Ancient Strengthening Technique เทพอสูรบรรพกาล 1383-1386
บทที่ 1383 – เขาคือเยียน ตี้ ผู้ฝึกตนแห่งมหาทวีปมังกรอหังกาล นิกายประมุขอสูร..หนึ่งในพลังมารทั้งสี่
ชิงสุ่ยไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่พยักหน้า
“ข้าก็ไม่รู้อะไรมากนัก คนมากมายเรียกเขาว่าเยียน ตี้ เขาแข็งแกร่งมากในมหาทวีปมังกรอหังกาล ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ข้าไม่รู้”หลิงฮู ยูมองชิงสุ่ยและตอบ
เยียน ตี้… ชิงสุ่ยตะลึง นี่คือชื่อเขาหรือคนอื่นตั้งให้กันแน่…. มหาทวีปมังกรอหังกาลกับมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ มหาทวีปใดแข็งแกร่งกว่ากัน?..
ว่ากันว่าพลังของทั้งสองสูสีกัน!
“ขอบคุณที่ตอบ”ชิงสุ่ยขอบคุณจากใจจริง
“พวกเรายินดี ..แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง มหาทวีปมังกรอหังกาลและมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ดังนั้น….”
“ข้ารู้ ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าข้าควรทำอะไร..”
ชิงสุ่ยถอนหายใจอย่างโล่งใจ ในที่สุดเขาก็ได้ข่าวของอีกฝ่าย นี่ถือเป็นการพัฒนาไปอีกขั้นแล้ว ในตอนแรกเขาคิดว่าชายคนนั้นอยู่ที่มหาทวีปอุดรเทวาที่กว้างใหญ่ ดังนั้นหากเขายังอยู่ที่มหาทวีปมังกรอหังกาลก็ถือเป็นเรื่องง่ายสำหรับชิงสุ่ย
“ข้ามีอีกเรื่องอยากจะถาม”ชิงสุ่ยยิ่งอยากรู้
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก ถามมาเลย ตราบเท่าที่ข้ารู้ ข้าจะบอกเจ้า” หลิงฮู ยูบอกอย่างเป็นกันเอง
“ข้าอยากรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของนิกายประมุขอสูร” ชิงสุ่ยลังเลก่อนจะถาม
“นิกายประมุขอสูร?” หลิงฮู ยูมองชิงสุ่ยแปลกๆอีกครั้ง เขารู้ว่าชิงสุ่ยคงไม่ถามอะไรโดยไม่มีเหตุผล แต่ถึงอย่างนั้นเขาเกี่ยวข้องอย่างไรกับประมุขอสูร? แน่นอนว่าชิงสุ่ยคงไม่ใช่ศัตรูกับพวกเขา แต่ในตอนนั้นหลิงฮู ยูไม่สามารถคาดเดาคำตอบได้
ชิงสุ่ยมองเห็นความลังเลของหลิงฮู ยู เขาจึงพูดขึ้น “ท่าน..ต้องบอกความจริงกับข้า”
หลิงฮู ยู พยักหน้า “นิกายประมุขอสูรเป็นหนึ่งในพลังมารทั้งสี่เพราะพลังที่แข็งแกร่งนั้นนำพวกเขาไปสู่จุดจบที่ขมขื่นด้วยพลังของพวกผู้ผดุงคุณธรรม นิกายประมุขอสูรตั้งอยู่ระหว่างสามมหาทวีปและสมาชิกกระจัดกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ของแต่ละทวีป”
หลิงฮู ยูไม่ได้พูดอะไรอีก
” กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำเป็นศัตรูกับนิกายประมุขอสูร?” หลังจากชิงสุ่ยถาม ก่อนจะคิดได้ว่าไม่ควรถามเช่นนั้นออกไป
“ก็น่าจะใช่ เพราะคติของกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำคือความยุติธรรม” หลิงฮู ยู ตอบ
“ข้าอยากรู้ว่า นิกายประมุขอสูรชั่วร้ายมากเลยเหรอ?”ชิงสุ่ยถามโดยที่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาอยากรู้อะไรกันแน่
“ไม่มีอะไรแน่ชัดระหว่างความยุติธรรมและความชั่ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะฆ่าทุกคน คนชั่วเองก็มีเหตุผลที่จะฆ่า และความดีกับความชั่วนั้นก็มีความหมายใกล้เคียงกัน บางครั้งคนดีก็เป็นพวกหน้าซื่อใจคด ซึ่งแย่กว่าคนชั่วเสียอีก ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้แน่ชัดหรอกว่าอะไรคือความดีหรือความชั่ว จะมีก็แต่ศัตรูและการแก้แค้น” หลิงฮู ยูยิ้มและมองชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยยิ้มตอบ“ท่านช่างฉลาดหลักแหลม มีใครใน 3 มหาทวีปที่สามารถจัดการพวกเขาได้ไหม?”
“โลกนี้มีทั้งดีและชั่ว เพื่อความสมดุล ไม่ว่าที่นั่นจะสงบเพียงใด แต่ก็ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายได้ ไม่ว่าเมืองนั้นจะร่ำรวยขนาดไหน ก็ต้องมีคนที่ยากจน และพลังความดีและความชั่วของแต่ละคนนั้นก็มีความหมายเพื่อความอยู่รอด นี่คือกฎของโลก”
ชิงสุ่ยพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายชราพูด
…
ในห้องโถงตระกูลเย่หลาง ชายชราท่าทางดุจราชสีห์ปรากฏตัวด้านท่าที่ไม่เป็นมิตร เย่หลาง เชียนหยวนยืนอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นด้วยท่าทางหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใด หากเสียผู้ฝึกตนอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจ ไปสิบกว่าคน ก็เหมือนกับสูญเสียแขนไป จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะโมโห แล้วพวกเขาจะไม่โมโหได้อย่างไร ?
เย่หลาง เชียนคุนยืนอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ เขาสวมชุดไว้ทุกข์ แม้จะพยายามห้ามทุกคนแต่เพราะความเหย่อหยิ่ง ทุกคนจึงถูกชิงสุ่ยสังหาร และตอนนี้ตระกูลเย่หลางกำลังเผชิญกับความลำบากครั้งใหญ่
แม้จะใช้คนทั้งตระกูลไปจัดการชิงสุ่ย แต่จะมีประโยชน์อะไร? ตระกูลเย่หลางอาจจะกลายเป็นฝ่ายที่ถูกทำลายและหายไปจากประวัติศาสตร์ด้วยฝีมือของชิงสุ่ยคนเดียวด้วยซ้ำ
ชายชราอีกคนเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี เขาโกรธมากจนตัดสินใจจะสังหารชิงสุ่ยด้วยตนเอง
“ถ้าข้าไม่แก้แค้น ข้าก็คงสงบใจลงไม่ได้ และความเกลียดชังนี้ก็จะค้างคาใจข้าไปตลอดกาล”ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
เมื่อเย่หลาง เชียนคุนได้ยินสิ่งที่ชายชราบอก เขาถอนหายใจอีกครั้ง แม้เขาจะถอนหายใจเบา ๆ แต่ทุกคนก็ได้ยินชัดเจน
“เชียนคุน ทำไมถึงถอนหายใจล่ะ?”ชายชราถามอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ชายชราคิดว่าเขาน่าจะพึ่งพาได้มากกว่าเย่หลาง เชียนหยวน ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาต้องปกป้องรุ่นต่อไป ซึ่งความคิดของเขาก็คือเย่หลาง เชียนคุนที่จะเป็นที่พึ่งต่อไป
“ท่านประมุข ถ้ามีท่านอยู่ตระกูลเย่หลางจะรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วและก้าวไกลแน่ ดังนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านก็เท่าจุดจบของตระกูลเย่หลาง” เย่หลาง เชียนคุนพูดอย่างตรงไปตรงมา
สิ่งที่เขาพูดนั้นอาจจะเย็นชาเล็กน้อยจนหลายคนในที่นี้รู้สึกตกใจ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ชื่นชมความกล้าหาญของเย่หลาง เชียนคุน นั่นเพราะเย่หลาง เชียนคุนพูดเพื่อประโยชน์ของตระกูล
