Ancient Strengthening Technique เทพอสูรบรรพกาล 1369-1375
บทที่ 1369 – ความน่ากลัวของบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิต
ชิงสุ่ยยังคงรู้สึกพึงพอใจหลังจากได้เห็นผลของมัน บ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างรากฐานของร่างกายเท่านั้น มันยังสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เซลล์ต่างๆภายในร่างกายรวมไปถึงอวัยวะภายในด้วยเช่นกัน มันยังสามารถช่วยขจัดสิ่งสกปรกภายในร่างกายและยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ส่วนที่สำคัญของร่างกาย
ชิงสุ่ยค่อนข้างพึงพอใจกับมัน เขาสร้างมันขึ้นมาสำเร็จแล้ว “ตีเหล็กต้องตีตอนกำลังร้อน” ชิงสุ่ยเริ่มปรุงบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตอีกครั้ง เขาทำมันอย่างต่อเนื่องและหยุดเมื่อเวลาของดินแดนแห่งนี้หมดลงเท่านั้น ในระหว่างการปรุงนั้นเขาลมเหลวไปเพียง 2 ครั้งเท่านั้นและที่เหลือสำเร็จทั้งหมด
ในตอนนี้เขามีผงของบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตกว่า 20 ขวด แต่ละขวดนั้นสามารถใช้ได้ 1 ครั้ง ชิงสุ่ยรู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ของมัน
หลังจากชิงสุ่ยออกจากดินแดนแห่งนี้ เขาก็บอกให้อี่หวง กู่หวู๋เตรียมน้ำเอาไว้ทันที หยวน สู่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน แต่เพราะชิงสุ่ยและอี่หวง กู่หวู๋นั้นเป็นสามีภรรยากัน และนี่เป็นสิ่งที่หยวน สู่ตระหนักได้ด้วยตนเองเมื่อนางเห็นชิงสุ่ยไม่ได้คิดที่จะออกไปนางเองจึงต้องปลีกตัวปล่อยให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน
เหตุผลที่ทำไมชิงสุ่ยยังอยู่ที่นี่เพราะเขากลัวว่าอาจมีเรื่องร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้นได้ ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างว่างอยู่แล้วและทั้งเขาและอี่หวง กู่หวู๋นั้นถือว่าเป็นสามีภรรยากัน ในใจของชิงสุ่ยพวกเขาต่างมีความสัมพันธ์กันเช่นนี้มานานแล้ว
อี่หวง กู่หวู๋นั้นไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรมากนักในเรื่องนี้ นี่คือห้องของนาง หลังจากที่นางได้ลงกลอนประตูนางก็ได้เดินมาตรงหน้าชิงสุ่ย “ข้าอยากจะถอดเสื้อคลุมของเจ้าออก”
ชิงสุ่ยยิ้มและโอบกอดนางทันที เขารีบปิดปากที่เย้ายวนของนางด้วยปากของเขาเอง ตั้งแต่แรกเริ่มลิ้นของเขาก็เข้าไปอยู่ในปากของนางแล้ว มันเข้าไปพัวพันกับลิ้นสีชมพูของนางขณะที่เขาดูดมันอย่างตะกละตะกลาม
มือทั้ง 2 ข้างของเขาค่อยๆเลื่อนขึ้นไปที่ใต้ร่มผ้าของนาง อี่หวง กู่หวู๋ไม่ได้ขัดขีนแต่อย่างใดขณะที่เขาทำเช่นนี้ ในความเป็นจริงแล้วนางก็กอดและจุมพิตเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาเช่นกัน
ทรวงอกอันอ่อนนุ่มของนางเว้าโค้งราวกับจันทร์เสี้ยว แม้ว่าเขาจะบีบมันแต่มันก็รู้สึกยืดหยุ่นสู้มืออย่างยิ่ง มันมีขนาดที่เหมาะสมไม่ได้ใหญ่เกินไปซึ่งทำให้มันดูเย้ายวนอย่างยิ่ง
พวกมันต่างอวบอิ่มและอ่อนนุ่ม ชิงสุ่ยใช้มืออีกข้างหนึ่งของเขารวบไปที่บั้นท้ายของนาง ผิวของนางนั้นนุ่มลื่นราวกับน้ำ
“พอก่อนชิงสุ่ย เดี๋ยวน้ำที่เตรียมไว้จะเย็นซะก่อน” อี่หวง กู่หวู๋อ้าปากค้างขณะที่กำลังหลบเลี่ยงปากของชิงสุ่ย บนใบหน้าที่นวลผ่องของนางนั้นมีทั้งความเขินอายและความสุข
ชิงสุ่ยดึงมือของเขากลับมาและช่วยนางแต่งตัวให้เป็นเหมือนเดิม ด้วยกายาทองคำ 9 หยางในระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่ของเขามันย่อมไม่มีปัญหาหากเขาจะอยู่ด้วยกันกับอี่หวง กู่หวู๋ แต่เขาได้สัญญากับนางแล้วว่าเขาจะไม่ทำอะไรนางจนกว่าเขาจะได้ไปถึงระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ
แม้ว่าเขาอยากจะทำมากกว่านี้ในตอนนี้อี่หวง กู่หวู๋ก็ย่อมไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน มันก็ได้ผ่านมานานหลายปีแล้วนางไม่ได้สนใจอะไรมากนักหากต้องรอต่อไปอีก นางไม่ต้องการทำร้ายชิงสุ่ยไม่ว่าทางใดก็ตาม ตราบใดที่นางสามารถอยู่เคียงคู่กับชิงสุ่ยต่อไปได้นางย่อมยอมรับได้ในทุกๆเรื่องแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นสามีภรรยากันก็ตาม แน่นอนว่าสำหรับนางนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่เสียใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนาง
น้ำในอ่างอาบน้ำนั้นไม่ได้ร้อนจนเกินไป บ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตก็ได้ถูกเทลงไปผสมแล้วเช่นกัน ในตอนนี้น้ำในอ่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม มันดูงดงามอย่างยิ่ง มันปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังรวมถึงกลิ่นอายที่น่าหลงใหลออกมา
ในตอนนี้อี่หวง กู่หวู๋ได้ยืนเปลือยกายจนหมดสิ้นต่อหน้าชิงสุ่ย ร่างกายอันสมบูรณ์แบบของนางนั้นน่าหลงใหลอย่างยิ่งทำให้อาวุธของชิงสุ่ยนั้นมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมของตนเองออกทันที
อี่หวง กู่หวู๋ถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากนั้นนางก็ค่อยๆหย่อนตัวลงไปในอ่างอาบน้ำนี้ น้ำในอ่างเริ่มมีฟองเล็กๆขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พวกมันเพิ่มจำนวนขึ้นจนหนาแน่น นี่คือหลักฐานว่าผิวหนังของมนุษย์กำลังดูดซึมสิ่งที่อยู่ในน้ำนี้เข้าไป
อี่หวง กู่หวู๋ปิดตาของนางลงเล็กน้อย นางดูสงบนิ่งราวกับว่ารู้สึกพึงพอใจกับมันอย่างยิ่ง ชิงสุ่ยยืนอยู่ข้างๆอ่างอาบน้ำ นี่คือปริมาณยาที่เพียงพอสำหรับคนเดียว นอกจากนี้นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองใช้มัน ดังนั้นชิงสุ่ยจึงตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันกับอี่หวง กู่หวู๋เพื่อรอดูว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่ เขาจะสามารถช่วยเหลือนางได้อย่างทันเวลา
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าความกังวลของชิงสุ่ยจะมากเกินไป ฟองน้ำที่เกิดขึ้นนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สีเขียวเข้มของน้ำก็เริ่มจางลงไปเรื่อยๆ นอกจากนี้น้ำนี้ก็ไม่ได้ดูกระจ่างใสเหมือนดังก่อนหน้านี้
เมื่อผ่านไปอีก 2 ชั่วโมงฟองน้ำในอ่างก็เริ่มลดลงไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันสิ่งสกปรกก็ปรากฏขึ้นในน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกันอี่หวง กู่หวู๋ก็เริ่มดูข้าวผ่องและงดงามมากยิ่งขึ้น ผิวหนังของนางก็เริ่มดูนุ่มลื่นมากขึ้นเช่นกันตอนนี้มันดูราวกับอัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณของธรรมชาติ
เมื่อนางเปิดตาขึ้นก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองจากนั้นนางก็กระโดขึ้นจากน้ำทันทีเมื่อได้เห็นสิ่งสกปรกที่ลอยอยู่ภายในน้ำ นางกล่าวด้วยความตกตะลึง “เหตุใดน้ำจึงสกปรกเช่นนี้?”
“มันไม่ได้สกปรก สิ่งสกปรกเหล่านี้ล้วนมาจากร่างกายส่วนลึกของเจ้า หากเป็นคนอื่นๆสิ่งเหล่านี้คงมีสีดำสนิท นี่หมายความว่ามันได้ผล” ชิงสุ่ยกล่าวตามความจริง
กู่หวู๋ตรงไปที่อ่างอาบน้ำอีกอ่างหนึ่ง นางรู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ได้ทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตามนางยังรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งเพราะผลที่เกิดขึ้นนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ชิงสุ่ยยังสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายนางจากการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขา เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้รากฐานทางร่างกายของนางนั้นแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า ก่อนหน้านี้ก่อนหนา้นี้มันเหมือนกับบ้านที่ก่อขึ้นด้วยอิฐเท่านั้นแต่ในตอนนี้มันเหมือนกับมีเสาเหล็กเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งหลายต้น การเปลี่ยนแปลงของนางครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
หลังจากได้ชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจากร่างกายเวลาชีวิตของนางก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ในทำนองเดียวกันอวัยวะภายในและส่วนสำคัญภายในร่างกาสของนางก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นราวกับก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตามการฝึกยุทธของนางนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก พลังของนางเริ่มดูหนาแน่นมากยิ่งขึ้นและกำลังกายของนางก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พลังของนางนั้นเชื่อมต่อโดยตรงกับพยัคฆ์ขาว พลังของพวกมันนั้นจะคิดเป็น 4 เท่าของพลังของนาง ดังนั้นเมื่อพลังของนางเพิ่มขึ้นพยัคฆ์ขาวก็ได้รับผลของมันเช่นเดียวกัน ทั้งพลังและความสามารถของมันต่างเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ผงยานี้ช่างมหัศจรรย์อย่างยิ่ง นี่ช่วยให้ข้าประหยัดเวลาไปกว่า 10 ปีในการสร้างรากฐานร่างกายของข้า” อี่หวง กู่หวู๋รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง แน่นอนคนอื่นๆก็คงรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้เหมือนกันหากมันเกิดขึ้นกับพวกเขา
“สูตรของยานี้หยวน สู่เขียนขึ้นมาด้วยตัวนางเอง แม้ว่ามันจะปรุงยากเล็กน้อยแต่ก็ให้ผลที่ยอดเยี่ยม มันยังไม่ได้จัดเป็นยาผงระดับพระเจ้า แต่มันก็ยังสามารถจัดอยู่ในยาระดับตำนานได้” ชิงสุ่ยมีความสุขอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็พูดถึงความอัจฉริยะภาพของหยวน สู่ในด้านโอสถ
“ชิงสุ่ย เจ้าคิดเช่นไรกับน้องสาวสู่?” อี่หวง กู่หวู๋กำลังแช่อยู่ในน้ำร่างกายของนางพิงไปที่ขอบของอ่างอาบน้ำ นางงอตัวเล็กน้อย ท่วงท่าของนางมนตอนนี้ทำให้ชิงสุ่ยอยากจะกระอักเลือดออกมา
เพียงครู่เดียวชิงสุ่ยก็ฉีกเสื้อผ้าของตนเองในขณะที่เขาพุ่งไปด้านหลังของนางและมือของเขาโอบไปที่เอวของนาง
“ชิงสุ่ย ใจเย็นก่อน!” อี่หวง กู่หวู๋เขินอายอย่างยิ่งและกระซิบออกมาเบาๆ
พวกเขาทั้งสองคนต่างก็แช่อยู่ในน้ำ ผิวหนังของนางนั้นนุ่มลื่นอย่างยิ่ง ทันทีที่ส่วนนั้นของชิงสุ่ยยืดตัวขึ้นเขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขาพบว่าตนเองในตอนนี้มีความอบอุ่นและเพลิดเพลินมากที่สุด
อี่หวง กู่หวู๋รู้สึกเจ็บปวดในร่างกายของนาง นางไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรก็ตามเนื่องจากเวลานี้ ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้เพราะชิงสุ่ยตรงเข้าไปยังส่วนที่ลึกลับที่สุดของนางในทันที นางรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วว่า “ไม่……”
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว พลังที่เหมือนกับน้ำแข็งและเปลวเพลิงได้ไหลเข้าไปยังร่างกายของชิงสุ่ย ชิงสุ่ยได้กอดนางเอาและไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย เคล็ดวิชาไร้นามโคจรอย่างรวดเร็ว กระดูกภายในร่างกายของเขาเปร่งแสงออกมาจนเห็นได้ชัด แน่นอนว่ามันไม่สามารถมองเห็นจากภายนอกได้
เมื่อพลังที่เหมือนกับน้ำแข็งและเปลวเพลิงนี้ได้ไหลเข้ามา รอยฉีกขาดเล็กๆก็ปรากฏขึ้นที่เส้นลมปราณของเขาทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง ก้อนทองคำภายในจุดตันเถียนของเขาก็โคจรอย่างรวดเร็วพร้อมเปร่งแสงจางๆออกมา
หุบเขา 9 เทวาก็ปลดปล่อยคลื่อนพลังของทักษะปราการจู่โจมออกมาอย่างต่อเนื่อง มันรับการปะทะจากพลังที่เข้ามาในตอนนี้เพื่อปกป้องจุดตันเถียนของเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่ปราณจักรพรรดิปลดปล่อยพลังอันมหาศาลออกมา ราวกับว่ามันเป็นกษัตริย์ที่ถูกคนรับใช้ของตนเองนั้นก่อกบฏ
แต่ดูเหมือนว่ากลิ่นอายแห่งน้ำแข็งและเปลวเพลิงนี้จะทรงพลังอย่างยิ่ง มันเหมือนกับพยัคฆ์ขาวที่เป็นเทพแห่งสงคราม สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองคนจะควบคุมได้ ชิงสุ่ยไม่อาจทำอะไรได้แม้แต่จะขับพลังนี้ออกไป
ในทำนองเดียวกันอี่หวง กู่หวู๋ก็รู้สึกกังวลอย่างยิ่ง ความกังวลในหัวใจของนางนั้นมีมากมายในตอนนี้ หากมีเรื่องไม่คาดฝันอะไรก็ตามเกิดขึ้นกับชิงสุ่ยนางย่อมยอมตายไปพร้อมกับเขาอย่างแน่นอน
กลิ่นอายแห่งน้ำแข็งและเปลวเพลิงออกมาจากร่างกายของอี่หวง กู่หวู๋ ดูเหมือนมันจะเป็นสิ่งที่สร้างหายนะให้แก่ร่างกายของชิงสุ่ย ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่สามารถทนรับมันได้แม้ว่าร่างกายของเขาจะได้มาถึงระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทนรับมันไปได้ถึงเมื่อไหร่
หรือนี่เป็นเพราะว่านางได้ยกระดับเข้าสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ?
มันอาจจะเป็นเพราะอย่างนั้นแม้แต่ในชิงสุ่ยก็รู้สึกกังวลเช่นเดียวกัน หากเขาตายไปในตอนนี้มันก็จะเหมือนคำพูดที่ว่า “ได้ใช้เวลา 1 คืนกับหญิงสาวที่งดงามแม้ต้องตายก็ยอม”
ชิงสุ่ยนั้นกำลังโคจรพลังทั้งหมดที่เข้ามาในร่างกายของเขา แน่นอนว่าเขายังไม่อยากจะตายในตอนนี้ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เขายังต้องทำ เขาเหลืออีกเพียงก้าวเดียวที่จะเข้าไปสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจและสำเร็จขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล อีกไม่นานเขาก็จะสามารถทำสิ่งต่างๆที่เขาต้องการได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ
เส้นลมปราณของเขาไม่ได้ขาดสะบั้นออกจากกันแต่มันเหมือนกับว่ามีใยแมงมุมเกิดขึ้นในเส้นลมปราณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่ร่างกายของชิงสุ่ยนั้นแข็งแกร่งมากพอ หากเป็นคนอื่นเส้นลมปราณของพวกเขาย่อมขาดสะบั้นออกจากกันไปนานแล้ว
ส่วนที่รู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดสำหรับชิงสุ่ยนั้นคือจุดตันเถียนของเขา พลังปราณอันมหาศาลได้ทะลุทะลวงเข้าไปยังจุดตันเถียนของเขา วันเข้าไปโจมตีก้อนทองคำภายในจุดตันเถียนของเขาอย่างต่อเนื่อง ก้อนทองคำภายในร่างกายนั้นเป็นเหมือนส่วนพื้นฐานในการทำงานของร่างกาย หากมีอะไรเกิดขึ้นกับมันอนาคตในการเป็นผู้ฝึกยุทธของเขาก็จะหายไปทันทีเช่นกัน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ สีหน้าของชิงสุ่ยนั้นเริ่มขมขื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกันใบหน้าของอี่หวง กู่หวู๋นั้นเต็มไปด้วยน้ำตาของนาง นางตระหนักดีถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในความเป็นจริงนางเข้าใจมันมากยิ่งกว่าชิงสุ่ย เหตุผลก็เพราะว่าตอนนี้ทั้งสองคนนั้นได้เชื่อมต่อเข้าหากัน แน่นอนว่านางย่อมไม่รู้ถึงความลับของชิงสุ่ย เพียงแต่นางตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของนางและชิงสุ่ยในตอนนี้นั้นเป็นแบบไหน
“ชิงสุ่ย หากข้าตายไป นั่นหมายความว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? เมื่อพลังลมปราณหลักของข้าได้หายไป เจ้าจะสามารถรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้ใช่หรือไม่?” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวเบาๆ
อี่หวง กู่หวู๋ไม่อาจควบคุมความคิดด้านลบของตนเองได้ในตอนนี้ นางสูญเสียการควบคุมร่างกายแต่สติของนางนั้นยังคงเป็นปกติ นางยังสามารถสนทนาได้ตามปกติ
ในทางกลับกันชิงสุ่ยนั้นยังสามารถควบคุมร่างกายและสติของเขาเอาไว้ได้ แต่เขาไม่อาจควบคุมอาวุธของตนเองได้ในตอนนี้ เขาสามารถควบคุมเคล็ดวิชาต่างๆของตนเองได้และในตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนได้ ‘เชื่อมต่อกัน’ จึงไม่แปลกที่พลังปราณที่เพิ่มขึ้นระหว่างพวกเขานั้นเหมือนเป็นพลังปราณที่มาจากคนคนเดียว หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งต้องการแยกพลังลมปราณนี้ออกจากกันนั่นหมายความว่าต้องมีคนใดคนหนึ่งต้องตายหรือ…ต้องทำให้พลังนี้ออกไปด้วยพลังทั้งหมดของเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือชิงสุ่ยจะต้องทำลายอัญมณีของครอบครัวของเขาออกไป
แน่นอนว่าชิงสุ่ยย่อมไม่ทำเช่นนั้น แม้ว่ามันจะมียามหัศจรรย์บางอย่างที่สามารถทำให้สิ่งต่างๆย้อนคืนกลับมาได้ แต่นั่นก็ยังมีความไม่แน่นอน หากไม่มีมันเขายอมตายดีกว่าที่ต้องอยู่ในจุดที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
ชิงสุ่ยส่ายศีรษะของเขา “หยุดกล่าวเรื่องไร้สาระเช่นนั้น หากมันจำเป็นต้องทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าคิดว่าเป็นข้าที่ต้องตายจะดีกว่า”
“ข้าเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่หากเจ้าตายไป”
“เราทั้งสองคนกำลังจะตาย แต่เจ้ายังไม่ได้กลายเป็นผู้หญิงของข้าเลย” ชิงสุ่ยกล่าวเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
“ข้าเป็นแล้ว แม้แต่ในตอนนี้หากข้าจะต้องตายไปข้าก็ไม่เสียใจเลย สิ่งเดียวที่ข้าเสียใจนั้นคือข้ายังไม่ได้กำเนิดลูกๆให้แก่เจ้าเลย ข้ามั่นใจว่าลูกของเราจะต้องออกมาหน้าตาดีอย่างแน่นอน” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“อย่ากังวลไปเลย เช่นนั้นเราจะมีลูกกันสองคน คนแรกเป็นเด็กผู้ชายส่วนอีกคนเป็นเด็กผู้หญิง” ชิงสุ่ยตอบกลับไปขณะที่เขาคิดไปด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกันเขาก็ยังคงพยายามปิดกั้นกลิ่นอายแห่งน้ำแข็งและเปลวเพลิงที่ถาโถมเข้ามา
ทันใดนั้นชิงสุ่ยจะรู้สึกว่าพลังปราณหลักในร่างกายของอี่หวง กู่หวู๋กำลังเหือดแห้งไปเรื่อยๆ
“หากเจ้าต้องการจะทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าก็จะทำให้จุดตันเถียนของข้าระเบิดขึ้นทันที พวกเราจะตายไปด้วยกัน” ชิงสุ่ยนั้นรู้สึกกลัวจริงๆ น้ำเสียงของเขานั้นสามารถหยุดการฆ่าตัวตายของอี่หวง กู่หวู๋เอาไว้ได้ นางรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยในหัวใจแต่ความสุขของนางนั้นจะมีเวลาน้อยนิดเท่านี้งั้นหรือ?
บทที่ 1370 – ยกระดับขึ้นโดยไม่คาดคิด ขั้นที่ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล วชิระ ระดับขั้นแรกเริ่ม: เคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระ
นางลังเลที่จะยอมรับมัน… ชีวิตของนางเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น นางลังเลที่จะต้องสูญเสียมันไปอย่างรวดเร็ว ในวันนี้นางได้เป็นหญิงสาวของเขา แต่ช่วงเวลาแห่งความยินดีของนางนั้นสั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
กลิ่นอายของน้ำแข็งในเปลวเพลิงนั้นยังคงโจมตีจุดตันเถียนของชิงสุ่ยอย่างต่อเนื่อง จุดตันเถียนของเขาได้ถูกทะลุทะลวงเข้าไป มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง เขาไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้ เดิมทีเขาคิดว่าทุกๆอย่างจะไม่เป็นอะไร เขาไม่เคยคาดคิดว่ามันจะทำให้เขาเข้าสู่สถานการณ์เช่นนี้
ชิงสุ่ยรู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ จุดตันเถียนของเขานั้นรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ความรู้สึกที่เขาสามารถสัมผัสได้นั้นก็เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ราวกับว่ามันโดนมีดเฉือนออกไป ชิงสุ่ยจัดฟันของเขาพยายามที่จะอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้สึกที่เจ็บปวดในตอนนี้นั้นเทียบได้กับการถูกเฉือนเนื้อและควักอวัยวะภายในออกไป
กลิ่นอายของน้ำแข็งและเปลวเพลิงภายในร่างกายของอี่หวง กู่หวู๋ราวกับว่ามีจำนวนไม่สิ้นสุด สำหรับในตอนนี้ชิงสุ่ยทำได้เพียงพยายามป้องกันมันเอาไว้เท่านั้น เขาไม่รู้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้อีกในตอนนี้ หากเส้นลมปราณของเขาถูกทำลายไปจริงๆเขาก็ไม่รู้ว่าเขาต้องทำเช่นไร
คำกล่าวที่ว่า “การมีเพียงมือเดียวไม่อาจปัดป้องทุกๆสิ่งได้” นั้นหมายความว่าอะไร? ชิงสุ่ยเองก็รู้สึกเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะทรงพลังอย่างยิ่งแต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตอนนี้หนทางของเขานั้นมีเพียง 2 แห่งเท่านั้น… แต่แห่งแรกนั้นคือสวรรค์และอีกแห่งนั้นคือนรก
อี่หวง กู่หวู๋ไม่รู้ว่านานควรทำเช่นไรดี นางต้องการทำให้กลิ่นอายนี้กลับมายังร่างกายของนางให้มากที่สุดเท่าที่นางจะทำได้แต่นางไม่อาจควบคุมมันได้เลย นางไม่อาจทำอะไรได้แต่เพียงรับรู้ได้ว่าร่างกายของชิงสุ่ยนั้นเริ่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
จำนวนพลังปราณน้ำแข็งและเปลวเพลิงภายในจุดตันเถียนของชิงสุ่ยนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในทำนองเดียวกันพลังปราณในเส้นลมปราณของเขาก็เพิ่มขึ้น มันรู้สึกราวกับว่าพลังชีวิตทั้งหมดภายในร่างกายของเขานั้นถูกปิดกั้นเอาไว้
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ชิงสุ่ยรู้สึกราวกับว่าเขาถูกแช่แข็งจนกลายเป็นน้ำแข็ง
ปราณแห่งการหวนคืน!
ชิงสุ่ยเรียกใช้ปราณแห่งการหวนคืนทั่วร่างกายของเขาทันทีและพยายามขับพลังปราณน้ำแข็งและเปลวเพลิงภายในร่างกายของเขาออกไปทีละนิด นี่คือความสามารถสุดท้ายของชิงสุ่ยในการเอาชีวิตรอด หากมันล้มเหลวชิงสุ่ยก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรอีกแล้ว
ปราณแห่งการหวนคืนค่อยๆโคจรอย่างช้าๆและพยายามขับพลังปราณในร่างกายออกไป อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีจำนวนจำกัดไม่สามารถเทียบได้กับพลังปราณน้ำแข็งและเปลวเพลิงที่เข้ามายังร่างกายของเขา ในตอนนี้ร่างกายของชิงสุ่ยถูกทำลายไปอย่างช้าๆ
สติของชิงสุ่ยก็เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆเช่นกัน อี่หวง กู่หวู๋กำลังจะทำสิ่งที่นางคิดจะทำก่อนหน้านี้อีกครั้ง หนังไม่อาจทนเห็นชิงสุ่ยต้องจากโลกใบนี้ไปเช่นนี้ นางได้บอกกล่าวกับตัวเองเอาไว้ว่าแม้ว่าจะต้องตายไปนางก็ยังอยากที่จะเดินเคียงคู่กับเขาต่อไป
พลังชีวิตของชิงสุ่ยนั้นเริ่มอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้มันเกือบจะหมดลงไปแล้ว
อี่หวง กู่หวู๋กัดฟันเอาไว้ นางกำลังตัดสินใจครั้งสุดท้าย ขณะที่พลังชีวิตของนางนั้นกำลังหายไปปริมาณของปราณแห่งการหวนคืนก็ถูกย้ายเข้ามายังร่างกายของนางจันที
หยาดน้ำตาบนใบหน้าของนางนั้นลดลงมาอีกครั้ง
อี่หวง กู่หวู๋นั้นตระหนักได้ว่าชิงสุ่ยมีเจตนาที่จะทำเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปชิงสุ่ยจะต้องตายต่อหน้าของหน้า ด้วยวิธีนี้ปราณแห่งการหวนคืนภายในร่างกายของเขาจึงถาโถมเข้าไปยังร่างกายของนาง ดังนั้นสิ่งที่นางกำลังทำอยู่จะถูกยึดไป ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกเล็กน้อย
สติของชิงสุ่ยเริ่มพร่ามัวลงไป
เพล้ง!
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเพียงใดและทันใดนั้นร่างกายของชิงสุ่ยก็ได้เปล่งแสงออกมา กลิ่นอายจำนวนมากพุ่งกระจายออกมาในทันที ราวกับว่ามันกำลังกระจายไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก
ชิงสุ่ยเปิดตาของเขาขึ้นในทันที ทั่วห้องนี้ก็เต็มไปด้วยแสงอันลึกลับ
อี่หวง กู่หวู๋ก็เปิดตาของนางขึ้นเช่นกัน ในตอนนี้ร่างกายของทั้งสองคนยังเชื่อมต่อกันเหมือนดังก่อนหน้านี้ แต่ร่างกายของชิงสุ่ยไม่ได้เย็นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ในทางตรงกันข้ามมันให้ความรู้สึกที่อุ่นอย่างยิ่ง
อุณหภูมิในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็รู้สึกราวกับว่าทั่วโลกนี้สว่างไสวมากยิ่งขึ้น ทันทีที่เขาปลดปล่อยการรับรู้ทางจิตวิญญาณของตนเองออกไปมันก็ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ร่างกายของเขารู้สึกราวกับว่านี่ไม่ใช่ร่างกายของตนเอง พลังที่เขารู้สึกได้….ทำให้เขารู้สึกทรงพลังจนสามารถฉีกท้องฟ้าออกเป็นชิ้นๆได้
เขาได้ยกระดับขึ้นแล้วโดยที่ก่อนหน้านี้มันไม่มีสัญญาณเตือนใดๆเลย….
เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้ว่ากลิ่นอายของเขาในตอนนี้นั้นทรงพลังมากเพียงใด มันกระจายออกไปภายนอกและทำให้ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากต้องตกอยู่ในความโกลาหล ในตอนนี้ผู้คนมากมายในอาณาจักรอี่หวงต่างรู้แล้วว่ามีผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังอยู่บริเวณใกล้เคียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร
กลิ่นอายของชิงสุ่ยนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง มันเหมือนกับของ มังกรไอยราเกล็ดทองคำก่อนหน้านี้ มันเป็นกลิ่นอายที่ทรงพลังเหนือผู้ใด ด้วยกลิ่นอายนี้นั่นหมายความว่าในอนาคตเขาจะสามารถทรงพลังขึ้นได้อีกมาก แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์แต่กำเนิดที่ดีแต่เขาก็ยังต้องการเวลาจำนวนมากเพื่อที่จะประสบความสำเร็จเหมือนกับสายเลือดของมังกรในตำนาน สิ่งต่างๆที่เขาได้ประสบพบเจอต่อไปจะกลายมาเป็นพลังให้แก่เขา เขาจะไม่ต้องกลัวว่าต้องตายโดยที่อายุน้อยอีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงเวลาเท่านั้น
ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างสงบลงแล้วในตอนนี้ ร่างกายของเขากลับมาสมบูรณ์เหมือนดังเดิมแต่ทั้งสองคนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งและน้ำในอ่างที่กระจ่างใสในตอนแรกในตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลสกปรก มันส่งกลิ่นเหม็นที่เลวร้ายออกมา
ชิงสุ่ยได้สะบัดมือของเขาและทำให้น้ำในอ่างน้ำได้ระเหยออกไปทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็นำน้ำจำนวนมากออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะของเขา เขายังนำดอกท้อออกมาเพื่อให้บรรยากาศของที่แห่งนี้สดชื่นมากยิ่งขึ้น
ชิงสุ่ยและอี่หวง กู่หวู๋แช่ตัวลงไปในน้ำครั้ง มันรู้สึกสบายอย่างยิ่งเพราะว่าร่างกายของทั้งสองคนนั้นยังคงเชื่อมต่อกันอยู่ เพียงแต่ว่าในตอนนี้ไม่มีพลังปราณน้ำแข็งและเปลวไฟอีกแล้ว
“หวู๋หวู๋น้อย ข้าไม่อาจขอบคุณเจ้าได้มากพอ มันเหมือนกับคำกล่าวที่ว่า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นพรจากพระเจ้าทันที ข้าได้ยกระดับขึ้น ในภายภาคหน้า เจ้าสามารถเป็นหญิงสาวธรรมดาได้ หญิงสาวที่เป็นของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เจ้าต้องการมีลูกหรือไม่? เช่นนั้นเรามาทำลูกกันในตอนนี้เถอะ” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความยินดี
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้เดินผ่านประตูนรกมาอย่างแท้จริง ในตอนนี้รู้ว่าในช่วงเวลาสุดท้ายนั้นปราณแห่งการหวนคืนของเขาได้ยกระดับขึ้น ปราณแห่งการหวนคืนอันทรงพลังได้สร้างพลังชีวิตให้แก่ชิงสุ่ย ไม่นานหลังจากนั้นจุดตันเถียนของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่พูดอยู่นี้ชิงสุ่ยได้แอบตรวจสอบจุดตันเถียนของเขาก่อนหน้านี้ สภาพในตอนนี้ของจุดตันเถียนของเขานั้นเป็นเช่นเดียวกับที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ เมื่อเขาได้ก้าวเข้าสู่ประตูเทวะแห่งเต๋าครั้งแรก
ก้อนทองคำได้หายไปแล้ว ในตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนตัวเล็กๆที่สวมชุดเกราะทองคำแต่ใบหน้านั้นไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน ชุดเกราะบนร่างนั้นดูสง่างามอย่างยิ่ง เขาถือหุบเขา 9 เทวาในมือข้างหนึ่งและมืออีกข้างนั้นถึงกระบี่ดารายุพฆาต เบื้องล่างนั้นเหยียบอยู่บนธงสวรรค์ปัญจธาตุ…….
เมื่อคิดว่ามันเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ ก้อนเมล็ดเจ็ดสีได้ฝังแน่นอยู่บนหน้าผากของคนๆนั้นและยาระดับจักรพรรดิก็อยู่เหนือศีรษะของเขา พลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากได้เพิ่มเข้ามาอย่างจุดตันเถียนของเขา นี่เป็นพลังที่เขาไม่เคยรู้สึกได้มาก่อน
“ชิงสุ่ย เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าหวาดกลัวมากเพียงใด” รอยยิ้มของความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอี่หวง กู่หวู๋ ทุกๆสิ่งย่อมดีตราบใดที่ชิงสุ่ยนั้นไม่เป็นอะไร
ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยก็ตระหนักได้ว่าหญิงสาวผู้นี้ยอมตายเพื่อเขา สำหรับหญิงสาวที่น่าพึงพอใจเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นางยอมทำอะไรเช่นนี้เพื่อเขา เขาจะไม่รู้สึกได้อย่างไรกัน? สิ่งใดกันที่เขาจะมอบให้นางไม่ได้?
“ข้ารู้ดี เอ่อ ข้าเข้าผิดรูใช่หรือไม่……?”
“ไปตายซะ เจ้าจริงจังหน่อยสิ พวกเราอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกัน?” อี่หวง กู่หวู๋เขินอายเล็กน้อยขณะที่นางกล่าวออกมา
“พวกเราอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกัน? บอกข้ามา สถานการณ์ใด” ขณะที่ถามเช่นนี้ชิงสุ่ยก็ขยับร่างกายของเขาพร้อมกับกดเอวของเขาไปเบื้องหน้า
“อื้อ!” อี่หวง กู่หวู๋ไม่อาจทนต่อไปได้อีกดังนั้นนางจึงร้องออกมาเบาๆ
การยกระดับก่อนหน้านี้ย่อมต้องเป็นเพราะเคล็ดวิชาไร้นาม ด้วยปราณแห่งการหวนคืนของเขาทำให้เขาสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ มันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะสามารถยกระดับขึ้นได้ด้วยตนเอง
สิ่งที่ตามมานั้นคือเรื่องที่ลึกลับมากมาย อี่หวง กู่หวู๋นั้นรู้สึกมีความสุขและพึงพอใจอย่างยิ่ง นางเคยคิดว่านางย่อมไม่มีวันได้รับความรักแบบชายหนุ่มและหญิงสาว นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งนางจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับชายคนที่นางรักมากที่สุด
ชิงสุ่ย หลังจากที่เขารอดตายจากวิกฤตครั้งใหญ่มาได้ ประสบการณ์ต่างๆก็ได้เปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจของเขาไป บางทีเขาอาจจะมีความสัมพันธ์ทางเพศเพื่อปลดปล่อยความตื่นเต้นภายในใจรวมทั้งความรู้สึกที่ไม่อาจพูดออกไปได้ นอกจากนี้นี่เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดที่จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์
จากมุมมองของชิงสุ่ย ไม่มีผู้ใดเทียบได้กับอี่หวง กู่หวู๋ในด้านความเย้ายวนของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางดูเหมือนจะรู้จักชิงสุ่ยดีอย่างยิ่ง นางยังเปิดกว้างอย่างยิ่งในเรื่องเพศเช่นนี้ ราวกับหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ได้รวมตัวกับหญิงสาวโสเภณี แท้จริงแล้วนางไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งแต่นางคือหญิงสาวที่งดงามที่สุดสำหรับเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ตราบใดที่ชิงสุ่ยกล้าที่จะกล่าวอะไรออกมา อี่หวง กู่หวู๋ก็จะพยายามทำให้เขาพึงพอใจ อันที่จริงแล้วเจตนาของเขาไม่ได้ชั่วร้ายแต่อย่างใดและเขาก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติทางเพศด้วยเช่นกัน
เวลาผ่านไปครึ่งวัน ภายใต้ผลของเคล็ดวิชาไร้นามอี่หวง กู่หวู๋ก็ได้รับประโยชน์มากมายได้เช่นกัน รากฐานของนางในตอนนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่งและพลังของนางเพิ่มขึ้นมากกว่า 100,000 สุริยา ประมาณ 160,000 สุริยาได้เลย
ด้วยพลัง 100,000 สุริยา สิ่งที่นางได้รับประโยชน์มากที่สุดนั้นคือรากฐานของร่างกายของตนเอง
อี่หวง กู่หวู๋รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่งเมื่อนางซบลงบนหน้าอกของชิงสุ่ย ดวงตาที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ของนางดูงดงามและเย้ายวนอย่างยิ่ง ดวงตาเหล่านี้ราวกับสามารถมองทะลุเข้าไปถึงกระดูกได้ สายตาที่พึงพอใจของนางทำให้จิตใจของบุรุษนั้นรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
นี่เป็นสิ่งที่หายากยิ่งนัก หายากอย่างยิ่ง แขนอันอ่อนนุ่มทั้งสองข้างของนางวางลงบนหน้าอกของชิงสุ่ย นางวางคางของตนเองเอาไว้บนแขนของเขาและจ้องมองไปยังใบหน้าของชิงสุ่ย
“ชิงสุ่ย ขอ้าย้ามีความสุขมากจริงๆ ในวันนี้ข้ารู้สึกราวกับว่าได้เปลี่ยนนรกมาเป็นสวรรค์” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวอย่างมีความสุข
“นี่คือคำชมเชยที่ดีที่สุดที่ข้าเคยได้รับ” ชิงสุ่ยหัวเราะ
……
ชิงสุ่ยแต่งตัวอย่างเรียบร้อย เวลาได้ผ่านไปกว่าครึ่งวัน อี่หวง กู่หวู๋ได้ออกมาก่อน เพราะหยวน สู่และหมอปิศาจนั้นยังคงอยู่ข้างนอก พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าครึ่งวัน
ชิงสุ่ยสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของตนเองในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล ตลอดมาเขาพึ่งพาเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลของตนเองมาโดยตลอด
ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล!
ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงพลังพื้นฐานของเขา: 200 สุริยา!
พลังพื้นฐานของเขานี้ถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง ถัดจากนั้นชิงสุ่ยก็ตรวจสอบความสามารถอื่นๆของเขา ก้อนเมล็ดเจ็ดสีสามารถเพิ่มพลังพื้นฐานขึ้นได้ 30 เท่า
การเพิ่มขึ้นของมันนั้นไม่ได้มากมายนัก ด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ยังคงตรวจสอบต่อไป
เกราะอสูรสำแดง?
มันหายไปแล้ว…..
กระบี่ดารายุพฆาตก็หายไปแล้วงั้นหรือ?
ทั้งหมดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเกราะทองคำของคนตัวเล็กๆภายในจุดตันเถียนของเขา คนตัวเล็กนี่คือวชิระของชิงสุ่ย
อะไรคือวชิระ? ชิงสุ่ยไม่รู้ สิ่งเดียวที่เขารู้คือคนตัวเล็กๆนี้เกือบจะเหมือนกับก้อนทองคำที่เขามี ในด้านของพลังนั้นมันทรงพลังกว่ามาก มันสามารถเพิ่มความสามารถทั้งหมดของเขาขึ้นถึง 50 เท่า
ชิงสุ่ยตระหนักได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังของเขาในการยกระดับของ พลังพื้นฐานของเขาในตอนนี้อยู่ที่ 200 สุริยา ก้อนเมล็ดเจ็ดสีสามารถเพิ่มพลังพื้นฐานของเขาทั้งหมดขึ้นอีก 30 เท่า วชิระนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก 50 เท่าและรูปแบบ9ดาราคล้อย 9 สวรรค์ก็สามารถเพิ่มพลังของเขาขึ้นอีก 1 เท่า
เมื่อคำนวณทั้งหมดนี้พลังพื้นฐานของชิงสุ่ยจะเป็น 600,000 สุริยา พลังของหุบเขา 9 เทวาในตอนนี้นั้นเกือบจะถึง 2 ล้านสุริยา
ภายใต้ผลของลูกประคำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ ก้อนเมล็ดเจ็ดสี วชิระ รูปแบบ9ดาราคล้อย 9 สวรรค์ รวมไปถึงตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ พลังวิญญาณของเขาจะมีพลังมากกว่า 5 ล้านสุริยา
สิ่งเดียวที่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกผิดหวังในตอนนี้คือเขายังไม่อาจตรวจสอบพลังของกระบี่ดารายุพฆาตและเกราะอสูรสำแดงของเขาได้ แม้แต่โอกาสที่จะเพิ่มพลังขึ้นเป็น 2 เท่าของกระบี่ดารายุพฆาตก็ดูเหมือนจะหายไป เรื่องนี้ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ในตอนนี้เขามีวชิระ ซึ่งทำให้เขาได้รับประโยชน์มหาศาล
วชิระในเกราะทองคำนั้นยังมีความมหัศจรรย์อีกสองสามอย่าง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกทรงพลังมากยิ่งขึ้น
ระดับขั้นแรกเริ่ม: เคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระ
เกราะทองคำ: เปิดใช้งานความสามารถในการป้องกันทั้งหมดของชิงสุ่ยด้วยพลัง 3 เท่าของพลังพื้นฐานทั้งหมด มันยังสามารถช่วยป้องกันการโจมตีที่รุนแรงได้ 1 ครั้งต่อวัน
วชิระจู่โจม: วชิระจู่โจมนั้นสามารถใช้ได้ 1 ครั้งต่อวัน พลังโจมตีของมันนั้นคิดเป็น 3 เท่าของพลังพื้นฐานของผู้ใช้
วชิระไร้เงา: ความเร็วของผู้ใช้นั้นจะเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า สามารถใช้ได้ 1 ครั้งต่อวัน มันจะแสดงผลอยู่เป็นเวลา 1 ก้านธูป
นี่คือระดับขั้นแรกเริ่มของเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระภายในจุดตันเถียน เพราะว่าเขาได้มาถึงขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลเขาจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งซึ่งทำให้ก้อนทองคำนั้นได้กลายไปเป็นวชิระ
บทที่ 1371 – เส้นทางสู่อนาคตที่สว่างไสว
ชิงสุ่ยตกตะลึงอยู่พักใหญ่ จุดตันเถียนของเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันมหาศาลอีกครั้ง เกราะอสูรสำแดงและ กระบี่ดารายุพฆาตได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งภายใต้เส้นลมปราณวชิระ หุบเขา 9 เทวา ที่ทรงพลังได้เข้าเสริมความสามารถในตัวของชิงสุ่ย
และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋าปรากฏให้ชิงสุ่ยได้รับรู้ เมล็ดสีทองที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขาก็ได้แปรสภาพไปเป็นเส้นลมปราณวชิระเช่นกัน ในอดีตพลังปราณจะมีสภาพคล้ายกับของเหลว แต่ในตอนนี้มันได้ก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นรูปแบบที่สามารถจับต้องได้!!
ในตอนนี้ถ้าหากเขาใช้พลังตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นสูงถึง 5 ล้านสุริยา และถึงแม้ว่าจะเป็นทักษะการเคลื่อนไหวอสรพิษไอยรา ความแข็งแกร่งที่เขาจะเพิ่มพูนได้นั้นก็ยังคงมากกว่า 2 ล้านสุริยา ถ้าหากว่าเขาจำเป็นจะต้องต่อสู้กับผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศแห่งตระกูลอีหวงในตอนนี้และก็ ชิงสุ่ยมั่นใจว่าเขาจะสามารถกำจัดทุกคนได้อย่างรวดเร็ว
และแล้วชิงสุ่ยก็ได้บรรลุขึ้นสู่คลื่นสวรรค์ชั้นที่ 8 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาลและได้บรรลุเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์ขั้นเบื้องต้น เคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระเต็มไปด้วยอำนาจและพลังแต่เขาก็สามารถใช้มันได้เพียงวันละครั้งเท่านั้น เคล็ดวิชาสรวงสวรรค์พื้นฐานคือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้ฝึกตนปราณจักรพรรดิและผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศบางคนไม่อาจรองรับพลังอันแสนน่ากลัวเหล่านั้นได้
เกราะทองคำเป็นทักษะติดตัวที่ทำให้ชิงสุ่ยมีพลังป้องกันทรงอำนาจมากจนผู้อื่นต้องยอมพ่ายแพ้เมื่อเผชิญหน้ากับมัน มันจะสามารถปกป้องเขาได้เมื่อถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง 3 ครั้ง ซึ่งพลังป้องกันนั้นย่อมสูงมากกว่าพลังป้องกันพื้นฐานของตัวเขา อีกทั้งมันยังสามารถระเบิดความรุนแรงออกมาได้วันละ 1 ครั้ง
และแม้ว่าชิงสุ่ยจะยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว พลังของผู้ที่อยู่ในระดับเริ่มต้นของขั้นปราณบัญชาสวรรค์พินาศก็ไม่อาจทําร้ายตัวเขาได้ เพราะคนเหล่านั้นมีพลังไม่มากพอจะทำลายเกราะทองคำของชิงสุ่ย
ส่วนทักษะวชิระจู่โจม ถ้าหากชิงสุ่ยเลือกที่จะใช้มันออกมา เขาก็สามารถสังหารผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศระดับที่ 1 และ 2 ได้ทันที
ส่วนท่วงท่าวชิระไร้เงาเมื่อถูกใช้งาน ความเร็วของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวและจะอยู่คงที่เป็นเวลา 15 นาที
ชิงสุ่ยรู้สึกพึงพอใจอย่างมากในที่สุดเขาก็ก้าวขึ้นสู่ระดับที่ 8 ซึ่งอาจพิจารณาได้ว่าในตอนนี้เขาเองก็ยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศเพียงแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเขานั้นอยู่ในระดับใด
ทางด้านอี่หวงกู่หวู๋ เธอเลือกที่จะจากไปเพราะไม่ต้องการรบกวนชิงสุ่ย ชิงสุ่ย เติมน้ำลงในถังและเติมหยดน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิลงไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของร่างกาย การกระทำเหล่านี้อาจไม่ใช่สิ่งที่สามารถเพิ่มความพลังได้โดยตรง แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการเพิ่มพูนขีดจำกัดความสามารถของตนเอง
บางทีที่ชิงสุ่ยลงไปในถังน้ำ น้ำก็แปรสภาพกลายเป็นสีขุ่นจนคล้ายกับก้อนเมฆ มันเป็นสีที่น่าตกใจยิ่งกว่าของอีหวงกู่หวู๋เสียอีก
หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ ชิงสุ่ยไม่เคยรู้สึกสดชื่นเช่นนี้มาก่อน ร่างกายของเขากำลังมีความสุขอย่างมากราวกับว่ารูขุมขนทั้งหมดในร่างกายของเขากำลังเปิดรับพลังปราณแห่งสวรรค์และโลกเข้าสู่ร่างกาย
การก้าวขึ้นสู่ขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 8 ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆมากมาย เขาสามารถทำในสิ่งต่างๆที่ก่อนหน้านี้เขาไม่อาจทำได้
เมื่อออกมาจากห้อง อี่หวงกู่หวู๋ หมอปีศาจ หยวนสู่ ลี่จี๋ต่างกำลังนั่งรออยู่รอบๆ ทันที่ที่ทั้งหมดเห็นชิงสุ่ย ทุกคนต่างยิ้มและกล่าวทักทาย แต่ก็คงมีเพียงแค่เฉพาะชิงสุ่ยและอี่หวงกู่หวู่ที่รับรู้ถึงความอันตรายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ดังนั้นคนอื่นจึงยังคงดูสงบนิ่ง
“อืมม น้องชาย ดูเหมือนว่าเจ้าจะแตกต่างไปจากเดิมนะ”หมอปีศาจจ้องมองชิงสุ่ยขณะกล่าว อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรที่มันแตกต่างไปจากเดิม
ในตอนนี้ หอคอยจักรพรรดิได้เติบโตขึ้นอย่างมาก และอี่หวงกู่หวู่ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของหอคอยจักรพรรดิและเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ไม่ใช่หมอ แต่สถานที่แห่งนี้เธอถือได้ว่าเป็นเจ้าของอยู่ 10% อาจเป็นเพราะว่าชิงสุ่ยรู้ตัวว่าจะต้องออกเดินทางในเร็วๆนี้และจำเป็นต้องมีคนคอยเฝ้าดูพัฒนาการของหอคอยจักรพรรดิ อีกทั้งทักษะทางการแพทย์ของหมอเทวดาและหยวนสู่เองก็ไม่มีอะไรต้องห่วง เมื่อผนวกกับอี่หวงกู่หวู่ที่แข็งแกร่งแล้วสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ที่ปลอดภัย
อี่หวงกู่หวู่เอ็งก็บรรลุขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ เธอสามารถควบคุมขั้วอำนาจสำคัญของตระกูลอี่หวงได้ทั้งหมด ถ้าหากเธอใช้พลังพยัคฆ์ขาวทั้ง 6 แม้แต่ตัวของชิงสุ่ยก็ยังจัดการเธอได้ยาก เว้นเสียแต่เขาจะเปิดใช้ทักษะเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระ
ในเมื่อเขาเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะในช่วงกลางวันดังนั้นช่วงกลางคืนเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ข้ามเส้นระหว่างเขากับอี่หวงกู่หวู๋ โดยปกติแล้วเขาจะห้ามปรามความปรารถนาของเขา โดยจะใช้มันเฉพาะการฝึกฝน อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออี่หวงกู่หวู๋ได้ลิ้มลองรสชาติทางเพศอาจจะเรียกได้ว่ามันเป็นความรู้สึกพิเศษในชีวิต จึงทำให้เธอหลงใหลในมัน
“ชิงสุ่ยอย่าเพิ่งไปไหนเลย ดวงอาทิตย์ก็กำลังจะตกแล้ว”อี่หวงกู่หวู๋กอดแขนของชิงสุ่ยเอาไว้ เธอเปรียบเสมือนปีศาจตัวน้อยที่ทำให้ผู้คนที่สบตาต้องยอมสยบ
“เจ้าปีศาจน้อย เจ้าเต็มอิ่มกับมันหรือยัง?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกระซิบข้างหู
“ข้าพึงพอใจแล้ว”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอกล่าวเธอยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แต่ในตอนนี้ทุกอย่างที่เธอต้องการมันครบถ้วนแล้ว ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงพลังงานที่อ่อนล้าในร่างกายของเธอ “ชิงสุ่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าน้องสู่นั้นชอบเจ้า?” อี่หวงกู่หวู๋ถาม ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
“ข้าเองก็ไม่รู้ ว่าแต่น้องหวู๋หวู๋รู้ได้อย่างไร?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวถาม ชิงสุ่ยเองเหมือนจะรู้สึกบางอย่างจากเธอ แต่มันก็เป็นความรู้สึกเมื่อยาวนานมาแล้วก่อนที่ทั้งสองจะลาจากกัน
“ที่ข้ารู้ก็เพราะนางเป็นคนบอกข้าเองทั้งหมด เมื่อก่อนนางอาจจะทำในสิ่งที่ไม่ดีลงไปเพราะกลัวว่าจะตกหลุมรักเจ้า และแม้ว่าทั้งนางและก็เจ้าจะไม่ได้พบเจอกันมาหลายปี แต่นางก็ยังคงไม่ลืมเลือนเรื่องเหล่านั้น ช่างน่าเสียดายที่นางเองก็หยิ่งทะนงเกินไปจึงไม่ได้ตามหาเจ้า แต่โชคดีของนางที่ได้มาเจอเจ้าในที่แห่งนี้ และนางบอกว่าแม้เวลาจะผ่านไปเท่าไรนางก็ยังคงคิดถึงเจ้าอยู่เช่นเดิม”อี่หวงกูหวู๋กล่าว
“แล้วเจ้าไม่รู้สึกโกรธหรือที่คนอื่นจะแย่งชิงตัวข้าไปจากเจ้า?”
“มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีผู้หญิงคนใดหรอกที่พร้อมจะแบ่งปันชายที่ตัวเองรักให้กับผู้อื่น มันก็เหมือนกับที่ผู้ชายไม่เต็มใจแบ่งปันผู้หญิงของตนเองให้กับชายอื่นเช่นกัน อย่างไรก็ตามสังคมของเรานั้นแบ่งออกจากความสามารถ ซึ่งคนมีความสามารถก็ย่อมต้องมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นข้ารักเจ้า ข้าจึงยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากระทำ ตราบเท่าที่เจ้าจะรักใครข้าก็เต็มใจแบ่งปันและอยู่ร่วมกันกับพวกนาง”อีหวงกู่หว๋ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลง แต่ชิงสุ่ยก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจ
ชิงสุ่ยยังคงกอดเธอแน่นและรู้สึกขอบคุณในความคิดของเธอ มันเป็นความรู้สึกขอบคุณต่อความรักที่เธอมีแต่เขา
“ชิงสุ่ย น้องสาวสู่เป็นผู้หญิงที่ดี ข้าเคยพูดกับนางมาก่อนและรู้สึกได้ว่าความรักของนางนั้นฝังลึกในจิตใจนางมาก ถ้านางไม่ได้อยู่ร่วมกับเจ้าถ้าคิดว่าอนาคตความสุขของนางก็คงเกิดขึ้นได้ยากมาก นางอาจจะอยู่ตัวคนเดียวจนกระทั่งชีวิตของนางดับสิ้นไป”อีหวงกูหวู๋เงยหน้ามองชิงสุ่ยขณะกล่าว
“เจ้าไม่รู้สึกเสียดายที่ปล่อยหญิงสาวที่แสนงดงามเช่นนี้ไปงั้นหรือ?”อีหวงกู่หวู๋กระพริบตาที่แสนงดงาม
“เจ้าปีศาจน้อย หญิงสาวเช่นเจ้าคือคนแบบที่ข้าชอบที่สุดเลย ต่อให้เจ้าตัวกลืนกินน้ำในร่างกายข้าจนแห้งเหือดข้าก็ยอม”ชิงสุ่ยก้มหน้าจมลงสู่อ้อมอกยอดภูเขาคู่ จากนั้นเสียงร้องสะท้านก็ดังออกมาจากภายในห้องอีกครั้ง
…………….
อีกสามวันถัดมา ชิงสุ่ยได้ใช้ธงสวรรค์ปัญจธาตุเพื่อนเดินทางกลับไปยังตระกูลชิง แม้ว่าเขาจะพัฒนาตัวเองจนก้าวข้ามขึ้นสวรรค์ชั้นที่ 8 ไปได้ และไม่ว่าจะวุ่นวายเพียงใดชิงสุ่ยก็มักจะกลับมายังตระกูลของเขาเดือนละครั้งเสมอ อาจเป็นเพราะว่าเขาได้บอกกับตระกูลของเขาว่าเขาจะกลับมาเดือนละครั้งซึ่งถ้าหากเขาไม่ได้กลับมาคนอื่นอาจจะเป็นห่วงและวิตกกังวล
ดังนั้นชิงสุ่ยจึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะกลับมา และอย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข
ทั้งด้านพัฒนาการของตระกูลชิงก็เป็นไปอย่างรวดเร็วเพราะความรู้และความสามารถของชิงสุ่ย เขามักจะนำทุกอย่างของเขามาเพื่อส่งเสริมรากฐานของตระกูล
ชิงสุ่ย คือเสาหลักที่ยิ่งใหญ่ของตระกูล ตัวของชิงหลัวนั้นได้วางมือจากการทำหน้าที่หัวหน้าตระกูลเป็นที่เรียบร้อยแล้วและส่งมอบมันให้กับชิงอี้ผู้ซึ่งเป็นแม่ของชิงสุ่ยทำหน้าที่ แต่เธอจะปล่อยให้ชางห่ายหมิงเยวี่ยและคนอื่นๆตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆ เธอจะคอยแก้ไขปัญหาในบางส่วนและยินดีที่จะมอบหน้าที่การตัดสินใจให้กับคนอื่น ชิงอี้มักจะใช้เวลาทั้งหมดของเธอในการเล่นกับเหล่าหลานๆ เธอคอยแนะนำและสร้างความรู้ให้กับเด็กๆทุกคน ซึ่งเด็กๆส่วนใหญ่ก็จะใกล้ชิดกับเธอมาก แม้ว่าชิงหมินจะเป็นคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครยกเว้นชิงอี้
ชิงหมินรู้ดีว่าประกาศิตคำพูดยายของเขาคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในตระกูลชิง ตราบใดที่เธอเอ่ยปากก็จะไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่ง อีกทั้งยายของเขายังดูแลเขาดีที่สุด
บทที่ 1372 – ตระกูลเย่หลางแห่งเมืองหลวงมหาทวีป เคล็ดวิชาเลียนแบบสัตว์ 9 ชนิด ร้อยปักษาบูชาหงส์ และหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม
ในครั้งนี้ชิงสุ่ยอยู่ที่ตระกูลของเขา 10 วันเต็ม นอกเหนือจากเวลาที่เขาเข้าไปฝึกตนภายในดินแดนหยุพราชอมตะ เขาก็ใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดเพื่อเพิ่มพูนขีดจํากัดความสามารถของคนในตระกูล สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนหลุมลึกที่ไม่อาจเติมเต็ม ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใด ในทุกครั้งที่เขากลับมาเขาก็ยังคงมีสิ่งที่ต้องทำเสมอ
จากนั้นชิงสุ่ยโดยใช้ธงสวรรค์ปัญจธาตุเพื่อเดินทางกลับไปยังหอคอยจักรพรรดิโดยอาศัยธงสวรรค์ปัญจธาตุที่เป็นตัวรับซึ่งอยู่กับตัวของอี่หวงกู่หวู๋
ทันทีที่อี่หวงกู๋หวู๋เจอหน้าชิงสุ่ย เธอโอบกอดเขายังมีความสุข ทั้งสองอยู่ด้วยกันในห้องของอี่หวงกู่หวู๋ แม้ช่วงเวลา 10 วันอาจจะดูเหมือนสั้น แต่ก็มากพอที่ทำให้หัวใจของคนห่อเหี่ยว ทั้งสองคนใช้เวลากว่าครึ่งวันกอดกันอยู่ภายในห้อง
อาหารและความรู้สึกทางเพศคือธรรมชาติของมนุษย์ ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2-3 วันครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่มีพละกำลังอำนาจที่สูงส่งมักจะมีหญิงสาวข้างกายในทุกคืน
“หวู๋หวู๋น้อย เจ้านับวันยิ่งเหมือนปีศาจสาวมากขึ้นทุกวันแล้วนะ”ชิงสุ่ยยังคงกอดร่างกายที่งดงามดุจหยกขาว
“แล้วเจ้าชอบมันหรือไม่?”อี่หวงกู่หวู๋กล่าวอย่างมีความสุข
“ข้าชอบมัน และข้าก็ชอบมันมาก ต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ร่างกายสามีของเจ้าเพียบพร้อม มิฉะนั้นเจ้าคงแห้งตายจากความกระหายของเจ้าเป็นแน่”ชิงสุ่ยกล่าว
“เจ้าคิดว่าพวกเราจะสามารถมีลูกกันได้หรือไม่?”
ชิงสุ่ยรู้ว่าอี่หวงกู่หวู๋มักจะเล่นกับลูกของหมอปีศาจ ตอนนี้เธอเปรียบเสมือนแม่อุปถัมภ์และเขาก็เปรียบเสมือนพ่อทูนหัวของเด็กๆเหล่านั้น
และด้วยสถานภาพเช่นนี้เด็กๆจึงมักจะออกไปเล่นกับอี่หวงกู่หวู๋ แม้แต่หมอปีศาจเองยังรู้สึกอิจฉาเด็กน้อยเหล่านั้น เพราะเหล่าเด็กๆจะได้รับความปลอดภัยอย่างแน่นอน ในเมื่อพ่อทูนหัวและแม่อุปถัมภ์เป็นคนที่อยู่ในระดับสูงถึงปราณบัญชาสวรรค์พินาศ
“ในอนาคต พวกเราจะทำมันทุกวัน และข้าคิดว่ามันจะต้องสำเร็จแน่”โอกาสในการตั้งครรภ์ของผู้ที่อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศต่ำมากแต่ก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างยังคงอยู่บนกฎของโลกใบนี้
ชิงสุ่ยไม่ค่อยกังวล เขาเชื่อมั่นในตัวเองอยู่แล้วเพียงแค่โอกาสในการตั้งครรภ์มันต่ำ ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปราวกับว่าพยายามเพิ่มโอกาสที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ทันทีที่อี่หวงได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย เธอแสดงท่าทางเขินอายที่ดูน่ารัก
“ข้าจริงจังนะ”อี่หวงกู่หวู๋กล่าว
“ข้าเองก็จริงจังเช่นกัน”ชิงสุ่ยพยายามกล่าวในสิ่งที่เขาพูด
อี่หวงกู่หวู๋คิดบางสิ่งบางอย่างจากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย
“จริงสิ เทียนฮี่ เรินโม่มาหาเจ้าในตอนที่เจ้าไม่อยู่ เขาเลยบอกว่าเขาจะกลับไปอีกในภายหลัง”อี่หวงกู่หวู๋กล่าว
“ว่าแต่เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าตระกูลเทียนฮี่นั้นมีความบาดหมางกับตระกูลใดบ้างในมหาทวีปนี้?”ชิงสุ่ยคิดถึงบางอย่างก่อนจะถาม ย้อนกลับไปในตอนที่เขาเคยอยู่ในตระกูลเทียนฮี่เขาได้ยินข่าวคราวบางสิ่งแต่ก็ไม่ได้ถามต่อ
“ข้าเองก็ไม่ได้อยู่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำมานานมากแล้ว อาจารย์ของข้าพาข้าไปยังเทือกเขาปู๋โถวตั้งแต่ข้ายังเยาว์วัย ข้าก็อยู่ที่มหาทวีปอู่เซี่ยตะวันตกมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามข้าเองก็ได้ยินเรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวกับตระกูลเทียนฮี่ เทียนฮี่ เรินโม่คืนหนึ่งในเด็กรุ่นยาวที่เก่งที่สุดจึงทำให้ข่าวคราวของเขานั้นโด่งดังจนเป็นที่รู้จักกันดี และนั่นก็เป็นฉนวนที่ทำให้เขาได้รับความเสียหายจากภาพลักษณ์อย่างรุนแรง คู่หมั้นของเขานั้นถูกใครบางคนแย่งชิงไปเพื่อเป็นนางสนม และเขาก็สู้กับคนคนนั้นไม่ได้ และดูเหมือนตระกูลเทียนฮี่เองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกันแม้แต่จะปกป้องผลประโยชน์จากหญิงสาวคนนั้น”
“ว่าแต่คนเหล่านั้นมาจากตระกูลใด? และพวกเขามีพลังมากเพียงใดกัน?”
ยิ่งได้ฟังชิงสุ่ยยิ่งสงสัยมากขึ้น
“พวกมันคือตระกูลเย่หลางแห่งเมืองหลวงมหาทวีป ตระกูลเย่หลางนั้นทรงพลังยิ่งกว่าตระกูลเทียนฮี่แต่ผู้คนก็ต่างกล่าวกันว่าบ้างก็บอกมันคือเรื่องจริงบ้างก็บอกมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง ส่วนข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”อี่หวงกหวู๋กล่าว
ชิงสุ่ยไม่ได้กังวลมากว่าข่าวลือเรานั้นจะเป็นจริงหรือไม่ เขาแค่ต้องการรู้ข้อมูลเพิ่มเติมอย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็รู้ว่าตระกูลเย่หลางคือตระกูลที่มีสถานะสูงส่งในเมืองหลวงของมหาทวีป เมืองหลวงของมาทวีปคือเวทีที่ไว้แสดงอำนาจสำหรับผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยตระกูลหลักของมหาทวีปและจะเป็นตระกูลของคนชนชั้นสูงที่แตกแขนงกิ่งก้านสาขาออกไปตามเมืองหลวงในส่วนภูมิภาคต่างๆ
แล้วด้วยการที่เมืองหลวงของมหาทวีปเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยชนชั้นสูงจึงถือเป็นพื้นที่ที่รุ่งเรืองมากที่สุดในภูมิภาค ดังนั้นเมืองเงินอื่นๆจึงจำเป็นจะต้องส่งกำไรของพวกเขาประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์เพื่อมอบให้กับเมืองหลวงหลักของมหาทวีป แล้วก็เท่ากับว่าเรื่องอื่นจะต้องมีฐานะต่ำกว่าเมืองหลวงและยังต้องแบ่งกำไรที่ควรจะได้รับออกอีกด้วย
เมืองหลวงหลักของมหาทวีปประกอบด้วยกลุ่มอำนาจ มันเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะกูลเดียวจะสามารถครอบครองผู้คนได้ทั้งทวีป กลุ่มตระกูลเหล่านี้จะแบ่งปันสิ่งต่างๆและสร้างพันธมิตรเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์และทรัพยากรที่ควรจะได้รับ
อย่างไรก็ตามนั่นย่อมต้องมีผู้นำของกลุ่มตระกูลทั้งหมด โดยจะถูกเลือกมาจากแต่ละตระกูลน่าจะต้องแสดงความสามารถความแข็งแกร่งและศักดิ์ศรีของตนให้ผู้อื่นได้เห็น
คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะได้รับเงินและสมบัติแต่พวกเขาก็จะต้องแสดงอำนาจปราบปรามเมืองต่างๆและล้มล้างเมืองที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับพวกเขา และเมื่อภูมิภาคเติบโตขึ้นก็ย่อมต้องมีกลุ่มต่างๆจัดตั้งกลุ่มขึ้น บางส่วนก็ถือได้ว่าเป็นกลุ่มกลางๆ และบางส่วนก็เลือกที่จะอยู่นิ่ง โดยทั่วไปแล้วกลุ่มมหาอำนาจจับกุมอำนาจอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ส่วน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากโข
ส่วนขั้วอำนาจอีก 2 ส่วนที่เหลือเป็นแบบผสม โดยรวมตัวกันของคนทุกประเภทซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
เนื่องจากพื้นที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าอำนาจจะถูกมอบหมาย ดังนั้นมันจึงลดหลั่นออกไปเมื่อสถานที่ที่อยู่นั้นห่างไกลขึ้นมันก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง
“ว่าแต่เจ้าพอจะรู้ลำดับของตระกูลที่แข็งแกร่งภายในเมืองหลวงหรือไม่?”ชิงสุ่ยอยากรู้รายชื่อของผู้ที่มีพลังอำนาจและโดดเด่น
“มันมีมากมายเหลือคณา และทุกอย่างก็ไม่ใช่ความลับ แต่มันผ่านมาหลายปีแล้วข้าจึงไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่เจ้าสามารถหาข่าวคราวของมันได้อย่างง่ายดาย”อี่หวงกู่หวู๋ยิ้มและกล่าว
……………………………
วันต่อมา ชิงสุ่ยก็ยังคงฝึกฝนภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะเช่นเดิม ด้วยการที่เขาสามารถทะลวงผ่านขึ้นสวรรค์ขั้นที่ 8 รูปแบบนกหงส์เพลิงภายในเคล็ดวิชาเลียนแบบสัตว์ 9 ชนิดจุดประกายขึ้น นั่นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าชิงสุ่ยสามารถเริ่มฝึกฝนมันได้แล้ว
มังกรและนกหงส์เพลิงคือสัตว์ในตำนาน แต่เมื่ออยู่ในโลก 9 มหาทวีปพวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่จริง ในโลกใบก่อนของชิงสุ่ย มีคำอธิบายมากมายเกี่ยวกับมังกรซึ่งเปรียบเทียบดังตัวผู้ชาย และนกหงส์เพลิงที่เปรียบดังตัวผู้หญิง อักขระที่ใช้อธิบายเพศชายและเพศหญิงนั้นล้วนมีความแตกต่างกัน แต่ผู้คนส่วนมากมักจะให้ความนับถือกับนกหงส์เพลิงซึ่งเป็นตัวแทนของผู้หญิง ดังนั้นราชันย์แห่งนกหงส์เพลิงจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสถานะสูงส่ง
เมื่อชิงสุ่ยได้เห็นทักษะที่เขากำลังจะได้เรียนรู้เพิ่มเติม เขาถึงกับตกตะลึงเพราะมันมีเพียงแค่ 2 ทักษะต่อสู้เท่านั้น
ร้อยปักษาบูชาหงส์ และหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม
ร้อยปักษาบูชาหงส์คือทักษะการใช้ปราณเพื่อลดความสามารถของศัตรูลง 10% ซึ่งสามารถซ้อนทับกับทักษะปราณอื่นได้
และมันก็ดูเรียบง่ายเหมือนชื่อของมัน : ร้อยปักษาบูชาหงส์ จะมีกลิ่นอายของราชันย์นอกจากจะซ้อนทับกับความสามารถในทักษะอื่นแล้ว สิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดของชิงสุ่ยนั่นก็คือปราณจักรพรรดิ์ เมื่อทั้งสองผสานเข้าด้วยกันมันจะทำให้ความสามารถของศัตรูลดลงได้ถึง 30%
30% ถือว่าค่อนข้างสำคัญ แม้แต่มังกรไอยราเกล็ดทองคำที่มีทักษะสูงส่งที่ลดได้ 10% ยังเป็นสิ่งที่ศัตรูต้านทานได้ยาก แต่สำหรับ 30% นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า
คำอธิบายต่างๆรวมถึงวิธีการฝึกฝนยังคงถูกจารึกไว้เป็นตัวอักษรภายใต้ทะเลแห่งปัญญาซึ่ง ชิงสุ่ยยังไม่รีบร้อนที่จะเริ่มเขาจึงหันไปมองดูทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม
คลื่นเสียง??
แต่สิ่งที่ชิงสุ่ยเห็นไม่ได้มีเพียงแค่นั้น แต่มันหมายถึงชนิดของเสียงหงส์เพลิงร่ำร้อง
หงส์เพลิงร่ำร้อง(เพลงศึก) : เพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับศัตรู เลือกเป้าหมายที่ต้องการเพื่อปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่
หงส์เพลิงร่ำร้อง(เพลิงสงคราม) : เพิ่มความสามารถในการต่อสู้ เลือกเป้าหมายที่ต้องการเพื่อเพิ่มโอกาสที่พลังโจมตีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
หงส์เพลิงร่ำร้อง(ทะลวงศึก) : เพิ่งโอกาสให้เป้าหมายสามารถโจมตีทะลวงผ่านเกราะป้องกันในระดับหนึ่ง
หงส์เพลิงร่ำร้อง(ระงับ) : ระงับความสามารถของเป้าหมายทำให้เป้าหมายไม่สามารถใช้งานพลังได้อย่างปกติ
………………….
เมื่อชิงสุ่ยมองเห็นสิ่งเหล่านี้มันยิ่งทำให้เขามีความสุข มันคือสิ่งที่น่าทึ่งและมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจมคือสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ยาก มันไม่ใช่เพราะเขาขี้เกียจแต่เพราะ ชิงสุ่ยนั้นไม่ได้รู้จักเรื่องดนตรีและทำนองที่จำเป็นต้องใช้
อย่างน้อยชิงสุ่ยก็ยังรู้สึกดีที่ได้รับการเรียนรู้ทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์ ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขาและทักษะที่สามารถลดพลังศัตรูมากถึง 30% มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ศัตรูเกิดความเสียขวัญจนต้องร่ำร้องด้วยความพ่ายแพ้
ชิงสุ่ยเริ่มต้นฝึกฝนอาจเป็นเพราะว่าเขานั้นชื่นชอบในทักษะการต่อสู้และรู้สึกว่ามันคล้ายคลึงกับปราณจักรพรรดิแต่ก็มีความแปลกประหลาดซ่อนอยู่ ซึ่งมันทำให้เขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและไม่มีความท้าทายใดๆ
1 วันผ่านไป แม้ว่าชิงสุ่ยจะยังไม่สำเร็จในระดับขั้นสมบูรณ์ แต่ความคืบหน้าก็เป็นไปอย่างราบรื่น เขายังคงพักผ่อนและมองดูการแตกกิ่งก้านสาขาของต้นอู้ทงต้นไม้ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของวิหคเพลิง ต้นไม้แห่งนี้ได้รับการบำรุงจากพลังปราณภายใต้ดินแดนหยกยุพราชอมตะ และมันยังได้รับการดูแลจากวิหคเพลิงซึ่งทำรังอยู่เหนือมัน มันจึงทำให้พลังปราณจิตอันเฉลียวฉลาดค่อยๆสร้างตัวและแฝงอยู่ภายใน
แน่นอนว่าเรื่องอายุนั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณา ชิงสุ่ยกำลังศึกษาวิธีการสร้างพิณ ขณะที่เขานำข้อมูลที่ได้รับมาพิจารณาเขาก็พยายามจดรายละเอียดเล็กๆและพยายามจำลองกระบวนการสร้างภายในจิตใจ
บทที่ 1373 – เตรียมตัวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของมหาทวีป พิณ(กู่ฉิน) 5 สาย
ชิงสุ่ยตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์และใช้เวลาว่างในขณะพักเพื่อสร้างพิณ(กู่ฉิน) เมื่อทุกอย่างก่อรูปก่อร่าง ชิงสุ่ยยิ่งรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเครื่องมือแต่ละอย่างของเขานั้นราวกับว่าถูกตั้งค่ามาเพื่อชิงสุ่ยโดยเฉพาะ มันเต็มไปด้วยความโบราณและอัดแน่นไปด้วยความสง่างาม
ชิงสุ่ยไม่รู้จักเกี่ยวกับพิณมากนักและไม่เคยใช้มันมาก่อนตอนที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามพิณ(กู่ฉิน)ก็ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ชนิดคือชนิด 5 สายและ 7 สายซึ่งมีความยาว 1 เมตรและกว้าง 1 ฟุต
แม้ว่าพวกมันจะดูไม่ซับซ้อนแต่กลับเต็มไปด้วยความสวยงามและสง่างาม ถึงตัวชิงสุ่ยจะไม่ค่อยมีความสนใจทางด้านดนตรีก็ตามแต่ทันทีที่เขาเห็นพิณ(กู่ฉิน) มันกลับทำให้เขารู้สึกว่าเขาควรจะเล่นมันและควรจะพัฒนาความสามารถของเขาให้ดีขึ้นอีกด้วย
สำหรับสายพิณ(กู่ฉิน)ทำมาจากเส้นไหมของหนอนไหมหิมะซึ่งแน่นอนว่าแต่ละเส้นจะต้องถักทอจากเส้นไหมจำนวนมาก เขาได้เลี้ยงหนอนไหมหิมะไว้ไม่มากแต่มันก็เพียงพอสำหรับการที่เขาจะสร้างพิณโบราณ(กู่ฉิน) เขาทำทุกขั้นตอนอย่างระมัดระวังและละเอียดอ่อนเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย จนทำให้พิณ(กู่ฉิน)มีความแข็งแรงและยังคงมีน้ำหนักเบา
ชิงสุ่ยยังคงทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งเขาถูกขับออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ แต่อย่างน้อยเขาก็ทำพิณ(กู่ฉิน) 5 สายสำเร็จและเคยชินกับทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์ แต่มันก็น่าสงสารที่เขาก็ยังคงไม่อาจบรรลุในทักษะนั้นได้
ทักษะการจักรพรรดิของชิงสุ่ยเป็นทักษะที่เรียกได้ว่าเป็นมรดกและไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถถ่ายทอดให้กับผู้อื่นได้ ซึ่งแตกต่างจากทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์ซึ่งเขาสามารถถ่ายทอดสู่ผู้อื่นได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนอื่นเช่นกันว่าจะสามารถรับมันได้หรือไม่ เพราะทักษะนี้เป็นประโยชน์ยิ่งและเป็นทักษะที่ใช้ในการควบคุมผู้อื่น
ถึงแม้ว่าตัวของชิงสุ่ยจะมีหลักฐานที่ยอดเยี่ยมแต่เขาก็ต้องใช้เวลากว่า 3 เดือนภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะเพื่อเรียนรู้ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จซึ่งเขาคาดคะเนไว้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 วัน ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับผู้อื่นแล้วอาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี
หลังจากถูกขับออกจากดินแดนห้วงมิติ ชิงสุ่ยก็เริ่มต้องการที่จะหาคนมาเพื่อทดสอบทักษะเพลงร่ำร้องจู่โจม ซึ่งคนที่เหมาะสมที่สุดก็คงจะเป็นอี่หวงกู่หวู่ เขานำพิณ(กู่ฉิน) 5 สายออกมาแล้วถ่ายทอดวิธีการฝึกฝนรวมถึงทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์ให้กับเธอ
อี่หวงกู่หวู่ถึงกับงุนงงและรู้สึกแปลกใจ เธอไม่เข้าใจความคิดของชิงสุ่ยว่าทำไมถึงมอบพิณ(กู่ฉิน)ให้กับเธอ หรือว่าเขาต้องการให้เธอฝึกฝนการเล่นพิณ(กู่ฉิน)?
หรืออาจจะเป็นเพราะเธอยังคงฝึกฝนไม่มากพอ?
ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะคิดมากเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเธอได้เห็นทักษะวิทยายุทธดวงตาของเธอก็ทอแสงเป็นประกายพร้อมกับยิ้มและกล่าวว่า “ข้าสามารถใช้มันฝึกฝนร่วมกับน้องสาวสู่ได้หรือไม่?”
“ย่อมได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถฝึกฝนได้และมันยังจำเป็นต้องใช้ทักษะในการฝึกฝนค่อนข้างสูง และถ้าหากไม่ถึงเกณฑ์กำหนด ต่อให้พยายามเรียนรู้มันมากเท่าไหร่ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“ข้ารู้ดีว่าทักษะที่น่าหลงใหลนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเรียนรู้ และข้าเองก็คิดว่ามันคงไม่ง่ายนักที่ข้าจะเรียนรู้เหมือนได้ เพียงแค่ข้าต้องการหาคนที่จะฝึกซ้อมกับข้าด้วยและคนที่คาดคิดไว้ก็คือน้องสาวสู่ อย่างน้อยที่สุดในอนาคตถ้าหากข้าได้เล่นพิณ(กู่ฉิน) น้องสาวสู่อาจจะกลายเป็นหญิงสาวผู้ร่ายรำที่แสนงดงาม” อี่หวงกู่หวู่ยิ้มและกล่าว
ชิงสุ่ยเกือบจะสำลักในขณะที่มองการแสดงออกทางสีหน้าของอี่หวงกู่หวู๋ จากนั้นเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะ
ทันใดนั้น 3 วันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งในวันนี้เทียนฮี่ เรินโม่ก็เลยมาหาเขาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันครั้งก่อน ทันทีที่เขาเห็นชิงสุ่ยเขาก็รู้ทันทีว่าตอนนี้เขาไม่อาจมองทะลุความสามารถของชิงสุ่ยได้แล้ว
“เจ้าสามารถทะลวงผ่านได้แล้วหรือ?”เทียนฮี่ เรินโม่ถามด้วยความตกตะลึง
“ดูเหมือนโชคของข้านั้นจะดีมากพอที่จะทำให้ข้าประสบความสำเร็จ”
ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเทียนฮี่ เรินโม่ ทุกอย่างที่เทียนฮี่ เรินโม่นั้นล้วนแล้วแต่มาจากชิงสุ่ย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าชิงสุ่ยจะถามอะไรเขาเขาก็ต้องตอบด้วยความยินดีทันทีและอาจกล่าวได้ว่าชิงสุ่ยคือผู้มีพระคุณของเขา
“การที่ท่านมาหาข้าอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ?”ชิงสุ่ยเชิญเทียนฮี่ เรินโม่ให้นั่งลง
“ข้ารู้ว่าน้องชายกำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของมหาทวีป แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะมุ่งหน้าไปเมื่อไหร่ ข้าหวังเพียงว่าข้าอยากจะไปที่นั่นพร้อมกับเจ้า”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวในสิ่งที่เขาคิด
ในช่วงนี้ทั้งสองคนค่อนข้างติดต่อกันบ่อยและชิงสุ่ยก็เคยกล่าวแล้วว่าเขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของมหาทวีป ในตอนนี้ชิงสุ่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเทียนฮี่ เนื่องจากเขาได้รู้จักกับเทียนฮี่ เรินโม่รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูล
“ข้าคิดว่าข้าจะออกเดินทางในเดือนหน้า ในเดือนนี้ถ้ามีบางอย่างที่ต้องทำและมันทำให้ข้าไปจากที่นี่ไม่ง่ายนัก”
ชิงสุ่ยไม่ได้วางแผนจะพาอี่หวงกู่หวู๋ไปกับเขาเพราะหอคอยจักรพรรดิยังจำเป็นต้องมีเธออยู่ อีกทั้งเขายังต้องกลับไปยังมหาทวีปธรรมไตรเพื่อบอกให้ตระกูลของเขาได้รับรู้ว่าในอนาคตการกลับมาของเขาอาจจะไม่เหมือนเดิม
“เอาล่ะ ไว้เดือนหน้าข้าจะมาหาเจ้าใหม่”เทียนฮี่ เรินโม่ เป็นคนพูดน้อยเขาจึงพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น
“ไว้เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวข้าจะไปหาพี่ใหญ่เอง ท่านรออยู่ที่นั่นเลยเลย” ชิงสุ่ยกล่าวโดยตรง
“ยอดเยี่ยม ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอเจ้าอยู่ที่บ้าน”
……………………………….
“ว่าแต่ชิงสุ่ย ทำไมเจ้าถึงไม่ย้ายหอคอยจักรพรรดิไปอยู่ในเมืองหลวงของมาทวีปแห่งนี้ล่ะ?”เมื่ออี่ห่วงกู่หวู๋ได้ฟังคำบอกเล่าจากชิงสุ่ยสีหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“ทำไมหรือ? หรือว่าเจ้าทนอยู่ห่างจากข้าไม่ได้”ชิงสุ่ยยิ้ม เขาเองก็เคยคิดเรื่องเหล่านี้แล้ว หอคอยจักรพรรดิคือสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองอี่หวง ถ้าหากสถานที่แห่งนี้จะต้องถูกย้ายออกไปคนจำนวนมากก็ย่อมไม่ยอมรับเรื่องนี้อย่างแน่นอนและมันอาจจะทำให้เกิดคำพูดติฉินนินทามากมายตามมา
ชิงสุ่ยไม่ได้กลัวเรื่องเหล่านี้เลยมันก็เป็นเพียงแค่น้ำสกปรกที่กำลังไหลลงท่อระบายน้ำ แต่เพื่อเป็นการตัดปัญหาชิงสุ่ยจึงคิดที่จะสร้างสาขาขึ้นใหม่ในเมืองหลวงของมหาทวีป แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าสาขาไหนควรจะเป็นสาขาหลัก
“ถูกต้อง ข้าไม่อาจทนอยู่ห่างจากเจ้าได้ เจ้าพอใจหรือยัง?”อี่หวงกู่หวู่กล่าวด้วยความโกรธ
“ข้าขอให้พี่ใหญ่และ เหยาชูบิงอยู่ที่นี่ส่วนข้าจะพาพี่สาวสู่ไปยังเมืองหลวงของมหาทวีปพร้อมกับพวกเราและจัดตั้งหอคอยจักรพรรดิขึ้นอีกสักทีแต่ไม่รู้ว่าที่ไหน”ชิงสุ่ยคิดบางสิ่งบางอย่างก่อนจะกล่าวออกมา
“จริงหรือ?”อี่หวงกูหวู่ไม่คิดว่าชิงสุ่ยจะเห็นด้วย
“ข้าเองก็อยากจะพูดเช่นนี้ แม้ว่าข้าจะคิดถึงเจ้าแต่ข้ารู้ดีว่าเจ้ามีสิ่งที่ต้องทำ มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยอะไรบ้าง?”อี่ห่วงกู่หวู่ตกตะลึงในขณะที่เธอพูดอย่างรวดเร็ว
“ข้าคิดแผนเหล่านี้มาโดยตลอด และข้าก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกันซึ่งถ้าหากเจ้าได้อยู่ข้างกายข้าตลอดเวลามันก็คงทำได้ข้ารู้สึกสบายใจ และด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าจะสามารถหยุดยั้งคนจำนวนมากได้และมันจะช่วยเหลือค่าได้ดียิ่งขึ้น”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าว เขาจำเป็นต้องสร้างรากฐานให้กับครอบครัวของเขาเพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่ดีและมั่นคงได้เมื่อมายังที่แห่งนี้
มันเป็นเรื่องดีที่อี่หวงกูหวู่ได้ไปยังเมืองหลวงของมหาทวีปด้วยเช่นกัน และด้วยพลังของ ธงสวรรค์ปัญจธาตุที่มีประโยชน์มากมายมันจะทำให้เขาสามารถเดินทางกลับไปมาได้อย่างสะดวก
เมื่อตัดสินใจแล้ว ชิงสุ่ยก็นำเรื่องต่างๆไปคุยกับหมอปีศาจและคนอื่นๆ
และด้วยความสามารถของตระกูลปู้หยางย่อมต้องไม่มีใครกล้าเข้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา ชิงสุ่ยจึงได้พูดคุยกับตระกูลปู้หยางเพื่อมอบหมายให้พวกเขาช่วยดูแลหอคอยจักรพรรดิตราบเท่าที่พวกเขาทําได้
ในตอนนี้ เหยาชูบิงแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ในอดีตเขาเคยเป็นคนหยิ่งทะนงแม้ว่าจะไม่ใช่ลูกที่เกิดจากภรรยาหลวงก็ตาม แต่หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมจากหอคอยจักรพรรดิ ความหยิ่งทะนงที่เคยมีทั้งหมดมันกลายเป็นเรื่องไร้สาระ ความสามารถของเขายังห่างไกลจากคนที่แข็งแกร่งอีกมากโข แล้วนี่มันจะทำให้เขากล้าแสดงความยินทนงและภาคภูมิใจในตัวเองได้อย่างไร?
เขาถือได้ว่าเป็นคนที่ฉลาด เขาพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายจากตัวของชิงสุ่ยซึ่งมันทำให้เขากลายเป็นคนที่ดีขึ้นและได้ใช้ประโยชน์เพื่อผู้อื่น
“ว่าแต่เจ้ากำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของมหาทวีปเพื่อจัดตั้งสาขาเช่นนั้นหรือ?”หมอปีศาจถามด้วยความประหลาดใจ
“มันคงเป็นเช่นนั้นแต่หอคอยจักรพรรดิที่แห่งนี้มันยังมีจำนวนหมอไม่มากพอ และด้วยความสามารถของท่านที่แห่งนี้จะยังคงยืนหยัดได้ เหล่าสมาชิกในตระกูลอี่หวงจะคอยช่วยเหลือท่าน และถ้าจะกลับมาที่นี่บ่อยๆ”ชิงสุ่ยคิดและกล่าว
“เห้อออ ข้ารู้ดีว่าวันนี้มันต้องมาถึง แต่ข้าไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วเช่นนี้ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด เจ้าก็จะเป็นคนที่สำคัญกับพวกเราตลอดไป”หมอปีศาจรู้ดีว่าชิงสุ่ยกำลังจะมุ่งสู่เมืองหลวงของมหาทวีป และนั่นก็หมายความว่าเวลาที่พวกเขาจะได้พบกันจะยิ่งน้อยลงไปอีก
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย เมื่อใดที่เราเจอผู้ที่เหมาะสมในสถานที่ที่เหมาะสม ข้าจะนำคนเหล่านั้นมาที่นี่และพาท่านไปยังที่แห่งใหม่เพื่อพัฒนาฝีมือของท่านต่อไป”
“ข้ารู้อย่าได้กังวลเลย!!”
………………….
ทันทีที่หยวน สู่ รู้ว่าชิงสุ่ยจะพาอี่หวงกู่หวู๋และเธอไปยังเมืองหลวงของมหาทวีปด้วย เธอยิ่งมีความสุข และยิ่งอี่หวงกู่หวู๋ได้เห็นท่าทางของเธอ มันยิ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังตกหลุมรักชิงสุ่ยอย่างแน่นอน
หญิงสาวทั้งสองมีความสุขมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ฝึกฝนทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจมพร้อมกัน
หยวนสู่ไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ทางด้านการปรุงยาแต่เธอยังมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีด้วยและดูเหมือนจะเหนือกว่าอี่หวงกู่หวู๋อยู่เล็กน้อย
ภายในเวลาอันรวดเร็วหญิงสาวทั้งสองก็สามารถเข้าใจพวกมันได้ดี
…………
ในชั่วพริบตาเวลากว่า 20 วันก็ผ่านไป และมันก็เป็นเวลาที่เขาใกล้ที่จะกลับบ้านอีกครั้ง ภายในระยะเวลา 20 วันนี้ ชิงสุ่ยได้ทำการฝึกฝนทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์ และคุ้นเคยกับมันอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเพียงไม่ถึงสองชั่วโมง ชิงสุ่ยก็เดินทางกลับไปถึงตระกูลชิง
ตอนที่เขาเดินเข้ามา เขาได้เห็น ชิงซุนและชิงหมิงกำลังฝึกสอน รากฐานของแต่ละคนที่อยู่ในตระกูลชิงต่างก็อยู่ในระดับสมบูรณ์ ทักษะฝีเท้าของชิงซุนนั้นมีแนวโน้มพัฒนาสูงขึ้นจนก้าวไปถึงระดับทักษะก้าวขจัดวิญญาณ ในขณะที่ชิงหมิงนั้นกำลังก้าวขึ้นสู่ระดับก้าวไร้วิญญาณ และเมื่อทั้งคู่ใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวามันให้ความรู้สึกว่าแต่ละคนนั้นช่างแตกต่างกัน
หมัดอสูรสันโดษ!!!
หมัดวานรปฤษฎางค์!!!
ชิงสุ่ยกำลังใช้ทักษะมันอสูรสันโดษในขณะที่ชิงซุนกำลังปลดปล่อยเพลงหมัดวานรปฤษฎางค์ การต่อสู้ของทั้งสองกำลังเป็นไปอย่างดุเดือด และดูเหมือนว่าชิงหมิงจะแข็งแกร่งกว่าอยู่เล็กน้อย มันทำให้ชิงสุ่ยที่ยืนดูอยู่ถึงกับเผยรอยยิ้ม
แต่ลูกชายคนโตก็ไม่ใช่คนที่จะสามารถจัดการได้โดยง่าย ชิงซุนยังคงยืนสงบนิ่งและไม่สั่นคลอนราวกับภูเขาที่ตั้งตระหง่าน ทุกครั้งที่เขาต้องเผชิญกับพลังอำนาจของชิงหมิง เขาสามารถปัดป้องและขจัดมันได้อย่างถูกต้อง รัศมีคลื่นพลังการเคลื่อนไหวและเพลงใหม่ที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นคล้ายคลึงกับระดับพลังธรรมชาติ
นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขาที่สามารถเข้าถึงมันได้ตั้งแต่วัยเยาว์ แม้ว่าชิงหมิงจะยังไม่อาจเอาชนะชิงซุนได้แต่ชิงซุนเองก็ไม่อาจทำอะไรชิงหมิงได้
มีเพียงสิ่งเดียวก็คือกลิ่นอายของชิงซุนที่นานวันยิ่งดูมั่นคงมากขึ้นเมื่อเทียบกับชิงหมิงและดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย
ทํานายนั้นเราเด็กน้อยคนอื่นๆก็สังเกตเห็นชิงสุ่ย และคนที่สังเกตเห็นเป็นคนแรกนั่นก็คือชิง อวี้ เธอร่ำร้องเรียกชื่อพ่อของเธออย่างมีความสุขขณะที่วิ่งไปหา ซึ่งมันทำให้ชิงซุนและชิงหมิงหยุดการต่อสู้ลงเช่นกันทันทีที่ได้ยินเสียง
บทที่ 1374 – มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ
ชิงสุ่ยรีบอุ้มชิงอวี้และเดินไปหาเหล่าเด็กๆ
มือข้างนึงของเขาอุ้มชิงอวี้ในขณะที่มืออีกข้างก็เอื้อมออกไปอุ้มชิงเหยียน จากนั้นก็เดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่นของตระกูลชิง และนี้ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่ตระกูลชิงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือเดินทางไกลไปที่ไหนเลยเพราะทุกคนต่างเฝ้ารอการกลับมาในทุกๆเดือนของชิงสุ่ย
แม้กระทั่งการค้าของตระกูลชิงเองก็ยังถูกจัดการโดยผู้อื่น และเงินที่เข้ามาสู่ตระกูลก็มากพอที่จะใช้อย่างไม่รู้จบ ไม่มีสิ่งใดที่ตระกูลชิงไม่อาจซื้อได้ยกเว้นเสียแต่สิ่งของที่ใช้เงินแลกเปลี่ยนมาไม่ได้
อำนาจการตัดสินใจในทุกอย่างยังคงอยู่ในกำมือของชิงสุ่ย และสิ่งที่ทำให้ตระกูลชิงก้าวไปข้างหน้าก็คือเขาซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำสูงสุด ชิงสุ่ยถ้าตะกูลของเขาเดินไปตามเส้นทางที่เขาวาด และด้วยความสามารถของชิงสุ่ยมันจึงทำให้เหล่าสมาชิกของตระกูลชิงเข้าถึงความสามารถใหม่ๆ ทั้งที่ในอดีตพวกเขายังไม่กล้าจินตนาการถึงขนาดนี้
“หยินเอ๋อ ครั้งนี้พ่อมีของขวัญมาให้เจ้าด้วยและพ่อมันใจว่าเจ้าจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน”ชิงสุ่ยเรายังมีความสุข ชิงหยินเป็นเด็กที่มักจะเก็บตัวเงียบและไม่ชอบการต่อสู้กับผู้อื่น
บุคลิกภาพประจำตัวของเธอยังคงเหมือนเดิมแม้ว่าเธอจะโตขึ้นแล้วก็ตาม อาจเป็นเพราะว่าเธอมองเห็นทุกคนที่ใกล้ชิดกับเธอนั้นล้วนแล้วแต่มีการแข่งขันที่สูง
“โอ้? อะไรเหรอ? ท่านพ่อ ท่านจะลำเอียงไม่ได้นะ ข้าเองก็อยากได้เช่นกัน”ชิงอวี้ยิ้มขณะกล่าว
“ก็ได้ก็ได้ เจ้าเองก็จะได้มันเช่นกัน”ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่หยิบเอาพิณ 5 สายขนาดเล็กออกมาและมอบให้กับเด็กๆทุกคน
ชิงหยินแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขทันทีที่เห็นพิณ 5 สาย เพราะในอดีตที่ผ่านมาชิงสุ่ยสังเกตเห็นว่าชิงหยินเป็นคนที่ชอบดนตรี แต่ตัวของชิงสุ่ยนั้นรู้จักเครื่องดนตรีเพียงแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น และที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือการที่ชิงหยินหยิบมันขึ้นมาและเรียนรู้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะเริ่มบรรเลงเพลงอันไพเราะเบาๆ ราวกับว่ามันกำลังรวมกันเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของเธอ บางท่วงทำนองเต็มไปด้วยความสง่างาม บ้างก็โศกเศร้า ราวกับคนที่กำลังจมอยู่ในความเหงา
“ท่านพ่อของข้าดีที่สุดในโลกเลย!!”ชิงหยินตอบรับอย่างมีความสุขในขณะที่เธอพยายามดึงชิงสุ่ยให้ย่อเข่าลงก่อนที่จะจูบลงบนใบหน้าของชิงสุ่ยผู้เป็นพ่อ
การกระทำเล็กๆน้อยๆนี้ยิ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกประทับใจ เพราะการกระทำเหล่านี้มักจะพบเจอได้ในตัวของชิงอวี้ซึ่งเป็นการยากมากที่จะได้รับการกระทำเช่นนี้จากตัวของชิงหยิน
ชิงสุ่ยเอื้อมมือออกไปและค่อยๆลูบหัวเธออย่างช้าๆก่อนจะเริ่มสอนทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม “ลูกพ่อเจ้าลองดูบทบรรเลงนี้สิ มันเป็นบทบรรเลงที่ไพเราะอย่างยิ่งและเป็นเอกลักษณ์มาก แม่ของเจ้าและป้าๆของเจ้าจะต้องได้ฝึกฝนมันเช่นกัน”
จากนั้นชิงสุ่ยก็หยิบเอาบันทึกสำเนาท่วงทำนองบทเพลงออกมาแล้วแบ่งจ่ายให้กับเด็กๆทุกคน ซึ่งในครั้งนี้ชิงเหยียนเป็นคนที่แสดงท่าทางมีความสุขมากที่สุด
“ท่านพ่อ ถ้าข้าไม่อยากได้มันแล้วจะได้หรือไม่?”หลังจากกล่าวจบ ชิงอวี้ก็ก้มหน้าลงพร้อมกับส่ายหน้า ดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้เธอจะต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษ
“การเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จะทำให้เจ้าสามารถสั่งสอนพวกคนไม่ดีได้ เจ้าไม่อยากจะเรียนรู้มันหรือ?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวอย่างอ่อนโยน เขามองดูการแสดงออกของสาวน้อยที่กำลังเขินอาย
เขาไม่ต้องการบังคับให้เหล่าเด็กๆต้องเรียนรู้ในสิ่งที่พวกเธอไม่อยากเรียนรู้ เขารู้ดีว่าความสามารถในการเรียนรู้จะเป็นเลิศได้ก็ต่อเมื่อเด็กๆสนใจที่จะเรียนรู้มันจริงๆ มันก็เหมือนกับการที่เขามองเห็นความสนใจในด้านดนตรีของชิงหยิน มันถึงทำให้ชิงสุ่ยรู้ดีว่าเธอจะเรียนรู้มันได้และทำมันได้ดีอย่างแน่นอน
และก็เป็นโชคดีที่เธอสนใจเรียนรู้ในทักษะย่างก้าว 9 เทวารวมถึงเพลงหมัดไทเก๊ก อีกทั้งเธอยังมีพี่สาวและน้องชายที่คอยช่วยเหลือ ต่อให้ในอนาคตชิงสุ่ยจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้วหรือเขาต้องตายไป ก็จะไม่มีใครกล้าข่มขู่เธอ และต่อให้ชิงหยินไม่สนใจที่จะฝึกฝนพลังปราณ ชิงสุ่ยก็ย่อมไม่บังคับเธออย่างแน่นอน
พ่อแม่ทุกคนย่อมต้องอยากให้ลูกสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่วิธีการเลี้ยงลูกของแต่ละคนนั้นก็ยังต้องแตกต่างกัน การบังคับลูกอาจจะไม่ใช่หนทางที่ดี และมันอาจทำให้เด็กบางคนกลายเป็นเด็กที่นิสัยเสีย
ชางห่านหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ทั้งสองคนต่างก็ได้รับ พิณ(กู่ฉิน) 5 สาย ที่มีขนาดเท่ากับพิณ(กู่ฉิน)ที่อี่หวงกู่หวู๋และหยวนสู่ใช้อยู่ อีกทั้งพวกเธอยังได้รับการถ่ายทอดทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจมเช่นเดียวกันและชิงสุ่ยก็ยังถ่ายทอดทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์ให้กับพวกเธอ ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่ค่อยสนใจมันมากนัก คนที่สนใจมากก็คือชางห่ายหมิงเยวี่ยและติ๊ชิง แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอทั้งสองจะรู้ดีว่าโอกาสที่จะเรียนรู้ทักษะนี้จนสำเร็จได้นั้นจะมีน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์
ชิงสุ่ยเองก็ไม่ได้ร้องขอให้พวกเธอฝึกฝน และปล่อยให้พวกเธอตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่เขาก็ได้พบกับความน่าประหลาดใจ
หลวนหลวน!!
หลวนหลวน เด็กน้อยผู้เกิดมาพร้อมกับสัตตะดวงใจลี้ลับ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะสามารถเข้าถึงดินแดนสวรรค์แห่งเสียงเพลงได้ หลังจากที่เธอฝึกซ้อมเพียงไม่กี่ครั้งเธอก็สามารถปลดปล่อยเสียงร่ำร้องแห่งนกหงส์เพลิงที่น่าตะลึงให้ทุกคนได้สดับฟัง
ท่วงทำนองบทเพลงอาจจะดูคล้ายกันแต่กลับรู้สึกไม่อาจต้านทานมันได้ แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็ยังรู้สึกว่าเสียงดนตรีนี้มันเกิดมาเพื่อควบคุมและสังหารผู้คนอย่างแท้จริง
หลวนหลวนยังคงฝึกซ้อมอย่างเงียบๆโดยที่ทุกคนถึงกับหยุดการฝึกฝนของตนเองและเฝ้ามองการบรรเลงเพลงของหลวนหลวน การแสดงออกของเธอนั้นราวกับว่าเธอได้ฝึกฝนมันมานับแรมปี คนทั่วไปเมื่อบรรเลงเพลงจะไม่สามารถเจาะจงเข้าสู่จุดเป้าหมายที่ต้องการได้แต่เธอนั้นสามารถส่งเสียงบรรเลงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยที่เสียงเพลงของเธอนั้นสามารถเจาะทะลุผ่านทุกสิ่งอย่างโดยไม่มีแม้แต่สิ่งที่ขวางกั้นมันได้
ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยไม่เคยคาดหวังเลยว่าหลวนหลวนจะสามารถเรียนรู้ทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจมได้ไวเช่นนี้ อาจเป็นเพราะว่าเธอนั้นคือผู้ฝึกสัตว์ที่ทรงพลัง จึงมีรากฐานที่ไม่เหมือนผู้อื่น ในอนาคตเธอจะต้องเติบโตขึ้นในอัตราที่รวดเร็วกว่านี้เป็นแน่
ภายในตระกูลชิงยังมีผู้คนเพียงน้อยนิดที่สามารถใช้ยาเม็ดเลื่อนขั้นเมฆามรกต โอสถหวนคืนพลังและยาเม็ดสวรรค์หยาง ซึ่งทุกคนที่ใช้มันร่างกายจะพัฒนาและแสดงถึงพลังแฝงที่ซ่อนอยู่ผ่านการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้ใช้ได้ก็ยังต้องใช้ความเข้าใจที่สูงส่งเพื่อดูดซึมซับพลังงานจากตัวยาเหล่านั้น
ชิงสุ่ยเชื่อว่าในอนาคตเขาจะต้องค้นพบสูตรการปรุงยาต่างๆมากขึ้นและมันจะสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับคนที่ไม่อาจก้าวข้ามพลังเหล่านั้นไปได้
สำหรับตระกูลเล็กๆที่จะกลายเป็นตระกูลยิ่งใหญ่ได้นั้นล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคนและยังต้องลงแรงลงตายจำนวนมาก ส่วนตระกูลชิงนั้นกลับใช้เพียงแค่ 4 ชั่วโมงคุณเท่านั้น ต้องก้าวขึ้นสู่ตระกูลที่ทรงพลังและคงจะเป็นตระกูลที่ทรงพลังที่สุดใน 5 มหาทวีป ซึ่งไม่มีวันเสื่อมคลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นภัยคุกคามสำหรับตระกูลต่างถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น
แต่ดูเหมือนว่าตระกูลชิงยังไม่ปรากฏสายเลือดที่ถ่ายทอด ไม่ว่าจะเป็นลูกของเขากับเหวินเหรินอูซวงหรือติ๊ชิง เด็กๆเหล่านั้นยังไม่มีอาการแสดงถึงสายเลือดถ่ายทอดให้ปรากฏเห็นเลย
ในปัจจุบันชิงสุ่ยได้ก้าวข้ามขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศและตัวของเขาเองก็ถือครองกายาทองคำ9หยาง มันยิ่งทำให้ชิงสุ่ยรับรู้ว่ากายาทองคำ 9 หยางคงไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถถ่ายทอดไปได้
ส่วนทักษะเลียนแบบสัตว์ 9 ชนิด ก็ยังเป็นที่น่าสงสัยว่าเขาจะสามารถถ่ายทอดความสมบูรณ์ของทักษะเหล่านี้ไปได้หรือไม่?
หลังจากได้พักผ่อนช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ชิงสุ่ยก็ได้จะไป ตระกูลชิงกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ทุกครั้งที่เขากลับมาเขาก็จะอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นและในอนาคตเขาอาจจะอยู่ได้เพียงแค่ 2 วัน เวลาพักผ่อนของเขาเหลือน้อยลงทุกทีเพราะเขายังคงมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย
เมื่อชิงสุ่ยกลับมายังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ อี่หวงกู่หวู๋ได้เตรียมพร้อมและทุกคนก็มารอเขาอยู่ที่หอคอยจักรพรรดิ ชิงสุ่ยได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่อี่หวงกู่หวู๋และหยวนสู่ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของมหาทวีป
หลังจากที่ได้พูดคุยกันกว่า 1 วัน ชิงสุ่ยก็ได้พาพวกเธอใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวะเพื่อมุ่งหน้าสู่สถานที่ที่เขาจำเป็นต้องไปก่อน
เมืองเทียนฮี่!!
ชิงสุ่ยยังคงจำคำสัญญาที่เขาได้บอกไว้กับ เทียนฮี่ เรินโม่ เขาจึงมุ่งหน้าตรงไปยังตะกูลเทียนฮี่เป็นอันดับแรก
“เจ้าต้องการที่จะพักก่อนจะเดินทางที่บ้านของข้าสักวันหรือไม่?”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวถามอย่างสุภาพ
“พี่ชาย อย่าได้ลำบากเลย ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการที่เราจะออกเดินทาง”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“งั้นก็เอาตามที่เจ้าว่า!!”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวตอบ เขาเดินออกไปชั่วครู่หนึ่งเพื่อบอกลากับทุกคนในตระกูลเทียนฮี่ ว่าถึงเวลาที่เขาจำเป็นจะต้องเดินทางแล้ว
หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็ได้ใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวาติดต่อกันจนครบ และเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมาเพื่อให้เหล่าหญิงสาวนั่งบนหลังมัน ส่วนเขาและเทียนฮี่เรินโม่นั่งอยู่ด้านหน้า
“น้องชาย ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงต้องการมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของมหาทวีป?”เทียนฮี่ เรินโม่เปล่าถามด้วยความอยากรู้
“อันดับแรกถ้าต้องการไปจัดตั้งหอคอยจักรพรรดิ ณ ที่แห่งนั้น จากนั้นข้าก็คงจะออกเดินทางไปรับรอบเพื่อดูว่าใครจะทำอะไรอย่างอื่นได้บ้าง ว่าแต่พี่ใหญ่ล่ะ ท่านต้องการจะไปทำอะไร?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวถาม
“ข้า…..ข้าคงจะไปตามหาอาจารย์ของข้า เพื่อให้เขาพาข้าก้าวข้ามขีดจํากัดขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ”น้ำเสียงของเทียนฮี่ เรินโม่เต็มไปด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่
“พี่ใหญ่ รากฐานของท่านก็ไม่ได้เลวร้ายนัก และข้าเองก็หวังว่าท่านจะก้าวหน้าก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้ แต่ท่านควรรู้เอาไว้ว่าทุกอย่างกล่าวหลังจากนี้จะเต็มไปด้วยความอันตราย”ชิงสุ่ยกล่าวตามความจริง ทุกคนที่จะบรรลุในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศล้วนแล้วแต่จะต้องเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ
เผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ นั่นก็เท่ากับว่าทุกคนจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อแลกเปลี่ยนความเป็นและความตาย
“ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ข้าได้เลิกใส่ใจมันแล้ว และก็ไม่คิดหวังอะไรมากมาย จนกระทั่งได้เจอกับน้องชายอย่างเจ้า หลังจากนี้ข้าจะต้องพัฒนาขึ้นและคืนสนองหนี้ที่คนอื่นเคยทำกับข้า”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ว่าแต่ท่านพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเย่หลางบ้างหรือไม่?”ชิงสุ่ยเอ่ยถาม
“พวกเขาคือตระกูลที่อยู่ภายในเมืองหลวงของมาทวีปและเป็นตระกูลที่ทรงพลังยิ่ง พวกเขามีพลังมากมายเหนือตระกูลเทียนฮี่ แต่ถึงกระนั้นตระกูลเย่หลางหากต้องการทำลายตระกูลเทียนฮี่พวกเขาเองก็ต้องสูญเสียอย่างมาก ดังนั้นสงครามใหญ่คงจะไม่เกิดขึ้นแน่”
“แล้วหลังจากที่ท่านได้เจอในสิ่งที่ต้องการแล้วท่านอยากจะทำอะไรต่อ?”ชิงสุ่ยเอ่ยถามขณะจ้องมองเทียนฮี่ เรินโม่
“ข้าจะสู้ ข้าจะทำให้พวกมันต้องรับรู้ในสิ่งที่ทำกับข้าไว้”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ท่านรอมา กว่า 10 ปีแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่รอต่ออีกหน่อย?”ชิงสุ่ยกล่าวขณะมองไปทางเทียนฮี่ เรินโม่
“หลังจากที่ก้าวข้ามขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศแล้ว ข้ารู้ดีว่าการที่ข้าจะยกระดับพลังขึ้นสู่อีกระดับหนึ่งมันคงเป็นเรื่องที่ยากมาก ไหนจะต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต แม้ว่าข้าเองก็อยากที่จะก้าวข้ามขึ้นถึงระดับที่ 3 แต่มันก็คงทำให้ชีวิตและความตายของข้าห่างกันเพียงแค่เส้นบางๆ และข้าก็กลัวว่าข้าจะไม่มีโอกาสได้ทำมัน”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
ชิงสุ่ยเองก็รู้สกประหลาดใจเช่นกัน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าพลังของเขานั้นอยู่ในจุดใดของขั้นปราณบัณชาสวรรค์พินาจ แต่เขาควรพิจารณาว่าอยู่ในระดับเดียวกับระดับปราณบัณชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 2 แต่น่าแปลกที่เขาเองก็ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ
หรือว่าเขาไม่จำเป็นต้องเผชิญกับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ?
หรือว่ามันมีเงื่อนไขอะไร ทำไมเขาถึงไม่ต้องเผชิญหน้ากับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ?
บทที่ 1375 – เดินทางมาถึงคฤหาสน์แห่งเมืองหลวงของมหาทวีป คนรับใช้ละโมภ คำเตือน
ชิงสุ่ยเองก็ยังคงไม่รู้ว่าทำไม หรือว่ามันเป็นเพราะการที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาต่างๆผ่านเคล็ดวิชากายาบรรพกาล?”
ณ ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาศ การที่จะเพิ่มพูนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นพลังต่อไป ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ ซึ่งการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจไม่ได้สร้างเฉพาะภัยพิบัติเพียงอย่างเดียวแต่ยังแบ่งเบาสิ่งที่อัดแน่นภายในร่างกายออกมาเช่นกัน
ดังนั้น การเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจจึงเปรียบเสมือนตัวแปรที่ช่วยปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงคลื่นพลังภายในร่างกายให้ก้าวขึ้นสู่ระดับที่ทรงพลังยิ่งขึ้น มันจะทำหน้าที่ในการรักษาเสถียรภาพของร่างกายมนุษย์ และอาศัยการเพิ่มพูนพลังผ่านความทนทานในร่างกายที่กําลังระเบิดออก
หรืออาจเป็นไปได้ว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งพอที่จะทำให้ไม่รับรู้ถึงการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ?
“ถ้าหากพี่ใหญ่เชื่อในตัวข้า ท่านก็จงมาหาข้าหลังจากที่ได้เจอกับท่านอาจารย์ของท่าน และเมื่อถึงเวลานั้น ข้ามีเรื่องที่จะพูดกับท่านมากกว่านี้”
แรกเริ่มเดิมทีชิงสุ่ยเองก็ต้องการช่วยเหลือเทียนฮี่ เรินโม่ในการสร้างรากฐาน ซึ่งบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตของเขาเองก็เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าเทียนฮี่เรินโม่เองก็มีปรมาจารย์ที่ทรงพลัง เขาจึงอยากดูว่าอาจารย์ของเขาทำอะไรได้บ้างและไม่ต้องการสร้างแรงดึงดูดที่ไม่จำเป็นจากคนภายนอก
ดังนั้นชิงสุ่ยจึงเลือกที่จะช่วย เทียนฮี่ เรินโม่ ภายหลังจากที่เขาได้กลับไปเยี่ยมอาจารย์แล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นความสามารถในตัวของชิงสุ่ยเองก็คงจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงมากพอจะยืนอยู่เหนือเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้
เมืองหลวงของมหาทวีปอยู่ไม่ห่างไกลจากพระราชวังจอมอสูร ซึ่งพระราชวังจอมอสูรตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ มหาทวีปมังกรอหังกาลและมหาทวีปอุดรเทวา ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพระราชวังจอมอสูรไม่ได้อยู่ภายใต้มหาทวีปใดๆทั้ง 3 หาทวีปนี้
ชิงสุ่ยได้รู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่ที่เป็นจุดตัดของทั้ง 3 มหาทวีป และยังรู้ถึงการดำรงอยู่ของกองกำลังที่แข็งแกร่ง และตัวตนของอสูรอมตะนิรันดร์
และในตอนนี้ต่อให้เขาใช้ทั้งกลางจักรพรรดิและร้อยปักษาบูชาหงส์ก็ไม่รู้ว่ามันจะมากเพียงพอที่จะช่วยเหลือเธอได้หรือไม่? เขาเองก็สงสัยว่าของที่ให้เธอไปก่อนหน้านี้จะมีประโยชน์มากพอที่จะช่วยเหลือเธอได้จริงๆหรือ เวลานี้คือเวลาที่เขาต้องมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของมหาทวีป เขาจะมีโอกาสได้เจอกับเธออีกหรือไม่?
ต่อให้เธอคือประมุขอสูร มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถตัดสินว่าเธอเป็นคนดีเพียงพอหรือไม่ ดั่งเช่นบุคคลบางคนอาจจะดูดีต่อหน้าคนๆเดียวแต่กลับเป็นคนไม่ดีต่อหน้าผู้อื่นมากมาย
แต่ชิงสุ่ยก็ยังรู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนที่เลวร้าย แต่เธอคงจะได้รับสิ่งต่างๆมากมายมากดดันตลอดเวลา หลายคนที่เสแสร้งว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม แต่บางครั้งพวกเขากลับสวมเสื้อภายนอกที่ดุร้ายเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน และบางคนก็เลวร้ายยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก
ซึ่งต่อให้เธอไม่ใช่คนดี ชิงสุ่ยก็ยังเลือกที่จะช่วยเหลือเธอ ผู้ที่มีพละกำลังอำนาจสูงทรงเหนือกว่าผู้อื่นคือคนที่กำหนดชะตากรรมว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี โลกใบนี้มีเพียงแค่คนแข็งแกร่งและอ่อนแอเท่านั้น ผู้ทรงพลังเพียงแค่แสดงท่าทางทุกคนต่างสรรเสริญว่าเป็นคนดี ไม่ว่าเขาจะพูดจาใดๆทุกคนล้วนสรรเสริญว่าเป็นผู้มีเหตุผล ดูเหมือนกฎเหล่านี้จะเป็นกฎเกณฑ์เดียวกับทั้งโลกไปก่อนและโลกใบนี้ที่ชิงสุ่ยและอาศัยอยู่
และแน่นอนว่าทุกอย่างนั้นก็เป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบ ไม่มีสิ่งใดหรอกที่ถูกจัดอยู่ในสิ่งที่ดีและไม่ดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์คือการเอาตัวรอดและพัฒนา
“แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าต้องเชื่อใจเจ้าไอ้น้องชาย เอาล่ะ หลังจากที่ข้าได้ไปพบท่านอาจารย์ข้าจะกลับไปหาเจ้า”เทียนฮี่ เรินโม่ กล่าวด้วยวาจาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมในตัวของชิงสุ่ย
ตลอดการเดินทาง ชิงสุ่ยและเทียนฮี่ เรินโม่ยังคงพูดคุยกันและมันยิ่งยืนยันความแค้นระหว่างเทียนฮี่ เรินโม่กับตระกูลเย่หลาง ดูเหมือนความแค้นจะเกิดขึ้นเฉพาะเหล่ารุ่นเยาว์ ซึ่งบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลล้วนแล้วแต่ไม่มีความเกี่ยวข้อง แต่ถึงกระนั้น เทียนฮี่ เรินโม่ก็ยังได้รับความอับอายที่ส่งทอดไปถึงตระกูลเทียนฮี่
หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านมาหลายปี เทียนฮี่ เรินโม่ต้องอาศัยอยู่กับความอัปยศอดสู และตราบใดที่เขาสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นที่ 2 ได้ โอกาสดีๆย่อมต้องกลับมาหาเขาอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องบรรลุจนถึงขั้นปลายของระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นที่ 1 นี่คือเหตุผลที่เขามายังเมืองหลวงของมาทวีปแห่งนี้
…………………………
ทั้งหมดยังคงเดินทางต่อไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยไปกว่า 1 เดือน ซึ่งช่วงเวลากลางเดือนชิงสุ่ยก็ได้เดินทางกลับไปยังตระกูลชิงแต่ก็เลยพักอยู่เพียงแค่หนึ่งคืนเท่านั้น
มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ!!!!
มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล เมื่อมองดูภูเขาและแม่น้ำที่ตั้งตระหง่าน และมองดูเมืองอันกว้างใหญ่ สถานที่แห่งนี้เปรียบดังพื้นดินที่ไกลสุดลูกหูลูกตาราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ชิงสุ่ยไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่แสนสดชื่นเมื่อมองมันอยู่เหนือท้องฟ้าได้
” พี่ใหญ่ ท่านสามารถแยกตัวไปหาอาจารย์ของท่านได้นะ อย่าได้กังวลเลยเดี๋ยวพวกเราจะไปตามหาสถานที่เพื่อจัดตั้งสาขาของหอคอยจักรพรรดิกันเอง”ชิงสุ่ยคิดบางอย่างและกล่าวออกมา
“อย่าได้กังวล แม้ว่าตระกูลเทียนฮี่ จะไม่ได้ตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของมหาทวีป แต่พวกเราเองก็มีสินทรัพย์จำนวนมากอยู่ ณ ที่แห่งนั้น อีกทั้งพวกเรายังมีคฤหาสน์ที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการก่อตั้งหอคอยจักรพรรดิของพวกเจ้า เดี๋ยวข้าจะเป็นคนนำทางไปเอง”เทียนฮี่ เรินโม่ยิ้มและกล่าว
“โอ้ จริงหรือ? ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็คงต้องตอบตกลง โดยไม่มีพิธีรีตองใดๆอีกแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้มขณะตอบกลับ
“ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ข้าก็คงรู้สึกผิด ตัวข้าเองนั้นก็มีเพื่อนอยู่เพียงแค่หยิบมือ และเจ้าก็ถือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ชีวิตทั้งหมดของข้าเองก็ได้รับมาจากเจ้า ต่อให้เจ้าร้องขออะไรข้าก็จะไม่ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว”
เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวกับชิงสุ่ย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามเขาจะรักษาเพื่อนที่สำคัญของเขาเอาไว้ให้ได้
ชิงสุ่ยค่อนข้างเข้าใจความรู้สึกของเทียนฮี่ เรินโม่ ซึ่งเขาก็ชื่นชอบคนที่มีนิสัยเช่นนี้อย่างมาก และเหมาะที่สุดที่จะได้คนเหล่านี้มาเป็นสหาย
3 วันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองชั้นใน!!!!
เนื่องจากเมืองหลวงของทวีปมีขนาดที่ใหญ่มหึมามันจึงถูกแบ่งออกเป็นหัวเมืองชั้นนอกและหัวเมืองชั้นใน อย่างไรก็ตามภายใต้พื้นที่เหล่านั้นก็ยังถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วนหลายๆส่วน
สินทรัพย์ของตระกูลเทียนฮี่บางส่วนก็อยู่ภายในเมืองหลวงแห่งนี้เช่นกัน แต่สิ่งของต่างๆส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยมีค่า ยกเว้นแต่บรรดาคฤหาสน์และการค้า แต่ถึงกระนั้นสินทรัพย์เหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญของตระกูลเทียนฮี่เลย
ความมั่งคั่งของเมืองแห่งนี้แตกต่างจากเมืองอื่นโดยสิ้นเชิง คฤหาสน์ขนาดใหญ่มากมายตั้งตระหง่านอยู่เต็มพื้นที่ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงประวัติอันยาวนาน
เทียนฮี่ เรินโม่ได้นำทางชิงสุ่ยแล้วเราสุภาพสตรีไปยังคฤหาสน์ที่ดูเหมือนจะยังไม่เก่าโบราณมากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ว่าสิ่งก่อสร้างชิ้นนี้จะต้องเป็นของพ่อค้าผู้มั่งคั่งระดับกลาง อย่างน้อยมันก็ยังคงเต็มไปด้วยความหรูหรา
คฤหาสน์แห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก และประกอบด้วยศาลาภายในขนาดใหญ่ดีกว่า 10 แห่ง นั่นเป็นตัวบ่งบอกถึงราคาอันมหาศาลของตัวอาคารคฤหาสน์หลังนี้ และมันยังตั้งอยู่ในทำเลที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
“น้องชาย ข้าขอมอบสถานที่แห่งนี้ให้กับเจ้า ส่วนข้านั้นจะขอมุ่งหน้าแยกตัวตรงไปหาบ้านของอาจารย์ข้า”เทียนฮี่ เรินโม่ วางแผนทั้งหมดเอาไว้
“ขอบคุณมาก ถ้าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ท่านก็จงมาหาข้าที่นี่ อย่าลืมสิ่งที่ข้าได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ท่านจงมาหาข้าหลังจากที่ท่านทำภารกิจกับอาจารย์ของท่านเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าอาจจะช่วยเหลือท่านได้อีกเล็กน้อย”ชิงสุ่ยกล่าวเตือนอีกครั้ง
“อืม ข้าไม่ลืมอย่างแน่นอน”เทียนฮี่ เรินโม่เรายังหนักแน่น ตั้งแต่ที่เขาได้ฟังชิงสุ่ยกล่าวเรื่องราวทั้งหมด เขาก็รู้สึกได้ว่าชิงสุ่ยจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่สามารถสนับสนุนเขาได้ แต่ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคือสิ่งใด
เทียนฮี่ เรินโม่ได้กล่าวลาทั้งอี่หวงกูหวู่และหยวนสู่ก่อนจะออกเดินทางและจากไป
เหล่าสาวรับใช้จำนวนมากกำลังเร่งรีบทำความสะอาดรวมถึงตัวของพ่อบ้านเช่นกัน พ่อบ้านหลังนี้เป็นชายที่มีอายุประมาณ 40 ปี เขามองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรมากนัก ในอดีตตระกูลเทียนฮี่จะส่งเงินมายังคฤหาสน์หลังนี้เพื่อใช้ในการบำรุงรักษา ซึ่งมันทำให้เขาและครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคนนอกเข้ามาและกลายเป็นเจ้าของของคฤหาสน์หลังนี้ มันคงจะเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับเขาที่จะอยู่ในสถานที่แห่งนี้และสามารถทำในสิ่งที่ตนต้องการได้ เขาเคยอยู่ที่นี่ด้วยความอิสระแต่เมื่อมีผู้อื่นเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมจะแตกต่างไป
ชิงสุ่ยจ้องมองไปที่ชายคนนั้น ถึงแม้ว่าเขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อปกปิดสายตาไม่ให้เกิดข้อน่าสงสัย แต่ชิงสุ่ยก็ยังคงสามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ชิงสุ่ยจึงค่อยๆเผยรอยยิ้มขณะกล่าวถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
” จ้าว เหยาหวู่”
ชายคนนี้ดูเหมือนจะยังไม่ได้ยินคำพูดที่ออกมาจากเทียนฮี่เรินโม่เรื่องที่ว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นของชิงสุ่ย ผนวกกับการที่เขาได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มาเป็นเวลายาวนานจนมันทำให้เขารู้สึกว่านี่คือคฤหาสน์ของเขาเอง และเขาเองก็มั่นใจว่าคนของตระกูลเทียนฮี่จะไม่มีวันมาที่นี่อย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ของตระกูลเทียนฮี่ได้รับความอับอาย พวกเขาก็กลัวว่าปัญหาจะบานปลายมากกว่านี้จึงไม่มีผู้ใดมาอาศัยอยู่ที่นี่
แล้วถ้าหากเป็นเรื่องการขายคฤหาสน์ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะทำหากว่าจนปัญญาจริง ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ต่อให้พื้นที่เหล่านี้จะกลายเป็นรกร้าง พวกเขาย่อมต้องไม่ยอมเสียหน้าที่จะปล่อยพื้นที่ดีๆเหล่านี้ไป
พ่อบ้านผู้ชายคนนี้ไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นมีความสัมพันธ์ใดกับตระกูลเทียนฮี่ แต่เขาเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้จะต้องอยู่ที่นี่ไม่นานนัก พ่อบ้านจึงพยายามแสดงท่าทีที่ดีแม้ว่าภายในใจจะคิดร้ายก็ตาม
แม้ภายนอกจะไม่แสดงให้เห็นแต่คนอย่างชิงสุ่ยย่อมรู้อยู่แล้วว่าคนรับใช้คนนี้เป็นคนที่คิดร้าย ซึ่งมันอาจเกิดจากความโลภที่มากเกินขอบเขต มากเกินกว่าจะจดจำที่ที่ตนควรจะยืนอยู่
“ไม่ทราบว่าเจ้าอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวถาม
” 30 ปี”
” เวลา 30 ปีถือว่าไม่ใช่เวลาที่สั้นๆเลย”ชิงสุ่ยยังคงยิ้มและกล่าวตอบ
“ถูกต้อง ไม่มีใครคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดีเท่าข้า และไม่มีใครเหมาะสมกับสถานที่แห่งนี้ดีเท่าข้าเช่นกัน”จ้าว เหยาหวู่ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“แต่เจ้าก็เป็นเพียงแค่พ่อบ้านประจําคฤหาสน์หลังนี้ คำพูดของข้าเพียงแค่คำเดียวก็สามารถไล่เจ้าออกจากสถานที่แห่งนี้ไปได้ จำไว้”หลังจากกล่าวจบ ชิงสุ่ยก็มุ่งหน้าตรงไปยังศาลาที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับหญิงสาวทั้งสองคน
จ้าว เหยาหวู่เจ้ามองไปยังหญิงสาวโฉมงามทั้งสองคน สายตาของเขานั้นเป็นไปด้วยราคะ และความปรารถนาขณะจ้องมองก้นอันงดงามของหญิงสาวทั้งสอง เพียงชั่วขณะ ชิงสุ่ยก็หันหลังกลับมาพร้อมกับสะบัดแขนของเขาเบาๆ จ้าว เหยาหวู่ถึงกับลอยกระเด็นออกไปพร้อมกับพ่นเลือดสดๆออกจากปาก
“ออกไปซะ ถ้าหากเจ้ายังกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีก เจ้าคงจะรู้ผลลัพธ์ของมันดี”ชิงสุ่ยโกรธมาก หญิงสาวเหล่านี้คือคนของเขา แม้ว่าพ่อบ้านจะแสดงกิริยาที่แสนต่ำตมแต่เขาก็เลือกที่จะเตือน แต่เมื่อเขากล้าล้ำเส้นมันก็คงไม่คู่ควรกับสถานที่แห่งนี้อีกต่อไป
จ้าว เหยาหวู่กระเด็นลอยออกไปข้างนอกคฤหาสน์อย่างรวดเร็วพร้อมกับสภาพที่ดูน่าสมเพช
ชิงสุ่ยตั้งใจแสดงเพื่อเตือนจ้าว เหยาหวู่ว่าคนรับใช้อย่าได้ริอาจเอื้อมสิ่งที่ไม่ควรค่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น