Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย 408-414

ตอนที่ 408

 

“ไม่อนุมัติ” ผู้บัญชาการมู๋ตอบชูฮันอย่างเด็ดขาด จากนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอีกครั้ง “ชูฮัน กองทัพกำลังลำบาก นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ในนามของค่ายซางจิง ฉันสัญญาว่ามันจะไม่มีการเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปอีกในอนาคต เอาล่ะ เลาหมิงเรื่องต่อไป”


 


แม้คำพูดของผู้บัญชาการมู๋อาจดูเหมือนคัดค้านชูฮัน หากชูฮันกลับมีรอยยิ้มบนใบหน้า ขณะที่สีหน้าของหลายๆคนซีดเทาด้วยความโกรธ การรับประกันในนามค่ายซางจิง ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าชูฮันจะทำอะไรหรือคนพวกนี้จะลงนามจดหมายขับไล่เขาอีกกี่ครั้งเขาก็ไม่มีทางถูกทำอะไร มันก็เหมือนกับการตอบรับคำร้องของชูฮันทางอ้อม เพียงแค่ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้น พวกเขาเข้าใจกันโดยปริยาย


 


ชูฮันนั่งลงด้วยรอยยิ้มและเลิกคิ้วใส่สายตาคู่หนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเจ้าของใบหน้ามีสีหน้าฟ้าอมเขียว ยังอยากจะเล่นมั้ย? แกเล่นต่อสิ ยิ่งแกเล่นใหญ่มากเท่าไหร่ แกก็ยิ่งโดนเอาคืนมากเท่านั้น!


 


ตวนเจียงเหว่ยที่อยู่ถัดไปยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เขาให้ความรู้สึกที่ไม่มีวันเป็นศัตรูกันแก่ชูฮัน และก็คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะอยู่หรือตายเมื่อไหร่


 


ฉางกวนหลงที่นั่งห่างออกไปหันกลับไปมองชูฮันและรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาก็ยากที่จะเข้าใจ ถึงแม้ไอ้เด็กหนุ่มคนนี้จะยังเด็กและภาคภูมิใจตัวเองแต่เขาก็รู้การใช้ข้อได้เปรียบของตัวเองมาต่อรองและยังนั่งอยู่ที่นี้โดยไม่สนใจอะไรทั้งๆที่ไม่รับรู้กฏระเบียบอะไรเลย มันค่อนข้างน่าสนใจกับการรับมือกับคนแบบนี้


 


เลาหมิงมองไปที่หน้าของคนมากมายในห้องประชุม และพยายามอดกลั้นความอยากหัวเราะอย่างถึงมากที่สุดของเขาเอาไว้ และแสร้งทำเป็นจริงจัง “เรื่องที่สอง จีนได้ประเมิณและรวบรวมข้อมูลที่แน่นอนเกี่ยวกับเสาหิน…เหอเฟิง”


 


เหอเฟิงรีบลุกขึ้นยืนทันทีพลางพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “กรุณาเปิดเอกสารตรงหน้าของท่านไปที่หน้าที่ 5”


 


พรึบ! พรึบ! พรึบ!

เสียงกระดาษพลิกดังระงมทั้งห้อง ชูฮันพยักหน้ารับอยู่ในใจ คนที่คนออกการประชุมนี้เป็นคนมีระดับสูงและรอบคอบอย่างมาก! ในขณะเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นสถานะที่ไม่ธรรมดาของเหอเฟิง แม้แต่เขี้ยวมังกรก็ยังนั่งอยู่ตรงตำแหน่งหัวหน้าทีมหลงยา แต่เหอเฟิงที่ดูไม่มีอะไรนอกจากเจ้าหน้าที่่ตัวเล็กๆของเลาหมิง…


 


หลบซ่อนได้ลึกล้ำมาก!


เหอเฟิงพูดขึ้นช้าๆ “เชื่อว่าทุกคนก็คุ้นเคยกับเสาหินพวกนี้ดีอยู่แล้ว มันจะมีคนที่มีชื่อเสียงติดอยู่ในอันดับรายชื่อรวมถึงพลเอกชูฮัน ที่ในตอนนี้เป็นวิวัฒนาการระยะ 4 ที่อยู่ตรงหน้าเรา นอกเหนือจากความแข็งแกร่ง มันยังมีคนที่มีชื่อเสียงบนรายชื่ออีกหลายคนที่กองทัพกำลังตามหาตัวอยู่”


 


“จริง” มีบางคนพยักหน้าเล็กน้อย “ป่ายหวีเนอเองก็หายตัวไปเหมือนกัน ตามรายงานเธอจะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อ——“


 


“ป่ายหวีเนอไม่ได้อยู่ในรายชื่อ” จู่ๆผู้บัญชาการมู๋ก็ขัดจังหวะคำพูดของผู้ชายคนนั้นขึ้นมา “เธอไม่ได้อยู่ในหมวดที่เราสามารถพูดคุยได้ เหอเฟิงเชิญพูดต่อ”


 


ชูฮันยังคงมีแววตานิ่งเฉย ก่อนหน้านี้ชื่อของป่ายหวีเนอก็ปรากฏบนรายชื่ออยู่ แต่ตอนนี้เขาไม่รู็ว่าชื่อของเธออยู่ที่อันดับไหน?


 


จากนั้นเหอเฟิงก็พูดต่อ “คนที่อยู่ในรายชื่อส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยพบในการประชุมของพวกเรามาแล้ว แต่มันไม่มีอะไรเมื่อเรามีดาวรุ่ง เชิญดูที่บรรทัดที่ 23 คนคนนี้ชื่อว่าบูชา ปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่เจียงหนาน ความนิยมของเธอได้เพิ่มขึ้นสูงภายในเวลา 2 เดือน แถมยังมีฉายาที่คนแต่งตั้งกันให้ด้วย เธอเป็นบุคคลอันตรายที่เราต้องให้ความสนใจอย่างมาก…”


 


ต่อมาชูฮันก็ไม่สามารถทนฟังต่อได้อีก เขารู้สึกราวกับโดนทุบหัว


บูชา!


 


เมื่อดูข้อมูลของบูชาที่ทางกองทัพรวบรวมเก็บมาได้ ชูฮันก็อดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมา สุดท้ายแล้วเธอก็ยังเลือกเดินเส้นทางเดิมเหมือนชาติที่แล้วและกลายเป็นฆาตรกรแม่มดงู


 


“ต่อไป ประเด็นเกี่ยวกับซอมบี้และลูกผสมรอบๆค่ายซางจิง”


 


การประชุมยังคงดำเนินต่อไปและในตอนนั้นเองจู่ๆเหอเฟิงก็เหลือบมองมาที่ชูฮัน จากนั้นก็รีบเปิดหัวข้อ “กรุณาเปิดไปที่หน้า 10 นี่เป็นรายงานการปฏิบัติภารกิจของทีมหลงยาและฮูหยา”


 


หือ?$%^#$%


 


ไม่นานมันก็มีเสียงประหลาดใจของผู้คนดังขึ้น “อัตราการสำเร็จภารกิจของทีมหลงยาอยู่ที่ 100%!”


 


“น่าเกรงขามมาก ถึงคุ้มค่ากับการเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดในจีน” บางคนพูดด้วยน้ำเสียงประจบ


 


“อืม แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับทีมฮูหยา? ทำไมถึงล้มเหลวตั้งหลายครั้ง?”


 


เหอเฟิงพยักหน้า “2ภารกิจของจุนจื่อและจุ้ยชูคือการกวาดล้างฝูงซอมบี้ที่ข่มขู่ชีวิตของเหล่าผู้รอดชีวิต และพวกลูกผสมที่จู่ๆก็ปรากฏตัวรอบๆค่ายซางจิงตั้งแต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมา”


 


“ดังนั้นปัญหาของฝูงซอมบี้และพวกลูกผสมก็ยังไม่ถูกแก้ปัญหา?” มีคนบางรีบถามขึ้นอย่างกังวล “นั่นมันไม่ใช่เรื่องอันตรายเหรอไง? มันยังมีผู้รอดชีวิตอีกจำนวนมากที่กำลังมุ่งหน้ามาซางจิง ถ้าเรายังไม่ได้ขัดการเรื่องนี้ ผู้คนจะต้องตกอยู่ในอันตราย!”


 


“ภารกิจล้มเหลว แต่มันไม่มีอันตรายเรื่องฝูงซอมบี้และพวกลูกผสมรอบๆให้ต้องกังวลอีก” เหอเฟิงพูดเสียงแผ่ว เขาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา “เพราะพลเอกชูฮันได้จัดการทุกอย่างระหว่างการเดินทางมาสู่ซางจิง”


 


!@#$$%%^&$@&((^


หลายคนในห้องประชุมอ้าปากค้างขณะจ้องไปที่ชูฮันที่นั่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิมของเขา


 


ชูฮันเพียงแค่พยักหน้ารับ “ก็ผมฆ่าพวกมันเอง มีคุณงามความดีหรือรางวัลอะไรให้ผมมั้ย?”


 


ทุกคนรีบหันหน้าหนีทันที แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่ชูฮันพูด


 


“ดี ดำเนินการต่อ” ผู้บัญชาการมู๋ดึงการประชุมกลับมาที่หัวข้อเดิมได้ทันถูกจังหวะ ขณะแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว ในตอนนี้ทุกคนหวาดกลัวและวิตกกับการพูดของชูฮัน แค่เพียงชูฮันทำท่าจะพูดทุกคนก็หวาดวิตกแล้ว ช่างน่าประหลาดใจที่ได้เห็นอะไรแบบนี้


 


“กรุณาดูที่แผนที่ด้านล่าง” เป็นครั้งแรกที่เหอเฟิงใช้น้ำเสียงที่จริงจังขนาดนี้ เขาเดินไปที่แผนที่ที่ติดอยู่บนผนังของห้องประชุม “นี่คือจังหวัดที่อยู่ใกล้หนานตู้ ที่ซึ่งทีมลาดตระเวนของเราพบปรากฏการณ์ผิดปกติ”


 


สายตาของทุกคนจดจ่อไปที่แผนที่ ชูฮันเงยหน้าขึ้นลงมองสลับไปมาระหว่างตอนนี้กับอดีต ท่าทางของเขาแตกต่างจากคนรอบๆที่ทั้งจริงจังและตึงเครียด เขามีแค่ความสงสัยใคร่รู้


 


“ดูกันที่จุดนี้” เหอเฟิงชี้ไปที่จุดหนึ่งบนแผนที่ “มันมีขนาดเท่ากับเมืองเล็กๆ ล้อมรอบด้วยผู้รอดชีวิตทั่วไปที่ไม่ใช่ชนเผ่า จำนวนที่เพิ่มขึ้นจนถึงตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 2000 คน คนพวกนี้มาจากเมืองรอบๆเดินทางมาเรื่อยๆหลังจากการปะทุเกิดขึ้น สู้กับฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่ที่ทรมานจากความหิวโหย ทว่าเมื่อไม่กี่เดือนจู่ๆจำนวนซอมบี้ก็ดิ่งลงฮวบและสะพานแห่งหนึ่งที่ถูกทำลายก็ได้รับการซ่อมแซมภายในเวลาข้ามคืน”