ชายชราไม่พูดอะไร เขามีชีวิตมานานมากแล้วและเรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต การมองดูตระกูลมุ่งไปยังจุดสูงสุดนั้นคือความตั้งใจของเขา และตอนนี้ตระกูลเย่หลางก็อยู่ในตำแหน่งต้น ๆ ของผู้มีอำนาจ จึงยากที่พวกเขาจะหันหลังกลับ
“เชียนคุน แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรดี? จะยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ?”ชายชราเริ่มสงบใจลง
“ท่านประมุข อนาคตความสำเร็จของชิงสุ่ยนั้นไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเย่หลางจะไล่ตามได้ทัน และข้าไม่มีทางยอมให้ตระกูลเย่หลางตกต่ำแน่ ดังนั้นหลังจากนี้อีกไม่นาน สัก 3-5 ปี ตระกูลเราจะต้องเจริญขึ้นแน่ น่าเสียดายที่เราเป็นมิตรกับชิงสุ่ยไม่ได้ แต่พวกเราจะเป็นศัตรูกับเขา” เย่หลาง เชียนคุนพูดอย่างสุขุม
“ตอนนี้ข้าก็แก่แล้ว เชียนคุน ตระกูลเย่หลางจะเป็นของเจ้า เจ้าจงดูแลทุกอย่างของตระกูลจนกว่าจะเกิดเรื่องที่ยากเกินจะรับมือเจ้า ตอนนั้นเจ้าค่อยมาหาข้า”ชายชราพูดก่อนจะจากไป
เย่หลาง เชียนคุนไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร เพราะในตระกูลใหญ่ ๆ เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ แต่เขารู้สึกผิดหวังที่ความสงบสุขของตระกูลเย่หลางต้องหายไปเพราะความยโสของคนบางกลุ่ม
ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเย่หลางเสียผู้ฝึกตนอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจไปสิบกว่าคนโดยเปล่าประโยชน์ ทุกอย่างคงไม่เป็นเช่นนี้ และถ้าหากพวกเขาไม่ยอมหยุด สถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายกว่านี้ ขอบคุณที่เย่หลาง เชียนหยวนคอยควบคุมเหตุการณ์นี้ อย่างไรก็ตาม เขากังวลว่าชิงสุ่ยอาจจะตั้งตนเป็นศัตรูของพวกเขา และนั่นอาจเกิดปัญหาตามมาภายหลังได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว จนเขาต้องออกไปข้างนอก
…
วันต่อมา เย่หลาง เชียนคุนไปหาชิงสุ่ย เขาเป็นเพียงคนเดียวในตระกูลเย่หลางที่ชิงสุ่ยยินดีที่จะคุยด้วย เขาไม่อยากจะมองหน้าสมาชิกคนอื่นของตระกูลเย่หลาง ถ้าไม่ใช่เพราะ เทียนฮี่ เรินโม่ ชิงสุ่ยอาจจะฆ่าเย่หลาง วู่จี้ ไปแล้ว อย่างไรก็ตามเขาก็อยากละชีวิตของเย่หลาง วู่จี้เพื่อเทียนฮี่ เรินโม่
ตระกูลเย่หลางหาเรื่องเขาก่อน และชิงสุ่ยไม่ใช่คนที่จะยอมให้ตัวเองถูกกลั่นแกล้ง ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะแก้แค้นหรือทำอะไรในตอนนี้ แต่ในอนาคตนั้นไม่แน่ ซึ่งเขาไม่กังวลที่จะเอาคืนอีกฝ่าย
เย่หลาง เชียนคุนเป็นคนฉลาด และไม่ได้พยายามต่อรองอะไรกับชิงสุ่ย เพราะตอนนี้ชิงสุ่ยไม่ได้พูดว่าเขาจะทำอะไรต่อไป ดังนั้นเขาก็แค่พูดโน้มน้าวให้ความเกลียดชังต่อ ตระกูลเย่หลางค่อย ๆ หายไป
ก่อนหน้านี้เขาสัญญากับชิงสุ่ยว่าจะไม่ก้าวก่ายหอคอยจักรพรรดิ ซึ่งตระกูลเย่หลางนั้นเข้มงวดเรื่องนี้มาก แต่เพราะความจองหองของพวกเขา จุดจบของพวกเขาจึงกลายเป็นความตาย
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับชิงสุ่ย เขาไม่มีอารมณ์จะมาสนใจอะไรในสิ่งที่พวกเขาทำ คนมากมายรู้สึกว่าบรรยากาศของหอคอยจักรพรรดิอึมครึมเพราะการมาเยือนของตระกูลหลิงฮูเช่นเดียวกับสิ่งที่ตระกูลเย่หลางเคยทำก่อนหน้านี้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชื่อเสียงของหอคอยจักรพรรดิก็โด่งดังขึ้น เพราะหลิงฮู ตุ่ย ด้วยชื่อของเขาและร่างกายของเขาที่ก่อนหน้านี้เคยอ้วนท้วม แต่ตอนนี้กลับหายดีเป็นปกติ อีกทั้งเขาได้พลังกลับคืนมาอีกครั้ง ทุกคนรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของท่านหมอเทวดา
อีกสิ่งหนึ่งคือกลิ่นหอมที่มาจากหอคอยจักรพรรดินั้นหอมจนหลายคนอดใจไม่ไหว น่าเสียดายที่สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่จะเข้าไปได้ทุกคน เฉพาะคนที่มี “บัตรเชิญ” จึงสามารถเข้าได้
กลิ่นหอมนั้นมาจากซาลาเปานั้นเอง..
เมื่อชิงสุ่ยเดินออกมา เขาประหลาดใจที่เห็นเด็กคนหนึ่งในเสื้อผ้าเลอะมอมแมม เด็กคนนั้นนั่งหลับอยู่ที่มุมห้องใกล้ประตู
ชิงสุ่ยตะลึง เด็กคนนี้อายุเพียงสามปีและเขาใส่เสื้อผ้าเช่นนั้น อีกทั้งร่างกายก็ผอมมาก ชิงสุ่ยเดินเข้าไปใกล้ ๆ ชิงสุ่ยจึงรู้ว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิง..
เหมือนเด็กสาวจะรู้ตัวว่ามีคนเข้ามาใกล้ เธอลืมตาคู่กลมโตมองดูชิงสุ่ย ใบหน้าของเธอมีคราบเปื้อนอยู่
“แม่หนู ไหนแม่ของเจ้ารึ?”ชิงสุ่ยนั่งลง และถาม
เธอส่ายหน้า แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะร้องไห้ สายตาของเธอมองทะลุเข้าไปในหัวใจของคนได้ทันที..
โกร๊กกกก~!
เสียงท้องร้องดังจนเธอรีบกุมท้อง เธอขยี้จมูกและมองไปที่หอคอยจักรพรรดิ
เด็กสาวกระพริบตาและมองชิงสุ่ย เมื่อได้ยินเสียงท้องร้อง ชิงสุ่ยจึงหยิบซาลาเปาออกมาสองชิ้นแล้วยื่นให้เธอ
เธอยังเป็นเด็กที่อายุน้อยจนแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ..
เด็กสาวรับซาลาเปามาพร้อมกัดด้วยคำโต อย่างไรก็ตามท่าทีของเธอนั้นไม่ได้น่ารังเกียจแต่ดูน่าสงสาร
ตอนนั้นอี่หวง กู่หวู๋ เดินออกมาและนั่งลงข้างชิงสุ่ย เธอมองเด็กสาวก่อนจะเบิกตากว้าง “ชิงสุ่ย ดูสิว่านางอายุน้อยขนาดไหน นางต้องหลงกับแม่แน่ ๆ ทำไมพวกเราไม่พานางเข้าไปล่ะ? ข้าจะดูแลนางอยู่ตรงนั้นเอง”
ชิงสุ่ยยิ้มและตอบ “ดีเลย!”
อี่หวง กู่หวู๋ ไม่รังเกียจที่เด็กสาวเนื้อตัวมอมแมม เธอพาเด็กสาวเข้าไป น่าแปลกที่เด็กสาวดูไม่กลัว อี่หวง กู่หวู๋เช่นกัน
ชิงสุ่ยรู้สึกช่วยไม่ได้ เพราะร่างกาย อี่หวง กู่หวู๋จึงไม่ง่ายนักที่เธอจะประคองเด็กสาวไป เขามองดูอยู่สักพักก่อนจะกลับ และตรงไปที่ห้องของ อี่หวง กู่หวู๋ เด็กสาวได้ทำความสะอาดตัวจนเผยหน้าตาที่น่ารักเหมือนตุ๊กตา อี่หวง กู่หวู๋และหยวน สู่กำลังนั่งเล่นกับเธอ
เธอยิ้มโดยไม่พูดอะไร ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนเขาจะจับข้อมือของเธอ ….ที่แท้ เธอก็เกิดมาโดยไร้ปราณแห่งเสียงนั่นเอง
“ชิงสุ่ย..เป็นอย่างไรบ้าง?”
“นางไม่เป็นอะไร แต่นางไม่สามารถพูดได้..และจะไม่มีวันพูดได้ตลอดกาล”
บทที่ 1384 – ความรักของแม่อย่างอี่หวง กู่หวู๋ ปัญหาเกิดขึ้นอีกครั้ง ตระกูลเฉ่
เมื่อได้ยินที่ชิงสุ่ยพูดอี่หวง กู่หวู๋ ตะลึงและมองเด็กน้อย หน้าตาของเธอน่ารัก แต่โชคร้ายที่เธอพูดไม่ได้ โชคชะตาเล่นตะลกกับเธอนัก ที่ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวโดยไร้ที่พึ่ง แล้วยังเป็นใบ้..
อี่หวง กู่หวู๋ ไม่ได้สงสารเธอ เพราะสิ่งที่ชิงสุ่ยพูด แต่ความรู้สึกของเธอนั้นลึกซึ้งกว่านั้น เธอลูบหัวเด็กน้อย เมื่อชิงสุ่ยเห็นท่าทีของ อี่หวง กู่หวู๋ เขารู้ทันทีว่าเธอยินดีจะเป็นแม่ให้เด็กน้อย หากพ่อแม่ตัวจริงไม่ปรากฏตัว
“แม้ว่านางจะไม่มีเส้นปราณแห่งเสียง แต่จิตใจนางแข็งแกร่งมาก ถือว่าได้อย่างเสียอย่าง และถ้าเจ้ารับนางเป็นบุตรบุญธรรม ก็ถือว่าเป็นบุญของนางจริงๆ”
“หืม..ลูกของข้า? ในอนาคตนางก็จะเป็นลูกของเจ้าเช่นกัน เจ้าห้ามทำมิดีมิร้ายนางเด็ดขาด” อี่หวง กู่หวู๋ พูดอย่างขุ่นเคือง
“แน่นอน อีกอย่างข้าก็มีลูกบุตรธรรมอยู่แล้ว..ลูกบุญธรรมคนโตของข้า อายุนางย่างเข้า 20 ปีแล้วนะ”ชิงสุ่ยตอบ
อี่หวง กู่หวู๋ประหลาดใจอีกครั้งก่อนจะยิ้ม แม้เธอจะสนิทกับชิงสุ่ยและรู้ว่าเขามีภรรยามากมาย แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเขามีลูกบุญธรรม และเธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขามีลูกทั้งหมดกี่คน
“จริงสิ ตอนนี้เจ้ามีบุตรกี่คนกันแน่?” อี่หวง กู่หวู๋ ให้ชิงสุ่ยนั่งลง และให้เด็กน้อยนั่งลงระหว่างเธอและ หยวน สู่
“ถ้ารวมนางก็ 11 คน”ชิงสุ่ยตอบ
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งชื่อให้นางเถอะ”อี่หวง กู่หวู๋บอก
“ก็ได้ ข้าจะเรียกนางว่า ชิง จุน!”ชิงสุ่ยคิดและตอบ
อี่หวง กู่หวู๋ ยิ้ม “ดี! นางคือลูกสาวของพวกเรา เจ้าต้องให้ของขวัญอะไรสักอย่างแก่นางแล้วล่ะ!”
ชิงสุ่ยหยิบบางอย่างขึ้นมา เขาย่อตัวลงและส่งให้เธอ นั่นคือกำไลชิ้นเล็ก ๆ และ จี้ ชิงสุ่ยช่วยเธอใส่
ชิง จุนมองชิงสุ่ยด้วยดวงตากลมโตและยิ้มอย่างมีความสุข
ความทรงจำของเด็กอายุเท่าเธอนั้นยังเลือนรางและเด็กในวัยนี้มักจะจำไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ก่อนหน้านั้นชิงสุ่ยบอกอี่หวง กู่หวู๋ว่าแต่ละคนนั้นต้องมีสิ่งที่ได้อย่างเสียอย่าง แม้เด็กสาวจะพูดไม่ได้ แต่เธอก็มีพลังส่วนอื่นที่แข็งแกร่ง เธอเป็นเด็กสาวที่มีความคิดมั่นคง มีความทรงจำเป็นเลิศและมีโครงสร้างกระดูกที่ดีมาก
“ชิงสุ่ย เจ้ารักษานางไม่ได้เหรอ?” อี่หวง กู่หวู๋มองย่างมีความสุข เมื่อเห็นชิงสุ่ยหยิบของออกมามากมาย เพราะในตอนแรกเธอกังวลลึกๆ ว่าชิงสุ่ยอาจไม่ชอบเด็กคนนี้
“ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น นางเกิดมาโดยไร้ปราณแห่งเสียง แม้จะรักษาไปก็ไร้ประโยชน์เหมือนกับการให้ยาคนไร้วิญญาณ เพราะนางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว”
อี่หวง กู่หวู๋ เป็นหญิงฉลาด นางจึงไม่พูดอะไรอีก เพราะนางเองก็รู้คำตอบดีเช่นกัน ถ้าชิงสุ่ยไม่สามารถรักษาเธอได้ก็ไม่มีใครสามารถรักษาเด็กคนนี้ได้
ชิงสุ่ยมองอี่หวง กู่หวู๋ ที่แสดงที่ของคนเป็นแม่ออกมา และเขาก็ชอบใจความใจดีของเธอ เมื่อเธออยู่กับเด็กน้อย เธอดูงดงามเป็นพิเศษ
ชิงสุ่ยไม่เคยคิดว่าจะมีลูกจำนวนมากขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นสายเลือดเดียวกันหรือไม่ก็ตาม ชิงสุ่ยก็ดูแลพวกเขาอย่างเท่าเทียม เช่นเดียวกับหลวนหลวนและอวี้ช่างที่เขาก็ดูแลไม่ต่างจากลูกแท้ ๆ ของตัวเอง
…
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน ชิงสุ่ยกลับไปที่ตระกูลชิงครั้งหนึ่ง อี่หวง กู่หวู๋ เองก็กลับไปที่มหาทวีปอู่เซียตะวันตก เช่นกัน แต่พวกเขาก็อยู่ที่นั้นเพียงสามวันเท่านั้นอี่หวง กู่หวู๋คิดถึงเด็กน้อย เธอจึงรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชิงสุ่ยเป็นห่วง อี่หวง กู่หวู๋ และหยวน สู่
ระหว่างนั้น ความสัมพันธ์ของอี่หวง กู่หวู๋และชิง จุนเหมือนแม่ลูกกันจริง ๆ พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทั้งตอนตื่น ตอนนอน จนชิงสุ่ยไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับ อี่หวง กู่หวู๋.
แม้ชิง จุนจะพูดไม่ได้ แต่ยิ้มบ่อยขึ้น ชิงสุ่ยพยายามสื่อสารกับเธอผ่านภาษามือ และเริ่มสอนเธอทีละคำ
ชิงสุ่ยไม่รู้เกี่ยวกับภาษามือสักเท่าไร แต่เขาพอจะรู้พื้นฐานอยู่บ้าง กระบวนการคิดของชิงสุ่ยในตอนนี้เทียบกับโลกก่อนหน้าของเขาไม่ติดเลย เขาจดจำสิ่งที่เห็นในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นชิงสุ่ยจึงสร้างสัญลักษณ์ง่าย ๆ ขึ้นมา
แม้เด็กน้อยจะไม่มีปราณแห่งเสียง แต่เธอก็ได้ยินเขา ต่างจากโลกก่อนหน้าของชิงสุ่ยที่ว่าหากเป็นใบ้ก็มักจะหูหนวกด้วยเช่นกัน
ในเมื่อเธอได้ยินเสียง ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะสอนภาษามือให้แก่เธอ
ชิงสุ่ยใช้เวลากับเธอทั้งวันเพื่อสอนภาษา คำศัพท์และจำนวน..
ทุกครั้งที่ อี่หวง กู่หวู๋ เห็นชิงสุ่ยและเด็กน้อยกำลังเรียนรู้ด้วยกันอย่างมีความสุข เธอก็มีความสุข แม้ว่าจะไม่มีเสียงหัวเราะ แต่เธอรู้ดีว่าเด็กน้อยกำลังยิ้ม ใบหน้าของเธอนั้นทำให้ใครที่มองก็รู้สึกสงสาร..
วันนั้นชิงสุ่ยออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ เพราะเสียงดังโวยวาย เขาขมวดคิ้วก่อนจะออกไปดูด้านนอก
ผู้มาเยือน…
“พาตัวเขามาเร็ว ๆ ! อาการของนายท่านจะปล่อยไว้นานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบ!”
“ข้าขออภัย แต่ท่านต้องมีบัตรเชิญเสียก่อน” คนดูแลหอคอยจักรพรรดิพูดอย่างสุภาพ
“บัตรเชิญ? อะไรกัน?”ชายคนแรกถามอย่างสงสัย
“หอคอยจักรพรรดิไม่ใช่สถานที่สาธารณะ คนที่มีบัตรเชิญเท่านั้นจึงจะได้รับการรักษา”
“ถ้าเช่นนั้นก็เอามาให้ข้า!”เขากล่าวอย่างกระวนกระวาย
“ขออภัย มีเพียง ท่านหมอเทวดา เท่านั้นที่สามารถให้ท่านได้ ข้าเองก็ไม่มี”
“หึ่ม ข้าไม่สนแล้ว เรียกเขามาที่นี้! บอกเขาว่า ตระกูลเฉ่บอกให้เขามา!
“ข้าขออภัย แต่ถ้าไม่มีบัตรเชิญ ท่านหมอเทวดา จะไม่พบท่าน ได้โปรกลับไป!”
“ถ้างั้นข้าจะทำลายที่นี้เสีย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ออกมา!”ชายชราตะโกน
“เฉ่ หลาง!ที่นี้คือ หอคอยจักรพรรดิ อย่าทำตัวรุ่มร่าม!”อีกเสียงหนึ่งร้องปราม
ชิงสุ่ยออกไปข้างนอกและได้ยินเสียงนั้นก็ต้องตกตะลึง เพราะนั้นคือเสียงของ เย่หลาง เชียนคุน
“เย่หลาง เชียนคุน เจ้าอาจจะทำให้เด็กกลัวได้ แต่ข้าไม่กลัวเจ้า ทำไมเจ้าถึงห้าม หรือเจ้าจะปรปักษ์ ตระกูลเฉ่?” เสียงชายคนแรกพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
“ข้าสัญญากับท่านหมอเทวดาชิงว่าจะรับรองความปลอดภัยของที่นี้”เย่หลาง เชียนคุนพูดด้วยท่าติดขัด
“รับรองความปลอดภัย? แล้วเจ้าคิดว่า ตระกูลเย่หลาง ทำได้งั้นเหรอ? น่าขัน ตระกูลของเจ้าเพิ่งพ่ายแพ้ แล้วเจ้ายังตามก้นเขาต้อย ๆ และคิดว่าจะได้เป็นพันธมิตรงั้นหรือ? เจ้ายังเด็กนัก..ตอนนี้อาการของท่านประมุขย่ำแย่ แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านประมุข เจ้าจะให้ข้ารับผิดชอบยังไง!!? ตระกูลเฉ่สามารกำจัดตระกูลเย่หลางได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่เชื่อ เจ้าอยากจะลองดีไหมล่ะ?”เสียงของเฉ่ หลางนั้นช่างเยือกเย็น
เย่หลาง เชียนคุนรู้ดีว่าชิงสุ่ยสนิทสนมกับตระกูลเทียนเห่อ โดยเฉพาะ เทียนฮี่ เรินโม่ และหอคอยจักรพรรดิก็ตั้งอยู่ในคฤหาสน์ของ ตระกูลเทียนเห่อ และคงเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเย่หลางและตระกูลเทียนเห่อจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ได้ อีกทั้งเย่หลาง เชียนคุนก็เข้าใจว่าการที่ชิงสุ่ยจะเป็นมิตรกับเขานั้นก็แทบเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
ชิงสุ่ยมาถึงพื้นที่ส่วนที่สอง แต่เขาหยุดเดินเพราะชิงสุ่ยอยากรู้ความคิดของเย่หลาง เชียนคุน เขาได้ยินเรื่องสถานการณ์ของ ตระกูลเฉ่ ว่าคนพวกนั้นเป็นตระกูลใหญ่ในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ ดังนั้นพวกเขาจึงแข็งแกร่งมาก หรืออาจจะแข็งแกร่งที่สุดในมหาทวีป และยังมีตระกูลแข็งแกร่งอื่นๆ อย่างตระกูลหลิงฮูและตระกูลเย่หลาง
แม้ชิงสุ่ยคิดว่าเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเย่หลาง แต่ถ้าเย่หลาง เชียนคุนเลือกที่จะต่อต้านตระกูลเฉ่ ชิงสุ่ยก็จะออกไปสะสางปัญหานี้เอง
“ทำลายที่นี้เสีย! ข้าไม่เชื่อว่าเจ้านั่นจะไม่ออกมา”หลังจากพูดจบ เสียงหยิ่งผยองก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ชิงสุ่ยยิ้มและออกไป เมื่อเสียงนั้นพูดจบ เพราะนั่นหมายความว่าเย่หลาง เชียนคุนยอมให้ตระกูลเฉ่ทำตามอำเภอใจ แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะที่เขาทำนั้นก็เพื่อตระกูลเย่หลาง เย่หลาง เชียนคุนจึงไม่มีทางเลือก
การตัดสินใจเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะถ้าชิงสุ่ยเป็นเขา เขาอาจจะทำเช่นเดียวกัน
“เจ้าเป็นใคร? ออกไปจากที่นี้เสีย! ที่นี้ไม่ใช่ที่ของเจ้าที่จะมาก่อความวุ่นวาย”
ชิงสุ่ยพูดเมื่อเขาเดินออกไป เพียงแค่เขาสะบัด คนมากมายก็กระเด็นออกไป คนที่อ่อนแอก็ถึงกับกระอักเลือด
ในตระกูลเฉ่ เฉ่ หลางถือเป็นนายน้อยที่ไม่เอาไหนซึ่งอยู่ในตระกูลย่อย แต่เมื่อเขามีชื่อของ ตระกูลเฉ่อยู่เบื้องหลัง เขาก็ทำอะไรได้ตามใจชอบ แม้แต่เย่หลาง เชียนคุนก็ไม่กล้าต่อต้านเขา
ชิงสุ่ยเดินออกมาด้านนอกอย่างสบายอารมณ์ พวกเขาเป็นกลุ่มคุณชายเสเพลจริง ๆ แม้พลังของพวกเขาจะไม่ได้ด้อย และต่อหน้าคนอื่นๆ พวกเขาก็แข็งแกร่งไม่เบา แต่สำหรับชิงสุ่ย พวกเขาก็คือมดตัวน้อย ๆ
“กล้าดีอย่างไรจึงทำร้ายคน ตระกูลเฉ่! รอดูได้เลย ว่าทั้งตระกูลของเจ้าจะต้องย่อยยับ!”
เพี๊ยะ!
ชิงสุ่ยฟาดมือไปข้างหน้า ทำให้ฟันของ เฉ่ หลางหลุดออกและเลือดออกมาจากปาก จมูกและหู เขาหมดสติทันที โดยหน้าของเขาบวมเป่งเหมือนหมู
“ถ้าข้าเจอเจ้าอีก..คราวหน้าพวกเจ้าไม่รอดแน่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”
เมื่อพูดจบ ชิงสุ่ยเดินกลับเข้าไปในหอคอยจักรพรรดิ
เย่หลาง เชียนคุนที่ยืนมองอยู่นั้นมองดูอย่างตกใจ เขาถอนหายใจก่อนจากไป
คนมากมายที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกชื่นชมชิงสุ่ย แต่ก็เป็นห่วงเขาเช่นกัน แน่นนอนว่าที่นั้นมีตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยปะปนอยู่ด้วย พวกเขาไม่ได้สนใจว่าจะมีใครถูกฆ่ารึไม่ พวกเขาแค่อยากดูการแสดงดี ๆ ก็เท่านั้น
คนที่มาที่นี้พากันพยุงร่างของ เฉ่ หลางกลับไป
ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าทำไมตระกูลเฉ่ถึงปล่อยให้พวกยโสและไร้สมองเช่นนี้มาหาเขา
ชิงสุ่ยไม่เข้าใจจริงๆ แต่คนแบบนี้ก็มีอยู่ถมไปหรือชิงสุ่ยควรจะสั่งสอนพวกเขาให้พัฒนาความคิดและเลิกโอหัง?
แต่คนของ ตระกูลเฉ่ คงไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคน เพื่อความอยู่รอดของตระกูลยิ่งใหญ่ พวกผู้อาวุโสคงไม่พึ่งพาคนเช่นนี้แน่
ชิงสุ่ยคิดว่าพวกเขาจองหอง แถมยังโง่อีกด้วย เขาคิดว่าคนเช่นนี้อาจจะเป็นพวกที่ชอบรังแกคนอ่อนแอและชอบทำร้ายผู้หญิง ทั้งยังภูมิใจที่ได้เป็น “สมาชิกรุ่นสองที่โง่เขลา”
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำจะต้องส่งผลตามมา แต่จะเป็นอะไร ถ้าพวกนั้นมาที่นี้อีก ชิงสุ่ยก็จะทำแบบเดิม..
ตระกูลเฉ่ อยู่ในกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำและมีตำแหน่งใหญ่ ในฐานะผู้ปกครอง ซึ่งในลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำ ประกอบไปด้วยผู้อาวุธโส สังฆราช ผู้ปกครองตำแหน่งซ้าย ขวาซึ่งเป็นมันสมองของกลุ่มและเป็นผู้นำ
ผู้ปกครองตำแหน่งซ้ายและขวามีตำแหน่งสูงมาก แม้แต่รองหัวหน้ากลุ่มก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรพวกเขา ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ก็เป็นตำแหน่งธรรมดา
สถานะของผู้ปกครองสูงกว่าผ้อาวุโส ดังนั้นฐานะของ ตระกูลเฉ่ก็ใหญ่พอสมควร พวกเขายังแข็งแกร่งกว่า ตระกูลต่งเย่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม..ตอนนี้ชิงสุ่ยได้เอาตัวเขาเข้าไปพัวพันกับปัญหาเสียแล้ว
บทที่ 1385 – ชิงสุ่ยก็สามารถฝึกฝน ทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม รูปแบบนกหงษ์เพลิง กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต ตระกูลเฉ่
ไม่ว่าเขาจะได้รับพลังอะไรมา แต่เพื่อยืนหยัดในเมืองหลวงแห่งนี้ เขาต้องมีพลังที่แข็งแกร่ง หรือทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญการรักษา ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะเกิดเรื่องไม่ค่อยดีกับหอคอยจักรพรรดิ และเขากลายเป็นเป้าหมายของคนมีอิทธิพลเสียแล้ว
และไม่แน่ว่าตระกูลเย่หลางอาจพยายามโจมตีเขาอีกครั้ง
เขาสามารถสานสัมพันธ์กับตระกูลหลิงฮู ได้ค่อนข้างดี แต่ชิงสุ่ยได้คาดหวังให้พวกเขาต้องทำอะไรเพื่อตัวชิงสุ่ย ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นเขาจึงค่อยขอความช่วยเหลือ
สำหรับตระกูลเฉ่ ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าเขาควรวางตัวอย่างไร หากตัดสินจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเป็นผู้ปกครองในกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำ ก็ถือว่าตระกูลของพวกเขานั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง หรืออาจจะผู้ฝึกตนที่เก่งกาจอยู่ในตระกูลเฉ่
คนที่เป็นปัญหาคือคนจากตระกูลย่อยในตระกูลเฉ่เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็คือตระกูลเฉ่ ถ้าตระกูลเฉ่ สามารถควบคุมคนของตนได้ คนพวกนั้นก็คงไม่สามารถแสดงท่าทีหยิ่งยโสเช่นนี้ได้
สำหรับคนที่ป่วยหรือบาดเจ็บ ชิงสุ่ยก็รักษาพวกเขา เพราะพวกเขาทำตามกฎของหอคอยจักรพรรดิ ไม่ได้ฝ่าฝืนกฏเช่นตระกูลเฉ่
ดังนั้นคงจะต้องมีบ้างที่ชิงสุ่ยปฏิเสธ เพราะในอนาคตเขายังต้องเจอเรื่องราวอีกมาก ดังนั้นจึงต้องปฏิเสธไปอย่างเช่นเหตุการณ์ในวันนี้
……
ตอนนี้ชิงสุ่ยเชี่ยวชาญ ทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์ ทักษะนี้ไม่มีระดับขั้นของพลัง และเขาสามารถใช้พลังนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่นานมานิ้ชิงสุ่ยพยายามเรียนทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม แม้จะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องดนตรี ชิงสุ่ยตัดสินใจฝึกหลังจากเขาเห็นรูปแบบการต่อสู้ของรูปแบบหงษ์เพลิง และเขาคิดว่าทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าหลวนหลวนเลย
เมื่อชิงสุ่ยมีโอกาสได้รู้จัก เขาก็ไม่อยากละทิ้งทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แม้จะเป็นเรื่องน่าอายเล็กน้อยที่ชายหนุ่มจะต้องเล่นพิณแต่ชิงสุ่ยก็ไม่คิดมาก
พิณห้าสายและพิณเจ็ดสายของรูปแบบหงษ์เพลิงนั้นเรียบง่ายแต่ก็ไพเราะ ซึ่งทุกคนสามารถเล่นได้
เขานั่งอยู่อากาศในขณะที่พิณห้าสายลอยอยู่ตรงหน้าเขา ถ้าทำเช่นนี้ได้ในโลกก่อนหน้า เขาคงกลายเป็นนักมายากลไปแล้ว ไม่ก็กลายเป็นพระเจ้าไปแน่ ๆ แต่สำหรับที่นี้ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
ชิงสุ่ยหลับตาทั้งสองข้างและเริ่มเล่นดนตรีพร้อมกับพิณห้าสาย และเมื่อทำเช่นนั้น บรรยากาศสบาย ๆ ค่อย ๆ แผ่ไปในอากาศ คนที่ได้ยินเสียงดนตรีนี้อาจสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่อ้างว้าง พวกเขาอาจรู้สึกเหมือนตัวเองใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมานานกว่าพันปี จนเขาไม่อาจอดกลั้นความเหงาที่อยู่ภายในใจ
เคล้ง!
เสียงดนตรีดังขึ้น พลังบางอย่างเหมือนกับตอนแรกแผ่ออกมารอบ ๆ จนทั่วบริเวณ เป็นความรู้สึกหนักแน่น ราวกับมีพลังของบุรุษและม้านับพันตัวปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า เป็นกองทัพปราณกำลังปะทะกันอยู่กลางอากาศ พวกเขาโจมตีและทำลายแขนขาของฝ่ายตรงข้ามจนกลิ่นเลือดคลุ้งไปทั่วอากาศ บทเพลงที่หนักหน่วงนี้ปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ของทุกคนขึ้นมา ราวกับทั่วร่างของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง เป็นพลังที่อาจผ่าสวรรค์ออกจากกันและกำจัดคู่ต่อสู้ทั้งพันคน
……
ชิงสุ่ยเริ่มชอบทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม โดยไม่รู้ตัว ช่างเป็นทักษะที่สง่างาม และเขาสามารถสังหารศัตรูได้อย่างเงียบ ๆ ชิงสุ่ยเพิ่งสังเกตเห็นคุณสมบัติข้อนี้
ทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม มีความเกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณ ยิ่งพลังวิญญาณแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไร ความสามารถในการควบคุมการโจมตีของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น หากชิงสุ่ยสามารถฝึกสำเร็จจนพลังวิญญาณของเขาเป็นหนึ่งเดียว ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยิ่งรุนแรงมาก
เมื่อชิงสุ่ยมีเวลา เขาเริ่มทบทวนรูปแบบหงษ์เพลิง เขาประหลาดใจที่ค้นพบทักษะใหม่อีกหนึ่งทักษะ.
กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต!
ชิงสุ่ยมองทุกอย่างคร่าว ๆ นี่ไม่ใช่ทักษะต่อสู้ธรรมดา แต่ใช้สำหรับการต่อสู้ระยะประชิด ประการแรก กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตใช้เพื่อทำลายเส้นเลือด ลมปราณและจุดฝังเข็มของร่างกายมนุษย์ เป็นทักษะที่ใช้ต่อสู้กับเกราะอสูรสำแดงและคู่ต่อสู้ที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งหรือแข็งแกร่งกว่าตัวผู้ใช้
ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขมาก
อีกทั้งกรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตต้องการร่างกายที่ค่อนข้างพิเศษ ถ้าผู้ใช้ไม่สามารถสู้ระยะประชิด กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยมีย่างเก้า 9 เทวา เขาจึงได้เปรียบเรื่องความเร็ว
เมื่อยังมีเวลา ชิงสุ่ยเริ่มฝึกฝนกรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต และทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม เขาตระหนักว่าความเร็วในฝึกฝนเคล็ดวิชาเลียนแบบสัตว์ 9 อสูรเร็วขึ้น อาจเป็นผลจากการรับพลังมา อีกทั้งชิงสุ่ยยังมีดินแดนหยกยุพราชอมตะ ดังนั้นการฝึกฝนทักษะนี้จึงเป็นเรื่องง่ายของชิงสุ่ย
โดยปกติแล้ว กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตมีเพียงแค่ 6 ทักษะ อย่างแรกคือการโจมตีโดยตรงทั่ว ๆ ไป การโจมตีนี้ทำให้เกิดความเสียหาย 2-3 เท่าจากพลังพื้นฐานของผู้ใช้ ทั้งยังมีแรงกดดันมหาศาลที่ออกมาจากนิ้วมือ ซึ่งสร้างความเสียหายให้ฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าตัวมันได้ อย่างที่สองคือการโจมตีจุดฝังเข็ม จุดฝังเข็มกระจายอยู่ทั่วไปตามร่างกายของมนุษย์ โดยแต่ละจุดมีหน้าที่ต่างกันไป เมื่อจุดฝังเข็มที่อันตรายต่อชิวิตถูกโจมตี พลังทำลายล้างของ กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่ถึงอย่างนั้นผู้ฝึกตนมากมายมีวิธีปกป้องจุดฝังเข็มของพวกเขา อย่างเช่นผู้ฝึกตนบางคนสามารถเคลื่อนย้ายจุดฝังเข็มของเขาได้
ทักษะที่สามคือการโจมตีลมปราณ โดยการตัดขาดการเชื่อมต่อของลมปราณเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่ง
ทักษะที่ 4 เป็นการโจมตีอวัยวะ เป็นการโจมตีสำหรับมนุษย์โดยเฉพาะ เป็นการสร้างความเสียหายจากภายใน
ทักษะที่ 5 เป็นการโจมตีเส้นเลือดในร่างกาย เป็นพลังสำหรับทำลายเส้นเลือดของศัตรู
ทักษะที่ 6 คือการโจมตีจุดสำคัญของชีวิต การทำลายจุดสำคัญที่อันตรายถึงชีวิต มีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้ฝ่ายหมดสติ
ชิงสุ่ยพอใจหลังจากเห็นความสามารถของกรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต เขาน่าจะฝึกฝนจนเชี่ยวชาญได้อย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้นตัวทักษะเองยังคงซับซ้อน แม้จะดูเรียบง่ายเหมือนปลายนิ้วเดียวแต่เมื่อลองทำดูนั้น ความจริงแล้วมันยากกว่าที่คิด
ชิงสุ่ยนึกถึงหมอนเพราะเขาเริ่มง่วงนอน หลังจากพบกับ ตระกูลเฉ่ แม้ เคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระ อาจจะไร้ประโยชน์ที่จะนำมาต่อสู้กับพวกเขา ความอดทนของเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง พลังการป้องกันของเขาเพิ่มขึ้นสามเท่า ความเร็วของเขาก็แข็งแกร่ง และด้วยรองเท้าเสริมความเร็วอย่าง วชิระไร้เงายิ่งทำให้พลังนั้นน่ากลัว สิ่งเดียวที่เขาขาดไปคือทักษะต่อสู้ที่ทำให้บาดเจ็บถึงตายเพราะ ทักษะวชิระจู่โจมสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่ตอนนี้ด้วยการผสานพลัง กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตและย่างก้าว 9 เทวา และ วชิระไร้เงาการรวมพลังนี้จะต้องแข็งแกร่งมาก
กรงเล็บแรก เป็นทักษะที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเรียบง่ายแต่ก็น่ากลัว เขาสามารถผสมผสานพลังด้วยพลังที่เขามี
ผ่านไปไม่นาน ชิงสุ่ยก็เชี่ยวชาญทักษะพื้นฐานของ กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต เนื่องจากทักษะของนิ้วอื่นๆ นั้นเกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐาน ดังนั้นชิงสุ่ยจึงใช้เวลาฝึกกรงเล็บแรกมากที่สุด
ซึ่งในตอนนี้ชิงสุ่ยก็เริ่มใช้กรงเล็บที่สอง ซึ่งจะโจมตีจุดฝังเข็มต่าง ๆ
เวลาใกล้หมดแล้ว ชิงสุ่ยแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ เวลานี้ยังไม่รุ่งสาง ชิงสุ่ยภาวนาให้วันนี้เป็นวันที่สงบสุข
เขาใช้เวลาสอนกรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตให้หญิงสาวทั้งสอง โดยเริ่มจากกรงเล็บแรก ก่อนเขาจะเริ่มแก้ไขทีละจุดของการเคลื่อนไหว นอกจากนั้นทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม ยังดีกว่าของหญิงสาวทั้สอง ชิงสุ่ยสามารถวิเคราะห์ความสามารถของทั้งสองได้
หลังจากเรียนรู้ได้ไม่นาน หญิงสาวก็เริ่มปวดหัว แม้ทั้งสองจะเริ่มเรียนทักษะนี้ก่อนหน้าชิงสุ่ย พวกเธอจึงคิดว่าความรู้ของตัวเองนั้นนำชิงสุ่ยอยู่ ทว่าพวกเธอกลับต้องตกใจเมื่อเห็นว่าชิงสุ่ยนำหน้าพวกเธอไปมากเพียงใด
แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือลูกสาวของชิงสุ่ยนั้นเชี่ยวชาญทักษะนี้เสียยิ่งกว่าชิงสุ่ยด้วยซ้ำ
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวทั้งสองรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ชิงสุ่ยรู้สึกว่ากรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต เหมาะกับเขามาก เพราะอาวุธของเขาตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในจุดตันเถียร ดังนั้นถึงจะไม่ถืออาวุธในมือแต่ก็เหมือนเขาถือมันอยู่ ดังนั้นเขาสามารถใช้พลังได้ โดยการขยับข้อมือและนิ้วมือ ชิงสุ่ยก็สามารถใช้พลังเช่นเดียวกับพันค้อนกัมปนาทด้วยข้อมือของเขา
ตระกูลหลิงฮู เข้าร่วมหอคอยจักรพรรดิ ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ด้วย”บัตรเชิญ” ใครจะเข้ามาก็ได้ โดยคนผู้นั้นจะต้องเป็นที่จดจำของหอคอยจักรพรรดิ
แม้ว่า‘ทางเข้า’มายังหอคอยจักรพรรดินั้นสูงมากและคนมากมายกล่าวว่าที่นี้ดูแลแต่คนมีเงินและดูแคลนคนยากจน ดังนั้นการรักษาโดยไม่คิดเงินที่หอคอยจักรพรรดิ ให้บริการทุกสิบวันนั้น จึงทำให้คนพวกนั้นเงียบปากได้ เพราะในความจริงแล้ว หอคอยจักรพรรดิ ได้แจงรายละเอียดไว้ชัดเจนว่าคนประเภทใดที่พวกเขาไม่สามารถรักษาได้
ในวันนั้น มีข่าวว่าเฉ่ จง แห่งตระกูลเฉ่ได้เสียชีวิตแล้ว โดยเขาคือหัวหน้าตระกูล หนึ่งในตระกูลย่อยของ ตระกูลเฉ่ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งท่ามกลางตระกูลย่อยของตระกูลเฉ่ ดังนั้นตระกูลของเขา จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของตระกูลเฉ่ จนเป็นเหตุให้ เฉ่ หลาง ทำตัวอวดดี และที่เขามาหาชิงสุ่ยเมื่อวันก่อนก็คงจะเพราะเรื่องนี้
ตราบเท่าที่เฉ่ จงยังมีชีวิต ตระกูลย่อยนี้ก็ทำตัวเป็นใหญ่ได้ไม่สิ้นสุด แต่เมื่อไร้เขา ก็คงไม่มีใครกล้ารังแก ตระกูลเฉ่ ทว่าลำดับของพวกเขาอาจจะตกลง ไม่แน่ว่าหลังจาก 10 ปีหรือ 100 ปี ตระกูลย่อยนี้อาจจะหายไปจากตระกูลเฉ่เลยก็เป็นได้
ตระกูลเฉ่ เป็นตระกูลใหญ่ ถึงอย่างนั้นตระกูลย่อยของพวกเขาก็ไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดกาล เพราะเมื่อแต่ละตระกูลย่อยมีรุ่นใหม่ๆ กำเนิด ก็จะมีเพียงตระกูลย่อยที่แข็งแก่งเท่านั้นที่ยังสังกัดอยู่ใน ตระกูลเฉ่ คนที่อ่อนแอก็จะค่อย ๆ ออกไป ความจริงนั้นทุก ๆ รุ่น มักจะมีหนึ่งคนที่เริ่มตั้งตัว แต่งงานและออกไปสร้างตระกูลของตัวเอง หรือบางคนก็แต่งงานกับตระกูลหลัก เพื่อรักษาสายเลือดของ ตระกูลเอาไว้ และเมื่อพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลัก คนบางคนก็หวังจะเป็นผู้นำตระกูล ซึ้งตระกูลเก่าแก่ส่วนมากก็มักจะเป็นเช่นนี้ นี้คือสังคมที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับและเคารพ และด้วยเหตุนี้สายเลือดแห่งตระกูลเฉ่ก็จะดำรงต่อไป..
การตายของเฉ่ จงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชิงสุ่ย และถึงแม้พวกเขาอาจจะสร้างปัญหาให้ชิงสุ่ย พวกเขาก็คงยังไม่มาในเร็ว ๆ นี้ เฉ่ หลางถูกชิงสุ่ยจัดการจนเสียฟันไปซี่หนึ่ง ดังนั้นจะต้องมีใครบางคนมาที่นี้เพื่อแก้แค้นแทนเขา
วันเวลาผ่านไปในพริบตาเดียว ก็ล่วงเลยมาแล้ว 3 วัน ชิงสุ่ยพยายามปรับตัวเพื่อฝึกฝน 4 กรงเล็บแรกของ กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต ถ้าเป็นไปตามที่ชิงสุ่ยคิด ก็น่าจะเป็นเวลาปีครึ่ง การพัฒนาของหญิงสาวทั้งสองนั้นค่อนข้างช้า แต่เมื่อพวกเธอเห็นพลัง กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตที่ชิงสุ่ยแสดงให้ดู พวกเธอก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะฝึกฝนทักษะนี้ รวมถึงย่างก้าว 9 เทวา
……
ในตอนนั้นเสียงโหวกเหวกดังขึ้นจากชั้นล่าง ชิงสุ่ยยิ้มอย่างเยือกเย็น เขากระโดดลงมาจากชั้นบนทันที
อย่างที่คิด..ด้วยความใจร้อนของ ตระกูลเฉ่ ..ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัว
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรักษาโรค แล้วเจ้ากล้าเรียกตัวเองว่าหมอได้อย่างไร!!!? พวกเราฆ่ามันให้หมด! รวมถึงพวกที่เกะกะด้วย” ชายผมสั้นวัยกลางคนพูดเสียงดัง
“สถานที่แห่งนี้มีไว้รักษาคนป่วย แล้วทำไมเจ้าต้องทำลายที่นี้ล่ะ?”
เสียงของชิงสุ่ยดังมาจากด้านหลัง
ผู้บุกรุกมีจำนวนนับร้อย และชั้นหนึ่งก็ถูกทำลายจนราบคาบ..
ชายวัยกลางคนหันมามองชิงสุ่ย เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาค่อนข้างดี เขาสวมชุดสีม่วงอ่อนที่ดูมีฐานะ แต่คิ้วและดวงตาของเขานั้นเฉียบคม จนใบหน้าของเขาไม่น่าภิรมย์
เมื่อเห็นชิงสุ่ย เขาขมวดคิ้วอีกครั้ง “เจ้ากำลังต่อว่าพวกเรางั้นสิ?”
ชิงสุ่ยถอนหายใจในใจ “เลิกพูดคำว่า ตระกูลเฉ่ สักครั้งไม่ได้หรือ? ถ้ายังไม่หยุด..ข้าจะทำให้คำพวกนั้นหลุดมาจากพวกเจ้าไม่ได้อีกตลอดกาล”
“โอหัง! กล้าดีไม่เบาทีเดียว ก่อนหน้านี้เจ้าก็ทำร้ายคนของ ตระกูลเฉ่ ดังนั้นก็เตรียมตัวให้ดีเถอะ!”
ชิงสุ่ยรู้สึกตลก เมื่อพวกเขายังคงเน้นคำว่าตระกูลเฉ่ไม่เลิก ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าพวกเขามาจาก ตระกูลเฉ่ พวกเขาดูตั้งใจเกินไป จนชิงสุ่ยเริ่มแปลกใจว่าพวกเขาเป็นคนในตระกูลเฉ่ จริง ๆ หรือไม่
ตูมมมม!
เสียงกรีดร้องและเสียงระเบิดดังติดต่อกัน คนในหอคอยจักรพรรดิปลิวออกไปจากตึกด้วยสภาพเลือดกบปาก ก่อน อี่หวง กู่หวู๋ และ หยวน สู่ จะออกมา
บทที่ 1386 – กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตที่แข็งแกร่ง สังหารอย่างสมบูรณ์แบบ เทียนฮี่ เรินโม่มาถึงแล้ว!
อี่หวง กู่หวู๋และหยวน สู่ออกมา เมื่อเห็นห้องโถงถูกทำลาย พวกเธอไม่ลังเลที่จะร่วมต่อสู้กับชิงสุ่ย อี่หวง กู่หวู๋ไม่ใช่คนยอมอ่อนข้อให้ศัตรู อีกทั้งอีกฝ่ายทำตัวโอหังทำลายที่นี้อย่างไร้เหตุผล
หากอี่หวง กู่หวู๋ตัดสินใจจะร่วมสู้ เธอจะสู้อย่างเต็มกำลังจนกว่าศัตรูจะตาย
คนที่บุกเข้ามาคือลูกไล่ของตระกูลเฉ่ พวกเขาทำลายทุกอย่างที่ตระกูลเฉ่สั่ง รวมถึงห้องโถงแห่งนี้
ภายในพริบตาเดียว อีกฝ่ายก็เหลือคนเพียง 10 กว่าคนเท่านั้น ผู้นำกลุ่มศัตรูในครั้งนี้คือชายผมขาววัยกลางคน ท่าทางของเขายังคงนิ่งเฉย แม้จะมีคนบาดเจ็บมากมายก็ตาม
“พ่อหนุ่ม เจ้ารนหาที่ตายเอง” เขามองชิงสุ่ยพลางส่ายหน้า
“ความเสแสร้งของท่านนั้นเยี่ยมยอด แม้พวกท่านจะไร้ฝีมือและเป็นเพียงแค่ตัวถ่วงของตระกูล แต่ก็ยังกล้าโอ้อวดชื่อเสียงของตระกูลเฉ่จนเสียชื่อเสียง ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมตระกูลเฉ่ยังปล่อยให้ท่านลอยหน้าอยู่ในตระกูลได้อีก?” ชิงสุ่ยดูถูกพวกที่ชอบยกชื่อตระกูลมาอ้างเพื่อประโยชน์ของตน
“เจ้าดูถูกตระกูลเฉ่เกินไปแล้ว คิดรึว่าเจ้าจะสู้ตระกูลเฉ่ ได้?” เฉ่ ยี่เต้ากระชับกระบี่ทันทีที่พูดจบ กระบี่ของเขาสลักนกสีเพลิงไว้บนใบมีดซึ่งมีความยาว 2 เมตร กว้าง 3 เมตร ท่าทางจะหนักไม่เบา ใบมีดประกายแสงสีเพลิงและมีพลังวิญญาณค่อนข้างแข็งแกร่งมากทีเดียว
ชิงสุ่ยฟังแล้วส่ายหน้า “ท่านเทียบข้าไม่ติดหรอก รีบกลับไปเสียดีกว่า ข้าไม่อยากสังหารหมู่คนจำนวนมากขนาดนี้”
เฉ่ ยี่เต้า ฉุนทันทีที่ชิงสุ่ยพูดจบ
“ตายเสียเถอะ! เพลิงพายุผันแปร!”
เฉ่ ยี่เต้า กวัดแกว่งกระบี่ในมือกลุ่มเมฆสีเพลิงขนาดใหญ่เกือบ 10 เมตรปรากฏขึ้นรอบ ๆ คมมีดก่อนจะเกิดการสั่นสะท้านอย่างรุนแรงและพุ่งเข้ามาหาชิงสุ่ย
กำแพงวารี!
ชิงสุ่ยปล่อยตราประทับกลืนนภาออกมาทันที โดยสร้างเป็นกำแพงวารีขนาดใหญ่ตรงหน้าเขา
เพล้ง!
ในธาตุทั้งห้านั้น น้ำเหนือไฟและต้องเป็นฝ่ายถูกสยบแทน จนพลังของอีกฝ่ายก็ย่อมลดลง เว้นเสียแต่พลังไฟแข็งแกร่งกว่าจริง ๆ
เสียงปะทะดังสนั่นและกลุ่มเมฆเพลิงหายไปในพริบตา พลังของชิงสุ่ยในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เฉ่ ยี่เต้าจะต้านทานได้ และชิงสุ่ยไม่ลังเลอีกต่อไป เขาบุกเข้าไปทันที
กระบี่ทองคำ!
ลำแสงสีทองพุ่งไปทางเฉ่ ยี่เต้าอย่างรวดเร็ว เฉ่ ยี่เต้าถูกกระบี่โจมตีเข้าไปจังๆ
เฉ่ ยี่เต้ารีบตั้งกระบี่ต้านการโจมตีด้วยสัญชาตญาณ
ตูมมม!
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น ชิงสุ่ยทำให้เฉ่ ยี่เต้ากระเด็นออกไปและกระอักเลือด ชิงสุ่ยไม่รอช้าเขารีบวาดแขนและปล่อยลำแสงสีทองอีกเส้นออกไป ทว่าชายสองคนก็เข้ามาขวางกระบี่ทองคำด้วยอาวุธของพวกเขา
“พวกเจ้าน่าจะเข้ามาพร้อมกันตั้งแต่แรกเลยดีกว่านะ..ที่ไม่ทำก็เพราะกลัวเสียหน้าล่ะสิ ไม่แปลกใจเลยที่ชีวิตพวกเจ้าต้องตกต่ำเช่นนี้”ชิงสุ่ยยิ้มและเคลื่อนเข้าไปหาพวกเขา
ชายชราทั้งสองและเฉ่ ยี่เต้าโกรธมากเมื่อได้ยินดังนั้น แม้เฉ่ ยี่เต้าบาดเจ็บจนใบหน้าซีดเซียว ทว่าตอนนี้ใบหน้าของเขากลับแดงขึ้นเพราะความโกรธ
“มาลองเจอทักษะกรงเล็บของข้าหน่อยแล้วกัน!”
ทันทีที่ชิงสุ่ยพูดจบ ชิงสุ่ยเริ่มสร้างตราประทับบนมือ ก่อนเขาเขาจะหลบออกไปในที่ห่างไกล
ย่างก้าว 9 เทวา กำจัดพวกนั้นเสีย!
ฟุบบ!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนชายชราด้านซ้ายมือจะกระอักเลือดและกระเด็นไปข้างหลัง ส่วนชายชราอีกคนรีบถอยออกไปห่าง ๆ พลางมองชิงสุ่ยอย่างหวาดกลัว
กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต กรงเล็บแรก!
นี้เป็นการโจมตีด้วยกรงเล็บที่หนักหน่วงและด้วยพลังของกรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต การโจมตึจึงแข็งแกร่งมากจนสามารถเป่าชายชรากระเด็นไปข้างหลัง อีกทั้งการโจมตีเมื่อครู่นั้นยังเล็งไปที่หน้าอกโดยตรง ถึงแม้อวัยวะของชายชราจะไม่เสียหายแต่เขาก็บาดเจ็บสาหัส
“บุกเข้าไปพร้อมกันแล้วฆ่ามัน!” เฉ่ ยี่เต้าตะโกนสั่ง
เมื่อได้ยินเฉ่ ยี่เต้าพูด ชิงสุ่ยหรี่ตามอง …ชิงสุ่ยไม่เคยเมตตาศัตรูอยู่แล้ว..
คนที่เหลือรีบลงมือและล้อมตัวชิงสุ่ยไว้
“เมื่อเจ้าเลือกที่จะตาย ข้าก็จะสนองให้”
ชิงสุ่ยมองเฉ่ ยี่เต้า ก่อนจะยิ้มอย่างโหดเหี้ยม หลังจากนั้นนิ้วของเขาก็เริ่มกวัดแกว่ง
สิ่งเดียวที่เฉ่ ยี่เต้ารู้สึกคือความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขาสัมผัสได้ว่ามีพลังบางอย่างกำลังรัดร่างเขาไว้ ก่อนตราประทับกรงเล็บพิฆาตจะปรากฏขึ้น มองเห็นคล้ายกับหงษ์ทองกำลังสยายปี
กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต กรงเล็บที่สอง!
จุดลมปราณฉานจง!
เกวี๊ยะ!
แม้เสียงกรีดร้องของหงษ์จะไม่ดังมาก แต่เสียงนั้นแหลมและชัดเจน ก่อนตราประทับบาง ๆ ขนาดเล็กจะปรากฏที่เฉ่ ยี่เต้า
นี่เป็นครั้งแรกที่กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตในการต่อสู้ ทันใดนั้นเขารู้สึกว่านิ้วของเขาเต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งราวกับสามารถทะลวงท้องฟ้าได้
ไม่มีอะไรขึ้นบนร่างของ เฉ่ ยี่เต้า ทว่าร่างของเขาล้มลงไป
ศัตรูสิ้นชีพแล้ว..
กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตแข็งแกร่งมาก และพลังของชิงสุ่ยก็สูงกว่าอีกฝ่าย ด้วยพลังป้องกันของชิงสุ่ยในตอนนี้ อีกฝ่ายไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
……
หลังจากเกิดการก้าวข้าม พลังป้องกันของชิงสุ่ยแข็งแกร่งขึ้นมาก ราวกับ เกราะทองคำวชิระกลายเป็นกระดองเต่าที่แข็งแกร่งกำลังปกป้องร่างชิงสุ่ยไว้
เฉ่ ยี่เต้าอาจจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แกร่งแข็งที่สุดในบรรดาคนที่บุกมา แต่เขาคือผู้นำ ดังนั้นเมื่อเขาตาย คนที่เหลือก็เหมือนฝูงมังกรที่ไร้หัวหน้า ภายในพริบตาเดียวชิงสุ่ยก็สังหารและทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ
ชิงสุ่ยมองคนที่ล้อมรอบเขาที่ไร้หนทาง พวกเขาเหมือนคนที่อยู่ในห้องที่ไร้ทางออก
ชิงสุ่ยแสยะยิ้ม เขาหายวับไปก่อนจะบุกเข้าไปใกล้ผู้บุกรุกด้วยการเคลื่อนเท้าที่แปลกประหลาด ก่อนเขาจะใช้กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตโจมตีติดต่อกัน
เพราะยังอยู่ในขั้นฝึกฝน ชิงสุ่ยจึงทำพลาดหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่กังวลตราบเท่าที่สามารถใช้กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตได้ตามอำเภอตามใจ
ทักษะนี้แข็งแกร่งและทำร้ายอีกฝ่ายจนบาดเจ็บสาหัส แต่การจะใช้ทักษะ ผู้ใช้จะต้องมีการเคลื่อนไหวเท้าที่ที่แข็งแกร่งเช่นกัน รวมถึงความแม่นยำของตำแหน่งจุดฝังเข็ม เส้นลมปราณ รวมถึงเส้นเลือด ทั้งนี้ทักษะมือของกรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตนั้นซับซ้อน การใช้งานจึงค่อนข้างยุ่งยาก
ท่ามกลางทักษะต่าง ๆ ยิ่งมีความเร็ว ผลลัพธ์ก็ยิ่งเห็นชัด หากความเร็วลดลงก็อาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ยิ่งทักษะที่แข็งแกร่งมากเท่าไร ก็ยิ่งเกิดความผิดพลาดง่ายมากเท่านั้น แม้กระทั่งทักษะศักดิ์สิทธิ์ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาสามารถมักใช้ทักษะเหล่านี้ร่วมกับทักษะอื่นๆ พร้อมกัน
แม้ชิงสุ่ยไม่สามารถปลดปล่อยพลังของกรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตอย่างเต็มที่ แต่พลังของชิงสุ่ยตอนนี้ก็ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากได้ หากถูกโจมตีเมื่อไร ก็มีแต่บาดเจ็บสาหัสหรือตายเท่านั้น
ฟุบบ..!
ชิงสุ่ยลอยตัวออกมาด้านหลัง ก่อนตราประทับสีแดงเพลิงจะปรากฏขึ้นบนแขนของชายชราอีกคน ทันใดนั้นแขนข้างนั้นของชายชราก็ห้อยแบบไร้เรี่ยวแรง
กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตสามารถใช้ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าผู้ใช้ได้ ชิงสุ่ยจึงมีแรงบันดาลใจในการฝึกฝนมากกว่าเดิม เขาเล็งตราประทับกรงเล็บพิฆาตไปบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ไม่อันตราย เพื่อที่จะได้ทำให้อีกฝ่ายหนีไม่ และเขาจะได้ฝึกฝนทักษะนี้บนร่างกายของศัตรูได้หลายๆ ครั้ง
ในตอนนั้นชิงสุ่ยหยุดโจมตีเพราะรอบตัวเขาไม่เหลือใครแล้ว หลังจากใช้กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตหลายครั้ง ชิงสุ่ยรู้สึกว่า กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตเกิดการก้าวข้ามไประดับที่แข็งแกร่งขึ้น
ในการต่อสู้ หากอีกฝ่ายอ่อนแอกว่าเขา ชิงสุ่ยสามารถฆ่าพวกเขาได้ทันที แต่ถ้าเจอผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง เขาก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ชิงสุ่ยต้องรวบรวมพลังก่อน อย่างการใช้กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตในการโจมตี หากจะให้ได้ผล เขาต้องโจมตีจุดตายบนร่างกายมนุษย์ซ้ำกันหลายๆ ครั้ง ยิ่งอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก ก็ยิ่งต้องโจมตีหลาย ๆ ครั้ง
กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาตมีประโยชน์ในเวลาสำคัญเช่นนี้..เขาอยากฝึกทักษะนี้ให้แข็งแกร่งกว่านี้ เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นคนอีกกลุ่มเข้ามาสะสางพื้นที่นี้
ในเมืองต่าง ๆ จะมีคนที่ได้รับหน้าที่จัดเก็บความเรียบร้อย ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่ต้องกังวลอะไร เพราะพวกเขาจะจัดการส่งศพกลับไปที่ตระกูลเฉ่ และทำความสะอาดที่นี้ให้ ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติในแต่ละมหาทวีป
“ท่านหมอเทวดาชิงแข็งแกร่งมาก แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกตนอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ ทั้งยังเป็นของตระกูลย่อยจากตระกูลเฉ่ก็ยังถูกกำจัดจนสิ้น ต่อจากนี้พวกเราจะได้เลิกรับใช้ตระกูลนี้เสียที”
“ที่ท่านว่าก็จริง แต่ประมุขตระกูลเฉ่จะต้องกลับมาแก้แค้นเขาแน่ เพราะ พวกเขาต้องรู้สึกอับอายจนอยู่ไม่สุข”
“เฮ้อ..ข้าสงสัยจริง ๆ ท่านหมอเทวดาชิงจะเอาชนะพวกนั้นได้ไหม เพราะสิ่งที่เขาทำ อีกฝ่ายคงไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ”
“ไม่ต้องกังวลหรอก ท่านหมอเทวดาชิงไม่ใช่คนเขลา หากเขากล้าทำเช่นนี้ก็หมายความว่าเขามั่นใจในกำลังของตนเช่นกัน”
“อื้ม..ทำไมข้าถึงลืมคิดไปได้นะ”
……
ระหว่างที่ผู้คนกำลังพูดคุย ชิงสุ่ยและหญิงสาวก็เข้าไปในหอคอยจักรพรรดิ
ไม่ทันไร ก็มีคนมาตามหาชิงสุ่ยจริงๆ หญิงรับใช้ขึ้นไปเรียกชิงสุ่ยว่าเทียนฮี่ เรินโม่มาพบเขา
เขาจึงลงมาด้านล่าง แม้จะเพิ่งพบกันเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขารู้สึกได้ว่าเทียนฮี่ เรินโม่มีบางอย่างเปลี่ยนไป
เขากำลังเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ และกำลังก้าวข้ามไปเป็นระดับ 2
แต่พื้นฐานของเขายังไม่ค่อยมั่นคงนัก โชคดีที่ทัณฑ์สวรรค์พินาศระดับที่หนึ่งยังไม่อันตรายเกินไป บางทีเขาอาจจะใช้ตัวช่วยบางอย่างเพื่อให้ก้าวข้ามการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ
“ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”
เทียนฮี่ เรินโม่พยักหน้าและยิ้ม “ไปกันเถอะ!”
“น้องชาย ตระกูลเฉ่จะต้องตามล่าท่านแน่” เทียนฮี่ เรินโม่ พูด เขากำลังสื่อถึงประมุขของตระกูลเฉ่
ชิงสุ่ยรู้ดี “ก็ดี ข้าอยากรู้ว่าประมุขตระกูลเฉ่ จะแข็งแกร่งสักแค่ไหนกัน..”
“แล้วพวกเราก็ค่อยเผชิญหน้ากับประมุขตระกูลเฉ่ด้วยกัน ในฐานะพี่น้อง”เทียนฮี่ เรินโม่พูดด้วยความจริงใจ
ชิงสุ่ยรู้สึกขอบคุณเมื่อเขาเห็นความหมายที่สื่อออกมาจากดวงตาของเทียนฮี่ เรินโม่ ดวงตาคู่นั้นแสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมสละชีวิต ชิงสุ่ยรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายตระหนักถึงพลังที่แข็งแกร่งของตระกูลเฉ่
“พี่ใหญ่ จริงๆ แล้วท่านไม่จำเป็นต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้หรอก”
“น้องชาย ทำไมเจ้าพูดเช่นนั้น? ที่นี้คือนิกายของข้า แต่ประมุขของข้าไม่สามารถเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ได้ และเขาก็ไม่มีพลังพอที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ ดังนั้นสิ่งที่ข้าพอจะทำได้คือร่วมสู้กับเจ้าอย่างสุดกำลัง” เทียนฮี่ เรินโม่ถอนหายใจและตอบ
“พี่ชาย ทำไมท่านพูดเช่นนั้นเล่า? ท่านทำเพื่อข้ามากมายแล้ว …อย่างไรก็ตามแต่.. ข้าดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอท่านที่นี้” ชิงสุ่ยบอก โดยเขาไม่ได้ไล่ให้อีกฝ่ายกลับไปแต่อย่างใด แต่จะดีกว่า หากมาถึงช้ากว่านี้
ชิงสุ่ยและ เทียนฮี่ เรินโม่ เตรียมอาหารและเครื่องเดิม ก่อนจะนำมาทานร่วมกัน
“ยินดีด้วยพี่ชาย ในที่สุดท่านก็สามารถทะลวงผ่านการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจมาได้แล้ว” ชิงสุ่ยยิ้มและแสดงความยินดีแก่อีกฝ่าย
“ขอบใจมาก!” เทียนฮี่ เรินโม่ไม่พูดอะไรอีก เพราะเขากลัวว่าชิงสุ่ยจะคิดมาก
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกท่านไว้แล้วใช่ไหม ว่าหากท่านมาพบข้า ข้าจะเตรียมของขวัญให้ท่าน..”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น