Ancient Strengthening Technique เทพอสูรบรรพกาล 1341-1347
บทที่ 1341 – ดวงใจกระจ่างดุจกระจก พบเจอหยวน สู่อีกครั้ง
พลังอำนาจที่พวยพุ่งมากเกินไปคือสิ่งที่ ชิงสุ่ยเป็นกังวลอย่างยิ่ง และยิ่งเขาเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองคนสามารถซึมซับพลังจำนวนมากเหล่านั้นได้ เขาจึงตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่จะลองมัน แต่ใครจะคาดคิดว่าผลลัพธ์ของมันจะจบลงเช่นนี้
มันคงจะดูโกหกถ้าหากเขาจะบอกว่าเรื่องเหล่านี้มันไม่น่ากังวล แต่ถึงกระนั้นเหล่าหญิงสาวเองก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกนางเลือกที่จะไม่เข้าไปรบกวนชิงสุ่ย
หลังจากเหล่าหญิงสาวจากไป ชิงสุ่ยก็กลับเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะ พลังปราณจิตทั้งหมดแข็งแกร่งขึ้น รวมถึงจำนวนดอกบัวพุทธองค์ทองคำและหยดฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต ถ้าหากเขาต้องการใช้มัน สิ่งเหล่านี้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ชั่วคราว
ร่างกายของเขากำลังร้อนรุ่มราวกับถูกเปลวเพลิงครอบงำ เปลวเพลิงกำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนร่างกายของเขารู้สึกเจ็บปวด ภายในเส้นลมปราณกำลังบวมขยายใหญ่และเมล็ดทองคำในจุดตันเถียนก็กำลังหมุนด้วยความเร็วที่น่ากลัว ชิงสุ่ยพยายามตั้งสมาธิขั้นสูงที่สุด แม้แต่พลังปราณแห่งเส้นทางสวรรค์ก็ดูเหมือนว่ามันจะกำลังแสดงความตื่นเต้นให้เห็น
เมื่อเวลาผ่านไป เส้นเลือดทั้งหมดในร่างกายก็กำลังปูดโปนราวกับว่าพวกมันกำลังจะระเบิด ความเจ็บปวดระเบิดขึ้นเป็นครั้งคราว มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเข็มนับล้านกำลังทิ่มแทง อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงเป็นเรื่องเล็กน้อยเพราะชิงสุ่ยได้ฝึกฝนระดับความอดทนมาโดยตลอด อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่เคยเห็นว่ามีผู้ใดจะสามารถอดทนได้มากกว่าเขา
ปุ ปุ!!
เสียงเล็กๆ 2 ครั้งดังขึ้นภายใต้เส้นลมปราณ ผิวของเขาเริ่มแตกออกให้เห็น แต่ความสามารถในการฟื้นตัวของเขาก็รวดเร็วจนรอยแผลเหล่านั้นหายไปในทันตา
ปุ ปุ!!!
เสียงแตกอีก 2 ครั้งดังขึ้น คงมีเฉพาะชิงสุ่ยเท่านั้นที่ทั้งรู้ทั้งเข้าใจว่าเส้นลมปราณเญิ่นและเส้นลมปราณตูกำลังเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พลังภายในร่างกายของเขากำลังเพิ่มพูนขึ้นแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลย นั่นเพราะเขากำลังกลัวว่าพลังที่เพิ่มพูนขึ้นแต่สวนทางกับพลังชีวิตที่อาจจะดับลงได้ทุกเมื่อ
ยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์เญิ่นและยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์ตูยังคงเพิ่มพูนพลังของเขาอย่างต่อเนื่อง ยาทั้งสองชนิดกำลังถูกปรับแต่งให้เหมาะสม และได้ผลดีกว่าครั้งก่อน
ไม่รู้ว่าความรู้สึกของชิงสุ่ยกำลังเลือนลางหรือว่าเขากำลังลืมๆทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่คำซ่อนเร้นในจิตใจยังคงชัดเจน หัวใจของเขากำลังเปลี่ยนแปลงไปราวกับกระจกใสที่สะท้อนภาพไปมา แต่ถึงกระนั้นชิงสุ่ยก็ยังคงตั้งสติและรู้ตัวว่าเขากำลังทำอะไร มันเป็นความรู้สึกที่น่าจดจำ แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดจากร่างกายที่กําลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
ชิงสุ่ยไม่รู้ตัวว่าเขาได้ใช้เวลาไปนานมากเพียงใด เขาเหมือนยืนอยู่บนชายฝั่งที่อยู่ไม่ห่างไกลจากกระท่อมไม้ไผ่ ดวงอาทิตย์ยังคงตั้งตระหง่านอยู่กลางศีรษะ เวลายังคงล่วงเลยไปโดยไม่รู้ตัว ในชั่วพริบตาเวลากว่า 3 เดือนก็ผ่านพ้นไป
ในตอนนี้ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยคราบเลือดและรอยแผลเป็น ทันทีที่จิตวิญญาณของเขากลับสู่โลกปกติ ร่างกายภายนอกของเขาก็เหมือนกับถูกแช่ลงบนกระทะที่เต็มไปด้วยหยดเลือด
“ชิงสุ่ย!!” อี่หวง กู่หวู๋ตะโกนเรียกด้วยความกังวล
อวี้ลู่หยานเองก็พยายามจะเอื้อมมือไปจับร่างของชิงสุ่ย แต่เธอก็เลือกที่จะยังไม่เอาไว้เพราะชิงสุ่ยได้ออกคำสั่งไม่ให้รบกวนเขา
“ข้าสบายดี เชื่อข้าเถิด ข้ารู้สึกดีกว่าแต่ก่อนเสียอีก”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าว
อวี้ลู่หยานเคยได้ยินคำพูดนี้จากปากชิงสุ่ย เธอโอบกอดชิงสุ่ยโดยไม่สนใจเลือกที่เปรอะเปื้อนบนร่างกาย เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุขแม้จะมีร่องรอยแห่งความกังวล
“ลู่หยาน ร่างกายของข้าเต็มไปด้วยเลือด มันน่าสะอิดสะเอียนนัก”
“ไม่เลย ข้าไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น”อวี้ลู่หยานสวมกอดชิงสุ่ย
ถานท่ายหยวนมองชิงสุ่ยจากทางด้านข้างอย่างมีความสุข แม้ว่าเธอจะไม่กล่าวอะไร แต่สายตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยที่เอ่อล้น
“ข้าขอตัวไปอาบน้ำสักประเดี๋ยว ข้าคิดว่าข้าคงจะต้องจากลากันในวันพรุ่ง”ชิงสุ่ยกล่าว
หลังจากที่เขาทำความสะอาดร่างกายจนเสร็จสิ้น ชิงสุ่ยก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นผิวทรายพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ความแข็งแกร่งทางกายของเขาเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า และก้อนเมล็ดเจ็ดสีในร่างกายของเขาก็สามารถเพิ่มพูนพลังทางกายได้ถึง 25 เท่า
ชิงสุ่ยยังคงจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกมีความสุขที่พลังอำนาจของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก เขาไม่คาดคิดเลยว่า ยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์เญิ่นและยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์ตูจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจขนาดนี้ได้ ตอนนี้เขาได้ก้าวขึ้นสู่จุดที่สูงอย่างมากภายใต้เหล่าจอมยุทธ์แห่งดินแดนปราณจักรพรรดิ
ความแข็งแกร่งของเขา เพิ่มพูนขึ้น 25 เท่าภายใต้ผลลัพธ์ของก้อนเมล็ดเจ็ดสี และ 10 เท่าภายใต้ผลลัพธ์ของกระบี่ดารายุพฆาต และอีก 4 เท่าจากเกราะอสูรสำแดง และ 2 เท่าจาก รูปแบบ9ดาราคล้อย 9 สวรรค์ อย่างน้อยพลังก็เพิ่มพูนขึ้นมากกว่า 45000 สุริยา และเมื่อโจมตีประสานกับหุบเขา 9 เทวาที่มีพลังมากกว่า 90,000 สุริยา และทักษะและการจู่โจม พลังโจมตียิ่งแข็งแกร่งขึ้นมหาศาล
พลังวัตรวิญญาณของเขาเองก็น่ากลัวขึ้นอย่างมาก เพียงแค่ทักษะการโจมตีง่ายๆอย่างตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ก็รุนแรงถึง 66000 สุริยา อีกทั้งยังมีโอกาสที่พลังจะพ่วยพุ่งถึง 2 เท่าซึ่งเท่ากับ 130000 สุริยา และยังมีโอกาสอีก 10% ที่พลังอำนาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัวอีกครั้ง นั่นก็เท่ากับพลังที่น่ากลัวถึง 260000 สุริยา
แม้ว่าการโจมตีระดับ 260000 สุริยาจะเป็นความน่ากลัวที่แท้จริง และเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ แต่มันก็เป็นเครื่องยืนยันว่า เขาย่อมสามารถสังหารศัตรูได้ภายในพริบตา
ในครั้งนี้ ชิงสุ่ยเองไม่ทราบว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นเกิดจากการที่เขาบรรลุ “ดวงใจกระจ่างดุจกระจก” แต่สิ่งหนึ่งที่ชิงสุ่ยรู้ก็คือเขาไม่กล้าปล่อยให้เหล่าหญิงสาวของเขาทดลองการกินยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์เญิ่นและยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์ตูอีกครั้งอย่างแน่นอน เขาตัดสินใจรอจนกว่าผลการดูดซึมซับในร่างกายจะเสร็จสิ้นเต็มที่ และรอจนมั่นใจอีกครั้งว่าพวกเธอจะสามารถซึมซับพลังจากเม็ดยาได้เป็นครั้งที่ 2
ในคืนนี้มันคงเป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยแบ่งปันห้องให้กับหญิงสาวทั้งสามคน ทั้งหมดนอนร่วมเตียงเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยนอกจากการนอนพูดคุย ก่อนยามราตรีจะมาถึง ชิงสุ่ยได้พาอวี้ลู่หยานไปอาบน้ำที่ริมทะเล มันเป็นความรู้สึกน่าอัศจรรย์จนกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินไปกว่าการกอดและจูบ แต่ถ้าหากเขาอยู่กันสองต่อสองแล้วละก็ ชิงสุ่ยก็อาจจะไม่สามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้
วันรุ่งขึ้น ชิงสุ่ยจากหญิงสาวทั้งสามคนไป พวกเธอยังคงเฝ้ามองดูชิงสุ่ยจากไปจนลับขอบฟ้า
ชิงสุ่ยมุ่งหน้าตรงไปยังหอคอยจักรพรรดิ ทุกย่างก้าวที่เขาก้าวเดิน เขายังคงคิดถึงเส้นทางในอนาคต บางทีภายในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำอาจจะมีผู้ฝึกตนระดับดินแดนปราณบัญชาสวรรค์พินาศซ่อนตัวอยู่ก็เป็นได้ ภายใต้ 81 อาณาจักร เมืองอี่หวงก็เป็นหนึ่งในเมืองที่มีโอกาสพบเจอผู้ฝึกตนระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ แต่อัตราการเจอนั้นคงจะเปรียบได้กับยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็คือโอกาสพบเจอเพียงน้อยนิด
และด้วยพลังในตอนนี้ เขามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนปราณจักรพรรดิขั้นปลาย ซึ่งมีจำนวนไม่ใช่น้อยภายในเมืองอี่หวง
ในไม่ช้าเขาก็เดินทางมาถึงหอคอยจักรพรรดิ แม้ว่าเขาจะไม่ได้กลับมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ความรุ่งเรืองยังคงเป็นเหมือนก่อนหรืออาจจะเจริญมากขึ้น เมื่อตอนที่เขากลับมาครั้งสุดท้าย มันคือวันเกิดของอดีตผู้นำแห่งตระกูลอี่หวง และด้วยการเฉลิมฉลองนี้ยิ่งทำให้หอคอยจักรพรรดิ์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นจนโด่งดังที่สุดภายในเมือง ดังนั้นวันเวลาที่ผ่านไปยิ่งทำให้แขก ต่างต้องการมารับประทานอาหารที่หอคอยจักรพรรดิ จนทำให้สถานะของสถานที่แห่งนี้สูงขึ้น
ทันทีที่เขาเดินขึ้นไปชั้นที่ 5 หมอปีศาจรีบกล่าวต้อนรับชิงสุ่ยอย่างรวดเร็วว่า “น้องชายเจ้ากลับมาแล้ว”
หมอปีศาจนั้นเป็นคนที่มีความสุภาพยิ่ง ไม่เพียงแต่ เขาจะแต่งงานและมีภรรยาที่ตั้งครรภ์ ทักษะการแพทย์ของเขาก็ยังดีขึ้นเรื่อยๆ เขาทำทุกอย่างจงสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับหอคอยจักรพรรดิ มันยิ่งทำให้เขามีความสุขมากกว่าผู้อื่น ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณชิงสุ่ย มิฉะนั้นเขาก็คงคิดว่าตัวเองเป็นเลิศทางด้านการแพทย์และหยิ่งทะนงจนไม่อาจพัฒนาขึ้นได้
อีกครั้งเขาไม่มีญาติพี่น้อง ดังนั้นชิงสุ่ยจึงถือได้ว่าเป็นญาติคนสนิทของเขา ทุกอย่างที่เขาได้รับย่อมมาจากชิงสุ่ย ดังนั้นเขาจึงยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อชิงสุ่ย
“ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง “ชิงสุ่ยเอ่ยถาม
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ผู้คนมากมายต่างต้องการเจอหน้าเจ้า แต่ข้าก็เลือกปฏิเสธคำขอทั้งหมด หลายคนอยากให้เจ้าไปรักษา แต่ข้าก็ปฏิเสธพวกเขาเช่นกัน จริงสิ มีหมอคนหนึ่งมาที่นี่ ทักษะทางแพทย์ของนางก็ไม่ได้ดูเลวร้าย อีกทั้งนางยังเป็นคนที่งดงามยิ่ง ข้ากำลังรอการตัดสินใจจากเจ้า”หมอปีศาจยิ้มขณะกล่าว
“โอ้? ถ้าเช่นนั้นก็ไปเรียกนางมาได้เลย ข้าจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ทักษะการแพทย์ของคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ตัวตนนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลง ดังนั้นใจคนย่อมสำคัญกว่า” ชิงสุ่ยกล่าวเปรียบเทียบ
“อืม ถูกต้องอย่างเจ้าว่า”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ชิงสุ่ยพบหน้ากับเธอ เขาก็ต้องตกตะลึง เพราะว่าเขาใครรู้จักกับเธอ ซึ่งเธออาจจะเป็น…..
หยวน สู่…….
เธอพยักหน้าอย่างช้าๆ ส่วนชิงสุ่ยก็ยังคงแสดงท่าทางประหลาดใจ เฉกเช่นเดียวกับตอนที่เขาเจอเธอครั้งแรก เธอยังคงสวยเหมือนแต่ก่อน แต่การแสดงออกของเธอนั้นช่างสงบนิ่งและลุ่มลึก
รวมถึงกลิ่นอายที่เปลี่ยนไป!!
คิ้วที่โค้งมนดุจจันทร์เสี้ยว ดวงตาที่เด่นสง่าดุจหินล้ำค่า ความเงางามของคมจมูกดุจหยกขาว ริมฝีปากสีแดงพร้อมกับปากที่อ้าขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกเห็นว่าเธอเองก็ตกตะลึง
เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังว่า จะพบเจอกับชิงสุ่ย ณ ที่แห่งนี้ ทันทีที่เธอเห็นชิงสุ่ย ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้าน
ชิงสุ่ยก็เป็นคนนึงที่ประหลาดใจไม่ใช่น้อย ย้อนกลับไปในมหาทวีปธรรมไตร เธออยู่ภายใต้นิกายเทพโอสถ เธอเองก็เป็นหญิงสาวที่น่ามหัศจรรย์ผู้ซึ่งสรรค์สร้างตำรับการปรุงยาด้วยตัวเอง แต่ด้วยการที่เธอครอบครองร่างกายศิลาจึงทำให้ไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ แต่ชิงสุ่ยก็ทำการรักษาจนหายขาด ช่างน่าเสียดายที่ทั้งสองคนเลือกเดินทางคนละเส้นทางกัน
นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาได้พบเจอกัน เธอยังคงหน้าตาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาปรากฏตัวที่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ นี่คือสถานที่ที่ถูกแยกจากมหาทวีปอู่เซียตะวันตก บางทีเธอมายังสถานที่แห่งนี้เพราะเหตุผลบางประการ
บทที่ 1342 – หยวนสู่ ใครกันที่เปลี่ยนไป?
การได้พบเจอกับหยวนสู่ คือเรื่องที่ทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจอย่างมาก ย้อนกลับไปในตอนนั้น มันเป็นความรู้สึกผสมความรักที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน เพราะว่าเขาได้เห็นร่างอันเปลือยเปล่าของเธอตอนที่เขาต้องรักษาเธอ อย่างไรก็ตามคนที่ริเริ่ม เริ่มต้นมาจากหญิงสาวคนนี้ที่เป็นคนขอให้เขาช่วย มันจึงทำให้ชิงสุ่ยเห็นเรือนร่างของเธอได้อย่างง่ายดาย
“ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้มาเจอกันอีกในอนาคต”หยวนสู่กล่าวด้วยความลังเล ขณะที่สายตาของเธอก็ไม่ได้มองไปที่ชิงสุ่ยแต่มองไปยังสถานที่อื่น
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
“ในตอนนั้นข้ามีทางเลือกไม่มาก ข้าหวังเพียงว่าข้าจะสามารถบ่มเพาะพลังได้ ทันที่ที่ข้าเห็นเจ้า ข้าก็ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง ข้าอยากให้เจ้าลืมวันนั้นไปซะ”หยวนสู่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
ในตอนนั้นชิงสุ่ยค่อนข้างรู้สึกชื่นชอบในตัวของหยวนสู่ ทั้งสองต่างได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่ช่างน่าเสียดายที่ต้องแยกทางกันไปนานนับสิบปี เวลาที่ผ่านเลยไป ถ้าหากชิงสุ่ยไม่ได้พบหน้าเธออีก ตอนนี้เขาคงจะลืมเธอไปแล้ว การที่ได้เจอกันในตอนนี้ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์
“ข้าเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้มาเจอเจ้าที่นี่”ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมกับกล่าวความรู้สึก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความอบอุ่น แต่เขาก็ยังคงแสดงความสุภาพออกมา
“ข้าเองก็เหมือนกัน และข้าก็ไม่คาดคิดเลยว่าหอคอยจักรพรรดิ์จะเป็นของเจ้า”แม้ว่าหยวนสู่แต่ยังคงประหลาดใจ แต่เธอก็ยังคงเคยรอยยิ้มขณะกล่าว
ในตอนที่เธอเห็นหน้าชิงสุ่ย ความรู้สึกแปลกประหลาดถาโถมเข้ามาในจิตใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยลืมเรื่องของชิงสุ่ยแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันเลยก็ตาม การพบกันที่นี่คือสิ่งที่เธอไม่ได้คาดหวัง
“หอคอยจักรพรรดิ์ไม่ใช่ของข้า มันคือหอคอยของข้าและพี่ใหญ่ข้า และมันจะถูกแบ่งออกเป็น 10 ส่วนเพื่อมอบให้กับเจ้าของทั้ง 10 คน”ชิงสุ่ยยิ้มขณะอธิบายให้เธอฟัง
“ข้าต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจผิด ข้าเองหวังว่าจะได้เข้าร่วมกับหอคอยจักรพรรดิ มิทราบว่ามันมีกฎเกณฑ์เช่นใดบ้าง?”หยวนสู่กล่าวอย่างซื่อตรง
“กฎเกณฑ์นั้นง่ายมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวตนของผู้เป็นหมอ และตามมาด้วยทักษะทางการแพทย์ หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปก็คือตกเกณฑ์”
หยวนสู่มองชิงสุ่ยอย่างสงบนิ่งและกล่าวว่า “แล้วข้าจะดูได้อย่างไรว่าตัวตนของข้านั้นเหมาะสมกับที่นี่หรือไม่?”
“ชั่วโมงแห่งคำปรึกษาใกล้จะมาถึงแล้ว พวกเราทั้งสามคนจะไปด้วยกัน ไม่ทราบว่าแม่นางหยวนสู่มีปัญหาติดขัดอะไรหรือไม่?”
คนเป็นหมอย่อมต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นโรคเล็กๆอย่างไข้หวัด รวมถึงแผลฉีกขาด แผลไฟไหม้ และแผลที่ติดเชื้อโรค อาการแสดงออกเหล่านี้จะถูกระบุออกมาเป็นตัวตนส่วนลึกในตัวของหมอที่ถูกทดสอบ หลังจากที่ผู้เป็นหมอต้องเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว บางคนอาจจะแสดงอาการโดยการโยนขวดยาให้กับคนไข้เพื่อทำการรักษาตัวเอง บางคนถึงกับเหมือนคนไข้เรากับพวกเขาไม่มีตัวตน แต่บางคนก็อาจจะประเมินคนไข้อย่างใกล้ชิดและสามารถรักษาบาดแผลเหล่านั้นได้
ชิงสุ่ยไม่ใช่หมอที่สักแต่จะรักษาคนรวยและผู้ทรงพลัง แน่นอนว่าในตอนนี้ชื่อเสียงของเขานั้นโด่งดังอย่างมาก แต่เขาก็ยังคงให้การปรึกษาทางแพทย์โดยไม่เสียเงินแม้แต่แดงเดียวภายใต้สถานที่หอคอยจักรพรรดิ แม้ว่าหมอหลายคนจะรังเกียจคนจนและรักคนรวย มันก็ไม่ได้ผิดอะไร นี่คือสามัญสำนึกที่แท้จริงของคนทั่วไป แต่เมื่อมองจากมุมมองบุคคลภายนอก คนเหล่านี้คือคนที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง
การกระทำเหล่านี้ย่อมต้องส่งผลดีในอนาคตต่อชิงสุ่ยอย่างแน่นอน สักวันหนึ่งลูกหลานของคนเหล่านั้นจะเติบโตกลายเป็นบุคคลที่มีความสามารถยอดเยี่ยม และวันนั้นมาถึงคนเหล่านี้ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร ความเมตตาจะได้รับการชดเชยด้วยการตอบแทน นี่คงเป็นหนึ่งในกฎแห่งกรรม
“เอาล่ะ ข้าไม่มีปัญหาใดๆ”หยวนสู่ยิ้มขณะกล่าว
“ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองคนรู้จักกัน เช่นนั้นอะไรๆมันก็คงจะง่ายขึ้น เชิญพูดเจ้าทั้งสองสนทนากันก่อนเถิด ส่วนข้าจะขอเป็นจัดเตรียม”หมอปีศาจกล่าวจบแล้วจากไป
ชิงสุ่ยพยักหน้าก่อนที่เขาจะพาหยวนสู่ไปนั่ง “พวกเราเองก็ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน เช่นนั้นมื้ออาหารมื้อนี้ข้าขอเป็นคนเลี้ยงเอง”
ทันใดนั้น คนรับใช้ก็นำอาหารขึ้นมาและชิงสุ่ยก็นำเหล้าบ๊วยของเขาออกมาเช่นกัน
“ขอบคุณมาก!!”
หยวนสู่ยิ้มและนั่งลงตรงข้ามกับชิงสุ่ย ชิงสุ่ยก็ยังคงนึกถึงคำถามต่างๆนานา และเขาก็อยากรู้ว่าทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้
“ข้าอยากรู้จริงๆเลยว่าทำไมข้าถึงได้มาเจอเจ้าที่นี่”ชิงสุ่ยรินสุราลงในจอกสุรา
“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน”หยวนสู่กล่าวพร้อมกับมองไปที่ชิงสุ่ย
“ตัวข้านั้นมาที่นี่เพื่อตามหาใครบางคน และเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้ข้ามาอยู่ที่นี่ ช่างน่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถพาใครมาด้วยได้ ข้าถึงต้องอยู่ตัวคนเดียว”ชิงสุ่ยกล่าวโดยไม่ปิดบังใดๆทั้งสิ้น
“ส่วนข้านั้นอยู่ในพื้นที่พิเศษของนิกายเทพโอสถ แต่ไม่รู้เพราะเหตุผลอะไร ข้าถึงได้ก้าวข้ามมิติบางอย่างจนส่งข้ามาอยู่ที่นี่ และข้าก็พบว่าตัวของข้าไม่สามารถกลับไปได้ ดังนั้นข้าจึงพยายามพึ่งพาทักษะทางแพทย์ของข้าที่มีอยู่น้อยนิด เพื่อที่จะดำรงชีวิตต่อไป และในไม่ช้าเวลา 2 ปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว”ทันทีที่หยวนสู่กล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเธอก็ดูข่มขืนลงเล็กน้อย
ชิงสุ่ยเคยคิดว่ามียอดปรมาจารย์บางคนพาเธอมาที่นี่ แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะเป็นคนโชคร้าย มันช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับเธอที่จะดำรงชีวิตอยู่คนเดียวเป็นเวลานานกว่า 2 ปี โชคดีที่เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ ตอนนี้เธอคงจะบรรลุระดับพลังปราณนักบุญพิโรธขั้นปลาย นอกจากนี้เธอยังมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรจึงทำให้เธอสามารถสร้างสูตรยาเป็นของตนเองดังนั้นถ้าเธอสามารถระบุและประเมินโรคได้อย่างถูกต้อง เธอก็จะสามารถรักษามันได้อย่างง่ายดาย
ทักษะรักษาห่วงวิญญาณถือเป็นทักษะที่แข็งแกร่ง และเป็นทักษะพิเศษของหมอปีศาจ ซึ่งเขาใช้มันในการฟังบทสนทนาของหยวนสู่ ถึงแม้ว่าคำพูดต่างๆจะมีคำหยาบคายผสมอยู่บ้าง แต่สุดท้ายเขาก็รู้ว่าเธอเป็นคนดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นๆ เธอก็จะไม่ทำสิ่งที่เธอไม่ต้องการ ชิงสุ่ยก็ไม่แน่ใจในเหตุผล แต่ก็คงเป็นเหตุผลบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับทักษะการต่อสู้
“เจ้าจงเลือกห้องส่วนตัวของเจ้า ในอนาคต เจ้าจะสามารถอยู่ที่นี่ได้!!”
ในชั้นที่ 5 เป็นชั้นที่ใหญ่และกว้างขวางมาก ภายในห้อง 1 ห้องนั้น ประกอบไปด้วยห้องรับแขก ห้องนอน ห้องครัว ห้องศึกษาและห้องต่างๆรวมอยู่ในห้องเดียว
“อืม ในตอนที่ข้าเห็นเจ้าก่อนหน้านี้ มันเป็นช่วงเวลาที่ข้ารู้สึกโศกเศร้าอย่างยิ่ง”หยวนสู่จ้องมองชิงสุ่ยและกล่าวอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ
“ข้าไม่เข้าใจ!!”
“เพราะสิ่งที่ข้าขอให้เจ้าทำคงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้ารีบแยกทางไปกับข้า เจ้าคงจะโกรธข้าใช่หรือไม่?”หยวนสู่จ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาจริงจัง
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”
“ข้าแสดงความเย็นชาทั้งๆที่เจ้าช่วยเหลือข้ามากมาย เจ้าไม่ได้เกลียดข้าจริงๆงั้นหรือ?”
“เรื่องมันก็นานมาแล้ว เจ้าอย่าได้ใส่ใจอีกเลย ข้าเองก็ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาอะไรมากมายนัก”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
“ชะตากรรมของเราช่างเล่นตลกจริงๆที่ทำให้เรากลับมาเจอกันอีก ถ้าหากเราได้กลับไปยังมหาทวีปธรรมไตร ไว้เราค่อยมาเจอกันอีกที่จตุรัสเดิม”หยวนสู่ยกจอกสุราขึ้นมาและดื่มทันที
“สุราของเจ้ายังมีรสชาติล้ำเลิศเหมือนเดิมเลยนะ”
“ว่าแต่ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงไม่กลับมาเจอหน้าข้าอีกเลย?”ชิงสุ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ไม่รู้ว่าเจ้าจะเชื่อหรือ ถ้าข้าจะบอกว่า หากข้ากลับไปหาเจ้า ข้ากลัวว่าข้าจะหลงรักเจ้า เพราะฉะนั้นข้าเลยคิดว่าเราไม่ควรเจอกันอีก” หยวนสู่จ้องมองชิงสุ่ย ดูเหมือนว่าเธอจะรับกับคำพูดของตัวเองได้แล้ว
ชิงสุ่ยไม่พูดอะไรต่อ ในตอนนั้นเขาก็คิดเช่นเดียวกัน ถ้าหากหญิงสาวคนนี้ได้กลายเป็นผู้หญิงของเขา เธอจะกลายเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่ง และเป็นคู่ครองที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะไม่ได้กลายเป็นแม้แต่เพื่อน
“ตอนนี้ ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าข้าควรจะกล่าวแบบนั้น”หยวนสู่กล่าวอีกครั้ง
“นี่ก็หลายปีมาแล้ว สิ่งต่างๆก็ไม่ได้เป็นเหมือนเช่นแต่ก่อน เจ้าควรจะปล่อยวางมันไปซะ”ชิงสุ่ยจ้องมองหยวนสู่
“ข้าเองก็ไม่รู้ บางทีข้าคนจะปล่อยมันไป หรือบางทีข้าควรจะไปจากที่นี่”หยวนสู่ ถามด้วยความจริงจัง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องไปไหนหรอก เจ้าถือว่าเป็นสมาชิกของที่นี่แล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าก็จะกลายเป็นหุ้นส่วน1 ใน 10 ส่วน ข้าอาจจะต้องจากที่นี่ไปสักพัก และสถานที่แห่งนี้ยังคงต้องการพึ่งพาความช่วยเหลือจากเจ้า ในอนาคตเจ้าจะสามารถเดินทางไปได้ทั่วทุกมหาทวีป เจ้าไม่ได้อยากกลับบ้านหรือไง? และด้วยระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้า อย่างน้อยถ้าหากเจ้ายังอยู่ในหอคอยจักรพรรดิ ก็จะไม่มีใครกล้าข่มขู่เจ้า”
“เจ้ากำลังจะจากไป?”
“ถูกต้องข้ากำลังจะจากไปแต่ตอนนี้ยังคงไม่ ข้ายังคงต้องการตามหาใครบางคน ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น หอคอยจักรพรรดิจะต้องดำเนินการต่อไป และอนาคตมันจะขยายไปทั่ว 9 มหาทวีป นึกย้อนกลับไปแล้วข้าก็ได้ก่อตั้งร้านช่างตีเหล็กขึ้นในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ช่างน่าเสียดายที่ผลลัพธ์ของมันไม่ได้ดีเท่าสถานที่แห่งนี้ ทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปก็เพราะการช่วยเหลือของหมอปีศาจที่ทำให้มันยังดำเนินไปต่อข้างหน้า และเจ้าเองก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนมัน”
“ข้าเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะทำเช่นนั้นได้”หยวนสู่กล่าวด้วยความลังเล
“อย่าได้กังวลไปเลย ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถด้านใด หมอปีศาจเองก็เป็นเลิศทางด้านทักษะการแพทย์รวมถึงการจับชีพจร ถ้าหากเจ้าได้เรียนรู้มา เจ้าจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกไกล”
“ทำไมเจ้าถึงยังคงเลือกที่จะช่วยข้า? เจ้าไม่กลัวว่าครั้งนี้ข้าจะจากไปอีกหรือ?”หยวนสู่ยังคงตระหนักถึงความรู้สึกผิดจากความผิดครั้งที่แล้ว
“มันเป็นเรื่องที่ดีที่ได้เจอผู้คนที่มาจากที่เดียวกันในต่างแดน ต่อให้เจ้าเป็นคนไม่ดี ข้าก็ยังคงช่วยเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ จริงๆแล้ว เจ้าเองก็ไม่ได้แย่หนัก”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“ชิงสุ่ย ข้าจริงจัง ข้าอยากรู้ว่าเจ้ามองข้าเป็นคนเช่นไร?”
“ไม่รู้สิ…….”
“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้ามองข้าเป็นคนเช่นไร”
“เจ้าเป็นผู้หญิงที่ชาญฉลาด เจ้าคงเป็นคนที่ใช้เหตุผลแต่บางครั้งก็ใช้อารมณ์ แต่ข้ารู้ว่าลึกลึกเจ้าเป็นคนดี”
“ขอบคุณมากนะ!!”
“ยินดีต้อนรับด้วย ข้าจะไปเรียกพี่ใหญ่หมอปีศาจ เพื่อให้เจ้าได้รู้จักเขา เขาคือผู้ก่อตั้งหอคอยแห่งจักรพรรดิแต่หลังจากที่ข้ามา สถานที่แห่งนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 10 ส่วน เพื่อให้มีเจ้าของทั้งหมด 10 คน ในอนาคตเจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในสิบส่วนนั้น ดังนั้นเจ้าต้องพึงระวังให้และรับรู้ตลอดเวลาว่าข้าและพี่ใหญ่ของข้าจะคอยดูเจ้าว่าเจ้าจะเหมาะสมหรือไม่” ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมกับลุกขึ้น
หยวนสู่ยังคงวนเวียนกับความรู้สึกในใจของเธอ เธอไม่รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกอะไร หรือเขาได้เปลี่ยนไป หรือไม่เปลี่ยนไปเลย หรือกลายเป็นเธอที่เปลี่ยนไป หรือเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไป
แต่รู้เพียงอย่างเดียวว่า เวลาคือสิ่งที่เปลี่ยนไป!!
บทที่ 1343 – ตระกูลสุ่ย สถานะหอคอยจักรพรรดิ
หมอปีศาจรีบปลีกตัวมาจากลี่จี๋ตามคำขอของชิงสุ่ย จากนั้นเขาก็เดินมาหาชิงสุ่ยพร้อมกับยิ้มและกล่าวว่า “น้องชาย เจ้านี้โชคดีจริงๆเลยที่มีแต่เราหญิงสาวน่ารักรุมล้อม”
“เอาล่ะ เอาล่ะ พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่าน มิทราบว่าท่านพอจะสอนทักษะการจับชีพจรแก่นางได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าว
“แน่นอนอยู่แล้วน้องชาย ตราบใดที่เจ้าต้องการสอนแก่ใคร ข้าก็ยินดีทันที”หมอปีศาจกล่าวอย่างรวดเร็ว
“มาเถิด ในอนาคต หอคอยจักรพรรดิ์จะต้องยิ่งใหญ่กว่านี้”ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมทั้งเดินเข้าไปข้างในบ้าน มันเป็นคฤหาสน์หลังเล็กๆที่เงียบสงบ ซึ่งปลีกตัวออกจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เมื่อหยวนสู่เห็นชิงสุ่ยและหมอปีศาจเดินเข้ามา เธอก็รีบลุกขึ้นยืนทันใด
“พี่ใหญ่ นางชื่อว่าหยวนสู่ นางคือเพื่อนในอดีตของข้า สิ่งที่ท่านควรรู้ไว้คือนางเป็นคนที่มีทักษะการแพทย์คล้ายๆกับท่าน ถ้าหากท่านพอใจ นางก็จะได้เข้าร่วมกลับหอคอยจักรพรรดิ์อย่างเป็นทางการ”
“ยินดีต้อนรับ แน่นอนว่าข้าก็คงไม่คัดค้านใดๆทั้งสิ้น ตอนนี้ข้ารู้สึกมีความสุขมากกว่า”หมอปีศาจกล่าวอย่างมีความสุข
“ขอบคุณมาก ท่านหมอปีศาจเทวดา”หยวนสู่กล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
“อย่าเรียกข้าว่าหมอเทวดาเลย มันฟังไม่เสนาะหู อีกครั้งตอนนี้เจ้าก็ได้เป็นสมาชิกของหอคอยจักรพรรดิ์แล้ว และเจ้ายังเป็นเพื่อนของน้องชายข้า ฉะนั้น ถ้าเจ้าไม่ถือ ก็จงเรียกข้าว่าพี่ใหญ่เช่นกัน”หมอปีศาจโบกมือขณะกล่าว
“ค่ะ พี่ใหญ่!!”หยวนสู่กล่าวโดยไม่มีพิธีรีตองใดๆทั้งสิ้น
“เอาล่ะ เอาล่ะ นั่งก่อนเถิด วันนี้เป็นวันแห่งความสุข เป็นวันที่ได้เด็กน้อยหยวนสู่มาเข้าร่วม หอคอยจักรพรรดิ์ของเราเติบโตไปอีกขั้นแล้ว”
…………..
ในวันรุ่งขึ้น ลี่จี๋เองก็มาที่นี้ ท้องของเธอกลมขึ้น และทันทีที่เธอเห็นหยวนสู่ เธอก็ค่อนข้างมีความสุข
ชิงสุ่ยเริ่มต้นสอนทักษะรักษาห่วงวิญญาณแค่เธอและทักษะทางแพทย์อีก 2-3 แบบซึ่งคล้ายกับสิ่งที่เขาได้สอนหมอปีศาจไป แต่ชิงสุ่ยจะมุ่งเน้นไปทางสมุนไพรโอสถ และการฝังเข็มเป็นส่วนสนับสนุน
หยวนสู่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านสมุนไพร ตราบใดที่เธอสามารถประเมินความเจ็บป่วยได้เธอก็สามารถสั่งสร้างสูตรการปรุงยาเป็นของตนเองเพื่อรักษาได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเธอก็คือความล่าช้า ดังนั้นชิงสุ่ยจึงเลือกที่จะสอนทักษะการฝังเข็มแบบง่ายๆเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรุงยา
ในตอนนี้เป็นเวลาให้คำปรึกษาทางการแพทย์เป็นประจำ
ทั้งสามคนได้เข้าร่วมการให้คำปรึกษารวมถึง เหยาชูบิงแห่งตระกูลเหยาก็มาสมทบด้วย เหยาชูบิงรู้สึกยินดีมีความสุขอย่างยิ่งที่ชิงสุ่ยเรียกให้เขามา
แม้ว่าช่วงนี้ ชิงสุ่ยได้แบ่งหน้าที่ให้เขาไปทำงานหลายๆอย่าง และเขาก็ได้รับโอกาสในการเรียนรู้สิ่งต่างๆจากชิงสุ่ย ชิงสุ่ยพยายามที่จะฝึกฝนเขา และมันทำให้เขารู้ดีว่า แต่ก่อนเขาเป็นคนที่หยิ่งยโสเพียงใด
ในแง่ทักษะทางแพทย์ เขาเคยคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง ปัจจุบัน แม้แต่หญิงสาวโฉมงามที่พึ่งเข้าร่วมกับหอคอยจักรพรรดิยังแข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก มันยิ่งทำให้เขาตระหนักได้ว่าเขานั้นโง่เขลาและน่าอับอายเพียงใด
ชีวิตของเขาเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเขาจะใช้ชื่อตระกูลเหยา แต่เขาก็เป็นเพียงแค่บุตรที่เกิดจากภรรยาน้อยที่ไม่ได้รับการยกย่องแต่อย่างใด เขาเคยคิดว่าชิงสุ่ยเป็นเพียงแค่คนธรรมดาและเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเหมือนคนอื่นทั่วไป จนอยู่มาวันหนึ่ง ชิงสุ่ยได้แสดงเห็นแล้วว่าคนๆนี้มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น มันยิ่งทำให้เหยาชูบิงขนขวายและต้องการจะเป็นหนึ่งในหมอที่อยู่ภายใต้หอคอยจักรพรรดิ
เมื่อคิดได้เช่นนี้เหยาชูบิงก็ยิ่งทำใจให้สงบและตั้งใจสร้างผลงานที่เขาควรพึงกระทำ สิ่งต่างๆเหล่านี้คือสิ่งที่เปลี่ยนไปในตัวเขา
สำหรับการให้คำปรึกษาโดยไม่เสียเงิน ชิงสุ่ยยังคงตามติดหยวนสู่ในขณะที่เธอให้คำปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยคนใด หยวนสู่ก็ให้คำปรึกษาพร้อมกับรอยยิ้ม แม้ว่าเธอจะยังไม่เชี่ยวชาญในทักษะรักษาห่วงวิญญาณ เธอก็พยายามอย่างสุดความสามารถ
การแพทย์แผนจีนจะเน้นทางด้านการตรวจจับ การดมกลิ่น คำถาม รวมถึงความรู้สึก หยวนสู่อาจจะเรียกได้ว่าเด่นทางด้านการตรวจจับและการถาม ซึ่งจะสามารถประมวลและประเมินอาการบาดเจ็บเบื้องต้นและจะสามารถรับรู้ข้อมูลได้อย่างถูกต้องมากขึ้นจากการซักถามอาการ
ชิงสุ่ยจะพยักหน้าเป็นครั้งคราว เมื่อเธอสามารถอธิบายได้ถึงความเจ็บปวดที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญ ซึ่งเธอก็จะสามารถออกใบสั่งยาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาสั่งสอนให้เธอเรียนรู้ทักษะรักษาห่วงวิญญาณและเมื่อเธอเรียนรู้จนสำเร็จเธอก็จะก้าวขึ้นสู่หมอชั้นนำแนวหน้า
แน่นอนว่าถ้าหากจะเทียบกับชิงสุ่ยผู้ซึ่งครอบครองปราณแห่งการหวนคืน ทักษะฝังเข็มแห่งสรวงสวรรค์ รวมถึงปราณจากเคล็ดวิชากายาบรรพกาล และเข็มแห่งชีวิตและความตาย เธอเรียกได้ว่าอยู่ไกลโข ทักษะเหล่านี้ที่ชิงสุ่ยได้รับมันเปรียบเสมือนทักษะที่เอาเปรียบคนอื่น
“หลีกทาง นายน้อยของเรากำลังจะตาย”
“อย่าขวาง พวกเจ้ามองอะไรกัน…..”
” พวกเจ้ากล้าทำร้ายคนอื่นในสถานที่ที่หมอเทวดาอยู่ได้อย่างไร?”
“ถ้าหากเจ้ายังไม่หลีกทาง ข้าจะเป็นคนสังหารเจ้าเอง และถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับนายน้อยของข้า พวกเจ้าทั้งหมดก็จะต้องตายไปพร้อมกับเขา”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชิงสุ่ยรู้สึกงงๆ ภายในเมืองอี่หวง หอคอยจักรพรรดิโดยสร้างสายสัมพันธ์กับตระกูอี่หวง ซึ่งมันก็หมายความว่าทุกคนล้วนไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความหยาบคายออกมา
ทหารยามของหอคอยจักรพรรดิรีบเดินทางมาทันทีและกล่าวว่า “ห้ามแสดงคำพูดขู่เข็ญกันที่นี่ จับกุมทุกคนที่สร้างความปั่นป่วน”
“ไอ้พวกสารเลว!! เจ้ากล้าอย่างนั้นหรือ ถ้าหากสิ่งที่เจ้าทำมันทำให้นายน้อยของเราอาการแย่ลง ข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าจะไม่มีวันได้เห็นหน้าครอบครัวของพวกเจ้าอีก”เสียงแห่งความหยิ่งยโสดังกึกก้อง
ฝูงชนที่ส่งเสียงดัง พวกเขากำลังแบกชายคนนึงที่ถูกผ้าห่มปกคลุม ชายคนนี้กำลังชักและน้ำลายฟูมปาก บนผ้าห่มเต็มไปด้วยร่องรอยคาวเลือด
“น้องชาย นั้นคือนายน้อยตระกูลสุ่ย พวกเขากำลังสร้างปัญหาให้กับเรา”
“ตระกูลสุ่ยเป็นตระกูลที่ทรงพลังหรือไม่?”ชิงสุ่ยเอ่ยถาม
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะได้คำตอบ กลุ่มคนที่หยิ่งยโสก็ได้ผลักผู้คนออกไปด้านข้างและพาร่างที่ถูกห่อมาวางไว้ตรงหน้าชิงสุ่ย
“จงรักษานายน้อยของเราอย่างเร่งด่วน ถ้าหากเจ้ายังล่าช้า ข้าคงไม่ต้องบอกคำตอบหรอกนะ”
ชิงสุ่ยมองดูชายหนุ่มอย่างชัดเจน ศีรษะของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคราบเหงื่อ ใบหน้าของเขาแดงขึ้น เขาไม่ได้ดูเหมือนชายวัยกลางคนเลย ใบหน้าที่ซีดจาง ดวงตาที่แดงกล่ำ ริมฝีปากที่ซุบผอม จมูกที่เหี่ยวย่น ให้ความรู้สึกว่า ชายที่อยู่เบื้องหน้ากำลังไม่รู้สึกอะไรแล้ว
“ทำไมหรือ? นี้คือที่ของข้า ข้าไม่ได้ทำการรักษาให้กับทุกคน นอกจากนี้หอคอยจักรพรรดิของเราก็ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาโวกเวกโวยวายได้”
ทันทีที่เขาโบกสะบัดมือ ฝูงชนที่หยิ่งยโสกว่า 10 คน รวมถึงคนที่ถูกห่อด้วยผ้าก็กระเด็นออกไปพร้อมกับพ่นเลือดสดๆกลางอากาศ จนพวกเขาไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก
“ยอดเยี่ยม!! พวกมันสมควรโดนแล้ว!! บังอาจข่มขู่ท่านหมอเทวดาของเรา”
“ไอ้พวกโง่เหล่านี้ กระทำการโดยไม่ดูเลยว่าสถานที่นี้คืออะไร พวกมันคิดว่าพวกมันจะทำอะไรก็ได้ในสถานที่แห่งนี้อย่างนั้นหรือ”
“แต่คนเหล่านี้มาจากตระกูลสุ่ย ตระกูลที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับตระกูลอี่หวง ถ้าได้ยินผู้คนกล่าวกันว่าภายในตระกูลสุ่ยนั้นได้ซ่อนผู้ที่บรรลุระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ”
“ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมนายน้อยจากตระกูลสุ่ยทุกคนถึงได้เป็นคนที่หยิ่งยโส”
…………..
“ท่านหมอเทวดา พวกเราขอล่ะ ได้โปรดช่วยนายน้อยของเราด้วย มิฉะนั้น พวกเราทั้งหมดจะต้องตายอย่างแน่นอน”
คนที่เคยแสดงความหยิ่งยโสคลานเข่าเข้าหาชิงสุ่ย พร้อมทั้งกล่าวขอร้องด้วยเสียงที่ดังสนั่น
“หยุดการกระทำของเจ้าเถิด เจ้าไม่รู้หรือว่าหมอเทวดาจะไม่รักษาคนเช่นนี้ พาเขาเอาไปเถิด มิฉะนั้นพวกเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ช่วยเหลือนายน้อยของเจ้าอีก”ชายชราคนหนึ่งกล่าวของสถานหายใจ
“ก็ได้ พวกเรารีบพานายน้อยไปที่อื่นเถอะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป”
………..
กลุ่มคนยกชายที่ไม่มีสติด้วยความพยายามทั้งหมดและค่อยๆจากไป
ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของกลุ่มคนที่หยิ่งยโสต่างก็ได้รักษาอย่างรวดเร็ว และแล้วสถานที่แห่งนี้ก็กลับมาเป็นสถานที่ที่สงบสุขอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าเราผู้ฝึกตนระดับปราณจักรพรรดิจะบุกมาหาเขา คนเหล่านั้นก็ไม่อาจแตะต้องตัวชิงสุ่ยได้ นอกจากนี้คนส่วนมากต่างก็คอยสนับสนุนชิงสุ่ย เพราะชิงสุ่ยสามารถช่วยยืดอายุและต่อลมหายใจให้แก่พวกเขาได้ จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามารุกรานชิงสุ่ยเลยแม้แต่คนเดียว
และแล้วเวลาแห่งการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว ชิงสุ่ยค่อนข้างพึงพอใจในผลงานของหยวนสู่ และสิ่งอื่นที่เขาต้องการทำก็คือการเพิ่มพูนความสามารถให้กับทหารยาม อย่างน้อยก็ให้พวกเขาสามารถปกป้องตัวเองได้ และด้วยยาเม็ดหยาง ความสามารถของพวกเขาก็คงจะปรับปรุงเพิ่มขึ้นไปมาก
ชิงสุ่ยตั้งใจทำมัน อย่างน้อยถ้าหากคนเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นก็จะสามารถปกป้องพี่ใหญ่ของเขาอย่างหมอปีศาจได้
หมอปีศาจได้รับความรู้จากชิงสุ่ยมากมาย ในขณะที่หยวนสู่ก็ได้รับความรู้รวมถึงหนังสือดีๆต่างๆ แต่ถึงกระนั้นทั้งสองคนก็ยิ่งตกใจมากขึ้น ทันทีที่รู้ว่าชิงสุ่ยได้มอบยาเม็ดหยางให้กับทุกคน คนละ 1-3 เม็ด มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก
หยวนสู่จ้องมองชิงสุ่ย มันช่างน่าเสียดายจริงๆที่เธอไม่อาจใช้มันได้ในตอนนี้ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เธอเองก็ได้รับยาเม็ดโอสถจากชิงสุ่ยรวมถึงได้รับการฝังเข็ม เดินทางด้วยความสามารถของเธอก้าวหน้าไปอย่างมาก ในระดับที่สูงเกินกว่าที่เธอจะใฝ่ถึง
ความรู้สึกทึ่งยังคงตราตรึงในจิตใจของหยวนสู่ หลายปีที่ผ่านมาเธอไม่รู้ว่าทำไมหรือสิ่งใดนำพาให้ชิงสุ่ยก้าวมาถึงจุดๆนี้ แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าเธอไม่มีทางตามเขาทันเป็นแน่ ไม่แม้แต่จะสามารถเคียงข้างเขาได้ ทั้งๆที่เธอเองก็พยายามมาหลายปี แต่ก็ยังอยู่ในจุดที่ห่างไกลเหลือเกิน
บทที่ 1344 – การช่วยเหลือเพื่อก้าวทะลวงผ่านระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ ระดับที่ 3 ของหุบเขา 9เทวา
หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วัน พลังของหมอปีศาจและหยวนสู่ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ส่วนชิงสุ่ยเองก็ค่อนข้างเป็นห่วงตระกูลของเขาเอง เขามักจะหาวิธีในการยกระดับพลังของคนในตระกูล
โอสถทลายอำนาจสวรรค์แม้ว่าจะเป็นตัวยาที่สามารถเพิ่มพลังคนๆนึงได้อย่างมาก แต่ผลที่ตามมาก็คือมันจะสร้างอุปสรรคต่อร่างกายไม่ให้สามารถเติบโตได้
และยิ่งยาเม็ดทองคำเซียนเทียนซึ่งเป็นยาระดับสูงกว่าโอสถทลายอำนาจสวรรค์ มันจะยิ่งทำลายอำนาจและสร้างอุปสรรคอันใหญ่หลวง จนเหล่าผู้ฝึกตนไม่อาจจะทะลวงข้ามขีดจำกัดของตัวเอง
แต่ด้วยทักษะฝังเข็มสวรรค์ของชิงสุ่ยที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง มันได้สร้างจุดชดเชยแทนปัญหาเหล่านั้น เขาสามารถยืดอายุของคนอื่นได้และยังสามารถจุดประกายความแข็งแกร่งในร่างกายได้เช่นกัน และเพราะเหตุนี้คนในตระกูลชิง จึงดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลของโอสถทลายอำนาจสวรรค์และยาเม็ดทองคำเซียนเทียนอีกต่อไป พวกเขาสามารถเพิ่มพูนพลังผ่านการบ่มเพาะได้ราวกับคนทั่วไป
แต่การที่พวกเขาจะก้าวขึ้นไปในระดับถัดไปได้ก็ยังคงเป็นเรื่องยากไม่ต่างจากผู้อื่น
……………..
หลังจากผ่านไปอีกรายสัปดาห์ เรื่องที่เกิดกับนายน้อยตระกูลสุ่ยไม่ได้ก่อปัญหาใหญ่ขึ้น ไม่มีใครรู้ข่าวคราวของนายน้อยตระกูลสุ่ยว่าตอนนี้เขาจะยังคงอยู่หรือตายจากไปแล้ว
ผู้คนจากตระกูลสุ่ยเองก็ไม่เคยย่างก้าวเข้ามาเหยียบหอคอยจักรพรรดิอีกเลย และด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงมีเวลามากขึ้น
วันนี้เป็นวันพักผ่อนของชิงสุ่ย ผู้อาวุโสปู้หยางและเด็กหญิงตัวน้อยได้เดินทางมาหาชิงสุ่ยที่หอคอยจักรพรรดิ เขาและผู้อาวุโสปู้หยางต่างก็รู้สึกสนิทชิดเชื้อไม่ว่าจะเป็นทั้งวาจาหรือความคิด ชิงสุ่ยจึงยินดีต้อนรับพวกเขาให้ขึ้นไปในชั้นที่ 5
ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสปู้หยางจะเดินทางมาที่นี่เพียงแค่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่เด็กหญิงตัวน้อยก็ได้รับสิทธิพิเศษซึ่งไม่มีผู้ใดเคยได้รับในการส่งมอบอาหารไปที่บ้านเพื่อรับประทานอย่างมีความสุข
“ท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”ชิงสุ่ยรินน้ำชาขณะเอ่ยถามชายชรา
“ข้าสบายดี แม้ว่าจะขี้เกียจอยู่บ้าง แต่ข้าก็พาเด็กน้อยคนนี้ออกไปเดินเล่นเสมอ”ชายชรากล่าวอย่างมีความสุข
“ท่านผู้อาวุโส ข้าคิดว่าตอนนี้ท่านน่าจะอยู่ในระดับปราณจักรพรรดิขั้นปลายใช่หรือไม่? ข้อสงสัยว่าท่านได้เตรียมการที่จะทะลวงไปสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศแล้วหรือยัง?” ชิงสุ่ยจิบชาขณะที่เขาเอ่ยถาม
“ปราณบัญชาสวรรค์พินาศ?”ผู้อาวุโสปู้หยางยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า
“ดินแดนบัญชาสวรรค์พินาศคือสิ่งที่ยากเกินกว่าที่ข้าจะบรรลุได้ ข้าเองก็ยืนอยู่ขั้นปลายของระดับปราณจักรพรรดิมากกว่า 100 ปี แต่ดูเหมือนว่าข้าเองคงหมดหนทางแล้วที่จะก้าวข้ามมันไป ดังนั้นข้าจึงยอมแพ้ ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ส่วนชีวิตที่เหลือของข้าข้าเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ข้าทำได้เพียงคอยช่วยฝึกฝนเฉิงหมิง และเราลูกหลานให้เติบโต อนาคตของตระกูลปู้หยางคงจะขึ้นอยู่กับพวกเขา แต่ในจุดๆนี้ ข้าเองก็ไม่ได้กังวลอีกต่อไปแล้ว”ผู้อาวุโสปู้หยางกล่าวอย่างใจเย็น
ในช่วงที่มั่งคั่งที่สุด ตระกูลปู้หยางกลายเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และสร้างทายาทจำนวนมาก ซึ่งเราลูกหลานทั้งหมดก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตและแข็งแกร่ง
“แล้วท่านไม่คิดจะมุ่งมั่นฝึกฝนมันอีกหรือ?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะเอ่ยถาม
” ข้าเองก็ต้องการ และข้าก็พยายามมากกว่า 100 ปีแล้ว ช่างโชคร้ายเหลือเกิน สงสัยความหวังของข้าคงจะไม่มีทางเป็นจริง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาความหวังของข้าที่เปรียบเสมือนสายธารก็ค่อยๆแห้งเหือดไปตามกาลเวลา”ผู้อาวุโสปู้หยางส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม
“ถ้าหากข้าสามารถยืดอายุไขให้ท่านได้อีกหลายร้อยปี ไม่ทราบว่าท่านพอจะจุดประกายความหวังนั้นได้อีกครั้งหรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่เขาคบคิดชั่วครู่หนึ่ง ความแข็งแกร่งของตระกูลปู้หยางก็ถือเป็นประโยชน์อย่างหนึ่งสำหรับชิงสุ่ย โดยเฉพาะถ้าหากผู้อาวุโสคนนี้สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศได้แล้วเราก็ เขาก็จะสามารถช่วยเหลือชิงสุ่ยได้
ผู้อาวุโสปู้หยางจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินคำพูดนี้มาแล้ว แต่เขาก็ยังคงจ้องมองชิงสุ่ยอย่างเหลือเชื่อ
“ท่านผู้อาวุโส ทั้งๆที่ท่านติดอยู่ที่เดิมมาเป็นเวลาหลายปี แต่สภาพจิตใจของท่านก็ยังคงดี ข้าคิดว่ามันจะต้องมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ท่านไม่สามารถทะลวงไปสู่ดินแดนปราณบัญชาสวรรค์พินาศ ซึ่งข้าจะเป็นคนหาทางช่วยท่านเอง และบางทีท่านอาจจะสามารถบรรลุขึ้นสู่ระดับความบัญชาสวรรค์พินาศภายในอีกไม่เกิน 100 ปีข้างหน้าก็เป็นได้”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสปู้หยางเหมือนสูญเสียความสงบที่เคย ทั้งๆที่แต่ก่อนเขาเลิกสนใจกาญจน์เกล้าทะลวงผ่านระดับพลังของตนเองไปแล้ว มันไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สนใจแต่เพราะมันไม่อาจก้าวข้ามไปได้
และในเมื่อมีเวลามากขึ้น ทุกอย่างก็ย่อมแตกต่างไปจากเดิม ถ้าหากเขายังมีโอกาสที่จะบรรลุความฝันที่เขาต้องการ ต่อให้เขาต้องทำงานหนักมากขึ้น ก็ไม่อาจระงับความตื่นเต้นในหัวใจได้
“ชิงสุ่ย เจ้าพูดจริงหรือ?”ผู้อาวุโสปู้หยางรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง เขาเชื่อมั่นว่าถ้าหากได้ชิงสุ่ยเป็นคนช่วยเหลือ เป้าหมายของเขาจะต้องบรรลุอย่างแน่นอน
“แน่นอนสิ หรือว่าท่านไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด?”
“แน่นอนว่าข้ายอมเชื่อเจ้าเสมอ เพียงแค่ข้ารู้สึกไม่มั่นใจ”ผู้อาวุโสปู้หยางระเบิดเสียงหัวเราะ
“ตามข้ามาเถอะ”
ขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยกำลังยุ่งอยู่กับการเล่นที่หยวนสู่ทำ ชิงสุ่ยและผู้อาวุโสปู้หยางจึงบินขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่ต้องกังวลใดๆ ชิงสุ่ยช่วยเหลือผู้อาวุโสในการปรับแต่งรากฐานพลังก่อนที่เขาจะให้ผู้อาวุโสกินยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์เญิ่นและยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์ตู
ชิงสุ่ยเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถเพิ่มพูนพลังให้กับชายชราได้มากเพียงใด แต่อย่างน้อยที่เขารู้ก็คือร่างกายของชายชราได้กล่าวมาถึงจุดคอขวดที่ไม่อาจพัฒนาต่อไปได้ ระดับปราณจักรพรรดิขั้นปลายความสามารถสูงสุดที่จะซึมซับพลังได้อยู่ที่ 500000 สุริยา และอำนาจพลังก็จะถูกจำกัดด้วยขีดจำกัดหนัง แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะหยุดพัฒนาเมื่อพลังก้าวขึ้นสู่ระดับ 300000 สุริยา และมีเพียงแค่คนที่มีพรสวรรค์ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับ 400000 สุริยา ส่วนสำหรับผู้ที่สามารถบรรลุระดับพลัง 500000 สุริยาได้คือยอดคนที่หายากยิ่ง
ในตอนนี้อายุไขของผู้อาวุโสปู้หยางก็เพิ่มขึ้นด้วยน้ำมือของชิงสุ่ย อีกครั้งอาการป่วยรวมถึงสิ่งสกปรกต่างๆก็ได้รับการทะลวงจนเสร็จสิ้น อย่างน้อยอายุเขาก็เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 800 ปี แต่ถึงกระนั้นทั้งหมดก็ไม่ใช่ความสามารถสูงสุดของชิงสุ่ย ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการช่วยเหลือผู้อาวุโสอย่างเต็มที่ แต่เพราะเขากลัวว่ามันจะดูอุกอาจมากเกินไป และ เขาจะได้ใช้มันเป็นเป้าหมายให้ผู้อาวุโสพยายามฝืนทนทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองทะลวงอำนาจพลังไปยังขั้นปราณบัญชาสวรรค์พินาศได้
นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้วพลังของผู้อาวุโสก็เพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน จากเดิม 350000 สุริยา ตอนนี้ได้กลายเป็น 4500000 สุริยา
เข็มแห่งชีวิตและความตายเปรียบเสมือนคลื่นพลังงานที่ทะลวงปราการอันยิ่งใหญ่ที่ขัดขวางพลังในส่วนต่างๆของผู้อาวุโส
ยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์เญิ่นและยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์ตูดูเพิ่มพลังภายในเส้นลมปราณจนทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง เส้นลมปราณเหล่านี้ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งในการปกป้องพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะทะลวงเข้าสู่ร่างกาย
เกมแห่งชีวิตและความตายล้วงผ่านเข้าสู่พลังบริสุทธิ์และถ่ายทอดคลื่นพลังจากหุบเขา 9เทวาที่อยู่ในการเขียนของชิงสุ่ย พลังอันมหาศาลกำลังกระหน่ำโจมตีปราการขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นภายในร่างกายของพวกผู้อาวุโส
อุปสรรคที่ขวางกั้นระหว่างขั้นปลายของระดับปราณจักรพรรดิและระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศเปรียบเสมือนเทือกเขาขนาดใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด คลื่นพลังที่โจมตีแม้จะโหมกระหน่ำมากเท่าไหร่ ปราการขนาดใหญ่นี้ก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย อีกทั้งยังสะท้อนพลังกลับมาจนสูญหาย แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้ย่อท้อ เขายังคงเพิ่มพูนพลังโดยอาศัยหุบเขา 9เทวาอย่างต่อเนื่อง
ระดับพลังการโคจรของหุบเขา 9เทวาเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว!!
ปุ!!!
เสียงนี้ไม่ได้มาจากร่างกายของชายชรา แต่มาจากร่างกายของชิงสุ่ย ชิงสุ่ยเองก็รู้สึกประหลาดใจยิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้มีเวลามาตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขารับรู้นั่นก็คือคลื่นพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากหุบเขา 9เทวากำลังเพิ่มพูนและเติบโตขึ้นกว่าที่มันเคยเป็น
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ในที่สุดชิงสุ่ยก็หยุดยั้งสิ่งที่เขาทำเนื่องจากพลังของเขาได้หมดสิ้นลง อุปสรรคยังคงขวางกั้นเส้นทางมิได้ถูกเอื้ออำนวย แต่ก็ยังพอเห็นแสงสว่างที่ปลายทาง
ชิงสุ่ยหยุดการกระทำของเขาและกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโส สิ่งที่เกิดขึ้นมันดีกว่าที่ข้าคาดเอาไว้ ข้ารับประกันได้เลยว่าท่านจะต้องทะลวงผ่านไปสู่ระดับดินแดนปราณบัญชาสวรรค์พินาศได้อย่างแน่นอน”
ชิงสุ่ยเองก็ตื่นเต้นไม่ต่างกัน ดูเหมือนเขาจะสามารถใช้วิธีนี้เพื่อยกระดับคนในตระกูล และเหล่าญาติสนิทมิตรสหาย แม้ว่าหลังจากได้ทำมันอาจจะต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งในการพักฟื้นพลัง แต่อย่างน้อยมันก็ได้ช่วยให้พลังของเขาเพิ่มพูนสูงขึ้นด้วยอีกทางนึง
“ข้าเองก็รู้สึกได้ ชิงสุ่ย อุปสรรคที่ขวางกั้นสายตาของข้ากำลังจะถูกเปิดออกแล้ว นอกจากนี้ข้าเองก็มีพลังก้าวหน้าถึง 450000 สุริยา ถ้าเชื่อจริงๆว่าความหวังในการก้าวขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศของข้าอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม”ผู้อาวุโสปู้หยางมองชิงสุ่ยด้วยสายตาและมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าชิงสุ่ยคือคนที่มีความน่ากลัว แต่ดูเหมือนว่าคำว่าน่ากลัวมันจะน้อยไป เขาคู่ควรกับความน่าสะพรึงกลัวมากกว่า เขาไม่อาจสรรหาคำไหนมาอธิบายชายคนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาได้
เขารับรู้แล้วว่าการตัดสินใจของเขานั้นถูกต้องที่สุด ไม่เพียงแต่ เขาจะยอมลดตัวและสลายความหยิ่งทะนงที่คนส่วนใหญ่มักจะมี โดยเลือกที่จะเป็นเพื่อนสนิทต่างวัยกับชายที่ชื่อชิงสุ่ย และคิดเสมอว่าชิงสุ่ยคือญาติคนสำคัญของเขา การที่เขาเชื่อในประสบการณ์ของตนเองคือสิ่งที่คุ้มที่สุดแล้ว
ในช่วงสายทั้งสองคนก็เดินทางกลับไปยังหอคอยจักรพรรดิ ซึ่งผู้อาวุโสปู้หยางมารับตัวเด็กหญิงตัวน้อยก่อนจะจากไป
เมื่อทุกอย่างสงบสุข ชิงสุ่ยก็เริ่มตรวจสอบหุบเขา 9เทวาในจุดตันเถียนของเขา
แต่ก่อนทักษะนี้มีความสามารถในการเพิ่มพูนพลังและความเร็วในการโจมตี 2 เท่า แต่หลังจากหุบเขา 9 เทวาพัฒนาไปอีกขั้น ตอนนี้เขาสามารถระเบิดพลังได้ถึง 3 เท่า
บทที่ 1345 – หุบเขา 9 เทวาพัฒนาขึ้นสู่ระดับที่ 3
หุบเขา 9 เทวาพัฒนาขึ้นสู่ระดับที่ 3 มันจะสามารถโจมตีเป้าหมายได้ด้วยความแรงถึง 3 เท่า อีกทั้งพลังของมันยังเป็นพลังบริสุทธิ์ นั่นก็หมายความว่าชิงสุ่ยสามารถใช้หุบเขา 9 เทวาในการโจมตีด้วยพลังสูงถึง 150000 สุริยา
ในตอนนี้การโจมตีของหุบเขา 9 เทวาไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกต่อไป นอกจากมันจะมีพลังมากถึง 150000 สุริยา มันยังเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาอีก 3 เท่า ด้วยความเร็วขนาดนี้ อาจพิจารณาได้ว่านี่คือความน่าสะพรึงกลัวขั้นสูง นอกจากจะมีดีทางด้านการโจมตีแล้ว เมื่อคิดถึงพลังป้องกันมันเปรียบเสมือนปราการศึกขนาดยักษ์ที่น่ากลัวเช่นกัน
ในเมื่อหุบเขา 9 เทวาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ชิงสุ่ยก็ย่อมต้องมีความสุขอย่างมาก ถ้าหากเขาจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับปราณจักรพรรดิขั้นปลายในตอนนี้ หุบเขา 9 เทวาก็จะเป็นทั้งดาบและชุดเกราะที่จะปัดป้องอันตรายและโจมตีศัตรูราวกับผู้ใหญ่รังแกเด็ก แต่ถ้าหากเขาอ่อนแอกว่าศัตรู มันก็จะเป็นตัวปลดปล่อยขีดจำกัดในร่างกายเพื่อให้ขาวสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่
หลังจากที่ชิงสุ่ยได้ช่วยเหลือผู้อาวุโสปู้หยาง ก่อนที่ผู้อาวุโสปู้หยางจะจากไป เขาได้นำเรื่องบางอย่างบอกกล่าวกับชิงสุ่ย เพราะเขาต้องการอยากรู้ว่าชิงสุ่ยจะสามารถช่วยยืดอายุไขของผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลปู้หยางได้หรือไม่
ผู้อาวุโสที่ละทางโลกคนนี้มีระดับพลังที่แสนน่าสะพรึงกลัว
ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ!!!
แม้แต่ในตระกูลปู้หยางก็ยังมีผู้ฝึกตนระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศแฝงตัวอยู่ แต่ช่างน่าเสียดายที่อายุขัยของเธอกำลังจะสิ้นสุดลง เธอจึงเลือกที่จะตัดขาดจากโลกภายนอก มีเฉพาะคนรุ่นก่อนๆเท่านั้นที่จะรู้ถึงการดำรงอยู่ของคนๆนี้ แม้ว่าเธอจะละทั้งโลกและตัดขาดกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คนรุ่นก่อนๆก็ไม่มีใครกล้าที่จะละเลยการดำรงอยู่ของเธอ
หญิงชราผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของตระกูลปู้หยาง
นอกจากผู้อาวุโสปู้หยางและคนรุ่นก่อนๆรวมถึงเด็กหญิงตัวน้อย ก็ไม่มีใครได้เข้าพบกับหญิงชราคนนี้มาก่อน แต่คนส่วนใหญ่ต่างก็ได้ยินเรื่องราวการดำรงอยู่ของคนที่แข็งแกร่งในตระกูล
ชิงสุ่ยตอบตกลงในทันที เขาเองก็อยากรู้ว่าผู้ที่บรรลุในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศจะมีพลังอำนาจเพียงใด
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ชิงสุ่ยเลือกที่จะรับประทานยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 3 วันละ 1 เม็ด ซึ่งหากอยู่ภายใต้ผลของยาเม็ดตำรับคู่ ชิงสุ่ยก็จะสามารถกินมันได้ครั้งละ 2 เม็ด ส่วนยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 ชิงสุ่ยยังไม่ได้ลอง เนื่องจากเขากำลังรอให้ผลของตัวยาเพิ่มพูนเสร็จสิ้นเสร็จก่อน เช่นเดียวกับการรอคอยให้ หมูป่านักล่าสมบัติราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิ ก้าวหน้าในระดับพลัง
ในระหว่างที่ชิงสุ่ยกำลังคิดถึงเรื่องอื่น เขาก็รับรู้ถึงกลิ่นอายที่แสนคุ้นเคย มันจึงทำให้เขารีบออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะทันที และพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะได้พบเจอกับกลิ่นอายที่แสนคุ้นเคยนี้ มันเป็นกลิ่นอายเดียวกับที่เขาได้พบเธอเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และแล้วชิงสุ่ยก็มองเห็นมัน
สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือเต่าเฒ่าโบราณขนาดใหญ่ ตัวของมันไม่ได้ดูเล็กเลยหากเทียบกับขนาดของมังกรมรกตที่เขาได้เห็นผ่านทะเลแห่งปัญญา สัตว์ทั้ง 2 ตัวคือสัตว์ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้มาอย่างยาวนาน พวกมันต่างก็มีขนาดใหญ่มหึมา
หลังจากเหลือบมองชิงสุ่ยก็พบกับหญิงสาวที่เย็นชาและหยิ่งยโส
ประมุขอสูร!!
สาวที่มีทรงผมยกสูง แสดงให้เห็นถึงคิ้วที่แสนนุ่มนวลและใบหน้าที่ปราศจากเครื่องประทินผิวต่างๆ แสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ยามเช้าแสดงให้เห็นถึงผิวหนังที่นุ่มนวลดุจหิมะ ความงดงามดั่งนางอัปสร ดวงตาอันงดงามราวกับสายตาแห่งเทพีฤดูหนาว
แม้ดวงตานั้นจะงดงามและบริสุทธิ์ แต่ความหนาวเหน็บที่พุ่งพล่านออกมาจากสายตา มันเจาะทะลุทะลวงไปถึงแก่นกระดูกของผู้คน
รูปร่างของเธอช่างงดงามแม้จะส่งเครื่องแต่งกายแต่ก็ไม่อาจปกปิดทรวดทรงของร่างกายเธอได้ ไหล่ของเธอคมดุจคมดาบ หน้าอกที่กลมมนเด่นสง่า เอวที่เรียบเนียนราวกับผ้าไหม เธอสวยงามราวกับผลงานที่แกะสลักด้วยหยกล้ำค่า
……………………….
กลิ่นอายที่พุ่งพล่านออกมาจากตัวเธอ ชิงสุ่ยมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขาจำไม่ผิด ในบรรดาหญิงสาวทั้งหลาย เธอเป็นคนที่ชิงสุ่ยเข้าใกล้ด้วยยากที่สุด ไม่ใช่เพราะเธอเฉยเมย แต่เป็นเพราะกลิ่นอายมหาศาลที่กดดันมันพุ่งพล่านออกมาจากพลังวิญญาณของเธอ
ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงดูเย็นชา ดวงตาคู่งามของเธอยังคงหนาวเหน็บกัดกินทะลุไปถึงกระดูก เธองดงามดุจหิมะบริสุทธิ์ และความเย็นชาของเธอดูเป็นธรรมชาติราวมันเกิดมาพร้อมเธอ
เมื่อเธอมองเห็นชิงสุ่ย เธอเองก็ตกใจ ดูเหมือนระลอกคลื่นแห่งความหนาวเหน็บจากดวงตาจะหายไปอย่างสมบูรณ์
เธอมองชิงสุ่ยอย่าเงียบๆสักพักหนึ่งก่อนจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่มาจากตัวชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยเองก็จับจ้องเธอด้วยสายตาที่ประหลาดใจ เขาพยายามสัมผัสถึงระดับพลังของเธอแต่ก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้
เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งว่าเธอจะต้องมีพลังเหนือกว่าผู้อาวุโสปู้หยางอย่างแน่นอน
ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ?
ชิงสุ่ยไม่อาจระงับความรู้สึกพ่ายแพ้ในตอนนั้นได้ มันดูเหมือนเรื่องตลกจริงๆที่จะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่มันก็น่าอัศจรรย์ยิ่งที่ตอนนั้นเธอไม่ได้ลงมือสังหารเขา เขาเปรียบเสมือนมดปลวกในสายตาเธอ เพียงแค่ดีดเบาๆ เธอก็สามารถขยี้มดเหล่านั้นให้กลายเป็นผุยผงได้
“สวัสดี พอดีข้ารู้สึกเหมือนว่าเจ้ากำลังผ่านมา ข้าจึงออกมาดู……….”ชิงสุ่ยมักจะรู้สึกไม่สบายใจต่อหน้าเธอ มันเป็นความรู้สึกแปลกและความรู้สึกต่ำต้อยในเวลาเดียวกัน
เขากำลังต้องการเวลามากกว่านี้ เขารับรู้ดีว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย และคงเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าปัญหาที่อีเย่เจี้ยนเก้อเคยเผชิญ
“เจ้าต้องการจะพูดอะไร? หลีกทางเดี๋ยวนี้”
เมื่อชิงสุ่ยได้ยินคำพูดจากเธอ เขาก็เลือกเดินตรงไปหาเธอและกล่าวว่า “ข้าต้องการช่วยเหลือเจ้าจริงๆ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าได้ใช้ยารักษาตัวเจ้าต่อหรือไม่ แต่ข้ามีความรู้ในด้านการฝังเข็ม ข้าสามารถช่วยเจ้าเพิ่มพูนพลังได้”
ชิงสุ่ยได้ยินเรื่องต่างๆของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูรอบด้าน ผู้คนมากมายจ้องจะกำจัดเธอ และตอนนี้เขาก็แข็งแกร่งมากพอที่จะช่วยเหลือเธอแล้ว
หญิงสาวส่ายหน้าและไม่พูดอะไร
” ข้าก็แค่อยากจะช่วยเจ้าเอง”ชิงสุ่ยยิ้มอย่างข่มขืน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้คนที่เกี่ยวพันกับชีวิตของข้านั้นมีมากเพียงใด? ถ้าหากเจ้ายังไม่อยากตายก็จงอยู่ให้ห่างจากข้า ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ากล่าวถึงข้าเลย” น้ำเสียงของเธอยังคงยากเย็นขนาดที่เธอกล่าวปฏิเสธอย่างหนักแน่น
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามีกี่คนกันที่พยายามตามล่าเจ้า แต่ข้าก็ยังคงต้องการคนเจ้าอยู่ดีแม้ผู้คนทั้ง 9 มหาทวีปจะต่อต้านเจ้าก็ตาม มีอย่างเดียวที่ข้าเสียดายก็คือวันนี้ข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ แต่สักวันหนึ่งถ้าจะมีอำนาจมากพอที่จะช่วยเหลือเจ้าต่อให้มันจะมีโอกาสเพียงเล็กน้อยก็ตาม”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างช้าๆ
สีหน้าของหญิงสาวก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เธอกล่าวกับชิงสุ่ยว่า “ทำไม? ถ้าหากเจ้ายังฝันอยู่ก็จงลืมมันไปซะ”
“ข้าคงทำไม่ได้ ทุกครั้งที่ข้าเจอเจ้า ข้ารู้ดีว่าระหว่างเรานั้นมีช่องว่างที่กว้างเกินไป แต่ข้ายังอยากช่วยเจ้าจริงๆ และข้าก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าต้องกลับมาช่วยอะไรข้า”ชิงสุ่ยกล่าว
ชิงสุ่ยว่ามันเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะเป็นเพื่อนกับหญิงสาวคนนี้ ดังนั้นเขาจึงหวังเพียงแค่ได้พูดคุยกับเธอต่อ เพราะตลอดเวลาที่เจอกันในครั้งแรก เขาก็แทบไม่ได้พูดคุยอะไรเลย
“ไว้โอกาสหน้าเถิด ข้าขอตัวลา”หญิงสาวกล่าวอย่างนิ่มนวลขณะที่เธอรอยจากไป
“โปรดรับสิ่งนี้ไว้ ข้าหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้า”ทันทีที่กล่าวจบ ชิงสุ่ยก็โยนถุงผ้าแพรมิติออกไป
ซึ่งหญิงสาวก็เอื้อมมือออกมาและขว้ามัน
“เราคงต้องจากกันจริงๆแล้ว”ทั้งที่เธอกล่าวจบ เธอก็หายไปพร้อมกับเต่าเฒ่า
ชิงสุ่ยยังคงยืนดูหญิงสาวคนนั้นหายจากไปด้วยความเศร้าหมอง แต่เขาก็ค่อนข้างประหลาดใจที่เธอยอมรับถุงผ้าแพรมิติที่บรรจุทั้งสมุนไพร ยาและอาหารมากมาย
แม้เวลาจะผ่านไปแต่ชิงสุ่ยก็ยังยืนนิ่งและคิดต่างๆนานา เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าครั้งหน้าเขาได้เจอเธออีก อย่างน้อยพลังของเขาจะต้องอยู่ในระดับปราณจักรพรรดิขั้นปลายและต้องมีพลังไม่ต่ำกว่า 500000 สุริยา
ในขณะที่เขากลับไปยังหอคอยจักรพรรดิ ชิงสุ่ยก็กลับเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะ เพื่อปรับแต่งพลังที่เพิ่มจากมังกรไอยราเกล็ดทองคำ แม้ว่าพลังพื้นฐานของชิงสุ่ยจะเพิ่มขึ้นไม่กี่สุริยา แม้ว่ามันจะไม่มากแต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาตอนนี้เข้าใกล้ระดับ 60000 สุริยา และเมื่อเขาระเบิดพลังร่วมกับหุบเขา 9 เทวา พลังของเขาจะใกล้เคียงกับระดับ 170000 สุริยา
และถ้าหากเทียบกับพลังปราณจิตที่แข็งแกร่งแล้ว ถ้าหากเขาใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ ความสามารถโดยรวมของเขาจะเพิ่มขึ้นอีก 160000 สุริยา และถ้าหากเขาระเบิดพลังเต็มที่นั่นก็หมายความว่าเขาจะสามารถเข้าถึงระดับพลัง 320000 สุริยาได้
นั่นก็หมายความว่า อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็อยู่ในขั้นเริ่มต้นของระดับปราณจักรพรรดิขั้นปลาย
บทที่ 1346 – ข่าวคราวของเหยียนจงเยว่? ผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศแห่งตระกูลปู้หยาง?
แม้ว่าจะรู้สึกถึงพลังอันแรงกล้าในร่างกาย แต่ชิงสุ่ยก็ยังรู้สึกว่าพลังนั้นไม่เพียงพอสำหรับเขา เขาจึงกลับเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะและเริ่มฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊กอย่างต่อเนื่อง
เขาเองก็ไม่รู้ว่าดินแดนแห่งเพลงหมัดไทเก๊กจะไปสิ้นสุดที่ใด แต่อย่างน้อยเขาก็ยังดำรงอยู่ในเส้นทางแห่งสวรรค์ เส้นทางที่เข้าถึงพลังเต๋า
ดินแดนแห่งนี้คือดินแดนพลังอันแสนลี้ลับ ในอนาคต ผู้ที่ไม่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนเส้นทางแห่งสวรรค์เต๋าได้ก็ย่อมต้องล่มสลายไปแม้จะครอบครองพลังอันน่าเหลือเชื่อก็ตาม เพราะต่อให้มีพลังมากมายเพียงใดก็จะมีแต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับเต๋าเท่านั้นที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับดินแดนปราณบัญชาสวรรค์พินาศได้
ผู้อาวุโสปู้หยางก็คือหนึ่งในคนที่มีพรสวรรค์จนก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ได้ เพียงแต่ระดับของเขานั้นอยู่ในขั้นรากฐาน ซึ่งต่างจากหญิงสาวที่เขาได้เจอ เขารับรู้ได้ถึงพลังแห่งเส้นทางสวรรค์อย่างชัดเจนมาก เขามองเห็นพลังที่แสนแข็งแกร่งของมัน
สิ่งที่ชิงสุ่ยไม่รู้นั่นก็คือใบหน้าที่ประหลาดใจของหญิงสาว เพราะอาการแสดงออกของเธอนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเองก็มองเห็นระดับพลังเทวะแห่งเต๋าในตัวของชิงสุ่ยเช่นกัน และการที่คนอายุน้อยสามารถเข้าถึงระดับพลังเทวะแห่งเต่าได้ ทางสวรรค์แห่งอนาคตของคนผู้นั้นก็ย่อมมีทางเลือกมากเช่นกัน และยิ่งอายุของชิงสุ่ยยังคงน้อยยิ่งนัก การที่เขาจะก้าวขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศก็คงจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่หญิงสาวผู้นั้นแสดงสีหน้าประหลาดใจ
อีกทั้งคนส่วนมากก็ไม่มีโอกาสที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ ดังนั้นเมื่อเธอเห็นการเปลี่ยนแปลงของชิงสุ่ย มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกซับซ้อน มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะลืมคนอย่างชิงสุ่ย เขาเปรียบเสมือนผู้ชายคนแรกของเธอ ซึ่งเธอไม่มีวันที่จะลืมได้
ทุกครั้งที่เธอเห็นชิงสุ่ย เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่าตัวของเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เธอเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจ แต่เธอรับรู้ได้ถึงความจริงใจในตัวของชิงสุ่ย
แต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ชิงสุ่ยดูเหมือนจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ เขาไม่กล้าหวังอะไรมากเกินไปต่อหน้าเธอ เขาหวังเพียงแค่เธอไม่เกลียดเขาและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขก็คงจะเพียงพอแล้ว
อี่หวง กู่หวู๋ก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถก้าวสู่ดินแดนเทวะแห่งเต๋าได้โดยอาศัยการฝึกฝนรูปลักษณ์พยัคฆ์
ดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋าเป็นดินแดนที่น่าพิศวง มันเป็นสิ่งที่มองเห็นได้แต่ไม่อาจสัมผัสได้ มันสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่แต่ด้วยเหตุผลหลากหลายอย่างจึงทำให้คนส่วนน้อยสามารถรับรู้ได้ถึงมัน จริงๆแล้วเพียงเข้าใจเล็กน้อยเท่านั้นก็มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆหนึ่งได้
………….
ในวันรุ่งขึ้นชิงสุ่ยรอผู้อาวุโสปู้หยางอยู่ที่หอคอยจักรพรรดิ เขาเดินทางมาเพื่อพาชิงสุ่ยไปยังตระกูลปู้หยางเพื่อยืดอายุไขให้กับหญิงชราคนนั้น
ในช่วงเช้าคนที่มาไม่ใช่ผู้อาวุโสปู้หยางแต่กลับกลายเป็นผู้คนจากตระกูลอี่หวงที่มาแทน นั่นก็คืออี่หวง ตูซุยและ อี่หวง ตูซิง แต่ทันทีที่พวกเขาเริ่มกล่าวกับชิงสุ่ย สำนวนวาจาของเขาจะดูจะแปลกไปอย่างมาก
ชิงสุ่ยเอ็งก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย หรือว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชายที่เขาให้ตระกูลอี่หวงตามหา
“ท่านหมอเทวดาชิง พวกเราได้ระดมคุมกำลังมากมายรวมถึงเพื่อนๆๆญาติสนิทมิตรสหายในการตามหา แต่เราก็ได้รับข่าวคราวมาเพียงแค่น้อยนิด นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงเดินทางมาที่นี่”อี่หวง ตูซิงกล่าวอย่างเชื่องช้า
“พวกเราขอกล่าวกับเจ้าอย่างสัตย์จริง ตระกูลอี่หวงของเราไม่อาจพยายามมากกว่านี้ได้ มีใครบางคนที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำพยายามหยุดสิ่งที่ตระกูลอี่หวงทำ ซึ่งถ้าหากพวกเรายังคงสืบสวนเรื่องราวนี้ต่อไป มันคงทำให้ตระกูลอี่หวงของเราถึงกัลปาวสาน บุคคลผู้นั้นไม่ใช่คนที่ตระกูลอี่หวงจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้”อี่หวง ตูซิงถอนหายใจขณะกล่าว
สิ่งที่พูดออกมายิ่งทำให้ชิงสุ่ยถึงกับมึนงง ขนาดตระกูลอี่หวงยังไม่อาจก้าวก่ายเรื่องเหล่านี้ได้……ชายคนนี้อยู่ส่วนใดของโลก เขาอยู่ที่ไหนกัน? แต่เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องไม่ได้อยู่ภายในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ หรือมหาทวีปมังกรอหังกาลอย่างแน่นอน
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นจะต้องเป็นมหาทวีปอุดรเทวาสถานที่กว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัด
ต่อให้พวกเขาสืบสวนเรื่องราวได้สำเร็จ แต่ก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าชายคนนั้นจะยังคงมีชีวิตอยู่
“ท่านหมอเทวดาชิง ชายผู้นั้นไม่ได้มีนามว่าเยียนจงเยว่ แต่เขาเป็นคนที่มีลักษณะเหมือนคนในภาพที่ท่านพวกข้าดู แต่ถึงกระนั้นพวกเราก็ไม่อาจย่างกายเข้าไปเพื่อยืนยันสิ่งที่คิดได้ ทุกอย่างบนโลกล้วนแล้วแต่มีสิ่งแปลก เป็นไปได้หรือไม่ว่าสองคนนี้จะเป็นเพียงแค่คนที่มีลักษณะเหมือนกัน?”อี่หวง ตู่ซิงกล่าวเพื่อยับยั้งความคิดของชิงสุ่ย
“มันก็อาจเป็นอย่างที่พวกท่านกล่าว ข้าต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ทั้งสองท่านลำบากใจ” ชิงสุ่ยพยายามที่จะไม่คิดถึงมันอีกต่อไป ดูเหมือนว่าหากเขาต้องการรู้เรื่องที่แท้จริงอย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องยืนอยู่เหนือมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ เพราะแม้แต่ตระกูลอี่หวงที่มีผู้ฝึกตนระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศแฝงตัวอยู่ยังไม่มีสิทธิ์เจ้าเข้าถึงข้อมูลสำคัญเหล่านั้น นี่เป็นข้อแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายย่อมต้องมีพลังที่เหนือกว่า
มีความเป็นไปได้สูงที่ชายผู้นั้นจะสูญเสียความทรงจำทั้งหมด อีกทั้งเรื่องราวยังผ่านมาแล้วกว่า หลายสิบปี เป็นไปได้ว่าเขาคงจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นไปแล้ว? หรือมันอาจเป็นไปได้ว่าเขาคงจะลืมเรื่องราวของชิงอี้และตัวชิงสุ่ย?
ถ้าหากในอนาคต วันที่เขาจะต้องเผชิญหน้าและต่อกรกับชายผู้นั้นมาถึงล่ะ?
ความคิดมากมายพลั้งพลูเข้ามาในสมองของชิงสุ่ย
“ข้ายังคงต้องขอขอบคุณทุกท่านทั้งสองคนมาก เมื่อถึงเวลาข้าเองจะเป็นคนที่เดินทางออกไปเพื่อตามหาสิ่งที่ข้าต้องการ”ชิงสุ่ยกล่าวชัดเจน เขาพร้อมจะเดินทางออกไปตลอดเวลาเพิ่อตามหาชายที่เขาไม่อาจเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเหล่านั้นได้
อี่หวง ตูซุยและ อี่หวง ตูซิงต่างก็คิดว่ามีโอกาสสูงมากที่ชิงสุ่ยกับชายในรูปภาพจะเป็นพ่อลูกกัน ซึ่งถ้าหากเป็นจริง คนเหล่านี้สามารถทำลายตระกูลอี่หวงได้ภายในพริบตาตามใจอยาก แม้ว่าพวกเขาคิดจะกำจัดชายหนุ่มคนนี้ แต่ดูเหมือนศักยภาพของชิงสุ่ยจะมีมากมาย และไม่อาจรู้ได้ว่าอนาคตชายหนุ่มผู้นี้จะไปไกลเพียงใด และยิ่งไปกว่านั้นตระกูลอี่หวงก็ไม่อาจต่อต้านเขาได้อีกเพราะทั้งตระกูลปู้หยางและตระกูลอื่นๆที่มีผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา มันจะดีกว่าถ้าหากตระกูลอี่หวงเลือกที่จะทำดีเท่าที่จะเป็นไปได้
หลังจากที่อี่หวง ตูซุยและ อี่หวง กลับไปได้ไม่นาน ชิงสุ่ยก็ลงไปพบกับ ผู้อาวุโสปู้หยางและเด็กหญิงตัวน้อยบริเวณหัวมุมของชั้นที่ 4 ตอนนี้เด็กหญิงตัวน้อยกำลังมองดูอะไรบางอย่างหน้ากับว่ากำลังเฝ้ารอบางสิ่ง ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของเธอก็ดังขึ้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย
“ท่านลุง”
เมื่อชิงสุ่ยได้ยินเสียงเรียกทักทายของเด็กสาวตัวน้อย เขาก็รีบทักทายเด็กหญิงยังมีความสุข
เด็กหญิงตัวน้อยคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลี่จี้และหยวนสู่ เธอมีค่าดั่งเพชรพลอย และเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย นี่ไปกว่า ผู้อาวุโสปู้หยางก็เลือกที่จะหมั้นหมายเธอกับลูกชายของชิงสุ่ย ซึ่งลี่จี๋เองก็กล่าวว่าถ้าหากเธอให้กำเนิดลูกสาว เธอเองก็อยากให้ลูกสาวของเธอหมั้นหมายกับลูกชายของชิงสุ่ยเช่นกัน
ชิงสุ่ยโอบกอดเด็กหญิงตัวน้อยเฉิงหมิง และกล่าวทักทาย ผู้อาวุโสปู้หยางก่อนที่ทั้ง 3 จะมุ่งหน้าออกจากหอคอยจักรพรรดิ
ตระกูลปู้หยางอยู่ไม่ไกล และเป็นตระกูลที่มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นต่ำ นั่นก็เท่ากับผู้อื่นก็ย่อมไม่สามารถล่วงรู้ข้อมูลภายในของพวกเขาได้ แต่ก็ทำให้มันกลายเป็นเรื่องที่คนพูดถึงมากที่สุด ตระกูลปู้หยางคือตระกูลที่มีกฎระเบียบเข้มงวด ผู้คนในตระกูลจะไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงความหยิ่งยโสและดูถูกคนภายนอกเพียงแค่พื้นเพของตระกูลพวกเขา มันอาจเป็นเพราะว่ากฏเข้มงวดต่างๆจึงทำให้ตระกูลปู้หยางเติบโตทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้ง 3 คนเดินเข้ามาจากประตูหลัง สภาพแวดล้อมเงียบสงบอย่างมาก แม้พื้นที่จะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็มีมีคฤหาสน์ขนาดใหญ่เชื่อมต่ออยู่กับลานกว้างเล็กๆซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนที่เหลือของตระกูลปู้หยาง
บริเวณลานแม้ไม่ใหญ่แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งของอำนวยความสะดวกที่จำเป็น รวมถึงพืชเถาวัลย์พันเกียวไปตามซุ้มต่างๆ ทุกอย่างล้วนให้ความรู้สึกชนบท
หญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอกำลังปิดตาพักผ่อน ร่างกายของเธอซูบผอม แต่ก็อัดแน่นไปด้วยพลังงานที่ไม่อาจอธิบายได้ กิริยาท่าทางของเธอนั้นสงบนิ่งราวกับหญิงวัยชราทั่วไป แต่ด้วยพลังที่ไม่อาจอธิบายยิ่งทำให้คนทุกคนที่ได้เห็นต่างรู้สึกว่าเธอย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดา
ทันใดนั้นหญิงชราก็ค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาของเธอยังคงสงบนิ่งพร้อมทั้งปรากฏรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้า
“ท่านบรรพบุรุษ!!”
เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งกระโจนอย่างมีความสุขไปหาหญิงชรา ทุกอากับกริยาของเธอเต็มไปด้วยพลังลึกลับแต่อ่อนโยนราวกับธรรมชาติ
“ท่านบรรพบุรุษ!!” ผู้อาวุโสปู้หยางกล่าวทักทายเธออย่างสุภาพ
“ข้าน้อยขอแสดงความเคารพต่อท่านผู้อาวุโส”ชิงสุ่ยกล่าวทักทายเธอด้วยคำสุภาพเช่นกัน ยอดยุทธแห่งตระกูลปู้หยางสมควรที่ได้รับคำเชิดชู
“พ่อหนุ่มน้อย เจ้าคือหนึ่งในคนที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมาในช่วงหลายปี เจ้าเป็นคนที่มีอนาคตที่สดใส ผู้คนมากมายต่างกล่าวขานว่าเจ้าโดดเด่นทางด้านการปรุงยา ซึ่งช่างน่าแปลก ข้าปู้หยางชิงกลับมองเห็นสิ่งที่ต่างไป”
“ท่านผู้อาวุโสมีสายตาที่หลักแหลม ข้าพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเป็นตัวช่วยส่งเสริมการฝึกตน ข้าจึงทำการเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อที่จะสามารถจัดการกับศัตรูได้ และข้าเองก็รู้สึกว่าดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋าเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นสิ่งที่ข้าควรบรรลุ มันเป็นเส้นทางที่นำพลังกลับมาสู่ตัวข้า ซึ่งข้าเชื่อว่าทุกคนทางที่ข้าฝึกฝนจะนำพาเส้นทางที่แตกต่างกันมาสู่ตัวข้า”ชิงสุ่ยคิดบางอย่างก่อนที่จะกล่าวอย่างจริงจัง
“เจ้าพูดได้ดี สำหรับเด็กน้อยอย่างเจ้า เพียงแค่เข้าใจถึงบางอย่างเช่นนี้ได้ก็ช่างน่าวิเศษแล้ว ภายในอาณาเขตแห่งนี้ เจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนรุ่นเดียวกับเจ้าเสียอีก บางทีเจ้าอาจจะแข็งแกร่งกว่าสัตว์ประหลาดอย่างข้าก็เป็นได้”หญิงชราพยักหน้า
“ท่านผู้นำอาวุโสพาข้า มาที่แห่งนี้เพื่อพบกับท่าน ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ข้าอยู่ที่นี่ในวันนี้ก็คือ ข้ามาเพื่อยืดอายุไขให้แก่ท่าน”
“ยืดอายุไขให้ข้า? แม้ว่ามันจะสำเร็จ แต่พลังของข้าก็สูญเสียไปมากมายจนใกล้จะดับหายไปแล้ว มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่ข้าจะอยู่ต่อไปอีก”การแสดงออกทางสีหน้าของหญิงชรายังคงสงบนิ่ง ราวกับว่าเธอได้ละทิ้งชีวิตและยอมรับความตายอย่างสมบูรณ์แบบ
“แล้วถ้าหากข้าสามารถช่วยให้ท่านฟื้นตัวรวมและช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดขัดอยู่ในร่างกายและอาจทำให้ท่านสามารถทะลวงในสิ่งที่ท่านต้องการไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไรบ้าง? แต่ก่อนที่ข้าจะทำสิ่งเหล่านั้นได้ค่าต้องขอความร่วมมือจากท่าน”
“หืม? นอกจากเจ้าจะเป็นนักปรุงยาแล้วเจ้ายังเป็นหมออีกด้วย ช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจจริงๆ ตอนนี้ข้าชักอยากรู้แล้วว่าจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง?”หญิงชราจ้องมองชิงสุ่ยอย่างกระตือรือร้น ภายใต้การวิเคราะห์ของเขามันบ่งบอกอะไรได้ชัดหลายอย่าง สิ่งหนึ่งก็คือแท้จริงแล้วเธอยังไม่สามารถทะลวงผ่านระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศไปได้ เพียงแต่เธออยู่ในขั้นเริ่มต้นก่อนที่จะทะลวงระดับพลังขั้นที่ 1
บทที่ 1347 – ความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ
หญิงชราค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นในตัวของชิงสุ่ย เธอคนข้างสงสัยในทักษะการแพทย์ของเขาว่าจะส่งผลต่อเธอที่อยู่ในระดับปราณสวรรค์บัญชาพินาศได้หรือไม่? แม้ว่าเธอเองก็ไม่รู้ผลของมันแต่เธอค่อนข้างเต็มใจที่จะอยากลอง
“ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”หญิงชราจ้องมองชิงสุ่ยพร้อมกับเผยรอยยิ้ม
“ข้าเพียงต้องการให้ท่านมั่นใจ ถึงแม้ว่าตัวท่านเองไม่ได้ต้องการที่จะกลับมาแข็งแกร่ง และแม้ว่าท่านจะได้รับยาศักดิ์สิทธิ์มามากมาย ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไร้ประโยชน์ เพราะท่านยังคงแสดงท่าทางราวกับคนที่ไม่สนใจแม้กระทั่งชีวิตหรือความตาย แต่ผลของมันจะมากหรือน้อยก็ย่อมต้องขึ้นอยู่กับตัวท่าน”ชิงสุ่ยปรารถนาที่จะให้เธออยู่รอดต่อไป
หญิงชรายังคงเงียบ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ชิงสุ่ยกล่าว เธอไม่ให้ความสำคัญกับชีวิตแล้ว ไม่ว่าความเป็นความตายจะมาเยือนเธอก็วางแผนที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างเงียบสงบ
“ข้าสามารถบอกได้เลยว่าท่านคงจะติดอยู่ในจุดสำคัญจึงไม่อาจทะลวงระดับพลังไปได้ ท่านคงทรมานพยายามทุกวิถีทางแต่ก็ไม่อาจก้าวข้ามมันได้สินะ?”ชิงสุ่ยรับรู้ได้แต่เขาไม่อาจบอกได้ว่ามันอยู่ในระดับใด เขาเองก็ไม่เคยรับรู้ได้ถึงพลังเพราะเขาก็ยังไม่อาจก้าวขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศได้
“อืมม มันเป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า ข้าเองติดอยู่ในจุดที่ต่อให้ค่าทุ่มเทความพยายามมากเท่าใดข้าก็มิอาจก้าวข้ามมันได้ ตอนนี้ข้ายังคงติดอยู่ที่ระดับที่หนึ่งของขั้นปราณบัญชาสวรรค์พินาศ แต่ถ้าหากข้าต้องการทะลวงขึ้นไปสู่ระดับที่ 2 แล้วล่ะก็ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ”
“ความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ?”ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยความสับสน เขาอยากรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ และเมื่อได้โอกาสเขาก็ไม่ปล่อยมันให้ผ่านพ้นไป
“ปราณบัญชาสวรรค์พินาศแบ่งออกเป็น 10 ระดับ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งมันจะถูกแบ่งออกเป็น 10 ขั้น เช่นเดียวกับระดับปราณจักรพรรดิ ปราณนักบุญพิโรธและปราณเทวะกษัตริย์ สำหรับผู้ที่กล่าวถึงระดับที่ 1 ของแต่ละดินแดนพลัง หากต้องการรวมก้าวผ่านระดับพลังที่ตนมีก็ย่อมต้องเผชิญหน้ากับคอขวดที่เกิดขึ้น แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศมันจะแตกต่างอยู่เล็กน้อย นั่นก็คือทุกครั้งที่ต้องการก้าวขึ้นสู่ระดับถัดไป ผู้ฝึกตนจะต้องเผชิญหน้ากับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ และถ้าหากพวกเขาทำมันได้สำเร็จก็จะสามารถก้าวขึ้นไปยังระดับชั้นพลังถัดไปได้ แต่ถ้าหากล้มเหลวล่ะก็สิ่งเดียวที่รอพวกเขาเหล่านั้นอยู่ก็คือความตาย ดังนั้นผู้ฝึกตนจำนวนมากจึงเลือกที่จะจมปลักอยู่กับระดับพลังของตน เพราะถ้าหากล้มเหลว ทุกสิ่งทุกอย่างที่พยายามมาตลอดชีวิตก็จะหายไปในทันที”หญิงชราอธิบายอย่างช้าๆ
“ไม่ทราบว่าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจนั้นบ่งบอกในลักษณะใด?”ชิงสุ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“สำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ ถ้าหากพวกเขาสามารถก้าวข้ามขึ้นสู่ระดับถัดไปได้ มันจะเกิดปรากฏการณ์ผิดปกติในบางแห่งพร้อมๆกันทั้งผืนฟ้าและผืนโลก คนส่วนใหญ่เรียกมันว่า ปราการสายฟ้าแห่งเทวา ซึ่งสำหรับระดับที่ 1 ก็จะเกิดปราการสายฟ้าแห่งเทวา 1 ขั้น และสำหรับระดับที่ 2 ก็จะเกิดปราการสายฟ้าแห่งเทวา 2 ขั้น ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบกันมันจะมีชั้นความหนาและเวลาที่ยาวนานขึ้น
“ว่าแต่ความทรมานแห่งสวรรค์พินาศจะปรากฏกับผู้ฝึกตนปราณบัญชาสวรรค์พินาศทุกคนเหมือนกันหรือไม่?”
“แต่ละคนล้วนแตกต่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกัน นั่นก็คือผู้ใดที่มีพละกำลังอำนาจมากปรากฏการณ์ที่ผิดปกติก็จะมากขึ้นเช่นกัน แม้กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่อาจเข้าใจมันได้อย่างชัดเจน”หญิงชรากล่าว
“ว่าแต่ขีดจำกัดของผู้ที่แข็งแกร่งพอที่จะทะลุทะลวงผ่านระดับพลังนั้นไปได้อยู่ในระดับใดกัน?”ชิงสุ่ยกล่าวถาม
“หากเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความแข็งแกร่งที่จะสามารถทะลวงผ่านไปสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาศ บางคนสามารถทะลวงผ่านขึ้นไปในระดับนั้นได้ตั้งแต่มีพลังเพียงแค่ 300000 สุริยา บางคนกลับต้องมีระดับพลังมากถึง 400000-500000 สุริยา ซึ่งตัวเลขระดับพลังที่แตกต่างกันนี้ย่อมต้องส่งผลระดับพลังเมื่อยืนอยู่ในดินแดนเดียวกัน อีกทั้งยังส่งผลต่อผลของความทรมานแห่งสวรรค์พินาศที่ใช้ในการเพิ่มพละกำลังอีกด้วย”
“ดูเหมือนพวกมันจะเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่ข้าจะช่วยเหลือท่าน”
“ตกลง!!” หญิงชรายิ้มพร้อมกับพยักหน้า
ปู้หยางชิงพาทุกคนเดินไปที่ห้องรับแขก จากนั้นก็เข้าสู่หัวข้อหลักทันที
ในขั้นแรกชิงสุ่ยได้ช่วยเหลือหญิงชราโดยการฟื้นฟูพลังในร่างกาย จากนั้นเขาก็ทำการสลายสิ่งสกปรกและของเสียออกจากร่างกาย นอกจากนี้เขายังได้ทำการรักษาโรคที่ทุกคนคาดไม่ถึงว่ามันจะรักษาหายได้
ของเหลวสีดำค่อยๆหยดลงบนพื้น ปริมาณของมันมากพอพอๆกับถ้วยชาขนาดเล็ก 1 ถ้วย ซึ่งปู้หยางชิงเองก็หยิบมันขึ้นมาพิจารณา ทุกหยดที่ออกมาจากร่างกายของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่หนักแน่น แม้ว่ามันจะดูบางเบาแต่มันก็เป็นหนึ่งในตัวที่ช่วยกระตุ้นความรู้สึกของเธอ นี่คือการเปลี่ยนแปลงของชีวิต เปลวเพลิงในตัวของเธอกำลังมอดไหม้ และมันทำให้เธอพิจารณาเรื่องที่เธอจะมีโอกาสก้าวขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นที่ 2
ของเหลวสีดำและสิ่งสกปรกมากมายยังคงถูกขับออกจากร่างกายของเธออย่างต่อเนื่อง เธอเริ่มพิจารณาถึงคำพูดต่างๆที่ชิงสุ่ยกล่าว เด็กหนุ่มคนนี้มีความสามารถทางแพทย์ที่น่ากลัวจริงๆ ตระกูลใดได้ทำความรู้จักกับหมอเช่นเขา คือโชคลาภของตระกูลอย่างแท้จริง การที่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งสามารถยืดอายุต่อไปได้อีกนับพันปี……..ผลประโยชน์แบบนี้มัน
แม้ว่าพลังชีวิตจะไม่อาจกลับมาแข็งแรงได้ทั้งหมด แต่เธอก็ดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด เธอเองก็เริ่มสังเกตเห็นว่าความแข็งแกร่งของเธอเริ่มจับเข้าสู่ความเสถียรภาพมากขึ้น จากนั้นเธอก็ยิ้มและกล่าวว่า “แค่ความสามารถทางแพทย์ของเจ้าเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้เจ้าเดินทางไปทั่วโลกแห่งนี้ได้แล้ว และด้วยคำพูดของเจ้าสั้นๆเพียงแค่หนึ่งคำก็มากพอที่จะทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งฆ่าฟันกันเองเพื่อจะได้”
“ท่านยายก็กล่าวเกินไป”ชิงสุ่ยส่ายหน้า
“ไม่เลย ข้ารู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในความสามารถของเจ้า ซึ่งข้าก็รู้ดีว่าการที่มีพลังอันแข็งแกร่งย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการที่ให้คนอื่นปกป้อง”หญิงชราตอบกลับ
“ถูกต้องแล้ว ข้าเองก็ใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มพูนพละกำลังของข้า”ชิงสุ่ยเข้าใจคำพูดเหล่านี้ดี
ทักษะการหลอม ทักษะทางแพทย์ ทักษะการปรุงอาหารและทักษะอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป้าหมายหลักของชิงสุ่ย มันเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการเท่านั้น มันคือวิธีการสร้างสารสัมพันธ์ระหว่างผู้คน
หญิงชรายิ่งเห็นค่าความสัมพันธ์ในตัวของชิงสุ่ย อาจเป็นเพราะว่าเขาสามารถเพิ่มพูนอายุขัยให้กับเธอได้ถึงเกือบ 800 ปี อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูสภาพพลังของเธอได้อีก
อายุของผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 ปี แต่ช่างน่าเสียดายที่เอาเข้าจริงแล้วทุกคนต่างก็มีชีวิตได้ไม่ถึง 3000 ปี นอกจากนี้คนเหล่านั้นยังต้องพึ่งการกินยาเพื่อเพิ่มอายุของตนเองอีกด้วย
“ปู้หยางชิง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม ชายผู้นี้คือผู้มีพระคุณของตระกูลปู้หยางตลอดไป “ชายชรามองไปทางปู้หยางชิงขณะกล่าว
“ข้าในฐานะบรรพบุรุษผู้ก่อตั้ง ข้าย่อมต้องทำเช่นเดียวกับเจ้า”ปู้หยางชิงกล่าว
“ท่านยายอย่าได้กังวลเลย อย่างน้อยเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ก็คือคู่หมั้นของลูกชายของข้า ต่อให้อนาคตจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรพวกเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน อีกครั้งถ้าหากพวกเขาได้แต่งงานกัน พวกเราก็จะถือว่าเป็นญาติกันอีกด้วย”ชิงสุ่ยยิ้มเขารู้ว่าหญิงชราพยายามบอกสถานะของเธอ
“เอาล่ะ เจ้าหนูน้อยเฉิงหมิง เจ้าเป็นคนที่มีเลือดเนื้อและกระดูกที่ยอดเยี่ยม จากรูปลักษณ์ภายนอกของนาง ข้าสามารถบอกได้ทันทีเลยว่าอนาคตนางจะต้องบรรลุในสิ่งที่ต้องการโดยที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นอย่างแน่นอน”หญิงชรามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งตอนนี้ปู้หยางเฉิงหมิงกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน
“ท่านยาย ข้ามียาเม็ดอยู่กับตัว 2 เม็ด แต่ถ้าไม่แน่ใจว่ามันจะส่งผลประโยชน์ให้กับความแข็งแกร่งของท่านหรือไม่?”ชิงสุ่ยส่งมอบขวดแก้วซึ่งบรรจุยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์ตูและยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์เญิ่น
“ขอบคุณมาก เดี๋ยวข้าจะหาเวลาทดลองใช้มันดู”หญิงชรามองดูก่อนจะรับมันมา
“ถ้าหากท่านต้องการที่จะทะลวงระดับพลังปัจจุบัน การใช้มันคือวิธีช่วยที่ดีที่สุด แต่ใท่านก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจเตรียมความพร้อมให้มากที่สุดเมื่อท่านใช้มัน”ชิงสุ่ยคิดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขาก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง
“ขอบคุณมากพ่อหนุ่มน้อย”
“ท่านยายในเมื่อพวกเราถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว เหตุใดท่านถึงยังเรียกข้าราวกับคนนอก ได้โปรดเรียกข้าว่าชิงสุ่ยเถิด”
………….
พวกเขายังคงสนทนากันจนกระทั่งตอนบ่าย กลุ่มคนทั้งหมดได้ร่วมรับประทานอาหารกันในห้องของหญิงชรา
“ท่านยาย ไม่ทราบว่าท่านพอจะรู้เรื่องราวของประมุขอสูรแห่งพระราชวังจอมอสูรหรือไม่? ไม่ทราบว่านางแข็งแกร่งเพียงใด?”ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยความลังเล หญิงสาวที่หันมาเป็นศัตรูกับทุกคนในมหาทวีป เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเธอจะต้องมีพลังอำนาจเหนือกว่าทุกคนในมหาทวีปแห่งนี้ นอกจากนั้นเธอยังมีเต่าศักดิ์สิทธิ์และพระราชวังจอมอสูรของเธอ มันเป็นเรื่องน่าสงสัยว่าคนของเธอมีพลังเพียงใดกัน?
หญิงชราดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้อะไร เธอพูดอย่างช้าๆว่า “ประมุขอสูรแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่พลังของเธอนั้นอยู่ในระดับสูงที่สุดในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ และที่สำคัญที่สุดก็คือเต่าศักดิ์สิทธิ์ของเธอก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังไร้ขีดจำกัด”
แม้ว่าหญิงชราจะไม่ได้พูดอะไรมากแต่ชิงสุ่ยก็พอเข้าใจ มันคงเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะได้เผชิญหน้ากับเธอโดยตรง
………………
ในช่วงบ่ายสายๆ ชิงสุ่ยก็กลับไปยังหอคอยจักรพรรดิ การที่เขาได้ไปเยือนตระกูลปู้หยางมันทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มากมาย แต่มันก็ยังคงห่างไกลจากการที่เขาจะสามารถเอื้อมมือไปช่วยหญิงสาวผู้ทรงพลังแห่งพระราชวังจอมอสูรได้ เขาทำได้เพียงแค่หวังว่าเขาจะสามารถก้าวข้ามคลื่นสวรรค์ชั้นที่ 8 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาลและผลักดันพลังของเขาให้อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ
และแล้วเวลากว่าครึ่งปีก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
สำหรับคนอื่นเวลาครึ่งปีอาจจะเหมือนเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่สำหรับชิงสุ่ยมันเป็นเวลา 6 เดือนที่ทรงคุณภาพ ในตอนที่เขาเดินทางกลับไปยังตระกูลชิง เขาก็ได้ใช้ยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์ตูและเญิ่นเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของเขา ซึ่งก็แน่นอนว่าในตระกูลของเขาก็มีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถรองรับพลังในตัวยาเหล่านี้ได้
หลวนหลวนก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอเป็นคนที่มีพัฒนาการเร็วที่สุด ยาเม็ดเสริมสร้างเส้นลมปราณสวรรค์ตูและเญิ่นคือตัวผลักดันที่มีประสิทธิภาพสูง ในอนาคตความแข็งแกร่งของเธอจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน
ส่วนทางด้านของเหวินเหรินอูซวงเธอก็ได้ออกมาจากการฝึกตน ซึ่งความแข็งแกร่งของเธอก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเธอยังคงงดงามไม่ต่างจากเดิม นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ชิงสุ่ยได้ฝึกฝนท่วงท่าทวิบ่มเพาะพร้อมกับเธอ มันก็ได้กระตุ้นให้กระดูกและหลอดเลือดของเธอก้าวกระโดดไปอย่างมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น