 


ขณะที่เหอเฟิงกล่าวข้อมูลให้ฟัง หลายคนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อ


 


“พวกเรากำลังอยู่ระหว่างกระบวนการ” เหอเฟิงยังคงพูดต่อ นิ้วของเขาค่อยๆ ขยับเคลื่อนย้ายจากจุดหนึ่งไปอีกจุด “นี่เป็นอีกเมืองหนึ่งที่คล้ายคลึงกับเมืองก่อนหน้านี้ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือมันมีที่พักของลูกผสมอยู่ มันถูกโจมตีภายในเวลาชั่วข้ามคืนจากพลังที่ไม่รู้จัก และสองวันต่อมาจำนวนซอมบี้ในเมืองก็เหลือเพียงแค่ 1 ใน 4 “


 


“มีค่ายขนาดใหญ่อยู่ใกล้ๆมั้ย” จู่ๆก็มีคนโพล่งถามขึ้นมา


 


“ไม่ครับ” เหอเฟิงส่ายหัวจากนั้นก็ชี้ไปที่อีกจุดบนแผนที่ “ดูตรงนี้”

 

 

 


ตอนที่ 409

 

สายตาของทุกคนเลื่อนมองตามนิ้วของเหอเฟิงที่ขยับไปตามจุดอื่นบนแผนที่ หลายคนต่างมึนงง พวกเขาข้ามมาจุดนี้กันได้ยังไง?


 


ชูฮันนิ่วหน้า มันเกิดอะไรขึ้นกัน?


 


“นี่คืออีกเมืองหนึ่ง มันต่างจากสองเมืองก่อนหน้านี้ เมืองรอบๆนั้นเหมาะสมสำหรับมนุษย์ที่จะพัฒนาเนื่องจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ผู้รอดชีวิตจำนวนมากได้จัดตั้งค่ายขนาดเล็กขึ้นที่นี้ ซึ่งไม่เพียงแต่พัฒนาการด้านพื้นที่เพาะปลูกแต่ยังมีพื้นที่เพาะเลี้ยงปศุสัตว์หลายอย่างอีกด้วย” เหอเฟิงแนะนำทีละอย่าง จากนั้นเขาก็หันหน้าไปอีกทาง “และมันก็ประมาณเมื่อเดือนก่อนเมื่อทีมลาดตระเวนของเราได้ผ่านไปที่นั่นและพบว่ามีผู้รอดชีวิตจำนวนมากได้รายงานสถานการณ์แบบเดียวกัน”


 


ขณะที่พูด สายตาของเหอเฟิงก็เบิกกว้างอยู่ครู่หนึ่ง “สัตว์เริ่มหายไปภายในข้ามคืน อาหารก็เช่นกัน”


 


ทันใดนั้นทุกคนก็เพ่งสายตามาที่เหอเฟิงและรอให้เขาพูดต่อ อะไรคือสาเหตุของสถานการณ์แปลกๆนี่กัน?


 


“ทีมลาดตระเวนของเราก็เดินหน้าต่อและพวกเขาก็ได้พบกับสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้รอบๆเมือง” เหอเฟิงพูด จากนั้นก็ชี้ที่อีกจุดหนึ่งบนแผนที่ “มันคล้ายกับสภาพแวดล้อมของเมืองก่อนหน้านี้ และมันก็เป็นค่ายขนาดเล็กที่กำลังพัฒนา รวมทั้งปศุสัตว์และอาหาร ทุกอย่างหายวับไปภายในข้ามคืน”


 


หลายคนนิ่วหน้าและมองไปที่เหอเฟิงด้วยความงงงวย เหอเฟิงพูดถึง 4สถานที่ 2สถานการณ์ แต่อะไรคือสิ่งที่เชื่อมต่อระหว่าง 2 อย่างนี้? หรืออะไรคือความลับเบื้องหลังของเรื่องนี้กันแน่?


 


“พวกคุณคิดว่าทีมลาดตระเวนของเราจะหาเรื่องวุ่นวายเล็กๆมาให้ซางจิงเหรอ?” เหอเฟิงยิ้มและกวาดสายตามองทุกคนรอบๆ


 


หลายคนอยากจะพยักหน้าตอบรับตามจิตใต้สำนึก หากก็ได้สติและรอคอยให้เหอเฟิงพูดต่อ สถานการณ์ข้างหน้านี่มันโดดเด่นมาก มันต้องมีการค้นพบอื่นๆอีกแน่


 


เหอเฟิงแสยะยิ้มอยู่ในอก น้ำเสียงที่ใช้พูดจริงจังอย่างมากพร้อมกับนิ้วที่เลื่อนไปชี้จุดที่ 5 บนแผนที่ “ตรงจุดนี้ทีมลาดตระเวนของเราได้ทำการค้นพบครั้งสำคัญ และเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเราจึงส่งเฮลิคอปเตอร์ของทีมลาดตระเวน A ไปเพื่อติดตามสืบสวน”


 


ทันใดนั้นทุกคนก็ยืดหลังตรงมองจ้องเขม็งไปที่แผนที่ ประเด็นสำคัญกำลังจะเผยแล้ว!


 


ชูฮันที่ไม่มีท่าทีสนใจใดๆ เขายกชาขึ้นดื่มพลางคิด…ชาของซางจิงนี่ดีจริงๆ และความสามารถของเหอเฟิงก็สุดยอดมากเช่นกัน


 


“พวกคุณเดาสิว่าทีมลาดตระเวนเจออะไร?” เหอเฟิงยิ้มมุมปากอย่างยั่วยุ มันมีแววตาประกายกล้าฉายผ่านนัยน์ตาเขาไปแวบนึง มันเหมือนกับแววตาของเสือชีต้าที่ตื่นเต้นและสนุกสนานที่ได้เจอเหยื่อ “นี่เป็นทีมที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี สุดท้ายในจุดที่ 5 ทหารของเราก็เจอร่องรอยและการเคลื่อนไหวใหม่”


 


เหอเฟิงหันไปชี้นิ้วของเขาลงบนเส้นบนแผนที่ “ทีมลาดตระเวนได้ค้นพบจุดนี้ตรงนี้และเคลื่อนพลด้วยเท้าไปกว่าครึ่งเดือน ด้วยการเดินแบบนี้ความเร็วของคนพวกนั้นน่าทึ่งมาก และยิ่งน่าทึ่งขึ้นไปอีกเมื่อทุกอย่างที่เกิดระหว่างทางสอดคล้องกับเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น”


 


“หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยซอมบี้ถูกฆ่าล้างหมู่ มันฝรั่งที่ชาวบ้านปลูกไว้มีแต่ไส้กลวง หมู่บ้านเริ่มเปลี่ยนไป ในคืนแรกชุดชั้นในของทั้งหมู่บ้านหายไปและเช้าวันต่อมาเสื้อผ้าชุดใหม่ทั้งหมดถูกวางกองอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้าน”


 


“หมู่บ้านที่ 4 ก็มีสถานการณ์เกิดขึ้นแบบเดียวกันกับอีก 3 หมู่บ้าน แต่มันมีความแตกต่างที่ลึกซึ้งอยู่ ในวันแรกมีเพียงแค่สะพานที่พังและแตกเป็นเศษฝุ่น หากวันต่อมาสะพานเดิมที่เคยพังกลับถูกสร้างขึ้นใหม่เอี่ยม”

“จุดที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรเลย มันเพียงหลังจากนั้นและเหมือนพวกเขาจะเลอะเลือนเรื่องเวลา ส่วนเรื่องกระบวนการในการขโมยนั้นไม่มีใครมีสติรับรู้อะไรเลย วิธีการซ่อนตัวของพวกเขาค่อนข้างฉลาดมาก ถ้าไม่ใช่เพราะทีมลาดตระเวนได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปคอยตามรอยสืบสวนตั้งแต่แรกพวกเราก็คงหาสาเหตุไม่เจอ”


 


เหอเฟิงพูดต่อ “นักวิเคราะห์ของเราคาดการณ์ข้อสรุปได้ดังนี้ นี่ไม่ใช่การทำงานของทีมเดียว หากเป็นสองทีมที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทีมหนึ่งมุ่งหน้าไปทิศทางตรงกันข้ามกับอีกทีม และในช่วงเวลาหนึ่ง ณ สถานที่หนึ่งพวกเขาก็บังเอิญเจอกัน มันมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้น เนื้อหาของการต่อสู้นี้เป็นที่น่าสนใจมาก ด้านหน้าเป็นทีมบุกทำลายล้าง ส่วนด้านหลังค่อยไล่ล่าและซ่อมแซมการโจมตีด้านข้าง”


 


ฉางกวนหลงมองไปที่จุดต่างๆบนแผนที่ด้วยสายตาฉลาดหลักแหลม “ทั้งสองทีมนี้เป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษของค่ายผู้รอดชีวิตรึเปล่า? ความสามารถในสู้รบและความเร็วในการลงมือสามารถเทียบเท่าได้กับทีมหลงยาและฮูหยา โดยเฉพาะหน่วยที่มีความสามารถด้านการขโมย พวกเขาอาจจะถูกส่งไปเพื่อปฏิบัติภารกิจพิเศษ ทีมลาดตระเวนได้ติดต่อพวกเขารึยัง? คนพวกนี้คือใคร?”


 


เหอเฟิงส่ายหัว “นี่เป็นประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึง พวกเขาไม่ได้สังกัดอยู่ในค่ายผู้รอดชีวิตไหนเลยและไม่ได้เป็นทหารของกองทัพ”


 


ทันทีที่เหอเฟิงพูดจบ ทั้งห้องประชุมก็ระเบิดเสียงความวุ่นวายออกมาทันที


 


“ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติการพิเศษของค่าย?”


 


“ไม่ใช่ทหาร?”


 


“ชาวบ้านงั้นเหรอ? ไม่มีทาง”


 


“ไม่เลว คือชาวบ้านนั่นเอง” เหอเฟิงส่งเสียง “ไม่เพียงแค่พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้น แต่ทั้งสองทีมไม่มีทั้งผู้นำหรือองค์กร คนของเราทิ้งตัวเลขลับของกองทัพไว้หลายจุดล่วงหน้าและมันมี 3 จุดที่คนพวกนี้เดินผ่านไปโดยไม่มีการติดต่อทางใดกับเราเลยหรือก็คือเพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันคือตัวเลขลับ เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าพวกเขาเป็นแค่ชาวบ้านคนธรรมดา”


 


“มันก็ฟังดูเป็นไปได้” ตวนเจียงเหว่ยพูดโพล่งขึ้นมา “หรือจะเชื่อว่าทีมพวกนี้เป็นของเอกชน และก็อาจจะมีคนใช้งานพวกเขาเพื่อเล่นละครครั้งใหญ่ก็ได้”


 


“เราคิดอย่างนั้นเช่นกัน” เหอเฟิงพยักหน้าพลางพูด “แต่ทุกครั้งที่คนเราต้องการตามหาตัวพวกเขา พวกเขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และจะพบได้แค่ตามจุดที่มีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นเท่านั้น”


 


“ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเรากำลังตามหาตัวอยู่ จู่ๆวันหนึ่งทั้งสองทีมก็หายตัวไป 3 วันเต็มๆ แล้วพวกคุณเดาสิว่าหลังจากนั้นทีมลาดตระเวนของเราเจอกับอะไร?” จู่ๆเหอเฟิงก็หยุดพักและคลิกที่หน้าจอ “กรุณาเปิดไปที่หน้า 50 คนของเราได้เจอกับเด็กชายอายุ 6 ขวบคนหนึ่งและเขามอบบางอย่างให้คนของเรา ข้อความนี่ก็เป็นตัวยืนยันว่าอีกฝ่ายมี 2 ทีมจริงๆ”


 


พรึบ! พรึบ! พรึบ!

เสียงพลิกหน้ากระดาษดังก้อง หลายคนต่างมองไปที่ข้อความในหน้า 50 และตกอยู่ในห้วงความคิด


 


“แต่ยังโชคดีที่แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีเจตนาในการเข้าร่วมกับกองทัพ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นปรปักษ์กับเรา อย่างน้อยพวกเราก็ได้รู้ชื่อของทั้ง 2 ทีม”


 


น้ำเสียงของเหอเฟิงแฝงไปด้วยความเสียดายและสงสัย “มันเป็นชื่อที่ค่อนข้างแปลกแต่ทั้งสองทีมนี้มีชื่อว่า กุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้า…”


 


“ฟู่——“


เสียงพ่นน้ำชาอย่างกระทันหันดังขึ้นขัดจังหวะพูดของเหอเฟิง


 


ทั้งห้องเงียบสงัด ทุกคนต่างมองมาที่ชูฮันที่จู่ๆก็ทำเรื่องหยาบคาย จวงฮงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดนน้ำชาในปากชูฮันพ่นใส่เต็มหน้า


 


“ชูฮัน นายทำอะไร?”

 

 

 


ตอนที่ 410

 

เสียงของผู้บัญชาการมู๋แฝงไปด้วยความมึนงง มันเกิดอะไรขึ้นกันจู่ๆชูฮันถึงพ่นน้ำออกมาแบบนี้?


 


จวงฮงที่นั่งอยู่ตรงข้ามชูฮันซึมเซาไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลาหลายปี แม้แต่วันที่ยากลำบากอย่างเช่นช่วงอาทิตย์แรกของการปะทุโลกาวินาศ เขาก็ยังไม่เคยถูกน้ำเน่าแบบนี้พ่นใส่หน้ามาก่อน!


 


“ชูฮัน!” จวงฮงลุกขึ้นยืนพลางจ้องเขม็งมาที่ชูฮันอย่างโกรธจัด เขาทนไม่ไหวที่จะจัดการชูฮันที่ทำกับเขาแบบนี้ “นี้มันหมายความว่าอะไรวะ?”


 


ชูฮันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ขอโทษทีน้ำมันร้อนเกินไป”


 


“แก! แก แก แก! ไอ้เ*ย ไปตายซะ!” จวงฮงแทบจะเสียการควบคุมเพราะคำตอบของชูฮัน มันมีไฟสุมรอการระเบิดอยู่ในอกของจวงฮง ถ้านี่ไม่ใช่อยู่ในห้องประชุม เขาจะจัดการชูฮันแน่นอน


 


ชูฮันไม่ได้สนใจจวงฮงเลยสักนิด เขาจ้องไปที่ข้อความในกระดาษหน้าที่ 50 ในมือ ซึ่งมันมีอยู่ข้อความเขียนอยู่สองประโยค มันง่ายมากที่จะแยกแยะความแตกต่างของคำทั้งสองสองประโยคนี้…วิธีการพูด


 


“ทีมกุ้งเสือดำ ตามไม่ทันหรอก” คำพูดนี่เป็นของเสี่ยวเคินอย่างแน่ๆ


 


“ทีมความลับของพระเจ้า นายไม่มีทางจับได้ ฮ่าฮ่าฮ่า!” นี่ต้องเป็นหลูปิงเซ่อแน่นอน


 


เมื่อเห็นคำพูดพวกนี้ ชูฮันก็อยากจะพ่นเลือดใส่หน้าทั้งเสี่ยวเคินและหลูปิงเซ่อ สองคนนี้กำลังทำบ้าอะไรอยู่!?


 


ไม่นานชูฮันก็รับรู้ได้ถึงความสามารถของทีมลาดตระเวนของซางจิง เหอเฟิงบอกว่าทั้งสองทีมนี้ไม่ได้ติดต่อมาเลยสักช่องทาง แต่เด็กชายส่งกระดาษข้อความให้ไม่ใช่เหรอไง? เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้ชายนั่นคือเจิ้งเทียนอี้ที่อยู่ในทีมความลับของพระเจ้า ซึ่งมันต้องเป็นความคิดของหลูปิงเซ่อแน่ๆ


 


ชูฮันให้คำแนะนำทั้งสองทีมไปเพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่เขาไม่คิดว่าเลยหลังจากที่แยกย้ายกันไปเพียง 2 เดือน ทั้งสองทีมจะกลายเป็นแบบนี้


 


เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจมาก!


 


ชูฮันเหมือนจะสามารถคาดการณ์สถานการณ์ปัจจุบันของทั้งสองทีมได้ หลูปิงเซ่อชอบหลอกลวง มันจึงไม่แปลกที่เขาจะล่อทีมความลับของพระเจ้าไปตลอดทางเพื่อฆ่า แต่ทีมกุ้งเสือดำก็เต็มไปด้วยเล่ห์ เสี่ยวเคินพาทีมของตัวเองย้อนกลับไล่ตามทีมความลับของพระเจ้าไปเหมือนกัน!


 


เป็นการดึงชักเย่อการต่อสู้ที่ดีใช่มั้ยล่ะ?


 


ตามความคิดเห็นก่อนหน้านี้ของเหอเฟิง ความสามารถในการต่อสู้ของทั้งสองทีมนั้นสูงขึ้นมากหลายเท่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่เห็นชูฮันเห็นเมื่อตอนที่เขาเข้ารับการประเมิณเสาหินของวิวัฒนาการระยะ 3 จากนั้นเมื่อมองที่ความเร็วของการเดินป่าที่ชูฮันได้ให้ระยะเวลาของทั้งสองทีมสามเดือน ทั้งๆที่ชูฮันรู้ดีว่าด้วยประสิทธิภาพของคนพวกนั้นระยะเวลามันน่าจะสั้นลงเหลือเพียง 2 เดือนเท่านั้น


 


“ชูฮัน?” จู่ๆเสียงของหวังไคก็ดังขึ้นในหัวของชูฮัน “นายพึ่งทำมันอีกแล้ว มันเกิดความผันผวนอารมณ์ขึ้น นี่ป่ายหวีเนอกระโดดมาเปลื้องผ้าต่อหน้านายอยู่เหรอไงกัน?”


 


“ทำงานของแกไปซะ!”


 


“มาเร็วๆเข้า” มีความภาคภูมิใจอยู่ในน้ำเสียงของหวังไค “ให้ฉันไปรอนายที่ไหน?”


 


“ที่เดิม”


 


ตวนเจียงเหว่ยที่นั่งถัดไปจากชูฮันมองถ้วยน้ำชาของชูฮันอย่างสงสัย น้ำนั้นร้อนเกินไปเหรอ? แต่ชานี่มันเย็นแล้ว


 


“ไม่เป็นอะไร” ผู้บัญชาการมู๋โบกมืดปัด “ดำเนินการประชุมต่อ”


 


เหอเฟิงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหารือประเด็นเดิมต่อ ถึงแม้เขาจะมีความสนใจในตัวทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้า แต่ตอนนี้ที่ชูฮันขัดจังหวะขึ้นมามันทำให้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะดำเนินการต่ออีก เขาจึงเพียงข้ามไปที่หัวข้อถัดไป “หัวข้อต่อไป หลังจากการจัดตั้งยุคโลกาวินาศขึ้นอย่างเป็นทางการ เรายังมีเรื่องสกุลเงินที่ต้องพูดคุยกัน และมูลค่าที่แปลงเป็นสกุลเงินและหน่วยเงิน พวกคุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”


 


“นี่แหละประเด็น” มีคนเข้าร่วมการสนทนาด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง


 


“ใช่ แล้วโลกาวินาศล่ะ?” มีคนแนะนำ


 


“ไม่ ไม่ มันไม่น่าฟังเลย” บางคนก็คัดค้านทันที


 


“เราอยู่ในยุคใหม่ที่เราเรียกว่ายุคโลกาวินาศใช่มั้ย? ไม่เรียกเงินโลกาวินาศไปเลยล่ะ?”


 


“ความจริงแล้วทั้งสองแนวคิดมันก็ดี แต่ถึงอย่างนั้นสกุลเงินโลกาวินาศมันไม่เหมาะสม”


 


การประชุมดำเนินไปอย่างเพลิดเพลิน จวงฮงที่ผมยังไม่แห้งดีถูกลืมเลือนไป


 


เมื่อมองไปที่กลุ่มคนที่เอาแต่พูดคุยกันมาเป็นเวลานาน ผู้บัญชาการมู๋ก็เคาะมือลงบนโต๊ะ “ชูฮัน นายคิดว่ายังไง?”


 


ทุกคนในห้องประชุมเงียบสนิททันทีพลางจ้องมาที่ชูฮันด้วยสายตารังเกียจ


 


“หน่วยเงินควรแบ่งออกเป็น หนึ่ง ห้า สิบ หนึ่งร้อยและห้าร้อย ราคาที่เฉพาะเจาะจงจะขึ้นอยู่กับวิธีการตัดสินใจของซางจิง ส่วนสำหรับสกุลเงิน—-” ชูฮันเกือบจะตอบสกุลเงินของชาติที่แล้วออกไปแล้วโดยไม่รู้ หากเขาก็รีบหุบปากพลันสายตาก็เริ่มดำดิ่งลง “ล่มสลาย”


 


“เหรียญล่มสลาย?”


 


หลายคนต่างมองหน้ากัน ผู้คนจำนวนไม่สามารถตามทันความคิดของชูฮันได้ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชูฮันได้เสนอชื่อลึกลับอย่างคำว่า ‘ล่มสลาย’


 


“ล่มสลาย? ล่มสลาย มันมีความสำคัญพิเศษอะไรรึเปล่า?” ผู้บัญชาการมู๋มองชูฮันด้วยความสงสัยใคร่รู้ ผู้บัญชาการมู๋สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของชูฮันค่อนข้างจะจริงจังอย่างมากเมื่อพูดคำว่าล่มสลายขึ้นมา ชูฮันไม่ได้พูดเล่นเลยสักนิดหรือแม้แต่จะต่อรอง หากเขากำลังแถลงอยู่ต่างหาก


 


ผู้บัญชาการมู๋พูดออกมาเพียงแค่ประโยคเดียวหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “กลับไปที่เดิม กลับไปจุดเดิม”


 


ผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงมีแววตาประกาย ตวนเจียงเหว่ย เหอซาง กวนหลง ก็ต่างมีประกายแวบในดวงตา หลายคนประหลาดใจที่ได้เห็นชูฮันผู้ซึ่งหยาบคายและไม่มีมารยาทสามารถพูดอะไรที่เป็นงานเป็นการได้ด้วย


 


“ชูฮัน” ทันใดนั้นเสียงของหวังไคก็ดังขึ้น มันแฝงไปด้วยความกังวล “มีบางอย่างเกิดขึ้น เร็วเข้า!”


 


จู่ๆชฮูันก็รู้สึกแน่นหน้าอก จากนั้นเขาก็มองไปที่สามคนตรงหน้าด้วยสายนิ่งๆ ชูฮันหมดความอดทน เขายื่นมืออกไปและเคาะลงบนโต๊ะบนประชุม “แล้วพวกคุณมีความคิดเห็นอะไรบ้างล่ะ? มันไม่มีอะไรตายตัว”


 


ขณะที่ทุกคนกำลังจะเอ่ยปาก——


 


“ไม่ต้องพูดถึงคำถามเหล่านี้ คุณชอบเงินมากมั้ย? ใช้เวลาที่มีคิดถึงกลยุทธ์ในการฆ่าซอมบี้และแก้ไขปัญหาของอาหารขาดแคลนภายในค่ายดีกว่า” ชูฮันพูดอย่างรวดเร็ว คำถามที่ตรงไปตรงมาของชูฮันได้สร้างความเจ็บปวดโดยตรงแก่พวกคนที่เอาแต่สนใจเรื่องค่าสกุลเงิน


 


ผู้บัญชาการมู๋ เลาหมิง และเหอเฟิงยังคงนิ่งเฉย ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้ทันพูด ชูฮันก็ส่งสายตามาประมาณว่า ‘ฉันเป็นหัวหน้า ฉันมีเรื่องสุดท้ายที่ต้องพูด’ จากนั้นก็เคาะมือลงโต๊ะ “เอาล่ะ คำถามต่อไป พวกคุณเคยคิดเรื่องแลกเปลี่ยนเงินล่มสลายกับคริสตัลมากมายที่มีมั้ย?”


 


หลายคนประหลาดใจ หากชูฮันก็ชิงพูดขึ้นก่อนที่ใครจะได้ทันพูด “คริสตัลของซอมบี้ระยะสอง สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญล่มสลาย100 ได้ คริสตัลของซอมบี้ระยะสาม 3 อันหรือคริสตัลซอมบี้ระยะสี่ 2 อันสามารถแลกเป็นเหรียบล่มสลาย 500 ได้…”


 


ชูฮันพูดจบก็ผุดลุกขึ้นยืน เขามองไปรอบๆ “มีปัญหาอะไรมั้ย? ถ้าไม่ ผมขอตัวก่อน ในเมื่อทุกอย่างตกลงได้แล้ว”


 


“อ้วนเฉินมากับฉัน” โดยไม่คำนึงถึงสายตาอึ้งตะลึงของทั้งห้องประชุม ชูฮันเดินตรงออกไปที่ประตูห้องประชุมทันที


 


เฉินช่าวเย่รีบดึงสติกลับมาจากอาการตกใจและเดินตามชูฮันออกไปพลางส่งเสียงกระซิบถาม “หัวหน้า หัวหน้า? เฮ้ หัวหน้าจะไปไหน?”


 


ชูฮันขยิบตาใส่เจ้าอ้วนเฉิน มันมีแสงประกายวาบผ่านนัยน์ตาชูฮัน “ไปเอาปืนมา!”

 

 

 


ตอนที่ 411

 

“รีบไปหาแม่เหรอไง!”


 


“นี่เขาล้อเล่นเหรอไง?”


 


“ฉันคิดว่าเขาพูดได้ดี แต่ไม่คิดว่าเขาจะพูดแค่สองสามประโยคแค่นั้นแล้วจบ!”


 


หลังชูฮันออกจากการประชุมไป ในห้องประชุมก็ระเบิดเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของผู้คนตามออกมาทันที จนขนาดที่บรรพบุรุษของชูฮันคงจามไป 18 ครั้งได้แล้ว


 


“ผู้บัญชาการมู๋!” จวงฮงทนไม่ไหว เขาตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจขณะที่ผมยังคงเปียกอยู่ “ทำไมท่านถึงปล่อยให้เขาทำแบบนี้? แล้วท่านจะตัดสินใจเรื่องสกุลเงินอย่างไร? เฮอะ! นี่มัน!”


 


ไม่เพียงแต่จวงฮงทว่าคนส่วนใหญ่ในห้องประชุมต่างก็โกรธกันหมด ชูฮันไม่ได้เพียงแต่ตัดสินใจเรื่องสำคัญที่ควรจะปรึกษาหารือกับทุกคนก่อนด้วยตัวคนเดียว แต่ยังหนีออกไปจากการประชุมที่ยังไม่จบอีกด้วย


 


มันไม่มีวินัยมากเกินไป!


 


ผู้บัญชาการมู๋เงียบไปครู่หนึ่ง สายตาของท่านขุ่นมัว จากนั้นก็หันไปทางเลาหมิงและเหอเฟิง “โควต้าเริ่มแรกของเราก่อนหน้านี้คือเท่าไหร่?”


 


เหอเฟิงมองไปที่ข้อมูลในมือพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา “กรุณาเปิดไปที่หน้า 97”


 


พรึบ! พรึบ! พรึบ!


เสียงพลิกหน้ากระดาษระรัวภายในห้องประชุมดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกระแทกตกใจจากนั้นทั้งห้องก็เข้าสู่ความเงียบสงบ ทุกคนมองไปที่เอกสารสำคัญตรงหน้า ตัวอักษรที่สีดำที่ปรากฏอยู๋บนกระดาษสีขาวในหน้าที่ 97 ระบุว่า…คริสตัลของซอมบี้ระยะสอง มีค่าเท่ากับ 100 และคริสตัลของซอมบี้ระยะสาม 3 ชิ้นหรือระยะสี่ 2 ชิ้นเท่ากับ 500…


 


พระเจ้า!


 


“อะหึ่ม! อะหึ่ม!” ผู้บัญชาการมู๋กระแอม “ถ้าไม่มีการเสนอชื่อสกุลที่ดีกว่านี้ งั้นเราจะให้ชื่อว่า ล่มสลาย”


 


“ถ้างั้นก็ตามนั้น” เลาหมิงเองก็เห็นด้วย


 


ตวนเจียงเหว่ยที่นั่งฟังเนื้อหาการประชุมที่น่าเบื่อเอนตัวพิงเก้าอี้นั่ง เหลือบตามองเก้าอี้นั่งข้างๆที่ว่างเปล่า มันมีเอกสารการประชุมวางอยู่บนโต๊ะตรงตำแหน่งที่นั่งของชูฮัน เมื่อตอนที่ชูฮันจะออกไปเขาดูรีบร้อนมาก เอกสารบนโต๊ะจึงกระจัดกระจายซึ่งเอกสารได้เปิดค้างทิ้งไว้ที่หน้า 50…


 


สายตาของตวนเจียงเหว่ยสว่างวาบ เขามั่นใจสุดๆว่าชูฮันไม่ได้เปิดเอกสารไปที่หน้า 97 เลย แต่การที่พูดข้อมูลได้ออกมาอย่างสบายๆและเหมือนกับข้อมูลที่เหอเฟิงเตรียมการมาได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น


 


ช่างบังเอิญอะไรได้ขนาดนี้…


 


———-


 


“หัวหน้า เรามาทำอะไรที่นี่?” เฉินช่าวเย่กำลังหิ้วหีบพัสดุขนาดใหญ่ตามหลังชูฮัน


 


ตรงนี้คือพื้นที่ของผู้ลี้ภัย เป็นสถานที่ที่วุ่นวายที่สุดในทั้งค่ายซางจิง ชูฮันและเฉินช่าวเย่มาที่นี้และได้เจอกับวิสัยทัศน์ที่ซับซ้อนของผู้คนจำนวนมากรอบๆ ทั้งโลภและไม่เป็นมิตร ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองคนสวมชุดเครื่องแบบทหารและพัสดุขนาดใหญ่ที่เฉินช่าวเย่หิ้วมาคืออาวุธละก็ คาดว่าพวกเขาทั้งสองคนคงถูกกลุ่มคนรุมปล้นไปแล้ว


 


ชูฮันรีบเดินฝ่าผ่านฝูงชนไปทันที ไม่สนใจกลุ่มผู้ลี้ภัยที่อยู่รอบๆตัว น้ำเสียงของเขาเย็นชา “ฉันมาตามหาคน”


 


“โอ้” เฉินช่าวเย่พยักหน้า “พี่กำลังหาใครอยู่?”


 


“เพื่อนร่วมห้องพักในมหาวิทยาลัยฉันเอง” น้ำเสียงของชูฮันเปลี่ยนไป เขาเปลี่ยนไปเดินเรียบถนนถัดไปแทน


 


เฉินช่าวเย่รีบตามไปอย่างเร็ว “หัวหน้าบอกว่ามาตามหาเพื่อนร่วมห้องพัก แล้วจะให้ฉันเอาไอ้นี่มาทำไม? มันหนักมาก!”


