Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล 1278-1298
บทที่ 1278 – ความตั้งใจของจักรวรรดิเดชสวรรค์, อัจฉริยะหมายถึงการก้าวต่อไป
ชิงสุ่ยตั้งใจฟังการแนะนำเป็นอย่างดี พวกสมาชิกในราชวงศ์ที่มีความสามารถล้วนอยู่ในอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฟู่เหยียนเทียน แต่ก็มีชายวันกลางคนอีกสองคนที่ดูเหมือนว่าจะมีอายุน้อยกว่าฟู่เหยียนเทียน พวกเขามีอายุราวๆสองร้อยปีส่วนตัวเทียนเจียงนั้นมีอายุครบร้อยปีพอดี
ชายสองคนนี้เป็นบุตรของฟู่ตงเชียงที่ผู้คนต่างรู้จักกันดี แน่นอนว่าฟู่ตงเชียงมีบุตรจำนวนมาก ทั้งสองคนมีพลังอยู่ที่ราวๆสี่พันถึงห้าพันสุริยา คนหนึ่งมีนามว่าฟู่โหยวส่วนอีกคนมีนามว่าฟู่ซุ่ย
ส่วนบรรดาหลานๆของฟู่ตงเชียงเองนั้น สามคนที่มีพลังสูงสุดมีพลังอยู่ที่ราวๆสองพันถึงสองพันห้าร้อยสุริยา ทั้งหมดล้วนมีอายุราวๆหนึ่งร้อยปี เพื่อให้สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้ทั้งหมดจำต้องมีระดับพลังที่ใกล้เคียงกัน
นอกเหนือจากสามคนนี้ ชายตัวสูงผู้ยืนอยู่ตรงกลางนามว่าฟู่ซางเขามีคิ้วหนาและดวงตาที่สดใสและมีท่าทีแสดงออกถึงความดูถูกเหยียดหยาม ภายนอกเขาไม่ได้ดูน่ารังเกียจแต่ก็ใช่ว่าบุคคลทั่วไปจะชอบท่าทีของเขา โดยปกติแล้วชิงสุ่ยไม่ชอบเริ่มการสนทนากับคนประเภทนี้
เมื่อสังเกตุถึงชายทั้งสองที่ยืนอยู่ คนที่อยู่ทางซ้ายดูเหมือนว่าจะมีอายุน้อยกว่า พวกเขาทั้งคู่มีคิ้วหนาและดวงตาที่สดใสเช่นกันแต่ให้ความรู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยว สายตาของพวกเขาแสดงออกถึงความแน่วแน่แต่ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าฟู่ซางเล็กน้อย เขามีท่าทีเดียวกับชื่อของเขา ‘ฟู่เจียน’ (เจียนมีความหมายว่าความมุ่งมันหรือความเพียร)
ชายหนุ่มทักทายชิงสุ่ย ให้ความรู้สึกจริงจังและไม่เป็นทางการไปพร้อมๆกัน เขาไม่ได้มีท่าทีที่เลวร้ายนัก แต่ให้ความรู้สึกที่น่าเชื่อถือมากกว่า
ชายผู้ที่ยืนอยู่ทางขวาดูเหมือนจะมีพลังมากกว่าและมีร่างกายที่อ้วนท้วน ถ้าเขาออกไปข้างนอกจะสังเกตุได้ยากว่าเป็นคนของราชวงศ์ ใบหน้าของเขาดูราวกับพระพุทธองค์เพราะรอยยิ้มที่ประดับไว้บนใบหน้าที่ดูเข้าถึงได้ง่าย เมื่อชิงสุ่ยพบกันชายอ้วนผู้นี้ก็ยิ้มให้และทักทาย เขารู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ได้บรรลุวิชาขั้นสูงสุดและมีสภาพร่างกายที่ดี
ชายผู้นีมีนามว่าฟู่เซี่ยว แม้ว่าเขาจะยิ้มอยู่ตลอดแต่คนประเภทนี้มักเป็นอันตรายที่สุด ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าสายตาของชายผู้นี้มีความล้ำลึก หากไม่สังเกตุให้ดีจะรู้สึกเห็นสายตาที่เป็นมิตรปราศจากความอันตรายใดๆ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังทำให้รับรู้ถึงความเยือกเย็นข้างหลังรอยยิ้มนั่น และนั่นคงเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
“เข้ามา เข้ามา นั่งลงแล้วคุยกันเสียหน่อย ข้าเชือว่าชิงสุ่ยคงมีเรื่องจะกล่าวกับพวกเราในวันนี้” ฟู่ตงเชียงยิ้มและบอกให้ทุกคนนั่งลง
แม้ว่าจะมีคนของราชวงศ์อยู่มากมายก็ตาม สถานะของชายผู้นี้ถูกจัดได้ว่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงหรือมีความสำคัญมาก เขาอาจเป็นเสาหลักของตระกูลฟู่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้เห็นความสามารถของผู้คนทั้งหมดแล้วทำให้ตัวเขาเองได้รู้อะไรหลายอย่าง
ฟู่ร่งนั่งถัดไปจากชิงสุ่ย นางไม่ได้พูดอะไรเพี่ยงแต่นั่งดูและยิ้ม
“ท่านปู่ ท่านชิงอยู่ในระดับไหนเช่นนั้นหรือ?”
ฟู่ซางกล่าวออกมาพร้อมดวงตาที่เหยียดหยามไปยังชิงสุ่ย เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับชิงสุ่ยตลอดเวลาอาจเป็นเพราะด้วยอายุที่ยังน้อยแต่ท่าทีที่แสดงออกราวกับผู้อาวุโสทำให้ฟู่ซางไม่สบายใจนัก
“ใช่แล้วท่านปู่ น้องชิงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรามิใช่หรือ? เขาทรงพลังจริงๆใช่หรือไม่? นอกเหนือจากการปรุงยาแล้ว ระดับการฝึกยุทธของเขาแข็งแกร่งจริงๆหรือ? ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ข้านับถือความสามารถในการปรุงยาของเขาจริงๆ ” ฟู่เซี่ยวหัวเราะ
มีเพียงฟู่เจียนเท่านั้นที่ไม่ได้กล่าวอะไร
ชิงสุ่ยเข้าใจในเรื่องที่พวกเขาพยายามจะสื่อออกมาเพราะไม่พอใจในตัวเขา แต่อย่างไรก็ตามฟู่เซี่ยวกล่าวออกมาอย่างธรรมชาติพร้อมรอยยิ้มเสมอ นั่นทำให้คนทั้งหลายคล้อยฟังคำพูดของเขา ตัวของฟู่ซางเองเป็นคนที่ซื่อตรง ชิงสุ่ยรู้ดีว่าคนอย่างฟู่ซางไม่ใช่คนที่เลวร้ายนักทั้งหมดเป็นเพราะความระมัดระวัง คนที่น่ากลัวจริงๆคือคนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังรอยยิ้มมากกว่า
“ฮะฮ่า ข้าเข้าใจดีว่าคงเป็นเรื่องยากที่พวกท่านจะให้การยอมรับ ทุกคนย่อมคิดถึงความสูงส่งของตนเองอยู่เสมอ นี่ถือเป็นโอกาสดีที่เปลี่ยนความเชื่อมั่นของทุกคน เพื่อให้ทุกคนทราบว่าข้างนอกนั่นมีผู้คนที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย เพราะตัวชิงสุ่ยเองถือว่ามีอายุน้อยกว่าพวกเจ้าอยู่ราวๆครึ่งหนึ่ง แต่ทว่ามีพลังที่แข็งกว่าพวกเจ้าถึงสองเท่า ” ฟู่ตงเชียงกล่าวออกมาจากใจจริง
ชิงสุ่ยยิ้มและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ฟู่ตงเชียงไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของชิงสุ่ยเช่นกัน เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนระดับใดที่ชิงสุ่ยสามารถจัดการได้ เหตุผลที่เขาพูดว่าชิงสุ่ยมีพลังมากกว่าสองเท่าเป็นการทำให้ทุกคนไขว้เขว
“ช่างเป็นคนหนุ่มที่ทรงพลังจริงๆ… ข้าคงต้องแลกเปลี่ยนวิชากับน้องชิงสุ่ยบางแล้ว” ฟู่ซางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
นี่เป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ ทุกคนๆสามารถพูดได้ตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่เหมือนกับผู้คนในยุคก่อนๆ อาจกล่าวได้ว่าทุกคนล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันทั้งสิ้น
ชิงสุ่ยส่ายศีรษะ “ท่านลืมเรื่องนั้นไปเถอะ ข้าไม่เคยคิดจะประลองกับพวกท่านเลย”
นี่ถือเป็นการดูถูกและฟู่ซางมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายิ้มและกล่าวว่า”เป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะไม่ได้แกร่งไปกว่าข้า?”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าข้าจะแข็งแกรงหรือไม่ ข้าเป็นเพียงนักปรุงยาเท่านั้น ข้าเกรงว่าหากข้าชนะท่าน ท่านจะรู้สึกอย่างไร? ถ้าท่านต้องพ่ายแพ้ให้กับนักปรุงยา ท่านจะมีใจฝึกยุทธต่อไปหรือไม่? จิตใจของคนช่างอ่อนแอราวกับดอกไม้ที่ถูกทะนุถนอมจนไม่สามารถยืนขึ้นสู้กับสายลมและหยาดฝนได้ ท่านไม่เข้าใจคำกล่าวของลุงฟู่” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเรียบง่าย เขาไม่ได้คิดถึงฟู่ซางมากนักและรู้สึกว่าเขาอาจไม่บรรลุเป้าหมายในอนาคตอันใกล้ ฟู่ซางเป็นเพียงอัจฉริยะในตระกูลสิ่ง สิ่งที่ชิงสุ่ยไม่รู้คือเขาได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไร หากว่าฟู่ซางไม่ได้เป็นสมาชิกของราชวงศ์เขาอาจกลายมาเป็นนักสู้ที่ดีได้
“คนที่ข้ามักดูถูกคือคนที่ไม่รู้ตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง ต้องขอบคุณที่ท่านยังรู้ตัวว่าตนเป็นนักปรุงยา” ฟู่งซางส่ายศีรษะพร้อมยิ้มออก
ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าคนๆนี้ไม่ใช่พวกที่ดื้อรั้นมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขาคงไม่เคยได้พบกับผู้คนที่อายุไล่เลี่ยกันที่แข็งแกร่งกว่าเขา แม้ว่าเคยพบเจอคนที่แข็งแกร่งกว่ามาบ้างแล้วแต่คงไม่ต่างกันมากนัก ฟู่ซางไม่เชื่อถือในคำพูดของชิงสุ่ยนักอาจเป็นเพราะเขาเป็นเพียงนักปรุงยา
“ลุงฟู่ ให้ข้ากล่าวอะไรหน่อยได้หรือไม่ หรือท่านจะเป็นคนกล่าว?”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา เขาไม่ต้องการสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีต่อคนรุ่นใหม่ในตระกูลฟู่ ในตอนนี้เขาเพียงต้องการเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของตัวเขาออกมา อย่างไรก็ตามเขายังไม่ได้ทำมัน
“เอาสิ ข้าก็สงสัยเช่นกันว่าเจ้าต้องการพบข้าเพราะเหตุใด” ฟู่ตงเชียงยิ้มและอนุญาตให้ชิงสุ่ยดำเนินการได้
“สิ่งที่ข้ากำลังจะกล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องของนิกายปฐพีซ่อนเร้น ลุงฟู่ท่านควรระวังการกระทำของนิกายปฐพีซ่อนเร้นใช่หรือไม่?” ชิงสุ่ยหันไปมองฟู่ตงเชียง
“โอ้ะ ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย ข้าสงสัยว่านิกายปฐพีซ่อนเร้นที่เจ้ากำลังกล่าวถึงคือสิ่งใด?” ฟู่ตงเชียงเปลี่ยนเป็นสงสัยในตอนนี้
“นิกายปฐพีซ่อนเร้นมีสองผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากตระกูลหลี่ กล่าวได้ว่าพวกเขาวางแผนที่จะครอบครองทั้งมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ผู้คนที่มาจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นไร้ความปราณีและมีความทารุณโหดเหี้ยม เหตุผลที่ข้าเดินทางมายังที่นี่เป็นเพราะต้องการสร้างพันธมิตรขึ้น ข้าหวังว่าในอนาคตพวกเราจะได้ต่อสู้กับนิกายปฐพีซ่อนเร้นเคียงข้างกัน” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกันไปยิ้มให้ฟู่ตงเชียง
“อ้ะ ข้าก็รู้เรื่องนี้มาบ้างและกังวลเกี่ยวกับมันอยู่เช่นกัน จักรวรรดิเดชสวรรค์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนิกายปฐพีซ่อนเร้น แต่ข้าอดสงสัยมิได้ว่าเจ้าจะใช้พลังใดในการก่อพันธมิตรขึ้น” ฟู่ตงเชียงสังเกตุชิงสุ่ยด้วยท่าทีเรียบง่าย
“ข้าเดินทางมาแจ้งกับลุงฟู่เป็นที่แรก” ชิงสุ่ยยิ้มและหันไปมองฟู่ตงเชียง
“เช่นนั้นจักรวรรดิเดชสวรรค์ของพวกเราเป็นที่แห่งแรก? เจ้าสามารถเป็นตัวแทนแห่งสถาบันสวรรค์เร้นลับได้หรือไม่? ใครเป็นผู้ริเริ่มความคิดนี้ขึ้น?” ฟู่ซางกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าคือตัวแทนของสถาบันสวรรค์เร้นลับ เนื่องจากว่าข้ามายืนอยู่ที่นี่แน่นอนว่าข้าเป็นผู้ริเริ่มความคิดนี้ขึ้นมาเอง หรือท่านคิดว่าท่านควรเป็นคนริเริ่ม?” ชิงสุ่ยไม่กังวลเรื่องของฟู่ซางมากนัก ตอนนี้เป็นเรื่องยากที่ฟู่ซางจะรบกวนเขาได้เพราะช่องว่างที่มีอยู่ห่างเกินไป ไม่สามารถก่อเกิดประกายไฟได้ง่ายดายนัก
“เจ้าไม่รับคำท้าของข้าแต่คิดจะจัดตั้งพันธมิตรขึ้นมาเพื่อต่อกรกับนิกายปฐพีซ่อนเร้นและต้องการให้พันธมิตรฟังคำสั่งจากเจ้า? เช่นนั้นคงต้องรบกวนให้เจ้าแสดงความสามารถออกมาบ้างแล้ว” ฟู่ซางมองไปยังฟู่ตงเชียงและไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีก
“เมื่อท่านได้รู้ถึงพลังของข้าแล้ว หวังว่าจะไม่เกิดความข้องเคืองต่อไปในอนาคต ถ้าหากท่านลุกขึ้นยืนได้ในตอนนี้ จะถือเป็นความพ่ายแพ้ของข้า”หลังสิ้นสุดคำพูดชิงสุ่ยใช่พลังวิญญาณขของเขาตรึงฟู่ซางเอาไว้
ในตอนนี้เหมือนมีดอกบัวเล็กๆล้อมรอบตัวฟู่ซางเอาไว้
ชิงสุ่ยสามารถควบคุมพลังวิญญาณได้ตามใจนึก เขาสามารถเพ่งเล็งไปยังเฉพาะบุคคลไม่กระทบต่อผู้คนรอบๆ
“ข้าอยากเห็นพลังที่แท้จริงของเจ้าเช่นกัน” ด้วยเช่นนี้ฟู่ซางระเบิดกลิ่นอายของเขาออกมา เขารู้สึกโกรธมากเมื่อรู้ว่าชิงสุ่ยต้องการตรึงเขาไว้ด้วยพลังวิญญาณ
เหตุผลก็เพราะแม้ว่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายถึงสองเท่า ก็ใช่ว่าจะจัดการคู่ต่อสู้ได้ด้วยเพียงพลังวิญญาณเท่านั้น ก่อนที่เขาจะระเบิดความโกรธออกมาทั้งหมด เขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง ดอกบัวรอบๆตัวเขาถูกควบคุมไว้อย่างดีไม่มีความสั่นไหวแม้แต่เล็กน้อย
เกราะอสูรสำแดง!
ปราณมังกรหยกขาว!
ชิงสุ่ยยิ้ม พร้อมกับหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ เขามองไปยังฟู่ซางที่ยังไม่สามารถยืนขึ้นได้แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“ชิงสุ่ยเจ้าปล่อยเขาได้แล้ว แม้แต่ข้าเองก็คิดผิดไป“ ฟู่ตงเชียงรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาถอนหายใจออกมาพร้อมกล่าว ช่วงเวลาที่ชิงสุ่ยใช้พลังตรึงฟู่ซางไว้ เขารับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณอันเปี่ยมล้นของชิงสุ่ย มันเป็นพลังที่แปลกประหลาดแม้แต่เขาเองก็จนปัญญาที่จะช่วย
“ท่านปู่!”
หลังจากชิงสุ่ยหยุดใช้พลัง ฟู่ซางก็ร้องออกมาเบาๆ ที่ไม่สามารถสู้กับพลังวิญญาณของอีกฝ่ายได้…ความแตกต่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่เล็กน้อยยิ่งไปกว่านั้นคนๆนี่้ยังเยาว์วัยนัก ความพ่ายแพ้ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนทำให้เขารู้สึกผิดหวัง
“ซางเอ๋อ!” ฟู่ตงเชียงกล่าวออกมาเสียงดัง
ฟู่ซางมองไปยังฟู่ตงเชียด้วยความแปลกใจ
“เจ้าเป็นลูกผู้ชาย เป็นคนของตระกูลฟู่ เพื่อที่เจ้าจะพัฒนาการฝึกยุทธ เจ้าจำต้องพบเจอกับเรื่องที่สะดุดล้มเช่นนี้อีกมาก ข้ารู้ว่าเจ้าต้องพบความผิดหวังครั้งใหญ่หลวงในวันนี้แต่มันจะช่วยให้เจ้าก้าวต่อไปได้ หากว่าเจ้าก้าวข้ามมันไปได้แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเจ้าอย่างมาก แม้ไม่สามารถผ่านมันไปได้ในเร็ววันนี้ก็อย่านึกถึงมันมากเกินไป เป็นเพราะไม่เคยพ่ายแพ้เลยไม่สามารถพัฒนาต่อได้ ดังนั้นเจ้าควรจะดีใจเอาไว้ เพราะนี่เป็นโอกาสในการพัฒนา”ฟู่ตงเชียงพูดอยากหนักแน่นและชัดเจน
การแสดงออกของฟู่ซางบ่งบอกได้ว่าเขายังรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังดีกว่าความเยือกเย็นที่แสดงออกในก่อนหน้า อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ คำพูดของฟู่ตงเชียงในครั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึงแค่ฟู่ซางคนเดียวเท่านั้นแต่ยังส่งต่อไปถึงลูกหลานคนอื่นๆอีกด้วย
ชิงสุ่ยมีความคิดเพียงอย่างเดียว อะไรคืออัจฉริยะ? อัจฉริยะหมายถึงการก้าวต่อไป สิ่งที่ต้องทำก็คือก้าวต่อไปเท่านั้น!
“ชิงสุ่ย มันเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่ตัดสินใจผิดพลาด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าคิดผิดเรื่องคนที่มีอายุน้อยกว่า ในตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าอัจฉริยะจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นเหล่านั้นคงเก่งไม่แพ้เจ้า” ฟู่ตงเชียงกล่าวและยิ้มออกมา ไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของเขาคือรอยยิ้มแห่งความสุขหรือขื่นขมกันแน่
“ลุงฟู่ท่านชมข้าเกินไปแล้ว ท่านอาจจะเจอคนที่เก่งกว่าข้ามากมายในอนาคต ข้าอยากรู้ว่าท่านคิดเช่นไรเรื่องการก่อตั้งพันธมิตร” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวถามอย่างสุภาพ
บทที่ 1279 – ยาเม็ดโลหิตพิโรธ, ยาเม็ดผสานวิญญาณ, มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาปู๋โถวทะเลใต้
เมื่อชิงสุ่ยกล่าวออกมาเช่นนี้ คำพูดของเขาเหมือนจะมีน้ำหนักขึ้นมาต่างจากก่อนหน้า เหล่าลูกหลานของฟู่ตงเชียงต่างรู้สึกว่านี่เป็นข้อเสนอครั้งใหญ่ โดยเฉพาะฟู่ซางผู้ที่ยังอยู่ในความงุนงงเหมือนกับหุ่นเชิด ส่วนคนอื่นๆก็มีอาการไม่ต่างกันนัก
ในตอนนี้ฟู่ตงเชียงยังไม่ได้เผยความในใจออกมา มีคำกล่าวไว้ว่าอย่าดูถูกคนหนุ่มที่ยากจนเพราะพวกเขายังมีหนทางอีกมากมายในอนาคต ในตอนนี้ศักยภาพในตัวของชิงสุ่ยถูกเผยให้เห็นอย่างยิ่งใหญ่ แม้แต่ตัวฟู่ตงเชียงเองยังรู้สึกว่าไม่อาจเทียบเคียงได้ ในเวลาไม่นานนักชิงสุ่ยได้บรรลุเป้าหมายมากมาย
“ตกลง ข้าเห็นด้วย แต่เจ้าต้องเป็นคนดำเนินงานพวกนี้ด้วยตัวเอง ในภายภาคหน้าเจ้าต้องขึ้นเป็นผู้นำเช่นกัน ข้าจะปฎิเสธทันทีหากว่าคนอื่นมาทำหน้าที่แทนเจ้า” ฟู่ตงเชียงมองไปยังชิงสุ่ยและกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้าต้องขอขอบคุณลุงฟู่เป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องกังวลไป ข้าขอยืนยัน หากจักรวรรดิเดชสวรรค์เข้าร่วมการจัดตั้งพันธมิตร พวกท่านจะไม่ประสบความสูญเสียใดๆข้าไม่ได้มีเป้าหมายทีจะควบคุมจักรวรรดิเดชสวรรค์และนำมาปกครองเอง เป้าหมายของข้าคือการเดินทางไปยังอีกสามมหาทวีปที่เหลือเท่านั้น ดังนั้นลุงฟู่โปรดวางใจ ”
คำพูดของชิงสุ่ยมีความชัดเจนอย่างยิ่ง เขาไม่ได้สนใจมหาทวีปอู่เซียตะวันตกและฟู่ตงเชียงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่ชิงสุ่ยจะเป็นศัตรูกับจักรวรรดิเดชสวรรค์อีกต่อไป
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ฟู่ตงเชียงรู้สึกสับสนแต่สิ่งโดดเด่นออกมาจากความรู้สึกเหล่านั้นคือความประหลาดใจ แม้แต่คนในระดับฟู่ตงเชียงเองยังไม่มีความคิดที่จะเดินทางไปยังอีกสามมหาทวีปที่เหลือเพราะมันเป็นสิ่งที่ยากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่ในตอนนี้มีใครบางคนช่วยขุดความคิดนี้กลับมาอีก ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่ง ฟู่ตงเชียงรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แค่เพียงคำพูดที่เอาไว้โอ้อวดแต่เขาคงอยากทำให้สำเร็จจริงๆ
“ชิงสุ่ย หากเจ้าเป็นลูกหลานแห่งตระกูลฟู่ ข้าคงจะยิ้มได้ตลอดไปแม้กระทั่งในความฝัน ในวันนี้ข้าขอประกาศว่า ตระกูลฟู่จะคอยสนับสนุนเจ้า ข้าไม่ได้กล่าวออกมาลอยๆเท่านั้น และหากในอนาคตเจ้าประสบความสำเร็จแล้ว โปรดให้การช่วยเหลือตระกูลฟู่ด้วย ” ฟู่ตงเชียงยิ้มและกล่าวออกมา
ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงความจริงใจจากสายตาของฟู่ตงเชียง ฟู่ตงเชียงถือเป็นคนหนึ่งที่มีความปราดเปรื่อง ชิงสุ่ยยิ้มตอบและพยักหน้า “ถ้าวันเช่นนั้นมาถึง ข้าจะช่วยเหลืออย่างแน่นอน ข้าได้กล่าวไว้แล้วว่าตระกูลฟู่จะไม่สูญเสียสิ่งใดทั้งนั้น พวกท่านมีแต่จะได้รับผลประโยชน์อันมหาศาล”
เรื่องนี้ได้ถูกตัดสินแล้ว เหล่าผู้ฝึกยุทธล้วนรักษาคำพูดของพวกเขา ชิงสุ่ยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะสามารถโน้มน้าวได้ถึงสองฝ่ายในเวลาอันสั้น อย่างน้อยในตอนนี้นิกายบงกชเทวะก็ไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกันกับชิงสุ่ย
“พี่ชิง ข้ามียาอยู่จำนวนหนึ่ง โปรดช่วยข้าปรับปรุงมันเสียหน่อย” ในตอนนี้ฟู่ร่งมองไปยังชิงสุ่ยด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป สาวน้อยปฏิบัติต่อชิงสุ่ยอย่างเรียบง่ายราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกันจริงๆ
ฟู่ตงเชียงก็มียาอยู่สองแบบที่ต้องการให้ชิงสุ่ยช่วยปรุงอยู่เช่นกัน พวกมันคือยาเม็ดโลหิตพิโรธ และยาเม็ดผสานวิญญาณ
ยาเม็ดโลหิตพิโรธเป็นยาที่มีสรรพคุณเหนือชั้น มันมีประสิทธิภาพต่อคนที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสและใช้ยานี้จะได้รับพลังเพิ่มขึ้นสองเท่า ยิ่งบาดแผลหนักท่าไหร่พลังที่จะได้รับก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น หากได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยพลังที่ได้รับก็จะน้อยลง แน่นอนว่ามันเป็นยาที่ถูกใช้ในสถานการณ์อันตราย นอกเหนือจากนั้นยาชนิดนี้ไม่มีสรรพคุณในการรักษาหรืออาจเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ
เมื่อชิงสุ่ยได้เห็นยาเม็ดชนิดนี้ ดวงตาของเขาถึงกับเป็นประกาย ยาชนิดนี้เหมาะสมกับคนที่มีพลังมหาศาล เมื่อตกอยู่ในการต่อสู้ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ยาเม็ดโลหิตพิโรธจะสามารถช่วยพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามถ้าหากผู้ใช้ไม่แข็งแกร่งมากพอ และได้รับบาดเจ็บสาหัสอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตายได้ทุกเวลา ถ้าหากต้องตายลงยาเม็ดโลหิตพิโรธหรือยาวิเศษชนิดใดก็ตามคงไม่สามารถช่วยอะไรได้
ส่วนยาเม็ดผสานวิญญาณใช้สำหรับฟื้นฟูพลังวิญญาณ การทำงานของมันเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ยาหนึ่งเม็ดมีสรรพคุณในการฟื้นฟูพลังวิญญาณกว่าสิบห้านาที ยาชนิดนี้ใช้สำหรับฟื้นฟูพลังวิญญาณเท่านั้น
ชิงสุ่ยมียาฟื้นฟูแก่นแท้อยู่แล้วแต่ถ้าเขาใช้มันสลับกันกับยาเม็ดผสานวิญญาณก็คงดีไม่น้อย อย่างไรก็ตามยาเม็ดผสานวิญญาณไม่ได้ทำให้ชิงสุ่ยสนใจได้มากนัก
ชิงสุ่ยพักอยู่กับตระกูลฟู่ต่ออีกสองสามวันและช่วยพวกเขาปรุงยาเม็ดเทพโอสถ แน่นอนว่าชิงสุ่ยย่อมเรียกร้องถึงสิ่งตอบแทน นั่นคือยาเม็ดโลหิตพิโรธที่เขาสนใจ
ในสองสามวันนี้ ชิงสุ่ยและเหล่าคนรุ่นใหม่ในตระกูลฟู่สนิทสนมกันมากขึ้น แต่ว่าฟู่ซางไม่อยู่ร่วมวงด้วย
การฟื้นฟูความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจต้องแตกต่างออกจากคนอื่นๆไปบ้าง ฟู่เจียนและชิงสุ่ยเข้ากันได้ดีแต่ฟู่เจียนเป็นฝ่ายที่เคารพนับถือต่อชิงสุ่ยมาก เมื่อมองดูถึงความอาวุโสแล้ว ฟู่เจียนมีอายุน้อยกว่าชิงสุ่ยอยู่ขั้นหนึ่ง
ซึ่งต่างออกไปจากฟู่ร่ง นางเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด นางเป็นลูกสาวคนเล็กของฟู่ตงเชียง แม้ไม่ได้มีอายุที่มากนัก แต่ก็ยังได้รับเกียรติจากคนอื่นๆเสมอ
ความสามารถในการปรุงยาของชิงสุ่ยในตอนนี้รุดหน้าขึ้นมากและเป้าหมายทั้งหมดของเขาได้เสร็จสิ้นแล้ว ชิงสุ่ยกล่าวร่ำลาคนของตระกูลฟู่ เมื่อได้รับยาเม็ดโลหิตพิโรธเขาก็เดินทางต่อเพื่อมุ่งแสวงหาทางในการพัฒนาความแข็งแกร่งต่อไป จนกว่าจะพัฒนาตะเกียงร้อยวิญญาณให้แกร่งขึ้นได้ หลังจากนั้นจะเป็นการง่ายสำหรับเขาที่จะก่อตั้งพันธมิตรในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกขึ้น
…
เมื่อเดินทางออกจากจักรวรรดิเดชสวรรค์ ชิงสุ่ยมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิอวี้ เขาต้องการเดินทางไปยังเทือกเขาปู๋โถวจากทะเลทางใต้ เหตุเพราะเขาต้องการพบกับอวี้ลู่หยานและถานท่ายหยวน และอีกเหตุผลก็คือเขาต้องการบอกกล่าวเรื่องความสำคัญของพันธมิตร.
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดได้ว่าจะได้พบกับถานท่ายหยวน ชิงสุ่ยกลับรู้สึกแปลกไปเล็กน้อย เหตุเพราะนางได้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาในขณะที่มีสัมพันธ์กับอวี้ลู่หยาน
ความจริงแล้วชิงสุ่ยไม่ได้ร้อนใจในเรื่องนี้มากนัก นั่นเพราะเขาเป็นผู้ชาย มันไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องจัดการกับหญิงสาวที่เข้ามาเห็นเขามีสัมพันธ์กับภรรยา กลับกันถ้าคนที่เข้ามาเห็นเป็นผู้ชาย ชิงสุ่ยคงทำให้เขาหายไปจากโลกนี้แล้ว
ยังมีอีกหนึ่งสิ่ง ถานท่ายหยวนไม่ได้ตังใจมาเห็นเรื่องเหล่านี้ เขาไม่รู้ว่าการได้เห็นฉากเหล่านั้นจะทำให้นางรู้สึกบอบช้ำเพียงใด ทั้งหมดก็เพราะตัวนางเองยังไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน
เมื่อเทียบอายุของถานท่ายหยวนดูแล้ว อาจกล่าวได้ว่านางไม่ได้เป็นเด็กหญิงเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไป แม้ว่านางยังไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน นางก็คงรู้เรื่องราวพวกนี้มาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกวิชาบางอย่าง ตำราหรือสิ่งของจำพวกนั้น นอกเหนือจากนี้เมื่อมีอายุถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะรู้เรื่่องราวพวกนี้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องไปใส่ใจมัน
อีกทั้งทุกหนทุกแห่งย่อมมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
ในตอนนี้ทักษะย่างก้าวเก้าเทวาของชิงสุ่ยได้พัฒนามาถึงอีกระดับหนึ่งซึ่งมีความเร็วสูงมาก วิหคเพลิงเองก็เช่นกัน ด้วยเหตุนี้คงใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเพื่อเดินทางไปถึงเทือกเขาปู๋โถวทางทิศใต้ โดยการเดินทางในครั้งนี้มีความรวดเร็วกว่าครั้งก่อน เทียบกับเมื่อก่อนแล้วถือว่าสะดวกสบายขึ้นเยอะ
ทะเลทางใต้มีขนาดใหญ่มากแต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตามมันมีทางเชื่อมออกไปยังทะเลใหญ่ แม้ชิงสุ่ยยังไม่เคยเห็นมันแต่เขามั่นใจว่าแม้น้ำที่เขาเคยพบเห็นมาทั้งหมดในชีวิตคงมิอาจเทียบเท่าได้
สองสามวันถัดมา ชิงสุ่ยเดินทางมาถึงทะเลทางใต้ เขาหยุดลงและมองไปยังเทือกเขาปู๋โถว ด้วยระยะที่เหลือเขาไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เขาหยิบคันเบ็ดตกปลาทองคำบริสุทธิ์ออกมาและหย่อนมันลงไปในแม่น้ำ เขารู้ตัวมาสักครู่แล้วว่ามีผู้คนเดินมาสังเกตุ
เมื่อชิงสุ่ยตกปลาไปได้สักพัก มีสองร่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทั้งสองไม่ใช่อวี้ลู่หยานและถานท่ายหยวน ชิงสุ่ยบอกถึงคนที่เขากำลังตามหาและฝากข้อความไป
หญิงสาวทั้งสองพูดจาดีต่อชิงสุ่ย พวกเขาตอบตกลงและเดินจากไป อาจเป็นเพราะชิงสุ่ยเป็นคนอัธยาศัยดีและพวกเขารู้สึกได้ว่าชิงสุ่ยไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เพราะชิงสุ่ยยืนรออยู่ไม่บุ่มบ่ามเข้าไป
ในครั้งนี้มีหญิงสาวสองคนปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง สายตาชิงสุ่ยช่างว่องไวและเฉียบแหลม ทั้งสองคนปรากฏตัว
“ชิงสุ่ย!”
อวี้ลู่หยานยังคงงดงามเช่นเดิม นางกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของชิงสุ่ยอย่างมีความสุข มันทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย หญิงสาวคนนี้ไม่สงวนท่าทีเช่นเมื่อก่อนแล้ว อาจเพราะนางรู้ดีว่าถานท่ายหยวนได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงไม่มีอะไรให้กังวลอีกต่อไป
ชิงสุ่ยโอบกอดถานท่ายหยวนพร้อมรอยยิ้มและมองไปยังถานท่ายหยวน เมื่อถานท่ายหยวนมองมายังชิงสุ่ย นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เหตุการณ์ที่นางพบเจอไม่สามารถลบเลือนไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่านางได้รับบาดแผลฝังลึกไว้ในใจ
แม้ว่าท่าทีของชิงสุ่ยและอวี้ลู่หยานจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีผลอะไรมากนัก พวกเขาแสดงท่าทีออกอย่างปกติ ภาพที่ชัดเจนนั่นถูกประทับอยู่จิตใจของนาง การกระทำของชิงสุ่ยและอวี้ลู่หยานถูกเผยให้นางรับรู้อย่างแจ่มแจ้ง
อวี้ลู่หยานผละตัวออกจากชิงสุ่ยและหันกลับไปมองถานท่ายหยวนพร้อมกล่าว “มันอบอุ่นมากๆเลย เจ้าอยากลองกอดดูบ้างไหม? ข้าไม่ถือนะ”
การเปลี่ยนแปลงไปของอวี้ลู่หยานทำให้ชิงสุ่ยถึงกับชะงัก นี่แสดงให้เห็นความความสัมพันธ์ของหญิงสาวทั้งสองอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มิฉะนั้นนางคงไม่กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา
“ข้าไม่สนสิ่งนั้นหรอก มีแต่เจ้านั่นแหละที่ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นสมบัติ” ถานท่ายหยวนตอบกลับด้วยท่าทีไม่ปกติ
“แต่ข้าเคยได้ยินใครบางคนนอนละเมอ…”
“พี่หญิงอย่ากล่าวอีกเลย มีใครเป็นพยานให้ท่านได้บ้างล่ะ? ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าท่านพูดความจริง” ถ่านท่ายหยวนดึงอวี้ลู่หยานกลับมาพร้อมกล่าว
อวี้ลู่หยานยิ้มให้และไม่กล่าวอะไรต่อ นางมองไปยังชิงสุ่ย “เหตุใดเจ้าจึงมาพบพวกเราในตอนนี้?”
เมื่ออวี้ลู่หยานกล่าวถาม นางก็พบท่าทีหยอกล้อจากชิงสุ่ย หญิงสาวทั้งสองสุ่งเสียง “จุ๊ๆ” ออกมาพร้อมกัน อวี้ลู่หยานรู้ดีว่าชิงสุ่ยจ้องมองถานท่ายหยวนในขณะที่กำลังนึกถึงเหตุการณ์นั้น
ชิงสุ่ยยิ้มอย่างเจื่อนๆและรู้ดีว่าพลังของถานท่ายหยวนถูกพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง ดูเหมือนว่าที่นางเดินทางมายังมหาทวีปอู่เซียตะวันตกในครั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาตนเอง ซึ่งได้ผลมากเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะดูถูกมรดกที่นางได้รับมาไม่ได้เลย
ถานท่ายหยวนเป็นผู้นำเหล่าศิษย์อาวุโสแห่งเทือกเขาปู๋โถวจากทางใต้ เช่นเดียวกับติ๊เฉินกับนิกายบงกชเทวะเทือกเขาปู๋โถวเองเก็บตัวเงียบไม่แสดงออกถึงความรุ่งเรืองเช่นจักรวรรดิอวี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับสถานบันสวรรค์เร้นลับ นิกายบงกชเทวะ และจักรวรรดิเดชสวรรค์
“แม่นางถานท่ายเจ้าช่างเร้นกายได้ดี เมื่อพิจารณาแล้วว่าความสามารถของทือกเขาปู๋โถวอยู่ในระดับแนวหน้าของมหาทวีปอู่เซียตะวันตก” ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมมองไปยังถานท่ายหยวน
“เจ้าเองก็แข็งแกร่งขึ้นข้ารู้สึกได้” ถานท่ายหยวนไม่ได้ตอบกลับไปตรงๆแต่เป็นการพูดย้อนกลับไป
“เหตุใดพวกเราไม่ทดสอบฝีมือกันเสียหน่อย” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“ข้าไม่ต้องการ มันอาจไม่เกิดผลดีก็เป็นได้” ถานท่ายหยวนยิ้มและปฏิเสธคำเชิญชวน
“ลู่หยาน ข้าเจอเฉินเอ๋อแล้ว”
“จริงหรือ? นางอยู่ที่ไหน? อวี้ลู่หยานกล่าวอย่างมีความสุข”
“นิกายบงกชเทวะ!”
“เจ้าเดินทางไปยังนิกายบงกชเทวะ ?” ถานถ่ายหยวนถามด้วยความกระวนกวายใจเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้ไปที่นิกายบงกชเทวะอย่างเดียวเท่านั้น ข้ายังไปจักรวรรดิเดชสวรรค์มาแล้วเช่นกัน อ้อใช่ ในตอนนี้ข้าเป็นผู้พิทักษ์อิสระแห่งสถาบันสวรรค์เร้นลับ” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“หืมมม? เหตุที่เจ้าเดินทางมาในวันนี้คงไม่ใช่เพราะมาหาพวกเรา พูดต่อไป เจ้าต้องการอะไร” ถานท่ายหยวนถามด้วยความสงสัย
“ข้าต้องการพบกับอาจารย์ของเจ้า” ชิงสุ่ยตอบหลังคิดอยู่ชั่วครู่
“พบกับอาจารย์ของข้า? เรื่องสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ข้าต้องการจัดตั้งพันธมิตรร่วมกับเทือกเขาปู๋โถว” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“จัดตั้งพันธมิตร? พันธมิตรอะไรของเจ้า?” ถานท่ายหยวนถามด้วยความงุนงง
“พันธมิตรแห่งมหาทวีป”
“เจ้าต้องการรวบรวมมหาทวีปอู่เซียตะวันตก…” ถานท่ายหยวนมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความสับสน
“เป็นเพียงกลุ่มพันธมิตร ไม่ได้รวมกันเช่นนั้น”
“เช่นนั้น ใครจะเป็นผู้นำเหล่าพันธมิตร” ถานท่ายหยวนมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ข้าคิดไว้แล้ว หากไม่ใช่ข้าขึ้นนำ คงไม่มีใครเข้าร่วมอย่างแน่นอน”
“เจ้านี่ไร้ยางอายจริงๆ” ถานท่ายหยวนยิ้มและกล่าวออกมา
บทที่ 1280 – เทือกเขาปู๋โถว ผู้นำนิกาย, พลังปริศนาของเทพธิดา?
“นี่ไม่ได้เรียกว่าไร้ยางอายแต่มันคือความมั่นใจต่างหาก” ชิงสุ่ยยิ้ม แต่คำพูดในก่อนหน้า ถานท่ายหยวนเพียงต้องการหยอกล้อเท่านั้น
นางไม่ได้โต้เถียงกับชิงสุ่ยถึงเรื่องนี้อีก นางเพียงจ้องมองชิงสุ่ยและไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ทำไมเจ้าไม่พาน้องเฉินมาด้วยล่ะ” อวี้ลู่หยานถามชิงสุ่ย
“นางต้องเข้าสู่ความสันโดษเพื่อฝึกวิชา มิฉะนั้นข้าคงพานางมาด้วยกันแล้ว ”
“ชิงสุ่ย อย่าบอกนะว่าเจ้าวางแผนให้น้องเฉินขึ้นเป็นผู้นำของนิกายบงกชเทวะ” ทันใดนั้นเอง อวี้ลูหยานจ้องเขม็งไปยังชิงสุ่ยและถาม
ชิงสุ่ยยืนมืออกไปและสัมผัสกับศีรษะของอวี้ลู่หยาน “ฮึ นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่งั้นหรือ? เจ้าคิดหรือว่าสามีของเจ้าจะคอยสร้างปัญหาให้กับนิกายบงกชเทวะ?”
อวี้ลู่หยานผละตัวออกจากมือของชิงสุ่ย สำหรับหญิงสาวที่โตแล้วอีกทั้งยังมีความสามารถแบบนาง คงไม่ชอบให้ผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่ามาสัมผัสศีรษะ ถึงอย่างนั้นก็ตามนางรู้สึกมีความสุข
ถานท่ายหยวนไม่ได้ยิ้มออก คงเป็นเพราะว่านางได้เห็นการกระทำของทั้งสอง นางรู้สึกได้ว่าอวี้ลู่หยานมีความสุขจริงๆ นอกเหนือจากนี้นางกำลังจินตนาการว่าถ้านางได้เป็นแบบนั้นบ้างจะเป็นเช่นไร ในตอนนี้นางแสดงออกถึงอาการของคนมีความสุข สีหน้าของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เหตุเพราะนางเคยคุยถึงเรื่องราวเหล่านั้นกับอวี้ลู่หยานเป็นการส่วนตัว…
ชิงสุ่ยเห็นอาการของถานท่ายหยวนก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้นางได้เข้ามาเห็นเรื่องระหว่างอวี้ลู่หยานและตนเอง ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าหญิงงามคนนี้ก็มีความคิดในเรื่องที่ไม่เหมาะสมเช่นกัน แต่คำว่า’ไม่เหมาะสม’ทำให้ตัวชิงสุ่ยเองรู้สึกแย่ขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งหมดก็เพราะ ‘เรื่องที่ไม่เหมาะสม’ เกิดจากอวี้ลู่หยานและตัวเขาเอง
ถานท่ายหยวนสังเกตเห็นได้ว่าชิงสุ่ยรู้ถึงความรู้สึกของนาง ความอ่อนแอและความเศร้าโศกทำให้นางดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง นางจ้องมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความไม่พอใจ แต่ตัวชิงสุ่ยเองกลับรู้สึกว่าสีหน้าเช่นนี้เป็นการให้ทางกับเขา
ชิงสุ่ยส่ายหัวเล็กน้อย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้พวกเขาทั้งสามรู้สึกอึดใจ เหตุเพราะเรื่องดังกล่าวเป็นที่รู้กันดีของทั้งสามคน จนกระทั่งตอนนี้แม้แต่ตัวชิงสุ่ยเองยังคิดวิธีแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ถ้าเป็นเพียงเพราะหญิงสาวทั้งสองมาจากภาพโฉมงาม ปัญหาคงไม่ยากเช่นนี้
“เจ้าต้องการพบท่านอาจารย์จริงๆหรือ” ถานท่ายหยวนสงบสติตนเองลงชั่วครู่ก่อนจะกล่าวถาม
“ใช่แล้ว อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ชี้นำเทือกเขาปู๋โถวใช่ไหมล่ะ?” ชิงสุ่ยถามหลังคิดอยู่ชั่วครู่ ในความเป็นจริงแล้วถานท่ายหยวนเป็นถึงผู้นำเหล่าสาวก ตั้งแต่ที่นางเดินทางมายังมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ประสบการณ์ของนางได้เพื่มพูนขึ้นอย่างมากมาย และพลังของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน.
ชิงสุ่ยเพิ่งมาทราบเมื่อเร็วๆนี้ว่า ระดับพลังของนางสามารถเทียบได้กับฟู่เหยียนเทียนและฟู่ซางเลยทีเดียว
“แน่นอน ท่านอาจารย์ของข้าเป็นผู้ตัดสินทุกอย่างในเทือกเขาปู๋โถว”
เมื่อใดที่กล่าวถึงท่านอาจารย์ขึ้นมา ถานท่ายหยวนมักคิดถึงนางขึ้นมาเสมอ นางเป็นคนที่ดูแลถานท่ายหยวนมาตลอด ราวกับท่าที่ของพวกลูกๆที่แสดงออกต่อพ่อแม่
“เยี่ยม เช่นนั้นคงไม่มีปัญหา ข้าจะไปพบนางได้อย่างไร?”
“ข้าจะนำทางเจ้าไปยังคฤหาสน์ไผ่ทะเลใต้ เป็นที่ที่ท่านอาจารย์จะพำนักอยู่ โดยผู้ชายก็ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าออกได้ โดยปกติแล้วนางจะปรึกษาเรื่องต่างๆกับผู้คนที่นั่นเสมอ” ถานท่ายหยวนกล่าวและยิ้มออกมา นางรู้ดีว่าอาจารย์มีความคาดหวังต่อตัวชิงสุ่ยสูงมาก
“เช่นนั้ต้องขอรบกวนเจ้าแล้ว แม่นางถานท่าย” ชิงสุ่ยจ้องมองนางด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องเป็นทางการนักหรอก ข้ารู้สึกสยองเมื่อเจ้าทำเช่นนั้น” ถานท่ายหยวนกล่าวออกมาลอยๆ ก่อนที่จะเหินนำทางไปยังทิศที่ตั้งของเทือกเขาปู๋โถวพร้อมอวี้ลู่หยาน
ส่วนชิงสุ่ยเองยังคงยืนอยู่ข้างหลังพร้อมมองไปยังร่างกายอันแสนวิเศษของพวกนางทั้งสอง สิ่งที่เขากำลังมองอยู่ตอนนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเป็นภาพลวงตา วันเวลาผ่านล่วงเลยไปโดยไม่ทันสังเกตุตัวเขาเองได้อยู่ในทวีปนี้มากว่าสี่สิบปีแล้ว
โดยปกติแล้วพวกผู้ชายจะไม่ได้รับอนุญาตให้เขามายังเทือกเขาปู๋โถว แต่ก็ไม่มีใครหยุดยั้งเรื่องการแต่งงานได้ ถ้าได้ลองฝ่าฝืนแล้วก็จะไม่ถูกนับว่าเป็นศิษย์แห่งเทือกเขาปู๋โถวได้อีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนมากมายที่ยอมฝ่าฝืน พวกเขามีความคิดว่าแม้จะไม่ได้อยู่ในเทือกเขาปู๋โถว ทุกๆอย่างยังคงดำเนินไปได้เช่นเดิม
มีหนทางเดียวหากต้องการหวนคืนสู่เทือกเขาปู๋โถวนั่นคือพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ไม่มีใครที่ขัดขวางในเรื่องนี้แม้ว่าเรื่องมันจะฟังดูแปลกๆอยู่บ้าง แต่กฏเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากความกลัวถึงตระกูลหรือกองกำลังภายนอกที่จะเข้ามา โดยมีเจตนาที่มุ่งร้ายต่อเทือกเขาปู๋โถว
คฤหาสน์ไผ่ทะเลใต้!
ที่นี่เป็นบ้านที่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่และมีที่ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่าสิบเมตร ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะที่มีขนาดเล็กมากๆโดยมีป่าไผ่ก่อตัวอย่างแน่นหนาบนเกาะ คฤหาสน์ไผ่ทะเลใต้ถูกสร้างอยู่บนเกาะแห่งนี้ เมื่อมีสายลมพัดผ่านตัวบ้านก็สั่นไหวตาม มันให้ความรู้สึกวิเศษเหลือเกิน ราวกับป่าไผ่พวกนี้มีชีวิต พวกมันปล่อยกลิ่นอายธรรมชาติที่ละเอียดอ่อนออกมารอบๆ
แม้ว่าจะพลิ้วไหวไปตามสายลมแต่ความจริงแล้วมันแข็งแรงมาก เพราะมันคือไผ่เหล็กกล้าที่รู้จักกันดี
เมื่อชิงสุ่ยได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ก็ตอนที่มาถึงริมชายฝั่งของเกาะแล้ว ในทันใดก็มีร่างของใครบางคนปรากฏออกมาให้เห็น เหตุที่เขารู้ตัวได้เร็วก็เพราะว่าถูกคุกคามจากการรับรู้ทางจิตวิญญาณ
หญิงคนหนึ่งส่วมใส่ชุดขุนนางหลากสีปรากฏตัว นางมีท่าทีสบายๆและเรียบร้อยในขณะเดียวกัน ใบหน้าของนางดูเป็นผู้ใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความสงบและไม่มีริ้วรอยใดๆทั้งสิ้น ดวงตาทั้งสองของนางมีความสดใสและให้ความรู้สึกที่ชาญชลาดในเวลาเดียวกัน ราวกับเป็นดวงจันทร์ที่เฉิดฉายในท้องฟ้าที่มืดมิด
ชิงสุ่ยไม่สามารถคาดเดาอายุของนางได้ นางไม่ได้ดูแก่ไปกว่าหญิงสาวทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆเลย จนทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางคือหญิงสาวที่โตเต็มวัยแล้ว เหตุเพราะเมื่ออยู่ต่อหน้านางผู้คนจะรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กในทันที
ด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงรู้สึกตกใจเล็กน้อย อาจกล่าวได้อีกเช่นกันว่ากลิ่นอายรอบๆตัวนางช่างทรงพลังจริงๆ
ชิงสุ่ยพบว่าพลังของหญิงคนนี้มีมากล้น เมื่อเทียบกับฟู่ตงเชียงแล้ว นางแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย ชิงสุ่ยมั่นใจว่านางมีพลังเกินกว่าหนึ่งหมื่นสุริยาอย่างแน่นอน
นางเป็นคนที่มีร่างกายที่ละเอียดอ่อน ทั้งผอมและสูง สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคงเป็นหน้าอกและสะโพกของนาง ร่างที่สมส่วนและนิ่มนวลเป็นส่วนที่วาบวามที่สุด นางมีขาที่เรียวยาว ส่วนที่ปูดโปนบนร่างกายของนางเอ่อล้นเสื้อผ้าที่สวมออกมา ทั้งสองอย่างนี้สามารถทำให้ผู้ชายถูกกระตุ้นได้อย่างง่ายดาย ในตอนนี้ตัวชิงสุ่ยเองก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน เขาทราบแล้วว่าเหตุใดถานท่ายหยวนรู้สึกตกใจในตอนที่เขากล่าวว่าอยากพบอาจารย์ของนาง
แม้ว่าจะแต่งตัวธรรมดาๆ แต่ใบหน้าและดวงตาอันเยาว์วัยทำให้รู้สึกถึงดวงจันทร์ที่เฉิดฉายในท้องฟ้าที่มืดมิดจริงๆ ดวงตาทั้งสองข้างทำให้ผู้คนที่ได้มองรู้สึกราวกับวิญญาณถูกดึงออกจากร่างกาย และทำให้ผู้คนรู้สึกเหม่อลอยได้อย่างง่ายดาย เมื่อมองเห็นชิงสุ่ย ลูกศิษย์ของนางผละตัวออก ดูเหมือนนางจะรู้สึกตกใจเล็กน้อย หลังจากนั้นนางเผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ รอยยิ้มของนางเป็นเหมือนกับหยดน้ำที่แผ่กว้างไปในบ่อน้ำ
ราวกับมันเป็นเชื้อโรคที่ถูกแพร่ออกไป และคนที่เห็นย่อมยิ้มตามหลังจากเห็นการแสดงออกของนาง
“ท่านอาจารย์!’
“มานี่สิ!”
เสียงของหญิงผู้นี้ฟังดูหนักแน่น อาจเรียกได้ว่าเป็นน้ำเสียงที่น่าดึงดูดมากกว่า ชิงสุ่ยรู้สึกมีความกระตือรือล้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงของนาง เป็นน้ำเสียงของหญิงที่โตเป็นผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์
ถานท่ายหยวนและคนอื่นๆก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและยืนลงที่ข้างบน
ที่แห่งนี้เป็นส่วนที่กว้างที่สุดของคฤหาสน์ไผ่ซึ่งมีความกว้างและความยาวกว่ายี่สิบเมตร รอบๆประกอบไปด้วยบ้านไม้ไผ่มากมาย ชิงสุ่ยพบว่าหญิงสาวผู้นี้อาศัยอยู่ที่แห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนรอบนอกของคฤหาสน์ไผ่
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังตรงเข้ามา
ทุกๆอย่าง ณ สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างจากไม้ไผ่ โต๊ะ เก้าอี้ รวมถึงเตียงนอน นอกจากนี้บรรยากาศรอบๆยังปกคลุมไปด้วยหมอกควันอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ชวนให้รู้สึกถึงความลึกลับ แต่ในไม่นานชิงสุ่ยก็ได้ค้นพบว่าวิชายุทธที่หญิงคนนั้นฝึกมีคุณลักษณะของธาตุไม้
“เจ้าหนุ่ม ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าทำให้ศิษย์ทั้งสองของข้าตกหลุมรักเจ้าหัวปักหัวปำ ”
สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เปิดปากกล่าวออกมาทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกแปลกๆ คำพูดเหล่านี้ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจจริงๆ
“ท่านอานจารย์ ท่านพูดอะไรของออกมาน่ะ?”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะหยุดพูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน เช่นนั้นอย่ามาร้องไห้ฟูมฟายอยากแต่งงานกับเขาล่ะ แม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์คนโตของเทือกเขาปู๋โถว แม้ว่าเจ้าจะได้ปกครองเทือกเขาปู๋โถวในอนาคต ข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าแต่งงาน สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในชีวิตของผู้หญิงก็คือการไม่ได้แต่งงานนี่แหละ”หญิงคนนี้กล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมเชิญให้ทุกคนนั่งลง
ชิงสุ่ยเกิดความรู้สึกประหลาดใจต่อนาง เมื่อเทียบกับหญิงชราจากนิกายบงกชเทวะ พวกเขามีความคิดที่แตกต่างกันจริงๆ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยเห็นด้วยกับความคิดของผู้หญิงคนนี้
“เช่นนั้นแล้ว เหตุใดท่านอาจารย์ถึงยังคงไร้คู่ครอง?”ถานท่ายหยวนกล่าวถามอย่างสุภาพ
“เจ้าเด็กโง่ เจ้ายังเอาเรื่องตัวเองไม่รอดเลย ไม่ต้องมาห่วงเรื่องข้าหรอก ถ้าหากข้าต้องการคู่ครองจริงๆ ข้าเพียงให้สัญญาณเล็กน้อย ผู้ชายทั้งหลายย่อมเข้ามาหาข้าด้วยตัวเอง เจ้าทำเช่นนี้ได้ไหมล่ะ? ”
ชิงสุ่ยตกตะลึงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด มีความพิเศษบางอย่างในตัวนางที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ นางดูจริงจังกับคำพูด ซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้ยินถึงกับหัวใจเต้นรัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหล่าชายหนุ่มมาได้ยินเข้า
ถานท่ายหยวนรู้สึกรู้สึกไม่ดี นางสะบัดแขนด้วยความเขินอายพร้อมตะโกนออกมา “ท่านอาจารย์!”
ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้ เมื่อเห็นว่าถานท่ายหยวนก็มีด้านที่อ่อนหวานของผู้หญิงเช่นกัน….
“เจ้าเด็กโง่ มองดูชายหนุ่มผู้นี้สิ ดวงตาของเขามันฟ้องเมื่อมองมายังเจ้า ดูเหมือนว่าใบหน้าอันเยาว์วัยของเจ้าช่างทรงพลังในการ ‘จัดการชายหนุ่ม’ ”
รอยยิ้มของนางที่ถูกเผยให้เห็น เป็นรอยยิ้มทีความงดงามมากจริงๆ
นางเป็นคนที่มีเสน่ห์ราวกับเทพธิดา!
ชิงสุ่ยเผยให้เห็นรอยยิ้มทีน่าอึดอัดเล็กน้อย ถานท่ายหยวนผละตัวออกจากอาจารย์และหันมามองหน้าชิงสุ่ย หลังจากนั้นนางเดินเข้าไปในห้องและนำกาน้ำชาและถ้วยชาออกมา
ทุกๆสิ่งข้างนอกสามาถมองเห็นได้จากด้านในคฤหาสถ์ไผ่ แต่ผู้คนจากข้างนอกไม่สามาถมองผ่านเข้ามาข้างในได้ ภายในของตัวอาคารมีความมืดมิดเล็กน้อย ต่างจากข้างนอกที่มีแสงส่องสว่าง ราวกับว่ามีม่านแขวนกั้นอยู่
“ชิงสุ่ย เจ้าเป็นคนดีและมักทำให้คนรอบๆตัวต้องประหลาดใจเสมอ แม้แต่ตัวข้าเองยังอยากถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกทั้งหมดและดูว่าภายในตัวเจ้าเก็บความลับใดเอาไว้บ้าง” หญิงสาวหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา นางมีมือที่เรียวยาวและนิ้วที่เหมือนกับหยก ถ้วยชาบนโต๊ะถูกทำจากไผ่เขียวไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่น้อย เมื่อชิงสุ่ยมองไปยังรอบๆสถานที่แห่งนี้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังได้รับความชุ่มชื้นจากรอบๆ
ผู้หญิงคนนี้กล่าวอย่างดุดัน ชิงสุ่ยหยิกตัวเองด้วยแรงเต็มกำลังเพื่อยืนยันว่าตนเองไม่ได้ฝันไป ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายเช่นชิงสุ่ยจะถูกปั่นหัวโดยผู้หญิง…
ชิงสุ่ยอยากตอบกลับไปอย่างแรงกล้าว่าคนอย่างเขาไม่ต้องให้ใครมาช่วย เขาสามารถถอดทุกสิ่งทุกอย่างออกได้ถ้าหากอยากตรวจสอบ แต่ก็คิดได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นถึงยอดยุทธคนหนึ่งที่ภายนอกดูเหมือนหญิงสาวทั่วๆไปเท่านั้น เขาก็ละทิ้งความตั้งใจของเขาในทันที อีกทั้งนางยังเป็นอาจารย์ของถานท่ายหยวนและอวี้ลู่หยานอีกด้วย
แต่สิ่งที่ชิงสุ่ยได้เห็นคือนางเป็นทั้งอาจารย์ เป็นเพื่อน และเป็นครูสอน ราวกับพวกนางเป็นพี่น้องกันเลยทีเดียว
“ผู้อาวุโส ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ ข้าเป็นสามีและพ่อแล้ว จะให้ผู้หญิงมาถอดเสื้อผ้าข้าออกได้อย่างไร?”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง
โฮะ โฮะ!
หญิงคนนี้หัวเราะอย่างมีความสุข นางมองไปยังชิงสุ่ย “เจ้านี่ช่างกล้าจริงๆ ข้าเกรงว่าเจ้าคงมีอะไรในใจถึงได้มาหาข้าในวันนี้”
“ให้ข้าได้อธิบาย ข้าวางแผนที่จะเดินทางไปยังอีกสามมหาทวีปที่เหลือ ก่อนหน้านี้ข้าต้องการนำสมาชิกในสำนักของข้ามาที่นี่ แต่เกรงว่าสถานการณ์จะวุ่นวายจนเกินไป ดังนั้นข้าจึงต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง ด้วยวิธีนี้ข้าต้องทำให้ตัวเองมั่นใจก่อนจะเดินทางไปยังอีกสามมหาทวีปที่เหลือและคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ในบางทีสามมหาทวีปนั้นคงจะแข็งแกร่งกว่ามหาทวีปอู่เซียตะวันตกอยู่มาก” ในขณะนี้ชิงสุ่ยมองไปยังหญิงสาว ดูเหมือนว่าเขาจะต้องการรู้บางอย่าง เขากล่าวมันออกมาในขณะที่เผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย
บทที่ 1281 – ชนป่าเถื่อน, ชนเผ่าอสูรโลหิตชั้นสูง, พลังแห่งศรัทธา?
ชิงสุ่ยรู้สึกแปลกไปเมื่อได้พบกับผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกว่านางจะต้องรู้เกี่ยวกับอีกสามทวีปที่เหลือและต้องเดินทางไปมาระหว่างทวีปพวกนั้นเป็นประจำอย่างแน่นอน ความรู้สึกพวกนี้ช่างแปลกประหลาดทว่าชัดเจนเลยทีเดียว
หญิงสาวรู้สึกแปลกใจต่อคำพูดที่คาดไม่ถึงของชิงสุ่ย เรื่องที่ชายหนุ่มคนนี้ต้องการเดินทางไปยังอีกสามทวีปที่เหลือ นางรู้สึกประหลาดใจมากกว่าตกใจเสียอีก
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะพัฒนาได้เร็วเช่นนี้ เจ้าต้องการทราบเรื่องใดล่ะ? ข้าจะบอกทุกสิ่งที่ข้ารู้” หญิงสาวพูดพร้อมขณะส่งยิ้มให้กับชิงสุ่ย
“ข้าอยากทราบว่าท่านเป็นคนจัดการกับนิกายปฐพีซ่อนเร้นได้จริงหรือไม่?” ความคิดนี้ปรากฎขึ้นมาภายในจิตใจของชิงสุ่ยดังนั้นเขาจึงถามมันออกไปตรงๆ
หญิงสาวตกใจกับคำถามนี้แต่ยังสามารถซ่อนเร้นอาการไว้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า นางจ้องมองชิงสุ่ยพร้อมตอบกลับไปว่า “เจ้ารู้เกี่ยวกับเจตจำนงของนิกายปฐพีซ่อนเร้นแล้วสินะ แต่ข้าคิดว่าทั้งสองสิ่งที่เรียกว่า “อัจฉริยะ” จากนิกายปฐพีซ่อนเร้นยังเทียบกับเจ้าไม่ได้เลย”
หญิงสาวไม่ได้ตอบชิงสุ่ยไปตรงๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักไม่ว่าใครก็มักจะเลี่ยงการตอบคำถามประเภทนี้โดยตรง
“ข้าคิดว่าข้าจะผูกมิตรกับเทือกเขาปู๋โถวเอาไว้ ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง” ชิงสุ่ยตัดสินใจถามความเห็นจากหญิงสาว
“ผูกมิตรย่อมเป็นเรื่องดี แต่เจ้าจะขึ้นเป็นผู้นำของพันธมิตรหรือใครอื่นล่ะ?” ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะมีความสุขเมื่อคิดถึงเรื่องพันธมิตร
“ข้าเคยคิดที่จะขึ้นเป็นผู้นำในตอนแรกจนกระทั่งได้พบว่ามีคนที่เหมาะสมกว่าข้าอยู่” ชิงสุ่ยกล่าวในขณะที่หันไปมองนาง ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความสัตย์จริง เขาไม่เคยสนใจเรื่องการเป็นผู้นำมาก่อนเลย อย่างไรก็ตามเขายังไม่เคยพบใครที่สร้างความมั่นใจให้ตัวเขาได้ จนกระทั่งได้พบกับนาง
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้ากำลังพูดถึงข้าอยู่งั้นหรือ?” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก
“อย่าเรียกข้าว่า ‘เจ้าหนุ่มน้อย’ เชียว ตัวข้านั้นไม่ใช่เล็กๆแล้ว” ชิงสุ่ยตอบกลับด้วยท่าทีจริงจัง
เขาไม่ทันได้ตะหนักว่าคำพูดของตนค่อนข้างคุมเครือจนกระทั่งเห็นแววตานั่นของหญิงสาว เขารู้สึกราวกับถูกสายฟ้าผ่าลงมาทันที
“ใช่ ตัวเจ้าไม่ได้เล็กแล้ว!” หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทีจริงจังไม่แพ้กัน
ชิงสุ่ยยังรู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับนิสัยของหญิงสาวคนนี้อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขารู้สึกดีใจที่ได้ยินคำพูดก่อนหน้า ชิงสุ่ยรู้สึกประสบผลสำเร็จโดยเฉพาะเมื่อตัวเขาได้รับการยอมรับเช่นนี้
คำพูดของหญิงสาวทำให้อวี้ลู่หยานมีสีหน้าแดงก่ำ นางรู้สึกเขินอายจนต้องก้มหน้าต่ำลงเพื่อไม่ให้ใครสังเกตุเห็น อวี้ลู่หยานรู้ดีถึงส่งที่พวกเขาพูดถึงอยู่เพราะนางมีประสงการณ์ได้พบเจอกับมันมาแล้ว
หญิงสาวมองหน้าชิงสุ่ยอย่างมีเลศนัยก่อนที่จะหันกลับไปมองอวี้ลู่หยาน ชิงสุ่ยมองตามไปก็พบว่านางกำลังจ้องมองอวี้ลู่หยานอยู่ ในเวลานั้นหน้าของเขาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดแล้วชิงสุ่ยไม่อาจเบือนหน้าหนีใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวคนนั้นได้
“ข้าคิดว่าท่านเหมาะสมกว่าข้านัก”
“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าเหมาะสมกว่าล่ะ?” หญิงสาวถามอย่างเรียบง่ายในขณะจิบชาพร้อมยิ้มให้ชิงสุ่ย
“ท่านมีความสามารถในการโน้มน้าวผู้คน ถึงแม้ว่ามันอาจจะฟังดูน่าตกใจไปบ้างก็ตาม” ชิงสุ่ยพูดพลางยิ้มออกมา
“อาจารย์ของข้าไม่เคยพูดกับใคนเช่นนี้มาก่อน นางเพียงล้อเลียนท่านต่างหาก” ในเวลานั้นถานท่ายหยวนพูดขึ้นมาเพื่ออธิบายต่อชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยทราบดีว่านางเพียงแค่ล้อเล่นกับเขา แต่เขารู้สึกได้ว่านางผู้นี้จะมีความสามาถในการชี้นำผู้อื่น
“ข้าสามารถก่อตั้งพันธมิตรขึ้นมาได้แต่ข้าไม่สนที่จะเป็นผู้นำของคนเหล่านั้น ข้าจะเข้าร่วมพันธมิตรภายใต้เงื่อนไขเดียวนั่นก็คือการขึ้นเป็นผู้นำของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าก็ออกคำสั่งกับข้าไม่ได้หรอกนะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกะพริบตาส่งมายังชิงสุ่ย
“เอ่อ ข้าว่าท่านควรเป็นคนคอยดูแลอยู่เบื่องหลัง” ชิงสุ่ยตอบกลับอย่างหงุดหงิด
จริงๆแล้วมีผู้คนมากมายที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังของทั้งเก้ามหาทวีปแห่งนี้ คำพูดของชิงสุ่ยค่อนข้างตรงประเด็น
หญิงสาวถึงกับตกตะลึงกับคำพูดของชิงสุ่ย นางยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ช่างกล้าเสียจริงๆ เขาถึงกับต้องการใช้ประโยนชน์จากผู้หญิงอย่างข้า หรือเจ้าต้องการให้ข้าไปเป็นภรรยาน้อยของเจ้าด้วยล่ะ? ”
ชิงสุ่ยรู้สึกสั่นสะท้าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับหญิงงามที่ดุอย่างกับเสือ โดยเฉพาะนางพร้อมจ้องจะกินชายเข้าไปทั้งตัวโดยไม่แม้แต่จะคายกระดูกออกมา เขารีบหัวเราะกลบเกลื่อนและกล่าว “ข้าจะทำเช่นนั้นกับท่านได้อย่างไร สงสัยข้าจะขอมากเกินไป เช่นนั้นลืมเรื่องนี้ไปเสียเถอะ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าอยากจะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตของข้าไปกับผู้หญิงดีกว่าผู้ชายเสียอีก”
ชิงสุ่ยถึงกับรู้สึกขนลุก เขาหัวเราะออกมาโดยไม่ได้พูดอะไรอีก จรู้ชิงก็เคยชอบผู้หญิงเช่นกันแต่นั่นมันก็ได้จบลงแล้ว เพราะเมื่อนางยังไม่ได้ถลำลึกลงไปมากก็สามารถหันหลังกลับได้โดยง่าย ชิงสุ่ยไม่ทราบว่านางพูดจริงหรือเพียงหยอกล้อ แต่นั่นไม่สำคัญอรกต่อไปเพราะเขาอยากจะออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด
“ถ้าเช่นนั้นให้ข้าได้ถามอีกครั้ง ผู้อาวุโส ข้าสงสัยเกี่ยวกับอีกสามมหาทวีปที่เหลือจริงๆ ท่านพอจะบอกอะไรข้าบ้างได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามในขณะทีนางเปิดโอกาสให้
“ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องถามเรื่องนี้ จริงๆแล้วในอีกสามมหาทวีปที่เหลือก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย สิ่งที่มีก็คือขนาดและความกว้างที่มากกว่าเท่านั้น มีซากปรักหักพังของสนามรบโบราณและสิ่งประดิษฐ์ปริศนาที่ถูกซ่อนไว้ตามที่ตำนานได้กล่าว มีผู้ฝึกยุทธิ์ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจรวมถึงสัตว์อสูรในตำนาน อีกทั้งมังกรยักษ์ สามมหาทวีปแห่งนี้จัดได้ว่าเป็นสามทวีปที่สิ้นเปลืองที่สุดในเก้ามหาทวีป แน่นอนว่าจำนวนประชากรทั่วไปมีจำนวนมากกว่าผู้ฝึกยุทธิ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีผู้ฝึกยุทธิ์ระดับสูงที่ในทวีปอื่นๆไม่มี” หญิงสาวตั้งใจอธิบายถึงสามมหาทวีปอย่างดี เมื่อนางดำเนินการแนะนำสามมหาทวีปนี้ต่อ ความโดดเดี่ยวและความสิ้นหวังก็ปรากฏออกมาให้เห็นผ่านการกิริยาท่าทางของนาง
ความคิดต่างๆได้ผ่านเข้าไปในจิตใจของชิงสุ่ย พร้อมกับได้ทราบว่าหญิงสาวในชุดคลุมจีนโบราณที่กำลังนั่งอยู่บนมังกรมรกตที่อยู่ต่อหน้าเขาตรงนี้เป็นคนที่มาจากสามมหาทวีป และพระราชวังจอมอสูรก็ตั้งอยู่ในสามมหาทวีปที่เหลือเช่นกัน เต่าโบราณที่เขาได้พบในก่อนนหน้าก็เป็นสัตว์อสูรโบราณอีกด้วย
มีข่าวลืออีกด้วยว่าในซากปรักหักพังอาจะมีโอสถสวรรค์, ศาสตราวุธแห่งสวรรค์และชุดเกราะรวมถึงไข่ขอพรที่มาจากสัตว์อสูรในตำนานอีกด้วย ซึ่งไข่นี้จัดได้ว่าเป็นไข่ในระยะฟักตัว
ทั้งหมดนี้ทำให้มันเป็นสถานที่แห่งโอกาสและภัยอันตราย
ชิงสุ่ยกำลังคิดตามเรื่องสามมหาทวีปที่เหลือซึ่งเขาได้ฟังมาจากหญิงสาว ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะต้องพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางเข้าไป
“ผู้อาวุโส ท่านทราบหรือไม่ว่า ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจครอบครองพลังเช่นใดกัน?”
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจเองนั้นก็มีอยู่หลายระดับ ซึ่งแต่ละระดับก็จะมีพลังที่แตกต่างกันออกไป ” หญิงสาวตอบพลางส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นก็หมายความว่ามีผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจอยู่มากมายในสามมหาทวีปที่เหลือเช่นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยยังคงถามต่อไป
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถจินตนาการถึงสามมหาทวีปที่เหลือได้ เจ้าคงจะรู้ถึงมันในอนาคตอันใกล้นี้ ก็เหมือนกับพื้นดินใต้เท้าของเจ้าและหลุมฝังศพที่มีอยู่มากมาย เจ้าจะรู้ว่ามันมีอยู่ก็ต่อเมื่อเจ้าได้เดินไปพบเจอมันเท่านั้น เจ้าพอจะเข้าใจถึงสิ่งที่ข้าพูดใช่หรือไม่ ” หญิงสาวพูดออกมาเบาๆ
“ข้าพอจะเข้าใจอยู่บ้าง มันมีความต่างอยู่เสมอเมื่อเราได้พัฒนาตนเองขึ้นไป ไม่ว่าเราจะเก่งขึ้นสักเพียงใดก็มักจะพบผู้ที่เก่งกว่าอยู่เสมอ แม้กระทั่งทวยเทพก็มิอาจอยู่ยงคงกระพัน พวกเราเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกลายมาเป็นดั่งเกลียวคลื่น ” ชิงสุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบหญิงสาวคนนั้นไป
“มิใช่เช่นนั้นเสมอไป แม้ว่าจะพบคนที่เจ้าคิดว่าเก่งกาจอยู่ข้างนอกนั่น เจ้าก็สามารถเป็นเช่นเขาได้ แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถเขย่าสวรรค์เมื่อเจ้าแกร่งขึ้น แต่อย่างน้อยเจ้าก็จะพบว่าพบว่าตนเองสามารถสั่นสะเทือนมหาสมุทรได้” หญิงสาวตอบชิงสุ่ยในขณะที่นางมองไปยังเขาด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้ม
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ไม่ทราบว่านอกจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นแล้วยังมีนิกายอื่นอยู่อีกหรือไม่” ชิงสุ่ยทราบมาว่าคนเหล่านั้นมีนิสัยป่าเถื่อนและมีพลังที่ผิดธรรมชาติราวกับมีเลือดของสัตว์ป่าไหลเวียนอยู่ในตัวของพวกเขา ถ้าอ้างอิงจากตำนานแล้ว ผู้คนจากเผ่าอสูรโลหิตในห้ามหาทวีปนั้นก็จัดเป็นคนประเภทหนึ่งแต่เขาจะมีพลังมากกว่าคนทั่วๆไป
“แน่นอนว่ามี แต่จำนวนของพวกนั้นย่อมหลงเหลืออยู่เพียงไม่มาก และตรงกับความจริงที่ว่าพวกเขามีพลังที่มหาศาล และทิศใต้ที่เจ้ากำลังมุ่งลงไปนั้น เจ้าจะพบกับผู้คนที่มีพลังมากมาย มีการกล่าวไว้ว่าหากผู้ใดต้องการเดินทางไปยังสามมหาทวีปที่เหลือจะต้องเดินทางผ่านทะเลอันกว้างใหญ่ทางทิศใต้นี้ไปเสียก่อน ”
ชิงสุ่ยได้ทราบเกี่ยวกับมหาทวีปอูเซียตะวันตกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามสถานที่เขาเคยไปมาเป็นแค่สิ่งเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นพลังที่เขาได้พบเจอก็เพียงเล็กน้อยเช่นกัน ถ้าหากเขาสามารถเพิ่มพลังและก้าวต่อไปได้ เขาจะสามารถลืมสิ่งที่เคยพบเจอมาก่อนไปได้เลย อาจนับได้ว่าเขาได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว
ชนป่าเถื่อน!
ผู้คนในดินแดนเทือกเขาสันโดษมักถูกเรียกว่าชนป่าเถื่อน ซึ่งจากที่เขาได้ยินคำพูดของหญิงสาวมานั้น มีคนจำพวกเผ่าอสูรโลหิตอยู่ทว่ากลับมีพลังที่เหนือกว่านั้น ผู้คนจำพวกนี้มีความเฉลียวฉลาดกว่าพวกที่อยู่ในห้ามหาทวีป
“อ้อลืมไป พวกนิกายปฐพีซ่อนเร้น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนพวกนั้น” หญิงสาวกล่าวเสริม
“เป็นไปได้อย่างไร?” ชิงสุ่ยถามด้วยความจริงจัง
“สองอัจฉริยะจากนิกายปฐพีซ่อนเร้น มีสายเลือดของชนเผ่าอสูรโลหิต อีกทั้งยังเป็นสายเลือดบริสุทธิ์เสียด้วย”หญิงสาวกล่าวต่อชิงสุ่ย
“สายเลือดจากเผ่าอสูรโลหิต? หมายความว่าพวกเขาเป็นเลือดผสมงั้นหรือ” ชิงสุ่ยแปลกใจ เขารู้มาว่าต่อให้พวกนั้นมีสถานะที่สูงส่งกว่าแต่ภายนอกกลับดูเหมือนผู้คนทั่วไป
“เลือดผสมงั้นหรือ?” เจ้าจะเรียกเช่นนั้นก็ได้!” หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มเอาไว้
อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรู้สึกเขินอายกับคำพูดของเขา สายเลือดจากเผ่าอสูรโลหิตย่อมหมายความว่าเป็นการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ โดยเฉพาะในเก้ามหาทวีปแห่งนี้ ชนเผ่าอสูรโลหิตเกิดจากชนป่าเถื่อน-มนุษย์ที่ยังไม่พัฒนา พวกมันเป็นเหมือนสัตว์อสูรชั้นสูงแต่ก็ไม่เหมือนกับพวกอสูรอมตะนิรันดร์เสียทีเดียว
“ผู้คนส่วนมากล้วนดูถูกพวกชนป่าเถื่อนและเผ่าอสูรโลหิต นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องเป็นศัตรูต่อกันและกัน”
“และในตอนนี้นิกายปฐพีซ่อนเร้นและเผ่าอสูรโลหิตให้ความร่วมมือต่อกันหรืออาจกล่าวได้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นพันธมิตรกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกอัจฉริยะอาจจะสร้างปาฏิหารย์ให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะพวกเขามีสายเลือดของชนเผ่าอสูรโลหิตอยู่แต่มีสมองเช่นเดียวกับมนุษย์ อีกทั้งเผ่าอสูรโลหิตพวกนั้นจะคอยบูชาและพวกเขายังครอบครองพลังแห่งศรัทธา นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาฉลาดขึ้นมา และจะยิ่งพัฒนาต่อเนื่องไป ”หญิงสาวอธิบายอย่างช้าๆ
“พลังแห่งศรัทธา?” ชิงสุ่ยถึงกับหยุดชะงัก
พลังที่ลึกซึ้งเช่นนี้ ตามตำนานได้กล่าวเอาไว้ มีเพียงผู้ที่ครอบครองจิตใจที่ปราดเปรื่องถึงจะได้รับพลังเช่นนี้ ชิงสุ่ยมองไปยังหญิงสาวอย่างตกตะลึง
“ถูกต้องแล้ว พลังแห่งศรัทธาเป็นสิ่งที่ยากที่จะได้พบพานหากไม่มีใครที่ศรัทธาในตัวเจ้าและคอยบูชาดั่งทวยเทพ มันเป็นหนทางเดียวที่เจ้าจะได้ครอบครองพลังแห่งศรัทธา” หญิงสาวอธิบาย
ชิงสุ่ยผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่เข้าใจมันได้ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เขาได้มายืนอยู่ในจุดนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นพลังแห่งศรัทธาเป็นพลังที่ยากจะได้รับตามคำกล่าวของหญิงสาว
“พลังแห่งศรัทธาไม่ได้มีปาฏิหารย์แต่อย่างได้ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะกลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธิ์ที่ไร้เทียมทาน ผู้ที่ครอบครองพลังเช่นนี้จะสามารถเอาชนะและบรรลุเป้าหมายของพวกเขาได้ ในบางครั้งมันช่วยให้พลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นแต่ในบางครั้งกลับเป็นอุปสรรคสำหรับการต่อสู้ พลังนี้ค่อนข้างจะยุ่งยาก” หญิงสาวกล่าวต่อ
“การที่จะเป็นผู้นำนิกายหรือเป็นราชาของอาณาจักรใดๆ พวกเขาจะได้รับพลังแห่งศรัทธามาเช่นนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยถามต่อไป
“ไม่เสมอไป ถ้าพวกราชวงศ์สามารถทำให้ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีก็จะได้รับพลังแห่งศรัทธา แต่ในทางตรงกันข้ามไม่เพียงพวกเขาจะไม่ได้รับพลังแห่งศรัทธาเท่านั้น แถมจะได้รับคำสาปแช่งเพิ่มมาด้วย หลังจากนั้นความโชคร้ายก็จะอยู่กับพวกเขา”
“คำสาปแช่ง?” ชงสุ่ยรู้สึกสับสน
“ไม่ต้องตกใจไปพลังแห่งศรัทธาและคำสาปแช่ง ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ มันเป็นเพียงสิ่งที่จะอยู่จะติดตัวไปกับพวกเขา เมื่อถูกสาปแช่งด้วยคนจำนวนมาก แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเก็บเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจจนทำให้พบกับความโชคร้าย แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ามีผู้คนศรัทธาต่อตัวเรามาก สิ่งเหล่านั้นจะเปลี่ยนมาเป็นพลังเชิงบวก เจ้าจะต้องพบกับความกดดันหากต้องต่อสู้กับคนกลุ่มนี้ เจ้าเข้าใจกว่าเดิมหรือไม่หากข้าเปรียบเลยเช่นนี้ ” หญิงสาวยิ้มให้ในขณะที่กำลังอธิบาย
“ข้าเข้าใจแล้ว มันไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ใดๆเลย ถ้าหากว่า คำสาปแช่งไม่สามารถเปลี่ยนมาเป็นพลังแห่งศรัทธา ได้ ข้าจะเรียกมันว่าผลตอบแทนแห่งความดีและความชั่วก็เท่านั้น ” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาด้วยความสบายใจ
“ถูกต้องแล้ว ผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจล้วนครอบครองพลังแห่งศรัทธาทั้งสิ้น ” หญิงสาวใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบชิงสุ่ย
บทที่ 1282 – พลังแห่งศรัทธาคือกลื่นอายแห่งทรราชย์
“พวกผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจ ทุกคนล้วนมีพลังแห่งศรัทธา”
ชิงสุ่ยใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเข้าใจในทันใด แม้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจหลายคนในอีกสามมหาทวีปที่เหลือก็ยังจัดได้ว่ามีจำนวนน้อยอยู่ดี อาจจะมีเพียงหนึ่งในร้อยล้านคนก็เป็นได้ และพวกเขาทุกคนยังเป็นที่รู้จักไปทั่วอีกด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาได้รับความนับถือ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชิงสุ่ยไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมคนเหล่านั้นจะมีพลังพลังแห่งศรัทธาอยู่เคียงข้างพวกเขา
“เฉพาะผู้ที่ได้ครอบครองพลังพลังแห่งศรัทธา เท่านั้นที่เหมาะสมจะถูกเรียกว่าผู้ปกครองโลก ผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจล้วนต้องเกรงคนที่มีพลังเช่นนี้ เพราะเพียงกลิ่นอายที่ถูกปล่อยออกมาก็น่ากลัวมากแล้ว”
“พลังแห่งศรัทธามีผลกระทบต่ออย่างอื่นด้วยหรือไม่? ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากพลังแห่งศรัทธาเช่นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยตระหนักดีว่าตัวเขาเองยังไม่มีพลังแห่งศรัทธา ดังนั้นเขาจึงอยากเข้าใจมันให้มากยิ่งขึ้น
“ก็ไม่ทั้งหมด ดั่งที่ข้าได้กล่าวไปก่อนหน้า พลังแห่งศรัทธาไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ใดๆ ถ้าหากเจ้าได้ก้าวขึ้นมาถึงระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจแล้ว พลังของเจ้าจะถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายรอบๆตัวเจ้าจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ลองนึกดูว่าถ้าเจ้าต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจในตอนนี้ ลึกๆในใจเจ้าย่อมรู้ดีว่าเจ้าจะขี้ขลาด แต่ถ้าเจ้าเชื่อว่าพลังแห่งศรัทธานั้นมีอยู่จริงเจ้าจะได้รับพลัง มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่สามารถรับมันได้ นี่เป็นความน่าอัศจรรย์ของพลังนี้ที่บุคคลหนึ่งสามารถส่งต่อให้กับอีกบุคคลหนึ่งได้ เหมือนกับพลังที่ตื่นขึ้นมานอกเหนือจากพลังของตนเอง พลังประเภทนี้ค่อนข้างจะลึกลับซับซ้อน ในบางครั้งมันช่วยเจ้า ในบางครั้งมันก็ไม่ช่วยเจ้า” หญิงสาวอธิบายพร้อมกับหัวเราะเล็กน้อย
ชิงสุ่ยเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย พลังแห่งศรัทธาย่อมขึ้นอยู่กับตัวบุคคล แน่นอนว่าถ้าใช้อย่างถูกวิธีผลที่ได้รับก็จะดีมาก
“พลังจำพวกนี้ค่อนข้างลึกซึ้ง มีคำกล่าวไว้ว่ามันคือพลังของเทพนี่เป็นเหตุผลที่เจ้าไม่อยากเชื่อเรื่องพวกนี้และมิอาจเชื่อได้อย่างสมบูรณ์” หญิงสาวพูดย้ำเมื่อเห็นสีหน้าของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยส่ายศีรษะ หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
“ต้องขอขอบคุณท่านมากสำหรับข้อมูลพวกนี้” ชิงสุ่ยรู้สึกขอบคุณต่อหญิงสาว ข้อมูลพวกนี้คงมิอาจหาได้จากที่ไหนหรือจากใครอื่นได้ง่ายดายนัก
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก อย่างไรก็ตามข้าได้ข่าวมาว่าอัจฉรินะจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นสามารถได้รับพลังแห่งศรัทธาได้จากสัตว์อสูรบางตัวอีกด้วยเนื่องจากพวกเขามีสัตตะดวงใจอสูร ยังมีข่าวลืออีกว่าหนึ่งในนั้นสามารถได้รับพลังส่วนหนึ่งจากสัตว์อสูรที่เชื่อฟังเขา นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไม สัตตะดวงใจอสูร ทรงพลังยิ่งนัก”
ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจเมื่อคิดถึงเรื่องมังกรไอยราเกล็ดทองคำและตัวเอง แต่พวกชนป่าเถื่อนพวกนั้นสามารถมีพลังเช่นเดียวกับเขาและยังสามารถได้รับพลังแห่งศรัทธา? พลังชนิดนี้สามารถเพิ่มได้ทีละนิดและค่อยๆใช้เวลาเก็บสะสมเพื่อกลายเป็นสิ่งที่ทรงพลัง ดั่งที่หญิงสาวได้บอกไว้ มันเป็นพลังที่ลึกซึ้งเพราะในบางครั้งมันจะช่วยเสริมพลังให้พวกเขา แน่นอนชิงสุ่ยย่อมรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าพลังที่ได้รับมาจากมังกรไอยราเกล็ดทองคำอีกแล้ว
“เช่นนั้นแล้วมนุษย์สามารถได้รับพลังแห่งศรัทธาจากสัตว์อสูรได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ด้วยอีกคำถาม
“แน่นอน สัตว์อสูรที่มีความเชื่องสูงจะสามารถมอบพลังแห่งศรัทธาให้แก่ผู้เป็นนายได้ ยิ่งมีระดับการเปลี่ยนแปลงที่มอบให้สัตว์อสูรได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะได้รับพลังแห่งศรัทธาจากอูสรกลับมาเท่านั้น”
ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจ เขานึกถึงสัตว์อสูรของตนเองและตระหนักได้ว่าพวกมันก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ทำไมตัวเขาถึงไม่ได้เคยได้รับรู้พลังแห่งศรัทธาเลย
“ท่านจะรู้สึกถึงพลังแห่งศรัทธาในตัวเองได้อย่างไร?” ชิงสุ่ยถาม
“พลังแห่งศรัทธาในตัวของเจ้าจะรับรู้ได้ผ่านกลิ่นอายทรราชย์หรืออย่างปราณราชันย์หรือปราณจักพรรดิ…” หญิงสาวตอบไปบางส่วน
ในที่สุดชิงสุ่ยก็เข้าใจในคำอธิบายของหญิงสาว ก้อนเมล็ดเจ็ดสีและปราณจักพรพรรดิเป็นที่รู้จักในนามของพลังแห่งความเชื่อมั่น ในอีกแง่นึงมันอาจจะเป็นพลังแห่งศรัทธาที่เขากำลังต้องการก็เป็นได้ ชิงสุ่ยรู้สึกเป็นสุขขึ้นมาในทันใด อย่างน้อยเขาก็มีพลังบางส่วนของพลังแห่งศรัทธา แล้วการพัฒนาของก้อนเมล็ดเจ็ดสีครั้งล่าสุดจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพลังแห่งศรัทธาหรือไม่นะ?
ตัวมังกรไอยราเกล็ดทองคำเองก็ถูกพัฒนามาจากหมูป่าอสูรมณีรัตน์ ดังนั้นชิงสุ่ยรู้ดีเลยว่าเขาจะต้องได้รับประโยชน์จากมันได้ดีมาก
อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยรีบสลัดความคิดนี้ออกไปเสียก่อน เขาไม่ต้องการคิดเรื่องมันไปมากกว่านี้แล้ว เขายังคงต้องใช้พลังที่มีอยู่ต่อไปให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่หวังพึ่งพลังแห่งศรัทธามาเสริม
หลังจากที่ชิงสุ่ยคิดอยู่ชั่วครู่ เขากลับมาให้ความสนใจกับหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้า เขาตระหนักได้ว่านางมีพลังน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งเพราะว่ากลิ่นอายที่ถูกปล่อยออกมารอบๆตัว ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สามารถคาดเดาถึงพลังที่แท้จริงของนางได้เลย
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งค่อนวัน ชิงสุ่ยได้เรียนรู้หลายสิ่งที่ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งหมดล้วนเกี่ยวของกับสามมหาทวีปที่เหลือและมหาทวีปอู่เซียตะวันตก
…….
ในช่วงบ่ายแก่ๆ ชิงสุ่ย ถานท่ายหยวนและอวี้ลู่หยานก็เดินทางกลับ เว้นแต่หญิงสาวคนนั้นยังคงอยู่ที่นี่ ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าจะขอช่องทางติดต่อของนางยังไงดีแต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือ หญิงสาวคนนี้จะต้องอยู่ในสามมหาทวีปที่เหลืออย่างแน่นอน เขาเป็นหญิงที่รักในการผจญภัย
“มุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิอวี้และพักสักสองสามวันเถอะ” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยิ้ม
หญิงสาวทั้งสองจะต้องรู้สึกเบื่อและอยากออกไปหาอะไรสนุกๆทำเป็นแน่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกนางทั้งสองจึงรีบพยักหน้าเมื่อยินคำพูดของชิงสุ่ย อย่างไรก็ตามทั้งสองยังเขินอายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด
ชิงสุ่ยหัวเราะก่อนจะคว้ามือพวกนางท้งสองแล้วใช้ทักษะย่างก้าวเก้าเทวา
ในทันทีที่พวกเขามาถึงเมืองตระกูลเหยียน พวกเขามุ่งหน้าไปยังฤหาสถ์ของชิงสุ่ย หญิงสาวถึงกับต้องประหลาดใจเมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ทีใด เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงกลางคืนถานท่ายหยวนหันไปกล่าวกับทั้งสองคน
“ข้าจะไปตลาดนัดยามค่ำคืนเสียหน่อย!” ถานท่ายหยวนกล่าวต่อชิงสุ่ยและอวี้ลู่หยาน
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันสิ!” ชิงสุ่ยหันไปมองอวี้ลูหยานและพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้
“พะ พวกเจ้าทั้งสองคนก็จะไปด้วย เช่นนั้นในคืนนี้พวกเจ้า…” ถานท่ายหยวนกังวล นางไม่อยากจะพบเจอสถานการณ์เช่นนั้นอีก หัวใจของนางรู้สึกสับสนเมื่อมองหน้าชิงสุ่ย นางไม่สามารถสงบจิตใจได้เลย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะว่าไม่ว่าใครก็จะเกิดอาการเช่นนี้เมื่อพบเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าว พวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันแต่ถึงอย่างนั้นมันก็มิใช่เหตุการณ์ทีสามารถลืมกันได้ง่ายๆ
“ดีแล้ว นี่มันเป็นปัญหาจริงๆ ข้าไม่คิดว่าเราจะสามารถทำเช่นนี้ได้ตลอดไป ในสองครั้งแรกนั่นเกิดจากเหตบังเอิญ อย่างไรก็เถอะ ข้ากับอวี้ลู่หยานได้ทำมันหลายครั้งและเจ้าก็เห็นเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็ได้เห็นมันแล้วด้วย เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะมาเห็นมันอีก…” ชิงสุ่ยกล่าวความจริง พวกเขาถูกจับได้ถึงสองครั้ง เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้อีกที่พวกเขาจะถูกจับได้ แม้ว่าในสองครั้งแรกเป็นเพียงเหตุบังเอิญ อย่างไรก็ตามคำพูดของเขาค่อนข้างแปลกประหลาดเมื่อกล่าวต่อหญิงสาว
“ชิงสุ่ย เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน” อวี้ลู่หยานพูดขึ้นก่อนจะดึงตัวถานท่ายหยวนมาฝั่งนางก่อนที่จะกล่าวต่อ “คืนนี้พวกเราจะไปเดินเล่นและนอนด้วยกัน”
“ห้ามพูดว่า’ไม่’เชียว อวี้ลู่หยานรีบแทรกขึ้น เมื่อนางเห็นชิงสุ่ยกำลังเอ่ยปากกล่าวบางอย่าง ”
ชิงสุ่ยปิดปากลงอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขานำหุ่นเชิดสวรรค์ออกมาสองตัว ก่อนจะมอบให้หญิงสาวทั้งสอง”นี่สำหรับพวกเจ้าทั้งสอง”
หลังจากนั้น เขาได้อธิบายถึงวิธีการใช้งานหุ่นเชิด นี่เป็นบทเรียนที่เรียนรู้ได้ผ่านสายตา พวกนางสามารถเข้าใจวิธีการใช้งานหลังได้รับการอธิบาย
หลังจากหยดเลือดลงไปยังหุ่นเชิดนี้ พวกมันจะมีชีวิตขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดูมีชีวตชีวามากเท่าที่เขาคิดไว้ก็ตาม แต่พวกมันก็ยังคงดูดี ความบรสุิทธิ์และสีผิวของพวกมันค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ไปในทางที่ดี
“เจ้าหุ่นเชิดนี่ช่างดีจริงๆ” ถานท่ายหยวนอุทานออกมาอย่างมีความสุข
“ของพวกนีอีกเช่นกัน เลือกตัวที่พวกเจ้าชอบแล้วเอาไปประดับตกแต่งห้องของพวกเจ้าสิ ชิงสุ่ยหยิบหุ่นเชิดพวกนี้ออกมากว่าร้อยตัวและมอบให้หญิงสาว ทั้งหมดล้วนเป็นหุ่นเชิดที่สวยงามและละอียดอ่อน”
ถานท่ายหยวนและอวี้ลู่หยานเลือกพวกมันบางส่วนก่อนจะออกจากคฤหาสถ์ ทั่วทั้งถนนต่างตกแต่งไปด้วยโคมไฟ และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นถนนยอดนิยมในย่านนี้อีกด้วย
พวกเขาใช้เวลาอยู่ทีสถานที่แห่งนี้ซักพัก อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยเคยเดินไปทั่วทั้งถนนย่านนี้มาหมดแล้ว เป้าหมายของเขาก็คือการทิ้งรอยเท้าของตนเอาไว้ทั่วทั้งโลกเก้ามหาทวีป แต่ช่างโชคร้าย เขารู้ดีว่านี่เป็นความฝันที่มิอาจบรรลุได้ง่ายดายนัก
ทั้งสามคนต่างมีความรู้สึกเดียวกันเมื่อพวกเขาเดินไปทั่วทั้งตลาด พวกเขาแต่ละคนต่างมาจากคนละที่พบเจอเรื่องราวมาต่างกันแต่พวกเขาล้วนมีเป้าหมายชีวิตเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเป้าหมายพวกนั้นจะเหมือนหรือแตกต่างกัน ชิงสุ่ยก็ไม่คิดจะหยุดเดินเช่นเดียวกับที่เขาต้องพบเจอกับผู้คนต่างๆต่อไป
“ท่านแม่ ข้าจะเอาอันนั้น!” เสียงของเด็กคนหนึ่งดังขึ้นมา
ชิงสุ่ยเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกสาวตัวน้อยในอ้อมแขน หญิงสาวมิได้มีหน้าตาสวยงามและค่อนข้างดูธรรมดาเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นนางกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นแม่ปรากฏอยู่ทั่วทั้งใบหน้าของนาง
สาวน้อยคนนั้นเพิ่งจะมีอายุสองหรือสามขวบ นางกำลังพูดกับแม่ในขณะที่กำลังชี้มือไปยังร้านเนื้อย่าง
“เจ้าตัวตะกละ ถ้าเจ้ากินมันอีกจะทำให้ปวดท้องเอานะ นี่เป็นชิ้นสุดท้ายแล้วนะ ” หญิงสาวยิ้มให้
“ก็ได้ ก็ได้…”
เมื่อพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ชิงสุ่ยรู้สึกคิดถึงลูกๆของตนขึ้นมาทันที แม้พวกคนจนและคนรวยจะมีสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน แต่ทว่าความสุขที่เกิดขึ้นนั้นไม่ต่าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของแต่ละบุคคลด้วย ความรักก็เช่นกันเพราะความรักไม่สามารถแบ่งด้วยระดับขั้นหรือชนชั้นได้
ในขณะที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ชิงสุ่ยยังคงสังเกตุความเป็นอยู่ของผู้คนต่อไป เขาสังเกตุสิ่งหนึ่งที่พบได้ทั่วไปนั่นคือความพยายามของบางคที่จะปีนขึ้นไปยังที่สูงของสถานที่แห่งนี้เพื่อให้เห็นทิวทัศ์ทีชัดเจน ก็เช่นเดียวกับความใฝ่ฝันของแต่ละบุคคลนั่นแหละต้องปีนป่ายเพื่อให้ไปอยู่ในจุดที่สูงกว่า
ชิงสุ่ยนึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาก่อนจะหันศีรษะไปมองรอบๆ ณ ช่วงเวลาแห่งความคิด มีความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยพลังเกิดขึ้นมาในใจของเขา หญิงสาวทั้งสองมองไปยังชิงสุ่ยที่กำลังปล่อยให้ความคิดและจิตใจเดินไปกับทั่วท้องถนนแห่งนี้ แม้จะดูพิลึกไป แต่ทั้งสองกลับตัดสินใจจะไม่ไปรบกวนเขา
ทันใดนั้นก็มีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้น สิ่งที่พวกนางได้เห็นต่อไปก็คือชิงสุ่ยได้ไปเดินชนเข้ากับใครซักคน ชิงสุ่ยไม่เป็นอะไรแต่คู่กรณีกระเด็นล้มลงไปกับพื้น อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรีบความมือและดึงเขาขึ้นมา “หลีกทาง หลีกทาง อย่ามายุ่งกับนายน้อยโจวของพวกเราที่กำลังตามจับใครบางคน ”
ท่ามกลางความวุ่นวาย ก็ปรากฏเสียงดังอึกทึกอยู่บนท้องถนน
ในตอนนั้นชิงสุ่ยก็ได้รู้ว่าชายผู้นั้นที่เขาคว้ามือเอาไว้เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ร่างกายของเขาถูกย้อมไปด้วยเลือด สิ่งที่เขายังเหลืออยู่ก็มีเพียงลมหายใจที่รวยรินเท่านั้น
ชิงสุ่ยไม่ถามอะไรให้มากความ เขารีบสกัดจุดบนร่างกายของเด็กหนุ่มเพื่อหยุดอาการเลือดไหล และนั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่มีชายฉกรรจ์กว่าสิบคนรุมล้อมตัวเขาไว้
“หลางฉี รีบหนีในขณะที่เจ้ายังไหวสิ มาดูสิว่าเจ้าจะหนีไปได้ไกลแค่ไหนหลังจากที่ได้ล่อลวงผู้หญิงของข้าแล้ว ” เสียงแหลมดังปรากฏขึ้น
“ฮะฮ่า ผู้หญิงของเจ้า? นางเป็นภรรยาของข้า เจ้าต่างหากทีเป็นคนลักพาตัวนางไป และยังมาทำให้เป็นความผิดที่ไร้สาระของข้า”
“ผู้หญิงของเจ้า? ไม่ว่าหญิงสาวคนนั้นจะเป็นใคร ถ้าหากข้านายน้อยโจวต้องการก็จะต้องเป็นของข้า เจ้าเป็นใครที่ริอาจมาต่อกร?” ชายในชุดคลุมสีขาวเดินออกมาพร้อมกล่าวด้วยเสียงแหลม เขามีใบหน้าที่เรียวและดวงตาที่เล็ก ชายผู้นี้จัดอยู่ในมาตรฐาน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดับปานกลาง
“หากปราศจากตระกลโจว เจ้าก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น เมื่อเข้าได้สียกับถางเอ๋อแล้ว ข้าก็ย่อมตายตาหลับ” หลางฉีกล่าวออกมาเสียงดัง
“เจ้าโง่ เจ้าคิดหรือว่าถางเอ๋อจะชอบคนอย่างเจ้า? ข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมาณแม่งกระทั่งในความตาย” นายน้อยโจวหัวเราะออกมา เมื่อสิ้นเสียง หญิงงามก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังและก้าวเดินออกมา
หญิงสาวคนนี้ช่างงดงามจนสามารถปลุกวิญญาณของบุรุษได้ หญิงสาวที่ได้รับความสนใจจากนายน้อยโจวมักจะมีลักษณะเช่นนี้ ใบหน้าของนางงดงามราวกับหยกและที่สำคัญกว่านั้นคือความอ่อนช้อยที่จะทำให้ทุกคนเมตตาและหลงรักนาง แม้กระทั่งยอมปกป้องนางจากอันตรายทุกอย่าง
“ถางเอ๋อบอกไปสิ ว่าเจ้าชอบใครระหว่างข้ากับมัน”นายน้อยโจวจับข้อมือของนางพร้อมพูด้วยน้ำเสียงโกรธ
“ถางเอ๋อข้าบอกให้เจ้าหนีไปมิใช่หรือ? เจ้าควรจะวิ่งหนีไป…”
เมื่อหลางฉีเห็นหน้าของนาง หัวใจของเขาก็ค่อยๆเต้นช้าลง..
บทที่ 1283 – ให้ข้าดูแลเจ้าได้ไหม?
“หลางฉี ข้าไม่เคยชอบเจ้าเลย ไปซะ ข้าไม่อยากพบหน้าเจ้าอีกแล้ว” หญิงสาวมองไปยังหลางฉีพร้อมกล่าวออกมาอย่างไร้หัวใจ
“ถางเอ๋อ เจ้าพูดเรื่องอะไร? เจ้าไม่ได้ชอบข้า? เจ้าเป็นภรรยาข้านะ พวกเราเคยสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปจนกว่าความตายจะมาพรากจาก” หลางฉีไม่ยอมแพ้ เขารู้สึกว่าโลกนี้เปลี่ยนเป็นมืดสนิท ช่างมืดมนจริงๆ
“ไปซะ แล้วไม่ต้องกลับมากวนใจข้าอีกในอนาคต” หญิงสาวผลักไสหลางฉี
จากนั้นนางเดินจากไปโดยไม่ให้โอกาสหลางฉีได้พูดอะไรอีก
ขณะนี้สายตาของนายน้อยโจวมิอาจละไปจากถานท่ายหยวนและอวี้ลู่หยานได้เลย เมื่อเทียบกับหญิงสาวคนก่อนหน้าแล้วสองคนนี้ช่างงดงามกว่า บุคคลอย่างนายน้อยโจวผู้ที่มีความเจ้าชู้หลายใจมีหรือจะปล่อยไปง่ายๆ
“หากเจ้ายังไม่หยุดจ้องมา ข้าก็ไม่รู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นายน้อยโจวจ้องไปยังชิงสุ่ยด้วยแววตาอันชั่วร้ายเหมือนมีประกายบางอย่างในดวงตาของเขา น่าเสียดายที่คนโง่เขลาเช่นเขาชอบทำเป็นเหมือนตนเองสำคัญที่สุดบนโลกใบนี้ “จัดการมันซะ! เอามันให้ตาย! แล้วพาตัวหญิงสาวกลับมา!” นายน้อยโจวตะโกนบอกผู้คนรอบตัวเขา
ชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสองเพิ่งมาถึงสถานที่แห่งนี้ด้วยทักษะย่างก้าวเก้าเทวา พวกเขาไม่รู้จักกับตระกูลโจว ไม่ว่าอย่างไรชิงสุ่ยไม่ต้องสนอะไรในจักรวรรดิอวี้นี้อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาอยู่ในเมืองเหยียน ไม่ว่าตระกูลโจวมีอำนาจมากเพียงใด ในบางทีพวกเขาอาจจะมีอำนาจเหนือกว่านั้น?
ชิงสุ่ยไม่เคยเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิอวี้มาก่อน เขาเพียงแต่อยู่ในเมืองเหยียนเท่านั้น ครั้งนี้ก็เช่นกันเขาเพียงแค่ต้องการอยู่ในเมืองเหยียน ไม่ได้ต้องการเดินทางไปทั่วทั้งจักรวรรดิอวี้
สำหรับตระกูลเหยียนแล้ว ชิงสุ่ยกังวลเกี่ยวกับเหยียนจินยวี้คนเดียวเท่านั้น เมื่อได้ทราบถึงเจตนาของผู้นำตระกูลเหยียน ชิงสุ่ยไม่ได้ทำอะไรในนามของเหยียนหยางเจี๋ยและเหยียนจินยวี้อีก อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ชิงสุ่ยจะยังคงเป็นมิตรกับพวกเขา
ในช่วงชีวิตนี้ เขาได้พบกับผู้คนมากมาย บางคนได้เข้ามา บางคนก็เดินจากไป ในขณะที่บางคนจากไปแล้วก็กลับมาอีกครั้ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยืนอยู่เคียงข้างเข้าไปตลอด นอกเหนือจากครอบครัวและเพื่อนสนิทก็ยังมีเหล่าหญิงสาวนี่แหละที่นับได้ว่าเป็นอีกครอบครัวที่ดีที่สุด
เมื่อมองไปยังชายฉกรรจ์สิบคนที่พุ่งเข้ามาจากหลายทิศทาง ชิงสุ่ยกวาดมือออกส่งผลให้พวกนั้นกระเด็นออกไป พวกเขาต่างกระอักเลือดออกมาและต่างหมดสติลง จากนั้นชิงสุ่ยมองไปยังนายน้อยโจวด้วยความน่ากลัว “ข้าจะควักดวงตาทั้งสองของเจ้าทิ้งซะ”
กระแสพลังสองสายพุ่งเข้าสู่ดวงตาของนายน้อยโจวโดยตรง เขาเริ่มร้องออกอย่างน่ากลัวและเสียงดังราวกับกำลังจะเป็นลมไป ฝูงชนส่วนใหญ่รอบๆเริ่มสลายตัวออก คนที่หลงเหลืออยู่ก็เริ่มเดินออกไป เป็นเพราะพวกเขากลัวจะต้องเจอกับปัญหา
“พาตัวภรรยาของเจ้าออกไปจากที่นี่ซะ” ชิงสุ่ยยิ้มและพูดกล่าวกับเจ้าหนุ่มคนนั้น
“แต่นางบอกว่า นางไม่ได้ชอบข้าอีกแล้ว”
“เจ้าโง่ นางพูดเช่นนั้นเพราะต้องการรักษาชีวิตเจ้าไว้ต่างหาก เจ้าไม่รู้เลยเชียวหรือ?”อวี้ลู่หยานกระตุ้นเขา เมื่อสถานการณ์ได้คลี่คลายลงทำให้ทุกคนได้ทราบว่าหลางฉีรักภรรยามากเพียงใด
“อ๋าาาา!” หลางฉีอุทานออกมาต่อหน้าหญิงสาว หญิงสาวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ยังมองมายังหลางฉี
เมื่อหลางฉีได้เห็นแววตาที่คุ้นเคย เขาเดินไปคว้ามือนางและเดินตรงไปหาชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสอง “ต้องขอขอบคุณพี่ชายและพี่สาวทั้งสองที่ช่วยพวกเราไว้ พวกเราไม่รู้ว่าจะต้องตอบแทนอย่างไรดี”
ชิงสุ่ยยิ้มและส่งเม็ดยาให้กับหลางฉีเพื่อรักษาบาดแผล “พวกเจ้าแค่เพียงเดินผ่านมาแถวนี้ และข้าบังเอิญกวาดมือออกไปเพียงเท่านั้น รับสิ่งนี้ไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า รีบออกไปจากที่นี่ซะ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีเวลาอีก”
หลางฉีและหญิงสาวมองไปยังพวกชิงสุ่ย พวกเขาก้มคำนับและเดินจากไป ไม่มีคำสัญญาว่าจะตอบแทนอะไรทั้งสิ้น นั่นทำให้ชิงสุ่ยดีใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพราะหลังจากนี้พวกเขาอาจจะไม่ได้พบเจอกันอีก หากกล่าวอะไรออกมาแล้วไม่สามารถทำได้สู้ไม่กล่าวมันออกมาแต่แรกเสียดีกว่า
สำหรับเหตุผลที่ชิงสุ่ยช่วยเหลือชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาก ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมมีความเห็นใจให้กับผู้อ่อนแอก็เท่านั้น มนุษย์ทุกคนย่อมมีสิ่งชั่วร้ายและความดีอยู่ในตัวทั้งสิ้น ดังเช่น บางคนเลือกที่จะเป็นโจร แต่เลือกที่จะปล้นชิงเฉพาะคนมั่งมีไม่ปล้นคนจน ไม่ใช่เพราะว่าคนจนไม่มีอะไรให้แย่งชิง แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการพรากชีวิตของพวกคนจนไปต่างหาก.
ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าทำไมถึงไม่มีผู้คนจากตระกูลโจวปรากฎตัวออกมา ชิงสุ่ยไม่ได้ต้องการกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก แต่ทั้งหมดนี่ก็ทำให้เสียอารมณ์ในการเดินเที่ยวแล้ว เขาเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์พร้อมหญิงสาวทั้งสอง เขาปล่อยถานท่ายหยวนไว้และนำตัวอวี้ลู่หยานหายตัวไป
ถานท่ายหยวนรู้สึกตะลึงเล็กน้อย นางยิ้มด้วยความขมขื่นและส่ายศีรษะ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังศาลาใกล้ๆ
ผู้คนที่ชิงสุ่ยจ้างวานก็ยังคงทำความสะอาดอยู่รอบๆ คนพวกนี้ถือว่ามีความซื่อสัตย์ พวกเขายังคงทำงานอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว
สภาพของห้องยังคงเหมือนเดิมกับตอนที่พวกเขาจากไป ไม่มีฝุ่นเกาะอยู่เลยแม้แต่น้อย
“ชิงสุ่ยเจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเราตกลงกันแล้วหรือว่าจะอยู่กับน้องหยวน” อวี้ลู่หยานหมดคำพูด นางพูดออกมาหลังจากได้รับการจูบจากชิงสุ่ย
“ไม่มีทางซะล่ะ สามีของเจ้าไม่ได้ชิมรสชาติมานาน เจ้าจะให้ข้ารอต่อไปไม่ได้แล้ว” ชิงสุ่ยยิ้มกว้างในขณะที่เอื้อมมือเข้าไปใต้เสื้อผ้าของนาง
“เจ้าได้พบพี่เฉินบ้างหรือไม่?” ใบหน้าของอวี้ลู่หยานเปลี่ยนเป็นสีแดง ตอนนี้ร่างกายของนางอ่อนไหวมาก
“นางต้องการเข้าสู่ความสันโดษและไม่สามารถเสียความบริสุทธิ์ได้ในตอนนี้”
“ข้าเกรงว่าเวลานี้คงไม่เหมาะ ข้าได้ให้สัญญากับน้องหยวนไว้แล้ว”
ก่อนจะสิ้นคำพูดของอวี้ลู่หยาน ชิงสุ่ยก็ได้ปิดปากนางเอาไว้เสียแล้ว จากนั้นเสื้อผ้าของทั้งคู่ก็ถูกปลดออกจากร่างกาย ชิงสุ่ยได้ใช้ส่วนที่นูนออกไปยังส่วนที่อับชื้นและอบอุ่น เขาปล่อยเสียงร้องออกมา มันเป็นเสียงที่ผ่อนคลาย
ในครั้งนี้ชิงสุ่ยไม่ได้เห็นถานท่ายหยวนมาปรากฏตัวและไม่ได้โผล่เข้ามาในความคิดเช่นครั้งก่อนๆ อวี้ลู่หยานรู้สึกกังวลในตอนแรก แต่ในขณะนี้นางกลับรู้สึกผ่อนคลาย
ในอีกอาคารหนึ่ง ถานท่ายหยวนไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ชิงสุ่ยและอวี้ลู่หยานคาดเอาไว้ ในตอนนี้นางสามารถมองเห็นและได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับในครั้งก่อนๆที่เขาทั้งสามอยู่ด้วยกัน แต่นี่ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายเลย นั่นเป็นเพราะขณะนี้ร่างกายของนางเริ่มรุ่มร้อนและส่วนล่างเริ่มจะอับชื้นและอบอุ่นขึ้นมาแล้ว
เมื่อเวลาล่วงเลยไป นางกำลังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ที่ส่วนล่างของนาง มันมีความแข็งแรงและทำให้นางรู้สึกกลัว นางเปิดตาออกและพบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องของตน ทั้งหมดนั่นคงเป็นภาพลวงตาของนางเอง แต่นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกลึกลับที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มันให้ความรู้สึกสบายราวกับคนที่กำลังจะตายจากความกระหายได้ดื่มน้ำหวานจากฤดูใบไม้ผลิ
และในบ้างครั้งนางก็รู้สึกเห็นภาพที่กระทำต่อส่วนบนของนางด้วยเช่นกัน มันเป็นภาพของชิงสุ่ยสวมกอดนางไว้ เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดในก่อนหน้า แต่ในครั้งนี้นางอยู่ตำแหน่งเช่นเดียวกับอวี้ลู่หยาน
นางรู้สึกอับอายและโกรธ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันผ่อนคลายจริงๆ นางรู้ดีว่ามันเป็นเหมือนภาพลวงตาที่เกิดจากความรู้สึกอันแปลกประหลาด และให้ความรู้สึกที่เหมือนจริง
ทันใดนั้นนางรู้สึกอ่อนแอและตกใจ อยู่ดีๆนางก็รู้สึกเหมือนว่าวิญญาณของนางกำลังบินออกจากร่างกายไป แต่ความรู้สึกเหล่านั้นยังไม่หยุดลง มันยังคงเคลื่อนไหวต่อไป ต่อไปและต่อๆไป
…
เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ลู่หยานเดินไปพบถานท่ายหยวนที่ห้องของนางด้วยความรู้สึกเขินอาย อย่างไรก็ตามนางถึงกับต้องตกใจเมื่อเห็นความเหนื่อยล้าของถานท่ายหยวน อวี้ลู่หยานก็เป็นคนหนึ่งที่มีประสบการณ์มากมายและเมื่อนางเห็นถานท่ายหยวนแสดงออกอย่างแปลกไปและมีหน้าซีดเล็กน้อย อวี้ลู่หยานรู้สึกไม่เข้าใจ
สีหน้าของถานท่ายหยวนเปลี่ยนเป็นสีแดง
“น้องหยวน เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” อวี้ลู่หยานถามด้วยความกังวล
“มันเป็นความผิดของเจ้าคนพาลนั่น มันไม่มีทางหยุดได้หรอกเมื่อเขาเริ่มกอดเจ้าเอาไว้แล้ว”
“แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืน ก็ไม่ควรจะดูอ่อนเพลียเช่นนี้” อวี้ลู่หยานยังคงไม่เข้าใจ
“อ้อ ข้าใจแล้ว เจ้าเพิ่งจะ…” อวี้ลู่หยานมองไปยังถานท่ายหยวนด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด
“พี่อวี้ ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกัน? ถ้าข้าทำมันข้าจะอยู่ในสถานะเช่นนี้หรือ? ข้าไม่เข้าใจ หลังจากที่ท่านทำกับเขาตลอดทั้งคืน ทำไมท่านถึงยังมีแรงขนาดนี้? แถมท่านยังดูงดงามและเป็นผู้หญิงมากขึ้นด้วย ”ถานท่ายหยวนหน้าแดงและกล่าว
อวี้ลู่หยานเข้าใจทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังแปลกใจอยู่ดี เมื่อคิดได้ว่าสถานการณ์ทั้งหมดมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงนางจะไม่รู้รายละเอียดแต่ก็รู้ดีว่าถานท่ายหยวนกำลังตกอยู่ในภาวะลำบาก
“น้องหยวน นี่เป็นเพราะชิงสุ่ยและข้าใช้เคล็ดวิชาการฝึกยุทธิ์แบบทวิบ่มเพาะ แม้ว่าเจ้าจะยังไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับชิงสุ่ย แต่ในตอนนี้เหตุการณ์ก็ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เจ้าจะทำอย่างไรต่อ? เจ้าชอบเขาใช่ไหม? เจ้าอยากลองใช้ชีวิตกับเขาหรือเปล่า?” อวี้ลู่หยานค่อนข้างหัวโบราณ นางกลัวว่าถานท่ายหยวนจะรู้สึกอับอายที่มีอะไรกับชิงสุ่ย และนางเป็นคนเดียวที่จะช่วยเหลือได้
ถานท่ายหยวนส่ายศีรษะ “ข้ายังไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานเลย”
หลังสิ้นคำพูดของนาง นางกำลังนึกถึงความรู้สึกเหล่านั้นอีกครั้ง ในหลายปีมานี้ นางไม่เคยได้รับรู้สึกถึงสิ่งที่แข็งแรงลงลึกไปในกระดูกของนางมาก่อน มันให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ราวกับว่าวิญญาณของนางได้รับการปลดปล่อย หรือนี่เป็นความรู้สึกของการร่วมหลับนอน? ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนมากมายถึงกระหายถึงมันนักหรือแม่แต่หญิงสาวที่มีภูมิฐานอย่างอวี้ลู่หยานถึงเป็นสุขไปกับมัน
“น้องหยวน เจ้ารู้สึกไม่ดีงั้นหรือ?” อวี้ลู่หยานกระซิบข้างหูถานท่ายหยวน
“อ่า! พี่เหยียน ทำไมท่านถึงใจร้ายกับข้าล่ะ”
“เอาล่ะ ข้าจะไม่บังคับเจ้าแล้ว ยังไงซะ เจ้าคนเจ้าชู้นั่นก็มีภรรยาเป็นจำนวนมาก มันคงจะดีกว่าถ้าเจ้าได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามข้าจะช่วยสอนเจ้าถึงเคล็ดวิชาการฝึกยุทธิ์แบบทวิบ่มเพาะ มันอาจเกิดอันตรายขึ้นได้หากเจ้าต้องเผชิญกับมันอีกเพราะฉะนั้นต้องฝึกวิชานี้ไว้” อวี้ลู่หยานกล่าว
ในช่วงเวลาอาหารเช้า ชิงสุ่ยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงไปของถานท่ายหยวน เขามองดูนางด้วยท่าทีที่แปลกไป “เจ้าเสียพลังหยินไปเยอะเลย แม้ว่าเจ้าจะทำมันด้วยตัวเอง แต่ก็ควรจะรู้ขีดจำกัดนะ”
ก่อนที่อวี้ลู่หยานจะพูดสิ่งใด ถานท่ายหยวนก็แทรกขึ้นด้วยความโกรธและความอาย “ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ เจ้าคนพาล”
หลังจากถานท่ายหยวนได้พูดจบ นางก็เริ่มร้องไห้ออกมา ชิงสุ่ยรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องพลอยลงเรือไปด้วยแล้ว
…
หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็ตระหนักได้ว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเขามองไปยังถานท่ายหวน เขามีความรู้สึกเปลี่ยนไป หรือเป็นเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ผูกมัดต่อกันแล้ว
เขาเพียงได้เห็นร่างอันเปลื่อยเปล่าเท่านั้นแต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่พร้อมรับความสัมพันธ์ที่ก่อขึ้น
“แม่นางถานท่าย ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นบุคคลที่ร้องไห้ออกมาได้ง่ายเช่นนี้”
อวี้ลู่หยานทราบดีว่าปัญหาของหัวใจต้องได้รับการแก้ไขจากบุคคลที่ก่อไว้เท่านั้น นางจึงปลอบถานท่ายหยวนและพานางกลับไปส่งยังห้อง
“เจ้านั่นแหละ จะต้องเป็นคนที่ต้องเสียน้ำตา”
ถานท่ายหยวนมองไปยังชิงสุ่ย
ในวันนี้นางสวมใส่ชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะ อีกทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยรูปร่างและกลิ่นอายของความบริสุทธิ์ และดวงตาอันศักดิ์สิทธิ์คู่นั้นที่พร้อมจะทำผู้ให้คนคลั่งได้ นางเป็นคนที่สง่างามและมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ดวงตาคู่นั่นปรากฏให้เห็นความสับสนและความเสียใจเล็กน้อย
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าควรเป็นคนที่ต้องเสียน้ำตา ให้ข้าดูแลเจ้าได้ไหม?” หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ ชิงสุ่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา
นับตั้งแต่เขารู้ว่านางได้เห็นเขาเปลือยกาย เขาก็คิดถึงมันมาตลอด เขาเป็นคนที่ชอบหญิงสาวที่สวยงามและนางก็เป็นหนึ่งในนั้น เขารู้ดีว่าตนเองไม่สามารถแบ่งแยกตัวเองออกจากความรู้สึกเหล่านี้ได้
บทที่ 1284 – เจ้ามิอาจแตะต้องตัวข้า มีเพียงข้าที่แตะต้องเจ้าได้
“หืม… ให้ข้าดูแลเจ้าได้ไหม?” ชิงสุ่ยถามด้วยความลังเลเล็กน้อย
นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว มันทำให้ถานท่ายหยวนรู้สึกหวั่นไหวก่อนหันไปมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่ยากจะเชื่อ นางกำลังสงสัยว่าตนเองได้ยินผิดไปหรือไม่
“เจ้าไม่ได้ยินผิดไปหรอก ข้ากล่าวเช่นนั้นจริงๆ เจ้าเป็นหญิงสาวที่สวยงามอีกทั้งยังมีจิตใจดีอีกด้วย ไม่ว่าใครก็ชอบเจ้า ข้ากำลังสัยว่าข้ากำลังเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่” ชิงสุ่ยกล่าวออกพร้อมรอยยิ้ม
“หึ นี่เป็นครั้งแรกสินะที่เจ้ากำลังชมถึงความงดงามของข้า?” หลังจากมองชิงสุ่ยอยู่สักครู่ ถานท่ายหยวนกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ ส่งผลให้เขาสงสัยว่าถานท่ายหยวนกำลังเลี่ยงที่จะเผชิญกับปัญหานี้
เขาพบกับถานท่ายหยวนครั้งแรกเมื่อเขาเดินทางไปยังทะเลใต้ แต่การพบกันครั้งถัดมานั้นทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกเศร้าใจเพราะถานท่ายหยวนจำเขาไม่ได้และได้กล่าวว่าไม่ได้สนใจในตัวเขานัก มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกล้มเหลว
อย่างไรก็ตามนั่นเป็นสิ่งที่เขาพอจะเข้าใจ เมื่อย้อนกลับไปเขาเป็นเพียงสิ่งที่ไร้ตัวตนสำหรับนาง แต่เมื่อชายชราจากตระกูลถานท่ายเห็นในฝีมือและยอมรับเขา ทำให้ตัวเขาเองได้เดินทางมายังมหาทวีปอู่เซียตะวันตกพร้อมกับถานท่ายหยวนและค่อยๆกลายมาเป็นเพื่อนกัน
ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ความรู้สึกพวกนี้ก็อาจจะยังไม่ชัดเจน ชิงสุ่ยได้จับมือและกอดนางเอาไว้ในตอนที่ใช้ทักษะย่างก้าวเก้าเทวา แม้ว่าในการฝึกยุทธิ์จะไม่เกิดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แต่สำหรับผู้หญิงบางคนไม่ได้คิดเช่นนั้น
ตัวถานท่ายหยวนเองค่อนข้างที่จะยึดถือความสมบูรณ์แบบ นางไม่ต้องการให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นในชีวิตของนางและนั่นทำให้นางไม่สานสัมพันธ์กับผู้ใดมาก่อน
อย่างไรก็ตามคนเราไม่สามารถควบคุมได้ทุกสิ่งเสมอไป ถ้าถามนางในตอนนี้ว่าตัวนางเองชอบชิงสุ่ยหรือไม่ นางแทบจะตอบได้ในทันทีว่าไม่ชอบ แน่นอนว่านางก็ไม่ได้เกลียดเขาเช่นกัน แต่ถ้าถามนางว่างผู้ชายคนไหนที่นางจะไม่มีวันลืม และแน่นอนว่าคำตอบนั้นต้องเป็นชิงสุ่ย
มีคำกล่าวเอาไว้ว่าถ้าคนเราชอบใครสักคน ถ้าไม่สามาถทำให้เขามารักได้ ให้ทำให้เขาเกลียดเรา นั่นเป็นเพราะถ้าหากว่าเขารู้สึกเกลีดเราแล้ว อย่างน้อยเขาก็ยังมีเราอยู่ในความทรงจำ และในบางครั้งความรักและความเกลียดชังสามาถสลับกันได้อย่างไม่รู้ตัว
ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้ดีว่าถานท่ายหยวนไม่ได้ชอบเขาแต่ก็ไม่ได้เกลียดเช่นกัน หรือในบางทีอาจจะเกลียดก็เป็นได้ อีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่มั่นใจก็คือนางต้องการจะแต่งงานหรือไม่ หรือว่านางจะชอบผู้ชายที่มีภรรยาอยู่แล้วหรือเปล่า? ดังนั้นเมื่อชิงสุ่ยต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจเล็กน้อย เขารู้ตัวเองดีว่าเขาถูกจัดอยู่ในประเภทชายที่มีภรรยาอยู่แล้ว เขาถึงไม่อยู่ในฐานะที่พูดถึงเรื่องความรักกับนางได้
ณ เวลานั้น ชิงสุ่ยเกิดความสับสนในตนเอง เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรทำเช่นไร ในบางครั้งก็เกิดภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนขึ้นมา
“ข้าไม่มีความจำเป็นจะต้องชมผู้ใดในเรื่องความงามหรอก หากผู้ใดที่ไม่งดงามจะให้ชมอย่างไรก็ไม่มีทางงดงามขึ้นมา” ชิงสุ่ยกล่าว เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าถานท่ายหยวนจะตอบคำถามก่อนหน้าหรือไม่ ถ้านางไม่ต้องการชิงสุ่ยก็จะไม่รบกวนอีก
ถานท่ายหยวนนึกถึงอาจารย์ ย้อนกลับไปก่อนหน้าเมื่ออาจารย์ของนางได้พบชิงสุ่ยเป็นครั้งแรก อาจารย์ของนางประเมินชิงสุ่ยไว้เป็นอย่างดีและสนับสนุนให้นางออกไปพร้อมกับชายผู้นี้
นางไม่ได้รู้สึกว่าอาจารย์ประสงค์ร้ายต่อนาง ในโลกใบนี้ท่านอาจารย์เป็นคนที่หวังดีต่อนางมากที่สุดแล้ว อีกเหตุผลที่ตัวนางเองได้พบกับชิงสุ่ยอยู่บ่อยๆคงเป็นเพราะตัวอาจารย์ของนางเอง
“เจ้าจะดูแลข้าเช่นนั้นหรือ?” ถานท่ายหยวนยิ้มและมองไปยังชิงสุ่ย จนกระทั่งสายตาของนางเริ่มกลับมาเป็นปกติ
“อืมม! ใช่แล้ว ข้าต้องการดูแลเจ้าไปเรื่อยๆ” ชิงสุ่ยรีบพยักหน้าอย่างรวมเร็วพร้อมกับกล่าวอย่างจริงจัง
“เหตุใดเจ้าถึงต้องการดูแลข้าล่ะ?” ถานท่ายหยวนมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง
“เจ้าได้เห็นร่างที่เปลือยเปล่าของข้าแล้ว แน่นอนว่าข้าย่อมเป็นของเจ้า” หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ ชิงสุ่ยตอบออกมาอย่างจริงจัง เหตุผลที่กล่าวออกมาทำให้ถานท่ายหยวนถึงกับโกรธ
ใบหน้าถานถ่ายหยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงแต่นางก็ยังไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ นางมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความเคืองและกล่าว “เอาล่ะ ในอนาคตนี้เจ้าจะเป็นของข้า ข้าจะเริ่มยอมรับในตัวเข้า แต่เจ้าต้องเชื่อฟังคำของข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ยอมรับในตัวเจ้า ”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ถ้าเจ้าต้องการจะใช้ตัวข้า ได้โปรดอ่อนโยนกับข้าด้วย” ชิงสุ่ยใช้โอกาสตอบโต้กลับไป
“เจ้าบ้า เจ้าคนพาล”
ถานท่ายหยวนมองไปยังชิงสุ่ย ดวงตาของหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ในครั้งนี้ข้าจะกล่าวอย่างจริงจังแล้ว ข้าต้องการจะดูแลเจ้าจริงๆ”ชิงสุ่ยรู้ว่านางรู้สึกโกรธในก่อนหน้าและคงไม่มีอะไรที่ทำให้นางโกรธได้มากกว่านี้แล้ว อย่างไรก็ตามหากเขาต้องการทำให้นางสงบลงก็ต้องกล่าวออกไปอย่างจริงจัง
“เจ้าคงรู้สึกดีสินะที่คอยเอาแต่แกล้งข้า” ถานท่ายหยวนขมวดคิ้ว หญิงสาวที่สมบูรณ์แบบและเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์จะไปสู้ชิงสุ่ยได้อย่างไร? ชิงสุ่ยถือคติของตัวเองและปฏิบัติตามอยู่เสมอหลังจากที่เขามายังโลกเก้ามหาทวีปแห่งนี้ ไม่ว่าคติของเขาจะถูกต้องเพียงใดแต่มันก็ยังมีประสิทธิภาพเสมอมา
“ข้าจริงจัง ความจริงแล้วเมื่อเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น ข้าก็คิดมาเสมอว่าจะคอยดูแลเจ้าอย่างไรดี ดูสิ ข้าวาดรูปของเจ้าอยู่ตลอดเวลา” ชิงสุ่ยหยิบรูปวาดออกมาให้นางดู
เขาได้ใช้ความงามของนางเป็นจุดอ้างอิง ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการวาดรูปของชิงสุ่ยจัดอยู่ในเกณฑ์ดีและรูปวาดของนางก็ไร้ที่ติ อย่างน้อยที่สุดรูปวาดในมือเขาก็ดูดีกว่ารูปวาดทั้งหมดในชีวิตของเขา
ถานท่ายหยวนรู้สึกตะลึงเมื่อมองไปยังรูปวาดทั้งหลายที่เป็นภาพของนาง และมิอาจหาข้อติใดๆได้จากสิ่งเหล่านั้นเลย มีคนกล่าวไว้ว่าหากต้องการวาดรูปผู้ใดให้ออกมาดีเยี่ยมนั้น ผู้วาดจะต้องมีความใส่ใจกับมันไปถึงกระดูกและจิตวิญญาณ มิฉะนั้นจะไม่มีทางสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาได้
ถานท่ายหยวนยังไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับชิงสุ่ยมากนัก ในตอนนี้ชิงสุ่ยคอยมองนางอยู่ตลอด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสดใสและนั่นทำให้นางไม่สามารถหาคำมาตำหนิเขาได้เลย เมื่อมองไปยังรูปวาดเหล่านั้น นางถึงกับต้องตกตะลึงอีกครั้ง
หลังจากนั้นนางเงยหน้าขึ้นมองชิงสุ่ย นางสังเกตุเห็นว่าการจ้องมองของชิงสุ่ยมีความชัดเจนแจ่มแจ้งและมันทำให้คำพูดของเขาถูกเพิ่มความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นอีก แม้นว่าในครั้งนี้เป็นการพบกันเพียงครั้งแรก นางก็มิอาจลืมความประทับใจที่มีต่อเขาในครั้งนี้ได้
ในตอนแรกนางคิดว่าเป็นเพราะอวี้ลู่หยาน แต่ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางตระหนักขึ้นมาได้ว่าการที่คนๆหนึ่งได้เห็นการกระทำของคนๆหนึ่งอย่างใกล้ชิด นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง และความรู้สึกนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อเกิดเช่นนี้นานๆเข้า มารู้สึกอีกทีก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เสียแล้ว
รูปวาดพวกนี้สามารถพิสูจน์เรื่องเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
ชิงสุ่ยมองไปยังถายท่ายหยวน เขารู้สึกได้ว่านางเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องง่ายที่ผู้ชายจะชอบผู้หญิงโดยเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องทำนองนั้นแล้วด้วย ชิงสุ่ยได้คิดไว้แล้วว่าเขาจะต้องเป็นฝ่ายไล่ตามถานท่ายหยวนแต่ก็ยังไม่ได้รับโอกาสนั้น
ชายหนุ่มมักชอบหญิงงาม หญิงสาวที่โดดเด่น หญิงสาวที่อัธยาศัยดี หญิงสาวที่มีสง่าราศี และหญิงสาวที่มีเสน่ห์ และคงเป็นเรื่องดีหากผู้หญิงสามารถแสดงตนว่ามีเสน่ห์ได้
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าตนเองเป็นคนที่ไม่แน่นอน เขาสามารถชอบผู้หญิงได้อย่างง่ายดายแต่เขาก็มีความสามารถในการควบคุมมันให้อยู่ในความพอดี แต่ถึงอย่างนั้นก็เกิดความผิดพลาดให้เห็นเสมอซึ่งถานท่ายหยวนเป็นหนึ่งในนั้น
ถานท่ายหยวนหยุดชั่วครู่พร้อมกล่าวอย่างเบาๆ “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องตัวข้า มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถแตะต้องตัวเจ้าได้ เว้นแต่ว่าข้าจะอนุญาตเจ้าแล้ว”
ชิงสุ่ยอยากจะพูดอีกแต่เขาไม่คาดมาก่อนว่าถานท่ายหยวนจะตอบกลับในทำนองนี้ เขารู้สึกได้ว่าคำพูดของถานท่ายหยวนมีความคล้ายคลึงกับคำพูดของอาจารย์ของนาง
“เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้ว?” ชิงสุ่ยรีบถามขึ้นมา
“ฝันไปเถอะ ไม่มีทาง”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราหมั้นหมายกัแล้วน?” ชิงสุ่ยถามอีกครั้ง
“อย่าหวังว่าปัญหาของเจ้าจะคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย เจ้าเอาแต่พูดว่าอยากจะดูแลข้า ทำไมเจ้าจงใจจะอุ้มข้าตรงไปที่เตียงเพียงอย่างเดียว” ในตอนนี้สายตาของถานท่ายหยวนมีความเย็นชาเล็กน้อย
“ถูกแล้ว อย่างที่เจ้าได้กล่าวไป ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้มันไม่ยุติธรรมกับเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าไม่เคยแตะต้องตัวข้าก่อนหรือ ข้าต้องเตือนความจำเสียหน่อยแล้ว” ชิงสุ่ยยังคงแสดงออกอย่างไร้ยางอาย
เมื่อเห็นชิงสุ่ยทำตัวเช่นนี้ ถานท่ายหยวนหมดคำจะกล่าว ในพริบตานางก้าวเดินออกไปสองก้าว พร้อมแสดงความกล้าออกมาโดยการจับคอของชิงสุ่ยไว้พร้อมมองไปยังใบหน้าของเขา
ทันใดนั้น ชิงสุ่ยถือโอกาสโอบเอวของนางเอาไว้ทันที
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องตัวข้า มีเพียงข้าเท่านั้นที่แตะต้องเจ้าได้ เจ้ากำลังลืมสิ่งที่ได้กล่าวไปก่อนหน้าแล้วเช่นนั้นหรือ?” ถานท่ายหยวนมองไปยังชิงสุ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยสีแดง
ด้วยใบหน้าที่สวยงามของนางอยู่ในระยะที่ใกล้ชิดเพียงนี้ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงการหายใจของนางเสียด้วยซ้ำ ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ทำได้เพียงยืนนิ่งๆ
ชิงสุ่ยผละมือของตัวเองออกแต่ในไม่ช้าเขาสวมกอดนางไว้อีกครั้ง เขารู้ดีว่าตั้งแต่ถานท่ายหยวนกล่าวคำพูดเช่นนั้น มันหมายความว่านางได้ยอมรับแล้วว่านางเป็นผู้หญิงของเขา อย่างไรก็ตามด้วยความที่นางเป็นผู้หญิงจึงต้องรักษาท่าทีเอาไว้ก่อน
ชิงสุ่ยไม่คาดคิดมาก่อนว่าด้วยรูปวาดเพียงสองสามใบจะทำให้ผลเปลี่ยนไปเช่นนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ชิงสุ่ยยังไม่รู้ นั่นก็คือถานท่ายหยวนมีความรู้ในเรื่องการวาดรูปเช่นกันแม้จะไม่เทียบเท่าชิงสุ่ย แต่นั่นทำให้นางทราบถึงการวาดของเขา รูปวาดที่มีความสวยงามระดับนี้ไม่ใช่ว่าจะวาดออกมาได้โดยใช้แค่เพียงจินตนาการเท่านั้น แต่ผู้วาดต้องมีความรู้สึกอันลึกซึ้งต่อตัวแบบ สำหรับชิงสุ่ยที่วาดรูปนางออกมาได้อย่างงดงามและปราณีต นั่นทำให้นางเชื่อใจในตัวชิงสุ่ยและยอมรับในตัวเขา
ชิงสุ่ยโอบกอดถานท่ายหยวนด้วยความพึงพอใจ นั่นเป็นเพราะนางเป็นผู้หญิงในรูปพวกนั้นและเขาก็ชอบนางมากเสียด้วย เป็นธรรมดาของชายหนุ่มที่มักชอบหญิงงาม แต่อีกเหตุผลก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิบสองเส้นลมปราณสวรรค์ ชิงสุ่ยมีความกังวลว่าจะสามารถจัดการกับเส้นลมปราณสวรรค์ทั้งสิบสองได้หรือไม่
เขาไม่ทราบเช่นกันว่าผู้อื่นสามารถชำระสิบสองเส้นลมปราณสวรรค์ได้อย่างไร แต่อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เขารู้ก็คือในปัจจุบันคนอื่นๆยังไม่สามารถชำรับสิบสองเส้นลมปราณสวรรค์ได้ อย่างไรก็ตามหญิงสาวที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยสามารถชำระหนึ่งในสิบสองเส้นลมปราณสวรรค์ได้ส่งผลให้ได้รับพลังวิญญาณและความสามรถที่เพิ่มขึ่น
“ชิงสุ่ย ข้ารู้สึกแปลกๆ”
“เกิดอะไรขึ้น?” ชิงสุ่ยถามเบาๆ
“ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างถูกเพิ่มเข้ามาในหัวใจของข้าในตอนนี้”
“ใช่ความกังวลบางอย่างรวมถึงความไม่ชัดเจนใช่หรือไม่”
“หืมม! เจ้ารู้ได้อย่างไร?!” ถานท่ายหยวนรู้สึกตกใจ
“นั่นเป็นเพราะเจ้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับข้า นั่นก็คือ หยวนเอ๋อเจ้ากำลังมีความรัก!” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำกล่าวของชิงสุ่ย ถานท่ายหยวนรู้สึกว่าบางอย่างเกิดขึ้นมาในหัวใจ
ในเวลาไม่นานนักอวี้ลู่หยานก็เดินออกมา นางยิ้มให้และมองดูทั้งสองที่กำลังอยู่ในอ้อมกอด เมื่อถานท่ายหยวนมองเห็นอวี้ลู่หยาน นางรีบผละตัวออกจากชิงสุ่ยด้วยความรู้สึกเขินอายพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง
อวี้ลู่หยานยิ้มให้พร้อมเดินไปจับมือของถานท่ายหยวนและกล่าว”ข้ารู้ดีว่าวันนี้ย่อมมาถึง น้องหยวนเหตุใดเจ้าจึงต้องเขินอาย? นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี ข้ากลัวเสียอีกว่าเจ้าจะไม่ชอบเขา ”
บทที่ 1285 – โลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์, หนอนไหมมังกรทอง, การพัฒนาของมังกรไอยรา
เมื่อถานท่ายหยวนได้ยินสิ่งที่อวี้ลู่หยานกล่าว นางรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันใด ตอนนี้นางชัดเจนแล้วว่าความสัมพันธ์ของนางและชิงสุ่ยได้ก่อขึ้นแล้ว เว้นแต่นางจะตัดสินใจไม่แต่งงานไปตลอดชีวิต แต่ถ้านางตัดสินใจแต่งงานก็คงเป็นชิงสุ่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น ระหว่างนั้นนางนึกถึงคำพูดของอาจารย์ขึ้นมา อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าอย่างไร? นางจะได้รับผลกระทบอะไรจากคำเหล่านั้นบ้าง?
อย่าไรก็ตามมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ถานท่ายหยวนมองไปยังรอยยิ้มของอวี้ลู่หยาน ผู้ซึ่งไม่ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเลย นางพบเจอผู้หญิงเช่นนี้มามากมายหลายคน ไม่มีผู้ชายคนใดที่แข็งแกร่งแล้วมีผู้หญิงเพียงคนเดียวและเช่นเดียวกันผู้หญิงที่แข็งแกร่งมักจะไม่แต่งงานกับผู้ชายธรรมดาๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ถึงแม้ผู้หญิงจะแข็งแกร่งเพียงใดก็มักจะต้องใช้ผู้ชายร่วมกับคนอื่นอยู่เสมอ
มีคู่ชายหญิงที่แข็งแกร่งไม่กี่คู่บนโลกใบนี้ที่พบรักกันและครองคู่ไปด้วยกันตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามเรื่องเช่นนี้พบเจอได้ยาก
ชิงสุ่ยคว้ามือของอวี้ลู่หยานเอาไว้พร้อมทั้งมือของถานท่ายหยวนเช่นกัน พวกเขานั่งลงบนม้านั่งที่ลานบ้าน แม้ว่าปีใหม่จะได้ผ่านพ้นไปแล้วแต่อากาศก็ยังคงหนาวอยู่ มีแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องลงมาให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสามนั่งลงอย่างเงียมงันโดยไม่มีคำกล่าวใดๆออกมา หญิงสาวทั้งสองต่างพักศีรษะของตนเองไว้บนไหล่ของชิงสุ่ย มีกลิ่นน้ำหอมลอยมาจากร่างกายจากพวกนางทั้งสอง ชิงสุ่ยรู้สึกพอใจจนไม่อาจหาคำบรรยายได้ เขาไม่เคยรู้สึกโชคดีเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต แม้ว่าเขาจะมีเงินทองมากมายแต่ก็ไม่สามาถเทียบได้กับความสุขทางจิตวิญญาณที่เขาได้รับในตอนนี้
“ชิงสุ่ย ที่นี่ถือว่าเป็นบ้านหลังหนึ่งของพวกเราใช่หรือไม่?” อวี้ลู่หยานเงยหน้าขึ้นและมองไปยังชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตข้างหน้า ที่นี่ก็จะเป็นบ้านของพวกเราเสมอ ตราบที่เจ้าต้องการ พวกเราจะเดินทางมาพักผ่อนที่นี่ ณ ที่แห่งนี้ ที่ๆได้บันทึกความทรงจำที่มีค่าเอาไว้” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างมีความสุข
เมื่อหญิงสาวทั้งสองได้ยินเกี่ยวกับความทรงจำของชิงสุ่ย พวกนางต่างคิดไปถึงเรื่องแบบนั้น พร้อมกับคิดอีกครั้งว่าใช่ความทรงจำเดียวกันกับของชิงสุ่ยหรือไม่ แต่พวกนางก็ไม่มั่นใจนักว่าชิงสุ่ยหมายถึงในแง่ใด
“ถ้าอาจารย์รู้เข้า นางคงจะหยอกล้อข้าเป็นแน่” ถานท่ายหยวนกล่าวอย่างซึมเศร้าเล็กน้อย
“พวกผู้หญิงต้องกลัวอาจารย์หยอกล้อเพียงเพราะได้คู่ครองเช่นนั่นหรือ? พวกเจ้าทั้งสองคงไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกันใช่ไหม?” ชิงสุ่ยมองไปทางถานท่ายหยวนด้วยท่าทีท้อใจ
เมื่อเห็นท่าทีของชิงสุ่ย ถานท่ายหยวนยิ้มออกมา “เจ้ายังไม่ใช่ผู้ชายของข้าเสียหน่อย เจ้ากับข้าอาจจะจบลงด้วยการเลิกราก็เป็นได้”
“หึ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคงไม่พอใจสินะที่ยังไม่ได้ข้าเป็นคนรัก เช่นนั่นคืนนี้พวกเราทั้งสามมานอนด้วยกันเถอะ” ชิงสุ่ยมองไปยังหญิงสาวทั้งสองพร้อมกล่าวออกช้าๆ
“ฝันไปเถอะ ผู้ชายทุกคนล้วนเป็นคนพาลและจิตใจคิดแต่เพียงเรื่องสกปรก ”
…
ในคืนนั้นชิงสุ่ยเข้าไปพักในดินแดนหยกยุพราชอมตะในขณะที่อวี้ลู่หยานและถานท่ายหยวนนอนด้วยกัน เขาทราบดีว่าพวกนางทั้งสองคงมีเรื่องอะไรให้พูดคุยกันมากมาย
หลังจากที่เข้ามายังดินแดนหยกยุพราชอมตะ ชิงสุ่ยเริ่มฝึกฝนวิชาที่คุ้นเคยอีกครั้ง มันเป็นเหมือนกับพิธีที่เขาต้องทำทุกครั้ง เขาหยิบขวดที่บรรจุโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมา ในเวลานี้คงเหมาะสมที่เขาจะได้ใช้มัน
ชิงสุ่ยเริ่มเขย่าขวด มีโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์เพียงสี่หยดถูกบรรจุไว้ข้างใน ด้วยการรับรู้ทางวิญญาณของเขาสามารถบ่งบอกได้ว่าสิ่งนี้ทรงพลังมาก ยิ่งไปกว่านั้นพลังเหล่านั้นเป็นเหมือนสิ่งที่ชิงสุ่ยค้นเคย
มังกรเพลิงวัยเยาว์ที่เขาได้พบในอดีตและมังกรมรกตที่เขาพบในจิตสำนึกล้วนมีกลิ่นอายเช่นนี้ เพียงแต่กลิ่นอายไม่บริสุทธิ์เท่ากับสิ่งที่กำลังพบเจอ อย่างไรก็จามนี่เป็นถึงโลหิตแก่นแท้ หรืออีกเหตุผลที่เป็นไปได้ก็คือมังกรที่เขาเคยพบเจอยังไม่ใช่มังกรที่ทรงอำนาจมากที่สุด
เนื่องจากสิ่งนี้เป็นโลหิตแก่นแท้ของสัตว์อสูรจำพวกมังกร ดังนั้นมังกรไอยราเกล็ดทองคำควรจะได้มันไปหนึ่งหยด
ปรสิตหนอนไหม!
ชิงสุ่ยนึกถึงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กชนิดนี้ขึ้นมาทันใด หรือควรจะมอบให้มันอีกหนึ่งหยดด้วย? เมื่อเขากำลังคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขารู้สึกตื่นเต้นและรีบเรียกปรสิตหนอนไหมออกมาทันใด
สิ่งเล็กๆเหล่านี้ดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเขามังกรที่แหลมคมทั้งสองและร่างกายที่เปล่งแสงสีทองออกมาและแม้ว่าดวงตาของมันจะมีขนาดเพียงเม็ดข้าวเท่านั้น แต่มันก็มีความฉลาดมาก มันกลิ้งไปมาอย่างมีความสุขบนฝ่ามือของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยเทโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมาหนึ่งหยดและทันใดนั้นเอง กลิ่นอายที่ทรงพลังถูกแผ่ออกมา เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้ก็ลังเลขึ้นมาทันทีว่าควรจะมอบให้ปรสิตหนอนไหมหรือไม่ เพราะว่าร่างกายของมันมีขนาดเล็กกว่าขนาดของโลหิตแก่นแท้อสูรเสียด้วยซ้ำ
ชิงสุ่ยใช้ความคิดเพื่อถามปรสิตหนอนไหมว่าต้องการโลหิตแก่นแท้อสูรหรือไม่ถ้าหากเสี่ยงที่จะได้รับอันตราย คำตอบที่เขาได้รับกลับมาคือการกลืนโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปเต็มคำ ทันใดนั้นร่างกายของมันเปล่งแสงสีทองสดใสออกมาและดับไปในทันทีและปรากฏขึ้นอีกครั้งในสระโลหิตแก่นแท้ของเขา
ชิงสุ่ยถึงกับต้องตกใจ โลหิตแก่นแท้ในสระโลหิตแก่นแท้ของเขาเริ่มเดือดพล่าน สระถูกเติมเต็มไปด้วยโลหิตแก่นแท้ของชิงสุ่ยและการเคลื่อนไหวของมันทั้งหมดล้วนเกิดจากการเดือดพล่าน
เส้นใยโลหิตทองคำอินทนิลดูเหมือนจะเริ่มแข็งแรงและหนาขึ้นแล้ว ชิงสุ่ยต้องตกใจอีกครั้ง พลังทางกายภาพของเขากำลังค่อยๆเพิ่มขึ่้น
สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจนั่นก็คือพลังทางกายภาพของเขาถูกเพิ่มขึ้นสองพันเมฆา ถ้าทั้งหมดนี้เพิ่มขึ้นเพียงสองพันเมฆาก็ถือว่าเพิ่มขึ้นเพียงน้อยนิด แต่การที่พลังทางกายภาพถูกเพิ่มขึ้นสองพันเมฆาทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจ ในก่อนหน้านี้เขารู้สึกได้ว่าเส้นเลือดในร่างกายของเขากำลังพัฒนาขึ้น นี่เป็นผลมาจากการเพิ่มพลังในเลือดของเขา
พลังในภาพรวมของเขาถูกเพิ่มขึ้นอีกครั้งทั้งหมดนี้เกิดจากเลือดของเขา ข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งที่ได้มาคือการดูดซับและการควบคุมพลังนี่ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการที่คนเราได้ฝึกฝนร่างกายและมีความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หนอนไหมมังกรทองที่อยู่ในสระโลหิตแก่นแท้ของเขาดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ภาวะจำศีล ทั่วทั้งสระโลหิตแก่นแท้ของเขาจะมีความอบอุ่นเกิดขึ้น ราวกับว่ามันกำลังทำงานร่วมกันเลือดอย่างเป็นธรรมชาติ เขารู้สึกได้เลยว่ามันจะช่วยเพิ่มความสามารถของเขาอย่างไร้ผลกระทบ เมื่อเขากำลังจะเดินทางออกไปก็สังเกตุเห็นหนอนไหมหิมะสองตัวกำลังเคลื่อนไหวอยู่ราวกับว่าพวกมันกำลังมีความสุข ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะโตขึ้นอีกแล้ว
หลังจากสังเกตุเห็นหนอนไหมหิมะปกติดี ชิงสุ่ยจึงเดินทางออกมา ดูเหมือนว่าหนอนไหมมังกรทองกำลังจะพัฒนาร่างอีกครั้ง เขามีความสงสัยว่าหนอนไหมมังทองจะออกมาในรูปแบบใดกัน
ชิงสุ่ยมีความพอใจเป็นอย่างมาก เขาเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมา ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรแห่งสวรรค์และโลกตัวนี้จะโตช้าเสียหน่อย เขารู้สึกได้ว่าเลือดของสัตว์อสูรตัวนี้อาจจะบรรลุไปถึงอีกระดับได้
มังกรไอยราเกล็ดของคำร้องออกมาเสียงดังเมื่อมันรับรู้ถึงโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์ ราวกับว่ามันเป็นมังกรในร่างของช้าง เมื่อเห็นเช่นนี้ชิงสุ่ยไม่ลังเลอีกต่อไป เขาต้องการจะมีพลังที่เพิ่มขึ้นและต้องการเพิ่มความสามารถให้กับสัตว์อสูรของตนด้วย ในเร็วๆนี้มหาทวีปอู่เซียตะวันตกอาจจะต้องสู้รบกับชนป่าเถื่อนจากทางใต้ อาจกล่าวได้ว่าพวกมันทั้งหมดจะใช้สัตว์อสูรเข้าต่อสู้
ทั้งหมดก็เพราะพวกมันมีความใกล้ชิดกับสัตว์อสูรและมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับพวกสัตว์อสูร แต่สำหรับพวกมนุษย์ถูกพัฒนามาเป็นสัตว์ระดับสูงแล้ว
เมื่อมังกรไอยราเกล็ดทองคำได้รับโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์ มันได้เปล่งแสงสีทองเฉิดฉายออกมา ในขณะที่มันดูดซึมโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปโดยตรง ก็เกิตเหตุการณ์ขึ้นในทำนองเดียวกับหนอนไหมมังกรทองซึ่งดูเหมือนว่าจะมีสายเลือดแห่งมังกรเสียแล้ว
โฮ่กกก!
มีแสงสีทองสาดส่องออกมาจากร่างของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ร่างกายของมันไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่ความน่าเกรงขามของมันถูกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับก่อนหน้า ในตอนนี้กลิ่นอายของมันดูเหมือนกับสัตว์อสูรโบราณให้ความรู้สึกที่โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง
กลิ่นอายทรงพลังเหล่านั้นที่ถูกปล่อยออกมาให้รู้ความรู้สึกราวกับว่าโลกและท้องฟ้ากำลังจะถูกฉีกออกจากกัน
แสงสีทองค่อยๆจางหายไปปรากฏให้เห็นมังกรไอยราเกล็ดทองคำที่อยู่ในความพึงพอใจ แม้ว่าขั้นตอนเหล่านี้จะเกิดขึ้นในเวลาไม่นานแต่พลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำก็ถูกเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจ
พลังทางกายภาพของมันถูกเพิ่มขึ้นเก้าหมื่นเมฆาหรือเทียบเท่าเก้าสุริยา
ชิงสุ่ยรีบตรวจสอบในทันใด!
คชสารผสานมังกร : พลังติดตัว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงทางกายภาพห้าสิบเท่า
พลังถูกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล! ชิงสุ่ยรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ทักษะเอราวัณโกรธา : เพิ่มพลังโจมตีสามเท่าแบบสุ่มสูงสุดสี่สิบเป้าหมาย
จำนวนเป้าหมายที่ถูกโจมตีถูกเพิ่มขึ้นถึงสิบเป้าหมาย นี่เป็นการโจมตีในวงกว้างของมังกรไอยราเกล็ดทองคำเมื่อต้องการโจมตีศัตรูจำนวนมาก วิชานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีไว้
ก้าวพสุธาเอราวัณ : เมื่ออยู่ในจุดที่เหมาะสม จะสามารถเพิ่งพลังโจมตีทางกายภาพได้สูงสุดห้าเท่า และทำให้ศัตรูที่อยู่รอบข้างเป้าหมายหยุดชะงักไม่สามารถเคลื่อนที่ได้
ความกล้าหาญของมันถูกเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ชิงสุ่ยมักใช้วชิระสยบอสูรและก้าวพสุธาเอรวัณของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ อย่างไรก็ตามในครั้งหลังๆพวกเขาได้เปลี่ยนไปใช้วิชาในสายควบคุมแทนซึ่งมันทำให้พลังโจมตีนั้นอ่อนลง แต่หลังจากที่สายเลือดของมังกรไอยราเกล็ดทองคำถูกปลุกให้ตื่นขึ้น พลังของมันได้ถูกเปลี่ยนไปอีกครั้ง ในอนาคตอันใกล้นี้พลังของมันจะถูกแสดงออกอย่างเฉิดฉายเป็นแน่
วชิระลี้ภัย : กระโดดข้ามระยะทางสามพันเมตร!
ปราณกระบี่วชิระ : ปลดปล่อยปราณโจมตีฝ่ายศัตรูและซ่อนเร้นรังสีฆ่าฟัน ลดความเร็วของศัตรูลงสองในสิบส่วนเป็นระยะเวลาสองชั่วโมง
วชิระสยบอสูร : เมื่อใช้วิชานี้ออกมา ศัตรูทั้งหมดในรัศมีหนึ่งพันเมตรถูกลดพลังลงหนึ่งในสิบส่วน สูงสุดห้าสิบเป้าหมาย ระยะเวลาสองชั่วโมง
แม้จะไม่มีการเปลี่ยนใดๆในสามวิชาหลังนี้ แต่ชิงสุ่ยก็ยังพึงพอใจ
การจู่โจมมังกรไอยราคุ้มคลั่ง : พุ่งเข้าโจมตีเป้าหมายอย่างรวดเร็ว สามารถเพิ่มหลังคุกคามได้มากถึงห้าเท่า
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในวิชานี้เช่นกัน มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เปลวเพลิงนรกานต์ทมิฬ : เปลวเพลิงใต้ฝ่าเท้าของมังกรไอยราเพิ่มพลังโจมตีสองในสิบส่วน ในเวลาเดียวกันเพิ่มความเร็วกลางอากาศขึ้นสองเท่า
เกราะเกล็ดมังกร : เพิ่มพลังป้องกันของมังกรไอยราเป็นสองเท่า เพิ่มพลังทางกายภาพขึ้นซึ่งเป็นพลังพื้นฐานของมังกรไอยรา
เมื่อชิงสุ่ยเห็นพลังของเกราะเกล็ดมังกรเขาถึงกับต้องตะโกนร้องออกมา ในตอนนี้มังกรไอยราเกล็ดทองคำมีความแข็งแกร่งทางร่างกายเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าเทียบเท่ากับวิหคเพลิงเลยทีเดียว มังกรไอยราในตอนนี้จะไม่แพ้แม่ว่าศัตรูจะเป็นถึงมังกร
เมื่อเกราะเกล็ดมังกรทรงพลังมากขึ้น ชิงสุ่ยรู้สึกถึงบางอย่างที่เกิดขึ้นในจุดตันเถียนของเขา มันเป็นผลพวงที่เกิดจากมังกรไอยรา มังกรไอยราเกล็ดทองคำมีพลังขึ้นกว่าสี่สุริยา และส่งผลให้ชิงสุ่ยมีพลังเพิ่มขึ้นแปดพันเมฆา อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ชิงสุ่ยไม่สามารถรับพลังนั่นได้ทันที เขาต้องเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายตนเองเสียก่อน
หลังจากที่ได้พบกับอาจารย์ของถานท่ายหยวน ชิงสุ่ยได้เข้าใจว่ามีผู้คนที่แข็งแกร่งอยู่เสมอและศิลปะการต่อสู้ไม่มีจุดสิ้นสุด เขาจึงต้องฝึกหนักเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น หลังจากนั้นเขาจะมุ่งหน้าไปยังอีกสามมหาทวีปที่เหลือ เขาต้องการพบกับคนที่ท่านแม่เคยกล่าวถึง และหญิงสาวอีกคนที่เขาต้องการพบเจอนั่นคือประมุขอสูร
หลังจากที่ตรวจสอบสิ่งต่างๆ ชิงสุ่ยถึงกับต้องประหลาดใจที่หินสลักมังกรขดถูกพัฒนาขึ้น พลังป้องกันของสัตว์อสูรจะถูกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่ารวมทั้งวิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำ แต่น่าเสียดายที่ตะเกียงร้อยวิญญาณและกลองสะบั้นสวรรค์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
หลังจากที่คิดดูแล้ว เมื่อหนึ่งในสามชิ้นนี้ถูกพัฒนาขึ้นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี นั่นแสดงให้เห็นว่าอีกสองชิ้นที่เหลือจะถูกพัฒนาขึ้นในเร็วๆนี้ ถ้าหากตะเกียงร้อยวิญญาณและกลองสะบั้นสวรรค์ถูกพัฒนาขึ้น วิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำจะมีพลังโจมตีที่เพิ่มขึ้นถึงสองเท่า
ในเวลานี้ มังกรไอยราเกล็ดทองคำมีพลังโจมตีราวๆสี่พันห้าร้อยสุริยาในขณะที่วิหคเพลิงมีสี่พันสุริยา ถ้าหากตะเกียงร้อยวิญญาณและกลองสะบั้นสวรรค์ถูกพัฒนาขึ้นตัวเลขที่เห็นก็จะเพิ่มป็นสองเท่า
บทที่ 1286 – พลังของโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์, พลังของสัตว์อสูร, เป็นเป้าหมาย
การพัฒนาขึ้นของหินสลักมังกรขดทำให้ชิงสุ่ยมีความหวัง นี่หมายถึงตะเกียงร้อยวิญญาณและกลองสะบั้นสวรรค์สามารถถูกพัฒนาขึ้นได้ด้วยเช่นกัน เขาคาดหวังให้วันนั้นมาถึงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกสัตว์อสูรของเขามีความสำคัญต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง
อีกสิ่งหนึ่งคือความสามารถในปัจจุบันของเขา พลังทางกายภาพถูกเพิ่มขึ้นกว่าสองพันเมฆาและพลังโดยรวมถูกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีก้อนเมล็ดเจ็ดสีและศาตราวุธแห่งจิตวิญญาณซึ่งได้แก่ กระบี่ดารายุพฆาต, ยาเม็ดทองคำ, เกราะอสูรสำแดง, รูปแบบดาราจักร และอื่นๆอีกมากมาย
รูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวของชิงสุ่ยอย่างน่าประหลาดใจ ความเร็วอันน่าพิศวงของเขาช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้น อีกอย่างหนึ่งที่เคยฝึกฝนไว้ก็คือ เจ็ดย่างก้าวทำลายล้างแห่งทักษะย่างก้าวเก้าเทวา
ชิงสุ่ยใช้มันครั้งล่าสุดเมื่อนานมาแล้วและไม่ได้ใช้มันอีกเลย วันนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าวิชานี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง วิชานี้มาพร้อมกับทักษะย่างก้าวเก้าเทวาและเมื่อใช้ทักษะย่างก้าวเก้าเทวาพร้อมกับเจ็ดย่างก้าวทำลายล้างแห่งทักษะย่างก้าวเก้าเทวา แต่ละก้าวที่ก้าวออกไปจะช่วยสะสมพลังเอาไว้และสามาถระเบิดออกในย่างก้าวสุดท้าย
ชิงสุ่ยหยุดตวามคิดของเขาลง เมื่อเขาได้ลองใช้สมบัติเวทไปครั้งหนึ่งแล้ว เขามองไปยังโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่เพียงสองหยดและสงสัยว่าสัตว์อสูรตัวใดควรได้รับมันไป
คงต้องเป็นวิหคเพลิง ดังนั้นชิงสุ่ยเรียกวิหคเพลิงออกมาโดยปราศจากความลังเล อย่างไรก็ตามวิหคเพลิงส่งความคิดมาบอกเขาว่าตัวมันเองนั้นไม่สามารถรับโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้เพราะมันเป็นหยดเลือดของมังกร
วิหคเพลิงสืบเชื้อสายมาจากวิหคอัคคีและวิหคอัคคีทมิฬ ซึ่งพวกมันถือว่าทรงพลังเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้ทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจแต่ก็เข้าใจได้ในมันที ไม่ว่าอย่างไรก็ตามโลหิตแก่นแท้อันทรงพลังนี้จะสามารถเปลี่ยนรูปแบบของสัตว์อสูรที่ได้รับมันไป
ชิงสุ่ยรู้สึกยินดีเมื่อทราบว่าวิหคเพลิงไม่สามารถใช้มันได้ เขาเรียกแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรและอสูรอัสนีคลั่งออกมา เขาเริ่มสื่อสารกับแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรและทราบว่าโลหิตแก่นแท้ไม่มีผลเสียต่อตัวของมัน แมงมุมได้กล่าวกับตัวเขาว่าตัวมันเองสามารถกลืนกินได้ทุกสิ่งแม้สิ่งนั้นจะเป็นพิษก็ตาม
โดยปราศจากความลังเลชิงสุ่ยมอบโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์ให้แมงมุมอสูรเจ็ดเศียรในทันที.
หลังจากทราบเรื่องของวิหคเพลิงแล้ว ชิงสุ่ยมีความกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับอสูรอัสนีคลั่งว่าจะรับมันได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้เขารู้สึกยินดี อสูรอัสนีคลั่งสามารถผสามกับมันได้ แต่ผลที่แสดงออกมาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักมันก็ยังคงเป็นอสูรอัสนีคลั่งเช่นเดิม แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญจริงๆคือความสามารถของมันต่างหาก
ในไม่นานนักแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรและอสูรอัสนีคลั่งส่งแสงสีทองอร่ามออกมาจากทั่วร่างของพวกมัน แมงมุมอสูรเจ็ดเศียรกรีดเสียงร้องแหลมออกมาในขณะทีร่างกายของอสูรอัสนีคลั่งมีประกายสายฟ้าล้อมรอบพร้อมกับเสียงฟ้าผ่า
เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ชิงสุ่ยถึงกับต้องตะลึง แมงมุมอสูรเจ็ดเศียรยังคงมีเจ็ดเศียรเช่นเดิม แต่เศียรสีทองตรงกลางของมันมีเขามังกรงอกออกมาสองเขาทำให้มันดูมีอำนาจมากขึ้น โดยรวมแล้วแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรมีรูปร่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
ชิงสุ่ยรู้สึกว่าพัฒนาการของแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรในครั้งนี้มีความสัญมาก ดูเหมือนว่าในอนาคตมันจะสามารถสู้เคียงข้างมังกรไอยราเกล็ดทองคำและวิหคเพลิงได้เป็นอย่างดี
ชิงสุ่ยแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้เห็นความสามาถของแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรที่ถูกพัฒนาขึ้น
อสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียร!
“หืม ชื่อของมันได้เปลี่ยนไปแล้ว!” ชิงสุ่ยพูดออกมาอย่างประหลาดใจ
หลังจากที่ได้เห็นชื่อของมัน ชิงสุ่ยหันกลับไปมองแมงมุมในร่างยักษ์อีกครั้ง เศียรสีทองตรงกลางของมันไม่เพียงแค่มีเขามังกรงอกออกมาเท่านั้น แต่ยังปรากฏรัศมีของมังกรออกมาจริงๆด้วย แน่นอนว่าเฉพาะเศียรตรงกลางนั่นที่ดูเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามมันดูแตกต่างไปจากของมังกรไอยราเกล็ดทองคำมากทีเดียว เศียรของอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรไม่ได้มีความอำมหิตดังเช่นมังกรไอยราเกล็ดทองคำ
หรืออาจเป็นเพราะอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรเป็นสัตว์อสูรตัวเมีย…
พลังทางกายภาพของมันมีสูงถึงเจ็ดหมื่นเมฆาหรือเทียบเท่าเจ็ดสุริยา ซึ่งยังคงดูไม่เยอะเมื่อเทียบกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำและวิหคเพลิง อย่างไรก็ตามตัวของอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรเองเป็นสัตว์อสูรสายควบคุม
จุดปราณห้ากำเนิด: วิชาของแมงมุมอสูรห้าเศียร เพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพห้าสิบเท่า
ความเปลี่ยนแปลงของจุดปราณห้ากำเนิดทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจ เขาคาดหวังว่ามันจะดีขึ้นแต่ไม่คิดว่าจะมากถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าเศียรมังกรนั่นจะส่งผลอย่างมากเลยทีเดียว ในตอนนี้ระดับของมันอาจะเทียบเคียงวิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำได้อย่างง่ายดาย
ใยแมงมุมพิษกัดกร่อน: การโจมตีด้วยใยทั้งหมดของแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรจะเป็นพิษและมีความเหนียวเหนอะหนะ ใยของมันมีความแข็งแกร่งจนยากแม้จะตัดด้วยคมมีด ความเสียหายที่ได้รับจากพิษจะถูกเพิ่มเป็นสามเท่าจากความเสียหายเดิม
เส้นใยพิษพันธนาการ: แมงมุมอสูรเจ็ดเศียรสามารถยิงใยพิษออกไปจากตัวของมัน ระยะของการโจมตีสามพันเมตรและการโจมตีทำให้เป้าหมายถูกพัวพันไว้ อีกทั้งมีความเร็วสูงและสภาพเป็นพิษเหนียว พลังโจมตีสูงถึงห้าเท่าจากตัวของมัน
สองวิชานี้ไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ระยะของเส้นใยพิษพันธนาการถูกเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งพันเมตรซึ่งทำให้ควบคุมได้ง่ายขึ้น
ฝูงแมงมุมจู่โจม: ความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของสัตว์อสูรราชันย์ สามารถควบคุมสัตว์อสูรหลายตัวให้โจมตีประสานกัน ความสามารถนี้จะปรากฏขึ้นเมื่อเป็นแมงมุมอสูรหกเศียร และเพิ่มโอกาสให้แมงมุมดุดร้ายยิ่งขึ้น
มีความเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อยในวิชานี้ แต่ชิงสุ่ยไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ถึงอย่างนั้นเขามีความรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและสามารถช่วยเหลือเขาได้ในอนาคต
แมงมุมชักใยจู่โจม: ความสามารถติดตัว ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างถาวรสิบห้าเท่า
แมงมุมชักใยจู่โจมมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นจากสิบเท่าเป็นสิบห้าเท่า และยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นความสามารถติดตัวไม่ต้องใช้ออก นั่นทำให้ชิงสุ่ยพอใจมาก
ขาแห่งราชันย์แมงมุม: ขาทั้งแปดของแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรมีความคม ซึ่งมันมีสภาพเป็นพิษและมีความสามารถในการทะลุทะลวง
เปลือกแห่งราชันย์แมงมุม: เพิ่มความสามารถในการป้องกันของแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรถึงขีดสุด
เศียรแห่งอสูรแมงมุมมังกร: ความสามารถติดตัว ช่วยเพิ่มความเหนียวของขาแห่งราชันย์แมงมุมของแมงมุมอสูรเจ็ดเศียร, รวมถึงความแข็งแรง, ความหนืด, และสภาพเป็นพิษ ของใยขึ้นห้าเท่า…นอกจากนี้ยังเพิ่มความสามารถในการโจมตี, ความอดทน,และความสามารถในการเอาตัวรอดอีกด้วย
ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก วิชาสุดท้ายที่ปรากฏเพิ่มขึ้นมาคือ เศียรแห่งอสูรแมงมุมมังกร ทำให้ความสามารถของความแข็งแรง, ความหนืด, และสภาพเป็นพิษถูกเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดความสามารถในการโจมตีถูกเพิ่มขึ้นสองเท่า พลังโจมตีเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสัตว์อสูรสายควบคุม ด้วยพลังที่เหมาะสมความสามาถในการควบคุมจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า แม้ว่าใยของอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรจะสามารถตรึงฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ได้ แต่ถ้าหากมีพลังที่ด้อยจนเกินไป ศัตรูก็จะสามารถหนีออกไปได้ ถึงศัตรูจะไม่พยายามดึงมันออก ก็ยังคงหนีออกไปได้อยู่ดี ดังนั้นความสามารถในการควบคุมจะไร้ประสิทธิภาพถ้ามีพลังน้อยเกินไป
พลังโจมตีสูงสุดของอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรอภายใต้วิชาเศียรแห่งอสูรแมงมุมมังกรในตอนนี้ มีพลังสูงถึง 3000 สุริยา ความสามรถในการควบคุมของมันจะยิ่งน่ากลัวขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสภาพเป็นพิษและเหล่าลูกสมุน รวมถึงความสามารถในการฆ่าในตอนนี้ถือว่าน่ากลัวมาก
อสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรรู้สึกมีความสุขชิงสุ่ยรับรู้ได้จากการสื่อสารกับมัน เสียงของมันเป็นเหมือนกับเสียงของผู้หญิงแม้ว่าจะฟังดูแข็งกระด้างและไม่คุ้นหูอยู่บ้างก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความเป็นเอกลักษณ์และยากต่อการลืมเลือน เทียบกันแล้วเสียงของมังกรไอยราเกล็ดทองคำมีความเป็นเอกลักษณ์กว่า
ในตอนนี้ชิงสุ่ยหันไปมองอสูรอัสนีคลั่งบ้าง รูปร่างภายนอกของมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ขนาดของลำตัวมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างน้อยๆหนึ่งในสามส่วน
ขณะนี้สัตว์อสูรของชิงสุ่ยล้วนมีขนาดไล่เลี่ยกันอยู่ที่กว่าสองร้อยเมตรหรือเล็กกว่านี้เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อวิหคเพลิงกางปีกของมันออก ดูเหมือนจะปกปิดท้องฟ้าได้มิดชิดเลยทีเดียว
พลังทางกายภาพของอสูรอัสนีคลั่งอยู่ที่สีหมื่นเมฆาหรือเทียบเท่าสี่สุริยา แม้ว่ามันจะเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุด ชิงสุ่ยยังคงรู้สึกดีใจ เพราะความสามารถในการควบคุมของอสูรอัสนีคลั่งยิ่งกว่าทรงพลังเสียอีก นอกเหนือจากนั้นการที่พลังของมันถูกเพิ่มจากหนึ่งสุริยาเป็นสี่สุริยาถือว่าตัวมันทรงพลังขึ้นมาก
ปราการอัสนีพยุราช: ความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของอสูรอัสนีคลั่ง ทำให้ความสามารถทั้งหมดถูกเพิ่มขึ้นสามสิบเท่า ไม่ต้องเสียพลังงานในการใช้งานและถูกใช้ออกด้วยตัวเอง ถ้าถูกโจมตีด้วยพลังทางกายภาพจะมีโอกาสทำให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นอัมพาตและในเวลาเดียวกันจะลดพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามลงสองในสิบส่วน
ความสามารถของปราการอัสนีพยุราชถูกเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่าสองเท่า พลังของโลหิตแก่นแท้อสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถถูกมองข้ามไปได้เลยจริงๆ ดูเหมือนว่าโลหิตแก่นแท้อันนี้จะเป็นของมังกรผู้ยิ่งใหญ่
อัสนีกัมปนาท: ปล่อยกระแสไฟฟ้าออกจากตัว มีพลังโจมตีเป็นสี่เท่าของตัวมันเองและมีระยะการใช้งานสามพันเมตร การโจมตีนี้ส่งผลให้เกิดอัมพาตได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังลดความเร็วและปฏิกิริยาตอบโต้ของฝ่ายตรงข้ามลง ความสามารถนี้สามารถทับซ้อนได้ อัสนีกัมปนาทใช้พลังหนึ่งในสิบส่วนของการโจมตีธรรมดาทั่วไป
ความสามารถของมันถูกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอีกครั้ง และระยะการใช้พลังก็ถูกเพิ่มกว่าพันเมตร ความสามารถในการควบคุมของมันถูกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงในวิชา อัสนีจู่โจม,อัสนีหวนคืน รวมถึงเกราะอัสนีปัมปนาถ
อัสนีต่อเนื่องกำราบมาร: ปล่อยอัสนีจู่โจมออกมาเป็นวงกว้าง.เมื่อโจมตีโดนศัตรูจะทำให้เกิดโอกาสเป็นอัมพาต! พลังโจมตีเป็นสามเท่าของพลังโจมตีปกติ !
พลังในการโจมตีถูกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย รวมถึงความสารถในการโจมตีเป็นวงกว้าง
อัสนีจรัสแสง: ความสามารถติดตัว เพิ่มความเร็วให้กับตัวเองสิบสองเท่า!
ความเร็วของมันถูกเพิ่มขึ้นสูงมาก!
ความเร็วเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สัตว์อสูรสายควบคุมสามารถเอาชีวิตรอดได้
ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับทักษะผสานทลาย ชิงสุ่ยไม่แปลกใจนัก
อัสนีพิโรธ: ความสามารถติดตัว เพิ่มพลังโจมตีให้กับอัสนีกัมปนาทและอัสนีจู่โจมเป็นสามเท่า!
เมื่อเห็นความสามารถของอัสนีพิโรธในตอนท้ายสุด ชิงสุ่ยถึงกับยิ้มออกมา ตรงกับชื่อวิชาของมันเลยซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการโจมตีให้กับอสูรอัสนีคลั่ง ในตอนนี้แม้แต่ตัวอสูรอัสนีคลั่งก็ยังมีพลังโจมตีกว่าสองพันสี่ร้อยสุริยา นี่เป็นวิชาที่สำคัญที่สุดของอสูรอัสนีคลั่งที่อยู่ในสายควบคุม
ชิงสุ่ยกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เขาหวังว่าตะเกียงร้อยวิญญาณและกลองสะบั้นสวรรค์จะถูกพัฒนาขึ้นในเร็ววัน เมื่อมันเกิดถูกพัฒนาแล้ว เขาจะกลายมาเป็นผู้นำแห่งมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ไม่ต้องสนว่าสองอัจริยะแห่งนิกายปฐพีซอนเร้นจะแข็งแกร่งเพียงใด ชิงสุ่ยจะไม่มีความกังวลและมีความมั่นใจในการจัดการพวกเขา
หยกผสานวิญญาณก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน เขารู้สึกเสียใจที่สองสิ่งที่เขาต้องการนั้นยังไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้ และยังไม่รู้เช่นกันว่าต้องใช้วิธีใด
ฝึกยุทธ,ปรุงยา วาดรูป… สูตรการปรุงยาของน้ำหอมมรกตทองคำกำลังจะปรากฏขึ้นในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยไม่ได้คาดหวังกับมันมากนัก ในตอนแรกเขารู้สึกว่ายาเม็ดเทพโอสถที่ตนเองครอบครองอยู่ทรงพลังมาก แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าข้อจำกัดของพวกมันก็มีอยู่มากเช่นกัน อย่างไรก็ตามถ้าเขาสามารถปรับปรุงยาเม็ดเทพโอสถเหล่านี้ได้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการปรุงยาของเขา นอกเหนือจากนี้เขายังหวังว่าจะได้รับยาเม็ดเทพโอสถในตำนานที่จะช่วยฟื้นชีวิตจากความตายได้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามีอยู่จริงหรือไม่
เช้าวันรุ่งขึ้น ชิงสุ่ยตื่นแต่เช้าตรู่และออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ อย่างไรก็ตามเขาออกมาก่อนช่วงเวลานัดหมาย จึงใช้เวลาเหล่านั้นฝึกวิชานิดหน่อย หลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวทั้งสองก็ได้ตามมา
อาหารเช้าถูกเตรียมไว้เรียบร้อยโดยชิงสุ่ยและแน่นอนมันมีรสชาตดีมาก อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะลงมือทานอาหาร ชิงสุ่ยสัมผัสได้ถึงการรับรู้ทางจิตวิญญาณของใครบางคนที่เพ่งเล็งมายังตัวเขา การรับรู้ทางจิตวิญญาณในครั้งนี้ไม่เหมือนของมนุษย์และมีความพิศวงเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่ามันจะถูกเพ่งเล็งมาอย่างเฉพาะเจาะจง แต่เขารู้ดีว่ามันมีระยะห่างไกลออกไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้ว่าการรับรู้ทางจิตวิญญาณมีความผิดปกติ ถ้าเขาคาดการณ์ไม่ผิด มันต้องเป็นของสัตว์อสูรสักตัวอย่างแน่นอน
ชิงสุ่ยไม่มั่นใจว่าเขาจะทานอาหารจนหมดมื้อได้หรือไม่ แต่ก็ยังคงทานต่อไปพร้อมกับหญิงสาวทั้งสอง
เขาสงสัยเหลือเกินว่าใครกันที่ต้องการจะติดต่อกับเขา?
ปกติเขามีเรื่องกับผู้คนไปทั่ว แต่ในครั้งนี้คงมีเพียงสิ่งเดียวที่ก่อปัญหาให้กับเขา
นิกายปฐพีซ่อนเร้น!
แม้ว่าชิงสุ่ยจะทราบดีเรื่องชื่อเสียงของนิกายปฐพีซ่อนเร้นในความเกี่ยวของกับชนป่าเถื่อน แต่เขาไม่ได้รู้สึกกังวลแต่อย่างใด
บทที่ 1287 – หลี่ซือไถ, สมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์, จ้าวอสรพิษ
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าวันเช่นนี้ต้องมาถึง เป็นเพราะเขาได้สังหารชายแซ่หลี่ไปก่อนหน้า ตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลในนิกายปฐพีซ่อนเร้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำของนิกายยังเป็นคนจากตระกูลหลี่เช่นกัน
ชิงสุ่ยโคจรพลังปราณทั่วทั้งร่างกายเพื่อขจัดการการรับรู้ทางวิญญาณที่เพ่งเล็งมายังเขา ด้วยวิธีนี้เขาคิดว่าคงจะพอยื้อให้จบมื้อเช้าได้
ชิงสุ่ยโดนเพ่งเล็งจากการรับรู้ทางจิตวิญญาณ หลังจากใช้ความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าข้อสรุปเดียวที่ได้คงเกิดจากการสังหารชายแซ่หลี่ผู้นั้น ชายผู้นั้นคงแฝงตราประทับบางอย่างไว้บนตัวของเขา ซึ่งมันคงแลกมาด้วยชีวิตและนิกายปฐพีซ่อนเร้นมีวิธีของมันในการติดตามตราประทับบนตัวชิงสุ่ย
หลังจากขจัดการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่เพ่งเล็งมายังตัวเขาได้ มันใช้เวลาไม่นานนักเพื่อที่จะเพ่งเล็งมาอีกครั้ง ตราประทับที่แลกมาด้วยชีวิตของบุคคลไม่ใช่สิ่งที่สามารถกำจัดออกได้ง่ายดายนัก อย่างไรก็ตามในตอนนี้เรากำลังถึงกล่าวถึงตัวชิงสุ่ยอยู่ ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปก็คงโดนตรานั่นก่อกวน หรืออาจจะเป็นบ้าจากการครอบงำไปแล้ว ซึ่งคงถามหาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้เลย แต่ตัวของชิงสุ่ยเองมีพลังวิญญาณที่ทรงพลัง เขาจึงไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้
เป็นเช่นที่คิดไว้ ทั้งสามคนทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น หลังจากนั้นพวกเขาเดินออกจากห้องตรงไปทางลานบ้าน ในเวลานั้นเอง พวกเขาสังเกตุเห็นจุดสีดำๆกว่าสิบจุดหมุนวนอยู่ไกลๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจุดเหล่านั้นกำลังบินวนรอบๆตัวพวกเขา
เมื่อชิงสุ่ยเดินออกมา เขารับรู้ถงการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่เพ่งเล็งมาทางเขาอีกครั้ง เขามองไปยังหญิงสาวทั้งสอง “กลับไปที่ห้องของพวกเจ้าหรือไม่ก็รอข้าอยู่ที่นี่”
เมื่อกล่าวจบ เขาทะยานขึ้นกลางอากาศมุ่งตรงออกไป เขาพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะบริเวณคฤหาสถ์ ในอีกฝั่งหนึ่ง หญิงสาวทั้งสองยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนและไม่ได้ติดตามชิงสุ่ยออกไป
มันเป็นช่วงเวลาเช้าแก่ๆ อากาศยังคงสดชื่นอีกทั้งสภาพอากาศที่แจ่มใส แต่เป็นเพราะสัตว์อสูรกว่าสิบตัวบนท้องฟ้าทำให้มีความรู้สึกอัดอัดเล็กน้อยราวกับมีก้อนเมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า
ชิงสุ่ยประเมินฝ่ายศัตรูคร่าวๆผ่านสายตา เขายืนยันได้ว่าคนพวกนั้นเป็นบุคคลจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นเพราะพวกเขาใส่ชุดในรูปแบบเดียวกัน แต่พวกเขาทุกคนล้วนดูเหมือนบุคคลทั่วไปราวกับว่าไม่ได้สืบสายเลือดมาจากเผ่าอสูรโลหิต
ณ เวลานี้ ชายชราสามคนพุ่งออกมาข้างหน้า พวกเขาทุกคนล้วนดูมีบารมีพร้อมท่าทีแปลกประหลาดและท่าทีขมขู่ เมื่อผู้คนได้รับพลังเช่นนี้ต่างล้วนถูกขัดเกลาและมีรูปร่างดังกล่าว น้อยคนนักที่มีท่าทีเช่นคนเลว ซึ่งในความจริงแล้วเป็นเรื่องยากที่จะแบ่งแยกระหว่างคนดีและคนเลว ผู้ชนะเท่านั้นที่ได้ปกครองเสมอ ไม่มีใครสนหรอกว่าราชาของพวกเขาจะมาจากตระกูลใด ราชวงศ์ใด หรือนิกายใด สิ่งที่ผู้คนต้องการจริงๆคือผู้ที่สามารถทำให้พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขได้
“เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงต้องสังหารผู้คนของนิกายปฐพีซ่อนเร้น?” ชายชราคนกลางเปี่ยมไปด้วยสายตาที่เย็นชาและร่างกายที่ตรงดั่งด้ามพู่กัน ร่างกายที่สูงผอมทำให้รู้สึกอันตรายเช่นเดียวกับลูกศรที่อาบยาพิษ
“ข้าไม่รู้จักนิกายปฐพีซ่อนเร้นและข้าสังหารผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน ข้าไม่สนหรอกว่าคนที่สมควรตายนั่นมันคือผู้ใด” ชิงสุ่ยกล่าวยั่วยุให้ชายชราโมโห
“น่าประทับใจจริงๆ เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าช่างยโสโอหังเหลือเกิน เจ้าคิดหรือว่าจะทำอะไรก็ได้เมื่อเป็นศิษย์ของสถาบันสวรรค์เร้นลับ? น่าขำยิ่งนัก แม้นว่าเจ้าจะเป็นผู้นำแห่งสถาบันสวรรค์เร้นลับ ข้าก็ไม่ลังเลเลยที่จะลงมือสังหารเจ้า” ชายชรากล่าวโดยปราศจากความลังเล
ตอนนี้ชิงสุ่ยเขาใจทุกอย่างแล้ว นิกายปฐพีซ่อนเร้นกำลังวางแผนทำการใหญ่ นอกจากนี้พวกมันยังวางแผนเล่นงานสถาบันสวรรค์เร้นลับอีกด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่รบกวนใจเขาในตอนนี้คือนิกายปฐพีซ่อนเร้นทรงพลังเพียงใด?
ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปยังชายชรา “เช่นนั้นเจ้าต้องการสังหารผู้นำแห่งสถาบันสวรรค์เร้นลับสินะ เจ้าคิดหรือว่าด้วยพลังแปดพันสุริยาของเจ้าจะไร้เทียมทาน”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของชิงสุ่ย ความประหลาดใจปรากฏขึ้นมาบนดวงตัวของชายชรา เขาเพ่งสายตามองไปยังชิงสุ่ย “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้ถึงพลังของข้าได้อย่างไร แม้ว่าพลังแปดพันสุริยาจะไม่ได้เหนือสุดในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก แต่มันคงเพียงพอที่จะสังหารเจ้าได้ พลังของสถาบันสวรรค์เร้นลับนั้นด้อยกว่าข้านัก และยังมีผู้คนมากมายในนิกายปฐพีซ่อนเร้นที่แข็งแกร่งกว่าข้า”
ชิงสุ่ยไม่คิดว่าผู้คนในนิกายปฐพีซ่อนเร้นจะแข็งแกร่งมากไปกว่านี้ ทั้งหมดคงเป็นเพราะพวกเขาต้องการสร้างความกดดันให้กับสถาบันสวรรค์เร้นลับ ชายชราอีกสองคนที่ยื่นอยู่ข้างๆล้วนมีพลังราวๆเจ็ดพันสุริยา
ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่ได้รู้สึกกลัวเลย เขาเพียงคิดว่าจะประมาทไม่ได้ สัตว์อสูรของเขาคงเพียงพอต่อการสู่กับชายชราทั้งสาม ชิงสุ่ยรู้สึกมั่นใจแต่มันคงต้องใช้เวลาสักหน่อย
“เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการที่นิกายปฐพีซ่อนเร้นต้องการพิชิตทั่วทั้งมหาทวีปอู่เซียตะวันตก และดูเหมือนว่าพวกเจ้าต้องการเริ่มต้นที่สถาบันสวรรค์เร้นลับสินะ ช่างน่าเศร้าจริงๆ…” ชิงสุ่ยส่ายหัวและกล่าวออกมา
“ฮึ มีอะไรที่ข้าต้องเศร้า” ชายชราถึงกับต้องตกใจเมื่อชิงสุ่ยทราบถึงเจตนาที่แท้จริงของนิกายปฐพีซ่อนเร้น
“โชคร้ายเสียจริง พวกนิกายปฐพีซ่อนเร้นช่างโง่เขลา”
“เจ้าเด็กเหลือขอ เช่นนั้นพวกข้าจะเริ่มจากจัดการเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ชายชราไม่กล่าวอะไรให้มากความและพุ่งตรงเข้าหาชิงสุ่ย ในมือของเขาถือหอกอสรพิษที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่น่ากลัว ชายชราใช้มันออกราวกับงูที่ดุร้าย
เกราะอสูรสำแดง!
ทักษะย่างก้าวเก้าเทวา!
ชิงสุ่ยหลบเลี่ยงการโจมตีอย่างใจเย็น ชายชราผู้นั้นทรงพลังยิ่งนัก เขาไม่ต้องการปะทะตรงๆกับชายชรา เมื่อเขาเรียกใช้เกราะอสูรสำแดงแล้วก็เป็นเรื่องง่ายที่จะปัดป้องการโจมตี
ชิงสุ่ยคอยปัดป้องการโจมตีไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันชายชรารับรู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิด ชิงสุ่ยเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมา เมื่อพวกเขาได้เริ่มการต่อสู้ขึ้นแล้ว หลังจากนี้จถือเป็นการต่อสู่ที่แท้จริง
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าตัวเขาและนิกายปฐพีซ่อนเร้นไม่ถูกกันอยู่แล้ว ดังนั้นเขาควรจะข่มอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน
วชิระสยบอสูร! ปราณจักรพรรดิ!
วิหคเพลิง!
อสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียร!
อสูรอัสนีคลั่ง!
ชิงสุ่ยกวาดมือพร้อมกับเรียกสัตว์อสูรของเขาออกมา หลังจากที่ถูกลดพลังต่อสู้ ชายชราที่อยู่ตรงกลางต้องถอยกลับด้วยพลังที่เหลือไม่ถึงหกพันสุริยา ชายชราสองคนที่เหลือเช่นกันพวกเขาเหลือพลังเพียงห้าพันสุริยา ในเวลานี้พวกเขากำลังตกที่นั่งลำบาก ก่อนที่จะตระหนักได้ถึงความต่างของระดับพลังชิงสุ่ยได้โจมตีออกด้วยสัตว์อสูรเสียแล้ว
ตามด้วยการใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์จากชิงสุ่ย
แต่โชคไม่ดี เขาไม่ได้รับโอกาสที่จะสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นสองเท่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาสามารถผลักชายชราที่อยู่ตรงกลางกลับไปได้ มังกรไอยราเกล็ดทองคำประสานการโจมตีกับชิงสุ่ยและใช้วิชาก้าวพสุธามังกรไอยรา หลังจากนั้นตามด้วยวิชาปราณกระบี่วชิระ
ส่วนอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรเรียกเหล่าลูกสมุนออกมาและไล่จัดการพวกที่ล้อมรอบเอาไว้ ความเร็วในการจัดการกับคนพวกนั้นทำให้ชายชราทั้งสามถึงกับต้องกระอักเลือดออกมา เป็นเพราะทั้งหมดถือเป็นยอดฝีมือของพวกเขา
และทางอสูรอัสนีคลั่งใช้อัสนีกัมปนาทโจมตีชราชราทั้งสามจากระยะไกล ชิงสุ่ยมอบหน้าที่ให้มันคอยจัดการกับชายชราคนที่อ่อนแอที่สุด วิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำจัดการกับชายอีกคนที่เหลือ ในตอนนี้วิหคเพลิงมีพลังป้องกันที่น่าสะพรึงกลัว แม้แต่ชายชราที่ยืนอยู่ตรงกลางก้ไม่สามารถฆ่ามันได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แม้เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้นในชั่วเวลาเพียงอึดใจ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อผู้คนจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นจะไม่สามารถถูกลบออกไปอย่างง่ายดาย ในความเป็นจริงแล้วผู้คนกว่าครึ่งหนึ่งของพวกเขาได้ถูกลบหายไปก่อนที่จะรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ
หลังจากที่การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น ชิงสุ่ยตระหนักดีว่า ด้วยสัตว์อสูรทั้งหมดของเขาทำให้เขาไม่ต้องกดดันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจากนิกายปฐพีซ่อนเร้น แม้ว่าพวกเขาทั้งสามคนจะครอบครองพลังกว่าเจ็ดพันถึงแปดพันสุริยา
นอกเหนือจากนี้ เขายังไม่ได้ผสานพลังกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำเสียด้วยซ่้ำ หากว่าเขาผสานพลังกับมันแล้ว ชิงสุ่ยคงสามารถจัดการกับศัตรูได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย
ในเวลาเพียงไม่นาน ผู้คนที่เหลืออยู่มีเพียงชายชราทั้งสามเท่านั้น เป็นเพราะระดับพลังของผู้คนพวกนั้นทำให้อสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรสังหารพวกมันทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย โดยทั้งหมดล้วนถูกสังหารด้วยพิษของแมงมุม
“ข้าคือหลี่ซือไถ มาทำข้อตกลงกันเถอะ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
ชายชราคนกลางรู้ดีว่าพวกเขาอาจได้รับความตายหากยังดึงดันสู้ต่อไป ในขณะนั้นชิงสุ่ยรู้สึกไม่พอใจ เขาใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ออกกว่าสิบห้าครั้ง ไม่มีใครใดเลยที่ได้รับพลังโจมตีเพิ่มเป็นสองเท่า และเมื่อเขาได้ยินคำกล่าวจากชายชรา เขาเผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย็นชา “พวกเจ้าเพิ่งปริปากต่อรองเมื่อกำลังพบกับความตายสินะ ถ้าเพียงต้องการให้ข้าไว้ชีวิต พวกเจ้าฝันไปเสียเถอะ”.
“ข้าไม่เคยร้องขอชีวิตจากผู้ใด เพียงแต่ก่อนที่ข้าจะตาย เจ้าพอจะตอบคำถามข้าสักสองสามข้อได้หรือไม่” ชายชรากล่าวอย่างหนักแน่น
“พวกเจ้าต้องการยื้อเวลาเพื่อรอกำลังเสริมสินะ” ชิงสุ่ยขมวดคิ้วและมองไปยังชายชรา
“เจ้ากำลังสงสัยว่าว่าพวกเรากำลังเรียกพรรคพวกงั้นหรือ?”
“ไร้สาระ เจ้าคิดว่าสถาบันสวรรค์เร้นลับต้องกลัวคนเช่นพวกเจ้างั้นหรือ? สิ่งที่พวกเจ้าทำได้คงมีเพียงรุกรานนิกายอื่นๆเท่านั้น” ชิงสุ่ยมองพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นคนโง่
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะเริ่มต้นกันได้แย่มาก ดูเหมือนว่าแผนการในการยึดครองนิกายในพื้นที่เป็นจุดหลบซ่อนจะไม่ได้ผลเสียแล้ว”หลี่ซือไถถอนหายใจออก เขาสูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้ไปแล้ว
อ๊าาก!
ชายชราคนที่อ่อนแอที่สุดถูกอัสนีจู่โจมอย่างต่อเนื่องจนเสียชีวิต ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเขาทำได้เพียงกรีดร้องออกมาเท่านั้น
“เจ้าหนุ่ม เจ้าถือว่าเป็นศัตรูที่น่ากลัว ด้วยพลังของเจ้านั้นไม่ได้ด้อยไปกว่านายน้อยของพวกข้าเลย เพราะฉะนั้น เจ้าต้องตาย”
สมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์!
ชายชราเปล่งเสียงร้องดังออกมา
ชายชราในร่างผอมมีส่วนสูงที่ยืดขึ้นกว่าหนึ่งเมตร ร่างกายและหนวดของเขาเปรียบเสมือนกับต้นสน ร่างกายทั้งหมดของเขาถูกย้อมไปด้วยสีดำและถูกโอบล้อมด้วยอสรพิษทมิฬ ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตเขาสามารถมองเห็นทุกอย่างข้างล่างได้
ในตอนนี้ ชิงสุ่ยได้ขยายขอบเขตพลังออกอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขากำลังเผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งจากชนป่าเถือน ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าร่างกายของผู้คนจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นจะสืบเชื้อสายมาจากเผ่าอสูรโลหิต
สมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติของนิกายปฐพีซ่อนเร้นและชนป่าเถื่อน พวกมันสามารถปลุกความเป็นสัตว์อสูรจากเกราะอสูรสำแดงออกมาได้ มีเพียงผู้คนจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นและคนสำคัญจากเผ่าอสูรโลหิตเท่านั้นที่จะได้เรียนรู้วิชานี้ แต่หลังจากใช้พลังนี้แล้วพวกเขาจะอ่อนแอลงเป็นเวลาหนึ่งเดือน “ในวันนี้ข้าจะแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์” ชายชราซึ่งไม่สามารถขยับไปไหนได้กล่าวออกมา ในตอนนี้สิ่งที่เดียวที่เขาตั้งใจจะทำคือการสังหารชิงสุ่ย
แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ชิงสุ่ยยังคงรู้สึกเพียงตกใจเล็กน้อยเท่านั้น ชายชราและอสรพิษทมิฬได้ผสานเข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว พลังโดยรวมของพวกเขาถูกเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จากเดิมพลังหกพันสุริยาถูกเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งหมื่นหนึ่งพันสุริยาเลยทีเดียว
สมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นวิชาที่อันตรายอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรู้ดีว่ามันมีความเกี่ยวของกับเกราะอสูรสำแดง ในตอนนี้ร่างของชายชราทรงพลังอย่างมาก ราวกับว่าทั่วทั้งร่างกายถูกติดอยู่กับงูดำยักษ์ หมอกดำที่แผ่อยู่รอบๆเริ่มกระจายออกทั่วทิศ เมื่อสูบมันเข้าไปจะทำให้วิงเวียนและสับสน
จ้าวอสรพิษ!
ไม่ต้องสงสัยเลย มันต้องรุนแรงอย่างแน่นอน! อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยมีวิชาสำหรับต่อต้านพิษโดยเฉพาะ เขาเริ่มใช้งานเขตแดนแห่งราชันย์
เขตแดนแห่งราชันย์!
มีรังสีสีขาวบริสุทธิ์กระจายออกมารอบๆตัวของชิงสุ่ยโดยมีเขาเป็นแกนกลาง เมื่อสัมผัสเขากับหมอกสีดำพวกมันก็จางหายไปในทันที อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจก็คือหมอกดำนั่นมีพลังพิษที่รุนแรงอย่างน่าเหลือเชื่อมันถึงกับสามารถหักล้างกับเขตแดนแห่งราชันย์ได้ แม้ว่าเขตแดนแห่งราชันย์ของชิงสุ่ยจะไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมากแต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้น ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าพิษของฝ่ายศัตรูมีความรุนแรงมากเกินไป
พิษทั้งหมดได้หยุดลงอยู่ประมาณสองเมตรรอบๆตัวเขา ชิงสุ่ยไม่สามารถขยับไปข้างหน้าได้ แสดงให้เห็นว่าพลังธรรมชาติรอบๆตัวชิงสุ่ยไม่ใช้สิ่งที่จะถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้านี่ช่างมีพลังที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ แต่ในวันนี้เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน ”
ลมกรดสังหาร!
จ้าวอสรพิษห้อมล้อมชิงสุ่ยไว้ราวกับมันเป็นพายุ ชั้นของพิษที่ปรากฏให้เห็นได้ทั่วทั้งร่างกายของชายชรา มันหมุนวนเขาผสานกับจ้าวอสรพิษเพือเพิ่มพลังทำลายล้าง แม้กระทั่งตัวชิงสุ่ยเองก็ต้องรู้สึกมึนงงเมื่อเจอมันเข้าไป
พิษ พวกมันเป็นพิษ ชิงสุ่ยไม่กล้าตอบโต้เพราะการรับรู้ทางจิตวิญญาณโดนจำกัดเอาไว้ ย้อนกลับไปก่อนหน้าคงเป็นเจ้าสิ่งนี้แหละที่เพ่งเล็งการรับรู้จิตวิญญาณมายังตัวเขา
บทที่ 1288 – หมูป่านักล่าสมบัติ แขนที่หัก เจ้าไม่อาจฝึกฝนได้
ก่อนหน้านี้เมื่อเขาได้จับตาดูมันด้วยการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขา ครึ่งหนึ่งของสัตว์อสูรเวหาฝูงใหญ่พวกนี้ได้บาดเจ็บหรือตายลง ในตอนนี้ชิงสุ่ยยังไม่ทราบว่าการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่กำลังจับตามองเขาอยู่นั้นมาจากไหน แต่ในตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันมาจากจ้าวอสรพิษ!
เมื่อจ้าวอสรพิษที่พุ่งตรงมาหาเขาพร้อมกับพิษร้ายของมัน ชิงสุ่ยก็รีบเรียกหุบเขา 9 เทวาออกมาทันที
ในตอนนี้พลังโจมตีของหุบเขา 9 เทวานั้นมากยิ่งกว่า 4,400 สุริยา แม้ว่ามันจะยังถือว่าห่างจากพลังของจ้าวอสรพิษอยู่มาก ชิงสุ่ยก็ยังคงมีเคล็ดวิชาอื่นๆที่เขาซ่อนเร้นเอาไว้
เขาสะบัดมือขวาของเขาอีกครั้ง
กระบองวชิระอสูรอรหันต์ ท่วงท่าที่4 ห้าคลื่นทะยาน!
ชิงสุ่ยไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใดเมื่อเขาได้เห็นแรงกดดันจากจ้าวอสรพิษ เขาเปิดใช้งานเขตแดนแห่งราชันย์และพลังธรรมชาติของตนเองจนถึงขีดสุด แม้ว่าพลังธรรมชาติและสงบนิ่งดังภูผาจะถูกรวมเข้าด้วยกันกับก้อนเมล็ดเจ็ดสี มันก็ไม่ได้มีผลเสียใดๆ
ในตอนที่จ้าวอสรพิษและหุบเขา 9 เทวาได้พุ่งเข้าปะทะกัน กระบองวชิระอสูรอรหันต์ของชิงสุ่ยก็ได้พุ่งเข้าไปพร้อมกับหุบเขา 9 เทวา กระบองทองคำอันมหึมานี้ทำให้ทั่วท้องฟ้าสว่างไสวยิ่งนัก
ตู้ม……
เสียงระเบิดดังขึ้นและทำให้ชิงสุ่ยต้องกระเด็นไป แม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งแต่เขาก็ไม่อาจป้องกันการเข้าปะทะของจ้าวอสรพิษได้ หากไม่ใช่เพราะหุบเขา 9 เทวาที่ทรงพลัง ร่างกายของเขากว่าจะถูกฉีกเป็นชิ้นชิ้นได้ หรือไม่งั้นเขาก็อาจถูกมันกลืนลงท้องไปเลยก็ได้
ร่างกายของจ้าวอสรพิษก็หยุดนิ่งลงจากการกระทำครั้งนี้ แต่หลังจากนั้นมันก็เคลื่อนที่อีกครั้งและพุ่งตรงมายังเขา ดวงตาสีดำอันเปล่งประกายของมันจ้องมองตรงมาที่ชิงสุ่ยราวกับมีแสงสีดำสาดส่องลงมา
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของจ้าวอสรพิษนั้นคือพิษของมัน แต่จงอย่าประมาทมันในด้านอื่นๆทั้งความเร็วและพลังของมันนั้นก็ไม่อาจดูถูกได้ มันคือสัตว์อสูรแห่งพิษและในเวลาเดียวกันมันก็เป็นราชันย์สัตว์อสูรขนาดยักษ์ บนศีรษะของมันมีมงกุฎสีดำที่ดูทรงพลังวางอยู่บนนั้น
แหวนศิลาหยกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์!
เจตจำนงแห่งดวงใจ!
ชิงสุ่ยหลบการโจมตีจากพิษของมันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ใช้วชิระสยบอสูรและปราณจักรพรรดิของมังกรไอยราเกล็ดทองคำอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาได้ทำให้มันอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ปกติแล้วผลที่ทำให้ศัตรูอ่อนแอลงนี้ย่อมมีเวลาของมัน มันสามารถทำให้พลังของศัตรูลดลงไป 2,000 สุริยาได้ในทันที อย่างไรก็ตามมันก็ยังเหลือพลังอีกมากกว่า 9,000 สุริยา
แม้ว่าความต่างของพลังระหว่างเขากับมันจะถือว่ามากยิ่งนัก แต่ชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าเขาสามารถต่อกรกับมันได้ในตอนนี้
เป้ง!
ชิงสุ่ยเกือบจะหลงกลของมันจนไปสู่ความตาย โชคดีที่เขายังมีเกราะอสูรสำแดงและพลังธรรมชาติ เขารีบหลบการโจมตีของมันอย่างรวดเร็วและใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ออกมา
แม้ว่าหลังจากจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พลังลมปราณและโลหิตภายในร่างกายของชิงสุ่ยก็ยังคงพุ่งพล่าน แต่เขารู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ดวงดาวสีทองภายในทะเลแห่งปัญญาของเขาก็เป็นประกายขึ้นและหลังจากนั้นมันก็ได้ปลดปล่อยพลังที่ทำให้ความวิงเวียนของเขาได้สลายหายไปออกมา
ตราประทับซวนเทียน!
ตราประทับสีเงินขนาดใหญ่พุ่งตรงเข้าไปหาร่างกายของจ้าวอสรพิษ ในตอนนี้มังกรไอยราเกล็ดทองคำใช้ปราณกระบี่วชิระเพื่อโจมตีจ้าวอสรพิษ
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ความเร็วของมันลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด อสูรอัสนีคลั่งสวยโอกาสนี้และปลดปล่อยอัสนีกัมปนาทของมันออกมาทันที
ผนึกคลื่นเมฆาผกผัน!
วารีพันธนาการ!
ชิงสุ่ยได้คำนวณเรื่องพวกนี้เอาไว้ตั้งแต่ก่อนการต่อสู้แล้ว จ้าวอสรพิษนั้นมีสติปัญญาเหมือนกับมนุษย์ ชิงสุ่ยกลัวว่ามันจะไม่สนใจเขาและจะหันไปจัดการกับสัตว์อสูรของเขาแทน
อันที่จริงแล้วหลี่ ซือไถหนังสามารถกำจัดชิงสุ่ยได้อย่างรวดเร็วเมื่อเขาใช้สมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ของเขา ปกติแล้วเขาไม่ได้มีความกังวลใดๆกับสัตว์อสูรที่อยู่รอบๆตัวของเขาเลย เมื่อชิงสุ่ยตายไป มันย่อมเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะจัดการสัตว์อสูรด้วยตัวเขาเอง
ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์!
ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์!
ชิงสุ่ยใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ออกไป 2 ครั้งติดต่อกัน
จ้าวอสรพิษที่ได้สูญเสียความเร็วของมันไปนั้นย่อมเป็นภัยคุกคามต่อชิงสุ่ยได้น้อยลงไป ในขณะเดียวกันอสูรอัสนีคลั่งก็ฉวยโอกาสนี้โจมตีมาจากระยะไกลๆ มันใช้อัสนีกัมปนาทโจมตีไปยังจ้าวอสรพิษอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ หลี่ ซือไถไม่ได้แสดงท่าทีที่เป็นกังวลต่อการโจมตีของอัสนีกัมปนาทเลย แต่ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ผลของมันเมื่อเวลาผ่านไป น่าเสียดายที่เมื่อเขาได้รับรู้เรื่องนี้มันก็สายไปแล้ว
ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์!
ในที่สุดตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ของชิงสุ่ยก็ได้ประสบผลที่ทำให้มันเพิ่มพลังโจมตีขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเขาได้ใช้ออกไปในครั้งนี้ มันทำให้จ้าวอสรพิษต้องกระเด็นไปไกลและปล่อยเสียงร้องที่น่าขนลุกออกมา อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยนั้นก็สามารถสร้างอาการบาดเจ็บให้แก่มันได้
แม้ว่าพลังโจมตีที่ปลดปล่อยออกไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ความต่างของพลังระหว่างเขากับมันนั้นก็ยังคงมีอยู่ดี พลังกว่า 9,000 สุริยาได้เข้าปะทะกับพลังโจมตีของชิงสุ่ยที่มีประมาณ 12,000 สุริยา
ไม่ว่ายังไงมันก็ย่อมดีกว่าที่พลังโจมตีของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า พลังที่ระเบิดขึ้นมาในทันทีนี้ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าตนเองทรงพลังอย่างยิ่ง เขาหวังว่าเขาจะสามารถปลดปล่อยพลังเช่นนี้ได้โดยไม่ต้องรอโอกาสใดๆ
พลังที่ระเบิดขึ้นมาอย่างกะทันหันของชิงสุ่ยทำให้หลี่ ซือไถรู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่งและเขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย อสูรอัสนีคลั่งนั้นก็รอบคอบอย่างยิ่ง มันเลือกจังหวะได้ดียิ่งนักในการปลดปล่อยอัสนีกัมปนาทไปโจมตีจ้าวอสรพิษอย่างต่อเนื่อง
ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขาเห็นอาการตื่นตระหนกของจ้าวอสรพิษ “แม้ว่าเจ้าจะมีสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ยังคงต้องตายอยู่ดีๆ แต่ข้าสนใจสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าจริงๆ เจ้ามอบอำนาจให้ข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
มันเป็นเรื่องจริงที่ชิงสุ่ยรู้สึกสนใจในสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก แน่นอนว่าเขาสงสัยว่าศัตรูจะยอมมอบมันให้แก่เขาหรือไม่
“เช่นนั้นก็ดี มอบมันให้แก่เจ้าไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าจะปล่อยข้าไปเมื่อได้รับมันแล้ว?” หลี่ ซือไถถามคำถามนี้ซึ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อ
“เมื่อเจ้านำมันออกมา เจ้าก็มีโอกาสรอดตายแล้วอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำคือเชื่อในตัวข้า คำพูดของข้านั้นเชื่อถือได้เสมอ หากเจ้าไม่เชื่อข้า ก็มีเพียงหนทางเดียวกันกับเจ้านั่นก็คือความตาย” ชิงสุ่ยตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็ดี เราค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกครั้งเมื่อเจ้าทำให้ข้ามองเห็นความตายของตนเองได้!”
หลี่ ซือไถร้องตะโกนออกมา หลังจากนั้นจ้าวอสรพิษขนาดยักษ์ก็เริ่มบิดม้วนร่างกายของมันอย่างแปลกประหลาด จากนั้นมันก็คลายร่างกายของตัวเองและพุ่งเข้าไปหาชิงสุ่ย ร่างกายอันใหญ่โตของมันในตอนนี้รวดเร็วอย่างยิ่ง
ของเหลวสีดำพุ่งออกมาจากทั่วร่างกายของมันและเปล่งแสงแวววาวอย่างยิ่ง แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถบอกได้ว่ามันน่ากลัวมากยิ่งนัก สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้มันมีสีดำสนิท
เก้าเทวามิติผกผันฉับพลัน!
อัสนีจู่โจม!
เถาวัลย์อสูรกระหายเลือด!
ชิงสุ่ยใช้ทุกๆอย่างออกไปในทันที แม้ว่าตอนนี้เขาจะต้องการเวลาเล็กน้อยในการเปิดใช้งานเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดแต่แม้ว่ามันอยู่ภายใต้ผลของอัสนีจู่โจม เขาก็ยังสามารถปลดปล่อยมันออกไปได้
เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดขนาดยักษ์เข้าพัวพันกับจ้าวอสรพิษ ในขณะเดียวกันเพื่อความปลอดภัยอสูรแมงมุมมังกรเจ็ดเศียรก็ยิงใยแมงมุมพิษกัดกร่อนของมันออกมาหลายครั้งไปยังเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด
ซี่ ซี่!
จ้าวอสรพิษส่งเสียงที่น่าอนาถออกมา แต่เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะสังหารจ้าวอสรพิษได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อย่างไรก็ตามจ้าวอสรพิษก็ไม่อาจหลุดรอดจากการพันธนาการครั้งนี้ได้ ในทางกลับกันชายชราคนอื่นๆก็ได้ตายไปเพราะเหล่าสัตว์อสูรแล้ว
ชายชราคนอื่นๆนั้นได้ถูกทำให้อ่อนแอลงและไม่อาจทนต่อการโจมตีที่ผสมผสานกันของเหล่าสัตว์อสูรได้
“เจ้าจะพูดมันได้หรือยังในตอนนี้?” ชิงสุ่ยถามขึ้นขณะที่เขามองไปยังหลี่ ซือไถที่ถูกพันธนาการอยู่
“ในตอนนี้ข้ายังคงรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่จะคุกคามชีวิตของข้าได้ อย่างน้อยในตอนนี้หรือภายในเวลาช่วงสั้นๆนี้ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะคุกคามชีวิตของข้าได้ แม้ว่าข้าอาจจะถูกพันธนาการเอาไว้ในตอนนี้แต่เจ้าก็ไม่อาจที่จะสังหารฆ่าได้ อีกไม่นานหรอกหนทางรอดของข้าต้องมาแน่นอน” หลี่ ซือไถเห็นว่าอาการบาดเจ็บของตนเองได้รับการฟื้นฟูแล้ว เขาก็รู้สึกว่าในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสามารถทำอันตรายเขาได้
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ยอมแพ้หากไม่มีการสูญเสียซะก่อน!” ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขาเรียกหมูป่านักล่าสมบัติออกมา
ทันทีที่ชิงสุ่ยออกคำสั่งกับมันนั้น หมูป่านักล่าสมบัติก็รีบพุ่งตรงไปทางเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดและผู้เข้าไปหาหลี่ ซือไถ ราวกับว่ามันไม่สนเลยว่าสิ่งใดจะอยู่ตรงหน้ามัน ไม่ว่าจะเป็นเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดหรือใยแมงมุมพิษกัดกร่อน มันไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันเลย
อ๊า!
ซี่ ซี่!
“หยุดนะ!” หลี่ ซือไถกรีดร้องออกมา
หมูป่านักล่าสมบัติได้หักแขนข้างหนึ่งของหลี่ ซือไถไปในทันที มันยังสามารถสร้างหลุมที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 เมตรขึ้นบนร่างกายของจ้าวอสรพิษได้ หากไม่ใช่เพราะร่างกายอันใหญ่โตของจ้าวอสรพิษ มันย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
หมูป่านักล่าสมบัตินั้นเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ มันยังเป็นสัตว์อสูรแห่งจิตวิญญาณรวมไปถึงสัตว์อสูรล่าสมบัติ ไม่มีพิษใดที่จะสามารถทำอันตรายมันได้ มันยังไม่กลัวคมดาบหรือคมกระบี่ใดๆ ยากยิ่งนักที่ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจจะสามารถทำให้มันบาดเจ็บได้ ดังนั้นเมื่อศัตรูได้ถูกพันธนาการเอาไว้ เจ้าหมูน้อยตัวนี้ก็เป็นเหมือนอาวุธที่น่ากลัวยิ่งนักของชิงสุ่ย
“พูดออกมาสิ อันที่จริงแล้วข้าก็รู้สึกสนใจนะแต่ข้าเป็นคนที่มีความอดทนต่ำ” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างใจเย็น
“ปล่อยข้าออกไป ระยะเวลาของเรือนร่างแห่งสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ของข้าใกล้จะหมดลงแล้ว หากเจ้าไม่ปล่อยข้า ข้าต้องตายอย่างแน่นอน” หลี่ ซือไถกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กังวลพร้อมกับใบหน้าที่ซีดขาวของเขา
“อย่ากังวลไปเลยเจ้าไม่ตายหรอก”
ทันใดนั้นระยะเวลาของเรือนร่างแห่งสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ของชายชราก็ได้หมดไป เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดก็ยังไม่ได้โจมตีเขาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่อาจหนีออกจากการพันธนาการของเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดได้
ตำราหนังสัตว์อสูรลอยออกมาและชิงสุ่ยก็รับมันเอาไว้ นอกเหนือจากนั้นยังมีคำว่าสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์เขียนเอาไว้บนนั้น แต่สิ่งที่เขาได้รับนี้เป็นเพียงสำหรับคัดลอก นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ แต่ก็น่าจะเป็นเพราะชายชรางั้นได้อยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรติเขาจึงมีฉบับคัดลอกของตำราต่างๆมากมาย มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ท่ามกลางเหล่าคนเถื่อนรวมไปถึงนิกายปฐพีซ่อนเร้นจะสามารถฝึกฝนมันได้
ชิงสุ่ยอ่านมันคร่าวๆ มันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และยังไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แท้ที่จริงแล้วเขายังรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ทำขึ้นมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นของจริง
สมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่หลี่ ซือไถได้มอบให้กับชิงสุ่ยนั้นเป็นของจริง เพียงแต่เขาไม่ได้พูดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งก็คือหากคนที่ไม่มีสายเลือดแห่งสัตว์อสูรไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของพวกเขาได้ฝึกฝนมัน ร่างกายของผู้ฝึกฝนก็จะระเบิดออกและตายไปในทันที
มีเพียงผู้ที่มีสายเลือดแห่งสัตว์อสูรเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกฝนมันได้ แม้ว่าจะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม มีผู้คนจำนวนมากของนิกายปฐพีซ่อนเร้นที่มีสายเลือดแห่งสัตว์อสูรอยู่ภายในร่างกาย แต่จำนวนของพวกเขานั้นก็ถือว่าน้อยกว่าจำนวนของค่าเฉลี่ยทั้งหมด
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป คนที่มีสายเลือดของสัตว์อสูรมากก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมา แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็จะมีความคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไป สายเลือดแห่งสัตว์อสูรนั้นจะสลายตัวไปอย่างช้าๆ การสลายตัวของมันนั้นไม่ได้เกิดจากความตาย แต่มันเกิดจากสายเลือดรุ่นต่อๆไปของพวกเขานั้นมีสายเลือดแห่งสัตว์อสูรภายในร่างกายที่เจือจางลงไป เป็นไปได้ว่าสายเลือดแห่งสัตว์อสูรอาจจะหายไปตลอดกาล ในอนาคตพวกเขาก็จะไม่แตกต่างจากคนธรรมดาอีกต่อไป
หลี่ ซือไถได้วางแผนไว้นานแล้วในใจของเขา ก่อนหน้านี้เขารู้สึกยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นชิงสุ่ยรู้สึกสนใจสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ นั่นทำให้เขารู้ว่าแม้เขาจะตายไปชิงสุ่ยก็จะยังรับหนังสือเล่มนี้ไป ในความจริงแล้วเขายังหวังว่าชายหนุ่มผู้นี้จะสามารถฝึกฝนสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่มันย่อมดีที่สุดหากเขาฝึกฝนแล้วร่างกายของเขาระเบิดออก
แต่เขาไม่อาจทำให้เจตนาเช่นนี้ชัดเจนเกินไปได้ อันที่จริงแล้วเขาไม่คิดว่าชิงสุ่ยจะมีความเมตตาต่อเขา ในตอนนี้สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขานั่นก็คือชายหนุ่มผู้นี้ต้องตาย
“ไปซะ แต่ในครั้งหน้าหากเจ้าได้มาเผชิญหน้ากับข้าอีกครั้ง ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป” ชิงสุ่ยเป็นคนที่จะไม่ผิดคำสัญญาของเขา นอกจากนี้เขายังได้รับสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ มันถือเป็นเคล็ดวิชาที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
“เจ้าจะปล่อยข้าไปจริงๆนะเนี่ย?” หลี่ ซือไถยากที่จะเชื่อเรื่องนี้
“หากเจ้ายังไม่ไป ข้าจะไม่ให้เจ้าไปตลอดกาล” ชิงสุ่ยไม่สนใจหลี่ ซือไถในตอนนี้
หลี่ ซือไถจากไป ชิงสุ่ยเก็บกวาดพื้นที่ทั้งหมดและรวบรวมถุงแพรมิติจากคนพวกนี้ ก่อนที่เขาจะจากไปก็มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้น
นางคืออาจารย์ของถานท่าย หยวน
หญิงสาวผู้นี้ดูมีเสน่ห์อย่างยิ่ง นางเป็นหญิงที่มีดวงตากระจ่างใสราวกับพระจันทร์ในยามค่ำคืนและเป็นหญิงที่ความสาวได้เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์
“ท่านผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่?” ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นหญิงสาวผู้นี้มาอยู่ที่นี่
“ข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่าสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถฝึกฝนได้” หญิงสาวอธิบายด้วยรอยยิ้มจางๆ
อันที่จริงแล้วชิงสุ่ยก็ได้สัมผัสบางสิ่งบางอย่างจากเธอแล้ว ปกติแล้วหญิงสาวผู้นี้ได้ตระหนักถึงสิ่งที่คนเหล่านี้กำลังทำอยู่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่านางมาที่นี่เพราะนางเป็นห่วงเขา
“ไม่อาจฝึกฝนได้งั้นหรือ? ทำไมกัน?” ชิงสุ่ยถามด้วยความงุนงง
บทที่ 1289- ธงสวรรค์ปัญจธาตุ ธงตัวส่งและตัวรับงั้นหรือ? สมบัติ
ชิงสุ่ยยังคงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวผู้นี้ เขาได้เห็นถึงพลังของสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ ที่สำคัญที่สุดคือเกราะอสูรสำแดงบนร่างกายของเขานั่นก็คือหมีทะลายโลกา ถ้าเขาสามารถสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ หมีทะลายโลกาที่เขาเรียกออกมาย่อมแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ในตอนนี้มันรู้สึกราวกับว่ามีน้ำเย็นๆlาดลงมาที่ศีรษะของเขา อย่างไรก็ตามเขายังคงไม่ยอมแพ้ เขายังต้องการหาว่ามีวิธีใดที่จะช่วยเขาในเรื่องนี้ได้หรือไม่
“ 2 คุณสมบัติหลักที่เจ้าต้องมีในการฝึกฝนสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้นั่นก็คือ อย่างแรกเจ้าจะต้องมี สายเลือดแห่งสัตว์อสูร อย่างที่ 2 พลังของเจ้าจะต้องไม่ต่ำกว่า 7000 สุริยา” เมื่อหญิงสาวผู้นี้เริ่มการขึ้น นางก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าชิงสุ่ย
กลิ่นหอมจางๆได้ไหลเข้าสู่จมูกของชิงสุ่ย นี่ไม่ใช่กลิ่นของเครื่องหอมใดๆ ในทางตรงกันข้ามมันเป็นกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ที่มาจากร่างกายของหญิงสาวผู้นี้
เขาเหม่อลอยออกไปอย่างไม่รู้ตัว เขารู้สึกหลงใหลในกลิ่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามหญิงสาวก็ยังคงสังเกตเห็นมันได้ นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มออกมา “เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าพูดหรือไม่? หรือเจ้าเพียงแต่พยายามดมกลิ่นของข้าเท่านั้น?”
ชิงสุ่ยลูบจมูกของเขาอย่างเก้ๆกังๆและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินที่ท่านกล่าว จะเกิดอะไรขึ้นกันหากผู้ที่ไม่มีสายเลือดแห่งสัตว์อสูรฝึกฝนมันไป?”
“ย่อมจบลงด้วยความตายจากการที่ร่างกายได้ระเบิดขึ้น” หญิงสาวกล่าวด้วยความสงบนิ่ง
ทุกๆสิ่งชัดเจนอย่างยิ่งสำหรับชิงสุ่ย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดหลี่ ซือไถจึงมอบสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เขา เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนที่จะลอบสังหารด้วยวิธีเช่นนี้ เพราะผู้คนที่ไม่มีสายเลือดแห่งสัตว์อสูรย่อมไม่อาจหลุดพ้นมันได้ และถึงแม้ว่าเขาจะมีสายเลือดนั้นเขาก็ต้องมีพลังอย่างน้อย 7000 สุริยาจึงจะสามารถฝึกฝนมันได้ ผู้คนของทั้งนิกายปฐพีซ่อนเร้นและสายเลือดแห่งสัตว์อสูรต่างมีพลังเท่านี้นั้นหรือ?
ชิงสุ่ยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าไหร่กับคำตอบนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าสายเลือดของเขานั้นจะเหมาะสมที่จะฝึกฝนคิดวิชานี้หรือไม่ เขาไม่รู้หากเขาไม่ได้ลองเสี่ยงดู แต่ผลที่ตามมานั้นมันแรงมากจนเกินไป อย่างไรก็ตามสมบัติแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์แดนซ์ดึงดูดใจของเขาอย่างยิ่ง มันย่อมน่าเสียดายยิ่งนักค่ะเขาจะยอมแพ้ไปในตอนนี้
“ท่านผู้อาวุโส หลี่ ซือไถยังได้กล่าวกับข้าไว้ก่อนหน้านี้ว่าผู้คนของนิกายปฐพีซ่อนเร้นกำลังจะมาที่นี่ ข้าสงสัยว่าท่านก็ได้ยินมันด้วยหรือไม่?” ชิงสุ่ยถามขึ้นหลังจากคิดครู่หนึ่ง
“อย่ากังวลไปเลย พวกเขามาที่นี่เพียงเพื่ออยากรู้ความแข็งแกร่งของพวกเราเท่านั้น ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเขาคงจะถอยไปแล้ว หรือหากพวกเขาจะมีแผนการอื่นก็ควรจะต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ” หญิงสาวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ เช่นนั้นก็ดี”
“ชิงสุ่ย เจ้ามีพลังมากเพียงใดกัน? เจ้าทำให้ข้ายอมรับในพลังของเจ้าได้ในตอนนี้” หญิงสาวกระพริบตาอันงดงามของนางขณะที่มองไปยังชิงสุ่ยด้วยความสงสัย
ชิงสุ่ยส่ายศีรษะของเขา “ยังคงมีความแตกต่างระหว่างท่านกับข้า ความจริงแล้วมันอาจจะมากยิ่งนัก ข้าเห็นว่าท่านนั้นเป็นคนที่ลึกลับยิ่งนักในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก”
“โอ้ เจ้าประเมินพลังของข้าไว้สูงยิ่งนัก” หญิงสาวยังคงมีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของนาง
“ข้าพูดความจริงนะ!”
“เอาหละ พวกเขาน่าจะไปแล้ว เจ้าไม่พอใจที่ข้ามาที่นี่งั้นหรือ?”
ในตอนนี้ทั้งถานท่าย หยวนและอวี้ ลู่หยานก็ได้พุ่งทะยานมาจากระยะไกลๆ
“ท่านหมายความเช่นไรกัน? ข้ายินดีอย่างยิ่งที่ท่านนั้นมาที่นี่” เมื่อชิงสุ่ยกล่าวจบ พวกเขาทั้ง 2 ก็หันไปหาถานท่าย หยวนและอวี้ ลู่หยาน
เมื่อมีหญิงสาวมากมายคฤหาสน์แห่งนี้ช่างดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก พวกเขาก็ต้องระมัดระวังการกระทำของตนเองด้วยเช่นกัน เพราะด้วยเหล่าหญิงสาวที่อยู่ที่นี่ ชิงสุ่ยจะต้องคิดสักนิดก่อนจะพูดกับหญิงสาวพวกนี้
ถึงแม้ว่าถานท่าย หยวนและชิงสุ่ยได้สร้างความสัมพันธ์ที่ชัดเจนต่อกันและกันแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นถือว่าแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง เหล่าหญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆนี้พวกนางเห็นได้จริงบรรยากาศโดยรอบของที่แห่งนี้
“อ๋า เจ้าเด็กน้อย เร็วเกินไปหรือไม่?” หญิงสาวมองไปยังถานท่าย หยวนและถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มของนางนั้นช่างดูขี้เล่นอย่างยิ่งในตอนนี้
“ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรกัน? ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย” ถานท่าย หยวนกล่าวด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“ใช่ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องของเจ้ากับเขาเลย เพียงแต่เห็นว่าเจ้าดูกังวลอย่างยิ่งราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่” หญิงสาวหัวเราะขึ้น
มันเป็นไปไม่ได้สำหรับถานท่าย หยวนที่จะตามเล่ห์เหลี่ยมของหญิงสาวผู้นี้ได้ทำ เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำนางก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าถานท่าย หยวนนั้นอยู่ในสถานะใด เพียงแค่มองก็รับรู้ได้ว่าระหว่างนางกับชิงสุ่ยนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่
หญิงสาวไม่ได้เย้าหยอกถานท่าย หยวนอีกต่อไป แต่นางกลับยิ้มและกล่าวอะไรบางอย่างออกมา นี่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกสบายใจมากขึ้นอีกครั้ง
หญิงสาวทั้ง 2 คนก็กลับไปที่ห้องของพวกนาง ก่อนหน้านี้ถานท่าย หยวนได้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกที่เขินอายอย่างยิ่ง อวี้ ลู่หยานก็เดินไปพร้อมกับนาง
“ชิงสุ่ย เจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อไป?” หญิงสาวถามชิงสุ่ย
“ข้ากำลังจะไปเยี่ยมเยียนประมุขอสูร ข้าจะถามนางว่าพอมีหนทางที่ข้าจะกลับไปยังทั้ง 5 มหาทวีปหรือไม่” ในตอนนี้ชิงสุ่ยอยากจะพบหญิงสาวผู้นี้จริงๆ ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับนางที่จะเดินทางไปมาระหว่างมหาทวีปทั้ง 9 นี้
“ประมุขอสูร? ดูเหมือนว่านางจะอยู่ที่วังประมุขอสูรในตอนนี้” ในตอนแรกหญิงสาวผู้นี้ดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามนางยังคงรักษาท่าทีที่เงียบสงบของตนเองเอาไว้ได้
“ข้าทราบดี เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ ไว้เรามาพูดเรื่องนี้กันใหม่เมื่อข้าได้ไปที่นั่นแล้ว” ชิงสุ่ยส่ายศีรษะของเขา ไม่ว่ายังไงทั้งชางห่าย หมิงเยวี่ยและหมิงเยวี่ย เก้อโหลวก็ไม่อาจมาที่นี่ได้เพราะนางต้องดูแลพวกเด็กๆ แต่ท่านแม่และท่านปู่ของเขาก็สามารถดูแลพวกเด็กๆได้ชั่วคราว เพียงแต่นี้จะเป็นการเพิ่มความลำบากให้แก่พวกท่าน ความจริงแล้วเขาก็คิดถึงพวกท่านเช่นกัน
“เจ้าอยากจะพบเจอผู้คนที่อยู่ใน 5 มหาทวีปงั้นหรือ? หรือเจ้าคิดจะพาคนจากที่แห่งนั้นมาที่นี่?” หญิงสาวถามขึ้นขณะที่นางมองมายังคิ้วที่ขมวดกันของชิงสุ่ย
“มันย่อมดีที่สุดหากข้าสามารถหาพวกนางมาที่นี่ได้ มันย่อมเป็นเรื่องที่ดีหากข้าสามารถพบเจอพวกนางได้บ่อยๆ” ชิงสุ่ยอธิบายช้าๆ เขารู้สึกเครียดทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้
“ข้ามีอะไรบางอย่างที่เจ้าอาจจะสนใจแต่มันเป็นสิ่งที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่ ธงสวรรค์ปัญจธาตุ ข้าหวังว่ามันจะสามารถช่วยเจ้าได้” หญิงสาวนำธงที่มี 5 สีออกมา มันมีขนาดประมาณนิ้วมือ ธงนี้มีสีของธาตุทั้ง 5 ความผันผวนทางจิตวิญญาณต่างๆสามารถรับรู้ได้จากมัน
ชิงสุ่ยมองไปยังหญิงสาวและหยิบเอาธงนี้มาโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว เขาตระหนักได้ว่ามันไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเลย เขาพยายามจะใส่พลังวิญญาณและพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไปแต่ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ทันทีที่เขาใส่พลังลมปราณของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลลงไป เสียงระเบิดขนาดใหญ่ก็ดังขึ้น จากนั้นมันก็เงียบลงเช่นเคย
ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็ตระหนักได้ว่ามันเหมือนกับว่าเขาได้เข้าสู่ดินแดนที่เป็นอิสระ ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่นักแต่ก็มีพลังแปลกๆอยู่ที่นี่ พื้นที่โดยรอบที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหมอกขาวจังๆ เขาไม่อาจจะก้าวไปข้างหน้าได้แม้ว่าเขาจะพยายามแล้วก็ตาม มีเพียงสิ่งเดียวอยู่ที่นี่นั่นก็คือแผนที่เล็กๆที่แกะสลักขึ้นจากก้อนหินขนาดมหึมา
แผนที่?
ชิงสุ่ยมองไปที่แผนที่นี้ทันที เมื่อเขาได้เห็นมันเขาก็ต้องตกตะลึงไปในทันทีเพราะนี่คือแผนที่ของโลก 9 มหาทวีป ยิ่งชิงสุ่ยมองไปยังสัดส่วนของขนาดของมหาทวีปเหล่านี้ เขาก็รู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น ยิ่งเขาได้มองมันมากเท่าไรเขาก็ยิ่งตระหนักได้ว่ามหาทวีปพวกนี้นั้นกว้างใหญ่เพียงใด ที่สำคัญที่สุดคือชิงสุ่ยได้รู้ถึงการเดินทางไปยังทั้ง 5 มหาทวีป
หากชิงสุ่ยเดินทางต่อไปทางทิศตะวันออกหลังจากที่ได้ผ่านดินแดนเทือกเขาสันโดษและทะเลทิศทักษิณาจนกระทั่งเขาได้เป็นสิ่งดินแดนมหาสมุทรทิศประจิม เขาจะสามารถไปถึงทั้ง 5 มหาทวีปได้ 99% ของการเดินทางครั้งนี้ล้วนเป็นพื้นที่มหาสมุทร เมื่อเขาไปถึงทะเลทิศทักษิณา หากเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็จะพบกับอีก 3 มหาทวีปที่เหลือ
ชิงสุ่ยมองไปยังแผนที่พวกนี้และคำนวณความเร็วของตนเอง เขาพบว่าหากเขาจะเดินทางไปทั้ง 5 มหาทวีปนั้นต้องใช้เวลาที่นานยิ่งนัก มันอาจจะใช้เวลายาวนานหลายปี ชิงสุ่ยนึกถึงประมุขอสูรขึ้นมาอีกครั้งและยังมี เต่าเฒ่าที่อยู่ข้างกายนาง เขารู้สึกว่านางพึ่งพาเต่าเฒ่าเพื่อเดินทางไปมาระหว่างมหาทวีป หากเขาเดาไม่ผิดเต่าเฒ่าจะต้องมีความสามารถโดดเด่นภายในน้ำ
หลังจากนั้นชิงสุ่ยตรวจสอบแผนที่ทั้ง 9 มหาทวีปของตัวเขาเองและเริ่มครุ่นคิด นี่น่าจะเป็นพื้นที่ภายในของธงสวรรค์ปัญจธาตุ มันถือว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง เขารู้สึกว่าสิ่งนี้มีอะไรที่คล้ายคลึงกันกับผู้ควบคุมระยะทาง
ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็ถอนตัวออกมาจากมัน เขาไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่ว่ายังไงหญิงสาวผู้นี้ก็ยังคงจ้องมองเขาด้วยความสนใจ หลังจากนั้นเขาก็ตรวจสอบธงนี้ด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ของเขา
ธงสวรรค์ปัญจธาตุ!
มันไม่มีระดับ สำหรับตอนนี้ยังไม่มีแท่นหินเคลื่อนย้ายที่ได้วางลงบนแผนที่ จำนวนของแท่นหินเคลื่อนย้ายนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้เมื่อมันยกระดับขึ้น ผู้ใช้สามารถเดินทางไปมาระหว่างตำแหน่งที่วางเอาไว้ได้ จำนวนครั้งในการเดินทางนั้นยังมีข้อจำกัดบางอย่าง
สถานะ: ยังไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของ
วิธีแสดงความเป็นเจ้าของ: สละโลหิตแก่นแท้ของผู้ที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของจนกว่ากระบวนการในการแสดงความเป็นเจ้าของจะเสร็จสิ้น
ต้องการโลหิตแก่นแท้ในการยกระดับขึ้น
ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ เหตุผลนั่นก็คือตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันคืออะไร นี่คือธงจากการหลบหนีจากประตูวังวงบรรพกาล เมื่อคิดว่าสิ่งนี้จะสามารถทำให้เขาเดินทางไปทุกมหาทวีปได้
เขาใช้เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ของตนเองเพื่อศึกษาวิธีการใช้งานของมัน ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะไม่ทราบถึงการใช้งานของมันเช่นกัน
“ท่านผู้อาวุโส ข้ารู้การใช้งานของ มันล้ำค่ามากจนเกินไป ให้ข้าบอกการใช้งานของมันให้แก่ท่าน” ชิงสุ่ยยื่นมันกลับไปให้นางหลังจากที่เขาได้คิดครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะต้องการใช้งานมันจริงๆ
หญิงสาวยิ้มออกมา “การตัดสินใจของข้าไม่มีทางผิดพลาด หยุดเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเสียที หากเจ้าไม่คิดอะไรมากจงเรียกข้าว่าท่านปรมจารย์ป้า” หญิงสาวไม่แม้แต่รับธงสวรรค์ปัญจธาตุกลับมา
“ท่านปรมจารย์ป้า!” ชิงสุ่ยเรียงนางด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาด
“สวัสดีศิษย์หลาน ข้าจะถือว่านี่เป็นของขวัญในการได้พบเจ้า เจ้าพอใจหรือไม่?”
“ข้าพอใจยิ่งนัก……” ชิงสุ่ยมีความรู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอก นางเป็นสุนัขจิ้งจอกที่สง่างามอย่างยิ่ง นางเป็นหญิงสาวที่เติบโตอย่างเต็มที่และมีเสน่ห์เย้ายวนใจยิ่งนัก
“แต่นี่มันล้ำค่าเกินไป” ชิงสุ่ยเน้นย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง
“ข้ายังมีอันนึงที่เหมือนกัน ของเจ้านั้นเป็นตัวส่ง ส่วนของข้านั้นเป็นตัวรับ……”
ชิงสุ่ย “…….”
หลังจากนั้นหญิงสาวก็นำธงสวรรค์ปัญจธาตุอีกอันหนึ่งออกมา เมื่อเทียบกับของชิงสุ่ยแล้วธงนี้มีขนาดเล็กกว่า ชิงสุ่ยตรวจสอบวันด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ของเขาอีกครั้งและสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชื่อของธงนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ดวงตาของชิงสุ่ยต้องเปิดกว้างขึ้น
ธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวรับ)……
อันที่ชิงสุ่ยได้ตรวจสอบนั้นมีขนาดเล็กกว่า กล่าวอีกนัยหนึ่งมันคือธงสวรรค์ปัญจธาตุที่หญิงสาวได้ถือไว้
ชิงสุ่ยเหงื่อออกเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘ตัวรับ’ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงอ่านต่อไปพร้อมกับส่ายศีรษะ
มันไม่มีระดับ สำหรับตอนนี้ยังไม่มีแท่นหินเคลื่อนย้ายที่ได้วางลงบนแผนที่ จำนวนของแท่นหินเคลื่อนย้ายนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้เมื่อมันยกระดับขึ้น ผู้ใช้สามารถเดินทางไปมาระหว่างตำแหน่งที่วางเอาไว้ได้ จำนวนครั้งในการเดินทางนั้นยังมีข้อจำกัดบางอย่าง
สถานะ: ยังไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของ!
วิธีแสดงความเป็นเจ้าของ: สละโลหิตแก่นแท้ของผู้ที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของจนกว่ากระบวนการในการแสดงความเป็นเจ้าของจะเสร็จสิ้น
ต้องการโลหิตแก่นแท้ในการยกระดับขึ้น
มันสามารถเคลื่อนย้ายผู้ที่มีธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวส่ง) ไปอีกที่หนึ่งได้ ไม่มีข้อจำกัดในการใช้งานเพียงแต่ว่าผู้ใช้ทั้งคู่จะต้องมีธงนี้จึงจะสามารถใช้งานได้
ความสามารถของมันนั้นช่างทรงพลังอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้ที่กำลังหนีอะไรบางอย่างหรือผู้ที่กำลังกลับมาจากมหาทวีปอื่นรีบร้อนเพื่อขอช่วยเหลือ แต่นี้เป็นเรื่องยากเล็กน้อย เหตุผลนั่นก็คือเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นประสบอันตรายแบบไหนกัน ดังนั้นส่วนใหญ่จึงใช้เพื่อการหนีมากกว่า
“นี่คือธงสวรรค์ปัญจธาตุตัวส่งและตัวรับ มันไม่เหมาะสำหรับข้าที่จะครอบครองมันเอาไว้ เจ้าควรส่งตัวเองกลับไปด้วยตัวส่งอันนี้” ชิงสุ่ยรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อยเมื่อเขาก็มันกลับไปให้กับหญิงสาวผู้นี้
“ข้าไม่มีตัวส่งและก็ไม่ได้คิดที่จะตามหามัน รับมันไป เจ้าได้เรียกข้าว่าท่านปรมจารย์ป้า แม้มันดูจะไม่เต็มใจเล็กน้อยแต่ก็ถือว่าออกมาจากปากเจ้า” ปฏิกิริยาของหญิงสาวทำให้ชิงสุ่ยรีบเก็บธงนี้เข้าไปทันที
“ธงนี้สามารถช่วยให้เจ้าของ 2 คนเคลื่อนย้ายตัวเองไปหากันได้ ไม่มีข้อจำกัดใดๆ มันจะดียิ่งนักหากท่านใช้มันหนีตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย” ชิงสุ่ยอธิบายเรื่องของธงสวรรค์ปัญจธาตุให้แก่หญิงสาว
“เช่นนั้นมันก็ถือว่าไม่เลวนะ มันดียิ่งนักที่จะทำให้ตัวเองนั้นรอดชีวิต ตัวอย่างเช่น มันง่ายยิ่งนักหากเจ้าต้องการที่จะเดินทางกลับไปยังทั้ง 5 มหาทวีป.” หญิงสาวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“การใช้ประโยชน์ของธงสวรรค์ปัญจธาตุมันคือการเคลื่อนย้ายตัวของท่านไปยังสถานที่ต่างๆมากมาย ท่านปรมจารย์ป้า ในการใช้งานมันท่านจะต้องแสดงความเป็นเจ้าของมันช่วยโลหิตแก่นแท้”
“ข้าเคยหยดโลหิตแก่นแท้ของข้าลงไปแล้วแต่มันก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ” หญิงสาวอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง
บทที่ 1290 – จดจำความเป็นเจ้าของ ก้าวเข้าสู่ประตูอันยิ่งใหญ่ไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์
“ข้าเคยหยดโลหิตแก่นแท้ของข้าลงไปแล้วแต่มันก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ” หญิงสาวอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง
“ท่านต้องหยดโลหิตแก่นแท้ของท่านต่อไปจนกว่ามันจะสำเร็จ” ชิงสุ่ยอธิบายต่อไป
“ข้าเองก็เคยคิดเช่นนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดข้าจึงทำมันไม่สำเร็จ เฮ้ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? มันจริงนั้นหรือ? เจ้าไม่ได้หลอกให้ข้ามีความสุขใช่หรือไม่?” นางมองมายังชิงสุ่ยด้วยสายตาแปลกๆ
ชิงสุ่ยยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาเพียงใช้เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์อีกหนึ่งครั้งเพื่อตรวจสอบธงสวรรค์ปัญจธาตุที่อยู่ในมือของเขา
ธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวส่ง)!
มันไม่มีระดับ สำหรับตอนนี้ยังไม่มีแท่นหินเคลื่อนย้ายที่ได้วางลงบนแผนที่ จำนวนของแท่นหินเคลื่อนย้ายนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้เมื่อมันยกระดับขึ้น ผู้ใช้สามารถเดินทางไปมาระหว่างตำแหน่งที่วางเอาไว้ได้ จำนวนครั้งในการเดินทางนั้นยังมีข้อจำกัดบางอย่าง
สถานะ: ยังไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของ
วิธีแสดงความเป็นเจ้าของ: สละโลหิตแก่นแท้ของผู้ที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของจนกว่ากระบวนการในการแสดงความเป็นเจ้าของจะเสร็จสิ้น
ต้องการโลหิตแก่นแท้ในการยกระดับขึ้น
มันสามารถใช้เคลื่อนย้ายผู้คนที่มีธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวรับ) ไปอีกที่หนึ่งได้ ไม่มีข้อจำกัดในการใช้งานเพียงแต่ว่าผู้ใช้ทั้งคู่จะต้องมีธงนี้จึงจะสามารถใช้งานได้
……
ชิงสุ่ยใช้เข็มทองคำแทงไปบนร่างกายของตนเอง หลังจากนั้นเขาก็นำโลหิตแก่นแท้ออกมาจากสระโลหิตแก่นแท้และหยดลงไปบนธงสวรรค์ปัญจธาตุ 1 หยด 2 หยด……
โลหิตแก่นแท้ภายในร่างกายของมนุษย์นั้นสำคัญอย่างยิ่ง ทุกๆหยาดโลหิตแก่นแท้ที่เขาได้หยุดลงไปในธงนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง มันยังดีที่โลหิตแก่นแท้ของเขานั้นสามารถฟื้นฟูได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน หากจำเป็นเขาอาจจะต้องใช้ยาบางอย่างเพื่อช่วยในการฟื้นฟูนี้
เขาได้หยดโลหิตแก่นแท้ของตนเองลงไปอย่างรวดเร็วถึง 10 หยด แม้แต่ใบหน้าของชิงสุ่ยก็ดูซีดลงอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวที่อยู่ข้างๆเขาเริ่มขมวดคิ้วขึ้นมา
100 หยด!
เมื่อมีหยดโลหิตแก่นแท้หยดลงไปครบ 100 หยด ธงสวรรค์ปัญจธาตุก็สว่างขึ้นในทันที พลังวิญญาณอันทรงพลังแผ่กระจายออกมาโดยรอบ ธงสวรรค์ปัญจธาตุดูเปล่งประกายอย่างน่าเหลือเชื่อ
ชิงสุ่ยตรวจสอบธงสวรรค์ปัญจธาตุนี้อีกครั้งหลังจากแสงของมันได้หายไป
ธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวส่ง)!
มันยังไม่มีระดับแต่ก็สามารถใช้ได้ด้วยโลหิตแก่นแท้วันละครั้ง ในตอนนี้ยังไม่มีแท่นหินเคลื่อนย้ายที่ได้วางลงบนแผนที่ จำนวนของแท่นหินเคลื่อนย้ายนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้เมื่อมันยกระดับขึ้น ผู้ใช้สามารถเดินทางไปมาระหว่างตำแหน่งที่วางเอาไว้ได้ จำนวนครั้งในการเดินทางนั้นยังมีข้อจำกัดบางอย่าง
สถานะ: จดจำความเป็นเจ้าของแล้ว
สามารถเคลื่อนย้ายผู้ที่มีธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวรับ) ไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่มีข้อจำกัด แต่ว่าผู้ใช้ทั้งคู่จะต้องมีธงสวรรค์ปัญจธาตุนี้จึงจะสามารถใช้งานได้
ชิงสุ่ยหยดโลหิตแก่นแท้ของเขาลงไปอีก หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาและแผ่กระจายมันออกไปรอบๆธงสวรรค์ปัญจธาตุ เขาปลุกมันสำเร็จแล้วครั้งหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกหรืออาจจะมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับโลหิตแก่นแท้ของเขาแต่เขารู้สึกว่ากระบวนการนี้มีอะไรบางอย่างแปลกประหลาดไป มันอาจจะใช้เวลาอีกหลายวันเพื่อให้มันยกระดับไปยังระดับขั้นแรก
“ท่านปรมจารย์ป้า เหตุใดท่านจึงไม่แสดงความเป็นเจ้าของแก่มัน? ข้าได้บอกวิธีการแก่ท่านแล้ว” ชิงสุ่ยถามด้วยรอยยิ้มหลังจากคิดครู่หนึ่ง
หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้า หลังจากนั้นนางก็เริ่มใช้โลหิตแก่นแท้ของตนเองหยดลงไปบนธงสวรรค์ปัญจธาตุทีละหยด แต่ชิงสุ่ยเริ่มรู้สึกสับสนเพราะว่านางทำสำเร็จตั้งแต่หยดที่ 80
หลังจากที่นางทำสำเร็จชิงสุ่ยก็มองนางด้วยสายตาแปลกๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้มีปฏิสัมพันธ์กันบ้างแล้ว มันช่างรู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ ราวกับว่าเลือดของพวกเขานั้นเป็นตัวเชื่อมต่อของกันและกัน พวกเขาเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวแต่.. มันก็ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้ก็อาจรู้สึกได้เช่นกัน แต่นางยังคงมีท่าทีที่เป็นปกติ สำหรับกระบวนการในการแสดงความเป็นเจ้าของนี้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้แก่นางต่อเพราะว่านางคงรับรู้ได้ถึงวิธีการใช้งานของมันแล้ว
ในตอนแรกนางรู้สึกว่าธงนี้นั้นเป็นคู่กันจากคำพูดของชิงสุ่ย นางคิดว่าชิงสุ่ยปฏิเสธที่จะรับสิ่งของชิ้นนี้เพราะว่ามันมีค่ามากเกินไป ตอนนี้นางได้รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง นอกจากนี้ดูเหมือนว่าในตอนนี้พวกเขานั้นจะมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถรู้สึกได้ถึงจิตใจของอีกฝ่ายและสามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
หลังจากที่นางได้เป็นเจ้าของมันนางก็รู้ได้ทันทีว่าของชิ้นนี้นั้นล้ำค่ามากเพียงใด หากวันนี้นางไม่ได้พบกับชิงสุ่ยนางก็ยังคงคิดว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่มีข้อบกพร่อง เพราะสมบัติชิ้นนี้นั้นต้องการโลหิตแก่นแท้มากมายที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ นอกจากนี้แม้จะมีใครหยดโลหิตแก่นแท้ลงไปก็คงไม่มีใครที่จะรู้ได้ว่ามันจะต้องใช้โลหิตแก่นแท้มากมายถึงเพียงนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาจะต้องหยดมันต่อไปเรื่อยๆจนกว่ากระบวนการนี้จะสำเร็จ ปกติแล้วเพียงหนึ่งหยดนั้นก็สำเร็จแล้ว ดังนั้นเมื่อมันไม่สำเร็จผู้คนจึงยอมแพ้เรื่องนี้ไปในทันที
หลังจากที่ธงสวรรค์ปัญจธาตุได้จดจำว่าเขาเป็นเจ้าของแล้ว มันก็สามารถเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียนของเขาได้ ในตอนนี้มันลอยอยู่เหนือก้อนทองคำภายในร่างกายของเขา
ด้านหนึ่งของก้อนทองคำภายในร่างกายของเขานั้นเป็นกระบี่ดารายุพฆาต ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นหุบเขา 9 เทวา ……
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้รับรู้ได้อย่างชัดเจนด้วยการรับรู้ทางจิตวิญญาณของชิงสุ่ย จุดตันเถียนของชิงสุ่ยได้เปลี่ยนแปลงไป ก้อนทองคำภายในร่างกายของเขาได้หายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยคนตัวเล็กๆที่สวมชุดเกราะสีทอง ด้านบนของชุดเกราะนั้นมีภาพของหมีทะลายโลกา มันถือกระบี่ดารายุพฆาตในมือซ้ายและมีหุบเขา 9 เทวาคอยช่วยเหลืออยู่ ทางด้านขวาที่หัวไหล่ของมันนั้นมีธงสวรรค์ปัญจธาตุปักอยู่ คนตัวเล็กๆนี้มีกลิ่นอายที่สามารถสั่นสะเทือนไปทั้งโลกาได้ นี่ช่างน่าประหลาดใจอย่างยิ่งสำหรับชิงสุ่ย คนตัวเล็กๆนี้มีหน้าตาที่เหมือนกับเขาเลย
ฉากตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ชิงสุ่ยพบว่าตัวเขานั้นกำลังรออยู่กลางอากาศ รอบๆตัวเขานั้นเป็นยอดฝีมือและเหล่าสัตว์อสูรมากมาย เขากวัดแกว่งดาบในมือและส่งหุบเขา 9 เทวาไปปะทะกับศัตรูทันที จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไป เขาสะบัดมืออีกครั้งและสิ่งที่เหมือนกับมังกรสีเทาก็ปรากฏขึ้น ในตอนที่เขาได้กวัดแกว่งมันท้องฟ้านั้นก็เริ่มเปลี่ยนสี แส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่ม นี่คือแส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่มที่แท้จริง …
สิ่งที่เขาได้เห็นนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง มันย้อนกลับไปในอดีตเมื่อตอนที่ชิงสุ่ยถูกเยาะเย้ยโดยทุกๆคน เขายังเด็กยิ่งนักและมีเพียงท่านแม่ที่รักและห่วงใยเขา นั่นคือเหตุการณ์จนกระทั่งเขาเริ่มฝึกหนัก หลังจากนั้นเขาก็ได้รับประสบการณ์และสิ่งต่างๆมากมาย ชีวิตของเขาต้องแขวนอยู่บนความตายมากี่ครั้งแล้วนะ? ในสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นปรากฏภรรยาและสหายของเขาออกมาด้วยเช่นกัน
……
นี่เป็นเรื่องราวที่สรุปสิ่งที่เขาได้พบมาตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามฉากที่แสดงออกมานี้ได้ปรากฏผู้คนมากมาย
ชิงสุ่ยรู้สึกตกตะลึงไปในทันที นี่คือภาพลวงตานั้นหรือ? หรือว่ามันพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่เขา? เขาไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในตอนนี้เขาจ้องมองไปยังจุดตันเถียนของตนเองอีกครั้ง เขาเห็นว่าคนตัวเล็กๆที่อยู่ในชุดเกราะสีทองนั้นได้เปลี่ยนกลับไปเป็นก้อนทองคำภายในร่างกายของเขา ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขาได้เห็นฉากต่างๆในชีวิตของตนเอง
เมื่อเขาได้สติกลับมาท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว ตอนนี้เกือบจะเป็นเวลากลางคืนแล้ว เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้มันยังไม่ถึงตอนบ่ายด้วยซ้ำ แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่เวลาก็ได้เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ชิงสุ่ยเห็นหญิงสาวนั้นยังคงยืนอยู่ข้างๆเขา ความจริงแล้วนางยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมเลย ในตอนนี้นางมองมายังชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ เขาคงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วนางรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างยิ่งภายในจิตใจตอนนี้
“เวลาได้ผ่านไปเร็วนัก ข้าเพียงเหม่อลอยไปครู่เดียวท้องฟ้าก็มืดลงเสียแล้ว” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความรู้สึกอายเล็กน้อย
ในตอนนี้หญิงสาวกลอกตาของตนเองไปมาด้วยความพูดว่า “หากนั่นคือการเหม่อลอยจริงๆ เจ้าก็คงไปถึงเส้นทางแห่งสวรรค์แล้ว ผู้คนมากเพียงใดกันที่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายเป็นยอดฝีมือ? เจ้านั้นคือหมาป่า เหตุใดจึงแกล้งทำตัวเป็นลูกแกะตัวหนึ่ง?”
ชิงสุ่ยรู้สึกตกตะลึงในตอนนี้ หากจะกล่าวตามแบบของเขาก็คือนางกำลังบอกว่าเขากำลังเล่นละครตบตานางอยู่
หลังจากที่ได้ยินดังกล่าวเช่นนี้ชิงสุ่ยก็ตกตะลึงไปในทันที เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงนั่นก็คือสิ่งที่นางพูดเกี่ยวกับประตูอันยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางแห่งสวรรค์ หนทางที่เปลี่ยนไปของจุดตันเถียนของเขาเองที่เขาได้เห็นด้วยตาตัวเอง บางทีนี่อาจจะเป็นพลังที่แข็งแกร่งในอนาคต?
“ข้าได้ก้าวเข้าสู่ประตูอันยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางแห่งสวรรค์แล้วนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยมองไปยังหญิงสาวผู้นี้ด้วยความมึนงง
“สิ่งที่เจ้าได้เห็นในตอนนี้นั้นแสดงให้เห็นว่าเจ้าได้เข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์แล้ว” หญิงสาวมองมายังชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ท่านก็เห็นสิ่งที่ข้าได้เห็นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าได้ประโยชน์มากมายจากเจ้าในวันนี้เรื่องธงสวรรค์ปัญจธาตุ ก่อนหน้านี้เช้าก็ได้เห็นในสิ่งที่เจ้าเห็นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ข้ายังรู้ว่าเจ้าได้ข้ามผ่านประตูอันยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางแห่งสวรรค์ไปแล้ว สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนในสิ่งที่เจ้ารู้สึกในตอนนี้โดยเฉพาะอารมณ์ของเจ้า แต่อย่ากังวลไปเลยข้าไม่ได้รับรู้อะไรไปมากกว่านั้น หากเจ้าไม่เชื่อในเรื่องนี้เจ้าก็ลองสัมผัสความรู้สึกของข้าดูได้เช่นกัน ไม่ว่ายังไงข้าก็อยากจะขอบคุณเจ้า.. เจ้าเป็นคนที่พากเพียรพยายามอย่างแท้จริง” ในตอนนี้ใบหน้าที่เปี่ยมสุขของนางยากที่จะอธิบายด้วยคำพูดได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้เห็นสีหน้าเช่นนี้จากนาง
ชิงสุ่ยตกตะลึงไปอีกครั้ง เขาไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด โดยเฉพาะในตอนท้ายนั้นนางกล่าวชมเขานั้น? เขายิ้มและตอบกลับไปว่า “ท่านปรมจารย์ป้าแล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไรกันจากการก้าวเข้าสู่ประตูอันยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางแห่งสวรรค์นี้?”
“เจ้าต้องหาคำตอบด้วยตัวของเจ้าเอง” หญิงสาวยิ้มขึ้น ในตอนที่นางกล่าวจบ ฝ่ามือของนางก็พุ่งตรงมาหาเขา
ชิงสุ่ยขวามือของนางไว้ด้วยสัญชาตญาณของเขา ทันทีที่มือของเขาพุ่งออกไปชิงสุ่ยก็สามารถรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้พยายามจะหลบเลี่ยงเขา แต่กลับกันนางปล่อยให้เขาจับมือของนางได้ตามใจชอบ
ชิงสุ่ยเข้าใจในทันที ในตอนนี้การเคลื่อนไหวทุกๆครั้งของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันยิ่งใหญ่แห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ นี่เป็นความรู้สึกที่ลึกลับยิ่งนัก เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่คนธรรมดารู้สึกว่าพวกเขาสามารถระเบิดภูเขาได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เมื่อเขาได้ก้าวผ่านประตูขนาดใหญ่ไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ เขาย่อมสามารถต่อกรกับผู้ที่มีพลังมากกว่าเขาถึง 2 เท่าแต่ยังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีมีพลัง 10,000 สุริยาน้ำสามารถต่อกรกับผู้ที่มีพลัง 20,000 สุริยาแต่ยังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ได้
นี่คือความมหัศจรรย์ของเส้นทางแห่งสวรรค์ มันเป็นพลังที่ลึกลับอย่างยิ่ง ตั้งแต่สมัยโบราณมีเพียงผู้ที่มีพรสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ได้
“นอกจากนี้หากเจ้าคิดจะเข้าสู่ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจ เจ้าจะต้องข้ามผ่านไปยังเส้นทางแห่งสวรรค์ให้ได้เสียก่อน” หญิงสาวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของนางชิงสุ่ยก็ตระหนักว่าเขากำลังจับมือของนางอยู่ เขาจึงปล่อยมันไปด้วยความรู้สึกที่เกิดตาย ในทางกลับกันนางกลับดูปกติอย่างยิ่ง แต่แล้วก็กล่าวขึ้นมาว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าแก่เกินไปนั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่!” ชิงสุ่ยรีบบอกกล่าวแก่นางทันที
“ข้ายังถือว่าอายุน้อยยิ่งนักในหมู่ผู้ฝึกยุทธทั้งหลาย ข้ายังเด็กอยู่” หญิงสาวกลับไปยังห้องของนางทันทีหลังจากที่นางได้กล่าวจบ
ชิงสุ่ยเกาศีรษะของเขา เหตุใดนางจึงกล่าวออกมาเช่นนี้?
เขาเองก็มีท่านปรมจารย์ป้าคนอื่นๆ ความจริงแล้วเขาก็ต้องเรียกจรู้ชิงว่าท่านปรมจารย์ป้าที่ 3 ในอดีต แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนไปและจรู้ชิงก็ไม่ให้ชิงสุ่ยเรียกนางแบบนั้น แต่ชิงสุ่ยยังคงเรียกนางว่าท่านปรมจารย์ป้าเพื่อเย้าหยอกในเวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วย มันจะทำให้นางไปถึงจุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว
และในตอนนี้เขาก็ได้มีท่านปรมจารย์ป้าเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง แต่นางนั้นลึกลับยิ่งนัก ชิงสุ่ยไม่เคยเข้าใจความคิดของนางเลยสักครั้ง ดังนั้นเก็บงำเรื่องของตนเองได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญอีกต่อไป เรื่องที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือเขาได้ข้ามผ่านประตูอันยิ่งใหญ่ไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ นี่จะทำให้เขาสามารถซึมซับพลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำได้
เมื่อคิดเช่นนี้ชิงสุ่ยก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาได้พบเจอกับประตูอันยิ่งใหญ่ที่นำไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์เพราะธงสวรรค์ปัญจธาตุ แม้ว่าเขาจะได้รับประโยชน์มากมายจากหญิงสาวผู้นี้แต่เขาก็รู้สึกว่านางก็ได้รับประโยชน์จากเขาไปมากมายเช่นกัน
เส้นทางแห่งสวรรค์ เส้นทางศักดิ์สิทธิ์ที่ทะยานไปสู่ท้องฟ้า แม้ว่าเขาจะสามารถสัมผัสมันได้เพียงเล็กน้อยแต่มันก็สร้างประโยชน์ให้แก่เขามากยิ่งนัก ผู้คนที่สามารถสัมผัสมันได้มีเพียงอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขาทั้งหมดปากทรงพลังอย่างยิ่ง. ดังนั้นจึงมีคนจำนวนน้อยอย่างยิ่งที่อยู่ในวัยเดียวกันกับชิงสุ่ยจะสามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้ได้ นี่คือหนทางอันยิ่งใหญ่ การได้ก้าวข้ามผ่านประตูของเส้นทางแห่งสวรรค์นั้นเป็นเหมือนสิ่งที่สำคัญในชีวิตของผู้ฝึกยุทธทั้งหลาย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่เส้นทางนี้ได้
สำหรับการได้เข้าสู่ประตูอันยิ่งใหญ่ของเส้นทางแห่งสวรรค์นั้น การฝึกยุทธในอนาคตของเขาย่อมรวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดเขาก็จะสามารถมุ่งหน้าไปสู่ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้
ก่อนหน้านี้เมื่อชิงสุ่ยนึกถึงคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล มันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับคนที่มองภูเขาจากเบื้องล่างขึ้นไป ยอดเขาที่สูงเสียดฟ้านั้นเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ เราสามารถทำได้เพียงปีนป่ายขึ้นไปทีละขั้นอย่างช้าๆเท่านั้น ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง เหตุผลนั่นก็เพราะเวลาที่เขาจะต้องใช้ในการปีนให้ถึงยอดเขานั้นไม่อาจประมาณค่าได้เลย
เมื่อเขาได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ มันก็เหมือนกับว่ามีราวบันไดปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาและสามารถนำเขาไปสู่คลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลได้ แม้ว่าปลายทางของบันไดนั้นยังไม่อาจมองเห็นได้ในตอนนี้แต่เขาก็จะก้าวเขึ้นไป ทีละก้าว ทีละก้าว เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ความแตกต่างของมันนั้นเหมือนกับสวรรค์และโลกเลยทีเดียว
ในที่สุดก็มีความหวังสำหรับคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล! ชิงสุ่ยนั้นเพียรพยายามอยู่เสมอ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ตอนนี้มันง่ายดายขึ้นกว่าเดิมมากยิ่งนัก ในตอนนี้เขาเพียงแต่ต้องกัดฟันและก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
บทที่ 1291 ชิงสุ่ยผู้มีพลังเพิ่มขึ้น หญิงที่รัก
ชิงสุ่ยมีความสุขหลังจากที่ทักษะพัฒนาขึ้นอีกขั้น ทั้งที่ความจริงน่าจะไม่สำเร็จ ชิงสุ่ยจึงรู้สึกโชคดีมาก นี่อาจจะเรียกว่าการเก็บเกี่ยวสิ่งที่ตัวเองไม่ได้หว่านไว้
สิ่งสำคัญที่เขาต้องรีบทำให้เร็วที่สุดคือการการก้าวข้ามของธงสวรรค์ปัญจธาตุ เพราะคนอื่น ๆ ที่เดินทางทั่วโลก 9 มหาทวีปน่าจะมีสิ่งที่คล้ายกับธงสวรรค์ปัญจธาตุที่ทำให้เดินทางข้ามไปมาระหว่างมหาทวีปได้ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาได้อย่างดี
หากเขาปักธงได้สักจุดในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วเขาอยากจะปักธงรอบ 5 มหาทวีป ชิงสุ่ยหวังว่าหญิงสาวจะปักธงไว้ที่มหาทวีปอู่เซียตะวันตก ดังนั้นเขาอาจจะเกลี่ยกล่อมให้เธอยอมทำตาม
แม้ว่าแผนนี้อาจจะฟังดูเอาเปรียบเล็กน้อย เขาก็หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาหวังไว้ ที่สำคัญกว่านั้นธงทั้งสองชิ้นยังมีพลังที่ทำสามารถเคลื่อนย้ายไปหาอีกฝ่ายได้ทันที
ถ้าเธอสามารถปักธงไว้ที่มหาทวีปอู่เซียตะวันตกและชิงสุ่ยสามารถปักธงไว้ที่ 5 มหาทวีปได้ ดังนั้นเขาก็สามารถมายัง 5 มหาทวีปและพาเธอไปยัง มหาทวีปอู่เซียตะวันตกในจุดที่ปักธงไว้ นี่เป็นคุณสมบัติที่สามารถเคลื่อนย้าย “สามีและภรรยา” ไปพร้อมกันได้
ชิงสุ่ยอยากให้เธอติดตั้งธงที่ 3 มหาทวีป แล้วเขาอาจจะเป็นคนไปปักธงที่มหาทวีปอู่เซียตะวันตกแทน
……………
ทั้ง อวี้ ลู่หยานและ ถานท่าย หยวนเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว แม้จะอยู่ร่วมกัน แต่บรรยากาศนั้นไม่ตึงเครียด หญิงสาวทั้งสองยังคงเรียกเธอว่า ‘ท่านอาจารย์’ แต่ท่าทีของพวกเธอนั้นดูเหมือนพี่น้อง จนบางครั้งท่าของพวกเธอก็ดูเหมือนพี่น้องกันจริงๆ
“ท่านปรมจารย์ป้า ถ้าธงสวรรค์ปัญจธาตุก้าวข้ามถึงระดับหนึ่งในระหว่างนี้ ท่านจะไปปักธงที่ไหนเหรอ?” ชิงสุ่ยถาม
“ข้าเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับธงสวรรค์ปัญจธาตุ ธงสวรรค์ปัญจธาตุระดับหนึ่งสามารถไปได้บริเวณรอบ ๆ 5 มหาทวีป”หญิงสาวพูดหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ชิงสุ่ยตะลึง ถ้าหากปักธงได้แค่รอบ 5 มหาทวีป ดังนั้นการจะปักธงมหาทวีปที่ 3 ระดับของเขาจะต้องพัฒนาขึ้นสูงไปอีก
“อย่างนั้นเหรอ ดูเหมือนว่าข้าคงเดินทางตามใจชอบไม่ได้สินะ”ชิงสุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ
“ไม่เป็นไรหรอก การฝึกฝนถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่รึ เมื่อพลังของเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าก็ยืมพลังจากสัตว์อสูรเสียสิ แม้จะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ต้องมีหนทางแน่ๆ”หญิงสาวพูดปลอบใจเพราะเข้าใจความรู้สึกของชิงสุ่ย
“ก็ได้ แล้วท่านคิดจะพักอยู่ที่มหาทวีปอู่เซียตะวันตก?นานเท่าไรหรือ” ชิงสุ่ยถาม
“ก็คงจะสักพักแหละ ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าข้ามประตูเทวะแห่งเต๋า ข้าจะพาลู่หยานและหยวนเอ๋อไปด้วย พลังของพวกนางน่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”หญิงสาวพูดอย่างมีความสุข
“นับเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว!”
หลังจากอาหารเย็น พวกเขานั่งคุยกันพลางดื่มชาจนท้องฟ้าเริ่มมืด
“ท่านอาจารย์ พวกเรามานอนด้วยกันเถิด” ถานท่าย หยวนถาม
ฟู่ว!!!
ชิงสุ่ยสำลักน้ำชาทันทีหลังจากได้ยินเช่นนั้น ก่อนเขาจะเช็ดปากอย่างประหม่าเล็กน้อย
ถานท่าย หยวนมองชิงสุ่ยอย่างแปลกใจ ในตอนนั้นหญิงสาวจ้องไปที่เขา “เจ้ากำลังคิดอะไรอย่างอื่นอยู่รึไง? ผู้หญิงสองคนนอนด้วยกันไม่ได้รึ?”
“แน่นอน..นอนได้สิ…”
อวี้ ลู่หยานอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันได้พูด ชิงสุ่ยก็ชิงตัดบทเสียก่อน “ลู่หยาน ข้ามีอะไรบางอย่าง อยากจะบอกเจ้า”
ทั้งถานท่าย หยวนและหญิงสาวเดินออกไป เหลือไว้แต่อวี้ ลู่หยานและชิงสุ่ย เพราะพวกเธอจะออกเดินทางพรุ่งนี้ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่อยากปล่อยเธอทั้ง ๆ อย่างนี้ อันที่จริงอวี้ ลู่หยานรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น แก้มของเธอแดงระเรื่อทันทีเมื่อมองชิงสุ่ย
อวี้ ลู่หยาน, “……”
“เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ..ท่านอาจารย์ของข้าก็อยู่ที่นี้นะ” อวี้ ลู่หยานพยายามปฏิเสธด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ในตอนนั้นชิงสุ่ยพาเธอไปถึงเตียงเสียแล้ว
“ไม่จำเป็นหรอกว่าใครจะอยู่ที่นี้ เรื่องนั้นค่อยคิดหลังจากพวกเราทำอะไรสนุก ๆ เสร็จเรียบร้อยก็ได้ ..ดูเจ้าสิ ทั้ง ๆ ที่ตอบสนองต่อข้าเช่นนี้ เจ้ายังจะพูดว่าไม่อยากร่วมเตียงกับข้าอีกหรือ?”ชิงสุ่ยยิ้มพลางลูบไล้ยอดปทุมถันของเธอ
อวี้ ลู่หยานรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไร เธอเองก็คิดถึงชิงสุ่ยเช่นกัน ท่าทางของเธอจึงเริ่มผ่อนคลายและมีความสุขร่วมกับเขา
ชิงสุ่ยค่อย ๆ บรรจงจูบใบหน้าของเธอ..ปาก..จมูก ดวงตา ใบหูและลำคอ..
หลังจากนั้นเขาเริ่มลิ้มรสยอดปทุมถันของเธอราวกับหิวกระหาย เนินอกเนียนนุ่มของอวี้ ลู่หยานเป็นทรงสวยงาม ทั้งนุ่ม ทั้งเนียนและเป็นทรงกว่าเมื่อก่อน และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เพียงแค่มองหน้าอกของเธอก็ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์
หลังจากลิ้มรสยอดปทุมถันของเธอ ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เขายังคงหยอกล้อกับเนินอกของเธออยู่อย่างนั้น..
เธอส่งเสียงกระเส่าอย่างมีเสน่ห์ จนใครที่ได้ยินคงต้องตัวสั่นเทา
……
ในตอนนั้นที่ชิงสุ่ยยังคงหยอกล้อกับเนินอกของเธอ ร่างของอวี้ ลู่หยานสั่นระรัว ในขณะที่อีกห้องหนึ่ง หญิงสาวกำลังบ่นพึมพำเบา “ทำไมข้าถึงมีอารมณ์ร่วมกับพวกนั้นผ่านทางจิตได้ละเนี่ย..”
“ท่านอาจารย์ เป็นอะไรหรือ?”ถานท่าย หยวนถามเมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาวเปลี่ยนไป
“ข้าไม่เป็นไร นอนเถอะนะ พรุ่งนี้เช้าเจ้าต้องรีบตื่นไปฝึกฝนนี่..”
ถานท่าย หยวนรู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดสังเกต เธอจึงล้มตัวลงนอน
หญิงสาวนอนหันหลังให้ถานท่าย หยวน ในตอนนั้นเธอสัมผัสได้ถึงอารมณ์ใคร่และความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งขึ้น
สถานการณ์ของเธอในตอนนี้คล้ายกับถานท่าย หยวนในอดีต เธอสัมผัสได้ว่าธงสวรรค์ปัญจธาตุนั้นส่งผลบางอย่างต่อเธอ นั่นเพราะเธอรู้สึกว่าตัวเธอเองเป็นอวี้ ลู่หยานในตอนนี้ ดังนั้นความรู้สึกของอวี้ ลู่หยานที่กำลังร่วมเตียงกับชิงสุ่ยจึงส่งมาที่เธอ จนเธอมีอารมณ์ร่วมไปกับพวกเขา
หญิงสาวได้แต่นอนกัดฟัน พยายามอดกลั้นไว้..
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกเช่นนี้ได้
หลังจากนั้นเธอตัดสินใจตรงไปที่เตียงของชิงสุ่ยและอวี้ ลู่หยาน ทันที
ทั้งชิงสุ่ยและอวี้ ลู่หยาน กำลังร่วมรักอย่างมีความสุข อวี้ ลู่หยานหลับตาพริ้มในขณะนั่งคร่อมอยู่บนตัวของชิงสุ่ย ชายหนุ่มปล่อยให้เธอเป็นผู้นำเพลงรักในครั้งนี้ โดยมีเขามองดูอยู่อย่างเพลิดเพลิน
ทันใดนั้นชิงสุ่ยรู้สึกถึงบางอย่างแปลกๆ จากธงสวรรค์ปัญจธาตุ ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาในชุดนอน
เธอไม่พูดอะไร ชิงสุ่ยมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ขณะที่อวี้ ลู่หยานไม่ทันรู้สังเกตเพราะเธอหันหลังให้หญิงสาวอยู่
ในขณะที่ร่างกายของชิงสุ่ยและ อวี้ ลู่หยานยังคงเชื่อมต่อกันเช่นนั้น ชิงสุ่ยยิ่งตกใจกว่าเดิมเมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาคว้าองคชาติของเขา
ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของชิงสุ่ยคือธงสวรรค์ปัญจธาตุคงส่งผลบางอย่าง แต่เขาไม่คิดว่ามันจะส่งผลในกรณีแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถร่วมรักกับใครได้ในอนาคต ? ชิงสุ่ยตกใจจนน้องชายตัวน้อยของเขาเริ่มอ่อนตัวลง
ชิงสุ่ยรู้สึกเจ็บจนต้องร้องขอให้เธอปล่อยมือ หญิงสาวมีท่าทีเปลี่ยนไป เธอกระซิบข้างหูชิงสุ่ยบอกให้เขารีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย
ชิงสุ่ยพยักหน้าเพราะเธอกุมของสำคัญของเขาอยู่มือ.. นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยรู้สึกอับอายจนอยากหมดสติ
ก่อนหญิงสาวเดินจากไป เธอบีบองคชาติของชิงสุ่ยทิ้งท้าย จนชิงสุ่ยใจหายวูบ เธอเดินจากไปด้วยท่าทางเหมือนนางมารร้ายแต่ก็เป็นนางร้ายที่ดูงดงามมาก ชิงสุ่ยรู้ทันทีว่าเธอมีพลังมหาศาล เขาไม่น่าดูถูกเธอเลยจริง ๆ
หลังจากหญิงสาวจากไป ชิงสุ่ยรีบลงมือ เขาลูบก้นอวบของอวี้ ลู่หยานก่อนจะครางออกมา ร่างของอวี้ ลู่หยานสั่นสะท้าน เธอสบถใส่ชิงสุ่ยเบา ๆ “เจ้าคนบ้า!”
แม้หญิงสาวจะเข้ามาเตือนชิงสุ่ยแล้ว แต่ชิงสุ่ยก็ยังคงร่วมรักกับอวี้ ลู่หยานเกือบชั่วโมงและตอนนี้อวี้ ลู่หยานก็กำลังนอนหลับด้วยใบหน้าพึงพอใจ แต่ชิงสุ่ยยังไม่นอน เขาสวมเสื้อผ้าและเดินออกมานอกห้อง
ทันทีที่เขาเดินออกมา เขาสังเกตเห็นร่างของใครบางคนที่หลังคาซึ่งอยู่ที่อาคารใกล้ ๆ แน่นอนว่าคน ๆ นั้นคือท่านปรมจารย์ป้าที่อยู่ในชุดนอน ชิงสุ่ยเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะสังเกตใบหน้าของเธอที่กำลังแดงระเรื่อ เธอมีสีหน้าเหมือนหญิงสาวที่เพิ่งถึงจุดสุดยอด
ชิงสุ่ยยังสังเกตเห็นว่าส่วนล่างของหญิงสาวชุ่มช่ำ..
“มองอะไร? รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง!?”หญิงสาวถามอย่างขุ่นเคือง
“ข้าคิดเรื่องนี้แล้ว..ท่านจะให้ข้าทำอย่างไรดี?”ชิงสุ่ยรู้สึกเศร้าจริง ๆ เพราะเรื่องที่เกิดกับถานท่าย หยวน ครั้งก่อนก็ทำให้เขารู้สึกแย่พอแล้ว และครั้งนี้ยังเกิดเรื่องกับท่านอาจารย์ของถานท่าย หยวนอีก
อันที่จริงชิงสุ่ยยังไม่เข้าใจที่เรื่องที่เธอทำไปเมื่อครู่ เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“หึ ข้าจะไม่โทษเจ้า เพราะเจ้าสามารถช่วยข้าเข้าไปในประตูเทวะแห่งเต๋า แต่เจ้าต้องมั่นใจว่าจะดูแลหยวนเอ๋อและลู่หยาน อย่างดี”หญิงสาวมองชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าเป็นเพราะถานท่าย หยวนบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่แน่นอนว่าเธอจะต้องรู้ความจริงในไม่ช้าก็เร็ว เขาพยักหน้ารับและหลบสายตาของเธอ เธอทำให้หัวของชิงสุ่ยปั่นป่วนไปหมด บางทีอารมณ์ใคร่อาจสื่อไปไม่ถึงเธอหากพวกเขาอยู่ไกลกัน แต่ที่เธอเดินเข้ามาในห้องแล้วมาจับของหวงของชิงสุ่ยในตอนที่เขากำลังร่วมรักอยู่กับอวี้ ลู่หยานนั้น เหตุการณ์นี้ยังคงฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวชิงสุ่ย
หญิงสาวกลับไปที่ห้อง ชิงสุ่ยมองร่างของเธอที่หายลับไป เธอช่างเป็นหญิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่และกล้าหาญมากทีเดียว
ชิงสุ่ยเองก็กลับไปที่ห้อง เขามองท้องฟ้าก่อนจะเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะ
เมื่อผ่านเข้าไปในประตูเทวะแห่งเต๋า ร่างของชิงสุ่ยรู้สึกว่างเปล่าอีกครั้ง ดังนั้นตอนนี้ เขาสามารถรับพลังจากมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ได้และพอคิดเช่นนั้น ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา การเกิดการก้าวข้ามของประตูเทวะแห่งเต๋าจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ของชิงสุ่ย
และหากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีใครใน มหาทวีปอู่เซียตะวันตกสามารถหยุดเขาได้อีกต่อไป ชิงสุ่ยรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับนิกายปฐพีซ่อนเร้น และพวกคนป่าเถื่อนพวกนั้นอีกต่อไป
ภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ชิงสุ่ยสามารถหลอมรวมพลังให้ ธงสวรรค์ปัญจธาตุได้นับครั้งไม่ถ้วน
แต่ในครั้งนี้เขาต้องดูดซับพลังโดยอาจใช้เวลาสักสองสามวันหรือมากกว่านั้น แต่ชิงสุ่ยก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ถ้าเขาสามารถปักธงได้ เขาก็จะออกจากมหาทวีปนี้และกลับไปเยี่ยมครอบครัว และคงจะดีไม่น้อย หากธงสวรรค์ปัญจธาตุ สามารถพาสมาชิกทุกคนมาที่นี้ได้ด้วย
บทที่ 1292 – พลังที่เพิ่มขึ้น ธงสวรรค์ปัญจธาตุ ขั้นที่ 1 หนอนไหมมังกรทอง หนอนไหมโลหิตเยือกแข็ง
ทุกอย่างค่อย ๆ ดีขึ้นและนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้ ชิงสุ่ยไหลเวียนพลังจนถึงขั้นสุดและหลอมรวมพลังทั้งหมด
ในตอนนี้ชิงสุ่ยสามารถดูดซับพลังของประตูเทวะแห่งเต๋าล่วงหน้าได้ โดยนับเวลาเช่นเดียวกับโลกภายนอก ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุขที่เขาสามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง
บูม!
ในตอนที่ชิงสุ่ยค่อย ๆ ผ่อนคลาย ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยพลังมหาศาล แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอันตรายแต่อย่างใด ซึ่งนี่ไม่ได้หมายความว่าพลังที่ชิงสุ่ยได้รับในครั้งนี้ด้อยกว่ารั้งก่อน แต่เป็นเพราะ“ขุมพลัง”ในร่างกายของเขาค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นจากประตูเทวะแห่งเต๋า
ชิงสุ่ยตั้งสมาธิดูดซับพลังอย่างระมัดระวัง ซึ่งการระวังตัวไว้ก่อนนั้นย่อมดีที่สุด เขาพยายามทำให้ร่างกายของเขารองรับพลังได้มากที่สุด
อวัยวะของชิงสุ่ยค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แก่นแท้แห่งโลหิต ในร่างกายของเขาค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อและพลังวิญญาณของเขาเองก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกันดาราสีทองและกลุ่มจักรวาลในทะเลแห่งปัญญา รวมถึงก้อนเม็ดสีทองในจุดตันเถียนก็ขยายขนาดขึ้นเช่นกัน
แสงสีทองส่องประกายรอบๆ ตัวเขา พลังสีม่วงในร่างกายของเขาค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและลดลงสลับกัน เมื่อพลังที่ชิงสุ่ยดูซับมาค่อย ๆ หมดไป ชิงสุ่ยก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
เวลาในดินแดนหยกยุพราชอมตะผ่านไป 7 วัน ชิงสุ่ยหลอมรวมพลังได้สำเร็จ ครั้งนี้เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าเหมือนครั้งก่อนและไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในร่างกายของเขา ต่างจากครั้งแรกและครั้งที่สองที่เขาอยู่ในสภาพเลือดท่วมตัว
ชิงสุ่ยลืมตาและพยายามสัมผัสพลังในร่างกายของเขา ก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ
ตอนนี้พลังของเขาสูงถึง 20,000 เมฆา ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 สุริยะ ก่อนหน้านี้เขามีพลังเพียง 12,000 เมฆา นั่นหมายความว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นมาถึง 8,000 เมฆา หากเทียบกับครั้งก่อน พลังในครั้งนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่าตัว
ครั้งนี้มีเพียงพลังพื้นฐานของเขาที่เพิ่มขึ้น แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ ในทางกลับกันชิงสุ่ยรู้สึกพอใจเสียด้วยซ้ำ
พลังโจมตีทางร่างกายของเขากลายเป็น 3,700 สุริยะ ภายอิทธิพลของก้อนเม็ดเจ็ดสี กระบี่ดารายุพฆาต เกราะอสูรสำแดง ก้อนเม็ดสีทอง และการโจมตีของหุบเขา 9 เทวา ทั้งหมดนี้สามารถทำให้พลังของชิงสุ่ยกลายเป็น 7,400 สุริยะ
ชิงสุ่ยยิ้ม ถ้าเขาใช้หุบเขา 9 เทวากระแทกลงไปบนพื้นดิน แล้วคนในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก จะหยุดเขาได้? หุบเขา 9 เทวา มีพลังที่แข็งแกร่งมาก แม้อีกฝ่ายจะมีพลัง 10,000 สุริยะ แต่ด้วยพลัง 7,400 สุริยะของเขาก็สามารถทำให้อีกฝ่ายต้องยอมถอยเช่นกัน
ภายใต้อิทธิพลก้อนเม็ดเจ็ดสี ลูกประคำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ กระบี่ดารายุพฆาต เกราะอสูรสำแดง ก้อนเม็ดสีทองและ รูปแบบดาราจักร พลังวิญญาณสามารถเพิ่มขึ้นไปจนเกือบถึง 7,400 สุริยะ ถ้าเขาใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะเพิ่มขึ้นมากถึง 13,000 สุริยะ และถ้าทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า พลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 26,000 สุริยะ
ชิงสุ่ยดีใจที่เขามีพลังมากมายขนาดนี้ เพราะการข้ามประตูเทวะแห่งเต๋า เขาสามารถสยบคนที่ไม่เคยเดินผ่านประตูนี้ได้แล้ว พลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจริง ๆ
ชิงสุ่ยที่มีพลังเปี่ยมล้น เขาเริ่มวางแผนสำหรับอนาคตของเขา การหลอมรวมพลังในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกเข้าใกล้ขั้นที่ 8 มากขึ้น เมื่อมองไปรอบ ๆ เขาสังเกตเห็นบันไดยาวด้านล่างโดยที่เขายังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ชิงสุ่ยคิดว่าสักวันเขาจะต้องมองเห็นปลายทางของประตู ในตอนที่เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
นอกจากนี้เขารู้สึกว่ากำลังเข้าใกล้อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจมากขึ้นแต่ก็ยังเลือนราง ชิงสุ่ยหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในที่สุดก็สามารถใช้พลังของเทวะแห่งเต๋าและพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นวันที่เขาจะก้าวข้ามถึงอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
หลอมรวมพลัง!
ไม่เพียงแต่แก่นแท้แห่งโลหิตจะเพิ่มขึ้น แต่ดูเหมือนว่าแก่นแท้แห่งโลหิตภายในสระโลหิตแก่นแท้ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน และพลังภายในก็แข็งแกร่งมากขึ้นด้วย
ในตอนนั้นเองหัวใจของชิงสุ่ยเต้นระรัว เมื่อมังกรสีทองยาว 2 นิ้วปรากฏตรงหน้าเขา
หนอนไหมมังกรทอง!
ความจริงแล้วมันคือหนอนไหมสีทองตัวเล็ก แต่ตอนนี้พลังของมันเพิ่มขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงในสระโลหิตแก่นแท้ทำให้หนอนไหมเกิดการก้าวข้ามไปด้วย
ร่างของมันตอนนี้ใหญ่กว่าเดิมสองเท่า เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยากจะอธิบายได้ มันมีเขาของมังกรปรากฏขึ้นที่หัว และหน้าตาของมันก็ดูคล้ายมังกรมากขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นกรงเล็บเล็ก ๆ ค่อยงอก ๆ ออกมาจากร่างกายของมันทั้งสองด้าน
กรงเล็บของมันงอกออกมาบริเวณข้างใต้หัว ขนาดของมันเท่ากับหัวแม่โป้งเท่านั้น รูปร่างของมันดูสมส่วน เขาคาดว่าในอนาคตจะต้องมีกรงเล็บงอกออกมาอีก 2 กรงเล็บ บริเวณใกล้ ๆ ปลายหางแน่ ๆ
น่าเสียดายที่มันไม่ใช่มังกรจริง ๆ แค่มีสายเลือดมังกรร่วมอยู่ด้วยเท่านั้น เพราะสายพันธุ์ที่เกิดการกลายพันธุ์ในอดีตกาล ปกติแล้วหนอนปรสิตมักจะเติบโตในร่างกายของสัตว์อสูรหรือมนุษย์ที่ทรงพลัง แต่ปรากฏการณ์แบบชิงสุ่ยนั้นคงมีน้อยมาก
ชิงสุ่ยพยายามพูดคุยผ่านจิตกับเจ้าหนอน แม้จะเป็นการพูดโต้ตอบอยู่ฝ่ายเดียว แต่ชิงสุ่ยคิดว่ามันเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เพราะอย่างไรแล้วเจ้าหนอนก็โตขึ้นเพราะได้พลังจากแก่นแท้แห่งโลหิตของเขา
ชิงสุ่ยปล่อยเจ้าหนอนลงไปในสระโลหิตแก่นแท้เช่นเดิม เขาสังเกตบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยกับหนอนไหมเยือกแข็ง 2 ตัว เส้นโลหิตปรากฏขึ้นบนร่างของมัน
หนอนไหมเยือกแข็ง!
เกิดการกลายพันธุ์ขึ้น!
ชิงสุ่ยรู้สึกยินดี ไม่ว่าจะเกิดการกลายพันธุ์กับสัตว์อสูรหรือพืชสมุนไพรก็ตาม การเกิดการกลายพันธุ์แต่ละครั้งมักนำอะไรดี ๆ มาด้วยเสมอ
หนอนไหมเยือกแข็งยังคงอยู่ในสภาวะทารก ขนาดร่างกายของมันใกล้เคียงกับหนอนไหมมังกรทอง ถ้ามันเจริญเติบโตมากกว่านี้ เขาอาจจะเก็บมันไว้ในดินแดนหยกยุพราชอมตะแทน
ชิงสุ่ยตัดสินใจหลอมรวมสมบัติวิเศษ เพราะเขาไม่หลอมของวิเศษมาเกือบ 7-8 วันแล้ว ดังนั้นต่อจากนี้ไปเขาจะไม่ละเลยอีก
ในวันที่ 60 ธงสวรรค์ปัญจธาตุประกายแสง 5 สีออกมา ชิงสุ่ยประหลาดใจจนหัวใจเขาเต้นกระหน่ำ
ระดับของมันเพิ่มขึ้น
ชิงสุ่ยไม่สนใจอะไรอีก เขารีบตรวจสอบดูทันมี
ธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวส่ง)!
ธงสวรรค์ปัญจธาตุ ขั้นที่ 1 โดยต้องหลอมรวมพลังกับแก่นแท้แห่งโลหิต 1 ครั้งต่อวัน และสามารถปักธงภายในแผนที่ของ ธงสวรรค์ปัญจธาตุได้ 1 จุด และหากต้องการปักธงในจำนวนมากขึ้น ระดับของพลังจะต้องพัฒนาขึ้นอีก และการเดินข้ามไปมาระหว่างจุดปักธงนั้นสามารถทำได้หนึ่งครั้งต่อเดือน
สถานะ: ได้รับการจดจำในฐานะผู้ครอบครอง
เขาสามารถสื่อสารผ่านทางจิตกับผู้ครอบครองธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวรับ) และการเดินทางไประหว่างทั้งสองก็ไม่มีข้อจำกัดในกรณีนี้
ในที่สุดเขาก็ปักธงได้สำเร็จหนึ่งจุด และเขาสามารถใช้งานได้เดือนละครั้ง ถือเป็นเรื่องดีสำหรับชิงสุ่ย เขารีบมองหาจุดปักธงบนแผนที่ของโลก 9 มหาทวีป
ในตอนนั้นชิงสุ่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เมื่อนึกถึงสิ่งที่หญิงสาวบอกไว้เพราธงขั้นที่ 1 สามารถปักได้บนแผนที่ของ 5 มหาทวีปเท่านั้น
ชิงสุ่ยมองแผนที่โลก 9 มหาทวีป การจะปักธงในแต่ละที่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและแผนที่ที่เขาได้จากตลาดนั้นก็เป็นส่วนเล็ก ๆ แน่นอนว่าจะต้องมีแผนที่สำหรับมหาทวีปอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แผนที่เหล่านี้ก็ไม่ค่อยแม่นยำเท่าไรนัก เนื่องจากโลก 9 มหาทวีปเป็นดินแดนกว้างใหญ่ อีกทั้งข้อมูลที่มีอาจจะเป็นข้อมูลเก่า
มหาทวีปธรรมไตร!
ชิงสุ่ยมองมหาทวีปธรรมไตรที่อยู่บน 5 มหาทวีป เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะเปลี่ยนที่ตั้งของจุดปักธงได้ไหมในอนาคต แต่ชิงสุ่ยไม่ลังเลอีกต่อไปเพราะนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แม้ย่างก้าว 9เทวายังไม่สามารถเดินข้ามไปมาระหว่าง 9 มหาทวีปได้และการพัฒนาทักษะนี้ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน ซึ่งชิงสุ่ยไม่รู้เลยว่าจะเกิดการก้าวข้ามเมื่อไร อาจจะสิบปีหรือมากกว่านั้น อย่างไรก็ตามความสามารถของมันในตอนนี้ก็มีประโยชน์เพียงพอแล้ว และก็ไม่ความจำเป็นจะต้องไปกังวลเรื่องของอนาคตในตอนนี้ด้วย
ราวกับว่ามีพลังเวทมนต์อยู่ในมือของชิงสุ่ย เมื่อเขาชี้ไปที่มหาทวีปธรรมไตร วงสีแดงก็ปรากฏขึ้น
ในที่สุดก็ปักธงได้สำเร็จ 1 จุด และเขาก็สามารถเดินทางไปที่นั้นได้ทันทีที่ต้องการ ยิ่งกว่านั้นถ้าเขาจะกลับมาที่นี้ เขาก็แค่เคลื่อนย้ายตัวเองไปหาท่านอาจารย์หญิงเท่านั้น เพราะว่าไม่มีข้อจำกัดระหว่างผู้ใช้
ตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกเหมือนได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อคิดลึกๆ ชิงสุ่ยก็แอบเสียใจ เพราะสถานการณ์ตอนนี้เหมือนได้เปรียบและเสียเปรียบ เพราะถ้าหญิงสาวเคลื่อนยาวตัวเองมาหาเขาในตอนที่เขาอยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ หญิงสาวจะไปโผล่ที่ไหน?
เธออาจจะถูกส่งเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะ..หากเขาอยู่ที่นั้นในตอนนั้น
ชิงสุ่ยหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะความต้องการของเขานั้นยิ่งใหญ่กว่า อย่างไรซะยังมีสิ่งที่เขาต้องสะสางให้เรียบร้อย สิ่งที่เขากังวลก็คือ เขาอาจจะไม่ถูกส่งกลับมาที่นี้ ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ชิงสุ่ยคิดเรื่องนี้เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน
วันต่อมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ เพื่อฝึกฝนในตอนเช้า
พลังที่เพิ่มขึ้นทำให้การเปลี่ยนแปลงในตัวเขา ในตอนที่ชิงสุ่ยหันไปรอบ ๆ เขาก็พบว่าหญิงสาวกำลังมองเขาอยู่จากในศาลา
ในตอนที่เธอเห็นว่าชิงสุ่ยก็กำลังมองเธอ เธอเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาอยู่ข้างกายชิงสุ่ยด้วยเวลาเพียงอึดใจเดียวจนชิงสุ่ยตกใจ
พลังของหญิงสาวมากถึง 20,000 เมฆา
ยิ่งชิงสุ่ยตกใจ เธอก็ยิ่งตกใจเช่นกัน ที่พลังของชิงสุ่ยเพิ่มขึ้นมากมายในเวลาเพียงไม่นาน เธอมองชิงสุ่ย ดวงตาคู่นั้นทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
“ข้าอาจจะกลับไปที่ 5 มหาทวีปในอีกไม่ช้า และข้าอาจจะเคลื่อนย้ายตัวข้ามาหาท่านอีก”ชิงสุ่ยบอกเธอ
ในตอนที่เธอได้ยินคำว่า “เคลื่อนย้ายร่าง” ใบหน้าของเธอดูแปลกตาไปทันที “ธงสวรรค์ปัญจธาตุของเจ้าบรรลุขั้นที่ 1 แล้วเหรอ?”
“ใช่ เพราะข้ามีของวิเศษช่วยเพิ่มพลัง น่าเสียดายที่ของสิ่งนั้นไม่สามารถใช้กับท่านได้”
“ข้าเข้าใจ แล้วจุดปักธงแรกล่ะ?”
“สำหรับขั้นที่ 1 สามารถปักได้ในบริเวณ 5 มหาทวีปเท่านั้น”ชิงสุ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าใจเล็ก ๆ
หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะพูดบางอย่างที่ทำให้ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไร “เจ้าห้ามเคลื่อนย้ายร่างมาตอนข้ากำลังอาบน้ำเด็ดขาดนะ!”
“ข้าไม่ทำหรอก..มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น”ชิงสุ่ยพูดอย่างเขินอาย
“หืม พ่อหนุ่ม เจ้ากำลังเขินหรือคิดว่าข้าไม่ดีพอสำหรับเจ้ากันแน่?”หญิงสาวดูท่าทางชอบใจเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาพูดอะไรไม่ออก เพราะเธอก็เป็นสาวงามเต็มตัวที่เหมือนกับผลไม้ใกล้สุกงอมจนน้ำหวานทะลักออกมา..
เมื่อชิงสุ่ยนึกถึงน้ำหวาน..เขาก็อดนึกถึงหญิงสาวในสภาพเมื่อกลางดึกเสียไม่ได้ …ภาพในตอนที่ส่วนล่างของเธอกำลังชุ่มช่ำ..
หญิงสาวมองชิงสุ่ยก่อนจะยื่นมือมาเชยคางของเขา จนชิงสุ่ยตะลึงอีกครั้ง ชิงสุ่ยรู้สึกเหมือนถูกเธอหยอกล้อ
“พ่อหนุ่ม ไม่ทราบว่าเจ้ากำลังมองอะไรงั้นเหรอ? จะเชื่อรึไม่ ก็ช่าง.. แต่ข้านี่แหละที่จะเป็นฝ่ายกลืนกินเจ้าเอง..”
แม้ท่าทางของเธอจะดูเป็นผู้ใหญ่และดูบริสุทธิ์ แต่สิ่งที่เธอพูดก็ทำให้ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าเขาควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี เขารีบใช้มือปัดมือของหญิงสาวออกไป
บทที่ 1293 – การเตรียมตัวกลับบ้าน ประมุขสุข พลังการรักษาของชิงสุ่ย
ตอนนี้ชิงสุ่ยไม่แน่ว่าเขาควรจะร้องไห้หรือยิ้มยินดีกันแน่ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ตูม!
เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น แม้จะไม่ดังแต่ก็ได้ยินอย่างชัดเจน ชิงสุ่ยมองหญิงสาวโผเข้าจูบเขาก่อนจะถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่หยุดเสียตอนนี้ เรื่องคงจะบานปลายแน่
“ท่านปรมาจารย์ป้า ถึงท่านอยากจะฉวยโอกาสจากข้า แต่ท่านก็ไม่ควรทำอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้”ชิงสุ่ยรู้สึกแปลก ๆ เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่ารู้สึกอย่างไร แต่เขารู้สึกว่าเขาไม่อยากเข้าใกล้เธอ
หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุข ชิงสุ่ยมองรูปร่างของเธอที่มีเสน่ห์ราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีจันทร์ฉายแสง ยิ่งกว่านั้นเขารู้สึกว่าเธอเปี่ยมไปด้วยความใคร่
และเขาไม่ค่อยชอบนิสัยนี้ของเธอเท่าไรนัก!
ก่อนหน้านี้ เธอเคยเข้าไปในห้องเขาและยังจับน้องชายสุดหวงของเขาจนชิงสุ่ยตกใจ เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นชิงสุ่ยยิ่งสงสัยว่าเธอเป็นผู้หญิงประเภทไหนกันแน่
“ก็ได้ งั้นพวกเราไปหาอะไรทานกันเถอะ หลังจากนั้นข้าจะไปหา ลู่หยานและหยวนเอ๋อ และถ้าเจ้าอยากกลับไป 5 มหาทวีป ก็ตามใจเจ้า ข้าจะไม่ไปจากมหาทวีอู่เซียตะวันตกสักพัก ดังนั้นถ้าเจ้าอยากกลับมาเมื่อไร เจ้าก็กลับมาได้ทุกเมื่อ”หญิงสาวบอก
“ตกลง!”
ชิงสุ่ยยิ้มและพยักหน้ารับ ตอนนี้ ธงสวรรค์ปัญจธาตุสามารถใช้ได้แค่เพียงครั้งเดียว เขาไม่รู้ว่าเขาสามารถพาใครมากับเขาด้วยได้หรือไม่ ชิงสุ่ยจึงรู้สึกเสียดายลึกๆ หากจะทำเช่นนั้น เขาคงต้องมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
อวี้ ลู่หยานไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามใบหน้าของเธอยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์จนอาจารย์และถานท่าย หยวนไม่สามารถละสายตาได้ ซึ่งถานท่าย หยวนรู้เหตุผลเบื้องลึกเป็นอย่างดี
“ลู่หยาน วันนี้เจ้าช่างงามจริง ๆ ถ้าเจ้าทำอะไรกับชิงสุ่ยแล้วเจ้าจะสวยขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”หญิงสาวยิ้มและมองชิงสุ่ยสลับกับ อวี้ ลู่หยาน
อวี้ ลู่หยานก้มหน้าลงเล็กน้อย ถานท่าย หยวน เองก็ก้มหน้าลงพลางทานอาหารของตน ชิงสุ่ยยิ้มอย่างปะหม่าก่อนจะตอบ “ไม่ใช่แค่เพียงทำให้สวยขึ้น แต่ยังเพิ่มอายุขัยและระดับพลังอีกด้วย..”
“ชิงสุ่ย…” อวี้ ลู่หยานปรามชิงสุ่ยทันที
“พอรู้ว่ามันมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ ข้าก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นแล้วสิ ลู่หยาน เจ้าว่ามันดีไหม?”อาจารย์หญิงมอง อวี้ ลู่หยาน อย่างสงสัย
ชิงสุ่ยรู้สึกว่าหญิงสาวกำลังหยอกล้ออวี้ ลู่หยาน ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร เขารู้สึกว่าเธอแสดงละครเก่งราวกับว่าเธอเป็นหญิงสาวผู้ไร้เดียงสาที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน
ในตอนเช้า หญิงสาวกล่าวลาชิงสุ่ย ก่อนชิงสุ่ยจะกอดอวี้ ลู่หยานและพูดบางอย่างกับเธอ หลังจากแยกย้าย อวี้ ลู่หยานก็ผลักถานท่าย หยวนไปหาชิงสุ่ย
“มาให้ข้ากอดเจ้าสิ เพราะในชีวิตนี้ มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชายของเจ้า”ชิงสุ่ยพูดและกอดเธอ เขาสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายอันบอบบางของอีกฝ่าย เช่นเดียวกับความรู้สึกของเธอที่ส่งผ่านมาถึงชิงสุ่ย จนแม้แต่ชิงสุ่ยก็เกือบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“หยวนเอ๋อ!”
“หืม!” ถานท่าย หยวน กอดชิงสุ่ยเบา ๆ เธอรู้สึกแปลกๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แม้ทั้งสองจะแสดงออกถึงความรู้สึกของทั้งคู่อย่างชัดเจน แต่ชิงสุ่ยก็จะรอจนเธอพร้อม ดังนั้นเขาต้องให้เธอเข้าใจถึงความรักและความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเสียก่อน ไม่อย่างนั้นพวกเขาทั้งสองอาจจะต้องเสียใจในภายภาคหน้า
“จูบข้า ก่อนเจ้าจะไปสิ”ชิงสุ่ยกระซิบบอกเธอข้างหู
“ไม่!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำเอง!”หลังจากพูดจบ ชิงสุ่ยก็กัดหูเธอเบา ๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้หูของเธอแดงระเรื่อ ร่างบางกอดชิงสุ่ยในขณะที่ตัวสั่นเทา
“พอเถอะ ท่านอาจารย์ยังอยู่รอบๆ ห้ามทำอะไรเกินเลยมากกว่านี้” ถานท่าย หยวน พูดอย่างเขินอาย
“ถ้าท่านอาจารย์ไม่อยู่ เจ้าก็จะยอมให้ข้าทำเลยเถิดงั้นเหรอ?”
“ไม่ ไม่มีทาง!” หญิงสาวตอบ
“จูบข้า ไม่อย่างนั้นข้าไม่รับปากว่าข้าจะทำอะไรต่อไป”
“ไม่!”
มือของชิงสุ่ยค่อย ๆ เลื่อนมือไปตามร่างกายของร่างของถานท่าย หยวน
“อย่าขยับ เจ้าคนบ้ากาม …ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก แต่เจ้าต้องรักษาสัญญาด้วย”ถานท่าย หยวนบอก
ชิงสุ่ยพยักหน้ารับ
ริมฝีปากอ่อนโยนประกบลงบนริมฝีปากเขาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใจเต้นระรัว
หญิงสาวผละจูบจากเขาอย่างรวดเร็ว
ชิงสุ่ยไม่อยากเร่งรัดเธอมากไปกว่านี้ นี้เป็นก้าวแรกสำหรับเธอ และชิงสุ่ยอยากให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลยสักนิด
“ดูแลตัวเอง และตั้งใจฝึกฝนล่ะ แล้วพวกเราค่อยไป 3 มหาทวีปพร้อมกัน”ชิงสุ่ยปล่อยมือเธอ
ถานท่าย หยวนเขินก่อนจะพยักหน้าและจากไป เธอรู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว นี้เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเช่นนี้ในช่วงหลายปีมานี้ ความรู้สึกราวกับฝันไป แต่ก็เป็นฝันที่เหมือนความจริง เป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยรู้จัก เป็นความรู้สึกที่วิเศษที่สุด
ความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนคงเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงแต่อาจจะยังไม่เจอคนที่ใช่ก็เท่านั้น อีกทั้ง หากรีบค้นหา ก็ยากที่จะเจอคนที่ใช่
อาจารย์หญิงไม่ได้เข้ามากอดชิงสุ่ย เธอเรียกสัตว์อสูรของเธอและจากไปพร้อมทั้งสอง
เขายืนมองจนทั้งสามหายลับไปจากสายตา แม้จะอยากใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวาไปส่งพวกเธอ แต่ชิงสุ่ยก็ตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้นเพราะเขาคิดว่าคงไม่มีใครทำอะไรพวกเธอได้
ทักษะย่างก้าว 9เทวา!
ชิงสุ่ยมุ่งหน้าไปยังสำนักสวรรค์เร้นลับ เขาควรจะกลับไปดูเสียหน่อย หากมีเวลา เขาก็อาจจะสำรวจรอบ ๆ 5 มหาทวีป เพราะครอบครัวและพวกพ้องของเขาก็อยู่ที่นั้น เขาน่าจะกลับไปได้สัก 3-5 วันต่อเดือน
สำนักสวรรค์เร้นลับ!
ชิงสุ่ยใช้เวลาไม่กี่วันก็มาถึงสำนักสวรรค์เร้นลับด้วยทักษะย่างก้าว 9เทวา
เหยียน จินยวี้, ชิงซา, และองค์หญิงลำดับเจ็ดอยู่ที่นั่น อวี้ซูหนี่ ยังไม่ออกจากการเก็บตัว เมื่อทุกคนเห็นชิงสุ่ย พวกเขาต่างยินดี ชิงซาเข้ามากอดชิงสุ่ยทันที
“พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง?”
“พวกเราสบายดี..ใช่มั้ยทุกคน?”
“แน่นอน ท่านพ่อ ท่านจะออกเดินทางอีกแล้วเหรอ?” ชิงซาถาม
“ข้ายังต้องเดินทางอีก ช่วงนี้ข้ามีสิ่งที่ต้องสะสางมากมาย เจ้าก็ตั้งใจฝึกฝนด้วยล่ะ แล้วเราค่อยมาคิดเรื่องอนาคตกัน ตกลงไหม?”ชิงสุ่ยลูบหัว ชิงซา
“อืม..ข้ารู้ ข้าจะตั้งใจฝึกฝน” ชิงซาพูดอย่างแน่วแน่
หลังจากฝึกฝนที่สวนอยู่พักหนึ่ง ชิงสุ่ยมุ่งหน้าไปยังสนามหญ้าของสำนัก ในเมื่อเขากลับมาเยี่ยมเยียนที่นี้ เขาก็ควรจะแวะไปเยี่ยมชายชราทั้งสอง ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็ช่วยเหลือชิงสุ่ยไว้หลายครั้ง และในอนาคตเขาก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากทั้งสอง ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี้ ชิงสุ่ยก็ไม่ต้องกังวลอะไรนัก
ในตอนที่ชิงสุ่ยไปถึงที่หมาย เขามองเห็นชายชรากำลังออกมา และเมื่อพวกเขาเห็นชิงสุ่ย พวกเขาก็แสดงท่าทางยินดี
“เจ้ากลับมาแล้วเหรอ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเยอะเลย!”ประมุขสุยที่อยู่ในชุดคลุมมังกรสีทองพูดขึ้น
ประมุขเฉาเองก็มองชิงสุ่ยอย่างประหลาดใจ
“ไม่เท่าไรหรอก ว่าแต่พวกท่านอยู่ดีมีสุขหรือไม่?”ชิงสุ่ยถามอย่างมีความสุข ชายชราทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกเหมือนได้กลับมาหาครอบครัว
“ดีสิ ดี..มา เข้ามานี่ มานั่งคุยกันเสียหน่อย”ประมุขเฉาชักชวน
“ชิงสุ่ย ครั้งนี้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นมาก ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้าได้รับเทวะแห่งเต๋ามาแล้วงั้นเหรอ” ประมุขสุยถาม
เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายถาม ชิงสุ่ยเองก็ประหลาดใจที่ชายชราสัมผัสพลังของเขาได้ นั่นเพราะประมุขสุยเองก็ได้รับเทวะแห่งเต๋า พลังของเขามีมากถึง 10,000 สุริยะ
ไม่แปลกเลยที่เขาจะกลายมาเป็นประมุขของสำนักสวรรค์เร้นลับ แต่น่าเสียดายเพราะเขาอายุมากแล้ว เขาจึงไม่สามารถพัฒนาพลังไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว
“ท่านพอจะรู้จักหัวหน้าของเทือกเขาปู๋โถว?”ชิงสุ่ยถามประมุขสุย
“นางไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ อย่างที่เห็นหรอก ว่ากันว่านางมาจาก 3 มหาทวีป และมาที่นี้เพื่อฝึกฝนเมื่อถึงเวลา นางก็กลับไป” ประมุขสุยตอบ
“นางเองก็ได้รับเทวะแห่งเต๋า” ชิงสุ่ยมองชายชราทันทีที่เขาพูดจบ
“เฮ้อ..นางเป็นปีศาจชัด ๆ นางแข็งแกร่งทั้ง ๆ ที่ยังอายุไม่มาก ทั้งยองปกครองมหาทวีอู่เซียตะวันตก เทวะแห่งเต๋าของนางคงยิ่งใหญ่มากในอนาคต”คำพูดของประมุขสุยทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ชิงสุ่ยไม่ถามอะไรอีก เขารู้เหตุผลที่ชายชราไม่ได้อธิบายรายละเอียดอะไรให้เขามากนัก เพราะประมุขสัยก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องราวของเธอนัก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชิงสุ่ยรู้คือ เขาไม่เข้าใจจิตใจของผู้หญิงจริงๆ..
ในโลกนี้ทุกคนใช้ชีวิตโดยสวมหน้ากากเอาไว้ และไม่ใช่แค่ชิ้นเดียว ทุกคนต้องสวมหน้ากากมากกว่าหนึ่งชิ้น เพื่อจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น
ชีวิตก็เหมือนการแสดง ทุกคนต้องแสดงละคร และละครของบางคนก็ไม่มีทางจบลง ในขณะที่ละครของบางคนกลับต้องจบอย่างน่าเศร้า…
“ท่านประมุข ให้ข้าท่านฝังเข็มให้ท่านอีกเถอะ อายุขัยของท่านยังมีปัญหาบางอย่าง ข้าอยากลองทำให้เทวะแห่งเต๋า ไหลเวียนอย่างสะดวก”ชิงสุ่ยคิดก่อนจะบอกอีกฝ่าย
ประมุขสุยตะลึงก่อนจะมองชิงสุ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ แม้เขาจะยังได้รับเทวะแห่งเต๋ามาไม่นาน แต่เขาก็รู้ว่าเขาเหลืออายุขัยไม่มากแล้ว สิ่งนี้ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกเสียดาย
แม้ว่าผู้ฝึกตนจะได้รับอายุขัยจากระดับพลังของเขา แต่น่าเสียดายที่โรคร้ายมักปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
ครั้งก่อนชิงสุ่ยช่วยเพิ่มอายุขัยให้เขา แม้เขาจะไม่รู้ว่าอายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นเท่าไร แต่ชายชราก็ไม่คิดจะยืดอายุขัยตนอีก ทว่าชิงสุ่ยเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน สถานการณ์จึงต่างกัน
“เป็นไปได้อย่างนั้นเหรอ? เจ้ามีทักษะด้านการรักษาด้วยรึ แล้วเจ้าบอกวิธีพวกข้าก่อนออกเดินทางไป 3 มหาทวีปได้รึไม่? ข้าคิดว่ามีผู้ฝึกตนมากมายที่น่าจะเจอปัญหาเดียวกัน” ประมุขสุยมองชิงสุ่ยอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ให้ข้าลองดูเถอะ แล้วท่านทั้งสองจะได้รู้..”ชิงสุ่ยได้รับเทวะแห่งเต๋า อีกทั้งพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นมาก เขาจึงค่อนข้างมั่นใจ
เข็มทองคำ 9 หยาง!
ครั้งนี้ชิงสุ่ยใช้เวลานานกว่าครั้งก่อน ราวๆ 4 ชั่วโมง แม้เขายังไม่สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งสกปรกหรือโรคร้ายออกจากร่างกายของพวกเขาได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็สามารถกำจัดออกไปได้สัก 2-3 จุด ยิ่งกว่านั้นเขายังมอบเหล้าดอกบ๊วยผลิบานให้ประมุขทั้งสองอีกด้วย แม้เขาจะไม่สามารถยืดอายุขัยได้อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อีกพันปี..
1,000 ปี….เท่านี้ชิงสุ่ยก็พอใจมากแล้ว เพราะนี้เป็นอายุที่ทั้งสองควรจะมีตั้งแต่แรก.. แต่เพราะสภาพร่างกาย ทั้งสองจึงไม่สามารถมีอายุยืนขนาดนั้นได้
หลังจากผ่านไป 4 ชั่วโมง ประมุขสุยมองชิงสุ่ยอย่างประหลาดใจ นั่นเพราะเขาตระหนักได้ว่าร่างกายของเขาดีขึ้น จนเขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
บทที่ 1294 – ร่างกายสองแบบที่เหมาะกับการฝึกทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะ การเตรียมพร้อม
ชายชราเองพอจะรู้ว่าสภาพร่างกายของเขาเป็นเช่นไร และตอนนี้เขาก็ได้รับการรักษา เขามองชิงสุ่ยอย่างประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ ราวกับคนในโลกก่อนหน้าของชิงสุ่ยที่สามารถหายจากมะเร็งได้
ชิงสุ่ยมองชายชราที่ดูตกใจจากผลการรักษา
“ถ้าไม่เกิดกับตัวข้า ข้าไม่มีทางเชื่อแน่ ชิงสุ่ย..ข้าจะไม่พูดอะไรมาก ข้าแค่จะสัญญาว่าข้าจะช่วยเหลือเจ้าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ของข้า”ชายชรายิ้มและมองชิงสุ่ยอย่างขอบคุณ
ชายชราขอบคุณชิงสุ่ยจากใจจริง เพราะชีวิตที่เหลืออยู่นี้เขาสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย..เพื่อครอบครัว จากนี้ไปเขาสามารถรับพลังของเทวะแห่งเต๋าได้แล้ว หรือพัฒนาพลังเพิ่มขึ้น เพราะตอนที่เขาเข้าไปในประตูเทวะแห่งเต๋า เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าพลังชีวิตของเขาเหลือน้อยเต็มที ไม่มีใครยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้ และตอนนี้เขาก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง เขาต้องดีใจอย่างแน่นอน
แม้จะเสี่ยงล้มเหลว แต่เมื่อได้ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
“ประมุขเฉา พรุ่งนี้ข้าจะดูอาการของท่านอีกครั้ง”ชิงสุ่ยบอก
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน” ประมุขเฉาตอบกลับอย่างมีความสุข
ประมุขเฉาและประมุขสุยสนิทสนมกันราวกับเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดจริง ๆ และเมื่อมีชะตาให้เป็นพี่น้องกันในโลกนี้ พวกเขาก็ปลงใจจะไปพบกันที่โลกหลังความตายเช่นกัน แต่เมื่อรู้ว่าพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ พวกเขารู้สึกมีความสุขที่สุดที่เคยมีมา
ชิงสุ่ยกลับไปปรุงอาหารให้หญิงสาวทั้งสาม ชิงซาตัวติดกับชิงสุ่ย แต่ถึงแม้เขาจะยุ่ง ชิงสุ่ยก็ไม่ลืมที่จะแสดงความรักต่อเธอในฐานะพ่อเช่นกัน
เขาได้คุยกับชายชราทั้งสอง ชิงสุ่ยได้รู้ว่าสำนักสวรรค์เร้นลับนั้นมีชื่อเสียงในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ใครก็ตามที่หาเรื่อง สำนักสวรรค์เร้นลับมักจะพบผลลัพธ์ที่น่ากลัว
ดังนั้นชิงสุ่ยจึงวางใจมากขึ้นแม้ตัวเขาจะไม่อยู่ที่มหาทวีปอู่เซียตะวันตก ก่อนหน้านี้ตัวเขาคงกังวลมากไป เพราะถึงแม้จะไม่มีเขา สำนักสวรรค์เร้นลับก็ปลอดภัยดี
“ท่านพ่อ ถ้าท่านออกเดินทางครั้งนี้ ท่านพาข้าไปด้วยได้ไหม?” ชิงซานั่งข้างๆชิงสุ่ยระหว่างทานอาหาร
ชิงสุ่ยยิ้มก่อนจะส่ายหน้า “อยู่ที่นี้และตั้งใจฝึกฝน ชีวิตของเจ้ายังอีกยาวไกล อย่าเพิ่งมาเสียเวลาเพราะพ่อเลย”
เธอรับคำอย่างเสียใจเล็กน้อย “ก็ได้ ข้าจะฟังที่ท่านพ่อบอก”
“หืม..เจ้าน่าจะรู้ว่าพลังนั้นสำคัญอย่างไร อย่าเพิ่งยอมแพ้ เมื่อเจ้าแข็งแกร่งขึ้น ก็ไม่มีปัญหาใดจะขวางเจ้าได้”ชิงสุ่ยบอก
เธอพยักหน้ารับ
ความสัมพันธ์ระหว่างชิงสุ่ยและองค์หญิงลำดับเจ็ดนั้นยังถือว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้เขาจะไม่รู้ว่าองค์หญิงใหญ่ และองค์หญิงลำดับเจ็ดสนทนากันเรื่องอะไร แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขาและองค์หญิงใหญ่ เกือบทำให้ทั้งสองต้องผิดใจกัน
แต่เรื่องนี้ก็ต้องพักไปก่อน แม้พวกเขาอาจจะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ชิงสุ่ยก็ไม่รู้ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร อย่างไรซะ เขาและองค์หญิงลำดับเจ็ดในตอนนี้ก็คือเพื่อนที่ดีต่อกัน
เหยียน จินยวี้เคยเป็นพี่สาวร่วมสาบานของชิงสุ่ย และเธอก็ดูแลเขาดีมากทั้งทางร่างกายและจิตใจ เป็นการดูแลแบบที่พี่สาวมีให้น้องชาย
ความสัมพันธ์ของชิงสุ่ยต่อตระกูลเหยียนในตอนนี้ มีเพียง เหยียน จินยวี้รวมถึงญาติพี่น้องของเหยียน จินยวี้เท่านั้น หากมีการเปลี่ยนรุ่นในตระกูล ชิงสุ่ยก็อาจจะเข้าไปสร้างความสนิทสนมกับพวกเขาอีกครั้ง เพียงแต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้
คืนนั้นชิงสุ่ยเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะ
ระหว่างกำลังเก็บสมบัติล้ำค่า ชิงสุ่ยมองไปที่ตำราทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะ เขาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่หญิงสาวพูดก่อนหน้านี้ ก็คือหากไม่มีสายเลือดของสัตว์อสูรถือเป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝนมัน
ชิงสุ่ยเคยได้รับปราณมังกรมาครั้งหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นเขายังมีร่างกายที่พิเศษ เขาจึงไม่สิ้นหวัง
เขารู้สึกว่าถ้าเขาพยายามอีกครั้ง เขาอาจจะสัมผัสได้ว่าทักษะนั้นปฏิเสธเขาหรือไม่ เพราะหากไม่ลองฝึกทักษะนี้ เขายิ่งรู้สึกเสียดาย
ชิงสุ่ยเลิกคิดมากและอ่านทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะ
เงื่อนไขแรกของการฝึกฝนก็คือต้องมีสายเลือดของเผ่าสัตว์อสูร แม้เงื่อนไขนี้ไม่ได้จำกัด แต่คำว่า “ชนเผ่าของพวกเรา” ทำให้มันมีความเจาะจง
อีกเงื่อนไขคือมีพลังไม่ต่ำกว่า 7,000 สุริยา สิ่งสำคัญคือหากล้มเหลวในการฝึก ทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะ คนๆนั้นจะไม่สามรถฝึกฝนได้อีก
ทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะจะทำคุณสมบัติของสัตว์อสูรตื่นขึ้นในร่างกายของผู้ฝึกตน หาก ทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ คนผู้นั้นก็สามารถนำพลังสัตว์อสูรนั้นไปใช้ในการต่อสู้ได้ ซึ่งต่างจากภาพหลอนในรูปแบบแรก เพราะขั้นตื่นขึ้นของพลังนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า และมีพลังแข็งแกร่งเสมือนสัตว์อสูรตัวจริง
การจะทำให้ตื่นขึ้นนั้นเกี่ยวข้องกับแก่แท้แห่งโลหิต!
แก่นแท้แห่งโลหิตของเผ่าสัตว์อสูรมีความคล้ายครึ่งกับของสัตว์อสูร และอัตราความสำเร็จนั้นจะยิ่งสูงขึ้น การใช้โลหิตจากร่างมนุษย์ที่มีอัตราสำเร็จค่อนข้างต่ำ หากล้มเหลวอาจมีโอกาสตายถึง 80% และโอกาสรอด 20% เท่านั้น และคนๆ นั้นจะไม่สามารถฝึกทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะได้อีกในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องเสี่ยงดวงกันทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม มีการกล่าวถึงคนสองประเภทที่สามารถฝึกทักษะนี้ได้สำเร็จ 100% คนประเภทแรกคือคนที่มีหัวใจแห่งสัตว์อสูรหรือ สัตตะดวงใจลี้ลับ
หลวนหลวนมีโอกาสฝึกฝนทักษะนี้ได้สำเร็จ 100%!
ชิงสุ่ยนึกถึงอัจฉริยะในนิกายสันโดษที่มีหัวใจแห่งสัตว์อสูรพวกเขาฝึกฝนทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะได้ในอนาคตและมีอัตราสำเร็จ 100% ไม่แปลกใจเลยที่นิกายของพวกเขาเป็นใหญ่ในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ราวกับว่าพวกเขามีไพ่ไม้ตายซ่อนอยู่
ระหว่างสัตตะดวงใจลี้ลับกับหัวใจแห่งสัตว์อสูรอะไรคือสิ่งที่แข็งแกร่งกว่ากัน?
ชิงสุ่ยไม่พบลูกสาวของเขานานมากแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าหลวนหลวนแข็งแกร่งระดับไหนในตอนนี้ ถ้าคาดคะเนจากอายุของเธอระดับพลังของเธอก็น่าจะเพิ่มขึ้น หลอดเลือดและหัวใจของเธอก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ด้วยความสามารถของชิงสุ่ยในตอนนี้ หลายคนคงเลิกยุ่งกับตระกูลชิงและชิงสุ่ยก็ได้ฝึกฝนพวกเขามากมาย ดังนั้นถึงเวลาที่จะต้องพัฒนาตระกูลให้ระดับสูงขึ้น แต่คงจะง่ายกว่าหากเริ่มโดยการฝึกฝนรุ่นต่อไป
ถึงอย่างนั้นชิงสุ่ยก็ไม่ได้สิ้นหวังต่อตระกูลชิง ความพยายามเกือบครึ่งหนึ่งของเขาก็เพื่อตระกูลชิง เพื่อให้ตระกูลของเขาอยู่อย่างยืนยาวและมีความสุข
เขาไม่เคยกลัวงานลำบาก ตราบเท่าที่มีสมาชิกครอบครัว ดังนั้นเขาจึงไม่ย่อท้อ
ชิงสุ่ยคิดเรื่องต่าง ๆ มากมาย คงไม่ใช่เรื่องแย่หากจะปล่อยให้ตระกูลชิงอยู่ใน 5 มหาทวีปในตอนนี้ แน่นอนว่าถ้า ทักษะย่างก้าว 9เทวาหรือ ธงสวรรค์ปัญจธาตุเปิดใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ เขาคงเดินทางไปมาได้หลายที และเขาตัดสินจะพาทุกคนไปพร้อม ๆ กับเขาด้วย ชิงสุ่ยจึงไม่ยอมแพ้เรื่องนี้ เพราะในเมื่อเขาเลือกเส้นทางแห่งผู้ฝึกตนแล้ว เขาก็จะพยายามเพื่อทุกคน
เมื่อมอง ทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะ ชิงสุ่ยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาอยากจะฝึกฝน แต่เขากลัวว่าจะล้มเหลว ถึงแม้เขาจะมีสายเลือดของเผ่าสัตว์อสูร โอกาสที่จะล้มเหลวก็ยังคงสูง
ร่างกายของเขาเคยได้รับปราณแห่งมังกรมาก่อนหน้านี้ และมังกรก็ถือเป็นสัตว์อสูรที่อาจจะเป็นสัตว์อสูรอมตะ อย่างน้อยพวกมันก็เป็นสัตว์อสูรอมตะที่อาจจะแข็งแกร่งระดับอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจ
ชิงสุ่ยตะลึง ทำไมเขาถึงเพิ่งคิดได้ ..สัตว์อสูรที่ว่านั้นหมายถึงมังกรที่แท้จริง…หรือว่ามังกรมรกตที่เขาเคยพบในทะเลแห่งปัญญา?
ถ้าอย่างนั้นลูกมังกรก็อยู่ในเงื่อนไขด้วยรึเปล่า?
ชิงสุ่ยมองตำราอย่างร้อนรน แม้จะอันตรายเกินกว่าจะฝึกฝน แต่ก็น่าเสียดายหากจะทิ้งไว้เฉย ๆ
หลังจากลังเล เขาหยุดอ่านตำรา ตอนนี้แข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขาอาจจะพบสมบัติแห่งสวรรค์และโลก หรือตัวยาบางอย่างที่อาจช่วยให้เขาทำสำเร็จ 100% ในการฝึกทักษะ ดังนั้นเขาควรสงบใจลง
เขาเริ่มฝึกตามปกติคือเพิ่มกำลัง ฝึกฝนและฝึกการปรุงยา ชิงสุ่ยหวังว่าเขาจะเพิ่มระดับของธงสวรรค์ปัญจธาตุ ได้โดยเร็ว หากสำเร็จเขาก็จะเดินทางได้สะดวกขึ้น
วันต่อมาชิงสุ่ยฝังเข็มให้ประมุขเฉา แม้การกระทำเช่นนี้ เขาอาจจะไม่ได้อะไร แต่อย่างน้อยชิงสุ่ยก็รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือ
ความสัมพันธ์ของคนมักมีผลประโยชน์หรือสัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นสองตระกูลที่ฐานะพอ ๆ กัน ก็มักจะจับลูกหลานให้แต่งงานกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์นั้นยืนยาว หรือการร่วมงานกันอย่างโลกที่ชิงสุ่ยเคยอยู่ ทุกคนก็เลยกลายเป็นเพื่อนกัน เพื่อนแท้ หรือกลายเป็นคนรัก
ชิงสุ่ยคิดว่าที่ชายชราให้ฟู่ เหยียนเทียน และชิงสุ่ยต่อสู้กัน เพราะทั้งสองคงคิดว่าพวกเขามีความสามารถมาก และคงจะเป็นประโยชน์ต่อ สำนักสวรรค์เร้นลับ ในอนาคต แต่ชิงสุ่ยนั้นเทียบกับฟู่ เหยียนทียนไม่ได้ ดังนั้นแม้ชิงสุ่ยจะตายในการประลอง ก็คงไม่มีใครเข้ามาช่วยเขา
ชิงสุ่ยเองก็สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเพื่อให้พวกเขาดูแลอวี้ซูหนี่ ชิงซาและคนอื่น ๆ แม้จะเป็นการทำดีเพื่อหวังผล แต่ชิงสุ่ยคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นมันมีความหมายมากกว่านั้น..
ในจิตใจของชิงสุ่ย เขาไม่มีมิตรสหายเท่าไร คนอย่างเทียน เจี้ยนเก้อก็เปรียบเสมือนเพื่อนทั่ว ๆ ไป
“ท่านทั้งสอง ข้าต้องไปแล้ว ข้าหวังว่าท่านจะดูแลทั้งสามแทนข้าด้วย”ชิงสุ่ยถอนเข็มออกจากร่างของชายชรา
“อย่าห่วงเลย ข้าจะดูแลพวกเขาเหมือนเป็นลูกแท้ ๆ ของข้า หลังจากนี้พวกเราก็จะได้เริ่มพัฒนาละดูแลสำนักสวรรค์เร้นลับ” ชายชราบอก
“ในอนาคต สำนักสวรรค์เร้นลับ เทือกเขาปู๋โถวและ นิกายบงกชเทวะ คงไปปรากฏตัวที่ 3 มหาทวีป แต่พวกท่านจะเป็นประมุขของ สำนักสวรรค์เร้นลับตลอดไป”ชิงสุ่ยพูดขึ้น
หลังจากพลังของเขาเพิ่มขึ้นรอบนี้ จิตใจของเขาตั้งความหวังเกี่ยวกับ 3 มหาทวีปไว้แล้ว เขาจะต้องมุ่งไปที่นั่นแน่ ไม่ว่าหญิงสาวคนนั้นกำลังต่อสู้อยู่กับใคร ชิงสุ่ยจะช่วยเหลือเธอและพระราชวังจอมอสูร
เมื่อคิดถึงหญิงสาวผู้เย็นชาและเหย่อหยิ่ง ชิงสุ่ยเป็นกังวลเรื่องของเธอเพราะเขารู้สึกเป็นหนี้แก่เธอ..
บทที่ 1295 – การกลับมาตระกูลชิง บ้านที่แสนอบอุ่น
ทุกครั้งที่เขาคิดถึงหญิงสาว เขาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้ แม้จะทำจิตใจให้สงบ เขาก็ยังรู้สึกแปลก ๆ
หลังจากกลับมาที่คฤหาสน์ ชิงสุ่ยวางไว้เพียงจดหมายและจากไป เนื้อความข้างในก็คือให้พวกทั้งสามตั้งใจฝึกฝนและดูแลตัวเอง ส่วนชิงสุ่ยกำลังเตรียมตัวเดินทางไปยัง 5 มหาทวีปอยู่ในห้อง
นี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกังวล เขาเข้าไปในธงสวรรค์ปัญจธาตุและยื่นมือไปจับวงกลมสีแดง
เมื่อนิ้วของชิงสุ่ยสัมผัสวงแดง สติของเขาก็พล่ามัว เขารู้ว่าธงทั้งสองผืนจำเป็นต้องใช้จินตนาการในการกระตุ้นเพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้าย แต่ก็หากเคลื่อนย้ายโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ใช้วิธีนี้
ทันใดนั้นชิงสุ่ยเริ่มได้สติ ตอนนี้เขากำลังอยู่ที่..
มหาทวีปธรรมไตร!
ชิงสุ่ยมองรอบๆด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ การที่เขาเดินทางมา 5 ทวีปได้ภายในพริบตานั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เขาคิดไว้นานแล้วว่าจะกลับมาที่นี้..เมื่อก่อนเขาทำได้เพียงมาเยี่ยมและพาภรรยาบางคนออกเดินทางไปด้วยกัน แต่เขาไม่สามารถค้างแรมที่นี้ได้ แต่ตอนนี้เขาสามารถเดินทางมาที่นี้ได้อย่างสะดวก ดังนั้นในอนาคตเขาอาจจะกลับมาที่นี้ทุก ๆ เดือน
เพราะ ธงสวรรค์ปัญจธาตุใช้ได้หนึ่งครั้งต่อเดือน
เขาเคยปักธงไว้รอบตระกูลชิง แม้จะเกิดการคลาดเคลื่อนแต่คงจะไม่ส่งผลอะไรมากนัก หลังจากเขามองเริ่มๆ เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ ชิงสุ่ยก็ใช้ ทักษะย่างก้าว 9เทวา ทันที
แม้ชิงสุ่ยจะปักธงไว้รอบตระกูลชิง แต่แผนที่ของธงสวรรค์ปัญจธาตุมีขนาดเล็ก ไม่เหมือนกับพื้นที่จริง ๆ ของมหาทวีปธรรมไตร ดังนั้นหากเกิดการคลาดเคลื่อนนิดหน่อยก็หมายถึงระยะทางที่ค่อนข้างไกลพอสมควร
ต้องขอบคุณที่เขามี ทักษะย่างก้าว 9เทวา เพียงใช้มันไม่กี่ครั้ง ชิงสุ่ยก็มาถึงเมืองวายุนภา เขาเรียกวิหคเพลิงออกมาเพื่อเดินทางไปยังตระกูลชิง
เขาไม่ได้กลับมาที่นี้เกือบสามปี ด้วยระยะทางของมหาทวีปทำให้เขารู้สึกว่าเขาจากที่นี้ไปนานแสนนานเหลือเกิน
เมืองวายุนภาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกกระวนกระวาย เขาเคยคิดว่าเขาคงกลับมาที่นี้ในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า แต่ แท่นเคลื่อนย้ายบรรพกาลจะใช้ได้หนึ่งครั้งในห้าปี และเป็นเรื่องยากที่ชิงสุ่ยจะใช้แท่นเคลื่อนย้ายบรรพกาล เพื่อกลับมายังที่นี้
ชิงสุ่ยไม่คิดว่าหญิงสาวจากเทือกเขาปู๋โถว จะมีธงสวรรค์ปัญจธาตุที่ล้ำค่ากว่าเขา
เขามองเห็นตระกูลชิงแล้ว และเมืองวายุนภาดูรุ่งเรืองมากกว่าแต่ก่อน คงมีคนไม่มากใน 5 มหาทวีปที่กล้ามาวุ่นวายกับตระกูลชิง นิกายพุทธองค์ทองคำเองก็คงทำอะไรไม่ได้ หรือแม้แต่นิกายทวารอสูรก็ตาม ยิ่งกว่านั้นตระกูลชิงก็มีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง ความสามารถของภรรยาของเขาบางคนก็ถือเป็นอันดับต้นๆ ใน 5 มหาทวีป และตอนนี้เวลาก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว ชิงสุ่ยก็แบ่งสมุนไพรและของมากมายไว้ที่นี้ ทักษะของพวกเธอก็น่าจะก้าวหน้าไปมาก
เมื่อชิงสุ่ยมองเห็นประตูตระกูลชิง เขายิ่งตื่นเต้น ไม่มีใครยืนอยู่ที่ทางเขา เขามองเห็นเด็กน้อยตัวเล็กกำลังเดินออกมา เธอมีอายุประมาณ 4-5 ปี เด็กสาวสวมชุดสีชมพู หน้าตาน่ารัก
แม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบสามปีตั้งแต่ที่พวกเขาได้เจอกัน เด็กสาวก็โตขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชิงสุ่ยรู้ทันทีว่านั้นคือ ชิงหยุน ลูกสาวของเขาและหยุน ต้วน
เมื่อเด็กสาวเห็นชิงสุ่ย เธอเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ดวงตากลมโตของเธอใสราวกับผลึกแก้ว เธอดูสับสนว่าชิงสุ่ยใคร ซึ่งเป็นธรรมดาเพราะเมื่อก่อนเธอคงไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับเขา หรือเธออาจจะจำเขาได้บ้าง..แต่ตอนนี้เธอคงจำเขาไม่ได้เลย
ชิงสุ่ยยิ้ม แต่เด็กสาวกลับถอยหลังกลับไปแล้วถามเขา “ท่านเป็นใคร มาที่บ้านของข้าทำไม?”
ชิงสุ่ยคงยิ้ม แม้จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เขาทำหน้าที่พ่อได้ไม่ดีพอ โดยไม่ทันที่ชิงสุ่ยจะพูดอะไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ชิงสุ่ย!” เสียงประหลาดใจดังขึ้นจนเหมือนเสียงตะโกน แต่ในน้ำเสียงนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความยินดี
เป็นความปิติ..
หยุน ต้วนเดินเข้ามา แม้เธอจะให้กำเนิดลูกสาวแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เธอยังคงมีเสน่ห์ ใบหน้าที่งดงามพร้อมรูปร่างที่น่าหลงใหล บรรยากาศรอบๆเธอก็ดูสดใส เมื่อเห็นชิงสุ่ยเธอยิ้มอย่างมีความสุข
รูปร่างที่งดงามคงทำให้ชายหลายคนต้องคลั่ง ทุกส่วนของเธอมีเสน่ห์เย้ายวน นี้คือความงามของเธอ ทั้งท่าทางที่ดูฉลาดปราดเปรื่องและดวงตาที่สง่างามนั้นก็ยั่วยวนไม่เบา
ชิงสุ่ยมองหยุน ต้วน เขาเองก็มีความสุขเช่นกัน ก่อนชิงสุ่ยจะรีบเดินไปหาเธอในขณะที่หยุน ต้วน ก็โผมากอดเขาแน่น
“ลูกสาวของเราก็อยู่ที่นี้นะ อย่าปล่อยให้นางอยู่คนเดียวสิ”ชิงสุ่ยกระซิบบอกเธอ
หยุน ต้วน รีบผละจากชิงสุ่ยและอุ้ม ชิงหยุนขึ้นมา “เจ้าร้องบอกว่าอยากเจอท่านพ่อไม่ใช่รึ? นี่ไง ท่านพ่อ เรียกเขาสิ”
เด็กสาวมองชิงสุ่ยอย่างสงสัย ก่อนจะตอบ “ ท่านแม่ อย่าโกหกข้าสิ”
หยุน ต้วนกุมขมับ “เจ้าก็เคยเห็นภาพวาดของท่านพ่อไม่ใช่เหรอ? หรือว่าเจ้าอยากได้อะไรรึไง?”
ชิงสุ่ยตะลึง เพราะสายตาของเธอบ่งบอกว่าเธอจำเขาได้ และที่นี้ก็มีรูปของเขาอยู่ จึงไม่มีทางที่เธอจะจำเขาไม่ได้
ตอนที่เขาได้ยินคำพูดของหยุน ต้วนว่าเด็กน้อยต้องการอะไรบางอย่าง ชิงสุ่ยถามอย่างมีความสุข “หยุนเอ๋อ บอกสิว่าอยากได้อะไร ข้าจะให้สิ่งที่เจ้าอยากได้”
“จริงเหรอ?”เด็กสาวกระพริบตาและถามกลับ
“แน่นอน!”
เธอเป็นเด็กสาวอายุ 4-5 ปี ชิงสุ่ยจึงคิดว่าเขาน่าจะทำให้คำขอของเธอเป็นจริงได้
“ข้าอยากให้ท่านพ่ออยู่กับท่านแม่”เด็กสาวกระพริบตาและมองชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยคิดไปต่างๆ นานาว่าเธอต้องการอะไร แต่เขาไม่คิดว่าคำขอของเธอจะเป็นเช่นนี้
“หยุนเอ๋อ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถอะ พ่อของเจ้าเขายุ่งมากนะ ทำไมเจ้าถึงขออะไรเช่นนั้นเหล่า?” หยุน ต้วนกอดลูกสาวตัวเองไว้แน่นและถามอย่างสงสัย
“ท่านแม่ก็เรียกหาท่านพ่อในฝันบ่อย ๆ แล้วท่านก็บอกว่าท่านคิดถึงท่านพ่อ”ชิงหยุนหัวเราะ
หยุน ต้วน เขินและหยิกแก้มลูกสาว พลางมองชิงสุ่ยอย่างเขินอาย
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้แต่โผเข้ากอดเด็กสาว ก่อนเธอจะเดินจูงมือเขาเข้าไปในตระกูลชิง
“ชิงสุ่ย เจ้ากลับมาแล้วเหรอ? ข้าคิดว่าอีกนานกว่าเจ้าจะกลับมา”หยุน ต้วนถามอย่างตรงไปตรงมา เธอกุมมือของเขาแน่น
“ข้าคิดถึงพวกเจ้ามาก ถ้าครั้งหน้าข้าฝึกฝนสำเร็จ ข้าจะสามารถกลับมาที่นี้ได้อย่างน้อยเดือนละครั้ง”แม้ชิงสุ่ยจะกังวลเรื่องของธงสวรรค์ปัญจธาตุ แต่เขาก็พูดออกไปอย่างไม่ลังเล และชิงสุ่ยก็รู้สึกขอบคุณหญิงสาวที่เข้าใจเขา
“จริงเหรอ?”เมื่อหยุน ต้วน ได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ดวงตาคู่งามก็มองชิงสุ่ยอย่างดีใจ
“สามีเจ้าเคยโกหกเจ้าด้วยงั้นหรือ?”
ชิงสุ่ยและ หยุน ต้วน เดินเข้าไปในตระกูลชิง ทันใดนั้นสมาชิกคนอื่นๆก็รู้ข่าวการกลับมาของชิงสุ่ย ทุกคนรีบมาที่นี้อย่างตื่นเต้นและมีความสุข
“ท่านพ่อ!”
“พี่สุ่ย!”
“ชิงสุ่ย!”
…
ชิงสุ่ยมองใบหน้าที่คุ้นเคย ความรู้สึกต่างๆพรั่งพรูออกมา เขาค่อย ๆปล่อยมือจาก ชิงหยุน และเดินไปหาชิงอี้และกอดเธอ
“ท่านแม่ สบายดีไหม?”
ชิงอี้ยิ้มและลูบหัวชิงสุ่ย “แม่สบายดี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าลำบากอะไรรึเปล่า?”
“หลังจากเห็นท่านแม่และภรรยาของข้า ข้าก็ไม่รู้สึกยากลำบากอีกต่อไปแล้ว” ชิงสุ่ยยิ้มอย่างมีความสุขและตอบ
ชิงสุ่ยทักทายท่านปู่ของเขาและคนอื่น ๆ ตามด้วยเหล่าภรรยา ญาติพี่น้องและลูก ๆ ของเขาชิง ซุนและ ชิง หยินโตขึ้นมาก เด็ก ๆ ในโลกนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว เด็กที่อายุมากกว่า 10 ปีก็ดูโตขึ้นมากทีเดียว
“ท่านพ่อ!”
“ท่านพ่อ!”
ทั้ง ชิง ซุนและ ชิง หยิน เรียกเขาอย่างมีความสุขก่อนจะเดินมาจูงมือชิงสุ่ย
แม้ ชิง ซุนและ ชิง หยิน จะเป็นฝาแฝด แต่พวกเขาหน้าตาไม่เหมือนกัน หน้าตาชิง ซุนนั้นคล้ายชิงสุ่ยในขณะที่ ชิง หยิน หน้าตาคล้าย ชางห่าย หมิงเยวี่ย ความสูงของชิง หยิน นั้นสูงราว ๆ กับหน้าอกของชิงสุ่ย ร่างกายของเธอดูบอบบางและมีเสน่ห์
ชิง ซุนและ ชิง หยินดูสง่างามเหมือนคนของตระกูลสูงศักดิ์ อันที่จริงคือพวกเขาค่อนข้างดูดีกว่าคนเหล่านั้นด้วยซ้ำ
ชิงสุ่ยกอดทั้งสองชิง ซุนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเขาโตเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ในขณะที่ ชิง หยิน นั้นตรงกันข้าม เธอโอบคอชิงสุ่ยอย่างคิดถึง
หลังจากปล่อย ชิง ซุนและ ชิง หยิน ชิงสุ่ยก็มองไปทางชิง หมิน ที่ไม่ได้เจอมานานมากแล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเด็กหนุ่มดูมีความเป็นผู้ใหญ่ต่างจากชิง ซุน
“เจ้ามีอะไรไม่ชอบใจรึ?”ชิงสุ่ยถามเมื่อมองเห็นชิง หมิน เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น
คนอื่นๆ มองไปทางชิงสุ่ยและลูกชายของเขาอย่างสงสัย
“ใครจะกล้าทำเช่นนั้น? ท่านเป็นพ่อของข้านี่” ชิง หมิน มองชิงสุ่ยแล้วยิ้ม ชิงสุ่ยรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขานั้นดูไม่ค่อยจริงใจเท่าไรนัก
“เจ้าเด็กบ้า อยากโดนตีรึไง? เจ้ากล้าพูดกับพ่ออย่างนี้ได้ยังไง?” หมิงเยวี่ย เก้อโหลวพูดขึ้น เพราะเด็กคนนี้ฟังแต่คำของชิงอี้เท่านั้น เขามักจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้คนอื่นประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดีที่ทำให้คนอื่นต้องบาดเจ็บ แต่เพราะเขามักทะเลาะกับเด็กจากตระกูลอื่นบ่อย ๆ ดังนั้นหมิงเยวี่ย เก้อโหลว มักจะลงโทษเขาเป็นประจำ
“ท่านแม่ ถ้าท่านชอบท่านพ่อมาก ท่านก็ไม่ควรตีข้า เพราะข้าเป็นลูกของท่านพ่อ” ชิง หมินมองหมิงเยวี่ย เก้อโหลวอย่างเสียใจ
ใบหน้าของหมิงเยวี่ย เก้อโหลวแดงระเรื่อ เธอบิดหูของเด็กหนุ่มด้วยความโกรธและความเขิน
ชิงสุ่ยยิ้มอย่างมีความสุข เด็กคนนี้ต่างจากคนอื่น ๆ แต่ชิงสุ่ยสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขานั้นพิเศษ เป็นร่างกายที่พบได้ยาก
ลม..เป็นหนึ่งในเบญจธาตุ…ดูเหมือนว่าเขาจะเหมาะกับการเป็นนักฆ่า ที่สามารถสังหารได้อย่างอิสระ ชิงสุ่ยนึกภาพต่าง ๆ นานา แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา
“ทำไมเจ้าคิดว่าแม่ของเจ้าดูแลข้าดีกว่าเจ้างั้นหรือ?”ชิงสุ่ยถาม
“ชิงสุ่ย เจ้าพูดอะไรน่ะ?” หมิงเยวี่ย เก้อโหลวมองทั้งสองโดยไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ
“ไม่ ท่านแม่ดูแลข้าดีมาก!”
“จริงเหรอ?”ชิงสุ่ยถามย้ำ
“แน่นอน ข้าเป็นลูกของนาง นางก็ต้องดูแลข้าดีแน่นอน” ชิง หมิน ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าเล่ห์จริงๆ ไว้เราค่อยคุยกันแบบลูกผู้ชายก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นชิงสุ่ยเอื้อมมือไปจับมือของชิง เหยี่ยน ชิง เหยี่ยนดูท่าทางเป็นเด็กเก็บตัวเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเธอเห็นชิงสุ่ย เธอรู้สึกดีใจไม่แพ้กัน เพราะเธอจำชิงสุ่ยได้ และเมื่อเขาก้มตัวลงมาหาเธอ เธอก็เอื้อมมือไปโอบคอของชิงสุ่ยไว้
บทที่ 1296 – ความสุขของการรวมตัว อีเย่ เจี้ยนเก้ออยากออกเดินทาง โอกาสของนางและ ที่จะครอบครองหัวใจเธอและสัตว์อสูรผลึก 7 เศียร
“ท่านพ่อ!” ชิง เหยี่ยนเรียกชิงสุ่ยอย่างมีความสุข
แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กเก็บตัว แต่เธอไม่เหมือนกับสือฉิงจวง และเพราะสือฉิงจวงมีลูกสาวแล้ว เธอจึงร่าเริงกว่าในตอนแรก
“เหยี่ยนเอ๋อ เจ้าคิดถึงพ่อรึเปล่า?”ชิงสุ่ยมองเด็กสาวที่เหมือนเจ้าหญิงตัวน้อย ต่างจากชิง หมินที่ตัวเปื้อนฝุ่น ท่ามกลางเด็ก ๆ ทุกคนเขาเนื้อตัวมอมแมมที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปทำอะไรมา
“คิดถึง ทุกๆ วันเลย ข้าคิดว่าข้าจะได้เจอท่านอีกครั้งตอนที่ข้าโตขึ้นเสียอีก” ชิง เหยี่ยนโอบคอชิงสุ่ย
“ในอนาคต ข้าจะกลับมาเยี่ยมเจ้าเดือนละครั้ง เจ้าคิดว่าไง?”เมื่อชิงสุ่ยได้ยินคำของชิง เหยี่ยน เขารู้สึกเสียใจ เขารู้ดีว่าพ่อแม่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อลูก ดังนั้น ธงสวรรค์ปัญจธาตุ จะช่วยเขาได้ เขาจึงรู้สึกขอบคุณอาจารย์หญิงอยู่ลึกๆ
เพื่อให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ลูกๆ และภรรยา ชิงสุ่ยรู้สึกดีใจมากเพราะ บางอย่างไม่เคยรอเวลา อย่างเช่นเด็ก ๆ ก็จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเขาไม่ได้ใช้ช่วงเวลานั้นกับเด็ก ๆ เขาก็ไม่มีทางหวนคืนเวลาได้อีก
“จริงเหรอ?” ชิง เหยี่ยนเงยหน้ามองชิงสุ่ยด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“แล้วพ่อของเจ้าเคยโกหกเจ้ารึเปล่า? ข้าบอกอย่างนั้น ก็หมายความเช่นนั้น มาเกี่ยวก้อยสัญญากันเถอะ”
ชิงสุ่ยยิ้มและชูนิ้วก้อยให้เด็กสาว
ชิง เหยี่ยนยื่นมาเกี่ยวก้อยกับชิงสุ่ย “เกี่ยวก้อยสัญญา!”
“ก็ได้ ข้าจะไม่คืนสัญญา พวกเจ้าเป็นพยาน ใช่ไหม?”ชิงสุ่ยหอมแก้ม ชิง เหยี่ยน นี้คือลูกสาวของเขาและหญิงสาวที่เขารัก เมื่อกอดเธอชิงสุ่ยรู้สึกเหมือนได้รับกำลังใจผ่านทางสายเลือด แค่กอดเธอ ชิงสุ่ยก็รู้สึกเหมือนได้ครอบครองเพชรเม็ดงามที่สุดในโลก
เสียงหัวเราะที่มีความสุขของ ชิง เหยี่ยน ทำให้ทุกคนรู้สึกยินดีไปด้วย
ชิงสุ่ยวาง ชิง เหยี่ยน และหันไปจับมือ ชิง อวี้ ชิง อวี้งอนจนเหมือนเธอกำลังอมลูกบอลไว้ในปาก ท่าทางเธอดูไม่พอใจเหมือนจะร้องไห้
“หืม? ใครทำเจ้าโกรธเนี้ย? บอกข้า แล้วข้าจะสั่งสอนเจ้าคนโอหังคนนั้น”ชิงสุ่ยรู้สึกมีความุสขเป็นพิเศษ มีคนพูดว่าความสุขที่ยิ่งใหญ่คือการได้ใช้ช่วงเวลากับครอบครัว ทั้งได้ฟื้นคืนพลังชีวิต พลังแห่งรัก ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว จนทำได้แม้แต่จะยอมตายเพื่อกันและกัน
หลังจากทุกคนร่วมรัก พวกเขามักเปล่าเปลี่ยว เพราะการร่วมรักก็เป็นเพียงสิ่งที่ตอบสนองอารมณ์ใคร่เท่านั้น…
“ท่านพ่อ ท่านไม่คิดจะมาเจอข้าทั้งๆ ที่เราจากกันไปนานแสนนานเลยหรือ”เธอตอบพร้อมน้ำตานองหน้า
ตั้งแต่เล็ก ๆ ชิง อวี้เป็นเด็กหัวแข็ง และไม่ยอมยกชิงสุ่ยให้ใคร ดังนั้นเมื่อชิงสุ่ยอุ้มเด็กคนอื่นๆก่อนเธอ เธอจึงน้อยใจนั่นเอง และเพราะชิงสุ่ยอุ้มใครต่อใคร แต่ก็ยังไม่อุ้มเธอเสียที ตอนนี้เธอจึงเริ่มเคืองเขา
“มานี่สิ ข้าจะเช็ดน้ำตาให้เจ้าเอง เจ้าโตแล้วนะ แล้วเจ้ายังจะร้องไห้แบบนี้อยู่อีกเหรอ? เป็นความผิดพ่อเองที่ทำให้เจ้าร้องไห้ แล้วเจ้าอยากให้พ่อแก้ไขอย่างไรดี?”ชิงสุ่ยเช็ดน้ำตาให้เธอ
“ข้าอยากให้ท่านพ่อใช้เวลาอยู่กับพวกเรา” สายตาเจ้าเล่ห์ของชิง อวี้เปล่งประกาย
“ก็ได้ ถ้าอวี้เอ๋อต้องการเช่นนั้น พ่อก็ตกลง”
ชิง หยุนเจอชิงสุ่ยก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นชิง หลงจูงมือจรู้ชิงเดินเข้ามาหาชิงสุ่ย ชิงสุ่ยจึงก้มตัวลงไปหา ในที่นี้ชิง หลงมีอายุน้อยที่สุด แต่ดูแข็งแรงดุจลูกเสือ ทั้งยังเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารัก
ชิงสุ่ยทำความคุ้นเคยกับเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนเขาจะออกไปด้านนอกพร้อมครอบครัว อีเย่ เจี้ยนเก้อ ชางห่าย หมิงเยวี่ย ห่าวหยุน ลิ่วลี่ ติ๊ ชิง ห่าย ตงชิง…ทุกคนรวมตัวอยู่ที่นั่นยกเว้นมู่ ชิง
หลวน หลวนและ อวี้ช่างก็อยู่ที่นั้น หลวนหลวนคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลชิง อีเย่ เจี้ยนเก้อ และหญิงสาวคนอื่นๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นมาก อย่างน้อยพวกเธอก็อยู่อันดับต้นๆใน 5 มหาทวีป
แม้ว่าพวกเธอจะแข็งแกร่งมากใน 5 มหาทวีป แต่ความสามารถของพวกเธอยังไม่สามารถเทียบกับผู้ฝึกตนในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ดังนั้นชิงสุ่ยจึงเตรียมบางอย่างเพื่อให้พวกเธอได้ฝึกฝน เขาเตรียมโอสถและของอื่นๆ ไว้
ชิงสุ่ยหยิบขนมและของอื่นๆ มาล่อตาล่อใจเด็ก ๆ ก่อน ชิงเป่ย, ชิงหยูและคนอื่น ๆก็อยู่ที่นั้น ทั้งห้องดูครึกครื้น ชิงสุ่ยมีของดีมากมายจากดินแดนหยกยุพราชอมตะมาแบ่งปันให้ทุกคน
เมื่อมองคนในตระกูลชิง ชิงสุ่ยไม่มีทางล้มเลิกความพยายาม เขาพยายามเพิ่มความสามารถให้ทุกคน แต่ก็ต้องใช้เวลาแม้จะเป็นเพียงการก้าวข้ามไประดับอาณาจักรพลังปราณนักบุญพิโรธ แน่นอนว่าหญิงสาวจากรูปโฉมงามนั้นเป็นข้อยกเว้น ชิงสุ่ยเห็นความสามารถของพวกเธอและรู้ว่าสายเลือดในตัวของพวกเธอตื่นขึ้นแล้ว
ความสามารถของติ๊ เฉินได้ตื่นขึ้นแล้ว อวี้ ลู่หยานและ ถานท่าย หยวนที่อยู่ที่ มหาทวีปอู่เซียตะวันตก เองก็เช่นกัน พลังของคนอื่นๆ ในตระกูลชิงยังไม่ตื่นขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตอนนี้ทุกคนอยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณจักรพรรดิ
เด็ก ๆ มีพื้นฐานที่ดีและมีความสามารถมาก นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ชิงสุ่ยไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการฝึกฝนของเด็ก ๆ ในอนาคต ส่วนคนที่ชิงสุ่ยเป็นห่วงมากที่สุดคือแม่ของเด็ก ๆ สือฉิงจวง ห่าวหยุน ลิ่วลี่ หยุน ต้วน และคนอื่นๆ
ดังนั้นเขาควรคิดวิธีที่จะเพิ่มระดับของทุกคน
ชิงสุ่ยทำเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆในตระกูลชิง อย่างเช่น ลูกของชิงจือ แม้ความสามารถของเด็กหนุ่มจะไม่ดีพอ แต่ชิงสุ่ยก็คอยช่วยเหลือเขาตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วยตัวยา การฝึกฝนจึงง่ายขึ้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่ละคนแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ บ้างก็ไปทำอาหาร บ้างก็ไปดูแลเด็ก ชิงสุ่ยจึงเดินเข้าไปหาชิงอี้
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ข่าวของท่านพ่อ แต่ข้าจะตามหาเขาให้เจอ”ชิงสุ่ยนั่งลงตรงข้ามชิงอี้
“ไม่ต้องรีบร้อน ความปลอดภัยของเจ้าต้องมาก่อน พวกเราอยู่กันมาได้ตั้งนานโดยไม่มีเขา ตอนนี้เจ้าคือเสาหลักของตระกูลชิง ดังนั้นสิ่งอื่นก็ไม่สำคัญอีก เจ้าคือสิ่งสำคัญกว่า แล้วทุกอย่างจะราบรื่นไปด้วยดีเอง”ชิงอี้บอกชิงสุ่ยด้วยท่าทางจริงจัง เพราะเขาคือลูกชายของเธอ
“ท่านแม่ อย่ากังวลเลย ตอนนี้ไม่ค่อยมีใครทำร้ายลูกชายท่านได้แล้วล่ะ เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังเข้าไปหาท่านพ่อไม่ได้..”ชิงสุ่ยยิ้มและตอบ
“เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ชิงสุ่ย..เจ้าจงตัดสินใจตามใจตัวเองเถอะ เจ้าต้องคิดถึงทั้งตระกูลชิงสิ ตอนนี้เจ้ามีภาระหนักมากพอแล้ว อีกทั้งพวกเรายังช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ด้วย”ชิงอี้ถอนหายใจพลางมองลูกชาย
“ข้าหวังว่าท่านแม่และตระกูลชิงจะอยู่เย็นเป็นสุข เพียงเท่านั้นข้าก็มีกำลังมากพอแล้ว”ชิงสุ่ยตอบ
“แล้วเป็นความจริงรึเปล่าที่เจ้าจะกลับมาบ้านเดือนละครั้ง?”ชิงอี้ถามอย่างไม่อยากเชื่อสักเท่าไรนัก
“ข้ามีของวิเศษที่ช่วยให้ข้าเดินทางไปมาระหว่างทวีปได้เดือนละครั้ง ดังนั้นข้าสามารถกลับมาที่นี้ได้”ชิงสุ่ยตอบ
“เยี่ยมจริง ๆ จากนี้เจ้าก็สามารถใช้เวลาร่วมกับหมิงเยวี่ยและคนอื่นๆได้ ..ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกนางเลยที่จะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีเจ้า”ชิงอี้ตอบอย่างมีความสุขที่รู้ว่าชิงสุ่ยสามารถกลับมาบ้านได้เดือนละครั้ง เธอดูมีความสุขมากกว่าทุกคน
…
“ท่านอาจารย์!”
“ในเมื่อท่านกลับมา ท่านก็ใช้เวลาร่วมกับพวกเขาเถอะ” อีเย่ เจี้ยนเก้อขมวดคิ้วและมองชิงสุ่ย
“ข้าคิดถึงท่าน!”ชิงสุ่ยเรียกเธอว่าท่านอาจารย์ จนเธอรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ชิงสุ่ยก็เดินมากุมมือเธอไว้
ความงามของอีเย่ เจี้ยนเก้อนั้นยากที่จะหาใครเทียบ ด้วยม่านพลังรอบตัวเธอ ทำให้บางครั้งชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขาด้อยกว่าเธอ แต่ไม่ใช่ในเรื่องของพลัง ทว่าเป็นความรู้ที่เหมือนเขาไม่สามารถครอบครองเธอได้
ในความจริง ความสัมพันธ์ของชิงสุ่ยและอีเย่ เจี้ยนเก้อเริ่มคงตัว เพียงแค่พวกเขาไม่ได้มีโอกาสแสดงความรักอย่างออกนอกหน้าก็เท่านั้น
“ท่านมาที่นี้เพื่อยั่วโมโหข้าเหรอ?” อีเย่ เจี้ยนเก้อ ปล่อยให้ชิงสุ่ยจับมือและพูดอย่างขุ่นเคือง ตอนนี้รอบตัวเธอทำให้เธอดูเป็นหญิงสาวบอบบาง ม่านพลังรอบตัวเธอเริ่มเบาบางลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน แต่ก็ยังคงแข็งแกร่ง เมื่อพวกเขาไม่ได้เจอกันนาน ชิงสุ่ยก็เริ่มทำตัวไม่ถูก
“ข้าจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”ชิงสุ่ยคว้ามือเธอและเดินไปรอบ ๆ ตระกูล
“ชิงสุ่ย ในเมื่อเจ้ากลับมาได้เดือนละครั้ง ข้าอาจจะไม่อยู่ที่นี้นะ” อีเย่ เจี้ยนเก้อ ลังเลใจก่อนจะบอกชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยตะลึง ทำไมหญิงสาวจากรูปโฉมงามมักจะมีปัญหาอยู่เรื่อยไป? ชิงสุ่ยจึงตอบเธออย่างใจเย็น “มีอะไร? เจ้าไม่ชอบที่นี้เหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ..สัตว์อสูรผลึก 7 เศียรบอกข้าว่าจะพาข้าไปสถานที่ฝึกฝนเพื่อสืบทอดพลังในตำนานของสัตว์อสูรผลึกเพื่อกลายเป็นสัตว์อสูรผลึกจิตบรรพกาลที่แข็งแกร่งขึ้น ในตอนแรกข้าไม่ได้ออกเดินทางไปเพราะเจ้าไม่อยู่ที่นี้ แต่เมื่อเจ้ากลับมาที่นี้ได้เดือนละครั้ง ข้าก็คลายกังวล อีกทั้งตระกูลชิงในตอนนี้ก็แข็งแกร่ง ข้าเลยอยากจะลองทำตามที่ตั้งใจ” อีเย่ เจี้ยนเก้อมองชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นั่นเป็นข่าวดีนี่นา งั้นข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นภายใน 2-3 วัน อย่างน้อยให้ข้าพาเจ้าไปที่นั้นเถอะ ข้าอยากรู้เส้นทางให้มั่นใจ”ชิงสุ่ยรู้สึกแปลก ๆ แต่นี่ก็เป็นข่าวดี
เธอฝึกสัตว์อสูรผลึก 7 เศียร ที่การก้าวข้ามมาจากสัตว์อสูรผลึก6 เศียร มันดูบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับเจ้าของมัน
ชิงสุ่ยยังจำภาพที่ อีเย่ เจี้ยนเก้อกำลังฝึกฝน สัตว์อสูรผลึก 7 เศียรได้ดี
“เจ้าไปที่นั้นไม่ได้ ต้องมีความสามารถพิเศษที่จะใช้ได้ครั้งเดียวเพื่อไปยังที่นั่น หลังจากที่ได้รับพลังจากสัตว์อสูรผลึกจะกลายเป็นสัตว์อสูรบรรพกาลที่แท้จริง.” อีเย่ เจี้ยนเก้อส่ายหน้าและตอบชิงสุ่ย
“อย่างนั้นเหรอ”ชิงสุ่ยขมวดคิ้ว เขาเกรงว่าเธอจะตกอยู่ในอันตราย
“ไม่ต้องกังวล ไม่มีอันตรายหรอก”เธอยิ้มและใช้มือจับหน้าผากของชิงสุ่ยอย่างอ่อนโยน
ชิงสุ่ยกุมมือของเธอ เขาสงสัยว่าเขาจะใช้ให้อะไรเธอไป เพื่อจะมั่นใจว่าเธอจะปลอดภัย
“สัตว์อสูรผลึกบอกข้าว่าสถานที่แห่งนั้นคือสถานที่แห่งตำนานและไม่มีอันตราย ยิ่งกว่านั้น ข้าจะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่และเกิดการก้าวข้ามในทักษะของข้า” อีเย่ เจี้ยนเก้อย้ำอีกครั้ง
“แต่ข้าก็ยังเป็นห่วง”ชิงสุ่ยคิดก่อนจะบอกเธอ
“ที่นั่นคือวังผลึกแก้วลึกลับเป็นซากปรักหักพังโบราณ เจ้าไม่ต้องกังวลเพราะสัตว์อสูรผลึก มีทักษะบางอย่างและมันจะพาข้าไป ที่สำคัญยังมีข้าและสัตว์อสูรผลึกเท่านั้นที่เข้าไปได้ เพราะภาพแผนที่นั้นมาจากสัตว์อสูรผลึก ดังนั้นไม่มีอันตรายใดๆ หรอก”
“ก็ได้ แต่เจ้าก็ต้องระวังตัวด้วย”ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอต้องการจะเดินทางไปจริงๆ เขาจึงยอมรับคำขอของเธอ หากที่นั้นเป็นเหมือนซากปรักหักพังทั่ว ๆ ไป เขาก็จะต้องเดินทางไปที่นั้นกับเธอให้ได้ แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามแต่ นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดี
บทที่ 1297 – สถานที่ดึงดูดใจ เปลี่ยนแผน
ชิงสุ่ยรู้สึกว่านี้คือโอกาสของ อีเย่ เจี้ยนเก้อ แม้เขาจะกังวลอยู่บ้าง แต่เขาก็ตื่นเต้นแทนเธอเช่นกัน
“ข้าจะระวังตัวไว้ ข้ายังไม่ยอมตายเร็ว ๆ นี้แน่ แต่ถ้าข้าจะตาย อย่างน้อยข้าก็จะให้กำเนิดลูกเจ้าสักคนก่อน” อีเย่ เจี้ยนเก้อพูดอย่างทีเล่นทีจริง
“แล้วทำไมไม่ลงมือตอนนี้เสียเลยล่ะ? แล้วความฝันของเจ้าจะเป็นจริงภายในสิบเดือน”ชิงสุ่ยเอื้อมมือไปวางที่เอวบางของเธอ
“เจ้าสัญญาว่าจะให้ข้าเป็นคนเข้าหาเจ้าก่อนไม่ใช่เหรอไง เจ้าต้องรักษาสัญญาสิ” อีเย่ เจี้ยนเก้อปราม
ในอดีต ชิงสุ่ยเคยสัญญากับเธอไว้ว่าจะยอมให้เธอเป็นฝ่ายเขาก่อน อีกทั้งเธอต้องการจะเป็นคนคุ้มครองชิงสุ่ยอีกด้วย ในตอนที่เธอพูดเช่นนั้น เธอช่างมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้างดงามที่ไม่ต้องตบแต่งและคำพูดของเธอ ทำให้เธอยิ่งมีเสน่ห์
“ก็ใช่ ข้าจะทำตามสัญญา”ชิงสุ่ยยอมรับผิด
อีเย่ เจี้ยนเก้อ มองชิงสุ่ยและยิ้มบางๆ เธอไม่ได้พูดอะไรอีก
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าต้องเป็นคนใจกว้างกว่านี้หน่อย เข้าใจไหม? อย่างน้อยก็ให้ข้าจับต้องเจ้าไป แล้วข้าจะไม่โต้แย้งอะไรอีก”ชิงสุ่ยหัวเราะชอบใจ
“หืม..ข้าจะลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู” อีเย่ เจี้ยนเก้อเองก็หัวเราะเช่นกัน
ชิงสุ่ยดึงตัวเธอเข้ามากอดทันที
“ชิงสุ่ย ไหนเจ้าบอกว่าจะไม่ยอมทำอะไร ถ้าข้าไม่ใช่คนเริ่มก่อนไง เจ้าห้ามจับตัวข้าสิ” อีเย่ เจี้ยนเก้อบอกเบาๆ
“ฮ่าฮ่า ข้าสัญญาเรื่องบนเตียง ให้เจ้ากลืนกินข้าก่อน..แต่ข้าไม่ได้พูดเรื่องที่ข้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ดังนั้นข้าก็มีสิทธิ์จะจับต้องตัวเจ้าได้สิ ไม่คิดเช่นนั้นรึ?”ชิงสุ่ยกอดเธอแน่น และเขาก็ตั้งใจอย่างที่พูดจริงๆ แม้เขาจะไม่สามารรถเป็นฝ่ายเข้าหาเธอก่อน แต่อย่างน้อยเขาก็อยากใกล้ชิดเธอ
“เจ้าคนเจ้าเล่ห์” อีเย่ เจี้ยนเก้อโอบรอบคอชิงสุ่ยอย่างอ่อนโยน
“เจี้ยนเก้อ เจ้าคิดถึงข้าไหม?”ชิงสุ่ยกระซิบถามเธอข้างหู
“ข้าไม่รู้!”
ชิงสุ่ยมองใบหูของเธอ ช่างงดงามโดยไร้คำบรรยายใดใด เขาลูบไล้ตั้งแต่หูลงไปยังคอของเธอ
ชิงสุ่ยใช้ลิ้นเลียใบหูของหญิงสาวจนร่างของเธอสั่นเทาทั้งร่างก่อนเธอจะเริ่มกอดคอเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ชิงสุ่ยสังเกตเห็นท่าทางของ อีเย่ เจี้ยนเก้อที่ตัวสั่นเทาและเริ่มน้ำตาปริ่ม เธอไม่ได้ขัดขืนหรือพยายามหยุดเขา ชิงสุ่ยจึงไม่หยุด เขายังคงหยอกล้อกับใบหูของเธอ
ร่างของเธอสั่นสะท้าน ชิงสุ่ยใจเต้นระรั่วเพราะท่าทีตอบสนองของเธอ
เขายังคงคลอเคลียอยู่กับใบหูของอีเย่ เจี้ยนเก้อ ในณะเดียวกันมือของเขาก็ค่อยๆ ลูบไล้ลงไปที่เอว และเคลื่อนไปที่ก้นงอน ก้นงอนนั้นนุ่มนิ่มจนชิงสุ่ยอดใจไม่ไหว เขาจับก้นงอนนั้นแน่น จนน้องชายของชิงสุ่ยเริ่มตื่นตัว เลือดภายในตัวเขาพร้อมระเบิดทุกเวลา เขาดันตัวเองเข้าไปแนบชิดร่างของหญิงสาว
อีเย่ เจี้ยนเก้อครางออกมาเบาๆ เธอกระซิบบอกชิงสุ่ย …”เจ้าควรหยุดได้แล้ว..”
ชิงสุ่ยปล่อยมือออกมาข้างหนึ่งก่อนจะกระซิบตอบเธอ “ให้ข้าทำเจ้าแปดเปื้อนเถอะ..”
เมื่อเธอได้ยินสิ่งที่เขาพูด อีเย่ เจี้ยนเก้อ ตะลึงและตัวสั่นเทา ในตอนนั้นชิงสุ่ยสอดมืออีกข้างเข้าไปในเสื้อของเธอ แม้จะมีผ้าชิ้นบางๆ ขวางไว้ แต่ชิงสุ่ยก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลของเธอ จนชิงสุ่ยส่งเสียงครางเบาๆ ก่อนชิงสุ่ยจะใช้ลิ้นสอดใส่เข้าไปในใบหูของเธอ
ใช่แล้ว…
ร่างของอีเย่ เจี้ยนเก้อสะท้านอีกครั้ง อีกทั้งคำพูดของเขาเมื่อครู่ ทำให้เธอกอดรัดเขาแน่นจนไม่ยอมให้เขาเคลื่อนไหว
ร่างกายของเธอช่างไหวต่อสัมผัส ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าเพราะสัมผัสของเขาหรือร่างกายเธอเป็นเช่นนั้น เขากอด อีเย่ เจี้ยนเก้อจนพอใจ เขาแค่อยากให้เธอได้ลองลิ้มรสประสบการณ์เช่นนี้บ้าง
ชิงสุ่ยไม่อาจละมือออกมาได้ เขาจึงปล่อยมือของเขาไว้เช่นนั้น แล้วเริ่มลงมือต่อโดยการลูบไล้ก้นของเธอ เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวลจนร่างของหญิงสาวสั่นสะท้านอีกครั้ง
“เจ้าคนบ้ากาม! เอามือออกไปนะ!” เสียงอีเย่ เจี้ยนเก้อดังขึ้นเบาๆ เธอไม่กล้ามองหน้าชิงสุ่ย ใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อจนเหมือนพระอาทิตย์ยามเย็น
ชิงสุ่ยยิ้มและค่อยๆถอนมืออกมา เขาจงใจทำเช่นนั้นจนร่างของ อีเย่ เจี้ยนเก้อสั่นไม่หยุด ชิงสุ่ยค่อยสูดกลิ่นหอมจากมือของเขา
“เจี้ยนเก้อ กลิ่นของเจ้าติดมือข้ามาด้วย…”
“…เจ้าคนโรคจิต!” อีเย่ เจี้ยนเก้อผลักขิงสุ่ยและวิ่งหนีออกมา
ชิงสุ่ยมองคราบเปรอะสีขาวในมือ เขารู้ว่าเธอรู้สึกอายจริงๆและเมื่อมองไปด้านบนเขาก็เห็น ชางห่าย หมิงเยวี่ย และห่าวหยุน ลิ่วลี่ ยืนอยู่ตรงนั้น
ชางห่าย หมิงเยวี่ย มองด้วยสายตาอย่างเช่นเคย ชิงสุ่ยนึกถึงครั้งแรกของเขาและเธอบนแร้งอสนีปีกทองคำ
ห่าวหยุน ลิ่วลี่ สวมเสื้อสีม่วงเช่นเคย ..ชิงสุ่ยเช็ดมือกับเสื้อของเขา ก่อนจะเดินไปคว้ามือของทั้งสอง
ชิงสุ่ยคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่เขาใช้เวลาร่วมกับทั้งสอง เมื่อได้สัมผัสมือของทั้งสอง ชิงสุ่ยอดหวนนึกถึงความหลังไม่ได้
“นานแล้วที่พวกเราไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้”ชิงสุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ใช่ พวกเราดีใจที่เจ้ากลับมา ครั้งหน้าพวกเราคงมีเวลาร่วมกันมากขึ้น เป็นเรื่องดีจริงๆที่พวกเราได้อยู่กันพร้อมหน้า” ชางห่าย หมิงเยวี่ย พูดพร้อมรอยยิ้ม
“ชิงสุ่ย ..คืนนี้เจ้าจะไปเยี่ยมห้องใครเหรอ?” ห่าวหยุน ลิ่วลี่ กระพริบตาอย่างยั่วยวนและหรี่ตามองชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยใช้มือลูบคางอยู่ครู่หนึ่ง..”ข้าอยากได้เตียงใหญ่ ๆ ที่พวกเราจะร่วมเตียงเดียวกันได้..”
“แล้วก็แบ่งผ้าห่มผืนใหญ่กันงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!” ห่าวหยุน ลิ่วลี่ตอบอย่างหยอกล้อ
“ลิ่วลี่ เจ้าไม่ชอบเหรอ? ข้าคิดว่าวิธีนี้จะทำให้เจ้าได้เห็นสิ่งที่เจ้าอยากเห็นเสียอีก…”
“เจ้าบ้า ไม่ต้องพูดเลย!”ยิ่ง ชางห่าย หมิงเยวี่ย คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งเขินอาย
แทนที่ห่าวหยุน ลิ่วลี่ จะหัวเราะอย่างเช่นเคย เธอกลับกอดแขนชิงสุ่ยแน่นเหมือนไม่พอใจ “ชิงสุ่ย อีก 4 มหาทวีปนั้นสวยไหม?” ห่าวหยุน ลิ่วลี่ ถามอย่างสงสัย
“ไม่เลย! ที่ที่ไม่มีพวกเจ้าอยู่ ไม่สวยเลยสักนิด”ชิงสุ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าคิดว่าที่นั่นต้องสวยมากแน่ๆ แล้วเจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?”ห่าวหยุน ลิ่วลี่ ถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
“อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะไปที่นั้นได้แล้ว ข้าสามารถกลับมาที่นี้ได้เดือนละครั้ง ในอนาคตข้าอาจจะพาพวกเจ้าไปได้ด้วยเช่นกัน แต่ยังต้องใช้เวลา”ชิงสุ่ยกุมมือทั้งสองแน่น
ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะสวยงามอย่างไร แต่เมื่อมีเพียงเขาคนเดียวที่นั้น ชิงสุ่ยก็ไม่คิดว่าที่นั้นสวยงามเลยสักนิด กลับกัน..หากที่ๆ เขาอยู่นั้น ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด หากมีคนที่เขารักอยู่ด้วย ชิงสุ่ยคิดว่าสถานที่แห่งนั้นช่างงดงามมากทีเดียว
“ลูก ๆ ของพวกเราเริ่มโตแล้ว ในอนาคตพวกเรายังอยากพัฒนาฝีมือให้มากขึ้นไปอีก แล้วตอนนี้พลังของเจ้าก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ..เจ้าจะทิ้งพวกข้าไปรึเปล่า?” ชางห่าย หมิงเยวี่ย ถาม
“หมิงเยวี่ย สงสัยพวกเราคงต้องเริ่มสงครามสักสามร้อยรอบบนเตียงเสียแล้ว ข้าจะแสดงให้ดูเองว่าสามีของเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด หากในอนาคต ถ้าเจ้าพูดแบบนี้อีก ข้าคงต้องสั่งสอนเจ้าทั้งคืนแล้วล่ะ”ชิงสุ่ยหัวเราะ แต่ลึกๆ แล้วเขารู้สึกซาบซึ้งใจที่พวกเธอคอยดูแลลูกๆ แทนเขา
“ท่านพี่ ท่านช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้ใจชิงสุ่ยไปด้วยคำคำเดียว” ห่าวหยุน ลิ่วลี่ พูดด้วยท่าทางน้อยใจเล็กน้อย
“ไม่เอาน่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปรบกับชิงสุ่ยคืนนี้สิ..” ชางห่าย หมิงเยวี่ย พูดด้วยท่าทีเขินอายและติดตลอก
ห่าวหยุน ลิ่วลี่ยังคงมีนิสัยเหมือนเดิม ชิงสุ่ยรู้สึกพอใจจริงๆ ทั้งรูปร่างและความคิดของเธอ ดูเหมือนนางมารตัวน้อย
หลังจากนั้น หยุน ต้วน ติ๊ ชิง ห่าย ตงชิงและภรรยาเกือบทั้งหมดของชิงสุ่ยก็มาถึง ความจริงแล้ว ชิงสุ่ยก็ไม่ได้มีภรรยาจำนวนมากมายอะไรขนาดนั้น หากเทียบกับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนคนอื่น ๆ พวกนั้นอาจจะมีจำนวนภรรยามากกว่าชิงสุ่ยด้วยซ้ำ และด้วยความรักของชิงสุ่ยที่มีต่อภรรยา เขาไม่มีทางยอมเสียใครไปสักคน และถ้าหากเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ เขาคงรู้สึกใจมาก
เมื่อเห็นภรรยาแสนงดงามของเขา ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุข เขาหวนนึกถึงคำพูดจากสมัยอดีตกาล
ยิ่งประสบความสำเร็จในธุรกิจ ก็ยิ่งมีลูกเมียมากขึ้นด้วย..
ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาพอใจไปได้มากกว่านี้ ในอดีตเขาไม่เคยว่าจะเป็นใหญ่เหนือตระกูลเหยียน เขาแค่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเท่านั้น จนเขาได้พบกับติ๊ เฉิน อีเย่ เจี้ยนเก้อ ห่าวหยุน ลิ่วลี่ หลิน ซานห่าน รวมถึงเรื่องราวอีกมากมาย
ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะได้พบเจอคนมาก ๆ ดังนั้นเขาก็มักเข้าไปพัวพันกับ ประมุขอสูร ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ตระกูลเหยียนก็ยังไม่จบสิ้นเสียที
เพราะติ๊ เฉิน เขาจึงออกเดินทางไปยังมหาทวีปอู่เซียตะวันตก แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเขา หากเขาไม่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ เขาก็ไม่อาจพบติ๊ เฉินที่นิกายบงกชเทวะได้
หากเริ่มต้นอะไรบางอย่าง ก็ไม่อาจหยุดได้กลางคัน ดังนั้นเขาจะต้องจบทุกอย่างด้วยความสามารถของเขาเอง เพื่อที่เขาและคนรอบข้างจะไม่ต้องเสียใจภายหลัง
โชคดีที่เขามีธงสวรรค์ปัญจธาตุ นับว่ามีประโยชน์มากที่เดียว..
ระหว่างที่มาที่นี้ ชิงสุ่ยคิดอะไรมากมาย ด้วย ธงสวรรค์ปัญจธาตุ คนของตระกูลชิงก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่มหาทวีปอู่เซียตะวันตก เขาเพียงแค่กลับมาหาทุกคนก็พอแล้ว
ตอนนี้ทุกคนยังไม่แข็งแกร่งเท่าชิงสุ่ย ดังนั้นพวกเขายังไม่ควรออกไปจาก 5มหาทวีป
ในไม่ช้ามหาทวีปอู่เซียตะวันตกคงจะเกิดเรื่องราวมากมาย เช่นเดียวกับอีก 3 มหาทวีปที่เหลือ พวกนั้นคงคิดว่า 5 มหาทวีปเป็นเพียงผืนดินธรรมดา พวกเขาคงไม่ได้ตั้งเป้าหมายในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก และคนอื่นๆ คงไม่เดินทางออกมาจากสามมหาทวีปที่ทั้งเจริญรุ่งเรืองและเต็มไปด้วยจิตแห่งปราณ ที่นั้นเป็นเหมือนสวรรค์บนโลกมนุษย์ ดังนั้นสถานที่นั้นจึงล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
จากความคิดของชิงสุ่ย เขาคิดว่า 5 มหาทวีปก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แม้จะมีกฎของสวรรค์และโลก แต่หากไร้กฎนี้ พวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นได้ แม้จะมีการจำกัดเรื่องความเร็วแต่ชิงสุ่ยคิดว่าถ้าไหลเวียนพลังอย่างชาญฉลาด ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
ดังนั้นชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะคุยกับทุกคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะอาจมีคนที่ต้องการเดินทางไปยังมหาทวีปอู่เซียตะวันตก
“จริง ๆ แล้ว ข้าเคยบอกใช่ไหม ว่าข้าจะพาพวกเจ้าไปอีก 4 มหาทวีปภายใน 5 ปี แต่ตอนนี้ข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟัง”
เขาควรจะบอกทุกคน เพราะไม่ใครในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกที่จะหยุดเขาได้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจะต้องพูดให้ทุกคนเข้าใจ เพราะเขาอาจจะไปจากมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ภายในเวลา 5 ปี
แต่ถึงแม้ชิงสุ่ยจะออกเดินทาง เขาก็สามารถกลับมาที่ 5 มหาทวีปได้บ่อยขึ้น ดังนั้นเขาเลือกที่จะมาอยู่ที่นี้ และชิงสุ่ยก็สัญญากับทุกคนไว้แล้วว่าเขาจะพาทุกคนไปด้วย แน่นอนว่าเขาอยากให้ทั้งตระกูลได้มารวมตัวกันอีกครั้ง
ตอนนี้คนของตระกูลชิงอยู่ในระดับเซียนเทียนและมีอายุขัยประมาณ 500 ปี ซึ่งถือว่ายาวนานมากทีเดียว อายุขัยในระดับเซียนเทียนนั้นไม่ค่อยมีโรคภัยเกิดขึ้น อายุขัยของพวกเขาก็คือประมาณ 500 ปี และแน่นอนว่าอายุขัยของพวกเจ้าจะต้องเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งชิงสุ่ยมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้
บทที่ 1298 – ความรู้สึกที่เรียกว่าความสุข คนรักของชิง หมิน?
เมื่อคิดอย่างนั้น ชิงสุ่ยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาที่ครอบครัวของเขายังมีชีวิตยืนยาว ปู่ของเขาเองก็มีชีวิตอยู่อีก 300 ปี ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ชิงสุ่ยเตรียมพร้อมทุกอย่าง เขาคิดว่าในอนาคตศาสตร์ปรุงยาของเขาน่าจะแข็งแกร่งขึ้นและเขาอาจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อทุกคนได้
ทุกอย่างเริ่มลงตัว ทั้งตระกูลครื้นเครงในตอนกลางคืน ชิงสุ่ยรีบไปที่เตียงของรัก ตามที่ ห่าวหยุน ลิ่วลี่ถามเขาไว้ว่าเตียงใดจะเป็นเตียงแรกที่เขาไป?
ห้องของชางห่าย หมิงเยวี่ย !
ทั้ง ชิง ซุนและชิง หยินแยกไปอยู่อีกห้องนานแล้ว ชิงสุ่ยเคาะประตูห้องก่อนจะเข้าไปในห้องทันที ใบหน้าของชางห่าย หมิงเยวี่ย แดงระเรื่อ เธอมองชิงสุ่ยที่กำลังปิดประตู
ชิงสุ่ยรีบพาร่างบางขึ้นเตียง
ร่างของเธอช่างยั่วยวน เธอยื่นมือมาโอบรอบคอชิงสุ่ย ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเจอกันก็เป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว อย่างที่เขากล่าวกันยิ่งห่างกันก็ยิ่งคิดถึงกันมากขึ้น ดังนั้นเมื่อหญิงสาวได้เจอชายที่เธอรัก เธอก็ต้องแสดงความรักให้เขาเห็น
หากชายหญิงคิดถึงกันและกัน ก็มีแต่การร่วมรักเท่านั้นที่จะบรรเทาความรู้สึกของทั้งคู่ได้ ชิงสุ่ยถอดเสื้อของเขาและเธอออก ก่อนทั้งสองจะโผเข้าหาและกอดกันแน่น
ในตอนนั้นชิงสุ่ยจูบชางห่าย หมิงเยวี่ยอย่างคนกระหาย ในขณะที่ร่างของเธอก็ตอบสนองเขาอย่างน่าหลงใหล ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกที่เธอจะมีอารมณ์ร่วมกับเขามากมายขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเธอปล่อยตัวไปตามความรู้สึกจริงๆ ท่าทางของเธอทำให้ชิงสุ่ยใจสั่นระรัว ก่อนเขาจะพรมจูบเธอทั่วทั้งร่าง
ส่วนล่างของทั้งสองเคลื่อนเข้าหากัน ในขณะที่มือและปากของชิงสุ่ยก็ไม่หยุดทำงาน ชิงสุ่ยทำให้เธอมีความสุขจนถึงจุดสูงสุด ก่อนเขาจะเปลี่ยนท่าร่วมรักไปเรื่อยๆ
แม้จะเขินอายอยู่บ้าง แต่เธอก็คล้อยตามชิงสุ่ยเพื่อให้เขาได้สุขสมใจหมาย
บนเตียงนุ่ม ร่างทั้งสองอิงแอบกัน ชิงสุ่ยกอดร่างบางของชางห่าย หมิงเยวี่ย ไว้แน่น
“ชิงสุ่ย ..เจ้าไม่ไปหาพวกนางต่อเหรอ?” ชางห่าย หมิงเยวี่ยถามอย่างอ่อนโยนในขณะที่เธอกำลังอิงอยู่ในอ้อมกอดของชิงสุ่ย
“เจ้าจะไล่ข้าไป หลังจากเจ้าสมใจหมายงั้นเหรอ?”ชิงสุ่ยหยอกเธอ
“เจ้าก็พูดไปเรื่อย..” ชางห่าย หมิงเยวี่ย ยิ้มเพราะช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ ใบหน้าของเธองดงามจนไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ โดยเฉพาะใบหน้าตอนที่เธอมีอารมณ์ใครนั้น ช่างงามเหนือสิ่งอื่นใด
ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร เขาจึงยิ้มตอบและสวมเสื้อผ้า ชิงสุ่ยพิงตัวไว้ข้างเตียงก่อนจะกอดเธอและจูบเธออีกครั้ง
เขารู้สึกว่าเวลาคืนเดียวนั้นช่างสั้นเหลือเกิน ชายหนุ่มรีบมุ่งหน้าไปอีกห้อง เพราะเขาเองก็มีเรื่องที่อยากคุยกับพวกเธอเช่นกัน
ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิด..ความรักนั้นทำให้คนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างนั้นเหรอ? แม้จะมีลูกแล้ว แต่หลายคนก็เลือกที่รักที่ชัง ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเลย
ความจริงแล้ว ชิงสุ่ยเคยคิดว่าความรักระหว่างชายหญิงนั้นเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว ยิ่งรักอีกฝ่ายมากเท่าไร เขาก็ไม่อาจมองหาใครได้อีก ทว่าในกรณีของชิงสุ่ยนั้นต่างออกไป เขารักภรรยาทุกคนของเขา จนยอมที่จะต่อสู้กับทุกคน เขาไม่สน แม้ต้องเสี่ยงตายก็ตาม
คงไม่ใช่ทุกคนที่มีความรักแบบเดียวกับเขา เพราะคนส่วนมากมักนิยมของใหม่มากกว่าของเก่า ชิงสุ่ยไม่คิดว่าเขามีนิสัยเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถมีภรรยาได้เพียงคนเดียว ดังนั้นเขาจะพยายามรักทุกคนให้เท่ากัน
ชิงสุ่ยไปที่ห้องของจรู้ชิงในตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ตอนแรกเขาไปที่ห้องจของ ชางห่าย หมิงเยวี่ย และตามด้วยติ๊ ชิง ห่าง ตงชิงหรือเหล่าภรรยาของเขาที่ยังไม่มีบุตรหรือคนไม่ได้นอนอยู่กับลูกๆ ก่อนชิงสุ่ยจะไปที่ห้องของจรู้ชิง
เธอเปิดประตูและโผเข้ากอดชิงสุ่ยทันที เขารีบกอดตอบ เธอรู้ว่าเธอยังนอนไม่ได้ หากชิงสุ่ยไม่มาหาและชิงสุ่ยรู้ดีว่าเธอรอเขาอยู่ ดังนั้นถึงจะดึกแล้ว แต่เขาก็ต้องมาหาเธอให้ได้
“ที่รัก เจ้าคิดถึงข้าไหม?”ชิงสุ่ยกระซิบถาม
“แน่นอน ข้าคิดถึงเจ้าทุกวัน บางครั้งข้าก็อยากไปหายังที่ที่เจ้าอยู่เลยด้วยซ้ำ”ในตอนนั้นจรู้ชิงกอดชิงสุ่ยอย่างมีความสุข
“ข้าก็เช่นกัน หลงเอ๋อหลับรึยัง?”ชิงสุ่ยกระซิบถามอีกครั้ง
“แน่นอน!”
“ถ้างั้นเราก็มาทำอะไรสนุกๆกันเถอะ ข้าคิดถึงเจ้าไม่ไหวแล้ว…”ชิงสุ่ยขบใบหูเธอเบาๆ
จรู้ชิงเป็นหญิงสาวร่างเล็ก เนินอกของเธอกลมเต่งตึงและใหญ่ตรงข้ามกับรูปร่าง อีกทั้งใบหน้าของเธอยังทรงเสน่ห์เหมือนหญิงสาวที่โตเต็มวัย
“…ข้าไม่บอกเจ้าหรอก” ร่างกายของเธออ่อนไหวง่าย เธอหายใจขาดห้วงเพราะชิงสุ่ย และถึงแม้ชิงสุ่ยจะไปห้องคนอื่นมาก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด
“เจ้าจะไม่บอกข้าจริงๆเหรอ?”ชิงสุ่ยถามก่อนจะเริ่มใช้มือของเขาลูบไล้ไปมาอย่างชำนาญ มือของเขาชอนไชเข้าในส่วนเร้นลับของเธอ
“เจ้าคนเจ้าเล่ห์! เจ้าก็รู้ว่าข้าอดใจไม่ไหวแล้ว..รีบขึ้นเตียงเถอะ ข้าต้องการเจ้าทั้งตัวแล้ว!” จรู้ชิงกระซิบข้างหูชิงสุ่ยในขณะที่เธอกำลังกัดฟันอดกลั้นความรู้สึก
ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบนเตียงอย่างบ้าคลั่ง ราวกับกระหายอะไรบางอย่างจากร่างของอีกฝ่าย
หลังจากผ่านศึกหนัก..ร่างของจรู้ชิงก็อิงอยู่ข้างกายชิงสุ่ย ท้องฟ้ามืดสนิท ชิงสุ่ยสังเกตท่าทีพอใจของเธอ เนินอกสีขาวราวหิมะกำลังประชิดอยู่ที่หน้าอกของชิงสุ่ย
เมื่อมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาก็อดใจไม่ไหวจริงๆ ชิงสุ่ยค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้หน้าอกของจรู้ชิง เธอเองก็ไม่รอช้า รีบยื่นหน้าอกเข้าไปหาปากของชิงสุ่ยทันที
……
ทั้ง อวี้เหอและ เหวินเหรินอูซวง ออกเดินทางไปที่ มหาทวีปราชันย์เหนือฟ้าเพื่อไปหา มู่ ชิง ดังนั้นพวกเธอจึงไม่อยู่ที่นี้ เป็นเวลาเกือบปีแล้วที่พวกเธอไม่ได้เดินทางไปที่นั้น ดังนั้นถ้าไม่มีปัญหาอะไร พวกเธอก็จะกลับมาภายในปีนี้ ชิงสุ่ยเองก็จะกลับมาที่นี้อีก เขาจึงไม่จำเป็นต้องออกเดินทางไปตามหาพวกเธอที่มหาทวีปราชันย์เหนือฟ้า อีกทั้งครั้งนี้ชิงสุ่ยก็ได้ใช้เวลาร่วมกับห่าง ติงชิง และติ๊ชิงได้นานขึ้นเพราะพวกเธอเองก็อยากมีลูกเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ชิงสุ่ยคิดว่าหญิงสาวกลัวการมีลูก เพราะรูปร่างของพวกเธออาจจะเปลี่ยนไป อีกทั้งยังมีปัญหาต่างๆ นานาหลังคลอด เขาจึงคิดว่าพวกเธออาจจะต้องรู้สึกใจเสียใจ หากต้องมีลูกตอนที่ยังไม่พร้อม
อีกทั้งตอนนี้ชิงสุ่ยเองก็มีลูกแล้ว ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับผู้ฝึกตนที่อายุเท่าเขา ในขณะที่ภรรยาของเขาอายุมากกว่าเขา แต่อายุก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวล พวกเขายังมีอายุขัยอีกยาวนานนั่นเอง
อย่างปีศาจที่มีอายุเป็นร้อยปีหรือพันปี ก็อาจจะต้องเรียกชิงสุ่ยว่ารุ่นพี่..เพราะในโลกของผู้ฝึกตน คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีคนเคารพนับถือ
ระหว่างการฝึกในตอนเช้า ชิงสุ่ยสังเกตว่าลูก ๆ ของเขาก็อยู่ที่นั่น แม้ชิงสุ่ยจะไม่ค่อยอยู่ที่นี้ เขาเห็นชิงหยุนอยู่ที่นั้น เธอกำลังฝึกทักษะย่างก้าว 9 เทวา ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าใครสอนเธอ เขาเพียงแต่มองดูเธอที่กำลังฝึกฝนอย่างสนุกสนาน
เมื่อพอใจ เขาก็เดินเข้าไปหาเด็ก ๆ เมื่อชิง หยุนเห็นชิงสุ่ย เธอก็เรียกเขาทันที “ท่านพ่อ!”
“ว่าไง ใครสอนสิ่งนี้ให้เจ้าเหรอ?”ชิงสุ่ยถามอย่างสงสัย “ท่านแม่สอนข้า นางสอนข้าเพื่อให้ข้าวิ่งเร็วขึ้น!”
ชิงสุ่ยตัดสินใจไม่ฝึกต่อ แต่เขาเลือกที่จะสอนเด็ก ๆ แทน ความสามารถของ ชิง ซุนและชิง หยินค่อนข้างดี ซึ่งเป็นธรรมดาของพ่อแม่ที่พอจะสัมผัสได้
คนที่ทำให้ใครหลายคนต้องปวดหัวก็คือชิง หมิน สำหรับเด็ก ๆ พวกเขามีความสามารถที่โดดเด่น เปรียบเทียบกับชิง ซุนเขามีไม่ได้ดีกว่าหรือด้อยกว่าเลย แต่ที่เขาแสดงออกมาราวกับเด็กมีปัญหานั้น อาจจะมีเหตุผลบางอย่าง
มีคำกล่าวว่า คนเลือกทำเลวเพราะสิ่งนี้ทำง่ายกว่าการทำดี ชิง หมินน่าจะเป็นเด็กประเภทนี้ การก้าวพลาดเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้เขากลายเป็นเด็กปีศาจ เหย่อหยิ่งและไม่เคารพกฎเกณฑ์ใด ๆ ชิงสุ่ยคิดว่าเด็ก ๆ จะโตเป็นคนที่แข็งแกร่งในอนาคต และดูเหมือนลูก ๆ ของเขาจะชอบ “ทางเดินชีวิต”ที่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตระกูลชิงต้องปวดหัว ชิง หมินเป็นเด็กที่กล้า เขาพยายามทำให้คนอื่นๆ ตกใจในสิ่งที่เขาพูด แม้กระทั่งหมิงเยวี่ย เก้อโหลวก็ไม่รู้ว่าเธอจะจัดการอย่างไร บางครั้งเธอลงโทษเขาด้วยการตีก้น แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนนิสัยของเขา ในขณะที่ชิงอี้รู้สึกชอบชิง หมิน และพยายามเข้าข้างเขา ดังนั้นชิง หมิน จึงฟังแค่คำพูดของท่านย่าเท่านั้น
ชิงหลัว ..ปู่ของชิงสุ่ยไม่ได้เข้ามาตักเตือนหรืออะไรเด็ก ๆ ทุกครั้งที่เขาเห็นเด็ก ๆ เขาก็รู้สึกมีความสุขมากพอแล้ว ส่วนเรื่องการลงโทษก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นๆ จากคนรุ่นเดียวกับชิงอี้ไม่ก็คนรุ่นชิงสุ่ยเป็นคนจัดการ
“มาคุยกับพ่อสิ” ชิงสุ่ยเรียก ชิง หมิน
เมื่อวานชิงสุ่ยเอาของมาแจกจ่ายเด็ก ๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา แม้ชิงสุ่ยไม่ค่อยมีเวลาให้เด็ก ๆ แต่เขาก็เป็นที่ชื่นชมท่ามกลางบรรดาลูก ๆ ทุกคนเชื่อเสมอว่าพ่อของเขาคือฮีโร่
“ได้สิ ท่านพ่อ..ตอนนี้ท่านแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?” ชิง หมิน ถามอย่างสงสัย
“ทำไมงั้นหรือ?”ชิงสุ่ยถาม
“เจ้าเด็กหัวโตจากตระกูลเฮยฟงโดนข้าจัดการ ดูเหมือนว่าตระกูลของเจ้านั่นจะแข็งแกร่งทีเดียว พวกนั้นจะทำร้ายท่านแม่รึเปล่า?” ชิง หมิน ถามหลังจากคิดเล็กน้อย
ชิงสุ่ยจำใบหน้าเมื่อวานของเด็กน้อยได้ เพราะเขาตัวเปื้อนฝุ่นและโคลน ก่อนชิงสุ่ยจะถามอย่างสงสัย “เจ้าตีเขาจนอาการปางตายงั้นเหรอ?”
“ข้าทำขาและแขนของเขาหัก คนของตระกูลนั้นมาล้อมตัวข้าไว้ แต่โชคดีที่ข้าหนีออกมาได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงโดนทำร้ายจนตายแน่”
ชิงสุ่ยลูบหัวเขา เขาไม่เคยได้ยินเรื่องของ ตระกูลเฮยฟง มาก่อนแต่เขาก็ยิ้มและถามอีกครั้ง “แล้วทำไมเจ้าถึงไปตีเขาล่ะ?”
“ก็เจ้านั่นบังอาจมาแย่งคนรักของข้า! เจ้าหัวถ่านนั้นกล้าขโมยผู้หญิงของข้า!” ชิง หมินพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ทันทีที่ชิงสุ่ยได้ยิน เขาแทบจะหมดสติ เด็กคนนี้อายุเท่าไรกันแน่? เขาเป็นแค่เด็กอายุ 9 ปีเท่านั้น ชิงสุ่ยไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรเช่นนี้จากเด็กอายุ 9 ปี ก่อนชิงสุ่ยจะลองย้อนนึกไปในอดีต ซึ่งเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเช่นกันในโลกก่อนหน้านี้ เพียงแต่เขาไม่ได้ไปหักแขนหักขาของอีกฝ่ายก็เท่านั้น..
ชิง หมิน แก่แดดไม่เบา..ความคิดของเขาเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องเช่นนี้ก็ยังเร็วเกินไปสำหรับเด็กอายุเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยตะลึงที่สุดก็คงจะเป็นคำว่า “เจ้าหัวถ่านกล้าขโมยผู้หญิงของข้า”….
“เข้าใจแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเอง แล้วใครคือคนรักของเจ้างั้นเหรอ? นางเป็นคนรักของเจ้าจริงๆเหรอ?” ชิงสุ่ยรู้สึกปวดหัวเกี่ยวกับปัญหานี้อยู่บ้าง ในเมื่อเขาหยุดลูกชายไม่ได้ ก็มีแต่เขาจะต้องเป็นคนชี้นำและสั่งสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กอย่างชิง หมิน
“นางเป็นคนของตระกูลหลิง แน่นอนว่านางเป็นคนรักของข้า พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เพราะ ตระกูลเฮยฟงแข็งแกร่งมาก..พวกนั้น ท่าทางยโส ข้าก็เลยรู้สึกอยากจะสั่งสอนเจ้านั่น”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น