Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล 1306-1312
บทที่ 1306 – ตะเกียงร้อยวิญญาณระดับที่หก มุ่งหน้าสู่นิกายรูปแบบอมตะ ความตกใจของผู้อาวุโสเฮยและผู้อาวุโสไป๋
ยาเม็ดชีพหวนคืน ชิงสุ่ยจำได้ว่าเขามีพวกมัน 10 เม็ด แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นแบบเดียวกันไหม นอกจากนั้นเขายังไม่รู้เลยว่ามันมีผลของการเกิดใหม่หรือไม่ ทันทีที่เขาคิดถึงจำนวนค่าประสบการณ์อันมหาศาล เขาก็ปวดหัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามันมีเพียงวิธีเดียวคือการที่เขาต้องรวบรวมค่าประสบการณ์อย่างช้าๆ
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมา 2-3 วันแล้ว ชิงสุ่ยก็เอนกายลงพักผ่อนทันที เขาปรับแต่งอาวุธทันทีเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่ว่าในกรณีใดเขาไม่สามารถหาส่วนผสมของน้ำหอมมรกตทองคำได้
มันอาจเป็นไปได้ว่าสิ่งดีๆมักมาคู่กันเสมอ ระดับตะเกียงร้อยวิญญาณเริ่มที่จะกระเตื้องขึ้น
เช่นนี้ชิงสุ่ยจึงตื่นเต้นมาก แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาจะมีมากกว่าพลังของสัตว์อสูร แต่พลังปกติของเขาก็ยังต่ำกว่า 8,000 สุริยา แม้ว่าเขาจะใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะมีพลังเพียง 30,000 สุริยาเท่านั้น ในความเป็นจริงมีข้อกำจัดบางประการอยู่ เขาต้องใช้เวลาในการเตรียมพร้อมตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญ เวลาเพียงน้อยนิดก็มีส่วนสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะ โชคดีที่เขามีทักษะย่างก้าว 9 เทวาและสิ่งอื่นๆ มันง่ายสำหรับเขาที่จะโดนขัดขวางในจังหวะที่ปลดปล่อยตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์
ตะเกียงร้อยวิญญาณได้มาถึงระดับที่หกแล้ว หัวใจของชิงสุ่ยสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น เขาพยายามสัมผัสถึงพลังของวิหคเพลิงซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เขาเรียกมันและเริ่มสื่อสารกัน ในท้ายที่สุดเขาเผยรอยยิ้มแห่งความสุข ตามที่เขาคิด ความแข็งแกร่งของวิหคเพลิงเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า มันอาจส่งผลต่อสัตว์อสูรที่โจมตีด้วยพลังวิญญาณเท่านั้น
พลังโจมตีของวิหคเพลิงเพิ่มขึ้นถึง 8,000 สุริยาทันที นี่เป็นสิ่งที่น่าเกรงขาม ก้าวต่อไปชิงสุ่ยเล็งไปที่การเพิ่มระดับให้กับกลองสะบั้นสวรรค์ ด้วยการทำเช่นนี้ พลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำก็จะเพิ่มขึ้น
ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากกว่าการได้รับสิ่งดีๆพร้อมกันถึงสองอย่าง
เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ มันก็เป็นเวลาช่วงบ่ายแล้ว เหล่าหญิงสาวคุ้นเคยกับนิสัยของชิงสุ่ย ปกติพวกเธอจะไม่ไปเรียกเขา พวกเธอจะรอให้เขาเป็นคนออกมาเอง
เมื่อชิงสุ่ยออกมาจากห้องนอน เขาก็ต้องตะลึง เพราะเขาได้เห็นองค์หญิงใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้องนั่งเล่น เมื่อเธอเห็น ชิงสุ่ยออกมาจากห้อง เธอก็ยืน “เจ้าหิวหรือไม่? ข้าจะได้ไปอุ่นอาหารแล้วนำมาให้เจ้า!
เมื่อเห็นว่าองค์หญิงใหญ่เปลี่ยนไป ชิงสุ่ยรู้สึกพึงพอใจมาก นั่นเป็นความพึงพอใจที่เขารู้สึกในฐานะผู้ชาย ครั้งแรกที่เขาเห็นเธอคือท่ามกลางฝูงชน เธอเจิดจรัสเหมือนดวงจันทร์ยามราตรี แม้ว่าเธอจะดูหัวโบราณทั้งการแต่งกายและสวมหมวกไม้ไผ่ แต่เธอก็ยังสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนรอบตัวได้เสมอ
แต่ตอนนี้เธอได้กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ความรู้สึกระหว่างชายและหญิงเป็นสิ่งที่สวยงาม มันไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้
“ข้ายังไม่หิว ข้าไม่ได้อ่อนแรง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าจำเป็นต้องพักให้มากเพื่อฟื้นฟูร่างกาย” ชิงสุ่ยยิ้มและนั่งลงพร้อมกับเอามือโอบไปที่รอบเอวของเธอ
ขณะที่ชิงสุ่ยพูดถึงเรื่องร่างกายของเธอ องค์หญิงใหญ่ก็เกิดอาการเขินอาย ความงดงามและมีเสน่ห์ปรากฏบนใบหน้าของเธออย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้
……
ชิงสุ่ยได้รับการเตือนจากชุ่ยเฟิงผู้ที่เป็นหนึ่งในคนจากนิกายรูปแบบอมตะ เขารู้สึกว่าพวกเขารู้เรื่องนิกายพุทธองค์ทองคำและตระกูลเป่ยถังไม่มากก็น้อย เขาคิดถึงเรื่องนี้และออกเดินทางหลังจากพักอยู่ประมาณวันหรือสองวัน
ชิงสุ่ยมุ่งตรงไปทางแท่นเคลื่อนย้ายบรรพกาล ในอดีตเขาไม่สามารถไปตอแยกับนิกายอื่นเช่นนิกายรูปแบบอมตะได้ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่ในสายตาของเขาแล้ว
ภายในเวลาอันรวดเร็ซเขาก็มาถึงจักรวรรดิอวี้เพียง 2-3 วัน ชิงสุ่ยมุ่งไปที่นิกายรูปแบบอมตะทันที ก่อนหน้านี้เขารู้แค่ตำแหน่งที่ตั้งคร่าวๆของมัน แต่ตอนนี้องค์หญิงใหญ่ได้บอกตำแหน่งที่แม่นยำให้กับเขา
ชิงสุ่ยไปตามตำแหน่งและค้นพบนิกายรูปแบบอมตะได้อย่างรวดเร็ว เขาอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยภูเขา พวกมันดูเป็นธรรมชาติ ชิงสุ่ยแอบดูและพบกับความประหลาดใจ
ประตูบานใหญ่ของนิกายรูปแบบอมตะดูยิ่งใหญ่และน่าประทับใจ ประตูถูกปรับแต่งมาจากยอดเขาสูง ส่วนตรงกลางของมันถูกเจาะออกและสร้างเป็นประตู ด้านบนของมันมีคำว่านิกายรูปแบบอมตะเขียนเอาไว้ ในขณะที่ด้างล่างมีบันไดวนที่ทำจากหิน
บริเวณภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอก มันค่อนข้างที่จะพร่ามัว ตรงทางเข้ามียามอยู่ประมาณ 10 คนหรือมากกว่า พวกเขาทั้งหมดแต่งกายด้วยเครื่องแบบของนิกายรูปแบบอมตะ พวกเขาดูหมดกำลังใจและเหนื่อยล้า แต่เมื่อพวกเขาเห็นชิงสุ่ยปรากฏตัว พวกเขาทุกคนก็เข้มแข็งขึ้น
“เจ้าเป็นใคร? มีธุรกิจอะไรกับนิกายรูปแบบอมตะของพวกเรา?”
ชายวัยกลางคนมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยท่าทางที่ดูถูกและถาม น้ำเสียงของเขาฟังดูเป็นคนชอบสั่งการ
ชายคนนี้มีชื่อว่า ‘หง กวง’ เขาเป็นหัวหน้าผู้รักษาการณ์ โดยปกติเขาจะจงใจทำสิ่งต่างๆให้ดูยุ่งยากเพื่อความสนุก เขามีสายตาที่แหลมคม เมื่อใดที่เขาพบคนปกติธรรมดา เขาจะทำตัวยุ่งยากและพยายามโชว์ตัวเอง ในขณะที่หากเขาพบคนที่คิดว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง เขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาวิธีใช้ประโยชน์จากพวกเขา
หงกวงสามารถบอกได้ว่าชิงสุ่ยไม่ใช่คนธรรมดา เพราะฉะนั้นเขารู้สึกว่าชิงสุ่ยจะได้ประโยชน์มากกว่าเขา เขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่ยืดหลังขึ้นตรงอีกเล็กน้อย
“ข้ามาที่นี่เพื่อพบใครบางคน” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
“พบใครบ้างคน? ใคร?”
“ชุ่ยเฟิง หรือผู้อาวุโสเฮย หรือผู้อาวุโสไป๋ก็ได้” ชิงสุ่ยมองไปที่หงกวงและยิ้ม
“พวกเขาไม่ยินดีพบคนภายนอก โปรดกลับไปซะ!” หงกวงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“นั่นหมายความว่าเจ้าไม่ยอมให้ข้าเข้าพบหรือ?” การแสดงออกของชิงสุ่ยยังคงเหมือนเดิม
“เจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดงั้นหรือ? พวกเขาไม่พบคนนอก”
ชิงสุยส่ายศีรษะและใช้ฝ่ามือผลักหงกวงออกไปก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัว ชิงสุ่ยรู้อยู่แล้วว่าพวกที่เฝ้าประตูนั้นเป็นแบบไหน หงกวงต้องเป็นญาติของผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งในนิกายรูปแบบอมตะ นี่เป็นเหตุผลที่เขากล้าหยาบคายกับผู้อื่น
“ช่างกล้านัก เจ้ากล้าจริงๆที่มาสร้างปัญหาในนิกายรูปแบบอมตะ! จับมัน! “
“ฆ่ามัน!”
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่รีบเข้าไปรายงานสถานการณ์ นี่คือสิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการ
เมื่อมองไปที่กลุ่มคนซึ่งพุ่งเข้ามาหาเขา ชิงสุ่ยไม่ได้ตกใจอะไร เขารีบสกัดไว้ด้วยพลังวิญญาณ ภายในเวลาอันรวดเร็วสัตว์อสูรบินได้ขนาดใหญ่ 2-3 ตัวก็บินมาจากที่ไกลๆ ชิงสุ่ยเห็นอินทรีบินอยู่ท่ามกลางพวกมัน เขารู้สึกยินดี
สองผู้อาวุโสจากนิกายรูปแบบอมตะเดินทางมาถึงที่นี่ ชิงสุ่ยจำได้อย่างชัดเจนในตอนนั้นเมื่อผู้อาวุโสเฮยต้องการนำตัวเขาไปเป็นศิษย์ส่วนตัว มันเพิ่งจะผ่านไปเพียง 2 ปีนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้พบกันครั้งล่าสุด
ชิงสุ่ยไม่เห็นชุ่ยเฟิง สุดท้ายแล้วเขาจึงเห็นแค่ผู้อาวุโสเฮย ผู้อาวุโสไป๋ และชายชราอีกคน แม้หลังจากผ่านไป 2 ปีแล้วก็ตาม พวกเขายังคงอยู่ที่ระดับผู้พิทักษ์ธรรมระดับต้น อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาพัฒนาขึ้นเล็กน้อย
“นิกายรูปแบบอมตะยินดีต้อนรับ ข้าอยากรู้ว่าเจ้ามีธุระอะไรถึงมาที่นี่หรือ?” ชายชราร่างผอมผู้มีใบหน้าอันบริสุทธิ์กล่าว
“ข้ามาที่นี่เพื่อพบชุ่ยเฟิง เขาเป็นพี่ชายของข้า” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
ความแข็งแกร่งของชายชราตั้งแต่สมัยก่อนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้ แต่พลังของเขาก็เพียงประมาณ 3,000 สุริยา อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งในนิกายรูปแบบอมตะ
“ชุ่ยเฟิง? โอ๊ะ ผู้อาวุโสลี่ไปถามชุ่ยเฟิงมาโดยเร็ว” ชายชราตกตะลึงและพูด ชายชราคนหนึ่งข้างๆเขารีบออกไปอย่างรวดเร็ว
“เป็นเจ้านั้นเอง? มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
ทันใดนั้นผู้อาวุโสเฮยก็หันมามองชิงสุ่ยด้วยความกลัว เขาตกตะลึง เขาจำได้ว่าเป็นชิงสุ่ยหลังจากได้ยินว่ามาที่นี่เพื่อพบชุ่ยเฟิง
“ผู้อาวุโสเฮย ผู้อาวุโสไป๋ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง พวกท่านเป็นอย่างไร?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว ย้อนกลับไปชายชราทั้งสองถือว่าไม่ธรรมดา พวกเขาค่อนข้างหยิ่ง แน่นอนว่าสถานะชองพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามาถโต้แย้งได้ พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ธรรม ในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกผู้พิทักษ์ธรรมระดับต้นถือว่าน่ายกย่องมากในทวีป มีเพียงจักรวรรดิหรือนิกายเท่านั้นที่จะมีผู้คนเหล่านี้จำนวนมาก
“เป็นเจ้าจริงๆ……” แม้แต่ผู้อาวุโสไป๋ก็พบว่ามันยากมากที่จะเชื่อ
ณ ตอนนั้น ผู้อาวุโสเฮยต้องการตัวชิงสุ่ยไปเป็นศิษย์ของเขา เขาสัญญาว่าจะทำให้ชิงสุ่ยกลายเป็นผู้พิทักษ์ธรรมระดับต้นคนแรกในรอบ 100 ปี ตอนนี้เขาคิดถึงสิ่งที่เคยพูดไว้ เขารู้สึกเหมือนกำลังตบหน้าตัวเอง ใบหน้าของเขามืดมนในทันที
“ผู้อาวุโส พวกท่านรู้จักชายคนนี้ด้วยหรือ?” ชายชราคนหนึ่งถามอย่างรวดเร็ว มีร่องรอยของความเลื่อมใสปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
“เขามาจาก 5 มหาทวีปเมื่อ 2 ปีก่อน เขาใช้คือแท่นเคลื่อนย้ายบรรพกาลซึ่งได้รับการคุ้มครองโดยนิกายรูปแบบอมตะ เมื่อตอนนั้นความแข็งแกร่งของเขามีเพียงประมาณ 200-300 เมฆาเท่านั้น” ผู้อาวุโสไป๋กล่าว
ชายชราคนอื่นๆตะลึงอยู่นานพอตัวหลังจากได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสไป๋ พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นการสูญเสียที่ไม่ได้ดึงตัวเขาเข้ามาในนิกายรูปแบบอมตะ
ตอนนี้ชุ่ยเฟิงปรากฏตัวขึ้นข้างๆผู้อาวุโสคนก่อนหน้าที่จากไป ชุ่ยเฟิงมองไปที่ชิงสุ่ยและกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “น้องชิงสุ่ย!”
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ เขารีบทักทายเหล่าผู้อาวุโสและชายชราที่ยืนอยู่ตรงกลาง ชายชราที่ยืนอยู่ตรงกลางคือผู้นำนิกายรูปแบบอมตะ คนอื่นๆแสดงท่าทีผิดปกติเมื่อชุ่ยเฟิงทักทายพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้สึกเสียวสันหลังเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ ท่านอยู่ที่นี่เอง” ชิงสุ่ยและชุ่ยเฟิงทั้งสองแตะไหล่ของกันและกัน นี่ทำให้คนอื่นๆรู้สึกแปลกใจจริงๆ ผู้ที่อ่อนแอซึ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขากลับได้เป็นพี่ใหญ่
ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็พบว่าชุ่ยเฟิงโชคดีมาก เพราะตอนนี้มันเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่ได้เป็นสหายกับชิงสุ่ย มันยากที่จะสร้างมิตรแท้ในตอนนี้ แน่นอนว่ามิตรภาพที่พวกเขามีต่อผู้อื่นในตอนนี้เป็นสิ่งที่มีอะไรแอบแฝง
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้างในนิกายรูปแบบอมตะ?” ชิงสุ่ยถามในขณะที่มองชุ่ยเฟิงซึ่งดูสง่างามเหมือนปกติ
“ข้าสบายดี!”
ไม่ว่าในกรณีใดชุ่ยเฟิงก็ยังคงถือว่าเป็นอัจฉริยะที่ดีภายในนิกายรูปแบบอมตะ แม้ว่ากลุ่มของเขาอาจเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดในนิกาย แต่ตัวเขาเองก็ยังคงเป็นบุคคลที่นิกายรูปแบบอมตะให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นชายชราคนอื่นจึงมีแผนอยู่ในใจหลังจากที่ได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างชิงสุ่ยและชุ่ยเฟิง
“เอาเถอะ ทำไมเจ้าไม่เข้าไปข้างในนิกายรูปแบบอมตะหล่ะ พวกเราค่อยเข้าไปคุยกันต่อข้างในได้” หัวหน้ากลุ่มของการสร้างนิกายอมตะได้ยึดโอกาสและกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ใช่ น้องชิงสุ่ย พวกเราไปคุยกันข้างในเถอะ!”
บทที่ 1307 – จักรวรรดิปราณทวะ นิกายพุทธองค์ทองคำแห่งมหาทวีปอู่เซียตะวันตก อีกครั้งที่ได้ยินชื่อของจักรวรรรดิอุดรเทวะ
ชิงสุ่ยพยักหน้าและเดินเข้าไปในนิกายรูปแบบอมตะพร้อมกับทุกคน สภาพแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยรูปแบบ สิ่งนี้ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางของพวกเขาถึง 99% ภายในเวลาอันสั้น พวกเขาก็มาถึงพระราชวังศิลา
พระราชวังศิลามีขนาดใหญ่มากและภายในสะอาดหมดจด ส่วนใหญ่สิ่งของทั้งหมดเงาวับและทำมาจากศิลาที่สะอาด พวกมันดูเหมือนศิลาหยกมาก โลกนี้เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาเคยรู้จักในภพก่อนหน้านี้ หลายสิ่งที่เคยได้ยินหรือจินตนาการในอดีตกลายมาเป็นสิ่งของปกติรอบๆตัวเขาที่นี่
“น้องชาย เจ้าอยู่ที่ไหนในตอนนี้?” ชุ่ยเฟิงรู้ว่าชิงสุ่ยอยู่กับถานท่ายหยวน ดังนั้นทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย อย่างไรก็ตามแม้ว่าเทือกเขาปู๋โถวจะไม่ยอมรับสาวกชาย แต่ก็ยังง่ายสำหรับพวกเขาที่จะช่วยให้ชิงสุ่ยหานิกายอยู่ เขาเป็นคนหนึ่งที่รู้ดีว่าชิงสุ่ยมีพรสวรรค์ แน่นอนว่าไม่นานก็จะมีนิกายเข้ามาเชื้อเชิญชิงสุ่ย
ในขณะนี้เขารู้แค่ว่าชิงสุ่ยแข็งแกร่งมาก แต่จะแข็งแกร่งมากแค่ไหน เขายังไม่ค่อยแน่ใจ อย่างไรก็ตามด้วยการตัดสินจากท่าทีประหลาดใจของเหล่าผู้อาวุโสและสายตาของผู้นำนิกาย เขารู้อย่างแน่ชัดว่ามันช่างน่าเกรงขาม
ชุ่ยเฟิงรู้ว่าเทือกเขาปู๋โถวทรงพลังมาก แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะสามารถเทียบเคียงกับสำนักสวรรค์เร้นลับได้ ในทางกลับกันนิกายรูปแบบอมตะเป็นเพียงแค่นิกายระดับหนึ่ง
“ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่เมืองเหยียน หลังจากนั้นข้าก็เดินไปที่สำนักสวรรค์เร้นลับ วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อขอบางสิ่งบางอย่างจากพี่ใหญ่และใช้เวลาอยู่กับท่าน ก่อนหน้านี้ข้ายุ่งมาก เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่สามารถทำมันได้” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้างหล่ะ?” ชุ่ยเฟิ รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาจะช่วยชิงสุ่ยได้อย่างไร
“นิกายรูปแบบอมตะคอยปกป้องแท่นเคลื่อนย้ายบรรพกาลมานานหลายปี ข้าอยากรู้ว่านิกายพุทธองค์ทองคำใน 5 มหาทวีปคือนิกายเดียวจกันจากมหาทวีปอู่เซียตะวันตกหรือไม่ มันจะใช้เวลามากเกินไปถ้าข้าพยายามค้นหาข้อมูลนี้เพียงลำพัง ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน”
“นิกายพุทธองค์ทองคำ? ตระกูลเป่ยถัง หนึ่งในสันเขาราชันย์ราชสีห์งั้นหรือ?” ชุ่ยเฟิงกล่าวในขณะที่เขามองไปที่ชิงสุ่ย
“ถูกต้อง!”
“นิกายพุทธองค์ทองคำตั้งอยู่ภายในจักรวรรดิปราณทวะ นิกายพุทธองค์ทองคำเป็นที่นิยมมากในจักรวรรดิดังกล่าว แม้ว่าจะเป็นจักรวรรดิระดับหนึ่ง แต่ก็มีสถานะที่สูงมากในจักรวรรดิปราณทวะและยังเป็นปริศนาที่ลึกลับจริงๆ”
ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับข่าวเกี่ยวกับนิกายพุทธองค์ทองคำเร็วๆนี้ มันทำให้เขามีความสุขจริงๆ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีตำแหน่งของมันแล้ว สิ่งต่างๆดูเหมือนจะแตกต่างจากนิกายพุทธองค์ทองคำใน 5 มหาทวีป แม้จะเป็นจักรวรรดิระดับหนึ่ง แต่พวกเขาก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียว แต่แน่นอนถ้าพวกเขาถูกรังแกโดยผู้มีอำนาจอื่นๆ มันก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้เช่นกัน …
“ตระกูลเป่ยถังเป็นแซ่ของตระกูลราชวงศ์ในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกซึ่งก็คือจักรวรรรดิอุดรเทวะ พวกเขาเป็นจักรวรรดิระดับสามและตั้งอยู่ทางใต้ของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกใกล้กับจักรวรรดิปราณทวะ”
ชุ่ยเฟิงกล่าวเฉพาะประเด็นหลัก แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เขาพูดก็มีใจความสำคัญจริงๆ ด้วยชื่อที่เอ่ยถึงและสถานที่ เหตุนี้จึงทำให้ชิงสุ่ยหามันพบได้ง่าย
คนอื่นๆจากนิกายรูปแบบอมตะได้จัดเตรียมเลี้ยงอาหารเอาไว้และกล่าวขอตัวออกไป ภายในห้องโถงใหญ่เหลือเพียงชิงสุ่ยและชุ่ยเฟิงเท่านั้น
“พี่ชาย ท่านเคยคิดถึงการขึ้นครองนิกายรูปแบบอมตะหรือไม่?” ชิงสุ่ยและชุ่ยเฟิงชนจอกสุรากันและยิ้ม
ชุ่ยเฟิงมองไปที่ชิงสุ่ยและส่ายหน้า “ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง พลังของข้าไม่เพียงพอที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้นำนิกายรูปแบบอมตะ”
“เช่นนั้นท่านต้องแข็งแกร่งแค่ไหนหากจะทำมัน?” ชิงสุ่ยยิ้มและพูด
เมื่อชุ่ยเฟิงได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ดวงตาของเขาก็ส่องสว่างขึ้น เขารีบมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความไม่เชื่อ “น้องชาย เจ้าสามารถช่วยยกระดับพลังของข้าได้ไหม?”
“แน่นอน ตราบเท่าที่ความแข็งแกร่งของท่านเพิ่มขึ้น มันคงไม่เป็นปัญหาสำหรับท่านที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้นำนิกายรูปแบบอมตะ” ชิงสุ่ยรู้ว่าตำแหน่งผู้นำนิกายรูปแบบอมตะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชุ่ยเฟิงมากขึ้น
หลังจากที่อิ่มท้องและผ่อนคลายแล้ว ชิงสุ่ยช่วยชุ่ยเฟิงฟื้นฟูร่างกาย นอกจากนี้เขายังใช้ฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตและสิ่งอื่น ๆ เพื่อช่วยให้ชุ่ยเฟิงเพิ่มขึ้น อย่างน้อยตอนนี้เขาเป็นผู้พิทักษ์ธรรมในแง่ของความแข็งแกร่ง ต่อไปพลังของเขาจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วๆนี้ชุ่ยเฟิงคงอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้นำนิกายรูปแบบอมตะ
……
ชิงสุ่ยอยู่ในนิกายรูปแบบอมตะเพียงช่วงวันเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะมืดลงแล้ว แต่เขายังยืนกรานที่จะออกเดินทาง ชุ่ยเฟิงออกมาส่งชิงสุ่ยจนถึงตีนเขา ไม่ว่าในกรณีใดสิ่งที่ชิงสุ่ยให้แก่เขาอาจพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของเขาไปเลย
มนุษย์เป็นเช่นนี้เสมอ เช่นเดียวกับในภพที่ผ่านมาของเขา มีบางอย่างที่คนสามัญไม่สามารถบรรลุได้แม้ว่าจะใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาก็ตาม แต่สำหรับคนที่มีเงินและอำนาจทั้งหมดที่ต้องใช้ก็เพียงแค่คำพูดหนึ่งคำ คนส่วนใหญ่ในโลก 9 มหาทวีปไม่สามารถแม้แต่จะเข้าถึงระดับปราณเทวะเซียนเทียนได้ แต่สำหรับบางคนเพียงแค่มรดกของตระกูลที่มีอยู่ พวกเขาก็แทบจะเหนือกว่าระดับปราณนักบุญพิโรธแล้ว นับตั้งแต่พวกเขาเกิดมาพวกเขาก็เพียบพร้อมไปด้วยยาสมุนไพรและเคล็ดวิชาการต่อสู้ นอกจากนี้พวกเขายังมีผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยในการเสริมสร้างรากฐาน พวกเขาทะลวงเข้าสู่ระดับปราณนักบุญพิโรธตั้งแต่ยังเยาว์วัย นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกเขาและคนธรรมดา ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าไม่มีความเป็นธรรมอย่างแน่นอนไม่ว่าคนเราจะอยู่ที่ไหน บางคนอาจเกิดมาพร้อมกับสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ แม้อีกฝ่ายจะทำงานอย่างหนักมาเป็น 10 ปี
ตอนนี้การฝังเข็มและยารักษาโรคของชิงสุ่ยซึ่งอาจดูเหมือนธรรมดา แต่จริงๆแล้วมันมีมูลค่ามากในหลายๆเมือง มันมาพร้อมกับผลประโยชน์อันมหาศาล
ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะไปยังจักรวรรดิปราณทวะเพื่อสังเกตการณ์ สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับที่นี่มาก แต่อย่างไรก็ตามเขาเกือบจะถึงขีดจำกัดของการใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวา บางทีเขาอาจจะไปถึงที่นั่นในวันพรุ่งนี้
เขาอยู่บนหลังของวิหคเพลิงและบินไปอย่างเรื่อยเปื่อย ตอนนี้ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว แต่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท
จักรวรรรดิอุดรเทวะ
มันเป็นจักรวรรดิระดับสาม หากมองดูผิวเผินมันยากที่จะตัดสินความแข็งแกร่งของพวกเขา นี่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจมากในขณะที่เขาไม่เคยคิดว่าตระกูลเป่ยถังจะประสบความสำเร็จในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก
อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าตระกูลเป่ยถังได้ทำอะไรที่ทำให้พวกเขากลับไปยัง 5 มหาทวีปหรือไม่ เมื่อตอนที่เขาอยู่ใน 5 มหาทวีป ด้วยการสัมผัสกับตัวเอง เขาเคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลเป่ยถังในอีก 4 มหาทวีปนั้นทรงพลัง
ในวันที่สองหลังจากที่เขาออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ ชิงสุ่ยได้ใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวาและเดินไปทางไปยังจักรวรรดิปราณทวะ ชิงสุ่ยไม่ค่อยรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปที่นั่น ช่วงเวลานี้จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับการแก้ปัญหากับตระกูลเป่ยถัง เขากลัวว่าถ้าแท่นเคลื่อนย้ายบรรพกาลถูกปลดล็อคภายใน 5 ปี ใครบางคนจากตระกูลเป่ยถังอาจมุ่งหน้าไปยังตระกูลชิงและพวกเขาอาจไม่สามารถรับมือได้
ยิ่งเขาคิดถึงอะไรมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกไม่สงบ โชคดีที่ตอนนี้ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาไม่ได้กลัวตระกูลเป่ยถังอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะจัดการให้เด็ดขาด เมื่อจำเป็นเขาจะไม่ลืมว่าต้องทำลายล้างพวกเขาให้สิ้นซาก เขาไม่ต้องการให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับตระกูลชิง
จักรวรรดิปราณทวะ!
ในสายตาของชิงสุ่ย จักรวรรดิระดับหนึ่งและสองไม่ถือว่ามีอะไร ชิงสุ่ยสามารถปัดกวาดพวกเขาได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นการกุมอำนาจเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ขณะที่ภายใน 5 มหาทวีป จักรวรรดิระดับหนึ่งและสองถือเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่
5 มหาทวีปมีความเจริญรุ่งเรือง มหาทวีปอู่เซียตะวันตกก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับจักรวรรดิปราณทวะ มันเป็นข้อได้เปรียบของการมีสินค้าและวัตถุดิบมากมาย ที่นี่แทบจะไม่มีผู้ที่ยากจนหรือหิวโหย มันเป็นสถานที่ที่มั่นคง
ถึงแม้ว่าดินแดนนี้จะอุดมไปด้วยทรัพยากร แต่สถานที่ส่วนใหญ่ก็ถูกคุกคามโดยสัตว์อสูร ดังนั้นทั่วทั้งทวีปจึงฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เป็นนิสัย เพียงทำเช่นนี้พวกเขาก็สามารถอยู่รอดได้ดียิ่งขึ้น
คนสามัญจะซื้อขายทรัพย์สินบางอย่างกับตระกูลขุนนางที่มีอำนาจหรือจักรวรรดิเพื่อแลกกับสภาพความเป็นอยู่ที่สงบ สัตว์อสูรไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถจัดการได้
เมืองหลวง!
แม้ว่านิกายพุทธองค์ทองคำจะมีตำแหน่งสูงในจักรวรรดิปราณทวะ แต่นักบวชก็ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปที่นั่น ในความเป็นจริงเขารู้สึกว่าเขาต้องตรวจสอบดูโดยการไปที่เมืองหลวง ถ้าแม้แต่สถานที่นั้นก็ไม่พบนักบวช ทุกอย่างก็จะเป็นเพียงการพูดปากเปล่าเท่านั้น เขารีบเดินทางไปยังเมืองหลวง
จักรวรรดิปราณทวะ!
ในขณะที่ชิงสุ่ยเห็นวัดอันโอ่อ่าและนักบวช 2-3 คนที่สวมเครื่องแต่งกายที่คล้ายกับนิกายพุทธองค์ทองคำในมหาทวีปธรรมไตร เขารู้ได้ทันทีว่านิกายพุทธองค์ทองคำต้องมีตำแหน่งที่สูงในจักรวรรดิปราณทวะ
วัดพุทธองค์ทองคำ
สถานที่แห่งนี้เป็นวัดขนาดใหญ่ซึ่งครอบครองพื้นที่จำนวนมากภายในเมืองที่แสนเจริญที่สุด เมื่อมองจากด้านบน สถานที่นี้ถูกกั้นไว้ด้วยประตูสองแห่ง ประตูทางใต้มีธูปหอมที่ถูกจุดไว้จำนวนมากมาย ชาวบ้านสามัญชนจำนวนมากหลั่งไหลผ่านเข้าออกประตู ท้องฟ้าเหนือวัดพุทธองค์ทองคำเต็มไปด้วยควันจากธูปหอม
ทันใดนั้นชิงสุ่ยรู้สึกว่ามีกลิ่นอายที่น่ากลัวเล็กน้อยรอบวัดพุทธองค์ทองคำ กลิ่นอายเหล่านี้ไม่ใช่ของที่จักรวรรดิระดับหนึ่งควรจะมี
พลังแห่งศรัทธา?
ชิงสุ่ยจ้องเขม็งไปที่ควันบนท้องฟ้าซึ่งไม่กระจายตัวออก เขานึกถึงเรื่องตำแหน่งของนิกายพุทธองค์ทองคำ สถานที่แห่งนี้เป็นที่แพร่หลาย พลังแห่งศรัทธาช่างน่าจะเหลือเชื่อ จนถึงขณะนี้ชิงสุ่ยก็ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับมัน
ความเชื่อภายในจักรวรรดิมีความสำคัญมาก หากเหล่าตระกูลจักรวรรดิได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างมาก ตัวจักรวรรดิก็จะมีความมั่งคั่ง
นี้อาจหมายถึงคำกล่าวที่ว่า ‘หยดน้ำเล็กๆเมื่อรวมกันก็สามารถกลายเป็นมหาสมุทร’ ชิงสุ่ยยืนอยู่บนท้องฟ้าและมองไปทางทิศเหนือของวัดพระพุทธองค์ทองคำ นั่นคือวัดพุทธองค์ทองคำที่แท้จริง บริเวณนั้นมีเพียงนักบวชซึ่งเป็นรากฐานแห่งวัดพุทธองค์ทองคำ
ชิงสุ่ยลอยอยู่อากาศ ไม่นานหลังจากนั้นนักบวชสามคนที่แต่งกายด้วยวีจรทองคำก็บินขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากด้านล่าง พวกเขาเป็นชายชรา 3 คนผู้มีรูปร่างสูงผิดปกติและดูสงบ
แต่ในขณะที่พวกเขาเห็นชิงสุ่ย พวกเขาก็ถึงกับตกใจ สาเหตุเนื่องจากชิงสุ่ยยังเยาว์เกินไป ชายชราคนหนึ่งนำทางเดินไปข้างหน้าและโค้งคำนับด้วยมือทั้งสองข้าง “คุณชาย ข้ามาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพต่อท่าน”
ความแข็งแกร่งอยู่เหนือทุกสิ่ง จนถึงตอนนี้รูปลักษณ์ของเขาเป็นเพียงเรื่องรอง พวกเขาคิดว่าการปรากฏตัวของชิงสุ่ยไม่ได้แสดงให้เห็นถึงอายุที่แท้จริงของเขา จากเรื่องทั้งหมดมีผู้คนจำนวนมากที่ชำนาญในการรักษาความอ่อนเยาว์ของพวกเขา
“ผู้อาวุโส ท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ชิงสุ่ยยิ้มและทักทายกลับ เขารู้สึกสงสัยมากขึ้นในขณะที่เขามองไปที่นักบวช 3 คนนี้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาสามารถซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้ได้ พวกเขาอาจดูเหมือนมีพลังแค่ 1,000 สุริยา แต่พลังที่เก็บซ่อนไว้มีประมาณ 5,000 สุริยา
ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจและนักบวชทั้งสามก็เป็นเช่นนั้น เพราะความรู้สึกที่พวกเขาสัมผัสจากชิงสุ่ยเป็นเหมือนภูเขาสูงที่ไม่สามารถข้ามผ่านได้
“ข้าขอทราบที่ไปที่มาของท่านได้หรือไม่ คุณชาย? ข้าแทบไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย”
“ผู้อาวุโสอย่าได้มากพิธีเลย เรียกข้าว่าชิงสุ่ยเถอะ”
“คุณชายชิง มีสิ่งใดที่ท่านต้องการหรือมองหาจากนักบวชเช่นพวกเราหรือไม่?”
แม้แต่นักบวชก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะละทางโลก ต่อหน้าผู้คน พวกเขาเป็นเหมือนเทพและนักบวชที่น่าเลื่อมใส แต่พวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่าในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาไม่มีอะไรเลย
“ข้ามาจาก 5 มหาทวีป ข้าสงสัยว่าท่านยังจำนิกายพุทธองค์ทองคำใน 5 มหาทวีปได้หรือไม่” ชิงสุ่ยยิ้มและพูด
“ข้าจำได้ แน่นอนข้าจำได้ นานแล้วที่มีคนมาจาก 5 มหาทวีปมาที่นี่” นักบวชดูเหมือนจะชื่นชมเขาในขณะนี้
“บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของนิกายพุทธองค์ทองคำใน 5 มหาทวีปได้เคยฝากฝังให้ข้าช่วยดูแล แต่ดูเหมือนว่าข้าจะกังวลมากเกินไป”
“คุณชายชิง นิกายพุทธองค์ทองคำต้องการให้ท่านดูแล” นักบวชกล่าวอย่างจริงจัง
“ผู้อาวุโส มันอาจเป็นไปได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น?” ชิงสุ่ยไม่ได้คาดคิดว่านักบวชจะกล่าวเช่นนั้น
“พวกเราได้รับศิลาพระพุทธรูปมาอย่างลึกลับ ทั้งจักรวรรรดิอุดรเทวะและจักรวรรดิราชสีชาตะได้พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ร่วมมือกันเพื่อบังคับให้พวกเรามอบศิลาให้” เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ชายชราก็ไม่รู้จริงๆว่าเขาควรจะทำอะไร มันทำให้เขาไม่ลังเลที่จะพูดออกมา
“จักรวรรรดิอุดรเทวะ?”
ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะได้ยินเกี่ยวกับจักรวรรรดิอุดรเทวะที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งเร็วๆนี้ นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเพราะมีความขัดแย้งกันของตระกูลเป่ยถังและนิกายพุทธองค์ทองคำ?
บทที่ 1308 – วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ การมาถึงของตระกูลเป่ยถัง
“จักรวรรดินั่นก่อตั้งขึ้นโดยตระกูลเป่ยถัง พวกเขาเป็นตระกูลเดียวกันกับตระกูลเป่ยถังของสันเขาราชันย์ราชสีห์ใน 5 มหาทวีป” นักบวชอธิบาย
“ตระกูลเป่ยถังที่นี่รู้หรือไม่ว่าตระกูลเป่ยถังใน 5 มหาทวีปได้หายไปแล้ว?”
“พวกเขารู้ พวกเขารู้ว่าคุณชายชิงเป็นผู้ที่ทำเรื่องนี้”
ตอนนี้ชิงสุ่ยเข้าใจว่าทำไมนักบวชถึงไม่ลังเลที่จะบอกเขาถึงสิ่งที่เกี่ยวกับศิลาพระพุทธองค์เมื่อได้ยินชื่อของเขา แต่ศิลาพระพุทธองค์นี้เป็นอย่างไร?
“ศิลาพระพุทธองค์? มันดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับพระพุทธรูป อะไรคือจุดที่ทำให้พวกเขาพยายามจะทำแบบนี้?” ชิงสุ่ยรู้สึกสับสนจริงๆ อย่างไรก็ตามเขามั่นใจว่าศิลาพระพุทธองค์นี้ต้องเป็นของที่ดี มิฉะนั้นจักรวรรรดิอุดรเทวะและจักรวรรดิราชสีชาตะคงจะไม่มารบเร้านิกายพุทธองค์ทองคำ
“ศิลาพระพุทธองค์เป็นสิ่งที่ลึกลับจริงๆ ข้อดีของมันคือหากท่านจุ่มศิลาพระพุทธองค์ลงไปในน้ำ มันสามารถใช้หล่อโลหะหรือเป็นยาได้ ศิลาพระพุทธองค์มีจิตวิญญาณ กล่าวกันว่าการใช้น้ำจากศิลาพระพุทธองค์สามารถช่วยเบิกทางสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ มันสามารถช่วยในการฝึกฝนเคล็ดวิชาพระพุทธองค์ สำหรับตอนนี้ สิ่งเดียวที่ข้ารู้ก็คือหากดื่มน้ำจะช่วยในการฝึกและยกระดับ การฝึกฝนเคล็ดวิชาพระพุทธองค์จะรวดเร็วขึ้น สำหรับเรื่องอื่นๆ ข้ายังไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับพวกมันเลย” ผู้อาวุโสนามฟาหยิงไม่ได้พยายามซ่อนอะไรเมื่อเขาอธิบาย
“ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมจักรวรรรดิอุดรเทวะและจักรวรรดิราชสีชาตะถึงต้องการขโมยมัน ดูเหมือนว่าสิ่งนี้อาจเป็นสมบัติอันล้ำค่าจริงๆ” ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้น ของสิ่งนี้ได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นสมบัติ นอกจากนั้นชิงสุ่ยยังรู้สึกว่าสาเหตุที่ทำให้คนทั้งสามปกปิดพลังเอาไว้ได้และมีพลังเกินกว่าที่พวกเขาควรจะมีนั้นต้องเกี่ยวกับน้ำจากศิลาพระพุทธองค์
“คุณชายชิง ศิลาพระพุทธองค์นี้มาเป็นคู่ พวกเราจะมอบมันให้ท่านอันหนึ่ง พวกเราหวังว่าคุณชายชิงจะช่วยพวกเราผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปได้” ฟาหยิงกล่าวอย่างจริงจังหลังจากที่ได้เห็นการแสดงออกของชิงสุ่ย ท่าทีของชิงสุ่ยนั้นดูจริงใจ
“เป็นไปได้อย่างไร? ศิลาพระพุทธองค์มีสองอัน ข้าไม่อาจรับของผู้อื่นได้” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง
“อย่าได้กังวล ข้าเคยลองมาแล้ว ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองอัน ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ก็เหมือนกัน ข้ารู้สึกแปลกใจมากที่จำนวนของมันไม่ได้ส่งผลอะไร หากจักรวรรรดิอุดรเทวะและจักรวรรดิราชสีชาตะต้องการมันสักอัน พวกเขาก็สามารถแลกเปลี่ยนมันกับบางสิ่งที่ล้ำค่าพอกันได้ ข้าอาจเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่พวกเขากลับละโมบเกินไป พวกเขาตั้งใจที่จะบีบบังคับเอาไปเพียงเพราะพวกเราเป็นแค่จักรวรรดิระดับสาม จำกัดเวลาเพียง 3 วัน นั่นคือที่พวกเขาบอกข้าและมันจะสิ้นสุดเวลาในวันพรุ่งนี้ อาจเป็นประสงค์ของสวรรค์ที่พวกเราได้พบคุณชายชิง สวรรค์สำแดงพลังเพื่อช่วยเหลือนิกายพุทธองค์ทองคำ” ฟาหยิงรีบกล่าวด้วยความแน่วแน่
เขารู้ว่าชิงสุ่ยทรงพลัง เขากลัวว่าชิงสุ่ยจะถอยหนีเมื่อได้ยินชื่อจักรวรรดิทั้งสอง ดังนั้นเขาจึงทำให้แน่ใจและบอกชิงสุ่ยถึงการใช้ศิลาเพียงอันเดียว
เมื่อวิ่งเข้าไปเจอกับปัญหา โดยธรรมชาติชิงสุ่ยก็จะช่วยพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้สัญญากับบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของนิกายพุทธองค์ทองคำ ไม่ใช่แค่นั้น ศัตรูที่พวกเขากำลังเผชิญยังมาจากตระกูลเป่ยถัง สิ่งนี้ทำให้เขามีเหตุผลมากขึ้นที่จะช่วย นอกจากนี้เขายังได้รับศิลาพระพุทธองค์เป็นของขวัญ
เมื่อเห็นว่าฟาหยิงพูดถึงจุดนี้แล้ว ชิงสุ่ยก็หยุดดึงดัน ถ้าเขายังคงทำเช่นนี้ก็จะทำให้ดูเหมือนเขาไม่เต็มใจที่จะช่วย เขาเดินตามฟาหยิงและพวกกลับไปที่ลานตรงทิศเหนือ
ในบรรดานักบวชทั้งสามได้แก่ฟาหยิง ไม่มีใครเป็นเจ้าอาวาส ชิงสุ่ยนั่งลงในห้องที่ตั้งอยู่ตรงมุมของลานทิศเหนือ นอกเหนือจากฟาหยิงอีกสองคนได้กล่าวคำอำลาและขอตัวไป
แม้กระทั่งชิงสุ่ยเองก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ เขายิ้มและถามว่า “ผู้อาวุโส ถ้าข้าไม่ได้มาที่นี่ พวกท่านจะยังคงต่อสู้กับจักรวรรรดิอุดรเทวะและจักรวรรดิราชสีชาตะหรือไม่?”
“ด้วยพฤติกรรมของพวกเขา ข้าอยากที่จะทำลายศิลาพระพุทธองค์ซะมากกว่าที่จะให้พวกเขาไป”
ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่าฟาหยิงจะเป็นคนตรงไปตรงมา ขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ มันก็ทำให้รู้สึกว่าสำหรับผู้อาวุโสจากนิกายพุทธองค์ทองคำที่กำลังเจอกับปัญหา ถ้าหากพวกเขาไม่ยินดี พวกเขาก็จะไม่มีทางยอมประนีประนอมด้วย ฟาหยิงเองก็รู้สึกว่าพวกเขามีโอกาสที่จะชนะ แม้จะเป็นจักรวรรดิระดับสาม
“ผู้อาวุโส โปรดเล่าให้ข้าฟังถึงตระกูลเป่ยถังของจักรวรรรดิอุดรเทวะ!”
“ประวัติของตระกูลเป่ยถังในจักรวรรรดิอุดรเทวะถือว่าสั้นมากและสั้นกว่าเมื่อเทียบกับจักรวรรดิปราณทวะ แต่ตอนนี้จักรวรรรดิอุดรเทวะได้เป็นจักรวรรดิระดับสามขั้นกลางแล้ว และมีข่าวลือว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาเทียบเท่ากับจักรวรรดิระดับสี่ขั้นต้น มีคนตระกูลเป่ยถังอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีข่าวบอกว่าพวกเขาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากสมบัติล้ำค่าที่มีในครอบครอง ตระกูลเป่ยถังได้กำจัดตระกูลจักรวรรดิเดิมคือจักรวรรดิหยุนออกไป พวกเขาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์และทำให้จักรวรรดิหยุนกลายเป็นจักรวรรดิอุดรเทวะ ในท้ายที่สุดพวกเขาค่อยๆพัฒนาจากจักรวรรดิระดับหนึ่งจนมาถึงจักรวรรดิระดับสามขั้นกลาง”
ฟาหยิงพยายามทำให้เรื่องมันสั้นเมื่อเขาอธิบายเกี่ยวกับตระกูลเป่ยถัง
“ตระกูลเป่ยถังชอบเล่นสนุกกับการใช้กำลังแบบนี้งั้นหรือ?” จริงๆแล้วชิงสุ่ยอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของตระกูลเป่ย เขาต้องการรู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่น่ารังเกียจแค่ไหน
“พวกเขาทำแบบนั้นเสมอ พวกเขาหยิ่งยโส แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามพวกเขาจะไม่ทำอะไรเกินเลยกับผู้คนในจักรวรรดิของพวกเขา ในทางกลับกันพวกเขาเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นต่อจักรวรรดิและตระกูลขุนนางที่อยู่ใกล้เคียง พวกเขาไปไกลถึงขนาดใช้กำลังบีบเพื่อการแต่งงาน”
“บีบบังคับให้แต่งงาน?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความตกใจ
“ถูกต้อง สำหรับคุณชายสามแห่งตระกูลเป่ยถังผู้เป็นองค์สามแห่งจักรวรรดิอุดรเทวะ เขาได้พบกับหนึ่งในองค์หญิงแห่งจักรวรรดิจ้าวโดยบังเอิญ ในท้ายที่สุดจักรวรรดิอุดรเทวะก็ใช้กำลังกดดันจักรวรรดิจ้าวและได้องค์หญิงมาแต่งงานกับเขา การแต่งงานในครั้งนี้เป็นการบังคับและดูถูกเหยียดหยามจักรวรรดิจ้าว”
……
ใครจะคิดว่านิสัยของตระกูลเป่ยถังใน 5 มหาทวีปจะคล้ายคลึงกับตระกูลเป่ยถังที่นี่ด้วย? ในขณะที่พูดเสียงของชายชราสองคนก่อนหน้านี้ที่ออกไปก็ดังขึ้นจากด้านนอก หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินเข้ามาพร้อมถาดที่ทำด้วยโลหะสีเงินอยู่ในมือของชายชราคนหนึ่ง ด้านบนเป็นผ้าที่ปกคลุมบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ จากจุดที่ผ้านูนขึ้นมา สิ่งของที่อยู่ด้านล่างดูจะไม่ใหญ่หรือไม่เล็กจนเกินไป
“คุณชายชิง นี่คือหนึ่งในศิลาพระพุทธองค์” ฟาหยิงลุกขึ้นหยิบถาดแล้ววางไว้บนโต๊ะไม้หน้าชิงสุ่ย หลังจากนั้นเขาก็เอาผ้าที่คลุมปิดไว้ด้านบนออก
เกือบจะในทันที แสงสีขาวสว่างจ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าชิงสุ่ย
นี่เป็นศิลาสีขาวที่มีรูปร่างคล้ายดอกบัว มันกว้างและยาว 1 ฟุต มีความคลุมเครือของพลังวิญญาณแผ่กระจายอยู่ด้านบน ชิงสุ่ยมองตรงเข้าไปในทันทีด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ เขารู้สึกว่ามันอาจเป็นสมบัติ
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์!
ชิงสุ่ยตกตะลึงเมื่อเห็นเพียงไม่กี่คำเท่านั้น นี่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำก็เป็นของที่ล้ำค่ามาก มันเพียงพอสำหรับใครคนหนึ่งที่จะบดขยี้ผู้อื่นเพื่อนำมันมาครอบครอง
ระดับ : ไม่มีระดับ สามารถขัดเกลาด้วยพลังงานบริสุทธิ์ จำนวนครั้งที่สามารถทนทานต่อการขัดเกลาในแต่ละวันมีจำกัด
……
คุณสมบัติ : มีขนาดเล็ก สามารถแช่ในน้ำได้ เมื่อแช่ในน้ำเป็นเวลานาน พลังวิญญาณที่มีอยู่ก็จะรวมเข้ากับน้ำ นอกจากนี้พลังงานจะไม่กระจายตัวออกไป ในแต่ละระดับจะส่งผลต่อปริมาณน้ำไม่เท่ากัน น้ำที่ได้รับผลจากศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์สามารถนำไปใช้ได้ทุกวิถีทางไม่ว่าจะดื่ม ปลูกพืช หรือเพื่อผสมพันธุ์สัตว์อื่นๆ
มันไม่สามารถจดจำเจ้าของ!
มันสามารถเพิ่มระดับได้!
มันเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถเพิ่มระดับได้ ชิงสุ่ยตกใจมากกับจุดนี้ เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง มันช่วยระบุสิ่งของที่มีค่ามากมาย ฟาหยิงมีมันเอาไว้ในมือ แต่เขาไม่รู้วิธีใช้มันอย่างถูกต้อง ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงจะมีพลังมากกว่าตอนนี้
นี่คือสิ่งที่เขาบังเอิญเจอในนิกายพุทธองค์ทองคำ
“ท่านจะมอบสิ่งนี้ให้ข้าจริงๆงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขณะที่เขาหยิบมันขึ้นมา
“แน่นอน นิกายพุทธองค์ทองคำหวังว่าจะได้เป็นสหายกับท่าน คุณชายชิงมีความสัมพันธ์อันดีกับบรรพบุรษผู้ก่อตั้งของนิกายพุทธองค์ทองคำใน 5 มหาทวีป นั่นหมายความว่าท่านมีโชคชะตาร่วมกันกับพวกเรา” ฟาหยิงอธิบายช้าๆ น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนมาก มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกประทับใจ
“ตกลง เช่นนั้นข้าก็จะรับไว้ด้วยความเต็มใจ” ชิงสุ่ยเก็บศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ไป พวกเขาไม่ได้บอกว่ามันเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์อะไร ชิงสุ่ยวางแผนที่จะให้เจ้าอ้วนน้อยอธิบายให้เขาฟังทีหลัง
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ฟาหยิงก็ปล่อยให้ชิงสุ่ยพัก จากสถานการณ์ปกติมีแนวโน้มว่าตระกูลเป่ยถังและจักรวรรดิราชสีชาตะจะเข้ามาเพื่อรับศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ในวันพรุ่งนี้
เมื่อเห็นว่ายังไม่ค่ำ ชิงสุ่ยได้นำศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาและเริ่มขัดเกลา หลังจากขัดเกลามันประมาณ 20 ครั้งแล้ว เขาก็จะไม่สามารถขัดเกลามันได้อีกต่อไป ตอนนี้มันสามารถทนต่อการขัดเกลาได้เพียง 10 ครั้งในแต่ละวันที่ระดับหนึ่ง
สำหรับสมบัติวิเศษที่ไม่จดจำเจ้าของนั้น เจ้าของสามารถขัดเกลามันได้ สำหรับสมบัติวิเศษที่ไม่ได้ระบุเจ้าของแน่ชัดเช่นนี้ทุกคนสามารถขัดเกลาได้ อย่างไรก็ตามจำนวนครั้งที่สามารถทนต่อการขัดเกลาได้มีจำกัด ดังนั้นผู้ถือครองไม่สามารถพยายามที่จะเพิ่มระดับของมันขึ้นอย่างรวดเร็วได้
เขาค่อยๆแทรกพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ แสงสีขาวสว่างขึ้น ในขณะเดียวกันความคลุมเครือของพลังวิญญาณก็ยิ่งมากขึ้น ศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกับหลุมอันไร้ที่สิ้นสุด มันค่อยๆดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ของชิงสุ่ย
โดยปกติแล้วการขัดเกลาจะต้องมีการผสานพลังวิญญาณ พลังลมปราณ และพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างกายของคนผู้นั้น แต่ชิงสุ่ยทรงพลังมาก เขาสามารถกักเก็บพลังอันมหาศาลไว้ภายในร่างกายได้มากกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย นอกจากนี้เขายังมียาเม็ดที่สามารถช่วยให้เขาฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เขาเป็นเครื่องจักรที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ทะเลสาบในดินแดนหยกยุพราชอมตะได้กลายเป็นเพียงบ่อเล็กๆ มันจะไร้ผลหากเขานำศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ไปวางไว้ในทะลสาบที่กว้างใหญ่ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจทำให้มันเล็กลงและลึกประมาณ 1 เมตร มันวางอยู่ถัดจากฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตประมาณ 3 เมตร
เห็นได้ชัดว่าน้ำในบ่อเล็กๆมีร่องรอยของฟองอากาศลอยออกมา นี่เป็นน้ำที่ซึมซับพลังวิญญาณจากศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ พลังวิญญาณจากศิลาพระพุทธองค์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่พลังวิญญาณทั่วไป มันเป็นพลังวิญญาณอันเร้นลับ
ในวันที่สองชิงสุ่ยตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ได้ฝึกฝนยามเช้า หลังจากกินอาหารที่นิกายพุทธองค์ทองคำได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว เขาก็เริ่มคุยกับฟาหยิงและคนอื่นๆ บรรยากาศรอบตัวพวกเขากดดันเล็กน้อย
ตอนเช้าเขามองเห็นจุดสีดำที่อยู่ห่างไกลออกไป พวกเขายังคงห่างไกลจากเขา แต่ชิงสุ่ยระบุความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรผ่านความเร็วและขนาดร่างกายของพวกมันได้ โดยทั่วไปแล้วเขาสามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาคนจากตระกูลเป่ยถังและจักรวรรดิราชสีชาตะ
มีผู้คนนับร้อยอยู่ที่นิกายพุทธองค์ทองคำนอกเหนือจากฟาหยิงและชายชราอีกสองคน ยิ่งไปกว่านั้นมีด้วยกัน 5 คนที่มีความแข็งแกร่งถัดเทียวกับพวกเขา หนึ่งในนั้นแข็งแกร่งกว่าฟาหยิง
สิ่งนี้ทำให้นึกถึงหญิงจากเทือกเขาปู๋โถวและประมุขสุย มีบางอย่างที่ไม่สามารถตัดสินใจได้เพียงดูความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแค่ผิวเผิน นักรบที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษมักจะมีวิธีมากมายในการสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองหลายสิบเท่า
บทที่ 1309 – เจตนาสังหารของชิงสุ่ย เริ่มสงคราม ข้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้
อีกฝ่ายเดินทางมาอย่างรวดเร็ว พวกเขามีจำนวนนับที่ล้นหลาม มีสัตว์อสูรขนาดใหญ่กว่า 300 ตัว โดยทั่วไปเป็นอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำหรือเงิน ร่างกายของพวกมันเป็นอินทรีทองคำและอินทรีเงินขนาดใหญ่ ขณะที่หัวของพวกมันเป็นหัวราชสีห์ทองคำหรือราชสีห์เงิน
ไม่ต้องคิดให้มาก ชิงสุ่ยก็เจ้าใจได้ว่าอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำเป็นพาหนะตระกูลเป่ยถัง ตระกูลเป่ยถังยังเป็นตระกูลผู้ฝึกสัตว์อสูรที่ทรงพลังอีกด้วย โดยทั่วไปอินทรีราชันย์ราชสีห์เงินน่าจะเป็นพาหนะของจักรวรรดิราชสีห์ชาตะ
ทันใดนั้นชิงสุ่ยเริ่มสงสัยว่าตระกูลเป่ยถังมีสายเลือดเกี่ยวพันกับตระกูลจักรวรรดิในจักรวรรดิราชสีห์ชาตะหรือไม่
“ตระกูลเป่ยถังเคยเกี่ยวดองด้วยการแต่งงานกับจักรวรรดิราชสีห์ชาตะ ดังนั้นตอนนี้ภายในร่างกายคนของจักรวรรดิราชสีห์จึงมีสายเลือดตระกูลเป่ยถังไหลเวียนอยู่
พวกเขามีประมาณ 300 คน เหล่าสัตว์อสูรขนาดใหญ่เพียงพอที่จะปกคลุมพื้นโลกและท้องฟ้า แรงกดดันอันมหาศาลดังกล่าวเข้ามาใกล้ชิงสุ่ยโดยตรง สัตว์อสูรทั้งสี่ตัวที่เป็นผู้นำคืออินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำ 2 ตัวและอีก 2 ตัวเป็นอินทรีราชันย์ราชสีห์เงิน พวกมันมีขนาดเกือบสองเท่าของตัวคนปกติ
ชิงสุ่ยพบว่าการแต่งกายของคนเหล่านี้ที่น่าสนใจจริงๆ ชายชราคนหนึ่งที่อยู่บนอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำสวมชุดราชสีห์ทองคำ ในขณะเดียวกันอีกฝั่งก็สวมชุดราชสีห์เงิน
“มันเป็นเวลา 3 วันแล้ว ข้าสงสัยว่าท่านได้จัดเตรียมสิ่งที่ข้าต้องการไว้หรือยัง? “
ชายชราคนหนึ่งบนอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชายชรามีรูปร่างสูงโปร่ง ถึงแม้ว่าผมและเคราของเขาจะขาว แต่เขาก็ไม่ได้ดูชราภาพเลย ผิวของเขาเรียบเนียนเหมือนทารก เขาดูสุขภาพดีและดูดี หน้าผากของเขาก็ดูอ่อนเยาว์ เพียงแค่มองครั้งเดียวก็บอกได้ว่าเขาร่ำรวย
สิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจก็คือสายตาของชายชรานั้นกว้างไกล ทุกครั้งที่เขาเปิดหรือปิดตา สายตาที่ถูกเปิดก็เหมือนกับกระบี่อันแหลมคม แม้ว่าเขาจะยิ้ม แต่เขาก็ยังคงแสดงจุดมุ่งหมายแห่งการฆ่าฟัน
“เป่ยถัง ยี่กง ดูแล้วพวกท่านมากันไม่น้อยทีเดียว เป็นไปได้ไหมว่าพวกท่านกำลังวางแผนที่จะใช้กำลังเอามันไป?” ฟาหยิงมองไปที่ชายชราคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำและกล่าวอย่างสงบ น้ำเสียงเขาดูสงบจริงๆ การฝึกฝนจิตใจของนิกายพุทธองค์ทองคำทำให้แม้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง พวกเขาก็ยังคงมีใบหน้าที่นิ่งเฉยอยู่แบบเดิม
ในทางกลับกันชิงสุ่ยก็กำลังวิเคราะห์ฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด เขาพบว่าเขาได้ประมาทคนจากมหาทวีปอู่เซียตะวันตกไป ชายสองคนจากตระกูลเป่ยถังและจักรวรรดิราชสีชาตะมีความแข็งแกร่งประมาณ 8,000 สุริยา นอกจากนี้พวกเขายังจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพวกเขาร่วมกันต่อสู้ มีความเป็นไปได้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึง 10,000 สุริยา
ดูเหมือนว่าพวกเขาอาจซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้ ด้วยพลังระดับนี้ มันสามารถใส่ลงไปในรายชื่อจักรวรรดิระดับสี่ได้เลย สำนักสวรรค์เร้นลับก็มีพลังอย่างน้อย 8,000 สุริยาเช่นกัน
จริงๆแล้วนับตั้งแต่ตระกูลเป่ยถังบรรลุถึงพลังระดับนี้ พวกเขาก็ไม่เห็นตระกูลเป่ยถังใน 5 มหาทวีปอยู่ในสายตานานแล้ว แม้กระทั่งพี่น้องที่เกี่ยวพันกันทางสายเลือดก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าหลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุคน เมื่อมีคนที่มีพรสวรรค์ มันไม่สำคัญว่าจะผ่านไปกี่ชั่วอายุคน พวกเขาจะยังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่หากครอบครัวไร้ซึ่งกำลัง แม้พี่น้องร่วมสายเลือดก็สามารถตัดขาดกันได้เสมอ
“ขโมยมัน? ราวกับว่าจักรวรรรดิอุดรเทวะจะทำอะไรแบบนั้น! พวกเรามาแลกเปลี่ยนกัน อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ พวกเราจะไม่แตะต้องจักรวรรดิปราณทวะเป็นเวลา 3 ปี ด้วยวิธีนี้มันก็เหมือนกับการที่พวกท่านนำสิ่งของมาแลกกับชีวิตเพื่อให้อยู่รอดตลอด 3 ปีนี้ นี่ไม่คิดว่ามันคุ้มค่าสำหรับท่านหรือ?” ชายชรามองฟาหยิงด้วยท่าทีสงบ
“ข้าได้บอกไปก่อนแล้ว ข้ายอมที่จะทำลายมันดีกว่าปล่อยให้ไปตกอยู่ในมือของเจ้า “ฟาหยิงกล่าวอย่างเยือกเย็น
“พวกสมองตาย ท่านไม่คิดถึงจักรวรรดิปราณทวะบ้างงั้นหรือ? ท่านต้องการเห็นพวกเขาตายต่อหน้าท่านหรือ? เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาทั้งหมดจะต้องตายเพราะท่าน ท่านจะพบเส้นทางแห่งพุทธองค์ได้อย่างไรหากท่านตาย?” ชายชรามองฟาหยิงด้วยรอยยิ้มจางๆ ในขณะนี้รอยยิ้มของเขาดูเหมือนคมกระบี่จริงๆ
“พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าการเข่นฆ่าไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา พวกเราไม่สามารถฆ่าคนเพราะความกลัวได้ แต่แม้แต่เทพก็มีคมมีดของตัวเอง พวกเขาไม่ลังเลที่จะคว้ามีดของพวกเขาออกมาและสังหารปุถุชน หากมันจำเป็น ข้าก็ไม่อยากเป็นแบบนั้น” ในขณะนี้เจตนาฆ่าฟันรอบตัวของฟาหยิงพุ่งมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
“ฮ่าฮ่า การสังหารจากเทพ? แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่มีความสามารถในการทำเช่นนั้น ข้า เป่ยถังยี่จง รับประกันในนามของตระกูลเป่ยถัง ตราบเท่าที่ท่านมอบศิลาพระพุทธองค์มา พวกเราจะจากไปทันที พวกเรารับประกันได้ว่าจะไม่แตะต้องจักรวรรดิปราณทวะเป็นเวลา 3 ปี หลังจาก 3 ปี ถ้าจักรวรรดิปราณทวะยอมจงรักภักดีต่อจักรวรรรดิอุดรเทวะ ข้ารับประกันได้ว่าจะไม่แตะต้องแม้แต่เส้นผมของจักรวรรดิปราณทวะ” เป่ยถังยี่จงหัวเราะออกมา
“ข้ายอมตายเสียดีกว่าคุกเข่าให้ท่าน…” เหมือนปกติ ฟาหยิงยังมีท่าทีคงเดิม
“หากท่านต้องการที่จะตาย ข้าก็จะตอบสนองความต้องการของท่าน ข้ามั่นใจว่ามีผู้คนที่ไม่ต้องการตายในวัดพุทธองค์ทองคำ ข้าจะคิดเรื่องที่เหลือหลังจากสังหารท่าน” เป่ยถังยี่จงกำลังจะลงมือทันทีที่พูดเสร็จ
“ช้าก่อน พวกเราก็อยู่กันพร้อมหน้าที่นี่แล้ว เจ้าจะรีบร้อนไปเพื่ออะไร? มันยังไม่สายหากเจ้าค่อยลงมือ เพื่อให้แน่ใจ มันจะดีกว่าหากพวกเรามาพูดคุยกัน” ในตอนนี้ชิงสุ่ยก้าวออกมา
“หนุ่มน้อย นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับเจ้าที่จะแสดงความคิดเห็น อย่าพยายามขัดขวางพวกเรา ถ้าเจ้ายังยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น ข้าจะสังหารเจ้า” ชายชราคนหนึ่งในชุดราชสีห์เงินกล่าว
ชิงสุ่ยเหลือบมองไปทางชายชราผู้ซึ่งพูด เขามองชิงสุ่ยอย่างหยาบกระด้างและดุดันราวกับเป็นราชสีห์ตัวผู้ที่ดุร้าย
“ถ้าเจ้ายังขืนพูดต่อ เจ้าเชื่อได้เลยว่าข้าจะทำให้เจ้าหายสาบสูญไปอย่างสิ้นเชิงพร้อมกับตระกูลเป่ยถัง?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
ชายชรากระพริบตานิ่งเงียบ เขาถูกชายชราอีกคนที่อยู่ใกล้ๆหยุดไว้ เป่ยถังหยินทอดสายตาไปที่ชิงสุ่ย “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าใครกันช่างหยิ่งยโสนัก ที่แท้ก็เป็นเจ้า ตระกูลเป่ยถังพยายามตามหาเจ้าอยู่นาน น่าแปลกใจที่เจ้ามาหาพวกเราด้วยตัวเอง วันนี้ข้าจะสังหารเจ้าเป็นคนแรกก่อนที่ข้าจะไปยัง 5 มหาทวีปเพื่อกำจัดตระกูลของเจ้า”
แต่เดิมชิงสุ่ยกำลังคิดหาวิธีแก้ปัญหากับตระกูลเป่ยถัง แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเขาควรจะทำอย่างไร เมื่อชายชราหมายเอาชีวิต เขาก็จะไม่แสดงความเมตตา
“สำหรับคำพูดนี้ เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยความตายที่น่าเวทนา” ชิงสุ่ยมองไปที่เป่ยถังยี่กงอย่างใจเย็น
“แม้ยังเยาว์วัย แต่เจ้าช่างหยิ่งยโส หากเป็นเช่นนั้น ลองมาดูกันว่าหมัดของใครจะหนักกว่ากัน อันที่จริงข้าไม่ใช้ผู้เลือก เจ้าเลือกเองที่จะเดินไปสู่ความตาย ใครต้องการที่จะสู้กับข้าอีกในตอนนี้?”
ขณะที่เป่ยถังยี่กงกำลังพูดอยู่ ชายชราคนหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้า
“ท่านพี่ ทำไมท่านไม่ให้ข้าลงไปสู้ก่อนหล่ะ!” ชายชราคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆเป่ยถังยี่กงก้าวไปข้างหน้าและกล่าว
เป่ยถังยี่กงตอบหลังจากคิดชั่วครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็ดี ยี่จง ข้าจะช่วยให้เจ้าขึ้นเป็นผู้นำ วันนี้ให้พวกมันรู้ว่าเพียงแค่คนเดียวจากตระกูลเป่ยถังก็สามารถกำจัดพวกมันทั้งหมดได้”
เป่ยถังยี่จงลงไปยืนอยู่ตรงกลางทั้งสองฝ่ายอย่างรวดเร็ว ในขณะนี้เขากำลังยืนอยู่เหนืออากาศและจ้องมองไปที่วัดพุทธองค์ทองคำและชิงสุ่ย แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดก็ตาม ใครหล่ะจะขึ้นไปสู้?
ฟาหยิงกำลังจะก้าวไปข้างหน้าแต่เขาถูกหยุดโดยชิงสุ่ย “ผู้อาวุโส ท่านมั่นใจว่าท่านจะชนะหรือ? ทำไมท่านไม่ปล่อยให้ข้าจัดการกับเรื่องนี้?”
“ข้าไม่มั่นใจ แต่นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรก ข้าต้องเป็นคนลงไปสู้ แม้ว่าอาจหมายถึงตัวข้าเองต้องตายก็ตาม” ฟาหยิงกล่าวด้วยความแน่วแน่
เมื่อมองไปที่เจตนาของฟาหยิง ชิงสุ่ยก็รู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้อีกต่อไป ชิงสุ่ยถอนหายใจและพูดอย่างช้าๆ “ตกลง จงระวังตัว ตราบเท่าที่ท่านยังหายใจ ข้ามีหนทางที่จะช่วยรักษาชีวิตท่าน”
แม้ว่าคำพูดนี้อาจฟังดูไม่น่าพอใจ แต่ชิงสุ่ยก็ยังรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูด เขากลัวว่าฟาหยิงจะต่อสู้จนตัวตาย เช่นนั้นจะเป็นการยากที่เขาจะช่วยไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเป็นการเตือนสติให้กับฟาหยิง เขามั่นใจว่าความตายเป็นสิ่งที่ฟาหยิงไม่เต็มใจที่จะเผชิญ แต่ถ้ามันหมายถึงการตายพร้อมกับชายชราฝั่งตรงข้ามกับเขา เขาจะไม่ลังเลสำหรับตัวเลือกนี้
ชิงสุ่ยชื่นชมคนที่ไม่กลัวการตายจริงๆ พวกเขามีความเชื่อในหัวใจที่แรงกล้า สำหรับพวกเขา มันคือการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมของตนเอง
ฟาหยิงพยักหน้า “ข้าจะ ข้ายังต้องการดูว่าวัดพุทธองค์ทองคำจะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่” ฟาหยิงยิ้มให้กับชิงสุ่ย เขากำฝ่ามือและโค้งตัวลง
“ผู้อาวุโส โปรดวางใจ นิกายพุทธองค์ทองคำจะมีแต่เจริญรุ่งเรืองและรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเท่านั้น ท่านต้องมีชีวิตอยู่และเฝ้าดูมันด้วยตัวเอง” น้ำเสียงชิงสุ่ยฟังดูมั่นใจ
อาวุธของฟาหยิงเป็นกระบองขนาดใหญ่ มันเป็นสีทองและมีความยาว 3 เมตร มันหนาประดุจแขนของผู้ใหญ่ ทันทีที่เขาขยับตัว เขาก็ไปอยู่ตรงกลางอากาศห่างประมาณ 30 เมตรจากเป่ยถังยี่จง
สำหรับพวกเขา มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเดินทางไปในทันทีด้วยระยะทางแค่นี้
“ยอมรับมันด้วย อย่าได้พูดว่าข้าข่มขู่ท่าน ข้าได้ให้ท่านเลือกแล้ว ท่านเป็นผู้ที่แสวงหาความตายด้วยตัวเอง อย่าได้ตำหนิผู้อื่น” เป่ยถังยี่จงกล่าวอย่างหยิ่งยโส ต่อหน้าฟาหยิง เขามีความสามารถพอที่จะอวดดี
“อย่าพยายามหาข้อแก้ตัวอีกต่อไปเลย ลึกๆท่านเองก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้องและพยายามหาข้อแก้ต่างเพื่อให้อภัยตัวเอง?” ฟาหยิงกล่าวช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆกวัดแกว่งกระบองในมือด้วยพลังที่แปลกประหลาด เขารีบกระโดดขึ้นไปอย่างรวดเร็วและเดินตรงไปยังเป่ยถังยี่จง
วารีร่ายรำ กระบองวชิระอสูรอรหันต์!
ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่าฟาหยิงจะใช้กระบองวชิระอสูรอรหันต์
พลังโจมตีของกระบองรุนแรงมาก นอกจากนี้ยังมีความเร็วที่ดี ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฟาหยิง เขาได้ดึงเอาศักยภาพสูงสุดของเคล็ดวิชาออกมา
เป่ยถังยี่จงยังคงแสดงสีหน้าอวดดีเมื่อกระบองฟาดลงมา เขาสะบัดมือขวาและในขณะที่เขาทำอย่างนั้นลมปราณแรกเริ่มก็ห่อตัวเป็นกรงเล็บราชสีห์ส่งเข้าใส่กระบอง
ฟุ่บ!
ปัง!
เป่ยถังยี่จงตะโกนออกมาเสียงดัง เขายังคงปลดปล่อยการโจมตีของเขาด้วยกรงเล็บราชสีห์ ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าและผลักดันฝ่ามือของเขา กรงเล็บราชสีห์สองสายขนาดใหญ่ก็พุ่งไปทางฟาหยิง
ทุกที่ที่มันพุ่งผ่านไป ปรากฏพายุหมุนสองลูกขึ้นกลางอากาศ
กายาวชิระ!
แสงสีทองส่องผ่านร่างของฟาหยิง เขาถือกระบองค้ำยันไว้ข้างหน้า กรงเล็บราชสีห์ได้ผลักดันให้เขาถอยร่นไป พวกเขาสองคนดูแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมาก่อน
ความต่างชั้นด้านพลังมีมากเกินไป การต่อสู้จบลงแล้ว แม้ว่าเขาจะมีกายาวชิระ แต่การป้องกันของเขาก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เขาไม่บาดเจ็บ
อึก!
ฟาหยิงจับกระบองเอาไว้แน่น อย่างไรก็ตามเขายังคงเลือดออกจากปากและเซไปข้างหลัง นักบวชสองคนเดินเข้ามาจับเขาไว้อย่างรวดเร็ว พวกเขาให้ยาฟื้นฟูและนำตัวเขาลงไป ชิงสุ่ยได้เอาเข็มทองคำออกมาและฝังลงไปบนหน้าอกของฟาหยิงอย่างรวดเร็ว
ส่วนที่ฟาหยิงได้รับบาดเจ็บคืออวัยวะของเขา แม้กระทั่งใช้กายาวชิระ เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง แต่ตราบเท่าที่เขายังไม่ตาย ชิงสุ่ยก็มีวิธีที่จะช่วยเขาได้
“ผู้อาวุโส ข้าจะจัดการส่วนที่เหลือเอง นี่เป็นวันที่ตระกูลเป่ยถังจะต้องชดใช้ทั้งหมด เมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็จะทำมันให้เด็จขาด” ชิงสุ่ยกล่าวในขณะที่พยายามรักษาอาการบาดเจ็บของฟาหยิงให้คงที่
“ไม่เป็นไรคุณชายชิง ขอโทษที่สร้างปัญหา”
ชิงสุ่ยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและขึ้นไปขัดขวางเป่ยถังยี่จงซึ่งได้ลงมาถึงวัดพุทธองค์ทองคำแล้ว
“ข้าจะเป็นคนจัดการส่วนที่เหลือของการต่อสู้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าเริ่มก่อน อย่าหาว่าข้าข่มขู่เจ้าหล่ะ ข้ากลัวว่าเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ลงมือทำอะไรแม้เพียงสักครั้ง” ชิงสุ่ยคืนคำที่เป่ยถังยี่จงกล่าวแก่ฟาหยิงกลับไปให้ตัวเป่ยถังยี่จงเอง
บทที่ 1310 – ใครคือคนโง่เขลา? 7 ย่างก้าวทำลายล้างแห่งทักษะย่างก้าว 9เทวา สังหารเช่นอสูร
คำพูดของชิงสุ่ยอาจถือได้ว่าหยิ่งยโส กลิ่นอายและพลังของเขาปกปิดได้มากยิ่งขึ้นหลังจากที่เขาเข้าถึงเส้นทางแห่งสวรรค์ แม้แต่คนที่อยู่รอบตัวเขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงได้ นอกจากนี้เขายังเยาว์วัย ดังนั้นเป่ยถังยี่จงจึงเงยศีรษะขึ้นและหัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย
“หากเจ้าปรารถนาที่จะตาย ข้าก็จะมอบมันให้เจ้า การใช้ลิ้นพล่ามไปมาแต่ขาดความสามารถนั้นเป็นเพียงสิ่งที่โง่เขลาเท่านั้น”
ตอนที่เป่ยถังยี่จงพูดเสร็จ เขาก็ยกมือขึ้นและปรากฏกรงเล็บราชสีห์ทองคำขึ้นอีกครั้ง มันกระพริบแสงสีทองเรืองรองและพุ่งออกไปเพื่อพันธนาการ
เป่ยถังยี่จงต้องการจับกุมชิงสุ่ยและค่อยๆบดขยี้เขา ดังนั้นการเคลื่อนไหวของเขาจึงไม่เร็วมากนัก แต่ความสามารถของเขาก็น่ากลัวอย่างมาก
ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปที่กรงเล็บราชสีห์ทองคำขนาดใหญ่ซึ่งกำลังเข้ามาใกล้ เขาก้าวไปข้างหน้า
ศรพิโรธ!
แม้ว่าชิงสุ่ยไม่ได้ถือค้อนดาราเทพอัสนีพยุหราชในขณะนี้ แต่การโจมตีด้วยจิตใต้สำนึกของเขาได้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าใส่แขนของเป่ยถังยี่กง
ครึก!
เสียงอัดคมชัดดังขึ้น มันเป็นเสียงของกระดูกที่ป่นปี้
อ๊ากกกกกกกกกกก!
เป่ยถังยี่จงส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองเพียงช่วงลมหายใจเดียว จากนั้นเขาถูกซัดกระเด็นไปข้างหลัง เขาไม่ได้คาดคิดว่าผลจะเป็นแบบนี้มาก่อน มันเป็นการโจมตีธรรดาที่ส่งผลเกินพอ ขณะที่เขาเปิดปาก เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะควบคุมเสียง มันราวกับว่าเขาจมดิ่งลงสู่ความเจ็บปวดอันแสนสาหัส
แขนทั้งสองข้างของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆและห้อยย้อยเหมือนโคลน ไหล่ของเขาก็กระแทกจนแตก
เป่ยถังยี่กงใช้พลังเพียง 70% เท่านั้น เขาประมาทเกินไป แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ได้ใช้เกราะอสูรสำแดง แต่เขาก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์แล้ว นอกจากนี้ด้วยพลังของทักษะย่างก้าว 9 เทวาและรูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารผู้อื่นได้ในทันที อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยไม่ได้ทำเช่นนั้น
โดยรอบเงียบสงัด
เป่ยถังยี่กงจับเป่ยถังยี่ป้อนยาเม็ดให้เขาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามแขนของเป่ยถังยี่จงหมดสภาพไปแล้ว เนื่องจากการโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้กระดูกของเขาบดละเอียด แต่ยังรวมถึงกล้ามเนื้อและเส้นลมปราณของเขาด้วย ไม่มีความหวังใดนอกจากเขาจะมียามหัศจรรย์สำหรับฟื้นฟูกล้ามเนื้อและกระดูก
“ทำไมเจ้าถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ แม้จะอายุปูนนี้? ท้ายที่สุดเจ้าก็กลายเป็นเพียงคนที่โง่เขลา” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสงบ
นี่เป็นการตบหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด เป่ยถังยี่จงเคยพูดเอาไว้มากมาย แต่ชิงสุ่ยกลับได้รับชัยชนะด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เป่ยถังยี่กงโลหิตเดือดพล่านในทันที เขาหันกลับไปกล่าว “ยี่หยางดูแลยี่จงด้วย พวกเราจะพูดคุยกันหลังจากที่ข้าได้สังหารไอเด็กสารเลวนี่เสียก่อน”
“ท่านพี่ เขานั้นน่ากลัว อย่าได้ต่สู้กับเขาเพียงลำพัง พวกเราควรจะร่วมมือกัน” เป่ยถังยี่จงบอกเป่ยถังยี่กง
เป่ยถังยี่กงหยุดเดินและมองไปที่เป่ยถังยี่จง จากนั้นเขาก็มองไปยังชายชราสองคนจากจักรวรรดิราชสีชาตะ พวกเขาพยักหน้าตอบ จากเรื่องทั้งหมดการโจมตีของชิงสุ่ยจากก่อนหน้านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เป่ยถังยี่จงพิการ แต่ยังทำให้ทุกคนรู้สึกวิตกกังวล
ชิงสุ่ยสามารถได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดและการแสดงออกของพวกเขาได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามเขาไม่กลัวพวกเขา เขาคาดคิดไว้แล้วว่าพวกเขาจะต้องร่วมมือกัน ดังนั้นเขาจึงยังมีท่าทีที่สงบอยู่
เมื่อฟาหยิงและผู้ที่มาจากวัดพุทธองค์ทองคำได้ยินคำพูดของเป่ยถังยี่จง พวกเขาก็ต้องตกใจ บางคนถึงกับมีสีหน้าที่เคร่งขรึม
“ทุกคนจัดรูปขบวน! พวกเราจะออกไปต่อสู้กับพวกมัน” ฟาหยิงลุกขึ้นยืนขณะมีเข็มทองคำฝังอยู่
“ผู้อาวุโส ทุกอย่างปกติดี พวกท่านเพียงแค่เฝ้าดูอยู่ด้านล่างก็พอ ข้าได้บอกไปแล้วว่าจะจัดการศึกครั้งนี้เอง มันไม่ได้แตกต่างสำหรับข้าแม้ว่าพวกเขาจะมีมากหรือน้อยก็ตาม” ชิงสุ่ยกล่าว เขาไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ
“จัดรูปแบบ!”
รูปแบบอินทรีราชันย์ราชสีห์!
มันไม่ใช่แค่นั้นเท่านั้น หลายคนได้เรียกสัตว์อสูรที่ฝึกเอาไว้ออกมา ในเวลานั้นจำนวนสัตว์อสูรบินได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า สัตว์อสูรหลายตัวอยู่ภายใต้รูปแบบที่พวกเขาสร้างขึ้นเป็นอินทรีราชันย์ราชสีห์ขนาดใหญ่
เกราะอสูรสำแดง!
ชิงสุ่ยใช้เกราะอสูรสำแดงและวิหคเพลิงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศจากคลื่นบนฝ่ามือของเขา ชิงสุ่ยเรียกหมูป่านักล่าสมบัติออกมาด้วย
มังกรไอยราเกล็ดทองคำและแมงมุมอสูร 7 เศียรปรากฏตัวอยู่ถัดจากชิงสุ่ย มันน่าเสียดายที่ระดับของกลองสะบั้นสวรรค์ไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้นความสามารถของมังกรไอยราเกล็ดทองคำจึงอ่อนแอกว่าวิหคเพลิง
ความสามารถของอสูรอัสนีคลั่งและวิหคเพลิงนั้นน่ากลัวมาก!
ชิงสุ่ยเรียกสัตว์อสูรของเขาออกมา แต่ไม่ได้เข้าสู่การตั้งรูปแบบ คนส่วนหนึ่งประหลาดใจเมื่อได้เห็นสัตว์อสูรของเขา พวกเขาเป็นนิกายนักฝึกสัตว์อสูร แต่ตระหนักว่าพวกเขาไม่มีสัตว์อสูรที่ฝึกมากมายเท่าชายตรงหน้า
ตั้งแต่พวกเขาตั้งท่าที่จะต่อสู้ มันจะดีกว่าถ้าเคลื่อนไหวในทีเดียว ชิงสุ่ยไม่มีความลังเลใดๆ เขาสั่งให้สัตว์อสูรโจมตี
ก้าวพสุธามังกรไอยรา!
ใยแมงมุมพิษกัดกร่อน!
อัสนีต่อเนื่องกำราบมาร!
เคล็ดวิชาเปลวเพลิงแห่งนรก!
…
หลังจากที่เห็นชิงสุ่ยทำการเคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็เริ่มการโจมตีของพวกเขา พวกเขารีบเข้าสู่รูปแบบ มีด้วยกันสองรูปแบบ ทั้งคู่เป็นอินทรีราชันย์ราชสีห์ขนาดใหญ่สีทองคำและสีเงิน
ตราประทับกลืนนภา!
ชิงสุ่ยไม่กล้าที่จะประมาท เขาสร้างมหาสมุทรขนาดใหญ่ขึ้นโดยรอบด้วยคลื่นที่ฝ่ามือของเขา
โค่นผูผาทำลายมหาสมุทร!
เมื่อพวกเขาพุ่งเข้ามา เข้าจึงใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดที่เขาสามารถทำได้ด้วยตราประทับกลืนนภา
ทักษะย่างก้าว 9 เทวา!
ตอนนี้ชิงสุ่ยจำเป็นต้องทำลายรูปแบบของพวกเขา รูปแบบเพิ่มความสามารถโดยรวมพวกเขา แต่พวกเขามีจุดอ่อน นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังชำนาญด้านรูปแบบ รูปแบบนี้มีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ถ้าเขาโจมตีไปที่จุดนั้น พวกเขาก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตจากลมปราณแรกเริ่มซึ่งอัดกระแทกเข้าไป
วชิระสยบอสูร!
ปราณจักรพรรดิ!
ตั้งแต่ที่พวกเขาสร้างรูปแบบเข้าด้วยกัน ชิงสุ่ยก็จะลดความสามารถโดยรวมของพวกเขาลงได้ เขาเริ่มสั่งหมูป่านักล่าสมบัติให้พุ่งเข้าใส่
มันเป็นเรื่องยากสำหรับชิงสุ่ยที่จะทะลวงรูปแบบนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขามีหมูป่านักล่าสมบัติ มันค่อนข้างที่จะง่าย หมูป่านักล่าสมบัติมีพลังทางกายที่ไม่ธรรมดา มันช่างน่าเสียดายที่พลังของเขาไม่เพียงพอที่จะทะลวงผ่านเข้าไป ตอนนี้สิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการคือส่งหมูป่านักล่าสมบัติเข้าไปในรูปแบบและปล่อยให้มันอาละวาดอยู่ข้างใน มันอาจใช้เวลาไม่นานในการทำลายรูปแบบเช่นนี้
ชิงสุ่ยโบกสะบัดมือ!
ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์!
วิหคขนาดใหญ่ส่องแสงเรืองรอง มันโจมตีไปทางด้ายซ้ายของรูปแบบ
ตำแหน่งนั้นยังมีข้อบกพร่องอยู่ เนื่องจากจำนวนคนมีน้อย พลังของพวกเขาก็จะอ่อนแอลงมากเช่นกัน ดังนั้นชิงสุ่ยจึงโจมตีไปที่นั่นโดยตรง เขามีหลายวิธีที่จะทำลายรูปแบบนี้
ชิงสุ่ยโจมตี แต่ศัตรูมีโอกาสที่จะหลบมันได้ ตัวอย่างเช่นพวกเขาสามารถสลายจุดตรงนั้นแยกออกไป ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่ได้หวังผลกับการโจมตีในครั้งแรกมากนัก
ฝ่ามือราชันย์ราชสีห์!
โฮก!
ทันใดนั้นอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำและเงินก็ใช้ฝ่ามือราชันย์ราชสีห์เข้าใส่ชิงสุ่ย
พลังวิญญาณที่ทรงพลังของพวกเขารวมตัวกันอยู่ในราชสีห์ขนาดใหญ่ มันกระโจนเข้าหาชิงสุ่ย
ทักษะย่างก้าว 9เทวา หลบเลี่ยง!
พลังวิญญาณของชิงสุ่ยนั้นทรงพลังมาก ขณะที่ฝ่ามือราชันย์ราชสีห์ถูกปล่อยออกมา เขาก็รีบหลบหนี
แน่นอนว่าทักษะย่างก้าว 9 เทวาสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีด้วยพลังวิญญาณได้ ถึงแม้ว่าชิงสุ่ยจะสามารถหลบการโจมตีด้วยพลังวิญญาณได้ถึง 70% แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับมัน เพราะเขาไม่ได้เข้าใจถึงพลังของมันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีฝ่ามือราชันย์ราชสีห์ ดังนั้นเขาจึงสามารถหลบได้ประมาณ 40% ของการโจมตี
อินทรีราชันย์ราชสีห์สยายปีก!
อินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำขนาดใหญ่พุ่งพรวดเข้าหาชิงสุ่ยเกือบจะทันทีและสยายปีกยาวหลายร้อยเมตรไปยังชิงสุ่ย ปีกของมันสีทองคำและไหลเวียนไปด้วยพลังที่น่ากลัว
รวดเร็ว รวดเร็วมาก!
ชิงสุ่ยยกมือขึ้นและตอบโต้ทันที
ทักษะย่างก้าว 9 เทวา จิตรกรรมปฐพีคุมขัง!
ตูม!
ปีกขนาดใหญ่สบัดใส่ชิงสุ่ย แต่เขายังไม่ได้รับบาดเจ็บ ทักษะย่างก้าว 9 เทวาและจิตรกรรมปฐพีคุมขังอาจทำให้ชิงสุ่ยสามารถป้องกันอันตรายได้อย่างสมบูรณ์เพียงชั่วลมหายใจ ในช่วงเวลานั้นเขาจะไม่สามารถโจมตีได้ มันช่างน่าสงสารที่ต้องรออีกกว่า 30 นาทีจึงจะใช้ครั้งที่สองได้ จิตรกรรมปฐพีคุมขังคือการเขียนภาพลงบนพื้นที่ว่างและสามารถใช้เพื่อช่วยชีวิตได้ในทันที
สว่านมังกรเปลวเพลิง!
เคล็ดวิชาเปลวเพลิงในมือของชิงสุ่ยหมุนควงไปปะทะกับอินทรีราชันย์ราชสีห์เงินขนาดใหญ่ที่บิน ก่อนหน้านี้เขาโดนไล่ต้อนถอยกลับมาจากอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำ จากนั้นอินทรีราชันย์ราชสีห์เงินก็กระโจนเข้าหาเขาเกือบจะทันทีและใช้ปีกสีเงินซัดเข้าหาชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยโกรธ เขาโจมตีอินทรีราชันย์ราชสีห์เงินอย่างรวดเร็ว
ก้าวที่หนึ่ง!
ชิงสุ่ยก้าวถอยหลังอย่างแปลกประหลาดและตามด้วยก้าวครั้งที่สอง!
ร่างกายของเขาหมุนควงขึ้นไป!
ก้าวที่สาม!
ก้าวที่สี่!
ชิงสุ่ยหลบเลี่ยงการโจมตีสองครั้ง
ก้าวที่ห้า!
เชือกตรึงอสูร!
เมื่อชิงสุ่ยเห็นอินทรีราชันย์ราชสีห์กางปีกออก เขาได้ปลดปล่อยเชือกตรึงอสูร ปัจจุบันพลังของเชือกตรึงอสูรค่อนข้างแข็งแกร่ง มันกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับมังกรทองคำขนาดใหญ่และรัดอินทรีราชันย์ราชสีห์เอาไว้ ช่างน่าเสียดายที่ผลของมันคงอยู่เพียงชั่วลมหายใจ อย่างไรก็ตามมันช่วยให้ชิงสุ่ยมีเวลามากพอที่จะก้าวต่อ
ก้าวที่หก!
คราวนี้อินทรีราชันย์ราชสีห์สองตัวซึ่งเปล่งประกายด้วยแสงของรูปแบบโจมตีใส่ชิงสุ่ยจากสองทิศทาง มันอาจเป็นเพราะพวกเขาสังเกตได้ถึงบรรยากาศโดยรอบที่แตกต่างจากเดิม
ระฆังสะท้านจิต!
ชิงสุ่ยเอาระฆังสะท้านจิตออกมาและสั่นมันอย่างรุนแรง เส้นสายของแสงสีม่วงเจาะเข้าไปในร่างของสัตว์อสูรทั้งสองตัว
ในช่วงเวลานั้นเสียงของระฆังที่สั่นไหวทำให้ร่างกายของอินทรีราชันย์ราชสีห์หดตัวลงไปเกือบสองในสามของขนาดพวกมัน
ชิงสุ่ยรู้ว่านี่เป็นเพราะสัตว์อสูรที่อยู่ภายในรูปแบบทั้งสองหลบหนีหรือตายไป
ก้าวที่เจ็ด!
ชิงสุ่ยก้าวลงไปเป็นครั้งที่เจ็ด!
7 ย่างก้าวทำลายล้างแห่งทักษะย่างก้าว 9 เทวา!
ย่างก้าวนี้ให้รู้สึกถึงท้องฟ้าที่ถล่มและทิวทัศน์ของภูเขาที่พังทลายลงมา มันกระแทกลงไปบนอินทรีราชันย์ราชสีห์ทั้งสองตัว
ตูม!
อินทรีราชันราชสีห์เงินระเบิดออก ส่วนอินทรีราชันราชสีห์ทองคำยังคงดิ้นรนต่อสู้ ชิงสุ่ยพุ่งออกไปและใช้เคล็ดวิชาศาสตราวุธเร้นลับขว้างหมูป่านักล่าสมบัติเข้าใส่อินทรีราชันราชสีห์ทองคำซึ่งกำลังใกล้เข้ามา
ฟุ่บ!
อินทรีราชันราชสีห์ทองคำเข้าไปภายในอินทรีราชันราชสีห์ทองคำและจากนั้นมันก็วิ่งไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานักเสียงแตกกระจายก็ดังขึ้น นั่นคือเสียงของระเบิดลมปราณแรกเริ่มจากสัตว์อสูรและมนุษย์ที่อยู่ข้างใน หลังจากที่หมูป่านักล่าสมบัติพุ่งผ่านร่างของพวกเขา
ตูม!
หลังจากนั้นหลายสิบครั้ง อินทรีราชันราชสีห์ทองคำก็ระเบิดออก ณ ตอนนี้ ชิงสุ่ยกลายเป็นเหมือนอสูรจากนรก ด้วยทักษะย่างก้าว 9 เทวา เขาเริ่มต้นสนุกสนานกับการสังหารพวกเขา
วิหคเพลิง มังกรไอยราเกล็ดทองคำ อสูรอัสนีคลั่ง และอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรได้เข้าร่วมการต่อสู้ทั้งหมด หลังจากที่คนเหล่านี้อ่อนแอลง พวกเขาก็ไม่สามารถต่อสู้ได้มากนัก ผู้นำกลุ่มหลายสิบคนถูกสังหารตายทันทีโดยชิงสุ่ย
บทที่ 1311 – ก้าวเข้าสู่จักรวรรดิอุดรเทวะ
ตั้งแต่ชิงสุ่ยคิดจะลงมือสังหารหมู่เขานั้นก็ไม่คิดจะย้อนกลับไปอีกครั้ง และเขาจะไม่ปล่อยใครไปเลยแม้แต่สักคน “ถ้าเจ้าคิดจะกำจัดวัชพืช เจ้าก็ต้องลงมืออย่าให้มันงอกกลับขึ้นมาสร้างความลำบากใจให้เจ้าได้อีก ” ตอนแรกเขาไม่เคยเชื่อคำพูดดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามจะบทเรียนที่ได้รับมา ชิงสุ่ยจะไม่ปล่อยให้ใครรอดออกไป นั้นเพื่อครอบครัวและคนรอบกายของเขา
ในตอนนี้มันเป็นการสังหารหมู่โดยชิงสุ่ยเพียงลำพัง คนที่มาจากตระกูลเป่ยถังและจักรวรรดิราชสีชาตะ ได้ล้มตายดังใบไม้ร่วงในพริบตา ในตอนนี้ผู้คนของจักรวรรดิราชสีชาตะ ได้ถูกสังหารไปเป็นจำนวนที่มากที่สุดภายใต้สายฟ้าของอสูรอัสนีคลั่ง ศีรษะของพวกเขาถูกทำลายในพริบตา
ด้วยตะเกียงร้อยวิญญาณ ทำให้พลังของอสูรอัสนีคลั่งนั้นแข็งแกร่งขึ้นไปอีกเท่าตัว
แม้ตอนนี้วิหกเพลิงจะไม่สามารถสังหารศัตรูได้มากเท่าอสูรอัสนี แต่มันก็ยังสามารถสร้างบาดแผลที่ร้ายแรงจำนวนมากให้กับอีกฝ่าย ลูกไฟของมันแต่ละลูกสามารถสังหารอสูรของศัตรูและขัดขวางเส้นทางการพวกเขาไว้ทั้งหมด
ในตอนนี้การต่อสู้นั้นถูกควบคุมอยู่ภายใต้อสูรอัสนีคลั่งและแมงมุมเจ็ดเศียร สำหรับผู้คนที่สามารถผ่านการจู่โจมของอสูรทั้งสองมาได้ พวกเขาก็ยังต้องพบเจอกับชิงสุ่ยที่เป็นดังอสูรที่ร้ายกาจกว่า
ตอนนี้เป่ยถังยี่จงที่ยังมีชีวิตอยู่ได้กระอักเลือดออกมาด้วยความหมดหวัง เป็นเพราะเขาในตอนนี้ คนในตระกูลของเขาถึงต้องล่มตายไปจำนวนมาก หัวใจของเขาราวกับถูมีดนับพันกรีดลงก็มิปาน
นี่ถือว่าเป็นหายนะอย่างแท้จริงสำหรับตระกูลเป่ยถัง เป็นหายนะที่พวกเขานั้นไม่มีทางทำอะไรได้
“เป็นความผิดของข้าเอง ที่ข้าปล่อยพวกเจ้าเอาไว้ก่อนหน้านี่ ถึงเวลาที่ต้องกำจัดพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว”
“จะฆ่าก็ฆ่าเถอะ อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ถึงแม้ว่าพวกเราจะรอดไปก็เหลือแค่เด็กและผู้หญิงที่อ่อนแอเท่านั้น พวกเขาก็ไม่ต่างกับได้ตายไปแล้ว รีบลงมือเสียเถอะ”เป่ยถังยี่จงกล่าวออกมาด้วยเสียงที่สังเวช
ชิงสุ่ยมองไปที่พวกเขา มันเป็นจริงตามที่พวกเขากล่าวออกมา ในตอนนี้พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้วจริงๆ
“แต่ก่อนที่ข้าจะตายข้าจะบอกไว้ ตระกูลเป่ยถังของเรานั้นยังมีอีกหลายๆสาขา นอกเหนือจากทวีปแห่งนี้แล้ว ยังมีพวกเราในทวีปอื่นๆอีกด้วย พวกเขาเป็นคนที่เจ้าไม่มีวันที่จะแตะต้องได้ นอกจากนี้หากการตายของพวกเราแพ้ออกไป พวกเขาคงไม่นิ่งเฉยแน่นอน เพราะพวกเราคือตระกูลเป่ยถังเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผู้นำของเราคงไม่ยอมปล่อยเจ้าไว้”เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าสังเวชอย่างมาก
ในเวลานี้ร่างกายของชิงสุ่ยเต็มไปด้วยคาบเลือด ตอนนี้เขาดูราวกับยมทูตสีแดงแห่งเพลิงนรก ชิงสุ่ยแต่มองไปที่ผู้คนที่เหลืออีก10คนที่ยืนอยู่พวกเขานั้นไร้แม้แต่หนทางที่จะหลบหนี พวกเขาดูราวกับฝูงปลาที่ตายแล้ว
ชิงสุ่ยนึงถึงคำพูดของเป่ยถังยี่จงในก่อนหน้านี่ แต่ถึงอย่างไรด้วยไม่ได้ ชิงสุ่ยได้ลงมือสังหารผู้คนทั้งหมดในพริบตา ซากศพจำนวนมากได้กองเรียงรายดังภูเขาที่สูงตระหง่าน เลือดได้ไหลรินอาบไปทั่วบริเวณนั้นจนเป็นสระสีแดงเข้ม
ในเวลานี้ชิงสุ่ยหันกลับไปมองที่ฟาหยิง ในที่ฟาหยิงมองกลับไปที่ชิงสุ่ยด้วยท่าทางไร้เลี้ยวแรง เขาแข็งแกร่งเกินที่จะรับมือได้ หาต้องสู้กันจริงๆ ฟางหยิงคงมีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่2ลมหายใจเท่านั้น
“อาวุโส พวกเราลงไปข้างล่างเถอะ พวกเขาตายหมดแล้ว”เมื่อเห็นไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว ชิงสุ่ยจึงได้กล่าวออกมา
หลังจากนั้นคงของวัดพุทธองค์ได้ทำการกำจัดซากศพที่อยู่ข้างล่าง หลังจากนั้นชิงสุ่ยได้ออกไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขา จากกันต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ชิงสุ่ยสามารถสัมผัสได้ว่าชีวิตนั้นไม่แน่นอนเสียจริงๆ
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าชิงสุ่ย ได้ทำการรักษาให้กับฟาหยิงที่บาดเจ็บอยู่ ตอนนี้อาการของเขาดีขึ้นกว่า50%แล้ว ตราบเท่าที่เขาได้รับการพักผ่อนที่เพียงเขาจะหายได้ในสิบวันข้างหน้า
ตอนนี้ฟาหยิงกำลังนึงถึงภาพในอดีต หากเป็นเขาสู้กับชิงสุ่ยจริงๆเขาคงไม่ต่างอะไรกับซากศพเหล่านั้น นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังสามารถสังการทุกๆคนลงไปได้โดยที่เวลายังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ผู้คนที่ตายลงไปก็เป็นผู้คนที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับสูงเกือบทั้งหมด นี่ยิ่งทำให้เขาตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก
“อาวุโสท่านรู้อะไรเกี่ยวกับสาขาอื่นของตระกูลเป่ยถังบ้างรึไม่?”ชิงสุ่ยถามออกมาหลังจาที่เก็บเข็มทองของเขา
“เรื่องนี้ ข้าก็จนปัญญาจริงๆ ข้าไม่เคยได้ยินมันมาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้บางทีมันอาจเป็นแค่คำขู่ก็ได้ พวกเขานั้นอาจจะต้องการให้คุณชายนั้นรู้สึกหวาดกลัวและปล่อยพวกเขาไปก็ได้ แต่ข้าก็ไม่มั่นใจมากนัก ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือแค่ขู่”
ชิงสุ่ยยังไม่กังวลเรื่องนี้มากนัก ถึงแม้ทวีปที่เหลืออีก3ทวีปจะเป็นการคงอยู่ของผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่ทุกๆคนจะแข็งแกร่งไปเสียหมด นอกจากนี้ด้วยความเร็วที่เขามีคงจะเป็นเรื่องยากที่จะติดตามเขา
“แล้วนี่คือขุมกำลังทั้งหมดของพวกเขาแล้วรึ นอกจากนี้ยัง มีคนอื่นๆที่แข็งแกร่งว่านี้มั้ยในจักรวรรดิอุดรเทวะ?”ชิงสุ่ยถามออกมา
“นี่เป็นกองกำลังเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของพวกเขาเท่านั้น คนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขายังคงอยู่ที่ตระกูลหลัก แต่ข้าก็อาจไม่สามารถบอกได้ว่าคนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหนกัน”เขากล่าวออกมาขณะที่มองไปที่ชิงสุ่ยอย่างจริงจัง
“ข้าคิดว่าขาควรไปเยี่ยมจักรวรรดิอุดรเทวะสักครั้งหนึ่ง รวมถึงจักรวรรดิราชสีชาตะอีกด้วย ท่านคิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง? นอกจากนี้ให้ข้าช่วยเหลือท่านแก้ปัญหาครั้งนี้จะดีมั้ย?”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา
ฟาหยิงมองไปที่ชิงสุ่ยด้ยสายตากังวล เขาดูอึดอัดอย่างมาก แต่แล้วก็ถอนหายใจออกมา “แล้วแต่ท่านเถอะ ยังไงซะพวกเราก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
ในตอนนี้ชิงสุ่ยพักอยู่ที่วัดเพียงแค่หนึ่งคืน ก่อนที่จะเดินออกไปที่จักรวรรดิอุดรเทวะ และจักรวรรดิราชสีชาตะ
ถึงแม้ชิงสุ่ยจะเคยฆ่าคนมามากมาย แต่ต้องกล่าวได้เลยนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหนื่อยหลังการเข่นฆ่า คนเหล่านี้เป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งในทวีปอู่เซียตะวันตกแห่งนี้ ดังนั้นมันจึงทำให้เขานั้นต้องใช้ความสามารถทั้งหมดออกมา
ตลอดทั้งคืนผ่านไปอย่างสงบ ตอนแรกชิงสุ่ยคิดว่าคนที่เหลือของตระกูลเป่ยถังและจักรวรรดิราชสีชาตะจะลอบจู่โจมเขาเสียอีก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครเลยสักคนที่กล้ามา นอกจากนี้ชิงสุ่ยนั้นยังมีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง เช่นนิกายบงกชเทวะ สำนักสวรรค์ซ่อนเร้น เทือกเขาปู๋โถว จักรวรรดิอวี้ และอื่นๆที่คอยสนับสนุนอยู่ มันคงเป็นเรื่องที่แย่อย่างมากที่จะมาหาเรื่องกับชิงสุ่ย
……….
ในรุ่งเช้าชิงสุ่ยได้ออกเดินทางไปที่จักรวรรดิอุดรเทวะในทันที เพราะเขานั้นต้องการกวาล้างตระกูลเป่ยถังทั้งหมดให้หายไปจากทวีปแห่งนี้อย่างสมบุรณ์
จักรวรรดิอุดรเทวะ!
ในตอนแรกที่เขามาถึงที่แห่งนี้ชิงสุ่ยนั้นได้ยินมากว่าจักรวรรดิอุดรเทวะนั้นเป็นเพียงจักรวรรดิระดับสามเท่านั้น แต่หลังจากการต่อสู้ที่ผ่านมาชิงสุ่ยสามารถรับรู้ได้เลยพวกเขานั้นเป็นจักรวรรดิที่ไม่ด้อยไปกว่าจักรวรรดิระดับ4เลย เมื่อชิงสุ่ยคิดถึงเรื่องนี้นั้นทำให้เขาสงสัยว่าต้องมีขุมอำนาจอีกมากมายที่แอบซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้เช่นเดียวกับจักรวรรดิอุดรเทวะแห่งนี้
ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นรู้สึกว่าเขาประเมินทวีปแห่งนี้ต่ำไป เดิมทีเขาคิดว่าทวีปแห่งนี้ของมีขุมอำนาจเพียงแค่จักรวรรดิระดับสามเท่านั้น แต่เมื่อใช้เวลาเกือบ2ปี ทำให้เขารู้ว่าที่แห่งนี้นั้นแข็งแกร่งขนาดไหน นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดคือไร พวกเขาอาจเป็นขุมอำนาจที่มีพลังถึงจักรวรรดิระดับ5ก็เป็นไปได้
ดังนั้นชิงสุ่ยจึงรู้สึกว่าเขานั้นไม่ควรมองอะไรที่ภายนอกเท่านั้น ในสองปีที่ผ่านมาชิงสุ่ยได้ใช้เวลาทั้งหมดเดินทางไปทั่วๆทวีปแห่งนี้แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถท่องไปทั่วทวีปแห่งนี้ได้ นอกจากนี้ขุมกำลังที่เขาพบมาตลอด2ปีก็ยังไม่ใช่ขุมอำนาจทั้งหมดของทวีปแห่งนี้อีกด้วย มันทำให้เขาเริ่มมองไปที่ทวีปอื่น บางทีเขาต้องใช้เวลาเป็น10ๆปีก็ได้กว่าจะท่อง 4ทวีปแห่งนี้จนครบ
ตระกูลเป่ยถังเป็น ตระกูลหลักที่ปกครองจักรววรดิอุดรเทวะ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่ชิงสุ่ยจะตามหาพวกเขา ชิงสุ่ยสามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาคงต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ที่นั้นต้องใหญ่โตและหรูหราอย่างมาก นั้นคือสิ่งที่เขาตามหาในตอนนี้
ภูเขาถางกู๋!
นี่เป็นภูเขาที่มีความสูงไม่ต่ำกว่า 10กิโลเมตร นอกจากนี้มันยังจัดได้ว่าเป็นเทือกเขาที่สูงลำดับที่สามในทวีปแห่งนี้
ชิงสุ่ยได้ขี่วิหกเพลิงและตรงไปที่ยอดเขาในทันที เมื่อใกล้ถึงยอกเขามีสัตว์อสูรนับสิบบนวนอยู่ในที่แห่งนั้น
จุดสูงสุดของยอดเขานั้นได้จมหายลงไปในก้อนเมฆ มันนั้นดูราวกับบันไดที่ใช้ไต่ขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ ที่จุดสูงุดนั้นปกคลุมไปด้วยพืชสีเขียวมรกตนับพัน มันดูคลายกับป่าที่เต็มไปด้วยอัญมณีสีมรกตก็มิปาน
ในตอนนี้เองเมื่อชิงสุ่ยเข้าไปใกล้ สัตว์อสูรที่บินอยู่ก็ได้คำรามออกมา
ชิงสุ่ยมองไปที่พวกมันและคนที่อยู่บนหลังพวกมัน พวกเขาเป็นคนที่มีอายุค่อนข้างมากเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นก็ดูราวกับคนที่อายุ60กว่าๆเท่านั้น
หนึ่งในชายชราที่มีอายุมากที่สุดได้เข้ามาใกล้ชิงสุ่ยและมองมาที่เขา ชายชราดังกล่าวจะได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในที่แก่งนี้พลังของเขานั้นมากมายเกินที่จะสามารถกล่าวออกมาได้
เมื่อเห็นชิงสุ่ย ดวงตาของเขาเปร่งประกายแต่ก็เต็มไปด้วยความเศร้าใจ ก่อนที่จะจ้องมองไปที่ชิงสุ่ยอย่างจริงจัง
“สวรรค์ ดูเหมือนว่าตตระกูลเป่ยถังนั้นต้องถูกทำลายด้วยมือของเจ้าเสียแล้ว”ชายชรากล่าวออกมาอย่างช้าๆ
“ขอโทษด้วยข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ตระกูลเป่ยถังนั้นทำผิดกฎในฐานะผู้บ่มเพาะ ตั้งแต่ต้นข้าไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนี้เลย ”ชิงสุ่ยมองไปที่ชายชราและกล่าวอธิบาย ถึงแม้ว่าชายชราผู้นี้จะแข็งแกร่ง แต่เขานั้นก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่านายหญิงของเทือกเขาปู๋โถวเลย
“ผิดถูกรึ ผิดถูกนั้นในความคิดของข้ามันไม่สำคัญเลย ใครแกร่งกว่าคือคนถูก ใครอ่อนแอก็คือผู้แพ้”ชายชรากล่าว
ชิงสุ่ยยิ้ม “ชนะคือราชา แพ้คือกบฏ สินะ ข้าเข้าใจแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้ม
“นี่คือข้อเท็จจริงของโลกใบนี้ อย่าได้คิดมากเลย ทั้งหมดก็เพื่อตระกูลของข้า ขอโทษที่ข้าต้องสังหารเจ้าในวันนี้!”
“แม้แต่เสือโคร่งเองก็จะไม่กินลูกของมัน แม้แต่คนที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกก็ยังรู้สึกรักครอบครัว ถึงแม้จะเลวแค่ไหนครอบครัวก็สำคัดที่สุดสินะ “ชิงสุ่ยิ้ม และมองชายชรา
บทที่ 1312 –วิหกเพลิงที่ร่ายรำ
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขากล่าวออกมาชิงสุ่ยรู้สึกรังเกลียดเขาเป็นอย่างมาก จริงๆแล้วสิ่งที่ชายชรากล่าวมา เขานั้นก็เคยสัมผัสมาก่อนอย่างมากมาย นี่คือเนื้อแท้ของคนเรา ไม่ว่าจะดีหรือเลวสักแค่ไหน พวกเขานั้นจะปกป้องครอบครัวของเขาอย่างดีที่สุด แม้แต่โลกในอดีตชิงสุ่ยก็เคยพบเรื่องราวเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง หากเทียบความแข็งแกร่งกับโลกในอดีตของเขา มันเก็บสามารถเทียบได้เท่ากับเงิน ยิ่งมีเงินมากมายเท่าไรก็ยิ่งทำให้คนเหล่านั้นละเลยความเป็นมนุษย์มากไปเท่านั้น…
ชายชราที่เงียบอยู่ได้กล่าวออกมา “ตราบเท่าที่เรามีอำนาจ เราก็สามารถทำทุกๆสิ่งที่เราต้องการได้ ขอแค่มีอำนาจเราก็จะมีความสุขเอง”
“ก็จริงที่อำนาจคือทุกๆอย่างแต่เราก็ไม่ควรใช้อำนาจที่มีรังแกคนที่อ่อนแอกว่านิ?”ชิงสุ่ยกล่าว
“โลกแห่งนี้เต็มไปด้วยการแข่งขัน และเอาชีวิตรอด คนที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแกร่งกว่า นี่เป็นกฎที่มีมาตั้งแต่ข้านานแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นหรอกเจ้าหนุ่ม เจ้าจงมองความจริงซะ!”ชายชรากล่าว
ชิงสุ่ยเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จริงที่คำพูดของชายชราถูกต้องและมาสามารถทำให้เขาคล้อยตามได้ แต่นี่มันไม่ใช่ดังเหมือก่อนแล้ว โลกใบนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง กฎระเบียบได้ถูกสร้างมาเพื่อทำให้คนอื่นๆอยู่ร่วมกันได้ หากไม่มีกฎดังกล่าว โลกนี่ก็ไม่ต่างอะไรกับโลกที่พักไปแล้ว มนุษย์เองก็ไม่ต่างกับสัตว์ทั่วๆไป
“เอาละเราหยุดพูดกันดีกว่า ในวันนี้ดูเหมือนว่าหาก ในวันนี้ดูเหมือนใครสักคนหนึ่งต้องตายลงไป หากเป็นเจ้าที่ตายลงไป ข้าจะให้สัญญากับเจ้า ข้าจะปล่อยเด็กและผู้หญิงไป ตราบเท่าที่พวกเขาจะไม่มาแก้แค้นข้า”ชิงสุ่ยกล่าว
“ถ้าเราพวกเราทั้งหมดและเหล่าผู้ชายตายลง มันก็ไม่ความหมายอีกแล้ว แม้ว่าเจ้าจะปล่อยใครไป ยังไงซะตระกูลเป่ยถังก็ล้มสหายอยู่ดี ถึงเจ้าไม่ฆ่าพวกเขาๆก็ถูกคนอื่นฆ่าอยู่ดี”ชายชรากล่าว
ชิงสุ่ยเข้าใจความหมายนี้ดีตระกูลที่อยู่ในระดับสูงเช่นนี้ ย่อมมีศัตรูที่มากมาย นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่ใช่คนดีมากนัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะถูกแก้แค้น
“เห้อ นี่เป็นกฎแห่งกรรมตั้งแต่เจ้าเลือกเดินในเส้นทางนี้ นี่คือหนทางที่เจ้าต้องทนรับไว้”ชิงสุ่ยยิ้มและเรียกเกราะอสูรสำแดงออกมา
“ข้ามีขอเสนอ!”ชายชรากล่าวออกมา
ชิงสุ่ยมองชายชราอย่างสับสน
“ข้ารู้ดีเจ้านั้นแข็งแกร่งขนาดไหน นอกจากนี้คงไม่มีใครหยุดเจ้าได้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ตระกูลเป่ยถังจะแก้แค้นเจ้า แต่อย่างไรซะข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่สังหารคนอื่นๆ ข้าขอใช้ชีวิตของพวกข้าเหล่าอาวุโสแลกกับพวกเขา แลกกับคนรุ่นใหม่ของเรา”
“ข้าคงไม่ทำเรื่องที่เสี่ยงเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
“.ในวันนี้เราคงไม่มีทางรอดกลับไป ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็มีแค่เด็กๆ คนรุ่นใหม่ที่อ่อนแอเท่านั้น พวกเขาไม่มีทางที่จะสามารถต่อกรกับเจ้าเลยได้แม้แต่น้อย ข้าแค่อยากให้เจ้าปล่อยพวกเขาไป อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถปกป้องผู้หญิงและเด็กในตระกูลของเรา ไม่เช่นนั้น เจ้าก็จงฆ่าพวกเราเสียให้หมดเลยดีกว่า ”ชายชราถอนหายใจ
“ข้าได้ยินมาว่ายังมีตระกูลเป่ยถังในทวีปอื่นๆอีกนิ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่ไปขอร้องให้พวกเขามาแก้แค้นข้า”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาและคิดอย่างถี่ถ้วน
“ทวีปอื่นๆรึ? จริงอยู่ที่มีพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งกว่าเราเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้พวกเรายังไม่มีความสัมพันธ์กันด้วยซ้ำ พวกเรานั้นต่างแยกย้ายและไม่เกี่ยวข้องกันซึ่งกันและกัน นอกจากนี้พวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใดด้วยซ้ำ”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมยกเลิกความคิดนี้จริงๆสินะ นี่เจ้าเริ่มทำให้ข้าปวดหัวจริงๆแล้ว เอาเถอะยังไงซะ ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงคำพูดของเขา เด็กและผู้หญิงจะไม่ถูกสังหาร แต่สำหรับผู้ชายทุกๆคนนั้นต้องตาย!!”ชิงสุ่ยกล่าว
ในตอนนั้นหลังจากที่สัมผัสได้ว่าต้องพ่ายแพ้ชายชราจึงได้ใช้อุบายนี้ขึ้นมา และใช้คำพูดนับพันเพื่อปั่นหัวชิงสุ่ย นี่เป็นหนทางเดียวที่ตระกูลของเขาจะคงอยู่ได้แต่ถึงอย่างไรมันก็ถูกทำลายไปแล้ว
“ตาแก่ เจ้าต้องการสู้ตัวต่อตัว หรือเข้ามาทั้งหมด?”ชิงสุ่ยยิ้มและพูด
“ถ้าแม้ข้าจะไม่ได้เกลียดเจ้า แต่ข้าเองก็แพ้ไม่ได้ พวกเราจะร่วมกันจัดการเจ้า เป็นเจ้าที่เป็นปิศาจร้ายต้องการทำลายตระกูลของข้า!”ชายชรากล่าวอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับแสดงให้เห็นว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นปิศาจร้าย
“เริ่มกันเถอะ!”ชิงสุ่ยกล่าว
“สร้างรูปแบบ”ชายชราตะโกน
“ถ้าเจ้าสามารถทำมันได้ก็เชิญ!”
เสียงของชิงสุ่ยดังขึ้นขณะที่เหงาสีดำได้ปรากฏข้างหลังชายชรา ภาพของชิงสุ่ยหายไปและไปปรากฏตัวที่ข้างหลังชายชราในตอนนี้ ขณะนี้มือของเขากำแส้เพลิงที่ดุดันเอาไว้
ย๊า!
ในครั้งนี้การจู่โจมทวีคูณของเขาได้ปรากฏออกมา
แส้เพลิงได้รัดลงบนร่างชายชราอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ และสังหารเขาในพริบตา
ชิงสุ่ยรู้ดีว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะรับมือกับรูปแบบของกลุ่มคนเหล่านนี้ รูปแบบของพวกเขาเป็นเอกลักษณ์และยากที่จะทำลายอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามรูปแบบนี้ก็มีจุดอ่อนที่ผู้ใช้หากขาดใครไป ความแข็งแกร่งขอมันก็จะลดลงไปจำนวนมาก
เมื่อเห็นสิ่งที่ชิงสุ่ยทำชายชราสั่นสะท้านด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ
เทือกเขาเก้าเทวา!
ชิงสุ่ยเรียกเทือกเขาเก้าเทวาออกมาด้วยพลังที่แข็งแกร่งถึง 9000สุริยา มันทำให้กลุ่มของชายชราต้องแยกตัวออกห่างกัน คนส่วนใหญ่นั้นถูกสังหารในพริบตา ในตอนแรกชายชราต้องการที่จะเข้าไปช่วยคนอื่นๆแต่เขาก็มิอาจทำได้ เพราะชิงสุ่ยได้ใช้กระบี่สีทองตรงเข้ามาหาเขาแล้วในตอนนั้น
มันคือกระบี่สีทองที่เกิดจากเคล็ดพลังศักดิ์สิทธิ์กลั่นหลอมเบญจธาตุของเขา
การจู่โจมโดยเฉียบพลันของชิงสุ่ยด้วยพลังวิญญาณ ทำให้ชายชราหวาดกลัวอย่างมาก เขาต้องการที่จะหลบหลีกออกไปในตอนนี้ กระบี่สีทองได้ตรงทะลุร่างของชายชราอีกคนที่อยู่ข้างหลังชายชราแรงระเบิดที่ทรงพลังที่ได้ประทุออกมาสร้างความหวาดกลัวให้เขาอย่างมา
ปราณจักรพรรดิ!
ในตอนนั้นชิงสุ่ยเรียกสัตว์อสูรทั้งสามของเขาออกมาและปล่อยให้พวกมันเล่นกับคนอื่นๆ พร้อมกับเทอกเขาเก้าเทวา
ชายชราไม่เคยคิดว่าชิงสุ่ยจะมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นเทอกเขาเก้าเทาวาอยู่ มันนั้นเต็มไปด้วยพลังจู่โจมป้องกันและยังมีความเร็วที่สูงอย่างมาก มันเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา ตั้งแต่เขาเคยต่อสู้มานี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผิดและคิดจะต่อต้านผู้ชายคนนี้ เขาสามารถรู้ได้ในทันทีตอนนี้มีแต่ความตายเท่านั้นรอเขาอยู่
ในตอนนี้เองเมื่อเขารู้สึกตัว ความแข็งแกร่งของก็ลดลงไป20% ด้วยปราณจักรพรรดิของชิงสุ่ย มันยิ่งสร้างความตระหนกให้กับเขา
ในตอนนี้เองอสูรอัสนีคลั่ง ได้ใช่ อัสนีจู่โจม และ อัสนีกัมปนาทออกมา พร้อมกับเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดที่ได้ตรึงร่างของผู้คนในตอนนั้น!
ตูม!
ในตอนนี้ชายชราอื่นๆได้รับบาดเจ็บสาหัสและล้มตายเป็นจำนวนมาก แม้แต่ชายชราก็บาดเจ็บมิใช่น้อย เขารู้ดีเขาคงทนต่อการจู่โจมเช่นนี้เป็นครั้งที่สองไม่ได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้ชิงสุ่ยมองไปรอบ ผู้คนส่วนมากได้ถูกำจัดไปเกือบหมด ชิงสุ่ยยังไม่รอช้ารีบส่งวิหกเพลิงที่มีพลังจู่โจมมากที่สุด ตามด้วยอสูรอัสนีคลั่งและด้วยแมงมุม7เศียรเข้าสังหารพวกเขาในทันที
“เจ้าไม่สามารถฆ่าข้าได้ด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะประลองกับเจ้าตัวต่อตัว อย่าใช้พวกขอองวิเศษและสัตว์อสูรพวกนี้สิ”
“ตัวต่อตัว เจ้ามีปัญญารึ เพียงแค่กระดิกนิ้วเจ้าก็ตายเสียแล้ว!”ชิงสุ่ยกล่าว
หลังจากที่กล่าวจบชิงสุ่ยได้เรียกหมูป่านักล่าสมบัติออกมา หมูป่าตัวเล็กๆสีทองได้วิ่งเข้าหาชายชราอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นเองหลุมเลือดขนาดใหญ่ได้ปรากฏที่หน้าอกของเขา นั้นเป็นผลมาจากเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดที่ได้ทะลวงหน้าอกเขาไปในตอนแรก มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าสัตว์อสูรเช่นนั้นจะสามารถทำลายเกราะอสูรสำแดงของเขาลงได้อย่างง่ายดาย
ในตอนนี้ความมั่นใจ ความรู้สึกของเขาได้สลายหายไปจนหมด เวลานี้เองถุงแพรของเขาก็ถูกขโมยออกมาด้วยหมู่ป่าของชิงสุ่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชิงสุ่ยยิ้มออกมาก่อนที่จะเก็บถุงแพรพร้อมกับหมูของเขาเข้าไปในดินแดนหยกอย่างรวดเร็ว
…….
หลังจากนั้นไม่นานชิงสุ่ยได้จากไป ทิ้งไว้เพียงกองซากศพที่ใหญ่โตเอาไว้ ตอนนี้ตระกูลเป่ยถังพังพินาศแล้ว ในตอนนี้เมื่อตระกูลเป่ยถังพังพินาศลง เป้าหมายต่อไปของชิงสุ่ยก็คือจักรวรรดิราชสีชาตะ พวกเขาคือรายถัดไป
หนึ่งวันผ่านไป…
จักรวรรดิราชสีชาตะได้หายไปจากโลกนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขานั้นแทบจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยเมื่อต้องพบเจอกับชิงสุ่ย นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังได้นำสมบัติที่ได้รับมาทั้งหมดของ2จักรวรรดิมอบให้กับวัดพระพุทธองค์ทองคำอีกด้วย ชิงสุ่ยได้จัดการเรื่องทั้งหมดในวันเดียวราวกับว่ามันนั้นไม่เป็นปัญหาอะไรเลยสำหรับเขานอกจากนี้ชิงสุ่ยได้เตรียมทุกๆอย่างไว้สำหรับเจ้าอ้วนในอนาคต
ตอนนี้เจ้าอ้วนได้กลายเป็นผู้ดูแลนิกายพุทธองค์เรียบร้อยแล้ว ด้วยทักษะของเขานั้นก็เพียงพอแล้วที่จะถูกยอมรับ แต่อย่างไรชิงสุ่ยก็ยังไม่วางใจเขายังคงจัดเตรียมของต่างๆเพื่อช่วยเหลือเขาให้มากกว่านี้
ถึงแม้ตอนนี้ตระกูลเป่ยถังและจักรวรรดิราชสีชาตะจะไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีมหาอำนาจอื่นที่คอยจ้องเล่นงานพวกเขาอยู่ อย่างไรก็ตามหากชิงสุ่ยยังอยู่ก็ไม่มีใครที่จะกล้าแตะต้องที่แห่งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม
ชิงสุ่ยรู้ดีสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นเพื่อย้ำเตือนคนอื่นๆให้รู้ ใครก็ตามที่ต้องการทำร้ายสหายของเขา นั้นคือการประกาศสงครามกับเขา และผลลัพธ์ก็อย่างที่ปรากฏออกมา นี่เป็นการขู่ที่ชิงสุ่ยได้แสดงให้ทุกๆคนได้เห็นในตอนนี้ นอกจากนี้ยังเป็นการให้โลกรู้อีกว่าจักรวรรดิปราณเทวะนั้นได้อยู่ในการดูแลของเขา ในตอนนี้ไม่มีใครเลยสักคนที่กล้าขัดใจชิงสุ่ย ทุกๆคนกลับรู้สึกขอบคุณแลมีความสุขอย่างมากที่ชิงสุ่ยคอยดุแพวกเขา เมื่อมีชิงสุ่ยคอยดูแลพวกเขา พวกเขารู้ดีว่าอีกไม่นานจักรวรรดิปราณเทวะจะต้องเข้มแข็งมากขึ้นไปกว่านี้อย่างแน่นอน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการอย่างมากที่สุด
….
สามวันผ่านไป ในวันนี้ชิงสุ่ยสามารถยกะดับของธงสวรรค์ปัญจธาตุขึ้นมาได้อีกหนึ่งระดับ ขณะที่มองไปที่การเปลี่ยนแปลงของมัน ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุขอย่างมากับผลที่ออกมาในตอนนี้
ระดับที่สองของธงสวรรค์ปัญจธาตุ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น