 


เฉินช่าวเย่ชี้นิ้วมาที่ปืนที่เขาแบกอยู่ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมึนงง ก่อนหน้านั้นชูฮันบอกให้เขาเอาปืนมา เขาก็รีบเอาทุกอย่างที่มีมาวางหน้าชูฮันทันที หากชูฮันกลับชี้นิ้วไปที่ปืนที่ใหญ่ที่สุด เฉินช่าวก็ตื่นตัวทันทีเขารีบหอบปืนใหญ่ตามชูฮันและคิดว่าชูฮันคงจะมีงานใหญ่ให้เขาทำ แต่หลังจากผ่านไปนานพอสมควรชูฮันกลับบอกว่ามาตามหาเพื่อนร่วมห้องพัก


 


“แต่เพื่อนผู้น่าสงสารของหัวหน้าทำไมถึงได้มาอยู่ในพื้นที่ผู้ลี้ภัยแบบนี้” เฉินช่าวเย่ถอนหายใจ


 


ชูฮันก้าวเท้าเดินต่อไปจนมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง มันเป็นที่พักของเติ้งเวยป๋อที่คราวเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมเหมือนที่ชูฮันเคยมา มันเละเทะแต่มันไม่เหมือนกับเมื่อสองวันก่อน เหล่าผู้ลี้ภัยทั้งหลายที่อยู่หน้าบ้านได้สลายตัวไปหมด มีเพียงแค่บ้านหลังเล็กที่ดูแออัดตั้งอยู่


 


“ถึงแล้ว!” เสียงของเฉินช่าวเย่แผ่วเบา แฝงไปด้วยความสงสัย มันไม่มีใครอยู่รอบๆเลย มันดูต่างจากพื้นที่ผู้ลี้ภัยจุดอื่นๆที่พวกเขาเดินผ่านมาก่อนหน้านี้


 


“เตรียมตัว” ชูฮันเหลือบมองเฉินช่าวเย่ จากนั้นก็ก้มตัวลงเพื่อก้มเก็บอะไรบางอย่าง


 


เฉินช่าวเย่รีบวางพัสดุลง จากนั้นก็เปิดออกเพื่อประกอบปืนด้วยความเร็ว มันไม่ได้รวดเร็วและยืดหยุ่นเท่ากับเลาเสี่ยวเสียว แต่ก็รวดเร็วกว่าคนทั่วไป เพียงไม่นานมันก็กลายเป็นปืนไรเฟิลซุ่มยิงขนาดใหญ่


 


ในช่วงเวลานั้นเฉินช่าวเย่จ้องไปที่ชูฮันที่ยืนอยู่ถัดจากเขาและถือกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ในมือ นี่คือสิ่งที่หัวหน้าก้มลงไปหยิบเมื่อกี้? เฉินช่าวเย่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นกระดาษที่พื้นเลยสักแผ่น!


 


ในตอนนั้นชูฮันกำลังมองดูข้อมูลที่หวังไคขโมยมาให้ในมือขณะฟังหวังไคที่อยู่ในกระเป๋าพูดอธิบาย


 


“เติ้งเวยป๋อ ผู้ชายคนนี้เป็นตัวปัญหาของจริง! ฉันช่วยนายได้ชูฮัน ถ้านายปล่อยให้ฉันตรวจสอบดูข้างในก่อน ฉันไม่รู้เลยว่าเติ้งเวยป๋อจะมีความสามารถขนาดนี้!” เสียงของหวังไคเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูก “นายอ่านข้อมูลที่ฉันให้ไปรึยัง?”


 


“นายมีพื้นที่ส่วนตัวในประตูมิติมั้ย” จู่ๆชูฮันก็ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่กำลังพูดกันอยู่ขึ้นมา เมื่อตอนที่เขาก้มลงไปรับตัวหวังไคเขาไม่ได้หยิบอะไรมาในมือและมันก็ไม่มีกระดาษอะไรจากหวังไคในประตูมิติของเขา กระดาษแผ่นนี้คือหวังไค ทันทีที่เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า กระดาษแผ่นนี้ก็อยู่ในนั้น


 


“แล้วความเป็นส่วนตัวของคนในห้องนอนล่ะ?” หวังไคตกใจมาก


 


“โอเค” เสียงของชูฮันเรียบนิ่ง “มีอะไรอยู่ในห้องของเติ้งเวยป๋อ?”


 


“นอกเหนือจากลูกผสมสองตัวที่ระบุตัวได้ คนอื่นๆในห้องยังไม่ชัดเจน”หวังไคแสยะยิ้ม “ฉันอยากจะลอบเข้าไป แต่โชคร้ายที่ห้องนี้มันอัดแน่นมากแม้แต่แมลงวันยังบินเข้าไปไม่ได้!”


 


“ไม่ต้องถามอะไร” มีแสงเย็นผ่านเลยหัวเฉินช่าวเย่ไป “ยิงประตู”


 


เฉินช่าวเย่เริ่มมีเหงื่อไหล เขาไม่สามารถหาสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นได้เขาจึงหยิบปืนไรเฟิลที่ประกอบเสร็จขึ้นมาตั้งลำเล็งไปที่ประตู!


 


“ปัง!”


เกิดเสียงดังลั่นขึ้น ประตูไม้ถูกระเบิดแตกเป็นชิ้น เศษฝุ่นละอองไม้ปลิวว่อน


 


เฉินช่าวเย่ไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ เขามองไม่เห็นอะไรข้างหน้าเลยและไม่รู้ว่าชูฮันต้องการทำอะไร


 


“บนหลังคา!” ทันใดนั้นเสียงของชูฮันที่ก็ดังขึ้นข้างหูเฉินช่าวเย่ “60 องศา 1 นาฬิกา! จัดการมันซะ!”


 


“ปัง!”


เฉินช่างเย่ไม่ลังเลสักนิดที่จะเหนี่ยวไก เฉินช่าวเย่ปรับองศาของปืนไปที่มุม 60 องศาและจัดการยิงไปตามที่ชูฮันบอกทันที


 


เสียงของกระสุนที่พุ่งเข้าเนื้อกังขึ้นจากระยะไกล ตามมาด้วยเสียงระเบิดของเนื้อและเลือดที่กระจาย ไม่ยากที่จะจินตนาการภาพโชกเลือดที่เกิดขึ้น เสียงระเบิดกระสุนที่เกิดขึ้นทำให้พอจะเดาได้ว่าเป้าที่โดนยิงนั้นอยู่ห่างจากชูฮันและเฉินช่าวเย่มากพอสมควร ครั้งนี้เกิดฝุนกระจายตัวรอบพื้นล้อมรอบปืนของเฉินช่าวเย่ที่ทำการยิงออกไป


 


“ไหนนายบอกว่ามีลูกผสมสองตัวไง?”มองไปที่ภาพข้างหน้า เสียงของชูฮันก็ดังขึ้นอย่างเย็นยะเยือก

 

 

 


ตอนที่ 412

 

หวังไคที่ถูกตะคอก เบิกตากว้างทันที


 


ในตอนนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่กำลังวิ่งกรูกันมาทางนี้พร้อมกับเสียงแหกปาก


 


“เฮ้ย!”


 


“ช่วยด้วย!”


 


“มีคนตาย? นี่มันอะไร?”


 


“เดี๋ยวก่อน นี่เป็นเจ้าหน้าที่ ดูสถานการณ์สิ”


 


ภายในช่วงเวลาสั้นๆ พื้นที่บริเวณนี้ก็ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้ลี้ภัยจำนวนมาก การจลาจลนี้ได้ดึงดูดความสนใจของทหารเช่นกัน ถึงอย่างไรแล้วเสียงยิงปืนสองนัดก่อนหน้านี้ก็ดังมากและก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกิดจากอาวุธที่ผู้ลี้ภัยจะมีได้


 


อึก!


เฉินช่าวเย่กลืนน้ำลายอึก รู้สึกกลัวกับภาพที่ได้เห็น เขายิงปืนใส่ประตูและจู่ๆมันก็ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งคลานตามพื้นออกมาอย่างสิ้นหวังพร้อมกับสำลักเลือด แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เฉินช่าวเย่รู้สึกกลัวแต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกลัวคือภาพด้านหลัง ภายในห้องแคบๆมันมีกองซากศพของมนุษย์อยู่ ศพยังคงมีเลือดไหลทะลักออกมาตามแผลที่เป็นรูกลวง ซึ่งคงจะโดนทำร้ายมาอย่างทารุณ ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นเหม็นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว


 


“นี่มัน…” เฉินช่าวเย่หันไปมองชูฮันด้วยสายตาหวาดกลัว ไหนหัวหน้าบอกว่ามาตามหาเพื่อนร่วมห้องพักที่มหาวิทยาลัยไง?


 


ในขณะนั้นเศษฝุ่นที่ปลิวว่อนในอากาศเริ่มสลายตัวลง ทิศทางที่ชูฮันบอกให้เฉินช่าวเย่ยิงปืนนัดที่สองออกไปก็เริ่มเปิดทางให้เห็น มันมีร่างที่ดูเหมือนมนุษย์ที่ปืนไรเฟิลของเฉินช่าวเย่ยิงเข้าใส่นอนตายอยู่ที่พื้นไกลออกไป มีเศษเนื้อบางส่วนกระเซ็นพร้อมกับเลือดกระจายไปทั่วบริเวณ หากมันไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อได้เห็นว่ามือที่ขาดหลุดออกไปไกลๆนั่นดูคล้ายกับมือของซอมบี้


 


“ลูกผสม!” เฉินช่าวเย่ตะโกนออกมา ตามมาด้วยเหงื่อที่แตกโชกจนตัวเปียก นี่ภายในค่ายซางจิงปนเปื้อนไปด้วยลูกผสมงั้นเหรอ?


 


ชูฮันยกเท้าขึ้นและก้าวเดินไปที่หาผู้ลี้ภัยข้างหน้าที่ยังคงสำลักออกมาเป็นเลือดอยู่ ชูฮันมองคนคนนั้นด้วยสายตาดิ่งลึกและเอ่ยปาก “นายควรจะขอบคุณศพพวกนี้ ไม่อย่างนั้นนายก็คงตายไปตั้งแต่นัดแรกแล้ว”


 


อาวุธของเฉินช่าวเย่ไม่ใช่ปืนไรเฟิลธรรมดา หากคนทั่วไปมายิงปืนนี้แรงหดตัวดีดกลับของปืนอาจทำให้คนคนนั้นแขนหักได้ แต่ไม่ใช่เฉินช่าวเย่ที่เป็นพรสวรรค์และมีคุณสมบัติทางกายภาพที่ดีเริศกับการใช้อาวุธนี้ อีกอย่างอาวุธนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเฉินช่าวเย่โดยเฉพาะ ทว่าถึงแม้จะเป็นเฉินช่าวเย่หากใช้งานมากๆก็อาจส่งผลได้เช่นกัน


 


เติ้งเวยป๋อสะบัดศีรษะจากนั้นก็จ้องไปที่ชูฮันที่อยู่ตรงหน้าและเมื่อเขาได้เห็นตราตำแหน่งพลเอกบนหน้าอกชูฮัน แววตาเบื้องหลังแว่นตาของเติ้งเวยป๋อก็ยิ่งเคียดแค้นขึ้นกว่า เติ้งเวยป๋อไม่ปริปากพูดแต่ท่าทางแสดงออกชัดว่าเดือดดาล


 


สายตาของชูฮันจับจ้องไปที่บริเวณปากแผลของเติ้งเวยป๋อที่มีเนื้อปริ้นออกมาและเลือดที่ไหลออกมาตรงหน้าอก น้ำเสียงของชูฮันมีร่องรอยของความผิดหวัง “ถ้านายจะไม่ทำเรื่องดีๆ นายก็ไม่ควรไปร่วมมือกับพวกลูกผสม?”


 


ชูฮันตกใจมากเมื่อตอนที่ได้ยินข้อมูลนี้จากหวังไค ถึงแม้เติ้งเวยป๋อจะเป็นคนชั่วร้ายแต่เขามั่นใจว่าเติ้งเวยป๋อไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น นี่มันเกิดอะไรขึ้นในชาตินี้ถึงทำให้เติ้งเวยป๋อไปร่วมมือกับลูกผสมได้?


 


“ทำไมน่ะเหรอ?” เติ้งเวยป๋อไอออกมาเป็นเลือด น้ำเสียงมัวหม่น “มึงถามฉันว่าทำไม? มึงไม่รู้เหรอไง!?”


 


ชูฮันย่นคิ้ว ขณะพยายามรำลึกถึงข้อมูลของเติ้งเวยป๋อ เขานึกย้อนกลับไปที่ข้อมูลที่หวังไคขโมยมาให้ ต้องขอบคุณการสืบสวนก่อนหน้านี้ของหลิวยู่ติงจึงทำให้เขารู้ทิศทางห้องเก็บข้อมูลและให้หวังไคเข้าไปหาข้อมูงให้เขา และก่อนหน้านี้แผ่นกระดาษที่ชูฮันอ่านอยู่ก็คือข้อมูลของร้อยโทฟางเฉิง เมื่อสามเดือนก่อนร้อยโทฟางเฉิงตายในพื้นที่ร่ำรวยภายในบ้านของตัวเอง ส่วนตัวฆาตรกรนั่นไม่สามารถระบุตัวได้ ลูกชายที่ชื่อฟางหลงและเติ้งเวยป๋อที่มาอาศัยอยู่ด้วยได้หายตัวไป และมันก็มีประวัติเล็กน้อยของฟางหลงเมื่อตอนที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 1


 


“นี้มันเกิดบ้าอะไร?!”


 


และในขณะที่ชูฮันกำลังขบคิดในหัวอยู่ มันก็มีเสียงที่ดังกว่าเสียงผู้คนที่ล้อมวงอยู่ขึ้นมาพร้อมกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “ใครให้พวกแกมาที่นี้?!” ทุกคนรีบกระจายตัวทันทีเมื่อเห็นว่ามีทหารมาจัดการแล้ว “แก! บอกฉันมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น…เอ่อ! ท่านเฉินช่าวเย่!”


 


“หุบปากซะ!” เฉินช่าวเย่แค่นหัวเราะ “กลับไปซะ! หมุนตัวกลับไปและทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”


 


“ครับ!” ไม่เหมือนกับท่าทางเย่อหยิ่งและเสียงดังวุ่นวายก่อนหน้านี้ คราวนี้กลุ่มทหารตอบเสียงรับกันอย่างพร้อมเพรียง


 


ซึ่งแตกต่างจากความเย่อหยิ่งและความวุนวายก่อนหน้านี้ ในครั้งนี้คือกลุ่มนายทหารตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง


 


ชูฮันไม่คิดจะสนใจผู้คนรอบนอกบ้าน เขามองเติ้งเวยป๋อที่นอนอยู่ที่พื้น เสียงของเขาแผ่วเบาหากเต็มไปด้วยการกดขี่ “เห็นแก่ที่เราเคยนับถือกันเป็นพี่น้องและฉันจะไม่ยุ่งเรื่องลูกผสม แต่นายต้องบอกฉันว่าฟางหลงอยู่ไหนและใครตาย?”


 


“เฮอะ! พี่น้อง!” อย่างไม่คาดคิดเติ้งเวยป๋อแค่นหัวเราะออกมาจากนั้นก็แหกปากใส่ชูฮันอย่างน่าสยดสยอง “ไปตายซะไอ้เ*ย! กูจะฆ่าพี่แม่มึงให้หมด! พวกมึงทั้งหมดมันน่ารังเกียจ!”


 


คิ้วของชูฮันกระตุก เขามองลึกลงไปที่หน้าของเติ้งเวยป๋อ น้ำเสียงของชูฮันให้สัมผัสถึงความหนาวเหน็บ “ฟางหลงเป็นวิวัฒนาการ และฉันเป็นวิวัฒนาการ แต่นายไม่ใช่ แล้วพอหลังจากฆ่าครอบครัวของฟางหลงแล้วยังไง หลบหนี?”


 


สำหรับเรื่องนี้ ชูฮันกำลังคิดถึงเหตุผลที่ทำไมเติ้งเวยป๋อถึงสามารถเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้และมาได้ถึงจุดนี้


 


ในแววตาของเติ้งเวยป๋อมันมีสัมผัสของความเย็นชา พร้อมกับร่องรอยของความลำบากและไม่พอใจ “มึงนี่ฉลาดนะ กุละแปลกใจทำไมมึงถึงทำข้อสอบมหาลัยไม่ได้?”


 


“แกฆ๋าฟางหลง?” แววตาของชูฮันเริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ


 


เติ้งเวยป๋อเผยฟันเหลืองอ๋อยออกมาและจ้งองชูฮันด้วยสายตาไม่พอใจอย่างสุดขีด “มึงและฟางหลง ทำตัวฉลาดได้เรียนมหาลัยหมิงชิว ไอ้มหาวิทยาลัยระดับสองแบบนั้นที่ทุกเทอมพวกมึงก็เอาแต่นั่งเล่นเกมส์กัน แต่พอเกิดการปะทุกูที่พยายามแทบตายกลับเป็นได้แค่พี่เลี้ยงคอยดูเอาใจมัน แต่พวกมึงที่ไม่ได้ทำห่าอะไรเลยกลับได้เป็นวิวัฒนาการ?”


 


ชูฮันมองเติ้งเวยป๋อที่มีสีหน้าไม่พอใจ คนตรงหน้านี้ดูไม่ใช่เติ้งเวยป๋อเพื่อนที่เขาคุ้นเคย แน่นอนว่าเติ้งเวยป๋อมีศักยภาพที่จะกลายเป็นพรสวรรค์ได้ สถานการณ์ของเติ้งเวยป๋อตอนนี้น่าจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับบูชาเมื่อก่อน…ยังไม่ได้รับการกระตุ้น


 


บางทีอาจเป็นเพราะเติ้งเวยป๋อไม่รู้ว่าการกลืนคริสตัลสามารถช่วยกระตุ้นพลังของพรสวรรค์ให้แสดงออกมาได้ แถมเติ้งเวยป๋อก็ไม่กล้าที่จะลองอีก แต่ถึงอย่างไรก็ตามเติ้งเวยป๋อได้ทำผิดบรรทัดฐานคุณธรรม เขาร่วมมือกับลูกผสมฆ่ากลุ่มผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่รอบๆเพื่อเป็นอาหารให้ลูกผสม ถ้าเป็นคนอื่นชูฮันคงเอาขวานสับไปแล้วไม่มาเสียเวลาให้พล่ามอะไรไร้สาระแบบนี้เด็ดขาด!


 


เติ้งเวยป๋อไม่รู้ถึงความคิดของชูฮันและยังคงแหกปากตะคอกใส่ชูฮันต่อ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งขยะอย่างแกที่ไม่มีค่าอะไรเลยในยุคก่อน แต่ตอนนี้กลับอยู่ในรายชื่อเสาหินแถมยังได้ตำแหน่งพลเอกอีก? แกมันไอ้เวรตะไล! ทำไม!”


 


ชูฮันไม่ต้องการเสียเวลากับเติ้งเวยป๋อที่กลายเป็นคนแปลกหน้าคนนี้ต่ออีก ชูฮันเพียงก้มหน้าลงเล็กหน้าและถาม “นายมีลูกผสมสองตัวอยู่ในบ้าน อีกตัวอยู่ไหน?”


 


“แกถามฉันว่ามันอยู่ไหนงั้นเหรอ?” เติ้งเวยป๋อไม่ตอบคำถามของชูฮัน เขาดันตัวยกขึ้นมาพร้อมกับส่งยิ้มยั่วยุให้ แววตาของเติ้งเวยป๋อทำให้หัวใจของชูฮันกระตุก “มันอยู่ในห้องเนี่ยแหละ”

 

 

 


ตอนที่ 413

 

อยู่ในห้องนี้?


 


ชูฮันสูดลมหายใจเข้าและกวาดสายตามองรอบๆ ภายในบ้านนี่แออัดและเล็กมากจนสามารถมองเห็นทุกอย่างภายในการมองครั้งเดียว นอกเหนือจากศพคนในบ้านมันไม่มีพื้นที่เหลือให้ใครอยู่ในบ้านได้อีกแล้ว


 


“เหอะ! แกไม่มีทางหาเจอ” เติ้งเวยป๋อมองชูฮันอย่างยั่วเย้า มุมปากที่แตกยิ้มอย่างกวนอารมณ์ “พลเอก วิวัฒนาการระยะ 3 มาสิ ขอร้องฉัน แล้วฉันจะบอกที่แก—-“


 


“ปัง!”


อย่างไม่ลังเล มีกำปั้นกระแทกเข้าที่หน้าของเติ้งเวยป๋อ ชูฮันมีแววตาเย็นยะเยือก เมื่อครั้งแรกที่เขามาบ้านหลังนี้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือด เขาเพียงแค่คิดว่าเติ้งเวยป๋ออาจจะฆ่าคน มันไม่มีอะไรให้พูดมากด้วยเพราะการฆ่าคนในโลกาวินาศไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ใครไม่เคยทำ? แต่ตอนนี้ถ้าสังเกตดีๆจะสัมผัสได้ว่ากลิ่นเลือดมันอบอวลแค่อยู่ในตัวบ้านเท่านั้นและมันมาจากจุดๆเดียว!


 


“มึง ขอให้แม่มึงตายห่า! ไอ้สั*—“


 


“ปัง!” อีกหมัดกระแทกเข้า มือของชูฮันสั่นเล็กน้อยขณะจ้องไปที่หน้าของเติ้งเวยป๋อที่บวมช้ำ สายตาของชูฮันจับจ้องไปที่แผ่นกระดานไม้ที่พื้นห้อง เขาจำได้ว่าตอนที่เขามาครั้งที่แล้วเติ้งเวยป๋อนั่งไขว้ขาอยู่บนแผ่นกระดานไม้นี่ไม่ขยับ แม้แต่ตอนที่เขากำลังจะกลับเติ้งเวยป๋อก็ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาจากตรงนั้น


 


มีอะไรซ่อนอยู่ภายในแผ่นกระดานไม้กันแน่?


 


ทันใดนั้นชูฮันก็ไม่กล้าที่จะมองแผ่นกระดานไม้นั่นต่อ เขาหันหน้าไปมองหน้าที่บวมเฉ่งของเติ้งเวยป๋อที่ถูกเขาอัดจนฟันร่วงไปหลายซี่แล้ว จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “แกร่วมมือกับลูกผสมและยังกินเนื้อมนุษย์สดๆ เป็นไปไม่ได้แล้วที่ชีวิตนี้แกจะได้เป็นพรสวรรค์ นี่เป็นทางที่แกเลือกเอง”


 


กริ๊ง! ทันใดนั้นก็มีกริชถูกโยนลงไปตรงหน้าเติ้งเวยป๋อ โดยไม่สนใจตาที่เบิกกว้างด้วยความช็อคของเติ้งเวยป๋อ น้ำเสียงของชูฮันเย็นชาและไร้ความเมตตา “จัดการตัวเองซะ”


 


“เดี๋ยว! อะไรน่ะ? พรสวรรค์?” เติ้งเวยป๋อช็อคพร้อมกับจ้องตาชูฮันอย่างสับสน “พรสวรรค์ แบบเฉินช่าวเย่ เฉินช่าวเย่ใช่มั้ย?”


 


“ไม่! ไม่นะ!” เติ้งเวยป๋อมองไปรอบๆอย่างวิตกกังวลและเมื่อเห็นศพมนุษย์รอบๆตัวก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว “ฉันกินไปแค่คำเดียวเท่านั้น แค่คำเดียว ไม่! ฉันจะไม่กลายเป็นลูกผสม! พรสวรรค์สิ! ฉันต้องเป็นพรสวรค์ ฮ่าฮ่าฮ่า! ใช่!”


 


จู่ๆเติ้งเวยป๋อก็หยิบกริชบนพื้นขึ้นมา กระเด้งตัวขึ้นและตะคอกใส่ชูฮัน “มึงตายซะ! ทำไมมึงไม่บอกกูก่อนหน้านี้! กูกินเนื้อมนุษย์สดๆไปแล้ว ทำไมก่อนหน้านี้มึงถึงไม่พูด นี่มันเป็นความผิดของมึง!”


 


ในแววตาของชูฮันไม่มีอารมณ์อะไรแสดงออกเลย เขาไม่รู้ว่าเติ้งเวยป๋อได้กินเนื้อมนุษย์เข้าไปแล้วด้วยซ้ำเขาก็แค่พูดเดาไป แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้ว


 


“ปัง!”


ชูฮันเตะเท้าเข้าใส่เติ้งเวยป๋อ ในสายตาของชูฮันการเคลื่อนไหวของเติ้งเวยป๋อไม่มีอันตรายใดๆต่อเขาเลย ไม่ต้องพูดถึงเติ้งเวยป๋อที่อยู่ห่างจากเขาไปหนึ่งเมตรต่อให้อยู่ข้างตัวเขาแต่ด้วยความเร็วแบบนี้มันไม่เป็นภัยต่อเขาอยู่แล้ว


 


เขาแค่ ผิดหวังอย่างมาก!


 


เติ้งเวยป๋อที่ปลิวไปตามแรงเตะของชูฮันกระเด็นไปกระแทกเข้ากับแผ่นกระดานไม้อย่างแรงจนมันเปิดออก และในตอนนั้นเองภาพที่อยู่ข้างใต้แผ่นกระดานที่ปิดไว้ก็ถูกเปิดเผยออก


 


ชูฮันได้เห็นภาพนั้นภายในพริบตาเดียว หลังจากนั้นเขาก็หยุดชะงักหัวใจเต้นระรัวอย่างรุนแรงราวกับจะระเบิดออกมา แม้แต่หวังไคที่อยู่ในมุมก็ยังกลัวจนขนหัวลุก


 


คนคนนี้ถูกตัดแขนขาออก ร่างซูบผอมจนเหลือแต่โครง มีเลือดไหลท่วมพร้อมกลิ่นคาวคละคลุ้ง หน้าตาก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ลิ้นถูกตัดออก หน้าตาย่ำแย่ มีผมสีดำสนิท!


 


ภาพที่น่าสยดสยองนี้ให้ความรู้สึกอ่อนแอและความเศร้าโศก คนคนนี้คือฟางหลงและเขาตายแล้ว


 


เขาถูกทรมานอย่างโหดร้ายโดยมนุษย์กันเอง! โดนทรมานจนตาย!


 


“ค่อก! ค่อก!” เติ้งเวยป๋อที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นสำลักด้วยความเจ็บ ตอนนี้ซี่โครงเขาน่าจะหักไปหลายซี่ได้แล้ว


 


เมื่อมองไปที่อดีตเพื่อนร่วมห้องที่ถูกทรมานจนตายและอีกคนที่กลายเป็นขาดมนุษยธรรม ทันใดนั้นจู่ๆชูฮันก็รู้สึกหมดแรง แผนการแรกของเขาคือตามหาพ่อแม่ และค่อยมาซางจิงเพื่อช่วยเพื่อนสองคนทีหลังเพราะมันใช้เวลาสองปีหลังการปะทุกว่าจะเกิดสงครามขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะตาลปัตรกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้


 


แล้วฟานฮงเหวียนล่ะ?


 


ทันใดนั้นชูฮันก็ตื่นตัว ฟานฮงเหวียนจะยังเป็นเหมือนกับเหอซางมั้ย?


 


ชูฮันไม่สนใจจะดูเติ้งเวยป๋ออีก เขาหมุนตัวเดินออกไปจากบ้านและมองออกไปที่ท้องฟ้าสีเทาด้านนอก เขารู้สึกหัวใจเหมือนถูกกดทับ นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับโลกนี้กัน!


 


“หัวหน้า?” เฉินช่าวเย่ร้องขึ้นมาทันที


 


ชูฮันเหลือบมองเฉินช่าวเย่ สายตากวาดมองไปที่ไหล่ของเฉินช่าวเย่ “มือไม่หักเหรอ?”


 


“โอ้ ไม่เป็นไร!” เฉินช่าวเย่ตอบ


 


พ้ะ!


ปืนพกธรรมดาถูกยัดใส่มือเฉินช่าวเย่ทันที ตามมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ของชูฮัน “มีคนอยู่ในบ้าน นายจัดการซะ แต่ไม่ต้องบอกผลลัพธ์ให้ฉันรู้”


 


เฉินช่าวเย่มองปืนที่ชูฮันส่งมาให้ ไม่ต้องบอกผลลัพธ์แต่ส่งปืนมาให้ หัวหน้าหมายความว่ายังไง?


 


ชูฮันไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของเฉินช่าวเย่และเดินหนีไปทันที


ตอนนี้ฝูงชน ณ จุดเกิดเหตุได้ถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ทหารที่ยืนประกบอยู่ทั้งสองฝั่งเมื่อเห็นชูฮันที่กำลังเดินเข้ามาก็ตื่นเต้นและรีบแสดงท่าวันทยาหัตถ์พร้อมตะโกน ‘พลเอก’ ดังอย่างพร้อมเพรียง หากชูฮันกลับไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอยู่ที่นี้ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว


 


“ปัง!” มีเสียงปืนดังตามหลังมา


 


มันไม่ได้ดังสนั่นด้วยเพราะตรงนี้มีเสียงดังวุ่นวาย มันเป็นแค่เสียงปืนพกทั่วไปแต่ชูฮันที่เป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 4 สามารถได้ยินมันชัดเจน เขาก้าวเท้าก้าวใหญ่เดินต่ออย่างไม่คิดจะหันหลังกลับ


 


หมวกทหารได้ปิดบังหน้าเขาไปกว่าครึ่งมันปิดดวงตาดำสนิทและสายตาที่เย็นชาของเขาไว้ ต่อให้เติ้งเวยป๋อจะกินเนื้อมนุษย์และถึงแม้เติ้งเวยป๋อจะร่วมมือกับลูกผสม ชูฮันก็มีหนทางเป็นล้านที่จะปล่อยให้เติ้งเวยป๋อมีชีวิตรอดต่อไป เขายังหาเหตุผลได้อีกเป็นหมื่นที่จะไม่ฆ่าเพื่อนทิ้ง


 


แต่เมื่อเขาได้เห็นร่างของฟางหลง ชูฮันก็รู้ได้ทันทีว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขาเป็นเรื่องตลก!


 


“หยุดตรงนั้น นี้มันเกิดอะไรขึ้นที่นี้!” ทันใดนั้นมันก็เสียงดังมาจากข้างหน้าชูฮัน เจ้าหน้าที่ที่แต่งตัวอย่างเรียบร้อยรีบมุ่งหน้าและทันใดนั้นเขาก็ได้สบตากับชูฮัน “ใช่! นี่คือพลเอกชูฮันใช่หรือไม่? ท่านเข้ามาในพื้นที่ผู้ลี้ภัยนี้ได้ยังไง?”


 


คนคนนี้คือร้อยเอกเหมิงไซ กัปตันของพื้นที่ผู้ลี้ภัยในค่ายซางจิง เขาอายุ 30 ปีและมีอำนาจไม่น้อยเลยทีเดียว


 


ชูฮันเพียงเหลือบตามองเหมิงไซด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เหมิงไซเข้ามาขัดขวางชูฮันไม่ให้เดิน ใบหน้าของเหมิงไซดูวิตกกังวลหากสายตากลับแสดงออกถึงเจตนาที่ไม่ดี “ท่านพลเอกชูฮัน ถึงแม้ท่านจะเป็นพลเอก แต่กฏหมายและข้อบังคับภายในพื้นที่ผู้ลี้ภัยอยู่ภายใต้การควบคุมของผม ผมได้ยินคนพูดกันว่ามีลูกผสมอยู่ที่นี้? เพื่อที่จะสืบสวนหาสาเหตุของเหตุการณ์ในครั้งนี้และเพื่อป้องกันไม่ให้พลเอกชูฮันถูกเข้าใจผิดว่าร่วมมือกับลูกผสม กรุณาไปดูการสืบสวนด้วยกันกับผม”


 


“โอ้ย ท่าน!” ปัง!


ชูฮันชกหน้าเหมิงไซทันทีจนหมิงไซกระเด็นปลิวไกลออกไปห้าเมตรและกระแทกเข้ากับผนังกำแพงด้านหลัง


 


คนกำลังอารมณ์ไม่ดี!


ตรวจสอบมึงสิ เข้าใจผิดมึงสิ!

 

 

 


ตอนที่ 414

 

เหมิงไซเป็นเพียงแค่วิวัฒนาการระยะ 2 และเมื่อโดนพละกำลังของชูฮันที่เป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 4 เขาจึงกระแทกอัดกับกำแพงจนเป็นรู เศษอิฐร่วงลงพื้นและปลิวกระจายตัวในอากาศ


 


กลุ่มผู้ชมและนายทหารต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจออกมาพลางจ้องไปที่ชูฮันด้วยความกลัว พลเอกที่พึ่งแต่งตั้งใหม่นี่เผด็จการมาก!


 


เหมิงไซตะลึงค้างและถามตัวเองในใจ เขาไม่ได้ทำอะไรให้ชูฮันต้องทำร้ายกันเลย ถึงแม้เขาจะมีความคิดไม่ดีและต้องการหาเรื่องชูฮัน แต่เรื่องแบบนี้มันมีทางแก้ไขไม่เห็นจำเป็นต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้!


 


เหมิงไซทำอะไรไม่ถูกแถมยังรู้สึกเจ็บตรงคางที่น่าจะหักอีก ชูฮันแค่ควรจะถามว่าเขาต้องอะไรเพื่อจบเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอไง? เขาก็ทำแบบนี้เสมอกับคนอื่น ใครจะไม่รู้ว่าเขาคือกัปตันของพื้นที่ผู้ลี้ภัย? แต่นี่ชูฮันไม่ไว้หน้าเขาเลย พึ่งจะได้รับการแต่งตั้งก็ทำกับเขาแบบนี้ มันกล้ามาจากไหน?


 


ในเขตพื้นที่นี้อำนาจของชูฮันน้อยกว่าเขา ถือเป็นคนนอก!


 


“ชูฮัน!” เมื่อนึกถึงชูฮัน ความโกรธของเหมิงไซก็ยิ่งปะทุ “อย่าคิดว่าแกเป็นพลเอกแล้วจะทำอะไรก็ได้! คิดว่าแกใหญ่สุดในซางจิงเหรอไง? ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกสิ้นดี! หน้าขายหนาชะมัด คนนอกพื้นที่กล้าทำแบบนี้กับฉัน! ถ้าวันนี้แกไม่ตายก็อย่ามาเรียกฉันว่าเหมิงไซเลย!”


 


ชูฮันยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันเมื่อได้ฟังแบบนั้น ก้าวเท้าสองสามก้าวเข้าไปพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับปีศาจจากขุมนรก “หลังจากนี้อีกครึ่งชั่วโมง แกลองพูดแบบนี้ดูอีกสิ”


 


“อะไรน่ะ?” เหมิงไซไม่เข้าใจความหมายของคำพูดของชูฮัน แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไร พอเหมิงไซหันหน้าไปมันก็มีมือยื่นมาตรงหน้าแล้ว—–


 


ผั้วะ!


หมัดกระแทกเข้าหน้าเหมิงไซ ชูฮันลากเหมิงไซออกไปเหมือนกับซากหมา ด้วยความเร็วสุดขีดร่างของเหมิงไซที่โดนลากไปขูดกับพื้นอย่างน่าสงสาร เนื้อที่ขูดกับพื้นจนเละและเลือดที่ไหลยาวเป็นทางตามรอยลากอย่างน่าสยดสยอง


 


“เดี๋ยว! ปล่อยฉันไป! อ๊ากกกก! แกจะทำอะไร—–“


 


“ปัง!” ขากรรไกรล่างของเหมิงไซแตกละเอียด


 


———-


 


ภายในเมืองชั้นใน ในห้องประชุมของซางจิง การประชุมดำเนินมาได้ครึ่งทางแล้ว ทุกคนกำลังถกเถียงเรื่องสำคัญบางอย่างอย่างเคร่งเครียด


 


“รายงานครับ” ทันใดนั้นก็มีนายทหารคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาในห้องประชุมและขัดทุกคนที่กำลังถกเถียงกันอยู่ น้ำเสียงของนายทหารคนนั้นตระหนกอย่างมาก “ทีมตรวจสอบได้ส่งข้อความมาว่าเกิดความวุ่นวายขึ้นในพื้นที่ผู้ลี้ภัยครับ ผู้กระทำผิดคือพลเอกชูฮันและเฉินช่าวเย่!”


 


“อะไรน่ะ?”


 


ทุกคนส่งเสียงร้องตกใจพลางผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ชูฮันออกจากการประชุมไปกลางคันเพื่อไปก่อความวุ่นวายในพื้นที่ผู้ลี้ภัยเนี่ยนะ?


 


“ขอข้อมูลเจาะจงกว่านี้!” สีหน้าของผู้บัญชาการมู๋ไม่สู้ดีนัก ชูฮันรีบหุนหันออกไปกลางการประชุมซึ่งมันสร้างความประทับใจไม่ดีให้แก่ทุกคน และไม่นานหลังจากนั้นก็ยังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น นี่มันอะไรกัน?


 


นายทหารที่เข้ามารายงานสถานการณ์กลืนน้ำลายพลางพูดอย่างตระหนก “ข้อมูลเจาะจงยังคงต้องได้รับการตรวจสอบจากกัปตันเหมิงไซของพื้นที่ผู้ลี้ภัยครับ แต่จากที่ผมได้ยินมา เฉินช่าวเย่ได้ใช้ปืนไรเฟิลซุ่มยิงพิเศษครับ”


 


“อวดดี!” ฝ่ายต่อต้านชูฮันรีบเสนอตัวต่อว่าขึ้นมาทันที ตบมือกระแทกโต๊ะอย่างไม่พอใจตัวสั่นเทิ้มอย่างโกรธจัด “นี่เป็นการกระทำที่หยิ่งผยองเกินไปแล้ว!”


 


“พวกนอกคอก!” ฝ่ายต่อต้านอีกคนมีท่าทีเดือดดาลตะโกนขึ้นมาด้วยท่าทางที่ไม่พอใจอย่างมาก “ตั้งแต่ที่ชูฮันมาค่ายซางจิงไม่มีสักวันที่ค่ายของเราจะสงบสุข! และไม่ใช่แค่นั้นตอนนี้แม้แต่เฉินช่าวเย่ก็ยังถูกชูฮันล่อลวงไปด้วย!”


 


สองคนมีอำนาจพูดหลอกล่อ ชักนำ คนอื่นๆเองเมื่อได้ยินก็เห็นด้วยและลงเรือผสมโรงตะโกนแสดงความไม่พอใจออกมากันไม่หยุด


 


“จริงด้วย ถ้าเราไม่ลดขั้นตำแหน่งของคนแบบนี้ เขาก็จะสร้างปัญหาแบบนี้ขึ้นมาอีกไม่หยุด”


 


“เฉินช่าวเย่และอาวุธนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว! ตั้งแต่ที่อาวุธนั้นถูกสร้างขึ้นมา นอกเหนือจากสนามยิงปืนเพื่อการทดสอบแล้ว ปืนนี้ไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ภายในค่ายซางจิง พลังทำลายล้างของมันทรงอนุภาพเกินไป ถ้าไม่มีคนควบคุมไว้มันจะพาอันตรายที่ใหญ่หลวงมาได้!”


 


“นี่มันผยองเกินไปแล้ว เอาอำนาจของกองทัพไปอวดเบ่งในพื้นที่ผู้ลี้ภัยต่อสายตาผู้คน! พวกเขาคิดจะทำอะไรที่พื้นที่ผู้ลี้ภัย? หรือต้องการทดสอบพลังของอาวุธชิ้นใหม่?”


 


“หึ! สำหรับชูฮัน ทหารไม่เคยได้รับการฝึกอบรม มันจะมีจุดประสงค์อะไรล่ะ! ทนรอที่จะได้เห็นอาวุธใหม่ของเฉินช่าวเย่ไม่ไหวละสิ!”


 


“เฮอะ! คงมองว่าชีวิตของผู้ลี้ภัยไม่มีค่าอะไร ช่างมีความคิดดีเหลือเกิน กาฝากแบบนี้น่ะเหรอที่เหมาะจะเป็นพลเอก?”


 


ขณะที่หลายคนกำลังต่อว่าและดูถูกชูฮันอย่างรุนแรง จู่ๆมันก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นตามมาด้วยนายทหารอีกคนที่วิ่งเข้ามาในห้องประชุม


 


“รายงานครับ!” นายทหารนายนั้นยังคงหอบหายใจหนักหน่วง “มีลูกผสมปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ผู้ลี้ภัย!”


 


เฮือก! เกิดเสียงกระแทกของโต๊ะ เก้าอี้ ถ้วย ต่างดังขึ้นทันทีเมื่อได้ยินการรายงานที่ยังไม่ทันจบดี ก่อนหน้านี้พวกเขาต่อว่าด่าทอโจมตีชูฮันกันอย่างไม่มีดีเหลือ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างวิตกกังวล แหกปาก โวยวาย ส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว


 


“ลูกผสม? ในค่ายซางจิงมีลูกผสมได้อย่างไร!?”


 


“จำนวนเท่าไหร่? อันตรายมากมั้ย? ค่ายซางจิงจะล่มมั้ย?”


 


“มันจบแล้ว! หนีเร็ว!”


ผู้บัญชาการมู๋มองไปที่กลุ่มคนที่กำลังแตกตื่น เมื่อได้ยินว่ามีลูกผสมเข้ามาในซางจิงทุกคนก็กลายเป็นหนูติดจั่น นี่ทุกคนเป็นถึงนายทหารระดับสูงของซางจิงทั้งนั้น แล้วแบบนี้เขาจะไว้ใจให้คนพวกนี้ดูแลซางจิงได้อย่างไร?


 


“ปัง!”


เกิดเสียงดังสั่นสะเทือนขึ้นบนโต๊ะ


 


ผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงต่างมองไปทางที่มาของเสียงอย่างพร้อมกัน คนที่ตบโต๊ะดังสนั่นนั้นก็คือเหอเฟิงนั่นเอง เหอเฟิงในตอนนี้มีสีหน้าคร่ำเครียด


 


ฉางกวนหลงและตวนเจียงเหว่ยที่มีตราตำแหน่งระดับเดียวกันประดับอยู่ตรงหน้าอก เมื่อได้เห็นเหอเฟิงกระทำการแบบนี้ ทั้งคู่ต่างมองเหอเฟิงไปด้วยสายตาแปลกๆ


 


“หุบปาก!” เสียงของเหอเฟิงเย็นชา เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าผู้บัญชาการมู๋ที่อยู่ข้างๆ เหอเฟิงแหกปากใส่เหล่าทหารในห้องประชุม “รายงานต่อสิ”


 


ทุกคนต่างตะลึงกับน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากของเหอเฟิงที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ทุกคนไม่แม้แต่จะสนใจและโต้เถียงกลับเหอเฟิงทันที กล้าดียังไงมาสั่งพวกเขา ไอ้ทหารหนุ่มคนนี้มันหมดอนาคตแล้ว


 


“มีลูกผสมปรากฏตัวในพื้นที่ผู้ลี้ภัยและมีเพียงแค่ตัวเดียวครับ” หลายคนที่ได้ยินประโยคนี้รีบถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ทว่าประโยคต่อไปที่นายทหารคนมาใหม่รายงานออกมาก็ทำให้หลายคนถึงกับจุกและเกิดอาการหวั่นวิตกขึ้นมา “ลูกผสมถูกกำจัดก่อนที่ผู้ตรวจสอบจะไปถึงครับ และมันเป็นฝีมือของพลเอกชูฮันและเฉินช่าวเย่ครับ และนี้ก็เป็นสาเหตุของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ผู้ลี้ภัยครับ เพราะเสียงดังจากปืนไรเฟิลของเฉินช่าวเย่ผู้คนก็เลยแตกตื่นกันครับ” นายทหารรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างอย่างชัดเจนเสียงดังฟังชัด


 


ปล่อยให้หลายคนก่อนหน้านี้ที่ต่อว่าชูฮันรู้สึกอับอายและเจ็บใจจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม