันไปตบไหล่ไก๋หนาน “ครั้งต่อไปนายควรเรียกเขาว่าพลเอก ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่นายก็ต้องทำตามระเบียบ”


 


ไก๋หนานพยักหน้ารับอย่างไวพร้อมกับเผยรอยยิ้มขอบคุณให้ตวนเจียงเหว่ย


 


“เอ้อ ใช่” อีกครั้งที่ตวนเจียงเหว่ยหันไปพูดกับไก๋หนาน “แล้วก็อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องถนัดซ้าย เพราะน้องชูฮันเปิดเผยแค่เรื่องขวานยักษ์เท่านั้น เราควรเก็บความลับให้เขาในฐานะเพื่อน”


 


“ใช่ ใช่ครับ!” ไก๋หนานรีบหยักหน้าตามด้วยสีหน้าจริงจัง


 


ทันทีหลังจากที่ยิ้มกว้างออกไป ไก๋หนานก็พลันคิดกับตัวเอง…พลเอกตวนเจียงเหว่ยช่างเป็นคนดีจริงๆ ท่านยังเตือนเขา ถ้าไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยหุนหันพลันแล่นของตัวเขาเอง มันอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นตามมาได้


 


ตวนเจียงเหว่ยเดินมาถึงเฮลิคอปเตอร์ที่จอดอยู่ในที่โล่ง ขณะในหัวกำลังขบคิดแต่เรื่องของชูฮัน…การที่ชูฮันซ่อนกริชไว้ในที่ลับอย่างแขนข้างขวา มันคือไพ่ลับที่ชูฮันจงใจซ่อนไว้ เมื่อได้ฟังจากไก๋หนานแล้วชูฮันน่าจะเป็นคนที่มีปฏิกิริยาจิตใต้สำนึกเมื่อถูกโจมตีทันที?


 


แสดงว่ามือข้างซ้ายของชูฮันต้องรวดเร็วมากแน่ๆ!


 


ตวนเจียงเหว่ยยิ้มมุมปากคล้ายกับแสยะยิ้ม เหอะ! ชูฮัน…ชูฮัน ในที่สุดนายก็ถูกฉันจับไต๋ได้ กลายเป็นว่านายถนัดซ้าย เขาจะขายข่าวนี้ในราคาดีๆหรือเก็บไว้เพื่อตัวเองดีนะ?


 


—————


 


ภายในห้องพยาบาลของซางจิง จางตงถูกพันแผลทั้งตัวราวกับมัมมี่ เมื่อครู่นางพยาบาลสาวคนสวยพึ่งจะเดินออกไป จางตงจึงรีบกลิ้งตัวลงจากเตียงและเริ่มคลานไปทางประตู เขาคลานไปอย่างยากลำบากหากเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม


 


ผั้วะ!


ประตูถูกกระแทกเปิดออก นางพยาบาลที่ควรจะจากไปพลันส่งเสียงแหกปากใส่จางตงดังลั่น “คลาน! คลานอีกแล้ว! คุณไม่เบื่อกับการทำแบบนี้ทุกวันบ้างเหรอไง!?”


 


“ฮึ่ย!” จางตงที่ไม่สามารถพูดได้ ได้แต่พยายามแสดงสีหน้าออกมาอย่างน่าสงสารด้วยเพราะไม่มีใครเข้าใจเขา…ปล่อยเขาไป เขาจะไปตามหาหัวหน้าชูฮัน ปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้!


 


ศีรษะของจางตงถูกพันรอบ ไม่เว้นแม้กระทั่งปากและจมูก นี่แค่ชูฮันเตะเขาถึงกับทำให้เขาเจ็บไปทั่วทั้งตัวขนาดนี้ได้เลยเหรอ ก่อนหน้านี้ที่จางตงถูกส่งตัวมาที่ห้องพยาบาล ทุกคนต่างกระวนกระวานที่ได้เห็นสภาพของจางตงและเป็นกังวล ทว่าวิวัฒนาการคนนี้กลับไม่แม้แต่จะสนใจอาการของตัวเองเลยสักนิด ทั้งๆที่ซี่โครงหักไป 2 ซี่ กระดูกหน้าแตกไปหลายจุด และอาจจะรวมไปถึงกระโหลกร้าวด้วย บาดเจ็บรุนแรงขนาดนี้แต่จางตงกลับยังรอดได้มาอย่างปาฏิหาริย์


 


นางพยาบาลคนสวยมองจางตงที่หน้าตาถูกผันแผลไว้อย่างหงุดหงิด เหลือเพียงแค่สายตาถูกเปิดโล่งไว้หากยังคงดุดัน นางพยาบาลคนสวยจ้องตาจางตงพลางพูดขึ้น “เฮ้ เฮ้ อะไรล่ะ? ทำแต่สีหน้าท่าทางแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 ละก็ คุณคิดว่าใครจะสนใจ?”


 


ทันทีที่พูดจบ นางพยาบาลคนสวยก็หันหน้าออกไปด้านนอกและตะโกนขึ้น “ขอคนแข็งแรงสองคน ผู้ชายคนนี้ตกพื้นมาอีกแล้ว มายกเขาขึ้นเตียงไปที”


 


—————-


 


2 วันต่อมา ชูฮันออกมาจากซางจิงได้เป็นระยะไกลพอสมควร ณ ตอนนี้เขาจอดรถไว้ข้างทางถนนที่ไม่เหลือสภาพถนน จากเดิมที่เป็นถนนปูซีเมนต์ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยหิมะที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งปิดกั้นทาง พื้นที่ตรงนี้มีอากาศหนาวมากกว่าซางจิงซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่มากทีเดียว


 


ด้านหลังชูฮันมีรถจี๊ป 20 คันจอดตามหลัง ภายในรถอัดแน่นไปด้วยวัสดุสินค้ามากมาย ทั้งหมดเป็นของชูฮันที่ได้มาจากพันชางเซียนหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์ ซึ่งในนั้นมีทุกอย่าง ชูฮันพบว่าเสื้อผ้ากันหนาวถูกสลับเปลี่ยน ซึ่งเป็นสาเหตุที่พลทหารสองร้อยนายไม่สบายตัวและทนต่อความหนาวไม่ไหว


 


ในมุมมองของพวกเขา ของพวกนี้เป็นของค่ายและชูฮันไม่มีสิทธิยึดเป็นของตัวเอง และไม่มีสิทธิที่จะส่งมอบเสื้อผ้าและอาหารพวกนี้ให้เฉินเสี้ยนกาวและคนอื่นๆ แน่นอนว่าพวกเขากลัวและไม่กล้าที่จะเอ่ยขัดชูฮันตรงๆ


 


มันแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งนำโดยเฉินเสี้ยนกาว และอีกกลุ่มนำโดยหลี่บี๋เฟิง ซึ่งตลอดการเดินทางทั้งสองมักจะทะเลาะและมีปัญหาขัดข้องกันเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อยู่บ่อยครั้ง


 


และแน่นอนว่าชูฮันไม่เอารถ Wrangler ออกมา ชูฮันนั่งมากับเฉินช่าวเย่และหลิวยู่ติงรวมกันแค่ 3 คนภายในรถ ทั้งๆที่รถจี๊ปคันนี้สามารถนั่งได้ 4 คน โดยเฉพาะด้านหลังที่มีพื้นที่กว้างกว่าคันอื่นๆที่ชูฮันเลือกมาเพื่อเฉินช่าวเย่โดยเฉพาะ เฉินช่าวเย่ที่ถึงกับลงมือปิ้งย่างอาหารกินอยู่ด้านหลัง


 


“นี่นายสนใจอะไรบ้างมั้ย?” หลิวยู่ติงมองสองคนด้านนอกที่เอาแต่ทะเลาะกันเรื่องการกระจายอาหาร และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว


 


“อะไรล่ะ? หัวหน้ากินเร็ว!” เฉินช่าวเย่ส่งชิ้นเนื้อบาร์บีคิวขนาดใหญ่ที่ย่างสุกแล้วและหน้าตาน่าอร่อยให้ชูฮัน


 


หลังจากชูฮันรับเนื้อมา เขาก็หยิบมีดที่อยู่ตรงช่องเก็บของในรถออกมาตัดแบ่งครึ่ง จากนั้นก็ส่งมีดให้หลิวยู่ติง


 


หลิวยู่ติงอึ้งไปครู่เดียว หลุบตามองพื้น จากนั้นก็ยื่นมือไปรับมีดใส่กลับเข้าไปในช่องเก็บของ หลังจากนั้นหลิวยู่ติงก็เอ่ยสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจออกมา “ฉันว่า ฉันรู้จักนายมา 20 ปีแล้วใช่มั้ย? ฉันไม่รู้เลยว่านายถนัดมือซ้าย?”


 


ชูฮันตอบกลับด้วยเสียงเรียบ “ฉันไม่ได้ถนัดซ้าย”


 


หลิวยู่ติงเกาศีรษะอย่างไม่เข้าใจ “งั้นคือแค่ฝึกเล่นมีดไว้หล่อๆ!”


 


“อืม แค่เล่นๆ” ชูฮันโกหกอย่างแนบเนียน แน่นอนว่าเขาไม่ได้เล่นๆและเขาไม่ใช่คนถนัดซ้าย การที่เขาใช้มีดมือซ้ายเมื่อครู่มันเป็นปฏิกิริยาจิตใต้สำนึกของการฝึกฝนตลอด 10 ปีต่างหาก


 


หลิวยู่ติงไม่ได้ถามอะไรต่อ เขามองไปที่เนื้อบาร์บีคิวในมือและรู้สึกอยากจะกัดมันกิน—–


 


“ปัง!”


เกิดเสียงดังขึ้นและตัวรถจี๊ปโคลงเคลงเล็กน้อยส่งผลให้เนื้อในมือหลิวยู่ติงร่วงลงพื้นทันที  เฉินช่าวเย่มองชิ้นเนื้อที่ตกลงไปด้วยสายตาเจ็บปวด สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นมืดมน


 


ในตอนนั้นมันมีเสียงทะเลาะด้านนอกดังเข้ามาให้ได้ยิน


 


“หม้อซุปมีเนื้อเหลือแค่ไม่กี่ชิ้น พวกแกตักไปหมดไม่เหลือให้พวกเรากินเลยใช่มั้ย?” เป็นเสียงของเยวจึที่เต็มไปด้วยความโกรธ


 


“แม่แกสิ! อย่ามาปากมาก กินข้าวเปล่าไปสิ! พวกแกมีสิทธิอะไรมากล่าวหาฉัน?” เป็นเสียงอวดดีของทหารนายหนึ่ง ซึ่งก็เป็นคนเดียวกันที่มีปัญหากับเฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกมาตลอด เขาชื่อว่าหลิวยี้ เป็นวิวัฒนาการระยะ 2 พละกำลังเขาไม่ได้น้อยและยังเป็นคนกล้า


 


“แล้วแกเป็นใครถึงมาบอกให้พวกเรากินข้าวเปล่าๆ?” เยวจึที่มักมีอารมณ์ร้ายเสมอกระแทกประตูเดินตรงมา


 


“พวกแกก็กินข้าวเปล่าสิ! และแก แก แก!” หลิวยี้ไม่แม้แต่จะเห็นเยวจึในสายตา หลิวยี้ชี้ไปที่เฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกด้วยสายตาดูถูก “การที่ให้กลุ่มผู้ลี้ภัยตามมาก็มากพอแล้ว พวกแกยังหน้าไม่อาย กล้าดียังไงมาใส่เสื้อผ้าที่ควรเป็นของพวกเรา? นี่เป็นทรัพยากรที่ซางจิงมอบให้พวกเราทหาร 200 คน! แถมแกยังมากินอาหารของพวกเรา! แล้วไหนจะพวกผู้หญิงในกลุ่มพวกแกที่ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ที่ควรจะเป็นพวกเราไปอีก! ในเมื่อแกบอกว่าแกเคยเป็นสิบเอก งั้นก็บอกว่าสิว่าในฐานะนายทหารสิบเอก แกไม่รู้สึกอายบ้างเลยเหรอไง!”

 

 

 


ตอนที่ 433

 

หลิวยี้พูดอย่างที่คิดจริงๆออกมา ผู้หญิงในทีมของเฉินเสี้ยนกาวเป็นเสี้ยนหนามในใจพวกเขามานานแล้ว หากเป็นเพราะความกลัวที่มีต่อชูฮันที่ทำให้พวกเขาต้องกดมันไว้


 


ไม่เพียงแต่นอกจากจะใส่เสื้อผ้าที่ควรเป็นของพวกเขาแล้ว แต่ทีมของเฉินเสี้ยนกาวยังไม่สนใจจะทำอะไรเพื่อส่วนรวมเลย ซึ่งพวกเขาไม่พอใจอย่างมาก!


 


คนรอบตัวต่างแสดงสีหน้าแตกต่างกันไปกับคำพูดของหลิวยี้ ส่วนใหญ่ในหมู่ทหารสองร้อยนายรู้สึกว่าคำพูดของหลิวยี้ถูกต้องแล้ว ตลอดสองวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้บอกความไม่พอใจแก่ชูฮัน ส่วนใหญ่พวกเขาแค่ปะทะกับเฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกในเรื่องของอาหารกันไปมา


 


อย่างไรก็ตาม ชูฮันไม่ได้ออกมาจากรถจี๊ปเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา พวกเขาจึงต้องจัดการเรื่องทุกอย่างกันเอาเองและมักมีปัญหากับอีกฝ่ายอยู่เป็นประจำ ความกลัวที่มีต่อชูฮันค่อยๆลดลง เช่นเดียวกับความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ชูฮันที่อยู่ในรถจี๊ปนั่งเคาะนิ้วดูสถานการณ์ข้างนอกผ่านหน้าต่าง หลังจากมองหน้าหลิวยี้จนจำได้ ชูฮันก็ก้มหน้ากินต่ออย่างไม่สนใจ…


 


เฉินช่าวเย่และหลิวยู่ติงเหลือบมองตากันไปมา คำพูดของหลิวยี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกอึดอัดใจ โดยเฉพาะเฉินช่าวเย่ที่แทบอยากจะระเบิดหลิวยี้ทิ้ง


 


ติงเซวและชูเซี่ย ทั้งสองอยู่ในเมืองตงกับชูฮันและผ่านสงครามมาด้วยกัน อีกทั้งติงเซวก็ยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนในมหาวิทยาลัยกับชูฮันและเป็นผู้ตรวจสอบห้องเรียนอีกด้วย การที่เธออยู่ในทีมนี้เป็นคำสั่งโดยตรงของชูฮันเอง ไม่ต้องสนใจการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มของเฉินเสี้ยนกาวและหลี่บี๋เฟิง ความจริงแล้วคนควบคุมที่แท้จริงในเรื่องการใช้วัตถุดิบต่างๆนั้นคือติงเซว เธอเป็นคนที่รู้ว่าต้องจัดการอะไรยังไง ของทุกอย่างที่ถูกเบิกออกไปใช้จากการมอบหมายของเธอนั้นได้ผ่านการยินยอมจากชูฮันแล้ว ชูฮันจะมองและพยักหน้ารับผ่านทางหน้าต่างโดยไม่มีการสื่อสารผ่านคำพูด


 


มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ แต่เฉินช่าวเย่และหลิวยู่ติงจะไม่รู้ได้อย่างไรในเมื่ออยู่ในรถคันเดียวกัน? เพราะงั้นเมื่อหลิวยี้พูดแบบนั้นออกมาสายตาของทั้งคู่จึงเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที


 


“หัวหน้า” เฉินช่าวเย่ไม่ได้โกรธอย่างนี้มานานมากแล้ว โดยเฉพาะตั้งแต่ที่พลังพรสวรรค์ของเขาถูกกระตุ้นออกมา การได้เห็นคำพูดและท่าทางของอีกฝ่ายแบบนี้ทำให้เฉินช่าวเย่ทนไม่ไหว ได้เห็นภาพผู้ตรวจสอบของหัวหน้าในมหาวิทยาลัยถูกข่มเหงแบบนี้ เฉินช่าวเย่แทบชักปืนขึ้นมาเดี๋ยวนี้ หากเขาก็ต้องรอให้ชูฮันพยักหน้าอนุญาตก่อน


 


ชูฮันมองเฉินช่าวเย่ สายตาแปลกๆและถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยขึ้นมา “แกชอบติงเซวเหรอ?”


 


“พุฟ—-” หลิวยู่ติงที่กำลังมีสายตาดุร้ายถึงกับสำลักออกมาทันที เขาอยากจะบอกชูฮันว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาเล่นตลก แต่เขาเองก็รู้ว่าเฉินช่าวเย่มักจะแอบมองติงเซว


 


ทั้งหน้าของเฉินช่าวเย่ขึ้นสีแดงก่ำด้วยความเขิน สายตาล่อกแลกไปมา ไม่รู้ว่าจะวางสายตาไว้ตรงไหน เขากัดริมฝีปากอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี


 


พรึบ! พรึบ! หลิวยู่ติงหยิบชิ้นเนื้อที่ตกขึ้นมา ส่วนเนื้อที่อยู่ที่มือของหวังไคที่ซ่อนอยู่ในมุมกลับตกลงพื้นแทน หนึ่งคนและหนึ่งกระต่ายต่างตะลึงและมองไปที่ชายอ้วนตรงหน้า…เฉินช่าวเย่ชอบติงเซว?


 


“ก็ ผมชอบติงเซว” หลิวยู่ติงมองชูฮันด้วยสายตาแปลกๆ นายมองไอ้เด็กอ้วนนี่ออกได้ยังไง? ทำไมเขาถึงมองไม่ออกเลยสักนิด?


 


ชูฮันมองเจ้าหมูเฉินช่าวเย่ที่ตัวแดงไปทั้งตัวอย่างไม่รู้จะช่วยยังไง ไม่มีใครสามารถเข้าใจลักษณะนิสัยของเฉินช่าวเย่ได้ดีกว่าเขา เฉินช่าวเย่เป็นคนขี้เกียจและไม่คิดจะทำอะไร เฉินช่าวเย่ไม่สนใจอะไรนอกจากทำตามคำสั่งของเขาเท่านั้น แต่วันนี้เมื่อติงเซวโดนดูถูก เฉินช่าวเย่กลับมีปฏิกิริยาแตกต่างไปจากปกติ


 


ปฏิกิริยาของเฉินช่าวเย่มันชัดเจน!


 


และในขณะที่บรรยากาศในรถจี๊ปกำลังแปลกๆอยู่นั้น กลุ่มคนด้านนอกก็เริ่มทะเลาะกันรุนแรงขึ้นไปอีก


 


“กินของเรา ใส่เสื้อผ้าของพวกเรา แล้วยังไม่พอใจกับเนื้อที่เราเหลือไว้ให้อีก?!”


 


“ไอ้หมาเนรคุณ!”


 


“แถมยังต้องเดินถนน แต่พวกแกได้นั่งรถ พวกแกคิดว่าตัวเองเลิศเลอมาจากไหน”


 


“เหอะ! ในเมื่อมีผู้หญิงอยู่สองคน ทำไมไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยล่ะ?”


 


มีเสียงดังโหวกเหวกโวยวายขึ้น เฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกโกรธจัด ผู้หญิงเพียงสองคนในทีมของพวกเขาคือติงเซวและชูเซี่ยตัวสั่นเทิ้ม ติงเซวโกรธจัดขณะจ้องไปที่กลุ่มคนตรงหน้า เธอรับไม่ได้กับสิ่งที่คนพวกนี้พูด


 


“พวกแกพูดอะไร!” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเสี้ยนกาวระเบิดอารมณ์แหกปากออกมารุนแรงขนาดนี้ เขาแหกปากใส่กลุ่มทหารสองร้อยนายตรงหน้า “หุบปากของพวกแกทุกตัวซะ ติงเซวและชูเซี่ยเป็นส่วนหนึ่งของทีมฉัน!”


 


“เหรอ แล้วฉันพูดอะไรผิด?” หลิวยี้มองเฉินเสี้ยนกาวด้วยสายตาเฉื่อยชา และจ้องไปที่ติงเซวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินเสี้ยนกาวอย่างหยาบคาย “แน่นอนว่าพวกเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมงั้นก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน มาสนุกด้วยกันสิ!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” กลุ่มทหารต่างหัวเราะกันดังลั่นอย่างสนุกสนาน สายตาของหลายคนจับจ้องมาที่ผู้หญิงสองคนอย่างหยาบโลน


 


“หุบปาก!” หลี่บี๋เฟิงตะคอก “ยังไงอาหารและเสื้อผ้าก็หมดไปแล้ว จะโจมตีผู้หญิงสองคนนี้ไปเพื่ออะไร?”


 


หลี่บี๋เฟิงที่ในใจก็ยังกลัวต่อชูฮันอยู่ เขายังไม่กล้าที่จะทำให้ชูฮันโกรธขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ตามความจริงแล้วของพวกนี้ก็เป็นของชูฮันถ้าจะพูดกันตามจริง พวกเขาไม่มีสิทธิจะไปกล่าวอ้างว่าเป็นของตัวเอง


 


มันมากเกินไปที่จะพูดว่าของพวกนั้นเป็นของพวกเขา และการจ้องอย่างหยาบโลนใส่ผู้หญิงในทีมของเฉินเสี้ยนกาวแบบนั้นมันก็ไร้มนุษยธรรมเกินไป อีกอย่างผู้หญิงสองคนนั้นก็ทำหน้าที่ทำอาหารให้ทุกคนกิน ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่มีอาหารอร่อยให้กินกันแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นชูเซี่ยอายุแค่ 15 ปีเอง หลี่บี๋เฟิงจึงรู้สึกทนฟังคำพูดพวกนี้ต่อไปไม่ไหว


 


“หลี่บี๋เฟิง นี่นายทำสมองหายไปแล้วเหรอไง?” เมื่อเห็นว่าหลี่บี๋เฟิงกำลังช่วยพวกของเฉินเสี้ยนกาว หลิวยี้จึงผลักหลี่บี๋เฟิงออกมาจากกลุ่ม “และสองสาวนั้น พวกเธอควรจะสร้างสีสันให้พวกเราหน่อย ยังไงวันนี้ฉันต้องได้ผู้หญิง!”


 


ติงเซวเป็นคนสวยอยู่แล้ว เธอเคยเป็นหนึ่งในสี่ดอกไม้งามของมหาวิทยาลัยหมิงชิ และเป็นหญิงที่มีชื่อเสียงในเมืองหมิงชิวอีกด้วย ตั้งแต่เธอได้เจอกับชูฮันหลังจากการปะทุเธอก็เริ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น รูปร่างหน้าตาก็เริ่มกลับมาโดดเด่นเหมือนเดิม เพราะไม่ได้ยากลำบากอย่างตอนแรก มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่การอยู่ท่ามกลางผู้ชายร่วมสามร้อยคน จะไม่มีใครคิดไม่ดีกับเธอ


 


หลิวยี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น แถมความต้องการของเขายังแรงกล้ามากอีกด้วย!

 

 

 


ตอนที่ 434

 

เมื่อเห็นภาพที่หลิวยี้กำลังวิ่งพุ่งมาหาติงเซว เฉินเสี้ยนกาวและทุกคนรีบเข้ามาขวางไว้อย่างโกรธจัด


 


“วันนี้ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ฉันจะบอกแกให้ฟัง—-” เฉินเสี้ยนกาวแหกปากใส่หลิวยี้ “ติงเซวไม่ใช่ข่าวร้ายสำหรับแกหรอก”


 


เยวจึยืนข้างเฉินเสี้ยนกาวโดยไม่ปริปากพูดอะไร หากมือที่ยกขึ้นตั้งท่าเป็นสัญญาณให้พรรคพวกได้รู้ว่าเขาพร้อมจะลงมือแล้ว!


 


แววตาของหลิวยี้เป็นประกายดุดัน เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับก้าวเข้ามาอย่างไร้ซึ่งความกลัว น้ำเสียงราวกับคนบ้าคลั่ง “แกมีแค่ 80 คนอยู่ในมือ แต่พวกเรามีกัน 200 ไม่ต้องพูดถึงจำนวนวิวัฒนาการที่แกมีหรอกนะ แกคิดว่าแกจะสู้กับความแตกต่างนี้ได้งั้นเหรอ?”


 


“รำคาญชิบหาย!” เยวจึตะโกนใส่หลิวยี้ “กูสามารถจัดการพวกมึงได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ!”


 


“ฮ่าฮ่า!” หลิวยี้ระเบิดหัวเราะออกมาพลางจ้องเยวจึ “ก็แค่พวกผู้ลี้ภัยบวกกับวิวัฒนาการระยะ 1? พวกมึงทั้งหมดจง ฟังวันนี้กูต้องได้ติงเซว!”


 


“คนเลว! หน้าไม่อาย!” ติงเซวที่ถูกดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าทนไม่ไหว หน้าของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธจัด


 


“ฮืม?” หลิวยี้ยิ่งใช้สายตาหยาบคายกว่าเดิมมองติงเซวทั้งเนื้อทั้งตัวพลางพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “ใครหน้าไม่อาย? มีผู้ชายมากมายตรงนี้ ทำไมเราถึงใช้งานผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ล่ะ? ทำไมไม่ใช้เพศของตัวเองทำตัวให้มีประโยชน์ซะหน่อยละคนสวย? ฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยามจากหลิวยี้ ภายในรถของชูฮันก็เงียบสนิท มือของเฉินช่าวเย่ที่ถือปืนอยู่สั่นระริก หน้าตาบิดเบี้ยว หายใจฟืดฟาด


 


และต่อมา มันก็มีเสียงด่าทอเหยียดหยามดังลั่นขึ้นไม่หยุดจากด้านนอก


 


เสียงดูถูกและสาดน้ำใส่กันไปมาของทั้งสองฝ่ายยิ่งทำให้เส้นความอดทนของเฉินช่าวเย่แทบไม่เหลือแล้ว


 


“กร๊ดดดดด” ในตอนนั้นเองก็มีเสียงกรี๊ดของติงเซวดังขึ้น


 


ชูฮันทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตบเข้าที่หน้าของเฉินช่าวเย่พร้อมกับสายตาดุดันที่พร้อมจะฆ่าคน “ฉันจะออกไป อย่าขวาง!”


 


“แต่หัวหน้า แผนของหัวหน้า??” เฉินช่าวเย่ที่ถูกตบก็มีสีหน้ายุ่งเหยิงและเป็นกังวล


 


“ช่างหัวแผนมัน” ชูฮันไม่สนใจแล้ว “ถึงเวลาที่ต้องเร่งแผนให้เร็วขึ้นแล้ว!”


 


“เอ่อ” เฉินช่าวเย่พยักหน้าจากนั้นก็กระโดดออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว


 


ชูฮันและหลิวยี้รีบชะโงกหน้าไปดูตรงหน้าต่างทันทีที่เฉินช่าวเย่พุ่งตัวออกไป คงจะพูดได้ว่ามันเหนือความคาดหมายที่เฉินช่าวเย่แอบชอบติงเซวแต่ชูฮันก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ไม่อย่างนั้นเขาคงกลัวว่าเจ้าอ้วนกับหัวล้านเหอซางคงจะอยู่เฝ้าค่ายอย่างแห้งเหี่ยวไปจนตาย!


 


เฉินช่าวเย่ที่กระโดดออกมาจากรถพุ่งมาที่จุดเกิดเหตุทนที ในตอนนี้มันเต็มไปด้วยความโกลาหล ทุกคนตะลุมบอนกันเละเทะไปหมด อาหารหกเทกระจัดกระจาย เฉินเสี้ยนกาวและเยวจึถูกล้อมไว้ดังเช่นที่หลิวยี้พูด ความต่างระหว่างจำนวนคนทำให้ฝ่ายเฉินเสี้ยนกาวไม่สามารถสู้ได้


 


ส่วนติงเซวก็จับมือชูเซี่ยซ่อนตัวอยู่ข้างทาง น้ำที่สาดมาโดนพวกเธอจนเปียกทำให้สามารถมองเห็นรูปร่างพวกเธอได้อย่างชัดเจน ทหารรอบตัวยิ่งหื่นกระหายขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นภาพนี้ ทุกคนพยายามพุ่งตัวมาทางติงเซว


 


ทหารวิวัฒนาการระยะ 2 หลายคนพุ่งตัวเข้ารุมใส่เฉินเสี้ยนกาว และในที่สุดหลิวยี้ก็เจอช่องที่จะหลบออกมาจากวงต่อสู้ หลิวยี้รีบพุ่งตัวเข้าหาติงเซวทันทีพร้อมยิ้มอย่างชั่วร้าย “กว่าจะได้ตัวนะคนสวย ลำบากดีนัก กูจะฉีกเสื้อผ้ามึงออกเอง”


 


พรึบ!


 


หลิวยี้ฉีกเสื้อที่หัวไหล่ติงเซวออกทันทีพร้อมกับอ้าปากกว้างด้วยความถูกใจเมื่อได้เห็นหัวไหล่ขาวกลมมนที่เปิดเผยสู่สายตา ทหารหลายคนที่มองติงเซวมานานยิ่งเริ่มคลั่งขึ้นเมื่อได้เห็นภาพนั้น ต่างวิ่งแห่ออกมาจากวงต่อสู้เข้าใส่ติงเซว


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฉีกออก!”


 


“ดีจริงๆ!”


 


ติงเซวทั้งช็อคและนิ่งค้างอย่างหวาดกลัว เธอมองไปที่กลุ่มคนตรงหน้าที่กำลังจะฆ่าเธอทั้งเป็นอย่างสั่นเทิ้ม หัวไหล่ของเธอเย็นเฉียบ ลมเย็นของฤดูหนาวทะลุผ่านเสื้อเข้าร่างเธอ


 


“ปัง!”


ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น มันมีเสียงปืนดังลั่นขึ้นมา ทันใดนั้นทุกอย่างก็หยุด


 


ผู้ชายคนที่พยายามจะพุ่งไปหาติงเซวทันใดนั้นก็มีเลือดพุ่งกระฉูกออกมาตามมาด้วยร่างที่กระแทกลงพื้น ของเหลวในสมองพุ่งกระจายทะลักออกมา


 


“ใครแม่งเปิดยิงวะ?” มีคนพูดตะโกนถามขึ้นมาทันที “ใครกล้าฆ่าคนของพวกเรา!”


 


“ปัง!”


กระสุนอีกนัดยิงเข้าใส่ชายที่ตะโกนทันที ร่างของชายคนนั้นล้มลงไปนอนจมกองเลือดเช่นเดียวกับชายคนที่ตายไปก่อนหน้านี้ เลือดของทั้งสองคนนองเยิ้มไปทั่วพื้นหิมะจนแดงเดือด


 


ทุกคนหวาดกลัวและนิ่งค้าง และก่อนที่ทุกคนจะได้ทันตอบสนอง มันก็เสียงยิงปืนรัวดังขึ้น


 


“ปัง! ปัง! ปัง!——”


กลุ่มคนรอบติงเซวต่างล้มลงไปกองที่พื้นกันหมด ยกเว้นแค่หลิวยี้ที่เฉินช่าวเย่จงใจเหลือไว้


 


การยิงปืนและเฉินช่าวเย่ที่ปรากฏตัวขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่กำลังสู้กันอยู่หยุดชะงักทันที และพลทหารทั้งหลายมีอาการหวาดกลัวพร้อมแสดงความเคารพต่อเฉินช่าวเย่


 


“ท่านเฉิน พลโทเฉินช่าวเย่”


 


“ท่านเฉิน”


 


“ท่านออกมาได้ยังไง ท่านเฉินช่าวเย่?”


 


ทุกคนตะลึงค้าง พวกเขาแทบลืมไปแล้วว่ายังมีชูฮันและเฉินช่าวเย่อยู่ในรถจี๊ปถัดไป ด้วยเพราะพวกเขาไม่เคยได้เห็นทั้งคู่เลยตลอดสองวันที่ผ่านมาทำให้พวกเขาลืมนึกถึงไปเลยอย่างสิ้นเชิงว่าฝั่งนั้นยังมีท่านพลเอกและพลโทอยู่


 


หน้าของเฉินช่าวเย่ดุดัน เขาก้าวเท้าเพียงแค่สองสามก้าวก็เดินไปถึงติงเซวผู้หวาดกลัวที่มีเพียงแค่เสื้อส่วนหัวไหล่เท่านั้นที่ฉีกขาด ติงเซวรู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นว่าทุกคนมีท่าทีหวาดกลัวเฉินช่าวเย่หากเธอก็ยังคงระแวงและพูดอะไรไม่ออก จากนั้นเฉินช่าวเย่ก็ตวัดสายตาไปที่หลิวยี้


 


ฟึบ!


เฉินช่าวเย่ถือไปไรเฟิลไว้ด้วยมือข้างเดียวเล็งจ่อไปที่หัวของหลิวยี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและเย่อหยิ่ง “ชื่อของแกคือหลิวยี้?”


 


ในที่สุดมือปืนพระเจ้า….เฉินช่าวเย่ผู้ดุดันที่ชูฮันเคยได้เห็นในชาติที่แล้วก็ปรากฏตัวขึ้น


 


“ครับ ” หลิวยี้ที่ถูกเฉินช่าวเย่เอาปืนจ่อหัวอยู่เกร็งจนแทบคอหัก ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว “ท่านเฉิน ออกมาได้อย่างไร? นี่มันเป็นการเข้าใจผิด ทุกอย่างมันเข้าใจผิดนะครับ”


 


ปึก!


สีหน้าของเฉินช่าวเย่เดือดดาลอย่างมากและกดปืนลงหน้าปากของหลิวยี้แรงขึ้นไปอีก “นี่่มึงยังกล้าหลอกกูอีกเหรอ?!”


 


หลิวยี้ไม่พอใจทว่าแน่นอนเขาต้องแสร้งฝืนยิ้มพลางพูดเอาใจเฉินช่าวเย่ “พวกเราแค่ถกเถียงกับเฉินเสี้ยนกาวและมีปัญหาไม่ลงรอยกันเรื่องที่เราใช้คนของเขาไม่ได้ครับ!”


 


แน่นอนว่าหลิวยี้ไม่สามารถยอมได้รับว่าตัวเองคิดจะข่มเหงผู้หญิง การยอมรับว่าทะเลาะต่อสู้กัน โทษที่ได้รับมันคนละเรื่องกันเลย


 


“แก—–” ทันใดนั้นเฉินช่าวเย่ก็ปล่อยจิตสังหารและระเบิดพลังผันผวนของพรสวรรค์ระยะ 4 ออกมา “แกกำลังพูดถึงใคร?”


 


“ติง—ติงเซวและชูเซี่ย ครับ” หลิวยี้ยืดคอและพูดออกไป เขาคิดว่ายังไงก็ตามพลโทไม่สามารถฆ่าทหารทั้งหน่วยได้ ยังไงพวกเขาก็มีตัวตนและเป็นคนของซางจิง

 

 

 


ตอนที่ 435

 

“ไปหาแม่มึงเถอะ!” เฉินช่าวเย่สบถลั่นออกมาอย่างโกรธจัด และท่ามกลางสายตาช็อคของทุกคน “ปัง!” เฉินช่าวเย่ยิงเข้าที่กลางหัวหลิวยี้ทันทีตามมาด้วยเลือดที่พุ่งกระจายออกมากระเด็นโดนหน้าเฉินช่าวเย่ที่ไม่สนใจเลือดที่เปื้อนหน้าตัวเองเลยสักนิด “ปัง! ปัง!” เฉินช่าวเย่ยิงปืนใส่หัวของหลิวยี้ต่ออีกส่งผลให้ของเหลวในสมองผสมกับเลือดกระเด็นพวยพุ่งออกมาเต็มไปหมด


 


“ไปตายซะ ไอ้เวร!” เฉินช่าวเย่คลั่งไปแล้วเรียบร้อย หลังจากได้ฆ่าหลิวยี้ เขาก็ยกปืนยิงขึ้นฟ้าอย่างรุนแรง จากนั้นก็กราดยิงปืนใส่ทหารรอบๆ เสียงที่ดังลั่นระรัวจนทุกคนแทบจะหูหนวก


 


เฉินช่าวเย่ยิงจนกระสุนหมดแม็ก เขาถอดแม็กกระสุนออกมา วางแผนจะก็เสียบอันใหม่เข้าไป…


 


กลุ่มทหารรอบๆต่างมึนงงอย่างทำอะไรไม่ถูก หูแทบจะพัง มันเกิดอะไรขึ้นกับพลโท เขาเป็นบ้าไปแล้วเหรอ?


 


“เฉินช่าวเย่ หยุด!” ติงเซวที่ยืนอยู่ข้างเฉินช่าวเย่ทนต่อไปไม่ไหว เธออ่อนแอกว่าใครและหลังจากได้ยินปืนยิงรัวที่น่าหวาดกลัว เธอก็รู้สึกเหมือนเยื่อหุ้มสมองถูกทำลาย


 


เมื่อได้ยินเสียงของติงเซว เฉินช่าวเย่ก็หยุดการระบายอารมณ์ของตัวเองทันที จากนั้นก็หันหน้าไปมองติงเซวด้วยสีหน้ากระหายเลือด เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ไปพักหนึ่ง


 


ในที่สุดเฉินช่าวเย่ก็สงบลง หลายคนที่หูอื้อจากการกระหน่ำยิงปืนของเฉินช่าวเย่ก่อนหน้านี้เริ่มฟื้นตัวขึ้น สายตาหวาดกลัวจำนวนมากมองไปที่เฉินช่าวเย่ที่แสดงอาการคลั่งออกมา ถึงแม้จะมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่เคยเห็นเฉินช่าวเย่ยิงปืน แต่ชื่อเสียงของเฉินช่าวเย่นั้นเป็นที่ลือชาไปทั่ว เขาจะอยู่แต่ในเมืองชั้นใน ควบคุมโดยกองทัพอย่างเคร่งครัด กล่าวกันว่าเพราะเฉินช่าวเย่ทรงพลังมากเกินกว่าจะให้อยู่ท่ามกลางผู้คนได้ คนมากมายเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเฉินช่าวเย่ แต่วันนี้เมื่อพวกเขาได้เห็นเฉินช่าวเย่ยิงปืน พวกเขาก็พึ่งจะเข้าใจคำว่ามือปืนพระเจ้า ฉายาที่เฉินช่าวเย่ได้รับอย่างแท้จริง


 


มันมีศพของทหารอย่างน้อยยี่สิบศพนอนกองอยู่รอบๆติงเซว แต่ก่อนที่เฉินช่าวเย่จะออกอาการคลั่งใส่หลิวยี้และยิงปืนรัว เหล่าทหารที่นับเสียงลูกปืนที่ถูกยิงออกมา รู้ดีว่าความจริงแล้วปืนของเฉินช่าวเย่นั้นเหลือกระสุนแค่ 15 นัดเท่านั้น!


 


พูดอีกทางหนึ่ง เฉินช่าวเย่ฆ่าคนอย่างน้อยสองคนต่อหนึ่งกระสุน!


 


กระสุนนัดเดียวฆ่าคนสองคน? มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ? มันเป็นความจริงที่พวกเขาไม่อยากจะยอมรับ นี่คือสาเหตุที่เฉินช่าวเย่ได้รับฉายาว่ามือปืนพระเจ้า


 


คนรอบๆต่างเงียบสนิทและตกอยู่ในอาการช็อค


 


เย้!


หลิวยู่ติงที่แอบดูสถานการณ์อยู่ในรถจี๊ปตื่นเต้นมากจนเผลอแสดงอาการออกมาและปรบมือให้เฉินช่าวเย่ “จบอย่างสวยงาม! สวยงามมาก!”


 


อารมณ์ของชูฮันก็ไม่ต่างกันหากเขาไม่ได้แสดงมันออกมาเหมือนกับหลิวยู่ติง นอกเหนือจากหวังไคแล้ว ก็ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวอย่างตื่นเต้นของเขา แตกต่างจากสีหน้าที่แสดงออกอย่างนิ่งเฉยของเขาอย่างสิ้นเชิง


 


ในที่สุดเจ้าอ้วนนี้ก็ถูกปลุกให้ตื่น!


 


ท่ามกลางความเงียบสนิท ในที่สุดก็มีคนตระหนักบางอย่างได้ ทหารชายวัยกลางคนที่ยังดูหนุ่มแน่นอยู่เดินฝ่าออกมาท่ามกลางฝูงชน หันหน้าไปหาเฉินช่าวเย่และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ท่านเฉินช่าวเย่ ผมคือฟานเหวินเฉิง วิวัฒนาการระยะ 3”


 


ถึงแม้เฉินช่าวเย่จะจ้องไปที่ติงเซวอย่างปกติ แต่ความจริงแล้วเขากำลังกังวลอย่างมากอยู่ในอก ในตอนนั้นเมื่อเขาได้ยินบางคนพูดและเรียกชื่อเขา เขาจึงหันกลับไปมอง “มีปัญหาอะไร?”


 


เนื่องจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดก่อนหน้านี้ เฉินช่าวเย่จึงตระหนักได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของฟานเหวินเฉิงหลังจากหันกลับไปเผชิญหน้า วิวัฒนาการระยะ 3 ไม่ใช่ต่ำๆ เขาต้องปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง


 


สายตาของฟานเหวินเฉิงกระพือไปด้วยเปลวไฟ และการออกตัวของฟานเหวินเฉิงก็บ่งบอกว่าเขาพูดแทนกลุ่มทหารเกือบสองร้อยนาย “พลโทเฉินช่าวเย่สามารถฆ่าทีมทหารของตัวเองแบบนี้ได้ด้วยเหรอครับ?”


 


“แล้วไอ้เ*ยที่ไหนบอกพวกมึงว่าติงเซวเป็นคนของทั้งทีม?” เฉินช่าวเย่ตะคอกตอบกลับพร้อมฟาดมือใส่


 


เย้!


หลิวยู่ติงปรบมืออย่างชื่นชมอีกครั้ง “สวยงาม!”


 


ชูฮันยังคงนิ่งจากนั้นก็เปิดหน้าต่างออกดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ


 


“ท่าน!” หลังจากที่โดนเฉินช่าวเย่ตบเข้าที่หัว ฟานเหวินเฉิงวิวัฒนาการระยะ 3 พยายามระงับความโกรธของเขาเอาไว้และเปิดปากพูดต่อ “ไม่ใช่เหรอไง งั้นบอกผมมาสิว่าเธอเป็นอะไรกันแน่? นอกเหนือจากวิวัฒนาการและพรสวรรค์ มันก็เหลือแต่ผู้หญิงธรรมดา แล้วพวกเราทำผิดอะไรท่านเฉินช่าวเย่? พวกเราทุกคนมีสิทธิเล่นสนุกกับเธอได้และเธอก็ควรตอบแทนพวกเราที่คอยปกป้องคนธรรมดาแบบเธอ!”


 


“ปัง!”


อย่างไม่ลังเลเฉินช่าวเย่ยิงปืนออกมา เกิดเป็นควันสีขาวลอยขึ้นมาจากปากกระบอกปืน


 


เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง ทุกคนช็อคขณะจ้องไปที่เฉินช่าวเย่ที่ยิงวิวัฒนาการระยะ 3 อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย หลายคนแสดงความกลัวและความไม่เข้าใจออกมาผ่านสายตา…ฆ่ากันง่ายๆแบบนี้?


 


และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือครั้งนี้พวกเขาเห็นว่าเฉินช่าวเย่ยิงปืนอย่างไร เขาไม่แม้แต่จะตั้งท่าเล็งด้วยซ้ำ!


 


เฉินเสี้ยนกาว เยวจึและคนอื่นๆต่างพูดอะไรไม่ออก พวกเขาก็เต็มไปด้วยความกลัวในหัวใจเช่นกัน พวกเขาถูกทหารที่มีจำนวนมากกว่ารุมทำร้าย ถึงแม้พวกเขาจะพยายามต่อสู้แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินช่าวเย่ยื่นมือเข้ามาช่วยก่อนละก็ คาดว่าติงเซวคงถูกข่มเหงไปแล้ว


 


ในตอนนั้น เมื่อพวกเขาเห็นเฉินช่าวเย่เดินเข้ามาและไม่ลังเลที่จะฆ่าวิวัฒนาการระยะ 3 เพื่อติงเซวเลยสักนิด เฉินเสี้ยนกาวและคนอื่นๆก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที


 


ติงเซวเองก็จ้องไปที่ร่างอ้วนตรงหน้าเธอ เฉินช่าวเย่ที่มักเต็มไปด้วยความปิติอยู่เสมอกับการกิน ในตอนนี้หน้าของเขากลับเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด หากไม่รู้ด้วยหนทางใด...ในใจของเธอกลับมองว่าเจ้าอ้วนนี้ดูดีขึ้นมา


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินช่าวเย่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาปรากฏตัวขึ้นมาได้ทันเวลาละก็…


 


น้ำเสียงของเฉินช่าวเย่ฟังดูน่าเกรงขามและมีแรงดึงดูดอย่างมาก “ฉันบอกว่าเธอไม่ได้เป็นของทีม เธอเป็นของฉัน—-“


“ติงเซวเป็นของฉัน—-“


 


เมื่อมาถึงประโยคที่เกี่ยวกับติงเซว เฉินช่าวเย่ไม่สามารถทำเป็นเคร่งขรึมได้อีก หน้าของเฉินช่าวเย่เริ่มแดงก่ำ  หากมันซ่อนไว้ภายใต้สีหน้ากระหายเลือดจึงทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็น


 


และในขณะที่กลุ่มทหารกำลังมองหาชโอกาสที่จะเอาคืนจากช่องโหว่——


 


กึก! กึก!


ทันใดนั้นมันก็มีเสียงเคาะนิ้วกระทบกับตัวรถดังขึ้น สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปทางที่มาของเสียงกันหมด


 


ในตอนนั้นเอง ชูฮันเหยียดมือออกจากตัวรถและเคาะนิ้วเป็นจังหวะ สายตาจับจ้องไปที่ติงเซวพลางยิ้มออกมา “น้องสาว เธอโอเคมั้ย?”


 


“เฮือก!” ทันใดนั้นกว่าครึ่งของคนในที่นี้รู้สึกได้ถึงเงามืดที่มาเยือน ความวิตกกังวลและความกลัวต่างพุ่งเข้าไปในหัวใจของพวกเขา


 


ด้วยการปรากฏตัวที่สร้างแรงกดดันของชูฮัน เฉินช่าวเย่เริ่มมีความกล้ามากขึ้น สายตาของเขาดุดันราวกับหมาป่าและกระตือรือร้นที่จะประกาศออกมาต่อหน้าทุกคน “ติงเซวเป็นภรรยาของฉัน!”


 


“คือฉัน—เฉินช่าวเย่! พรสวรรค์ระยะ 4 ตำแหน่งพลโท มือปืนพระเจ้า!”


 


“ใครก็ตามที่กล้ารังแกภรรยาของกู กูจะฆ่าล้างครอบครัวพวกมึงให้หมด!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม