Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล 1313-1319

 บทที่ 1313 –ก้าวหน้าต่อไป


 


ชิงสุ่ยได้มองไปทีธงสวรรค์ปัญจธาตุด้วยความตื่นเต้น


 


ระดับที่สองของธงสวรรค์ปัญจธาตุ


 


สามารถกลั่นแกนแท้ของเลือดให้บริสุทธิ์ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจุดเดินทางให้กับธงสวรรค์ปัญจธาตุ ได้อีกหนึ่งที่ ระยะทางในการเดินทางขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ใช้ โดยที่ผู้ใช่สามารถเดินทางผ่านธงสวรรค์ปัญจธาตุได้เดือนละครั้ง


 


สถานะ:ผู้ปกครอง!


 


 


สามารถใช้ร่วมกับธงสวรรค์ปัญจธาตุ สามารถช่วยให้เคลื่อนไหวที่ไปในจุดสองจุดได้อย่างโดยไม่มีข้อจำกัด มีแต่เจ้าของธงสวรรค์ปัญจธาตุเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้


 


แต่สิ่งที่ชิงสุ่ยตกตะลึงคือเขตแดนที่หมายอีกจุดที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้ นั้นคือมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ ถึงแม้เขาจะคาดหวังไว้มากกับเขตแดนที่จะเปิดออกมา แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะไปปรากฏอยู่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ


 


ชิงสุ่ยยืนมองไปที่ธงสวรรค์ปัญจธาตุเป็นเวลานาน ในตอนนี้เขาสามารถแก้ไขปัญหาในการเดินทางไปกลับระหว่างที่ต่างๆได้แล้วด้วยธงสวรรค์ปัญจธาตุ มันทำให้เขาสามารถเดินทางไปที่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำได้อย่างง่าย


 


…..


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้ใช้ธงสวรรค์ปัญจธาตุที่วางเอาไว้เดินทางไปยังที่ปรมจารย์ป้า ตอนนี้เธอไม่ได้อาบน้ำอยู่เช่นครั้งก่อน แต่อย่างไรก็ตามเธอนั้นก็นั่งอยู่บนเตียงนอนพร้อมกับชุดสีขาวที่งดงาม


 


 


ชิงสุ่ยค่อยตรงเข้าไปที่เธอ


 


 


เมื่อเห็นชิงสุ่ย พวกเธอนั้นไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย นั้นเพราะเธอเป็นหนึ่งที่รู้เรื่องธงสวรรค์ปัญจธาตุของเขา ในก่อนหน้าที่ชิงสุ่ยจะมาพลังวิญญาณของที่แห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนไปนั้นจึงทำให้เธอรู้ไดว่าเขานั้นกำลังมาหาเธอ


 


ชิงสุ่ยเขามาใกล้ๆเธอพร้อมกับถูจมูกของเขาอย่างช้าๆ และยิ้มออกมา


 


เธอขยับเข้ามาใกล้ๆเขาและกล่าว “นอนลงเถอะ ข้ามีอะไรที่ต้องการคุยกับท่านตั้งเยอะแยะ”


 


 


ชิงสุ่ยค่อยๆนอนลงที่ข้างๆเธอ พร้อมกับจับลงไปที่ไหล่ของเธอ


 


“ทำไมเจ้าถึงมาหาข้าได้ละ ข้าได้ข่าวว่าเจ้ากำลังสู้รบกับจักรวรรดิอุดรเทวะอยู่มิใช่หรือ”


 


“ฮ่าๆ ทุกๆอย่างจบลงไปแล้ว ข้าเลยมาท่านที่นี่ไง”ชิงสุ่ยยิ้มและไม่แปลกใจที่เธอถามเรื่องนี้ออกมา


 


“แล้วทำไม เจ้าถึงไม่ไปบอกเรื่องนี้กับนิกายสวรรค์เร้นลับก่อนละ เจ้าหน้าจะเป็นคนไปบอกข่าวนี้ด้วยตัวเองถึงจะดี”เธอกล่าวออกมา


 


“ฮ่าๆก็ข้าอยากจะบอกเรื่องนี้กับท่านก่อนละสิ นอกจากนี้ข้ายังมีข่าวดีอีกอย่างที่อยากบอกท่าน”ชิงสุ่ยยิ้มและพูด


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขาร่างกายของเธอสั่นไหวเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอที่รู้สึกว่าเขาให้ความสำคัญกับเธอมากกว่าคนอื่นๆ จึงไม่แปลกที่เธอจะมีความสุขอย่างมากในตอนนี้


 


“โอ้ว ข่าวดีอะไรรึ?”ท่าทางของเธอในตอนนี้ เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างมาก


 


 


“ธงสวรรค์ปัญจธาตุ ได้ยกระดับขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนี้มันก็ยังได้สร้างจุดเคลื่อนย้ายขึ้นในดินแดนใหม่อีกด้วย!!”


 


 


“ที่ไหนรึ?”


 


“ข้าให้ท่านลองทายดู?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว


 


 


“สามทวีปที่เหลืออย่างนั้นรึ?”น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก


 


 


 


“เก่งมาก!”ชิงสุ่ยยิ้มออกมาแล้วกล่าว


 


 


“นี่เจ้าไม่ได้พูดเล่นใช่มั้ย?” เธอยังไม่เชื่อสิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวเท่าไร จึงได้ถามออกมาอีกครั้ง


 


“จริงๆ!”ชิงสุ่ยย้ำอีกครั้งในขณะที่กอดลงไปที่เอวของเธอ


 


 


“แล้วมันเป็นทวีปไหนละ?”เธอกล่าวออกมาขณะเลื่อนตัวเข้าไปซุกหน้าอกของชิงสุ่ยในตอนนี้


 


“มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาขณะที่สัมผัสไปที่หน้าอกของเธอ


 


 


อ๊า!


 


ชิงสุ่ยมองไปที่เธอเมื่อได้ยินเสียงของเธอ ก่อนที่จะกล่าวออกมา “เจ้าพร้อมมั้ย?”


 


“อือ…”


 


 


เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวชิงสุ่ยยิ้มออกมา ขณะที่จ้องมองรูปลักษณ์ที่ไร้ที่ติของเธอ เธอนั้นเป็นหญิงที่งดงามอย่างมากและเป็นคนที่มีเสห่น์อย่างแท้จริง


 


“ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ออกมา ข้าก็จะไม่หักห้ามใจอีกต่อไป”ชิงสุ่ยยิ้มอย่างอ่อยโยนออกมา


 


ในไม่ช้าแขนของเธอก็ถูกกดลงโดนชิงสุ่ย ขณะที่เขากำลังซุกหน้าลงที่หน้าอกคู่งามของเธอ กลิ่นหอมที่มหัศจรรย์ขึ้นได้ตลบอบอวนไปทั่วจมูกของเขาในเวลานี้


 


“ข้าขอโทษจริงๆ ข้าไม่ควรทำเช่นนี้กับท่านเลย ที่จริงข้าไม่สมควรที่จะทำเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา


 


“ไม่เป็นไร ข้าชอบที่จะจ้องมองเจ้าในมุมมองแบบนี้มากกว่า เพียงแต่เจ้าเท่านั้นที่ข้าจะยอมให้”เธอกล่าวออกมา


 


 


 


แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็ไม่สามารถเชื่อสิ่งที่เขากำลังได้ยินในตอนนี้ถึงแม้เขาจะมีประสบการณ์มากเกี่ยวกับผู้หญิง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยเจอคนเช่นเธอมาก่อน


 


 


“แล้วแผนในอนาคตของเจ้าละ เจ้าจะไปที่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำอย่างนั้นรึ ?”


 


“ใช่ ข้าจะไปที่ที่ทวีปแห่งนั้น!”


 


“แล้วเมื่อไรกันที่เจ้าจะไปที่นั้น?”


 


“ข้าก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไปที่นั้นในอนาคต”ชิงสุ่ยก็ไม่มั่นใจมากนักในตอนนี้ที่ว่าเขานั้นพร้อมที่จะเดินทางต่อแล้วหรือยัง


 


“อือ แล้วเจ้ามีแผนที่จะทำอะไรต่อไปในช่วงนี้กันละ?”


 


 


“ข้าจะแวะไปดูเผ่าอสูรโลหิตสักหน่อยในตอนนี้ จากนั้นก็จะแวะไปที่ดูนิกายปฐพีซ่อนเร้นว่ามีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง”นี่คือแผนที่เขาคิดขึ้นมาได้ในตอนนี้


 


 


 


“อือ เมื่อไรที่เจ้าติดสินใจได้ว่าจะออกเดินทางไปยังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ อย่าลืมมาบอกข้าก่อนนะ ข้าเองก็อยากที่จะไปเห็นทวีปแห่งนั้นด้วยตาของข้าเองเหมือนกัน”เธอกล่าวออกมาขณะที่ปลายจมูกของเธอแนบอยู่กับจมูกของชิงสุ่ย


 


“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องห่วงไป หากท่านต้องการที่จะไปในตอนนี้ ข้าก็สามารถพาท่านไปได้เลย และหากท่านไม่ถูกใจที่นั้น ข้าก็สามารถพาท่านกลับมาได้ในทันทีเช่นเดียวกัน”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว


 


เธอส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าว “ข้าไม่ได้รีบขนาดนั้น เมื่อไรก็ตามที่เจ้าต้องการไปที่แห่งนั้น เพียงมาตามข้าก็เพียงพอแล้ว”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว แต่นี่ นี่ข้าพูดจริงๆหากท่านไม่ลุกออกไปในตอนนี้ ข้าคงไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว ”ชิงสุ่ยยิ้มอย่างทรมาน


 


“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทนได้นานขนาดไหน” เธอยิ้มออกมาและมองดูใบหน้าของเขา


 


“ก็ได้ๆ ข้าอยากจะไปอาบน้ำแล้วในตอนนี้”ชิงสุ่ยยิ้มออกมาก่อนที่จะลุก


 


ในตอนนั้นเองชิงสุ่ยได้ก้มลงจูบที่ริมฝีปากของเธอก่อนที่จะสอดลิ้นเข้าไป ในตอนนี้เองเธอดูตกใจอย่างมาก เธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะทำเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้ต่อต้าน


 


หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลานานชิงสุ่ยได้ลุกขึ้น เช่นเดียวกันในตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นดูสงบอย่างมาก ก่อนที่จะมองไปที่เขาและเลียริมฝีปากของเธอ “จูบของเจ้าก็ไม่ได้แย่เท่าไรนะ ถึงข้าจะไม่ได้รู้สึกดีมากนัก แต่ในอนาคตหากข้าต้องการมันเจ้าต้องห้ามปฏิเสธเป็นเด็ดขาด”


 


ชิงสุ่ยยิ้มและลูกหัวของเขา เขานั้นรู้ดีในตอนนี้เธอนั้นไม่ต่างจากคนทั่วๆ เพียงแค่เธอต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้เท่านั้น มันจึงทำให้เธอนั้นทำได้เพียงแค่จูบกับเขาเท่านั้น นอกจากนี้ชิงสุ่ยนั้นยังสามารถสัมผัสได้ว่านี่คือจูบแรกของเธออีกด้วย


 


 


“ด้วยความสามารถของท่านปรมาจารย์ป้า  ท่านสามารถเลือกใครก็ได้มาปรนนิบัติ แต่ทำไมต้องเป็นข้ากันละ?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ก็ข้าชอบคนที่มีเจ้าของแล้ว เจ้าพอใจกับคำตอบนี้หรือไม่?”เธอกล่าวออกมาด้วยทางท่าที่ทรงเสน่ห์


 


“นั้นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของท่านหรอก !”ชิงสุ่ยนั้นยิ้มและหัวเราะ


 


“จริงๆนั้นก็เพราะพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งของเจ้า ว่าแต่เจ้าจะอยากรู้มันไปทำไมกัน? ”เธอมองไปที่ชิงสุ่ยและถาม


 


 


“ก็ข้านั้นอยากรู้จักท่านมากว่านี้? ”


 


“ก็ได้ จริงๆแล้วข้านั้นก็ไม่ค่อยรู้เหตุผลมากนักหรอก แต่อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่ข้าได้รับจากเจ้า มันให้ข้ารู้สึกเติมเต็มในส่วนของผู้หญิงที่ขาดหายไปก็เท่านั้น นอกจากนี้ข้านั้นก็ไม่ได้ต้องการมีความสัมพันธ์อะไรที่ชัดเจน จะมีชายใดรึที่สามารถตอบสนองเรื่องเหล่านี้ได้ คงไม่มีใครต้องการผู้หญิงที่ไม่อาจแตะต้องได้หรอก  ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่มีใครยินดีที่จะเป็นที่ระบายให้ข้าหรอก”


 



 


 


“ข้ามีอะไรที่จะบอกกับท่าน ในวันนั้นที่ข้ามีอะไรกับลู่หยาน สิ่งที่ข้าเห็นนั้นไม่ใช่ใบหน้าของนาง แต่มันนั้นคือใบหน้าของท่านๆรู้รึไม่ ”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวออกมา


 


ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงเข้มขึ้นมาในทันที ขณะที่เธอกล่าวอะไรออกมาก่อนที่จะให้หัวใจของชิงสุ่ยเกือบหยุดเต้น


 


“แม้ว่าข้าจะไม่สามารถใช้ร่างกายของข้าช่วยเจ้าได้ แต่ข้านั้นก็ยังสามารถให้เจ้าใช้ปากของเจ้าเพื่อลิ้มลองรสชาติของข้าได้”


บทที่ 1314 – นิกายสาปอสูร


 


คำพูดของเธอสร้างผลกระทบให้กับหัวใจของชิงสุ่ยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ท่าทางของเธอยังชัดเจนอย่างมาก เธอนั้นไม่ต้องการเป็นภรรยาของเขา และไม่ได้รักเขา เธอนั้นต้องการเป็นเพียงแค่คู่ขาของเขาเท่านั้น


 


ชิงสุ่ยนั้นรู้สึกดีอย่างมากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่จำเป็นต้องผู้มัดตัวเองกับใคร เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย มีคนมากมายในโลกก่อนหน้านี้ของที่อยู่ด้วยกันโดยไม่มีความรัก พวกเขานั้นใช้ประโยชน์จากกันและกัน เมื่อถึงจุดๆหนึ่งพวกเขาก็จะจากกันไปโดนไม่ต้องหลงเรื่องความเสียใจเอาไว้


 


“ตอนนี้ข้าสามารถลิ้มรสมันได้จริงๆรึ?”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยท่าทางที่จริงจัง


 


“ใช่แล้ว ข้าอนุญาตเจ้า”


 


“แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้กัน?”ชิงสุ่ยกล่าวถามกับไป


 


ในตอนนี้มือของเขาได้ลูบไปที่เอวของเธออย่างช้าๆ ในตอนนี้เขาไม่ได้ว่างแผนที่จะแสร้งเป็นสุภาพบุรุษอีกต่อไป


 


 


ในตอนแรกเขานั้นคิดที่จะปล่อยเธอไป แต่เมื่อเธอนั้นเป็นคนเสนอมาเขาก็ไม่จำเป็นต้องหักห้ามใจอีกต่อไป เพราะในตอนนี้เธอนั้นได้ตัดสินใจแล้ว


 


“ประโยชน์ที่เจ้าได้รับ ก็คือข้าจะยินยอมให้เจ้านำภาพของข้ากลับไปจิตนาการต่อได้ยังไงละ!”เธอกล่าวอย่างมีความสุข หลังจากนั้นเธอก็ดึงมือของชิงสุ่ยเอาไว้และพุ่งเข้าจูบเขา


 


…………..


 


 


ตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นไม่ได้บอกความลับเกี่ยวกับร่างกายของเขาให้กับเธอ แม้ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันที่ลึกซึ้งก็ตาม นอกจากนี้เขานั้นก็ยังไม่รู้ชื่อของเธออีกด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรที่ต้องบอกเธอไปถึงแม้จะรู้ว่าเธอนั้นจะไม่ได้หลอกเขาก็ตาม


 


ในวันรุ่งขึ้นเขาออกเดินทางอีกครั้งโดยที่ไม่บอกกล่าวกับอวี้ลู่หยานและถานถ่านหยวน นอกจานี้เขายังไม่ได้กลับไปที่สำนักสวรรค์เร้นลับอีกด้วย แต่เขากลับไปยังดินแดนเทือกเขาสันโดษ


 


 


ดินแดนเทือกเขาสันโดษนั้นเป็นพื้นที่ๆรวมอยู่ของนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดทางตอนเหนือของทวีปอู่เซียตะวันตก พวกเขามารวมกันอยู่ที่นี้ เพื่อผนึกกำลังกันเป็นกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดทางตอนเหนือของของทวีปอู่เซียตะวันตก


 


 


ชิงสุ่ยนั้นรู้ดีถึงความทะเยอทะยานของพวกเขา พวกเขานั้นเป็นกลุ่มคนหนึ่งที่ต้องการเดินทางไปยังทวีปอื่นๆอย่างแน่นอน ถึงตอนนี้พวกเขาจะเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะเดินทางไปยังทวีปอื่นๆในตอนนี้


 


ครั้งแรกที่ชิงสุ่ยมาถึงบริเวณแห่งนี้นั้นถูกทำลายเป็นจำนวนมากด้วยฝูงสัตว์อสูร แต่ตอนนี้มันนั้นกับได้รับการฟื้นฟูแล้วเกือบทั้งหมด มีผู้คนจำนวนมากเดินไปมาในบริเวณดังกล่าว ในขณะที่บินผ่านบริเวณนี้เขาสามารถพบเจอสัตว์อสูรบางตัวที่เคลื่อนไหวอยู่ แต่มันนั้นก็น้อยกว่าครั้งที่แล้วมากนัก อย่างไรก็ตามที่จุดปลายเขตแดนนั้นก็ยังเป็นจุดที่ปราศจากผู้คนอย่างเช่นเคย ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอสูรที่แข็งแกร่งๆจนผู้คนยากที่จะอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้องค์ประกอบในการอาศัยอยู่ก็ไม่เพียงพอสำหรับอยู่อาศัยอีกด้วย มีพืชพันธ์น้อยมากขึ้นอยู่ในบริเวณนี้


 


ย่างก้าวเก้าเทวา!


 


 


ชิงสุ่ยนั้นได้ติดสินใจเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว!


 


ไม่ช้าเขาก็มาถึงเมืองๆหนึ่งอย่างรวดเร็ว นั้นคือเมือง นภาเร้นลับ!


 


บริเวณนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแห่งน้ำต้นไม้นาพันธ์ที่เหมาะให้คนเราอาศัยอยู่อย่างที่สุด


 


โรงเตี๊ยมเร้นลับ!


 


ชิงสุ่ยมองลงไปที่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแห่งนี้  ชิงสุ่ยนั้นไม่รู้ว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เกี่ยวข้องกับนิกายปฐพีซ่อนเร้นหรือไม่ แต่อย่างน้อยพวกเขานั้นต้องมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อยๆเข้าไปข้างในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างมาก มีประตูนับร้อยที่เรียงร้ายอยู่ที่ทางเข้า นอกจากนี้โรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังประดับไปด้วยต้นไม้นานาพันธ์ มันทำให้ที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยพลังชีวิตอย่างมาก


 


นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวที่สวยงามหลายคนที่ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับในที่แห่งนี้


 


“ยินดีต้อนรับนายท่าน!”


 


ชิงสุ่ยหยิบเงินขึ้นมาและมอบให้หญิงสาวคนนั้นในทันที  เมื่อเห็นท่าทางที่เป็นมิตรของเธอ


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้เดินตามสาวน้อยคนนั้นไปข้างใน  ก่อนที่เธอจะหยุดลงที่โรงเตี๊ยมที่มีทรง5เหลี่ยม ในที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และส่วนมากก็เป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งเกือบทั้งหมด ชิงสุ่ยสามารถสัมผัสได้โดยพลังวิญญาณของเขา


 


“นี่ๆพวกเจ้ารู้รึไม่ว่า หมีคลั่งกลืนวิญญาณถูกกำจัดโดยคนของนิกายปฐพีซ่อนเร้น”


 


“ตอนที่พวกเขาไปถึงนิกายสุริยาก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว น่ากลัวจริงๆ”


 


ในตอนนี้เมื่อได้ยินประโยคของกลุ่มคนเหล่านั้นชิงสุ่ยมั่นใจในทันทีว่าเมืองแห่งนี้คือที่ตั้งของนิกายปฐพีซ่อนเร้นอย่างแน่นอน


 


“แล้วพวกเจ้ารู้รึยังว่าอัจฉริยะคู่ของพวกเขาได้เข้าร่วมกับนิกายสาปอสูรแล้วด้วย  เห้อ ข้าคิดว่าไม่นานในอนาคตนิกายสาปอสูรคงสามารถยึดครอบทวีปอู่เซียแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน”


 



ชิงสุ่ยนั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอัจฉริยะคู่ของนิกายปฐพีซ่อนเร้นนั้นจะมีชื่อเสียงมากมายขนาดนี้ ซึ่งทำให้เขากล่าวออกมาว่า “พี่ชายนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ข้ามาเมืองแห่งนี้ ข้าขอถามหน่อยสิว่านิกายสาปอสูรนั้นแข็งแกร่งขนาดไหนกัน” ชิงสุ่ยถามออกมานั้นเพราะเขานั้นแทบไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของนิกายสาปอสูรมาก่อนเลยในก่อนหน้านี้ นี่เป็นการหาข้อมูลที่เร็วที่สุดในตอนนี้


 


ในตอนนี้ผู้คนจำนวนมากมองมาที่ชิงสุ่ยด้วยสายตาดูถูก แต่ถึงอย่างไรก็มีบางคนที่มองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความนับถือในความกล้า ขณะที่ชายคนหนึ่งที่จิบชาอยู่ได้กล่าวออกมา “พวกเขาแข็งแกร่งอย่างมาก และมีข่าวลือว่าหนึ่งในผู้คุมอำนาจของพวกเขานั้นมีพลังอยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ เจ้าคิดว่าพวกเขาแข็งแกร่งมั้ยละ?”


 


 


“ไม่ใช่ว่าในทวีปของเรานั้นไม่มีผู้บ่มเพาะในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ หรอกรึ?”


 


 


“นี่เจ้าโง่รึป่าว ใครบอกว่านิกายสาปอสูรอยู่ในทวีปนี่กันละ?”ชายวัยกลางคนมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความขบขัน


 


“แล้วพวกเขาตั้งอยุ่ที่ใดกันละ?”ชิงสุ่ยไม่คิดอะไรมาก นี่เป็นเรื่องปกติของคนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่า


 


“มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ!”


 


เมื่อได้ยินว่ามหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำหัวใจของชิงสุ่ยนั้นเต้นแรงขึ้นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่านี่คือเรื่องบังเอิญหรือฟ้าลิขิตไว้ เพราะในเร็วๆนี้เขานั้นก็จะเดินทางไปยังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำดังนั้นเขาจึงมาที่แห่งนี้เพื่อกำจัดอัจฉริยะคู่ของนิกายปฐพีซ่อนเร้นเสียก่อน แต่ตอนี้พวกเขานั้นกลับไปอยู่ที่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำเสียแล้ว หากเป็นทวีปอื่นคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะตามไป แต่นี่กลับเป็นมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ นั้นหมายความว่าฟ้านั้นได้ลิขิตให้พวกเขานั้นต้องตายจริงๆอย่างนั้นรึ


 


ในการมาครั้งนี้เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ข้อมูลที่ล้ำค่าในวันแรกเช่นนี้ นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลของนิกายสาปอสูรอีกด้วย


 


ก่อนหน้านี้เขาได้สังหารคนของนิกายปฐพีซ่อนเร้นไปทำให้พวกเขานั้นหมายตาตัวของเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงมาที่แห่งนี้เพื่อจะจบเรื่องราวทั้งหมดลง


 


ในตอนนี้สำนักสวรรค์ซ่อนเร้นก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีนิกายบงกชเทวะเทือเขาปู๋โถวและจักรวรรดิอื่นๆที่คอยสนับสนุนเขาอยู่ ทำให้เขานั้นไม่จำเป็นต้องกลัวนิกายปฐพีซ่อนเร้นเลยแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ไม่คิดที่จะปล่อยอัจฉริยะคู่ของนิกายปฐพีซ่อนเร้นเอาไว้ เพราะวันหนึ่งพวกเขาจะกลายเป็นเสี้ยนหนามให้คนที่เขาทิ้งไว้อยู่ข้างหลังก็ได้ในอนาคต นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่สามารถล้มอัจฉริยะของจักรวรรดิเดชสวรรค์ได้ ชิงสุ่ยจึงไม่อาจปล่อยให้ทั้งสองรอดไปได้


 


อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยไม่ค่อยมั่นใจว่าจะรับมือทั้งสองได้หรือไม่ ? และหลังจากที่เขาไดรับรู้ว่าทั้งสองได้เข้าร่วมกับนิกายสาปอสูร มันยิ่งทำให้เขาปล่อยทั้งสองไปไม่ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นและเป็นเหตุผลที่เขาต้องรีบเดินทางไปยังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ!


 


 


นอกจานี้เขายังไม่สามารถทำลายนิกายปฐพีซ่อนเร้นได้หากพวกเขายังไม่ลงมือทำอะไร นอกจากนี้หากเขาทำอะไรที่ผิดแปลกไป เผ่าอสูรโลหิตคงลงมือช่วยนิกายปฐพีซ่อนเร้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้อัจฉริยะคู่ของนิกายปฐพีซ่อนเร้นก็ได้เข้าร่วมกับนิกายสาปอสูรแล้วอีกด้วย มันเป็นเรื่องยากที่จะรับมือกับพวกเขาทั้งหมดพร้อมๆกัน


 


หลังจากที่สืบข่าวได้พอควร ชิงสุ่ยได้ใช้จุดเคลื่อนย้ายกลับไปที่ห้องของหญิงสาวผู้นั้นในทันที ในตอนนี้เธอนั้นได้นั่งอ่านตำราอยู่บนโต๊ะหินอ่อนที่งดงาม ขณะที่ปลายเท้าของเธอแช่น้ำอยู่ในตอนนี้


 


เมื่อเห็นชิงสุ่ยท่าทางของเธอเต็มไปด้วยความงงงวยอย่างมาก “ทำไมเจ้ากลับมาเร็วเช่นนี้? หรือว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ?”


 


 


“ไม่เลย แต่ข้ามาบอกว่า ข้าต้องรีบเดินทางไปยังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำเสียแล้ว!”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา


 


“ทำไม เกิดอะไรขึ้นรึ?”ท่าทางของเธอดูตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย


 


“ตอนนี้อัจฉริยะทั้งสองของนิกายปฐพีซ่อนเร้น ได้เข้าร่วมกับนิกายสาปอสูรของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ มันคงไม่ใช่เรื่องดีถ้าหากเราปล่อยให้ล้าช้าไปมากกว่านี้  จริงสิท่านรู้จักนิกายสาปอสูรรึไม่? ”ชิงสุ่ยถามออกมา ในครั้งก่อนเขายังไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับนิกายแห่งนี้มากนักดังนั้นเขาถึงถามขึ้นมากอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่รู้ว่าเธอนั้นรู้จักนิกายแห่งนี้รึไม่?


บทที่ 1315  – อี่หวง กู่หวู๋


 


“นิกายสาปอสูร?”


 


เธอกล่าวออกมาก่อนที่จะมองไปที่ชิงสุ่ย “นิกายสาปอสูรนั้นเป็นนิกายโบราณที่อยู่ภายใต้ทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ พวกเขานั้นมีความแข็งแกร่งที่มากมายนัก นอกจากนี้พวกเขายังเป็นผสานสัตว์อสูร จึงทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขามากว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปในระดับเดียวกันมากนัก”


 


เธอกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล ตอนนี้ชิงสุ่ยมั่นใจแล้วว่านิกายสาปอสูรนั้นต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นอกจากชิงสุ่ยไม่แปลกใจเลยที่อัจฉริยะทั้งสองได้เลือกเข้าร่วมกับพวกเขา นั้นเพราะทั้งสองมีหัวใจแงอสูรร้ายอยู่ภายในตัว ดังนั้นมันจึงเหมาะสมอย่างมากที่จะฝึกวิชาของนิกายสาปอสูร


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้ดีว่าสักวันหนึ่งนิกายปฐพีเร้นลับจะต้องกลับมาแก้แค้นพวกเขาอย่างแน่นอน ถึงแม้มันจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาแต่ถึงอย่างไรชิงสุ่ยก็อดที่จะเป็นห่วงคนอื่นๆไม่ได้


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อยๆนั่งลงและร่วมแช่เท้าลงในอ่างข้างๆเธอ


 


เมื่อเห็นท่าทางของชิงสุ่ยมันทำให้เธอได้แต่ยิ้มออกมา เป็นครั้งคราวผู้หญิงคนนี้หัวเราะออกอย่างมีความสุข เมื่อ ชิงสุ่ยใช้เท้าของเขาถูเข้ากับฝ่าเท้าของเธอ


 


“จริงสิ ท่านชื่ออะไรรึ?”ชิงสุ่ยเงยหน้าขึ้นและกล่าวถาม


 


“เจ้าต้องการรู้ชื่อของข้าจริงๆรึ?”เธอถามกลับด้วยความแปลกใจ


 


“ใช่ ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเราจะไม่มากมายนัก แต่มันก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ธรรมดา ดังนั้นข้าจึงอยากที่จะรู้ชื่อของท่านเอาไว้!”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาขณะที่จ้องมองไปในดวงตาของเธอ


 


ในขณะนี้มือของเขาได้สัมผัสลงไปที่เอวของเธอย่างช้าๆ มันทำให้ตัวของเธอสั่นออกมาเล็กน้อยในตอนนี้  การกระทำของชิงสุ่ยในตอนนี้มันใช่อะไรเลยที่เธอจะสามารถเข้าใจได้ เธอเองนั้นก็มีความฝันที่ว่าจะมีชายคนหนึ่งที่สามารถจับมือกับเธอและพร้อมที่จะเดินทางไปด้วยกันในชีวิตที่เหลือของเธอ  เธอนั้นต้องการผู้ชายคนนั้น และต้องการชายที่จะมาเป็นสามีของเธออย่างแท้จริง …


 


 


เธอมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความรู้สึกสงบ เธอนั้นสามารถสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและจริงใจจากตัวของเขาได้ในตอนนี้ หลังจากที่เรียกสติกลับตอนนี้ชิงสุ่ยก็ได้สวมต่างหูให้กับเธอเรียบร้อยแล้ว มันจึงทำให้เธอยิ้มและกล่าวออกมา


 


“ข้ามีชื่อว่า อี่หวง กู่หวู๋” เธอกล่าวและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข


 


 


“มันเป็นชื่อที่ยอดมาก และมันก็เหมาะกับท่านจริงๆ” ชิงสุ่ยตกตะลึงเล็กน้อย นั้นเพราะนามสกุลของเธอนั้นไม่ใช่ของคนในทวีปแห่งนี้ บางที่มันอาจมีความสัมพันธ์กับทวีปวิหคอัคคีร่ายรำก็ได้ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่การคาดเดาของเขา


 


“นี้เจ้ากำลังชมข้าอยู่อย่างนั้นรึ?”เธอยิ้มและจ้องไปในตาของเขา


 


“ปล่าวเลย มันนั้นเป็นเรื่องจริงตะหาก จริงสิพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปยังทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ ท่านจะไปด้วยกับข้าหรือไม่?”


 


“ก็เอาสิ นี่เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้กลับไปยังทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ”ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ปิดบังอีกต่อไปเกี่ยวกับทวีปวิหคอัคคีร่ายรำที่เธอนั้นจากมา


 


“ไหนๆก็ไหนแล้วท่านช่วยอธิบายเกี่ยวกับทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ และทวีปอื่นๆให้ข้าฟังได้หรือไม่?”


 


 


“ไม่มีปัญหา อย่างที่เจ้ารู้มาการเดินทางไปยังทวีปต่างๆทั้ง 4 มหาทวีปนั้นลำบากอย่างมาก หากปราศจากธงสวรรค์ปัญจธาตุแล้วมันคงเป็นเรื่องยากที่จะเดินทางไปยังทวีปต่างๆ จากที่ข้ารู้มาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำและมหาทวีปมังกรอหังกาล นั้นห่างไกลกับทวีปอู่เซียมากนัก นอกจากนี้ทั้งสองนั้นยังมีดินแดนที่กว่าใหญ่กว่าทวีปอู่เซียถึง10เท่า มีสถานเร้นลับมากมายภายใต้ทวีปเหล่านั้น ไม่ต้องพูดถึงนิกายหรือจักรวรรดิต่างๆ พวกเขานั้นมีความแข็งแกร่งมากกว่าทวีปอู่เซียเกือบทั้งหมด นี่ไม่รวมถึงสัตว์อสูร สิ่งมีชีวิตอมตะ และเมืองปิศาจอีกด้วย” ”


 


 


“แล้วมีผู้บ่มเพาะระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจอยู่ในทวีปวิหคอัคคีร่ายรำจริงๆรึ?” นี่เป็นคำถามที่ชิงสุ่ยติดอยุ่ในใจและอยากถามออกมาเป็นอย่างมาก สำหรับผู้บ่มเพาะการก้าวไปสู้ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจนั้นคือความฝันของทุกๆคน


 


 


“ใช่แล้ว มีผู้บ่มเพาะปราณบัญชาสวรรค์พินาจอยู่ไม่น้อยจากที่ข้าเคยได้ยินมา แต่หากให้เทียบกับจำนวนผู้คนแล้วอาจากล่าวได้ว่าใน 1แสนคนจะมีอยู่หนึ่งก็ว่าได้ นอกจากนี้พวกยังเป็นตัวตนที่อยู่เหนือทวีปวิหคอัคคีร่ายรำอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นตัวตนที่อยู่เหนือ4ทวีปเสียมากกว่า” อี่หวง กู่หวู๋ออกมาด้วยสาตาที่เปร่งประกาย นั้นคือความฝันของเธอเช่นเดียวกัน


 


“ถ้าเช่นนั้น ท่านได้โปรดช่วยเล่าเรื่องของท่านหน่อยสิ ข้าอยากรู้จักท่านมากกว่านี้!”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย


 


“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก หากเจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกเจ้า แต่นั้นก็หลังจากที่เจ้าเข้าสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศเสียแล้ว ”เธอกล่าวและยิ้มออกมา


 


ในตอนนี้เขาสามารถรู้ได้ว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะดังนั้น ชิงสุ่ยจึงไม่ได้คาดคั่นอะไรจากเธอต่อไป


 


 


“ชิงสุ่ย เมื่อข้าไปถึงข้าอาจจะอยู่ที่นั้นได้ไม่นานนัก นั้นเพราะว่าข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่ที่ทวีปแห่งนี้  ข้าอาจต้องจะใช้เวลาประมาณสักหนึ่งปีเพื่อจัดการปัญหาทั้งหมด  เมื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ ข้าจะรีบกลับไปหาเจ้าที่ทวีปวิหคอัคคีร่ายรำในทันที หลังจากนั้นข้าไม่แยกจากเจ้าอีกต่อไป”


 


 


ชิงสุ่ยตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของข้า “ท่านมีปัญหาเรื่องใดรึ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”


 


“ไม่เป็นไร นอกจากนี้บนตัวของข้าก็ยังมีธงสวรรค์ปัญจธาตุของเจ้าอยู่ หากข้าเป็นอะไรไปเจ้าก็สามารถสัมผัสได้โดยทันที ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงไปหรอก เช่นเดียวกัน เจ้าสามารถมาหาข้าได้ตลอดเมื่อเจ้าได้รับอันตราย”เธอกล่าวออกมาและจับไปที่เส้นผมของชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยยิ้มออกมาขณะที่จับไปที่มือของเธอ


 


…..


 


ในคืนนั้นเอง ภายในดินแดนหยก ชิงสุ่ยสามารถยกระดับกลองสะท้านสวรรค์ขึ้นเป็นระดับที่หกได้สำเร็จ มันทำให้พลังโจมตีของมังกรไอยราเกล็ดทองคำของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เช่นเดียวกับพลังทางกายภาพของสัตว์อสูรทุกๆตัวของเขาที่เพิ่มขึ้นมาสองเท่าเข่นเดียวกัน


 


 


โดยตะเกียงร้อยวิญญาณ และกลองสะท้านสวรรค์ที่อยู่ในระดับที่ 6 มันก็เพียงพอแล้วที่เขาจะสามารถเอาตัวรอดไปได้ในทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ


 


ถึงแม้ทวีปที่เหลือทั้งสาม จัดว่าเป็นทวีปที่มีผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่ ได้อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่ว่าจะพบเจอผู้บ่มเพาะที่มีพลังมากกว่า 10000สุริยาได้ตามท้องถนน ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องที่หวาดระแวงมากเกินไป


 


 


ในตอนนี้ด้วยพลังของเขานั้นก็ไม่ใช่ว่าใครๆจะทำอะไรเขาได้ง่ายๆ นอกจากนี้ด้วยย่างก้าวเก้าเทวาของเขา ก็ยากที่จะมีใครไล่ตามเขาได้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะปราณบัญชาสวรรค์พินาจก็ยังต้องคิดมากหากต้องไล่ตามเขา


 


 


ในวันรุ่งขึ้นชิงสุ่ยแล้วอี่หวง กู่หวู่ได้ออกไปยื่นอยู่บนทะเลแดนใต้


 


 


“ข้าจะมุ่งหน้าไปก่อน แล้วท่านต้องตามมานะ?”


 


“ได้ข้าจะตามเจ้าไป ”


 


“แล้วพบกัน”


 


ชิงสุ่ยค่อยโบกมือและใช้ธงสวรรค์ปัญจธาตุออกมา  เงาของเขาค่อยๆจางหายไปในดวงตาของอี่หวง กู่หวู๋ ก่อนที่เธอจะยิ้มให้กับเขา ในตอนนี้สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นคือรอยยิ้มของเธอ


 


 


ในช่วงเวลานั้นอาจกว่าได้ว่าเร็วก็เร็ว หรือจะบอกว่าช้าก็ช้า มันเป็นความรู้สึกที่ชิงสุ่ยนั้นไม่อาจอธิบายออกมาได้ เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ชิงสุ่ยก็ได้สติกลับมา ตอนนี้เขานั้นอยู่ในทวีปวิหคอัคคีร่ายรำเรียบร้อยแล้ว


 


หากเป็นก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยต้องคิดว่าที่แห่งนี้คือสวรรค์ไม่ผิดอย่างแน่นอน นั้นเพราะที่แห่งนี้งดงามและมีบรรยากาศที่ดีอย่างมาก มันทำให้ร่างกายของเขานั้นรู้สุกผ่อนคลายและสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ทวีปแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่มากมายกว่าทวีปอู่เซียมากนัก แม้แต่ในอากาศก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่หนาแน่น


 


ในตอนนั้นเอง


 


กร๊ากกก!เสียงคำรามได้ดังสะนั่นขึ้น


 


 


 


กลิ่นอายที่รุนแรงได้ตรงเข้ามาใส่ตัวของเขา เมืองมองกลับไปชิงสุ่ยสามารถพบเห็นอสูรหิมะสีขาว ที่ดูคล้ายสิงโตกำลังจ้องมาที่เขา มันนั้นมีลำตัวที่มีขนาดใหญ่ และมีผิวที่ขาวดังหิมะ ดวงตาของมันสวยงามอย่างมาก  หากมันหลบอยู่หลังก้อนเมฆคงจะยากที่จะพบเห็นมัน


 


 


อสูรเมฆาหิมะ!


 


ชิงสุ่ยรู้จักมันดี มันคือสัตว์อสูรที่ชอบรอบทำร้ายผู้คนที่เข้าใกล้ก้อนเมฆ


 


โดยทันทีชิงสุ่ยเหวี่ยงหมัดออกไปซะไปที่สัตว์อสูรที่ตรงเข้ามา


 


แม้ว่าการจู่โจมของเขาจะไม่ได้สังหารมันลงไปในทันที แต่มันก็ได้รับบาดเจ็บจนสาหัส


 


ในตอนนั้นเองอี่หวง กู่หวู๋ก็ได้ปรากฏตัวออกมา “เราจะเอาไงดีกับมัน ?”ชิงสุ่ยมองไปที่หญิงสาวและกล่าว


 


 


 


“ปล่อยมันไปเถอะ เราผิดเองที่เขามาในเขตแดนของมัน มันเพียงแค่ต้องการปกป้องดินแดนของมันเอาไว้เท่านั้น”เธอยิ้มและกล่าวออกมา


 


 


“ก็ได้ เราลงไปกันเถอะ!”


 


 


ในตอนนี้เธอได้พยักหน้าให้เขาและลอยลงไปพร้อมๆกับเขา


 


เมืองอี่หวง (เมืองหลวง)


 


 


เมื่อมาถึง ชิงสุ่ยเองก็ประหลาดใจอย่างมาก ที่เมืองแห่งนี้คือเมืองอี่หวง เขาได้แต่ทำหน้างงและมองไปที่อี่หวงกู่หวู๋ที่อยู่ใกล้ๆเขา


 


ในทวีปแห่งนี้มีอยู่ทั้ง 81เมืองซึ่งแต่ระเมืองจะได้รับการตั้งชื่อตามผู้ดูแลของเมืองแต่ละแห่ง


 


 


“เมืองแห่งนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับนางหรือไม่?”ชิงสุ่ยได้แต่คิดในใจ เขานั้นได้ตกลงกับเธอแล้วว่าจะไม่ถามอะไรเธอก่อนที่เขาจะยกระดับเข้าสู่ปราณบัญชาสวรรค์พินาจ  นอกจากจากเขายังสงสัยว่าเธอมาที่แห่งนี้ทำไม เพราะเธอไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่นานนัก  ชิงุสุ่ยเริ่มคิดว่านี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว


 


ถึงแม้เธอจะไม่เต็มใจที่จะพูด แต่ชิงสุ่ยรู้ดีว่าเขาสามารถสืบหาข้อมูลนี้ได้จากเมืองอี่หวง แห่งนี้


 


 


นี่คือเมืองหลวงที่มั่งคั่ง ชิงสุ่ยสามารถบอกได้เลยว่าที่แห่งนี้มั่งคั่งยิ่งกว่าเมืองหลวงของทวีปอู่เซียเสียอีก ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่าง เครื่องดื่มที่หลากหลาย นอกจากมันยังเป็นรอยต่อระหว่างทวีปวิหคอัคคีร่ายรำและ มหาทวีปมังกรอหังกาล มันคือด้านหน้าที่สำคัญอย่างมาก


 


หลังจากที่เดินไปตามท้องถนนสักพัก อี่หวง กู่หวู๋ก็ได้กล่าวออกมา“ข้ามีสิ่งที่ต้องไปทำก่อน เมื่อข้าจัดการธุระนี่เสร็จข้าก็จะกลับไปยังทวีปอู่เซียเลย ดังนั้นเราคงไม่ได้เจอกันอีก ดังนั้นเจอต้องระวังตัวให้มากนะ”


 


“เช่นเดียวกัน ท่านต้องระวังตัวให้มากะ ถึงอย่างไรก็ตามข้าไม่ให้ท่านกลับไปก่อน เมื่อท่านจัดการธุระเสร็จแล้ว ท่านต้องแวะมาหาข้าก่อน เข้าใจมั้ย?”


 


“ขอรับ ฝ่าบาท กระหม่อม นอบรับพระบัญชา! ”เธอกล่าวออกมาก่อนที่จะจูบไปที่หน้าฝากของเขา


บทที่ 1316 –การรักษา


 


 


หลังจากนั้นอี่หวง กู่หวู๋ก็จากไป


 


 


ชิงสุ่ยคาดเดาได้ว่าเธอนั้นต้องมีความสัมพันธ์อะไรบางหรือมีความลับอะไรบางอย่างเก็บเอาไว้ เช่นครอบครัวหรือ ตระกูลของเธออยู่ที่นี่ ดังนั้นเธอจึงรีบจากไปก่อนที่จะกับพวกเขา แต่สิ่งที่ชิงสุ่ยงสงสัยทำไม เธอถึงต้องไปยังทวีปอู่เซียกันละ ในเมื่อทวีปแห่งนี้นั้นดีกว่าทวีปอู่เซียมากนัก


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขามายังทวีปแห่งนี้ ตอกนแรกเขาแอบดีใจอยู่ไม่น้อยทีรู้ว่าอี่หวง กู่หวู๋ มาด้วยกับเขา  แต่ตอนนี้เธอก็จากไปแล้ว


 


 


ชิงสุ่ยมองไปที่สิ่งรอบราวกับคนหลงทาง เขาไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหนต่อและทำอะไร แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็มีเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้


 


 


ตอนนี้เขาอาจจะใช้เวลาอยู่ที่แห่งนี้สักพักก่อนเพื่อขาข้อมูล ก่อนจะออกเดินทางตามหาอัจฉริยะทั้งสอง และเพราะทั้งอัจฉริยะสองทำให้เขานั้นยังไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมในการเดินทางครั้งนี้ ตอนนี้ชิงสุ่ยเริ่มรู้สึกสับสนเล็กน้อย


 


 


ในขณะที่เขาจมอยู่กับความคิดของเขา มันทำให้เขานึกถึงประมุขอสูร แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเธอยู่ที่ทวีปแห่งนี้หรือไม่ บางทีเธออาจอยู่ที่ทวีปอื่นๆก็เป็นไปได้  ตอนนี้เขาควรไปหาเธอหรือไม่?


 


แต่ตอนี้ชิงสุ่ยคิดว่ามันคงไม่เป็นการดีที่เขาจะไม่พบเธอก่อนที่จะล่วงเข้าสู่ระดับบัญชาสวรรค์พินาศเสียก่อน เพราะขืนเข้าไม่พบเจอเธอในตอนนี้ก็รั้งแต่จะเป็นภาระให้กับเธอเท่านั้น


 


 


ที่จริงชิงสุ่ยคิดว่ามันคงมีประโยชน์หากเขาอยู่กับเธอในตอนนี้ นั้นเพราะเขาสามารถใช้ปราณจักรพรรดิสนับสนุนเธอ มันเป็นทักษะที่มีประโยชน์อย่างมากเมื่อพบเจอคนที่แข็งแกร่งมากๆ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าหากเขาออกไปยืนอยู่ในข้างเธอในตอนนี้ ตัวของเขาจะถูกสังหารลงในทันทีรึป่าว ความคิดมากมายได้ถาโถมเข้าใส่ชิงสุ่ยในตอนนี้


 


“ช่วยด้วย มีคนหมดสติตรงนี้!”


 


เสียงที่ดังขึ้นทำให้ชิงสุ่ยหลุดออกมาจากภวังค์ ขณะที่เขามองไปที่กลุ่มคนจำนวนมากยืนอยู่


 


ชิงสุ่ยเดินเข้าไปและพบว่ามีคนกำลังชีพจรของชายชราคนหนึ่งอยู่ในตอนนี้ ขณะที่เขามองลงไปที่ใบ้หน้าของชายชราที่เป็นลมอยู่ เขานั้นดูแก่อย่างมาก


 


ในขณะนั้นเองชายที่ดูเหมือนจะเป็นหมอก็ลุกขึ้นและส่ายหน้าของเขา เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่เขาใจสถานการณ์ได้ดี นั้นเพราะชายชราคนนี้นั้นมาถึงช่วงสุดท้ายของอายุไขแล้วคงไม่แปลกหากว่าหมอจะไม่สามารถรักษาเขาได้


 


แต่นั้นไม่ใช่สำหรับเขาด้วยทักษะของเขาแล้วแม้แต่ฟื้นคืนชีวิตคนเขาก็อาจจะพอทำมันได้ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากเขาไปวุ่นวายเท่าไร  แต่ตอนนี้เขามีสิ่งที่สงสัยอยู่ก็คือทำไมชายชราที่มีสภาพเช่นนี้ถึงออกมาเดินอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เพียงแค่การเคลื่อนไหวของเพียงเล็กน้อยก็นับว่ายากแล้วด้วยวัยขนาดนี้


 


 


ในขณะนั้นเอง


 


 


“ท่านพ่อ ”


 


“ท่านปู่!”


 


“ท่านบรรพบุรุษ!”


 


 



 


กลุ่มคนนับสิบๆคนไม่ว่าชายหรือหญิงต่างวิ่งตรงมาที่ชายชรา และร้องไห้ออกมา


 


ชายคนหนึ่งที่เรียกเขาว่าวิ่งตรงมาและคุกเขาลงก่อนที่จะร้องไห้ออกมา


 


“ท่านพ่อ เร็วเข้ารีบดูอาการของท่านปู่เร็ว”ชายอีกคนที่วิ่งตามารีบกล่าวอย่างรวดเร็ว


 


 


ในตอนนั้นเองชายวัยกลางคนที่นั่งจับมือชายชราอยู่ ก็ได้หลีกทางให้กับชายชราที่พึ่งมาถึง และกล่าวว่า “ช่วยพ่อข้าด้วย!”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว เชื่อมือข้าเถอะ!”ชายชราจบลงไปที่ไหล่ของชายวัยกลางคน


 


 


ก่อนที่มือของเขาจะขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ


 


ทักษะรักษาห่วงวิญญาณ!


 


ชิงสุ่ยไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าชายชราคนนั้นจะใช้ทักษะอันน่าอัศจรรย์ นี้เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ช่วยในการกระตุ้นชีพจรให้กับคนที่ใกล้ตายแล้ว ชิงสุ่ยนั้นจำได้ว่าทักษะนี่นั้นได้หายสาบสูญไปนับพันๆปีและไม่เคยมีใครเห็นมันมาก่อน แม้แต่เขายังเองก็หากไม่ได้อ่านหนังสือจำนวนมากมานก่อนก็คงจะไม่เคยพบเจอเรื่องราวของมัน


 


ทักษะดังกล่าวนั้นก็คล้ายกับชื่อของมัน นั้นก็คือรักษาชีวิต ชีพจรเอาไว้แม้แต่คนที่ใกล้ตายหรือตายไปแล้วช่วงเวลาหนึ่ง นั้นก็สามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง แต่มันนั้นเป็นทักษะที่ต้องแลกด้วยอายุไขของผู้ใช้มัน นอกจากนี้คนที่ฟื้นขึ้นมาจะมีชีวิตอยู่ได้แค่สามวันเท่านั้น


 


ในไม่ช้าชายชราก็จะตื่นขึ้นมา แต่ถึงอย่างไรก็ตามชายชราที่ดูคล้ายกับหมอก็ได้กล่าวออกมา “ที่เหลือก็ให้พวกท่านจัดการเองก็แล้วกัน!”


 


“อั๊กๆ นี่ทำไมข้าถึงยังไม่ตาย นี่เจ้า ๆ แลกชีวิตให้ข้าอีกสามวันอย่างนั้นรึ?”  ชายชรากล่าวออกมาและยิ้มอย่างขื่นขมไปทางหมอคนนั้น


 


“ท่านหมอ โปรดช่วยท่านบรรพบุรุษของข้าด้วย”หญิงสาวที่อยู่ใกล้ร้องออกมา เมื่อได้ยินว่าบรรพบุรุษของเธอเหลือเวลาแค่ 3วันเท่านั้น


 


“หยานเอ๋อ ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้สภาพข้าดีมากกว่าใครๆ ไม่มีใครสามารถช่วยข้าได้อีกแล้ว หากจะมีก็แต่ข้าต้องทะลวงผ่านเข้าสู่ระดับบัญชาสวรรค์พินาศให้ได้เท่านั้น!” ชายชราส่ายหน้าเล็กน้อย เวลาสามวันนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถทำมันได้


 


 


“ถึงแม้ท่านจะไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับบัญชาสวรรค์พินาศได้ แต่ก็ยังมีอีกทางหนึ่งที่จะเพิ่มอายุไขของท่าน”เสียงที่นุ่มลึกดังขึ้น ขณะที่ทุกๆคนหันไป มองไปที่ชายหนุ่มรูปงานที่เดินเข้ามา ชายคนนั้นคือชิงสุ่ยนั้นเอง


 


 


 


ในตอนนั้นทุกๆคนนั้นประหลาดในการปรากฏตัวของเขาอย่างมาก เช่นเดียวกับหมอคนเมื่อกี่ เขามองไปที่ชิงสุ่ยแล้วส่ายหน้าออกมา


 


 


“จริงรึท่านสามารถรักษาท่านบรรพบุรุษของข้าได้จริงรึ?”หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยความหวัง แต่เมื่อมองไปที่ชิงสุ่ยเธอเอาก็เริ่มไม่มั่นใจเล็กน้อย


 


 


“ขอบคุณในความหวังดีของท่าน แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก”ชายชรากว่าและมองไปที่ชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยยั่งเด็กเกินไปที่จะทำให้พวกเขานั้นเชื่อถือ


 


แม้แต่ชายชราเองก็ไม่คิดว่าชิงสุ่ยนั้นจะสามารถช่วยเขาได้


 


ในตอนนั้นเอง “เจ้ารู้มั้ย ว่านายท่านของข้าคือใคร แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำได้ แล้วเจ้าจะมีปัญญาอะไร”ชายคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่หน้ารังเกลียด


 


ชิงสุ่ยมองไปที่ต้นกำเนิดของเสียง  เป็นชายหนุ่มรูปงามที่ได้กล่าวออกมา เขานั้นเป็นคนสนิทของหมอชราที่ทำการรักษาชายชราคนนั้นอยู่ ถึงแม้จะหล่อเหล่าสักแค่ไหน ตัวของเขาเองก็มีนิสัยที่น่ารังเกียจอย่างมาก


 


ในตอนนั้นเองหมอชราก็ได้กล่าวออกมา “ข้าขอโทษคุณชายจริงๆ อย่างได้โกรธเคืองเขาเลย เขายังเด็กเกินไป ว่าแต่ท่านมีวิธีอะไรที่สามารถรักษานายท่านลี่ได้อย่างนั้นรึ เขานั้นมาถึงช่วงสุดท้ายของอายุไขแล้วมันนั้นแทบจะไม่มีวิถีที่ช่วยเขาได้เลย?”


 


 


เสียงของหมอชรานั้นดูนุ่มลึกอย่างมาก เขานั้นไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย จิตใจของเขาดูนิ่งสงบดังสายน้ำที่ไหลริน และในตอนนี้ชิงสุ่ยก็ไม่ได้เห็นท่าทางที่ดูถูกจากเขาเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเขานั้นจริงใจอย่างมากที่ถามออกมา


 


 


“ข้าไม่สนใจคำพูดของตัวตลกหรอก ข้าจะถือว่ามันเพียงแค่เสียงนกเสียงกาเท่านั้นมาเข้าเรื่องกันเถอะ ในตอนนี้ท่านอาวุโสนั้นได้ถูกจำกัดพลังชีวิตลงเพราะโรคและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้พลังชีวิตของท่านลดไปเป็นจำนวนมาก เพียงแค่กำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปมันก็เพียงแล้วที่จะช่วยเพิ่มอายุไขของท่าน”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาและยิ้มอย่างใจเย็น


 


 


เมื่อหมอชราได้ยินคำพูดของชิงสุ่ยเขานั้นก็ยังคงนิ่งสงบอยู่ นั้นเป็นที่รู้ๆกันและเป็นหลักการง่ายๆของหมอทุกคนที่ต้องรู้


 


“แล้วคุณชายมีวิธีที่สามารถกำจัดสิ่งของสกปรกเหล่านั้นออกไปได้รึไม่? ”หมอชรากล่าวออกมา


 


 


 


“ข้าสามารถทำได้ แต่ถึงอย่างไรข้านั้นก็ไม่สามารถกำจัดพวกมันทั้งหมดออกไปได้อยู่ดี มีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่ข้าพอจะทำการชำระล้างได้”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ


 


หมอชรามองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความตกตะลึง ขณะที่สายตาของเขานั้นเปล่งประกายออกมา ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับไปและกล่าวว่า “นายท่านลี่ โปรดให้คุณชายท่านนี้ลองดูได้หรือไม่?”


 


 


“รบกวนคุณชายแล้ว!”ชายชรากล่าวขณะที่ยิ้มให้ชิงสุ่ย


 


“ท่านอาวุโสกล่าวหนักไปแล้ว!”


 


ถึงอย่างไรก็ตาม สายตาของชายหนุ่มทีมองต่อชิงสุ่ยก็ยังไม่เปลี่ยนไป นั้นเพราะเขานั้นเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใกล้เคียงกัน เขามิอาจยอมรับได้หากมีใครเหนือกว่าอาจารย์ของเขา นอกจากนี้เขายังไม่เชื่ออีกว่าชิงสุ่ยนั้นสามารถทำมันได้ อย่างไรก็ตามเขานั้นต่างกับหมอชราอย่างมาก หมอผู้นี้คือหมอที่แท้จริง เขานั้นเป็นคนที่ชอบการเรียนรู้และเป็นคนทีมีวิสัยที่กว่าไกลอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะตระกูลของชายหนุ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา เขาคงไม่รับชายหนุ่มผู้นี้เอาไว้


 


ตระกูลลี่!


 


ตระกูลลี่เป็นตระกูลหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองอี่หวง นอกจากนี้ที่แห่งนี้ยังเป็นสาขาหลักของตระกูลอีกด้วย


 


 


ในตอนนี้ทุกคนยังมองไปที่ชิงสุ่ยนั้นด้วยสายตาไม่เชื่อ ดังนั้นทุกๆคนจึงคิดว่าเขานั้นแค่ต้องการผลประโยชน์จากตระกูลลี่เท่านั้น จึงไม่มีใครพยายามพูดจาและสนใจเขาเลย


 



 


ในห้องขนาดใหญ่ ชิงสุ่ยได้บอกให้ชายชราถอดชุดออก เหลือไว้เพียงแค่กางเกงเท่านั้น ในขณะที่เขาได้หยิบเข็มทองออกมา แล้วถือมันไว้ในกำมือ  ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่ต้องการรักษาชายชราให้หายดี เขาเพียงแค่ต้องการยืดอายุของชายชราออกไปอีกจำนวนหนึ่ง  แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เกินร้อยปี เพราะเขานั้นไม่ต้องการแสดงตัวให้โดดเด่นเหนือใครๆ


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้ใช้เข็มทองฝังลงไปที่จุด เทียนจิ๊ ฮวงเล่ง และจุดอื่นๆอีกสี่จุด ซึ่งมันเป็นจุดที่ไม่มีหมอคนใดกล้าแต่ต้องมันเลยแม้แต่น้อย  ในตอนแรกหมอชราต้องการที่จะหยุดเขา แต่เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของชิงสุ่ย เขาได้เพียงแต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น


 


การรักษาโรคทีแอบแซงอยู่ ชิงสุ่ยจพเป็นต้องกำจัดสิ่งสกปรกในร่างของชายชราออกมาเสียก่อน โดยที่เขาฝังเข็มทองลงไปที่จุด จือหยินเพื่อกระตุ้นสิ่งสกปรกออกมา


 


ในตอนนั้นเองกระแสปราณมหาศาลก็ได้ถาโถมออกมา


 


 


เข็มทองเก้าหยาง!


 


ทันที่ชิงสุ่ยใช้เข็มทองเก้าหยาง ของเหลวสีดำจำนวนมากได้ไหลออกมาจากรูขุมขนบนร่างชายชรา กลิ่นที่เหม็นเหมือนซากศพได้ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องในตอนนี้


 


ในตอนนี้เองสีหน้าของหมอชราเริ่มเปลี่ยนแปลงไป สายตาของเขามองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความเชื่อ เขาผู้ได้รับขนานนามว่าหมอปิศาจนั้นก็ยังไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและเลื่อมใสในตัวของชิงุส่ยอย่างมาก


บทที่ 1317 – ชีวิต


 


มีหมอมากมายในโลกใบนี้ ส่วนมากพวกเขานั้นเป็นหมอที่รู้แต่ทักษะการปรุงยาเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้ระดับของหมอนั้นแตกต่างกันอย่างให้ได้ชัด


 


สำหรับหมอที่เก่งกาจ การฝังเข็มและทักษะเฉพาะนั้นเป็นอะไรที่สำคัญอย่างมาก นอกจากนี้ยังไม่มีใครที่สามารถเรียนแบบได้ ด้วยทักษะเหล่านี้พวกเขานั้นสามารถดูดซับตัวยา ชำระล้างร่างกายของพวกเขาได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้หมอที่เก่งกาจนั้นจะเป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน


 


ในตอนนี้หมอชรามองไปที่ชิงสุ่ย ด้วยความสามารถของเขา เขาสามารถรู้ได้ในทันว่าอายุไขของชายชราได้เพิ่มขึ้นแล้ว อย่างน้อยที่สุดมันก็เพิ่มขึ้นเกือบอีก100ปี


 


 


ในขณะที่ของเหลวได้ไหลรินออกมา ถึงหยดที่สิบชิงสุ่ยก็ได้ดึงเข็มทองของเขาออกมา


 


 


ในตอนนั้นเองเขาเดินไปที่หน้าต่างและเปิดให้อากาศที่บริสุทธิ์เข้ามา เพื่อระบายกลิ่นเหม็นเหล่านั้นออกไป  เช่นเดียวกับนายท่านลี่ที่เริ่มตัวสอบร่างกายของเขา ตอนนี้พละกำลังของเขาพื้นคือมาแล้วเกือบทั้งหมด  นอกจากนี้ความชราภาพของเขาก็หยุดเอาไว้ มันถูกรักษาให้กลับมาอยู่ในสภาพที่เกือบสมบูรณ์ที่สุด


 


เขามองไปที่ชิงสุ่ยด้วยสายตาชื่นชมอย่างมาก ด้วยความตกตะลึงเขาไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา นอกจาก “ข้าขอโทษจริงๆที่ไม่เชื่อเจ้า เจ้าเป็นหมอที่เก่งจริงๆ  เป็นเกียรติจริงๆที่ ข้าได้มาพบกับเจ้า และมีหมอปิศาจอยู่ข้างกาย ทั้งคู่เป็นยอดหมอแห่งแผนดินจริงๆ!”ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“นายท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเองนั้นยังไม่สามารถเทียบกับคุณชายได้ จริง”หมอชรายิ้มออกมาก่อนที่จะจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความตื่นเต้น


 


 


“ท่านอาวุโสกล่าวเกินไปแล้ว  ในตอนนี้ร่างกายของท่านได้ถูกชำระล้างเรียบร้อยแล้ว หากข้าคิดไม่ผิดตอนนี้อายุไขของท่านได้เพิ่มขึ้นมาอีก100ปีแล้ว  แต่ถึงอย่างไรท่านก็ต้องดูแลสุขภาพมากนะ”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสุภาพ


 


“จริงสิคุณชาย หากท่านไม่ว่าอะไรข้าอยากจะเชิญท่านไปยังหอคอยจักรพรรดิของเราสักหน่อย ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยวิชาการความรู้ทางการแพทย์ที่หลากหลาย  และข้านั้นก็จะได้ขอคำชี้แนะจากคุณชายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคุณชายบ้าง!”


 


“เช่นเดียวกัน ข้านั้นก็ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้จากท่านเหมือนกัน!”ชิงสุ่ยกล่าวยิ้มออกมา


 


ในตอนนี้ชายหนุ่มผู้ซึ่งอยู่ข้างหลังหมอชรา ได้มองมาที่ชิงสุ่ยด้วยความเกลียดชัง ชิงสุ่ยนั้นสามารถสัมผัสได้ดีถึงทุกๆการกระทำของเขา แต่อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยเลือกที่จะไม่สนใจมัน


 


“ต้าหยวน นำเข็มพวกนั้นมาทีสิ”ชายชรากล่าวออกมากับชายที่อยู่ใกล้ๆเขา


 


“ครับ ท่านพ่อ!”


 


ดวงตาของหมอชราเปิดกว้างขึ้น ขณะที่มองไปยังนายท่านลี่ ก่อนที่จะยิ้มจางๆออกมา


 


“ขอบคุณท่านๆมากๆ!”หญิงสาวที่ชื่อเหยียนเอ๋อกล่าวออกมาขณะที่มองไปที่ชิงสุ่ย


 


เธอนั้นมีส่วนสูงที่ไม่มากนัก แต่เธอก็ยังมีรูปร่างที่ดีพอสมส่วน  ดวงตาตาของเธอดูเชิดเล็กน้อย แลดูมีเสน่ห์อย่างมาก นอกจากนี้ฝีปากของเธอนั้นก็ดูเซ็กซี่อย่างมาก  ถึงอย่างไรก็ตามเสน่ห์ของเธอนั้นก็อยู่หน้าทรงโตของเธอมากว่าสิ่งอื่นใด


 


 


“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ”ชิงสุ่ยมองไปที่หน้าของเธอ  เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมใบหน้าของเธอนั้นถึงดูคุ้นเคยกับคนในชาติก่อนของเขาอย่างมาก


 


ในขณะนั้นชายชราคนก่อนเดินเข้ามา พร้อมด้วยกล่องไม้โบราณกล่องหนึ่ง


 


ก่อนที่เขาจะส่งให้กับชายชราและมอบต่อให้นายท่านลี่


 


 


ขณะที่นายท่านได้เปิดกล่องออก ประกายแสงสีขาวนวลได้เปล่งปลั่งออกมา  แม้แต่ชิงสุ่ยเอาก็มิอาจควบคุมจิตใจของเขาไว้ได้ ด้วยพลังวิญญาณที่อักแน่นอยู่ข้างในนั้นมันให้หัวใจของเขาเต้นถี่อย่างบ้าคลั่ง


 


 


เข็มแห่งชีวิตและความตาย!


 


 


ชิงสุ่ยมองไปที่เข็มทั้ง9เล่ม ที่มีความยาม 9นิ้ว ด้วยความตกตะลึงครึ่งหนึ่งของมันนั้นมีสีขาวน้ำนม อีกครึ่งนั้นเป็นสีเขียวมรกต พวกมันกำลังส่องสกาวอยูในกล้องไม้โบราณกล่องนั้น


 


เดิมเข็มชุดนี้นายท่านลี่นั้นเคยให้หมอปิศาจมาก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถใช้มันได้ดังใจ ดังนั้นเขาจึงนำมันคืนกลับให้นายท่านลี่ ถึงแม้มันจะเป็นเข็มที่ดีขนาดไหนถ้าผู้ใช้ไรความสามารถมันก็เท่านั้น


 


“มันคือเข็มแห่งชีวิตและความตาย เดิมทีมันเคยเป็นของหมอปิศาจมาก่อน แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่เหมาะกับเขา ดังนั้นเขาจึงคืนมันกลับมาให้กับข้า ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าลองใช้มัน บางทีมันอาจมีประโยชน์กับเจ้า”นายท่านลี่มองไปที่ชิงสุ่ย


 


 


ในตอนนั้นชิงสุ่ยได้มองไปที่มันด้วยเนตรสวรรค์ของเขา  มันทำให้เขานั้นตื่นเต้นอย่างมาก ของเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุล้ำค่าอย่างมาก พวกมันนั้นเต็มไปด้วยพลังสวรรค์ที่อัดแน่อยู่ นอกจากนี้มันนั้นยังทรงพลังกว่าเข็มทองของเขาอีกด้วย


 


 


เมื่อมองลงไปที่ตัวอักษรปรากฏอยู่ ชิงสุ่ยกก็รู้ได้ในทันว่ามันมีอีกชื่อหนึ่ง คือเข็มหยิน และเข็มหยาง


 


เมื่อมองไปที่มันชิงสุ่ยรู้ได้ทันทีว่าพวกมันนั้นสามารถเข้ากันได้ดีกับ  “ปราณแห่งการหวนคืน”


 


“นายท่านลี่ นี่มันล้ำค่าเกินไป ข้ามิอาจรับมันไว้ได้!”ชิงสุ่ยรีบกล่าวออกมา


 


 


“เข็มเหล่านี้อยู่กับข้ามานานหลายร้อยปีแล้ว แต่น่าเสียดายไม่มีใครมีพรสวรรค์มากพอที่จะใช้พวกมันได้  นอกจากนี่ข้าก็อยากมอบมันให้กับเจ้า เพราะเจ้านั้นเป็นคนช่วยชีวิตของข้าเอาไว้อีกด้วย”เขากล่าวออกมาด้วยความจริงใจ


 


 


“ถ้าเจ้าใช้มันความสามารถในการรักษาของเจ้าก็จะทวีผลขึ้น  รับมันไว้เถอะ”หมอปิศาจยิ้มออกมาและกล่าว


 


“งั้นข้าขอรับมันไว้ก็แล้วกัน!”


 


 


ชิงสุ่ยและเอื้อมมือออกไปรับเข็มแห่งชีวิตและความตาย ถึงแม้จะไม่เคยใช้มันมาก่อนแต่เขาสามารถรู้ได้ทันทีว่าเขาสามารถใช้มันได้อย่างแน่นอน


 


“ใครจะรู้ว่าเจ้าสามารถใช้มันได้รึไม่  ทำไมเจ้าไม่ลองทดสอบดูสักหน่อยละ?”เสียงที่ขุ่มเคืองดังออกมาข้างหลังหมอปิศาจ


 


ชิงสุ่ยนั้นรู้ดีว่าเขานั้นมีพื้นหลังที่ทรงพลังมิเช่นนั้นเขาคงมิกล่าวเช่นนี้ออกมา นอกจากนี้ชิงสุ่ยนั้นก็เห็นได้ชัดว่าหมอปิศาจก็ไม่ได้ชอบเขาเท่าไรนัก แต่ก็ยังรับเขาไว้ให้อยู่ข้างๆกาย


 


 


“งั้นเจ้ากล้าให้ข้าใช่มันกับเจ้าหรือไม่?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวออกมา


 


 


“ชิ ข้ายังไม่อยากตายใครกันจะไปลอง!”ชายคนนั้นรีบกล่าวออกมา


 


“งั้นข้าจะลองมันเอง!” เสียงของคุณหนูเหยียนเอ๋อดังขึ้นในตอนนั้น


 


 


“ก็ได้งั้นข้าจะลองมันกับคุณหนู!”ชิงสุ่ยยิ้มและพูด


 


คำพูดของชิงสุ่ยทำให้คนอื่นนั้นตื่นตระหนก


 


 


“เจ้าแน่ใจรึ นี่เกี่ยวกับชีวิตของคนๆหนึ่งเลยเชียวนะ หากมีอะไรเกิดขึ้นเจ้าจะรับผิดชอบไหวรึ?”


 


คำพูดดังกล่าวของชายหนุ่มทำให้ตัวของหมอปิศาจเต็มไปด้วยความรังเกลียด ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา


 


“ข้าเชื่อในตัวของเขา!”ลี่ เหลียนกล่าวออกมาถึงแม้เสียงของเธอจะเบาแต่ก็ยังคงความแนวแน่เอาไว้


 


ชิงสุ่ยหยิบเข็มแห่งชีวิตและความตายขึ้นมา ก่อนที่เขาจะรวบรวมปราณของเขาเข้าไปในเข็มเหล่านั้น


 


ชิงสุ่ยปิดตาลงและสัมผัสได้ถึงปลายที่อันแน่นอยู่ในเข็มแต่ละแท่ง ก่อนที่จะอัดปราณลงมากกว่าเก่า


 


 


 


หลังจากผ่านไปไม่นานนัก แสงสีเขียวที่อยุ่ในส่วนเข็มแห่งความตายก็ได้คลายออกมา เช่นเดียวกับเข็มแห่งชีวิตสีน้ำนม ขณะทีปลายของพวกมันเริ่มส่องสว่างแสงออ่อนๆที่เห็นได้ชัดออกมา


 


 


ขณะนี่ปราณแห่งความตายนั้นไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป แต่กลับเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการบ่มเพาะ มันนั้นสามารถกำจัดของเสียและดูดพาที่แทรกซึมอยู่ในร่างกายออกมาได้ นอกจากนี้พาเหล่านั้นยังเก็บสะสมอยู่ข้างในตัวเข็มและสามารถนำมาใช้ในการจู่โจมได้ในภายหลัง


 


หลังจากนั้นชิงสุ่ยได้ถ่ายถอดปราณหวนคืนเข้าไปในตัวเข็มอย่างช้า  ไม่นานตัวเข็มทั้งเก้าก็ได้เรืองแสงออกมายิ่งมากกว่าเก่า ขณะนี้เข็มแห่งชีวิตและความตายได้ส่องสว่างออกมา มันนั้นเต็มไปด้วยประกายแห่งชีวิตอย่างมาก แม้แต่หมอปิศาจก็ยังต้องตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้


 


ชิงสุ่ยค่อยเปิดตาขึ้นขณะที่เห็นลี่เหยี่ยนที่นั่งอยู่ใกล้กับเขา ก่อนที่เขาจะยิ้มมือออกไปและฝังเข็มลงที่หน้าอกของเธอ


 


จากนั้นเขาก็ได้ใช้เข็มเล่มที่สอง หยุนเมิน เข็มที่สามที่ เทียนฟู่


 


เมื่อมาถึงเข็มที่เจ็ด!


 


ชิงสุ่ยใช้นิ้วของเขากดลงไปที่หน้าท้องของเธอเบาๆ ก่อนที่จะปล่อยปราณเข้าไป


 


 


เปล่ง!


 


 


แสงสว่างได้ปรากฏขึ้นมา จากร่างกายของลี่เหยียน กลิ่นอายที่ทรงพลังได้ได้ระเบิดออกมาจากร่างกายของเธอ


 


 


ในตอนนี้แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน ในตอนนี้เพียงแค่เขานั้นช่วยปรับโครงสร้างเส้นลมปราณและตันเถียนของเธอให้เข้าที่เท่านั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจะเป็นเช่นนี้


 


 


ระดับพลังของเธอกำลังยกระดับขึ้นอีก!


 


แม้ว่าลี่เหยียนจะไม่ใช่คนที่แข้งแกร่งอะไรมากนัก แต่เธอก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ระดับหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเธอได้รับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้มันทำให้เธอนั้นได้ก้าวไปสู่ระดับปรมาจารย์ระดับสองแล้ว ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเธอนั้นเพิ่มขึ้นถึง50%


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้มัน ตอนแรกเขาคิดว่าเข็มแห่งชีวิตและความตายเหล่านี้จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้10%เสียอีก แต่ถึงอย่างไรตอนนี้มันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้ถึง 50%มันเป็นเรื่องที่เกินคาดอย่างมากสำหรับเขา ในตอนนี้มันให้ผลดีกว่าเข็มทองของเขาอย่างเห็นได้ชัด


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อยๆดึงเข็มออกมา ขณะที่ลี่เหยียนมองไปที่ชิงสุ่ยอย่างไม่กระพริบตา เดิมทีเธอนั้นติดอยู่ที่ปรมาจารย์ระดับหนึ่งเป็นเวลาหลายปีแล้ว ไม่ว่าทำยังไงเธอก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ แต่ในวันนี้ เธอกลับสามารถทำมันได้โดยไม่รู้ตัว เธอมองไปทิชิงสุ่ยด้วยความเคารพและนับถือ


 


 


“คุณชายท่านต้องการรับลูกศิษย์หรือไม่?”หมอปิศาจกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว


 


“ทำไมรึท่านต้องการทักษะของข้ารึ?”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา


 


“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่หลงใหลในวิชาการแพทย์ มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้ามี ซึ่งตอนนี้ทักษะของคุณชายนั้นก็ยอดเยี่ยมและมหัศจรรย์อยากมาก ดังนั้นข้าจึงอยากจะขอสมัครเป็นศิษย์ของท่านเท่านั้นเอง”


 


 


คำพูดของหมอปิศาจทำให้ทุกๆคนนั้นตกตะลึง แม้กระทั้งชิงสุ่ยและชายหนุ่มที่มากกับหมอปิศาจ ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าชิงสุ่ยนั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน หากในตอนแรกเป็นเขายอมให้ชิงสุ่ยทดลองเข็ม ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาต้องก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้เขานั้นมีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งกว่าลี่เหยียนอีกด้วย บางทีเขาอาจสามารถก้าวหน้าขึ้นได้ถึงสองเท่าก็เป็นไปได้


บทที่ 1318 – ตระกูลลี่


 


การเปลี่ยนแปลงของลี่เหยียนสร้างความตกตะลึงให้กับทุกๆคน  ในตอนนี้ในใจของลี่เหยียนนั้นรู้สึกขอบคุณชิงสุ่ยอย่างมาก ไม่เพียงแค่เขาได้ช่วยเธอ แต่เขายังยืดชีวิตปู่ของเธอออไปอีกด้วย มันยิ่งทำให้เธอนั้นทราบซึ้งในตัวของชิงสุ่ยอย่างมาก


 


 


“ขอบคุณ!”เธอขอบคุณชิงสุ่ยด้วยใจจริงในตอนนี้


 


 


“ข้าเองก็ต้องขอบคุณเจ้าเช่นกันที่เชื่อมั่นในตัวของข้า” แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่กล่าวอะไรมากมายแต่ทุกคนรู้ดีว่าชายหนุ่มที่มากับหมอปิศาจนั้นคงรู้สึกแย่มากๆกับเรื่องนี้


 


“ชิ!”ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวออกมา ก่อนที่จะก้าวออกไป


 


 


ในตอนนี้ไม่มีใครหยุดเขาไว้และไม่มีใครพูดอะไรออกมา


 


 


“คุณชาย  ข้าขอโทษแทนลี่อี้ด้วย ถึงแม้เขาจะเป็นคนยโส แต่เขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร นอกจากนี้เขายังเป็นคนในตระกูลย่อยของพวกเราด้วย ข้าขอโทษจริงๆ”นายท่านลี่กล่าวออกมา ขณะมองไปที่ทิศทางที่ลี่อี้เดินออกไป


 


 


ชิงสุ่ยนั้นรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเขานั้นเป็นคนช่วยนายท่านลี่เอาไว้ นอกจากนี้ด้วยทักษะการแพทย์ของเขานั้นก็ยังมหัศจรรย์อย่างมาก  ดังนั้นเขาจึงเขาใจได้ดีว่าทำไมนายท่านลี่ผู้นี้ถึงได้ขอโทษเขา


 


“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเคยเจอเรื่องเช่นนี้มากมายในอดีต จนข้าชินเสียแล้ว นอกจากนี้ข้านั้นก็ไม่ได้ใส่ใจคำพูดอะไรของเขาเลย ท่านไม่ต้องขอโทษข้าไปหรอก”ชิงสุ่ยส่ายหน้าและกล่าวอย่างอ่อนโยน


 


 


 


ท่านนายลี่มองไปที่ชิงสุ่ยชิง และพยักหน้า ตอนนี้เขารู้สึกเต็มด้วยความสรรเสริญจนมิอาจกล่าวออกมา สำหรับเขา มีรุ่นเยาว์ไม่มากที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ และยังมีสามารถในการควบคุมอารมณ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ อัจฉริยะส่วนมากจะเป็นคนที่หยิ่งทะนงในตัวเองจนมองข้าผู้อื่น จึงทำให้พวกเขานั้นมักมีแต่เรื่องและปัญหาตามมา จึงไม่แปลกที่จะมีคนกล่าว อัจฉริยะส่วนมากมักจะอายุสั้น


 


“จริงสิท่านหมอปิศาจเดิมทีข้านั้นไม่มีความคิดที่จะรับศิษย์อยู่เลยดังนั้นข้าขอปฏิเสธท่าน แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากเป็นการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้ข้านั้นก็ยินดี ท่านคิดว่ายังไง? ”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา


 


 


ในก่อนหน้านี้หมอปิศาจนั้นต้องการขอให้ชิงสุ่ยรับเขาเป็นศิษย์ ซึ้งเรื่องนี้ทำให้ลี่ อี้ไม่พอใจอย่างมากนั้นจึงทำให้เขาแสดงท่าทีที่แย่ออกมา  เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่รู้ถึงความสามารถของหมอปิศาจดี มันจึงทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างมากที่คนอย่างหมอปิศาจนั้นของให้ชิงสุ่ยซึ่งเด็กกว่ามาเป็นอาจารย์ของเขา ซึ่งในตอนนี้แม้พวกเขาเองก็ไม่เขาใจหมอปิศาจถึงชิงสุ่ยนั้นจะเก่งอย่างไรก็ตามแต่เขาจะมีความสามารถเพียงพอที่จะเป็นอาจารย์คนที่เรียกตัวเองว่าแพทย์ผู้สามารถคืนชีพคนตายได้อย่างนั้นรึ?


 


 


“ก็ได้นั้นเราไปคุยกันที่หอคอยจักรพรรดิกันเถอะ ข้ามีเรื่องอีกมากมายที่ต้องการถามคุณชาย” ตอนนี้หมอปิศาจรู้แล้วว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นคนที่มีฝีมือการแพทย์ที่เก่งกาจขนาดไหน เพราะแบบนั้นแล้วเขาย่อมรู้ว่าชิงสุ่ยนั้นต้องเป็นนักปรุงยาชั้นยอดเช่นเดียวกัน


 


 


“เยี่ยมเลยข้านั้นก็อยากเห็นหอคอยจักรพรรดิเช่นเดียวกัน นอกจากนี้มีเรื่องอีกมากมายที่ข้าต้องขอให้ท่านอาวุโสช่วยชี้แนะอีกด้วย”


 


 


ในคืนนั้นเองได้มีงานเลี้ยงขอบคุณเกิดขึ้นที่ตระกูลลี่ พวกเขาจัดงานนี้ขึ้นเพื่อขอบคุณชิงสุ่ยในตอนนี้  เช่นเดียวกับชิงสุ่ยตอนนี้เขาเลือกที่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลลี่เพื่อเป็นการสร้างแนวทางให้กับตัวเองในอนาคตสำหรับทวีปแห่งนี้


 


 


ในตอนนี้ผู้คนจำนวนมากอยู่ที่แห่งนี้เพื่อโน้มนาวให้ชิงสุ่ยนั้นอยู่กับพวกเขา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ได้สัญญาเอาไว้ว่าเขาจะกลับมากลังจากไปชมหอคอยจักรพรรดิแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะได้หยุดชักชวนชิงสุ่ย และเปลี่ยนมาเป็นพูดคุยเรื่องทั่วไปกัน


 


ในความเป็นจริงชิงสุ่ยต้องการแลกเปลี่ยนทักษะกับหมอปิศาจเช่นเดียว นั้นเพราะมีหลายๆอย่างที่เขาไม่รู้แต่หมอปิศาจนั้นรู้ ซึ่งนี้จะช่วยให้เขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังสัมผัสได้ว่าหมอคนนี้ก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ดังนั้นมันจึงทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายที่จะแลกเปลี่ยนความรู้


 


 


หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงชิงสุ่ยได้นั่งรถลากสัตว์อสูรตรงไปที่หอคอยจักรพรรดิในทันที


 


 


“จริงสิคุณชายชิง ท่านมาจากที่ไหนกัน?”


 


“อย่าเรียกข้าว่าคุณชายเลย โปรดเรียกข้าเพียงแค่ชิงสุ่ยก็พอ!”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวอย่างสุภาพ


 


“ก็ได้หากคุณชายไม่รังเกลียด ข้าของเรียกท่านว่าน้องชายชิงสุ่ย”


 


“พี่ใหญ่!”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว


 


“ฮ่าๆๆ เยี่ยมๆ วันนี้ข้ามีความสุขอย่างมาก!”


 


“เอาจริงๆนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเดินทางมายังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายระบำแห่งนี้  เดิมทีข้านั้นมากจากมหาทวีปอู่เซีย!”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาโดยไม่ได้ปิดซ่อนแต่อย่างใดๆ


 


เมื่อใดยินเรื่องนี้หมอปิศาจถึงกับตะลึง และยิ้มออกมา “นับว่าเรามาวาสนาต่อกันจริงๆ!”


 


 


“แล้วเพราะอะไรกันน้องชิงสุ่ยถึงได้เดินทางมายังมหาทวีปแห่งนี้กัน หากมีอะไรให้ข้าช่วยน้องชายสามารถบอกช้าได้ในทันที!”หมอปิศาจกล่าวออกมา


 


“พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว ข้าขอบคุณท่านด้วยใจจริง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าต้องจัดการด้วยตัวเอง คงมิต้องลำบากท่าน  แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ข้านั้นยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาดังกล่าวได้บางทีข้าอาจต้องอยู่ที่อีกสักพักใหญ่ๆ”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว ตอนนี้เขานั้นยังไม่มีข้อมูลอะไรมากนัก เกี่ยวกับมหาทวีปแห่งนี้ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงตัดสินใจที่จะสืบหาข้อมูลก่อนที่จะลงมือ


 


 


“น้องชายไม่ต้องเกรงใจไป หากเจ้ามีปัญหาใดเจ้าสามารถมาหาข้าที่หอคอยจักรพรรดิได้ในทันที  คิดเสียว่าที่แห่งนี้คือบ้านของเจ้าก็แล้วกัน!”หมอปิศาจกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


 


ในไม่ช้า ไม่เร็วพวกเขาก็มาถึง


 


 


หลังออกจากขบวนรถ ชิงสุ่ยทอดสายตามองไปที่ถนนที่ยาวเหยียด กว่าครึ่งเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า ร้านสมุนไพรจำนวนมาก  มันทำให้ท้องถนนแห่งนี้ดูคึกคักอย่างมาก


 


กลิ่นหอมหวนถูกผสมปะปนเข้าด้วยกัน  จนเป็นกลิ่นที่เฉพาะ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่กลิ่นที่เหม็นแต่อย่างใด


 


คนที่เดินอยู่ในที่แห่งนี้ ส่วนมากเป็นพ่อค้าและผู้บ่มเพาะ นอกเหนือจากร้านค้าสมุนไพรที่เรียงรายอยู่ อาจกล่าวได้ว่านี่คือย่านแห่งอาหารก็ว่าได้ ชิงสุ่ยมองไปที่ร้านอาหารที่มีอยู่หลากหลายประเภทและแตกต่างกันไป


 


 


การกินคือ เทียบได้กับอำนาจอย่างหนึ่ง ยิ่งคนที่ล้ำรวยและมีอำนาจเท่าไร พวกเขาจะสามารถตอบสนองความอยากและต้องการของพวกเขาได้ อาหารนั้นก็เป็นเครื่องมอชนิดหนึ่งที่ช่วยตอบสนองกิเลสและความต้องการของคนเรานอกเหนือจากเรื่องเพศ   นอกเหนือจากสิ่งอื่นใดสำหรับอาหารในโลกแห่งนี้ นอกเหนือจากรสชาติที่ล้ำเลิศละมันนั้นยังสามารถช่วยเหลือในการบ่มเพาะได้อีกด้วย ดังมันจึงทำให้อาหารในโลกใบนี้ได้รับความสนใจและเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับทุกๆคน


 


หลังจากที่เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชิงสุ่ยก็เดินมาถึงหอคอยจักรพรรดิที่ตั้งอยู่อย่างประณีตและตระหง่าน ภาพแรกที่แรกพบเจอกับมันทำให้ชิงสุ่ยแทบจะกล่าวอะไรออกมาไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมมันถึงสง่างามเช่นนี้และทำไมถึงดูทรงคุณค่าเช่นนี้


 


 


 


หอคอยจักรพรรดินั้นมีอยู่ 5ชั้น แต่ละชั้นนั้นก็มีความสูงอย่างมาก หนึ่งชั้นนั้นก็สูงกว่าหอคอยหรือคฤหาสน์อื่นๆถึง10เท่า นอกจากนี้มันนั้นยังมีพื้นที่ๆกว้างใหญ่กว่า 1หมื่นลี้อีกด้วย


 


ในตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากเข้าออกที่นั้นอย่างไม่ขาดสาย


 


 


“น้องชิงไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าชมที่แห่งนี้เอง”หมอปิศาจกล่าวอย่างมีความสุข ขณะที่เขามองไปที่หอคอยจักรพรรดิด้วยความภูมิใจ


 


 


ในขณะเข้าไปชิงสุ่ยสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของสมุนไพรมากมาย  ด้วยความสามารถของเขาเขาสามารถแยกแยะมันออกจากกันได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีบางกลิ่นที่เขาไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่ามันคือกลิ่นของอะไร


 


ในไม่ข้าพวกเขาก็ผ่านไปยังขั้นที่สอง ตลอดเส้นทางมีผู้คนมากมายทำความเคารพหมอปิศาจตลอดเส้นทาง แม้แต่ชิงสุ่ยก็ยังสงสัยถึงสถานะของชายคนนี้ ในชั้นที่สองมีคนน้อยกว่าชั้นแรกประมาณครึ่งหนึ่งแต่ถึงอย่างไรมันก็ถือว่ามากมายอยู่ดี นอกจากนี้ในชั้นนี้เขายังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นของสมุนไพรที่รุนแรงขึ้นกว่าชั้นแรก


 


 


 


 


ในขณะนี้ทั้งสองได้เดินไปคุยกันอย่างสนุกสนาน ซึ้งเรื่องที่ทั้งสองได้คุยกันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครๆจะสามารถเข้าใจได้ มันจำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ที่สูงมากที่จะเข้าใจได้


 


 


พวกเขาได้พูดถึงเรื่องของการรักษา การปรุงยา และการทำอาหาร มากมายหลากหลายเรื่อง ในตอนนี้หากใครมาเห็นพวกเขาเข้าคงคิดว่าทั้งคู่นั้นเหมาดังคู่รักที่พึ่งคุยกันก็มิปาน หลักจากคุยกันมาหลายกลายเรื่องในที่สุดพวกเขาก็พูดมาถึงเรื่องวิธีที่จะสามารถยกระดับผู้บ่มเพาะและอายุไข การสร้างยาและอาหารที่สามารถเพิ่มยกระดับผู้บ่มเพาะและอายุไข นั้นเป็นเรื่องยากอย่างมาก นี่เป็นสิ่งที่คนทั่วๆไปไม่เคยพบเจอและลิ้มรสพวกมัน  ในชั้นที่สองนี่เป็นชั้นสำหรับคนที่ฐานะอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้ถือว่าสูงมาก  ในระหว่างทางหมอปิศาจได้แนะนำชิงสุ่ยถึงอาหารและยาจำนวนมากมายให้กับเขา ถึงแม้ยาและอาหารเหล่านี้จะไม่ได้เลิศเท่ากับของที่เขาสร้าง แต่ชิงสุ่ยก็ได้รับความรู้มากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องอาหาร เดิมทีชิงสุ่ยไม่ได้ใส่มันมากนัก เขาเห็นเป็นเพียงเรื่องที่ไร้สาระ แต่ในครั้งนี้การเดินทางมายังหอคอยแห่งนี้ทำให้เขาได้รับประสบการณ์ล้ำค่ามากมาย  มันทำให้เขารู้ว่าเขามองเรื่องอาหารต่ำไปอย่างมาก


 


หลังจากผ่านไปนานมาก พวกเขาก็มาถึงชั้นสูงสุด ชั้นที่ห้า  เมื่อมาถึง ชายที่สวมใส่เครื่องแบบของหอคอยจักรพรรดิได้รีบเดินเข้ามาหาพวกเขา ชั้นที่ห้านั้นไม่ได้ใหญ่โตเหมือนชั้นอื่นๆ มันนั้นมีขนากเพียง10ห้องโถงขนาดใหญ่เท่านั้น ในขณะที่ชายคนนั้นได้เดินทำทางพวกเขาเข้าไปที่ตรงกลางของห้อง


 


 


 


ชั้นที่ห้าไม่ได้มีไว้เพื่อให้ผู้คนเข้ามา มันนั้นเป็นดังหอตำราที่เก็บตัวตำราและของมีค่าเอาไว้และเป็นที่เฉพาะของผู้บริหารหอคอยเท่านั้น


 


ในขณะนั้นชายคนหนึ่งที่ดูเด็กว่าชิงสุ่ยก็เดดินเข้ามา


 


 


“ผู้อาวุโส คุณชายลี่ ต้องการพบท่าน!”


 


“ปล่อยให้เขาเข้ามา!”หมอปิศาจกล่าวและถอนหายใจ


 


ชายคนนั้นรีบถอยหลังออกไปและลงไปชั้นล่าง


 


 


“ชิงสุ่ย  เขานั้นเป็นคนในตระกูลลี่เช่นเดียวกัน และเป็นคนที่ดูแลลี่ อี้ อยู่ แต่ว่าเขานั้นป่วยด้วยโรคประหลาด ที่ข้าไม่รู้  ไว้วันหลังข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง”


 


 


“ท่านหมอ!”


 


 


มองปิศาจลุกขึ้นและกล่าว “หูเฉิง  โปรดนั่งตรงนี้ก่อน”


 


เมื่อเห็นชิงสุ่ย เขาจึงถามออกมา “นี่คือ?”


 


 


“โอ้ ข้าลืมแนะนำเขา เขาเป็นหมอ ที่เก่งมากๆ!” หมอปิศาจกว่า


 


“โอ้ว อย่างนั้นรึ?”ลี่หูเฉิงมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความไม่เชื่อสายตา แต่อย่างไรเขาก็แสดงที่สุภาพออกมา เพราะนี่เป็นคนที่หมอปิศาจแนะนำออกมา


 


 


ชิงสุ่ยมองไปที่ชายที่ผิวขาวซีด พลังหยางในร่างกายของเขาจำนวนมากนั้นได้สูญหายไป จึงทำให้เขามีสภาพเช่นนี้  “ข้าน้อยชิงสุ่ย ยินดีที่ได้พบคุณชายลี่!”


 


“ข้าก็ยินดีที่ได้พบคุณชายเช่นเดียวกัน ไม่ต้องสุภาพมากนักก็ได้ เรียกข้าว่าลี่หูเฉิง เฉยๆก็พอ ในอนาคตหากข้ามีปัญหาอะไรบางทีข้าอาจจะต้องรับกวนท่านก็เป็นได้!”


 


เขานั้นสุภาพอย่างมากแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มากจะตระกูลใหญ่  ชิงสุ่ยเองก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก ที่เขานั้นต่างจากลี่ อี้อย่างมาก เขานึกว่าชายคนนี้จะเป็นเช่นเดียวกับลี่อี้เสียอีก


 


 


“ท่านสุภาพเกินไปแล้ว!”ชิงสุ่ยยิ้มและตอบ


 


ลี่หูเฉิงยิ้มและพยักหน้าก่อนมองไปที่หมอปิศาจ “ท่านหมอ ตกลงอาการป่วยของข้าพอมีทางรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?”


บทที่ 1319 –พิษแมงป่องอสรพิษ


 


เขามองไปที่หมอปิศาจแล้ว ถามอย่างไม่สบายใจ


 


“ขอโทษได้ ข้าช่วยได้เพียงแค่ระงับอาการไว้เท่านั้น”หมอปิศาจกล่าวอย่างทำอะไรไม่ได้


 


 


ความผิดหวังปรากฏบนใบหน้าของเขา เขานั้นรู้ดีเกี่ยวกับสภาพของเขา เขานั้นได้หาหมอมามากมายในชีวิตนี้ แต่ก็มิอาจรักษาได้ ดังนั้นที่พึ่งสุดท้ายของเขาก็คือหมอปิศาจ ดังนั้น เขาจึงคาดหวังไว้มากในครั้งนี้  ในตอนนี้หมอปิศาจนั้นทำได้แค่ระงับอาการของเขาไว้ได้แค่ครึ่งปีเท่านั้น เมื่อครึ่งปีมาถึง เขานั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน นี่อดทำให้เขาหดหู่ไม่ได้


 


 


“ชิงสุ่ย ทำไมเจ้าไม่ลองตรวจคุณชายลี่ดูละ เขาเป็นดีคนหนึ่งนะ”หมอปิศาจกล่าวและยิ้ม


 


 


เมื่อนึกถึงก่อนนี้ หมอปิศาจคาดได้ว่าชิงสุ่ยนั้นต้องมีวิธีต้องรักษาเขาอย่างแน่นอน  คำพูดดังกล่าวทำให้ชิงสุ่ยไม่สามารถปฏิเสธได้ ได้แต่ยิ้มออกมา


 


 


ในตอนนี้เองลี่หูเฉิงได้แต่ยิ้มอ่อนออกมา เพราะเขานั้นเห็นว่าชิงสุ่ยนั้นยังเด็กอยู่ นอกจากนี้เขายังคิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์ขนนาดหมอปิศาจยังไม่รักษาเขาได้ และชายหนุ่มผู้นี้เป็นใคร และเขามีความสามารถมากพอที่จะเทียบกับหมอปิศาจอย่างนั้นรึ?


 


 


“ให้ข้าตรวจชีพจรของท่านหน่อย!”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย เขาไม่ได้ปฏิเสธ และปล่อยให้ชิงสุ่ยตรวจ ซึ่งท่าทางขิงชิงสุ่ยนั้นดูธรรมดาอย่างมาก ทำให้เขาไม่คาดหวังอะไร


 


ไม่ช้าชิงสุ่ยจ้องมองไปที่ลี่หูเฉิงด้วยความตะลึง


 


“ท่านได้รับพิษ?”


 


“พิษเป็นไปไม่ได้?”เขามองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความไม่เชื่อ


 


เมื่อได้ยินชิงสุ่ยกล่าวออกมา หมอปิศาจเองก็ประหลาดใจ  เขานั้นเป็นหมอมายาวนานดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่านี่ต้องไม่ใช่พิษ นอกจากนี้อาการของหูเฉิงก็ไม่ใช่อาการของคนที่ถูกพิษแต่อย่างใด มันเป็นเพราะว่าร่างกายของเขานั้นสูญเสียพลังหยางเท่านั้น มันเป็นอาการที่ไม่สอดคล้องกับคำว่าถูกพิษเลยแม้แต่น้อย


 


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เพราะอาการดังกล่าวนั้นเป็นอาการที่เขาคุ้นเคยอย่างมาก นอกจากนี้มันยังเป็นพิษที่เขารู้จักอีกด้วย “พิษชนิดนี่ลึกลับอย่างมาก มันคือพิษแมงป่องอสรพิษ มันเป็นพิษที่แพร่ผ่านผู้หญิงเท่านั้น คุณชายลี่ ท่านพอจะนึกออกหรือไม่ว่าท่านได้รับมาจากใคร?”


 


นี่เป็นอีกครั้งที่เขาประหลาดใจ พิษชนิดนี้นั้นจะไม่มีอันตรายกับผู้หญิง แต่ตรงข้ามมันจะเพิ่มเสน่ห์และความงามให้กับผู้หญิงคนนั้นหลายเท่า แต่เมื่อใดที่มีชายใดติดต่อสัมพันธ์กับเธอ ผู้ชายคนนั้นก็จะได้รับพิษจากเอด้วย นอกจากนี้มันเป็นพิษที่พิเศษไม่สามารถตรวจพบได้อย่างง่ายๆ จึงยากที่จะรู้ว่าโดนพิษมายังไง หากปราศจากผู้รู้จริง


 


“แล้วท่านสามารถรักษามันได้รึไม่?”ตอนนี้ใบหน้าของเขากลับมามีความหวังอีกครั้งหนึ่ง


 


 


“ข้าสามารถทำได้ แต่มันจะดีกว่าหากท่านได้รับยาแก้พิษ มิฉะนั้นมันจะกระทบต่อการบ่มเพาะในอนาคตของท่าน” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างใจเย็น


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว ไว้ข้าจะมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อแสดงคำขอบคุณ ตอนนี้ข้ามีธุระที่ต้องรับจัดการ ข้าขอตัวก่อน”


 


……..


 


 


“ทักษะการแพทย์ของน้องชิงสุ่ยนั้นน่าอัศจรรย์จริง”หมอปิศาจกล่าวด้วยความชื่นชม


 


ชิงสุ่ยไม่ไดกล่าวอะไรออกมา ยกเว้นถามเรื่อง “จริงสิพี่ใหญ่ ท่านรู้จักตระกูลอี่หวง หรือไม่?”


 


 


“แน่นอน พวกเขาเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งอย่างมากนอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่ามีผู้บ่มเพาะบัญชาสวรรค์พินาศอยู่ในตระกูลพวกเขาอีกด้วย”หมอปิศาจกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว นี่เป็นเรื่องทั่วๆไปที่ใครๆก็รู้ นอกจากนี่ผู้บ่มเพาะบัญชาสวรรค์พินาศนั้นก็เป็นตัวตนที่ได้รับความเคารพอย่างมากในทวีปแห่งนี้


 


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยแอบตกตะลึง ที่อี่หวง กู่หวู่นั้นเป็นคนของตระกูลที่แข็งแกร่งอย่างมาก ถึงอย่างไรก็ตามเรื่องนี้มันยิ่งทำให้เขาอย่างสงสัย ทำไมเธอถึงต้องหนีไปอยู่ทวีปอู่เซียด้วยละ ในเมื่อตระกูลของเธอแข็งแกร่งขนาดนี่?


 


 


“พี่ใหญ่หากเทียบพวกเขากับตระกูลลี่ละ?”ชิงสุ่ยยิ้มและถาม


 


“ฮ่าๆไม่สามรถเทียบกันได้หรอก ถึงตระกูลลี่จะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ปราศจากผู้บ่มเพาะบัญชาสวรรค์พินาศ มันเป็นเรื่องยากที่จะเทียบความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขา”หมอปิศาจกล่าวและส่ายหน้า


 


 


ในอดีตเขาเคยพยายามอย่างมีที่จะเข้าร่วมกับตระกูลอี่หวง แต่ด้วยความรู้ทางการแพทย์ของเขานั้นยังอ่อนด้อยเกินไปจึงทำให้เขานั้นไม่ได้รับเลือก นี่คือเรื่องที่เขาไม่ได้กล่าวออกมาในตอนนี้ นอกจากนี้ ทวีปแห่งนี้ก็ยิ่งใหญ่อย่างมาก มีหมอที่เก่งกาจมากมายอาศัยอยู่ดังนั้น เขาจึงไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่ได้รับเชิญ


 


 


“แล้วพี่ใหญ่พอจะรู้เรื่องพระราชวังจอมอสูรหรือไม่?”ชิงสุ่ยคิดอยู่นานก่อนที่จะถามออกมา


 


 


 


“พระราชวังจอมอสูร นั้นไม่ได้ตั้งอยุ่ในทวีปใด แต่อยู่ระหว่างรอยต่อระหว่างสี่ทวีป ถึงย่างไรก็ไม่มีใครเคยพบที่ตั้งจริงๆของพวกเขา นอกจากนี้พวกเขานั้นยังไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนของ4ทวีปอีกด้วย!”หมอปิศาจกล่าวออกมาอย่างจริงจัง


 


 


“ทำไมเป็นเช่นนั้นละ?”ชิงสุ่ยถามด้วยความงงงวย


 


 


“เพราะว่าพระราชวังจอมอสูรไม่ได้รับการยอมรับจากนิกายเทวะราชราชันย์ และเป็นเป้าหมายที่ต้องถูกกำจัด  จึงทำให้พวกเขานั้นเป็นศัตรูกับนิกายอื่นๆจำนวนมาก!”หมอปิศาจมองดูไปที่ชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ


 


 


แต่อย่างไรเขาก็ไม่ได้ถามอะไรชิงสุ่ยกลับ เขารู้ดีชิงสุ่ยนั้นต้องมีความลับของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ถามออกมาเพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ถ้าเขาอยากเล่าเขาจะเล่าออกมาเอง นอกจากนี้คงไม่ใช่ประโยชน์มากนักหากรู้เรื่องบางเรื่องที่ไม่จำเป็นมากไป


 


ชิงสุ่ยนั้นต้องการไปยังพระราชวังจอมอสูรแต่เขาก็รู้ดีว่ามันยังไม่ใช่ตอนนี้ เขานั้นยังอ่อนแอเกกินไป หากไปในตอนนี้เขานั้นก็จะเป็นแค่ตัวถ่วงเท่านั้น


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบเขานั้นต้องการไปหาเธออย่างมาก นี่เป็นเหตุผลที่เขานั้นรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแออย่างมาก มันทำให้เขานั้นไม่เคยละความพยายามในการฝึกฝนในทุกๆวัน


 


 


“พี่ใหญ่ ข้าอยากลองศึกษาขั้นตอนการทำอาหารและศึกษาความรู้ของหอคอยจักรพรรดิ ได้รึไม่?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวกับหมอปิศาจ


 


“ได้เลย  จริงสิหากเจ้าต้องการสิ่งของใดๆในหอคอยแห่งนี้เจ้าสามารถนำมันไปได้เลย ข้ามอบมันให้กับเจ้า!”


 


“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้ ข้าแค่จะของศึกษาการทำอาหารและตัวยาบางอย่างเท่านั้น กับต้องการข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับทวีปแห่งนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ข้าก็ไม่ต้องการใช่ความสัมพันธ์ของเราเพื่อหาประโยชน์จากความมั่งคั่งของท่าน ข้านั้นนับถือท่านด้วยใจ เลยได้แลกเปลี่ยนความรู้กับท่านๆเป็นคนแรกที่ข้านั้นยอกมแลกเปลี่ยนความรู้ด้วย นั้นเพราะท่านเป็นคนดี”ชิงสุ่ยยิ้มและพูด


 


“เยี่ยม เยี่ยมมาก ที่ข้ามีพี่น้องดีๆเช่นเจ้า เจ้าถือเป็นครอบครัวคนแรกของข้าก็ว่าได้ จริงสิข้าลืมบอกเจ้าไปข้านั้นยังไม่แต่งงาน ถึงจะข้าจะมีคนที่ข้ารักแต่นางก็อยู่สูงเกินที่ข้าจะคว้าลงมา  ถึงจะมีสหายมากมาย แต่ทั้งหมดเข้าหาข้าเพราะความมั่งคั่ง ทักษะการแพทย์ของข้า ไม่มีใครเลยที่เข้าหาข้าด้วยใจจริง”หมอปิศาจยิ้มและกล่าวอย่างโดดเดี่ยว


 


ชิงสุ่ยนั้นรู้แปลกใจอย่างมากที่ชายคนนี้เปิดเผยเรื่องของเขาออกมา รวมไปถึงคนรักที่เขามิอาจ เอื้อมอีกด้วย


 


 


“พี่ใหญ่ข้าขอเสียมารยาท ทำไมท่านถึงไม่แต่งงานละหรือว่าท่านไม่ต้องการมีบุตรอย่างนั้นรึ? ”ชิงสุ่ยมองไปที่ชายชรา


 


“เมื่อสามร้อยปีก่อน ข้าได้ทดลองตัวยาบางอย่างทำให้ร่างกายของข้าได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถมีลูกได้ จึงทำให้ข้านั้นมิอาจขอคนรักของข้าแต่งงาน” นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจจนถึงปัจจุบัน


 


แม้ว่าอายุของเขาจะมากแล้ว แต่ด้วยการบ่มเพาะของเขานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีภรรยา แต่ด้วยความผิดปกติทางร่างกายของเขาจึงทำให้เขาไม่กล้าที่จะเปิดใจออกมา แม้ว่าคนรักจะยังอยู่ใกล้ๆเขาไม่จากไปไหนก็ตาม นอกจากนี้ยิ่งเธอดีกับเขามาเท่าไร เขาก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นเท่านั้นที่ไม่อาจขอเธอแต่งงานได้


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยคว้าลงไปที่ข้อมือของเขาและจับชีพจรของเขา ชิงสุ่ยเองตกใจอย่างมากแม้ว่าเขาจะมีฝีมือการแพทย์ที่ล้ำเลิศ แต่เขาก็ไม่สามารถรักษาจุดจื้อหยางที่ได้รับบาดเจ็บได้ แม้มันจะไม่มีผลต่อการบ่มเพาะหรืออายุไข  แต่มันก็ส่งผลให้พลังหยางในร่างหายของเขาผิดปกติ และไม่สามารถร่วมรักได้


 


 


หลังจากคิดอย่างละเอียดชิงสุ่ยจึงกล่าวกว่า “ข้าไม่มั่นใจมากนักว่าจะรักษาอาการของท่านได้ แต่ก็มีโอกาส50:50ที่ท่านจะหายดี ท่านยินดีทดลงหรือไม่?”ชิงสุ่ยถามออกมา


 


“จริงรึ?”หมอปิศาจกล่าวออกมาอย่างตกตะลึง


 


“ข้าสามารถใช้การฝังเข็มของข้ากระตุ้นศักยภาพของท่านขึ้นมาได้ แต่ที่เหลือก็ขึ้นกับร่างกายของท่านจะมีความสามารถเพียงพอที่จะฟื้นตัวหรือไม่!”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาอย่างจริงจัง


 


ชิงสุ่ยวางแผนที่จะกระตุ้นการบ่มเพาะของเขาเพื่อกระตุ้นพลังหยางของหมอปิศาจให้กระจายออกมา เมื่อพลังหยางของเขากระจายออกมาจะให้ร่างกายของเขาฟื้นตัวและรักษาอาการบาดเจ็บของเขา แต่ถึงอย่างก็ต้องขึ้นกับว่าร่างกายของเขาจะฟื้นตัวได้ขนาดไหน นั้นเพราะว่าเขาได้รับบากเจ็บมาเป็นเวลานานแล้ว


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยหยิบน้ำทิพย์แห่งฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตออกมา ด้วยผลของมันจะทำให้เขามีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น80% ในตอนนี้เข็มแห่งชีวิตและความตายได้ปักลงที่ร่างกายของหมอปิศาจ


 


อย่างช้าๆกลิ่นอายสีเทาได้ถูกปลดปล่อยออกมาที่ตัวเข็ม ในขณะที่ชิงสุ่ยได้ใช้เพลิงแรกเริ่มของเขา เผาลงไปที่ตัวเข็มเพื่อกำจัดกลิ่นอายเหล่านั้นในทันที   นี่เป็นปราณที่ผิดปกติที่ฝังอยู่ในร่างกายของชายชรา ทางเดียวที่จะช่วยเขาได้คือต้องกำจัดมันออกไปเท่านั้น


 


ในไม่ใช่ชิงสุ่ยได้กระตุ้นพลังชีวิตของชายชรา ผิวหนังของเขาค่อยเปลี่ยนสีไปและค่อยชะล้างเอาสิ่งสกปรกออกมา เลือดในร่างกายของเขาได้สูบฉีดไปทั่วๆร่างกายของเขา  ในตอนนี้ใบหน้าของเขาตเมได้วยความเจ็บปวดแต่ก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม


 


ครึ่งของครึ่งชั่วยามผ่านไป สิ่งสกปรกได้ถูกชำระออกมาจนเสร็จสิ้น


 


 


ด้วยผลของเข็มแห่งชีวิตและความตายทำให้ชิงสุ่ยสามารถรักษาเขาได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าในชีวิตหนึ่งจะสามารถใช่เข็มแห่งชีวิตและความตายกับร่างกายได้หนึ่งครั้งเท่านั้น แต่นี่ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งครั้งที่ยิ่งใหญ่กับชายชราอย่างมาก นอกจากร่างกายที่ถูกระตุ้นแล้ว เส้นลมปราณทั้งหมดของเขายังได้ถูกปรับแต่งให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย เท่านี้ก็ถือว่าคุ้มค่าอยากมากแล้วสำหรับเขา


 


เข็มแห่งชีวิตและความตาย นั้นสมผลแล้วที่เรียกว่าสิ่งประดิษฐ์แห่งตำนาน!


 


 


เมื่อชายชราเห็นคราบสิ่งสกปรกที่กระจายออกมา ชิงสุ่ยก็ได้ดึงเข็มของเขาออกมา ก่อนที่จะกล่าวออกมา “พี่ใหญ่ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?”


 


“ข้ารู้สึกดีอย่างมาก มีพลังไหลเวียนทั่วๆร่างกายของข้า!”


 


“ฮ่าๆ ยินดีด้วย ในอีกหนึ่งปีข้าหน้าร่างกายของท่านจะกลับไปเป็นปกติ เมื่อถึงเวลานั้นท่านก็สามารถมีบุตรได้แล้ว”ชิงสุ่ยกล่าวและยิ้มออกมา


 


“จริงๆรึ?”


 


“ข้าจะโกหกท่านทำไม”ชิงสุ่ยมองไปที่หมอปิศาจที่กำลังมีความสุขอย่างมาก มันทำให้เขามีความสุขเช่นเดียวกัน การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เขามีความสุขอย่างมาก


 


ในตอนนี้หมอปิศาจกำลังมีความสุขอย่างมากจนลืมสำเร็จร่างกายของเขา ในขณะที่เขากำลังสำรวจร่างกายของเขา มันทำให้เอาต้องตกใจอย่างขีดสุด ก่อนที่จะมองไปที่ชิงสุ่ยที่กำลังเดินลงไปข้างล่าง


 


 


เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการบ่มเพาะของเขาจะแข็งแกร่งข้น นอกจากนี้ร่างกายของเขาก็ดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างมาก


 


 


ในตอนนี้ร่างกายของเขากลับมาเต็มไปด้วยพลัง ขณะที่เข้าลุกและยืนขึ้น มองไปที่กระจก ในตอนนี้ร่างกายของเขากลับดูอ่อนวัยราวกับวัยกลาง  แม้สิ่งนี้จะสามารถบ่มเห็นได้เมื่อยกระดับขึ้น แต่นี่ก็ไมได้เกิดขึ้นบ่อยๆกับทุกคน เขาได้แต่มองไปที่แผ่นหลังของชิงสุ่ยด้วยร้อยยิ้มปนน้ำตา ที่เต็มไปด้วยคำว่าขอบคุณ…………

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม