Ancient Strengthening Technique เทพอสูรบรรพกาล 1362-1368

 บทที่ 1362 – กายาทองคำ 9 หยางอันสมบูรณ์แบบ ถึงจุดอิ่มตัว เวลา 1 ปี รูปแบบพยัคฆ์ระดับทองคำอินทนิล ชือโอ๋และชือเฟิง


 


ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าเขาจะตั้งตำแหน่งของธงสวรรค์ปัญจธาตุไว้ตรงไหนดีหากมันยกระดับขึ้นอีกครั้ง หากเขาต้องเดินทางเพียงคนเดียวอันที่จริงแล้วเขาก็พร้อมแล้ว แต่เงื่อนไขที่จำเป็นตอนนี้คือเขาต้องร่วมมือกับอี่หวง กู่หวู๋


 


ปรุงยา!


 


ชิงสุ่ยปรุงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 ได้สำเร็จแล้ว 1 ครั้ง ในตอนนี้เขากำลังจะปรุงมันต่อไป เมื่อเขาทำมันสำเร็จแล้วคร้งหนึ่งโอกาสของความสำเร็จครั้งต่อไปก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน หลังจากล้มเหลวไป 2 ครั้งในระหว่างการปรุงยาและแม้ว่าเขาจะใช้หญ้าอสรพิษทองคำด้วยก็ตาม ปกติแล้วเขาจะชื่นชอบทุกครั้งที่เขาพยายามปรุงยาได้จนสำเร็จ


 


เพียงแต่ทุกครั้งที่เขาปรุงมันสำเร็จเขาจะได้รับยานี้เพียง 1 เม็ดเท่านั้น ด้วยยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 ความล้ำค่าของมันย่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ในด้านของการเพิ่มพลังของผู้ใช้นั้นมันสามารถเพิ่มได้เป็น 10 เท่า นอกเหนือจากนั้นมันยังสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายของผู้ใช้ได้ด้วยเช่นกัน มันยังมีผลที่ทรงพลังมากขึ้นไปอีกสำหรับผู้ที่มีร่างกายที่เป็นเอกลักษณ์


 


ชิงสุ่ยใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการปรุงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 เขาหยุดลงหลังจากที่ปรุงมันสำเร็จ 10 ครั้ง ในตอนนี้เขาต้องการที่จะใช้ยานี้สักเม็ดหรือสองเม็ด


 


เขายังคงมีเวลาในดินแดนแห่งนี้อีกกว่า 1 เดือน นี่เป็นเวลาที่มากพอสำหรับเขา แม้ว่ามันอาจจะไม่เพียงพอเขาก็สามารถกลับไปที่ห้องของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กังวลอะไรในเรื่องนี้


 


ในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็จะไม่มีผู้ใดรบกวนเขาได้ นั่นเพราะตอนนี้เขาอยู่ในห้องนอนของตนเองและคงไม่มีผู้ใดมารบกวนเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กังวลในเรื่องนี้เช่นกัน


 


ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4!


 


การเพิ่มพลังพื้นฐานขึ้น 1 สุริยาก็ถือว่ามากพอสำหรับพลังในตอนนี้ของชิงสุ่ย อย่างน้อยเมื่อเทียบกับยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 2 รวมถึงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 3 มันถือว่าทรงพลังกว่ามาก แต่สิ่งที่เขาสนใจยิ่งไปกว่าการเพิ่มพลังของมันนั่นก็คือการที่มันมีผลสำหรับผู้ที่มีร่างกายที่เป็นเอกลักษณ์


 


เมื่อเขากลืนยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 ลงไปก็มีกลิ่นอายแผ่ซ่านออกมาภายในร่างกายของเขา หลังจากนั้นมันก็กระจายตัวไปทั่วร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว มันให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด ราวกับว่ามีคนโยนก้อนหินลงไปในน้ำและจากนั้นระลอกคลื่นของน้ำก็แผ่กระจายออกมา


 


ปัง!


 


เสียงที่กระจ่างใสดังออกมาจากร่างกายของเขา หลังจากนั้นพลังที่รุนแรงและอันตรายก็ถาโถมไปทั่วร่างกายของเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามเขารู้สึกสบายอย่างยิ่ง ชิงสุ่ยสามารถมองเห็นส่วนต่างๆภายในร่างกายของเขาได้โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว


 


กระดูกที่มีสีทองของเขาเริ่มแข็งมากขึ้เรื่อยๆ แม้แต่สายเลือดทองคำอินทนิลภายในร่างกายของเขาก็เข้มข้นมากขึ้นเช่นกัน พลังสีม่วงถาโถมไปทั่วโลหิตของในร่างกายของเขา


 


กายาทองคำ 9 หยางในระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่!


 


ชิงสุ่ยยิ้มออกมาด้วยความพอใจ กายาทองคำ 9 หยางของเขาได้ยกระดับขึ้น เดิมทีมันอยู่เพียงระดับสมบูรณ์แบบแต่ด้วยคำพูดที่ว่า ‘ไม่มีขีดจำกัดในการพัฒนา’ มันจึงยกระดับขึ้น ระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่นั้นเป็นเพียงการกำหนดของตัวเขาเอง หากมองเพียงผิวเผินมันก็ยังคงถือว่าอยู่ในระดับสมบูรณ์แบบ แต่มีเพียงชิงสุ่ยเท่านั้นที่ตระหนักได้ว่าหลังจากที่มันยกระดับขึ้นจากระดับสมบูรณ์แบบ มันทรงพลังมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้


 


ชิงสุ่ยใช้การรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาเพื่อตรวจสอบพลังของเขาอีกครั้งหลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เดิมทีเขาสามารถเพิ่มพลังพื้นฐานได้เพียง 10% เท่านั้น แต่ในตอนนี้อาจเป็นเพราะร่างกายของเขารวมไปถึงกายาทองคำ 9 หยางที่ได้อยู่ในระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่ พลังพื้นฐานของเขาเพิ่มขึ้นถึง 60 สุริยา นอกเหนือจากนั้นมันยังสามารถเพิ่มพลังให้แก่ร่างกายของเขาอย่างเห็นได้ชัด ในเวลาเดียวกันความทรหดอดทนของเขาก็มากยิ่งขึ้นจนน่ากลัว


 


ยังมีอีกหนึ่งความประหลาดใจครั้งใหญ่ อุปสรรคที่ขวางกั้นเขาเอาไว้จากขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลได้เบาบางลงแล้วในตอนนี้!


 


ทันทีที่กายาทองคำ 9 หยางได้มาถึงระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่ อุปสรรคที่ขวางกั้นเขาเอาไว้ราวกับภูเขาที่ขวางกั้นคนธรรมดาไม่ให้ข้ามผ่านตอนนี้มันได้เริ่มสั่นคลอนขึ้น แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถพังทลายมันไปได้สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจคือเขาอยู่ไม่ไกลจากมันแล้ว


 


ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลได้อยู่ห่างไกลเกินกว่าที่เขาจะไขว่คว้าได้ในตอนแรก ในตอนนี้เขาได้เข้าใกล้มันมากยิ่งขึ้นแล้ว มันต้องใช้เวลาที่ยาวนานหากไม่ใช่เพราะดินแดนแห่งนี้ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขา ด้วยเวลาภายในดินแดนแห่งนี้ไม่สำคัญว่าเขาจะมีพรสวรรค์หรือไม่เขาย่อมแข็งแกร่งขึ้นได้ เขาฝึกฝนอย่างหนักแม้ว่าเขาจะมีเวลามากมายภายในดินแดนแห่งนี้เขาก็ยังฝึกฝนอย่างหนักยิ่งกว่าใคร


 


หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งชิงสุ่ยก็คิดว่าเขาอาจใช้ยาเม็ดตำรับคู่และจะกินมันได้อีก 1 เม็ด


 


ในตอนนี้พลังพื้นฐานของเขาได้เพิ่มขึ้นทั้งหมด 3 สุริยา พลังของกายาทองคำ 9 หยางของเขาก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วยเช่นกันทำให้ระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่เขาเพิ่งจะยกระดับขึ้นมานั้นเสถียรมากยิ่งขึ้น


 


ชิงสุ่ยที่พลังพื้นฐานนั้นยากที่จะเพิ่มขึ้นได้แต่ด้วยกายาทองคำ 9 หยางที่ได้ยกระดับขึ้นอีกครั้ง มันช่วยให้จำนวนพลังงานที่กักเก็บเอาไว้ภายในร่างกายของเขานั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การยกระดับในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจแล้ว


 


ในตอนนี้พลังของชิงสุ่ยนั้นถือว่าค่อนข้างน่ากลัว เขาไม่รู้ว่าพลังของตนเองนั้นจะเพิ่มขึ้นไปได้มากเพียงใด พลังของผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณจักรพรรดินั้นอยู่ที่ 500,000 สุริยา นี่คือพลังมากที่สุดในระดับนี้ ส่วนเรื่องอื่นๆที่จะมีข้อยกเว้นอะไรหรือไม่นั้นเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน


 


แต่ในกรณีของเขานั้นพิเศษอย่างยิ่ง การโจมตีด้วยพลังวิญญาณของเขานั้นมากเกินกว่า 500,000 สุริยา แต่พลังกายของเขานั้นยังไม่ถึง 500,000 สุริยาเลย หรือว่าพลังกายของเขานั้นต้องไปถึง 500,000 สุริยาด้วยเช่นกัน? หรือว่าทั้งพลังกายและพลังวิญญาณเฉลี่ยแล้วต้องมากกว่า 500,000 สุริยา?


 


ในตอนนี้พลังกายของชิงสุ่ยนั้นใกล้เคียง 300,000 สุริยา หุบเขา 9 เทวานั้นมีพลังมากถึง 900,000 สุริยา


 


สำหรับพลังวิญญาณของเขา เมื่อเขาปลดปล่อยตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์มันจะมีพลังมากกว่า 800,000 สุริยา ในตอนนี้เมื่อเขาได้รับยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 เข้าไปเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆมันก็ได้ช่วยเพิ่มพลังโดยเฉลี่ยของเขาให้มากกว่า 500,000 สุริยา


 


แน่นอนว่าโอกาส 10% ที่จะเพิ่มพลังขึ้นเป็น 2 เท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกัน เขามีความรู้สึกว่ามันเป็นไปได้มากที่พลังของเขาจะหยุดเพิ่มขึ้นหากเขากินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 อีกครั้งในอนาคต เหตุผลนั่นก็เพราะเขารู้สึกว่าตนเองได้มาถึงจุดสูงสุดของพลังแล้ว


 


ก่อนที่จะยกระดับขึ้นสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจหรือขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลพลังของเขาก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีใดหรือจะกินยาอะไรเข้าไปแม้ว่าร่างกายของเขาจะปลดปล่อยพลังที่รุนแรงออกมา แต่พลังของเขาก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย


 


เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะใช้ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 อีกครั้งหรือไม่ใน 3 วันหลังจากนี้ หากมันไม่ได้เพิ่มพลังให้แก่เขา เขายังอยากจะใช้มันอยู่หรือไม่? หากมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเขาก็ควรที่จะหยุดกินมัน แต่มันยังสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กายา 9 หยางของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงยังคงลังเลว่าควรจะกินมันหรือไม่


 


สิ่งใดกันที่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจและขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลต้องการจากเขาเพื่อที่จะยกระดับขึ้น? หรือว่าคำตอบนั้นจะเป็นกายาทองคำ 9 หยาง? เพราะเมื่อมันได้ยกระดับมาสู่ระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่ดูเหมือนอุปสรรคที่ขวางกั้นเขาเอาไว้นั้นจะดูเบาบางลงไป


 


เขาตัดสินใจที่จะกินมันต่อไป!


 


ชิงสุ่ยตระหนักดีว่าเขาต้องการทำอะไร แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยหากเขากินเข้าไปและมันไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังให้แก่เขา แต่สำหรับระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจและขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถหาคนๆนั้นได้รวมถึงคนที่อยุ่ในพระราชวังจอมอสูร เขาจะต้องยกระดับเข้าสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจรวมถึงขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลก่อน


 


เมื่อคิดเช่นนี้ชิงสุ่ยก็ตระหนักว่าเขายังมีสิ่งต่างๆมากมายที่จำเป็นต้องทำ


 


……


 


เพียงพริบตาเวลา 1 ปีก็ได้ผ่านพ้นไป มันเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วที่เขาออกมาจากมหาทวีปทั้ง 5 ไม่มีผู้ใดจากตระกูลชิงที่ได้มายังมหาทวีปอู่เซียตะวันตก แต่ตระกูลชิงก็มีผู้มาเยี่ยมเยียนถึง 2 คน


 


ชือโอ๋และชือเฟิง!


 


เด็กทั้ง 2 คนนนี้ชิงสุ่ยเคยพบกับพวกเขาครั้งหนึ่งในมหาทวีปราชันย์เหนือฟ้า ในตอนนั้นเขาบอกแก่เด็กทั้ง 2 คนว่า เขาบอกให้เด็กทั้ง 2 คนมาพบเขาหากพวกเขายังคงสนใจ ก่อนหน้านี้เขาบอกกับทั้ง 2 คนว่าเขาอยู่ที่มหาทวีปเมฆามรกตแต่เพราะว่าตระกูลชิงมีจพนวนประชากรที่มากขึ้นจึงทำให้ตระกูลชิงต้องย้ายมาที่มหาทวีปธรรมไตร


 


ในตอนนั้นชิงสุ่ยได้บอกให้ทั้ง 2 คนมาหาเขาหลังจากผ่านไป 10 ปี นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเมื่อผ่านไป 10 ปีทั้งสองคนย่อมสามารถเดินทางไปมาระหว่างมหาทวีปทั้ง 5 ได้ อย่างไรก็ตามพวกเขามีร่างกายที่ผิดปกติ พวกเขามีทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่างจากร่างกายของชิงซา


 


มันเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วที่ชิงสุ่ยยังคงเดินออกตามหาประตูที่จะไปสู่ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลรวมถึงระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ สำหรับคนอื่นๆหนึ่งปีอาจเป็นเพียงเวลาสั้นๆแต่สำหรับชิงสุ่ยนั้นถือว่าเป็นเวลาที่ยาวนานอย่างยิ่ง


 


เมื่ออุปสรรคที่ขวางกั้นในการไปสู่ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลได้เบาบางลงไปเล็กน้อยมันก็แสดงว่าเขามาถูกทางแล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกราวกับว่าเขาผ่านคอขวดที่ติดอยู่นี้ไปได้แต่เขาก็ยังไม่อาจทำเช่นนั้นได้


 


พลังพื้นฐานของเขาเพิ่มขึ้นเพียง 2 สุริยาเมื่อเขาใช้ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 อีกครั้ง จากนั้นมันก็หยุดเพิ่มอีกตอ่ไป มันเป็นเวลา 1 ปีแล้วที่พลังพื้นฐานของเขาติดอยู่ที่ 65 สุริยาเท่านั้น


 


ภายในเวลาหนึ่งปีนี้พลังของชิงสุ่ยนั้นยังคงเท่าเดิม แต่ในด้านอื่นๆนั้นการพัฒนาของเขาถือว่ายอดเยี่ยม ทั้งด้านการปรุงยาและด้านการช่วยเหลือผู้อื่น. สำหรับคนที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดที่สุดคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอี่หวง กู่หวู๋


 


พลังของนางในตอนนี้เกินกว่า 400,000 สุริยา ด้วยเวลา 1 ปีนี้ชิงสุ่ยได้ช่วยบำรุงร่างกายของนางหลายครั้ง เอายังช่วยถ่ายทอดลมปราณให้นาง ไม่ว่ายังไงเมื่อเขาสูญเสียพลังของตนเองไปเขาจะสามารถใช้ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 เพื่อเติมเต็มมันขึ้นมาได้ มันย่อมไร้ค่าหากเขาไม่ได้ใช้การถ่ายทอดลมปราณออกไป


 


สิ่งที่สูญเสียไปจากการถ่ายทอดลมปราณนั้นคือพลังอันบริสุทธิ์ นอกจากนี้หนึ่งในปัจจัยที่ต้องพิจารณาก็คือร่างกายของคนที่ถ่ายทอดลมปราณนั้นต้องเหมาะสมด้วยเช่นกัน คนธรรมดานั้นทําได้เพียงรับการถ่ายทอดลมปราณ 1 ครั้ง แต่สำหรับคนที่มีร่างกายที่ดีนั้นจะสามารถรับได้หลายครั้ง คนปกติจะรู้สึกลังเลที่จะมอบพลังอันบริสุทธิ์ของตนเองให้แก่คนอื่นๆ เมื่อพลังกว่า 10 สุริยาถูกมอบให้แก่คนอื่นๆ ร่างกายของพวกเขาจะดูดซึมเข้ามาได้น้อยกว่า 1 ใน 10 ของที่สูญเสียไป


 


การถ่ายทอดลมปราณของชิงสุ่ยมันเหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง สำหรับผู้ที่มีร่างกายที่อ่อนแอนั้นจะไม่สามารถทนรับการถ่ายทอดได้ ด้วยร่างกายที่ธรรมดาพลังที่พวกเขาจะสามารถได้รับนั้นก็น้อยลงไปด้วยเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ชิงสุ่ยยังสูญเสียโอกาสที่จะใช้ถ่ายทอดลมปราณของเขาไป 1 ครั้ง ดังนั้นชิงสุ่ยจึงช่วยยกระดับร่างกายรวมถึงพรสวรรค์แต่กำเนิดให้แก่สือฉิงจวง จรู้ชิง รวมไปถึงหยุนต้วน เขาต้องการรอจนกว่าร่างกายของพวกนางจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ก่อนจึงจะใช้การถ่ายทอดลมปราณ


 


ร่างกายของอี่หวง กู่หวู๋นั้นถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง ภายในเวลา 1 ปีชิงสุ่ยได้ถ่ายทอดลมปราณให้แก่นางไปมากกว่า 10 ครั้ง เขาจะทำมันหนึ่งครั้งเกือบทุกเดือน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพลังของนางถึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ นอกเหนือจากนั้นรูปแบบพยัคฆ์ของนางยังได้ไปถึงระดับทองคำอินทนิล ในตอนนี้นางสามารถเรียกพยัคฆ์ขาวออกมาได้ถึง 6 ตัว พวกมันแต่ละตัวนั้นมีพลัง 4 เท่าจากพลังของนาง


 


เหมือนดังก่อนหน้านี้พยัคฆ์ขาวแต่ละตัวนั้นจะกินพลังของนางไป 10% ทั้งพลังกายและพลังวิญญาณของนาง เวลาที่ใช้ได้นั้นนานถึงแปดชั่วโมง นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ขี่ได้ซึ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกอิจฉาอย่างยิ่ง


 


อี่หวง กู่หวู๋กล่าวว่านี่เป็นระดับที่เกือบจะสูงที่สุดแล้ว ยังมีระดับที่สูงกว่านี้อีก 2 ระดับ แต่ความเป็นไปได้ที่นางจะสำเร็จเป็นถึงขั้นนั้นถือว่าน้อยอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามในตอนนี้มันก็ทรงพลังมากพอแล้ว


 


นางได้แจ้งชิงสุ่ยก่อนหน้านี้ว่านางอยากจะปักตำแหน่งของธงเอาไว้ที่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ เวลาก็ผ่านมานานหลายปีแล้วนางไม่อยากจะรออีกต่อไป ด้วยพลังในตอนนี้ของนางมันคงไม่มีปัญหาอะไรหากนางจะต้องปะทะกับตระกูลอี่หวง พยัคฆ์ขาวทั้ง 6 ตัวที่มีพลัง 1.6 ล้านสุริยา แม้แต่ยอดฝีมือที่อยู่ในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจของตระกูลอี่หวงก็ไม่อาจต่อกรกับพวกมันได้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถรับมือพวกมันด้วยบางสิ่งบางอย่างของเขาได้ ตัวอย่างเช่น ทำให้พวกมันอ่อนแอลง ในตอนนี้ตระกูลอี่หวงย่อมไม่มีไพ่ตายใดๆที่หลงเหลือเอาไว้ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงได้ให้สัญญาแก่นาง


 


ด้วยรูปแบบพยัคฆ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับอี่หวง กู่หวู๋นั่นคือการเคลื่อนไหวของร่างกาย นางต้องการทำให้ร่างกายของตนเองนั้นเคลื่อนไหวไปพร้อมกับพยัคฆ์ขาว อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้หญิงสาวผู้นี้ได้เรียนรู้ทักษะย่างก้าว 9เทวาไปจากชิงสุ่ยแล้ว ความจริงแล้วนางเองก็เป็นหนึ่งในคนที่พัฒนาตนเองได้เร็วที่สุด ในตอนนี้การที่ต้องปะทะกับผู้ที่มีพลัง 400,000 สุริยานั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดสำหรับนาง


 


ชือโอ๋และชือเฟิงได้มาที่นี่ ชิงสุ่ยก็รู้สึกยินดีกับเรื่องนี้เช่นกัน เขาเตรียมการให้ทั้งสองคนเข้ามายังตระกูลชิง หลังจากผ่านมากว่า 10 ปีทั้งสองคนก็ได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ทั้งสองต่างหล่อเหลาและงดงาม ทั้ง 2 คนเรียกชิงสุ่ยว่าท่านลุง


 


พวกเขาทั้งสองคนนั้นต่างเป็นดวงดาราสันโดษทลายสวรรค์ แน่นอนว่าย่อมมีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับพวกเขา อันที่จริงแล้วทั้งสองนั้นต่างมีกลิ่นอายที่อันตรายอันมากมายและมันยากยิ่งที่จะค้นหาต้นกำเนิดของพวกเขา ตำนานกล่าวว่าพ่อแม่ของพวกเขานั้นได้ตายไปแล้วและไม่มีหลักฐานใดๆหลงเหลืออยู่ภายในร่างกายของพวกเขาแลย


 


เวลา 10 ปีภายใต้ผลของกลิ่นอายที่อันตรายของพวกเขา พวกเขานั้นทรงพลังอย่างยิ่งในตอนนี้ สำหรับในตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนสามารถเดินทางไปยังมหาทวีปอู่เซียตะวันตกด้วยพลังของตนเองได้ อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองก็ยังคงเลือกที่จะพึ่งพาชิงสุ่ย


 


“โอ๋เอ๋อ เฟิงเอ๋อ ท่านปู่ของพวกเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”


 


“เขายังสบายดีแล้วก็ยังพูดถึงท่านบ่อยๆ ท่านลุง”


 


“เอาหละ ฝึกฝนที่นี่ให้ดี เจ้าสามารถกลับไปหาท่านปู่ของเจ้าได้เมื่อใดก็ตามที่เจ้าคิดถึงเขา แต่เมื่อพวกเจ้าทรงพลังยิ่งขึ้น พวกเจ้าจะสามารถใช้เวลาน้อยลงในการเดินทางกลับไปบ้านอีกครั้ง”


 


พวกเขาไม่ได้มีรองเท้า 9เทวาเหมือนกับชิงสุ่ย จึงต้องใช้เวลานานในการเดินทางแต่ละครั้ง


 


“ใช่ขอรับ พวกเราก็รู้เรื่องนี้ ท่านลุง สำหรับในตอนนี้การเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านภูเขาหยกนั้นเห็นได้ชัดอย่างยิ่ง ทุกๆคนต่างฝึกฝนรูปแบบพยัคฆ์ที่ท่านลุงได้สอนเอาไว้ สำหรับในตอนนี้หมู่บ้านภูเขาหยกนั้นเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง นอกจากพวกเราทั้งสองคนแล้วยังมีคนอีกมากมายที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้  ปีที่ผ่านมานี้พวกเราได้เดินทางไปรอบๆมหาทวีปราชันย์เหนือฟ้า ในตอนนี้หมู่บ้านภูเขาหยกนั้นถือว่าเป็นที่ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง” ชือเฟิงกล่าวอย่างมีความสุข


บทที่ 1363 – ปณิธานของอี่หวง กู่หวู๋ พลังแห่งศรัทธา พลังแห่งความยุติธรรม พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์


 


ทั้งชือโอ๋และชือเฟิงต่างพักอยู่ที่ตระกูลชิง สำหรับเรื่องครอบครัวของพวกเขานั้นคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา หากพ่อและแม่ของพวกเขาตายไปแล้วจริงๆและหากพวกเขากลับมาเกิดใหม่เป็นปีศาจจริงๆและความโดดเดี่ยวเป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดมาให้พวกเขาเช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนี้


 


แม้ว่าพ่อและแม่ของพวกเขาจะมีครอบครัวของตนเองในตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตนเองนั้นอยู่ที่ใดและตามหาเขาอยู่หรือไม่ นี่คือกรณีที่พ่อแม่ของทั้ง 2 คนไปยังมหาทวีปราชันย์เหนือฟ้าเพื่อตามหาพวกเขา แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมาหลายปีนี้ แม้ว่าพ่อและแม่ของพวกเขาจะพยายามตามหามันก็คงเป็นเรื่องยากยิ่งนัก เพราะโลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่อย่างยิ่ง


 


เครือญาติที่เหลือของชือโอ๋และชือเฟิงนั้นมีเพียงปู่ของเขาและคนของหมู่บ้านภูเขาหยกเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีพ่อแม่มาตั้งแต่แบเบาะดังนั้นจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมาก สำหรับพวกเขาพ่อแม่ที่ให้กำเนิดนั้นเป็นเพียงคนแปลกหน้า


 


แม้ว่าพวกเขาจะคิดเช่นนี้แต่ลึกๆในใจนั้นก็ยังแอบหวังว่าจะได้พบพ่อและแม่ของตนเองในสักวันหนึ่งและถามพวกเขาว่าทำไมถึงทิ้งเขาไปเมื่อในอดีต นี่คือเส้นแบ่งระหว่างความรักและความเกลียดชัง พวกเขาไม่รู้เหตุผลใดๆและไม่รู้แม้แต่ว่าจะควรเกลียดชังหรือไม่เกลียดดี


 



 


ลูกๆของเหวินเหรินอูซวงและติ๊ชิงก็มีอายุได้ 2 เดือนแล้วในตอนนี้ เหวินเหรินอูซวงนั้นมีลูกชายขณะที่ติ๊ชิงนั้นมีลูกสาว เด็กทั้ง 2 นั้นมีอายุห่างกันแค่ 10 วันเท่านั้น


 


เด็กชายมีนามว่าชิงเติง เด็กหญิงมีนามว่าชิงนิ๋ว ตอนนี้ตระกูลชิงได้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีก 2 คนแล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นหญิงสาวทั้ง 2 คน อายุของอวี้เหอนั้นมากกว่าพวกนางเล็กน้อยและนางก็มีระดับการฝึกยุทธที่สูงเช่นกัน แต่นางยังไม่ นางมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความโศกเศร้าราวกับว่าชิงสุ่ยนั้นเสื่อมสมรรถภาพในยามที่อยู่กับนาง…


 


เมื่อมองไปยังลูกๆของเขาชิงสุ่ยรู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาพลวงตา ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เขาไม่แม้แต่จะกล้าคิดเรื่องนี้ ผู้คนมักจะบอกว่าอย่ามีลูกมากเกินไปแต่ไม่ว่าเขาจะมีลูกมากเพียงใดเขาก็สามารถเลี้ยงดูได้ นอกจากนี้เขายังมีภรรยาที่งดงามจำนวนมาก…


 


ทุกๆคนย่อมมีความใฝ่ฝันที่แตกต่างกันในชีวิต บางคนตามหาเงิน บางคนชอบตัณหา บางคนใฝ่ฝันถึงพลัง บางคนชอบที่จะสู้…


 


ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาชิงสุ่ยหวังเพียงงานที่มั่นคง ได้มีบ้านที่สะดวกสบาย มีคนรัก พ่อแม่สุขภาพดีและครอบครัวมีความสุข เขาไม่ต้องการที่จะเป็นคนไร้ประโยชน์ เขาเพียงต้องการเป็นคนที่มีชีวิตะรรมดาที่สุขสบาย


 


เขาไม่เคยคาดคิดว่าเมื่อเข้ามายังโลกใบนี้เขาจะมีทุกๆอย่างเช่นนี้ แต่ความคิดของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลไปแต่อย่างใด ในตอนแรกเริ่มนั้นเขาถูกผลักดันจากสิ่งที่มองไม่เห็นทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นเหมือนดังทุกวันนี้


 


จากความมุ่งมั่นของเขาเมื่อตอนอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลชิงเพื่อที่จะไปยังตระกูลเยียนและก็ได้ไปที่นั่นภายใน 20 ปี… ชิงสุ่ยพยายามที่จะแบ่งเบาภาระในใจของทุกๆคนในอดีตที่ผ่านมาเพื่อให้ทุกๆคนรอบตัวเขานั้นสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข


 


แม้แต่ตอนนี้มันก็ยังเหมือนเดิม เขายังไม่สำเร็จทุกๆสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำ เขายังต้องฝึกฝนอย่างหนัก ย้อนกลับไปในตอนที่เขายังอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลชิงเขาคิดว่าเมื่ออยู่ในระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียน เขาจะสามารถชำระเรื่องราวระหว่างตระกูลชิงและตระกูลเยียนได้แล้วจากนั้นชีวิตของเขาก็จะอิสระและความสบายในชีวิต


 



 


หลังจากพักอยู่ที่บ้านมานานหลายวันชิงสุ่ยก็กลับไปยังมหาทวีปอู่เซียตะวันตก เขาบอกกล่าวกับอี่หวง กู่หวู๋และจากไป ในตอนนี้อี่หวง กู่หวู๋นั้นก็จะไปที่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำพร้อมกับเขา นางต้องการชำระเรื่องราวมากมายที่มีต่อตระกูลอี่หวงในตอนนี้


 


อี่หวง ตูซินนั้นเป็นพ่อแท้ๆของนางแต่เขาก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น เขาไม่เคยดูแลนางแม้แต่สักวันดี เขายังบีบบังคับให้แม่ของนางไปสู่ความตาย ก่อนหน้านี้เขายังเคยพานางออกไปทิ้งเอาไว้ให้อยู่ตามลำพัง อี่หวง ตูซินนั้นทรงพลังอย่างยิ่งในตอนนี้และแม้ว่าหญิงสาวคนอื่นๆที่เขาเคยทิ้งไปอาจจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่สำหรับอี่หวง กู่หวู๋ชายอีกคนที่นางเรียกเขาว่าเป็นพ่อของตนเอง แต่กลับถูกสังหารไปทั้งครอบครัวเพราะอี่หวง ตูซิน


 


อี่หวง ตูซินนั้นไม่อยากปล่อยนางไปไหน เขากล่าวว่าไม่ว่าพยัคฆ์ร้ายจะโหดเหี้ยมแค่ไหนมันก็ไม่ฆ่าลูกของตนเอง อี่หวง ตูซินได้หายตัวไปแล้ว เขากลัวว่าจะมีใครที่ทราบเรื่องนี้ในอนาคตและดังนั้นจึงคิดกำจัดนางไปตั้งแต่ต้น แต่เขาไม่อาจทำอะไรที่มากเกินไปได้ดังนั้นอี่หวง กู่หวู๋จึงยังคงรอดชีวิตมาได้


 


ดังนั้นแม้นางจะมีชื่อว่าอี่หวง กู่หวู๋แต่นางก็ไม่ใช่คนของตระกูลอี่หวง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตระกูลอี่หวงที่อี่หวง ตูซินอาศัยอยู่ เจตนาของนางในตอนนี้คือการกำจัดตระกูลอี่หวง


 


หลังจากที่ได้รับรู้ความตั้งใจของนางชิงสุ่ยก็มีความรู้สึกไม่สามารถอธิบายได้ เขารู้สึกว่าการตัดสินใจของนางถูกต้องและด้วยบุคลิกของอี่หวง กู่หวู๋ นางย่อมทำมันได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าใครก็ตามก็ต้องทำเช่นนี้เหมือนกันหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับนาง


 


“เจ้าอยากให้ข้าช่วยจัดการใครหรือไม่?” ชิงสุ่ยถามเบาๆ


 


“เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่อาจแบกรับเรื่องนี้ได้ไหวงั้นหรือ?” อี่หวง กู่หวู๋มองไปยังชิงสุ่ย


 


“ชิงสุ่ยเขาไม่ได้แต่งงานกับท่านแม่ของข้า เขาเพียงบีบบังคับนางเพราะกิเลสตัณหาและยังไม่ให้นานใช้สกุลของเขา นางไม่อาจเทียบได้แม้แต่คนรับใช้ของตระกูลและเขาก็กำจัดนางออกไปเมื่อรู้สึกเบื่อหน่ายกับนาง ข้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกิเลสตัณหาของชายผู้นั้น ชายที่บีบบังคับให้ท่านแม่ของข้าต้องไปสู่ความตายและยังต้องการสังหารฆ่าด้วยเช่นกัน ในหัวใจของข้าเขาเป็นศัตรูที่ได้สังหารพ่อแม่ของข้าไป หากข้าไม่ได้สังหารเขาด้วยตนเอง ข้าคงไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่ที่ตายไปได้ ชิงสุ่ยเจ้าคิดว่าฆ่าโหดเหี้ยมหรือไม่?” อี่หวง กู่หวู๋มองไปยังชิงสุ่ย


 


“ไม่ ข้าเพียงกลัวว่าเจ้าจะแบกรับเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำเรื่องนี้ย่อมไม่ควรที่จะได้รับการให้อภัย แต่คนอื่นๆของตระกูลอี่หวงล่ะ?” ชิงสุ่ยถามขึ้นหลังจากคิดครู่หนึ่ง เพราะตระกูลอี่หวงนั้นเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่


 


“ข้าจะสังหารครอบครัวของชายผู้นั้นและให้เขาได้สัมผัสความรู้สึกของการที่ครอบครัวโดนทำลายลงไป” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวเบาๆแต่น้ำเสียงของนางนั้นเต็มไปด้วยเจตนาที่จะสังหาร


 


ชิงสุ่ยไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไรที่นางมีเจตนาสังขารรุนแรงเช่นนี้ เขาเข้าใจความรู้สึกของอี่หวง กู่หวู๋ นางใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและยากลำบากแต่ก็มีเจตจำนงในหัวใจ ก่อนหน้านี้เมื่อเขาได้พบกับนางครั้งแรก นางยังคงมีความสุขกับชีวิตของตนเองแม้ว่านางจะมีปัญหาชีวิตที่หนักหนาสาหัสและร่างกายที่เป็นปัญหาของนาง นางเป็นคนที่มีหัวใจที่แข็งแกร่งจริงๆ


 


ชิงสุ่ยจับมือของนางเอาไว้โดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา อี่หวง กู่หวู๋ยิ้มและมองไปยังชิงสุ่ย น้ำตาของนางไหลรินออกมา ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งเพียงใดนางก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการความรักในชีวิตต้องการไหล่ให้ซบยามที่นางเหนื่อยล้า ในตอนนี้นางได้พบกับชายผู้นี้แล้วชายที่ทำให้นางรู้สึกราวกับว่าเหมือนได้รับชีวิตใหม่ หากไม่มีเขานางก็ไม่รู้ว่าชีวิตของตนเองนั้นจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยที่สุดโอกาสที่นางจะได้กลับไปแก้แค้นที่ตระกูลอี่หวงนั้นย่อมเป็นศูนย์


 


ชิงสุ่ยจูบลงไปที่น้ำตาของนางและจากนั้นก็ลูบจมูกของนางเบาๆ เอากอดนางเอาไว้เพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อนาง ความรักสำหรับนางคนเดียวเท่านั้น


 


“สิ่งที่ดีที่สุดที่สวรรค์ส่งมาให้ข้าในยามที่ข้ารู้สึกโศกเศร้าและไร้กำลังใจมากที่สุดนั่นก็คือเจ้า” อี่หวง กู่หวู๋เงยหน้าของนางขึ้นมองไปยังชิงสุ่ยและยิ้ม


 


“เราได้เจอกันแค่เพียงไม่กี่วันเจ้าก็สามารถพูดถ้อยคำที่หวานซึ้งเช่นนี้ออกมาได้” ชิงสุ่ยเย้าหยอกนาง


 


อี่หวง กู่หวู๋เขินอาย นางไม่ได้ต้องการที่จะพูดอะไรเช่นนี้แต่มันเป็นความรู้สึกที่ส่งมาจากหัวใจของนาง มันได้สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่และแม้ว่าชิงสุ่ยไม่รู้ว่าเขาควรจะแสดงสีหน้าเช่นใดดีแต่เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง


 


“หวู๋หวู๋น้อย ข้าจะไปก่อน เจ้าค่อยตามมาทีหลัง ให้ลู่หยานและหยวนเอ๋อมาอยู่ที่นี่ต่อไป เจ้าสามารถกลับมาและพักอยู่ที่นี่ได้หลายวันในทุกๆเดือน”


 


“อืม ตำแหน่งต่อไปของธงสวรรค์ปัญจธาตุของข้านั้นสามารถตั้งไว้ได้เพียงที่มหาทวีปมังกรอหังกาล ข้าได้ตั้งมันเอาไว้ที่เมืองหลวงของมหาทวีปมังกรอหังกาลแล้วซึ่งนั่นเป็นสถานที่ที่ใกล้กับมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำและมหาทวีปอุดรเทวามากที่สุด” อี่หวง กู่หวู๋ดูเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่างและกล่าวออกมา


 


“อืม เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน มันคงจะเป็นเรื่องง่ายหากเราต้องการที่จะไปยังเมืองหลวงของมหาทวีป ข้าได้ตั้งตำแหน่งที่ 3 ของข้าไว้ด้วยเช่นกัน มันอยู่ที่ศูนย์กลางของมหาทวีปอุดรเทวา” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขึ้น


 


อี่หวง กู่หวู๋ตกตะลึง “ดูเหมือนว่าธงสวรรค์ปัญจธาตุนี้จะต้องการให้พวกเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆ”


 


“แล้วพวกเราไม่ใช่สามีภรรยากันงั้นหรือ? ในใจของข้าเจ้าคือหญิงสาวของข้าและภรรยาของข้า” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวด้วยความจริงจัง


 


“เจ้ามันเอาแต่ใจ!” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวด้วยน้ำเสียงที่รำคาญเล็กน้อย แต่นางรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งในใจ ความสุขระหว่างคู่รักที่รักกันนั้นเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง


 



 


ชิงสุ่ยใช้ธงสวรรค์ปัญจธาตุและไปยังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ


 


เมื่ออยู่กลางอากาศนั้นชิงสุ่ยรออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีระลอกคลื่นของลมเกิดขึ้นมาและอี่หวง กู่หวู๋ก็ปรากฏตัวอยู่ข้างๆเขา การไปยังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำครั้งนี้อี่หวง กู่หวู๋นั้นดูไม่สงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด


 


ชิงสุ่ยเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมาและพวกเขาทั้งสองคนก็ตรงไปยังหอคอยจักรพรรดิ เมื่ออี่หวง กู่หวู๋ได้เห็นหอคอยจักรพรรดิอีกครั้งนางก็รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้หอคอยจักรพรรดินั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองอี่หวงนั้นไม่ใช่ตระกูลอี่หวงหรือตระกูลอื่นๆอีกต่อไปแต่มันคือหอคอยจันทราฉายและสถานที่อื่นๆ นี่เป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่ยอดฝีมือและคนที่ร่ำรวยเท่านั้นแม้แต่คนที่ยากจนก็สามารถมารักษาได้โดยไม่ต้องเสียเงิน ไม่ว่าพวกเขาจะเจ็บป่วยในเรื่องอะไร ตราบใดที่พวกเขานั้นยากจนพวกเขาก็สามารถมารับการรักษาได้โดยไม่ต้องจ่ายสิ่งใดๆตอบแทน ในชีวิตก่อนหน้านี้ของชิงสุ่ยผู้ที่สามารถครองใจของผู้คนได้นั่นคือผู้ที่สามารถครองโลกได้ คนที่เป็นที่รักของประชาชนนั้นจะมีอิทธิพลที่น่ากลัวอย่างยิ่งแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงคนธรรมดา บางครั้งพวกเขาก็อาจจะได้เป็นตัวตนอย่าง “นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่”


 


คนบางคนอาจไปฝันถึงพลังด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถได้รับพลังของความยุติธรรมและพลังของความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากฝูงชนได้ แน่นอนว่าไม่ได้มีคนจำนวนมากนักที่จะมีพลังเช่นนี้ ผู้คนในโลกนี้ย่อมเรียกพลังเช่นนี้ว่าพลังแห่งศรัทธา


 


ดังนั้นผู้ที่มีชื่อเสียงมากมายย่อมสามารถบดขยี้คนอื่นๆด้วยชื่อเสียงที่พวกเขามีได้


 


หมอปิศาจนั้นรู้จักอี่หวง กู่หวู๋แต่หยวน สู่นั้นไม่ได้รู้จัก เมื่อนางได้เห็นอี่หวง กู่หวู๋นางก็ตกตะลึงไปในทันที หญิงสาวผู้นี้เติบโตเต็มวัย กลิ่นอายที่สง่างามและเปล่งปลั่งของนางทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อาจต้านทานได้


 


หยวน สู่นั้นไม่เคยคิดว่าตนเองจะได้ไปกว่าผู้ใด นอกเหนือจากติ๊เฉินและติ๊ชิงนางก็ไม่เคยพบหญิงสาวคนไหนที่งดงามไปมากกว่านาง แต่ในตอนนี้นางรู้สึกว่านางไม่ได้ด้อยไปกว่าหญิงสาวผู้นี้ แต่ภายใต้ความศักดิ์สิทธิ์ ความสง่างาม ความเย้ายวนเล็กๆน้อยๆ นารู้สึกว่านางไม่อาจเทียบได้เลย


 


หญิงสาวผู้นี้คือใครกัน?


 


หยวน สู่ไม่รู้ว่านางรู้สึกเช่นไร นางรู้ว่าชิงสุ่ยนั้นมีหญิงสาวคนอื่นอีกและมันย่อมมากกว่า 1 คน แต่เมื่อนางเห็นเขาอยู่กับหญิงสาวที่งดงามจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้นางก็รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย นี่เป็นเพราะว่านางเก็บความรู้สึกที่ว่าชิงสุ่ยไม่ได้ชอบนางมาโดยตลอด ถ้าหากนางงดงามเช่นนี้?


 


“ชิงสุ่ย เจ้าดูไม่ค่อยดีเลย เมื่อไหร่กันที่เจ้าได้รู้จักผู้ที่งดงามอย่างยิ่งเช่นนี้?” เมื่ออี่หวง กู่หวู๋ได้เห็นหยวน สู่นางก็กล่าวมาอย่างมีความสุข


 


“นี่คือพี่สาวสู่ แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจเรียกนางเช่นนี้ได้ ยาเม็ดบรรพกาลแรกเริ่มที่ข้าได้ใช้นั้นก็มาจากสูตรยาที่นางเขียนขึ้น” ชิงสุ่ยแนะนำหยวน สู่ให้กับอี่หวง กู่หวู๋


 


“เป็นท่านนี่เอง เขาพูดถึงท่านอยู่หลายครั้ง ในตอนแรกก็คิดว่าหญิงสาวสามารถสร้างสูตรยาชิ้นนั้นขึ้นมาได้ไม่น่าจะงดงามเท่าไหร่  ข้าไม่คาดคิดว่าท่านจะงดงามเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองเทียบกับท่านไม่ได้ในด้านความงาม”


 


“พี่สาว ท่านกล่าวเรื่องตลกแล้ว ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่งดงามที่สุด” หยวน สู่ยิ้มและกล่าวขึ้น นางรู้สึกดียิ่งขึ้นในตอนนี้


 


“พี่สาวสู่ นี่คือภรรยาของข้า ในอนาคตหากพวกท่านได้รู้จักกันไว้นั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดี” ชิงสุ่ยกล่าว


 


แม้ว่าหยวน สู่จะเดาได้ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใครแต่สายตาของนางก็ปิดลงเมื่อนางได้ยินเช่นนี้ อี่หวง กู่หวู๋ยิ้มแล้วเดินไปจับมือของหยวน สู่ “พี่สาวสู่ มาเถอะ มาพูดคุยกัน”


 


หมอปิศาจและครอบครัวของเขาก็ได้ย้าย อย่างไรก็ตามพื้นที่ของชั้น 5 นั้นกว้างใหญ่นะมันมีพื้นที่หลายร้อยตารางเมตร สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้รองรับได้เป็น 10 ครอบครัว  มันยังมีลานขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปเมืองนอกด้วยเช่นกัน


 


เมื่อชิงสุ่ยกลับออกมาอีกครั้งเขาก็รู้สึกว่าหญิงสาวทั้งสองคนนั้นพูดคุยกันอย่างสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ เขาไม่เคยเข้าใจความคิดอันแปลกประหลาดของผู้หญิง หญิงสาวทั้งสองนั้นเข้ากันได้ดีและดูสนิทสนมกันอย่างยิ่ง ชิงสุ่ยไม่อาจเข้าใจได้และดังนั้นเขาจึงเลิกคิดเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี


 


อี่หวง กู่หวู๋นั้นจะพักอยู่กับหยวน สู่ซึ่งทำให้ชิงสุ่ยนั้นพูดไม่ออก แต่เขาคิดว่าตนเองจะทรมานมากเพียงใดเพราะไม่อาจทำเรื่องเช่นนั้นได้เพราะพวกนางนั้นนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน เขาจะต้องหาเวลาอื่นๆเพื่อให้ตนเองได้ผ่อนคลาย


บทที่ 1364 – เผชิญหน้ากับตระกูลอี่หวง


 


เวลาได้ผ่านไป 1 สัปดาห์โดยไม่รู้ตัวนับตั้งแต่อี่หวง กู่หวู๋ได้มายังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ นางไม่ได้ไปยังตระกูลอี่หวงในทันที นางกำลังรอคอยเวลาที่ดีที่สุดอยู่ อีก 3 วันหลังจากนี้จะเป็นวันที่อี่หวง ตูซินแต่งงานกับภรรยาใหม่ แน่นอนว่านี่ย่อมไม่ใช่ภรรยาคนแรกของเขาและไม่ใช่คนสุดท้ายด้วยเช่นกัน


 


มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากที่คนของตระกูลใหญ่จะแต่งงาน แต่ครั้งนี้หญิงสาวที่อี่หวง ตูซินจะแต่งงานด้วยนั้นไม่ใช่คนธรรมดา นางถือว่ามีสูงศักดิ์ที่สุดในหมู่หญิงสาวที่เขาเคยแต่งงานด้วย


 


นายหญิงน้อยแห่งตระกูลชือ!


 


ตระกูลชือเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังมากที่สุดในเมืองอี่หวง พวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลอี่หวงเลยและในตอนนี้เหตุผลที่พวกเขาแต่งงานทางการเมืองกับตระกูลอี่หวงก็เพราะดูเหมือนว่าพวกเขารู้สึกว่าตนเองโดนคุกคาม


 


การคุกคามที่มาจากชิงสุ่ยและตระกูลปู้หยาง เหล่าชนขั้นสูงในอาณาจักรอี่หวง ผู้อาวุโสปู้หยางได้ยกระดับขึ้นไปยังขั้นที่ 2 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ นี่ยังทำให้ตระกูลอี่หวงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเพราะพวกเขากำลังจะถูกแทนที่ด้วยตระกูลปู้หยาง


 


สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในโลกใบนี้ หลายปีที่ผ่านมาตระกูลอี่หวงนั้นสามารถต่อกรกับตระกูลปู้หยางได้อย่างราบรื่นและยังพยายามเชื่อมความสัมพันธ์กับขุมอำนาจอื่นๆเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพวกเขา


 


ในช่วงเวลานี้ตระกูลอี่หวงนั้นพยายามสานความสัมพันธ์กับชิงสุ่ยด้วยเช่นกัน แต่ชิงสุ่ยย่อมเลือกที่จะไม่ข้องเกี่ยวกับตระกูลอี่หวง ตระกูลอี่หวงนั้นรู้ดีถึงความสำคัญของชิงสุ่ย ผู้อาวุโสของพวกเขายังต้องการความช่วยเหลือของชิงสุ่ยเพื่อช่วยยืดเวลาชีวิตของพวกเขา


 


ในช่วงเวลานี้ผู้คนของตระกูลอี่หวงนั้นต้องการความช่วยเหลือของชิงสุ่ยเพื่อช่วยยืดเวลาชีวิตของเหล่าผู้ที่อยู่ในระดับพลังปราณนักบุญพิโรธของพวกเขา ชิงสุ่ยไม่ได้ตกลงและใช้วิธีการอื่นๆในการปฏิเสธต่อพวกเขา แต่ตระกูลอี่หวงนั้นตระหนักถึงปู้หยาง ชิงและหญิงชราจากตระกูลปู้หยางที่ทั้ง 2 คนได้รับความช่วยเหลือจากชิงสุ่ยในการยืดเวลาชีวิตของพวกเขา นอกจากนี้การที่ทั้งสองนั้นยกระดับขึ้นนั้นต้องขอบคุณชิงสุ่ย


 


หากปราศจากชิงสุ่ย ความสามารถของตระกูลปู้หยางย่อมไม่อาจเทียบกับตระกูลอี่หวงได้ เพราะตระกูลปู้หยางนั้นไม่มีผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณนักบุญพิโรธเลยเมื่อเทียบกับตระกูลอี่หวง แต่ในตอนนี้พวกเขามีขั้นที่ 2 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจหนึ่งคนซึ่งสามารถเทียบได้กับผู้ที่อยู่ในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ 10 คนหรือมากกว่านั้น


 


ชิงสุ่ยได้ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือตระกูลอี่หวงในทุกๆเรื่องๆ ตระกูลอี่หวงหวังว่าชิงสุ่ยจะช่วยเหลือพวกเขาสักคนหรือหลายๆคนให้ยกระดับไปยังขั้นที่ 2 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ หากเป็นเช่นนั้นรากฐานของพวกเขาย่อมมั่นคงมากยิ่งกว่าเดิม


 


เมื่อชิงสุ่ยช่วยเหลือทุกๆตระกูลแต่ไม่ช่วยเหลือตระกูลอี่หวง นี่หมายถึงเขาได้วางตัวเป็นศัตรูกับตระกูลอี่หวง ชิงสุ่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลายๆตระกูล ตระกูลอี่หวงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลายๆตระกูลแต่ไม่ว่าพวกเขาจะร้องขอไปมากเพียงใดพวกเขาก็ไม่อาจได้รับการรักษาเหมือนตระกูลปู้หยางได้


 


ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจของตระกูลอี่หวงนั้นได้ตัดสินใจแล้ว เพราะพวกเขาไม่อาจใช้ประโยชน์จากคนๆนี้ได้และคนๆนี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาได้ในอนาคต เช่นนั้นพวกเขาก็ควรทำให้คนๆนี้หายไปตลอดกาล แต่พวกเขาต้องไม่ทำให้มันชัดเจนจนเกินไป


 


ตระกูลอี่หวงนั้นเป็นตระกูลที่มีประวัติอันยาวนานในอาณาจักรอี่หวงและมีรากฐานที่ฝังลึกในเมืองอี่หวง พวกเขายังมีความสัมพันธ์กับหลายๆตระกูลและในตอนนี้พวกเขาได้แต่งงานกับตระกูลชือเพื่ออิทธิพลที่เพิ่มขึ้น มีตระกูลมากมายที่ยอมแต่งงานเพื่ออิทธิพลกับตระกูลอี่หวงและตระกูลเหล่านี้สามารถรวมตัวกันเป็นเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลอี่หวงยังคิดที่จะเชิญชวนให้ชิงสุ่ยมายังงานแต่งงานของอี่หวง ตูซิน


 


หากพวกเขายื่นคำเชิญชวนให้แก่ชิงสุ่ยพวกเขาย่อมไม่ต้องทำสิ่งใดเลยในตระกูลอี่หวง พวกเขาตั้งใจจะแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตระกูลอี่หวงและชิงสุ่ยรวมถึงหอคอยจักรพรรดินั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน


 



 


ในวันนี้เมืองอี่หวงนั้นยังคงมีชีวิตชีวาเหมือนดังปกติ การแต่งงานทางการเมืองระหว่างตระกูลอี่หวงและเมืองหลวงของมหาทวีปนั้นถือเป็นข่าวใหญ่ ตั้งแต่ชิงสุ่ยได้เอาชนะอี่หวง ตูซินในหลายปีที่ผ่านมา อี่หวง ตูซินไม่เพียงได้รับบาดเจ็บแต่เขายังสามารถยกระดับไปยังขั้นแรกเริ่มของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้ ไม่รู้ว่าดขาจะถือเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่เข้าสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำหรือไม่แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจที่อายุน้อยที่สุดในอาณาจักรอี่หวง


 


การพบปะกับชิงสุ่ยนั้นคือการเผชิญหน้าสำหรับเขา ในตอนนี้เขาทรงพลังมากยิ่งกว่าในอดีต ตราบใดที่เขาสามารถกำจัดชิงสุ่ยไปได้ เมื่อถึงตอนนั้นอี่หวง ตูซินย่อมมีชื่อเสียงอย่างยิ่งในเมืองอี่หวง


 


แต่หากคนอื่นๆได้รับความช่วยเหลือของชิงสุ่ย เช่นนั้นความได้เปรียบของตระกูลอี่หวงย่อมไม่ได้มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจกำจัดชิงสุ่ย ไม่ว่ายังไงชิงสุ่ยก็ไม่ได้เป้นประโยชน์ต่อตระกูลอี่หวง สำหรับผู้อาวุโสของตระกูลอี่หวงบางคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณจักรพรรดิพวกเขาต้องยอมแพ้ในเรื่องนี้ไป เพื่อประโยชน์ของวงศ์ตระกูลที่คือเรื่องที่พวกเขาไม่อาจขัดขวางได้


 


อี่หวง กู่หวู๋นั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่และออกไปยังลานฝึกฝนด้วยความมึนงง หยวน สู่ก็ออกมาพร้อมกับนาง ในตอนนี้นางได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอี่หวงและอี่หวง กู่หวู๋ เมื่อคิดว่าชายคนที่ทำให้นางเกือบจะเอาชีวิตรอดออกมาไม่ได้นั้นเป็นคนเดียวกับที่อี่หวง กู่หวู๋ได้บอกนาง คนผู้นี้ไม่ได้ดีไปกว่าสัตว์ป่าเลย…


 


ชิงสุ่ยเดินออกมา หยวน สู่ยิ้มให้กับเขาและพยักหน้า “พี่สาวหวู๋นั้นอารมณ์ไม่ค่อยจะดี เจ้าควรไปพูดคุยกับนาง”


 


จากนั้นหยวน สู่ก็จากไป


 


“เจ้าคงรอคอยวันนี้มาอย่างยาวนาน แต่ตอนนี้เจ้าไม่ได้รู้สึกยินดีงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยถามเบาๆ


 


“ข้ายินดีอย่างยิ่ง วันนี้คงจะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาแต่มันก็ผ่านมานานหลายปีแล้วที่ท่านแม่ของข้าต้องตายจากไป ข้าสงสัยว่าเขายังจดจำหญิงสาวที่ถูกเขาบีบบังคับจนต้องไปสู่ความตายได้หรือไม่” อี่หวง กู่หวู๋ก้มศีรษะลงเล็กน้อย มือของนางนั้นกำลังสั่น ในตอนนี้สภาพของนางนั้นดูน่าสงสารอย่างยิ่ง


 


ชิงสุ่ยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะพูดอะไรมากในเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้อี่หวง กู่หวู๋นั้นยังเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่ง เรื่องของตระกูลอี่หวงนั้นได้รับการจัดการจนเสร็จสิ้น นางย่อมสามารถเดินออกจากเงาของตนเองและเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ได้


 


“ชิงสุ่ย ไปกันเถอะ มันถึงเวลาแล้ว” อี่หวง กู่หวู๋มองขึ้นไปบนท้องฟ้าจากนั้นนางก็ยิ้มให้ชิงสุ่ยและกล่าวขึ้น


 


“ตกลง!” ชิงสุ่ยยิ้มและตอบนานก่อนที่จะตรงไปยังตระกูลอี่หวงพร้อมกับอี่หวง กู่หวู๋ด้วยมังกรไอยราเกล็ดทองคำ


 


ตอนนี้ใกล้จะถึงยามบ่ายแล้ว มีแขกมากมายอยู่ที่นี่และชิงสุ่ยก็ได้รับคำเชิญด้วยเช่นกัน แต่ในครั้งนี้ชิงสุ่ยนั้นเป็นคนสุดท้ายที่มาถึงอีกครั้ง


 


ตระกูลอี่หวงย่อมรอคอยชิงสุ่ยอย่างแน่นอน เมื่อพวกเขาจะทำเช่นนี้ย่อมทำให้คนอื่นๆรู้สึกว่าตระกูลอี่หวงนั้นดูแลชิงสุ่ยด้วยความเคารพอย่างยิ่ง แต่มีเพียงคนของตระกูลอี่หวงที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


แต่ก็มีบางคนที่ใจร้อนและบ่นด่าชิงสุ่ยออกมาเบาๆ เพราะคนมากมายต้องมารอคอยเขา หากเวลามงคลต้องคลาดเคลื่อนไปเพราะเขานั่นคงถือเป็นตราบาปครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา


 


“เขามาถึงแล้ว!”


 



 


ความวุ่นวายเกิดขึ้น มังกรไอยราเกล็ดทองคำขนาดยักษ์นี้โดดเด่นอย่างยิ่ง ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั่งอยู่บนมังกรไอยราเกล็ดทองคำที่อยู่เหนือตระกูลอี่หวง นี่ถือเป็นการกระทำที่ไม่เคารพอย่างยิ่ง


 


ชิงสุ่ยนั้นนั่งอยู่บนมังกรไอยราเกล็ดทองคำและเมื่อทุกคนสังเกตเห็นว่ามีหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆเขา หญิงสาวผู้นี้งดงามจนไม่มีใครเทียบได้ แต่เมื่อชิงสุ่ยหญิงสาวผู้นี้ลงมา ผู้คนก็มองพวกเขาด้วยสายตาที่ประหลาดใจทันที


 


นี่เพราะหลายๆคนบอกได้ว่าหญิงสาวผู้นี้คล้ายคลึงกับอี่หวง ตูซินอย่างยิ่ง แต่มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอี่หวง กู่หวู๋ ผู้คนที่มาในวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่สหายของตระกูลอี่หวง ยังมีผู้คนมากมายที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลอี่หวง ตัวอย่างเช่น ตระกูลตู่กู๋ ตระกูลปู้หยาง ตระกูลหลัว และอื่นๆ


 


บางคนดูเหมือนจะมีความสุขในขณะที่บางคนกำลังขมวดคิ้ว นี่เป็นเพราะพวกเขากำลังคาดคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้และพวกเขากำลังคิดว่าพวกเขาควรจะทำตัวเช่นไรดีในตอนนี้


 


“ฮ่าฮ่า ท่านหมอเทวดาชิงได้มาที่นี่แล้ว” อี่หวง ตูซุยและคนอื่นๆของตระกูลอี่หวงก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยความอบอุ่น


 


ผู้ที่ดูแลสถานที่แห่งนี้ในตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นชายชราที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณจักรพรรดิ ผู้ที่อยู่ในระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจย่อมไม่เข้าข้องเกี่ยวกับเรื่องธรรมดาเช่นนี้ มันเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วที่ชายชราคนนี้เข้ามา ไม่นานหลังจากที่ชิงสุ่ยได้มาที่นี่ผู้ที่ดูแลสถานที่แห่งนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นชายชราผู้นี้


 


อี่หวง อู๋ฟู่!


 


ชายชราผู้นี้คือปู่ที่แท้จริงของอี่หวง ตูซินที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณจักรพรรดิ เหดตุผลที่ตระกูลได้ผลักดันชายชราผู้นี้ให้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ก็เป็นเพราะอี่หวง ตูซิน แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นเป็นเพราะชายชราผู้นี้ทรงพลังอย่างยิ่ง


 


ชายชราผู้นี้ย่อสามารถยกระดับไปยังระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ เขาต้องการเพียงเวลาเท่านั้น แต่เขาทำได้เพียงรอ ในตอนนี้เขายังเหลือเวลาชีวิตอีกมาก


 


“ข้าขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกๆคนต้องรอ ข้าต้องล่าช้าเพราะเรื่องบางอย่างและนี่คือคำขอโทษจากข้า”


 


ผู้ใดกันที่กล้าล่าช้าในเรื่องของตระกูลอี่หวงเพราะมีเรื่องราวบางอย่าง? มีเพียงชิงสุ่ยเท่านั้นที่สามารถกล่าวเช่นนี้ได้ หลังจากที่ทุกๆคนได้รับรู้ถึงลำดับความสำคัญของตระกูลอี่หวง ชิงสุ่ยก็สามารถใช้เหตุผลแก้ตัวว่าเขากำลังรักษาคนอื่นๆอยู่แต่หากเป็นหมอคนอื่นๆย่อมไม่มีผู้ใดกล้าล่าช้าเช่นนี้แม้ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม


 


ชิงสุ่ยมองตรงไปยังอี่หวง กู่หวู๋ ก็มีสายตาของคนๆหนึ่งจ้องมองมาที่เขาจากเบื้องบน


 


อี่หวง ตูซิน!


 


อี่หวง ตูซินมองตรงมายังพวกเขาด้วยสายตาที่กังวลเล็กน้อย เขาได้เห็นอี่หวง กู่หวู๋ คนอื่นๆอาจจะจำนางไม่ได้แต่เขาย่อมจำได้ ในตอนนี้เขารู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง


 


อี่หวง ตูซินและอี่หวง อู๋ฟู่นั้นนั่งอยู่ตรงกลางของโต๊ะ ขณะที่คนอื่นๆของตระกูลชือและนายหญิงน้อยของตระกูลชือก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน นายหญิงน้อยของตระกูลชือนั้นเป็นหญิงสาวที่อี่หวง ตูซินกำลังจะแต่งงานด้วยในวันนี้


 


ชิงสุ่ยก็ได้เห็นนายหญิงน้อยของตระกูลชือเช่นกัน นางเป็นหญิงสาวร่างสูงและสง่างาม เสื้อผ้าอันหรูหราของนางนั้นทำให้นางดูงดงามและเย้ายวนยิ่งขึ้น นี่เป็นหญิงสาวที่ดูงดงามอ่อนหวานและดวงตาที่งดงามของนางนั้นเหมือนเมฆหมอกบังอยู่


 


ชิงสุ่ยไม่ได้คาดคิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป็นคนหนึ่งที่มีร่างกายที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ชายหนุ่มมากมายนั้นเปรียบเทียบหญิงสาวให้เป็นน้ำ ความต้องการด้านราคะของนางนั้นทรงพลังอย่างยิ่งแต่การฝึกยุทธของนางนั้นไม่ได้ทรงพลัง นางสามารถใช้เสน่ห์ของตนเองเพื่อเย้ายวนชายหนุ่มได้


 


“อี่หวง ตูซิน เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่?”


 


เสียงของอี่หวง กู่หวู๋นั้นไม่ได้ดังมากนักแต่ทุกๆคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน


 


ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าอี่หวง กู่หวู๋จะกล่าอย่างตรงไปตรงมากับอี่หวง ตูซินทันที


 


“เจ้าคือหวู๋น้อยงั้นหรือ ?” อี่หวง ตูซินถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ


 


เขาไม่ได้พบเจอนางมานานหลายปี ครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบนางนั้นนางยังเด็กยิ่งนัก อี่หวง กู่หวู๋นั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างยิ่งขณะที่อี่หวง ตูซินไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แม้ว่าเขาจะได้พบนางครั้งสุดท้ายตั้งแต่นางยังมีอายุได้ไม่ถึง 10 ขวบแต่เขาก็ยังสามารถจดจำนางได้


 


“เจ้าเป็นคนหนึ่งที่บีบบังคับท่านพ่อของข้าและครอบครัวของเขารวมถึงท่านแม่ของข้าให้ไปสู่ความตาย เหตุผลที่เข้ามาในวันนี้เพื่อให้เจ้าตอบคำถามในเรื่องนี้” อี่หวง กู่หวู๋ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาขณะที่นางจ้องมองไปยังอี่หวง ตูซินอย่างใจเย็น


 


ตอนนี้หลายๆคนของตระกูลอี่หวงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดชิงสุ่ยจึงไม่ต้องการช่วยเหลือตระกูลอี่หวง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของชิงสุ่ยกับหญิงสาวคนนี้ย่อมไม่ใช่ธรรมดา


 


พวกเขาไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ทรงพลังมากเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าชิงสุ่ยอยู่ด้วยกันกับนางทุกๆอย่างก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ผู้คนจำนวนมากเบิกตากว้างขึ้น


 


ผู้ชายบกครองโลก ผู้หญิงปกครองผู้ชายและยังสามารถเหนือกว่าผู้ชายได้


 


“เจ้าทราบเรื่องนี้หรือไม่?”


 


“มันก็ผ่านไปนานหลายปีแล้ว ใครจะจำเรื่องนี้ได้กัน?”


 


“ข้ามีความรู้สึกที่คลุมเครือในเรื่อง นายน้อยอี่หวงได้ฉกชิงหญิงสาวผู้นั้นมาเพราะว่านางงดงามอย่างยิ่ง ผู้คนจำนวนมากก็ได้รับรู้ในเรื่องนี้ แต่หญิงสาวผู้นี้ก็ถูกทำให้เสียโฉมในเวลาต่อมาและนายน้อยอี่หวงก็ได้ทิ้งนางไป”


 


“เช่นนั้นเหตุใดอีกหญิงสาวผู้นี้จึงบอกว่านายน้อยอี่หวงบีบบังคับครอบครัวของนางให้ไปสู่ความตาย?”


 


“หญิงสาวที่งดงามราวกับปีศาจผู้นั้นจริงๆแล้วนางได้หลงรักอี่หวง ชิงเฟิง แต่นางถูกนายน้อยอี่หวงฉกชิงตัวมา ในท้ายที่สุดหลังจากนายน้อยอี่หวงได้ทิ้งหญิงสาวผู้นี้ไป อี่หวง ชิงเฟิงก็ยังคงรับนางมาเป็นภรรยาของเขาโดยไม่สนใจคำนินทาแต่อย่างใด เขายังได้ดูแลลูกของนางที่ไม่ใช่แม้แต่ลูกของตนเอง แต่เมื่อนายน้อยอี่หวงรับรู้เรื่องนี้ในภายหลัง มันอาจจะเป็นเพราะความอิจฉาที่ทำให้อี่หวง ชิงเฟิงและครอบครัวของเขาต้องไปสู่ความตาย”


บทที่ 1365 – การต่อสู้ พยัคฆ์ขาวแสดงพลัง ไม่อาจต้านทานได้


 


“ช่างน่าสงสารยิ่งนัก แต่ตระกูลอี่หวงคงไม่สนใจกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”


 


“ใช่แล้ว มันคงเป็นเรื่องที่ดีหากเขาไม่ได้ไปฉกชิงตัวหญิงสาวผู้นี้หรือหากหญิงสาวผู้นี้เป็นเพียงคนธรรมดา แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะไม่ใช่คนธรรมดาและดูเหมือนว่านางจะเกี่ยวข้องกับท่านหมอเทวดาชิงด้วยเช่นกัน”


 


“เช่นนี้ก็ไม่ดีแล้ว เจ้าไม่เห็นงั้นหรือว่าพวกเขานั้นสนิทสนมกันอย่างยิ่ง? มีเพียงหญิงสาวเช่นนานเท่านั้นที่เหมาะสมสำหรับท่านหมอเทวดาชิง”


 


“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าท่านหมอเทวดาชิงจะลงมือเพื่อหญิงสาวผู้นี้หรือไม่ในวันนี้? ในตอนนี้เขานั้นมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ย่อมมีคนมากมายที่ต้องการจะช่วยเหลือท่านหมอเทวดาชิง”


 


“มันก็ยากที่จะบอกได้ เพราะตระกูลอี่หวงนั้นก็ถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง มีเพียงตระกูลปู้หยางที่สามารถร่วมต่อสู้กับท่านหมอเทวดาชิงได้จริงๆ หากพวกเขาก้าวออกมาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอนว่าย่อมมีอีกหลายคนที่ต้องการเข้าร่วมด้วยเช่นกัน”


 



 


ฝูงชนต่างคาดเดาไปต่างๆนานา มีบางคนที่นับถือตระกูลอี่หวงแต่ก็มีบางคนที่นับถือชิงสุ่ยด้วยเช่นกัน สายตาของผู้คนจำนวนมากในตอนนี้มองไปที่อี่หวง ตูซิน


 


“คำตอบงั้นหรือ? แม่ของเจ้าเป็นหญิงสาวของข้า เจ้าก็เป็นลูกสาวของข้าและข้านั้นเป็นพ่อที่แท้จริงของเจ้า การตายของแม่ของเจ้านั้นหากจะโทษใครก็ต้องโทษที่ชายผู้นั้น ดูเหมือนมันจะผ่านมานานหลายปีแล้ว กลับไปเถอะ เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายของเจ้านั้นเป็นตระกูลอี่หวง” อี่หวง ตูซินเดินออกมาและกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ


 


ชิงสุ่ยยังคงมีรอยยิ้มจางๆ เขารู้ว่าชายผู้นี้วางแผนอะไรอยู่


 


คนอื่นๆจะไม่พูดได้เช่นไร? ทุกๆคนต่างเห็นว่าชิงสุ่ยนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับหญิงสาวผู้นี้และไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นเลือดที่หลั่งไหลอยู่ภายในร่างกายของนางนั้นก็เป็นของตระกูลอี่หวง สิ่งต่างๆในตอนนี้เกินกว่าการคาดคิดของพวกเขาไปมาก


 


และหญิงสาวจากตระกูลชือก็ยังคงนั่งอยู่ที่นี่เช่นเดียวกันโดยไม่กล่าวอะไรออกมา ผู้คนของตระกูลชือก็ไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน เพราะนี่คือเรื่องของตระกูลอี่หวง


 


“เจ้าเหมาะสมแล้วงั้นหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าต้องผ่านอะไรมาบ้างตลอดหลายปี? เจ้าคิดจริงๆนั้นหรือว่าข้าสนใจตระกูลอี่หวง? ข้ามาที่นี่เพื่อทำให้เจ้าสารภาพผิดต่อท่านพ่อและท่านแม่ของข้า” อี่หวง กู่หวู๋นั้นดูไม่ได้โกรธเคืองอะไรแต่นางมองไปที่อี่หวง ตูซินด้วยความเย็นชา


 


“สารภาพผิดงั้นหรือ? ข้าทำสิ่งใดผิดกัน พวกเขาได้รับสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต่างก็ตายไปแล้ว เช่นนั้นข้าจะยอมรับผิดต่อพวกเขาได้อย่างไรกัน?” ไม่มีใครรู้ว่าอี่หวง ตูซินมันโง่จริงๆหรือเขาพยายามแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา


 


“เจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้เมื่อเจ้าตายไป เจ้าได้มีชีวิตอยู่มานานหลายปีแล้ว คงถึงเวลาที่เจ้าต้องไปแล้ว” อี่หวง กู่หวู๋ยิ้มอย่างเย็นชาและมองไปยังอี่หวง ตูซิน


 


“โอหังเกินไปแล้ว! เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับพ่อของเจ้าได้อย่างไรกัน?!”


 


ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นก็เกิดขึ้น อี่หวง อู๋ฟู่ยืนขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด


 


“ท่านพ่อของข้านั้นได้ตายไปแล้ว เจ้าเป็นใครกัน? มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้? เมื่อเจ้ายื่นมือเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ข้าก็จะนับรวมเจ้าไปด้วยแล้วกัน” อี่หวง กู่หวู๋ไม่ได้หันไปมองชายชราคู่นี้แม้แต่เพียงครั้งเดียว


 


“อี่หวง ตูซิน เจ้าจะจบชีวิตของตนเองเพื่อรับทราบความผิดที่ได้ก่อเอาไว้กับท่านพ่อและท่านแม่ของข้าหรือจะให้ข้าเป็นผู้ลงมือ?” อี่หวง กู่หวู๋ยังคงมองไปยังอี่หวง ตูซิน


 


“ข้าไม่บังคับเจ้า ไปเถอะ ในภายภาคหน้าเจ้าไม่ถือว่าเป็นคนของตระกูลอี่หวงอีกต่อไป” อี่หวง ตูซินส่ายศีรษะเบาๆและกล่าวออกมา


 


“มีเพียงขยะเช่นเจ้าเท่านั้นที่คิดว่าตระกูลอี่หวงนั้นกำลังรุ่งโรจน์ สำหรับข้าตระกูลอี่หวงนั้นไม่มีอะไรนอกจากความอับอาย ข้าได้บอกตนเองเมื่อนานมาแล้วว่าถ้าจะลบความอับอายนี้ออกไปเอง ในวันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของตน”


 


“พอแล้ว ตูซิน นี่คือปัญหาที่เจ้าได้ก่อเอาไว้ เช่นนั้นก็จงจัดการมันด้วยตัวเอง” ชายชรารู้สึกโกรธอย่างยิ่ง เขาเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีของตระกูลและไม่มีรุ่นเยาว์คนไหนในตระกูลพี่กล้าท้าทายเขาเช่นนี้ การกระทำของอี่หวง กู่หวู๋ทำให้เขารู้สึกโกรธอย่างยิ่ง


 


เขารู้สึกโกรธแต่ก็มีใครบางคนที่รู้สึกโกรธมากกว่าเขา นั่นคือชิงสุ่ย ชายชราผู้นี้ได้เข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องนี้แล้วและชิงสุ่ยรู้ว่าอี่หวง กู่หวู๋ต้องรู้สึกโกรธอย่างยิ่ง


 


“ผู้อาวุโส หากเจ้ากล้ากล่าวอะไรออกมาอีกข้าจะทำให้เช่าหายไปตลอดกาล” ชิงสุ่ยกล่าวเบาๆสายตาของเขาจับจ้องไปยังชายชรา


 


สิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวนั้นทำให้ฝูงชนโดยรอบเงียบลงไปในทันที นี่คือตระกูลอี่หวง ผู้นำของอาณาจักรอี่หวง ชายชราผู้นี้อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณจักรพรรดิ ไม่ว่ายังไงชายชราผู้นี้ก็ถือเป็นผู้นำของตระกูลอี่หวงและยังเป็นผู้อาวุโสสายตรงของอี่หวง ตูซิน


 


สำหรับพวกเขามันถือเป็นความช่วยเหลือครั้งใหญ่สำหรับตระกูลอี่หวงที่ยอมให้อี่หวง กู่หวู๋กลับมายังตระกูลอี่หวง เมื่อพูดถึงตระกูลอี่หวงย่อมไม่มีผู้ใดกล้าที่จะแสดงความโอหังเช่นนี้ออกมา มันผ่านมานานหลายปีแล้วและไม่มีผู้ใดจากตระกูลอี่หวงได้รับการรักษาจากเขามังกร แต่สิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวออกไปนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ไปถึงจุดจบ ต่อหน้าฝูงชนมากมายนี้ไม่มีทางที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาและจะกลับมาดีได้


 


“ฮ่าๆๆ…” อี่หวง อู๋ฟู่หัวเราะออกมา แต่ทุกๆคนนั้นก็รับรู้ได้ว่าเสียงหัวเราะของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ


 


“เมื่อใดกันที่เจ้าเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลอี่หวง? ไม่เคยมีผู้ใดกล้าที่จะแสดงความโอหังเช่นนี้ต่อตระกูลอี่หวงของเรามาก่อน ทุกๆคนคงได้เห็นด้วยตาของตนเอง นี่เป็นเรื่องของตระกูลอี่หวงของเราและข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด” อี่หวง อู๋ฟู่หันไปมองฝูงชนที่อยู่โดยรอบ


 


“หากเจ้ากล้าลงมือกับท่านหมอเทวดาชิง เช่นนั้นเจ้าก็ถือว่าเป็นศัตรูกับตระกูลปู้หยางของเรา” ชายวัยกลางคนจากตระกูลปู้หยางยืนขึ้นและกล่าวออกมา


 


“พวกเราคงทำเป็นมองไม่เห็นกับปัญหาท่านหมอเทวดาชิงไม่ได้”


 



 


ในตอนที่ตระกูลปู้หยางแสดงจุดยืนของพวกเขาตระกูลอื่นๆก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน หกตระกูลปู้หยางไม่แสดงจุดยืนเช่นนี้ชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าคงไม่มีผู้ใดในที่แห่งนี้กล้าที่จะเข้ามาข้องเกี่ยว ไม่มีผู้ใดในที่แห่งนี้ที่จะสามารถกล้าเผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนี้ได้


 


“ข้าชิงสุ่ยขอขอบคุณทุกๆท่านที่อยู่ที่นี่ แต่ถ้าอยากจะขอร้องให้ทุกๆท่านอย่าเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้” ชิงสุ่ยกล่าวกับผู้คนที่อยู่รอบๆตัวเขา


 


“เมื่อเจ้าอยากจะสังหารข้าเช่นนั้นก็มาเถอะ มันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว มาเริ่มการประลองแห่งชีวิตและความตายกัน เช่นนี้เป็นไร?” อี่หวง ตูซินหรือว่าเขาคงจะไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ต่อไปได้ เขาต้องจัดการกับปัญหานี้อย่างรวดเร็ว หากปล่อยให้ล่าช้าออกไปย่อมมีเรื่องเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับพวกเขาได้


 


“ผู้ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้โปรดถอยไป ตระกูลอี่หวงมีบางอย่างที่ต้องจัดการในวันนี้และงานเลี้ยงในวันนี้จะถูกยกเลิกไปก่อน” อี่หวง อู๋ฟู่พยายามที่จะไล่ผู้คนให้ออกไปรวมถึงผู้คนของตระกูลปู้หยางด้วยเช่นกัน


 


อี่หวง กู่หวู๋ค่อยๆลอยขึ้นไปบนอากาศช้าๆ


 


อี่หวง ตูซินก็ตามนางไปเช่นกัน ชิงสุ่ยก็ลอยขึ้นไปเช่นกันแต่อยู่ห่างจากพวกเขา ผู้คนจำนวนมากจากตระกูลอี่หวงก็ทะยานขึ้นไปเช่นกันและคนอื่นๆต่างออกไปจากที่แห่งนี้


 


“หวู๋น้อย ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง กลับไปซะ!” อี่หวง ตูซินกล่าวออกมาเบาๆ


 


“อี่หวง ตูซิน ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่าเจ้าจะต้องตายในวันนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อเจ้าสังหารท่านพ่อของข้าและครอบครัวของเขา เจ้าติดหนี้พวกเขามานานหลายปีและในตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดใช้ ในวันนี้มันจบทุกปัญหาที่นี่เถอะ”


 


“ข้ารู้สึกเหนื่อยมากแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่ามาโทษข้าที่ข้าไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของเรา” อี่หวง ตูซินดึงดาบง้าวของเขาที่ยาวประมาณ 4 ฟุตออกมา มันหนาประมาณ 3 นิ้วและมีแสงเปล่งประกายออกมา


 


“หยุดพูดเถอะเจ้าขยะ ในสายตาของข้าเจ้านั้นเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่า แม้แต่พยักร้ายนั้นก็ไม่ทำร้ายลูกกูมันเองแต่เจ้าพยายามฆ่าลูกของตนเอง”


 


หลังจากกล่าวจบอี่หวง กู่หวู๋ก็ได้ยื่นมือของนางออกไปจากนั้นก็เรียกพยัคฆ์ขาวออกมา


 


โฮก!


 


เสียงคำรามดังออกไปไกล กลิ่นอายที่ทรงพลังทำให้ทุกๆคนรู้สึกตกตะลึง


 


สีหน้าของอี่หวง ตูซินได้เปลี่ยนไป เขาเพิ่งจะยกระดับเข้าสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจและในตอนนี้เขาตระหนักได้ว่าพลังของพยัคฆ์ขาวนั้นดูเหมือนจะมากยิ่งกว่าเขา ในตอนนี้ผู้คนมากมายของตระกูลอี่หวงได้พุ่งเข้ามาอยู่ข้างๆอี่หวง ตูซิน


 


“ไป!”


 


เมื่อนางสะบัดมือพยัคฆ์ขาวขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาทันทีราวกับภาพลวงตา เสียงระเบิดครั้งใหญ่ดังขึ้นในอากาศ


 


พยัคฆ์ขาวระเบิดกงเล็บ!


 


ฟึบ ฟึบ…


 


พยัคฆ์ขาวขนาดยักษ์พุ่งไปยังผู้คนของตระกูลอี่หวงและตะปบพวกเขาส่งไปสู่ความตาย มีคนสองคนได้กลายเป็นเศษเนื้อทันทีด้วยการตะปบครั้งนี้จากนั้นก็กระจายออกไป


 


เมื่อเริ่มลงมืออี่หวง อู๋ฟู่ก็พุ่งออกไปหาอี่หวง กู่หวู๋ทันที เขารู้ว่าวิธีเดียวที่จะทำให้พยัคฆ์ขาวนั้นหายไปคือการสังหารอี่หวง กู่หวู๋


 


ทักษะย่างก้าว 9เทวา!


 


แม้ว่าทักษะย่างก้าว 9เทวาของอี่หวง กู่หวู๋จะไม่ได้อยู่ในระดับเทวาทั้ง 9 มันก็ยังถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง  นอกจากนี้ยังเข้ากันได้ดีกับพยัคฆ์ย่างก้าวของรูปแบบพยัคฆ์ ทักษะการเคลื่อนไหวนี้สามารถใช้งานร่วมกับพยัคฆ์ทะลายคีรี พยัคฆ์เข้าพงไพร พยัคฆ์คุ้มคลั่ง และการโจมตีรูปแบบอื่นๆของรูปแบบพยัคฆ์รวมไปถึงการโจมตีของพยัคฆ์ขาวได้


 


อี่หวง กู่หวู๋ได้เคลื่อนไหวไปตามตำแหน่งเทวาทั้ง 9 หรืออาจกล่าวได้ว่านางได้รวมตำแหน่งเทวาทั้ง 9 เอาไว้ในพยัคฆ์ย่างก้าว


 


อี่หวง กู่หวู๋ยื่นมือขวาของนางออกไป


 


พยัคฆ์พิฆาต!


 


ในตอนนี้การโจมตีของอี่หวง กู่หวู๋นั้นดูเหมือนจะแตกต่างออกไป แม้แต่ชิงสุ่ยก็รู้สึกว่ารูปแบบพยัคฆ์ของอี่หวง กู่หวู๋นั้นแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง


 


ภายใต้การโจมตีของพยัคฆ์ขาว เหล่าผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณจักรพรรดิทุกๆคนต่างถูกสังหารไปในทันที ถึงแม้ว่าอี่หวง ตูซินและชายชราคนอื่นๆพยายามที่จะหยุดมัน แต่ก็มีผู้คนที่ต้องตกตายมากขึ้นไปเรื่อยๆ


 


คนพวกนี้ทั้งหมดคือคนของตระกูลและในอนาคตพวกเขาย่อมสามารถไปถึงระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้ แต่ในตอนนี้พวกเขาต่างถูกสังหารล้มตายไปทีละคน


 


“เจ้าเป็นคนของตระกูลอี่หวง แต่เจ้ากลับสังหารผู้คนของตระกูลอี่หวง ในภายภาคหน้าเจ้าจะตอบคำถามเรื่องนี้ต่อเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลอี่หวงได้เช่นใด?” อี่หวง อู๋ฟู่ตะโกนออกมาในขณะที่เขาต่อสู้อยู่กับอี่หวง กู่หวู๋


 


“ข้าไม่ใช่คนของตระกูลอี่หวง ข้ามาที่นี่เพื่อล้างแค้น พวกเจ้าต่างหากที่ไม่อาจไปเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษของตนเองได้ไม่ใช่ข้า ข้ามาที่นี่เพื่อกำจัดตระกูลอี่หวง ข้าอยากรู้จริงๆว่าเจ้าจะตอบบรรพบุรุษของตนเองได้เช่นไรเมื่อตระกูลอี่หวงต้องถูกทำลายไปเพราะข้า” ด้วยท่าเท้าที่ทรงพลังของนางและทักษะอันน่าอัศจรรย์อี่หวง กู่หวู๋นั้นได้จัดการอี่หวง อู๋ฟู่อย่างสมบูรณ์


 


การโจมตีของอี่หวง กู่หวู๋นั้นทรงพลังแต่ก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง มันให้ความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์ใจออกมาราวกับว่ายกของที่มีน้ำหนักเบาแต่มันกับหนักอย่างยิ่ง การโจมตีที่มีเหมือนเบานี้กลับหนักแน่นยิ่งกว่าปะทะกับภูผา


 


นี่คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับประตูเทวะแห่งเต๋า


 


“เจ้า… เจ้า…” อี่หวง อู๋ฟู่รู้สึกโกรธจนพูดไม่ออกกับคำพูดของอี่หวง กู่หวู๋


 


ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรออกไปอี่หวง กู่หวู๋ก็ได้ฟาดลงมาบนไหล่ของอี่หวง อู๋ฟู่และเสี่ยงกระดูกที่หักก็ดังออกไป


 


อี่หวง กู่หวู๋ไม่ได้รู้สึกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่ได้หยุดการโจมตีของนางเช่นเดียวกัน ยิ่งมีชีวิตอยู่มานานหลายปีอี่หวง อู๋ฟู่ก็ยิ่งไร้ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น คำพูดที่เขากล่าวออกไปก่อนหน้านี้นั้นถือว่าโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง แม้แต่ตอนนี้ชิงสุ่ยก็รู้สึกดีอย่างยิ่งเมื่อเขาจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น


 


พยัคฆ์ขาวนั้นได้สังหารผู้คนไปกว่าครึ่งแล้ว พยัคฆ์ขาวดูเสมือนจริงนี้ราวกับสัตว์ร้ายที่ไม่รู้ว่าความเหนื่อยล้าคืออะไร กลิ่นอายที่มันปลดปล่อยออกมานั้นอยู่ในระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจมันน่าเสียดายที่นั่นไม่ใช่กลิ่นอายที่ลึกลับแต่อย่างใด แต่กลิ่นอายสังหารที่มันปลดปล่อยออกมานั้นก็ทรงพลังอย่างยิ่ง


 


อี่หวง ตูซินนั้นคิดจะเข้าไปช่วยเหลืออี่หวง อู๋ฟู่แต่เขาก็ต้องรับมือกับพยัคฆ์ขาว เขาประมาทไปหน่อยและได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย สิ่งที่เขาไม่ได้ตระหนักถึงก็คืออี่หวง กู่หวู๋ไม่ได้สั่งให้พยัคฆ์ขาวสังหารอี่หวง ตูซิน


 


หลังจากที่ไหล่ข้างหนึ่งของอี่หวง อู๋ฟู่ถูกทำลายไป ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็อ่อนแอลงไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ร่วงลงไปกองด้วยการโจมตีของอี่หวง กู่หวู๋และนั่นได้ทำลายการฝึกยุทธของเขา เขาได้สูญเสียเวลาชีวิตของตนเองไปกว่าครึ่งและหากไม่ได้รับการรักษาเขาจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ไม่กี่วัน


 


สำหรับคนอย่างเขานั้น การปล่อยให้เขาต้องมีชีวิตอยู่แบบคนธรรมดาคงดีกว่าการสังหารเขาในทันที สำหรับเขานี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากยิ่งกว่าการถูกฆ่า


 


ในตอนนี้เองก็มีกระแสพลังอันยิ่งใหญ่พุ่งมาทางด้านขวาของพยัคฆ์ขาว ทันใดนั้นการโจมตีอันทรงพลังก็พุ่งเข้าไปปะทะกับพยัคฆ์ขาวและอี่หวง กู่หวู๋ก็เรียกพยัคฆ์ขาวให้กลับมาอยู่ข้างๆนาง


 


“กลับมาที่ตระกูลอี่หวงและตระกูลอี่หวงจะเป็นของเจ้า” เสียงที่มีอายุดังออกมา เขาเป็นหนึ่งในชายชราหลายคนที่ได้มาที่นี่


บทที่ 1366 – ปะทะกับระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาได้รับ? การร่วงโรยของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ


 


นี่คือชายชราที่มีร่างกายที่สมบูรณ์แบบ เขามีจมูกเหมือนนกอินทรีและดวงตาเหมือนนกกระจอก ถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุมากแล้ว แต่เขาก็ยังคงให้ความรู้สึกที่โหดเหี้ยมและไร้ความปราณีแก่คนรอบข้างทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่สามารถสังหารคนอื่นๆได้อย่างไม่ลังเล


 


ผู้คนมากมายรวมถึงผู้คนของตระกูลอี่หวงต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เมื่อนางกลับไปยังตระกูลอี่หวง ตระกูลอี่หวงจะเป็นของนาง ด้วยทุกสิ่งที่กล่าวออกมานี้ตระกูลอี่หวงนั้นยังคงเป็นผู้ปกครองหลักของอาณาจักรอี่หวง สำหรับหญิงสาวที่มาจากตระกูลธรรมดาเช่นนี้ นางสามารถครอบครองตระกูลอี่หวงเมื่อนางกลับมางั้นหรือ?


 


ไม่เคยมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน อย่างน้อยที่สุดหญิงสาวจำนวนน้อยอย่างยิ่งที่ได้ปกครองตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลเช่นตระกูลอี่หวงซึ่งอยู่ในระดับสูง หากหญิงสาวผู้นี้ได้ปกครองตระกูลนี้นั่นหมายความว่าไม่มีชายใดในตระกูลที่ทรงพลังเลย


 


นี่ถือเป็นเรื่องอับอายมากที่สุดของเหล่าชายหนุ่มในตระกูลอี่หวง พวกเขาคงไม่อาจกล้าเผชิญกับผู้ใดได้


 


อี่หวง กู่หวู๋ไม่ได้ต้องการที่จะปกครองตระกูลอี่หวง ในอดีตมันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำเช่นนี้ แต่ในตอนนี้นางไม่ได้มองตระกูลอี่หวงในสายตาเลย เหตุผลนั่นก็เพราะนางรู้ดีว่าชายที่อยู่ข้างกายนางในตอนนี้สามารถทำลายตระกูลนี้ได้อย่างง่ายดายในอนาคต


 


แม้แต่ตัวนางเองก็ใช่เวลาไม่นานในการกำจัดคนพวกนี้ แต่นางก็มาที่นี่เพื่อแก้แค้นเท่านั้น


 


“ประวัติศาสตร์การต่อสู้ระหว่างแต่ละตระกูลล้วนมีทั้งตระกูลที่ยิ่งใหญ่กลับสู่ความตกต่ำและตระกูลที่ตกต่ำทะยานสู่ความยิ่งใหญ่ รากฐานอันยิ่งใหญ่ในตระกูลที่เหล่าผู้อาวุโสได้สร้างขึ้นมาล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับความหยิ่งยะโสของเหล่ารุ่นเยาว์ในตระกูลทำให้พวกเขาล้วนสูญเสียความเป็นมนุษย์และความเมตตาของตนเองไป จริงอยู่ที่พวกเราล้วนอาศัยอยู่ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด ดังนั้นเมื่อพวกเขากล้าทำเช่นนี้พวกเขาก็ต้องกล้าที่จะตกต่ำด้วยเช่นกัน” อี่หวง กู่หวู๋มองไปยังชายชราและกล่าวอย่างสงบ


 


คำพูดของนางนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง เป้าหมายของนางที่มาในวันนี้คือทำลายล้างตระกูลอี่หวง


 


หัวใจของอี่หวง ตูซินรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง หากเขาไม่ได้กระทำเรื่องเช่นนั้นในอดีตตอนนี้นางก็คงจะเป็นคนของตระกูลอี่หวง เมื่อเป็นเช่นนั้นใครกันที่จะหยุดตระกูลอี่หวงในอาณาจักรอี่หวงได้?


 


เพียงแต่เขายังไม่รู้อีกหลายอย่างเพราะเขาปฏิบัติเช่นนั้นกับอี่หวง กู่หวู๋ซึ่งชิงสุ่ยได้มาพบกับนางและเขาได้รับธงสวรรค์ปัญจธาตุ เพราะเหตุใดจึงทำให้เขาสามารถมายังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำได้ เหตุผลที่ทำไมอี่หวง กู่หวู๋ถึงสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้ล้วนเป็นเพราะนางได้พบกับชิงสุ่ย หากอี่หวง กู่หวู๋ไม่ได้ชีวิตเหมือนดังที่ผ่านมา ชีวิตของชิงสุ่ยึงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย


 


“เจ้าต้องการสิ่งใดกันเพื่อที่เจ้าจะยอมกลับไปที่ตระกูลอี่หวง ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่ข้าสามารถให้ได้ ข้าจะให้คำสัญญา” ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้สีหน้าของชายชรายังคงเหมือนเดิม


 


“ข้าจะไม่กลับไปที่ตระกูลอี่หวงหรือแม้แต่จะคิดเรื่องนี้ ข้าจะทำสิ่งที่ข้าต้องการด้วยตัวของข้าเอง ทุกๆคนล้วนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำ” อี่หวง กู่หวู๋มองไปยังกลุ่มคนที่ดูกังวลใจตรงหน้าของนาง


 


“ทุกๆตระกูลขุนนางย่อมมีคนที่ชั่วช้าอยู่ในตระกูล ทุกๆตระกูล” ชายชรายังคงพยายามที่จะชักชวนอี่หวง กู่หวู๋


 


ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าทัศนคติของฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเช่นนี้ ในตอนนี้เขาคิดว่าพวกเขาจะทำในสิ่งถูกต้อง ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมาและเพียงยืนอยู่ข้างๆ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้โจมตีอี่หวง กู่หวู๋เขาย่อมไม่เร่งรีบลงมือแต่อย่างใด


 


“ข้าต้องการให้เขาหายไปซะ หากท่านไม่ได้คิดที่จะมาข้องเกี่ยวในเรื่องนี้โปรดถอยออกไป ข้าจะถือผู้ที่มาขัดขวางข้าทั้งหมดล้วนเป็นศัตรู” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวยืนยัน


 


“สาวน้อย พวกเราเพียงคิดว่าเจ้าน่าจะพอมีอนาคตดี อย่าคิดว่าตนเองสูงส่งไปหน่อยเลย เจ้าคิดจริงๆงั้นหรือว่าตระกูลอี่หวงจะถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของเจ้าเพียงผู้เดียว? นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน” ชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆกล่าวออกมาด้วยความโกรธ


 


ในหมู่คนเหล่านี้ไม่เคยมีใครมาก่อความวุ่ยวายในตระกูล แต่มีเรื่องใดเกิดขึ้นไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่ามันจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เหตุใดพวกเขาจึงแสดงท่าทีที่สุภาพก่อนหน้านี้? แม้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ฝ่าตรงข้ามก็ยังคงดื้อรั้นหรือ


 


มันก็เป็นเรื่องดีที่เรื่องราวได้เป็นเช่นนี้ ด้วยวิธีนี้หากเป็นคนนอกย่อมคิดว่าตระกูลอี่หวงได้ทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว นี่เป็นเพราะอี่หวง กู่หวู๋นั้นล้ำเส้นมากเกินไป หากพวกเขาเข้ามาจัดการเรื่องนี้และชิงสุ่ยเข้ามาข้องเกี่ยวในเรื่องนี้ พวกเขาคงต้องสังหารชายผู้นี้ด้วยเช่นกัน


 


“ไป!”


 


อี่หวง กู่หวู๋เริ่มลงมือทันที นางไม่อยากเสียเวลามาพูดคุยกับคนพวกนี้ ความแค้นในจิตใจของนางนั้นต้องชดใช้ด้วยเลือดเท่านั้น


 


“เจ้ามันเด็กอวดดี! เอาล่ะ เช่นนั้นก็จงแสดงความสามารถของเจ้าให้ข้าได้เห็นหน่อยในวันนี้” ชายชราที่พูดก่อนหน้านี้ได้ถือกระบี่ในมือของเขาและฟาดฟันไปยังอี่หวง กู่หวู๋ทันที


 


ชายชราที่เป็นผู้นำไม่ได้กล่าวอะไรเพื่อหยุดเรื่องนี้ สีหน้าของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


 


หว่อง!


 


หว่อง!


 


อี่หวง กู่หวู๋รีบเรียกพยัคฆ์ขาวออกมาเพิ่ม พยัคฆ์ขาว 2 ตัวปรากฏขึ้นตรกหน้าของชายชราที่กำลังพุ่งเข้ามา พวกมันเหมือนดวงไฟสีขาว 2 ดวงที่มีเจตนาสังหารอันทรงพลัง


 


ก่อนหน้านี้เมื่อนางเรียกพยัคฆ์ขาวออกมาเพียงแค่ตัวเดียวออกมาผู้คนมากมายก็ต้องตกตะลึง แต่ในตอนนี้….


 


“ให้ข้าช่วยเจ้าจัดการกับพวกมันเอง”


 


ในหมู่ชายชราหลายคน หนึ่งในพวกเขาพุ่งเข้ามาปะทะกับพยัคฆ์ขาวหนึ่งตัวทันที


 


อี่หวง กู่หวู๋ขมวดคิ้วของนางและเคลื่อนไหวมือทั้ง 2 ข้างของตนเอง เมื่อนางทำเช่นนี้พยัคฆ์ขาว 2 ตัวที่เหมือนกันกับก่อนหน้านี้ก็ปรากฏตัวขึ้นทันที พวกมันพุ่งเข้าไปปะทะกับศัตรูอย่างรวกเร็ว


 


ในตอนนี้นอกเหนือจากชิงสุ่ยและอี่หวง กู่หวู๋ทุกๆคนล้วนตกตะลึง พยัคฆ์ทุกๆตัวนั้นมีพลังในระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ และมันมีมากถึง 4 ตัว นี่ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวยิ่งนัก


 


พยัคฆ์ขาว 4 ท่วงท่าสังหาร!


 


ทันใดนั้นพยัคฆ์ขาวทั้ง 4 ตัวก็เริ่มโจมตีไปจากทิศทางที่แปลกประหลาด พวกมันล้อมรอบชายชราทั้ง 2 คน หลังจากนั้นสิ่งเดียวที่เห็นคือมีแสงสีขาวสี่ดวงถูกยิงออกมา


 


ปัง!


 


ก่อที่ชายชราทั้ง 2 คนที่อยู่ตรงกลางจะได้ทำอะไร ช่องว่างสีดำมืดปรากฏขึ้นทันทีหลังการโจมตีเกิดขึ้น มันเป็นแสงที่แปลกประหลายอย่างยิ่ง


 


ชายชราทั้ง 2 คนได้หายไป


 


พยัคฆ์ขาวกลืนกิน!


 


นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ทรงพลังอย่างยิ่ง หนึ่งในเคล็ดวิชาที่จำเป็นต้องมี เพราะความจริงที่ว่าชายชราทั้ง 2 คนนี้อ่อนแอกว่าพยัคฆ์ขาวพวกนี้เล็กน้อยและพยัคฆ์ขาวยังได้เปรียบในด้านของจำนวน ชายชราทั้ง 2 คนจึงถูกสังหารไปในทันที


 


พวกเขาต่างเป็นผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ……


 


แม้แต่สำหรับชิงสุ่ย มันก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความพ่ายแพ้ของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างทั้งหมดเริ่มหน้าซีดทันทีจากความตกตะลึงครั้งใหญ่ที่พวกเขาได้รับ บางคนก็รีบหนีไปจากที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ลูกหลงจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวทำให้พวกเขาถึงตายได้เลย


 


“ไป สังหารพวกมัน!”


 


ในตอนนี้ชายชราที่เป็นผู้นำหยุดลังเลและออกคำสั่งในทันที หลังจากนั้นเขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาอี่หวง กู่หวู๋ ด้วยชายชรา 2 คนได้ตายไปตอนนี้เหลือเพียง 7 คนเท่านั้น ในเวลาเดียวกันชายชราก็ร้องเสียงแหลมออกมา ดูเหมือนเขาจะเรียกคนให้มายังที่แห่งนี้มากยิ่งขึ้น


 


ยังคงมีผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจในตระกูลอี่หวงอีกงั้นหรือ?


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยเริ่มลงมือ


 


ปราณจักรพรรดิ !


 


ปราณจักรพรรดิที่ทรงพลังนั้นสามารถลดพลังของศัตรูลงไปได้ถึง 20% รวมถึงทุกๆสิ่งที่พวกเขาได้ใช้ก่อนหน้านี้


 


กฏแห่งพระราชวังเก้าเทวา!


 


กฎแรงโน้มถ่วง กฎแห่งการกลืนกิน!


 


นี่คือกฏแห่งการแบ่งสัดส่วน ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอพวกเขาจะถูกประเหมือนค่าเป็นสัดส่วน


 


20% ของพลังที่ลดลงไปรวมกับผลของตำแหน่งของเทวาทั้ง 9 มันทำให้พลังของชายชรา 2 คนลดลงไปต่ำกว่าระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ


 


อี่หวง กู่หวู๋ใช้ท่าเท้าของนางออกมา เมื่อนางสะบัดมืออีกครั้งพยัคฆ์ขาวอีก 2 ตัวก็ปรากฏขึ้นข้างกายนาง พวกมันมาเพื่อปกป้องนาง เพราะศัตรูของนางในตอนนี้นั้นล้วนอยู่ในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ


 


ในตอนนี้ผู้คนของตระกูลอี่หวงรู้สึกราวกับกระอักเลือดออกมา ในสมองของทุกๆคนนั้นล้วนทราบถึงความสำคัญของผู้ที่อยู่ในระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจของตระกูล เพียงพริบตาพวกเขาก็โดนสังหารไปถึง 2 คน หากในตระกูลไม่ได้มีผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ พวกเขาคงจะถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน


 


ภาวะฉุกเฉินของทุกๆตระกูลย่อมส่งผลต่อผู้คนมากมาย พวกเขาต่างขึ้นสูงได้เพราะเหยียบย่ำคนอื่นๆ หากปราศจากพลังพวกเขาก็จะถูกคนอื่นๆเหยียบย่ำแทน นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นในโลก 9 มหาทวีปที่มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดและผู้ที่อ่อนแอก็จะต้องอยู่เบื้องล่างของผู้ที่แข็งแกร่ง


 


หุบเขา 9 เทวา!


 


ชิงสุ่ยเรียกหุบเขา 9 เทวาออกมา หุบเขา 9 เทวาของชิงสุ่ยก็พุ่งเข้าไปหาศัตรูที่ถูกทำให้อ่อนแอลงเพราะเขาทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ชิงสุ่ยก็ยิ้มออกมา อย่าประมาทผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจที่เป็นศัตรู หาไม่ใช่เพราะพยัคฆ์ขาวที่อี่หวง กู่หวู๋มี หากมีเพียงชิงสุ่ยและอี่หวง กู่หวู๋ พวกเขาย่อมทำได้แค่หนี หากมีชายชราเพียงนี้เพียงคนเดียวชิงสุ่ยรู้สึกว่าไม่มีปัญหาที่เขาจะจัดการ


 


“ชายชราผู้นั้นที่อยู่ในชุดสีฟ้า ข้าจะสร้างโอกาสให้แก่เจ้าเอง ให้พวกพยัคฆ์ไปล้มสังหารเขาซะ” ชิงสุ่ยกล่าว


 


“ตกลง!”


 


ไม่ว่ายังไงหุบเขา 9 เทวาก็เป็นเหมือนเทือกเขาเล็กๆ ชิงสุ่ยสามารถควบคุมมันให้พุ่งไปหาหนึ่งในชายชราได้ ชายชรารีบหลบทันทีเมื่อเห็นหุบเขา 9 เทวาพุ่งตรงมาหาเขา ก่อนหน้านี้เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดของภูเขาลูกเล็กๆนี้


 


ทันทีที่ชิงสุ่ยเห็นชายชราหลบไป เขาก็เรียกตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ไปยังชายชราคนอื่นๆทันที


 


ในเวลาเดียวกันหุบเขา 9 เทวาก็พุ่งเข้าไปชนกับชายชราอีก 2 คนทันที


 


การโจมตีของหุบเขา 9 เทวานั้นไม่ได้รุนแรงนัก เป้าหมายหลักของการโจมตีนี้คือพลังที่น่ากลัวของทักษะปราการจู่โจม ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องปะทะกับมันจริงๆ


 


พวกเขาหลบหลีกมัน นี่คือสิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการ เขารีบขัดขวางคนพวกนี้ด้วยหุบเขา 9 เทวาทันที หุบเขา 9 เทวานั้นมีขนาดใหญ่กว่า 100 เมตร


 


เมื่อผู้ฝึกยุทธที่อยุ่ในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจต้องเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ขาว 4 ตัวที่มีพลังกว่ 1.6 ล้านสุริยา ผลที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้คาดคิดเอาไว้แล้ว


 


พยัคฆ์ขาวสังหาร!


 


ภายใต้สถานการณ์ที่บีบเค้นเช่นนี้ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจทำได้เพียงยอมตายเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจพวกเขายังไม่อาจแม้แต่เรียนรู้เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ได้ พวกเขาย่อมไม่อาจหนีได้ กลิ่นอายอันทรงพลังของพยัคฆ์ขาวทั้ง 4 ตัวนั้นเป็นเหมือนกรงขังตามธรรมชาติ


 


แส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่ม !


 


แน่นอนว่าอสรพิษแห่งจิตวิญญาณทะยานฉก!


 


ชิงสุ่ยเคลื่อนไหวไปหาพวกเขาด้วยการใช้ทักษะการเคลื่อนไหวอสรพิษไอยราซึ่งเขาได้รับมาใหม่ เขาโจมตีออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งการโจมตีที่ปล่อยออกไปก็มีพลังโจมตีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่มันก็ทำได้เพียงทำให้ศัตรูของเขานั้นรับมือได้อย่างยากลำบากมากยิ่งขึ้น


 


อันที่จริงแล้วชิงสุ่ยก็ได้ฝึกฝนทักษะการเคลื่อนไหวอสรพิษไอยราของเขามาแล้วบ้าง แน่นอนว่าเขายังคงให้ความสนใจกับอี่หวง กู่หวู๋มากที่สุด


 


แม้ว่านางจะสามารถเรียกยักษ์ขาวที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้แต่หากนางประมาทศัตรูไปเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้นางถูกศัตรูสังหารได้อย่างง่ายดาย นี่คือสิ่งที่เขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น โชคดีที่นางยังมีพยัคฆ์ขาวอีก 2 ตัวอยู่ข้างกาย หรือมิฉะนั้นชิงสุ่ยย่อมรู้สึกว่าสถานการณ์ช่างยากลำบากเหลือเกิน วิธีที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากที่สุดในการจัดการกับศัตรูของเขาคือการใช้หุบเขา 9 เทวา และยังมีเคล็ดพลังศักดิ์สิทธิ์กลั่นหลอมเบญจธาตุ


 


เหตุผลที่ทำไมชิงสุ่ยออกคำสั่งเช่นนี้เพื่อเป็นการฝึกฝนความสามารถของอี่หวง กู่หวู๋สำหรับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นสำหรับในตอนนี้การต่อสู้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยตำแหน่งของเทวาทั้ง 9 ที่ถูกชิงสุ่ยทำให้อ่อนแอลง ความสามารถของพยัคฆ์ขาวได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก


 


หากพวกเขาอยู่ในระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจในตอนนี้? ในตอนนี้ชิงสุ่ยมีอารมณ์ที่หลากหลาย แม้ว่าอี่หวง กู่หวู๋จะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจแต่นางก็ยังสามารถเรียก “สัตว์อสูร” ที่อยู่ในระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจออกมาได้ หรือพวกมันอาจจะรู้จักกันในนามระดับอสูรอมตะนิรันดร์


 


แม้ว่าพลังของชิงสุ่ยที่ไม่ได้สูงมากนักแต่เขาสามารถปลดปล่อยพลังในระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจเมื่อเขาใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์และประสบความสำเร็จที่พลังโจมตีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เขายังมีเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด มันจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาที่จะส่งคนเหล่านี้ไปสู่ความตาย


 


เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ นี่เป็นการต่อสู้ที่อันตรายและทรงพลังมากที่สุดที่ชิงสุ่ยเคยประสบมาทั้งชีวิตของเขา เขารู้สึกราวกับเป็นนักรบที่เดินอยู่ท่ามกลางคมดาบมากมาย มันอาจจะอันตรายแต่ก็สร้างความตื่นเต้นให้แก่เขาอย่างยิ่ง


 


ในทางกลับกันอี่หวง กู่หวู๋กำลังทำสิ่งต่างๆด้วยความไม่อยากจะเชื่อในจิตใจของนาง นางสามารถควบคุมพยัคฆ์ขาวได้ด้วยจิตใจของตนเอง ความสามารถในการควบคุมพยัคฆ์ขาวของนางในตอนนี้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่นางไม่รู้ตัว มันมาถึงจุดที่นางสามารถยืนสั่งการอยู่บนหลังของพยัคฆ์ขาวตัวหนึ่งได้ ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้นางรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น


 


สำหรับชิงสุ่ยเขาเป็นผู้ที่มีทักษะย่างก้าว 9เทวาเมื่อรวมกับตำแหน่งของเทวาทั้ง 9 และยังมีศิลาหยกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ หากชิงสุ่ยต้องการที่จะหนีไปก็คงไม่มีใครที่สามารถหยุดเขาได้ เขาคือผู้ปกครองแห่งวัง 9 เทวา มันเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขาที่จะเคลื่อนที่ไปมาระหว่างตำแหน่งเทวาทั้ง 9 บางครั้งเขาก็จะปลดปล่อยการโจมตีของตนเองออกไปและทำร้ายศัตรูของเขาด้วยการใช้พลังธาตุที่ได้เปรียบศัตรู สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความคิด ตั้งแต่เริ่มต้นศัตรูที่พวกเขากำลังเผชิญหน้านั้นคือผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจทั้งหมด แม้แต่ชิงสุ่ยก็รู้สึกกดดันในการเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ แต่ในตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น สภาพจิตใจของเขาได้ยกระดับขึ้น ด้วยวิธีนี้จะสามารถควบคุมความคิดและจิตใจให้เป็นไปตามความปรารถนาของตนเองได้


 


ดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋าและการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาได้พัฒนาขึ้น


บทที่ 1367 – อี่หวง ตูซิน ความตาย จบอีกแบบ


 


การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ภายใต้อิทธิพลของกฏแห่งพระราชวังเก้าเทวาของชิงสุ่ย ไม่เพียงแต่ความเร็วของพวกเขาจะลดลงไปด้วยกฎแรงโน้มถ่วงนั้นทำให้ร่างกายของพวกเขาเคลื่อนไหวได้อย่างไม่สะดวกเช่นกัน นอกเหนือจากนั้นกำลังกายที่พวกเขาต้องใช้นั้นยังเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน


 


พยัคฆ์ขาวที่อี่หวง กู่หวู๋นั้นเรียกออกมานั้นทรงพลังและดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับเดียวกัน หลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมงมันก็จะหายไปโดยอัตโนมัติ ภายในเวลา 4 ชั่วโมงนี้หากพวกมันมีส่วนร่วมในการต่อสู้ก็จะใช้จิตแห่งปราณของตัวมันเองไปเรื่อยๆ หากมีการใช้ปราณมากจนเกินไปพวกมันก็จะหายไปก่อนเวลา หากพวกมันถูกโจมตีด้วยพลังทื่รุนแรงพวกมันจะสลายไปทันที


 


แต่เมื่อต้องปะทะกับกลุ่มคนตรงหน้านี้อย่างน้อยที่สุดพวกมันก็ไม่ได้สลายไปในทันที เพราะผู้ที่ทรงพลังที่สุดในหมู่คนกลุ่มนี้นั้นมีพลังต่ำกว่า 2 ล้านสุริยา


 


ตระกูลอี่หวงไม่เคยรู้สึกเสียใจมาก่อน เรื่องนี้มันผ่านมาแล้วกี่ปีกัน? พวกเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรอี่หวงมาโดยตลอด แต่ในวันนี้พวกเขากับต้องมาจนมุมเพราะรุ่นเยาว์เพียง 2 คน เรื่องเช่นนี้ยากที่พวกเขาจะยอมรับได้


 


หากอี่หวง ตูซินดูแลอี่หวง กู่หวู๋ให้ดีในตอนนั้นบางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะแตกต่างไปจากวันนี้ มันอาจไม่เป็นปัญหาสำหรับตระกูลอี่หวงที่จะปกครองเมืองในมหาทวีป แต่ในตอนนี้พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงถึงขั้นตระกูลล่มสลายได้


 


พวกเขาอาจจะหนีความต้องการของสวรรค์ได้แต่ไม่อาจหนีความชั่วร้ายตัวเองได้ก่อเอาไว้ได้


 


ในตอนนี้ผู้คนจำนวนมากของตระกูลอี่หวงต่างเกลียดชังอี่หวง ตูซิน หากการสังหารอี่หวง ตูซินในตอนนี้นั้นสามารถทำให้ตระกูลอี่หวงกลับมาสงบสุขได้พวกเขาย่อมเลือกที่จะทำโดยไม่ลังเล


 


การอยู่รอดของอัจฉริยะและการอยู่รอดของตระกูลอี่หวงทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ ในทางกลับกันอี่หวง ตูซินนั้นกำลังงุนงงอยู่ในตอนนี้ เขาคิดว่ามันยากที่จะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นจะเป็นความจริง เขาอยู่ในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ แต่ในวันนี้เขากลับต้องมาเผชิญหน้ากับศัตรูที่เขาไม่อาจทำอะไรได้


 


เขาทำผิดไปจริงๆนั้นหรือในช่วงเวลาที่ผ่านมา?


 


อี่หวง ตูซินกำลังคิดถึงเรื่องนี้ ในอดีตนั้นเขาเป็นอัจฉริยะของตระกูล แม้ว่าเขาจะถือเป็นรุ่นเยาว์แต่เขาก็ถือว่ามีตำแหน่งที่สูงส่งในตระกูล การใช้ชีวิตอย่างสุขสบายทำให้เขาได้กลายมาเป็นคนแบบนี้


 


เขาเฝ้ามองเหล่าเสาหลักของตระกูลล้มลงไปทีละคน หัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนมีดเฉือน หากเสาหลักของตระกูลเหล่านี้ต้องตายจากไปทั้งสิ่งที่รอตัวเขาและตระกูลอี่หวงอยู่นั้นมีเพียงความตายเท่านั้น


 


“สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว เจ้าต้องการทำลายที่แห่งนี้งั้นหรือ? ข้าได้ทำเรื่องผิดพลาดไป ข้าขอน้อมรับบาปที่ได้ก่อเอาไว้กับมารดาของเจ้า”


 


อี่หวง ตูซินพุ่งไปตรงหน้าของอี่หวง กู่หวู๋และกล่าวออกมาเสียงดัง


 


“ก่อนหน้านี้ครอบครัวของพวกเขาต้องพบเจอเรื่องแบบไหนกัน? เหตุใดเจ้าจึงไม่หยุดในตอนนั้น? มีผู้บริสุทธิ์มากมาย และพวกเขาจากจ้องมองมาที่ข้า บอกข้ามาเหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้าจะหยุดในตอนนี้?” อี่หวง กู่หวู๋มองไปยังอี่หวง ตูซินด้วยความเย็นชา


 


อี่หวง ตูซินรู้สึกสำนึกผิดอย่างลึกซึ้งในจิตใจ แต่สิ่งที่เขารู้สึกยิ่งกว่านั้นคือความรู้สึกของการไร้ประโยชน์ เขาและลูกสาวของตนเองผู้นี้ไม่มีความผูกพันต่อกันและกัน เหตุผลที่เขายอมรับผิดเช่นนี้เพราะเขาไม่อยากจะเห็นตระกูลอี่หวงต้องพบเจอกับความวิบัติ


 


“ถ้าต้องการที่จะเห็นตระกูลอี่หวงของเจ้าถูกทำลายลงไป” อี่หวง กู่หวู๋มองไปยังอี่หวง ตูซินอย่างสงบนิ่ง ก่อนหน้านี้เป็นนางที่ต้องเห็นครอบครัวของตนเองถูกทำลายไปอย่างช้าๆ


 


นางไม่ยอมใจอ่อนกับอี่หวง ตูซินอย่างแน่นอน เพียงแต่คำพูดเล็กน้อยเช่นนี้ของเขาทำให้นางรู้สึกสงบมากยิ่งขึ้นได้ โดยเฉพาะการที่นางทำเช่นนี้ย่อมทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ที่จากไปของนางได้จากไปอย่างสงบได้


 


“ไป!” ข้ารู้สึกยังไม่อยากสังหารเจ้าในตอนนี้!


 


อี่หวง กู่หวู๋สั่งให้พยัคฆ์ขาวพุ่งออกไปพร้อมกันฉันที เพียงครุ่เดียวเขาก็กระเด็นออกไปและกระอักเลือดออกมา อย่างไรก็ตามเขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อี่หวง ตูซินที่ถูกทำให้อ่อนแอลงในตอนนี้พลังของเขานั้นอยู่ต่ำกว่าระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ


 


ผู้คนที่ยังคงอยู่ด้านล่างในตอนนี้ล้วนเป็นตระกูลขุนนางทั้งหมด ตระกูลชือก็กำลังลังเลใจอยู่ในตอนนี้ พวกเขาได้ติดต่อกับผู้อาวุโสในตระกูลของตนเองแล้ว ในตอนนี้อีกไม่นานพวกเขาก็น่าจะมาถึง


 


ปัง!


 


ชิงสุ่ยและอี่หวง กู่หวู๋ใช้หุบเขา 9 เทวาเพื่อสังหารผู้คนอีกครั้ง ในตอนนี้เมื่อรวมกับชายชราที่เป็นผู้นำ พวกเขาต้องล้มตายไปแล้วถึง 6 คน เมื่อรวมกับอี่หวง ตูซินที่อยู่ต่ำกว่าระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจในตอนนี้ พวกเขาเหลืออยู่ 7 คนเท่านั้น


 


ตอนนี้เวลาใกล้จะหมดลงแล้วทั้งชิงสุ่ยและอี่หวง กู่หวู๋กลับมาร่วมมือกัน ในตอนนี้ลงมือด้วยเจตนาสังหารอย่างเต็มที่


 


หุบเขา 9 เทวา


 


พยัคฆ์ขาวได้ปิดทางหนี


 


เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาจึงมีหนทางเดียวที่จะหนีไป ในตอนนี้ชิงสุ่ยใช้เคล็ดวิชาพันธนาการที่ทรงพลังที่สุดของเขาออกมา


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือด!


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดขนาดยักษ์มีความสามารถแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เถาวัลย์นี้มีสีแดงราวกับเลือด ราวกับว่ามันสามารถฉุดดึงทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ให้ลงมาจากฟากฟ้าได้


 


หนามที่น่าสะพรึงกลัวของมันนั้นเปล่งประกายสีแดงออกมาทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกไปทั่วร่างราวกับได้ยินอยู่ต่อหน้าสิ่งที่ตนเองนั้นว่ากลัวที่สุด


 


หมูป่านักล่าสมบัติ!


 


ชิงสุ่ยเรียกหมูป่านักล่าสมบัติออกมา เจ้าตัวน้อยนี้อยู่ในขั้นที่ 4 สัตว์อสูรแห่งจิตวิญญาณ ความเร็วของมันได้เพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง ในตอนนี้แม้แต่ผู้ฝึกยุทธในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจก็ไม่สามารถทำให้มันบาดเจ็บได้


 


มันทะลุผ่านเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดไปและช่วงชิงเอาชีวิตของผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ


 


ผู้ฝึกยุทธมากมายมีชีวิตอยู่ด้วยในโลกในบี้เพราะโลหิตมากมายที่เปรอะเปื้อนกระบี่ของพวกเขา แม้แต่ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจที่เหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดพวกเขาย่อมไม่อาจหนีไปไหนได้ ชิงสุ่ยไม่คาดคิดเลยว่าตัวเขาเองจะสามารถนำพลังชีวิตของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจมาใช้ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้


 


ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจของตระกูลอี่หวงนั้นเหลืออยู่เพียง 3 คนเท่านั้น พวกเขาไม่แน่ใจว่ายังมีคนอื่นๆหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ แต่สำหรับในตอนนี้ทุกๆคนต่างรู้ว่าผลของการต่อสู้ได้ถูกตัดสินแล้ว


 


ในตอนนี้พื้นดินเบื้องล่างต่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ตระกูลปู้หยาง ตู่ หูจี้ ยอดฝีมือเกือบทั้งหมดของอาณาจักรอี่หวงต่างก็มาอยู่ที่นี่ เพราะนี่คือการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ มันยากที่จะพบเห็นได้แม้แต่ในรอบ 100 ปี


 


ปู้หยาง ชิงซินก็รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่งในตอนนี้ หญิงสาวผู้นี้มาจากไหนกัน? นางทรงพลังยิ่งกว่าชิงสุ่ยเสียอีก ชิงสุ่ยเองนั้นก็ทรงพลังอย่างยิ่ง แต่จริงๆแล้วสิ่งที่เสมือนกันมักจะถูกดึงดูดให้เข้าหากัน ตระกูลอี่หวงเปรียบเสมือนคนตาบอดในเวลานี้


 


เขารู้จักอี่หวง กู่หวู๋ สิ่งที่แปลกประหลาดในเรื่องนี้คือพลังของหญิงสาวผู้นี้ เขาไม่รู้ว่านางเอามันมาจากที่ใด แต่หนึ่งสิ่งที่เขาตระหนักได้ในตอนนี้คือนางเป็นผู้หญิงของชิงสุ่ย ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตระกูลปู้หยางนั้นโชคดีเหลือเกิน


 


เมื่อเทียบกับตระกูลปู้หยางหลายๆตระกูลต่างรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อชิงสุ่ยมาหาพวกเขาครั้งแรกก็มีบางคนได้สร้างความวุ่นวายให้แก่เขา ยังมีบางตระกูลที่เสียใจเพราะไม่ได้สานความสัมพันธ์อันดีกับชิงสุ่ย ปกติแล้วมันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนอย่างชิงสุ่ย เมื่อคนคนหนึ่งยากจน ประสบปัญหาในชีวิต ก็มีเพียงสหายที่แท้จริงเท่านั้นที่จะยื่นมือออกมาช่วยเหลือ


 


สำหรับในตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับชิงสุ่ยที่จะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจทั้ง 3 คนพร้อมกับพยัคฆ์ขาวทั้ง 6 ตัว ทั้งสามคนนี้หนึ่งในพวกเขานั้นคืออี่หวง ตูซินและอีกคนได้รับบาดเจ็บไปแล้ว


 


การล่มสลายของตระกูลอี่หวงนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในตอนนี้ แม้ว่าจะมีบางคนที่สามารถเอาชีวิตรอดไปได้แต่ตระกูลอื่นๆก็ย่อมที่จะเข้ามาเหยียบย่ำตระกูลอี่หวง


 


“อี่หวง ชิงเฟิงนั้นเป็นคนของตระกูลอี่หวง เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเจ้าก็เป็นเลือดของตระกูลอี่หวง ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่เจ้าก็คือคนของตระกูลอี่หวง จงฟังผู้คนของตระกูลอี่หวง หากพวกเราตายไปในวันนี้ นางจะกลายเป็นประมุขของตระกูลอี่หวง ในภายภาคหน้าแม้ว่านางจะตัดสินใจสังหารพวกเจ้ามันก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรไปได้” ชายชราที่เป็นผู้นำตะโกนออกมาเสียงดัง


 


ที่ชายชรากำลังทำเช่นนี้ก็เพื่อหาหนทางรอดของผู้คนตระกูลอี่หวง มันคงจะดีกว่าโดนคนอื่นสังหารหากนางเป็นคนสังหาร เพียงแต่นางย่อมไม่ฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นนี่จึงเป็นหนทางรอดเดียวของตระกูลอี่หวง


 


สำหรับคนอื่นๆของตระกูลอี่หวงที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาต้องยอมรับมันอย่างแน่นอน ในทางกลับกันผู้คนของตระกูลอื่นๆพวกเขาก็ได้รับรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่ายังไงสิ่งที่เขาได้กล่าวมานั้นก็ถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง


 


แอ้…..


 


เสียงร้องของเด็กทารกดังออกมาอย่างชัดเจน หญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกอดเด็กหญิงน้อยเอาไว้


 


“เจ้าทนเห็นพวกเขาต้องตายไปได้งั้นหรือ? ดูสิว่าเจ้ากับนางคล้ายคลึงกันแค่ไหน แม้ว่าเจ้าจะไม่ยอมรับว่านางเป็นน้องสาวของเจ้า จะเจ้าจะทนเห็นเด็กที่มีอายุเพียงไม่กี่เดือนต้องตายไปได้งั้นหรือ?”


 


เด็กหญิงน้อยผู้นี้ดูคล้ายคลึงกับอี่หวง กู่หวู๋อย่างยิ่ง อันที่จริงแล้วตอนนี้ก็มีเหล่าหญิงสาวและเด็กๆของตระกูลอี่หวงได้มารวมตัวกันและร้องไห้ออกมา ตราบใดที่พวกนางไม่ได้โง่พวกนางย่อมรู้ดีว่าตระกูลอี่หวงนั้นได้ล่มสลายไปแล้ว โชคชะตาที่รอคอยพวกนางอยู่นั้นช่างโหดร้ายยิ่งนัก


 


สีหน้าของอี่หวง กู่หวู๋นั้นดูเย็นชาอย่างยิ่ง นางมองไปยังเด็กหญิงน้อยผู้นี้ ก่อนหน้านี้อี่หวง ตูซินนั้นได้สังหารผู้บริสุทธิ์มากมายตามที่เขาพอใจ แต่คนเหล่านี้ก็บริสุทธิ์ สิ่งใดกันที่เป็นบาปของเด็กๆพวกนี้ พวกเขาต้องยอมรับเรื่องนี้แม้ว่าจะมีอายุเพียงไม่กี่เดือนนั้นสะกดหรือ? หากนางกระทำเช่นเดียวกันกับเขา เช่นนั้นนางก็เลวร้ายไม่ต่างจากสัตว์ใช่หรือไม่?


 


ทันใดนั้นอี่หวง กู่หวู๋ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เธอเคยทำมาในอดีตยังไม่ถูกต้อง นางหันกลับไปแล้วมองไปยังชิงสุ่ย เขายิ้มขณะมองตรงมาที่นาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอดทน การให้อภัยและมันดูสับสนอย่างยิ่ง แต่ในตอนที่นางได้จ้องมองเขานั้นความสับสนในสายตาของเขาก็หายไปในทันที


 


อี่หวง กู่หวู๋ได้เข้าใจแล้วในตอนนี้ เขาพยายามทำให้นางเข้าใจในเรื่องนี้ การตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างฉับพลันทำให้มีบางอย่างเปลี่ยนไปในร่างกายของนาง พลังของนางค่อยๆเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในตอนนี้ดูเหมือนจะมีรอยแตกร้าวบนประตูของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจแล้ว


 


การตระหนักถึงเรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่ง่ายดายอย่างยิ่ง แต่มีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องกับมันเท่านั้นจึงจะได้รับรู้ว่ามันยากลำบากอย่างยิ่ง การให้อภัยศัตรูของตนเอง…… การปล่อยศัตรูที่เคยทำเรื่องชั่วร้ายไปในตอนที่สามารถที่จะสังหารพวกมันทั้งหมดได้….. นี่เป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะสำเร็จ โดยเฉพาะในสถานการณ์ของอี่หวง กู่หวู๋นางมีความคิดในเรื่องนี้มามากกว่า 10 ปีแล้ว มันยากยิ่งนักที่นางจะหยุดได้


 


ในตอนนี้เมื่อชายชราจากตระกูลอี่หวงได้เห็นสีหน้าของอี่หวง กู่หวู๋เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “พวกเรายอมตาย ด้วยวิธีนี้แม้ว่าพวกเราจะต้องตายไปก็ยังสามารถไปพบหน้าบรรพบุรุษของตนเองได้”


 


ทันทีที่ชายชรากล่าวจบ โลหิตจำนวนมากก็ไหลออกมาจากทวารทั้ง 7 ของเขา หลังจากนั้นเขาก็ร่วงหล่นลงไปจากท้องฟ้าทันที


 


ชายชราผู้นี้ได้ฆ่าตัวตาย


 


ชิงสุ่ยรู้สึกเศร้าเล็กน้อยในหัวใจของเขา สำหรับคนที่อยู่มาจนถึงอายุเท่านี้พวกเขาย่อมผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย กลุ่มคนเหล่านี้พวกเขาดูแลเฉพาะเรื่องมรดกตกทอดของตระกูลเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับมรดกของตระกูลแล้วชีวิตของพวกเขานั้นก็ถือว่ามีค่ามากกว่า


 


ในตอนนี้เมื่อรวมกับอี่หวง ตูซินก็เหลือผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจเพียงสองคนเท่านั้น ในตอนนี้ทุกๆคนหวังว่าเรื่องนี้มันจะสามารถจบลงได้


 


“กล่าวมา ข้าจะยอมรับข้อเสนอของเจ้า หลังจากนั้นข้าจะฆ่าตัวตายต่อหน้าหลุมศพของพ่อและแม่ของเจ้าเพื่อเป็นการขอโทษในสิ่งที่ข้าได้กระทำไป” อี่หวง ตูซินรู้ว่าอี่หวง กู่หวู๋ย่อมไม่ให้อภัยเขาอย่างแน่นอน และรู้ว่าในตอนนี้รุ่นเยาว์ของตระกูลอี่หวงจะไม่ถูกคนอื่นๆรังแก เขาก็รู้สึกโล่งใจมากยิ่งขึ้น


 


ถึงแม้ว่าอี่หวง กู่หวู๋จะคิดไปต่างๆนาๆในเรื่องนี้แต่ความจริงก็คือนางได้สังหารคนบริสุทธิ์ไปมากมาย นางไม่อยากจะทำแบบเดียวกับเขา แต่สำหรับการสังหารหมู่ในตอนนั้นตราบใดที่พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องพวกเขาทั้งหมดก็ต้องตาย


 


“ตระกูลสาขาทั้งหมดของท่านพ่อของข้านั้นได้ตายไปจนหมดสิ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นจะต้องตายทุกคน ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดได้รับการยกเว้นในเรื่องนี้” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวอย่างช้าๆขณะที่นางมองตัวอย่างอี่หวง ตูซิน สำหรับนางชายผู้นี้ช่างไร้ค่าอย่างยิ่ง ความรักในครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นได้ด้วยความสัมพันธ์ทางสายเลือด


 


“สำหรับเรื่องนี้ข้าจะแจ้งคนอื่นๆให้ดำเนินการในทันที” เมื่ออี่หวง ตูซินกล่าวจบ เขาก็เป่านกหวีดออกมา ชายชราคนหนึ่งบินขึ้นมาจากเบื้องล่าง อี่หวง ตูซินไม่ได้ปิดบังอะไรในขณะที่เขาแจ้งชายชราเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องทำ


 


……


 


อี่หวง ตูซินได้ตายไป แต่ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจของตระกูลอี่หวงนั้นยังเหลืออยู่อีก 1 คน อี่หวง กู่หวู๋แต่งตั้งให้เขาเป็นประมุขของตระกูลอี่หวง นางปฏิเสธที่จะเป็นประมุขของตระกูลอี่หวง แต่นางก็มั่นใจได้ว่าในตอนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะล่วงเกินตระกูลอี่หวง


 


ยุคสมัยของพวกเขาได้จบลงไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจของตระกูลอี่หวงที่เหลืออยู่คนสุดท้ายนั้นถือว่ามีอายุน้อยที่สุดหากไม่นับอี่หวง ตูซิน ศักยภาพในการเติบโตของเขายังคงมีอยู่ แต่เขาจะนำตระกูลอี่หวงไปในทิศทางไหนนั้น นี่เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ


 


ปัญหาทั้งหมดถูกแก้ไขจนหมดสิ้น การจบลงของเรื่องนี้ยังคงเหนือความคาดหมายของทุกๆคน แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในตอนแรกเขาคิดว่าตระกูลอี่หวงหรืออย่างน้อยสาขาของตระกูลอี่หวงจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญมากที่สุดนางได้เปลี่ยนความคิดไปอย่างรวดเร็วและได้มองเห็นความจริงนั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง


 


บางครั้งกฏที่ว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ก็อาจจะไม่ได้ผลเสมอไป


บทที่ 1368 – อี่หวง กู่หวู๋ ยกระดับไปยังระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ บ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิต


 


ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นผู้คนของตระกูลชือไม่มีผู้ใดก้าวออกมา พวกเขาอยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรหลังจากที่พวกเขาได้เห็นชะตากรรมของตระกูลอี่หวง คนส่วนใหญ่ย่อมเลือกที่จะทรยศพันธมิตรของตนเองหากมีเรื่องที่คอขาดบาดตายเช่นนี้


 


ชิงสุ่ยนึกถึงสุภาษิตจากชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังภักดีต่อกันนั้นเพราะคุณค่าของการทรยศนั้นไม่ได้มากพอ เมื่อการทรยศนั้นให้ผลที่มีคุณค่ามากพอผู้คนย่อมเลือกที่จะปิดหูปิดตาเลือกทรยศ สิ่งที่มีคุณค่ามากพอนี้อาจจะมาในรูปแบบของ เงินทอง หญิงสาว ชีวิตของตนเอง การข่มขู่ และอื่นๆ


 


เช่นเดียวกับตระกูลชือเมื่อเทียบกับการอยู่รอดของตนเองแล้วไม่มีสิ่งใดที่สำคัญกว่า หากพวกเขาไม่อาจรอดชีวิตไปได้ การเจรจาย่อมไร้ประโยชน์ พวกเขาย่อมต้องเลือกรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้มากกว่านำชีวิตไปเสี่ยง


 


ตระกูลอี่หวงนั้นจบสิ้นแล้ว ทั้งตระกูลของพวกเขานั้นถือว่าถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแม้ว่าชื่อของพวกเขาจะยังคงตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายๆคน อาณาจักรอี่หวงในตอนนี้นั้นปราศจากผู้นำ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเสนอตัวมาเป็นผู้นำของอาณาจักรอี่หวงในตอนนี้อย่างแน่นอน


 


ในหมู่อี่หวง กู่หวู๋ ชิงสุ่ย ตระกูลปู้หยาง ตระกูลตู่กู๋ ตระกูลสุ่ยและตระกูลชือทุกๆคนต่างเดินจากไปโดยที่ไม่ได้พูดว่าตระกูลปู้หยางนั้นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด ไม่ว่าตระกูลอื่นๆจะอยู่ข้างเดียวกันกับตระกูลปู้หยางหรือไม่ชิงสุ่ยพวกเขาทั้งหมดย่อมตระหนักได้ถึงพลังของตระกูลปู้หยาง หากตระกูลปู้หยางตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไรพวกเขาก็ย่อมต้องทำตามเช่นเดียวกัน


 


ชิงสุ่ยขึ้นไปบนหลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำพร้อมกับอี่หวง กู่หวู๋ทันทีและบินออกไปที่หอคอยจักรพรรดิโดยทิ้งสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนี้เอาไว้


 


“เจ้าคิดว่าผู้ใดจะมาเป็นเสาหลักของอาณาจักรอี่หวงคนต่อไป?”


 


“มันยังไม่ชัดอีกงั้นหรือ? หากชายหญิงคู่นี้ต้องการที่จะเป็นใหญ่ตระกูลปู้หยางและตระกูลตู่กู๋ย่อมต้องช่วยเหลือพวกเขาอย่างแน่นอน หากพวกเขาไม่ต้องการเช่นนั้นก็คงเป็นตระกูลปู้หยาง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำตัวสูงศักดิ์แต่พวกเขาจะไม่มีความทะเยอทะยานที่จะเป็นใหญ่เลยงั้นหรือ?”


 


“แน่นอนว่าในแง่ของความทะเยอทะยานก็น่าคิดแต่ตระกูลปู้หยางอาจไม่สนใจอาณาจักรอี่หวงหรือบางทีพวกเขาอาจจะมองอาณาจักรอี่หวงนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้”


 


“ทำไมกัน?”


 


“เจ้าไม่รู้งั้นหรือว่ามีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับตระกูลปู้หยางเมื่อพวกเขาได้พบกับท่านหมอเทวดาชิง? ปู้หยาง ชิงนั้นใกล้จะจบชีวิตของเขาแล้วแต่ก็ได้ยกระดับเป็นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจในทันที บรรพบุรุษของตระกูลปู้หยางนั้นยังได้ยกระดับเข้าสู่ขั้นที่ 2 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ เวลาชีวิตของนางนั้นก็ใกล้จะหมดลงแล้วเช่นกัน”


 


“หากท่านกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้น…..”


 


“นี่คือเหตุผลที่ข้าจะบอกว่าท่านหมอเทวดาชิงนั้นสำคัญยิ่งกว่าอาณาจักรอี่หวงสำหรับตระกูลปู้หยาง ตราบใดที่พวกเขายังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับท่านหมอเทวดาชิงนั่นย่อมสำคัญยิ่งกว่าการได้ปกครองอาณาจักรอี่หวง พวกเขายังสามารถแม้แต่ไปยังเมืองหลวงของมหาทวีปหรือบางทีอาจจะไปยังมหาทวีปอุดรเทวา”


 


…….


 


“ชิงสุ่ย ข้าชั่วร้ายใช่หรือไม่?” อี่หวง กู่หวู๋ควรจะกำจัดภาระในจิตใจของนางไปได้แต่ดูเหมือนนางจะไม่อาจลบมันไปจากจิตใจได้อย่างสมบูรณ์


 


“เจ้าชั่วร้ายอย่างไร? ความปราถนาของเจ้านั้นสำเร็จแล้ว เจ้าไม่ดีใจงั้นหรือ? ข้าจะให้พี่ชายและพี่สะใภ้ทำอาหารเพื่อเฉลิมฉลองให้แก่เจ้า” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


เมื่ออี่หวง กู่หวู๋เห็นชิงสุ่ยยิ้มให้นาง นางก็กล่าวออกมาว่า “ข้าคิดว่าตนเองอาจจะยินดีเมื่อได้ทำเรื่องเช่นนี้แต่ข้ากลับรู้สึกว่าข้าสูญเสียอะไรบางอย่าง ชิงสุ่ย เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าสูญเสียสิ่งใดไป?”


 


ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาเข้าใจความรู้สึกของอี่หวง กู่หวู๋ในทันทีและตอบกลับนางด้วยรอยยิ้ม “มันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งสำหรับคนๆหนึ่งที่ต้องแบกรับภาระหนักแหน่นเช่นนี้ แต่ด้วยเวลาที่ยาวนานเจ้าคงรู้สึกว่ามันผูกพันกับจิตใจของเจ้า หากวันหนึ่งภาระที่หนักแน่นนั้นหายไปผู้ที่แบกรับภาระนั้นย่อมรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป มันอาจจะเป็นความรู้สึกที่เคยขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็ได้ เจ้าได้แบกรับภาระนี้มาอย่างยาวนาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าใช้ชีวิตอยู่กับความเกลียดชัง แต่เมื่อความเกลียดชังนั้นหายไปเจ้าก็คงจะรู้สึกอ้างว้างเช่นเดียวกัน”


 


ชิงสุ่ยรู้ว่าเหตุผลที่นางรู้สึกเช่นนี้ย่อมเหมือนกันกับเขา เพราะเขาก็เคยสังหารผู้คนมามากมายและเคยรู้สึกมีความสุขกับการได้ล้างแค้นเช่นเดียวกัน


 


ในการเดินทางกลับของพวกเขาอี่หวง กู่หวู๋และชิงสุ่ยได้เดินทางไปที่สถานที่ที่พ่อแม่และสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆของนางถูกฝังเอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้เห็นน้ำตาของหญิงสาวผู้นี้…..


 


ชิงสุ่ยรู้ว่าอี่หวง กู่หวู๋นั้นต้องการเวลาในการรักษาสภาพจิตใจของนาง นางต้องการเวลาอีกสักพักเพื่อต้องการทำความเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น


 


ในอดีตชิงสุ่ยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของเรื่องนี้แก่หมอปิศาจและคนอื่นๆ เขาคิดว่าคนอื่นๆคงทราบเรื่องนี้อีกไม่นาน แต่เขาไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย


 


เมื่อพวกเขาได้มาถึงหอคอยจักรพรรดิคนอื่นๆก็ได้รอคอยอยู่ข้างในแล้ว


 


เมื่อเขาเห็นหมอปิศาจ ลี่จี๋ และหยวน สู่ เขาก็เห็นความกังวลที่ในสายตาของพวกเขา หยวน สู่รีบก้าวเท้าออกและทักทายพวกเขา นางจับไปที่มือของอี่หวง กู่หวู๋และมองไปยังชิงสุ่ย “พวกเจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”


 


ชิงสุ่ยรู้ว่าความรู้สึกของนางนั้นเป็นของจริง เพราะหากเขาเป็นอะไรขึ้นมานางย่อมสามารถป้องกันตนเองได้ ดังนั้นความกังวลของนางนั้นจึงเป็นของจริง


 


ชิงสุ่ยไม่เคยคิดที่จะคัดค้านจุดมุ่งหมายหรือเจตนานี้ ทุกๆคนก็มีความคิดที่คล้ายคลึงกันก่อนหน้านี้เหมือนกับการทำงานที่ต้องการผลตอบแทน มันเหมือนกับเรื่องธรรมดา สหายของเขาก็เหมือนกับคนที่เหมือนๆกันได้มามาอยู่กลุ่มเดียวกัน เพราะว่าพวกเขาสามารถพูดคุยกันได้อย่างดีการตกลงเรื่องต่างๆจึงเป็นไปได้ง่าย กล่าวอีกนัยหนึ่งพวกเขานั้นต่างก็มีใจที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน


 


หากหยวน สู่รู้ถึงความคิดของชิงสุ่ย นางอาจจะรู้สึกหดหู่ บางทีตอนนี้นางอาจมีจุดมุ่งหมายของตัวเองอย่างแท้จริง เช่นความก้าวหน้าของความสัมพันธ์กับชายคนนี้ไปสุ่ระดับต่อไป….


 


อี่หวง กู่หวู๋รู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้เห็นหยวน สู่ หมอปิศาจและชิงสุ่ย เมื่อนางตระหนักว่านางยังคงมีลู่หยาน ถานท่าย หยวนและคนอื่นๆของเทือกเขาปู๋โถว นางก็รู้สึกดีมากขึ้น นางไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวและมีอีกหลายคนที่เป็นห่วงนางจากใจจริง


 


ชิงสุ่ยจับมือของนางเอาไว้แน่นเสมอไม่ว่านางจะเผชิญกับปัญหาใดก็ตามเหมือนดังเช่นวันนี้ หากชิงสุ่ยไม่ได้อยู่ที่นี่นางย่อมไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้


 


อี่หวง กู่หวู๋บีบของชิงสุ่ยแน่น เมื่อมีชายคนนี้นางจะต้องการอะไรอีก? สายตาของนางสงบนิ่งมากขึ้นเมื่อนายได้มองไปยังสายตาของชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยทำอาหารออกมามากมาย คนอื่นๆก็เข้ามาช่วยเขาทำอาหารด้วยเช่นกัน ห้องครัวของที่นี่มีขนาดใหญ่และกว้างขวางอย่างยิ่ง


 


พวกเขาทั้ง 5 คนรีบนั่งรอบๆโต๊ะทันทีเมื่อชิงสุ่ยนั่งลงข้างๆอี่หวง กู่หวู๋ หยวน สู่ก็นั่งอยู่อีกข้างติดกับอี่หวง กู่หวู๋และลี่จี๋และถัดไปเป็นหยวน สู่ ลูกของหมอปิศาจได้นอนหลับอยู่ในห้องและคนดูแลเขาอยู่


 


“พี่สาวหวู๋ได้จบปัญหาที่ค้างคาในใจของนางมาอย่างยาวนาน วันนี้เรามาฉลองกันเถอะ” ชิงสุ่ยกล่าวกับคนอื่นๆ


 


“ข้าเข้าใจ พี่สาวหวู๋จะไม่ต้องแบกรับภาระเช่นนี้จากนี้เป็นต้นไป” หยวน สู่ยิ้ม


 


“เจ้าจะรู้ว่าจะสหายของตนเองนั้นสำคัญที่สุดในเวลาที่ ข้าจะรักพวกเขาไปตลอดชีวิตที่เหลือของข้า” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวเบาๆ


 


“จงมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองนับแต่นี้เป็นต้นไป จงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นมีความสุขมากยิ่งขึ้น”


 


“มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง เช่นนั้นเจ้าล่ะ? เจ้าก็เริ่มมีอายุมากขึ้นแล้วในตอนนี้ เคยมีสักวันหรือไม่ที่เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง?” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวเบาๆขณะที่นางมองไปยังชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาเคยปรับทุกข์กับอี่หวง กู่หวู๋ในเรื่องส่วนตัวของเขาก่อนที่เขาจะบอกนางว่าเขามีความสามารถด้านใดบ้าง จากนั้นชิงสุ่ยก็ส่ายศีรษะเบาๆและกล่าวออกมาว่า “บางทีอาจจะมีผู้คนที่มีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งต่างๆให้แก่ผู้อื่นและไม่เคยมีวันไหนที่พวกเขาจะไม่มีความสุขเพราะความสุขของพวกเขานั้นคือการได้ใช้ชีวิต เหมือนกับเจ้า ท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้าคงจะได้จากไปอย่างสงบสุข”


 


“ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถจัดการปัญหาของตนเองได้โดยเร็วที่สุด”


 


“ข้าจะทำและมันคงจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้” ชิงสุ่ยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม แม้เขาจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ปัญหาของเขาดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จได้โดยง่าย ในตอนนี้เขามีอายุได้ 40 ปีแล้วและหากเขายังอยู่ในโลกก่อนหน้านี้ของเขาเขาจะถือเป็นคนวัยกลางคนแล้ว แต่ในโลกใบนี้ยังเหลือเวลาอีกมากมายในชีวิตของเขา


 


…….


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและก่อนที่ทุกคนจะได้รู้ตัวเวลาก็ได้ผ่านไปกว่า 3 เดือนแล้ว ชิงสุ่ยฝึกฝนอย่างระมัดระวังในทุกๆวันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายของเขา กายาทองคำ 9 หยางในระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในที่สุดมันก็มั่นคง


 


เขายังติดอยู่ระหว่างระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจและประตูของขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล เขาไม่อาจยกระดับไปยังระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้แต่คนอื่นๆนั้นสามารถทำได้


 


อี่หวง กู่หวู๋!


 


เมื่อภาระในจิตใจของนางได้หายไปก็เหมือนกับว่าจิตวิญญาณของนางได้ถูกปลดปล่อย ด้วยการช่วยเหลือจากชิงสุ่ยนางสามารถยกระดับขึ้นไปยังระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้ภายในเวลา 3 เดือนของการฝึกฝนและได้รับพลังมากถึง 1.5 ล้านสุริยา


 


ในที่สุดนางก็สามารถยกระดับขึ้นได้ด้วยพลัง 500,000 สุริยา


 


ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่านางจะได้เข้าสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจก่อนเขา แม้ว่ารูปแบบพยัคฆ์ของนางจะไม่ได้ยกระดับขึ้นหลังจากที่นางได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจและมันย่อมยากยิ่งนักที่จะยกระดับไปยังระดับทองคำอินทนิล แม้กระนั้นพลังของนางก็ยังคงน่ากลัวอย่างยิ่ง


 


ด้วยพยัคฆ์ขาวที่มีพลังมากถึง 4-5 ล้านสุริยาและพวกมันยังมีถึง 6 ตัว……


 


พลังในระดับขั้นที่ 2 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ…..


 


อี่หวง กู่หวู๋ได้รับ ‘สัตว์อสูร’ ทั้ง 6 ตัวที่อยู่ในขั้นที่ 2 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจจากรูปแบบพยัคฆ์ซึ่งทำให้นางรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง ใน 2-3 วันที่ผ่านมานางได้ไปยังตระกูลปู้หยางหลายครั้ง หลังจากที่ได้ปรึกษากับหญิงชราของตระกูลปู้หยาง นางก็ตำหนักว่านางต้องสร้างรากฐานของร่างกายให้ถูกต้องเมื่อได้ยกระดับมาสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ มิฉะนั้นอาจจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะขจัดปัญหาต่างๆของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ ขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจนั้นอ่อนแอที่สุดแต่ก็ถือว่าสำคัญที่สุดเช่นเดียวกัน


 


ชิงสุ่ยนั้นช่วยเหลือนางในการบำรุงร่างกายเพื่อที่จะเสริมสร้างรากฐานให้แก่ร่างกายของนาง!


 


“ชิงสุ่ย ข้ามีสูตรของยาที่จะสามารถช่วยเสริมสร้างรากฐานของร่างกายที่ดี แต่ส่วนประกอบต่างๆที่ต้องการในสูตรนี้นั้นล้วนหายากอย่างยิ่ง” หยวน สู่กล่าวว่าหลังจากที่นางได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมอบสูตรการปรุงยาให้กับชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยมองไปยังสูตรของยานี้และยิ้มออกมา เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้เพราะว่าส่วนประกอบที่นางว่าหายากนั้นเขาได้มีอยู่ในครอบครองแล้ว พวกมันคือฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต ผลึกเสริมกายาและผลเบญจธาตุอีก 2 แบบ


 


หลังจากที่ได้อ่านสูตรของยาแล้วเขาก็เข้าใจว่าส่วนผสมต่างๆนั้นมีประโยชน์อย่างไร  ผลเบญจธาตุจะสอดคล้องกับอวัยวะภายในทั้ง 5 ซึ่งเปรียบเสมือนองค์ประกอบของธาตุทั้ง 5 ฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตนั้นสามารถปลุกการเคลื่อนไหวของร่างกายและทำให้ร่างกายสดชื่นมากยิ่งขึ้นเพื่อเสริมสร้างเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย……


 


ชิงสุ่ยค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้อ่านสูตรของยานี้ ตรรกะของหญิงสาวผู้นี้ก็เหลือเชื่ออย่ายิ่ง นางสามารถผสมผสานคุณสมบัติทางการแพทย์ของสมุนไพรต่างๆเหล่านี้ได้อย่างลงตัวแต่แน่นอนว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถดึงมันออกมาได้ แต่หยวน สู่นั้นเป็นคนเขียนขั้นตอนในการปรุงยาต่างๆให้แก่เฒ่า


 


เมื่อเขาบอกว่าเขาจะทำมันเขาก็หมายความตามที่พูดเอาไว้ เนื่องยาสมุนไพรที่ใช้อาบนั้นล้ำค่าอย่างยิ่งมันจึงสามารถใช้ได้กับผู้ฝึกยุทธในทุกๆระดับ แต่จะมีข้อยกเว้นบางอย่างตำรับยาสมุนไพรที่ใช้อาบนี้ ไม่ว่ายังไงสูตรของยานี้ก็ต้องปรุงยาออกมาเป็นผงก่อนจากนั้นจึงจะนำไปละลายน้ำในสัดส่วนต่างๆที่ระบุเอาไว้


 


ชิงสุ่ยชอบที่จะลงมือทำในทันทีดังนั้นเขาจึงเข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ สูตรของยานี้ยังไม่มีชื่อแต่หยวน สู่ได้ตั้งชื่อของมันมาหนึ่งชื่อแล้ว – “บ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิต” ชิงสุ่ยไม่ได้สนใจในเรื่องชื่อของมันดังนั้นเขาจึงยินดีที่จะไม่ต้องตั้งชื่อมันด้วยตนเอง


 


ครั้งนี้เขาสูญเสียหญ้าอสรพิษทองคำไปมากมายเหมือนดังปกติ แน่นอนว่าฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตและผลเบญจธาตุก็สูญเสียไปมากเช่นเดียวกัน เพราะหลังจากที่การปรุงยาล้มเหลวส่วนประกอบต่างๆก็จะหายไปด้วยเช่นกัน


 


ผลเบญจธาตุนั้นยังคงมีอีกมากมาย เขาได้เก็บมันเอาไว้จำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรดังนั้นเขาจึงไม่คาดคิดว่ามันจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในเวลานี้


 


หยวน สู่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตเมื่อใช้ไปครั้งหนึ่งแล้วจะต้องรอระยะเวลาจึงจะใช้ได้ใหม่โดยที่ระยะเวลานั้นจะขึ้นอยู่กับการดูดซึมพลังของผู้ใช้ โดยทั่วไปแล้วหากการดูดซึมพลังนี้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องผู้ใช้จะสามารถใช้ได้ใหม่ภายในเวลาไม่กี่วัน พวกเขาจะสามารถดูดซึมพลังได้อีกหลายครั้งในอนาคตแต่ก็คงไม่ดีเท่ากับครั้งแรก หากบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่องมันคงจะดีกว่าหากแบ่งเป็นช่วงเวลาพักก่อนจะใช้ใหม่อีกครั้ง


 


ติ๊ง!


 


หลังจากที่ดิ้นรนมากกว่า 1 เดือนในที่สุดเขาก็ปรุงยานี้ได้สำเร็จ ชิงสุ่ยมองไปที่ก้นของหม้อกลั่นยาเหล็กทองคำประกายเพลิงที่มีผงสีเขียวอ่อนประมาณ 1 กำมือ มันส่งกลิ่นแปลกๆออกมาเมื่อดมแล้วรู้สึกราวกับมันกระตุ้นให้เสพติดอย่างยิ่ง


 


สิ่งต่างๆที่ระบุไว้ในสูตรของหยวน สู่ได้สำเร็จทั้งหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงตัดสินใจที่จะตรวจสอบยานี้อย่างใกล้ชิด


 


เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม