Ancient Strengthening Technique เทพอสูรบรรพกาล 1376-1382

บทที่ 1376 – สัตว์อสูรในระดับพลังปราณจักรพรรดิของชิงสุ่ย, นิกายที่มีประวัติอันยาวนาน, นิกายสาปอสูร


 


จ้าวเหยาหวู่จากไปและชิงสุ่ยไม่ได้คิดอะไรอีก เขาเดินไปรอบๆคฤหาสน์พร้อมกับหญิงสาวทั้งสอง ที่นี่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายนัก รวมจ้าวเหยาหวู่ด้วยแล้วก็มีแค่เพียงสิบคนเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงเรื่องการทำความสะอาด เนื่องจากไม่มีผู้คนอาศัยอยู่จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดในทุกๆวัน ชิงสุ่ยไม่ทราบเช่นกันว่าเรื่องการลดจำนวนคนดูแลสถานที่เป็นความคิดของจ้าวเหยาหวู่หรือของตระกูลเทียนฮี่กันแน่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เพียงสิบคนในการทำความสะอาดอาคารแห่งนี้ในทุกๆวัน


 


อาจะเป็นเพราะการกระทำของชิงสุ่ยในก่อนหน้าที่ทำให้ใครบางคนถึงกับต้องตกตะลึง ที่ให้สาวใช้ทั้งหมดกลับไปโดยไม่ต้องทำงาน ชิงสุ่ยไม่ได้บังคับพวกนางให้อยู่ต่อ เขารู้ดีว่าคนที่อยู่ที่นี่มีล้วนมีความสมพันธ์ที่ดีต่อจ้าวเหยาหวู่


 


ยังคงมีสาวใช้อยู่อีกห้าถึงหกคน ชิงสุ่ยไม่ได้กล่าวอะไรกับพวกนางอีก ถ้าหากพวกนางอยากจะอยู่ต่อชิงสุ่ยก็จะไม่บังคับ ถ้าหากเขาไม่สามารถจัดการกับสาวใช้พวกนี้ได้เช่นนั้นแล้วเขาจะจัดการกับหอคอยจักรพรรดิได้อย่างไร?


 


การตกแต่งภายในอาคารดูค่อนข้างสะอาดและมีเศษฝุ่นเพียงเล็กน้อย พื้นไม้สะอาดแวววาวจนสามารถสะท้อนได้ราวกับกระจก สถานที่ที่จ้าวเหยาหวู่และสาวใช้คนอื่นๆอาศัยอยู่ไม่ได้อยู่ในคฤหาสถ์ทั้งแห่งนี้ แต่ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าพวกนางเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน


 


สิ่งของที่จัดตั้งอยู่ในสนามข้างนอกถือว่าไม่เลวเลย มันมีแม้กระทั่งสถานที่สำหรับเด็กเล็ก มีทั้งภูเขาจำลอง บ่อน้ำ ดอกไม้และต้นไม้นาๆชนิด สิ่งแวดล้อมในบริเวณนี้ไม่มีจุดใดที่ติได้เลย พวกเขาเพียงแค่เลือกสถานที่พักอยู่ในส่วนหลังของคฤหาสถ์


 


“ชิงสุ่ย เช่นนั้นเราจะทำอะไรกันดีในตอนนี้?” อี่หวงกู่หวู๋มองไปยังชิงสุ่ยในขณะที่ส่งหยวนสู่เข้าห้องนอนเรียบร้อย เครื่องเรือนต่างๆดูใหม่และสวยงามเป็นอย่างมาก มีเพียงเตียงนอนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่หญิงสาวทั้งสองต้องการเปลี่ยนใหม่


 


ชิงสุ่ยมีสิ่งของสำรองมากมายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ มันเป็นพื้นที่ที่กว้างพอสำหรับเขาในการจัดเก็บสิ่งของต่างๆรวมถึงเตียงนอน ผ้าคลุม และสิ่งของต่างๆจำพวกนี้


 


สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หญิงสาวทั้งสองเลือกเอาไว้ใช้ในขณะที่ต้องเดินทาง


 


“ลองไปดูอาคารที่สูงตระหง่านนั่น พวกเราจะจัดตั้งมันให้เป็นหอคอยจักรพรรดิขึ้นในอนาคต เช่นนั้นต้องคอยดูว่ามีสิ่งใดที่ต้องการซ่อมแซมปรับปรุงบ้าง” ชิงสุ่ยให้ความเห็น แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้จัดตั้งหอคอยจักรพรรดิขึ้นในตอนนี้ แต่เขาก็ยังคงต้องวางแผนไว้คร่าวๆเพื่อให้ทุกอย่างพร้อมที่จะดำเนินการ


 


จุดประสงค์ของอาคารแห่งนี้คือใช้เป็นสมาคมการค้าหรือสิ่งอื่นๆในทำนองนี้ โครงสร้างจึงมีคุณภาพสูงกว่าหอคอยจักรพรรดิในเมืองอี่หวง อย่างน้อยที่สุดชิงสุ่ยมีความรู้สึกวันมันจะต้องมีคุณภาพที่ดีกว่าหอคอยจักรพรรดิของหมอปิศาจ


 


อาคารแห่งนี้มีความสูงเป็นอย่างมากมันมีทั้งหมดสิบชั้นด้วยกัน ในแต่ละชั้นจะต้องมีความสูงสิบเมตรหรือโดยรวมแล้วอาคารแห่งนี้จะต้องมีความสูงรวมกว่าหนึ่งร้อยเมตรนั่นเอง โดยปกติแล้วอาคารที่มีความสูงในระดับนี้ไม่จัดอยู่ในจำพวกอาคารที่มีความสูงน้อย แต่แน่นอนว่ายังมีอาคารที่สูงกว่านี้อยู่เช่นกันและอาจสูงถึงหนึ่งพันเมตรเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามอาคารเหล่านั้นมักถูกสร้างอยู่ในป่าใหญ่ พวกมันมีโครงสร้างที่ใหญ่โตและมีความเป็นเอกลักษณ์


 


พวกเขามุ่งขึ้นไปข้างบนเรื่อยๆจากชั้นล่างสุด คฤหาสถ์แห่งนี้ที่เทียนฮี่เรินโม่ได้มอบให้มาถือว่าเหมาะสมที่สุด แทบจะไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาจะต้องปรับปรุงเพิ่ม สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายต่างมีให้เรียบร้อยแล้ว


 


แน่นอนว่าชิงสุ่ยมีพวกชั้นวางและโต๊ะรวมถึงสิ่งของต่างๆอยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ เขาเพียงแค่นำมันออกมาจัดวางก็เป็นอันเสร็จสิ้น


 


ทางเดินและบันไดของที่นี่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบวงกลมคดเคี้ยว และยังมีจุดที่สามารถขึ้นหรือลงได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามจุดเหล่านั้นถูกวางอยู่ในส่วนหลังอาคาร ในส่วนหน้าของอาคารสามารถเลือกเดินขึ้นไปบนบันไดที่คดเคี้ยวหรือเหินขึ้นไปได้โดยตรง


 


อย่างไรก็ตามวิธีจำพวกนี้อาจไม่ได้รับความยินยอมจากเข้าของอาคาร


 


ชิงสุ่ยตัดสินใจเลือกจุดพักอาศัยของเขาไว้ยังชั้นบนสุดรวมถึงห้องของหญิงสาวทั้งสองเช่นกัน ในก่อนหน้าพวกนางได้ทำความสะอาดห้องเอาไว้เรียบร้อย แน่นอนว่าพวกนางตัดสินใจที่จะพักอาศัยอยู่ในอาคารแห่งนี้


 


หนึ่งวันผ่านไปโดยไม่พบปัญหาใดๆ พวกเขาใช้เวลาทั้งวันไปกับคฤหาสถ์แห่งนี้ ชิงสุ่ยเปรียบเหมือนก้อนกรวดเล็กๆที่ไร้ตัวตน ถูกโยนลงไปในมหาสมุทรของเมืองหลวงแห่งมหาทวีปและไม่สามาถสั่นได้แม้แต่คลื่นละรอกเล็กๆ


 


“พวกเราเดินทางกันมานาน พวกเจ้าทั้งสองคนควรพักเสียหน่อย พวกเราจะไปสำรวจเมืองหลวงกันในวันรุ่งขึ้น” ชิงสุ่ยมองไปยังหญิงสาวทั้งสองพร้อมกล่าวออกมา


 


“หืมม เช่นนั้นข้าจะไปพักผ่อนเสียหน่อย พวกเจ้าทั้งสองก็พักผ่อนได้แล้ว!” หยวนสู่ยิ้มให้และเดินจากไป


 


“รอข้าด้วย! ชิงสุ่ยเจ้าเองก็ต้องพักผ่อนเช่นกัน!” อี่หวงกู่หวู๋กล่าวพร้อมวิ่งตามหยวนสู่ออกไป


 


ในระหว่างการเดินทาง ชิงสุ่ยได้มีสัมพันธ์มากมายหลายครั้งกับอี่หวงกู่หวู๋ แต่ส่วนใหญ่มักอยู่ในเวลากลางดึก ชิงสุ่ยใช่ศิลาหยกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อส่งตัวพวกเขาออกไปยังสถานที่ห่างไกลก่อนที่จะเดินทางกลับมา หยวนสู่ได้เห็นเหตุการณ์เหล่านั้นถึงสองครั้งในช่วงเวลากลางดึก…


 


หลังจากที่หญิงสาวทั้งสองกลับมา ชิงสุ่ยเดินทางเข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ เขาลงไปแช่ในบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิต และใช้เวลาอยู่ที่นั่นสักพัก


 


นี่เป็นครั้งที่หกแล้วที่เขาแช่อยู่ในบ่อน้ำแห่งนี้หลังจากที่ได้บรรลุเคล็ดเสริมสร้างบรรพกาลขั้นที่แปด อาจเป็นเพราะว่าเวลาในดินแดนหยกยุพราชอมตะมีความยาวนานกว่าช่วงเวลาข้างนอก เขาใช้เวลาแช่น้ำอยู่ครู่หนึ่งและมันให้ผลลัพธ์ที่ดีมาก


 


รากฐานของชิงสุ่ยมีความมั่นคงมากขึ้นและอวัยวะต่างๆในร่างกายของเขาทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อและกระดูกของเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตามเขายังมีห้องสำหรับการฝึกฝนอีกด้วย ดังนั้นชิงสุ่ยจึงตัดสินใจใช้เวลาแช่อยู่ในบ่อน้ำแห่งนี้อยู่อีกชั่วครู่ ซึ่งเขาเคยลองให้คนรอบตัวลองทดสอบมาแล้วในก่อนหน้าแต่ก็ไม่เกิดผลใดๆเลย


 


ชิงสุ่ยได้กินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สี่ได้เป็นที่เรียบร้อยก่อนที่เขาจะบรรลุขั้น ดังนั้นหลังจากนี้เขาสามารถกินได้เพียงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ห้า แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเขายังไม่สามารถปรุงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ห้าได้ในตอนนี้


 


เขาคำนวณแล้วว่ายังคงต้องการเวลาอีกหน่อยหลังจากที่มาอยู่ในขั้นนี้ได้ สมุนไพรยังคงต้องการเวลาอยู่อีกสักพัก นอกเหนือจากนั้นเขายังต้องพึ่งความสามารถจากอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณและดอกไม้แห่งชีวิต


 


ด้วยช่วงเวลาเหล่านี้ ชิงสุ่ยยังคงไม่ลืมเรื่องสัตว์อสูรของเขา แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้รับพลังอันมหาศาลจากยาเม็ดเทพโอสถ ความสามารถในการพัฒนาของเขาอยู่ในความเร็วที่สูงมาก นี่เป็นผลจากพลังที่ตื่นขึ้น ซึ่งพลังของเขาที่ได้รับมาจากสัตว์อสูรย่อมมีอานุภาพมากกว่าของมนุษย์


 


ขนาดของมังกรไอยราเกล็ดทองคำมีขนาดใหญ่ขึ้นมากในตอนนี้ แม้ชิงสุ่ยจะได้เจอมันอยู่เป็นประจำก็ตาม เขายังรู้สึกได้ถึงพลังและขนาดของมันที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล


 


พลังของเขาถูกเพิ่มขึ้นกว่าแปดสิบสุริยา…


 


ชิงสุ่ยรีบทำความเข้าใจทักษะของมันในทันที เขาเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ


 


พลังคชสารผสานมังกร: ทักษะติดตัวเพิ่มความแข็งแรงทางกายภาพอย่างถาวรแปดสิบเท่า!


 


พลังที่ถูกเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่านี้ทำให้ชิงสุ่ยดีใจเป็นอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ดีเลยทีเดียว


 


ทักษะเอราวัณโกรธา: เพิ่มพลังโจมตีสามเท่าแบบสุ่มต่อเป้าหมายสูงสุดห้าสิบเป้าหมาย


 


จำนวนเป้าหมายไม่ได้ต่างไปจากเดิมแต่ตัวพลังถูกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ชิงสุ่ยรูสึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งเพราะเขาไม่ได้คาดหวังต่อทักษะนี้มากนัก


 


ก้าวพสุธาเอราวัณ เมื่ออยู่ในจุดที่สมบูรณ์แบบ สามารถเพิ่มพลังโจมตีกายภาพได้กว่าสิบเท่าและสามารถทำให้เป้าหมายรอบๆอยู่ในอาการมึนงงไม่สามารถขยับไปไหนได้


 


พลังของมันถูกเพิ่มขึ้นอีกครั้ง…


 


วชิระลี้ภัย: สามารถกระโดดภายในพริบตาเป็นระยะสามพันเมตร!


 


ปราณกระบี่วชิระ : ปล่อยหลักลมปราณออกไปทันทีเพื่อโจมตีศัตรูพร้อมซ่อนเร้นพลังไว้ สามารถลดความเร็วของศัตรูลงได้สองในสิบส่วนเป็นเวลาสองชั่วโมง


 


วชิระสยบอสูร: หลังจากใช้พลังนี้ออก เป้าหมายต่างๆในรัศมีหนึ่งพันเมตรจะถูกลดพลังลงหนึ่งในสิบส่วน จำนวนเป้าหมายสูงสุดห้าสิบเป้าหมาย ระยะเกิดผลสองชั่วโมง


 


ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในสามทักษะนี้ ซึ่งไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของชิงสุ่ย


 


การจู่โจมมังกรไอยราคุ้มคลั่ง: สามารถโจมตีไปยังเป้าหมายได้ในทันทีพร้อมเพิ่มพลังโจมตีสูงสุดสิบห้าเท่า!


 


จากครั้งก่อนสิบเท่าเพิ่มเป็นสิบห้าเท่า… ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำกำลังกลายมาเป็นสัตว์อสูรแห่งสวรรค์และโลก พลังของมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม


 


เปลวเพลิงนรกานต์ทมิฬ: เปลวเพลิงนรกานต์ทมิฬใต้ฝ่าเท้าทำให้การโจมจีของมังกรไอยราสามารถทำลายเกราะของศัตรูลงได้สองในสิบส่วน ในขณะเดียวกันช่วยเพิ่มความเร็วของมังกรไอยรากลางอากาศขึ้นสองเท่า


 


เกราะเกล็ดมังกร: ช่วยเพิ่มพลังของป้องกันของมังกรไอยราขึ้นสี่เท่า ร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นพื้นฐานของความสามารถของมังกรไอยรา


 


เมื่อชิงสุ่ยเห็นสิ่งหลังสุดนี้ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข


 


เกราะเกล็ดมังกรอันท้ายสุดเป็นความสามารถที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การที่พลังป้องกันถูกเพิ่มขึ้นกว่าสี่เท่านั่นหมายความว่าพลังทางกายภาพของมันมีมากขึ้นเป็นห้าเท่าจากเดิม ด้วยสิ่งเหล่านี้ทักษะการจู่โจมมังกรไอยราคุ้มคลั่งของมังกรไอยราเกล็ดทองคำจะมีพลังกว่าสี่แสนแปดหมื่นสุริยา…


 


สัตว์อสูรมีความแตกต่างกับมนุษย์ พวกมันไม่ต้องบรรลุระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจอย่างยากลำบากและยังสามารถผ่านปัญหาคอควดและบรรลุสู่อาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้โดยตรงกลายมาเป็นสัตว์อสูรในระดับอสูรอมตะนิรันดร์


 


อสูรอมตะนิรันดร์จะมีพลังอยู่ราวๆหกแสนถึงเจ็ดแสนสุริยา และเมื่อพลังของพวกมันสามารถไปอยู่ในจุดหนึ่งล้านสุริยาได้ พวกมันจะกลายมาเป็นสัตว์อสูรในระดับอสูรอมตะนิรันดร์โดยตรง


 


เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วสัตว์อสูรต่างเป็นสุขกว่าในด้านนี้ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยระดับของปัญญาแห่งจิตวิญญาณ ทำให้การบรรลุถึงระดับอสูรอมตะนิรันดร์ถือเป็นเรื่องยาก สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความสมดุลของดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋า ปัญญาแห่งจิตวิญญาณของสัตว์อสูรจะมีอยู่น้อยกว่าและไม่ต้องพบกับการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ


 


ในก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยได้บรรลุพลังในขั้นสูงแล้วและยังไม่สามารถรับพลังเพิ่มได้ในขณะนี้ ดังนั้นเขาจึงรอจนกว่าจะบรรลุเคล็ดเสริมสร้างบรรพกาลขั้นที่แปดอย่างสมบูรณ์ ในขั้นแรกของการได้รับพลังมา พลังจะไม่อยู่ในความเสถียรมากนักนั่นเป็นเหตุที่เขายังไม่ได้รับพลังเพิ่มจนกระทั่งตอนนี้ พลังทางกายภาพของมังกรไอยราเกล็ดทองคำถูกเพิ่มขึ้นสามสิบห้าสุริยาและส่งผลต่อชิงสุ่ยถึงเจ็ดสุริยา


 


ในขณะนี้ด้วยพลังกว่าสองร้อยสุริยา เจ็ดสุริยาเป็นเพียงสิ่งที่ไร้ความหมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามองจากภาพรวมแล้วอาจไม่มากมายนัก


 


พลังเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยย่อมดีกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ชิงสุ่ยก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตั้งแต่เมื่อใดที่พลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำถูกส่งมายังเขาถึงสองในสิบส่วนและเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่


 


มังกรไอยราเกล็ดทองคำเป็นถึงสัตว์อสูรแห่งสวรรค์และโลก และในอนาคตมันอาจไม่แพ้แม้กระทั่งตัวชิงสุ่ยเอง ถ้าพลังถูกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆโดยอัตราสองในสิบส่วนของมัน…  เมื่อนึกถึงก้อนเมล็ดเจ็ดสีและเส้นลมปราณวชิระแล้วชิงสุ่ยถึงกับส่ายศีรษะ สภาพโดยรวมตอนนี้อาจอยู่ในขั้นที่ดีที่สุดแล้ว


 


ความสามารถของวิหคเพลิง,อสูรอัสนีคลั่ง และ อสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียร ถูกเพิ่มขึ่นด้วยอัตราที่รวดเร็วเช่นกัน แม้ว่าจะยังเทียบไม่ได้กับมังกรไอยราเกล็ดทองคำ แต่ก็ยังไม่ห่างชั้นกันมากนัก วิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำพัฒนาขึ้นในความเร็วที่ไล่เลี่ยกันในขณะที่อสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรช้ากว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตามพวกมันทั้งหมดต่างแข็งแกร่งขึ้นจากเดิม และในตอนนี้พวกมันยังแสดงสัญญาณบางอย่างออกมาอีกว่าพวกมันกำลังจะพัฒนาขึ้น


 


ท่ามกลางสัตว์อสูรทั้งสี่ตัว อสูรอัสนีคลั่งถือว่าเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นมันถือว่าเป็นสัตว์อสูรที่ควบคุมได้ง่ายที่สุดสำหรับชิงสุ่ย นั่นหมายถึงหากเขาประสานงานเข้ากับอสูรอัสนีคลั่งแล้วอาจสามารถสังหารศัตรูได้ภายในพริบตา


 


ณ ตอนนี้ หากเขายังไม่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ ชิงสุ่ยเพียงใช้สัตว์อสูรทั้งสี่ก็เพียงพอสำหรับการต่อกรกับศัตรูแล้ว นอกเหนือจากนั้นมันยังช่วยได้มากหากต้องพบเจอกับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสูง ชิงสุ่ยมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเขานึกถึงเรื่องนิกายสาปอสูรขึ้นมา


 


นิกายสาปอสูรตั้งอยู่ในเมืองหลงของมหาทวีปและถือเป็นหนึ่งในนิกายที่ทรงพลังที่สุด อีกทั้งยังเป็นนิกายที่มีความเก่าแก่และประวัติอันยาวนาน พวกเขาสามารถฝึกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งให้เชื่องได้ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับจุดที่จะผ่านไปยังอีกสามมหาทวีปที่เหลือ ซึ่งมีสัตว์อสูรที่แตกต่างกันอยู่มากมาย ดังนั้นหากมีทักษะควบคุมสัตว์อสูร ใครๆก็สามารถมีสัตว์อสูรเป็นของตนเองได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนิกายสาปอสูรจึงทรงพลังยิ่งนัก ผู้ฝึกยุทธในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจจากนิกายสาปอสูรอาจสามารถต่อสู้กับปราณบัญชาสวรรค์พินาจจากที่อื่นๆได้ถึงสิบคน และยิ่งถ้าพวกเขามีโชคอยู่บ้างสัตว์อสูรที่พวกเขาควบคุมอยู่อาจมีพลังที่เหนือกว่าตัวเจ้าของเองเสียอีก และนี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวของนิกายสาปอสูร


 


ชิงสุ่ยไม่ทราบเช่นกันว่าพลังของทั้งสองอัจฉริยะอยู่ในระดับใด ด้วยสัตตะดวงใจอสูรพวกเขาสามารถควบคุมสัตว์อสูรที่มีระดับพลังเหนือกว่าตนเองและได้รับพลังมาจากสัตว์อสูรตัวนั้นๆ เขายังไม่รู้เลยว่าหากอีกฝ่ายสามารถบรรลุระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้จะเป็นเช่นไร ส่วนอี่หวงกู่หวู๋และตัวเขาเองได้บรรลุระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจแล้วในตอนนี้


บทที่ 1377 – จัดการกับคนของตระกูลเย่หลาง, ความร่วมมือ? เย่หลางเชียนคุน


 


วันถัดมาชิงสุ่ยตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเขาได้ออกมาข้างนอกก็ได้พบกับหญิงสาวทั้งสองที่ตื่นอยู่ก่อนแล้ว และกำลังฝึกฝนในยามเช้า อี่หวงกู่หวู๋กำลังฝึกฝนเคล็ดรูปแบบพยัคฆ์ ในตอนนี้นางกำลังจดจ่ออยู่กับเคล็ดรูปแบบพยัคฆ์และทักษะย่างก้าวเก้าเทวาเป็นส่วนใหญ่


 


ส่วนด้านของหยวนสู่กำลังฝึกเพลงกระบี่ของนางเอง ชิงสุ่ยไม่ทราบเช่นกันว่านางกำลังฝึกฝนอะไรแต่มันช่างดูยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเสน่ห์และท่วงท่าของวิชาที่นางกำลังแสดงออกมา


 


หลังจากยืนดูอยู่ชั่วครู่ ชิงสุ่ยเริ่มต้นฝึกด้วยปราณทองคำไทเก๊ก ในยามเช้าเช่นนี้เขาไม่เคยฝึกสิ่งอื่นใดนอกจากวิชาปราณทองคำไทเก๊ก ในตอนนี้ปราณทองคำไทเก๊กของเขาทรงพลังเป็นอย่างยิ่งแต่ก็ยังไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงใดๆปรากฏให้เห็น


 


หลังจากที่ทุกคนฝึกฝนในยามเช้าเสร็จสิ้น ทั้งสามคนได้ทานอาหารเช้าและได้ออกไปเดินสำรวจเมืองหลวงของมหาทวีป มีผู้คนมากมายต่างเดินเข้ามาในคฤหาสถ์


 


“เขาอยู่ที่ไหน? นายน้อยจ้าวที่สาม พวกเขาไปไหน?”


 


มีเสียงแหลมดังขึ้น เสียงนั่นมีที่มาจากชายผู้มีร่างกายสูงและแข็งแรง


 


“พวกเขาน่าจะออกมาในเร็วๆนี้ พ่อบ้านเฉินคนๆนี้ช่างโอหังยิ่งนัก” เสียงของจ้าวเหยาหวู่มีความแผ่วเบา เขามีบาดแผลที่ได้รับจากพลังของชิงสุ่ยในวันก่อนและยังไม่หายดี ในตอนนี้เขาต้องให้คนอืนๆช่วยพยุงเอาไว้


 


“โอหังยิ่งนัก เจ้าไม่คำนึงถึงนายน้อยจากตระกูลเทียนฮี่เลย เจ้าไม่มีสิทธิที่จะแสดงเช่นนี้ต่อหน้าตระกูลเย่หลาง เทียนฮี่เรินโม่เป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในตระกูลเทียนฮี่แล้วยังไง? เขายังไม่โดนจัดการโดยนายน้อยใช่หรือไม่?  ”


 


ชิงสุ่ย อี่หวงกู่หวู๋และหยวนสู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและได้ยินเสียงโวยวายข้างในอย่างชัดเจน พวกเขาทั้งสามไม่ได้มีท่าทีที่ผ่อนคลายลงแม้จะผ่านเข้าประตูไปแล้ว


 


หลังจากที่ผ่านประตูส่วนหน้าเข้ามา พวกเขาก็ได้พบกับคนที่ทำให้เหตุการณ์เกิดความวุ่นวายขึ้น ทั้งหมดมีอยู่ราวๆสิบคนด้วยกัน มีสองคนกำลังแบกจ้าวเหยาหวู่ไว้ด้วยไม้กระดาน คนที่นำหน้าอยู่เป็นชายร่างสูงใหญ่ราวกับปราการเหล็ก เขาดูเหมือนชายวัยกลางคนและมีท่าทีเดียวกับเสียงที่ได้ยินในก่อนหน้า


 


“มันอยู่ที่นั่น! พวกมันเป็นหนึ่งในนั้น!” เมื่อจ้าวเหยาหวู่เห็นชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสอง เขาเริ่มตะโกนออกมาเสียงดัง


 


“เจ้าเป็นหนึ่งในคนที่ทำร้ายนายน้อยจ้าวที่สามใช่ไหม? เจ้าเป็นใครในตระกูลเทียนฮี่?” ชายผู้นั้นเปรียบเสมือนปราการเหล็กมีผิวสีดำและมันวาวทั้งๆที่ไม่ต้องชะโลมน้ำมันเลย


 


“นายน้อยจ้าวที่สาม” ชิงสุ่ยหยุดชะงักไปชั่วครู่ คนๆนี้ควรถูกเรียกว่าจ้าวเหยาหวู่ แต่อาจเป็นเพราะเขาอยู่ลำดับที่สามในตระกูล


 


“นายน้อยจ้าวที่สาม เป็นหนึ่งในคนที่ทำงานให้กับนายน้อยเย่หลาง เจ้าจะชดใช้อย่างไรที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ? เจ้าจะต้องรับผิดชอบเสียในตอนนี้!” ชายผู้นั้นมองมายังชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสองที่แสนงดงาม เขามีความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจ


 


ผู้ชายอาจถูกมองว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นเพศตรงข้ามย่อมมีความดึงดูดต่อกัน เมื่อผู้ชายได้พบกับหญิงสาวที่สง่างาม ผู้ชายทุกคนล้วนอยากเข้าไปรู้จัก มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่หาคำอธิบายได้ยาก


 


“ว่ามา พวกเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้อย่างไร?” ชิงสุ่ยยิ้มออก ต่างฝ่ายต่างพยายามเล่นแง่ต่อกัน และชิงสุ่ยรู้ดีว่าใครกันที่ต้องเป็นฝ่ายแพ้ไป


 


“ถ้าหากนายน้อยของเรารู้ว่าเจ้าเป็นคนสร้างบาดแผลให้กับ นายน้อยจ้าวที่สาม เขาจะต้องสังหารเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าเห็นว่าอย่างไรหากจะมอบคฤหาสถ์นี้ให้กับพวกเรา” ชายผู้นั้นกล่าวออกมาพร้อมกับขยิบตาให้ เสียงของเขามีความสงบมากให้ความรู้สึกราวกับว่าชิงสุ่ยเป็นฝ่ายที่จะเสียเปรียบ


 


ชิงสุ่ยยังคงสวมรอยยิ้มไว้บนใบหน้าของเขา “นายน้อยเย่หลางกล่าวไว้เช่นนั้นหรือ ?”


 


“ข้าเป็นคนที่มีความใกล้ชิดกับนายน้อยเย่หลางและคำพูดของข้าย่อมมีน้ำหนัก” เมื่อชายผู้นั้นกล่าวออกมา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายในเมืองหลวงของมหาทวีปยังต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างระมัดระวัง


 


สถานะของสุนัขจะสูงส่งหากเจ้านายของมันมีอำนาจ และถ้าเจ้านายของมันมีอำนาจมากพอสุนัขข้างหน้าของเขาย่อมมีสถานะที่สูงส่ง


 


“อ้ะ? ดูเหมือนว่าข้าจะได้รับผลที่ดีหากมอบคฤหาสถ์ให้กับพวกเจ้าไป” ชิงสุ่ยคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกมา


 


“หญิงสาวทั้งสองข้างๆตัวเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก นายน้อยของพวกเราชอบพวกนางมาก” สายตายของชายผู้นั้นส่องประกาย


 


ในเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้ นายน้อยเย่หลางเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนเหี้ยมโหด ถ้าเขาชอบพอหญิงสาวคนไหนเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตัวมา ด้วยความพยายามและอำนาจของเขาแล้วเรื่องทั้งหมดจะสำเร็จในทุกครั้งไป แต่โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายต้องมาหาเขาเองแม้ว่าจะเป็นเพียงคืนเดียวก็ตาม…


 


สายตาของชิงสุ่ยหรี่ลงในขณะที่มองไปยังชายที่เปรียบเสมือนกับปราการเหล็ก พร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาปล่อยพลังกดดันมหาศาลออกมาไปยังชายผู้นั้น


 


ตู้ม…


 


ทุกๆคนรวมถึงจ้าวเหยาหวู่ถูกทำให้กระเด็นออกไปโดยชิงสุ่ย และมีเลือดไหลออกมา จ้าวเหยาหวู่ได้รับบาดเจ็บหนักสุด เขามีบาดแผลอยู่แล้วในก่อนหน้าและหลังจากที่โดนเข้าไปอีก เขาอยู่ในสถานะเป็นตาย เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่


 


ชิงสุ่ยก้าวออกมาอย่างเชื่องช้า คนพวกนี้ถูกทำให้กระเด็นออกไปข้างนอกคฤหาสถ์โดยชิงสุ่ยและตกลงไปที่ถนนข้างล่าง ซึ่งถนนเหล่านี้กำลังคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆและถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เจริญที่สุดในเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้


 


พ่อบ้านจากตระกูลเย่หลางเป็นที่รู้จักกันดีทำให้หลายๆคนสามารถจำเขาได้ในทันทีที่เห็นหน้า แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจก็คือใครเป็นผู้กล้าในการจัดการกับคนในตระกูลเย่หลาง?


 


ผู้คนต่างสงสัยและได้เข้ามามุงดูเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่นานสถานที่บริเวณนี้ต่างถูกเติมเต็มไปด้วยผู้คน ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจที่ผู้คนต่างปรากฏให้เห็นมากมาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเขาต้องจัดการกับปัญหานี้ให้จบ


 


“เจ้าเด็กโอหัง เจ้ากล้าทำกับข้าได้อย่างไร? ข้าเป็นคนของตระกูลเย่หลาง! เจ้าเตรียมตัวรอความตายได้เลย! ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบความอวดดีของเขาไม่ได้หายไปเลย นั่นคงเป็นเพราะเขาคงรู้สึกว่าพ่อบ้านจากตระกูลเย่หลางมีความยิ่งใหญ่เพียงใด ”


 


“ถ้าหากตระกูลเย่หลางทำอย่างที่เจ้าว่าจริง เช่นนั้นชื่อเสียงที่เคยได้ยินมาช่างน่าผิดหวัง ตระกุลเย่หลางล้วนแล้วแต่เป็นขยะเช่นเจ้า? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆข้าก็ไม่ต้องกลัวพวกเขาอีกแล้ว ” ชิงสุ่ยยิ้มและก้าวเดินออกมา


 


“เจ้าเตรียมตัวรอไว้ได้เลย ถ้าหากเจ้ายังมีชีวิตรอดพ้นสามวันนี้ไปได้ ข้าจะมอบหัวของข้าให้กับเจ้า” ชายผู้นั้นมองไปยังชิงสุ่ยด้วยสายตาอันโหดเหี้ยม


 


“ข้าไม่ต้องการหัวของเจ้าเลย ให้ตายสิ ถ้าหากเจ้ารีบไปอาจจะยังพอมีเวลาไปบอกนายน้อยของเจ้านะ ถ้าหากช้ากว่านี้ระวังจะตายก่อนที่จะได้เดินกลับไป” หลังจากที่ชิงสุ่ยกล่าวออกมา เขาเตะไปยังจุดแก่นแท้ ของชายผู้นั้นสะกัดจุดอายุขัยเอาไว้


 


ถ้าผู้ใดมีพลังมากพอก็จะสามารถคลายจุดนี้เองได้ และคงไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากคนที่โดนสะกัดจุดหาคนที่แข็งแกร่งกว่ามาคลายจุดให้ แต่ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงมีเพียงความตายที่รอคอยอยู่เท่านั้น


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายผู้นั้นกัดฟันและลุกขึ้นยืนพร้อมนำคนอื่นๆเดินทางกลับไป พวกเขาเรียกใช้พาหนะและรีบกลับไปด้วยความเร็วสูงสุดและหนีหายไปตามระยะทาง


 


“ที่นี่เป็นคฤหาสถ์ของตระกูลเทียนฮี่มิใช่หรือ?”


 


“ถูกต้องแล้ว ชายผู้นี้เป็นใครกัน?” ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะกล้าจัดการกับคนตระกูลเย่หลาง หรือเป็นเพราะตระกูลเทียนฮี่เตรียมต่อสู้ครั้งใหญ่กับตระกูลเย่หลาง?


 


“ไม่น่าจะเป็นไปได้ การต่อสู้ระหว่างตระกูลมักจะเกิดจากคนในรุ่นเดียวกัน เช่นนั้นแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้เลย หรือชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นอัจฉริยะจากตระกูลเทียนฮี่ผู้ที่บรรลุขั้นระดับสูงกัน? ”


 


“นั่นอาจเป็นไปได้ การต่อสู้ในรุ่นของเทียนฮี่เรินโม่ เหล่าผู้อาวุโสไม่น่าจะยื่นมือเข้ามายุ่ง ข้าสงสัยเหลือเกินว่ามีผู้คนจากตระกูลเทียนฮี่อยู่เท่าไรกัน”


 



 


ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสองไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเดินชมเมืองอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาเดินออกไปในตอนนี้ จะต้องมีผู้คนต้องเดินตามไปอย่างแน่นอน แน่นอนว่าชิงสุ่ยสามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างง่ายได้ แต่ด้วยอารมณ์ในตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะไม่ออกไปข้างนอก


 


ยิ่งไปกว่านั้นถ้าข่าวในวันนี้ถูกแพร่กระจายออกไป แน่นอนว่าพลังอำนาจบางอย่างจากเมืองหลวงจะต้องรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเขาและเข้ามาตรวจสอบ พวกเขาจะต้องมีความสามารถในการสืบหาข้อมูลและทราบว่าเขาเป็นใครและมาจากที่ใด


 


นี่เป็นเพียงวันที่สองของพวกเขาในเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้ และพวกเขาได้พบกับปัญหามากมาย ชิงสุ่ยไม่ได้กลัวที่จะต้องเผชิญกับปัญหา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขายินดีที่จะต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้


 


ตระกูลเหย่หลางจะต้องรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ตระกูลที่ยิ่งใหญ่จะเสียอะไรก็ได้แต่ไม่ใช่เสียชื่อเสียง ดังนั้นชิงสุ่ยรู้ดีว่าจะต้องมีใครบางคนจากตระกูลเย่หลางเดินทางมาหาเขาอย่างแน่นอน


 


เขาตัดสินใจที่จะจัดตั้งหอคอยจักรพรรดิขึ้นหลังจากที่จัดการกับเรื่องนี้เสร็จสิ้น ในขั้นตอนแรกเขาต้องการตระกูลที่มีอำนาจสนับสนุนเขาก่อนที่จะจัดตั้งขึ้นได้ ด้วยเรื่องเหล่านี้ตระกูลเย่หลางควรจะเป็นตระกูลที่รู้ดีว่าชิงสุ่ยเคยทำอะไรมาบ้างในอดีตและให้ความช่วยเหลือแก่เขา


 


ความสงบสุขในช่วงนี้ถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของชิงสุ่ย สามวันผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่ชิงสุ่ยคิดเอาไว้ ในที่สุดก็มีใครบางคนปรากฏออกมา


 


เขาดูเหมือนชายที่กำลังเข้าสู่วัยชรา การปรากฏตัวของเขาช่างดูสง่า ชิงสุ่ยได้เผชิญหน้ากับผู้คนหลากหลายพร้อมๆกับกลิ่นอายของพวกเขา โดยเฉพาะผู้คนจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามกลิ่นอายของชายชราผู้นี้มีความแข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางทุกคนที่เขาได้เคยเผชิญมาทั้งหมด


 


“ท่านหมอชิง ท่านสบายดีไหม?” ชายชรากล่าวออกมาเมื่อได้พบกับชิงสุ่ย นั่นแสดงให้เห็นว่ามีผู้คนมากมายได้รู้จักกับตัวตนของชิงสุ่ย ถ้าชิงสุ่ยไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น ณ ที่แห่งนี้และไม่ได้จัดการกับคนพวกนั้น ผู้คนทั้งหลายคงยังไม่ตรวจสอบประวัติความเป็นมาของเขา อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชิงสุ่ยได้ทำลงไปทำให้เขาได้เผยตัวต่อสาธารณะและทำให้ผู้คนทั้งหลายสนใจในตัวเขา


 


“ข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร?” ชิงสุ่ยยิ้มทักทายชายชราและเชิญชวนให้เขาไปนั่งที่กระโจมรองรับ


 


“ข้ามีนามว่าเย่หลางเชียนคุณ ข้ารู้ดีว่าท่านหมอชิงคงทราบดีว่าเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่!” ชายชรากล่าวในขณะที่กำลังเดินไป


 


“ท่านมาที่นี่เพราะคนบางคนที่ถูกจัดการไปก่อนหน้านี้เช่นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสุภาพ


 


“แน่นอนว่าไม่ ถ้าข้ามาที่นี่เพราะคนที่ทำความผิดไปในก่อนหน้า ข้าเย่หลางเชียนคุนคงไม่ต้องรอให้ท่านรอจนถึงวันนี้” เย่หลางเชียนคุนยิ้มและกล่าวออกมา


 


“เช่นนั้นท่านมีเรื่องอะไรจึงได้มาหาข้าในวันนี้?” ชิงสุ่ยได้คาดเดาไว้บ้างแล้ว เนื่องจากพวกเขารู้ว่าตัวชิงสุ่ยเป็นใครและแสดงท่าทีที่แตกต่างออกไป มันคงเป็นเพราะทักษะด้านการแพทย์ของเขา


 


“ตระกูลเย่หลางคาดหวังว่าจะได้ร่วมงานกับท่านหมอ ท่านมีความเห็นเช่นไรบ้าง?” เย่หลางเชียนคุนมองไปยังชิงสุ่ยและยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ


 


ชิงสุ่ยยิ้มตอบและมองไปยังเย่หลางเชียนคุน “ท่านต้องการให้พวกเราทำงานด้วยกันเช่นนั้นหรือ?”


 


“ตระกูลเย่หลางรับรองว่าท่านหมอจะมีความเป็นอยู่ที่ดีในเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้ พวกเราจะมอบสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับท่าน ส่วนท่านหมอจะต้องแบ่งปันทุกอย่างที่ได้รับมาแก่ตระกูลเย่หลาง”  เย่หลางเชียนคุนใช้ความคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกมา


 


ชิงสุ่ยยิ้มออกมา ตระกูลเย่หลางช่างโลภมากเสียจริง ทุกๆอย่างที่เขาได้รับมารวมถึงความสัมพันธ์ ตระกูลเหย่หลางต้องการพวกมันทั้งหมด พวกเขาเพียงเสนอความมั่นคงให้และยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่


 


ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปยังเย่หลางเชียนคุน “เมื่อท่านรู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว ท่านควรรู้ว่าข้าไม่ทำงานให้ใครทั้งสิ้น”


 


“ข้ารู้ดี แต่ทุกๆอย่างย่อมมีข้อยกเว้น” เย่หลางเชียนคุนมีท่าทีโน้มน้าวชิงสุ่ย


 


“จะเป็นเช่นไรหากข้อยกเว้นเหล่านั้นไม่มีอยู่เลย” ชิงสุ่ยให้ความเห็นและกล่าวออกมา


 


“มันจะต้องมีอย่างแน่นอน ในวันนี้ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของท่านหมอ เมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้มีความแตกต่างจากอาณาจักรอี่หวงอยู่ ซึ่งท่านไม่สามารถนำอาณาจักรอี่หวงมาเทียบเคียงได้ เมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งใหม่ ท่านควรจะปฏิบัติตามกฏของสถานที่แห่งใหม่เช่นกัน มิฉะนั้นแล้วท่านอาจจะจบด้วยความพ่ายแพ้ “ เย่หลางเชียนคุนยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ


 


“ท่านควรพูดมันออกมาตรงๆ ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าท่านหมายถึงสิ่งใด”


 


“พื้นที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงแห่งมหาทวีปซึ่งมีความวุ่นวายมาก ถ้าท่านไม่มีพลังที่เพียงพอ เช่นนั้นแล้วท่านควรจะร่วมมือกับคนบางกลุ่ม มิฉะนั้นแล้วท่านคงไม่สามารถทำการใหญ่ได้ เพราะย่อมมีผู้คนมากมายเข้ามาขัดขวาง พวกเขาย่อมใช้วิธีการต่างๆเข้ามาขัดขวางท่าน ”


 


“หากว่าข้าไม่ทำงานให้กับตระกูลเย่หลาง เช่นนั้นแล้วตระกูลเย่หลางจะขัดขวางข้าด้วยหรือไม่?”


บทที่ 1378 – ความแตกต่างระหว่างระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ การต่อสู้ เย่หลางวู่จี้


 


ชิงสุ่ยพูดออกมาด้วยความใจเย็น เขาไม่รู้ถึงอิทธิพลทั้งหมดในเมืองหลวงของมหาทวีปหรือสิ่งที่จะต้องพบเจอ แต่ถึงอย่างนั้นชิงสุ่ยไม่ได้กังวลอีกต่อไปแล้ว


 


นั่นเป็นเหตุผลที่เขาถามคำถามออกไป ในตอนนี้เขายังไม่แน่ใจในเจตนาที่แท้จริงของชายชรา


 


“ข้าได้กล่าวไปก่อนหน้าแล้ว ถ้าหากหมอคนใดไม่ทำงานให้พวกเราตระกูลเย่หลาง แน่นอนว่าท่านจะต้องพบกับความยากลำบากอย่างแน่นอน เพราะท่านทำให้ตระกูลเย่หลางต้องเสียหน้า” เย่หลางเชียนคุนยังมีสีหน้ายิ้มแย้ม


 


ชิงสุ่ยรู้ถึงคำตอบนี้อยู่แล้ว ในตอนแรกเขาสงสัยว่าเหตุใดตระกูลเย่หลางจึงไม่มาคิดบัญชีกับเขาแต่กลับเสนอให้ร่วมงานกันแทน แต่ในตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้ว ตราบเท่าที่พวกเขาให้ความร่วมมือต่อกัน ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในก่อนหน้าจะถือว่าถูกลบล้างไป เพราะว่าเมื่อพวกเขาได้ร่วมมือกันมันจะแสดงให้เห็นว่าตระกูลเย่หลางมีอำนาจเพียงใดและให้ความรู้สึกว่าตระกูลเย่หลางไม่ถูกลบหลู่


 


ชิงสุ่ยรู้ดีว่าถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือ ตระกูลเย่หลางจะเป็นคนแรกที่ขัดขวางการก่อตั้งของเขา ณ ที่แห่งนี้ ตระกูลเย่หลางเป็นตระกูลที่มีอำนาจ เขาคาดคิดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ตามยุ่งกับพวกที่ถูกสามารถจัดการได้ในทันที


 


อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยไม่ใช่คนกลุ่มนั้น ตระกูลที่ทรงอำนาจย่อมรู้ดีว่าชิงสุ่ยได้ทำอะไรไว้บ้างในอาณาจักรอี่หวงและให้ความสำคัญกับเขา ดังนั้นชิงสุ่ยไม่ใช่คนที่สามารถกลั่นแกล้งได้โดยที่ไม่คำนึงถึงพลังและความสามารถด้านการแพทย์ของเขา นี่เป็นเหตุผลที่ตระกูลเย่หลางเข้าหาเขาด้วยการให้เกียรติ


 


ตระกูลอี่หวงถูกทำลายโดยชายหนุ่มผู้นี้และหญิงสาวที่อยู่กับเขา แม้ว่าตระกูลเย่หลางจะทรงพลังกว่ามาก พวกเขาก็ไม่ต้องการไปยั่วยุใครบางคนเข้า ในตอนนี้คำพูดเหล่านั้นทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกเสียหน้า แต่ในขณะเดียวกันตระกุลเย่หลางก็ต้องรักษาชื่อเสียงของพวกเขาไว้


 


“ข้าขอยืนยันว่า ข้ายอมรับได้กับสิ่งที่ข้าได้กล่าวออกไปแล้ว ผู้อาวุโส หอคอยจักพรรดิไม่ทำงานให้ใครทั้งสิ้น” คำพูดของชิงสุ่ยได้เผยให้เห็นจุดยืนที่ชัดเจนเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามคนที่ตัดสินเรื่องนี้ได้ย่อมเป็นฝ่ายตระกูลเย่หลาง


 


“ข้าหวังว่าท่านจะพิจารณาถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ท่านหมอ ถ้าหากท่านเปลี่ยนใจก็สามารถเข้ามายังตระกูลเย่หลางได้ทุกเมื่อ” เย่หลางเชียนคุนลุกขึ้นยืนโดยไม่มีสิ่งใดๆนอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับคำตอบจากชิงสุ่ยแล้ว


 


หลังสิ้นสุดคำพูด เย่หลางเชียนคุนยืนขึ้นและเดินจากไป


 


ชิงสุ่ยไม่ได้เคลื่อนไหวหรือพูดอะไรออกมา เมื่อเขาได้บอกความตั้งใจออกไปทั้งหมดแล้ว เขาก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนมันอีก ดังนั้นเขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองควรจะกล่าวอะไรออกไปมากกว่านี้ และจะไม่แสดงความแมตตาใดๆอีกหากมีใครสุ่มสี่สุ่มห้าบุกเข้ามาหา


 


เมื่อเขายังไม่มีจุดยืน ณ ที่แห่งนี้ เช่นนั้นก็ต้องสร้างชื่อเสียงขึ้นมาเสียก่อน อย่างไรก็ตามเขายังไม่รู้ถึงพลังของคนในตระกูลเย่หลางว่าพวกเขามีผู้ฝึกยุทธในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสามอยู่หรือไม่?


 


พลังของผู้ฝึกยุทธชั้นสูงสุดในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นแรกจะมีพลังอยู่ที่ราวๆสองล้านสุริยา ส่วนพลังของชั้นสูงสุดในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสองอยู่ที่ราวๆสี่ล้านสุริยา พลังของชั้นสูงสุดในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสามและขั้นที่สี่จะอยู่ที่สิบเอ็ดล้านสุริยาขึ้นไป


 


พลังสูงสุดในแต่ละขั้นจะเกิดจากผลรวมของพลังขั้นก่อนรวมกับระดับขั้นทวีคูณด้วยหนึ่งล้าน ตัวอย่างเช่น ขั้นที่ห้าของระดับขั้นปราณบัญชาสวรรค์พินาจจะมีพลังอยู่ที่ห้าล้านสุริยารวมกับระดับก่อนหน้าสิบเอ็ดล้านสุริยา จึงรวมทั้งหมดเป็นสิบหกล้านสุริยา


 


เส้นลมปราณวชิระของชิงสุ่ยได้ตื่นขึ้นแล้ว ส่วนเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระทำให้ชิงสุ่ยสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสามหรือต่ำกว่าได้ นอกจากนี้มันยังสามารถลดความสามารถของศัตรูลงได้สามในสิบส่วนซึ่งมากพอที่จะส่งใครสักคนไปลงนรกได้


 


เขาไม่ได้กังวลอะไรมากมายพร้อมมองเย่หลางเชียนคุนที่กำลังเดินจากไป ไม่นานหลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสองได้เดินออกมา


 


“ชิงสุ่ยพวกเราควรทำเช่นไร? ตระกูลเย่หลางแสดงถึงการคุกคามพวกเราอย่างชัดเจน”  อี่หวงกู่หวู๋กล่าวออกมาก่อนที่จะนั่งลงข้างๆชิงสุ่ย


 


“ไม่ต้องกังวลไป ข้าอยากจะรู้เช่นกันว่าตระกูลเย่หลางจะทำอย่างไรต่อไป” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมา เขาไม่ได้กังวลต่อเรื่องนี้มากนัก แม้จะมีหญิงสาวทั้งสองอยู่ด้วย แต่ก็ยังมีห้องว่างให้ฝึกซ้อม


 


เมื่อหญิงสาวทั้งสองเห็นจุดยืนที่ชัดเจนของชิงสุ่ย พวกนางจึงไม่กังวลอีกต่อไป ชิงสุ่ยได้กลายมาเป็นเสาหลักของพวกนางแล้วอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


 


……


 


สองวันผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ มันเป็นเหมือนกับสัญชาตญาณซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันช่างเป็นความรู้สึกที่รุนแรงมาก


 


เมื่อถึงยามบ่ายของวัน เย่หลางเชียนคุนปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียวทว่ามาพร้อมกับคนอื่นๆรวมๆสิบคน คนส่วนใหญ่อยู่ในวัยชราแล้วแต่มีสองในนั้นที่ดูเหมือนชายวัยกลางคน


 


ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแค่มีผู้คนบุกมาถึงที่นี่ ก่อนที่ทุกคนจะรับรู้ได้ ผู้คนมากมายต่างมารวมตัวกันอยู่ที่สนามข้างนอกแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างรู้ว่ากำลังจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น


 


ชิงสุ่ยรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเพราะเหตุใด ตระกูลเย่หลางกำลังกลับมากู้ชื่อเสียงของพวกเขาคืนแล้ว


 


เย่หลางเชียนคุนยืนอยู่กลางอากาศ ชิงสุ่ยค่อยๆปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ อี่หวงกู่หวู๋ต้องการตามออกมาเช่นกัน แต่ชิงสุ่ยได้ห้ามเอาไว้และกำชับว่าให้หลีกเลี่ยงการพัวพันในครั้งนี้ ชิงสุ่ยรู้ดีว่าตราบเท่าที่ตระกูลเย่หลางยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้และหากว่าอี่หวงกู่หวู๋ไม่ออกมาด้วยตนเอง พวกเขาจะไม่เพ่งเล็งเป้าไปยังอี่หวงกู่หวู๋


 


ชิงสุ่ยออกไปข้างนอกและหยุดอยู่ตรงที่มีระยะห่างจากเย่หลางเชียนคุนหนึ่งร้อยเมตร สำหรับผู้ฝึกยุทธในระดับเช่นพวกเขาระยะห่างขนาดนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับการพูดคุยแต่อย่างใด


 


“ท่านหมอชิง หวังว่าท่านจะตัดสินใจได้แล้ว? ตราบเท่าที่ท่านมาร่วมมือกับพวกเราตระกูลเย่หลาง ท่านจะไม่ต้องประสบกับความพ่ายแพ้” เย่หลางเชียนคุนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม


 


โลกของผู้ฝึกยุทธนั้นช่างง่ายดาย ในบางครั้งพวกเขาก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้อื่นและกวัดแกว่งอาวุธเข้าหาอีกฝ่ายด้วยนามของความภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตามความยิ่งยโสที่มีมากเกินไปมันก็คืออีกรูปแบบของความเลวทรามนั่นเอง


 


ความเข้าใจทั่วไปคือตระกูลที่ยิ่งใหญ่ย่อมมีความใจกว้าง แต่เขายังไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมโลกทั้งเก้ามหาทวีปแห่งนี้ ความมีชื่อเสียงมักเป็นสิ่งที่ไม่ยอมให้ถูกทำลายได้ โดยเฉพาะกับตระกูลใหญ่ๆ ชีวิตของผู้คนย่อมไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา


 


สำหรับชิงสุ่ยเอง เรื่องของผลประโยชน์ไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในโลกแห่งเก้ามหาทวีปแห่งนี้ ผู้ที่ยอมแพ้มักจะเป็นฝ่ายสูญเสียและความสูญเสียมักทำให้ดูไม่น่าเคารพรับถือ


 


“ข้าได้กล่าวไปแล้วว่าข้าจะไม่ทำงานให้ผู้ใดทั้งสิ้นและก็ยังไม่มีเหตุผลให้ทำเช่นนั้น และข้าก็ลืมบอกท่านไปเช่นกันว่าข้าไม่ชอบการบังคับเป็นที่สุด เช่นนั้นแล้วให้ข้าได้เตือนท่านเสียหน่อย อย่ามาข่มขู่ข้าด้วยวิธีใดๆทั้งสิ้น แล้วท่านจะไม่สามารถรับผลที่เกิดขึ้นได้” ชิงสุ่ยรู้สึกว่าควรเตือนพวกเขาล่วงหน้าเสียหน่อย เพราะพวกเขารู้เรื่องทั้งหมดและนั่นหมายความว่าพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับหมอปิศาจและคนอื่นๆเช่นกัน


 


“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ตระกูลเย่หลางคงไม่ต้องมาถึงที่นี่… อธิบายพวกเรามาว่าเหตุใดจึงได้ลงมือสังหารผู้คนของพวกเรา” เย่หลางเชียนคุนตอบกลับอย่างใจเย็น เขาไม่ได้รู้สึกร้อนใจกับคำพูดอันโอหังของชิงสุ่ย


 


“ให้ข้าอธิบาย? ข้าไม่มีสิ่งนั้น ข้ามีสิทธิ์อย่างชอบธรรมในการจัดการกับผู้คนที่บุกรุกเข้ามายังสนามบ้านของข้า และนั่นรวมถึงการลงมือสังหารเช่นกัน”


 


“ตระกูลเทียนฮี่เสนอประโยชน์อะไรให้กับท่าน? ข้ายินดีให้เพิ่มเป็นสองเท่า” เย่หลางเชียนคุนลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเสนอออกไป


 


“ตระกูลเทียนฮี่ไม่ได้เสนอสิ่งใดให้ข้าทั้งสิ้น ข้าไม่ต้องการรับสิ่งใดๆจากใครหน้าไหนทั้งนั้น ข้าสามารถหาสิ่งที่ข้าต้องการได้ด้วยมือของข้าเอง” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างใจเย็นรวมถึงได้ประกาศจุดยืนของตนเองออกไปเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจตนเองไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น


 


“ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราควรจะพูดกันด้วยหมัดแทน พวกเราจะประลองกันหาผู้ชนะสองในสาม ถ้าหากพวกเราเป็นฝ่ายชนะ เจ้าจะต้องอธิบายจนกว่าตระกูลเย่หลางจะพึงพอใจ แต่ถ้าหากเจ้าเป็นฝ่ายชนะ พวกเราจะไม่เอาเรื่องทุกอย่างและจะรับรองถึงความปลอดภัยในเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”


 


เมื่อชิงสุ่ยได้ยินคำกล่าวจากเย่หลางเชียนคุน เขารู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นจิ้งจอกเฒ่า ด้วยการกระทำเช่นนี้เขาสามารถปกป้องจุดยืนของตนเอาไว้ได้ ถ้าหากฝ่ายเย่หลางเชียนคุนชนะ พวกเขาจะสามารถสังหารชิงสุ่ยได้อย่างชอบธรรมและหากเป็นฝ่ายแพ้ตระกูลของพวกเขาก็ไม่เสียหายอะไร และโดยการให้ความช่วยเหลือต่อชิงสุ่ย พวกเขายังสามารถสร้างไมตรีที่ดีต่อชิงสุ่ยได้แสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อของตระกูลเย่หลาง


 


“สามรอบมันดูมากเกินไป มาทำให้มันจบภายในครั้งเดียวเถิด พวกเจ้าทุกคนสามารถเข้ามาพร้อมๆกันได้เลย” ชิงสุ่ยยิ้ม


 


ชิงสุ่ยรู้ดีว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เป็นการประลองถึงสามรอบ พวกเขามีกันอยู่เพียงสามคนแต่ด้านหยวนสู่เองคงไม่สามารถเข้าร่วมได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วคงเป็นเรื่องดีที่สุดหากเขาสู่้เพียงคนเดียว


 


“ถ้าเป็นสองรอบ เจ้าจะว่าอย่างไร?”  เย่หลางเชียนคุนยืนกรานอย่างจริงจัง


 


ชิงสุ่ยรู้สึกขำขันในเวลานี้ ย้อนกลับไปในตอนที่ต่อสู้กับตระกูลอี่หวง ทั้งเขาและอี่หวงกู่หวู๋ยังไม่บรรลุถึงระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่พยัคฆ์ขาวเพียงสองสามตัวของอี่หวงกู่หวู๋ ก็มีพลังเทียบเท่ากับคนในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นแรกแล้ว


 


แม้ว่าระยะเวลาเพิ่งผ่านมาไม่นาน พลังของชิงสุ่ยและอี่หวงกู่หวู๋รวมถึงพยัคฆ์ขาวก็อยู่ในจุดที่ทำให้สามารถโลกสั่นคลอนได้แล้ว


 


“เช่นนั้นข้าตกลง เป็นสองรอบ และสัญญากับข้ามาหนึ่งสิ่งถ้าหากว่าพวกเจ้าแพ้ทั้งหมด” ชิงสุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา


 


“มันคือเรื่องใดกัน?”


 


“ช่วยข้าตามหาใครบางคน”


 


“ย่อมได้ ข้าให้สัญญากับเจ้าว่าข้าจะตามหาอย่างสุดความสามารถแต่ข้าไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะสามารถหาคนผู้นั้นพบได้หรือไม่” เย่หลางเชียนคุนขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


“ตกลง เริ่มกันเถอะ พวกเจ้าจะส่งใครมาเป็นคนแรก”


 


“ให้ข้าเป็นคนไปเอง!” หนึ่งในสองชายวันกลางคนก้าวออกมาจากฝูงชน


 


เขาเป็นคนที่ดูหล่อเหลา แม้ว่าจะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว ก็ยังไม่มีริ้วรอยใดๆบนใบหน้าของเขาเลย มีเพียงร่องรอยบางส่วนเท่านั้นที่มองเห็นได้ชัดเจน


 


ดวงตาของเขาเฉิดฉายราวกับดวงดาว มันเป็นดวงตาที่เข้มแข็งสามารถพบเจอได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ชิงสุ่ยนึกถึงชายผู้ที่เอาชนะเทียนฮี่เรินโม่ขึ้นมาทันใด


 


ใช่เขาหรือไม่?


 


“เจ้าคือเย่หลางวู่จี้?” ชิงสุ่ยสอบถามด้วยน้ำเสียงเบา


 


“เทียนฮี่เรินโม่บอกเจ้าเช่นนั้นหรือ? แม้ว่าสิ่งที่ข้าได้ทำจะทำให้เขาได้รับความเจ็บปวด สังคมย่อมดำเนินไปเช่นนี้ เมื่อพวกเราทั้งสองต่างชอบในสิ่งเดียวกันมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องต่อสู่เพื่อแย่งสิ่งนั้นมา และเขาไม่ใช่ฝ่ายที่ชนะ” ชายผู้นั้นกล่าวออกมาเบาๆ คำพูดของเขาดูเหมือนโอหังแต่เมื่อเป็นคำกล่าวที่ออกมาจากปากเขาแล้ว กลับให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือ


 


“ดังนั้นเจ้าหมายถึงมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่จะแย่งสิ่งใดมาก็ได้ตราบเท่าทีเจ้ามีพลัง?”


 


“มันคงเป็นวิถีของโลกแห่งเก้ามหาทวีปแห่งนี้ เมื่อราชวงศ์ได้ล่มสลาย ราชวงศ์ใหม่ก็จะขึ้นมาปกครองแทน แต่ในความจริงก็คือราชวงศ์ใหม่ได้ครอบครองทุกอย่างของราชวงศ์ก่อนหน้าและเพียงเปลี่ยนชื่อมันเสีย ก็เหมือนกันกับหญิงสาวที่เลิกราต่อจากชายหนุ่มแล้วและได้ตกหลุมรักกับชายหนุ่มคนใหม่ ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งสองจะไม่สอดคล้องกัน แต่สังคมแห่งนี้มักจะเกิดเรื่องแย่งชิงขึ้นได้เสมอ และรูปแบบการแย่งชิงก็มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีนองเลือดหรือต้องโกหกหลอกลวง และด้วยความสัตย์จริงการแย่งชิงด้วยการหลอกลวงไม่ถือเป็นวิธีการที่โหดร้าย เพราะมันเป็นการฆ่าโดยที่ไม่ต้องมีการหลั่งเลือด”


 


ชายผู้นั้นไม่ได้พูดด้วยความรวดเร็ว คำพูดของเขาให้ความรู้สึกที่จริง ถ้าหากผู้หญิงคนใดเลิกราต่อผู้ชายแล้วและนำตัวเองไปอยู่ในอ้อมแขนของชายอีกคน นั่นหมายความว่าชายคนนี้ย่อมมีความสามารถมากกว่าชายคนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการแย่งชิงที่ไม่ต้องหลั่งเลือดและถือเป็นการแข่งขันที่รุนแรง และนั่นสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดพวกคนร้ายมักจะรวยและมีหญิงสาวมากมายรายล้อมพวกเขา


 


“ตกลง เช่นนั้นมาเริ่มกันเถอะ หวังว่าพวกเจ้าทั้งสองจะจัดการปัญหากันได้ในภายภาคหน้า ” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา และให้สัญญาณในการเริ่ม


 


“ให้เจ้าได้เห็นกับตาเองจะดีกว่า”


 


เย่หลางวู่จี้ชักกระบี่ที่สลักไปด้วยดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และกลุ่มดาวออกมา — กระบี่ดาราสุริยันจันทรา


 


กลิ่นอายอันทรงพลังถูกแผ่ออกมารอบๆตัวเขา เขาเป็นผู้ฝึกยุทธในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ


 


ชิงสุ่ยรีบโคจรพลังในร่างกายของตนเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เย่หลางวู่จี้อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจแต่ยังเป็นปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสองเสียด้วย และนี่คือเบื้องหลังของตระกูลเย่หลาง ในฐานะอัจฉริยะจากตระกูลเย่หลางสิ่งเหล่านี้ย่อมอยู่ในความคาดหมาย


บทที่ 1379 – ตระกูลเย่หลางพ่ายแพ้, กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำ , ตระกูลต่งเย่


 


พลังของเย่หลางวู่จี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของชิงสุ่ยมากนัก  ในก่อนหน้าเขาเพียงรู้พลังของฝ่ายตรงข้ามจากการประเมิณคร่าวๆเท่านั้น และฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของฝ่ายเขาเช่นกัน


 


ส่วนความสามารถของอี่หวงกู่หวู๋ยังไม่เป็นที่ชัดเจนเช่นกัน พวกเขาคงประเมิณไว้ว่านางคงอยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นแรก แต่ทว่านางยังมีสัตว์อสูรอีกหกตัวที่ทรงพลัง นอกเหนือจากนั้นพวกมันล้วนอยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสามตอนต้น


 


เย่หลางวู่จี้ได้เผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจขั้นแรกแล้ว และการเลื่อนขั้นจากปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นแรกมาขั้นที่สองเป็นสิ่งที่งายที่สุด อย่างไรก็ตามก็ยังมีผู้คนมากมายที่ต้องตายจากการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ เป็นเพราะมีผู้คนมากมายที่ได้บรรลุมาถึงขั้นนี้


 


ด้วยการกวาดมือออกไป ชิงสุ่ยเรียกหุบเขาเก้าเทวาออามา!


 


พลังของหุบเขาเก้าเทวามีพลังใกล้เคียงสองล้านสุริยา เทียบเท่าปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นแรก มันมีความเร็วเป็นสามเท่าของชิงสุ่ยและทักษะปราการจู่โจมที่ทรงพลัง แม้แต่เย่หลางวู่จี้ที่ได้ผ่านการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจขั้นแรกมาแล้วก็ไม่สามารถรับการโจมตีได้อย่างง่ายดาย


 


“ลงมือได้ หากเจ้าไม่ลงมือ ข้าจะเป็นฝ่ายลงมือเอง” ชิงสุ่ยกวาดมือเรียกหุบเขาเก้าเทวามาอยู่ในตำแหน่งเหนือศีรษะของเขา


 


แสงสุริยันจันทราสูญสิ้น!


 


เย่หลางเชียนคุนขมวดคิ้วพร้อมกวัดแกว่งกระบี่ดาราสุริยันจันทรา ท้องฟ้ารอบๆในรัศมีสามร้อยเมตรเปลี่ยนเป็นสีดำมืด แต่ถึงอย่างนี่นกระบี่ดาราสุริยันจันทราในมือของเขากลับส่องสว่างออกมาราวกับว่ามันได้ดูดซับแสงจากบริเวณรอบๆไว้ทั้งหมดแล้ว


 


พลังอันมหาศาลถูกปล่อยออกมาจากกระบี่ดาราสุริยันจันทรา ทันใดนั้นเองเย่หลางวู่จี้มองไปยังชิงสุ่ยด้วยแววตาที่เป็นประกาย ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวเขาพุ่งตรงไปหาชิงสุ่ย


 


อย่างไรก็ตาม เขาพุ่งตรงไป ณ ตำแหน่งที่อยู่เหนือชิงสุ่ยไม่ได้พุ่งไปยังชิงสุ่ยโดยตรง


 


สุริยันจันทราจู่โจม!


 


มีแสงระยิบระยับประดับอยู่บนกระบี่ดาราสุริยันจันทราและมีคลื่นพลังถูกปล่อยออกมาราวกับดวงอาทิตย์ พุ่งตรงไปยังชิงสุ่ย


 


“วิชาของเขาถือว่าไม่เลวเลย เมื่อคิดได้ว่ามันเป็นการโจมตีจากผู้ฝึกยุทธในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ” สีหน้าของชิงสุ่ยไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ด้วยพลังเพียงระดับนี้ไม่สามารถทำให้เขารับรู้ถึงความอันตรายได้


 


ไปได้!


 


ชิงสุ่ยกวาดมือกระทบหุบเขาเก้าเทวา ด้วยพลังที่บวกเข้าไป ความเร็วของมันรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า


 


ตู้ม!


 


ด้วยเสียงปะทะที่ดังสนั่น คลื่นพลังที่ถูกปล่อยออกมาถูกลบหายไป หุบเขาเก้าเทวากระเด็นออกมาจากจุดที่เกิดการปะทะกัน


 


ชิงสุ่ยปรากฏตัวขึ้นหลังหุบเขาเก้าเทวาในทันใด ในมือของเขาถือตราประทับสีทองเอาไว้อยู่


 


ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์!


 


พลังของชิงสุ่ยเมื่อรวมเข้ากับตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์มีมากกว่าห้าล้านสุริยาและพลังของเย่หลางวู่จี้มีไม่ถึงสามล้านสุริยาเสียด้วยซ้ำ สีหน้าของเย่หลางวู่จี้เปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลังจากมัน แม้ว่าเขาจะรับการโจมตีนั่นได้แต่แน่นอนว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บ


 


สุริยันจันทราปกปักษ์!


 


กระบี่ดาราสุริยันจันทราในมือเย่หลางวู่จี้ปล่อยแสงประกายสีขาวออกมาล้อมตัวของเย่หลางวู่จี้เอาไว้อย่างสมบูรณ์


 


ตึ้ง!


 


เสียงระเบิดครั้งใหญ่เกิดขึ้น บริเวณรอบๆต่างเกิดความเสียหาย


 


เมื่อตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ปะทะเข้าก่อให้เกิดเสียงดังขึ้นและทันใดนั้นมันก็หายไป แสงประกายรอบๆตัวเย่หลางวู่จี้เองก็หายไปเช่นกัน


 


ทักษะเคลื่อนไหวสุริยันจันทราศักดิ์สิทธิ์!


 


มีก้อนแสงกลมๆปรากฏขึ้นบริเวณขาของเย่หลางวู่จี้ ราวกับว่ามันเป็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ การเคลื่อนไหวของเย่หลางวู่จี้มีความรวดเร็วกว่าเก่าหลายเท่าตัว


 


ในแง่ของความเร็วแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในระดับเดียวกันกับชิงสุ่ย ไม่ต้องเปรียบเทียบเรื่องพลังต่อสู้เลย ต่อให้เย่หลางวู่จี้ใช้ทักษะเคลื่อนไหวสุริยันจันทราศักดิ์สิทธิ์ ความเร็วของเขาก็มิอาจเทียบเท่าชิงสุ่ยได้


 


ทักษะย่างก้าวเก้าเทวา!


 


ทักษะการเคลื่อนไหวอสรพิษไอยรา!


 


อสรพิษแห่งจิตวิญญาณทะยานฉก!


 


ชิงสุ่ยเริ่มเคลื่อนไหว พร้อมนำแส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่มออกมา พร้อมใช้ทักษะการเคลื่อนไหวอสรพิษฟาดตรงไปยังร่างกายของเย่หลางวู่จี้


 


พลังฟาดของเขามีพลังอยู่ถึงสองล้านหกแสนสุริยา เป็นพลังในระดับเดียวกับเย่หลางวู่จี้ เมื่อต้องรับการโจมตีด้วยพลังระดับเดียวกับตนเอง เขาจึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย


 


มังกรศักดิ์สิทธิ์ฟาดฟัน!


 



 


ชิงสุ่ยใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ออกอย่างไม่หยุดยั้ง จากนั้นเปลี่ยนมาใช้เพิ่มพลังให้กับตนเองแทน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์โจมตีใส่ศัตรู


 


การต่อสู้ของชิงสุ่ยอาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทาง เย่หลางวู่จี้สามารถป้องกันได้ในตอนเริ่มต้นแต่เมื่อพบกับความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ได้รับบาดแผลไปทั่วทั้งตัวโดยชิงสุ่ย


 


เย่หลางวู่จี้ไม่สามารถแม้แต่แตะตัวชิงสุ่ยได้ด้วยซ้ำ เขายังห่างชั้นกับชิงสุ่ยนักทั้งในแค่ของความเร็วและพลัง ถ้าไม่ใช่เพราะชิงสุ่ยได้ใช้ทักษะการเคลื่อนไหวอสรพิษไอยราและไม่คิดถึงประโยชน์ของเทียนฮี่เรินโม่ ชิงสุ่ยอาจทำให้เย่หลางวู่จี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิตเสียแล้ว และถ้าหากเขาใช้เคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระ เขาจะสามารถลงมือสังหารได้ในทันที


 


ปัง!


 


ด้วยการปะทะอีกครั้ง เย่หลางวู่จี้กระเด็นและกระอักเลือดออกมา


 


“เจ้าแพ้แล้ว” เสียงอันสงบของชิงสุ่ยถูกเปล่งออกมา


 


ผู้คนที่ตามเย่หลางวู่จี้มาล้วนอยู่ในความตกตะลึง เย่หลางวู่จี้ถือเป็นคนที่มีชื่อที่สุดในคนรุ่นเดียวกัน แต่ต่อหน้าชายผู้นี้แล้วเขาช่างไร้ความหมายใดๆ อีกเหตุผลก็คือพลังของตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ที่ชายหนุ่มคนนี้ได้ใช้ออกมา


 


“ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ เมื่อต้องคิดว่าชายหนุ่มผู้นั้นเอาชนะเย่หลางวู่จี้ได้” ผู้คนที่อยู่ข้างล่างล้วนอยู่ในความตกตะลึง


 


“ใช่แล้ว ตระกูลเย่หลางยังต้องการให้เย่หลางวู่จี้ขึ้นนำต่อไป และต้องเจอคนที่อายุน้อยกว่าเอาชนะ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สามารถตอบโต้ได้เลย”


 


“ไม่ต้องสู้อีกแล้วล่ะ ตระกูลเย่หลางพ่ายแพ้แล้ว”


 


“แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งรอบเชียวนะ ในบางทีตระกูลเย่หลางอาจเป็นฝ่ายชนะ”


 


“ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ ตระกูเย่หลางก็ได้พ่ายแพ้แล้ว เหตุใดเย่หลางวู่จี้เป็นฝ่ายออกมา? ตราบเท่าที่เย่หลางวู่จี้เป็นฝ่ายชนะคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขากลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อาจกล่าวได้เลยว่าตระกูลเย่หลางพ่ายแพ้แล้ว พวกเขาได้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์”


 



 


“ชิ พวกเราแพ้แล้ว” เย่หลางเชียนคุนกล่าวออกมาเสียงเบา


 


เย่หลางวู่จี้รู้สึกสูญเสียมากยิ่งขึ้น เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดในคนรุ่นเดียวกัน แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับผู้ที่มีอายุน้อยกว่าและทรงพลังยิ่งกว่าเขา และเมื่อเปรียบเทียบกับจริงๆแล้วชายผู้นั้นแข็งแกร่งกว่ายิ่งนัก


 


“ยังเหลืออีกหนึ่งรอบการประลอง พวกเจ้ายังต้องการประลองต่อหรือไม่?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว


 


“พวกเราจะสู่ต่อ ในรอบนี้ข้าจะเป็นคนประลองเอง พวกเจ้าคนใดจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า?” เย่หลางเชียนคุนปล่อยพลังออกมาพร้อมกล่าว


 


“ข้าเอง!”


 


อี่หวงกู่หวู๋ก้าวออกมากลางอากาศและปรากฏตัวออกมาข้างๆชิงสุ่ย


 


“เรียกใช้พยัคฆ์ขาวซะ ให้สองตัวปกป้องเจ้าและสี่ตัวเป็นฝ่ายโจมตี” ชิงสุ่ยกล่าวและถอยห่างออกไป


 


“แม่สาวน้อย ลงมือเถอะ!” เย่หลางเชียนคุนกล่าวต่ออี่หวงกู่หวู๋


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หลางวู่จี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมองหญิงสวยเช่นอี่หวงกู่หวู๋ การที่เขาโดนชิงสุ่ยซัดกระเด็นทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจไปอีกยาวนาน


 


อี่หวงกู่หวู๋ไม่ได้กล่าวอะไรมากมาย นางยิ้มออกมาพร้อมกวาดมือออก ปรากฏพยัคฆ์ขาวออกมา


 


โจมตี!


 


อี่หวงกู่หวู๋ให้พยัคฆ์ขาวสี่ตัวพุ่งตรงเข้าหาเย่หลางเชียนคุน หญิงสาวอยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสองตอนปลายแต่พยัคฆ์ขาวอยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสามตอนต้น ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเย่หลางเชียนคุณได้รับบาดเจ็บอย่าหนัก


 


“นี่ข้าตาฝาดไปหรือไม่? ที่ได้เห็นหญิงสาวผู้นี้เป็นฝ่ายชนะเย่หลางเชียนคุน ถ้าหากหญิงสาวผู้นี้เป็นคนต่อสู้กับเย่หลางวู่จี้ จะไม่ง่ายกว่านี้เชียวหรือ?…”


 


“ความสามารถอันน่าโหดร้าย,ปิศาจ… นกชนิดเดียวกันมักอยู่ด้วยกันจริงๆ พวกเขาถือเป็นคู่ที่ดี ”


 


“อย่างที่ข้าได้กล่าวออกไป ไม่ต้องมีการต่อสู้อีกแล้ว เย่หลางวู่จี้พ่ายแพ้ ตระกูลเย่หลางได้รับความอับอายเสียแล้ว คู่รักคู่นี้อาจมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ ข้าอยากรู้จริงๆว่าใครเป็นผู้ฝึกฝนให้สองปิศาจคู่นี้ ”


 



 


เย่หลางเชียนคุนได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เขาไม่ได้ดูใส่ใจกับบาดแผลมากนัก เขายืนอยู่ด้วยความงืนงงโดยรักษาระยะห่างเอาไว้พร้อมกล่าวไปยังชิงสุ่ย “ทุกสิ่งทุกอย่างในก่อนหน้าให้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ตระกูลเย่หลางจะให้ความช่วยเหลือพวกท่านอย่างเต็มที่ในการก่อตั้งหอคอยจักรพรรดิในเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้ และให้ข้าได้ถามท่านหมอว่าท่านต้องการให้ข้าตามหาผู้ใด?”


 


“ให้พวกเขากลับไปก่อน พวกเราค่อยคุยกันหลังจากที่ลงไปข้างล่าง!” ชิงสุ่ยกล่าวก่อนที่จะเหินลงไปคฤหาสถ์ข้างล่างพร้อมอี่หวงกู่หวู๋


 


“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องต่อเอง ไม่ต้องพูดอะไรอีก”เย่หลางเชียนคุนกล่าวด้วยสีหน้าที่น่ากลัว


 


เมื่อผู้คนทั้งหลายกลับไป เย่หลางเชียนคุนจึงตามลงมา


 


“โปรดนั่งลงก่อน” ชิงสุ่ยเชิญให้เย่หลางเชียนคุนนั่งลง จุดยืนของพวกเขาเป็นเหมือนกับก่อนหน้าแล้วแต่ในตอนนี้ความรู้สึกต่างๆเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


 


ชิงสุ่ยหยิบรูปวาดออกมาพร้อมมอบให้เย่หลางเชียนคุน “ชายในภาพนี้คือคนที่ข้าต้องการตามหา”


 


เย่หลางเชียนคุนหยิบรูปวาดมาจากชิงสุ่ยและเมื่อเขาได้เห็นมัน เขามีความกระวนกระวายเล็กน้อย “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขามีความคล้ายคลึงกับท่าน ท่านกำลังตามหาเขาอยู่เช่นนั้นหรือ?”


 


“ใช่แล้ว ท่านจะช่วยข้าสืบเสาะเรื่องเขาได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงใจ


 


“ตระกูลเย่หลางคงไม่สามารถช่วยท่านหมอได้ในเรื่องนี้” เย่หลางเชียนคุนถอนหายใจและกล่าวออกมา


 


ชิงสุ่ยไม่ได้กล่าวหรือถามอะไรต่อเย่หลางเชียนคุนเกี่ยวกับบุคคลในภาพอีก ตระกูลอี่หวงเคยกล่าวไว้แล้วว่าเมืองหลวงของมหาทวีปไม่อนุญาตให้สืบเสาะเกี่ยวกับบุคคลนี้ ดังนั้นเขาทำได้เพียงแค่มองไปยังเย่หลางเชียนคุน


 


“มีคนกล่าวไว้ว่าเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มที่ทรงพลังแต่ข้าไม่รู้จริงๆว่าเขาเป็นใคร แม้ว่าข้าจะไม่สามารถช่วยท่านหมอได้ แต่มีตระกูลที่สามารถช่วยท่านได้อยู่ ตราบเท่าที่ท่านทรงพลัง เช่นนั้นท่านสามารถเดินทางไปหาตระกูลต่งเย่ได้ พวกเขาอาจช่วยให้คำตอบที่พึงพอใจแก่ท่านได้ แต่หากว่าท่านไม่แข็งแกร่งมากพอ ท่านไม่ควรเดินทางไปที่นั่น” เย่หลางเชียนคุนกล่าวเบาๆ


 


“ขอบคุณมาก ใช่แล้ว ท่านสามารถบอกเรื่องเกี่ยวกับตระกูลต่งเย่ให้ข้ารู้ได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยรู้สึกว่าตระกูลต่งเย่น่าจะมีจุดยืนไม่เหมือนใครในเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้


 


“เมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้มีกองกำลังที่เข้มแข็งอยู่และท่านอาจสามารถเข้าร่วมได้ในเร็วๆนี้ คนกลุ่มนี้ใช้ชื่อว่า “กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำ” และสถานะของตระกูลต่งเย่ในกลุ่มนี้ถือว่าไม่เลวเลย ตระกูลเย่หลางมีความใกล้ชิดกับตระกุลต่งเย่เป็นอย่างยิ่ง” เย่หลางเชียนคุนกล่าวออกไปโดยตรง


 


“ท่านรู้หรือไม่ว่าคนในตระกุลต่งเย่ที่ทรงพลังที่สุดอยู่ในระดับใด?” ชิงสุ่ยกล่าวถาม


 


“ข้ารู้มาว่าพวกเขามีผู้ฝึกยุทธในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสี่และขั้นห้าอยู่ และไม่รู้ว่ามีใครที่แกร่งกว่านี้อีกหรือไม่ ยิ่งอยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสูงเพียงใดยิ่งเสี่ยงต่อความล้มเหลวที่อาจพบเจอ ดังนั้นมีผู้คนอยู่น้อยมากที่สามารถก้าวผ่านเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจขั้นที่ห้าไปได้”


 


ปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นห้าไม่ได้อยู่ในความสนใจของชิงสุ่ยมากมาย เกราะทองคำวชิระสามารถช่วยให้ชิงสุ่ยสามารถป้องกันพลังที่เลวร้ายขั้นสุดได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชิงสุ่ยเป็นกังวลกลับเป็นเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์ต่างหาก มันช่วยให้ความสามารถของบุคคลๆนั้นแข็งแกร่งขึ้นได้ มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ชิงสุ่ยรู้สึกกังวล


 


ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมเยียนตระกูลต่งเย่เสียหน่อยแล้ว กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำคงจะทรงพลังอยู่ไม่น้อย พวกเขาอาจเป็นกลุ่มที่ตระกูลอี่หวงเคยกล่าวถึง แต่ไม่ว่าเขาจะเข้าร่วมกลุ่มนี้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเรื่องภายในกลุ่มนั้น


 


ถ้าจำเป็นจริงๆ เขาจะต้องเข้าร่วมกับพระราชวังจอมอสูร


 


ชิงสุ่ยมองไปยังทิศทางข้างนอกเมืองหลวงและคิดกับตัวเอง “รออีกหน่อย ข้าจะไปพบท่านในเร็วๆนี้ และคนผู้นั้นที่เป็นพ่อข้องข้า ท่านจะเป็นคนเช่นใดกัน?”


 


เย่หลางเชียนคุนจากไป ชิงสุ่ยไม่ทราบว่าจะมีผู้คนจากตระกูลเย่หลางมากอบกู้ชื่อเสียงอีกหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามความอับอายที่เย่หลางวู่จี้ได้รับไปเป็นเรื่องที่ดี มันไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปแต่มันขึ้นอยู่กับว่าเย่หลางวู่จี้จะมีอำนาจเพียงใดในตระกูลเย่หลาง


 


หลังจากบ่ายวันนั้น ผู้คนเริ่มมาเยี่ยมเยียนชิงสุ่ยมากขึ้น พร้อมเชิญชวนเขาไปยังตระกูลของตน ทุกๆคนต่างรับรู้ถึงพลังของชิงสุ่ยและหลายคนทราบถึงอิทธิพลของหอคอยจักรพรรดิในเมืองอี่หวง ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางมายังที่นี่


บทที่ 1380 – การตัดสินใจของตระกูลเย่หลาง,การเปิดตัวหอคอยจักรพรรดิ, ความเย็นชาและไร้ชีวิตชีวา


 


ชิงสุ่ยวางตัวไม่ให้สนิทหรือห่างเหินกับผู้คนที่เดินทางมาจนมากเกินไป แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่ผู้คนได้จัดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นมีผู้คนเชิญชวนเขาเยอะเกินไปและมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบรับทุกคน ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิเสธไปทั้งหมด


 


แม้ว่าชิงสุ่ยจะได้ปฏิเสธคำชวนของผู้คนมากมาย แต่ก็ยังบอกกล่าวพวกเขาให้เดินทางมาในวันที่หอคอยจักรพรรดิเปิดตัวและหวังว่าพวกเขาจะช่วยสนุบสนุนตน โดยปกติคนทั่วไปมักไม่ปฏิเสธอยู่แล้วแต่ในแง่ของการปฏิบัติจริงคงเป็นอีกเรื่อง


 



 


“พวกเจ้าได้ทำให้ตระกูลเย่หลางต้องอับอายแล้ว เจ้าเด็กนั่นสมควรถูกฆ่าจริงๆ”


 


ณ เวลานี้ในห้องโถงตระกูลเย่หลาง ชายชรากล่าวออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว สีหน้าของเขาดูน่ากลัว ผมสีขาวหิมะถูกเอาไว้โดยเชือกแบบหยาบๆ เขามีหน้าผากยื่นนูนออกมาและดวงตาของเขากำลังกระพริบด้วยความเร่าร้อน


 


ดูเหมือนว่าเย่หลางเชียนคุนจะเป็นเพียงผู้น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราคนนี้ เขากล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส เจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ แม้ว่าในวันนี้พวกเราจะต้องอับอาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่ายแพ้เสียทีเดียว พวกเราควรใช้โอกาสนี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาของพวกเรา ท่านเห็นว่าอน่างไร?”


 


“เชียนคุน ข้ารู้ว่าเจ้าระมัดระวังตัวมาโดยตลอดแต่ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ตระกูลเย่หลางของพวกเราอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้? เจ้าคาดว่าในอนาคตผู้คนจากตระกูลเย่หลางจะเชิดหน้าชูตาอยู่ได้อย่างไร? ผู้คนในกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำจะมองตระกูลเย่หลางอย่างไร?” ชายชรามองไปยังเย่หลางเชียนคุน


 


“ผู้อาวุโส เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่คนธรรมดาๆเลย ได้โปรดเชื่อข้าในครั้งนี้ อีกไม่นานตระกูลอื่นๆคงได้เผชิญหน้ากับเขาและต้องได้รับความเสียหายโดนเด็กคนนี้เป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลเย่หลางจะไม่รู้สึกอับอายอีกต่อไป” เย่หลางเชียนคุนพยายามอธิบาย


 


“เชียนคุน เจ้าทำให้พวกเราผิดหวังยิ่งนัก ข้าจะให้เจ้าขึ้นนำตระกูลเย่หลางด้วยสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?” ชายชราถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกมา


 


“ผู้อาวุโสท่านต้องเชื่อข้า สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าใครจะเป็นผู้นำตระกูลเย่หลางในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆคือการรักษามรดกของตระกูลไว้ ” เย่หลางเชียนคุนกล่าวด้วยความห่วงใย


 


“เอาล่ะ ข้าไม่มีอะไรจะต้องพูดอีกแล้ว เชียนหยวนไปจัดการเจ้าเด็กนั่นซะ เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่?  ชายชรามองไปยังเย่หลางเชียนคุนและกล่าวกับชายผู้ที่มีอายุน้อยกว่าเขาเล็กน้อย”


 


“ไม่มีปัญหาขอรับ ท่านผู้อาวุโส” ชายชรากล่าวด้วยความตื่นเต้น


 


“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ผู้คนจากตระกูลเย่หลางจะรับคำสั่งจากเจ้าโดยตรง ไม่ว่าเพราะเหตุใดก็ตามถ้าหากมีคนทำให้ตระกูลเย่หลางต้องอับอายเจ้าจะต้องเอาชีวิตมันมา ถ้าเจ้าจัดการกับปัญหานี้ได้ ตระกูลเย่หลางจะอยู่ในความดูแลของเจ้า จำเอาไว้ เจ้าต้องจัดการให้ได้ไม่ว่าวิธีการใดก็ตาม” ชายชรากล่าวจบก็ได้หายตัวไปในทันที


 


เย่หลางเชียนคุนถอนหายใจพร้อมส่ายศีรษะ เขาได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงถึงจุดยืนของตนเองแล้ว เหตุใดเรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้?  ตระกูลเย่หลางจะผ่านการทดสอบในครั้งนี้ไปได้หรือไม่?


 


เย่หลางเชียนคุนเดินออกไปข้างนอกโดยลำพัง แผ่นหลังของเขาให้ความรู้สึกอ้างว่าง เย่หลางเชียนหยวนมองไปยังเย่หลางเชียนคุนจนเงาของเขาเลือนหายไป เขายิ้มขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ


 


“ยินดีด้วย ท่านพี่”


 


“ยินดีด้วย ท่านพ่อ”


 



 


เย่หลางเชียนหยวนรู้สึกดีใจเป็นที่สุด เขาไม่ได้คาดหวังอีกแล้วหลังจากที่รอมาเนินนาน ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้รับตำแหน่งผู้นำของตระกูล ตราบเท่าที่เขาสามารถจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี


 


อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าเย่หลางเชียนคุนไม่ใช่คนอ่อนแอ แม้ว่าท้ายที่สุดเขาจะได้รับความพ่ายแพ้กลับมา ดังนั้นเขาจะต้องระมัดระวังปัญหานี้เป็นพิเศษ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะต้องจบเรื่องนี้ให้ได้ ผู้อาวุโสได้กล่าวเอาไว้แล้วว่าไม่ต้องสนวิธีการทั้งสิ้น


 


เมื่อเขาได้รับโอกาสที่ดีเช่นนี้มาแล้ว เขาจะต้องกำมันไว้ให้ให้แน่นที่สุด


 



 


เรื่องก็คือตระกูลเย่หลางได้ทำให้ชิงสุ่ยและพรรคพวกกลายเป็นที่สนใจไปเสียแล้ว ผู้คนมากมายรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขาและเมื่อชิงสุ่ยรับรู้ถึงสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงได้ตัดสินใจดำเนินการทันใด


 


เปิดตัวหอคอยจักรพรรดิ!


 


การเปิดตัวหอคอยจักพรรดิจึงมีความกะทันหันขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ชิงสุ่ยได้เตรียมป้ายและสิ่งต่างๆไว้เนิ่นนานแล้ว รวมถึงการตกแต่งภายในที่เสร็จเรียบร้อย อีกทั้งยังมีบริวารที่เหมาะสมสำหรับร้านค้าแล้ว


 


สิ่งต่างๆดำเนินไปด้วยดีด้วยเงินทอง ดังนั้นเขาไม่อยู่ในจุดที่ลำบากในการดำเนินงานนัก คนที่เดินทางมาก่อนไม่เพียงแค่รักษาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่านั้นแต่ยังรวมถึงยารักษาอีกด้วย


 


คฤหาสถ์ของตระกูลเทียนฮี่อยู่ในจุดทำเลที่ดีและมีผู้คนมากมายเข้ามาเยี่ยมชนงานเปิดตัวของชิงสุ่ย เมื่อชิงสุ่ยได้พบสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกเขารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีร้านสมุนไพรหลากหลายชนิดเปิดขายในบริเวณใกล้เคียง สิ่งเหล่านี้ทำให้ชิงสุ่ยสะดวกสบายยิ่งขึ้น


 


ชิงสุ่ยเขียนกฏของหอคอยจักรพรรดิไว้อย่างชัดเจน  ในวันแรกชิงสุ่ยและหยวนสู่ช่วยกันรักษาคนไข้ ชิงสุ่ยดูแลคนไข้ชายส่วนหยวนสู่เป็นคนดูแลคนไข้หญิง พวกเขาต่างมีห้องส่วนตัวในการรักษา ส่วนงานของอี่หวงกู่หวู๋ก็คือการดูแลให้สถานที่แห่งนี้มีความปลอดภัย อีกทั้งหอคอยจักรพรรดิยังมีการคัดเลือกผู้ฝึกยุทธมาเป็นผู้รักษาความปลอดภัยให้กับคฤหาสถ์อีกด้วย


 


“หลบไป ใครอนุญาตให้เจ้ามาทำกิจการที่นี่?”


 


มีน้ำเสียงที่ไม่พอใจดังขึ้นและฝ่ากลุ่มของฝูงชนตรงมาหาชิงสุ่ย


 


แม้ว่าชิงสุ่ยจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากเรื่องเกี่ยวกับตระกูลเย่หลาง แต่ผู้คนก็ยังรู้จักเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ด้วยความสัตย์จริงมีผู้คนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่รู้เรื่องของชิงสุ่ย


 


ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะพบกับปัญหาเมื่อเปิดดำเนินการกิจการ


 


ชิงสุ่ยชะเง้อหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมมองไปยังกลุ่มชายหนุ่มสิบคนข้างหน้าเขา ผู้คนที่เป็นผู้นำมีรูปร่างอ้วนท้วน คนอ้วนส่วนมากมักให้ความรู้สึกเรียบง่ายและมีความซื่อสัตย์แตกต่างจากชายผู้นี้ เขาไม่ได้ดูเรียบง่ายและมีท่าทีซื่อสัตย์แม้แต่น้อย เขามีท่าทีเย็นชาและไร้ชีวิตชีวา


 


“เขาคือเจ้าอ้วนหลิงฮู อะไรทำให้เขาเป็นบ้าในวันนี้? เหตุใดเขาชอบมีปัญหากับพวกหมออยู่เรื่อย?”


 


“เป็นเพราะอาการเจ็บป่วยของเขาต้องแย่ลงเพราะพวกหมอ ในอดีตเขาเป็นยอดยุทธที่เป็นที่รู้จักที่สุดในตระกูลหลิงฮู ในอดีตเขาไม่ได้อ้วนท้วนขนาดนี้ แต่ดูเขาในตอนนี้สิ” เมื่อกล่าวออกมา ชายผู้พูดถึงกับถอนหายใจ


 


“ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเจ็บป่วดด้วยโรคใด?”


 


“ข้าไม่ทราบเช่นกัน ผู้ที่เป็นต้นเหตุล้วนตายไปหมดแล้ว”


 


ผู้ที่กล่าวถามถึงกับหยุดชะงักและไม่ได้กล่าวอะไรอีก


 



 


“ข้าไม่ต้องได้รับอนุญาติจากใครเพื่อดำเนินกิจการทั้งสิ้น ได้โปรดอย่ารบกวนการรักษาผู้ป่วยของข้า”


 


“ใช่แล้ว เขาคือท่านหมอเทวดาและเขาให้การรักษาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในวันนี้”


 


“ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย? หมอเทวดา? พวกเจ้าเคบพบหมอเทวาคนใดที่ให้การรักษาฟรีเช่นนั้นหรือ? เขาเป็นเพียงนักต้มตุ๋น! นักต้มตุ๋นที่สามารถสังหารผู้คนได้โดยไม่ต้องเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว” เจ้าอ้วนตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยวเป็นพิเศษ


 


“เจ้าไม่ชอบพวกหมอเป็นเพราะเพียงคนๆหนึ่งได้ทำไม่ดีไว้กับเจ้า และหมอเหล่านั้นที่รักษาเจ้าสมควรได้รับความตาย ถ้าหากข้าเป็นเจ้า ข้าก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน” ชิงสุ่ยมองไปยังเจ้าอ้วนและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


เจ้าอ้วนตอบกลับ “เจ้าเป็นใคร? เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”


 


ชิงสุ่ยยิ้มออกมา “จริงๆแล้วผู้คนมากมายต่างทราบเรืองพวกนี้อยู่แล้วเพียงแค่พวกเขาไม่พูดออกมา ข้าอยากรู้ว่าเจ้าอยากกลับไปเป็นเจ้าในอดีตอีกหรือไม่?”


 


ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความสุภาพทำให้เจ้าอ้วนถึงกับตัวสั่น เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าทำไมต้องเชื่อชายหนุ่มผู้หล่อเหลาคนนี้ด้วย อาจเป็นเพราะนักต้มตุ๋นคนนี้พูดย้อนไปยังเรื่องในอดีตถึงความเป็นจริงที่หมอทั้งหลายได้ทำกับเขาไว้ เจ้าอ้วนได้สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวหมอจนกลายเป็นเกลียดชัง อย่างไรก็ตามความต้องการที่มีของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง


 


เขาต้องการที่จะปฏิเสธกลับไปแต่ความรู้สึกที่ชิงสุ่ยได้มอบให้ทำให้รู้สึกน่าเชื่อถือ หลังจากที่ได้พบหมอมามากมายไม่เคยมีใครเลยที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ ยิ่งไปกว่านั้นชิงสุ่ยยังเป็นคนแรกที่ให้การรักษากับคนจนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นเพราะแผ่นป้ายที่เขียนไว้อย่างชัดเจน


 


แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่ใช่คนจน เขาก็รู้สึกชมเชยผู้คนที่กล้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่าคนๆนี้คงเป็นหมอเทวดาที่ต้องการช่วยคนยากจนจริงๆ ผู้คนทั้งหลายต่างรอคอยหมอที่จะรักษาพวกเขาด้วยจิตใจที่เมตตา เพื่อช่วยคนที่กำลังจะตายหรือได้รับบาดเจ็บ และหมอไม่ควรจะเป็นคนที่ฆ่าผู้อื่นเพียงเพราะแค่ชื่อเสียงของตนเอง


 


เจ้าอ้วนพยักหน้ารับ


 


“เช่นนั้นเจ้ากลับไปพร้อมพรรคพวกเสียก่อนและเดินทางมาที่นี่อีกครั้งในภายหลัง เจ้าต้องเชื่อใจในตัวข้า” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสุภาพและไม่ได้สนใจเจ้าอ้วนอีก


 


เจ้าอ้วนพยักหน้าและเดินจากไป เขาได้กล่าวขอโทษผู้คนที่ได้มีการกระทบกระทั่งกับเขาในก่อนหน้า ผู้คนเหล่านี้ที่ต่างถูกผลักออกไปอยู่รอบนอกตัวเขา


 


ชิงสุ่ยเห็นด้วยกับการกระทำของเจ้าอ้วน เหตุผลที่ชิงสุ่ยต้องการช่วยเขาเป็นเพราะเขาได้พบกับเรื่องราวต่างๆมามากมาย ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนเลวร้าย เป็นเพราะได้ยินคำพูดต่างๆนาๆจากฝูงชน


 


ตระกุลหลิงฮูจากเมืองหลวงของมหาทวีปถือเป็นตระกูลที่ทรงพลังเช่นกัน เหตุที่ชิงสุ่ยตัดสินใจรักษาให้เจ้าอ้วนไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนของจากตระกูลหลิงฮู ชิงสุ่ยไม่มีทางก้มหัวให้กับตระกูลใดทั้งสิ้น


 


ในเวลาไม่นานนักจำนวนผู้ป่วยได้ลดลงไปมาก ในเวลานั้นมีตระกูลหลายตระกูลที่เคยเชิญชวนชิงสุ่ยในก่อนหน้าต่างเข้ามาแสดงความยินดีและมอบของขวัญให้กับชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยต้องการคงระเบียบของหอคอยจักรพรรดิไว้ให้เหมือนกับอาณาจักรอี่หวง แต่เมื่อเขามาตั้งอยู่ในต่างถิ่นแล้ว เขาสร้างข้อกำหนดสำหรับบุคคลที่เขาจะไม่ให้การรักษาเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกอึดอัด


 


อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยยังมีข้อกำหนดวางไว้ พวกคนจนถูกต้อนรับเป็นอย่างดีแต่สำหรับคนบางกลุ่มกลับรู้สึกไม่สบายใจกับข้อกำหนดเหล่านี้ เขาจะไม่รักษาให้กับคนรวยที่ไร้เมตตา คนที่มีชือเสียงในทางเลวร้าย คนที่หยิ่งยโส ผู้คนที่ไม่น่าเชื่อถือ ผู้คนที่ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่…


 


เขาหมายถึงสิ่งใดกับผู้คนที่ไม่น่าเชื่อถือ? และผู้คนที่ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่… หากชิงสุ่ยไม่ต้องการรักษาให้พวกเขา เขาเพียงอ้างว่าทำตัวไม่น่าเชื่อถือหรือไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ ดังนั้นผู้คนมากมายต่างกล่าวสาปแช่งชิงสุ่ย


 


“มีเรื่องแบบนี้บนโลกด้วยหรือ? เขาคิดหรือไงว่าตนเองเป็นหมอเทวดาจริงๆ? กลับกันเถอะ ข้าจะไม่สนับสนุนคนเช่นนี้”


 


“กลับกันเถอะ เจ้าทำตัวราวกับเป็นเทพเจ้า เหตุผลที่พวกเรามาที่นี่เพาะคิดว่าเจ้าเป็นคนดี เจ้าไม่รู้ถึงจุดยืนของตนเองและคิดว่าตัวเองสูงส่งเพียงใด”


 


“ข้าหวังว่าทักษะทางการแพทย์ของเจ้าจะช่วยแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมของกฏที่เจ้าตั้งเอาไว้ได้”


 



 


ผู้คนมากมายต่างเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและความโอหัง ชิงสุ่ยแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อคนรวยและคนที่ถือตัวทำให้ผู้คนมากมายต่างรู้สึกอึดอัด เป็นเพราะพวกเขารู้ตัวว่าตนเองรวยเพียงใดและมีคนหยิ่งยโสในตระกูลตนเองมากมาย อย่างไรก็ตามชีวิตของผู้คนก็ดำเนินไปเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติที่คนพวกนี้จะหยิ่งยโสและถือตัว พวกเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากมาย อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงรู้สึกไม่พอใจเมื่อได้ยินคนกล่าวถึงในแง่นี้


 


พวกเขามีท่าทีต่อต้านต่อกฏที่ชิงสุ่ยได้วางไว้และไม่เดินทางมายังหอคอยจักพรรดิ กิจการที่ดูเหมือนจะคึกคักกลับต้องเงียบงันลงเล็กน้อย อย่างน้อยที่สุดมันก็มีความต่างกับการเปิดตัวกิจการของตระกุลอื่นๆ


 


ผู้คนที่ร่ำรวยและผู้คนจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่มักรู้สึกไม่เต็มใจเมื่อทำให้ถูกขายหน้า เมื่อชิงสุ่ยแสดงท่าทีต่อพวกเขาเช่นนี้ ถ้าหากเขายังสนับสนุนชิงสุ่ย พวกเขาจะไม่ได้รับความอัปยศเช่นนั้นหรือ? ดังนั้นผู้คนมากถึงเก้าในสิบส่วนต่างเดินจากไป


 


ชิงสุ่ยไม่ได้สนใจหรือทุกข์ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในทางกลับกันเขารู้สึกมีความสุข ผู้คนที่มาแสดงความยินดีต่างได้รับเหรียญจากหอคอยจักรพรรดิ ในอนาคตพวกเขาสามารถนำเหรียญเหล่านี้มารับการรักษาฟรีได้โดยไม่มีเงื่อนไข


 


แม้ว่าผู้คนจะไม่รู้ถึงค่าของเหรียญในตอนนี้ แต่คงไม่นานนักผู้คนที่เดินทางกลับไปก่อนจะต้องแสดงถึงความเสียใจ และในเวลาต่อมา เหรียญเหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าและไม่มีใครต้องการที่จำนำมันออกมาขาย


 


ในเวลานั้นเจ้าอ้วนปรากฏตัวขึ้นเพียงคนเดียว เขาไม่ได้จากไปแต่กลับรออยู่ห่างๆ ชิงสุ่ยรู้เรื่องมาสักพักแล้ว


 


“ท่านหมอ ตอนนี้ท่านยังไม่ว่างใช่หรือไม่”หลิงฮูตุ่ยกล่าวด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย


 


“มาสิ เข้ามาข้างในก่อน”


 


“ชิงสุ่ยปิดประตูหอคอยจักรพรรดิและเดินเข้าไปข้างใน”


 


เมื่อชิงสุ่ยกำลังเดินเข้าไปก็ได้คิดถึงเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง ถ้าหากผู้ชายไม่มีความมุ่งมั่นมากพอก็ไม่ควรได้รับอะไรดีๆต่อตนเอง นี่เป็นวิธีทดสอบเจ้าอ้วนหลิงฮู


 


เส้นลมปราณเทียนหยางของเขาได้รับความเสียหาย!


 


คำพูดของชิงสุ่ยทำให้หลิงฮูตุ่ยสั่นสะท้าน เป็นเพราะเขารู้ถึงสภาพของตนเองดี เขากลัวชิงสุ่ยจะกล่าวว่าอาการของเขาไม่สามารถรักษาได้


บทที่ 1381 – หลิงฮู ตุ่ย รูปแบบเต่าสีทองผงาด 8 ทิศ การต่อสู้


 


หลิงฮู ตุ่ย รู้สึกกังวลในสิ่งที่ชิงสุ่ยจะพูด แต่เขาเองก็คิดว่าชิงสุ่ยอาจจะพูดเช่นนี้


 


สำหรับบุรุษที่ที่ไร้สมรรถภาพของบุรุษนั้นต้องใช้ชีวิตอยู่โดยไร้ความหวังว่าจะหายเป็นปกติ และชิงสุ่ยก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี


 


“ข้าสามารถรักษาอาการนี้ได้ด้วยการเชื่อมจุดลมปราณ”ชิงสุ่ยอธิบาย เขาไม่อยากปล่อยให้หลิงฮู ตุ่ยต้องทรมาน แต่อยากให้อีกฝ่ายให้คำตอบเขาทันที


 


การเชื่อมต่อจุดลมปราณที่ขาดออกจากกันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นอกเสียจากการรักษาอย่างง่าย ๆ แต่ก็มีโอกาสทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตได้ และถ้าเป็นโลกก่อนหน้า เวลามีใครอ้างว่าสามารถรักษาโรคที่ไม่น่าจะหายได้นั้น คงต้องมีคนคิดว่าเขาบ้าแน่ ๆ


 


อีกฝ่ายรู้ว่าชิงสุ่ยไม่ได้โกหก เขาอาจจะหายดีและกลับไปฝึกฝนได้เหมือนเมื่อก่อน แต่อาจมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ถึงอย่างนั้นก็คุ้มที่จะลองดู เขาก็ดูคนออก และรู้ว่าชิงสุ่ยไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเขา เพียงแต่เขาแค่ไม่เข้าใจว่าชิงสุ่ยจะอยากช่วยตนไปทำไม


 


“ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะช่วยได้จริงหรือ?”หลิงฮู ตุ่ยถาม เขาตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่


 


“ข้าสามารถรักษาท่านได้ทันที แล้วอาการของท่านจะดีขึ้นในวันถัดไป”ชิงสุ่ยยิ้ม ก่อนจะหยิบเข็มทองออกมา


 


เข็มแห่งความชีวิตและความตายของชิงสุ่ยจะถูกนำมาใช้เฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น นอกจากจะนำไปช่วยคนยังใช้สังหารได้อีกด้วย


 


หลิงฮู ตุ่ย ไม่พูดอะไรอีก เขาแค่รอการรักษาจากชิงสุ่ยอย่างใจจดใจจ่อ


 


เส้นลมปราณเทียนหยาง ของหลิงฮู ตุ่ยขาดสะบั้นจนเขาไม่สามารถใช้งานท่อนล่างได้อย่างบุรุษทั่วไป ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนจนแข็งแกร่งเท่าไร แต่หากไร้ความสามารถของชายชาตรี เขาก็ไม่มีความสุข ดังนั้นการได้กลับมาเป็นชายธรรมดาคือสิ่งที่เขาปราณนาเสียยิ่งกว่าพลัง


 


สำหรับบางคน เมื่อฝึกฝนจนถึงระดับสูง ๆ อาการของพวกเขาอาจจะดีขึ้น ดังนั้นจึงมีคนบางกลุ่มใช้วิธีเช่นนี้เพื่อกระตุ้นให้สมาชิกฝึกฝนจนถึงขั้นสูง ๆ แม้ผลลัพธ์ที่ได้จะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่การมีชีวิตโดยไร้เรื่องบนเตียงนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาอยากใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ที่ฝึกฝนและเกิดการก้าวข้าม โดยที่ท่อนล่างยังใช้การได้


 


แม้การฝึกฝนของหลิงฮู ตุ่ยจะหยุดชะงัก แต่พื้นฐานของเขายังดีอยู่ เช่นเดียวกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่มีไฟขึ้น เขาสามารถกลับไปเป็นเหมือนอดีตและเอาชนะตัวเอง เขาเผชิญความทรมานมานานแล้ว หากชิงสุ่ยรักษาเขาได้ ก็เท่ากับว่าเขาได้รับชีวิตใหม่


 


การรักษาใช้เวลาไม่นาน ด้วยความสามารถของชิงสุ่ย เขาสามารถหายเป็นปกติได้ หลิงฮู ตุ่ย รู้สึกทันทีว่าหายแล้ว แม้จะเคยพบเจอหมอมากมาย แต่ก็ไม่มีใครรักษาเขาได้


 


หลิงฮู ตุ่ยตื่นเต้นที่เขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หัวใจของเขาเต้นเร็วเหมือนจะหลุดออกมาจากอก สำหรับทุกคนนั้น..สิ่งที่เคยหายไป ถ้าได้กลับคืนมาอีกครั้ง สิ่งนั้นจะกลายเป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว


 


ความร้อนแผ่ซานในตัวของเขา ในส่วนที่เคยไร้ความรู้สึกมาหลายปี บัดนี้ร้อนผ่าว เขาเริ่มมั่นใจในตัวของชิงสุ่ยมากขึ้น


 


ไม่เพียงเท่านั้นพลังในตันเถียนของเขาเริ่มก่อตัว เพราะจุด เส้นลมปราณเทียนหยาง เป็นช่องลมปราณสำคัญ หากเกิดความเสียหายย่อมส่งผลต่อการฝึกฝน ซึ่งถือว่า เส้นลมปราณเทียนหยางนั้นมีความสำคัญพอ ๆ กับ เส้นลมปราณเญิ่นและเส้นลมปราณตูเลยทีเดียว


 


เมื่อเข็มทองฝังลงไปในผิว  หลิงฮู ตุ่ยตระหนักได้ว่าช่วยล่างของเขาเริ่มตื่นตัว เขาไม่ได้รู้สึกอับอายแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับประหลาดใจ เพราะร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ  และร่างของเขาค่อย ๆ เล็กลง


 


“ตอนนี้ท่านสามารถใช้งานช่วงล่างได้ปกติแล้ว”ชิงสุ่ยบอก


 


“เจ้าเป็นหมอที่วิเศษมาก แต่ทำไมเจ้าถึงช่วยรักษาข้าล่ะ?” หลิงฮู ตุ่ยถาม เขาทั้งสงสัยและมีความสุขในเวลาเดียวกัน


 


“ไม่มีเหตุผลหรอก เอาล่ะ..ตอนนี้เวลาก็ผ่านมามากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”ชิงสุ่ยยิ้ม


 


“ท่านหมอ ท่านคือคนที่ให้ชีวิตแก่ข้า ข้าจะพยายามอีกครั้งเพื่อกู้ชื่อเสียงของตระกูลหลิงฮูกลับมา ถ้าท่านต้องการให้ข้าช่วยอะไร แม้จะลำบากเพียงใด ข้า หลิงฮู ตุ่ย จะสู้สุดความสามารถ!”หลิงฮู ตุ่ยให้คำมั่น คำพูดของเขานั้นล้วนจริงใจ


 


ชิงสุ่ยได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร บางอย่างที่ไม่สามารถพูดได้แต่สื่อออกมาด้วยคำพูด ก่อนหน้านั้นเขายอมรับในการตัดสินใจของหลิงฮู ตุ่ย  เพราะอีกฝ่ายพูดออกมาอย่างจริงใจและไม่ได้พยายามเอาใจชิงสุ่ย แต่จริง ๆ แล้วชิงสุ่ยก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเขาเท่าไรเพราะเขาไม่อยากพึ่งพาใคร แต่ถ้า “เพื่อน” ออกปากจะช่วยเขา เขาก็ยินดีรับไว้เสมอ


 


หลิงฮู ตุ่ย จากไป ก่อนชิงสุ่ยจะพูดขึ้น “ หวู่เอ๋อดูแลแม่นางซูด้วย ข้าจะออกไปข้างนอกสักพัก”ชิงสุ่ยพูดและจากไป


 


เมื่อยืนกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ชิงสุ่ยมองไปรอบ ๆ และกล่าว “ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี้ ก็ไม่ต้องหลบซ่อนอีกแล้ว ออกมาซะ!”


 


แม้ชิงสุ่ยจะพูดจบแล้วแต่ก็ไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ ไม่มีใครออกมา ชิงสุ่ยไม่ได้พูดอะไร แต่เขาหยิบเหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปีและขว้างไปที่กลุ่มเมฆสีดำ


 


ติ๊ง!


 


เสียงปะทะสะท้อนออกมาจากระยะไกล เสียงนั้นดังชัดเจนทำลายความเงียบงัน ก่อนร่างหนึ่งจะออกมา แม้พลังร่างกายของชิงสุ่ยจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่อาวุธลับที่เขาใช้นั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับหนึ่งก็อาจบาดเจ็บเพราะสิ่งนี้


 


หลังจากพวกนั้นปรากฏตัว ชิงสุ่ยเห็นคนราว ๆ สิบคน พวกเขาสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ ซึ่งไร้สัญลักษณ์ ชิงสุ่ยมองดูดวงตาพวกเขาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารนั้น


 


“ลงมือ! ฆ่ามัน!”


 


เสียงทุ้มต่ำสั่ง ก่อนคนนับสิบจะพุ่งตัวเข้าหาชิงสุ่ย ชิงสุ่ยนิ่ง..แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ที่นี้คนที่อยากจะจัดการเขาก็คงมีแต่ตระกูลเย่หลาง แต่เย่หลาง เชียนคุนก็น่าจะเป็นคนที่ผิดคำพูด


 


ชิงสุ่ยหยุดคิดก่อนจะพุ่งไปหาอีกฝ่าย


 


ทักษะย่างก้าว 9เทวา!


 


กฏแห่งพระราชวังเก้าเทวา!


 


ชิงสุ่ยมีพลังมากกว่าทั้งการควบคุมและด้านพลัง


 


ทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์!!!


 


ปราณจักรพรรดิ!


 


ชิงสุ่ยไม่ยั้งมืออีกต่อไป


 


วชิระไร้เงา!


 


เงาของชิงสุ่ยเคลื่อนไหวไปตรงหน้าของอีกฝ่าย แล้วใช้แส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่ม จะฟาดไปที่หัวของศัตรู


 


เพี๊ยะ!


 


แม้จะมีพลังป้องกันจากเกราะอสูรสำแดง แต่นั้นก็ไม่สามารถต้านทานได้เพราะก็คือพลัง ยิ่งกว่านั้น แส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่ม ของชิงสุ่ยสร้างมาจากเปลงเพลิงขั้นแรกเริ่ม หลังจากคนพวกนั้นพลังลดลงจนเหลืออยู่ที่อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับสองต้น ๆ พวกที่พลังลดลงมาก ๆ ก็ลดระดับไปจนถึง อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับหนึ่ง


 


ฆ่าทันที!!!


 


“สร้างรูปแบบค่ายกล!”


 


ชิงสุ่ยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก เขาฆ่าอีกฝ่ายไปหนึ่งคน ก่อนศัตรูของเขาจะรีบเข้าไปในรูปแบบทันที


 


คนเกือบสิบคนเข้าไปรูปแบบที่มีรูปร่าง 8 ทิศ ในวงนั้นเปล่งแสงอ่อน ๆ ปกคลุมพวกเขา


 


รูปแบบเต่าสีทองผงาด 8 ทิศ!


 


เมื่อชิงสุ่ยเห็นรูปแบบนั้น เขาก็ตะลึง เพราะนั่นคือเต่ายักษ์ที่มีขนาดหลายร้อยเมตร มันกำลังปลดปล่อยแสงสีทองจนร่างของมันดูเหมือนภูเขาลูกเล็ก ๆ


 


ก่อนพลังของอีกฝ่ายจะเพิ่มขึ้นสามเท่า..


 


สำหรับบางรูปแบบ ใช้คนต่างกันก็อาจดึงพลังของรูปแบบที่ต่างกันออกมา รูปแบบนี้ทำให้อีกฝ่ายรวมตัวเป็นหนึ่ง และพลังเพิ่มขึ้นเกือบถึง 14 ล้านสุริยะ ซึ่งเป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนแรก


 


ชิงสุ่ยมีเกราะเขาจึงไม่มีปัญหาในการป้องกัน อีกทั้งเขายังมีลูกประคำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์และหุบเขา 9 เทวา ดังนั้นเขาก็ไม่กังวล เพียงแต่ชิงสุ่ยต้องใช้เวลาเพื่อทำลายรูปแบบ


 


คุณสมบัติเด่น ๆ ของรูปแบบจำพวกเต่าคือพลังป้องกันที่สุดยอด และไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะทำลาย อีกทั้งเต่าทองยักษ์นั้นคงไม่ยอมให้เขาโจมตีฝ่ายเดียวแน่


 


ฟาดแส้!


 


ชิงสุ่ยใช้ ฟาดใส่กระดองเต่าทองที่สร้างจากพลังปราณ เสียงแตกหักดังขึ้น แต่ก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร


 


พลังดูด!


 


เต่าทองยักษ์อ้าปากกว้าง หัวของมันยืดออกมาจนเหมือนงู พลังประหลาดทำให้ชิงสุ่ยถูกดูดเข้าไปที่ปากของมัน


 


ชิงสุ่ยไม่อยากเสี่ยง เขารีบใช้หุบเขา 9 เทวา พุ่งไปยังปากของเต่าทอง ชิงสุ่ยใช้โอกาสหลบหนี เขาไม่กังวลเท่าไรนัก


 


กฏแห่งพระราชวังเก้าเทวา!


 


หุบเขา 9 เทวา!


 


โจมตี!


 


ตราประทับซวนเทียน!


 


แม้ตราประทับซวนเทียนยังไม่แข็งแกร่งเท่าไร แต่ก็มีพลังที่น่ากลัวกว่าตอนแรก ตราประทับซวนเทียนเกิดการก้าวข้ามจนมีพลังไม่ธรรมดา อย่างน้อยในตอนนี้มันน่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง


 


จู่ๆชิงสุ่ยก็นึกถึงเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด พลังในการรัดตรึงและความยืนหยุ่นของมันก็แข็งแกร่ง บางทีเขาอาจจะใช้เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดจับกุมเต่าทองไว้?


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือด!


 


ความเร็วของเต่าทองลดลงเพราะกฏแห่งพระราชวังเก้าเทวา จริง ๆ สัตว์อสูรประเภทเต่าก็ไม่ค่อยมีความเร็วเท่าไรอยู่แล้ว แต่ก็มีเต่าบางสายพันธุ์ที่มีความเร็ว อย่างเช่นเต่าสายฟ้า…


 


รวมถึงเต่าเฒ่าที่อยู่กับประมุขอสูรก็น่าจะเป็นอีกตัวที่มีพลังความเร็วมหาศาล..


 


ตูม!


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดปล่อยพลังระเบิดออกมาและทันใดนั้น ฝุ่นผงที่กระจายออกมาก็ทำให้ยากที่จะหายใจ เป็นความรู้สึกที่ทรมาน


 


พลังปราณของเต่าทองนั้นถูกเถาวัลย์ตรึงไว้ เถาวัลย์พุ่งออกไปจากกลุ่มควันและรัดตัวของเต่าทองไว้ แม้หนามแหลมของมันไม่สามารถทำอันตรายคู่ต่อสู้ได้ แต่ความรู้สึกแห่งโลหิตที่ออกมาจากเถาวัลย์นั้นก็ทำให้อีกฝ่ายกลัวจนตัวสั่น


 


เมื่อเห็นว่าเถาวัลย์รัดตัวเต่าทองไว้สำเร็จ ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุข อย่างน้อยเขาก็จะได้ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีพลังระดับเท่ากันได้ เพราะอย่างไรแล้ว วชิระจู่โจมแห่งเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระ สามารถใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว อย่างตอนนี้พลังของมันสามารถต่อสู้กับเต่าสีทองได้ เขาสงสัยว่าวชิระจู่โจมจะได้ผลไหม?


 


คงต้องลอง..


 


เมื่อชิงสุ่ยคิดเช่นนั้น เขาก็ไหลเวียนพลังโดยไม่ลังเลและโจมตีด้วยทักษะวชิระจู่โจม


 


ชิงสุ่ยสัมผัสได้ว่าในจุดตันเถียนกำลังเคลื่อนไหวไปมาเช่นเดียวกับที่เขากำลังกวัดแกว่งระบี่ดารายุพฆาต ก่อนกระบี่ยาวเจ็ดสี่จะพุ่งไปทางเต่าสีทองที่ถูกรัดด้วยเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด พลังที่น่ากลัวนั้น..


 


ชิงสุ่ยยิ้ม การโจมตีครั้งนี้จะต้องปะทะกับอีกฝ่ายแน่..


 


ตูม!


 


แม้กระบี่นี้ไม่สามารถผ่ากระดองของเต่ายักษ์ออกจากกันได้ แต่แสงสีทองจากกระดองนั้นเริ่มหรี่ลง อีกทั้งตัวของเต่ายักษ์ก็สั่นสะท้าน


บทที่ 1382 – สังหารทุกคน หลิงฮู ยู กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำที่ยิ่งใหญ่


 


ทักษะวชิระจู่โจมปะทะกับศัตรูอย่างแน่นอน 100% ชิงสุ่ยดีใจ ยิ่งกว่านั้นพลังของมันยังแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้ ทักษะวชิระจู่โจม คล้ายกับการโจมตีที่สามารถทลายการป้องกันได้ เพราะพลังของมันตอนนี้น่าจะรับมือกับเต่าทองได้


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดยังคงรัดเต่าทอง และค่อย ๆ ลดพลังของมัน ชิงสุ่ยไม่ได้เรียกหมูป่านักล่าสมบัติ แต่เขาใช้กฏแห่งพระราชวังเก้าเทวาและตัวช่วยอื่นๆ เพื่อลดพลังอีกฝ่าย


 


เขารู้ว่าคนพวกนั้นไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแน่


 


ตอนนั้นเอง ชิงสุ่ยใช้ทักษะบางอย่างเพื่อเพิ่มแรงกดดัน พลางควบคุมเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด เคล็ดพลังศักดิ์สิทธิ์กลั่นหลอมเบญจธาตุมีอำนาจท้าทายพลังสวรรค์จริง ๆ เพราะมันช่วยให้ของวิเศษชิ้นอื่นแข็งแกร่งขึ้น


 


กระบี่ทองคำ!


 


นี่เป็นการโจมตีที่ชาญฉลาด เมื่อไหลเวียนพลังถึงขั้นสูงสุด ก็สามารถทำลายทุกอย่างได้ การโจมตีนี้คือการใช้เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดและพลังจากเคล็ดพลังศักดิ์สิทธิ์กลั่นหลอมเบญจธาตุ กระบี่สีทองต้องการพลังเพื่อโจมตีอีกฝ่ายผ่าน เถาวัลย์อสูรกระหายเลือด


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดของชิงสุ่ยได้กลายพันธุ์มาครั้งหนึ่ง จึงไม่ง่ายที่จะตัดมันให้ขาด แต่เขาก็หวังลึกๆว่าจะสำเร็จ  ชิงสุ่ยเพ่งสมาธิไปที่กระบี่สีทองแทน


 


ตั้งแต่ชิงสุ่ยได้หมูป่านักล่าสมบัติ ชิงสุ่ยคิดว่าเขาไม่จำเป็นตึกใช้กระบี่สีทองเพราะพลังของ หมูป่านักล่าสมบัติ แข็งแกร่งกว่า กระบี่สีทอง แต่เขาก็อยากใช้ เถาวัลย์อสูรกระหายเลือด เพื่อรัดตัวไม่ให้เป้าหมายขยับได้ ถ้าเป็น หมูป่านักล่าสมบัติ คงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ และความเร็วของพวกมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตหลังจากกลายเป็น อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ ที่ระดับสูงกว่าตอนนี้ พลังของมันคงยิ่งน่ากลัว


 


อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยตัดสินใจว่าจะฝึก กระบี่สีทอง ความเร็วของมันไร้เทียมทานและความคมของกระบี่สีทอง ก็ไร้สิ่งใดเปรียบได้ การฆ่าคนเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย หมูป่านักล่าสมบัติสามารถเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณและช่วยเขาจัดการสัตว์อสูรตัวอื่นได้


 


รูปแบบ 9 ดาราคล้อย 9 สวรรค์และอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยทำให้เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดแข็งแกร่งขึ้น แต่จะช่วยให้กระบี่สีทอง คมยิ่งขึ้น…


 


น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถเพิ่มพลังให้หุบเขา 9 เทวาได้มากไปกว่านี้..ไม่อย่างนั้นมันคงแข็งแกร่งมาก


 


ชิงสุ่ยยิ่งกระหายพลัง ก่อนจะฟาดกระบี่สีทองไปที่เต่าทอง เพียงพริบตาเดียวก็เกิดเสียงเหมือนมีอะไรแตกหัก ทว่าเต่าทองก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด


 


ชิงสุ่ยไม่แปลกใจที่เขาไม่สามารถทำลายกระดองพลังปราณนั้นได้ ตอนนี้เขาได้แค่รอเวลาพลังอื่น ๆ และเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดให้ลดพลังของอีกฝ่าย หากลดพลังรูปแบบเรื่อย ๆ เกินสิบครั้ง อีกไม่นานพวกเขาคงทนไม่ไหว


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือด เริ่มแดงเหมือนโลหิตและหนา มันกลายเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่กำลังโตขึ้นไปบนท้องฟ้า หนามเลือดดูแข็งแกร่งมาก มันค่อย ๆ ยืดออกกว่าเดิม ผลที่ได้ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกเข้าใจทุกอย่าง และการถูกรัดเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด มันไม่ทางปล่อยให้ให้ศัตรูเป็นอิสระแน่


 


กลุ่มคนที่สร้างรูปแบบเริ่มประหม่า ความเร็วที่พลังปราณถูกลดลงเรื่อย ๆ ทำให้พวกเขาสิ้นหวัง และ เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดทำให้พวกเข้าท้อ พวกเขา แต่ละคนเริ่มถอดใจ รูปแบบเต่าสีทองผงาด 8 ทิศน่าจะทนได้ไม่ถึง 30 นาที เพราะพลังของรูปแบบที่ช่วยเพิ่มพลังให้พวกเขานั้นมีจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวคือมันไม่สามารถอยู่ได้นาน


 


เมื่อรูปแบบเต่าสีทองผงาด 8 ทิศ แตกออก คนพวกนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับชิงสุ่ยและเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดสามารถโจมตีด้วยพลังวิญญาณ หากถูกโจมตีก็ไม่มีทางป้องกันได้


 


แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้ในตอนนี้? ถ้ายอมแพ้..เรื่องที่เขามาสังหารชิงสุ่ยก็เปล่าประโยชน์..แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป..


 


ตูม!!


 


เสียงระเบิดของเต่าทองดังสนั่น เมื่อไร้ รูปแบบเต่าสีทองผงาด 8 ทิศป้องกัน คนพวกนั้นก็ถูกเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด รัดตัวไว้ คนที่อ่อนแออยู่แล้วก็ไม่มีทางรอด..เขาค่อยๆ ตายและร่างสลายไป..


 


เสียงกรีดร้องอย่างทรมาน เงียบลง มีเพียงไม่กี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยเกราะอสูรสำแดง


 


“พูดมา ทำไมเจ้าถึงมาฆ่าข้า..”ชิงสุ่ยยิ้มและถาม แต่รอยยิ้มของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่านั่นคือรอยยิ้มปีศาจ


 


“พวกเราประเมินเจ้าต่ำไป แต่จะมีคนอีกมากมายมาที่นี้..”หลังจากพูดจบ ชายชราก็ปล่อยให้เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดแทงเขาจนตาย


 


คนที่เหลือก็ทนอยู่ได้ไม่นาน พวกเขาก็กลายเป็นกองเลือดให้  เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดดูดซับเข้าไป


 


ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ ชิงสุ่ยไม่เปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียว เขาปัดฝุ่นที่มือและกำลังจะกลับ ทว่าอี่หวง กู่หวู๋และหยวน สู่ก็มาถึง


 


“พวกเขาเป็นคนจากตระกูลเย่หลาง” อี่หวง กู่หวู๋บอก


 


ชิงสุ่ยเดาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงยิ้มตอบ “ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร แต่ถ้ากล้าบุกเข้ามา ข้าจะทำให้พวกเขาหายไปตลอดกาล”


 


“ชิงสุ่ย เจ้าตั้งใจเปิดศึกสินะ?”อี่หวง กู่หวู๋ยิ้มและถาม


 


ชิงสุ่ยส่ายหน้า “ตอนนี้ พวกเราทำได้แค่รอให้พวกนั้นเข้ามา พวกเราไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวงแห่งนี้ มีคนมากมายที่ไม่ชอบข้า และข้าไม่อยากหนีไปพร้อมกับพวกเจ้า ดังนั้นคงต้องราดน้ำมันลงบนเปลวเพลิงเสียหน่อย..”


 


อี่หวง กู่หวู๋ ยิ้ม”เด็กน้อยวันก่อนโตเป็นหนุ่มที่รู้จักความอดทนแล้วรึ”


 


ชิงสุ่ยตะลึงและเดินเธอเข้ามาใกล้ เขาตบก้นเธอ เสียงนั้นดังจน หยวน สู่ เขินขณะยื่นอยู่ใกล้ ๆ


 


อี่หวง กู่หวู๋ ประหม่า เธอเม้มริมฝีปากและมองชิงสุ่ย “เจ้าช่วยรักษาหน้าข้าสักนิดได้ไหม? พี่ซู ก็อยู่ที่นี้นะ…”


 


“ถ้าอย่างนั้นกลับไปที่ห้องเราเถอะ”ชิงสุ่ยยิ้ม


 


ใบหน้าของอี่หวง กู่หวู๋แดงระเรื่อมาก และเดินออกจากชิงสุ่ยก่อนจะไปดึงมือหยวน สู่ แล้วพูดทิ้งท้าย “พวกเรากลับก่อนล่ะ เจ้าก็รีบกลับไปพักได้แล้ว..”


 



 


ไม่มีตระกูลใดสามารถสงบใจได้หลังจากสูญเสียผู้ฝึกตนอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจนับสิบคน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับชิงสุ่ยที่จะหาคำตอบว่าใครคือคนที่โจมตีเขาเมื่อคืน เขาคงต้องไปหาคำตอบเสียหน่อย..


 


ตระกูลเย่หลาง!


 


หอคอยจักรพรรดิเปิดเป็นกิจการและตั้งกฎใหม่ว่าทุก ๆ สิบวันจะเปิดให้รักษาฟรี เรื่องนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เพราะของที่นำมาขายในนี้มีจำนวนจำกัดและไม่ได้มีขายตามท้องตลาด มีเพียงลูกค้าของหอคอยจักรพรรดิรับเท่านั้นที่สามารถซื้อได้


 


ลูกค้าต้องเสียค่าสมาชิกประจำปีแต่ไม่ใช่ด้วยเงิน พวกเขาต้องจ่ายด้วยหินล้ำค่า สมุนไพร ของหายากหรือสิ่งอื่น ๆ ซึ่งตอนนี้ชิงสุ่ยก็ต้องการสมุนไพรจำนวนหนึ่งแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม การจัดการของที่นี้ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คาดไว้ ดังนั้นธุรกิจในตอนนี้จึงไม่ค่อยดีนัก มีบางอย่างทำให้ทุกคนไม่กล้ามาที่นี้ แต่ก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกของชิงสุ่ย เขาไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้หรือไม่


 


แต่ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรอย่างไร สิ่งที่ดี ก็ย่อมให้ผลดี ชิงสุ่ยจึงไม่อยากกังวลเกินกว่าเหตุ


 


ในตอนนั้นชายชราปรากฏตัวขึ้นและมีชายร่างท้วมข้างเขา แต่เมื่อเทียบกับตอนที่พบกันครั้งก่อน ชายร่างท้วมดูผอมลงไปมาก


 


หลิงฮู ตุ่ย!


 


ชายชราสวมชุดธรรมดา แต่ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดาออกมาจากตัวเขา ชิงสุ่ยยิ้มและเข้าไปในโถงหอคอยจักรพรรดิรับรองแขกพร้อมกับหลิงฮู ตุ่ย.


 


“ท่านหมอเทวดา!”เมื่อ หลิงฮู ตุ่ย เห็นชิงสุ่ยก็ทักทายอย่างมีความสุข


 


“หืม..ท่านมาที่นี้เพื่อรักษาหรือมาทำอะไรล่ะ? ถ้ามารับการรักษา ท่านก็เป็นลูกค้าสินะ”


 


“ลูกค้า?”


 


หลิงฮู ตุ่ยตะลึง เพราะชิงสุ่ยทำเหมือนจำเขาไม่ได้


 


หลิงฮู ตุ่ย มองชายชราและยิ้มแห้งๆ ให้


 


ดวงตาของชายชราเป็นประกายขณะมองชิงสุ่ย ราวกับเขากำลังมองหยกที่สวยงามที่สุด เขายิ้มและถามชิงสุ่ยกลับ “มีสิ่งใดที่ทำให้ท่านลูกค้าพอใจบ้าง?”


 


ชิงสุ่ยนำรายการสมุนไพรที่มีน้ำหนักและอายุที่เขาต้องการออกมา


 


ชายชรายิ้ม เขาหยิบถุงแพรมิติออกมาให้ชิงสุ่ย “ดูว่าข้างในมีพอที่เจ้าต้องการไหม..”


 


ชิงสุ่ยไม่ตรวจสอบอะไร แต่ตอบกลับไปทันที “เพียงพอแล้ว!”


 


“ข้าชื่อหลิงฮู ยู.. ขอบคุณที่ท่านหมอเทวดาช่วยเหลือตุ่ยเอ๋อ แม้ตระกูลหลิงฮูไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก แต่พวกเราก็ยินดีจะตอบแทนน้ำใจที่ท่านรักษาเขา”ชายชรายิ้มและมองชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยส่งยิ้มบาง ๆ และส่ายหน้า “ข้าไม่ได้รักษาเขาเพื่อของตอบแทนหรอก”


 


“ท่านไม่ได้หวังจะจับปลาตัวใหญ่รึไง?” หลิงฮู ยู ยิ้มและถาม


 


“ข้าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ? ข้าไม่ได้หวังอะไรในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำเสียหน่อย” ชิงสุ่ยถอนหายใจและตอบ


 


คำพูดของเขาทำให้หลายคนตะลึงไม่เบา จะมีใครบ้างที่กล้าพูดว่าไม่ได้หวังอะไรในทวีปที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น นั่นฟังดูยโสมากทีเดียว แต่หลิงฮู ยู สัมผัสได้ว่าชิงสุ่ยไม่ได้พูดเล่น แต่เขาก็แปลกใจที่ชิงสุ่ยกล้าพูดเช่นนั้น


 


เพราะคำพูดนั้นที่ว่าเขาไม่ได้หวังในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ นั่นก็หมายถึงทวีปนี้ด้อยค่าเกินไป เขาต้องการอะไรที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งนั่นก็หมายถึงที่ที่เดียว..


 


มหาทวีปอุดรเทวา!


 


“ข้าเดาว่าท่านหมอเทวดาคงจะรู้แล้วว่าคนที่ปองร้ายท่านมาคือตระกูลเย่หลาง ข้าสงสัยว่าท่าต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลหลิงฮูรึไม่?” หลิงฮู ยู มองชิงสุ่ยและถามช้าๆ


 


“ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ข้าอยากรู้อะไรบางอย่าง ท่านพอจะช่วยข้าได้ไหม?”ชิงสุ่ยตอบ


 


“แน่นอน ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้”


 


“ทวีปวิหคอัคคีร่ายรำนั้นยิ่งใหญ่มากเลยเหรอ? ตระกูลหลิงฮูเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนั้นใช่ไหม?”ชิงสุ่ยสงสัย


 


หลิงฮู ยูลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ใช่ เป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก หนึ่งในสามของคนในเมืองหลวงเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนี้ รวมถึงตระกูลข้าด้วย”


 


1 ใน 3 ไม่ได้หมายถึงประชากรของเมืองหลวงแต่หมายถึงผู้ฝึกตน พลังของกองทัพไม่ได้หมายถึงปริมาณแต่หมายถึงคุณภาพ ดังนั้นพวกเขาคือคนที่สามารถต่อสู้กับคนจำนวนเป็นล้านหรือสิบล้านได้สบายๆ…


 


“กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำมีใครดูแลงั้นรึ”ชิงสุ่ยคิดว่าตระกูลหลิงฮูน่าจะตอบคำถามเขาได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องไปเยี่ยมเยียนตระกูลต่งเย่แทน


 


“กลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำเหมือนกับนิกายที่มีหลายตระกูล ตระกูลแข็งแกร่งก็จะมีตำแหน่งสำคัญอย่างเช่นประมุขและผู้อาวุโส อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตระกูลใดตระกูลหนึ่งจะดูแลกลุ่ม แต่ก็ต้องตัดสินใจร่วมกัน เพราะตระกูลที่ดูแลไม่สามารถฝืนกฎของคนทั้งกลุ่มได้”


 


ในที่สุดชิงสุ่ยก็เข้าใจ เขาจึงยิ้มออก “ถ้าเทียบตระกูลตระกูลต่งเย่กับหลิงฮู ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?”


 


“ตระกูลหลิงฮูนั้นอ่อนแอกว่า แต่ทั้งสองตระกูลนั้นก็มีตำแหน่งสำคัญในกลุ่ม..”  หลิงฮู ยู คิดก่อนจะตอบ


 


ดวงตาของชิงสุ่ยเบิกกว้าง “เยี่ยมเลย ถ้าอย่างนั้นข้ามีเรื่องอยากถามอย่างลับ ๆ ก่อนหน้านี้มีคนบอกให้ข้าไปหาตระกูลต่งเย่ ข้าเลยอยากให้ท่านช่วย!”


 


ชิงสุ่ยยิ้มและหยิบภาพ เหยียน จงเยว่มาวางบนโต๊ะ


 


ท่าทีของหลิงฮู ยูเปลี่ยนไปอย่างประหลาด เขามองชิงสุ่ยอยู่นานมาก “ท่านคงสนิทกับคนในภาพนี้ใช่ไหม?” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม