Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย 380-400

ตอนที่ 380

 

“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่รับการสนับสนุนจากสถาบันของเรา?” หลงหยวนเจียมองไปที่ซางจิ่วจี้ด้วยสายตาลึกลับ…เขาได้ปรับงื่อนไขเป็นจำนวนมากเพื่อให้แผนการทุกอย่างเป็นที่พอใจของซางจิ่วตี้ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงต่อต้านอยู่


 


“ฉันพูดในสิ่งที่ต้องพูดไปแล้ว ถ้าไม่ให้ความร่วมมือก็คือไม่ให้ความร่วมมือ” ซางจิ่วตี้โบกมือด้วยความรำคาญ “แม้แต่นายพลตรียังถูกฉันโยนออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ามาทำให้ฉันเสียเวลา คุณก็เห็นแล้วว่าสาเหตุที่คุณต้องการจะร่วมมือกับฉันไม่ได้อยู่ที่นี้ เข้าใจนะ”


 


หลงหยวนเจียรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ ผู้หญิงตรงหน้าเขานี้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่เขาก็ยังไม่ยอมเชื่อที่ซางจิ่วตี้บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชูฮัน แต่มันแปลกมันที่อีกฝ่ายเลือกจะปฏิเสธ เพราะสถาบันวิจัยของพวกเขานั้นมีความจริงใจและเชื่อถือได้มากกว่าค่ายซางจิงอยู่มาก


 


สำหรับซางจิ่วตี้ถึงแม้เธอจะปฏิเสธไปตรงๆ หากมันก็ยังดูน่าสงสัยสำหรับเธอเองเหมือนกัน…เรื่องการมาถึงของคนพวกนี้


 


ก่อนหน้านี้ชูฮันได้กล่าวกับเธอเอาไว้อย่างเฉพาะเจาะจงก่อนจะจากไป มันเป็นไปตามการคาดเดาของชูฮัน มันคือการขอร่วมมือและเงื่อนไขมันก็ดีมากๆ แต่ทำไมชูฮันถึงบอกให้เธอปฏิเสธมัน เธอไม่เข้าใจเลย


 


หลังจากหลงหยวนเจียจากไป ติงซือเย้ายังคงยืนอยู่ตรงประตูด้านนอก จู่ๆเขาก็พบว่ามันค่อนข้างยากจะเข้าใจได้…ซางจิ่วตี้โยนพลตรีที่มาจากซางจิงออกไปและปฏิเสธการร่วมมือจากสถาบันวิจัยลึกลับนั้น?


 


ทำไม?


 


“นายมาทำอะไรที่นี่?” ซางจิ่วตี้ที่เดินออกมาจากห้องคนเดียวเหลือบตามองติงซือเย้า น้ำเสียงของเธอยังคงแฝงไปด้วยร่องรอยความโกรธอยู่


 


ติงซือเย้าตกใจกับน้ำเสียงของซางจิ่วตี้ จากน้ำเขาก็พูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ฉันจะเชื่อมั่นในตัวคุณได้ยังไง? คนจากซางจิงจะไม่ยอมร่วมมือกับเราอีก แถมคุณยังกล้าชิงของๆพวกเขามาอีก คุณเป็นโจรเหรอไง?”


 


ซางจิ่วตี้พยักหน้าจากนั้นก็พูดบางอย่างที่มีเลศนัยออกมา “นายพูดถูกแล้ว เมื่อนึกถึงปัญหามากมายที่เกิดจากวิธีการคิดของชูฮัน”


 


ติงซือเย้าถามต่อ “คิดแบบไหน?”


 


“อะไรแบบไหน?” ริมฝีปากของซางจิ่วตี้มีรอยยิ้มที่แทบมองไม่เห็นปรากฏขึ้น “อย่าสนใจเลย!”


 


“นี่มันไปกันใหญ่แล้ว มันจำเป็นต้องหักหน้ากันขนาดนั้นเลย?” ติงซือเย้าไม่เข้าใจ “มันไม่เป็นอะไรที่จะจัดการลูกผสมกับซอมบี้ แต่ได้โปรดให้ความร่วมมือกับคนอื่น ไม่ว่าจะทั้งพลตรีหรือสถาบันวิจัย คุณปฏิเสธหมดทุกอย่างเลย นี้มันเกี่ยวข้องกับค่ายทั้งค่าย ทำไมคุณถึงหุนหันพลันแล่นแบบนี้?”


 


“นี่ค่ายนี้เป็นของฉันหรือของนาย?” ซางจิ่วตี้ขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับติงซือเย้า เธอพูดกดติงซือเย้าไว้ด้วยคำไม่กี่คำ “ภารกิจของนายคือปกป้องคุณหยวนซีเย นายดูแลเรื่องของนายไปซะ ส่วนเรื่องการจัดการดูแลค่ายไม่เกี่ยวอะไรกับนาย อย่าเข้ามายุ่ง”


 


ติงซือเย้ามองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เธอเรียนรู้วิธีแบบนี้มาจากใคร ชูฮันรู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนี้แข็งขนาดนี้?


 


ซางจิ่วตี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอยู่ครู่หนึ่ง แผ่นหลังของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ โชคดีที่ชูฮันไม่ได้อยู่ที่นี้ไม่อย่างนั้นมันคงจะจัดการทุกอย่างได้ยาก


 


มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขับไล่พันตรีสิงโตที่บ้าคลั่งนั้น เพราะอีกฝ่ายอาจใช้โอกาสนั้นถอนตำแหน่งพลเอก ชูฮันจะยังรับตำแหน่งอยู่หรือไม่กันแน่ เธอก็ไม่อาจรู้?


 


แต่ถ้าชูฮันรับตำแหน่งล่ะ? ถ้าเช่นนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องยึดเสบียงและขับไล่พลตรีสิงโตไป


 


ผลกระทบทั้งหมดอาจมากกว่าเกินจะจินตนาการได้ ในตอนนี้ซางจิ่วตี้กำลังกังวลหากในขณะเดียวกันก็มีความสุข ไม่แปลกใจเลยที่ชูฮันต้องการทำให้ความสัมพันธ์กระจ่างในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้


 


ซางจิ่วตี้ได้แต่ช็อค…นี่ชูฮันเดาทุกอย่างล่วงหน้ามาถึงขั้นนี้ได้เลยเหรอ?


 


————


 


บนบนสายหลักเส้นหนึ่งที่ค่อนข้างไกลออกมาจากค่ายซางจิงพอสมควร ชูฮันเดินออกฝ่าท่ามกลางกองซากศพซอมบี้ที่เต็มไปด้วยเลือดสีดำของมันนองเจิ่งพื้นพร้อมกับขวานยักษ์สีดำที่ยังคงมีเลือดสีดำไหลย้อยหยดลงพื้นไม่หยุด ฝีเท้าของชูฮันที่เดินฝ่าออกมาจากกองศพอย่างมั่นคง แต่ละก้าวได้เหยียบลงบนกระโหลกของซอมบี้จนร้าวละเอียด


 


คนสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ถัดไปจากถนนมองไปภาพตรงหน้าพวกเขาที่มีภาพของซอมบี้จำนวนมากนอนตายอยู่บนถนน จำนวนของพวกมันยากเกินกว่าจะประเมิณได้ แถมมันยังมีซอมบี้ระยะ 3 อีกหลายตัวผสมปนอยู่ด้วย นี่มันมากพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนที่เห็นภาพแทบอยากจะวิ่งหนีไปทันที ฝูงซอมบี้ทั้งหมดถูกจัดการด้วยฝีมือของชูฮันคนเดียว


 


ชูฮันไม่สนใจอะไร เขาแค่บิดคอไปมาคลายเพื่อคลายความเมื่อย ในหัวของเขามีหวังไคที่กำลังคิดคำนวนข้อมูลอยู่ หวังไคได้กลายเป็นผู้ชายรอบด้านของชูฮันไปแล้ว


 


“ในเมื่อนายก็ได้เดาทางความคิดของอีกฝ่ายแล้ว ทำไมนายถึงต่อต้านการไปค่ายซางจิงตัวคนเดียว?” หวังไคแสดงผลลัพธ์ของข้อมูลให้ชูฮัน คะแนนที่รวบรวมได้ทั้งหมดในตอนนี้อยู่ที่ 20,000 คะแนน “เมืองอันลูไม่มีมันสมอง เพราะซางจิ่วตี้?”


 


“นายดูถูกเลขเก้าตัวน้อยเกินไป?” ชูฮันเป็นคนไม่ชอบยิ้ม “เธอเป็นอดีตสมาชิกของทีมเขี้ยวหมาป่าเหมือนกับป่ายหวีเนอ และเธอก็อยู่อันดับที่ 9  นายคิดว่าเธอจะธรรมดาแบบนั้นจริงๆเหรอ?”


 


“บอกฉันมาสิ” หวังไคดูเหมือนจะสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดในหัวชูฮัน “แล้วซางจิ่วตี้จะแก้ปัญหาวิกฤตนี้ยังไง? ฉันพยายามคิดวิเคาะห์หาทางที่ดีสุดแล้ว แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก”


 


“ความจริงแล้วมันมีอยู่ 2 ทาง” ชูฮันเหยียดนิ้วออกมา 2 นิ้ว “เลขเก้าตัวน้อยมีความสามารถ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับสภาพแวดล้อมที่มืดมนแบบนี้ ฉันคาดว่ามันน่าจะมีทั้งหนทางในการทำร้ายศัตรูและอย่างน้อยกูเสียตำแหน่งไป แต่ยังไงมันก็เป็นการป้องกันทั้งสองฝ่ายไปในตัว?”


 


“นายหมายถึง เรื่องหลอกลวงที่ฝั่งนั้นบอกว่าปลดตำแหน่งซางจิ่วตี้ใช่มั้ย?” แววตาของหวังไคเปล่งประกาย “วิธีนี้ดีมาก เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายก็จะกลับลำได้ยากมาก นี่มันดีที่สุดแล้ว? ตำแหน่งทางทหารที่น้อยลงก็ถือว่าเป็นการสูญเสีย ความจริงแล้วการไม่มีตำแหน่งก็ไม่ได้ส่งผลอะไรสักหน่อย?”


 


“ความเสียหายไม่ใช่ตำแหน่งที่ไม่มีทางถูกปลดของซางจิ่วตี้ แต่เป็นหยางเทียนและเจียงฮงหยูต่างหาก” แววตาของชูฮันดำสนิทราวกับน้ำหมึก “ถึงแม้อีกฝ่ายอาจจจะวุ่นวายไปพักหนึ่ง แต่มันก็ไม่ดีสำหรับเราที่จะเปิดเผยตัวตนของหยางเทียนและเจียงฮงหยู”


 


หวังไคถอนหายใจและพยักหน้าหลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ใช่ ฉันไม่รู้ว่าเราจะกลับไปที่เมืองอันลูได้รึเปล่า มันอาจจะมีกลุ่มคนมารอบสองอีกก็ได้หลังจากกลุ่มแรกกลับไป มันจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอนเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่ง แล้วทางแก้ไขปัญหาที่สองล่ะ?”


 


“ปัญหาที่สอง” รอยยิ้มบนใบหน้าของชูฮันแข็งค้างพลางเผยให้เห็นถึงอาการถอนหายใจ “มันง่ายมากๆ…ฆ่า”


 


“อะไรน่ะ?” หวังไคเกือบจะร้องออกมา “ฆ่า? ฆ่าคนที่ทำให้เกิดปัญหา?”


 


“ใช่ ฆ่า ฆ่าไม่เหลือแม้แต่กระดูก” สีหน้าของชูฮันเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ “ตอนนี้เป็นยุคของการสื่อสาร ทุกอย่างสามารถผลักดันให้ทุกคนกลายเป็นซอมบี้และลูกผสม อะไรคือโอกาส? จะปล่อยให้มีชีวิตรอดแล้วยังไงต่อล่ะ? รอให้มันกลับไปรายงานแล้วก็กลับมาใหม่พร้อมพรรคพวกในอีก 2 เดือน? การร่วมมือเหรอ…ตลกสิ้นดี ฉันต้องการทำงานกับพวกคนใหญ่โตในซางจิง ไม่ใช่พวกโง่เง่าที่เอาแต่คิดหาวิธีเพิ่มอำนาจ”


 


“ที่นายพูดมา มันก็ดูสมเหตุสมผล” หวังไคตกใจกับความรุนแรงของชูฮัน และวิธีการคิดที่สุดโต่งของเขา


 


“ถ้าในกรณีนั้น ทำไมนายถึงไม่พูดอะไรกับซางจิ่วตี้?”

 

 

 


ตอนที่ 381

 

นี่เป็นจุดที่หวังไคคิดไม่ตก “ทำไมนายไม่บอกหนทางที่สุดที่สุดให้เธอได้คิด นายคิดว่าเธอควรจะใช้มาตรการแรก นั่นไม่ใช่การสูญเสียเหรอ?”


 


“สองเหตุผล” ชูฮันยังคงยืดนิ้วออกมา 2 นิ้ว “ข้อแรก นายเองก็รู้ว่าฉันไม่เหมาะสมอย่างแรงกับการจัดการ  ในอนาคตเรื่องต่างๆทั้งหลายในค่ายยังคงขึ้นอยู่กับคนอื่นๆ ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น ฉันจะก็ฝึกฝนเก้าตัวน้อยไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งการปล่อยให้เธอได้แก้ปัญหาต่างๆด้วยตัวเองคือวิธีที่ดีที่สุดในการฝึกฝน  สุดท้ายแล้วเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่ดีมากในเรื่องนี้”


 


“ข้อสอง ซางจิ่วตี้จำเป็นต้องรีบแล้ว และเรื่องต่างๆก็เริ่มไต่ระดับขึ้นไปถึงจุดที่ฉันต้องจัดการด้วยวิธีสุดโต่ง ถึงแม้การแก้ปัญหาแบบครั้งเดียวจะสามารถช่วยจัดการปัญหาได้มากมาย แต่ฉันจะพลาดโอกาสในการฝึกฝนความสามารถของซางจิ่วตี้ให้พัฒนา ฉันเป็นหินลับมีดดีๆนี่แหละ!” ชูฮันถอนหายใจแต่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายสำหรับโอกาสนี้


 


หวังไคหวาดกลัวจนขนหัวลุก ความบ้าคลั่งที่เกินจะพรรณนาได้ของชูฮันทำให้หวังไคพูดอะไรไม่ออกอย่างสิ้นเชิง สถานการณ์มันช่างซับซ้อนและเต็มไปด้วยวิกฤตมากมาย ไม่เพียงแต่ซางจิ่วตี้จะโวยวายที่ต้องรับมือแล้วแต่คาดว่าคนต่างๆที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็จะตระหนักกันหมด


 


หวังไคคิด…นี่นายพึ่งคิดหาโอกาสในการขัดเกลาความสามารถของซางจิ่วตี้ขึ้นมาได้เหรอ?


ช่วยอย่าพูดมันด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายแบบนั้น มันฟังน่าขนลุกมากๆ!


 


ในตอนนั้นเองชูฮันก็ได้เดินพ้นผ่านกลุ่มผู้รอดชีวิตสิบกว่าคนที่ยืนตะลึงค้างอยู่ ชูฮันเดินผ่านตรงไปทางถนนหลัก หากจู่ๆเขาก็ชะงักฝีเท้าและมองไปที่คนสองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางถนนด้วยท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย


 


เด็กชายและเด็กหญิงที่ยังดูอายุน้อยอยู่ คาดว่าพวกเขาน่าจะอายุมากกว่าซงเสี่ยวไม่เยอะ พวกเขาดูสะอาดสะอ้านแถมยังใส่ผ้ารัดรูป มีอุปกรณ์เต็มตัวและถือมีดไว้ในมือ


 


บังเอิญที่ทั้งสองได้เห็นภาพซากศพที่เกินบรรยายของซอมบี้ด้านหลังชูฮัน  แต่ไม่เหมือนกับเหล่าผู้รอดชีวิตทั่วไป พวกเขาไม่มีสีหน้าอะไรมากมายบนใบหน้า และดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจกับภาพที่เกิดจากฝีมือชูฮันเท่าไหร่


 


“ปัญหาซอมบี้ แก้ไขเรียบร้อย” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ


 


“อืม ภารกิจเราถูกปล้น” เสียงของเด็กสาวที่มีความนิ่งสงบพอๆกัน หากคำพูดของเธอแฝงไปด้วยเล่ห์


 


ชูฮันตัดสินใจอย่างชัดเจน เขาเดินผ่านช่องว่างระหว่างสองคนนั้นไป  มันดูไม่มีมารยาท หากชูฮันไม่ได้เป็นกังวลอะไร


 


มันเป็นเรื่องน่าแปลกมากที่คนหนุ่มสาวสองคนนี้มาปรากฏตัวต่อหน้าชูฮันด้วยรูปลักษณ์นี้ แต่หลังจากได้ยินที่ฝ่ายเด็กชายเป็นคนเปิดปากพูดก่อน  ชูฮันก็จำได้ทันที


 


ดำและขาว


 


จุนจื่อและจุ้ยชู วิวัฒนาการทั้งสองที่แสนจะโด่งดัง มังกรและฟีนิกซ์…สมาชิกของทีมฮูหยา


 


จุนจื่อและจุ้ยชูถูกแยกออกจากกันด้วยขีดจำกัดพลังการต่อสู้ แต่ไผ่ตายที่ร้ายแรงที่สุดของทั้งคู่คือการร่วมมือกัน บางทีนั่นอาจจะเป็นที่มาของฉายามังกรและฟีนิกซ์ การเข้าใจกันและโดยแค่มองตาของทั้งคู่นั้นสูงถึง 99% และผลลัพธ์ของการปฏิบัติภารกิจก็มักจะเป็นที่น่าพอใจเสมอ พวกเขาคือเขี้ยวหมาป่า ไผ่ไม้ตายของทีม


 


น่าเสียดายภารกิจของเด็กสองคนนี้ถูกชูฮันที่ผ่านมาพอดีปล้นชิงไปก่อน


 


“ฉันควรทำอย่างไรดี?” จุนจื่อหันไปถามจุ้ยชูเพื่อถามความเห็น


 


“ภารกิจถูกปล้น ดำเนินการภารกิจต่อไป” เสียงของจุ้ยชูดังขึ้น ตามมาด้วยข้อสงสัย “คนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้ดูเหมือนจะเป็นชูฮัน”


 


“อายุ 20 ปี ทรงพลัง ไม่สนใครในสายตา อาวุธคือขวานสีดำ” จุนจื่อร่ายข้อมูลส่วนตัวของชูฮันออกมา “ฉันพูดถูกมั้ย?”


 


ชูฮัยยกยิ้มมุมปากขณะเดินอยู่บนถนน พวกนายช่วยกระซิบเวลาพูดเรื่องคนอื่นได้มั้ย เขายังเดินผ่านไปได้ไม่ไกลเลย!


 


“ดูเหมือนว่าหลายคนกำลังตามหาตัวเขาอยู่” จุ้ยชูพูดขึ้น


 


“พันโทตามหาเขามาหลายเดือนแล้ว” จุนจื่อเสริมประโยคขึ้นมา


 


“เอ่อ” จุ้ยชูกระซิบเบาๆ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เด็กตัวน้อยชะงักค้างและตกอยู่ในภวังค์ไปพักหนึ่ง


 


หลังจากประมาณ 5 นาทีผ่านไป จุนจื่อที่ชะงักไปก่อนหน้านี้ก็หันหน้ามากระพริบตาและเอ่ยปากถาม “พี่สาว เราต้องพาชูฮันกลับไปมั้ย?”


 


จุ้ยชูไม่ได้พูดอะไรตอบ ต้องการพาเขากลับมามั้ย? เธอไม่รู้!


 


“พี่สาว” จุ้ยชูที่สับสนไม่ต่างกัน “ซางจิงดูเหมือนจะส่งคนออกมากลุ่มใหญ่เพื่อตามหาชูฮัน เราได้เจอกับเขาหรือไม่เมื่อครู่นี้?”


 


ใบหน้าเล็กๆของจุ้ยชูเริ่มขึ้นสีแดง เธอทำตัวไม่ถูก “แต่—-แต่ภารกิจ?”


 


ทั้งสองอายุ 14 ปีในปีนี้ ทั้งคู่ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องราวอีกมากมายของโลกนี้ มันสำคัญที่ต้องพาตัวชูฮันกลับไปหรือปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ดังนั้นสมาชิกของเขี้ยวหมาป่าที่แข็งแกร่ง 2 คนนี้จึงสับสนว่าควรจะเลือกหนทางไหนดี ทั้งสองยืนอยู่บนถนนกว้างใหญ่เป็นเวลาพักหนึ่ง ท่ามกลางลมที่พัดผ่านไปมา


 


ปฏิบัติภารกิจและจี้ตัวชูฮัน อันไหนที่พวกเขาควรให้ความสำคัญ?


 


ชูฮันเดินหายตัวไปนานแล้วในจังหวะที่เด็กสองคนเอาแต่ขบคิดกันอยู่


 


————–


 


ในขณะนั้นเอง ณ ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิง และรอบๆเมืองใกล้ๆกับตัวค่าย ตราบใดที่มีผู้รอดชีวิต มันก็จะยังคงมีผู้คนมากมายถาเข้ามาถาม—-


 


“นายเคยเห็นชูฮันมั้ย?”


 


“รู้จักชูฮันมั้ย?”


 


“นายรู้มั้ยว่าชูฮันอยู่ไหน?”


 


“เอ่อ–?ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย”


 


“โอเค บาย”


 


ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิง ผู้คนมากมายต่างวุ่นวายกันมาพักหนึ่งแล้ว มันเริ่มใกล้จะปีใหม่แล้ว ค่ายที่ใหญ่ที่สุดของจีนเริ่มมีชีวิตชีวา แต่ไม่ใช่เพราะมันใกล้จะปีใหม่ แต่เป็นเพราะการไล่ตามหาตัวชูฮันกันที่กระตุ้นผู้คน


 


ในตอนนั้นเอง บนถนนพื้นเรียบในตัวค่ายซางจิง เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆลงจอดอย่างช้าๆ หลังจากประตูถูกเปิดออก ผู้ชาย 3 คนก็ลงมาจากเครื่องพร้อมกัน


 


แม้เหอเฟิงและเติงฮ่าวนั้นจะมีสภาพสมบุกสมบัน แม้แต่รองเท้าบู้ทของทหารยังแตกร้าว หากเนื้อตัวกลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร


 


ตรงกันข้ามกับทั้งคู่ มีกลุ่มคนเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์อีกลำ พวกเขาต่างประคองและช่วยพยุงตัวกันลงมาจากเครื่อง ใบหน้าและจมูกมีสภาพบวมเฉ่ง พลตรีสิงโตมีสภาพถูกซ้อมจนเละเทะ


 


พลตรีสิงโตที่ก่อนหน้านี้แหกปากและนอนหลับกรนมาบนเฮลิคอปเตอร์ แต่เมื่อลงมาและได้เห็นเหอเฟิงและคนอื่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความอับอาย “เห็นพลตรีมั้ย ไม่รู้การทำความเคารพหรือไง?!”


 


เติงฮ่าวและเจิ้งท่าวมองหน้ากันและพร้อมกับถอนหายใจออกมา แม้พวกเขาจะอึ้งกับภาพลักษณ์ที่ปรากฏของพลตรีสิงโต หากพวกเขาก็รีบทำท่าเคารพตามระเบียบทหารทันที


 


มีเพียงแค่เหอเฟิงที่เหลือบตามองพลตรีสิงโตจากนั้นก็เบนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเมินเฉย


 


“หยุดอยู่ตรงนั้น!” สิงโตบ้าคลั่งไม่คิดว่าพันโทจะกล้าหยาบคายใส่เขาแบบนี้ ความโกรธที่ได้รับมาจากซางจิ่วตี้ได้ถูกพาลไปลงกับเหอเฟิง “แกเป็นพันโทใช่มั้ย? เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาใคร? เวลาที่เจอพลตรีแกกล้าหยาบคายแบบนี้ ตำแหน่งแกปลิวแน่ เก็บของและออกไปซะภายในวันพรุ่งนี้!”


 


เหอเฟิงชะงักและหันมาจ้องหน้าสิงโต “นายมาเพื่อทำหน้าที่แทนฉัน?”


 


“หึ! ใช่! ก็เห็นได้นี่!” ความโกรธของสิงโตคลุ้มคลั่งบิดเบือนไปหมด พฤติกรรมของพันโทแบบนี้ก็สมควรแล้วที่จะโดนปลดตำแหน่ง ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นซางจิงละก็ เขาจะทำอะไรก็ได้ ป่านนี้เขาคงตัดขาไอ้พันโทนี่ทิ้งไปแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 382

 

เติงฮ่าวและเจิ้งท่าวต่างนิ่งงัน หัวใจเต้นระรัว…ปลดตำแหน่ง เหอเฟิงถูกปลดตำแหน่ง?


 


สิงโตบ้าคลั่งพอใจอย่างมากกับท่าทางหวาดกลัวที่ 2 คนนั้นแสดงออกมา ในที่สุดเขาก็รู้สึกมีอำนาจและเป็นที่หวาดกลัวของคนอื่นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ สิงโตบ้าคลั่งมองไปที่เหอเฟิงอีกครั้ง “เอาตราของแกออก แล้วก็ชุดเครื่องแบบ ถอดมันออกซะ!”


 


ปรากฏว่าเหอเฟิงกลายเป็นเป้าหมายของสิงโตในการแก้ความอับอาย!


 


เหอเฟิงเหลือบตามองสิงโต จากนั้นก็หมุนตัวและเดินออกไป


 


“แกต้องเชื่อฟังฉัน—” สิงโตที่เกี้ยวกราดได้แต่แหกปาก เขากะจะสวดด่าทุกคน ทว่าคำพูดของเขากลับติดค้างอยู่ที่ลำคอ


 


เติงฮ่าวและเจิ้งท่าวเองก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน


 


ต่อหน้าทุกคน มีคน 3 คปรากฏตัวขึ้น มีชายร่างกำยำที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เสื้อผ้าสีดำสนิท ส่วนหน้าตานั้นทุกคนมองเห็นไม่ชัดเจนด้วยเพราะมันมีกลิ่นอายที่แข็งแรงเปล่งประกายรอบๆจนไม่สามารถเพ่งมองได้ และต่อให้พยายามจะเพ่งมองแค่ไหน ทุกคนก็เห็นเพียงแต่ทุกอย่างเป็นสีดำหมด


 


ด้านหลังของชายคนนี้มีผู้หญิงและผู้ชายเดินตามหลังมา รูปร่างดูแปลกตา ไม่สามารถมองเพศออกได้ชัด หากความรู้สึกที่พามากลับให้ความคุ้นเคย แต่ก็ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บ


 


ทุกคนต่างหยุดนิ่งกับทั้งสามคนที่ปรากฏตัวขึ้น ความตกใจในอกของพวกเขามันมากล้นจนเกินกว่าจะรับไหว มีเพียงแค่ฝีเท้าของเหอเฟิงเท่านั้นที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงเดินไปเรื่อยๆจนกำลังจะประจันหน้ากับสามคนตรงหน้า


 


หัวใจของสิงโตบ้าคลั่งสั่นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก ในเมื่อเขาไม่สามารถทำอะไรเหอเฟิง สายตาของสิงโตจึงค่อยๆจับจ้องไปที่คนสามคน สิงโตเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป มันแฝงไปด้วยความหวาดกลัว “หลงยา!”


 


องค์กรหลงยา…หัวหน้าทีมเขี้ยวมังกร สมาชิกในทีม…อี้และฟาน


 


“เฮือก!”


ร่างของเติงฮ่าวและเจิ้งท่าวแทบจะยืนไม่ไหว คนสามคนที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวและตกใจนั้นความจริงแล้วคือสมาชิกของทีมหลงยา!


 


ในยุคศิวิไลซ์นั้นมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักองค์กรหลงยา ทว่าหลังจากการปะทุ โดยเฉพาะหลังจากที่ก่อตั้งยุคโลกาวินาศ ชื่อเสียงขององค์กรหลงยาก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งกองทัพ


โดยเฉพาะหัวหน้าหลงยา…เขี้ยวมังกร….หนึ่งในกลุ่มคนสามคนนี้ หลงยาไม่เคยปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ และจากภารกิจที่แสนยากลำบากทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นความรับผิดชอบของสามคนนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ยังดำรงอยู่ของค่ายซางจิง


 


“หลง—หลงยา” เติงฮ่าวกลืนน้ำลายอึก จากนั้นก็มองไปที่เจิ้งท่าวที่กระวนกระวายพอกันกับเขาอยู่ข้างๆ พวกเขาสันสบมากจนไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อดี


 


สมาชิกของหลงยาไม่มียศตำแหน่งทางทหาร แต่สถานะของพวกเขาจะแยกออกไป ในตอนนี้พวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเจอกับสมาชิกหลงยา?


 


ไม่เพียงแต่เติงฮ่าวและเจิ้งท่าว แม้แต่พลตรีสิงโตก็ยังคิดถึงปัญหาเดียวกัน…องค์กรหลงยาพิเศษเกินไป ไม่ต้องพูดถึงเขาที่เป็นพลตรีเลย เขาคาดว่าหลังจากมันต้องมีความตื่นตระหนกจากทุกคนเกิดขึ้นแน่นอน!


 


และในขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในสถาวะวิตกกังวล เหอเฟิงที่ยังไม่หยุดเดิน จนในที่สุดเขาก็เดินมาถึงตัวสมาชิกหลงยา 3 คนบนถนน!


 


ทีมหลงยาที่มี 3 คน กับเหอเฟิงตัวคนเดียว ความต่างที่ค่อนข้างแปลกระหว่างจำนวนคนหากให้ความรู้สึกแปลกๆของความเท่าเทียมเกิดขึ้น


 


สิงโตจับจ้องมาที่สถานการณ์ด้านหน้า ตามมาด้วยความรู้สึกภายในที่หัวเราะเยาะเหอเฟิงอยู่ ท่าทีที่แสดงออกมาก็ดูชั่วร้ายและเยาะเย้ย…มันกล้าหยาบคายกับเขา สงสัยจะวอนตายจริงๆ ไม่เพียงแต่กับเขาที่เป็นถึงพลตรี แต่ตอนนี้มันยังกล้าจะหือกับทีมหลงยาที่แข็งแกร่งที่สุด ไอ้เด็กนี้น่าจะไม่มีสมอง?


 


เติงฮ่าวและเจิ้งท่าวเองก็กลัวพอกัน พวกเขารู้ว่าเหอเฟิงค่อนข้างจะเย่อหยิ่งแต่ไม่คิดเลยว่าเหอเฟิงจะอวดดีได้ถึงขนาดนี้ แม้แต่คนจากองค์กรหลงยาเขาก็ยังไม่สนใจ?


 


“พันโทเหอเฟิง ถอยกลับมาเถอะครับ” เติงฮ่าวส่งเสียงกระซิบออกไปเพื่อเตือน เขาช่วยมากได้ที่สุดเพียงแค่นี้แล้ว


 


แต่สิ่งที่ทุกคนไม่ได้คิดคือ——–


 


สมาชิกของหลงยาสองคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับพันโทเหอเฟิง กลับยืนเรียบร้อยด้วยกริยาที่แปลกตา จากนั้นก็โค้งตัวให้เหอเฟิง


 


นี่ไม่ใช่ระเบียบการทางทหารที่ต้องปฏิบัติ หากคือการปฏิบัติกันมาของการแสดงความเคารพต่อผู้ที่สูงกว่าภายในขององค์กร


 


ใช่ มันคือความเกรงกลัว


 


หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นสิงโตหรือเติงฮ่าว เจิ้งท่าว ทุกคนต่างตะลึงค้างกันหมด พวกเขาคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองตาฝาดกันหรือเปล่า อี้และฟานแสดงความเคารพต่อเหอเฟิงจริงๆ!


 


เหอเฟิงไม่ใช่พันโทธรรมดาๆเหรอ? ในบริบทของโลกาวินาศตำแหน่งของเหอเฟิงไม่ได้มีค่าอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ


 


แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


 


สิงโตนิ่งค้างขยับตัวไม่ได้ ทว่าก่อนที่สิงโตจะทันได้คิดอะไร เหอเฟิงและเขี้ยวมังกรที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ด้านหน้าของทุกคนที่ยืนดูอยู่ ก็เปิดประโยคสนทนาที่ส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ออกมา


 


เหอเฟิงพยักหน้ารับการแสดงความเคารพของอี้และฟาน และแสดงสีหน้าไม่ต้อนรับเท่าไหร่ใส่หัวหน้าทีม “ต้องเดินทางต่ออีก?”


 


“หึ” เขี้ยวมังกรหัวหน้าทีมประหลาดใจกับท่าทีนิ่งเงียบของเหอเฟิง “เกิดอะไรขึ้น? ฉันไม่เจอนายมาหลายเดือน”


 


“ภารกิจ” เหอเฟิงบิดริมฝีปาก “ล้มเหลว”


 


เขี้ยวมังกรเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็บิดริมฝีปาก “ล้มเหลวในการส่งมอบสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


เหอเฟิงหันหน้ากลับมาจ้องเขม็ง เส้นเลือดตรงขมับนูนเป่งขึ้นมา “เมื่อไหร่ก็ตามที่มีภารกิจ ฉันจะวางแผนเสมอ แต่อีกฝ่ายช่างน่าทึ่งเหลือเกิน”


 


“อืม” เขี้ยวมังกรจ้องตากับเหอเฟิงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็เอ่ยปากพูด “ฉันคิดว่าฉันน่าจะเดาได้ว่าใคร ฉันวิเคราะห์คนคนนี้มาแล้ว ไม่ใช่ง่ายๆเลย”


 


เหอเฟิงพยักหน้าและดูเหมือนไม่มีเจตนาจะพูดคุยต่อ เขาเพียงเดินแทยงมุมจากไป


 


เขี้ยวมังกรเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ทั้งคู่ไม่แม้แต่จะพูดบอกลากันด้วยซ้ำ อารมณ์ที่เปิดเผยออกมาระหว่างทั้งคู่แสดงออกถึงความคุ้นเคยของพวกเขา


 


ด้านหลัง ที่คืออี้และฟานแสดงท่าวันทยาหัตถ์ตามระเบียบทั่วไปของทหารทันทีเมื่อเหอเฟิงเดินผ่านไป ทั้งคู่ไม่ได้ปริปากพูดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงแค่สีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับเหอเฟิง แม้แต่พลตรีสิงโตที่ยืนมองพวกเขาอยู่ ทว่าทั้ง 3 คนกลับไม่แม้แต่จะเหลือบตามองกลับด้วยซ้ำ


 


เป็นอีกครั้งที่ภาพนี้ตกอยู่ในสายตาของทุกคน…ทุกคนต่างยืนช็อค ในตอนนี้ร่างของเหอเฟิงได้เดินจากไปไกลแล้ว เสียงฝีเท้าของเขานิ่งสงบ เหอเฟิงนิ่งมากตั้งแต่เริ่มจนจบ ไม่ว่าจะตอนที่ต้องเผชิญกับพลตรีสิงโตบ้าคลังหรือทีมหลงยา


 


สงบนิ่งหรือไม่เห็นใครในสายตากันแน่!


 


เติงฮ่าวและเจิ้งท่าวเหมือนกับคนโง่อย่างแท้จริง ถ้าตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถเดาตัวตนที่แท้จริงของเหอเฟิงออกได้ พวกเขาก็ควรจะตบหน้าตัวเองให้ยับซะ!


 


สิงโตบ้าคลั่งหวาดกลัวเกินกว่าจะเงยหน้ามอง ความกลัวในใจของเขาขยายใหญ่ขึ้นจนเกินจะเหลือรับ เขาทำบ้าอะไรลงไปกับเหอเฟิง เขาซวยแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 383

 

ถัดมาจากถนนหลวงคือถิ่นทุรกันดาร แรกเริ่มมีผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่แค่ไม่กี่คน พวกเขาไม่ชอบความวุ่นวาย พวกเขาอยู่รวมกันแค่กว่าร้อยคนเท่านั้น หากตอนนี้มันกลับไม่มีอะไรหลงเหลือ ผู้รอดชีวิตกว่าร้อยคนกลายเป็นกองซากกระจายอยู่ตามพื้น เลือดกระเซ็นไปทุกที่ ร่างกายที่ถูกกัดแทะจนมองไม่เห็นสภาพเดิม


 


นองเลือด เหม็นโฉ่ คาวไปหมด


 


เมื่อจุนจื่อและจุ้ยชูมาถึงที่นี้และได้เห็นภาพที่ปรากฏ ห่างออกไปไกลพวกเขาเห็นพวกซอมบี้กำลังแทะกินซากร่างมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ แต่ส่วนที่ดีๆของร่างมนุษย์นั้นถูกกินไปก่อนนานแล้ว


 


“มันเกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งวันที่แล้ว” เสียงของจุนจื่อดังขึ้น


 


จุ้ยชูวิ่งพุ่งไปข้างหน้าและบดขยี้กระโหลกของเหล่าซอมบี้ทิ้ง ขณะหันไปถามน้องชายของเธอ “นี่ใช่ที่แรกมั้ย?”


 


“ที่ 5” จุนจื่อตอบเสียงแผ่ว “ฉันเกือบจะหาเส้นทางอื่นได้แล้ว ฉันจะตามไปสมทบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”


 


“อืม” จุ้ยชูตอบเสียงแผ่ว ซอมบี้ที่เหลือถูกเด็กหญิงตัวน้อยฆ่าหมดไม่เหลือ


 


“แต่ พี่สาว” จุนจื่อพูด “อีกฝ่ายได้ทำลายที่มั่นเล็กๆของมนุษย์ไปแล้ว 5 จุด แถมตอนนี้ก็คาดว่าพลังการต่อสู้ของพวกมันก็ได้พัฒนาขึ้น ส่วนจำนวนก็ยังไม่สามารถประมาณได้ เราอาจจะทำไม่สำเร็จก็ได้”


 


ข้อมือของจุ้ยชูสะบัดเลือดสีดำที่ติดอยู่ปลายมีดของเธอออก พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตามมา”


 


——–


 


“เป็นยังไง?” ชายชราที่มีผิวหนังหยาบค่อนข้างออกเหลือง ผอมแห้ง เอ่ยถามชูฮันที่กำลังถือจานที่ไม่ได้สะอาดแถมยังมีรอยแตกหลายจุด พร้อมกับแพนเค้กสองสามชิ้นบนจาน


 


“อร่อย” หวังไคตอบแทนชูฮัน


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนว่าอร่อย ฉันได้รับสูตรตกทอดมาจากบรรพบุรุษเชียวนะ” ชายชราพูดพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้า ส่งผลให้รอยย่นบนหน้าของชายชรายิ่งลึกลงไปอีก หากจู่ๆนัยน์ตาสีเทาของชายชราก็เบิกกว้างพลางเอ่ยถาม “ทำไมเสียงของพ่อหนุ่มถึงดูแปลกๆล่ะ?”


 


“โอ้ เป็นเพราะพูดตอนกิน เสียงก็เลยแปลกๆนะ” ชูฮันตอบพร้อมกับยิ้มใส่หวังไค ที่กำลังกินแพนเค้กอยู่บนโต๊ะ


 


“ก็จริง” ชายชราพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มราวเบ่งบานราวกับดอกเบญจมาศ พลางผลักจานแพนเค้กใส่มือชูฮัน “ยังมีเหลืออีก กินเยอะๆเลย”


 


ชูฮันเหลือบมองไปที่นิ้วผอมแห้งของชายชรา พร้อมยิ้มและรับจานแพนเค้กมา “ขอบคุณครับ”

“ไม่ต้องขอบคุณอะไร” ชายชราโบกมือปัดทันที “ฉัน—–“


 


“เฮ้ย! เมื่อไหร่จะเสร็จ! ฉันรอนานแล้วนะ!” จู่ๆมันก็น้ำเสียงโหดร้ายดังขึ้นมาจากในตัวบ้านขัดจังหวะการพูดของชายชรา น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความข่มขู่ “อย่าทำงานเพื่อเอาไปเลี้ยงซอมบี้ ไอ้แก่หนังเหนียว!”


 


ชูฮันมองไปที่ด้านหน้า อากาศทางด้านเหนือช่างหนาวเหน็บ  หิมะบนถนนถูกเหยียบย่ำไปมาจนกลายเป็นสีดำ ที่นี้คือหมู่บ้านเล็กๆที่ชูฮันนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ด้านนอกบ้านที่สร้างจากดินเหียว ด้านหน้าตัวบ้านมีโต๊ะไม้ที่ขาข้างหนึ่งหักตั้งอยู่ และกระต่ายขาวตัวกลมที่กินไม่หยุดจนมันจะกลายเป็นลูกบอลอยู่แล้ว


 


ประตูที่อยู่ถัดไปจากตัวบ้านดินเหนียวปิดสนิท และมันมีเสียงระเบิดอารมณ์ดังผ่านออกมาจากรอเชื่อมต่อ ดูเหมือนมันจะเตาไฟอยู่ด้านใน ส่วนคนที่ตะโกนออกมาเมื่อกี้น่ามีแค่ตำแหน่งเล็กๆภายในหมู่บ้านแห่งนี้


 


ชายชราตรงหน้าที่อายุประมาณ 70 ปีกำลังขยี้ตา เขาสวมเสื้อคลุมตัวเล็กที่คลุมไม่ทั่วแขนเขาด้วยซ้ำ ผิวหนังที่เผยออกมานอกตัวเสื้อนั้นมีสีคล้ำ ส่วนกางเกงที่ใส่ก็ดูบางจนไม่สามารถช่วยกันความหนาวได้ รองเท้าก็เปิดอ้าจนเห็นนิ้วเท้าด้านใน ส่วนทั้งตัวก็ผอมแห้งจนอาจจะปลิวไปได้ถ้าเจอลมหิมะ


 


ชายชราตัวเหม็นหึ่ง เสื้อผ้าของเขาก็สกปรก ส่วนฝีมือในการทำอาการของเขาก็ไม่ได้ดีเยี่ยมเหมือนอย่างที่คุยโวว่าเป็นสูตรจากบรรพบุรุษ แต่อย่างน้อยแพนเค้กก็สุกและกินได้


 


“ชู่ววว” เมื่อได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านใน ชายชราก็รีบหันมาพูดกับชูฮัน “เงียบๆไว้ กินช้าๆ ฉันจะเอาแพนเค้กไปให้ลูกชายฉันก่อน”


 


“ครับ” ชูฮันตอบรับพร้อมรอยยิ้ม ทว่าแววตาของชูฮันยังคงเย็นชาและน่ากลัวเหมือนเดิม


 


หลังจากที่ชายชราเดินเข้าไปในบ้านชูแฮนมองตัวเอง กางเกงขายาวเสื้อคลุมสำหรับป้องกันอากาศหนาว ไม่มีเศษฝุ่นเปื้อนอะไรสักนิดบนตัว นิ้วมือสะอาดสะอ้าน การแต่งกายโดยรวมที่ดูหรูหรา แถมยังพกพาคริสตัลที่มีมูลค่า 20,000 คะแนน แถมยังในประตูมิติก็ยังมีรถพลังงานแสงอาทิตย์ที่มากพอจะทำให้คนในหมู่บ้านนี้กลายเป็นบ้ากันได้


 


“นั่นคือลูกชายเขา?” หวังไคไม่รู้ว่าจะพูดกับชูฮันหรือถอนหายใจดี


 


“ใช่ นั่นคือลูกชายเขา” ชูฮันซ้ำ จากนั้นก็ลุกขึ้นและคว้าหวังไคใส่ในกระเป๋าและมุ่งหน้าไปที่ทางออกของหมู่บ้าน


 


เขาไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักนาทีเดียว เขากลัวว่าเขาจะอดใจไม่ไหวจนต้องฆ่าใครขึ้นมา


 


ไม่นานหลังจากชูฮันจากไป มันก็มีกลุ่มคนชุดดำมาเยือนที่หมู่บ้าน คนชุดดำ 20 คนที่คลุมตัวเองมิดชิดเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย


 


บางคนรีบปิดประตูบ้านหรือเก็บของของตัวเองด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเขาถนัดมากในเรื่องนี้ด้วยเพราะเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงซอมบี้ พวกเขามักจะต้องอพยพอยู่บ่อยๆ หมู่บ้านเล็กๆนี่ก็เป็นแค่สถานที่อยู่อาศัยชั่วคราว และพวกเขาโชคดีมากที่มีชาวบ้านท้องถิ่นอาศัยอยู่ที่นี่อยู่แล้ว


 


พวกเขาไม่รู้ว่าลูกผสมคืออะไร เพียงแค่คิดว่าโอกาสของพวกเขามาแล้ว


 


บางคนหัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น พวกเขาเดินออกมาจากบ้านอย่างกระตือรือร้น พวกเขากล้าที่จะทักทายคนชุด 20 คนตรงหน้าและส่งลูกชายของชายชราออกมาเจรจา


 


ผู้ชายคนนี้มีอายุประมาณ 40 ปีและดูเป็นคนไม่มีอะไรจะทำในชีวิต หลังจากการปะทุเขาก็ตามกลุ่มโสเภณีมา นั่นคือสาเหตุที่เขาพาพ่อแก่ๆของเขามาเพื่อมาเป็นคนรับใช้นั่นเอง


 


ลูกชายของชายชราเดินฝ่าเข้ามา เบียดฝ่าคนอื่นรอบตัวเสนอหน้า “พวกคุณมารับพวกเราใช่มั้ยครับ? มาจากซางจิงใช่มั้ยครับ?”


 


ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิงเป็นสถานที่ที่ใครๆก็อยากจะไป ทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะไปทางนั้น ถึงแม้จะมีคนต้องตายกลางถนนระหว่างเดินทางก็ไม่อาจหยุดความมุ่งมั่นที่จะเข้าไปอยู่ในค่ายที่ใหญ่ที่สุดในจีนได้


 


ตัวหัวหน้าของกลุ่มลูกผสมเพียงหยิบรูปออกมาจากกระเป๋า พลางพูดด้วยน้ำเสียงคม “เคยเห็นคนนี้มั้ย?”


 


กลุ่มคนจ้องไปที่ภาพครู่หนึ่ง มันเป็นภาพวาดของชายหนุ่มคนหนึ่ง ภาพวาดดูเสมือนจริงมาก แม้ร่างของชายหนุ่มในภาพจะดูธรรมดา หากแววตาในภาพนั้นเป็นอะไรที่ไม่สามารถลืมได้


 


เมื่อมองไปที่กลุ่มคนที่เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เคยเห็น ลูกผสม 20 ตัวก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย…ในเมื่อพวกมันไม่เคยเห็น งั้นก็กินคนพวกนี้ให้หมดเลยละกัน!


 


และในขณะที่พวกลูกผสมกำลังจะลงมือ จู่ๆมันก็มีน้ำเสียงสั่นๆดังชึ้นมาจากระยะไกล “ลูกชาย ลูกเห็นผู้ชายที่นั่งอยู่นอกบ้านเมื่อครู่มั้ย? เขาไปไหนแล้ว?”


 


ลูกชายของชายชราคำรามออกมาและหลังจากเดินก้าวถอยหลังไปได้สองสามก้าวไปหาชายชรา เขาก็ฟาดมือใส่หัวชายชราอย่างแรง “ไอ้แก่หนังเหนียว! เอาอาหารกูไปให้คนอื่นอีกแล้วใช่มั้ย? กูจะซ้อมมึงให้ตาย!”


 


ชายชราตะลึงค้าง ก้มหน้าค้างไว้ ร่างผอมแห้งดูเหมือนกระดูกหัก ทุกคนที่กำลังจะเอ่ยปากถามลูกผสมถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้เห็นนัยน์ตาสีเทาของชายชรา


 


“ฆ่า” เพียงคำสั่งเดียว

 

 

 


ตอนที่ 384

 

“มันหายไปแล้วไม่ใช่เหรอ นายจะกลับไปทำไม?” หวังไคงงงวย


 


“ก็ กินแพนเค้กของคนอื่นก็ควรจะทิ้งบางอย่างให้สิ” ชูฮันไม่อยากจะพูดว่าเขารู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง ความเมตตาของชายชราทำให้เขารู้สึกซาบซึ้ง เขามักจะเป็นนักล่าและมีจุดมุ่งหมายชัดเจนในการทำทุกอย่าง ชายชราผู้นี้เป็นเหมือนกับกระจกที่สะท้อนความชั่วร้ายทุกอย่างที่ซ่อนอยู่ลึกภายใน


 


ทุกอย่างในโลกาวินาศนั้นเลวร้ายเหลือเกิน แม้แต่ลูกชายยังทำร้ายพ่อได้ ทำไมชายชราคนนั้นถึงยังเป็นคนเรียบง่ายแบบนี้อยู่ได้? เขาดีเกินไปกับคนแปลกหน้า แม้แต่ในยุคศิวิไลซ์ มันหาได้ยากและแปลกมากว่ามั้ย?


 


———-


 


หมู่บ้านเล็กๆโดนทำลายล้างจนไม่เหลือ และแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะคำนวณจำนวนของซอมบี้ที่เข้ามาบุกถล่มที่นี้ สีเดิมบนผนังกำแพงนั้นไม่มีหลงเหลือให้เห็นอีกต่อไปเพราะตอนนี้มันเต็มไปด้วยร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่โดนกวาดล้าง ประกอบกับหิมะตกยิ่งทำให้ตอนนี้อากาศมันหนาวเหน็บ บนพื้นถนนเต็มไปด้วยโคลนหิมะ


 


พัฟ!


 


ลูกผสมเหยียดมือมันออกไปและแทงเข้าไปในอกของคนคนหนึ่งและกระชากหัวใจออกมา ใบหน้าขาวซีดของลูกผสมอ้าปากกว้างพร้อมกับกัดหัวใจในมือกิน หลังจากเคี้ยวอยู่สองสามครั้ง มันก็กลืนอึกลงท้องไป เลือดไหลย้อยลงมาตามง้ามนิ้ว หยดลงหิมะผสมปนเปจนหิมะขาวกลายเป็นสกปรกเละเทะ


 


พ้ะ!


ร่างของคนที่เสียหัวใจไปร่วงตกลงไปกองที่พื้นและตายในทันที


 


มันมีเสียงร้องไห้ อ้อนวอน ขอความเมตตาดังระงมไปทั่วทุกที่ ท่ามกลางคนเหล่านี้ไม่มีใครแข็งแรงและกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้


 


“อย่าฆ่าฉันเลย ให้อภัยฉันด้วย ขอร้อง!” ลูกของชายชราที่ยกแพนเค้กให้ชูฮันกินคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตจากลูกผสมอยู่ที่พื้น ในขณะที่ลูกผสมตัวนั้นกลับกำลังควักสมองของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของพวกคนในชุดคลุมสีดำพวกนี้ ไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าทำไมพวกมันถึงพูดได้แต่กลับทำตัวเช่นเดียวกับซอมบี้


 


และในตอนนั้นเองลูกชายวัย 40 ของชายชราก็เผยสรรพคุณของตัวเองอย่างสิ้นหวัง “ฉัน–ฉันเป็นวิวัฒนาการ ฉันเป็นวิวัฒนาการระยะ 1 ไว้ชีวิตฉันเถอะ ให้ฉันทำอะไรก็ได้ จริงๆนะ!”


 


“ลูก เกิดอะไรขึ้น?!” ชายชราที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นพูดขัดจังหวะขึ้นมา ลูกผสมเองก็หมดความสนใจในตัวชายชราเพราะแก่เกินไป ชายชราไม่สามารถมองเห็นได้ เขาได้ยินแต่เพียงการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดรอบๆตัว แต่เมื่อชายชราได้ยินเสียงอ้อนวอนของลูกชายตัวนั้น ชายชราก็รีบตะโกนถามขึ้นมาทันที


 


ในตอนนั้นเอง การสังหารหมู่เกือบจะจบลงแล้ว ทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่ว มันมีเศษชิ้นเนื้อและรอยเลือดเปื้อนไปทุกที่ ผนังบ้านบางหลังเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหนียวสีน้ำตาลเหลืองข้น มันคือซากเครื่องในที่ถูกกระชากออกมาเมื่อตอนที่พวกมันกระชากหัวใจ ลูกผสมพวกนี้เป็นพวกกินเร็ว พวกมันจะกินแค่หัวใจเท่านั้นเพราะเป็นอวัยวะที่ให้พลังงานมากที่สุด


 


กลิ่นคาวกระจายออกไปไกลอย่างรวดเร็ว และไม่นานมันก็จะล่อฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่ตามมา และหลังจากผ่านการแทะกินของซอมบี้ตัวแล้วตัวเล่า ในที่สุดมันก็จะเหลือเพียงแค่กองซากกระดูก


 


ลูกผสมยืนอยู่ต่อหน้าลูกชายของชายชราครู่หนึ่ง มันอ้าปากกว้างเผยให้เห็นเศษชิ้นเนื้อและเลือดที่ยังค้างอยู่ในปากมัน มันจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่ยังคงอ้อนวอนอยู่ต่อหน้า “วิวัฒนาการระยะ 1?”


 


“ใช่! ระยะ1!” เสียงของชายวัยกลางคนตอบรับขึ้นมาอย่างรวดเร็วและกล้าหาญเงยหน้าขึ้นไปสบตาคนในชุดคลุมดำ


 


“ดี งั้นมาร่วมมือกัน?” ลูกผสมตรงหน้าเอ่ยปากชวนให้มาร่วมกัน


 


“นี่ไม่ใช่วิธีที่ที่จะหาตัวเขาได้ เก็บคนนี้ไว้ ให้มันไปปะปนกับพวกมนุษย์และเก็บเกี่ยวข้อมูลมา” ลูกผสมตัวหนึ่งพูดแนะนำ


 


“ได้ยินมั้ย?” ลูกผสมที่ยืนอยู่ตรงหน้าชายวัยกลางคนฉีกยิ้มออกมาและยื่นภาพของชูฮันไปตรงหน้าชายวัยกลางคนอีกครั้ง “ช่วยพวกเราหาตัวคนคนนี้ มันน่าจะอยู่ระหว่างทางไปซางจิง จะดีที่สุดถ้าแกพาตัวมันมาหาเราได้”


 


“ได้ยินครับ! ผมจะทำ!” ชายวัยกลางคนรับคำด้วยความตื่นเต้นที่จะได้มีชีวิตรอด


 


“ลูก ลูก ลูกไปสัญญาอะไรพวกเขา?!” ชายชราตะโกนถาม จากนั้นก็ตะโกนใส่พวกลูกผสม “นายให้ลูกฉันทำงานให้ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน!”


 


“หึหึหึ” กลุ่มลูกผสมหัวเราะกันใหญ่เมื่อได้ยิน


 


“ไป ฆ่ามันซะ” ลูกผสมที่ยืนอยู่ต่อหน้าชายวัยกลางคนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีใครกล้าขัด


 


“ครับ” ชายวัยกลางคนไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเดินไปหาพ่อตัวเอง เขาหยิบหินก้อนใหญ่ข้างๆตัวขึ้นและทุบมันอย่างแรงใส่หัวของชายชรา!


 


“ปัง!”


 


อย่างไม่ลังเล!


 


แกร๊ก!


 


กระโหลกแตกออกทันที สมองและเลือดในกระโหลกของชายชราพุ่งกระจายออกมา ทำให้ตัวของชายวัยกลางคนเปรอะเปื้อนไปหมดหากเขาไม่ได้สนใจ เขายังคงแหกปากส่งเสียง “อย่าเสือกสิพ่อ! ไปตายซะ! ไอ้แก่เน่าสกปรก!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


“โอ้ะ!”


 


ลูกผสมทั้ง 20 ตัวต่างหัวเราะกันออกมาไม่หยุด พวกมันยืนดูการแสดงอยู่ข้างๆ และในขณะที่กำลังหัวเราะกันอยู่ ทันใดนั้นเองมันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง


 


“ชูฮัน?” เสียงสั่นเทาของหวังไคดังขึ้น “ชายชรา?”


 


ชูฮันที่ยืนอยู่เบื้องหลังทุกคนกำขวานซิ่วโหลในมือแน่นจนสั่นสะท้าน เลือดตรงหน้าไม่ได้ทำให้ชูอันเกิดอารมณ์ได้ แต่ใครบอกเขาได้บ้างว่าใครเป็นคนทุบหัวชายชราคนนี้?


 


ชายวัยกลางคนที่ถือหินก้อนใหญ่อยู่ในมือทรุดลงอย่างสิ้นหวังและนั่งคุกเข่า นี่ใช่ชูฮันที่ดังเลื่องลือไปทั่วใช่มั้ย?


 


นี่มันบ้าอะไรกัน!


 


“ชูฮัน?” ลูกผสม 20 ตัวที่ถูกดึงดูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน พวกมันหันหน้ากลับไปมองชายหนุ่มที่กำลังยืนถือขวานยักษ์สีดำอยู่ด้านหลัง


 


ลูกผสมก้มมองภาพวาดในมือมันอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา ตาของมันเป็นประกายพลางเลียริมฝีปากตัวมันอย่างน่าขยะแขยง “แกไม่ต้องไปหาเขาแล้ว เขาพาตัวเองมาถึงที่”


 


ชายวัยกลางรีบหยุดการเคลื่อนไหว ขณะยังคงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งไว้ ทั้งเนื้อตัว ใบหน้าและหินในมือเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของพ่อแท้ๆของเขาเอง


 


“แกคือชูฮัน?” ลูกผสมเดินไปที่กลางถนนและมองไปที่ชูฮัน น้ำเสียงของมันมีแววของความดูถูก “ฉันได้ยินว่าแกเป็นวิวัฒนาการระยะ 3? มู๋เย๋ค่อนข้างกังวลเรื่องแกมาก แกนี่ซ่อนตัวเก่งเหลือเกิน พวกเราหลายตัวตามหาแกมาตลอดหนึ่งเดือนเต็มๆ”


 


“มู๋เย๋?”


ชูฮันเงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นตาของเขาที่แดงก่ำ ด้ามขวานซิ่วโหลในมือชูฮันถูกกำแน่นจนกำปั้นขึ้นเป็นข้อนิ้วขาว และทันใดนั้นเองตัวใบมีดคมของขวานก็พุ่งมาอย่างรวดเร็ว


 


พัฟ!


ลูกผสมที่พูดกับชูฮันอยู่ก่อนหน้านี้ จู่ๆก็ถูกผ่าครึ่งอย่างกระทันหัน ขวานยักษ์ปรากฏอยู่ด้านบนหัวของลูกผสมอย่างไม่มีการเตือนใดๆ ผ่าตัดลงมาทันที


 


“ผลั้วะ—“


 


ร่างของลูกผสมถูกผ่าแยกออกครึ่งพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น

 

 

 


ตอนที่ 385

 

ร่างของลูกผสมที่ถูกผ่าครึ่งร่วงลงไปกองที่พื้น ส่งผลให้อวัยวะเครื่องในทั้งหมดกระจายออกมาตามพื้น และภายในกระเพาะที่ถูกผ่ามันก็มีชิ้นส่วนของหัวใจของชายชราที่มันพึ่งกินเข้าไปอยู่


 


ผั้วะ!

ขวานสีดำในมือของชูฮันผ่ากลางแนววิถีโคจรในอากาศ


 


ลูกผสมที่เหลืออีก 19 ตัวต่างช็อคกับความเร็วและวิธีการฆ่าที่น่าตะลึงภายในชั่วพริบตาเดียว เมื่อตอนที่มู๋เย๋ส่งพวกเขามาจับตัวชูฮัน มู๋เย๋ได้สั่งแล้วว่าพวกเขาต้องระวังอย่างมาก พวกเขาตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของชูฮันมาอย่างละเอียด ชื่อที่อยู่บนอันดับหนึ่งของเสาหินพร้อมกับคะแนน S+ ทั้ง 3 ระยะ ซึ่งตอนนี้ชื่อของชูฮันอยู่ที่รายชื่อของวิวัฒนาการระยะ 3 ทว่าข้อมูลนี่มันเป็นข้อมูลของเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว


 


แต่ความเร็วและพลังในการต่อสู้ที่ชูฮันแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ได้เกินขีดจำกัดของวิวัฒนาการระยะ 3 ไปแล้ว ลูกผสมที่ตายไปเมื่อครู่เป็นลูกผสมระยะ 3 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าวิวัฒนาการระยะ 3 อยู่คนละระดับเลย มันเกิดอะไรขึ้นกับชูฮันกันแน่ในครึ่งเดือนที่ผ่านมาถึงทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้?


 


ลูกผสมทุกตัวต่างเต็มไปด้วยความกลัวจนล้น ในตอนที่ลูกผสมในกลุ่มถูกฆ่า ไม่มีพวกมันตัวไหนสามารถตรวจจับพลังผันผวนของชูฮันได้เลย แม้แต่ชายชราที่ตายไปชูฮันก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด มันแทบจะเพียงพริบตาเดียวและพลังงานของชูฮันก็ระเบิดออกมาเหนือเกินกว่าพวกเขาจะจินตนาการได้


 


ชายวัยกลางที่เป็นคนฆ่าพ่อแท้ๆของตัวเองหวาดกลัวอย่างมาก เขาจ้องไปที่ใบหน้าของชูฮันที่อยู่ตรงหน้า เขาจำภาพวาดที่เห็นก่อนหน้านี้ได้ โดยเฉพาะแววตาในภาพนั้น เมื่อได้เห็นชูฮันต่อหน้าชายวัยกลางคนก็ยิ่งช็อคขึ้นไปอีกเมื่อได้เจอตัวเป็นๆ…ทำไมคนที่มีแววตาคมกริบคนนั้นถึงได้กลายเป็นคนทรงพลังขนาดนี้?


 


พรึบ!


ลูกผสมที่เหลืออีก 19 ตัวต่างปรับเปลี่ยนตำแหน่งของพวกมันทันที พวกมันรีบล้อมวงชูฮันกัน


 


ก่อนหน้านี้พวกมันอาจตั้งตัวกันไม่ทัน แต่ตอนนี้พวกมันเตรียมพร้อมแล้ว…19 ต่อ 1 สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว!


 


“ทุกคนเตรียมพร้อม!” ลูกผสมตัวหนึ่งตะโกนขึ้นมา “อย่าฆ่ามัน มู๋เย๋ต้องการมันเป็นๆ!”


 


ลูกผสมตัวอื่นๆที่พยายามจะหาทางกำจัดชูฮันก็ตกใจและจำได้ถึงคำสั่งของมู๋เย๋ตอนออกจากเมืองหยินมา และในจังหวะที่พวกลูกผสมกำลังคิดกันอยู่ ชูฮันก็เริ่มจู่โจมครั้งที่สองก่อนทันที


 


เสียงฝีเท้าของชูฮันที่ขยับหมุนเคลื่อนที่ไปมา ร่างกายที่ขยับไปเลื่อนไปทางด้านหลังขวาโดยไร้สัญญาณเตือนใดๆ


 


ฟรึบ!


เสียงของหัวของลูกผสมสองตัวถูกกระแทกและระเบิดออก ขวานซิ่วโหลไม่ได้เพียงแต่เคลือบไปด้วยเลือด หากในตอนนี้มันถูกเคลือบไปด้วยของเหลวในสมองของลูกผสมสองตัว ลูกผสมระยะ 2 สองตัวตายคาที่ทันที หัวของมันที่แตกระเบิดจนของเหลวสมองกระเซ็นไปทั่วบริเวณ


 


พวกมันไม่มีแม้แต่โอกาสต่อสู้กลับ


 


ผั้วะ!


ชูฮันชักขวานซิ่วโหลให้กลับมาสู่ท่าเดิมทำให้เกิดเสียงแตกของกระโหลกดังขึ้น ชูฮันควงขวานยักษ์ตีวงกว้างอันน่าเหลือเชื่อกลางอากาศ พร้อมกับของเหลวสมองที่มีสีเหลืองปนขาวก็ปลิวกระจายในอากาศ ส่งผลให้อีกครั้งที่ขวานกลับมาเรียบคมสะอาดเหมือนเดิม


 


ชูฮันเหลือบตาลง ผมของเขาที่ไม่ได้ดูแลมาเป็นเดือนเริ่มยาวขึ้นเล็กน้อยจนมันบังตาเขา หากเบื้องหน้าของชูฮันยังคงมีลูกผสมเหลืออยู่อีก 17 ตัว


 


การตายของพวกพ้อง 2 ตัวภายในชั่วพริบตาทำให้ทั้งกลุ่มของลูกผสมตกอยู่ความตระหนก กระโหลกที่เปิดอ้าทำให้พวกมันรู้สึกราวกับกำลังโดนหยามอยู่ เพราะมันเป็นวิธีที่มนุษย์ใช้เวลาฆ่าซอมบี้…ทุบกระโหลกให้ตาย


 


แต่ชูฮันทำกับลูกผสมแบบนี้?


 


“ฆ่ามัน!” ลูกผสมระดับ 4 ออกคำสั่ง เพราะในตอนนี้พลังของชูฮันไม่สามารถทำให้พวกมันไว้ชีวิตชูฮันได้แล้วและไม่มีทางที่พวกมันจะจับชูฮันแบบเป็นๆกลับไปได้


 


ลูกผสมที่เหลือพุ่งเข้าจู่โจมชูฮันทันที พวกมันคิดจะใช้ความเหนือกว่าในด้านพลังเอาชนะชูฮัน


 


ชูฮันมองไปที่การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของพวกลูกผสมที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นเขาก็แสยะยิ้มที่มุมปาก ทันใดนั้นเองขวานซิ่วโหลในมือชูฮันก็ปล่อยลำแสงสีดำออกมาทำให้มันดูเหมือนหลุมดำที่พร้อมจะกลืนกินทุกอย่าง มันเต็มไปด้วยความลึกลับและเศร้าโศก


 


“บ้าบอ!”


 


“นี่มันอะไร?”


 


“แสงสีดำ?”


 


“นี้มันไม่ถูกต้อง!”


เสียงร้องแห่งความกลัวและวิตกดังขึ้นมาจากปากของเหล่าลูกผสม ลูกผสมที่ระดับต่ำๆถึงกับถอยหนีไปด้วยความกลัว บางตัวจู่ๆก็มีความรู้สึกเสียใจที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเกิดขึ้นในใจ


 


โชคร้าย แต่มันสายไปแล้ว!


 


“พรึบ!”


ตัวขวานซิ่วโหลระเบิดลำแสงสีดำเปล่งจ้าออกมาพร้อมกับพลังผันผวนที่ระเบิดออกมาอย่างอัดแน่น หิมะรอบๆปลิวกระจาย อย่างไม่ต้องสงสัยมันคือพลังผัวผวนของวิวัฒนาการระยะ 4 พร้อมกับความแม่นยำระดับ 4 ที่ชูฮันได้ยกระดับขึ้นมาพร้อมกัน ส่วนความเร็วและความแข็งแกร่งของชูฮันก็มากล้นจนเกินกว่าวิวัฒนาการคนไหนจะเทียบได้


 


เพียงแค่ชูฮันแกว่งขวานซิ่วโหลในอากาศ…ลูกผสมระยะ 3 ตายทันที!


 


ร่างทั้งร่างของชูฮันก็เป็นภาพสีดำ ไม่มีใครสามารถมองการเคลื่อนไหวของชูฮันท่ามกลางหิมะได้ มีเพียงแต่จำนวนของลูกผสมที่ล้มตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันรวดเร็วขนาดที่ยังไม่ทันที่ร่างของลูกผสมตัวก่อนจะล้มกระแทกพื้นพร้อมกระโหลกที่เปิดอ้าจนสมองไหลออกมา อีกตัวก็ล้มตายตามไปแล้ว


 


ฆ่า!


 


ลูกผสม 20 ตัวมาที่หมู่บ้านนี้และทำการสังหารหมู่ ทว่าหลังจากที่ผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ฝ่ายที่อ้อนวอนขอความเมตตากลับพลิกผันกลายเป็นพวกลูกผสมแทน และเป็นฝีมือของชูฮันคนเดียวที่ไล่ฆ่าพวกมัน


 


แถมในหมู่ของลูกผสม 20 ตัว มีลูกผสมระยะ 3 มากมาย แม้แต่ระยะ 4 ก็ยังมี!


 


หลายคนรู้ว่าชูฮันชนะการจัดอันดับด้วยคะแนน S+ ติดต่อกัน 3 ระยะ และรู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอันดับหนึ่งของรายชื่อวิวัฒนาการระยะ 3 แม้แต่คนในกองทัพที่ซางจิยังรู้ดีว่าชูฮันมีทักษะในการบังคับบัญชาสูง ทั้งกลยุทธ์ยุทธวิธีที่น่ากลัว แต่มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าพลังในการรบของชูฮันนั้นเทียบเท่าได้กับวิวัฒนาการระยะ 5


 


ลูกผสม 20 ยี่สิบตัวกล้าที่จะต่อกรกับชูฮันและทำให้ชูฮันคลังได้


 


เพียงแค่ไม่กี่นาทีต่อมา ขวานยักษ์ดำของชูฮันก็วางขนาบข้างลำตัวพร้อมกับศพของลูกผสม 20 ตัวที่นอนตายอยู่ที่พื้นรอบตัวชูฮัน แต่ละตัวมีสภาพเละเทะ กระโหลกแตกเปิดออก ไม่มีศพไหนมีสภาพดูดีเลย


 


แม้แต่หลังจากกำจัดเหล่าลูกผสมจนหมดแล้ว ชูฮันก็ยังนั่งยองๆข้างๆลูกผสมและทุบหัวมันจนเละเหมือนกับซอมบี้


 


อะไรคือความต่างระหว่างลูกผสมกับซอมบี้?


 


พวกมันทั้งหมดคือส่วนผสมของการทำลายล้างมนุษย์!


 


ชายวัยกลางคนที่เป็นประจักษ์พยานต่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นรู้สึกแข้งขาอ่อน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกโศกเศร้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา


 


ทันใดนั้นชูฮันก็หันกลับมาจ้องที่ชายวัยกลางคน


 


“นายท่าน…”

 

 

 


ตอนที่ 386

 

นายท่าน!


ชายวัยกลางคนตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัวจนต้องลงไปคุกเข่าทั้งสองข้างที่พื้น แม้แต่หน้าผากก็ยังแนบติดกับพื้น ปากก็พูดอ้อนวอนอย่างตะกุกตะกัก “นายท่าน ผมไม่ได้ทำ เอ่อ นายท่าน…ผมกับพวกคนชุดดำพวกนี้ ผม—-ผมไม่รู้จักพวกมัน ผมไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าทำไมพวกมันถึงอยากพบท่าน ผมไม่รู้อะไรเลย”


 


ชายวัยกลางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมชูฮันต้องอยากให้เขาคุกเข่าลงกับพื้น และเขาก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าสถานการณ์ตรงหน้านี้มันคืออะไร  และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้คือใคร


 


ชูฮันทำให้เขาอิจฉา เขารู้สึกอิจฉา…


 


ไม่มีความลังเลต่อความอับอายกับการกระทำ ไม่มีมีศักดิ์ศรี หรือลูกเล่นใดๆ และการอ้อนวอนขอความเมตตาก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับคนที่ต้องการอยู่รอดในโลกาวินาศ เพื่อที่จะมีชีวิตรอด กลายเป็นคนโลภเพื่อมีชีวิตอยู่ ทุกคนสามารถยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อแลกมา


 


ชูฮันเหลือบตามองจ้องตาชายวัยกลางคนอย่างไม่มีอารมณ์ใดๆแสดงออกมา และจู่ๆชูฮันก็มีปฏิกิริยา เขากระชากผมของชายวัยกลางคนขึ้นมาอย่างแรงและออกแรงลากไปราวกับกำลังลากถุงทรายอยู่ จนมาถึงร่างของชายชรา ชูฮันก็ปล่อยมือออก


 


ปัง!


ชายวัยกลางคนถูกเขวี้ยงไปตามพื้น


 


“ดู!” ชูฮันสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอดกลั้น


 


ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงงงวยกับภาพเบื้องหน้า…มันคือพ่อของเขาเอง ที่โดนหินทุบจนตาย พร้อมกับมีบาดแผลเปิดอ้าขนาดใหญ่บนศีรษะ ถัดมาคือของเหลวในสมองที่ไหลออกมาจนส่งกลิ่นเหม็นเน่า


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ชายวัยกลางหัวเราะใส่ชูฮันจนตาเป็นรูปสระอิ “เขาไม่ใช่ทั้งคนเข้มแข็งหรือเจ้าหน้าที่ ฉันต้องอิจฉาเหรอไง?”

“ไอ้แก่นี่นะเหรอ? ฉันฆ่ามันเองแหละ ตลกสิ้นดี”


 


เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ของชายวัยกลางคนและแววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกลียดอย่างรุนแรง หัวใจของชูฮันก็แทบจะกรีดร้องออกมาลั่น มันกู่ร้องให้เขาฆ่าไอ้เลวนี่


 


ชูฮันมองไปที่ใบหน้าของชายชราตรงหน้าที่บิดเบี้ยว ไม่มีร่องรอยใดบ่งบอกเลยว่าก่อนหน้านี้เขาคือคนจิตใจอ่อนโยนเพราะในตอนนี้ร่างของชายชรานั้นเต็มไปด้วยเลือดนองและมีสภาพเละเทะไปหมด


 


นี่คือลูกชายของคุณ ลูกชายที่คุณทำงานอย่างหนักและยินดีจะรับใช้ราวกับทาส เห็นมั้ยว่ามันพูดอะไร! เห็นมั้ยว่าในแววตาของมันไม่มีความเป็นคนหลงเหลือแล้ว!


 


มันคุ้มค่าหรือไม่?


 


“เฮ้! เฮ้! ท่าน” เมื่อชายวัยกลางคนเห็นว่าชูฮันไม่ปริปากพูดอะไรเลย เขาจึงพยายามเข้าไปใกล้ “ผมได้ยินพวกมันพูด ท่านชื่อชูฮันเหรอ? ท่านมาจากไหน? กำลังจะไปซางจิงหรือเปล่า ท่านพาผมไปด้วยได้มั้ย? ผมจะทำตามท่านทุกอย่าง พร้อมรับใช้เหมือนกับสุนัขที่เชื่อฟังเจ้านาย!”


 


ชายวัยกลางคนทำทุกวิถีทางเพื่อขอร้องโดยไม่สนใจที่จะต้องลดคุณค่าตัวเอง เขารู้ว่าคนตรงหน้าเขานี้เป็นคนที่แข็งแกร่งมาก เขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือใครแต่เขารู้ว่าถ้าเขาเกาะชายคนนี้ไว้ได้ เขาจะได้มีชีวิตอยู่ตลอดไป


 


โชคร้าย ที่ชายวัยกลางเลือกทางเดินผิด


 


ชูฮันเบนสายตาที่จับจ้องร่างชายชราไว้กลับมาที่ชายวัยกลางคนด้วยแววตาที่เปล่งประกายจ้า


 


ขวานซิ่วโหลในมือขยับ—-


 


“อ๊ากกกก—-” ชายวัยกลางคนแหกปากร้อง “ตากู! อ๊ากกก! ตากู!”


 


ชูฮันไม่แม้แต่จะมองชายวัยกลางคน เขาเพียงแค่หมุนตัวและเดินจากไป


 


ฉันจะไม่ฆ่าแกเพราะเห็นแก่ความดีของพ่อแก แต่แกจะไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อขนาดพ่อแกมองไม่เห็นแกยังทำกับท่านแบบนี้ งั้นก็ลิ้มลองรสชาติแบบท่านดู


 


ให้แกอยู่แบบทรมานดีกว่าตายไปง่ายๆ!


 


เสียงฝีเท้าของชูฮันรวดเร็วมาก มันใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบหวังไคไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา มันรู้ว่าชูฮันรู้สึกย่ำแย่มากแค่ไหน และการฆ่าอย่างรุนแรงและรวดเร็วเมื่อครู่นั้นก็ยิ่งทำให้มันหวาดกลัวเข้าไปอีก


 


จนกระทั่งชูฮันออกมาจากหมู่บ้านไกลพอสมควรและหลังจากความเงียบระยะหนึ่ง หวังไคก็พูดเสียงกระซิบขึ้นมา “ชูฮัน ชายชราเป็นคนดี”


 


“อืม” ชูฮันนิ่วหน้า เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามาก


 


“คนดีตายอย่างน่าสังเวช แต่ลูกชายชั่วๆกลับไม่ตาย” หวังไคดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ


 


“อืม” ชูฮันยังคงเพียงเออออตอบ หวังไคไม่รู้ว่าชูฮันคิดอะไรอยู่กันแน่


 


“นี่คือโลกาวินาศเหรอ? นี่คือธรรมชาติของมนุษย์?” หวังไคนึกไม่ออกถึงวิธีการคิดของมนุษย์…เห็นได้ชัดว่าคนดีจะตายก่อนและคนเลวจะได้อยู่


 


“จำที่ฉันพูดกับแกบนเรือได้มั้ย?” ทันใดนั้นชูฮันก็พูดถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว “ทุกคนและทุกสิ่งมีสองด้าน บริสุทธิ์หรือชั่วร้าย”


 


“เอ่อ…” หวังไคส่ายหัว “ฉันไม่เข้าใจ”


 


“ช่างมัน” ชูฮันไม่คิดจะคุยกับหวังไคต่ออีก


 


“ยังไงฉันก็ไม่เข้าใจ นายรู้ดีเพราะนายเคยมีชีวิตในโลกาวินาศมาแล้ว 10 ปี” หวังไคถอนหายใจ


 


“ใช่ แล้วฉันจะได้อยู่ถึงวันสุดท้ายของโลกาวินาศ คนสุดท้าย——” จู่ๆเสียงของชูฮันหยุดชะงัก พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่หยุดเช่นกัน “นายรู้อะไรบ้าง?”


 


“ฉันรู้”


 


“แกรู้อะไร?”


 


“รู้ทุกอย่าง!” รู้ว่า—-“


 


“หุบปากซะ”


 


———–


 


ไม่นานหลังจากชูฮันจากไป มีร่างของคนสองเดินมาจากที่ไกลจนมาถึงหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว มีเลือดนองและซากศพตามพื้นตลอดทางที่ทั้งคู่เดินผ่าน มีรอยเลือดมากมายเปื้อนอยู่บนหิมะสีขาว


 


“เรามาช้าอีกแล้ว”


 


คนสองคนที่พึ่งมาถึงก็คือจุนจื่อและจุ้ยชูนั้นเอง ในตอนนั้นทั้งคู่มองไปที่ศพที่อยู่ตรงพื้นและทันใดนั้นสายตาของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปทันที เพราะที่พื้นมันมีร่างศพของพวกลูกผสมที่ปะปนอยู่กับศพมนุษย์


 


“อ๊ากกกก! ชูฮัน! แกมันปีศาจ!” ชายวัยกลางคนที่มีเลือดไหลออกมาจากตาแหกปากร้องแดดิ้นด้วยความทรมานอยู่ที่พื้น “กูจะฆ่ามึง! ไอ้ปีศาจ!”


 


เมื่อมองไปที่ชายวัยกลางคนที่กำลังแสดงอาการคลั่งอยู่ที่พื้น จุนจื่อก็มองไปที่จุ้ยชู “เขาพึ่งพูดว่า ชูฮัน ใช่มั้ย?”


 


“ถ้างั้นพวกลูกผสมพวกนี้ถูกชูฮันฆ่า?” คิ้วของจุ้ยชูขมวด “นับจำนวนลูกผสมที่ตาย”


 


จุนจื่อรีบหันไปมองหน้าพี่สาวเขาทันที “พี่สาว มันมี 20 ตัว ตรงกับที่เรากำลังตามสอบสวนกันอยู่เลย”


 


“ดูเหมือนจะใช่” จุ้ยชูมองไปที่ชายวัยกลางคนที่ยังคงบ้าคลั่งและแหกปากสาปแช่งชูฮันไม่หยุด “ภารกิจถูกปล้นอีกครั้ง!”


 


“พวกลูกผสมพวกนี้สร้างหายนะมากมายในพื้นที่บริเวณนี้ เหล่าผู้รอดชีวิตที่มุ่งหน้าไปซางจิงต่างถูกฆ่าล้างเป็นจำนวนมาก ชูฮันแค่ผ่านมาและเห็นพวกมันเขาก็ฆ่าพวกมันซะ” จุนจื่อกล่าว “นี่เขาเป็นคนรึเปล่า? ความสามารถในการสู้รบระดับนี้ค่อนข้างน่ากลัวนิดหน่อย! “


 


จุ้ยชูไม่ได้นิ่งสงบเหมือนกับจุนจื่อ เป้าหมายของภารกิจถูกชูฮันชิงตัดหน้าไปถึงสองครั้ง ซึ่งมันทำให้เธอค่อนข้างไม่พอใจเท่าไหร่ เธอมองไปที่ชายวัยกลางคนที่แหกปากร้องอยู่อีกครั้ง


 


เธอดึงมีดที่เปล่งประกายความเย็นชาออกมา และทันใดนั้นก็แกว่งมันจากด้านข้าง!


 


พัฟ!


มีดแทงเข้าที่หัวของชายวัยกลางคนอย่างแม่นยำและรุนแรง!


 


น่าหนวกหูชะมัด!


ตอนที่ 387

 

ครึ่งเดือนต่อมา เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปลายเดือนธันวาคม 2015 แล้ว และอีกเพียงแค่สองวันก็จะเข้าสู่ปีใหม่ แถมมันยังเป็นปีใหม่ครั้งแรกของยุคโลกาวินาศซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ


 


ในขณะนี้ ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิงค่อนข้างมีชีวิตชีวาพอสมควร เสียงดังเซ็งแซ่ของผู้คนมากมายแสดงออกถึงความปิติยินดี กองทหารที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่หลายกองได้เดินทางกลับมาที่ค่ายแล้ว เจ้าหน้าที่หลายนายที่ถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจก็ถูกเรียกตัวกลับมา แม้แต่วิวัฒนาการที่แสวงหาพลังการต่อสู้ที่สูงขึ้นหรือทรัพยากรก็ต่างรีบเร่งกลับมาที่ฐาน


 


ค่ายซางจิง…ค่ายผู้รอดชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในจีนในเวลานี้อัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก มันไม่เคยมีผู้คนรวมตัวกันอยู่ในค่ายมากขนาดนี้มาก่อน เหล่าผู้นำทั้งหลายได้จัดเตรียมพิธีการสำคัญในการแจกจ่ายอาหารและของจำเป็นให้ผู้คน แน่นอนว่าในยุคโลกาวินาศทรัพยากรมีไม่เพียงพอ แต่มันก็สำคัญและจำเป็นต้องทำเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้คนในวันปีใหม่ครั้งที่หนึ่งของยุคโลกาวินาศที่เปรียบเสมือนกับการประกาศเจตนารมณ์


 


เมื่อชูฮันก้าวเท้าเข้ามาในค่ายซางจิง มันก็ใกล้เคียงกับช่วงเวลาในการปล่อยอาหารชุดสุดท้าย ในค่ายเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดทาง ยิ่งเมื่อมีการแจกจ่ายอาหารฟรีด้วยแล้ว จึงยิ่งมีผู้คนมากมายออกมายืนออกันเต็มถนนตั้งแต่เช้าตรู่


 


“พึ่งมาใหม่? ตั้งใจฟังกฏระเบียบของค่ายด้วย” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทำหน้าที่ปล่อยคนเข้าออกมองมาที่ชูฮัน เขาไม่ได้ตรวจสอบอะไรชูฮันมากมายก่อนที่จะปล่อยให้เข้าไปด้านใน เนื่องจากช่วงนี้มันมีผู้คนมากมายกลับมาที่ซางจิง


 


เป็นอีกครั้งที่ได้ก้าวเท้าเข้าสู่ค่ายซางจิง ซึ่งมันห่างหายไปนานหลายปี ชูฮันเคยมีช่วงเวลาที่น่าอับอายกับที่แห่งนี้เมื่อชาติที่แล้ว มันมีการสงครามกับฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่นี้ และเพื่อนร่วมห้องพักกับเขา….ฟางหลงและเติ้งเวยป๋อก็เสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนั้น


 


สงครามนี้จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่มันคือ 8 ปีที่แล้วสำหรับชูฮันและความทรงจำก็ยังคงสดใหม่อยู่สำหรับเขา


 


เบื้องหน้าของชูฮันคือฝูงชนที่อัดแน่น ถนนอัดล้นไปด้วยผู้คนจำนวนมากเดินขวักไขว่ ชูฮันนิ่วหน้าขณะจ้องไปที่ศูนย์อาคารทหารตรงใจกลางของตัวค่าย มีทหารมากมายยืนกั้นทางเข้าไว้ มันยากที่ฝ่าเข้าไปได้ยกเว้นแต่เขาจะสามารถเดินบนหลังคาได้


 


ชูฮันมองขึ้นด้านบนทั้งสองด้านของอาคารทันที ด้านบนหลังคาทั้งสองฝั่งของตัวอาคารมีมือปืนซุ่มไว้อยู่เป็นระยะๆ ถ้าขืนใครบุ่มบ่ามฝ่าเข้าไปอย่างไม่ระวังก็จะกลายเป็นเป้ายิงของมือปืนที่ซุ่มอยู่ทันที…เฮ้อ ปิดกั้นทุกทาง แม้แต่เขามีพลังเทียบเท่ากับวิวัฒนาการระยะ 5 ก็ยังยากที่ผ่านเข้าไปได้


 


“เขยิบที?” คนข้างหลังชูฮันกระซิบพูดกับชูฮัน จากนั้นเขาก็แหกปากขึ้นมา “ถ้าไม่ใช่มีทหารมองมาอยู่ละก็ แกตายแน่ เดินไป!”


 


“เฮ้ย! มีคนเป็นอัมพาต ขยับขาเดินไม่ไหว! ยืนโง่ๆขวางทางอยู่ข้างหน้าอยู่ได้!”


 


เสียงเป่านกหวีดและเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้คนกระแทกเข้าหูของชูฮันจนปวดหัว ชูฮันได้แต่ยืนอย่างทำอะไรไม่ถูกอย่างกลางแถวฝูงชนที่อัดแน่น


 


หลังจากผ่านไปนานพอสมควร ในที่สุดกลุ่มคนที่อัดแน่นก็ค่อยๆลดลงและเริ่มไหลเขยิบไปอย่างปกติ ชูฮันเดินมาถึงแถวหน้า ทหารที่สวมเสื้อคลุมของกองทัพหยิบถุงมาจากด้านข้างและยัดใส่ในมือชูฮัน พร้อมกับพูดอย่างรีบเร่ง “ต่อไป! เร็วเข้า!”


 


ชูฮันกลืนน้ำลาย จากนั้นก็รับถุงมา ข้างในมีเสื้อคลุมกันหนาวและอาหารทั่วไปที่คนปกติสามารถประทังชีวิตไปได้ 2 วัน หากอาหารมันทั้งเย็นชืดและแข็ง


 


และในขณะที่ชูฮันกำลังวางแผนที่จะแอบลอบเข้าไปที่ศูนย์ของค่าย จู่ๆมันก็มีมือแตะลงที่หัวไหล่ของเขาพร้อมกับน้ำเสียงแผ่วเบาที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง “ชูฮัน?”


 


ลูกตาของชูฮันหดตัวทันทีพร้อมกับหันหน้าไปและได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิงสกปรก คาดว่าน่าจะเป็นผู้รอดชีวิตที่อาศัยอยู่ท้ายสุดของค่าย


 


เพียงแค่เสียงของชายหนุ่มคนนี้ก็สามารถทำให้หัวใจของชูฮันแทบจะกระโดดออกมา “เติ้งเวยป๋อ?”


 


“ตามมา” เสียงของเติ้งเวยป๋อแผ่วเบามาก เขาเดินลัดเลาะไปตามข้างทางอย่างรวดเร็ว


 


ชูฮันลอบมองไปที่ทหารรอบๆอย่างระมัดระวังและเดินตามไปทันที คำถามมากมายผุดขึ้นมาเต็มหัวเขาไปหมด ทำไมเติ้งเวยป๋อถึงแต่งตัวเหมือนกับพวกผู้ลี้ภัย? พ่อของเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของค่ายซางจิงหรอกเหรอ?


 


เติ้งเวยป๋อตรงหน้าชูฮันเดินรวดเร็วมากท่ามกลางผู้คนที่อัดแน่น เขาดูค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่นี้ดีและไม่สนใจเสียงก่นด่าไม่พอใจของผู้คนรอบตัวเลยสักนิด


 


ชูฮันรีบเดินตามฝีเท้าของเติ้งเวยป๋อตรงหน้าไป มันมีไม่การพูดคุยใดๆระหว่างนั้นเลย เติ้งเวยป๋อระมัดระวังอย่างมาก หลังจากผ่านไปสักพัก ทั้งสองก็ได้มาอยู่ด้านนอกของบ้านโทรมๆหลังหนึ่ง จะเรียกว่าบ้านก็อาจจะเกินจริงไป มันเป็นแค่ห้องเล็กๆที่เล็กยิ่งกว่าห้องเก็บของซะอีก


 


บริเวณรอบข้างต่างสกปรกและเละเทะและมีกลิ่นเหม็นโชยมา บริเวณแถวๆตัวบ้านก็มีสภาพไม่ต่างกับตรงหน้า ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในบ้านขนาดเดียวกันกับเติ้งเวยป๋อ สภาพของทุกคนก็มอซอหลบซ่อนอยู่ในมุม ได้แต่เหลือบตามองชูฮันที่เดินมากับเติ้งเวยป๋อด้วยความสนใจ


 


นี่เป็นถ้ำของผู้ลี้ภัยและเป็นที่ที่วุ่นวายที่สุดของค่ายซางจิง ไม่ต้องคิดถึงภาพวิวัฒนาการชั้นสูงจะเหยียบเข้ามาในสถานที่แบบนี้เลยเพราะแม้แต่ทหารก็ยังล้มเลิกที่จะเข้ามาควบคุมสถานที่นี้เช่นกัน ตราบใดที่กลุ่มพวกลี้ภัยไม่ไปที่จุดอื่นเพื่อสร้างปัญหา ทางทหารก็จะไม่ทำอะไรและปล่อยไป


 


เติ้งเวยป๋อปัดกลุ่มคนที่อยู่รอบๆออกให้พ้นทาง จากนั้นก็ไขตัวล็อคขนาดใหญ่ตรงทางเข้าบ้านออก ทันใดนั้นเองมันก็มีกลิ่นเหม็นหึ่งโฉยออกมาจนชูฮันอดไม่ได้ที่จะนิ่วหน้า


 


“เข้ามาสิ นี่เป็นที่ที่ฉันอยู่” เติ้งเวยป๋อไม่ได้แสดงท่าทางอึดอัดใจอะไร เขาตรงเดินเข้าไปภายในตัวบ้าน


 


แววตาของชูฮันส่องประกายขบคิดบางอย่างขึ้นมาวูบหนึ่งและรีบลบมันออกไป ตัวบ้านคับแคบและอึดอัดอย่างมาก พื้นที่เล็กๆด้านในอัดแน่นไปด้วยกองขยะ สำหรับชูฮันของพวกนี้คือขยะ แต่มันคือของจำเป็นสำหรับเติ้งเวยป๋อ วัสดุและของเก่าต่างๆที่เติ้งเวยป๋อสามารถนำไปแลกอาหารได้


 


“คือนายจริงๆด้วย ชูฮัน” เติ้งเวยป๋อนั่งลงกับพื้นตรงข้ามชูฮัน และยกเก้าอี้ตัวเดียวที่มีในบ้านให้ชูฮันนั่ง ใบหน้าเปื้อนดินเผยรอยยิ้มออกมา “เราไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้วสิ”


 


“ก็…เห็นได้ชัด” ชูฮันขมวดคิ้วพลางสังเกตไปรอบๆห้อง เขาไม่สามารถยอมรับชีวิตที่น่าสังเวชของเติ้งเวยป๋อได้


 


“เอ่อ!” เติ้งเวยป๋อยิ้มเยาะ แววตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเปื้อนดินเปลี่ยนเป็นดุดัน “พ่อแม่ฉันถูกฆ่าตาย!”


 


“อะไรน่ะ?!” ชูฮันตะลึงและตกใจอย่างมากกับสิ่งที่ได้ยิน


 


เติ้งเวยป๋อในชาติที่แล้วไม่ได้มีชีวิตเลวร้ายแบบนี้ ในตอนนั้นเติ้งเวยป๋อและฟางหลงมีชีวิตอยู่ในเขตมั่งคั่งของค่ายซางจิง แม้ทั้งคู่จะตายในตอนที่เกิดสงครามที่ซอมบี้เข้ามาล้อมค่ายซางจิง แต่นั่นมันก็อย่างน้อยอีกสองปีต่อมา ชีวิตของทั้งคู่ในช่วงสองปีแรกหลังจากการปะทุไม่ได้มีความลำบากลำบนแบบนี้


 


ทว่า การปรากฏตัวของเติ้งเวยป๋อในวันนี้ต่อหน้าชูฮันด้วยภาพลักษณ์แบบนี้ ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากในชาติที่แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกัน?

 

 

 


ตอนที่ 388

 

“ประหลาดใจ?” อารมณ์ของเติ้งเวยป๋อกลับมาสู่ความสงบและยิ้มออกมาอีกครั้ง


 


“ใครคือฆาตกร?” แววตาของชูฮันเปล่งประกายจ้า


 


“ชูฮัน ฉันไม่อยากพูดแบบนี้” อย่างไม่คาดฝัน เติ้งเวยป๋อมองชูฮันด้วยแววตาจริงจัง “ฉันขอจัดการแก้แค้นให้พ่อแม่ฉันด้วยตัวเอง”


 


“นาย—–” ชูฮันไม่รู้จะพูดอะไรต่อ การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างกระทันหันทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แม้การกลับมาชาติมาเกิดใหม่จะส่งผลต่อสถานการณ์ทุกอย่างที่ให้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือจากชาติที่แล้วได้ แต่การตายของพ่อแม่เติ้งเวยป๋อเป็นเรื่องที่ชูฮันไม่อาจทำใจยอมรับได้ แม้เขาจะยังไม่กระจ่างกับสาเหตุของเรื่องนี้ก็ตาม


 


“เปลี่ยนเรื่องพูดกันเถอะ” เติ้งเวยป๋อดูเหมือนไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ต่ออีก เขาเพียงแค่มองไปที่ชูฮันด้วยสายตาเป็นประกายและแฝงไปด้วยความอิจฉา “ดูเหมือนว่านายจะมีชีวิตที่ดีนะ?”


 


ชูฮันเต็มไปด้วยความขมขื่นและไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรดี ในตอนนี้ท่ามกลางห้องที่คับแคบ การแต่งกายของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งเนื้อทั้งตัวของเติ้งเวยป๋อดูเป็นผู้ลี้ภัย แต่ชูฮันกลับดูไม่ต่างจากเดิมในยุคศิวิไลซ์เท่าไหร่…ช่องว่างระหว่างทั้งคู่มันกว้างมาก


 


“ใช่นายรึเปล่า?” ทันใดนั้นเติ้งเวยป๋อก็หายใจเข้าด้วยความตื่นเต้นพลางถามออกมา “พลเอกคนใหม่ของซางจิงชื่อเดียวกันกับนาย และคนคนนั้นก็เป็นวิวัฒนาการระยะ 3 นายก็เห็นรายชื่อการประเมิณของเสาหินข้างนอกใช่มั้ย? อันดับหนึ่งของรายชื่อการประเมิณของวิวัฒนาการระยะ 2 คะแนนการต่อสู้โดยรวมที่ S+ !”


 


“ใช่ ฉันเห็น” ชูฮันขมขื่นอย่างมาก มันมีประโยคที่ติดอยู่ในลำคอเขามานาน ในที่สุดชูฮันก็ถอนหายใจและเอ่ยออกมา “แล้วฟางหลงล่ะ? นายเห็นเขาบ้างมั้ย?”


 


สีหน้าของเติ้งเวยป๋อตึงขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ภาวะซึมเศร้าเรื่องพ่อแม่ที่พึ่งจางหายไปได้กลับมาอีกครั้ง เขาก้มหน้าลง มือสั่นเทา “ฟางหลงตายแล้ว”


 


ปัง!

มือของชูฮันที่อยู่ด้านข้างโต๊ะตบโต๊ะกระแทกอย่างแรง ขาโต๊ะมีเศษไม้หลุดกระเด็นออกมาเล็กน้อยด้วยแรงปะทะที่รุนแรง


 


“เขาตายยังไง?” หลังจากผ่านไปสักพัก ชูฮันก็ถามออกมา


 


“ซอมบี้” เสียงของเติ้งเวยป๋อแผ่วเบา


 


ชูฮันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาออกมาจากบ้านเติ้งเวยป๋ออย่างไร เขาไม่ได้บอกเติ้งเวยป๋อว่าตอนนี้เขาเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 และไม่ได้บอกว่าเขาเป็นพลเอกที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ ชูฮันไม่ได้พูดอะไรเลย เขาเพียงแค่กล่าวลากับเติ้งเวยป๋ออย่างเงียบๆและจากมา


 


“ชูฮัน” หลังจากพักหนึ่ง หวังไคก็ถามคำถามที่ตัวมันไม่สามารถทำความเข้าใจได้ขึ้นมา “เขาไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องพักที่มหาวิทยาลัยของนายหรอกเหรอ ทำไมนายไม่ช่วยเขาล่ะ?”


 


ชูฮันยังคงเดินต่อไป ก้าวทีละก้าวมุ่งหน้าไปที่ศูนย์กลางของค่าย “ทุกคนมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง สำหรับฉันแม้เติ้งเวยป๋อจะเป็นปมสำคัญสำหรับฉัน แต่ไม่ว่าจะทั้งฟางหลงหรือฟานฮงเหวียง พวกเขาคือคนที่ตายไปแล้วเมื่อ 8 ปีก่อน”


 


หวังไคประหลาดใจอย่างกับสิ่งที่ได้ยิน “แต่ก่อนหน้านี้นายไม่ได้คิดแบบนี้ ก่อนที่นายจะเจอพ่อแม่ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนายคือการตามหาคนพวกนี้ แล้วทำไมนายถึงไม่ช่วยพวกเขา? ถึงแม้วิถีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้จะต่างออกไป แต่ทำไมจู่ๆความคิดของนายถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้?”


 


ชูฮันไม่ตอบตรงๆ เขาเพียงแค่พูดประโยคอื่น “นายสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอื่นภายในบ้านนั้นเหรอไง?”


 


หวังไคพยักหน้า “ใช่ มันเหม็นอับ แถวนี้มันก็เหม็นเหมือนกันหมด มันสกปรกเกินไป คงเป็นเพราะไม่ได้ทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน”


 


“เปล่า” ชูฮันพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเย็นชา “นั่นมันคือกลิ่นเลือด”


 


———–


 


ไม่นานหลังจากที่ชูฮันเดินจากไป เติ้งเวยป๋อที่เดินมาปิดประตูก็เดินไปตรงพื้นบริเวณที่เขานั่งก่อนหน้านี้ และค่อยๆกวาดซากขยะตรงพื้นออก และเปิดแผ่นไม้ที่ปิดอยู่ตรงพื้นขึ้น ทันใดนั้นมันก็มีกลิ่นเลือดเข้มข้นลอยโชยออกมาเต็มตัวบ้าน


 


มันเป็นหลุมด้านล่างลึกขนาด 1 เมตรและคับแคบอย่างมาก มันมีถังอยู่ข้างใน และชายคนหนึ่งอยู่ในถังนั้น ขาของชายคนนั้นหัก ตาของเขาถูกควักออกไป และลิ้นก็ถูกตัด


 


“ได้ยินมั้ย?” ใบหน้าของเติ้งเวยป๋อที่ก่อนหน้านี้ได้เจอกับชูฮันเปลี่ยนท่าทีนิ่งสงบเป็นครุมเคลือ “ชูฮันถามถึงนาย!”


 


“แอ๊! แอ! แอ๊! เอ่อ!” ชายที่อยู่ในถังด้านล่างพยายามส่งเสียงพูด ทว่ามันมีแต่เสียงจากลำคอที่ถูกเปล่งออกมา เขาไม่สามารถพูดได้เพราะลิ้นถูกตัดออกไป มันจึงมีแต่เสียงเล็กแหลมที่ลอดออกมาจากลำคอ เขามีท่าทางดิ้นรนและได้แต่ขยับตัวถังไปมา


 


ถ้าชูฮันอยู่ที่นี้ ชูฮันคงจะจำชายคนนี้ได้ยิน…เขาคือคนที่เติ้งเวยป๋อบอกกับชูฮันว่าถูกซอมบี้ฆ่าตาย


 


“เฮอะ! มึงจะต้องอยู่ที่นี้ไปทั้งชีวิต!” เติ้งเวยป๋อตะคอกใส่หน้าฟางหลง จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ไม่ต้องกังวล ต่อให้กูจะกินไม่อิ่ม แต่กูจะไม่ปล่อยให้มึงอดตายแน่นอน กูจะทรมานมึงตลอดไป!”


 


“ปัง!”


เติ้งเวยป๋อปิดฝาอย่างแรง…ชูฮันมาที่ค่ายซางจิง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน!


 


—————-


 


“หยุดอยู่ตรงนั้น”

ตรงใจกลางของค่ายซางจิง นายทหารสองนายที่อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารออกคำสั่งหยุดชูฮันไว้ มันคือสถานที่ที่สำคัญที่สุดของทั้งค่ายซางจิง สถานที่แห่งนี้แยกห่างออกมาจากบริเวณที่ผู้คนอยู่อาศัยออกมา มันไม่ใช่แค่การคุ้มกันรอบๆอาคาร แต่เป็นทั้งถนน ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่น ทุกอย่างสะอาดเรียบ แม้แต่ทหารคุ้มกันด้านนอกก็ยังเป็นทหารที่เป็นวิวัฒนาการ


 


ชูฮันเงยหน้ามองไปที่อาคารบัญชาการทหารที่อยู่ตรงหน้า วันมะรืนนี้จะเป็นวันแรกของปีใหม่ หากที่นี้ยังคงใช้มาตราการเข้มงวดอย่างมาก ชูฮันเห็นพลโทมากมายเดินตรวจตราตามถนน


 


ทหารสองนายเห็นชูฮันที่ไม่ได้แต่งกายเหมือนกับผู้รอดชีวิตทั่วไป หนึ่งในนั้นจึงเอ่ยปากพูดกับชูฮัน “นี่คือฐานชั้นใน คนนอกไม่สามารถเข้าใกล้ได้”


 


ชูฮันอยากจะพูด—–


 


“เดี๋ยว” ทันใดนั้นทหารอีกนายก็เอ่ยขึ้น “เขาอาจจะมาลงทะเบียนเกณฑ์ทหาร แต่คงมาหาผิดที่? ฉันได้ยินหัวหน้าพูดว่ามีหลายคนที่กลับเข้ามาซางจิงมาผิดทางเข้า”


 


“คงจะจริง” นายทหารคนแรกที่หยุดชูฮันไว้พยักหน้า เขาปล่อยชูฮันเคว้งไว้ขณะหันไปคุยกับนายทหารข้างๆ “ประชากรในค่ายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ ทุกคนต้องการอยู่ที่นี้ในปีใหม่ วันแรกของคำสาบาน”


 


“ใช่ ฉันรู้สึกเสียดาย” สีหน้าของนายทหารไม่ค่อยยินยอม “ฉันเข้ามาในกองทัพได้ครึ่งเดือนแล้ว ฉันรู้ว่าฉันต้องรออีกครั้งเดือน วันแรกหลังปีใหม่ ฉันจะสาบานเพื่อจะเข้าค่ายทหาร และฉันได้ยินมาว่า 80% ของนายพลได้กลับมาเข้าร่วมการประชุมปีใหม่ จากนายพล 15 คน มี 10 คนกลับมา มีคนดังมากมายให้เห็น!”


 


“ฉันเข้าค่ายทหารไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นี่ฉันพลาดโอกาสเหรอเนี่ย?”


 


ทหารทั้งสองนายต่างรู้สึกเสียดาย ทั้งคู่มีสีหน้าเศร้าๆ พวกเขาลืมไปอย่างสิ้นเชิงเลยว่าชูฮันกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาและรอคอยที่จะเข้าไปด้านใน


 


“ประชุมปีใหม่อะไร?” ชูฮันเอ่ย “แล้วทางเข้าค่ายทหารเป็นครั้งแรกอยู่ตรงไหน?”

 

 

 


ตอนที่ 389

 

เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ในชาติที่แล้วเขาไม่ได้เข้าร่วมกับกองทัพ เขาไม่เข้าใจเมืองชั้นในภายในของค่ายซางจิง ทั้งระบบต่างๆ และกฏข้อห้าม แม้แต่กระบวนการทั้งหมดของกองทัพ เขาไม่รู้อะไรเลย และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในสถานที่นี้


 


ทว่าด้วยเพราะมันเป็นสถานที่ที่เข้มงวดที่สุดแล้วภายในค่ายเพราะฉะนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเข้าไปชั้นในได้ ทางค่ายมีกฏบังคับที่เข้มงวดเป็นเรื่องปกติเพื่อรักษาความมั่นคงของการดำเนินงาน


 


“ฮ้า! ไอ้หนู แกโชคดีชะมัด!” ทหารยามมองมาที่ชูฮันด้วยความอิจฉา จากนั้นก็ชี้หน้าชูฮัน “มาฉันเอง ฉันจะพานายไปเอง”


 


ชูฮันรีบเดินตามไปทันที “ขอบคุณ”


 


“ไม่ต้องขอบคุณอะไร ฉันก็แค่ขี้เกียจ” ทหารยามนายนั้นยิ้มและจ้องมาที่ชูฮัน “ช่วงนี้มีคนมาเข้าร่วมกองทัพเยอะมาก ฉันต้องไปดูคนพวกนั้นบ้างซะหน่อย”


 


ขณะพูดคุยกันอยู่ นายทหารยามคนนี้ก็พาชูฮันมาถึงทางเข้าของเมืองชั้นใน ไม่ห่างจากทางเข้าที่ชูฮันเจอ มันมีห้องๆหนึ่งที่ด้านนอกนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาเพื่อลงชื่อเข้าร่วมกับกองทัพ


 


“วิวัฒนาการตั้งแถวทางซ้าย! คนธรรมดาตั้งแถวทางขวา! พรสวรรค์เดินตรงเข้ามาฉันตรงนี้เลย!” นายทหารที่ดุท่าทางดุดันนายหนึ่งตะโกนขึ้นเสียงดังโดยใช้ลำโพง เขายืนพูดซ้ำๆอยู่อย่างนั้นด้านนอกห้อง มันยังมีทหารบางคนอยู่บริเวณด้านหลัง ไม่มีใครอยู่ตรงแถวของพรสวรรค์ หากมีแถวยาวของคนเข้าคิวรออยู่ทั้งสองฝั่ง


 


สถานการณ์นี้เป็นเรื่องปกติทั่วไป เพราะสุดท้ายแล้วพรสวรรค์นั้นหาตัวเจอได้ยากมาก


 


“คนเยอะมาก!” ทหารที่พาชูฮันมาถอนหายใจ จากนั้นเขาก็หันมาพูดกับชูฮัน “แกเป็นคนธรรมดาหรือวิวัฒนาการ? ไปเข้าคิวก่อน แถวมันยาวมากจนไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่”


 


ชูฮันไม่ได้พูดอะไรก่อนจะเดินไปเข้าแถวของวิวัฒนาการ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ตั้งแต่เขามาถึงซางจิง เขาเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเข้าแถว


 


“ใครรู้บ้างนั่นคือใคร?” ผู้คนเริ่มพูดซุบซิบกัน


 


“นั่นคือพันตรี เขาชื่อ หลินเทียนซี ได้ยินว่าเขาเป็นแค่วิวัฒนาการระยะ 2 แต่มีพละกำลงมหาศาล”


 


“ใช่ ฉันยังไม่ได้บอกชื่อฉันกับแกเลย” ไม่ต้องรอให้ชูฮันพูด จู่ทหารยามที่พาชูฮันมาก็พูดขึ้นเอง “ชื่อของฉันคือ จูเล่อเลอ อย่ามองเหมือนชื่อฉันเป็นผู้หญิง ฉันเป็นชายแท้”


 


ชูฮันแค่อยากจะบอกว่าไม่ต้องอธิบายเพราะเขามองเห็นได้ด้วยตาตัวเอง โชคร้ายที่จูเล่อเลอไม่ให้ชูฮันได้มีโอกาสพูด “ฉันไม่ได้คาดหวังให้นายเป็นวิวัฒนาการ นายชื่ออะไร? โอ้ใช่! ฉันชื่นชมพันตรีหลินเทียนซีมาก ฉันควรเข้าไปคุยกับเขามั้ย? เสียดายที่ตำแหน่งฉันต่ำเกินไป อีกฝ่ายคงจะเมินฉัน——“


 


จูเล่อเลอพูดและจู่ๆเขาก็พบว่าข้างกายเขาไม่มีใคร และเมื่อหันหน้าไปอีกทางเขาก็เห็นชูฮันเดินไปทางด้านหน้า


 


“เอ่อ…แกจะไปไหน? ทำไมมันไม่เข้าแถว?” จูเล่อเลอตะโกนถามชูฮัน เขาพยายามจะดึงตัวชูฮันกลับมา


 


และในตอนนั้นเองชูฮันก็เดินมาหยุดที่หน้าแถวของทุกคนที่ประกอบไปด้วยวิวัฒนาการที่กำลังกรอกข้อมูลส่วนตัวอยู่ และทหารหญิงที่กำลังยืนตะลึงอยู่ต่อหน้าชูฮัน——


 


พ้ะ!


คริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 ถูกวางลงบนโต๊ะ น้ำเสียงของชูฮันเต็มไปด้วยความจริงจัง “ฉันต้องการเข้าไปเดี๋ยวนี้”


 


เงียบกริบ——–


 


เสียงของกลุ่มวิวัฒนาการที่ก่อนหน้านี้ดังระงมเงียบสนิททันที และมือของจูเล่อเลอที่กำลังจะเอื้อมมาดึงเสื้อผ้าชูฮันก็ค้างกลางอากาศ ทหารหญิงแสนสวยตรงหน้าชูฮันอ้าปากค้าง


 


พ้ะ!


ปากกาของวิวัฒนาการคนหนึ่งที่กำลังกรอกข้อมูลอยู่ถัดไปจากชูฮันตกลงกระแทกพื้น เขามองมาที่ชูฮันด้วยสายตาหวาดกลัว


 


เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนบุ่มบ่ามเข้ามา มันดูทั้งมีพลังและสดใหม่!


 


ความเงียบสงบที่เกิดอย่างกระทันหันของฝั่งวิวัฒนาการทำให้ฝั่งคนธรรมดาเงียบตามไปด้วย บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา พวกเขาไม่กล้าจะพูด เหล่าวิวัฒนาการที่ต่างจับจ้องไปที่ชูฮัน ส่งผลให้ฝั่งคนธรรมดาก็มองตามไปที่ชูฮันอย่างเงียบๆเช่นกัน


 


สถานการณ์ในตอนนี้แปลกมากสำหรับทุกคน


 


หวังไคที่อยู่ในกระเป๋าชูฮันถอนหายใจ เจ้าจูเล่อเลอนี่น่ารำคาญจนชูฮันยอมฝ่าเข้ามาและยกคริสตัลให้เพื่อตัดปัญหา มันคือความพินาศชัดๆ!


 


“คุณ? คุณ?” ใบหน้าสวยงามของทหารหญิงขึ้นสีแดง เธอแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่ร่อมร่อ


 


มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย โดยเฉพาะในเมืองนี้ คนทั่วไปที่มาลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพจะเป็นวิวัฒนาการระยะ 1และ 2 เท่านั้น ส่วนวิวัฒนาการที่ระยะสูงกว่านั้นมักจะสร้างปัญหา มันต้องได้รับการอ้างอิงจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงก่อน ทว่าคนตรงหน้าเธอกลับหยิบคริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 ออกมาง่ายๆ…เธอควรทำอย่างไรดี?


 


ทหารหญิงคนสวยได้แต่ขบคิดอยู่ในหัว การที่ผู้ชายคนนี้มีคริสตัลของซอมบี้ระยะ3 มันเป็นไปได้แค่ 2 กรณีเท่านั้นป่ะ


 


ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนอื่นเอามาให้และคนคนนั้นก็ต้องเป็นคนที่มีความสามารถมากเกินกว่าเธอจะเอื้อมได้ หรือผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นคนฆ่าซอมบี้ระยะ 3 ด้วยตัวเองและได้คริสตัลมา นี่ยังพิสูจน์ไม่พออีกเหรอ? อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็ต้องเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 แน่ๆ?


 


ถ้างั้นเธอยิ่งอึดอัดมากกว่าเดิมอีก!


 


แง่หนึ่ง มันเป็นคำสั่งของกองทัพที่ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ และในอีกแง่หนึ่งก็คือผู้ชายที่ทรงพลังจนเธอไม่สามารถต้านได้


 


เธอจะทำอย่างไรดี? เธอไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน!


 


“คุณ?” ทหารหญิงคนสวยมองไปที่ชูฮันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ และเป็นเวลานานที่เธอไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาพูดดี


 


“ฉัน…” ชูฮันไม่รู้แน่ชัดว่าทหารหญิงคนนี้คิดอะไรอยู่ แต่ชูฮันก็หันหน้าไปพูดกับเธออีกครั้ง “ฉันบอกว่าฉันอยากเข้าไปเดี๋ยวนี้”


 


“ไม่ได้” ทหารหญิงพูดโพล่งออกมา เธอก้มหน้าลงพูดกับชูฮัน ทว่าน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ไปเข้าคิว!”


 


พ้ะ!


มันมีเสียงกระซิบของผู้คนดังขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยคริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 อีกชิ้นวางลงบนโต๊ะ คริสตัลสีดำสองก้อนสะท้อนประกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์


 


น้ำเสียงของชูฮันเรียบนิ่งหากเต็มไปด้วยความกดดัน “2 ชิ้นพอรึยัง?”


 


วิวัฒนาการระยะ 1 ที่ก่อนหน้านี้กรอกข้อมูลทั่วไปอยู่ข้างๆชูฮันแทบจะตาถลนออกมาทันที เขามองไปที่เศรษฐีหน้าใหม่ตรงหน้าด้วยความกลัว จูเล่อเลอและวิวัฒนาการที่อยู่ด้านหลังยิ่งช็อคเข้าไปใหญ่ อ้าปากค้างกันหมด เพื่อที่จะลัดคิวผู้ชายคนนี้ถึงกับหยิบคริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 ขึ้นมาแลกถึงสองชิ้น ผู้ชายคนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะมีปัญหาทางสมองก็คงมีคริสตัลเยอะเกินไป


 


หลินเทียนซีที่อยู่ตรงกลางของทางเข้า ก็สังเกตเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ เขาเดินเข้ามาเรื่อยๆ


 


“เศรษฐีหน้าใหม่ เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ!” ทันใดนั้นจูเล่อเลอก็กอดขาชูฮัน

 

 

 


ตอนที่ 390

 

คำพูดของจูเล่อเลอที่ดังลั่นได้ทำลายความเงียบก่อนหน้านี้ทันที ทันใดนั้นฝูงชนก็เริ่มส่งเสียงกันไม่หยุดและพากันจับจ้องมาที่ชูฮันด้วยสายตาหลากหลายที่ผสมไปด้วยความดูถูกและรังเกียจ


 


เช่นเดียวกับเหล่าวิวัฒนาการ ใครคือคนมาใหม่ที่มาลงทะเบียนเข้าร่วมกับกองทัพกัน? ทำไมมันถึงมีคริสตัลของซอมบี้ระยะ 3?


 


แต่ระดับความตกใจนั้นแตกต่างจากกลุ่มคนธรรมดาอย่างสิ้นเชิง ด้วยเพราะสำหรับคนธรรมดา พวกเขาสามารถรับมือได้แค่เพียงซอมบี้ระยะ 1 เท่านั้น แม้แต่คริสตัลของซอมบี้ระยะ 2 ยังหาดูได้ยากสำหรับพวกเขาเลย หากในตอนนี้ชูฮันกลับหยิบคริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 ออกมาโต้งๆถึง 2 ชิ้นอย่างไม่สนอะไร


 


“ไอ้เศรษฐีหน้าใหม่นั้นมาจากไหนกัน?”


 


“ใครให้คริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 กับเขา?”


 


“เขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มวิวัฒนาการ!”


 


“แต่ถ้ามันเป็นระะ 3 หรือสูงกว่านั้น ทำไมมันถึงมาเข้าแถวที่นี้?”


 


“ฉันไม่รู้! แกว่าใช้คนที่มีชื่อเสียงบนรายชื่อเสาหินรึเปล่า?”


 


“ไม่น่าใช่! พวกคนระดับสูงขนาดนั้นจะมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?”


 


ชูฮันได้ยินที่คนรอบตัวเขาพูดคุยกันถึงเขาทุกอย่าง อีกครั้งที่เขานึกถึงพฤติกรรมที่น่าดูแคลนของหลูปิงเซ่อ แต่ละสถานที่จะมีการผันผวนของราคา แต่มันก็คล้ายๆกันหมดอยู่ดี โดยเฉพาะภายในค่ายผู้รอดชีวิตที่ใหญ่ที่สุดของจีนแบบนี้ คริสตัลของซอมบี้ระยะ 2 สามารถแลกเปลี่ยนอาหารได้เป็นจำนวนมาก และคริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 ก็ยิ่งล้ำค่าขึ้นไปอีก แต่หลูปิงเซ่อและจางโบฮั่นมีหัวคิดดี ไวน์หนึ่งแก้วแลกกับคริสตัลของซอมบี้ระยะ 2 ซึ่อถือเป็นการข่มเหงภายในพื้นที่ท้องถิ่นที่ทรัพยากรขาดแคลน


 


แต่เมื่อชูฮันถามตัวเองให้ใคร่ครวญให้ดี เขาก็คิดว่าเขาควรขยายร้านค้ามืดแบบนั้นในที่ห่างไกลทุรกันดานบ้างดีมั้ย?


 


และในขณะที่ชูฮันกำลังขบคิดอยู่ในใจ มันก็มีมือหนึ่งตบลงเบาๆที่ไหล่เขา “สถานการณ์ของนายคืออะไร?”


 


น้ำเสียงที่ใช้ไม่มีความสุภาพและไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด หลินเทียนซีมองมาที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขม็ง ละจ้องไปที่คริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 สองชิ้นตรงหน้าทหารหญิงที่กำลังมีท่าทางหวาดกลัว แววตาของหลินเทียนซีเป็นประกายจ้าขึ้นมาทันที


 


ด้านจูเล่อเลอที่ยืนดูหลินเทียนซีอยู่ก็ล้มเลิกความคิดที่จะเป็นเพื่อนกับเจ้าเศรษฐีใหม่นี่แล้ว พันตรีที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 2…นี่ต่างหากแรงสนับสนุนที่ดีในค่ายซางจิงที่เขาควรสร้างมิตรไว้


 


ทหารหญิงคนสวยรู้สึกโล่งอก ในเมื่อพันตรีหลินเทียนซีมาที่นี้แล้วและขวางทางผู้ชายคนนี้ไว้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรเธอก็จะไม่เดือดร้อน เธอเกือบจะแย่แล้ว!


 


ชูฮันหันกลับไปมองหลินเทียนซีและพูดขึ้น “ฉันแค่อยากจะเข้าร่วมทีม”


 


คริสตัลของซอมบี้ระยะ 3 สองชิ้นอาจดูมีค่ามากสำหรับคนอื่น แต่มันเป็นเพียงแค่ 20 คะแนนเท่านั้นสำหรับชูฮัน การฆ่าซอมบี้สำหรับคนอื่นๆถือเป็นการเปลืองพลังงานทิ้งเปล่าๆ แต่สำหรับชูฮันมันต่างไป เขาได้รับคะแนนเมื่อเขาฆ่าซอมบี้!


 


ซอมบี้ทุกตัวทำให้เขาได้รับคะแนน!


 


ประกอบกับมีหวังไคที่เป็นผู้ช่วยอเนกประสงค์ ชูฮันจึงไม่ต้องลำบากไล่เก็บคริสตัลขณะฆ่าซอมบี้ ซึ่งมันช่วยประหยัดเวลาและพลังงานได้เยอะมากและเป็นเพราะการบังคับกลายๆและการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของระบบล่มสลาย ในตอนนี้เขาจึงมีคะแนนเป็นพันๆ เพราะฉะนั้น 20 คะแนนนั่นจึงไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับเขา


 


อีกครั้งที่คำตอบของชูฮันทำให้ทุกคนเงียบกริบ ทุกคนต่างจ้องมาที่ชูฮันด้วยความกลัว พันตรีหลินเทียนซีเดินมาหาผู้ชายคนนี้เองถึงที่และถามว่าทำไมถึงได้อยากจะเข้าร่วมให้ได้มากขนาดนี้


 


สีหน้าของหลินเทียนซีฉายแววกระด้างขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง “การลัดคิวเป็นกฏข้อห้ามของที่นี้ ถึงแม้นายจะเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 ก็ตาม”


 


ทหารหญิงคนสวยรีบจดบันทึกข้อความนี้ไว้ทันที หากครั้งต่อไปเธอต้องเจออะไรแบบนี้เธอจะได้รู้ว่าควรรับมืออย่างไร!


 


จูเล่อเลอกังวลเล็กน้อย หลินเทียนซีกับชูฮันงัดข้อกันต่อหน้าทุกคน นี่มันไม่ดีแล้ว? เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครรู้ว่าชูฮันมีพลังอะไร…


 


เมื่อมองไปที่แววตาหยอกล้อในดวงตาของหลินเทียนซี ชูฮันก็เลิกคิ้วขึ้นและกวาดฝ่ามือหยิบคริสตัลบนโต๊ะกลับคืน


 


ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างมึนงง…พวกเขาประนีประนอมกันรวดเร็วมาก ท่าทางผู้ชายคนนี้คงเป็นแค่วิวัฒนาการธรรมดาๆ นี่มันกล้าขนาดใช้คริสตัลง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ?


 


และในจังหวะที่ทุกคนมีสีหน้าดูถูกชูฮันกันอยู่นั้น ทันใดนั้นชูฮันก็โยนคริสตัลสองชิ้นในมือขึ้นเล่นต่อหน้าหลินเทียนซีอย่างล่อตาล่อใจ “นอกจากการลัดคิวแล้ว มันไม่หนทางอื่นสำหรับฉันแล้วเหรอ ฉันไม่ต้องการรอ?”


 


เฮือก!


ทุกคนมองมาที่ชูฮันด้วยสายตาตกใจอย่างมาก…นี่ผู้ชายคนนี้กำลังคิดจะติดสินบนหลินเทียนซี


 


หัวใจของจูเล่อเลอเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง ไอ้เศรษฐีใหม่นี่รวยจริงๆ แถมยังเป็นคนตรงและดุเดือดอีก แต่เนื่องจากหลินเทียนซีเป็นถึงพันตรี มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรับสินบน


 


ทหารหญิงคนสวยรีบกวาดสายตาสังเกตสถานการณ์อีกครั้ง รอฟังวิธีการหลีกเลี่ยงของหลินเทียนซี


 


ทว่าเหนือความคาดหมาย ปากของหลินเทียนซีเผยอขึ้น จากนั้นก็กล่าวว่า  “แถวตรงนี้มันยาวเกินไปจริงๆ และยังไงมันก็ไม่มีพรสวรรค์เข้ามาอยู่แล้ว นายมาลงทะเบียนกับฉันโดยตรงเลยก็ได้”


 


“หาาาา—-“


ผู้คนเริ่มส่งเสียงตกใจ...แม้แต่หลินเทียนซีก็ยังรับสินบน?


 


แถมยังทำอย่างโจ่งแจ้ง!


 


“ฉันไม่ได้รับสินบน” หลินเทียนซีแย้ง ขณะที่ทุกคนต่างเริ่มพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยาม…ไม่รับสินบน แล้วอยู่ดีๆยอมช่วยเพื่ออะไร?


 


แน่นอนว่าใช่ มันเห็นได้ชัดๆ!


 


“ฉันช่วยนาย นายควรจะกล่าวขอบคุณฉัน” ประโยคต่อมาของหลินเทียนซีทำลายภาพในจินตนาการของทุกคนจนหมด…นี่ไม่ใช่การรับสินบน นี่เป็นการช่วยเหลือง่ายๆและหลินเทียนซีก็ไม่ได้รับคริสตัลไปซะหน่อย!


 


ริมฝีปากของชูฮันบิดเบี้ยวและท่ามกลางความตะลึงของทุกคน หลินเทียนซีก็เดินไปตรงจุดลงทะเบียนของพรสวรรค์ ซึ่งมันไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ทำให้ประหยัดเวลาไปได้มากจริงๆ


 


“นี่เป็นใบสมัคร กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน” หลินเทียนซีหยิบกระดาษขึ้นมาและส่งให้ชูฮัน และในเวลาดียวกันมือของเขาก็ไม่ได้ชักกลับ เขาวางแผนรอให้ชูฮันแอบส่งคริสตัลมาให้กับเขา


 


หากชูฮันกลับเล่ห์เหลี่ยมสูงกว่า เขาทำเหมือนกับไม่เห็นมือของหลินเทียนซีและเพียงแค่รับใบสมัครมา ก้มหน้าอ่าน


 


“แค่ก!” หลินเทียนซีแสร้งทำเป็นไอ เขาจะลองทำแบบเดิมอีกทีหลังจากไอ้หนุ่มนี้กรอกข้อมูลเสร็จ แต่ไอ้หนุ่มตรงหน้าเขาดูซื่อบื้อจริงๆ


 


และในขณะที่ชูฮันพึ่งจะกรอกข้อมูลงไปได้แค่ไม่กี่คำในใบสมัคร จู่มันก็มีน้ำเสียงโหดเหี้ยมดังมาจากทางด้านหลังของชูฮัน


 


“มีพรสวรรค์มา?” จู่ๆพลตรีสิงโตก็เดินเข้ามา ก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของหยางเทียนในเมืองอันลูจนมีสภาพดูไม่ได้ แต่พลตรีสิงโตในตอนนี้มีหน้าตาหล่อเหลา มันไม่มีแม้แต่รอยยับบนเครื่องแบบทหารที่เขาสวมใส่อยู่ แถมตราของพบตรีบนหน้าอกก็ยังส่องประกายเลื่อมเงาอีก

 

 

 


ตอนที่ 391

 

การปรากฏตัวของพลตรีสิงโตผู้บ้าคลั่งยิ่งทำให้อารมณ์ของผู้คนพุ่งทะยานขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเหล่าคนที่ลงทะเบียนเพื่อสมัครเข้ากองทัพต่างตื่นเต้นดีใจกันใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้เจอกับทหารระดับพลตรี!


 


“ท่านพลตรี!”


 


“ท่านพลตรี!”


 


มันมีเสียงแหกปากโห่ร้องของผู้คนดังสนั่น ทว่าพลตรีสิงโตกลับไม่แม้แต่จะเอาคนพวกนี้ไว้ในสายตา เขาจ้องตรงมาที่ชูฮันอย่างแน่วแน่ ด้วยเพราะตรงที่ของชูฮันมันเป็นพื้นที่เว้นว่างขนาดใหญ่ระหว่างฝูงชนทั้งสองฝั่ง แถมชูฮันก็ยังกำลังกรอกข้อมูลอยู่ตรงจุดของพรสวรรค์อีก มันจึงยากที่จะไม่สังเกตเห็นได้


 


“ท่านพลตรีสิงโต! วันทยาหัตถ์!”


 


หลินเทียนซีและเจ้าหน้าที่ทหารทุกคนต่างแสดงความเคารพต่อพลตรีสิงโตตามระเบียบการทหารทันที หลินเทียนซีที่เป็นคนนำวันทยาหัตถ์เริ่มวิตกกังวลอยู่ในอก


 


ทำไมจู่ๆพลตรีถึงมาที่นี้ได้? และถ้าเขาโดนจับได้ว่าอำนวยความสะดวกให้ไอ้หนุ่มนี้ เขาต้องโดนจับได้คาหนังคาเขาแน่! แล้วเขาจะทำอย่างไร เขาจะโดนลดตำแหน่งหรือโดนปลดทันทีรึเปล่า?


 


จูเล่อเลอเองก็ประหม่าเมื่อเห็นพลตรีสิงโต เขาพึ่งจะเข้าร่วมกองทัพมาได้เพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น แม้มือและแขนของเขาจะทำท่าวันทยาหัตถ์ตามระเบียบการปกติ ทว่าขาของเขาทั้งสองข้างนั้นสั่นไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับระดับนายพล!


 


แน่นอนว่า ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว จึงมีแต่คนตำแหน่งใหญ่โตอยู่ไปทั่วทุกหนแห่งในค่ายซางจิง!


 


เพียงแค่เหลือบตาเดียว พลตรีสิงโตก็เดินมาถึงชูฮันแล้ว ทุกคนต่างมองไปที่คนสองคนที่เผชิญหน้ากันอยู่อย่างเงียยบๆ หากคราวนี้ภาพมันแตกต่างออกไป


 


ชูฮันไม่ได้ทำวันทยาหัตถ์!


 


มันแค่วูบหนึ่งที่จูเล่อเลอเห็นจุดจบของตัวเอง หัวใจของเขาเต้นกระโดดราวกับจะหลุดออกมา ไอ้คนมาใหม่นี่มันกล้ามาก แถมยังคิดจะติดสินบนพันตรีหลินอีก และตอนนี้ก็อยู่ต่อหน้าพลตรีสิงโต


 


มันต้องเป็นบ้าแน่ๆ?!


 


หลินเทียนซีแทบอยากจะตบหน้าชูฮันซะตอนนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ ทำไมเขาถึงยอมช่วยไอ้หนุ่มไร้สมองนี้เพื่อแลกกับคริสตัลแค่สองชิ้น?


 


พลตรีสิงโตยืนอยู่ต่อหน้าชูฮัน สายตากวาดมองชูฮันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาที่ไม่คิดจะหลบซ่อน ความไม่พอใจฉายชัดทางแววตา “คนธรรมดา?”


 


ทันทีที่คำพูดของสิงโตหลุดออกมา ทันใดนั้นชูฮันก็เอามือตบปากตัวเองและเหลือบมองพลตรีสิงโตด้วยหางตา สายตาของชูฮันมีแววล้อเลียนขณะมองมาที่ตราตำแหน่งที่หน้าอกของพลตรีสิงโต จากนั้นชูฮันก็ทำเพียงพยักหน้ารับ


 


“หึ!” พลสิงโตไม่พอใจกับท่าทางของชูฮันอย่างทาก เขาแสยะยิ้ม “พลเรือนในเขตนี้กล้าที่จะไม่ทำความเคารพพลตรี คิดว่าพรสวรรค์จะทำตัวอยู่เหนือกฏหมายได้งั้นเหรอ?”


 


อีกครั้งที่ชูฮันเหลือบมองตราที่หน้าอกของพลตรีสิงโต สายตาของชูฮันไม่เปลี่ยนแปลง และไม่มีการเคลื่อนไหวใด


 


“ทำความเคารพท่านสิ!” หลินเทียนซีที่อยู่ข้างๆกลัวจนแทบจะเป็นลมและรีบกระซิบบอกชูฮันทันที


 


“ฉันไม่ต้องการ!” พลตรีสิงโตที่หมดความอดทนแล้วพูดขึ้น ความหวาดกลัวที่มีต่อพลังของพรสวรรค์ทำให้พลตรีสิงโตอยากจะขัดขวางชูฮัน เพราะถึงอย่างไรก็ตามเฉินชาวเย่ก็ยังเป็นหน้าเป็นตาอยู่และไม่มีใครกล้าจะทำตัวเป็นศัตรูกับพรสวรรค์ ใครจะรู้ว่ามันจะเก่งกาจเทียบเท่ากับเฉินช่าวเย่หรือเปล่า?


 


“ขอดูหน่อยสิว่าพรสวรรค์จะเก่งกาจขนาดไหน” พลตรีสิงโตพูดพร้อมกับคว้ากระดาษที่ชูฮันกรอกข้อมูลบนโต๊ะขึ้นมา


 


บรรยากาศในตอนนี้น่าอึดอัดมาก ทุกคนรอบๆรู้ดีว่าชูฮันไม่ได้เป็นพรสวรรค์!


 


อย่างที่คาดไว้!


 


“ไอ้เวร!” พลตรีสิงโตเงยหน้าขึ้นมาและตะคอกใส่ชูฮัน ใบหน้าที่กำลังโกรธขึ้นสีแดงด้วยความเดือดและรอไม่ไหวที่จะฆ่าผู้ชายตรงหน้าทิ้งซะ “วิวัฒนาการ? แกไม่เพียงแต่จะหยาบคาบกับฉันแต่ยังเป็นแค่วิวัฒนาการ?”


 


ทุกคนไม่แม้แต่จะกล้าส่งเสียงอะไรออกมา ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาพยายามลดการมีตัวตนของตัวเอง โดยเฉพาะหลินเทียนซีที่หน้าตาดำคร่ำเครียด เขากลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาอย่างมาก!


 


ชูฮันก้าวไปข้างหน้า จ้องตาเขม็งใส่พลตรีสิงโต “เมื่อกี้นายสบถใส่ใคร?”


 


พฤติกรรมกระทันหันของชูฮันทำให้ทุกคนบริเวณนั้นแทบอยากจะหมุนตัวและวิ่งหนีออกไปทันที ตอนนี้พลตรีสิงโตกำลังเกรี้ยวกราด แต่ผู้ชายคนนี้ยังกล้าจะเผชิญหน้าอีก?


 


นอกเหนือจากที่โดนกลุ่มของซางจิงตี้ทำให้ขายหน้ามาจากเมืองอันลู พลตรีสิงโตไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อนในค่ายซางจิง ไอ้หน้าอ่อนตรงหน้าเขานี้ไม่ได้เป็นทั้งพรสวรรค์หรือเก่งกาจอะไร แต่มันยังกล้าพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้!


 


“ไอ้ห่า! เ*ย!” พลตรีสิงโตตวาดใส่ชูฮัน พร้อมกับชี้นิ้วด่าใส่หน้าชูฮันอย่างโกรธจัดและตะคอก “ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้! และอย่าคิดว่าจะได้เข้ามาเหยียบที่นี้อีก อยากจะเข้าร่วมกองทัพงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า กูจะทำให้มึงไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ทั้งชีวิต! มึงจะไม่มีวันได้ใส่ชุดทหารในชาตินี้!”


 


อย่างเหนือความคาดหมาย ทันใดนั้นปากของชูฮันก็เผยรอยยิ้มลึกออกมา ท่าทางผ่อนคลายราวกับไม่สนใจอะไรของชูฮันยิ่งยั่วยุอารมณ์ของพลตรีสิงโตให้เดือดขึ้นไปอีก “นายหมายความว่า นายต้องการไล่ฉันออกไปจากที่นี้และห้ามไม่ให้ฉันเข้าร่วมกับกองทัพ? และในอนาคตฉันก็ไม่มีทางได้เป็นทหารงั้นเหรอ?”


 


“ไร้สาระ นี่กูต้องพูดอีกรอบเหรอ มึงหูหนวกเหรอไง?” พลตรีสิงโตผู้บ้าคลั่งตะคอกใส่ชูฮันทันที พร้อมกับพูดจาดูถูกชูฮันไม่หยุด “หมามันก็โง่อยู่วันยังค่ำ เสียเวลากูชะมัดที่ต้องมาเสวนากับมึง”


 


แววตาของชูฮันฉายประกายความเยาะเย้ยออกมา “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรต้องพูด แต่การที่นายอิจฉาฉันมันยังไม่จบหรอกนะ”


 


เมื่อชูฮันพูดจบ ทันใดนั้นชูฮันก็ยื่นมือออกไป และยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง——


 


เฮ้ย!


ร่างของพลตรีสิงโตลอยขึ้น!


 


พลตรีสิงโตบ้าคลั่งไม่มีเวลาจะได้ตอบโต้อะไร จู่ร่างของเขาก็โดนชูฮันยกจนลอยขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวโดยที่พลตรีสิงโตขัดขืนอะไรไม่ได้ ภาพที่เกิดขึ้นได้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อทุกคนที่มองมา หากยังไม่ทันที่สมองของทุกคนจะได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น——-


 


ปึง!

เกิดเสียงดังขึ้น!


 


ร่างของพลตรีสิงโตร่วงหล่นลงพื้นราวกับถุงกระสอบทราย!


 


การกระทำของชูฮันนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วและดุดัน พลตรีสิงโตถูกเขวี้ยงลงพื้นง่ายๆเสมือนกับโยนของทิ้งลงถังขยะ ฝุ่นที่พื้นฟุ้งกระจายไปทั่ว และในเวลาเดียวกันนั้นเองฟันของพลตรีสิงโตก็กระแทกเข้ากับพื้นจนฟันหลุด 2 ซี่และมีเลือดกบปาก


 


ชูฮันเดินไปทางพลตรีสิงโตที่กองอยู่ที่พื้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วมากภายในพริบตาเดียว นอกเหนือจากตัวพลตรีสิงโตแล้วไม่มีใครรู้ว่าชูฮันจริงๆทำอะไรลงไปบ้าง และไม่มีใครรู้ว่าชูฮันมีพละกำลังที่มากขนาดนี้ได้อย่างไร พลังผันผวนของชูฮันหายวับไปภายในพริบตาจนเหล่าวิวัฒนาการไม่สามารถจับได้ทันและสำหรับคนธรรมดานั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆสำหรับพวกเขาเลย


 


มันเกินขอบเขตความสามารถของพวกเขาที่จะจับพลังผันผวนได้ทัน!


 


หลังจากชูฮันโยนพลตรีสิงโตทิ้ง เขาก็ยืนมองมาที่พลตรีสิงโตที่กองอยู่ที่พื้นและยิ้มออกมา

 

 

 


ตอนที่ 392

 

“แค่ก! แค่ก!”


 


สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถอธิบายได้ มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ทว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ


 


ตำแหน่งที่ขึ้นต้นด้วยนายพลของเขา วิวัฒนาการระยะ 3 ถูกเขวี้ยงทิ้งโดยเด็กหนุ่มที่ไม่มียศตำแหน่งอะไรเลย!


 


อึก!


เสียงกลืนน้ำลายอึกดังไล่จากคนแล้วคนเล่าดังไล่ต่อๆกันมา ทั้งคนธรรมดาและวิวัฒนาการที่มาลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมกองทัพต่างเดินถอยหนีกันไปคนละก้าวทันที ทุกคนกลัวจนตัวหด กลัวผลกระทบที่จะได้รับเมื่อความโกรธของพลตรีสิงโตดูท่าจะระเบิดออกมาร่อมร่อ


 


หลินเทียนซีและจูเล่อเลอเองก็รู้สึกกลัวเช่นกัน ขาของพวกเขาสั่นเทิ้ม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวและเริ่มเหนือการควบคุม ในตอนนี้ถ้าพวกเขาไม่ยืนอยู่ที่เดิมเฉยๆก็ต้องรีบเข้าไปดึงชูฮันไว้ให้หยุด!


 


แต่…


ใครจะกล้า?


 


ไอ้หนุ่มที่สามารถปราบพลตรีสิงโตที่เป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 3 ได้ภายในพริบตาเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีทางเผชิญหน้ากับไอ้หนุ่มนี้ได้แน่นอน ไม่จำเป็นต้องรอการยืนยันอะไรทั้งนั้น!


 


ณ ตอนนี้ความกลัวและวิตกได้ก่อตัวขึ้นทั้งถนน ทุกคนไม่กล้าที่จะปริปากพูดอะไรออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ทุกคนได้แต่มองมาที่ชูฮันและพลตรีสิงโตตรงกลางถนนอย่างเดียว


 


ทันทีที่พลตรีสิงโตยืนขึ้น เลือดที่คั่งอยู่ในปากก็ไหลทะลักออกมาทันที


 


“มึง!” สายตาของพลตรีสิงโตเต็มไปด้วยความโกรธอัดแน่น พร้อมกับแหกปากร้องใส่ชูฮัน “ไอ้สั*! มึงต้องโดนโทษตาย—–“


 


“ปัง!”

ทันใดนั้นเท้าของชูฮันข้างหนึ่งก็ฟาดเข้าที่หน้าของพลตรีสิงโตทันที ท่าทางของชูฮันดูนิ่งและธรรมดามาก ไม่ปริปากพูดอะไรสักคำนอกจากเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็มองไปที่ทหารหญิงคนสวยที่ยืนถือวิทยุสื่อสารไว้ในมือ


 


ทหารหญิงกลัวมาก ขณะที่มันมีเสียงดังของคลื่นวิทยุดังออกมาจากวิทยุสื่อสารในมือของเธอท่ามบรรยากาศที่เงียบสงบ


 


“สวัสดี? ได้ยินมั้ย? ตอบด้วย! ตอบด้วย!” มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังลอดวิทยุสื่อสารออกมา ซึ่งน้ำเสียงที่พูดนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและความกังวล


 


พลตรีสิงโตใช้พละกำลังที่เหลือแหกปากให้เสียงเข้าไปหาวิทยุสื่อสาร “อ๊ากกก!! มัน @#$*&#%ฉัน– ฉัน—ฉันคือพลตรีสิงโต! มาที่นี่! มานี่! มาที่สำนักงานลงทะเบียนของกองทัพ! มีข้าศึกโจมตี—–“


 


ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสนิท เสียงของพลตรีสิงโตนั้นดังก้องและชัดเจนไปทั่วและผ่านทะลุเข้าไปในวิทยุสื่อสาร และชูฮันก็ไม่ได้คิดจะห้ามการกระทำของพลตรีสิงโตเลยสักนิด ยิ่งเฉพาะคำว่า ข้าศึกโจมตี ยิ่งทำให้ชูฮันพอใจ”


 


ชูฮันเคยเจอกับคนซื่อบื้อและใช้แต่กำลังอย่างสิ้นเปลืองเปล่าๆมามาก แต่เขาไม่เคยเจอคนที่โง่เง่าและทำให้ตัวเองเดือดร้อนอย่างโง่ๆแบบนี้มาก่อน


 


พลตรีสิงโตรู้แล้วว่าวันนี้เขาน่าจะเจอกับคนมีฝีมือเข้าจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อคนตรงหน้าที่ทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้เลย แรงกดดันมหาศาลที่ไหลออกมาจากคนตรงหน้าทำให้พลตรีสิงโตรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


 


แต่มันไม่สำคัญ ถึงแม้ไอ้นี่มันจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่เขาจะขยี้มันให้จมดิน เขาจะให้ทหารทั้งหน่วยจัดการกับมันทันที ต่อให้มันจะแข็งแกร่งมาจากหรือต่อให้จะเป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 4 มันก็จบเห่แล้ว กองทัพไม่มีทางยอมให้คนแบบนี้มีอำนาจแน่นอน


 


แถมเขาได้ดำเนินแผนการไปแล้ว การพูดว่ามีข้าศึกโจมตีจะดึงดูดทหารมาได้เป็นจำนวนมาก แถมสภาพที่น่าสงสารของเขาในตอนนี้ก็แน่นอนว่าจะทำให้ทุกคนเชื่อได้อย่างแน่นอนว่าไอ้เวรนี้จงใจทำร้ายเขา แล้วผลที่ตามมาก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง


 


พลตรีสิงโตพยายามกดความขุ่นเคืองที่มีในอกไว้ และสาบานว่าเมื่อเวลาของเขามาถึงเขาจะจัดการกับไอ้เวรตรงหน้าเขานี่ด้วยตัวเอง มันกล้าจะเหยียบหน้าเขา เขาจะเอาชีวิตมัน!


 


“ศัตรู?” มันมีความตื่นตระหนกและวุ่นวายอยู่ในน้ำเสียงของคนที่ติดต่อผ่านวิทยุสื่อสาร ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่วิ่งกรูกันกึกก้อง คนจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาที่นี้แล้ว


 


ฟึบ! ฟับ! ฟึบ! ฟับ!—-


 


ไม่นานกลุ่มทหารที่แต่งกายเต็มยศก็วิ่งหรูกันมาจากทางหัวมุม


 


“ศัตรู! ศัตรู!”


 


“สถานที่คือสำนักงานลงทะเบียน! ด้านหน้า!”


 


“ระวังภัยๆ! ศัตรู!”


 


ทั่วทั้งเมืองกลายเป็นตื่นตระหนก แม้แต่ระดับนายพลต่างก็ตื่นตัวกันหมดกับสัญญาณเตือนภัย


 


“ลูกผสมเหรอ? มันหน้าตายังไง? มีใครเห็นบ้าง?” ร้อยโทคนหนึ่งชักดาบขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยปากถามลูกน้องของตัวเองอย่างพร้อมจะออกรบ


 


ลูกน้องของร้อยโทได้แต่ตอบ “ผมไม่รู้ครับ”


 


“ข้าศึกเหรอ?” ผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงที่อยู่ในศูนย์บัญชาการผุดลุกขึ้นและเอ่ยถามเจิ้งท่าวที่เป็นคนเข้ามารายงานสถานการณ์


 


“ครับท่าน! พลตรีสิงโตเป็นคนรายงานเข้ามาครับ!” เจิ้งท่าวตอบกลับไปอย่างกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่ค่ายผู้รอดชีวิตซางจิงถูกข้าศึกโจมตี แถมยังเกิดขึ้นตรงเมืองชั้นในอีก จึงยิ่งทำให้เจิ้งท่าววิตกกังวลและกระวนกระวายเข้าไปอีก


 


“เหอเฟิง! ไปดูสถานการณ์สิ!” ผู้บัญชาการมู๋ออกคำสั่งทันที “เลาหมิง เรียกประชุมฉุกเฉิน!”


 


“ครับ!”


 


ในตอนนั้นเอง ตรงด้านนอกของทางเข้าของสำนักงานลงทะเบียน กลุ่มคนที่มาลงทะเบียนต่างยืนเงียบนิ่งอย่างตะลึงมาเป็นเวลาพักใหญ่พอสมควร ทุกคนต่างจับจ้องสายตาไปที่ชูฮันกันหมดด้วยความอึ้ง


 


ทหารหญิงคนสวยที่ถือวิทยุสื่อสารไว้แทบจะเป็นลม เธอแทบจะอดไม่ไหวจนอยากจะตบพลตรีสิงโตให้ตาย เขาตะโกนออกไปแบบนั้นได้ยังไง ถึงแม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะทำผิดจริงๆและทำกับพลตรีอย่างอวดดี แต่เขามีแค่ตัวคนเดียว ตรงไหนคือคำว่าข้าศึก?


 


ไหนคือความสง่างามของการเป็นทหาร?!


 


หลินเทียนซีและจูเล่อเลอเองก็ตะลึงเช่นกัน พวกเขาตัดสินใจที่จะยืนนิ่งอยู่ด้านข้างแทน ในเมื่อทุกอย่างมันมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าแล้วว่าใครผิดใครถูก


 


และในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกับสถานการณ์อยู่ เท้าของชูฮันที่เหยียบอยู่ที่หน้าของพลตรีสิงโตก็ยังไม่ขยับไปไหนเลย มันมีเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากระยะไกลและกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับเสียงโห่ร้องที่ดังก้อง—


 


“ไหนข้าศึก? กูจะจัดการมันเอง!” พลตรีนายหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามา ชื่อของเขาคือ หลิวยู่ติง ในมือมีแท่งเหล็กขนาดใหญ่แต่เขายังดูหนุ่มมาก ปีนี้หลิวยู่ติงมีอายุ 22 ปี ใบหน้าเหี้ยมโหดพร้อมฆ่าฟัน ด้านหลังตามมาด้วยหน่วยเจ้าหน้าที่ทหาร ในมือของทุกคนมีอาวุธพร้อมรบ


 


เพียงแค่วิ่งดาหน้าเข้ามาได้ครึ่งทาง กลุ่มทหารก็หยุดชะงักทันทีและมองไปที่สถานการณ์ด้านหน้าอย่างตะลึง พลตรีสิงโตที่ถูกเหยียบคาไว้ที่พื้น ผิวหนังบวมช้ำและมีเลือดไหล เท้าที่เหยียบคาไว้ที่หน้าของพลตรีทั้งใหญ่และเย่อหยิ่งแถมยังเป็นรองเท้าบู้ทคุณภาพดีเยี่ยมอีก


 


สีหน้าของพลตรีหลิวยู่ติงดูกลายเป็นโง่เง่าทันท แท่งเหล็กในมือร่วงหล่นลงพื้น มือหนึ่งสั่นเทาขณะชี้ไปที่ชูฮันอย่างตกใจ

 

 

 


ตอนที่ 393

 

หลายคนต่างประหลาดใจที่ได้เห็นท่าทางของพลตรีหนุ่มที่มีตำแหน่งเท่ากันกับพลตรีสิงโต จากนั้นทุกคนก็เบนสายตาไปที่ชูฮันที่ยังคงเหยียบเท้าคาไว้ที่หน้าของพลตรีสิงโตอยู่เหมือนเดิม และทันใดนั้นทุกคนก็อึ้ง


 


สองคนนี้รู้จักกันงั้นเหรอ?


 


พลตรีสิงโตที่เกรี้ยวกราดหัวใจแทบหลุดออกมาจากอก แต่ไม่นานพลตรีสิงโตก็หันไปมองหลิวยู่ติงพร้อมกับท่าทางโล่งอก “แกไม่เห็นว่าฉันโดนทำร้ายอยู่เหรอไง? ยังไม่ฆ่ามันอีก!”


 


ถึงจะมีตำแหน่งระดับเดียวกัน แต่พลตรีสิงโตไม่คิดว่าหลิวยู่ติงแข็งแกร่งกว่าเขา นอกเหนือจากคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขา หรือมีระยะวิวัฒนาการสูงกว่า ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่กลัวเกรงใครทั้งนั้น


 


หลิงยู่ติงได้สติกลับมาด้วยเสียงตะคอกของพลตรีสิงโต แต่เขาก็ยังลังเลว่าจะทำอย่างไรดีพลางมองไปที่ริมฝีปากของชูฮัน


 


สายตาของชูฮันเต็มไปด้วยคำถาม…ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้คือใครกัน?


 


“รอห่าอะไรล่ะ?” พลตรีสิงโตตะคอกขึ้นมาอีกคร้ัง ดิ้นรนอย่างน่าสมเพช “มัวแต่เสียเวลาอยู่ได้ พลตรีถูกทำร้ายแต่แกกลับนิ่งเฉย? เร็วเข้า ฆ่าไอ้เวรนี่ทิ้งซะ!”


 


ทหารหลายนายที่ยืนอยู่ถัดจากหลิวยู่ติงนิ่วหน้า และหนึ่งในพันเอกที่อายุประมาณ 30 ปีก็ส่งเสียงกระซิบ “ท่านพลตรี ศัตรูคือ?…”


 


นายพันเอกตัดสินใจที่จะปล่อยเรื่องชูฮันไว้ก่อนและจ้องไปที่พลตรีสิงโตข้างหน้า “ท่านสิงโตเป็นพลตรี แล้วข้าศึกล่ะคือใครครับ?”


 


นอกเหนือจากนี้ชูฮันยังเป็นคนนอกอีกต่างหาก เพราะคนอื่นๆได้ลงทะเบียนเข้าร่วมกับกองทัพเรียบร้อยแล้ว มันไม่การขยับเขยื้อนใดๆ ไม่มีความวุ่นวาย แต่ประเด็นเรื่องข้าศึกบุกนั้นได้ถูกป่าวประกาศไปแล้ว ตอนนี้เจ้าหน้าที่ทั่วทั้งค่ายรับรู้เรื่องกันหมดแล้ว แต่ไหนล่ะข้าศึก?


 


“พวกแกตายกันหมดแล้วเหรอไง?” พลตรีสิงโตตาถลนใส่หลิงยู่จิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ไอ้เด็กนี้คือข้าศึก มันทำร้ายพลตรี มันไม่ใช่ข้าศึกเหรอไง?”


 


ทหารหลายนายถึงกับงงงวย พวกเขาได้รับแจ้งว่ามีข้าศึกโจมตี


 


หลิวยู่ติงแทบจะกระอักเลือด เขาได้แต่เลียริมฝีปากและตะโกนอย่างรุนแรง “พลตรี คุณรู้หรือไม่ว่าข้อมูลผิดพลาดนี้ได้แพร่สะพัดไปทั้งเมือง มันวุ่นวายกันไปใหญ่โตแล้ว”


 


ความไม่พอใจอัดแน่นอยู่ในอกของพลตรีสิงโต เท้าของชูฮันเหยียบอยู่บนหน้าเขามานานเป็น 10 นาทีแล้ว แล้วไอ้พวกทหารที่แห่วิ่งกันมาก็ยังนิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะทำอะไรสักอย่าง


 


“เร็วเข้าสิ เอาไอ้เด็กนี่ออกไป! เห็นได้ชัดว่ามันผิดกฏหมายทหาร ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ระดับพลตรี!” พลตรีสิงโตที่บ้าคลั่งกระอักเลือดออกมาขณะตะโกนเร่งให้คนเข้ามาช่วย “เร็วสิวะ! ไอ้เด็กไม่รู้จักโตนี่มันฝ่าฝืนกฏหมายทหาร ยังไม่ทำอะไรอีกเหรอวะ!”


 


“เอาล่ะ!” หลิวยู่ติงรับคำพลตรีสิงโต จากนั้นก็บอกทหารรอบๆตัว “เร็วเข้า รีบส่งข่าวกลับไป มันไม่มีข้าศึกโจมตี”


 


“ครับ!” ทหารนายหนึ่งรีบหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมารายงานสถานการณ์


 


หน่วยทหารขนาดใหญ่ในตัวเมืองที่พึ่งถูกเรียกรวมตัว สลายตัวกันทันที หลายคนไม่พอใจและหลายคนในนั้นก็มีตั้งแต่ตำแหน่งระดับนายพลและร้อยโท หลายคนที่รู้ว่ามันเป็นข่าวผิดพลาดต่างโมโหพลตรีสิงโตที่แจ้งข่าวผิดๆ และวิ่งไปที่ห้องประชุมเพื่อต่อว่าประณามอย่างไม่พอใจ


 


ขณะนี้ ในห้องประชุมอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่มาประชุมฉุกเฉินกันเต็มไปหมด การประชุมยังไม่ทันได้เริ่มก็ได้รับข่าวแล้วว่าเรื่องข้าศึกบุกโจมตีเป็นข่าวผิด ผู้คนมากมายที่เข้าร่วมประชุมเริ่มมีสีหน้าครึ้ม พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้จัดการลอกหนังพลตรีสิงโตกัน


 


เป็นถึงระดับนายพล แต่แค่เรื่องแบบนี้ยังแยกแยะไม่ได้!


 


ในเวลาเดียวกัน พลตรีสิงโตที่อยู่ด้านนอกทางเข้าของเมืองชั้นในก็มองมาที่หลิวยู่ติงด้วยสายไม่อยากจะเชื่อ “แกเป็นบ้าเหรอไง? ฟันหน้ากูหลุด และกูก็โดนซ้อม ทำไมแกถึงทำให้เรื่องเงียบลง ต้องเอาเรื่องมันสิวะ?”


 


หลิวยู่ติงถอนหายใจและเดินก้าวมาไม่กี่ก้าวเพื่อดูภาพพลตรีสิงโตที่นอนอย่างน่าสมเพชอยู่ที่พื้น จากนั้นก็เอ่ยปาก “พลตรี คุณอยู่ในกองทัพมานานแค่ไหนแล้ว? คุณได้เข้าร่วมการฝึกหรือเปล่า? คุณรู้ความหมายของคำว่า ‘ข้าศึกโจมตี’ หรือเปล่า?”


 


คำถามติดต่อกันสามคำถามถูกถามพลตรีสิงโตออกมาทันที พลตรีสิงโตไม่ใช่นายทหารเก่าก่อนที่จะเกิดการปะทุ แต่เป็นพลตรีที่ควบคุมทีมวิวัฒนาการ เนื่องจากพลตรีสิงโตเป็นคนแรกที่กลายเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 เขาจึงเป็นข้อยกเว้น…


 


ทว่า เมื่อเปรียบเทียบกับหลิวยู่ติงที่เรียนจบมาจากโรงเรียนทหารโดยเฉพาะ เขาจะสนใจเฉพาะระเบียบกฏที่ถูกต้องตามกฏระเบียบทหารเท่านั้น ไม่สนใจผลประโยชน์ส่วนตัว


 


ชูฮันมองไปที่นายพลตรีหนุ่มที่ทำลายแผนการของพลตรีสิงโต แต่เท้าของเขาก็ยังคงคาอยู่ที่หน้าของพลตรีสิงโตอยู่เหมือนเดิม แล้วพลตรีหนุ่มนี้จะทำอย่างไรต่อ?


 


มากไปกว่านั้น พลตรีหนุ่มคนนี้รู้จักเขางั้นเหรอ?


 


แต่ฉันไม่รู้จักเขา!


 


“แล้วมันล่ะ?” พลตรีสิงโตตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาที่ตัวเองก่อไว้ และชี้นิ้วไปที่ชูฮันขณะหันไปตะคอกใส่หลิวยู่ติง “มันทำร้ายพลตรี!”


 


ทหารรอบๆที่เดินทางมาพร้อมกับหลิวยู่ติงต่างก็มีความสงสัยในแววตาเช่นกัน ข่าวลือของพลตรีสิงโตได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว


 


“นายช่วยรีบยกเท้าออกเร็วๆที” หลิวยู่ติงพูดกับชูฮันอย่างงุ่มง่าม น้ำเสียงและสายตาที่มองมาดูเหมือนคุ้นเคยกับชูฮันดี


 


ชูฮันเหลือบตามอง จากนั้นเขาก็ยกเท้าออกและเดินไปยืนอีกฝั่งหนึ่ง ชูฮันตัดสินใจที่จะดูสถานการณ์ต่อไปก่อน


 


แต่ใครคือพลตรีหนุ่มนี้กัน? เขาไม่เคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อน


 


แต่ผู้ชายคนนี้รู้ว่าเขาคือใครเหรอ?


 


แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ ถ้าอีกฝ่ายรู้เขากำลัจะรับตำแหน่งนายพลเรือเอก อีกฝ่ายไม่น่าจะใช้น้ำเสียงแบบนี้คุยกับใคร มันดูเหมือนน้ำเสียงที่ใช้คุยกับเพื่อนเก่ามากกว่า นี่มันอะไรกันแน่?


 


ทันทีที่เท้าของชูฮันชักออกไปจากหน้าของพลตรีสิงโต พลตรีสิงโตก็รีบผุดลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่สนใจรอยเท้าที่ขึ้นรอยชัดบนหน้าตัวเอง “ฉันถามว่า แกจะจัดการไอ้เด็กนี่มั้ย? มันทำร้ายพลตรี คนมากมายก็เห็น แกไม่เห็นเหรอไง?”


 


เขาถูกทำให้อับอายต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เขาไม่มีทางยอมเด็ดขาดถ้าเขาไม่ได้ฆ่าไอ้เวรนี่!


 


หลิวยู่ติงเหลือบมองชูฮัน และความหมายในสายตาที่มองมาทำให้ชูฮันประหลาดใจมาก


 


“พลตรีสิงโต คนคนนี้คือเพื่อนเก่าผมเอง” หลิวยู่ติงยิ้มและพูดกับพลตรีสิงโต คริสตัลของซอมบี้ระยะ 4 ยังคงอยู่ในมือชูฮัน


 


ชูฮันตกใจ…นี่มันอะไรกัน?


 


“ไม่!”


วินาทีต่อมา ชูฮันและพลตรีสิงโตตะโกนประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน ทว่าจุดประสงค์ของทั้งฝ่ายนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง


 

 

 


ตอนที่ 394

 

พลตรีสิงโตผุดลุกขึ้นยืนขณะมองไปที่เท้าของชูฮันที่ก่อนหน้านี้เหยียบเขาเอาไว้ นี้มันเป็นไปได้ยังไง? ทำไมมันถึงมีคริสตัลของซอมบี้ระยะ 4 ได้ เขาไม่สามารถเทียบกับไอ้เด็กนี่ได้ติดเลย เขาจำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือจากกองทัพ


 


ถ้าวันนี้เขาไม่ได้ฆ่าไอ้เวรนี่ให้ตาย อย่ามาเรียกเขาว่าสิงโต!


 


หลิวยู่ติงมีสีหน้าแปลกๆ ไม่ใช่เพราะเสียงคัดค้านของพลตรีสิงโตแต่เป็นเพราะชูฮันเองก็ส่งเสียงคัดค้านเช่นกัน เขาอุตส่าห์ไว้ใจว่าชูฮันจะดูแลตัวเองได้แต่นี่อะไร อยู่ดีๆก็ควักเอาคริสตัลของซอมบี้ระยะ 4 ออกมา?


 


นายคิดอะไรอยู่….ชูฮัน!


 


ชูฮันทำให้ทุกอย่างยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีก พลตรีโง่เง่านี่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ คนแรกที่วิ่งมาถึงเพื่อช่วยพลตรีสิงโตคือระดับยศพลตรีเช่นกัน…หลิวยู่ติง ที่เป็นพลตรีหนุ่มที่มีความสามารถและซื่อตรง อีกทั้งนอกจากชูฮันจะไม่มีท่าทีกังวลหรือกลัวการเหยียบหน้าทหารยศสูงอย่างพลตรีสิงโตแล้วแต่ท่าทางยังนิ่งสงบดูไม่ทุกข์ร้อนอีก


 


ได้! ในเมื่อทุกอย่างให้เรื่องเงียบ งั้นก็ได้! หึ!


 


เขาไม่ยอม จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด มันต้องยิ่งใหญ่ ใหญ่เท่าไหร่ยิ่งดี ม่ถึงขนาดผู้บัญชาการแต่อย่างน้อยต้องระดับนายพล


ไม่อย่างนั้น เขาจะป่าวประกาศให้หมด! พลตรีสิงโตคิด


 


ความคิดของทั้ง 3 คนแตกต่างกันออกไป หากแต่ละคนก็มีความคิดที่แน่วแน่ของตัวเอง มันแทบจะไม่สอดคล้องกันเลย ตอนนี้มันกลายเป็นมุมสามเหลี่ยม ทุกคนต่างอยู่กันคนละมุม


 


ในมุมมืดมุมหนึ่ง เหอเฟิงมองมาที่ภาพสถานการณ์ที่อยู่ไม่ไกลข้างหน้า พร้อมกับยกวิทยุสื่อสารในมือขึ้นมา…


 


ภายในห้องประชุมฉุกเฉินภายในศูนย์บัญชาการของเมืองชั้นใน คนมากมายต่างตบโต๊ะโวยวายกันด้วยความไม่พอใจ ในตอนนั้นเองผู้บัญชาการมู๋ก็วางวิทยุสื่อสารในมือลง “ใจเย็นๆ ค่ายของเราแค่มีแขกมาเยือน มันเลยเกิดความวุ่นวายขึ้น พลตรีสิงโตแค่ตื่นตระหนกก็เลยเผลอหลุดคำว่าข้าศึกโจมตีออกมา”


 


เพียงแวบเดียว นายทหารยศสูงทั้งหลายในห้องประชุมก็มีท่าทีสับสนขณะจ้องมาที่ผู้บัญชาการมู๋ด้วยแววตาลังเล


 


“ใครกัน”


 


“ชูฮัน”


 


—————


 


“มึงต้องการใช้คริสตัลแลกเพื่อให้มึงได้ผ่านไป?” พลตรีสิงโตหัวเราะพลางชี้นิ้วใส่หน้าชูฮัน “ไอ้พลเรือนคนนี้มาที่นี้เพราะต้องการเข้าร่วมกับกองทัพ แต่มันทำร้ายพลตรี พลเรือนทำร้ายเจ้าหน้าที่ถือเป็นอาชญากรรม! กูบอกมึงแล้วว่านี่ยังไม่จบ วันนี้กูจะต้องฆ่าไอ้คนลี้ภัยที่ไม่มีตัวตนนี่ให้ได้!”


 


หลิวยู่ติงรู้สึกค่อนข้างรำคาญ ทุกอย่างเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เกินกว่าจะควบคุม—-


 


“ปัง!”


จู่ๆชูฮันก็กระแทกเข้าที่หน้าของพลตรีสิงโต!


 


พัฟ!


เลือดไหลทะลักออกมาจากปากของพลตรีสิงโต ร่างยืนไม่มั่นคงจนเซถอยหลัง


 


ชูฮันสะบัดมือ เขาตบพลตรีสิงโตต่อหน้าทุกคน!


 


ตาของหลิวยู่ติงแทบจะถลนออกมา หัวใจเต้นระรัว สีหน้าเหมือนหมดหนทางและไม่รู้จะทำอย่างไรดี


 


พลตรีสิงโตหลุบตาเหลือบมองใบหน้าอีกซีกของตัวเองที่ซึ่งบวมเป่ง และมองมาที่ชูฮันด้วยสายตาชั่วร้าย “มึงกล้า—-“


 


“ปัง!”


ชูฮันปล่อยอีกหมัดใส่พลีสิงโต


 


ชูฮันพูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “หุบปาก”


 


หน้าของหลิวยู่ติงคร่ำเครียด…ชูฮันเป็นบ้าไปแล้วเหรอไง?


 


และในขณะนั้นเอง——–


 


ซือ—- ซือ—–


วิทยุสื่อสารในมือของใครสักคนส่งเสียงคลื่นความถี่วิทยุออกมา เสียงมันดังมาจากบริเวณไม่ไกลจากตรงที่พวกเขาอยู่กัน และมีเสียงของคนที่เหมือนกำลังมุ่งหน้าเดินมาตรงนี้


 


“รับทราบครับ” เหอฟิงตอบรับใส่วิทยุสื่อสารในมือ พร้อมกับเข้าถึงมาถึงพลตรีสิงโตและพลตรีหลิวยู่ติง พลตรีสิงโตที่เริ่มยืนนิ่งได้รีบระงับอาการโกรธของตัวเองไว้


 


การปรากฏตัวของเหอเฟิงทำลายสถานการณ์ตึงเครียดของมุมสามเหลี่ยมของทั้ง 3 คนลง


 


และในขณะเดียวกัน หัวใจของพลตรีสิงโตเต้นรัวอย่างรุนแรง จมูกเลือดไหลออกไป หน้าตาเขียวช้ำ ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเหอเฟิง พลตรีสิงโตยิ่งรู้สึกอับอายมากเข้าไปอีก!


 


ถึงแม้หลิวยู่ติงจะไม่ใช่คนหัวรุนแรงเท่ากับสิงโต แต่เขาก็มีสีหน้าจริงจังและคร่ำเครียด ขณะยกมือขึ้นวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพต่อเหอเฟิง


 


ปฏิกิริยาของพลตรีทั้งสองนายปรากฏต่อสายตาของทุกคนรอบข้างที่มองมา แววตาของทุกคนต่างเผยความแปลกใจออกมา คนคนนี้คือใครกัน?


โดยเฉพาะจูเล่อเลอและหลินเทียนซีสีหน้าของทั้งสองคนต่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ตราที่ติดอยู่ตรงหน้าอกของเหอเฟิงแสดงถึงตำแหน่งที่ต่ำกว่าหลินเทียนซียศหนึ่ง แต่ปฏิกิริยาของพลตรีทั้งสองคนมันน่าแปลกมาก!


 


เหอเฟิงมองไปที่คน 3 คนตรงหน้าและจงใจเมินพลตรีสองคนตรงหน้า สายตาของเหอเฟิงจับจ้องไปที่ชูฮันคนเดียวเท่านั้น


 


ในตอนนี้ชูฮันไม่มีการปลอมตัวใดๆ ใบหน้าของเขาเปิดเผยเต็มหน้า แตกต่างจากตอนที่ค่ายตวน ครั้งนี้เหอเฟิงจำชูฮันได้ทันทีเพียงแค่มองมาครั้งเดียว


 


มันมีประกายวาบอยู่ในแววตาของเหอเฟิง พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น


 


นี่คือชูฮัน?


นี่คือคนที่ทำให้เขาต้องดั้นด้นตามหามานานหลายเดือน และเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาทำภารกิจล้มเหลว


 


ชูฮันมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าที่เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ คิ้วของชูฮันกระตุกเล็กน้อยขณะเหลือบมองไปที่ตราร้อยเอกบนหน้าอกของเหอเฟิง มันมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของชูฮันถึงแม้ชูฮันจะจำไม่ได้ว่าร้อยเอกเหอเฟิงเคยเจอกับเขาตอนไหน แต่มันเห็นได้ชัดว่าเหอเฟิงจำเขาได้


 


เหอเฟิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าทั้งสามคนปรับสีหน้าตัวเองให้กลับไปนิ่งสงบเหมือนเดิม “ผู้บัญชาการมู๋เรียกตัว”


 


10นาทีต่อมา ชูฮัน หลิวยู่ติง เหอเฟิง และสิงโตคลั่งยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องประชุมฉุกเฉิน มีคนมากมายนั่งเรียงยาวกันที่โต๊ะประชุมยาว คนส่วนใหญ่แอบชำเลืองตามองมาทว่าเห็นได้ชัดว่าสายตาของพวกเขาจับจ้องมาที่ชูฮันด้วยความสงสัยเป็นเวลานาน


 


คนพวกนี้สำหรับชูฮันก็เหมือนสายตาของลิงที่มองมา เขาชะลอความอยากรู้อยากเห็นของคนพวกนี้มานานหลายเดือนแล้ว ในเมื่อตอนนี้พวกมันอยากเห็นก็จะปล่อยให้มองให้พอ!


 


“มาแล้วครับท่าน” เหอเฟิงเดินเข้าไปรายงานผู้บัญชาการมู๋ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ


 


สายตาของผู้บัญชาการมู๋จับจ้องมาที่ชูฮัน ตามมาด้วยคำถามเปิดแบบสุ่ม “เกิดอะไรขึ้น?”


 


พลตรีสิงโตไม่ได้สังเกตว่านายทหารชั้นโตทั้งหลายต่างจ้องไปที่ชูฮันกันหมด และอาศัยโอกาสชิงพูดก่อน “ท่านเห็นมั้ยครับ ผมเป็นพลตรีของค่ายซางจิง แต่พลเรือนคนนี้มาลงทะเบียนที่สำนักงาน และทำให้เกิดการจลาจล ผมจำได้ว่ามันมีกฏของกองทัพ การทำร้ายทหารถือเป็นความผิดอาชญกรรม”


 


พลตรีสิงโตไม่ยังพูดต่อไม่หยุด “แต่พลตรีหลิวยู่ติงกลับปกป้องพลเรือนนี่—–“


 


“แสดงว่านายคือหลิวยู่ติงนี่เอง!” จู่ๆชูฮันก็พูดขัดพลตรีสิงโตขึ้นมา ชูฮันมองไปที่พลตรีหนุ่มที่ยืนอยู่ถัดไปด้วยความประหลาดใจ

 

 

 


ตอนที่ 395

 

น้ำเสียงที่โพล่งขึ้นมาอย่างกระทันหันของชูฮันไม่เพียงแต่จะทำใหสิงโตช็อค แต่ทุกคนในห้องนั้นต่างก็ตกใจกันหมด


 


หลิวยู่ติงเองก็ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก  แต่เขาประหลาดใจเรื่องอื่นมากกว่าทำให้เผลอหลุดปากออกมา “นายจำได้เหรอ?”


 


“ฉันขอโทษที่ก่อนหน้านี้จำไม่ได้” ชูฮันมองมาด้วยสายตาแปลกๆ “นายไม่ใช่ผู้ชายตัวอ้วนหนัก 200 ปอนด์อีกแล้ว?”


 


สีหน้าของหลิวยู่ติงครึ้มลงทันที “นั่นมานานมาแล้ว แถมตอนนี้ในยุคโลกาวินาศใครจะไปมีน้ำหนัก 200 ปอนด์ได้กันล่ะ ไหนหามาให้ฉันดูหน่อยสิ?”


 


“มีสิ” ชูฮันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เฉินช่าวเย่ไง”


 


บทสนทนาระหว่างทั้งสองคนยิ่งทำให้หน้าของสิงโตคร่ำเครียด ผู้ชายสองคนยืนคุยกันท่ามกลางคนมากมายในห้องประชุมอย่างไม่สนใจอะไรเลย!


 


“ผู้บัญชาการมู๋! ท่านนายพลทั้งหลาย!” น้ำเสียงของสิงโตบ้าเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ขณะที่ชี้นิ้วใส่หน้าชูฮัน “ผู้ชายคนนี้ต้องได้รับโทษทันที!”


 


ขณะที่รอคอยให้ทุกคนตอบสนอง—–


 


พ้ะ!


ชูฮันตบเข้าที่นิ้วของสิงโตอย่างแรง


 


มันรุนแรงมากจนทุกคนได้ยินเสียงกระดูกนิ้วของสิงโตหักอย่างชัดเจน


 


“อ๊ากกกกกกกก—–” สิงโตบ้าแหกปากร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด


 


ชูฮันก้าวเท้าออกมา รองเท้าบู้ทสีดำที่กระทบกับพื้นก่อให้เกิดเสียงดังสะท้อนก้อง ชูฮันออกเดินวนรอบสิงโตพร้อมกับสีหน้าแข็งกระด้างและแววตาที่มองมาอย่างแข็งกร้าว ทันใดนั้นชูฮันก็ตะคอกขึ้นมา “ใครมอบความกล้าให้แก!?”


 


และทันทีที่ชูฮันพูดจบ


 


เพี้ยะ!


ชูฮันตบเข้าที่หน้าของสิงโต!


 


ทุกคนตะลึงไปชั่วขณะ ส่วนหลิวยู่ติงยิ่งตะลึงเข้าไปอีกขณะมองไปที่แววตาที่ไม่สามารถเข้าใจได้ของชูฮัน ทำไมชูฮันถึงกล้าทำอะไรแบบนี้ที่นี้? ใครให้ความกล้าเขาขนาดนี้?!


 


อารมณ์ของสิงโตยิ่งปะทุหนักขึ้นเข้าไปอีก เขารอไม่ไหวแล้วที่จะเห็นไอ้เวรนี่โดนฆ่า! เขาเหนื่อยเกินกว่าจะนับแล้วว่าเขาโดนชูฮันทำร้ายไปกี่ครั้งแล้วภายในวันเดียว รอยแดงช้ำและผิวที่บวมเป่งยังคงไม่หายไปจากใบหน้า แถมมันยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีก


 


ชูฮันไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับความโกรธแค้นของพลตรีสิงโตบ้าคลั่ง ชูฮันเพียงแค่หันหน้าไปหาทุกคนในห้องประชุมและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ “นี่คือสิ่งที่พวกคุณหมายถึง? ช่างน่าตื้นตันใจเหลือเกิน ไม่มีความเคารพกันเลยสักนิด ผมฉันมาถึงที่นี้แต่พลตรีคนนี้กลับห้ามผมไม่ให้เข้าร่วมกองทัพ แถมบอกว่าจะขับไล่ผมออกจากค่ายและชาตินี้ผมจะไม่มีวันได้เข้าร่วมกับกองทัพเด็ดขาด?”


 


ชูฮันตะคอกขณะแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธและความไม่พอใจอย่างเต็มที่ออกมา เขาจ้องไปที่ผู้บัญชาการมู๋พร้อมกับเอ่ยปากถาม “คุณไม่ต้องการให้ผมเข้าร่วมกองทัพมั้ย? ผมมาถึงนี้แต่ไล่ผมออกไป? หลังจากการทำงานอย่างหนักหน่วงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา”


 


คำพดของชูฮันทำให้หลายคนเริ่มวิตกและกระวนกระวาย ทุกคนพยายามปลอบให้ชูฮันอารมณ์เย็นลง


 


“นั่นไม่จริง”


 


“ใจเย็นก่อน”


 


“ฟังพวกเราก่อน”


 


“อธิบายว่าอะไร!” ชูฮันตะคอกแทรกพวกทหารยศสูงทั้งหลาย น้ำเสียงเฉียบคม “ผมว่าจะลืมมันไป แต่นี่มันยังตะคอกใส่ผม?! โอ้ะลืมไป! แถมยังจะฆ่าผมอีก? พวกคุณก็ได้ยินที่พลตรีคนนี้พูด เขาพึ่งจะบอกว่าต้องการจะลงโทษผม!”


 


ผู้บัญชาการมู๋รีบพูด “เอ่อ ไม่ใช่—“


 


“ไม่ใช่เหรอไง? ผมคิดว่าเขาพูดแบบนั้นนะ!” ชูฮันโพล่งขัดคำพูดของผู้บัญชาการมู๋ขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยความโกรธที่อัดล้น “ผมว่าผมคงรับตำแหน่งพลเอกไม่ได้แล้ว ท่านครับ ผมคิดว่าท่านคงต้องหาคนอื่นมาแทนแล้วล่ะครับ!”


 


“&@#^)”


ทันทีที่ชูฮันพูดจบ ทั้งห้องประชุมก็ตกอยู่ในความวุ่นวายทันที


 


“ชูฮัน ใจเย็นก่อน มันไม่ใช่แบบนั้นนะ”


 


“ชูฮัน รอสักครู่ พลตรีสิงโตไม่ได้หมายความอย่างที่พูดหรอก”


 


“ใช่ ใช่แล้ว มันเป็นความคิดเห็นแก่ตัวของเขาคนเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับค่ายซางจิง”


 


“เรายินดีมากที่ชูฮันจะเข้าร่วมกับกองทัพ!”


 


“ใช่ เรายินดีเป็นอย่างยิ่ง! ตำแหน่งและตราประจำแหน่งเตรียมไว้พร้อมเรียบร้อยแล้ว!”


 


นายทหารยศสูงในห้องประชุมทั้งหลายต่างพยายามพูดปลอบเอาใจชูฮันกันไม่หยุด ซึ่งมันทำให้หลิวยู่ติงและสิงโตตะลึงค้างกับสถานการณ์ตรงหน้า…พวกเขาพูดว่าอะไรน่ะ?


 


ชูฮัน?

พลเอก?


 


หลิวยู่ติงสะบัดหัวเพื่อเรียกสติตัวเอง…เขาไม่เคยคิดเลยว่าชูฮันที่เขาเคยรู้จักจะคือพลเอกชูฮันคนนั้น อีกทั้งโอกาสที่จะเป็นไปได้ก็มีน้อยมาก ด้วยเพราะชื่อชูฮันนั้นโด่งดังมากมีรายงานเข้ามาทุกวันถึงผู้คนจำนวนมากที่อ้างว่าตัวเองชื่อชูฮันกัน…


 


อีกอย่างชูฮันที่เขาเคยรู้จักไม่ใช่คนทรงพลัง แล้วพลเอกชูฮันที่โด่งดังคนนั้นมีอาวุธคู่กายคือขวานยักษ์สีดำไม่ใช่หรอกเหรอ?


 


ขวาน!


หลิวยู่ติงรีบหันไปมองชูฮันทันที…ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้ที่หน้าสำนักงานลงทะเบียนชูฮันถึงทำแบบนั้น


 


สิงโตบ้าช็อคค้าง สับสนและมึนหัวจนแทบจะทรงตัวยืนไม่ไหว


 


มันกลับกลายเป็นว่า ไอ้นี่คือ…ชูฮัน ที่เป็นถึงพลเอก!


 


จบสิ้น…


 


“แต่ผมไม่!” ชูฮันปฏิเสธ “ทหารที่ทำร้ายพลเรือนแบบนี้ ผมไม่คิดจะเข้าร่วมกับกองทัพแบบนี้ มันมากเกินไป การข่มขู่ประชาชนแบบนี้!”


 


ผู้บัญชาการมู๋มองไปที่ชูฮันด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยนัยนะ “คุณแน่ใจหรือว่าคุณไม่ต้องการเป็นนายพล? มันมีผลประโยชน์มากมายกับการมีสถานะทางทหาร”


 


ในที่สุด!


 


ชูฮันบิดริมฝีปาก ในที่สุดเหยื่อก็ตกเบ็ด จากนั้นชูฮันก็รีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว “ผลประโยชน์? ผมไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย ห็นแต่ปัญหา ตอนที่ผมเดินอยู่ข้างนอกก็มีแต่คนพูดถึงเรื่องส่วนตัวของผม ไม่มีความสะดวกสบายเลยสักนิด ไหนล่ะผลประโยชน์?”


 


นายทหารยศสูงในห้องประชุมทั้งหลายเงียบสนิททันที


 


“ชูฮัน ใจเย็นลงก่อน!” ชายวัยกลางคนที่มีร่างอ้วนลุกขึ้นยืน ผู้ชายคนนี้ชื่อ พันชางเซียน เขาเป็นคนที่ทำหน้าจัดการดูแลทรัพยากรต่างๆภายในค่ายซางจิง เขามีอำนาจมากมายอยู่ในมือและทรัพยากรที่ท่วมท้น ตำแหน่งของเขาในค่ายไม่เล็กเลย แถมเขายังเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างมาก


 


พันชางเซียนแสดงจุดยืนชัดเจน เขาเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เราไม่ได้ต้องการจะดูถูกคุณและเราก็ไม่ได้เปิดเผยความเป็นส่วนตัวของคุณ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีรูปหน้าตาของคุณ เราไม่ได้ติดประกาศแจ้งออกไป!”


 


“จะให้ฉันเชื่อ? พวกคุณก็เกือบจะตีพิมพ์รูปฉันแล้วป่าวประกาศไปทั่วโลกแล้วไม่ใช่เหรอไง? มันคือการละเมิดสิทธิกันชัดๆ!” น้ำเสียงของชูฮันดูกังวลอย่างมาก “การเป็นพลเอกนี่มันอันตรายเกินไป ฉันไม่ต้องการ!”

 

 

 


ตอนที่ 396

 

พันชางเซียนที่ควบคุมทรัพยากรของทั้งค่ายซางจิงปาดเหงื่อบนหน้าผากออก ทั้งหน้าเขากลายเป็นขาวซีด ตามมาด้วยความเงียบ ชูฮันทำให้เขาหมดความมั่นใจที่จะพูดต่อ


 


พันชางเซียนถูกชูฮันจัดการภายในนัดเดียว ชายหนุ่มอีกคนผุดลุกขึ้น เขาเป็นชายหนุ่มดูดีชื่อว่า ช่าวหลี่ เขาคือหนึ่งในวิวัฒนาการระยะ 4 ไม่กี่คนในค่ายซางจิง


 


เมื่อเห็นว่าช่าวหลี่ยืนขึ้น หลายคนก็เริ่มสงบอารมณ์และรอคอยดูสถานการณ์ วิวัฒนาการระยะ 4…นี่มันไม่ดีแล้ว ช่าวหลี่ไม่เหมือนกับพันชางเซียน ช่าวหลี่ไม่มีทางยอมให้ชูฮันมาเล่นแงแถวนี้อย่างแน่นอน


 


ช่าวหลี่มองไปที่ชูฮันพร้อมกับสีหน้าที่ค่อนข้างเย็นชา “ชื่อ ชูฮัน อายุ 20 ปี ได้รับคะแนนการประเมิณ  S+ สามครั้งติดต่อกัน และทุกครั้งที่ชื่อเขาปรากฏเขาจะอยู่ที่อันดับหนึ่งเสมอ และไม่มีใครสามารถก้าวผ่านอันดับของชูฮันไปได้ สำหรับวิวัฒนาการระยะ 3—–“


 


“ขอบคุณ แต่ฉันเป็นวิวัฒนาการระยะ 4” ชูฮันพูดแทรกช่าวหลี่ขึ้นมาพร้อมกับลอบยิ้มที่มุมปาก


 


ทันทีที่เห็นท่ายืนของช่าวหลี่ ชูฮันก็รู้ได้เลยว่าช่าวหลี่เป็นคนมีความสามารถและไม่ใช่จะต่อกรด้วยได้ง่ายๆ คำพูดของอีกฝ่ายอาจดูเหมือนยกยอ แต่ความจริงอีกฝ่ายกำลังหาโอกาสจะคัดค้านเขาต่างหาก


 


แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ช่าวหลี่ แต่ลมหายใจของหลายคนก็สะดุดกันหมด กลายเป็นว่าชูฮันคือวิวัฒนาการระยะ 4 ทุกคนรวมถึงช่าวหลี่ต่างตกใจค้างกันหมด


 


“อะแฮ่ม!”


ช่าวหลี่กระแอมเล็กน้อย มันมีความอับอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของช่าวหลี่ เขาพยายามพูดจากดชูฮันให้ดูแย่ “เป็นวิวัฒนาการระยะ 4 แต่เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ต้องการช่วยเหลือผู้คนแก้ไขปัญหาซอมบี้และลูกผสม แถมยังสนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ที่จะได้รับ คุณไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอไง?”


 


หลายคนพยักหน้ารับกับคำพูดของช่าวหลี่อย่างเห็นด้วย พวกเขารู้สึกว่าช่าวหลี่พูดถูกแล้ว เนื่องจากวิวัฒนาการคือคนที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ทำไมชูฮันถึงเอาแต่คิดถึงตัวเอง? ในตอนนี้จีนกำลังจะล่มสลาย มนุษยชาติแขวนอยู่บนเส้นด้าย ชูฮันที่เป็นคนทรงพลังแต่กลับเห็นแก่ตัวแบบนี้เขาไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอ?”


 


ชูฮันบิดปาก “ละอายใจ งั้นฉันก็คงไม่ควรจะเป็นพลเอกนั้นแหละ”


 


พัฟ!


ช่าวหลี่แทบสำลักใส่หน้าชูฮัน มันอัดแน่นอยู่ในอก เขาจุกกับคำพูดที่ไร้ยางอายของชูฮัน


 


ทันใดนั้นทุกคนในห้องประชุมก็พูดอะไรไม่ออก


 


ชูฮันเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ถ้าพวกเขาไม่หาเงื่อนไขที่ดีมาให้ชูฮัน ชูฮันก็จะไม่ยอมรับตำแหน่งพลเอกนี้แน่ๆ


 


และในขณะที่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรออกมา ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบกันหมด และทันใดนั้นเองผู้บัญชาการมู๋ก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาและวางลงบนโต๊ะ “นี่เป็นข้อเสนอพิเศษสำหรับอภิสิทธิของตำแหน่งพลเอก นายลองดูก่อนถ้ายังไม่พอใจเราสามารถตกลงกันใหม่ได้”


 


หลังจากชูฮันรับกระดาษไปดูพร้อมอ่านรายละเอียดอย่างจริงจังพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย


 


บางคนรีบถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีและพยายามจะผ่อนคลายบรรยากาศในห้องลง “ใช่ ตำแหน่งพลเอกมีสิทธิพิเศษมากมาย โดยเฉพาะ—–“


 


“ไม่อยากจะเชื่อ? ผมจะได้ค่าตอบแทนแค่นี้เนี่ยนะ?” ชูฮันอึ้งกับข้อเสนอ จากนั้นเขาก็พูดขัดผู้ชายที่พูดอยู่ขึ้นมาทันที ชูฮันแทบอยากจะคว้าปากกามาเขียนลงบนกระดาษเองเดี๋ยวนี้ “ไม่! ผมต้องการมากกว่านี้สี่เท่า!!”


 


“เดี๋ยว!—-” ทุกคนผุดลุกขึ้นยืน


 


“จะพึ่งพาผม? ผมไม่สามารถสร้างค่ายขึ้นมาได้ด้วยของจำนวนแค่นี้ ไม่! ผมต้องการมากกว่านี้ 6 เท่า” อีกครั้งที่ชูฮันไม่เปิดโอกาสให้ใครพูด จากนั้นชูฮันก็พูดต่อรูปแบบเดิม “จะพึ่งพาผม? แต่ผมมีหน่วยทหารในมือแค่นี้? ไม่! ผมต้องการมากกว่านี้ 8 เท่า! จะพึ่งพาผมเหรอ?”


 


ภายในระยะเวลาสั้นๆ สิทธิพิเศษขั้นพื้นฐานของตำแหน่งพลเอกก็ถูกชูฮันเปลี่ยนขึ้นไปเหนือกว่าที่เคยมีมา จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม


 


“เท่านี้ใช่มั้ย?” พันชางเซียนแทบจะขูดเลือดขูดเนื้อตัวเอง หน้าเขาขาวซีดสลับฟ้า ข้อเสนอบนกระดาษถูกชูฮันเปลี่ยนแปลงความต้องการจนทรัพยากรของค่ายแทบจะเกลี้ยง


 


ชูฮันถึงกับตัดภาษีของค่ายออกไปด้วย!


 


พระเจ้า!


 


“ไม่! นี้มันไม่ได้!”


 


“มันเกินไป!”


 


“นี่ไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่มันคือสำหรับจักรพรรดิแล้ว!”


มีประโยคคัดค้านมากมายดังขึ้นมา


 


ผู้บัญชาการมู๋ยืนขึ้นเพื่อยุติสถานการณ์ในตอนนี้ เลาหมิงเองก็คอยดูสถานการณ์ เขาเองก็ไม่คิดว่าชูฮันจะเปลี่ยนเงื่อนไขขนาดนี้


 


“ชูฮัน!” ผู้บัญชาการมู๋ถอนหายใจอย่างแรงขณะมีท่าทางลำบากใจ “คุณเรียกร้องมากเกินไป ค่ายซางจิงเป็นค่ายที่ใหญ่ที่สุดจีนก็จริงและถึงเราจะมั่งมีในทรัพยากร แต่มันก็มีเพื่อประชากรหลายแสนคน ถ้าเราตอบรับข้อเรียกร้องทั้งหมดที่คุณเรียกมา ค่ายก็คงปฏิบัติการต่อไปไม่ได้ และอาจจะล่มสลายได้วันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ”


 


“เพราะฉะนั้น ผู้บัญชาการมู๋!” เลาหมิงที่ยังไม่เคยปริปากพูดเลยตั้งแต่ชูฮันเข้ามา จู่ๆก็ส่งเสียงขึ้น “ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าเราสามารถตกลงกันได้ ในเมื่อข้อเรียกร้องของชูฮันมากเกินไปถ้างั้นแต่ละฝ่ายลองถอยกันคนละก้าว ชูฮันต้องการทรัพยากรเพื่อสร้างค่ายของเขาขึ้นมา มันเป็นเรื่องดีที่จะสร้างค่ายผู้รอดชีวิต แต่ยังไงเรื่องการจ่ายภาษีก็ยังคงต้องมีอยู่ เห็นแก่ความสำเร็จของชูฮันและความจริงที่ค่ายยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมา งั้นเราตกลงกันที่ครึ่งหนึ่ง”


 


“และ—–” เลาหมิงกล่าวเสริมต่ออีกประโยค “ชูฮันจะเป็นที่รู้จักในนามพลเอก”


 


เพียงประโยคเดียวของเลาหมิงก็ทำให้คนที่ต้องการจะคัดค้านเงียบเสียงทันที หลังจากพูดคุยกันแล้ว ทุกคนถูกชูฮันย่างจนไหม้และไม่มีแรงจะโต้เถียงต่อ และลืมแม้กระทั่งว่าต้องถามว่าชูฮันได้คะแนน S+ มายังไง


แต่เพียงแค่เลาหมิงพูดไม่กี่ประโยค ชูฮันก็เลิกคัดค้านทันที


 


ผู้บัญชาการมู๋…


 


เพราะฉะนั้น เรื่องข้อเรียกร้องมากมายที่ชูฮันเรียดร้องไปก่อนหน้านี้แม้เขาจะตั้งใจทำแบบนั้น แต่มันจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากผู้บัญชาการมู๋และเฒ่าแก่เลาหมิง

 

 

 


ตอนที่ 397

 

ครั้งนี้ ที่การประชุมถูกเรียกขึ้นอย่างฉุกเฉินเพราะมีข้าศึกโจมตีค่าย ความฉ้อโกงของชูฮันได้สร้างรอยลึกอันตราตรึงให้แก่คนมากมาย รวมถึงหลายคนที่สาบานกับตัวเองว่าต้องได้เจอชูฮันสักครั้งในชาตินี้ พันชางเซียนผู้เก่งกาจถึงกับพูดอะไรไม่ออก


 


พลตรีสิงโตคลั่งโดนลดขั้นลงไป 2 ระดับ ตอนนี้เขามีตำแหน่งพันโท  สิงโตซึ่งเป็นวิวัฒนาการระยะ 3 และถือตนว่าสำคัญยืนตะลึง


 


“ชูฮัน”


 


ตอนจบของการเรียกประชุมฉุกเฉิน ชูฮันที่ต้องการออกไปพร้อมกับหลิวยู่ติงโดนผู้บัญชาการมู๋เรียกตัวไว้ก่อน “ตอน 9 ของเช้าวันแรกของปีใหม่ อย่าลืมว่าคุณต้องเข้าพิธีสาบานตน ฉันจะเป็นคนมอบตราตำแหน่งให้คุณด้วยตัวเองกับมือ”


 


ชูฮันมองผู้บัญชาการมู๋ด้วยสายตาจริงจัง “ตกลง”


 


หลังจากออกมาจากห้องประชุม หลิวยู่ติงก็พาชูฮันไปที่พักของทหารตำแหน่งพลเอก ถึงแม้มันจะเป็นแค่ที่พักชั่วคราว หากมันก็แตกต่างจากคนอื่นโดนสิ้นเชิง มันหรูหราจนเกินคำบรรยาย


 


“ชูฮัน” หลิวยู่ติงอุทานลากเสียงยาว เสียงของหลิวยู่ติงไม่ได้ดังหากแต่มันแฝงมาด้วยอารมณ์ “นี่มันเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชัดๆ”


 


“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น” ชูฮันยิ้มมุมปาก


 


“อภิสิทธิของตำแหน่งพลเอกเทียบเท่ากับจอมพลเลย! พระเจ้า! นายได้รับผลประโยชน์มากมาย ฉันไม่รู้ว่าถ้าพลเอกคนอื่นๆรู้เข้าจะชักตายเลยรึเปล่า” หลิวยู่ติงตื่นเต้นมากจนแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข “ฉันขอเข้าร่วมกับนายได้มั้ย?”


 


“ได้สิ!” ชูฮันตอบด้วยรอยยิ้ม ตามมาด้วยการคำนวนในหัวที่ซ่อนเร้นไว้พร้อมกับประโยคต่อมา “พาฉันไปเจอเฉินช่าวเย่สิ”


 


——————


 


นอกเมืองอันลู ที่หยางเทียนได้ก่อตั้งค่ายขนาดเล็กขึ้น ติงซือเย้าตื่นเต้นขนาดถือกระเป๋าสัมภาระของเขาอยู่ตรงจุดเปิด ร้อยเอกเหอเฟิงหรือหัวหน้าของเขาน่าจะส่งคนมารับเขากลับไปที่ซางจิง


 


แม้ค่ายเล็กๆแห่งนี้จะล้าหลังและยากเค้น แต่ติงซือเย้ากลับมีความรู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะต้องจากไป และถึงแม้สมาชิกทีมฮูหยาจะอยู่ในช่วงลาพัก แต่อย่างน้อยหังหน้าจะต้องส่งเฮลิคอปเตอร์มารับเขากลับไปฉลองด้วยกันสิ?


 


อืม ก็ทานมื้อค่ำเฉลิมฉลองแล้วค่อยส่งกลับมาทำภารกิจต่อ!


 


ติงซือเย้ามีภาพวาดฝันสวยงาม เขารอคอยเฮลิคอปเตอร์อย่างตื่นเต้นตลอดค่ำคืน!


 


หากมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น…


 


เช้าตรู่วันต่อมา ทั้งค่ายเข้าสู่ความวุ่นวาย วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีนี้ และค่ำวันนี้จะเข้าสู่ปีใหม่ปีใหม่ของยุคโลกาวินาศ ทั้งค่ายจัดมื้อค่ำที่เรียบง่ายแต่มีนัยสำคัญขึ้นเพื่อฉลองระยะเวลา 5 เดือนที่พวกเขามีชีวิตรอด


 


ห้องทำงานของซางจิ่วตี้เต็มไปด้วยผู้คนเดินเข้าเดินออก ภายในเวลาไม่กี่เดือนผู้จัดการค่ายได้จัดตั้งระบบการจัดการที่ดีเยี่ยมขึ้น เธอวางระบบให้เหมาะสมกับคนที่มีความสามารถในฐาน ทุกคนถูกคัดเลือกและได้รับการฝึกฝน ซึ่งมันทำให้หยางเทียนรู้สึกสิ้นหวัง หากในขณะเดียวก็ชื่นชมการตัดสินใจของชูฮัน การปรากฏตัวของซางจิ่วตี้ได้นำพามาซึ่งประโยชน์ที่มากมายต่อค่าย!


 


ขณะนี้มันเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเข้าสู่ปีใหม่ ทุกคนในค่ายมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำกันหมด พวกเขายุ่งวุ่นวายแต่ไม่มีใครหงุดหงิด


 


“เฮ้ย! ทำไมนายถึงอยู่ที่นี้ แล้วสมาชิกในทีมฮูหยาล่ะ…ติงซือเย้า?” เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องทำงานของซางจิ่วตี้และเห็นติงซือเย้าที่ยืนอยู่ถัดไปพร้อมกับตาที่แดงก่ำ เธออดไม่ได้ที่จะเชิดคางขึ้นพลางหัวเราะออกมา


 


ชื่อของเธอคือ หยางเซีย เดิมเธอเป็นนักศึกษาปีหนึ่งแผนกบริหารการจัดการ หลังจากการปะทุเกิดขึ้น เด็กสาวก็ถูกข่มเหงอย่างน่าทารุณแต่หลังจากซางจิ่วตี้เข้ามาบริหารค่าย เธอก็ตัดสินใจจะแสดงตัว เธอมีความสามารถด้านการจัดการอยู่ในสายเลือด พร้อมกับการฝึกฝนจนตอนนี้เธอได้กลายมาเป็นมือขวาของซางจิ่วตี้


 


ติงซือเย้าอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดีขณะถือกระเป๋าสัมภาระอยู่ ติงซือเย้าพูดด้วยเสียงโทนต่ำ “มีอะไรที่ฉันช่วยได้มั้ย?”


 


“ไม่จำเป็นสำหรับติงซือเย้าผู้ยิ่งใหญ่” หยางเซียเหลือบตามองติงซือเย้า “คุณมีเฮลิคอปเตอร์จะมารับไม่ใช่เหรอไง? คุณไม่ได้กำลังรีบอยู่เหรอ?”


 


ติงซือเย้าแทบจะร้องไห้ เธอเหมือนกับซางจิ่วตี้ราวกับแกะ แถมยังถูกวางตัวไว้ให้เป็นผู้จัดการของค่าย


 


“ฉันไม่ได้กลับซางจิง หึหึหึ” ติงซือเย้าเองก็ได้แต่พูดความจริงออกไปด้วยเสียงกระซิบ “ฉันจะอยู่วันปีใหม่”


 


“อ๋าาาาาาาา” หยางเซียร้องเสียงดัง “ฉันรอแทบไม่ไหวที่จะให้คนทั้งค่ายได้ยินเรื่องนี้ หัวหน้าของนายทิ้งนายเหรอ?”


 


“ปัง!”


ติงซือเย้าโยนกระเป๋าลงพื้นและหมุนตัวหนี ด้านหลังของเขามีเสียงหัวเราะชอบใจอย่างมีความสุขของหยางเซียดังตามมา


 


“เหอเฟิง! แม่งเอ๊ย! ฉันขอสาปแช่งแกทั้งชีวิต!?” ติงซือเย้าพูดมุบมิบขณะเดิน


 


———


 


“ฮัดชิ้ว!”


ณ ค่ายซางจิง เหอเฟิงที่กำลังจัดการกับงานทางการอยู่ จู่ๆก็จามออกมา


 


“หัวหน้า!”


ในตอนนั้นจุนจื่อและจุ้ยชูก็เดินเข้ามา


 


“พวกเรากลับมาแล้ว” เหอเฟิงพยักหน้าพร้อมกับยื่นแบบเอกสารให้ “ตามปกติ ส่งมอบรายงาน”


 


จากนั้นเหอเฟิงก็แตะจมูก ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนเขาลืมบางอย่างไป?


 


“หัวหน้า” และตอนนั้นเองจุ้ยชูก็พูดแทรกความคิดของเหอเฟิงขึ้นมา “เอกสารนี้ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูล….ภารกิจยังไม่สำเร็จ”


 


“หืม” เหอเฟิงตะลึงขณะมองไปที่สมาชิกของทีมฮูหยาสองคนนั้น ทั้งจุนจื่อและจุ้ยชูมีอัตราความสำเร็จสูงมาตลอด มันเกิดอะไรขึ้น?


 


แต่ถึงอย่างไรแล้ว ทั้งคู่ก็อายุเพียงแค่ 14 เท่านั้น และตอนนี้ทั้งคู่ก็ดูใจเสียอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเด็กสาวจุ้ยชูที่แทบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ “ภารกิจถูกปล้น!”


 


5 นาทีต่อมา เหอเฟิงมองไปที่สมาชิกทีมฮูหยาสองคนนั้นที่ไม่กล้าจะสบตากับเขา ความคิดในหัวของเหอเฟิงตีวุ่นกันไปหมด


 


ภารกิจของเขาคือการส่งมอบตราตำแหน่งให้กับชูฮัน ผลลัพธ์คือภารกิจที่ดูธรรมดาแต่มีความสำคัญมากล่าช้าออกไปหลายเดือน และสุดท้ายชูฮันก็มาปรากฏตัวด้วยตัวเองถึงห้องประชุม


 


กลายเป็นว่าภารกิจของจุนจื่อและจุ้ยชู ที่พึ่งกลับมาถึงก็ล้มเหลวเช่นกัน และมันเป็นเพราะชูฮัน


 


นี่ชูฮันเป็นตัวซวยสำหรับทีมฮูหยาของพวกเขาใช่มั้ย?

 

 

 


ตอนที่ 398

 

บริเวณที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่จะเป็นพื้นที่แยกออกมา เมืองชั้นในของค่ายหรูหราจนเหล่าผู้รอดชีวิตไม่สามารถจินตนาการถึง มันเป็นอำนาจของตัวค่าย


 


ในขณะนี้ ชูฮันก็อยู่ในสถานที่หรูหราที่กล่าวถึง เขาอยู่ในบ้านหลังหนึ่งพลางเดินดูของตกแต่งในบ้านมากมายพร้อมกับคำนวณมูลค่าของมันไปด้วยในหัว ทำให้หวังไคได้แต่กรอกตาใส่กับความโลภของชูฮัน


 


มันมีอาหารอยู่ทุกจุดในบริเวณบ้าน แถมส่วนใหญ่ก็เป็นเนื้อสัตว์ มันคือบ้านพักของเฉินช่าวเย่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้เฉินช่าวเย่ไม่ได้อยู่ที่นี้ มีเพียงแค่ทหารหญิงคนสวยยืนอยู่ขอบข้างสนามเนื้อตัวสั่นเทา เธอคือผู้ช่วยส่วนตัวของเฉินช่าวเย่ เธอเป็นสาวสวยและมีตำแหน่งร้อยโท


 


“หัวหน้า——“

ทันใดนั้น ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก มีชายร่างกลมอ้วนพุ่งเข้ามากอดขาของชูฮันและแหกปากร้อง “หัวหน้า ในที่สุดหัวหน้าก็มาที่นี้!”


 


หลิวยู่ติงที่ยืนอยู่ข้างชูฮันถึงกับยืนอึ้งค้างไปพักหนึ่ง มือของเขาถูกยกค้างอยู่กลางอากาศ เขาควรจะวันทยาหัตถ์เพื่อแสดงความเคารพต่อเฉินช่าวเย่แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม


 


ชูฮันหรี่ตาจากนั้นก็ยกเท้าขึ้น——-

“ปัง!”


 


เพียงเท้าเดียวของชูฮันส่งผลให้เฉินช่าวเย่พรสวรรค์ระยะ 3 ที่เป็นอันดับสูงสุดที่มีในจีนและมีน้ำหนักถึง 200 ปอนด์กลิ้งหลุนๆไปกับพื้นเหมือนกับลูกชิ้น จากนั้นก็กระแทกเข้ากับโซฟา


 


“เห็นมั้ยว่ามันอ้วน” ชูฮันยิ้มมุมปาก


 


“เฮ้เฮ้ โอ้ย!” เฉินช่าวเย่ไม่มีท่าทางโกรธหรือโมโหเลยสักนิด กลับกันเขาลุกขึ้นยืนอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส


 


ทหารหญิงคนสวยที่ไม่กล้าปริปากพูดอะไรเลยมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงประหลาดใจอย่างมากกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า จากนั้นเธอรีบทำท่าวันทยาหัตถ์ตามระเบียบทหารอย่างไว “ท่านพลโท ท่านกลับมาแล้ว”


 


เฉินช่าวเย่มองหน้าทหารสาว “เซียเหว่ย ทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี้อีก? ฉันไม่ได้บอกไปแล้วเหรอไงว่าฉันไม่ต้องการผู้ช่วยส่วนตัว?”


 


ทหารหญิงคนสวยมีชื่อว่า เซียเหว่ย มีสีหน้าย่ำแย่ขณะพูดตอบ “หน้าที่ของดิฉันคือการดูแลชีวิตของท่านพลโทค่ะ”


 


“อืม” เฉินช่าวเย่พยักหน้า จากนั้นก็ออกคำสั่งตามใจตัวเอง “พาฉันไปหาหัวหน้าและนวดขาฉันด้วย”


 


“หึ!” ชูฮันยิ้มและมองไปที่แววตาที่ไม่มีวี่แววเอียงอายของเซียเหว่ย


 


โหนกแก้มของเซียเหว่ยขึ้นสี และจู่ๆเธอก็โค้งศีรษะคำนับและไม่กล้าสบตากับชูฮัน


 


หลิวยู่ติงที่นั่งอยู่ถัดไปคร่ำครวญอยู่ในอก…เขาไม่รู้ว่าเขาควรอยู่ตรงนี้ต่อไปหรือเปล่า


 


เฉินช่าวเย่พึ่งจะสังเกตเห็นหลิวยู่ติงที่อยู่ถัดไป จึงหันไปถามชูฮันทันที “หัวหน้า คนนี้เป็นลูกน้องคนใหม่ของหัวหน้าเหรอ?”


 


หลิวยู่ติงรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นปรี๊ดไล่จากเท้าขึ้นมา ช่วยอธิบายคำว่า ‘ลูกน้อง’ ที? แต่เขาไม่อาจปฏิเสธคำพูดของพลโทเฉินช่าวเย่ได้ เพราะก่อนหน้านี้มันก็เป็นเขาเองที่บอกว่าต้องการติดตามชูฮัน


 


ชูฮันตอบกลับไปอย่างสบายๆ ซึ่งคำพูดของชูฮันส่งผลให้หลิวยู่ติงตะลึง “เพื่อนในวัยเด็กฉันเคยอ้วนกว่าแกอีก”


 


เฉินช่าวเย่รีบมองไปที่หลิวยู่ติงทันที ร่างกายของหลิวยู่ติงตอนนี้เป็นร่างกายมาตราฐานสมส่วนตามคนทั่วไป “พี่ชาย พี่คงทำงานหนักมาก!”


 


หลิวยู่ติงสูดปากและปล่อยเสียงคำรามที่กลั้นไว้ออกมา “ชูฮันแค่ล้อเล่นนะ”


 


“เฮ้ย เฮ้ย!” เฉินช่าวเย่ยังคงยิ้มต่อ จากนั้นก็เงยหน้าพูดกับเซียเหว่ย “อย่าโง่สิ! ฉันจะกินมื้อเย็นอย่างน้อย 20 จาน ฉันต้องการกินมื้อเย็นดีๆกับหัวหน้า!”


 


“ค่ะ” เซียเหว่ยเชื่อฟังและเดินเข้าไปในครัว


 


เมื่อมองไปที่แผ่นหลังอันน่าเย้ายวนใจของเซียเหว่ยที่กำลังเดินออกจากห้องโถงไปที่ห้องครัว ชูฮันก็หมุนตัวกลับไปหาเฉินช่าวเย่ สายตาของชูฮันดูเคร่งขรึมและน่ากลัว น้ำเสียงก็กดต่ำ “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีคนคอยสอดแนมอยู่รอบตัวแบบนี้?”


 


ร่างของหลิวยู่ติงแข็งค้างด้วยความตกใจพร้อมกับสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อมองไปที่เซียเหว่ยที่อยู่ในห้องครัว เซียเหว่ยเองก็มองมาที่ชูฮันและเฉินช่าวเย่ด้วยความช็อค แผ่นหลังของหลิวยู่ติงเปียกโชคไปด้วยเหงื่อ เซียเหว่ยเป็นสายลับงั้นเหรอ?


 


ชูฮันมองออกได้ยังไง?


 


หลิวยู่ติงในตอนนี้ไม่มีข้อกังขาในการตัดสินใจของชูฮันเลย ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมถึงมั่นใจว่าสิ่งที่ชูฮันพูดจะถูกต้องก็ตาม


 


เฉินช่าวเย่แสยะยิ้มออกมาพร้อมพูดด้วยเสียงกระซิบ “ตั้งแต่แรกแล้ว ทางค่ายไม่เคยปล่อยให้ฉันได้อยู่คนเดียว จะมีผู้ช่วยถูกส่งตัวมาผลัดเปลี่ยนเสมอและทุกคนจะเป็นสาวสวย เอาล่ะ ฉันทนไม่ไหวอีกแล้ว!”


 


ชูฮันตบหัวเฉินช่าวเย่ “ฝีมือใคร?”


 


เฉินช่าวเย่กระพริบตา “นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ผมไม่รู้”


 


ชูฮันขมวดคิ้ว “เมื่อถึงเวลาที่นายจะไปกับฉัน ผู้หญิงคนนี้จะต้องไม่ตามไปด้วย”


 


“ถึงเราจะไม่พาผู้หญิงคนนี้ไป แต่ยังไงมันก็จะมีคนอื่นมาอยู่ดีด้วยเหตุผลหลายประการและ—-” ทันใดนั้นเฉินช่าวเย่ก็รีบพูดขึ้นมา น้ำเสียงดังขึ้นและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “หัวหน้า ในที่สุดหัวหน้าก็จะพาผมไป ไปกัน!”


 


ชูฮันขี้เกียจเกินกว่าจะพูดเรื่องปัญหานี้ต่อกับไอ้อ้วนโง่เง่า ชูฮันเปลี่ยนหัวข้อ “แล้วเหอเพ่ยหยวนและเฉินเสี้ยนกาวล่ะ?”


 


“โอ้ พวกเขาพักอยู่ในพื้นที่ของพลเรือน” เฉินช่าวเย่เปิดถุงที่ใส่ขาไก่ไว้พลางตอบคำถามชูฮันต่อ “ตอนกลางคืนเราจะไปบ้านของเฉินเสี้ยนกาว ตามแผนการที่หัวหน้าวางไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมกับกองทัพ”


 


หลิวยู่ติงที่อยู่ด้านข้างตามบทสนทนาของทั้งคู่ไม่ทัน แถมทั้งคู่ยังเปลี่ยนหัวข้อเร็วมาก


 


หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป—–


 


ชูฮัน เฉินช่าวเย่ และหลิวยู่ติงเดินอยู่บนถนนในค่ายซางจิงผ่านพื้นที่ของพลเรือน ทั้งสามคนได้เดินออกมาจากตัวเมืองชั้นใน


 


เมื่อมองไปที่ภาพข้างหน้าที่แตกต่างไปจากเมืองชั้นในอย่างสิ้นเชิง ชูฮันก็นิ่วหน้า “มันมีความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่พลเรือนของค่ายซางจิงกับเมืองชั้นในมั้ย?”


 


“ใช่” เฉินช่าวเย่ตอบ “ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะมีสถานที่สำหรับพักอาศัย แต่มันมีจำนวนของคนระดับสูงอยู่ไม่มากที่อาศัยอยู่ที่นี้ โอ๊ะใช่ คน 10 อันดับแรกในรายชื่อการประเมิณผลที่ไม่ใช่ทหารก็สามารถสมัครเข้ามาอยู่ในเมืองชั้นในได้ เพราะถึงอย่างไรแล้วเมืองชั้นในนั้นมีสภาพแวดล้อมที่ได้รับการฟื้นฟูจนแทบจะเหมือนในยุคศิวิไลซ์ ใครๆก็อยากจะอาศัยอยู่ในนั้นกันทั้งนั้น ทหารของกองทัพส่วนใหญ่ก็อยู่ในเมืองชั้นในเหมือนกัน ส่วนพลเรือนก็อยู่เมืองชั้นนอก”


 


“การแบ่งระดับชัดเจนมาก” ชูฮันกระพริบตา ไม่มีใครรู้ว่าชูฮันคิดอะไรอยู่


 


“มันเป็นอย่างนี้ต่างหาก” หลิวยู่ติงเองก็อธิบาย “คนที่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองชั้นในได้ถ้าไม่ใช่มีตำแหน่งทางทหารที่สูงก็ต้องมีพลังในการต่อสู้ที่สูง ความจริงก็คือพื้นที่ของพลเรือนมีจำนวนผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุด ส่วนวิวัฒนาการที่ทรงพลังและสมาชิกของครอบครัวทหารหลายคนก็อาศัยอยู่ที่อื่น ที่สำหรับคนรวยอยู่กัน”


 


“แล้วพื้นที่สำหรับผู้ลี้ภัยล่ะ?” ชูฮันถามต่อ


 


เมืองชั้นใน พื้นที่สำหรับคนรวย พื้นที่สำหรับพลเรือน และพื้นที่สำหรับผู้ลี้ภัย ทั้งหมดคือ 4 พื้นที่หลักของค่ายซางจิง


 


“พื้นที่ผู้ลี้ภัยไม่มีการปกครอง” เสียงของหลิวยู่ติงเหมือนจะแฝงไปด้วยความรังเกียจ “มีคนที่ต้องการจะจัดการจุดนั้นแต่มันมีปัญหามากเกินไป มันมีแต่คนเกี

ยจคร้านและคัดค้านที่จะร่วมมือในการสร้างสถาปัตยกรรมของค่ายหรืองานอื่นๆ แต่เมื่อพอถึงเวลาแจกอาหารฟรีพวกมันจะกระตือรือร้นมาก กองทัพจะทำอะไรได้ เราฆ่าคนพวกนั้นไม่ได้ เวลาผ่านไปเรื่อยๆพื้นที่ของผู้ลี้ภัยก็ก่อตั้งขึ้นมาเอง พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนพวกนั้นมีชีวิตรอดกันมาตลอดได้อย่างไร”


 


“อีกอย่าง” ทันใดนั้นชูฮันก็หยุดชะงักชั่วคราว น้ำเสียงของเขาดูสง่างาม “ช่วยฉันตามหาคนคนหนึ่งที เมื่อตอนยุคศิวิไลซ์เขาเหมือนจะเป็นร้อยโท ชื่อว่าฟางเฉิง”

 

 

 


ตอนที่ 399

 

“ฟางเฉิง?” หลิวยู่ติงงุนงงเล็กน้อยหากก็ยังพยักหน้ารับ


 


“ดี” ชูฮันตอบ จากนั้นก็ชี้ไปที่บ้านหลังถัดไปและถาม “ที่นี้เหรอ?”


 


“ใช่!” เฉินช่าวเย่ยิ้มกว้าง “พวกเขาทุกคนอาศัยอยู่ที่นี่!”


 


และทันทีที่เสียงของเฉินช่าวเย่แผ่วลง—–


 


เอี๊ยด—–


 


ประตูไม้ของตัวบ้านก็เปิดออก พร้อมกับใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏสู่สายตาของชูฮัน เธอสวมเสื้อผ้าที่พบเห็นได้ทั่วไป ร่างเล็กผอมแห้งกว่าเขาเล็กน้อย ผิวก็ไม่ได้เรียบเนียนขาวเหมือนเมื่อก่อนแต่มันกลายเป็นแดง หากยังคงความสวยอยู่ ด้านในตัวบ้านมีอ่างขนาดใหญ่อยู่


 


“ชูฮัน?” ตาของติงเซวเป็นประกาย เธอดีใจมากที่เจอเพื่อนร่วมห้องเรียนในมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เจอเป็นระยะเวลาหลายเดือนอีกครั้ง


 


————


 


ภายในตัวเมืองชั้นใน ณ ที่พักหรูหราของพลโทเฉินช่าวเย่ เซียเหว่ยเดินออกมาจากห้องครัวด้วยหน้าตาแช่มชื่น หากทันทีที่เดินมาถึงห้องโถงสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที


 


กริ๊ก!


 


แกร๊ง!


 


จานอาหารในมือของเธอร่วงลงพื้น อาหารหกกระจายระเนระนาด สายตาของเซียเหว่ยพลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกและว่างเปล่า หน้าตาขาวซีด


 


สามคนนั้นไปไหนกัน?


ทำไมเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย!


 


เซียเหว่ยเลิกผ้ากันเปื้อนที่สวมไว้ออกพร้อมกับสีหน้าที่เย็นชาและพุ่งตัวออกไปจากตัวบ้านอย่างรวดเร็ว เท้าของเธอเหยียบลงบนจานที่แตกอยู่ที่พื้น


 


“ปัง!”


ประตูถูกกระแทกปิดลงอย่างแรงจนมันสั่นไหวไปมา


 


“เฮ้!” ด้านนอกของตัวบ้านมีน้ำเสียงขำขันของคนหนึ่งดังขึ้น “ใครทำให้เธอโกรธได้ขนาดนี้?”


 


เซียเหว่ยช็อคและรีบปรับสีหน้าที่เย็นยะเยือกก่อนหน้านี้ให้หายไปทันที เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า “พันโทชาช่าวหน่าน สวัสดีค่ะ”


 


ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเซียเหว่ยกระพริบตา เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าของเซียเหว่ยก่อนหน้านี้ก่อนจะยิ้มออกมา “ขอโทษที เธอเห็นพลเอกชูฮันมั้ย? ฉันกำลังตามหาเขาอยู่”


 


“เอ่อ—พลเอกชูฮัน?” เซียเหว่ยพยายามระงับอารมณ์ในอกและตอบกลับ “ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เหมือนเขาจะหายไปแล้ว”


 


“เธอหมายถึงเขาเคยมาที่นี้และไปแล้ว?” ชาช่าวหน่านก้มลงจดใจความสำคัญไว้ จากนั้นก็ไม่รอให้เซียเหว่ยได้มีโอกาสตอบ ชาช่าวหน่านก็เดินถอยออกไป “ขอบคุณคนสวย!”


 


จากนั้นชาช่าวหน่านก็หมุนตัวเดินกลับออกไป


 


เมื่อมองไปที่ร่างที่หายไปตามเส้นทาง ในที่สุดเซียเหว่ยก็ปล่อยเสียงคำรามที่อัดแน่นไว้ในอกออกมา เธอไม่รู้ว่าพันโทนั้นเห็นสีหน้าย่ำแย่ก่อนหน้านี้ของเธอหรือเปล่า เธอหงุดหงิดมากที่ทุกอย่างในวันนี้ไม่มีอะไรราบรื่นเลย!


 


ไม่นานหลังจากตรวจสอบว่าชาช่าวหน่านไปแล้วจริงๆ เซียเหว่ยก็แสร้งทำเป็นเดินวนอยู่รอบๆจากนั้นก็จจากไปในทิศทางเดียว


 


————


 


ภายในบ้านในพื้นที่บริเวณของพลเรือน ในห้องที่มีพื้นที่ขนาดย่อม ตรงกลางของตัวบ้านมีอ่างที่ทำจากเหล็กขนาดใหญ่ที่กำลังเผาถ่านเพื่อมอบความอบอุ่นท่ามกลางอากาศในฤดูหนาว ซึ่งเป็นจุดเดียวในบ้านที่ส่องแสง อีกทั้งในขณะนี้ก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่มีรูปร่างผอมแห้งหากสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขามารวมตัวกันอยู่ในห้องที่ก่อไฟ สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ชูฮัน


 


ชูฮันค่อยๆนึกหน้าของทีละคนออก คนส่วนใหญ่ที่นี้เป็นคนที่เคยร่วมรบสงครามเมืองตงกับเขามา ส่วนที่เหลือเป็นคนที่เคยต้านฝูงซอมบี้ที่บุกด้วยกัน ยกเว้นแต่ฉางกวนยวีซินที่ไปหนานตู้ และหลูฮงเชิงและซูชิงที่อยู่ในชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ของเหย่โม่ ทั้งเจียงโจว เยวจึ และ เย๋เฉิน ทุกคนอยู่ที่นี้กันหมด


 


เฉินเสี้ยนกาวนั่งข้างชูฮัน ยากที่จะเก็บความตื่นเต้นของเขาได้ “ชูฮัน เรามาถึงซางจิงด้วยคน 80 คน แต่ตอนนี้ทีมของเราแข็งแกร่งขึ้น เรามีคนมากกว่า 100 คนแล้ว”


 


“ถูกต้อง” เย๋เฉินปัดแววตานิ่งเฉยของเขาออกไป ตอนนี้แววตาของเขาเป็นประกาย “30 คนในห้องนี้เป็นคนหลักๆ ส่วนที่เหลือก็กระจัดกระจายอยู่รอบๆบ้าน”


 


ชูฮันส่งสายตายินดีให้กับเย๋เฉิน “ครั้งนี้ หลังจากสิ้นปีแล้ว พาทุกคนไปจากที่นี้”


 


“ไปไหน?” เฉินเสี้ยนกาวถาม


 


ชูฮันยิ้มบางๆ “ค่ายเขี้ยวหมาป่า ค่ายของพวกเราเอง”


 


มีเกิดความเงียบขึ้นในบ้านครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดอารมณ์ของความตื่นเต้นยินดีของทุกคน


 


“เรามีค่ายของเราเองเหรอ?”


 


“ชื่อเขี้ยวหมาป่า!”


 


“เดี๋ยวก่อน! มันมีค่ายที่ไม่เข้าร่วมกับกองทัพด้วยเหรอ นี่เรากำลังก่อกบฏรึเปล่า? ฉันไม่รู้เรื่องราวอะไรแต่ฉันตื่นเต้นมาก!”


 


“กบฏบ้านเธอสิ! ไม่เห็นเหรอไงว่าสองคนนี้ใส่ชุดเครื่องแบบทหารอยู่?”


 


กลุ่มคนรีบหันไปดูชายอ้วนที่นั่งอยู่ด้านหลังชูฮันและกำลังกินอาหารด้วยสีหน้านิ่งๆ ชายอ้วนใส่ชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศ มีตราตำแหน่งติดอยู่บนเครื่องแบบ หากดูไม่รู้ออกเป็นพันโทหรือพลโทกันแน่!


 


หลิวยู่ติงแทบจะตะลึงค้างไปกับความไม่ชัดเจนของคนกลุ่มนี้ พวกเขาพูดคำว่ากบฏออกมาอย่างไม่เกรงกลัว นี่มันคนแบบไหนกัน?!


 


เฉินช่าวเย่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆทั้งเลย เขาเอาแต่กินดื่มไม่สนใจรอบข้าง เฉินช่าวเย่ดูคุ้นเคยกับคนพวกนี้ดี


 


“เจียงโจว” จู่ๆชูฮันก็เรียกชื่อเจียงโจวขึ้นมา


 


“เอ่อ….” เจียงโจวรีบเงยหน้าตามเสียงเรียกทันที


 


“นายเอาเฮลิคอปเตอร์และพาเมียและลูกไป เด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ก็พาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปด้วย ส่วนที่เหลือจะไปกับฉัน พวกนายมีอะไรจะแย้งมั้ย?”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนไม่มี!”


 


กลุ่มคนเต็มไปด้วยพลังงานและความกระตือรือร้น พวกเขานั่งล้อมวงกันอยู่ สำหรับพวกเขามันดีกว่ากับการได้ติดตามชูฮัน ไม่ว่าจะฆ่าซอมบี้ทีละตัวหรือสู้กับทั้งฝูงซอมบี้ ทุกครั้งชูฮันจะนำพาความแข็งแกร่งและความรู้สึกสดชื่นมาให้ ทุกครั้งพวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต่อสู้ร่วมกับชูฮัน บางครั้งพวกเขายังคิดเลยว่าชีวิตที่มันน่าเบื่อเกินไป


 


เจียงโจวรู้สึกอบอุ่นในหัวใจพลางพยักหน้ารับคำสั่งของชูฮัน เขาแตกต่างจากนักสู้คนอื่นๆ เขาต้องคอยดูแลภรรยาของเขาตลอดการเดินทาง ลูกของเขาพึ่งจะเกิดมาได้กี่เดือน คนอื่นๆอาจจะพูดได้ง่ายๆว่าพร้อมจะติดตามชูฮันไปทันที แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา มันไม่ง่ายที่จะหาที่พักอาศัยที่ปลอดภัยในโลกาวินาศ ใจหนึ่งเขามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะติดตามชูฮันไป หากอีกใจเขามีครอบครัวที่ต้องคำนึง


 


อย่างไรก็ตาม ชูฮันมอบเฮลิคอปเตอร์ให้เขาเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยในการเดินทาง ดังนั้นปัญหาที่เขากังวลก่อนหน้านี้ก็ไม่มีเหลือแล้ว ชูฮันเสนอความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้เขาแบบนี้ แล้วเขาจะไม่รู้สึกผิดได้อย่างไร?


 


หัวหน้าเป็นคนดีจริงๆ!


 


“หัวหน้าแค่ให้เมียกับลูกของผมนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปก็พอแล้ว ส่วนผมขอติดตามดูแลหัวหน้า!” เจียงโจวร้องขอ


 


อย่างไม่คาดคิดชูฮันหันมาจ้องตาของเจียงโจว “ฉันให้นายขับเฮลิคอปเตอร์เพื่อนายจะขึ้นไปสัมผัสลมเย็นในอากาศ หรือนายจะอยู่ในห้องทดลองและทำงานวิจัยให้ฉันล่ะ?!”


 


ทันทีที่ชูฮันพูดจบ เจียงโจวก็แทบจะร้องไห้ออกมา มันกลายเป็นว่าหัวหน้ายังจำได้ว่าเขาเคยทำงานด้านเคมีและรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่!


 


ชูฮันยิ้มอยู่ในสายตา นอกเหนือจากเจียงโจวแล้ว เขายังต้องหาอีกคนที่มีความสามารถด้านชีววิทยา ไม่อย่างนั้นรายงานการวิจัยจากซิงเฉินคงยากที่จะพัฒนาต่อได้


 


“แล้วเหอเพ่ยหยวนล่ะ?” ทันใดนั้นชูฮันก็หันไปถามเหอเพ่ยหยวน

 

 

 


ตอนที่ 400

 

มีร่างของคนหลบอยู่ในมุมมุมหนึ่งภายในค่ายซางจิง หนึ่งคนเป็นคนตัวสูงและอีกหนึ่งเตี้ย  พวกเขาค่อยๆขยับตัวไปอย่างเงียบๆท่ามกลางความมืด พวกเขาดูคุ้นเคยกับพื้นที่ในเมืองชั้นในเป็นอย่างดี สามารถหลบเลี่ยงเวรยามและสลับซับซ้อนตำแหน่งเคลื่อนย้ายไปมาได้อย่างคล่องตัว ในที่สุดทั้งสองร่างก็เดินออกมาสู่ถนนที่ห่างไกลออกจากตัวเมือง


 


“เฮ้!” เสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยพลังและอัดแน่นไปด้วยความตื่นเต้น “พี่ชายชูฮันกลับมาแล้วจริงๆเหรอ? แล้วไปเจอกับเจ้าอ้วนเฉินแล้วก็ไปแล้ว?”


 


“ใช่ คุณหนูถามผมมาแปดร้อยครั้งได้แล้ว!” ชาช่าวหน่านแทบจะร้องไห้ “ผมไม่ไหวแล้ว ผมพอแล้วท่านเลา ผมพอแล้ว!”


 


“เหอะ ฉันพึ่งจะถามนายไปหนึ่งร้อยห้าครั้ง การพูดเกินจริงของนายคือการโกหก!” เลาเสี่ยวเสียวเงยหน้าเล็กๆของเธอขึ้นมา แววตาเป็นประกายจ้า “นายบอกว่าพี่ชายชูฮันของฉันมาซางจิง แน่นอนว่าฉันต้องได้ฉลองปีใหม่กับพี่ชูฮัน ฉันไม่สนใจเฒ่าจิ้งจอกนั้น!”


 


ชาช่าวหน่านไร้พลังจะต่อต้าน แถมการที่เลาเสี่ยวเสียวเรียกเลาหมิงว่าเฒ่าจิ้งจอกยิ่งทำให้เขาอยากจะเป็นลม “แต่เราวิ่งออกมาแบบนี้โดยไร้จุดหมายเนี่ยนะ? เรารู้แค่ว่าพลเอกชูฮันและพลโทเฉินช่าวเย่ไปด้วยกัน แต่ตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ไหนกันแน่!”


 


“นั้นฉันไม่สนใจ เพราะมันคือหน้าที่ของนาย” เลาเสี่ยวเสียวตอบอย่างเย็นชา “ใช้วิธีการสืบสวนของนายตามหาคนสิ!”


 


ชาช่าวหน่านตกใจ “เทคโนโลยีที่ผมสร้างขึ้นมาอย่างภูมิใจไม่ได้มีเอาไว้มาให้คุณหนูเล่น!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ตาคมกริบของเลาเสี่ยวเสียวถูกขว้างใส่ชาช่าวหน่าน “ถ้านายหาไม่ได้ ฉันจะบอกคุณปู่ว่านายลักพาตัวฉัน!”


 


“โอ้ พระเจ้า!” ชาช่าวหน่านแทบจะเป็นลม “ใครเป็นคนลักพาตัวตอนนี้กันแน่?”


 


ทั้งสองคนเดินไปตามถนน มุ่งหน้าไปเรื่อยๆท่ามกลางความมืดมิด วันนี้ทุกคนอยู่แต่ในที่พักของตัวเองรอคอยเฉลิมฉลองปีใหม่ ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นผ่านกลางดึกดื่นแบบทั้งคู่


 


อย่างน่าเศร้าทั้งสองคนจึงหลงทางในความมืด


 


2 ชั่วโมงต่อมา น้ำเสียงสั่นๆของเลาเสี่ยวเสียวก็ดังขึ้น “ฉัน—ฉันถามว่านายทำได้มั้ย?”


 


ชาช่าวหน่านเองก็ไม่ต่างกัน เพื่อที่จะไม่ให้เลาเสี่ยวเสียวแข็งตายเขาจำเป็นต้องสละเสื้อคลุมของเขาให้เธอ ในตอนนี้เขาจึงมีเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆตัวเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะสมรรถภาพทางกายภาพของวิวัฒนาการเขาคงแข็งตายไปแล้ว


 


“ผมบอกแล้วว่ามันยากที่จะตามหาเขา ค่ายซางจิงมันกว้างใหญ่กว่าที่คุณหนูคิด บ้านเรือนอัดแน่นแถมประชากรก็ล้นจนเป็นเขาวงกต ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน จะไปตามหาเขาได้จากไหนกัน?” ชาชาวหน่านพยายามพูดโน้มน้ามเลาเสี่ยวเสียว “เราเหมือนเดินเป็นวงกลมอยู่แบบนี้ เรากลับกันเถอะ?”


 


“ไม่!” เลาเสี่ยวเสียวยังคงไม่ยอม จากนั้นเธอสูดจมูกพร้อมกับสีหน้าที่แสดงความหลงใหลออกมา “หอมจัง?”


 


“เหมือนเกี๊ยวกำลังร้อนๆราวกับพึ่งออกจากกระทะ” ชาช่าวหน่านเองก็สูดจมูกพลางกลืนน้ำลายอึก


 


“นายหิวมั้ย?” เลาเสี่ยวเสียวเสนอ


 


ชาช่าวหน่านเงียบไปครู่หนึ่งและในที่สุดก็เอ่ยถาม “คุณหนูมีแผนอะไร?”


 


“แผนอะไร ฉันถามว่านายจะกินมั้ย?” เลาเสี่ยวเสียวกำลังมองหาที่มาของกลิ่นเกี๊ยว


 


————


 


“ชูฮัน?” เฉินเสี้ยนกาวหยุดชูฮันที่กำลังจะก้าวออกไป “นายไม่กินเกี๊ยวก่อนเหรอ?”


 


ชูฮันยิ้มและรับเสื้อแจ็กเก็ตที่ติงเซวส่งมาให้ “กินก่อนเลย”


 


“หัวหน้า…” เฉินช่าวเย่รีบผุดลุกขึ้นและยัดอาหารในชามเข้าปากไม่หยุดเพื่อจะตามชูฮันไป


 


ชูฮันทนดูไม่ไหว เขาโบกมือพลางพูดขึ้น “เอาล่ะ แกอยู่ที่นี้ไป ฉันจะไปดูก่อน”


“โอ้” เฉินช่าวเย่นั่งลงและกินอาหารบนโต๊ะต่อทันที


 


หลิวยู่ติงโดนเบียดอัดอยู่ในมุม ทุกครั้งที่เขายื่นตะเกียบออกไปมักจะได้แต่ความว่างเปล่ากลับมา และในตอนนี้เมื่อเห็นชูฮันจากไปคนเดียว ในอกของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เฉินช่าวเย่ที่นั่งข้างเขาไม่สนใจอะไรเลยสักนิด เฉินช่าวเย่ไม่สนใจจะดูแลเพื่อนร่วมกระบวนการเลย ไม่ต้องพูดถึงลูกน้อง แม้แต่กลับแกล้มก็ยังกินไม่เหลือซาก!


 


ใครคือคนพวกนี้กัน? ส่งท้ายปีเก่ามีมื้ออาหารแบบนี้กินด้วยเหรอ?!


 


“เกี๊ยวมาแล้ว!” เสียงของเยวจึดังขึ้นมาพร้อมกับเกี๊ยวร้อนๆที่วางลงบนโต๊ะ ทันใดนั้นบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงทันที


 


“ปัง!”


 


หลิวยู่ติงผลักเฉินช่าวเย่ที่กำลังจะผลักเขาออกจากโต๊ะเพื่อคว้าเกี๊ยว หลิวยู่ติงลุกขึ้นและแหกปาก “ปล่อยฉัน ฉันจะเอาเกี๊ยว!”


พันตรีหนุ่มที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนนายร้อยโดยตรงทนไม่ไหวและระเบิดออกมา


 


ชูฮันยิ้มจากนั้นก็หมุนตัวเดินผ่านประตูออกไป


 


———–


 


“มากินเกี๊ยวกัน” เหอเพ่ยหยวนยิ้มและเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานเกี๊ยว


 


“ตะเกียบ”


จุนจื่อและจุ้ยชูพูดออกคำสองคำออกมาอย่างพร้อมเพรียง ทั้งคู่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร สายตาจับจ้องมาด้านหน้า หากคนที่ไม่รู้จักคงจะคิดว่าพวกเขาฝึกความอดทนอยู่


 


เหอเพ่ยหยวนยกมุมปากพร้อมกับมองลูกชายเขา


 


เหอเฟิงชำเลืองมองจากนั้นก็ลุกขึ้น การเคลื่อนไหวของเขามีระเบียบมาก เขายื่นมือออกไปหาเหอเพ่ยหยวน


 


ปากของเหอเพ่ยหยวนเผยอ จานเกี๊ยวถูกวางลงบนโต๊ะ ตะเกียบทั้งสามคู่ถูกยื่นออกมา “กิน”

เหอเฟิงไม่รู้จะดึงมือกลับมายังไง กระดูกสันหลังของเขาตั้งตรง จากนั้นสมาชิกทั้งสามคนของทีมฮูหยาก็ยื่นมือที่ถือตะเกียบออกมาพร้อมกันอย่างเงียบๆและคีบเกี๊ยวไปกินอย่างไร้เสียง


 


มันไม่มีการสื่อสารใดเลยตลอดกระบวนการ ราวกับทั้งสามคนกำลังปฏิบัติหน้าที่กันอยู่


 


เหอเพ่ยหยวนจำเป็นต้องบอกให้ตัวเองเงียบ เหอเฟิงมักจะกลับมาทานอาหารร่วมกับเขาอยู่บ่อยๆ แต่ลูกชายของเขาเป็นคนที่จิตใจแน่วแน่มากและเรียบง่ายอย่างสุดโต่ง ไม่มีความสนุกสนานหรือยืดหยุ่น เหมือนกับอาหารมื้อนี้ สำหรับเหอเฟิงมันก็เป็นแค่กระบวนการอย่างหนึ่งเพื่อการดำรงชีวิต ส่วนความสนุกสนานบนโต๊ะอาหารหรือการพูดคุยเหอเฟิงไม่เข้าใจหรือมีความสนใจเลยสักนิด


 


และในขณะที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกำลังกระอักกระอ่วนอยู่นั้น มันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาทำลายความเงียบ


 


ก๊อก ก๊อก—-


เสียงเคาะประตูสองครั้ง ไม่ดังหรือเบาเกินไป ไม่ช้าหรือรีบเร่งเกินไป


 


สายตาทั้งสามคู่หันเหไปจากเกี๊ยวทันที พวกเขาใช้วิธีการสบตาเพื่อสื่อสารกันจากนั้นก็มองไปที่ประตู พร้อมกับหยุดเคี้ยวอาหารเพื่อไม่ให้เกิดเสียงใดๆทั้งนั้น


 


เหอเพ่ยหยวนที่แทบจะเป็นลมพยายามฝืนตัวเองและลุกขึ้น “ฉันจะไปเปิดประตู”


 


พรึบ!


หลังจากประตูเปิด—–


 


พัฟ!


ทันใดนั้นมันก็มีเสียงของข้าวที่ถูกพ่นออกมา เหอเฟิงพ่นข้าวใส่หน้าจุนจื่อและจุ้ยชูที่นั่งอยู่ตรงข้าม

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม