Ancient Strengthening Technique 1259-1277
บทที่ 1259 – ช่วยเหลือ ติ๊หวู่ สือฉา จุดเปลี่ยน
“ทำไม?” ถึงแม้ชิงสุ่ยจะเดาเรื่องนี้ได้ แต่เขาก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อย เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคนที่สามารถส่งสาสน์ให้เขา มันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าพี่สาวคนโตของฮูยี่หย่าจะกลับมาในปีนี้หรือไม่
เขาไม่สามารถรออีกต่อไปและไม่ต้องการรออีก ตอนนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว แต่เขาไม่สามารถหาที่ตั้งของนิกายบงกชเทวะได้ เขาไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อน มันไม่ง่ายสำหรับนิกายใดที่จะปิดบังสถานที่ของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ท้ายที่สุดเขาก็รู้ว่าแม้กระทั่งคนธรรมดาก็ไม่ทราบตำแหน่งของมัน
“คนทั่วไปไม่สามารถเข้าพบหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะได้ ไม่มีทางใดที่จะนำสาสน์ไปส่งให้นาง ข้าได้ออกจากนิกายบงกชเทวะมาแล้วและข้าก็หมดหนทาง แม้ว่าข้าต้องการจะช่วยเหลือเจ้า” เธอกล่าวด้วยความรู้สึกที่สงสารมาก
ชิงสุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะถามสถานที่ของนิกายบงกชเทวะ “ข้าจะรักษาท่านก่อน หลังจากนั้นข้าค่อยคิดหาวิธีแก้ของข้าเองทีหลัง”
เมื่อเธอได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย เธอก็ถึงกับผงะ เธอได้พูดไปแล้วว่าเธอจะช่วยเขา นั่นเพื่อฮูอี้เหมิน แม้ว่าเธอจะไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ แต่เธอก็ทำดีที่สุดแล้ว เธอไม่ได้คาดหวังให้เขาบอกว่ายังคงช่วยรักษาเธอ สภาพตอนนี้ของเธอไม่ใช่สิ่งที่สามารถรักษาได้ง่ายๆ
“ข้าอยากช่วยเจ้า แต่ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้จริงๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำตามที่พูดไว้” เธอพูดออกมาอย่างสุภาพ
“ปล่อยวางปัญหานั้นไปก่อน เมื่อข้ามาถึงนี่แล้ว ท่านก็ควรจะให้ข้าลองดู ท่านยอมแพ้แล้วจริงๆงั้นหรือ? ท่านไม่มีอะไรเสียหายหากท่านให้ข้าลองทำ” ชิงสุ่ยมองเธออย่างจริงจัง
“เจ้าต้องการลองจริงๆหรือ? ตกลง เช่นนั้นก็เชิญ!” เธอไม่ได้คาดหวังอะไรเลย มันเป็นเวลา 3 ปีแล้ว ด้วยความสามารถของ ตระกูลติ๊หวู่ พวกเขามองหานักปรุงยาและหมออยู่หลายคน อย่างไรก็ตามมีข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือมันไม่สามารถช่วยได้ ถ้าชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้บอกผลลัพธ์ที่ได้ดั่งเช่นที่เคยเป็นมาเมื่อทำการรักษาเสร็จ เธอก็คงจะรู้สึกเบื่อหน่าย
ตระกูลติ๊หวู่ได้นำยามหัศจรรย์กระดูกมรณะมาใช้สำหรับเธอ อย่างไรก็ตามมันก็ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเพราะเธอยังมีขาทั้งสองข้างหรือเหตุผลอื่นใด เธอสามารถเดินได้ เส้นลมปราณดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ อารการทรุดโทรมของร่างกายเธอดีขึ้น แต่กระนั้นด้วยความจริงที่ว่าเส้นลมปราณที่ขาทั้งสองข้างของเธอถูกทำลายอย่างสาหัส ร่างกายจึงกลับมาทรุดโทรมลงอีกครั้งหลังจากนั้น 1 ปี
เรื่องนี้ทำให้ตระกูลติ๊หวู่และเธอรู้สึกว่ายามหัศจรรย์กระดูกมรณะเป็นของปลอม
มันเต็มไปด้วยความผิดหวัง เมื่อเวลาผ่านไป เธอเคยชินกับมัน แม้ว่าร่างกายของเธอกำลังค่อยๆเสื่อมสภาพลง แต่เธอก็ยังสามารถอยู่ได้อีก 8-10 ปี
การใช้ชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่ทรมาน แต่เธอยังคงทนอยู่ต่อไป เธอยังเยาว์วัยและไม่อยากตาย นี่คือชีวิตที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของใครคนหนึ่ง
“ที่นี่มีถังอาบน้ำหรือไม่?” ชิงสุ่ยถาม
“มี!”
ไม่นานนักถังอาบน้ำสูงครึ่งหนึ่งของตัวคนก็ถูกนำออกมา ชิงสุ่ยนำหยดฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตออกมาและให้เธอดื่มมัน นี่คือสิ่งที่สามารถใช้เพื่อประคองชีวิตได้
เวลาต่อมาอ่างน้ำถูกยกสูงขึ้นและมีไฟจุดอยู่ใต้มัน ในระหว่างขั้นตอนนี้หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจมาก เป็นเพราะหยดฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตก่อนหน้านี้ มันดูเหมือนจะทำให้เธอเห็นถึงความหวัง
เธอเดาเอาว่าเป็นหยดฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต แต่เธอไม่ได้ถาม เมื่อน้ำในอ่างอุ่นได้ที่ ชิงสุ่ยโยนยาสมุนไพรบางชนิดลงไป หลายอันเป็นของที่มีค่ามาก
สำหรับสภาพตอนนี้ของเธอ มันไร้ประโยชน์ที่จะใช้ยาเพื่อยืดอายุขัยของตัวเอง เขาจะต้องชำระล้างเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายของเธอและทำให้ส่วนที่โดนทำลายกลับมาทำงานอีกครั้งเพื่อฟื้นฟูพลังในร่างกายของเธอ
การเสื่อมสภาพทางร่างกายของเธอเป็นจำนวนมากเกิดจากตัวเธอเอง คนที่รู้สึกหดหู่และสูญเสียความหวังทั้งหมด บางครั้งก็จะทำให้ร่างกายเริ่มเสื่อมลง นอกจากนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้เมื่อต้องเผชิญอุปสรรคและแรงกดดันในชีวิต
ความถดถ่อยของการฝึกตน ความหวังของตระกูล… เธอแบกรับแรงกดดันอย่างมากซึ่งส่งผลต่อสภาพร่างกายของเธอ นอกเหนือจากความสามารถในร่างกายจะเปลี่ยนไป หยดฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตก่อนหน้านี้อาจเกิดการกระตุ้นพละกำลังภายในร่างกายขึ้น
“แม่นางติ๊หวู่ ท่านสามารถลงไปได้แล้วตอนนี้” ชิงสุ่ยกล่าวเมื่อเขาเห็นว่าน้ำอุ่นจนทั่วแล้วและพลังของยาสมุนไพรก็ซึมเข้าสู่น้ำแล้ว
“เช่นนั้นหรือ?” เธอถามเบาๆ
“มันแค่นี้แหละ ผลที่ได้จะดียิ่งขึ้นหากท่านใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นขึ้น” ชิงสุ่ยพูดความจริง อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่าเขาดูเหมือนจะใช้ประโยชน์กับมันเมื่อเขาพูดในขณะนี้
“เจ้าเป็นหมอที่ดี”
เธอพูดเบาๆแล้วถอดเสื้อผ้าออกเหลือไว้เพียงผ้าไหมบางๆ ผิวอันขาวราวกับหิมะของเธอเห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนโค้งเว้านั้นดูมีเสน่ห์มาก
“ดูดีหรือไม่?” เธอเห็นว่าชิงสุ่ยกำลังจับตาดูเธอ
“ไม่เลว!” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง
เหตุผลที่เธอถามเรื่องนี้ก็เพราะเธอไม่รู้สึกอึดอัดกับสายตาของชิงสุ่ย เมื่อผู้ชายแอบดูผู้หญิง มันทำให้พวกเขาแสดงความหยาบกระด้างออกมา อย่างไรก็ตามหากพวกเขาใจเย็นและมองอย่างกล้าหาญพร้อมกับกล่าวคำชมเชยอย่างเปิดเผย มันก็อาจจะกลายเป็นอีกสถานการณ์หนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ดีกว่าการแอบดู ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายขี้ขลาด
ผู้หญิงลอยขึ้นและลงไปในอ่าง น้ำถึงตลอดทางถึงกระดูกไหปลาร้าของเธอและไอน้ำได้อย่างรวดเร็วเปียกผมของเธอ
ชิงสุ่ยเทหยดฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตลงในอ่างน้ำ หยดฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตมีค่ามาก แต่เขาสามารถได้รับมันอย่างน้อยหนึ่งหยดในแต่วันจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ แน่นอนว่าหมายถึง 1 วันในโลกภายนอก
ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงและน้ำถูกต้มจนระเหยไปหมด มีเพียงฝึกตนเท่านั้นที่จะสามารถผ่านมันไปได้ คนสามัญทั่วไปคงจะต้องโดนต้มจนสุก
หลังจากที่น้ำแห้งหมด ชิงสุ่ยรีบให้เธอนอนลงบนเตียง จากนั้นเขาก็เอาเข็มทองคำออกมาและเริ่มรักษาเส้นลมปราณที่เสียหายตรงขา ในขณะที่เขาใช้ทักษะการฝังเข็มเบญจธาตุเพื่อกระตุ้นพลังของเธอผ่านธาตุทั้งห้า
สำหรับชิงสุ่ยทุกอย่างไม่ได้ยาก อย่างไรก็ตามมันจะไม่เหมือนกันหากเป็นคนอื่น เพราะพวกเขาไม่มีลมปราณแห่งเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลและปราณแห่งการหวนคืนเหมือนเขา นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการฝังเข็มของชิงสุ่ยจึงน่าอัศจรรย์
กระตุ้นศักยภาพ เสริมสร้างความแข็งแกร่ง เคล็ดการฝังเข็ม 9 หยาง!
ชิงสุ่ยสามารถรู้สึกได้ว่าพลังในร่างของเธอกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกว่าขาของเธอแข็งแรงขึ้น การไหลเวียนของเลือดและลมปราณแรกเริ่มกลับมาเหมือนใหม่
ในที่สุดเธอก็เชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้สามารถรักษาเธอได้ เธอมองไปที่เข็มสีทองคำบางๆที่ปกคลุมทั่วทั้งขาของเธอ เธอไม่รู้จะพูดอะไรและได้แต่ประเมินชายหนุ่มคนนี้
เขายังเยาว์และหล่อเหลา นี่อย่างกับปีศาจหนุ่มเมื่อคิดว่าเขาสามารถรักษามันได้ เธอรับรู้ว่าร่างกายดีขึ้นและอาจกล่าวได้ว่าเธอฟื้นตัวเป็นปกติแล้ว ในอดีตลมปราณแรกเริ่มของไม่ไหลเวียน แต่ตอนนี้เธอสามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเธอ
เข็มทองคำ 81 เข็มเจาะเข้าไปในขาขณะที่พวกมันหมุนและสั่น ชิงสุ่ยจะเคาะเข็มเหล่านั้นเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่มีการเคาะเข็ม มันก็จะเกิดเสียงสะท้อน เข็มจะเคลื่อนไหวตามๆกัน
ขั้นตอนนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตก ชิงสุ่ยเก็บเข็มทองคำ ร่องรอยของเหงื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาและเขาใช้เช็ดมือออกด้วยแขนเสื้อ
“พยายามรู้สึกถึงมันหากท่านสามารถไหลเวียนลมปราณได้ในขณะนี้” ชิงสุ่ยเก็บเข็มทองคำและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้มันรู้สึกดี ข้ารู้สึกได้ ข้าไม่แน่ใจว่าข้าอยู่ในความฝันหรือเปล่า มันดูราวกับภาพในฝัน แต่คราวนี้มันรู้สึกเหมือนจริงเล็กน้อย ข้ากลัวว่าเมื่อข้าตื่นขึ้นมาทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับคืนอย่างเดิม ” เธอตอบอย่างสงบ
“นี่เป็นความจริง มันไม่ใช่แค่ความฝัน”
“พิสูจน์สิ” เธอมองไปที่ชิงสุ่ย
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” ชิงสุ่ยตกตะลึง
“จูบข้าสิ” เธอดูสงบมาก อาจเป็นเพราะเธอรู้สึกว่าเธออยู่ในความฝันและเธอเป็นคนกล้าหาญ
ชิงสุ่ยประหลาดใจ นี่มันอะไร? มันดูไม่เหมาะสมที่เขาจะจูบเธอ แต่ถ้าเขาไม่ทำ… เธอกำลังจมดิ่งอยู่ในสับสนและมันไม่ดีสำหรับเธอหากยังคงเป็นอยู่แบบนี้
ชิงสุ่ยไม่ได้ขยับตัวอะไร อย่างไรก็ตามเธอเข้ามาสวมกอดเขาและจากนั้นเขารู้สึกได้ถึงความนุ่มชุ่มชื้นของสัมผัสบนริมฝีปากของเขา ลิ้นเล็กๆของเธอสอดใส่มายังปากเขาเหมือนงูตัวน้อย จู่ๆเธอก็ดันชิงสุ่ยออกไปอย่างฉับพลันและรวดเร็ว
“ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องจริง… อย่าได้คิดมากไป ถือซะว่ามันเป็นรางวัลเพิ่มเติมสำหรับเจ้า…” น้ำเสียงเธอดูอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย
ชิงสุ่ยรู้สึกมืดมน เขายังไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาใดๆ แต่เรื่องทั้งหมดกลับสิ้นสุดลง
“รางวัลเพิ่มเติม? หรือนั่นหมายความว่ายังมีรางวัลอื่นๆอีก?” ชิงสุ่ยถาม
“เจ้าไม่ได้กำลังตามหาติ๊เฉินอยู่งั้นหรือ? ตอนนี้ข้าสามารถช่วยเจ้าได้แล้ว” ชิงสุ่ยมองเธอที่กำลังพูดและตระหนักว่าความสามารถของเธอนั้นสูงมาก มันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือค่อนข้างฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ะ ท่านสามารถช่วยข้าติดต่อกับนางได้หรือ?” ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจมาก
“ตอนนี้ข้าทำได้ เพราะข้าสามารถกลับไปที่นิกายบงกชเทวะได้อีกครั้ง ดังนั้นข้าจึงสามารถช่วยติดต่อนางได้ จริงสิ พวกเจ้าทั้งสองเกี่ยวข้องกันอย่างไร?” เธอดูเหมือนจะนึกถึงมันออกในตอนนี้
“นางเป็นภรรยาของข้า เหตุผลที่ข้ามาถึงมหาทวีปอู่เซียตะวันตกคือการตามหานาง ชิงสุ่ยกล่าวเบาๆ
“ภรรยา? เป็นไปได้อย่างไร? หญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะจะไม่มีทางแต่งงาน” เธอกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เช่นนั้นนางก็ไม่สามารถกลายเป็นหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะได้” ชิงสุ่ยกล่าวผ่านๆ
“เจ้าอาจจะฟังดูง่าย เจ้าคิดว่าการเป็นหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะเป็นเรื่องง่ายงั้นหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่สิ่งที่จะละทิ้งมาง่ายๆ” เธอพูด
“ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่อนุญาตให้แต่งงาน? มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากพวกเขาแต่งงาน?” ชิงสุ่ยใช้ความคิดบางอย่างก่อนที่จะถาม
“ถ้าหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์ปรารถนาจะแต่งงาน นางต้องคืนทุกอย่างกลับแก่นิกาย”
“สิ่งที่นิกายให้นางคืออะไร?” ชิงสุ่ยคิดบางอย่างและถาม
“การฝึกตน”
“ท่านหมายถึงนางจะต้องพิการหรือ?”
“ถูกตัอง!”
ชิงสุ่ยยิ้ม “ลืมมันไปเถอะ พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก พวกเราจะมาว่ากันอีกทีหลังจากที่ข้าได้พบนางแล้ว” เขาลองคิดบางอย่างและพูด ตอนนี้เขาไม่ได้กลัวเรื่องของนิกายบงกชเทวะ
“เช่นนั้นก็ดี โอ๊ะ ข้าลืมไป ข้าชื่อ ติ๊หวู่ สือฉา”
“ชื่อของท่านมีเอกลักษณ์ หากใครได้ยินก็คงจะจำได้” ชิงสุ่ยยิ้มและพูด
“เจ้ากำลังบอกว่าชื่อของข้าฟังดูไม่ดีงั้นหรือ?”
“ไม่มีชื่อที่ฟังดูไม่ดี มีแต่คนเราเท่านั้นที่ไม่ดี” ชิงสุ่ยยิ้มและพูด
“แล้วเจ้าคิดว่าชื่อของข้าฟังดูดีหรือไม่?”
“มันไม่สำคัญ”
“เจ้ามีไหวพริบที่ดี ตกลง เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าคงต้องขอเวลาสักหน่อยเพื่อกลับไปที่นิกายบงกชเทวะ แล้วข้าจะนำนางมาพบเจ้า” ติ๊หวู่สือฉากล่าวกับชิงสุ่ย
“มันจะใช้เวลานานหรือไม่?” ชิงสุ่ยถาม
“มันไม่มีเส้นทางที่ตายตัวสำหรับนิกายบงกชเทวะ มันไปถึงได้เร็วมากและเจ้าจะไม่ต้องรออีกต่อไป แน่นอนว่าข้าจะกลับมาก่อนปีใหม่”
บทที่ 1260 – ข้าจะไป,เมืองจักรพรรดิ
ชิงสุ่ยชื่นใจเมื่อได้ยินติ๊หวู่สือฉากล่าวอะไร อย่างไรก็ตามเขาคาดการณ์ไว้ก่อนว่าเขาจะได้พบพี่สาวคนโตของฮูยี่หย่าตอนปีใหม่ เช่นนั้นแล้วเขาจะต้องคิดวิธีส่งข้อความให้กับติ๊เฉินก่อน
เขาหยิบจดหมายที่ติ๊เฉินทิ้งไว้ให้ออกมา หลังจากคิดและพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเขาก็ส่งมันให้กับติ๊หวู่สือฉา “โปรดมอบมันให้นาง เมื่อนางเห็นมัน นางจะรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ “
เมื่อพูดออกมาคำเหล่านี้ออกไป เขารู้สึกสะเทือนอารมณ์
ติ๊หวู่สือฉารับจดหมายมาจากชิงสุ่ยและเก็บไว้อย่างระมัดระวัง เธอไม่ได้อ่านข้างในจดหมาย
“ข้าจะส่งจดหมายฉบับนี้ให้นางและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อโน้มน้าวให้นางออกมา ข้ารู้จักนางแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น ดังนั้นพวกเราแทบจะไม่ถือว่าเป็นสหายกันและนางมีเพื่อนน้อยมาก โดยพื้นฐานแล้วนางไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากนัก” ติ๊หวู่สือฉาอธิบายขณะที่เธอมองเขา
“ขอบคุณ ข้ารู้เรื่องนี้ดี” ชิงสุ่ยส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม ขอบเขตการฝึกตนของติ๊เฉินได้เพิ่มสูงขึ้นในทันทีทันใด แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าระดับการฝึกตนในปัจจุบันของเธออย่างไร อาจเป็นเพราะว่าการฝึกตนของเธอก้าวหน้าเร็วเกินไปภายในระยะเวลาอันสั้น มันจึงส่งผลทำให้ลักษณะนิสัยของเธอเปลี่ยนไป เป็นไปได้ว่าเธอไม่สามารถทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมได้ มันทำให้เธอระวังผู้คนและสิ่งที่คิดถึงภายในใจ
แม้ในขณะที่เขามีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอย่างมากในความแข็งแรงของเขากลับมาแล้วสิ่งต่างๆเช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขา ดังนั้นเขารู้สึกว่า ติ๊เฉิน ต้องเพิ่มความแรงของเธอด้วยจำนวนที่น่าขัน การรับรู้ของเขายังบอกกับเขาว่าเธอต้องแข็งแกร่งกว่าปู่ปี่อายุที่มากที่สุดในปัจจุบัน ในความเป็นจริงเธอคงจะแข็งแรงกว่าเด็กเซนต์ หลังจากที่ทุกคนพระแม่มารีย์ของนิกายโลตัสก็เท่ากับศิษย์หัวหน้า
กลับกันแม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์และความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น สิ่งต่างๆเช่นนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขา ดังนั้นเขารู้สึกว่าติ๊เฉินต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างยากที่จะหยั่งถึง ความรู้สึกของเขายังบอกอีกว่าเธอต้องแข็งแกร่งกว่าองค์หญิงใหญ่ตอนนี้ ในความเป็นจริงเธอคงจะแข็งแกร่งกว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ หญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะเทียบได้กับผู้นำเหล่าสาวก
“ข้าคงต้องขอบคุณเจ้า กลับไปที่ตระกูลติ๊หวู่กับข้าวันนี้ก่อนแล้วข้าจะแนะนำเจ้ากับครอบครัวของข้า ข้าจะกลับไปยังนิกายบงกชเทวะในวันพรุ่งนี้” ติ๊หวู่สือฉายิ้มและกล่าว
“ข้าจะรอจนกว่าจะพบติ๊เฉิน ถึงตอนนั้นข้าจะไปเยี่ยมท่านและครอบครัวอย่างแน่นอน” ชิงสุ่ยตอบหลังจากคิดอย่างรอบคอบ ถ้าเขาไปตอนนี้ มันก็เหมือนกับเขากำลังพยายามเอาความดีความชอบจากผู้อื่น มันจะดีกว่าสำหรับเขาที่จะเว้นช่วงสักระยะเวลาหนึ่ง
“ข้าไม่ว่าอะไร แต่ข้าต้องรีบกลับไปในวันนี้ เพราะข้าต้องออกเดินทางไปยังนิกายบงกชเทวะในวันพรุ่งนี้” ติ๊หวู่สือฉาย้ำอีกครั้งเกี่ยวกับประเด็นของเธอ ขณะที่เธอมองไปรอบๆบริเวณนั้น เธอรู้สึกไม่เต็มใจที่จะออกไป เธออยู่ที่นี่มานานแล้ว ในอนาคตเวลาที่เธอจะได้อาศัยอยู่ที่นี่คงลดน้อยลงมาก อย่างไรก็ตามเธอยังวางแผนที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปในอนาคตเมื่อใดก็ตามที่เธอมีเวลา สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนสวรรค์สำหรับเธอ
ชิงสุ่ยลุกขึ้นและกล่าวลา เธอต้องการให้เขาไปด้วย แต่เขาปฏิเสธ ด้วยเหตุดังกล่าวติ๊หวู่สือฉาจึงไม่ได้ขัดขวางเรื่องนี้ เธอมองไปในขณะที่ชิงสุ่ยขี่มังกรไอยราเกล็ดทองคำจากไป ลึกๆเธอรู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ใช่เพียงหมอที่เก่ง แต่เขาเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งเช่นกัน
ชิงสุ่ยกลับไปที่ตระกูลฮู เมื่อรู้ว่าเขารักษาติ๊หวู่สือฉาได้ พวกเขาทั้งหมดก็ถึงกับตกใจกลัว สิ่งแรกคือพวกเขาทั้งหมดพบว่ามันยากที่จะเชื่อ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร พวกเขาก็ไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อว่าเขารักษาเธอได้ เพราะพวกเขาทุกคนรู้มากกว่าใครๆเกี่ยวกับสภาพของติ๊หวู่สือฉา แม้กระทั่งยาสมุนไพรยามหัศจรรย์กระดูกมรณะและหมออาสุโสบางรายก็ไม่สามารถรักษามัน สุดท้ายแล้วพวกเขาได้สรุปไปว่ามันเป็นอาการที่ร้ายแรง
“ข้าเชื่อเจ้า ติ๊หวู่สือฉาฟื้นตัวแล้ว ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของตระกูลติ๊หวู่กำลังจะกลับมาเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง” ฮูเย่จงยิ้มและกล่าว
“ข้าด้วย ชิงสุ่ยมีทักษะทางการแพทย์ที่พิเศษและไม่เหมือนใคร เพียงทักษะทางการแพทย์ของเจ้าอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เจ้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก”
ทั้งฮูเย่จงและฮูอี้เหมินรู้ถึงความสามารถของเขามากกว่าใคร อันที่จริงแล้วเหล่าพี่น้องตระกูลฮูรู้สึกว่าชิงสุ่ยนั้นน่าเกรงขาม ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าขณะนี้พวกเขาเชื่อเช่นกัน เหตุผลที่ทำให้พวกเขาตกใจมากเป็นเพราะตระกูลหวู่ทรงพลัง อย่างไรก็ตามไม่มีนักปรุงยาหรือหมอคนใดที่พวกเขาจ้างวานมาสามารถรักษาเธอได้
พ่อของฮูยี่หย่าพร้อมกับคนอื่นๆขอบคุณชิงสุ่ยอีกครั้ง พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะมีนักปรุงยาหรือหมอที่เก่งกาจแบบนี้ ผู้เป็นพ่อนึกไม่ถึงว่าลูกสาวตัวน้อยจะมีเพื่อนที่ทรงพลัง
ไม่มีใครสามารถเทียบกับฮูยี่หย่าในแง่ของความสุขที่เธอรู้สึกได้ เหตุการณ์นี้ทำให้หลายๆคนในตระกูลกำลังยกย่องเธอว่ามีสายตาที่แหลมคมในการได้พบกับชายหนุ่มผู้ที่เป็นทั้งหมอและนักปรุงยาที่น่าเกรงขาม สิ่งที่น่าสังเกตก็คือเนื่องจาก ชิงสุ่ยได้รักษาติ๊หวู่สือฉา เช่นนั้นแล้วตระกูลติ๊หวู่ก็จะเป็นหนี้บุญคุณเขาอย่างมหาศาล ดังนั้นเมื่อพิจารณาว่าชิงสุ่ยใกล้ชิดกับตระกูลฮู ผู้ที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็นตระกูลฮู
ความเป็นจริงตระกูลฮูมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับตระกูลติ๊หวู่ เหตุผลก็คือทั้งฮูอี้เหมินและฮูอวี้เซียนต่างก็สนิทสนมกับติ๊หวู่สือฉา ฮูอวี้เซียนคือผู้ที่เป็นพี่สาวของฮูยี่หย่าในนิกายบงกชเทวะ แม้ว่าทั้งสองตระกูลจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน แต่การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนรุ่นเยาว์ของตระกูลจะช่วยให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น นอกจากนี้คนรุ่นหลังของตระกูลฮูเองก็มีศักยภาพที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่นของฮูอวี้เซียน หากมันยังเป็นต่อไปเช่นนี้ ตระกูลฮูจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
หลายวันผ่านไปชิงสุ่ยสังเกตเห็นว่าตระกูลเฉินรู้ถึงที่อยู่ของเขาแล้ว เฉินฟู่ติงไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอีก เขาไม่รู้ว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลติ๊หวู่หรือไม่ แต่ตอนนี้เหล่าคนระดับสูงรู้ถึงสิ่งหนึ่ง นั่นคือติ๊หวู่สือฉาฟื้นตัวแล้ว
ตอนนี้ชิงสุ่ยพึ่งพบว่าติ๊หวู่สือฉาเป็นรองหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะ ความหมายว่าเธอคือตัวตนที่จะเข้ายึดครองตำแหน่งหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะได้ตลอดเวลา แม้ว่าเธอล้มเหลวที่จะทำเช่นนั้น เธอก็จะยังคงอยู่ในตำแหน่งที่สูง
ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับที่แท้จริงในโลกนี้ ด้วยเหตุผลบางอย่างคนจากตระกูลติ๊หวู่จึงมาหาเขา นอกจากนี้ยังรวมถึงพ่อของ ติ๊หวู่สือฉา ชิงสุ่ยไม่ทราบว่าเป็นเพราะติ๊หวู่สือฉาบอกตระกูลของเธอว่าเขาเป็นคนรักษาเธอหรือไม่
เขาเป็นชายที่ดูดีมากและดูราวกับว่าเขาแค่อยู่ในช่วงวัยกลางคน อย่างไรก็ตามเหมือนว่าเขาจะเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้สนใจผู้อื่นที่มองดูรูปลักษณ์ของเขา นี่เป็นชายที่น่าสนใจมาก นอกจากนี้เขายังแข็งแกร่งมาก เมื่อได้พบกับชิงสุ่ย เขารู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
“ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าคงจะเป็นคุณชายชิง ข้า ติ๊หวู่ หวงอวี้ ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือลูกสาวของข้า ข้าสงสัยว่าเจ้าพอจะมีเวลาว่างไปเยือนคฤหาสน์ของข้าเพื่อแสดงความขอบคุณสำหรับคเจ้าหรือไม่?” ชายผู้นี้กล่าวอย่างจริงจัง น้ำเสียงฟังดูจริงใจมาก เขาตระหนักว่าเขาไม่สามารถมองเห็นเบื้องลึกของชายผู้นี้ได้
“ท่านติ๊หวู่ ท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธี เหตุผลที่ข้ารักษาลูกสาวของท่านก็เพราะข้าอยากช่วยนางจริงๆ ท่านไม่ต้องรู้สึกติดหนี้บุญคุณอะไรเลย” ชิงสุ่ยจับมือและตอบอย่างรวดเร็ว
“มันอาจไม่มีอะไรสำหรับเจ้า แต่กับพวกเรามันเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงที่พวกเราไม่สามารถตอบแทนให้ได้ อย่างไรก็ตามช้ายังอยากจะขอบคุณเจ้าจากใจจริง” ติ๊หวู่หวงอวี้เผยรอยยิ้มที่จางๆบนใบหน้าของเขา น้ำเสียงของเขาดูจริงจังยิ่งขึ้นเมื่อกล่าวคำเหล่านี้ เมื่อเป็นสิ่งที่ต้องจริงจัง เขาจะทำมันอย่างเต็มที่ นี่คือทัศนคติของเขา บางครั้งทัศนะคติของแต่ละบุคคลจะเป็นตัวตัดสินผลของบางสิ่งบางอย่าง
คำพูดของเขาทำให้ชิงสุ่ยประทับใจเขามากขึ้น เหตุผลเพราะชิงสุ่ยเป็นคนแบบนี้
“งั้นเอาอย่างนี้ เมื่อท่านหญิงติ๊หวู่กลับมา ข้าจะหาเวลาไปเยี่ยมเยือนท่าน ท่านคิดว่าเป็นเช่นไร?”
ติ๊หวู่หวงอวี้คิดเรื่องนี้อยู่สักระยะหนึ่ง “เอาเถอะ ประตูตระกูลติ๊หวู่เปิดรับเจ้าเสมอ ตระกูลติ๊หวู่จะจดจำบุญคุณที่เจ้าได้ทำไว้กับพวกเราตลอดไป”
ติ๊หวู่หวงอวี้จากไป ชิงสุ่ยไม่ได้พูดอะไรเพื่อหยุดยั้งเขา เขาเป็นคนง่ายๆ เขาช่วยเพราะเขาต้องการพบติ๊เฉิน การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังอะไรตอบแทนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับวันที่เหลือ ชิงสุ่ยใช้เวลาไปกับการเดินรอบๆเมืองจักรพรรดิ ไม่ว่าในกรณีใดๆเขาไม่มีอะไรจะทำ ในเวลากลางคืนเขาจะเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะเพื่อฝึกฝน ในขณะที่ช่วงกลางวันเขาจะยังคงเดินดูไปรอบๆ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่ในตระกูลฮูนานนัก
โดยไม่ทันสังเกต 1 เดือนผ่านไป ชิงสุ่ยไม่ได้ไปไหนไกล เมืองจักรพรรดิมีขนาดใหญ่มากและมันก็เพียงพอสำหรับเขาที่จะหาความสนุกสนาน
ร้านช่างตีเหล็กแห่งเมืองจักรพรรดิ!
ชิงสุ่ยได้เห็นอาคารอันงดงามที่ตั้งตระหง่าน หลังจากที่เขาเห็นคำเหล่านั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงเดินเข้าไปในร้าน
มีผู้คนมากมายที่นี่ นักรบหลายคนเข้ามาและออกไป จากกลิ่นอายของพวกเขา ชิงสุ่ยรู้สึกว่าพวกเขาเป็นนักรบที่อยู่ในขั้นผู้พิทักษ์เทวะธรรมแล้ว มีแม้แต่ผู้ที่เกือบจะแข็งแกร่งกว่าพ่อของฮูยี่หย่า
ด้านนอกของอาคารดูสง่างามและน่าเกรงขาม การออกแบบภายในดูเรียบง่าย ทันทีที่ชิงชุ่ยเข้ามา สายตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้น นี่เป็นเหล่าสิ้นค้าที่ยอดเยี่ยม มันไม่ใช่แค่ดูงดงาม
ร้านช่างตีเหล็กแห่งเมืองจักรพรรดิ ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าเป็นของใครจากกลุ่มราชวงศ์หรือไม่ แต่หากพิจารณาจากผู้ที่กล้าใช้คำว่าเมืองจักรพรรดิในเมืองนี้ นั่นก็นับว่าหาได้ยากมาก เหตุผลก็คือมีเพียงผู้คนจากกลุ่มราชวงศ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้
ทันทีที่เขาเดินเข้ามา เขารู้ว่าภายในของร้านใหญ่โตมาก มันมีความยาวและกว้างกว่า 300 เมตร มีชั้นวางของที่วางสินค้าเรียงรายกันอยู่เป็นแถว มีทั้งอาวุธ ชุดเกราะ โล่ และของอื่นๆ สถานที่แห่งนี้กล่าวได้ว่ามีสินค้ามากมาย
ชิงสุ่ยสังเกตว่าช่างตีเหล็กที่นี่มีค่อนข้างน้อย แม้ว่าพวกเขาจะค่อนข้างดูดี แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ บรรดาผู้ที่ได้รับคำชมเชยจากเขาต้องเป็นคนที่ดีจริงๆ
“คุณชาย ท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ชิงสุ่ยและถามเขาอย่างสุภาพ
“ข้าขอเดินดูไปรอบๆก่อน ถ้ามีอะไรที่ข้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะเรียกหาเจ้า” ชิงสุ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
……
“วัตถุดิบ?”
ชิงสุ่ยยืนอยู่หน้าชั้นวางของยาวเหยียดและมองไปที่แร่ชนิดต่างๆที่วางอยู่ นอกจากนี้ยังมีสิ่งต่างๆที่น่าสนใจเช่หนังอสูรกับวัตถุดิบจำนวนมากที่ถูกนำมาแสดงที่นี่ มันเป็นของที่มีคุณภาพสูง นี่เป็นเพียงบางส่วนที่ร้านช่างตีเหล็กธรรมดาไม่สามารถเปรียบเทียบได้
เมื่อเทียบกับสินค้าที่มีอยู่ ชิงสุ่ยสนใจวัตถุดิบมากกว่า สินค้าที่นี่ค่อนข้างดี แต่น่าเสียดายที่เขามีหินหยางสวรรค์ หยกอินทนิล แร่ดาวตก ศิลาจันทรา และวัตถุล้ำค่าอื่นๆแล้วในดินแดนหยกยุพราชอมตะ เขาเพียงแค่มองดูเท่านั้น อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เขาสะดุดตาได้
ชิงสุ่ยเดินตามแนวยาวของชั้นวางของ คนที่นี่มักออกจากสถานที่นี้แล้วกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อหาวัตถุดิบ คนส่วนใหญ่มาที่นี่เพียงแค่หาสิ่งที่พวกเขาชอบเท่านั้น อันที่จริงแล้วเมื่อบรรลุถึง 1,000 สุริยา เขาหรือเธอจะไม่มาที่นี่เพื่อมองหาวัตถุดิบ
ช่างตีเหล็กที่แท้จริงจากกลุ่มราชวงศ์ไม่ได้อยู่ที่นี่ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะหลอมสิ่งของที่นี่ เหล่าตระกูลขุนนางมักจะดึงดูดนักรบที่แข็งแกร่งโดยอาศัยเทคนิคการต่อสู้ เกราะ อาวุธ และยารักษาโรค
ในขณะนี้ชิงสุ่ยมีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่นี่ที่เขาต้องการ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับความแข็งแกร่งของเขาที่จะก้าวกระโดดขึ้นในช่วงเวานี้ สำหรับอาวุธ ชุดเกราะ และยาเม็ดนั้นเขามีทุกอย่างอยู่แล้ว ดังนั้นความตั้งใจของเขาที่เข้ามาก็เพียงเพื่อมองดูรอบๆมากกว่าที่จะหาสิ่งที่เขาต้องการ
มีผู้คนจำนวนมากที่เดินดูไปรอบๆบริเวณวัตถุดิบ มีโอกาสมากที่พวกเขากำลังมองหาวัตถุดิบในการหลอมอาวุธของพวกเขา โดยปกติการรับรู้ทางจิตวิญญาณของชิงสุ่ยจะถูกเปิดใช้งานในขณะที่เขาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขา
ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ยอดเยี่ยม มันไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่มันก็สงบผิดปกติ เขากวาดสายตาและเห็นหินสีดำที่เป็นประกายซึ่งมีขนาดเกือบเท่ากำปั้น อาจกล่าวได้ว่าสะดุดตาเป็นพิเศษ
ตอนที่ 1261
สำหรับของชิ้นนี้พวกเขานั้นต้องการของแลกเปลี่ยนถึง 1000สุริยา หรือเป็นแก่นแท้อสูรระดับสูงถึงสามอัน
เมื่อได้ยินราคา มันทำให้ทุกๆคนนั้นถึงกับถอยหลัง ถึงแม้ผลึกสีดำอันนี้จะดูงดงามมากเพียงไร แต่ราคาของมันนั้นสูงมากเกินจะคว้าลงมาก ด้วยราคาที่สูงมากทำให้คนหลายๆคนนั้นอารมณ์เสียอย่างมาก
แน่นอนก็ยังมีบางคนที่ไม่ได้จากไปพวกเขากำลังยืนมองผลึกด้วยความสนใจ มันนั้นมีความลับอะไรทำไมมันถึงมีราคาที่สูงมาก หลังจากที่ด้วยสอบอยู่พักใหญ่ๆ พวกเขาสามารถบอกได้ว่ามันมีพลังฟ้าดินสะสมอยู่ แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่คุ้มกับราคาของมัน
ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดจะแลกมันด้วยผลึกสุริยา1000อันอย่างแน่นอน มีแต่คนโง่เท่านั้นเท่าจะแลกมันกับของชิ้นนี้
เช่นเดียวกับชิงสุ่ย ที่กำลังใช้เนตรเบิกสวรรค์ มองไปที่มันอย่างตั้งใจ
ดาราจันทราทมิฬ!!
มันเป็นชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน หากไม่ใช่เพราะเนตรเบิกสวรรค์ของเขา เขาคงไม่มีทางรู้ได้แน่นอนว่ามันชื่ออะไร
ดาราจันทราทมิฬ:เป็นวัสดุที่ใช้ในการหลอม อาวุธ เกราะ แส้ โล่ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุปกรณ์ต่างๆ โดยสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้อุปกรณ์ต่างๆได้หลายเท่า หากในกรณีที่ล้มเหลวในการสร้างจะไม่ทำความเสียหายวัสดุอื่นๆ แต่ตัวศิลาดาราจันทราทมิฬจะหายไป
หัวใจของชิงสุ่ยสั่นสะท้านเมื่ออ่านลงไป นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เขาต้องการในตอนนี้ กระบี่ดารายุพฆาตของเขานั้นขาดการยกระดับมาเป็นเวลานาน นี่เป็นของที่เหมาะสมอย่างมากในตอนนี้ มันอาจช่วยกระดับกระบี่ของเขาให้เข้าสู่ระดับตำนานได้
“ไม่ๆ ไม่ถูกต้อง”อย่างไรก็ตามตอนนี้ มันก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุดที่จะใช้กับกระบี่ดารายุพฆาต เนื่องจากกระบี่ดารายุพฆาตนั้นเป็นอาวุธที่สมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน ดังนั้นชิงสุยจึงคิดว่าเพียงแค่ศิลาดาราจันทราทมิฬนั้นคงจะไม่เพียงที่จะยกระดับมันให้ก้าวไปสู่ระดับตำนาน
“หากไม่ใช่กระบี่ดารายุพฆาตและ ข้าจะใช้มันกับอะไรดีละ? ”
“ร้องเท้าเก้าเทวา!!” ชิงสุ่ยนึกถึงร้องเท้าเก้าเทวาขึ้นมาในทันที
โดยไม่รอช้า “ของชิ้นนี้ขายยังไง?”ชิงสุ่ยชี้ไปที่ศิลาดาราจันทราทมิฬ
“เรียนคุณชาย ของสิ่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย แต่มันมีไว้แลกกับสินค้าอื่นๆ”ชายชรายิ้มและกล่าวอย่างสุภาพ
“งั้นข้าต้องแลกมันด้วยอะไรรึ ท่านพอจะบอกข้าได้รึไม่?”ชิงสุ่ยรู้ว่ายังไงซะวันนี้เขานั้นต้องได้นำศลาดาราจันทราทมิฬกลับไปให้ได้
“เป็นผลึกสุริยา 1000ชิ้น หรือไม่ก็แก่นแท้สัตว์อสูรระดับสูงสามชิ้น ขอรับ”ชายชชรากล่าวอย่างสุภาพ
“ท่านสามารถขายมันได้ในทันทีรึไม่?”ชิงสุ่ยถามและหลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง
“แน่นอน หากไม่มีการต่อรองใดข้าสามารถขายมันได้ในทันที”
“นั้นข้าจะของซื้อมัน!”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา
“สิ่งนี้ไม่ใช่มีไว้ขายอีกแล้ว!”
ในขณะเสียงที่ทรงเสน่ห์ผ่านข้ามา ชิงสุ่ยได้หันกลับไปและมองไปที่ต้นกำเนิดของเสียง เป็นเด็กสาวที่มีอายุๆม่ถึงยี่สิบปีที่กล่าวออกมา ถึงแม้ยังไงซะเธอนั้นก็งดงามและเต็มไปด้วยเสน่ห์แบบผู้ใหญ่
เธอนั้นสวมชุดทีทำมาจาผ้าไหมมี่งดงาม นอกจากนี้เธอยังทำผมทรงหางม้า มันนั้นเป็นอะไรที่ลงตัวอย่างมากกับผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอ เครื่องทรงทั้งหมดบนใบหน้าของเธอนั้นดูประณีตอย่างมาก
“คุณหนู!”ชายชราคำนับและทักทายเธอ
“เอาละไปดูลูกค้าคนอื่นๆได้แล้ว ที่เหลือข้าจะจัดการเอง!”หญิงสาวหัวเราะ
“ขอรับ!”ชายชรายิ้มและเดินออกไป
“ทำไม่คุณหนูถึงไม่ขายมันแล้วละ?”ชิงสุ่ยรู้เสียดายอย่างมาก เขาหน้าจะตัดสินใจมันให้เร็วกล่าวนี้ นอกจากนี้หญิงสาวคนนี้ยังเป็นเจ้าของร้านช่างตีเหล็กแห่งเมืองจักรพรรดิอีกด้วย ถ้าเธอบอกว่ามันไม่ได้ทีไว้ขายแล้ว มันมีไว้ทำไมกันละ?
“ข้าต้องการใช้มันเอง แน่นอนว่าข้าจะไม่ขายมัน”หญิงสาวจับลงไปที่ศิลาดาราจันทราทมิฬและยิ้มออกมา
ชิงสุ่ยตระหนักรา เธอนั้นต้องการใช้มันจริงๆ หรือต้องการทดสอบเขาเท่านั้น เขารู้สึกว่าเหมือนเธอนั้นรู้จักเขา
และตั้งใจมาหาเขาโดยเฉพาะ ดังนั้นชิงสุ่ยยิ้มไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากส่ายหน้าและกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นั้นข้าขอตัวก่อน ข้าจะได้ไปหาของชิ่นนี้จากที่อื่น ต่อ!”
ในขณะที่เขากำลังจะก้าวออกไป เธอหันมาและรีบตะโกนออกมาว่า “คุณชายชิงได้โปรดรอก่อน!”
ชิงสุ่ยหยุดลง ดูเหมือนเธอจะรู้จักเขาจริงๆ และรุ้ด้วยว่าเขาเป็นใคร
“คุณหนูรู้จักข้า?”ชิงสุ่ยถามออกมาและจ้องมองไปที่เธอ
“ใช่ข้าเคยพบท่านมาก่อน และข้าก็ไม่คิดว่าจะพบท่านที่แห่งนี้เลย อันที่จริงข้ามีเรื่องที่อยากจะรบกวนท่าน หากท่านช่วยข้าได้ ข้ายินดีมอบของสิ่งนีให้ท่านเป็นของตอบแทน”หญิงสาวกล่าวออกมาอย่างประณีต
“ลืมมันไปเถอะ ข้าแค่รู้สึกว่ามันสวยงามเท่านั้นจึงจะแลกมันเอาไว้ ที่จริงแล้วมันนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์กับข้าเท่าไร่ ในเมื่อคุณหนูเป็นคนเปลี่ยนใจเอง ข้าก็ไม่ต้องการมันอีกต่อไป”ชิงสุ่ยกล่าวออดมาพร้อมจะก้าวเดินต่อไป ตอนนี้เขากำลังปกปิดท่าทางที่ว่าวุ่นในใจเอาไว้
“ข้านั้นเป็นเจ้าของมันข้าย่อมรู้ดีว่าอะไรมีค่าไม่มีค่า และข้ารู้ว่าสิ่งนี่มันนั้นมีค่าอย่างมาก และจะมีค่ายิ่งๆขึ้นไปอีกหากอยู่ในมือของท่าน ท่านเห็นด้วยหรือไม่?”เธอกล่าวออกมาและมองไปที่ชิงสุ่ยที่กำลังทำตัวสงบอยู่
“มีของมากมายในโลกใบนี้ ที่มีประโยชน์กับข้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกๆชิ้นที่ข้าจะสามารถครอบครองมันได้ คุณหนูว่ายังไง?”
เธอนั้นได้แต่ตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่พูด เธอไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน ผู้คนส่วนมากย่อมยินดีที่จะทำทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเพื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ดูเหมือนทันจะใช้ไม่ได้กับผู้ชายคนนี้
“คุณชายนี่เป็นสิ่งที่ท่านจะได้รับเมื่อท่านวางมือ และร่วมมือกับราชวงค์เดชสวรรค์”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชิงสุ่ยก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกและก้าวต่อไป
“ไม่ๆ ข้าจะเปลี่ยนเงื่อนไง”ในตอนนี้เธอนั้นรู้ตัวว่าเธอพลาดไปแล้ว และมันทำให้เธอกำลังเสียเปรียบ
ชิงสุ่ยหยุดลงและหันไปมองเธอ “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะรับฟัง ถ้าหากไม่สามารถตกลงกันได้ข้าจะออกไป”
“ท่านๆ ก็ได้ ข้าต้องการให้ท่านปรุงยาชนิดหนึ่งขึ้นมา”
เมื่อเห็นชิงสุ่ยกำลังจะกล่าวออกมา เธอจึงรีบชิงพูดออกมาในตอนนี้“ข้ารู้ว่าท่านเป็นนักปรุงยา แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านนั้นเก่งกาจขนาดไหน แต่จากข่าวลือได้ยินว่าท่านเป็นคนที่มีฝีมืออย่างมาก ได้โปรดช่วยข้าด้วย ตอนนี้เขาได้เตรียมสมุนไพรไว้พร้อมหมดแล้ว!”
“ข้าขอคิดดูก่อนว่ามันคุ้มค่ารึไม่?”
มันไม่มีทางเลือกเท่าไรแล้วในตอนนี้สำหรับเขา แต่เพื่อรักษาหน้าเอาไว้ชิงสุ่ยจึงทำเป็นไม่ค่อยสนใจเท่าไร
เมื่อเห็นท่าทางของเขา เธอจึงรีบกล่าวมา “มีนักปรุงยามากมายที่ไม่อาจสามารถสร้างมันได้สำเร็จ ซึ่ง
อัตราปรุงในแต่ละครั้งของพวกเขานั้นก็ต่ำกว่า 50 ส่วนใน 100 ส่วน ขอร้องละ คุณชายโปรดช่วยข้าด้วย”
“น้อยกว่า50 ใน 100 ส่วน อย่าบอกข้านะแม้แต่ราชวงศ์ที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็ยังไม่มี หญ้าอสรพิษทองคำ”
“ถูกต้อง หญ้าอสรพิษทองคำนั้นสามารถเพิ่มโอกาสสำเร็จได้ถึงสองเท่า หากท่านมีโอกาส 10 ใน 100 ส่วน เมื่อท่านใช้มันโอกาสสำเร็จจะเพิ่มขึ้นเป็น20 ใน 100 ส่วน แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นโอกาสที่น้อยมาก นอกจากนี้มันยังหายากมากเช่นเดียวกัน”
ชิงสุ่ยพอเข้าใจได้แล้วถึงเรื่องในตอนนี้
“เอาล่ะข้าจะรับข้อเสนอ แต่ข้าก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าอัตราสำเร็จของมันจะถึง 100 ส่วนเต็ม ได้ ดังนั้นแม้ว่าคุณหนู จะขอให้ข้าช่วย แต่ท่านต้องเตรียมใจเอาไว้บ้าง ให้ข้าได้ดูใบสั่งยาก่อน นี่เป็นวิธีเดียวที่ข้าจะสามารถประมาณอัตราความสำเร็จของมันได้ “
หญิงสาวรีบมอบผ้าขนสัตว์ซึ่งคล้ายกับผลึกให้กับเขา มันนั้นเป็นหนังสัตว์ที่ทำมากจากอสูรผลึก
ยาทิพย์สรรพรส!
ชิงสุ่ยกวาดสายตามองไปที่รายละเอียดอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ระบุเอาไว้คือสมันไพรล้ำค้าเกือบทั้งหมด ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ปัญหาในการปรุงยาของเขาเลยแม้ว่าจะไม่มีหญ้าอสรพิษทองคำก็ตาม
ผลของมันสร้างความตกใจให้ชิงสุ่ยอย่างมาก มันนั้นสามารถเพิ่มความเร็วให้ผู้ที่กินมันเข้าไปได้ 50ส่วน ไม่จำกัดระดับ แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอก็สามารถกินมันเข้าไปได้โดยไม่มีผลกระทบ นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาตกใจอย่างมาก
“ถ้าทุกๆอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น มันไม่ควรเป็นปัญหาสำหรับข้าที่จะสร้างมันออกมา แต่ข้าก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันจะสำเร็จ 100 ส่วนเต็มหรือไม่ นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่าน”ชิงสุ่ย กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“จะมีโอกาสถึง 60 ส่วนใน 100 ส่วนหรือไม่หากเราใช้หญ้าอสรพิษทองคำ ?”หญิงสาวถาม
“ใช่”
“เอารับนี่ไป ข้าจะเสี่ยงดวงกับท่านดู หากไม่สำเร็จก็นับว่าข้าเป็นที่โชคร้ายอย่างมากก็แล้วกัน!”หญิงสาวกล่าว
“นี่ของท่าน ”เธอส่งศิลาดาราจันหราทมิฬให้กับเขา
“ทำไมท่านถึง? ”ชิงสุ่ยถามด้วยความงงงวย
“นี่มันจะสามารถช่วยให้ท่านมีสมาธิมากขึ้น นอกจากนี้ถ้าท่านทำมันสำเร็จข้ามีของรางวัลชิ้นอื่นที่จะมอบให้ท่านอีก ข้าสามารถให้ท่านได้ทุกๆอย่างๆเพียงแค่เม็ดนี้เท่านั้นที่ข้าไม่สามารถให้ท่านได้ ”
“ข้าเข้าใจแล้ว แล้วถ้าในตอนนี้ข้าสามารถปรับแต่ยาเม็ดนี้ได้ออกมาสองเม็ดละ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมันทำให้เธออยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักหนึ่ง “ถ้ามีสองเม็ด ข้าจะแบ่งให้ท่านเม็ดหนึ่ง”
“เอาละข้ารับข้อเสนอนี้ เมื่อประสบความสำเร็จจากการกลั่นข้าจะนำมันมาให้ท่าน เราจะพบกันที่นี่อีกครั้งพรุ่งนี้ในเวลาเดียวกัน อ่อแล้วไม่ต้องกลัวว่าข้าจะหนีละ ข้าพักอยู่ที่นั้น”ชิงสุ่ยชื่อไปที่โรงเตี๊ยมจักรพรรดิ ที่อยู่ไม่ไกลออกไป
บทที่ 1262 – ยาทิพย์สรรพรส
“ไม่อยู่แล้ว เพราะข้าเชื่อในตัวของท่าน ข้ามีชื่อว่า ฟู่ร่ง แล้วเจอกันที่นี่ในวันพรุ่งนี้”
“แล้วเจอกัน”
หลังจากนั้นชิงสุ่ยไม่ได้อยู่ที่ร้านนั้นต่อ เขารีบจากไปเมื่อกล่าวจบ อันที่จริงเขาไม่คิดว่าเขาจะได้รับวัตถุล้ำค่าขนาดนี้มา ศิลาดาราจันทราทมิฬนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างมาก นอกจากนี้มีคนน้อยมากที่จะรู้จักมัน แต่ถึงอย่างไรดาราจันทราทมิฬในรอบนี้ที่เขาค้นพบนั้นไม่ใช่ของที่ราคาทั่วๆไป แต่มันเป็นของที่มีราคาสูงอย่างมากนั้นเพราะมีคนที่สามารถรับรู้ถึงคุณค่าของมัน
แต่ตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นกำลังสงสัยว่า ถึงแม้ดาราจันทราทมิฬนั้นจะล้ำค่าอย่างมาก แต่มันนั้นก็ไม่ได้ล้ำค่าขนาดผลึกสุริยาถึง 1000อัน ชิงสุ่ยสงสัยว่าทำไมเขาถึงตั้งราคาขนาดนั้นออกมา
หลังจากนั้นเขาได้หยุดคิดเรื่องนี้ และกลับไปที่โรงเตี๊ยมจักรพรรดิ
ราชวงค์เดชสวรรค์นั้นเป็นถูกปกครองโตยตระกูลฟู่โดยเพียงลำพัง นอกจากนี้ยังเป็นขุมอำนาจที่เข็มแกร่ง นอกจากนี้หญิงสาวคนเมื่อกี่นั้นก็มาจากราชวงค์เดชสวรรค์ นั้นก็หมายความว่าเธอนั้นต้องมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน
ในตอนนี้ชิงสุ่ยเดินมาถึงโรงเตี๊ยมจักรพรรดิ มันนั้นเป็นโรงเตี๊ยมที่ถูกดูแลด้วยขุมอำนาจในเมืองแห่งนี้ ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ได้รับการดูและปฏิบัติอย่างดี นอกจานี้ยังมีกฎที่ห้ามต่อสู้หรือฆ่าฟันกันในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ จึงทำให้มันได้รับความนิยมและเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับผู้บ่มเพาะมากมาย
ชิงสุ่ยได้เดินไปที่โต๊ะด้านหน้าเพื่อจองห้องสำหรับพักผ่อน ที่จริงเขานั้นไม่จำเป็นต้องพักในสถานที่แห่งนี้ก็ได้ เพราะในตอนนี้มีคนน้อยคนเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับเขาได้ในมหาทวีปอูเซียแห่งนี้
ในตอนนี้ถึงแม้จะเป็นช่วงบ่าย แต่ชิงสุ่ยได้ตัดสินใจเข้าไปในดินแดนหยกอย่างรวดเร็ว ปกติเขานั้นจะเข้าไปก่อนเวลาที่เขาจะนอน หรือช่วงดึกๆเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่านั้นต้องใช่เวลาเท่าไรในการกลั่นยา ดังนั้นมันจะดีกว่าถ้าเขานั้นเข้าไปเตรียมพรุ่งในทุกๆอย่างไว้ก่อน
นอกจานี้เขายังมีศิลาดาราจันทราทมิฬที่ต้องจัดการอีกด้วย
ในตอนนี้ ชิงสุ่ยนั้นไม่ค่อยกล้าเรียกตัวเองว่านักปรุงยาที่เก่งกาจ แต่ถึงอย่างไรเขานั้นก็มั่นใจในฝีมือของเขา จากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ประสบการณ์นับ1000พันปี มันทำให้เขามั่นใจว่าถึงเขาจะไม่ใช่นักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดในโลก แต่เขานั้นก็เป็นหนึ่งในผู้ปรุงยาที่มีความสามารถในระดับแนวหน้า
สำหรับตอนนี้ การกลั่นยาทิพย์สรรพสรนั้นต้องใช้เวลาถึง 49วัน ชิงสุ่ยไม่มั่นใจว่าตัวของคนอื่นๆนั้นต้องใช้เวลาขนาดไหน แต่สำหรับชิงสุ่ย 49วันนั้นคือเวลาที่เขาต้องใช้ในตอนนี้
49วัน!
49วันผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดชิงสุ่ยก็พรุ่งยาขึ้นมาได้สำเร็จ แม้ว่าจะไม่ได้ใช่เวลานานเช่นเดียวกับการกลั่นยาในอดีต แต่ของสุ่ยก็อดที่จะเหนื่อยล้าไม่ได้ ดังนั้นเขาตัดสินใจที่จะนอนหลับพักผ่อนในตอนนี้ เพื่อฟื้นฟูพลังที่เสียไปของเขาเสียก่อน
หลังผ่านไปแปดชั่วยาม เขาตื่นขึ้น และตรงไปที่เตาหลอมของเขา ด้วยความตื่นเต้น ยาเม็ดสีเขียว แปดเม็กได้ปรากฏแก่สายตาของเขา แต่ละเม็ดนั้นมีขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่มือของคนเรา
ตอนนี้เขาจ้องมองไปที่ผลของมัน มันเป็นเช่นเดียวกับที่หญิงสาวกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิด มันนั้นสามารถเพิ่มความเร็วให้ผู้ใช้ได้ถึง 50 ส่วนโดยไม่คำนึงถึงระดับ
ถึงแม้ตอนนี้เขาอยากจะเก็บมันไว้สักสองสามเม็ด แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ทำเช่นนั้น นี่เป็นหลักการที่เขาเชื่อมั่น เขานั้นสัญญาไว้แล้วว่าเขานั้นจะไม่แตะต้องสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเอง
หลังจากที่เก็บมันไว้ในขวด ชิงสุ่ยเริ่มการบ่มเพาะของเขาอีกครั้ง เช่นเดียวกัลป์วิหกเพลิงที่เฝ้ามองผลนิพพานอยู่
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้หันไปเห็นผลนิพพานที่กำลังปลดปล่อยกินอ่านออกมา มันเป็นกลิ่นอายที่รุนแรงคล้ายกับ กลิ่นอายของวิหกเพลิงอย่างมาก แม้แต่ตอนนี้เขานั้นก็ไม่แน่ใจว่ามันนั้นคือกลิ่นอายของผลนิพพานหรือวิหกเพลิงที่บินอยู่ใกล้ๆในตอนนี้
ชิงสุ่ยจ้องมองไปที่วิหกเพลิงที่กำลังซึมซับพลังของผลนิพพานอย่างช้า และในที่สุดก็ถึงเวลาที่มันได้เริ่มกินผลนิพพานเข้าไป ชิงสุ่ยไม่รู้ว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างกับมันหลังจากนี้ แต่เขามั่นใจว่ามั่นต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่สำหรับมัน
หลังจากนั้นเวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้า และแล้ว 40วันก็ผ่านไป กลิ่นอายของผลนิพานได้จางหายไปในร่างกายของวิหกเพลิง ขณะที่ร่างกายของวิหกเพลิงได้ขยายใหญ่ขึ้นจนดูคล้ายลูกโป่งขนาดยักษ์ มันนั้นพร้อมที่จะระเบิดได้ตลอดเวลา
ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก เพราะเสียงร้องของวิหกเพลิงนั้นได้กู้ก้องและร้องขึ้นอยู่เป็นเวลานาน เสียงร้องของมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทุกทรมาน มันทำให้ชิงสุ่ยอดที่จะสงสารมันไม่ได้
แกว๊กก!
ร่างของวิหกเพลิงประทุเพลิงที่เข้มข้นออกมา เพลิงสีดำทมิฬนั้นได้เปล่งประกายออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพลิงสีดำเข้มได้โห่มกระหนำออกมาดังเพราแห่งนรก ถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันนั้นเป็นเพลิงที่งดงามอย่างมาก
ความแข็งแกร่งได้เพิ่มขึ้นในร่างกายของมันอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันได้ก้าวสู่ระดับใหม่แล้ว
เพลิงของมันนั้นได้กลายเป็นเพลิงนรกโดยสมบูรณ์ :เพลิงแห่งนรกบรรพกาล ที่ใช้ชำระและแผดเผาผลาญดวงวิญญาณ
ตอนนี้วิหกเพลิงกระพือปีกขึ้นลงอย่างมากบ้าคลั่ง กลิ่นอายครั้งมันระเปิดออกมาอย่างต่อเนื่อง
7ครั้ง!
การประทุได้หยุดลงในครั้งที่เจ็ด ตอนนี้ร่างกายของวิหกเพลิงได้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเก่า ตอนนี้มันมีขนาดใหญ่กว่า 200เมตร ปีกของมันนั้นสามารถปกคลุมไปได้ทั้งท้องฟ้าและพื้นดิน เพลิงสีดำที่ดูคล้ายอัญมณีสีดำ นั้นทำให้มันดูหน้าเกรงขามอย่างมาก แม้แต่เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าสีดำจะงดงามได้ขนาดนี้
ในไม่ช้ามันก็ค่อยๆสงบลง ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ในที่สุดวิหกเพลิงของเขาก็ก้าวไปรู้ระดับใหม่ ตอนนี้มันมีความสามารถที่เพียงพอที่จะช่วยเขาในการต่อสู้ได้แล้ว
ในตอนนี้มันมีพลังอยู่ที่8หมื่นเมฆา หรือเรียกอีกแบบหนึ่งว่า8สุริยา นอกจากนี้ชิงสุ่ยนั้นยังสัมผัสได้อีกว่ากลิ่นอายของมันนั้นทรงพลังกว่ามังกรไอยราเสียอีก อาจเป็นเพราะผลนิพพานที่มันกินเข้าไปได้ส่งผลโดยตรงให้ร่างกายของมัน ถึงแม้ว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งที่แม้จริงของมันจะน้อยกว่ามังกรไอยราอยู่ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันนั้นยังสามารถระเบิดความแข็งแกร่งออกมาได้อีก7เท่านั้นหมายความว่า พลังที่แท้ของมันจะอยู่ที่ 4ล้านเมฆา
หงส์เพลิงทมิฬ 9 สวรรค์: ทักษะกายภาพของวิหกเพลิงจะเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายให้วิหกเพลิงขึ้นอีก 50 แต่จะทำให้ทักษะทั้งหมดด้อยลง
จิตวิญญาณแห่งวิหคเพลิง: ทำให้วิหกเพลิงสามารถบินได้เร็วขึ้นและไกลยิ่งขึ้น นอกจากนี้จะสามารถทำให้มันสามารถบินได้ไวกว่าความเร็วแสง
เพลิงนรก: เพลิงในตำนานที่สามารถแผดเผาสรรพสิ่งให้พินาศลง เป็นทักษะจู่โมของวิหกเพลิง
เคล็ดวิชาหงส์เพลิงร่ายระบำ:ทักษะกายภาพที่ช่วยเพิ่มการจู่โจมของวิหกเพลิงให้รุ่นแรงขึ้น 4เท่า และลดความเสียหายลงเท่าตัว
เมื่อมองไปที่เคล็ดวิชาหงส์เพลิงร่ายระบำมันทำให้ชิงสุ่ยอดยิ้มออกมาไม่ได้ ในตอนนี้หากวิหกเพลิงใช้เคล็ดวิชาหงส์เพลิงร่ายระบำออกมา มันจะมีความแข็งแกร่งถึง 2000สุริยา ซึ่งทำให้อำนาจของมันแข็งแกร่งกว่ามังกรไอยราในตอนนี้ ซึ่งมันก็เป็นเวลานานมากแล้วที่ชิงสุ่ยนั้นได้สู้ร่วมกับวิหกเพลิง มันทำให้ชิงสุ่ยอดดีใจไม่ได้
เพลิงนรกภูมิ: เมื่อปล่อยเพลิงออกมา จะสร้างความรุนแรงให้การโจมตีขึ้นอีกหนึ่งเท่า นอกจากนี้ยังสามารถติดตามเป้าหมายได้
ชิงสุ่ยได้แต่อ้าปากกว้างหากเขาใช้มันออกมา ตอนนี้มันจะมีพลังถึง 4000สุริยา แต่นั้นไม่ใช้ทั้งหมด ที่ชิงสุ่ยสนใจ
ตอนนี้เขามั่นใจแล้ว ว่าวิหกเพลิงได้กลายเป็นสัตว์อสูรในระดับที่ไกลกว่าเขาจะจินตนาการได้ นอกจากนี้สายเลือดวิกหกเพลิงทมิฬในตัวของมันก็ได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ซึ่งจะทำให้มันแข็งแกร่งได้อีกมากมายในอนาคต
แกว๊ก!
วิหกเพลิงบินและร้องออกมารอบๆชิงสุ่ย นี่เป็นการแสดงออกว่าสิตปัญหาของมันได้รับการยกระดับขึ้นในทางเดียวกัน
ตอนนี้วิหกเพลิงนั้นมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว ด้วยสติปัญญาที่มันมีในตอนนี้จะทำให้มันสามารถเติบโตได้อีกมากมายในอนาคต ซึ่งมันให้เขายิ่งมันใจว่าในตอนนี้ในราชวงค์เดชสวรรค์หรือแม้แต่ทวีปแห่งนี้ก็ยากที่จะต่อกรกับมัน
แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ตะเกียงร้อยอสูรของเขาก็ได้สูญหายไปแล้ว ซึ่งมันทำให้เขาไม่ค่อยพอใจเท่าไร เขานั้นพยายามปรับแต่งมันในทุกๆวัน เช่นเดียวกับของอื่นๆเพื่อหวังว่ามันจะยกรับดับขึ้น แต่ถึงอย่างไรมันก็ได้หายไปแล้วในตอนนี้ อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ในตอนนี้ก็เหนือกว่าการณ์คาดเของเขาอย่างมาก มันทำให้เขาพอที่จะยอมรับในเรื่องนี้ได้
เมื่อถึงเวลาชิงสุ่ยได้ออกมาข้านอกดินแดนหยก ซึ่งอีกครึ่งชั่วยามข้างหน้าเขาก็จะสามารถเข้าไปในดินแดนหยกได้อีกครั้ง
ความก้าวหน้าในครั้งนี้ของวิหกเพลิงนั้นเป็นเรื่องบังอิญอย่างมาก ซึ่งมันทำให้วิหกเพลิงนั้นยกระดับเข้าไปเทียบเท่า มันจะทำให้ตัวของเขานั้นแข็งแกร่งมากขึ้นในตอนนี้
บทที่ 1263 –รองเท้าเก้าเทวาที่ทรงพลัง
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้มองออกไปที่นอกหน้าต่าง แสงไฟยามค่ำคืน ที่ประดับไปด้วยโคมไฟนาๆตา มันทำให้เมืองแห่งนี้ดูคึกคึกอยู่ตลอดเวลา อาจกล่าวได้ว่าเมืองจักรพรรดิแห่งนี้เป็นเมืองไม่เคยหลับใหลอย่างแท้จริง
สายตาของชิงสุ่ยในตอนนี้ได้บรรจบลงที่หญิงสาวที่งดงามมากมาย พวกเธองดงามอย่างมากนอกจากนี้พวกเธอยังแต่งการด้วยผ้าไหมที่งดงาม เช่นเดียวกับมีคู่รักมากมายที่เดินจับมือกันอยู่บนท้องถนน แม้ว่าท้องถนนในตอนนี้จะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ก็แฝงไปด้วยความสง่างาม ทุกอย่างช่างลงตัวอย่างมาก
มันทำให้เขานึกถึงเรื่องเก่าๆในอดีต ตั้งแต่ที่เขานั้นเป็นขยะที่ไร้ค่า จนถึงเดียวนี้ทุกๆอย่าง นั้นแทบไม่หน้าเชื่ออย่างมาก ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เขาได้รับหยกยุพราชอมตะมา
ความทรงจำมากมายในอดีตได้ถาโถมเข้ามาในใจของเขา มันเป็นอดีตที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาได้ในทุกวันนี้
ชิงสุ่ยมองย้อนกลับไปที่เรื่องต่างๆมากมาย และมันก็ทำให้เขานึกถึงติ๊เฉินอีกครั้ง ในตอนนี้ติ๊เฉินคือคนที่เขาคิดถึงที่สุด นอกจากในตอนนี้เขาก็กังวลว่าติ๊เฉินจะลืมเขาไปเสียแล้ว เมื่อคิดยิ่งคิดเรื่องนี้มันให้เขายิ่งกังวลใจมากขึ้น
และแล้วเวลาก็มาถึง ชิงสุ่ยได้เข้ากลับไปในดินแดนหยกอีกครั้ง
ในขณะนี้วิหคเพลิงได้บินไปรอบๆ ชิงสุ่ยพอใจอย่างมากกับกลิ่นอายของมัน ความเข็งแกร่ง ความหน้าสะพรึงกลัวได้แพร่ขยายออกมาจากตัวของมัน ในขณะที่เขาเดินเข้ามามันก็ได้กู้ร้องและทักทายเขา
ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มันก็ได้กลายเป็นสัตว์อสูรที่ทรงปัญญาอย่างมาก ชิงสุ่ยได้แค่ยิ้มออกมาและตรงไปยังที่มังกรไอยราเกล็ดทองคำ
เช่นเดียวกับวิหคเพลิงในตอนนี้ มันนั้นมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง พวกมันนั้นจะกลายเป็นกองกำลังชั้นยอดในการต่อสู้ของเขา
ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อยๆนั่งลงและทำการบ่มเพาะของเขา หลังจากฝึกฝนไปพักใหญ่ชิงสุ่ยได้นำรองเท้าเก้าเทวาออกมา ขณะที่วางมันไว้ข้างๆศิลาดาราจันทราทมิฬ ตอนนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างมาก และตื่นเต้นอย่างที่สุดที่จะยกระดับมัน
สิ่งนี่เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาในอดีตจากท่านหญิงโม่ ถึงแม้รูปลักษณ์ของมันจะเปลี่ยนไปมากมายแต่ถึงอย่างไรมันก็ทรงอำนาจเช่นเดิมดังเก่า ที่สำคัญในตอนนี้มันได้ยกระดับขึ้นหลายๆครั้ง จนทำให้อำนาจของมันนั้นทวีคูณอย่างมาก ในตอนนี้ถึงแม้มันยังจะไม่การเป็นอาวุธในตำนาน แต่ก็คงอีกไม่ไกลที่จะไปถึง
ตอนนี้ชิงสุ่ยได้จัดเตรียมสิ่งของทั้งหมดออกมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางไม่ให้เขากลั่นรองเท้าเก้าเทวาได้อีกแล้ว
ในตอนนี้ศิลาดาราจันทราทมิฬนั้นมีขนาดเท่ากับกับศิลาหยางก่อนหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งที่ชิงสุ่ยมีเพิ่มขึ้น เขาต้องใช้เวลาไม่น้อยการกลั่นศิลาหยางในอดีต ในขณะนี้เขาค่อยหลอมและกลั่นมันออกมา
แม้ว่าจะใช้พลังไปจำนวนมาแต่เขาก็ใช้เวลาน้อยกว่ากรกลั่นศิลาหยางในอดีต 64วันคือเวลาที่เขาใช้ในการหลอมศิลาดาราจันทราทมิฬในตอนนี้ โดยไม่ลังเลชิงสุ่ยได้จุ่มรองเท้าเก้าเทวาลงไปในของเหลวที่ร้อนระอุอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้เพลิงได้ลุกไหม้ขึ้นบนชั้นผิวของรองเท้า ก่อนที่ของเหลวจะถูกดูดซับเข้าไปในเนื้อในของมัน ในเวลาสั้นๆของเหลวทั้งหมดก็ถูกดูดซับไปจนหมด แม้กระนั้นชิงสุ่ยก็ยังไม่หยุดที่จะใช้เพลิงแรกเริ่มของเขา
ในอดีตขิงสุ่ยได้รู้ว่าความทนทานของรองเท้าเก้าเทวานั้นสูงอย่างมาก ความทนทานของมันเป็นรองแค่กระบี่ดารายุพฆาตเท่านั้น ดังนั้นมันจึงทำให้เขาตัดสินใจใช้วิธีในการกลั่นร้องเท้าเก้าเทวา
ชิงสุ่ยยังเร่งพลังวิญญาณออกมา ขณะที่เขากำลังเผาผลาญมันเพื่อกลั่นรองเท้าเก้าเทวาอยู่ในตอนนี้ ในไม่ช้าแสงที่คุ้นเคยก็ได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง พร้อมๆกับรอยยิ้มของชิงสุ่ย
อย่างน้อยในตอนนี้มันก็มีโอกาสที่จะสำเร็จสูงมาก แสงที่ส่องสว่างนั้นในเรืองแสงที่จ้าและสว่างเป็นเวลานานก่อนที่จะค่อยๆจางหายไป ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อยๆหยุดมือลง ก่อนที่จะใช้บุปผาศิลาอมตะในการเพิ่มอัตราสำเร็จของมัน
ในตอนนี้เขาได้มุ่งความสนใจไปที่รองเท้าเก้าเทวาของเขาเพียงอย่างเดียว ในตอนนี้คือขั้นตอนที่ห้ามผิดพลาดโดยเด็ดขาด
ติ๊ง!
รองเท้าเก้าเทวา :ถูกสร้างมากจากชิ้นส่วนของโลกทั้งเก้า และขัดเกลาด้วยเลือด เนื้อของอสูรบรรพกาล มีความลับมากมายที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในมัน
เร็วเพิ่มขึ้น4เท่าและลดการใช้ปราณลง เมื่อเปิดใช้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่ระดับต่ำกว่าจักรพรรดิก็สามารถใช้มันได้
ในตอนนี้ผลอย่างแรกที่พัฒนาขึ้นคือความเร็วในอดีตนั้นมันสามารเพิ่มความเร็วได้3เท่าๆนั้น
ย่างก้าวเก้าเทวา: เพียงแค่กระตุ้นมันจะสามารถเคลื่อนย้ายไปข้าหน้าได้ในระยะ 2ล้านลี้ สามารถใช้มันได้วันละ20ครั้งเท่านั้น ระดับจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
ชิงสุ่ยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ถึงแม้ความสามารถด้านความเร็วของมันจะไม่เพิ่มขึ้นมากมายนัก มันก็ทำให้เขามีความสุขความเร็วที่เพิ่มขึ้น4เท่า จะทำเขาการเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวยิ่งขึ้น น้อยคนที่จะตามความเร็วของเขาได้ น้อยคนที่จะมองเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้ มันนั้นจะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังให้กับเขา
ในตอนนี้ในการเคลื่อนย้ายแต่ละครั้งเขาสามารถเคลื่อนที่ได้ถึง 2ล้านลี้ นั้นหมายความว่าชิงสุ่ยสามารถเคลื่อนที่ไปไหนก็ได้ 40ล้านลี้ในหนึ่งวัน นั้นมันก็เพียงพอที่เขาจะไปกลับราชวงค์เดชสวรรค์กับสำนักสวรรค์เร้นลับได้ในหนึ่งวัน มันยิ่งทำให้เขามีความมั่นใจที่จะสามารถเดินทางข้ามไปยังมหาทวีปที่เหลือได้ในเร็ววันนี้
หากไม่ใช่เพราะศิลาดาราจันทราแล้ว รองเท้าเก้าเทวานั้นต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยในการขัดเกลาเพื่อที่จะยกระดับขึ้นมาถึงระดับนี้
การค้นพบศิลาดาราจันทรานับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับชิงสุ่ยอย่างมาก
ในขณะที่เขาใส่รองเท้าเข้าไป พลังบางสายได้ตรงเข้าสู้ร่างกายของเขา ชิงสุ่ยสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังประทุในร่างกายของเขา
ตอนนี้เขาพยายามปรับตัวกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้ ชิงสุ่ยได้ใช้พื้นที่ในดินแดนหยกในรอบนี้เพื่อฝึกฝนความเร็วของเขา ตอนนี้ชิงสุ่ยเป็นดังเงาที่พุ่งไปรอบๆดินแดนหยกในตอนนี้
เมื่อถึงเวลาที่สมควรชิงสุ่ยได้ออกมาจากดินแดนหยกในทันที เขานั้นไม่ต้องการเสียเวลาในการบ่มเพาะในตอนเช้าไปในดินแดนหยก จึงได้ตัดสินใจออกมา
ในตอนนี้เช้าเขาได้ฝึกฝนตามปกติและทานอาหารที่โรงเตี๊ยมจัดมา ถึงแม้มันจะมีรสชาติที่สู้อาหารของเขาไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้แย่มากนัก หลังจากที่ทานอาหารและพักผ่อนเสร็จ ชิงสุ่ยได้ออกมาจากโรงเตี๊ยม และมุ่งหน้าไปยังที่เขานัดหมายไว้กับ ฟู่ร่ง ในขณะที่เขามาถึงฟู่ร่งก็รอเขาอยู่ที่นั้นแล้ว
“เจ้ามาเร็วเสียจริงๆ? ช้าก็คิดว่าข้านั้นไม่ได้มาช้าแล้วนะ?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวทักทาย
“ไม่เลย ข้าพึ่งมาถึงในเร็วๆนี้เอง”เธอกล่าวและยิ้มกลับไป
“รับนี่ไป นี่คือยาเม็ดสรรพรส ที่เขากลั่นสำเร็จแล้ว ”ชิงสุ่ยหยิบยาทั้ง8ขวดให้เธอ
“ทำไมมันมีหลาย ขวดกันละ?”
“พอดีข้าสามารถกลั่นมันได้ 8เม็ด ดังนั้นข้าจึงแบ่งมันไว้ในแต่ละขวด”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“ถึงข้าจะคิดว่าเข้าสามารถทำมันได้สำเร็จ แต่ 8เม็ด เนี่ยเป็นจำนวนที่เกินกว่าข้าจะจินตนาการณ์ได้จริงๆ”ฟู่ร่งกล่าวด้วยความตกใจ ขณะที่กำลังเปิดขวด
“พระเจ้า ท่านสามารถทำมันได้จริงๆ ท่านเป็นนักปรุงยาที่เก่งจริงๆ รับนี่ไป ข้าจะมอบมันให้ท่าน4ขวด ท่านเห็นว่ายังไงบ้าง?”
ในขณะที่เธอมองไปที่เขา ชิงสุ่ยยิ้มออกมาและกล่าว“ข้าต้องการมันเพียงแค่สองเม็ดเท่านั้น”
“ไม่ๆข้าจะแบ่งให้ท่านสี่เม็ด นี่เป็นข้อตกลงที่เราคุยกันเอาไว้ ข้าได้ประโยชน์จากท่านนั้นมากมายมายแล้ว ”เธอรีบกล่าวออกมา
ถึงอย่างไรชิงสุ่ยก็ไม่ยอมรับมัน จากการพูดคุยกันเป็นเวลานานสุดท้ายชิงสุ่ยนั้นก็ได้รับมันมา3เม็ด และอีก5เม็ดให้เธอเก็บเอาไว้ เพื่อเป็นการขอบคุณ เธอจึงได้เชิญชิงสุ่ยไปที่บ้านของเธอ เพื่อจัดงานเลี้ยง แต่ถึงอย่างไรก็ถูกชิงสุ่ยปฏิเสธเอาไว้ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะสนิทกับราชวงค์เดชสวรรค์ เสียเท่าไร
แต่ถึงอย่างไรอนาคตเขานั้นอาจจะต้องทำความสนิทกับพวกเขาก็ได้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่ได้ไปตามคำเชิญของฟู่ร่งแต่อย่างใด นอกจากนี้นี่เป็นวิธีที่จะสร้างความประทับใจให้กับคนในราชวงค์เดชสวรรค์อีกด้วย ดังนั้นการวางตัวถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
บทที่ 1264 – ติ๊เฉิน
ในตอนนี้ชิงสุ่ยยังพักอยู่เมืองจักรพรรดิอีกสองสามวัน ในช่วงนั้นเขาได้ทำการกินยาทิพย์สรรพรสที่มีความสามารถเพิ่มความเร็วให้ผู้กิน 50 ส่วน
ด้วยผลในตอนนี้ความเร็วของชิงสุ่ยเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้มันส่งผลโดยตรงในการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้เขานั้นสามารถประยุกต์ มันเขากับทักษะและการโจมตีต่างๆของเขาได้ เช่นหากเขาใช้มันกับหุบเขาเก้าเทวา มันจะทำให้หุบเขาก้าวเทวาของเขาทวีความรุนแรงขึ้นเป็นสองเท่า ในตอนนี้มันการเป็นอาวุธที่ร้ายกาจยิ่งขึ้นไปกว่าเก่า ชิงสุ่ยรู้สึกขอบคุณ ฟู่ร่งอย่างบอกไม่ถูกที่ได้มอบโอกาสเช่นนี้ให้กับเขา
โดยทั้งหมดทั้งมวลนี่ชิงสุ่ยนั้นแทบไม่ได้ใช้วัตถุดิบอะไรของเขาเลย ทั้งหมดเป็นของฟู่ร่งทั้งหมด
ในตอนนี้ ปีใหม่กำลังใกล้เข้ามา ชิงสุ่ยได้ออกเดินทางด้วยย่างก้าวเก้าเทวาตรงไปที่ตระกูลฮู เพื่อหวังว่าจะได้เจอกับติ๊เฉิน ในตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวลอย่างมาก
นี่เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่เขามายังทวีปอูเซียตะวันตก เขานั้นค่อนข้างพอใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขาอย่างมากในหนึ่งปีที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าการเติบโตของเขานั้นอยู่ในระดับที่สูงอย่างมาก แทบไม่มีใครเทียบได้
ในไม่ช้าเขาก็มาถึงตระกูลฮู เมื่อมาถึงเขานั้นได้รับการตอนรับอย่างดี ในตอนนี้ชิงสุ่ยมองไปรอบๆและพบการหญิงงามคนหนึ่ง เธอนั้นดูคล้ายกับฮูยี่หย่าอย่างมาก แต่เธอนั้นมีดวงตาที่โตกล่าว และมีสีปากที่สดใสอย่างมาก ถึงอย่างไรก็ตามร่างกายของเธอนั้นก็ทรงเสน่ห์ไม่น้อยกว่าสาวงามคนใดเลย ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเธอนั้นเป็นหญิงสาวที่ควรค่าในการทะนุถนอมอย่างมาก
ฮู อวี้เซียน!
ชิงสุ่ยคาดเดาได้ว่าเธอนั้นเป็นหญิงสาวที่มาจากนิกายบงกชเทวะอย่างแน่นอน ตอนนี้ชิงสุ่ยสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากร่างกายของเธอ
“ชิงสุ่ยนี้พี่สาวของข้า นางชื่อว่าอวี้เซียน นางพึ่งกลับมาจากการไปฝึกฝนในเมื่อไม่เร็วมานี้”ฮู ยี่หย่ากล่าวอย่างมีความสุข
“ดีใจที่ ข้าได้มีวาสนาได้พบกับท่าน!”
“เช่นเดียวกัน”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา
“”ข้าได้ยินเรื่องของคุณชายชิงสุ่ยมานานแล้ว ข้าต้องขอบคุณท่านอย่างมากในสิ่งที่ผ่านมา”ฮู อวี้เซียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เกรงใจไปแล้ว ข้าสิควรต้องขอบคุณพวกท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวเหมิน ข้าคงจะไม่ได้พบกับท่านหญิงติ๊หวู่”ชิงสุ่ยกล่าวขอบคุณ
“ด้วยความยินดี จริงสิด้วยความแข็งแกร่งของท่านในตอนนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะมีใครรับมือท่านได้อีกแล้ว แม้แต่ตระกูลของข้าหรือท่านหญิงติ๊หวู่ ก็คงยากรับมือกับท่าน ”เธอกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ
“ฮ่าๆ ไม่จริงเลย จริงสิแล้วท่านหญิงติ๊หวู่ยังไม่กลับมารึ?”อันที่จริงนี่เป็นคำถามที่เขาต้องการถามมาโดยตลอด
“ท่านหญิงจะกลับมาในเร็วๆนี้ อาจจะอีกสองสามวัน”เธอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ชิงสุ่ยรู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะเขาไม่รู้ว่าติ๊เฉินนั้นจะกลับมาหรือไม่ตั้งแต่เธอจากเขาไปนี่ก็เป็นเวลาเกือบแปดปีแล้วที่เขาไม่ได้พบเจอกับเธอเลย
ในตอนนี้จิตใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความอ้างว้าง แม้แปดปีจะไม่ถือว่าช้ามากนัก แต่ในใจของชิงสุ่ยกับรู้สึกว่ามันยาวนาน การพลัดพรากจากคนรักเป็นเวลาแปดปีนั้นถือได้ว่ามันไม่ต่างอะไรกับนรกดีๆสำหรับเขา
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้หยุดลงและไม่ได้ถามอะไรอีกต่อไป นั้นเพราะนิกายของเธอนั้น ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องราวสู่โลกภายนอกเท่าไร แม่แต่ท่านหญิงติ๊หวู่ก็ยังไม่เคยบอกเรื่องราวกับเขาเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นต้องการที่ออกเดินทางไปต้อนรับเธอด้วยตัวเอง แต่น่าเสียที่เขานั้นไม่รู้ว่าเธอนั้นอยู่ที่ไหน มันทำให้เขาจำใจที่ต้องรอต่อไปอีกสามวัน นอกไปจากนี้ดูเหมือนพวกเธอจะใช้เส้นทางพิเศษในการเดินทางอีกด้วย มันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะไปดักรอพวกเธอ
ชิงสุ่ยได้แต่รอให้เวลาสามวันผ่านไปอย่างทุกทรมาน ในเช้าวันที่สามชิงสุ่ยออกมาข้างนอกและเฝ้ามองไปที่ขอบฟ้าไกลๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยร้อนใจอย่างมาก สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเลย แม้ในขณะต่อสู้เป็นตาย ในวันนี้หากติ๊เฉินไม่ปรากฏตัวขึ้น เขาไม่รู้ว่าเขาจะสามารถควบคุมอารมณ์ในตอนนี้ได้หรือไม่ หากเธอไม่ยอมออกมา เขาจำเป็นต้องใช้กำลังบีบบังคับฮู อวี้เซียนและติ๊หวู่ สือฉาหรือไม่?
ในตอนนี้ชิงสุ่ยลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและเฝ้ารอการมาถึงของพวกเขาในตอนนี้ เขาทำเช่นนั้นตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งกระทั้งเที่ยงวัน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลบไปที่ไหน
ในตอนนี้ชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความร้อนใจอย่างมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าความอดทนของเขาจะมีน้อยขนาดนี้ ในตอนนี้ราวกับโลกกำลังจะแตกออกในใจของเขา
ในขณะนั้นเองชิงสุ่ยได้มองไปที่ทางทิศใต้ มีจุดสีดำที่กำลังใกล้เข้ามาทางเขาอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้นเลือดในร่างกายของเขาได้สูบฉีดขึ้นมา ย่างก้าวเก้าเทวาถูกเปิดใช้โดยไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาตรงไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเองชิงสุ่ยได้พบกับวิหคเพลิงนภาขนาดใหญ่ แม้ว่าจะเป็นเวลานานมามากแล้วแต่เขาสามารถจดจำมันได้อย่างดี มันคือวิหคเพลิงนภาของติ๊เฉินนั้นเอง
หาเทียบกับก่อนหน้าตอนนี้มันนั้นเติบโตขึ้นอย่างมากมาย กลิ่นอาบของมันเต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง มันนั้นเป็นสัตว์อสูรที่สืบสายเลือดชนิดเดียวกับวิหคเพลิงของเขามา ดังนั้นมันจึงเต็มไปด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่ง ในตอนนี้วิหคเพลิงของชิงสุ่ยได้บินเข้าไปใกล้ๆมันอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าวิหคเพลิงนภาในตอนนี้จะมีขนาดเท่ากับกับวิหคเพลิงของเขา แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังอ่อนแอกว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำของเขาอยู่ดี แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า มันนั้นมีความสามารถในการเติบโตที่ไม่ต่างกับวิหคเพลิงของเขาเลย
ในตอนนี้ชิงสุ่ยมองไปที่กลุ่มคนที่อยู่บนวิหคเพลิงนภา หนึ่งในนั้นคือติ๊หวู่ สือฉา แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเธอมากนัก ในขณะที่เขากำลังส่องสายตาไปที่คนอื่นๆโดยรอบ
ในขณะนั้นเองภาพและความรู้สึกคุ้นเคยโผล่ขึ้นมาในหัวใจของเขา ความกดดัน อึดอัดในใจของเขาได้จางหายไปจนหมด ราวกับคนที่กระหายน้ำได้ดื่มกินน้ำก็มิปาน
ภาพของผู้หญิงที่เขาเฝ้าตามหา และคิดถึงตลอดมา ได้ปรากฏข้าหน้าของเขาแล้ว
ติ๊ เฉิน!
เหมือนดังอดีต เธอนั้นยังคงสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวที่บริสุทธิ์ ผมสีดำเข้มของเธอได้ถูกรวบเอาไว้ ใบหน้าของเธอยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันเต็มไปด้วยความงดงามและอ่อนเยาว์
ในตอนนี้ถึงแม้เธอจะใส่ผ้าปิดหน้าอยู่แต่ชิงสุ่ยก็สามารถจดจำเธอได้ ดวงตาที่งดงามของเธอนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะลืมไปจากหัวใจของเขา
เช่นเดียวกันในตอนนี้เธอก็รู้สึกว่าชิงสุ่ยนั้นยังคงเหมือนเดิม ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยก็ตาม
“ขอบคุณท่านหญิงติ๊หวู่ ที่ช่วยเฉินเอ๋อเอาไว้ หากมีโอกาส ข้าจะแวะไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ แน่นอนบุญคุณในครั้งนี้ข้างจะไม่ลืมเด็ดขาดและจะตอบแทนท่านด้วยทุกๆอย่างที่ข้ามี”ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่ยิ้มอออกมา
“ไม่เป็นอะไร ตอนนี้นางก็หายดีแล้ว ไม่ต้องตอบแทนอะไรข้าหรอก หากแต่เจ้ามีปัญหาใดก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ประตูบ้านของข้านั้นยินดีตอนรับพวกเจ้าเสมอ แล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้านั้นขอตัวก่อน”ติ๊หวู่ สือฉากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเธอก็หันไปพยักหน้ากับติ๊เฉิน ก่อนที่จะจากไป
ชิงสุ่ยมองไปที่ติ๊เฉินก่อนที่จะค่อยๆเข้าไปหาเธอ ในตอนนี้ไม่มีคำพูดใดระหว่างทั้งสอง มีแต่ความคิดถึงโหยหาและห่วงใยในสายตาของทั้งคู่
“ตอนที่เจ้าจากไป เจ้าได้ทิ้งไว้แค่จดหมายฉบับเดียวเท่านั้น มันทำให้ข้าทรมานอย่างมาก และกลัวว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกในชีวิตของข้า มันเป็นอะไรที่ข้ากลัวอย่างมาก”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยร้อยยิ้มจาง และเดินเข้าไปหาเธอ
“ชิงสุ่ย!”
ในตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงของเธอ เสียงของเธอนั้นยังไพเราะและอ่อนโยนเหมือนดังเก่า แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรตอนนี้เขากลับรู้สึกอึดอัดเมื่อได้ยินมัน
“ข้ากลัวอย่างมากว่าเจ้าจะลืมข้าไปแล้ว เมื่อข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ข้าจึงรีบหาเจ้า แต่ด้วยความอ่อนแอของข้ามันทำให้ข้าต้องใช้เวลานานมากที่จะตามหาเจ้าให้เจอ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอีกมากมายในตระกูลชิง ที่ข้าไม่อาจทิ้งไปได้ ดังนั้นข้าจึงรีบจัดการปัญหาทั้งหมดลง เพื่อที่จะได้มาหาเจ้าในตอนนี้…”
ในขณะนี้ติ๊เฉินนั้นรู้ดี ชิงสุ่ยนั้นเป็นคนของห้าทวีปดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะอ่อนแออย่างมาก หากเทียบกับ4ทวีปในตอนนี้ มันจึงทำให้เขาต้องใช้เวลาสักพักในการเตรียมที่จะเดินทางมาที่ 4ทวีปแห่งนี้ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เขานั้นก็ได้ปรากฏอยู่ข้างหน้าของเธอแล้ว
“ข้านั้นต้องอดทน ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง และใช้ความพยายามอย่างมากในการตามหาข่าวของเจ้าในก่อนหน้านี้ข้ายังอ่อนแออย่างมากจึงไม่สามารถมาหาเจ้าได้ ข้าต้องขอโทษเจ้าจริงๆ และข้ารู้ดีว่าถึงแม้ขาจะฝืนมาหาเจ้า ก็เพียงแต่จะเป็นภาระให้เจ้าเท่านั้น ดีไม่ดีข้าอาจไม่สามารถมีชีวิตมาเจอเจ้าได้ด้วยซ้ำ ข้าขอโทษจริงๆที่มาหาเจ้าช้าไป แต่ถึงอย่างไรข้าไม่เคยยอมแพ้เรื่องของเจ้า มันจึงทำให้ข้านั้นพยายามอย่างหนักและแล้วข้าก็ได้มาเจอเจ้าในวันนี้!”
“ข้าไม่เคยโทษเจ้า พอเถอะหยุดขอโทษได้แล้ว!”ติ๊เฉินกล่าวเบาๆขณะที่น้ำตาได้ไหลรินออกมา ถึงอย่างไรในตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นก็เต็มไปด้วยความสุขและความเศร้าเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
ชิงสุ่ยรวบรวมความกล้าและเดินมาที่ข้าหน้าของเธอ เขาจับลงไปที่มือทั้งสองข้างของเธออย่างอ่อนโยน ในขณะที่มองเข้าไปในดวงตาของเธอ ในช่วงเวลานี้ราวกับโลกทั้งใบได้หยุดหมุนลง
ติ๊เฉินปล่อยให้ชิงสุ่ยจับมือของเธอ ขณะที่เธอร้องไห้ออกมา
“ชิงสุ่ย นิกายนิกายบงกชเทวะ ไม่ยอมให้สาวกของพวกเขา นั้นแต่งงาน!”
“ข้ารู้ดี ข้าเคยได้ยินมา”ชิงสุ่ยกล่าวโดยไม่สนใจ
“สำหรับใครที่อยากจะแต่งงานต้องออกจานิกายบงกชเทวะเสียก่อน” ติ๊เฉินกล่าวออกมา
“ข้าเข้าใจแล้ว แล้วทำไมรึ เจ้าไม่ต้องออกจากนิกายบงกชเทวะอย่างนั้นรึ? การออกเดินทางร่วมกับข้ามันจะดีกว่าเจ้านั้นจะคงอยู่ที่นิกายบงกชเทวะเสียอีก”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา ในขณะที่รู้สึกไม่พอใจเท่าไร
บทที่ 1265 –ต่อสู้และก้าวต่อไป
ชิงสุ่ยเคยได้ยินกฎขอองนิกายของเธอมาก่อน ที่ห้ามให้สาวกของนิกายนั้นแต่งงาน เว้นแต่ว่าพวกเธอนั้นต้องออกมาจากนิกายเสียก่อน นอกจากนี้ก็ห้ามเปิดเผยถึงข้อมูลของนิกาย
เว้นแต่สาวกศักดิ์สิทธิ์ พวกเธอนั้นมีตัวตนอยู่เพื่อนิกาย ตายเพื่อนิกาย นอกจากนี้ยังไม่สามารถออกจากนิกายได้ นี่รวมไปถึงผู้นำนิกายก็ไม่มีข้อยกเว้น
ติ๊เฉินมองไปที่ชิงสุ่ย “ชิงสุ่ย ข้าไม่สามารถออกไปจากนิกายได้จริงๆ เว้นแต่เจ้าจะมีความสามารถเพียงและใช้กำลังดึงตัวข้าไปเท่านั้น หรือไม่เราก็ตายด้วยกันที่นั้น”ติ๊เฉินกล่าว
“เด็กโง่ มีใครกล้าแตะต้องผู้หญิงของช้า? เชื่อใจในสามีของเจ้าเถอะ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา ในตอนนี้ตั้งแต่แรกพวกเขานั้นก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว
“เห้อเจ้าก็เอาแต่เป็นอย่างนี้ ไม่เคยเห็นใครในสายตา ถึงข้าจะรู้ดีว่าเจ้านั้นไม่ได้โกหกก็ตาม……..”ติ๊เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แล้วตอนนี้ใครเป็นผู้นำนิกายบงกชเทวะ ข้าจะเป็นคนเข้าไปคุยเอง มันคงจะเป็นเรื่องดีกว่าใช้กำลังเสียในตอนนี้?”ชิงสุ่ยได้กล่าวออกมา ชิงสุ่ยรู้ดีว่านี่เป็นความคิดที่ดีที่สุด
ในตอนนี้วิหคเพลิงนภาหยุดอยู่บนอากาศ ขณะนี้ชิงสุ่ยและติ๊เฉินกำลังยืนอยู่บนหลังของมัน ในตอนนี้ได้จับมือของติ๊เฉินและค่อยๆถอดผ้าปิดหน้าลง ขณะนี้เธอไม่มีท่าทีที่จะชัดขืนเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าที่คุ้นเคยและงดงามได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง ในขณะนี้เขาค่อยๆโอบกอดเธอเข้ามาในอ้อมอก ขณะนี้เองติ๊เฉินนั้นไม่มีท่าทีขัดขื่นเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าต้องการพบผู้นำนิกายของข้าอย่างนั้นรึ?” ลมหายใจอ่อนโยนได้แพร่ออกมา ในขณะที่ใบหน้าของเขาห่างออกไปเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
“แต่ถึงอย่างไรหากนางไม่ยอม ปล่อยเจ้าออกมา ข้าเองก็คงต้องทำสงครามกับนิกายบงกชเทวะเพื่อดึงตัวเจ้ากลับมา”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง
“แต่ท่านผู้นำดีต่อข้ามากๆ และยังเป็นคนช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย”ติ๊เฉินกล่าว
“แล้วเจ้าไม่อยากกลับไป5ทวีปอย่างนั้นรึ?”นี่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยอยากรู้ที่สุด
“แน่นอนข้าอยากกลับไป แต่มันยังไม่ใช่เร็วๆนี้ ข้านั้นต้องจัดการเรื่องราวทั้งหมดให้จบลงก่อน จึงจะสามารถกลับไปหาเจ้าได้และใช่ชีวิตอยู่กับเจ้าตลอดไป”ติ๊เฉินกล่าว
คำกล่าวไม่กี่คำที่มาจากหญิงงามเช่นเธอนั้นทำให้หัวใจของเขานั้นสั่นไหวอย่างมาก ชิงสุ่ยค่อยโอยกอดเธอแน่นขึ้นและแน่นขึ้น “ไม่ต้องคิดอะไรมาก ข้าจะไปหาผู้นำของเจ้าหลังจากปีใหม่นี้ ข้าจะไม่ยอมเสียเจ้าไปเด็ดขาด ”ชิงสุ่ยกล่าว
“เจ้าแน่ใจรึว่าจะทำสำเร็จ?”ติ๊เฉินเงยหน้ามอง
“มันต้องสำเร็จ!”ชิงสุ่ยยิ้มและตอบ
“ก็ได้ข้าจะพาเจ้าไปพบนางหลังจากปีใหม่ แต่ถ้าไม่ตกลงกันได้ เราจะสู้ตายกับนาง?”ติ๊เฉินล่าวออกมา
“สมแล้วที่เป็นภรรยาของข้า”ชิงสุ่ยยิ้มอย่างมีความสุข
“คนโง่ใครเป็นภรรยาของเจ้า?”ติ๊เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆไม่พบกันนานเจ้ายังไม่เปลี่ยนไปเลยนะ รอดูเถอะอีกไม่นานข้าจะทำให้เจ้าเป็นภรรยาของข้าให้ได้อย่างแท้จริง”ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่กอดเธอไว้
“เห้อเจ้าก็ไม่เปลี่ยนไปเลย อย่างเป็นคนลามกเช่นเดิม ไหนบอกมาสิตอนนี้เจ้าภรรยาเพิ่มมากี่คนแล้วในช่วงที่ข้าไม่อยู่?”ติ๊เฉินกล่าวขณะที่จ้องไปที่หน้าของเขา
“เออ…คือว่า… แบบว่า”ชิงสุ่ยถึงกับกล่าวไม่ออก
“ฮ่าๆ อย่าคิดมากเลยไม่ว่าจะกี่คน ข้าก็ยังรักเจ้าอยู่ดี ถึงข้าไม่อาจอยู่กับเจ้าได้ตลอดเวลา แต่อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าในใจของเจ้ายังมีข้าๆก็มีความสุขแล้ว”
“สาวโง่ มีรึที่ข้าจะไม่รักเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขที่เลือกข้า”ชิงสุ่ยยิ่ม
ในเวลาหลายปีนี่เธอนั้นเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรเธอนั้นก็คือติ๊เฉินคนเดิมของเขา ในท้ายที่สิดชิงสุ่ยนั้นต้องการให้เธอออกจากนิกายของเธอมา หรือไม่เขานั้นก็ต้องเปลี่ยนกฎบางอย่างเพื่อให้พวกเขานั้นสามารถอยู่ด้วยกัน
“ข้ารู้ดีไม่เช่นนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้ากอดข้าอย่างนี้รึ”
ชิงสุ่ยไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาค่อยๆก้มหน้าและจูบลงไปที่ริมฝีปากของเธอ แต่อย่างไรเธอก็ได้หลบมันและให้เขาหอมไปที่แก้มของเธอ “ชิงสุ่ยข้าเป็นสาวกศักดิ์สิทธิ์ของนิกาย ข้ายังจำเป็นต้องเก็บความบริสุทธิ์เอาไว้”
“ยังไง?”ชิงสุ่ยกล่าวถามออกมา
“นอกเหนือจากสาวกศักดิ์สิทธิ์ของนิกายแล้ว หญิงสาวของนิกายบงกชเทวะไม่จำเป็นต้องรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ ถึงแม้เราจะมีกฎว่าห้ามแต่งงานก็ตาม ”
“นั้นหมายความว่าหญิงสาวของนิกายบงกชเทวะ นั้นสามารถมองหาผู้ชายได้ แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ครองคู่กันอย่างนั้นรึ?”ชิงสุ่ยถามออกมา
“ก็ใช่ แต่มันก็ไม่ได้หมายว่าสามารถมองหาได้”ติ๊เฉินกล่าว
“นั้นหมายความว่าต้องแอบอย่างนั้นรึ?”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความสงสัย
“ใช่และไม่ใช่!”
“ข้าไม่เข้าใจพวกเขาเลย พวกเขาจะตั้งกฎเช่นนี้มาทำไม หรือว่าบางทีผู้ก่อตั้งของเจ้าอาจจะเกิดความเปล่าเปลี่ยวใจ เลยแอบแก้ไขกฎรึป่าว?”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างติดตก
“เจ้าบ้า หยุดคิดเรื่องไร้สาระได้แล้ว”
………
“แล้วที่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”ติ๊เฉินกล่าวออกมา
ชิงสุ่ยสามารถรู้ได้ทันที่ว่าเธอกำลังกล่าวถึง5ทวีป
“ทุกๆอย่างได้รับการดูแลอย่างดีแล้ว ตอนนี้ข้าได้ว่าแผนที่จะสร้างแท่นเคลื่อนย้ายบรรพกาลเพื่อให้พวกเขาสามารถเดินทางมาที่นี่ได้ เจ้าว่าดีมั้ย?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“ข้าเกรงว่าตอนนี้มันยังไม่เหมาะสมเท่าไร ความแตกต่างระหว่าง5ทวีปและ4ทวีปนั้นมีมากเกินไป”
“ใช่นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง ตอนนี้ข้าเองก็คิดถึงพวกเขาอย่างมาก ”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ
“ข้าเข้าใจดีความคิดถึงเป็นสิ่งที่ทรมาน เอาเถอะข้าเชื่ออีกไม่นานเราก็จะได้พบกับพวกเขาอีกครั้ง”
“ดูนั้นสิ เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ออกมามองท้องงฟ้าของทวีปอูเซียตะวันตก มันช่างงดงามจริงๆ เจ้าคิดเหมือนข้ารึไม่?”
“ใช่ มันช่างงดงาม”ติ๊เฉินยิ้มและกล่าว
“ชิงสุ่ย ตอนนี้เจ้ายังรู้สึกเหมือนเดิมกับข้าอยู่อีกหรือไม่?”ติ๊เฉินกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล
“แน่นอน แต่ข้าก็ยังโกรธที่เจ้าจากข้ามาในตอนนั้น ข้าเคยกล่าวไว้กับตัวเองว่าหาเจอเจ้า ข้าจับเจ้าตีก่นให้หลายๆครั้ง”ชิงสุ่ยกล่าว
“ก็ได้ข้าให้อนุญาตเจ้า ถือว่าเป็นการไถ่โทษ”ติ๊เฉินกล่าว
ธรรมชาติของชิงสุ่ย เขามักจะลวนลามเธอเสมอ ซึ่งเธอนั้นจะพยายามหลีกเลี่ยงมัน แต่ในครั้งนี้อาจเป็นเพราะความคิดถึง ความรู้สึกผิดเธอจึงอนุญาตให้เขาแตะต้องร่างกายของเธอ
ในตอนนี้เองมือของชิงสุ่ยคว้าลงไปที่ก้นของเธอย่างรวดเร็ว มันนั้นช่างนุ่มนวลและดึงดูด ความรู้สึกที่น่าหลงใหลได้ผ่านซึมเข้ามาในมือของเขา ในตอนนี้แม้อากาศจะออกหนาวเล็กน้อย แต่พวกเขากับรู้สึกว่ามันร้อนผ่าวอย่างมาก
ใบหน้าของติ๊เฉินเปลี่ยนเป็นแดงเข็ม ขณะที่เธอก้มหน้าลงไปที่หน้าอกของเขา
โดยไม่รอช้ามือของชิงสุ่ยได้จับและวนไปรอบบริเวณนั้นเป็นเวลานาน เสียงที่หน้าอายได้หลุดออกมาจากปากของเธอ แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินมัน
ถึงอย่างไรตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นยังไม่ค่อยพอใจกับมันเท่าไร เขาพยายามเคลื่อนมือไปยังจุดๆอื่น
โดยไม่รู้ตัว ชิงุ่ยนั้นได้จูบลงไปบนปากของเธอ ขณะที่มือของเขาได้ขย้ำลงไปที่หน้าอกคู่งามดังหยก
ร่างกายของเธอนั้นสั่นสะท้านและ อ่อนลงอย่างเห้นได้ชัด แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้หยุดเขา
ในขณะนี่ชิงสุ่ยกดเธอลงบนหลังวิหคเพลิงนภา และเริ่มดูดดื่มน้ำในบ้าของเธอย่างบ้าคลั่ง ในขณะนี้มือของเขาได้เคลื่อนลงมาที่จุดได้สือของเธอ
“ชิงสุ่ย มันยังไม่ใช่ตอนนี้ สัญญากับข้า ให้เราจัดการปัญหาทั้งหมดให้จบลงก่อนและเมื่อนั้นข้าจะยอมเป็นของเจ้า”เสียงที่นุ่มนวลดังออกมา
“ก็ได้หากเจ้าไม่ยอมให้ข้ากินส่วนนั้นของเจ้า เจ้าก็ต้องยอมให้ข้ากินส่วนๆอื่นๆแท่น”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาขณะที่ปลดเสื้อของเธออกมา
เธอไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างได้ ในเวลานี้เสื้อตัวนอกของเธอได้ถูกปลดออกอย่างสมบูรณ์โยชิงสุ่ยแล้ว เผยให้เห็น หน้าอกที่งดงามดังหยก สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หัวใจของชิงสุ่ยหยุดเต้นไปชั่วขณะ นี่มันเป็นสิ่งที่งดงามอย่างมาก เทียบกับงานศิลปะชั้นยอดในโลกก็ว่าได้
มันนั้นแทยไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างใดๆ มันเป็นหน้าอกที่ผู้ชายทุกๆคนใฝ่ฝันถึง นอกจากนี้จุดสีชมพูเล็กๆยังสามารถดึงดูดหัวใจของผู้ชายทุกคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะนี้ชิงสุ่ยจ้องมองไปที่ดวงตาของเธอ แต่เธอนั้นไม่กล้าที่จะสมสายตากับเขา เขาไม่สามารถทดได้ต่อไป ชิงสุ่ยได้จับและดูดดื่มที่มันอย่างบ้าคลั่ง เสียงแห่งความสุขดังออกมาเป็นระลอกดังคลื่นที่ถามโถมเข้ามา ในเวลานี้ทั้งสองต่างมีความสุขอย่างมาก
ฝ่ายไป4ชั่วยาม แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทำอะไรเกินไปกล่าวนั้น แต่ถึงอย่างไรในช่วงเวลานั้นเคล็ดวิชาทวิบ่มเพาะได้หมุนวนอย่างต่อเนื่องภายในจิตสำนึกของทั้งสอง
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้สวมใส่เสื้อผ้าให้กับเธอ ขณะที่ใบหน้าของเธอยังคงแดงอยู่ เช่นเดียวกันมืออีกข้างของเขายังก็ไม่ปล่อยมือออกจากหน้าอกของเธอ ในขณะที่ติ๊เฉินก้ไม่ได้หยุดเขาแต่อย่างใด
“ชิงสุ่ยต่อจากนี้เจ้าแข็งแกร่งระดับไหน?”ในตอนนี้ติ๊เฉินได้ถามคำถามออกมา ขณะที่เธอไม่สนใจมือที่ซุกซนของเขา
“ข้าคิดว่าตอนนี้แม้แต่ ผู้บ่มเพาะที่มีความแข็งแกร่ง 7000-8000 สุริยาก็ไม่อาจแตะต้องตัวข้าได้ แต่ข้าก็ไม่แน่ใจกับความแข็งแกร่งมากนัก ว่าจะสามารถรับมือกับระดับ 1หมื่นสุริยาได้หรือไม่”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาหลังจากคิดอยู่พักใหญ่
“เห้อ เจ้ามันสัตว์ประหลาดจริงๆ แล้วเจ้ามีแผนจะทำอะไรต่อในอนาคต?”
“เหตุผลหลักๆที่ข้ามาที่นี่ก็คือเจ้า แต่ในตอนนี้ข้าก็ได้พบกับจ้าแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องสืบดูก่อน มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพ่อของข้า ในอดีตพี่ชิงชิงได้บอกข้าว่าหลุมศพของพ่อของข้านั้นว่างเปล่า นอกจากนี้ยังมีจารึกบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ4ทวีปแห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงจะลองสืบเรื่องนี้ดูก่อน บางทีพ่อของข้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ หากเป็นเช่นนั้นข้าจะพาเขาไปพบกับแม่ของข้า ”
บทที่ 1266 –นิกายปฐพีซ่อนเร้น
ทั้งคู่ยังคงนั่งคุยกันไปเรื่อยตลอดเส้นทาง ในขณะนั้นเองชิงสุ่ยได้กล่าวออกมา “คืนนี้เราจะพักกันที่ไหนรึ?”
“แล้วเจ้าเคยไปที่ไหนมาบ้าง ?”ติ๊เฉินกล่าวขณะที่ยกมือของเธอลูบไปที่เส้นผมของเธอ
“ตอนแรกข้านั้นพักอยู่สำนักสวรรค์เร้นลับ แต่เป้าหมายของข้าคือเจ้าทำให้ข้านั้นไม่ได้ตั้งหลักปักฐานที่นั้นอย่างถาวร ดังนั้นข้าจึงได้ออกเดินทางต่อและได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมจักรพรรดิ ก่อนที่จะมาพบกับเจ้าในตอนนี้”ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่มองกลับไป
“งั้นเราก็ไปพักที่ๆเจ้าเคยพักมาก็แล้วกัน”
ในขณะนั้นเองวิหคเพลิงนภาได้บินวนไปในไกลๆกลับตระกูลฮู เมื่อผ่านไปสักพักพวกเขาได้เห็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่โตและสง่างามอยู่ไม่ไกล
ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ และจัดได้ว่าหรูหราอย่างมาก ชิงสุ่ยและติ๊เฉินตัดสินใจที่จะพักที่นี่ก่อนในคืนนี้ ก่อนที่จะออกเดินทางต่อ เมื่อพวกเขาเข้ามาสายตาจำนวนมากได้จับจ้องมาทางพวกเขา แน่นอนนั้นเป็นเพราะความงามที่หาใครเทียบได้ของติ๊เฉินนั้นเอง
ด้วยสายตาที่หื่นกระหายของพวกเขา ทำให้ชิงสุ่ยหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะปล่อยจิตสังหารที่พร้อมจะฆ่าฟันอีกฝ่ายออกมา ด้วยจิตสังหารของชิงสุ่ยจึงทำให้ไม่มีใครเลยกล้าที่จะเงิยหน้าขึ้นในตอนนี้
“เจ้าหนุ่มเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงกล้าทำตัวเช่นนี้?”
ชิงสุ่ยแปลกใจเล็กน้อยหลังจากได้ยินเสียที่ดังขึ้นออกมาจากมุมๆหนึ่ง เขาหันมองไปที่ต้นกำเนิดเสียงอย่างช้าๆ ที่ตรงนั้นมีชายวัยกลางคนสองคนนั่งอยู่ พวกเขานั้นสวมชุดที่ดูหรูหราและนอกจากนี้ยังมีความลึกลับในกลิ่นอายของพวกเขา
ในตอนนี้ชิงสุ่ยหงุดหงิดเล็กน้อย นั้นเพราะเขาคิดว่าบางทีพวกเขาอาจเป็นของราชวงค์เดชสวรรค์ แต่ถึงอย่างไรสัมผัสพลังที่พวกเขาปล่อยออกมามันก็แตกต่างออกไป
“พวกเจ้ามาจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นรึ? ”ก่อนหน้าชิงสุ่ยจะกล่าวถาม ติ๊เฉินได้กล่าวออกมา
“ใช่เลยสาวน้อย นับว่าเจ้ายังเป็นคนฉลาดอยู่ ในเมื่อเจ้ารู้ว่าพวกข้าเป็นใคร ก็ช่วยมารินเหล้าให้พี่ชายหน่อยได้มั้ย?” ชายคนหนึ่งมองไปที่ติ๊เฉินด้วยความกระหาย
“ไปลงนรกซะ” ชิงสุ่ยกล่าวออกมาก่อนที่ติ๊เฉินจะตอบกลับเสียอีกในตอนนี้
ความเกรียวโกรธในใจของชิงสุ่ยได้ประทุออกมา นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่เขานั้นโมโหได้ขนาดนี้ โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ขยับตัวชิงสุ่ยก็ไม่ยืนอยู่ข้างหน้าของพวกเขาแล้ว
ย๊า!
ชิงสุ่ยนั้นสามารถรับรู้ได้ว่าพวกเขานั้นมีความแข็งแกร่งอยู่เพียง 1000สุริยา ถึงแม้1000สุริยานั้นอาจได้รับยกย่องว่าแข็งแกร่งอย่างมาก แต่มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะต่อกรกับชิงสุ่ย
หมัดของเขาตรงเข้าใส่ชายคนหนึ่ง ในตอนนี้เองแม้แต่ติ๊เฉินก็ยังตกใจในการกระทำของเขา อย่างไรก็ตามเธอก็สามารถดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเเร็ว
“ทำไมเจ้าถึงกล้าลงมือกับพวกข้า รู้มั้ยพวกข้าเป็นใคร ตระกูลลู่ของข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้า พวกเจ้า พี่น้องของเจ้า ต้องตาย”ใบหน้าของชายคนนั้นค่อยบวมขึ้น และแดงเป็นสีโลหิต จะดูไม่ได้
ในตอนนั้นเองสายตาของชิงสุ่ยเปลี่ยนเป็นเย็นชา หมัดตรงของเขาได้พุ่งเข้าซ้ำลงไปที่ใบหน้าของชายคนนั้น
แป๊ะ!
สมองของชายดังกล่าวกระจายไปทั่วๆบริเวณ มันทำให้บริเวณดังกล่าวเงียบสงบลง แม้แต่ชายอีกคนที่เป็นสหายที่คนที่ถูกสังหารลงไปก็ยังไม่กล่าวแม้แต่จะหายใจ ก่อนที่จะมองที่ชิงสุยด้วยความกลัว
ติ๊เฉินมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยสายตาซับซ้อนในตอนนี้ เพราะเธอนั้นรู้ดีกว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นยัง
“วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าใครอีก แต่จงจำเอาไว้อย่าได้คิดที่ข่มเหงคนอื่นเพียงแค่คิดว่าตัวเองนั้นเหนือยกว่า มิฉะนั้น พวกเจ้าจะได้ตายอย่างเช่นชายคนนี้”ชิงสุ่ยมองไปรอบๆและหันกลับไปจ้องชายวัยกลางคน
ชายกลางและคนอื่นๆพากันวิ่งหนีออกไปในทันที พวกเขานั้นไม่ได้เหลี่ยวมองศพของสหายที่ตายลงไปเสียด้วยซ้ำในตอนนี้
ในขณะนี้ชิงสุ่ยได้เดินขึ้นไปมันชั้นข้างบนพร้อมๆกับติ๊เฉิน
“ชิงสุ่ยเจ้ามีปัญหาใหญ่แล้ว ”เธอกล่าวออกมาขณะที่มองไปที่เขา ขณะที่ยิ้มออกมาอย่างขมชื่น
“เจ้าคงหมายถึงกลุ่มคนที่มาจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นก่อนหน้าสินะ?”ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่หันมองหน้าเธอ
“ถูกต้อง เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับนิกายปฐพีซ่อนเร้นหรือไม่?”ติ๊เฉินกล่าวออกมา
“ไม่ ทำไมรึ พวกเขาแข็งแกร่งกว่านิกายบงกชเทวะหรือราชวงค์เดชสวรรค์ อย่างนั้นรึ?”ชิงสุ่ยภามกลับไป
“พวกเขานั้นเป็นจักรวรรดิระดับ4 ที่เต็มไปด้วยความลับมากมาย พวกเขานั้นแอบซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้ แม้ว่า นิกายของข้า หรือไม่ก็เทือกเขาปู๋โถว ที่อยู่ในระดับเดียวกันก็ยังไม่มั่นใจว่าจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขา มีผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งมากมายแอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดคอยสนับสนุนพวกเขาเอาไว้ มันคงไม่ดีที่จะเป็นอริกับผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งเหล่านั้น”ติ๊เฉินยิ้มและมองไปที่ชิงสุ่ย
“เทือกเขาปู๋โถว นั้นแข็งแกร่งเช่นนั้นด้วยรึ?”ชิงสุ่ยประหลาดใจอย่างมาก เขาไม่คาดหวังว่านิกายของถานถ่าย หยวนจะแข็งแกร่งขนาดนี้
“ถูกต้องแล้วมีนิกายมากมายแอบซ่อนพลังที่แท้จริงของตนเองไว้ แม้พวกเขาจะดูอ่อนแอแต่ที่จริงพวกเขานั้นไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริงไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งมากขนาดไหน แต่ที่รู้ๆพวกเขานั้นได้รับการสนับสนุนอยู่จากบุคคลในเงามืด”
“แล้วนิกายปฐพีซ่อนเร้นละ? พวกเขามีที่มายังไง?”ชิงสุ่ยถามต่อ
“ในทวีปอู่เซียตะวันตกนั้นได้แบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งเหนือคือฝั่งที่พวกข้าดูแลอยู่ แต่อีกฝั่งๆใต้เป็นของนิกายปฐพีซ่อนเร้น พวกเขาเป็นมหาอำนาจในภายใต้ นอกจากนี้ยังมีนิกายมากมายที่ค่อยสนับสนุนพวกเขา แต่นั้นก็ไม่หน้ากลัวเท่ากับความแข็งแกร่งของพวกเขา”
“พวกเขามีอำนาจมากแค่ไหน?”
“ข้าไม่แน่ใจ แต่ที่ข้ารู้พวกเขาไม่ได้อ่อนแอกว่านิกายบงกชเทวะเลย บางทีอาจแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำ”ติ๊เฉินกล่าวออกมา
“อย่าคิดมาเลย พวกเขาคงไม่กล้าแตะต้องสาวกศักดิ์สิทธิ์ของนิกายบงกชเทวะหรอก ถ้าพวกเขากล้าบุกมานิกายของเจ้าย่อมไปไม่ปล่อยให้พวกเขากลับไป”ชิงสุ่ยยิ้มออกมา
“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น แต่ที่ข้ากังวล คือคนที่เจ้าฆ่าไปนั้นมาจากตระกูลลู่ ตระกูลลู่นั้นเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งของนิกายปฐพีซ่อนเร้น ข้ากลัวว่าพวกเขาจะนำปัญหามาให้เจ้า”ติ๊เฉินกล่าวขณะที่มองไปที่ชิงสุ่ย
“อย่าคิดมากเลยหาพวกเขามาฆ่าจะสังหารพวกเขาให้หมด นอกจากนี้ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถสู้ได้ แต่ก็ไม่มีใครจะสามารถจับตัวข้าได้อย่างง่ายๆหรอก นอกจากนี้ข้ายังมีเวลาอีกมากที่จะแข็งแกร่งขึ้น เจ้าอย่างได้กังวลไป นี่ข้ามีองจะให้เจ้า”ชิงสุ่ยหยิบแหวนหยกศักดิ์สิทธิ์ที่เตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้วออกมาให้กับเธอ ก่อนที่จะสวมมันให้กับเธอและทำพันธะให้กับเธอ ตอนนี้มันได้กลายเป็นของติ๊เฉินอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
จากนั้นชิงสุ่ยค่อยๆหยิบมุกโลหิตทองคำอินทนิลออกมา พร้อมกับของอื่น หนึ่งในนั้นยังมียาทิพย์สรรพรส ที่ได้รับมาในก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามเขาได้ช่วยเหลือเธอและฝังเข็งเพื่อช่วยปรับร่างกายให้กับเธอ กระบวนการได้ดำเนินไปตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า
ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของติ๊เฉินได้ยกระดับขึ้นถึง3000สุริยาและจะเพิ่มขึ้นอีกมากมายในอนาคต เธอเองอดที่จะมีความสุขไม่ได้
“จริงๆแล้วความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกมากมายกว่านี้ ถ้าเจ้ายอมฝึกฝนทวิบ่มเพาะกับเข้า”ชิงสุ่ยยิ้มออกมา ตอนนี้เขาพยายามลอกล่อเธอ
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะทำอะไร ไม่ต้องมายั่วข้า”ติ๊เฉินยิ้มและเคาะลงไปที่หัวของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยยิ้มและถูจมูกของเขาก่อนที่จับลงไปที่มือของเธอ “เอาละเราควรไปเยี่ยมท่านหญิงติ๊หวู่กันได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะนางเราคงไม่ได้พบกัน”
ในครั้งอดีตชิงสุ่ยนั้นเคยได้ช่วยติ๊หวู่ สือฉาเอาไว้ทำให้เขากลายเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลติ๊หวู่ จึงทำให้ตัวของชิงสุ่ยได้รับการเคารพอย่างมากในตระกูลติ๊หวู่ แม้แต่อาวุโสระดับสูงยังให้ความนอบน้อมต่อเขา
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของชิงสุ่ย และบุญคุณที่เขามี ชิงสุ่ยกลายเป็นตัวตันที่เป็นที่เคารพอย่างมากสำหรับตระกูลติ๊หวู่
นอกจากยังมีเรื่องที่ติ๊เฉินนั้นเป็นสาวกของนิกายบงกชเทวะ ซึ่งเป็นนิกายที่แข็งแกร่งอย่างมากในทวีปอู่เซียแห่งนี้ และนอกเหนือจากนั้นเธอยังเป็นสาวกศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่จะได้เป็นผู้นำคนใหม่อีกด้วย ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงให้การต้อนรับชิงสุ่ยและติ๊เฉินไม่ต่างกับติ๊หวู่ สือฉา
ในขนาดที่ชิงสุ่ยมาถึง พวกเขาได้จัดงานเลี้ยงรับลองและดูแลชิงสุ่ยและติ๊เฉินเป็นอย่างดี
“ตอนนี้พวกเจ้าวางแผนที่จะทำอย่างไรต่อไปรึ?”ติ๊หวู่ สือฉากล่าวออกมาและถามไปที่ชิงสุ่ย
“หลังจากปีหม่ข้าจะพาติ๊เฉินไปเยี่ยมนิกายบงกชเทวะ หาเป็นไปได้ข้าจะให้นางออกจากนิกายในตอนนั้น”ชิงสุ่ยยิ้มอย่างไม่สนใจอะไร
“เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมให้เธอ ออกจากนิกายเธอเป็นถึงว่าที่ผู้จำคนใหม่ เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะยอม” ท่านหญิงติ๊หวู่ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ว่ายังไงขอต้องพานางกลับมา ต่อให้ต้องใช้กำลังก็ตาม”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างมาสนใจ
“น้องเฉิน แล้วเจ้าเป็นว่ายังไงละ?”ท่านหญิงติ๊หวู่มองที่ติ๊เฉิน
“เขาใช้เวลาถึงแปดเดือนในการตามหาข้า เป็นข้าเองที่ได้ทิ้งเขามา แต่ในครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ข้าจะยืนเคียงข้าเขา แม้จะต้องตายก็ตาม”ติ๊เฉินยิ้มและกล่าว
ตอนนี้ติ๊หวู่ สือฉารู้สึกเหมือนจะร้องออกมา เธอคิดว่าพวกเขานั้นต้องบ้าอย่างแน่นอนที่คิดจะต่อต้านนิกายบงกชเทวะด้วยตัวเองเพียงลำพัง “ข้าควรจะทำอย่างไรดี ให้ข้าช่วยพวกท่านดีหรือไม่?”
“อย่าทำอะไรแบบนั้น ถึงแม้ชิงสุ่ยจะไม่มาหาข้า ข้าก็จะต้องจากนิกายอยู่ดี ไม่เหมือนท่าน ท่านเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้นำคนใหม่ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นโปรดอย่าทำอะไรที่เช่นนั้นเด็ดขาด”ติ๊เฉินรีบกล่าว
“ที่ข้ามีชีวิตอยู่ได้ในตอนนี้เพราะชิงสุ่ยช่วยข้าไว้ หากต้องปล่อยให้ผู้มีพระคุณไปตาย ข้าก็มิอาจจะทนดูได้ ” เธอกล่าวออกมา
“ท่านยังมีตระกูลที่ต้องดูแล โปรดเชื่อใจพวกเรา”ชิงสุ่ยยิ้มและพูด
“ไม่!”
“เด็กโง่เลิกสร้างปัญหาได้แล้ว ท่านไม่จำเป็นที่ต้องเป็นห่วงข้า หากข้าไม่สามารถจบเรื่องนี้ได้มันจะกระทบกับตระกูลของท่านโดยตรง ส่วนข้ากับเฉินเอ๋อนั้นสามารถหนีออกไปจากทวีปแห่งนี้ตลอดเวลา ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก?” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงจังคราวนี้
ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้หลังจากที่ได้ฟังชิงสุ่ยกล่าว แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ว่าใจที่จะปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กับนิกายบงกชด้วยกำลังของตัวเอง
นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังมีปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งคือนิกายปฐพีซ่อนเร้นหากติ๊เฉินออกมาจากนิกายบงกชเทวะแล้ว เธอนั้นก็จะไร้ซึ้งเกราะคุ้มกัน ดังนั้นมันเป็นเหตุผลที่ชิงสุ่ยต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นไปอีกในตอนนี้
บทที่ 1267 – จิตใจที่สงบ
ในตอนนี้ถึงแม้ชิงสุ่ยและติ๊เฉินจะไม่ต้องการอยู่ที่นี่ แต่ถึงอย่างไรท่านหญิงติ๊หวู่ก็พยายามรั้งพวกเขาไว้จนถึงเวลาค่ำ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจห้ามชิงสุ่ยไว้ได้ นั้นเพราะชิงสุ่ยต้องการกลับไปที่สำนักสวรรค์เร้นลับก่อนที่ปีใหม่จะมาถึง
เมื่อเห็นชิงสุ่ยที่ไม่เต็มอยู่สักเท่าไร ท่านหญิงจึงทำได้แค่ปล่อยพวกเขาไปและกล่าวเตืนให้ทั้งคู่ระวังตัวให้มาก
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาได้บอกลากัน ชิงสุ่ยได้อุ้มติ๊เฉินและเหาะขึ้นไปบนท้องพร้อมใช้ย่างก้าวเก้าเทวาออกเดินทางในทันที ในขณะนั้นชิงสุ่ยได้พุ่งทะยานผ่านก่อนเมฆอย่างบ้าคลั่ง ในพริบตา ย่างก้าวเก้าเทวาของเขาก็ถูกใช้ออกมาถึง20ครั้ง แม้แต่ติ๊เฉินเองก็อดประหลาดใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิด ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าพวกเขานั้นมาได้ไกลขนาดไหน แต่เธอสามารถคาดเดาได้ว่ามันเป็นระยะทางที่ไกลมาก
“ในอนาคตข้าจะพาเจ้าไปชมให้ทั่วทวีปทั้ง9 ด้วยความสามารถของข้าในตอนนี้อาจจะไม่เพียงพอแต่อย่างไรซะในอนาคตอีกไม่นาน ข้าจะทำมันให้ได้นอกจากนี้ในโลกใบนี้ยังมีสถานที่งดงามแอบซ่อนอยู่มากมาย สักวันหนึ่งข้าจะพาเจ้าไป” ชิงสุ่ยกำลังมองถึงอนาคตหากร้องเท้าเก้าเทวาของเขาสามารถยกระดับขึ้น มันจะทำให้เขาสามารถเดินทางไปในที่ไหนก็ได้ตราบเท่าที่เขาต้องการ
หลังจากใช้ย่างก้าวเก้าเทวาออกมาครบ20ครั้ง ชิงสุ่ยได้เรียกวิหคเพลิงออกมา ขนที่เปลี่ยนเป็นสีเพลิงดำดั่งหยกโบราณของมันสร้างความแปลกใจให้กับติ๊เฉินมากนัก “นี่เจ้าได้รับสัตว์อสูรตัวใหม่มาอีกแล้วรึ?”
“มิใช่เลย นี่วิหคเพลิงของข้า แต่หลังจากที่มันเติบโตขึ้นสีของมันก็ได้เปลี่ยนไป จริงๆเจ้าคิดว่าไงบ้างหากให้มันเป็นครองคู่กับ เจ้าเพลิงนภาของเจ้า?”ชิงสุ่ยกล่าวออกมาจะเอื้อมมือไปจับก้นของเธอ
“ก็ดีนะ แต่ก็อื่นใด เอามือออกจาก้นของข้าก่อนจะดีมั้ย เจ้าไม่ตั้งมาทำไขสือเช่นนี้?” ถึงอย่างไรเธอก็คุ้นเคยกับท่าทางของชิงสุ่ยเสียแล้ว
“นั้น เจ้าจงจูบข้าก่อน?”ชิงสุ่ยยิ้มและปิดตา
ใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาเธอนั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะทำเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะเปลี่ยนประเด็นในตอนนี้ไปทางอื่น
“เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรต่อ เมื่อออกจากนิกาย?”
“ถ้าเจ้าสามารถออกจากนิกายบงกชเทวะได้จริงๆ ข้าอยากให้เจ้าไปอยู่กับสำนักสวรรค์เร้นลับ และรวบรวมอำนาจทั้งหมดให้อยู่ในมือของเจ้า”
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นรึ?”เธอมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความงงงวย
“เดิมทีข้าจะให้องค์หญิงใหญ่แห่งจักรวรรดิอวี้ผู้มีพระคุณของข้า ขึ้นเป็นผู้นำ แต่นางนั้นยังขาดขุมอำนาจที่คอยสนับสนุน นอกจากนี้ มันจะเป็นการดีหากเจ้าคอยสนับสนุนนางอีกแรง หากเจ้าอยู่นั้นข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าทั้งสองสามารถขึ้นเป็นผู้นำของที่นั้นได้อย่างแน่นอน”
“โอ้ ดูเหมือนชิงสุ่ยของข้า ยังไม่เลิกนิสัยเก่าๆสินะ”ติ๊เฉินยิ้มและพูด
“ไม่ๆ ข้ากับนางไม่ได้มีอะไรกัน”ชิงสุ่ยรีบกล่าวออกมาอย่างร้อนรน
“ถึงเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน แต่เจ้าก็ยังเป็นคนที่โกหกไม่เก่งรู้มั้ย?”ติ๊เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าพูดจริงๆนะไม่มีอะไรระหว่างเราจริงๆ นี่เจ้าโกรธข้ารึ?”ชิงุส่ยกล่าวด้วยความร้อนรน
“มิใช่หรอก แต่ถึงอย่างไร ตั้งแต่ข้ามาที่นี่ข้าก็สามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนไปได้หลายอย่างของเจ้า นอกจากนางแล้วข้าก็สามารถคาดเดาได้อีกว่าเจ้านั้นยังมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นๆอีกหลายๆคนใช่หรือไม่?”เธอกล่าวด้วยร้อยยิ้มที่เจ้าเล่ห์
ชิงสุ่ยไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ความคิดของเธอนั้นก็ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบๆในตอนนี้ “ไม่ เชื่อข้าสินะ เพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่ข้าต้องการ เพียงแค่เจ้าข้าก็ไม่ต้องการใครอื่นแล้ว”ชิงสุ่ยรีบกล่าวออกมา
“เอาเถอะถึงอย่างไรซะข้าก็ยังรักเจ้าเหมือนเดิม ข้านั้นยอมรับเรื่องนี้ได้นานแล้ว จึงได้รับรักของเจ้าในวันนั้น”เธอยื่นมืออกมาและจับไปที่หน้าของเขา พร้อมกระพิบดวงตาที่สวบงามของเธอ
“เชื่อข้าเถอะ ข้ามีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นในตอนนี้ ข้าไม่ต้องการใครอีกแล้ว ตั้งแต่ในอดีต ความฝันของข้านั้นก็ต้องการมีเพียงแค่ภรรยาที่รักข้าแค่คนเดียว แต่ตอนนี้ ข้ามีเจ้าและคนอื่นๆ นี่ก็ดีมากพอในชีวิตของแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องมอหาใครอื่นอีก….”
ชิงสุ่ยมองไปที่เธอ และกระซิบเบาๆข้างหูของเธอ
ในตอนนี้ ชิงสุ่ยคิดจะบอกเรื่องดินแดนหยกให้กับเธอ แต่แล้วก็ตัดสินใจที่จะไม่บอก เนื่องจากเขาไม่สามารถพาใครเข้าไปในที่นั้นได้ในตอนนี้ ดังนั้นมันเป็นการดีที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับต่อไป นั้นเพื่อตัวเขาและตัวคนที่เขารัก
ในโลกนี้หากใครรู้เรื่องดินแดนหยกเขา พวกเขาคงจะออกตามล่าตัวของเขาคนที่เขารักอย่างแน่นอน ดินแดนหยกถือว่าเป็นสมบัติที่สวรรค์นั้นประทานลงมา มันนั้นเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง และมีรึที่จะไม่มีใครต้องการมัน
“จากนี้ไปเจ้าจะเป็นของข้าแค่คนเดียว และตลอดไป นอกจากนี้เจ้าจะเป็นแม่ของลูกข้าอีกด้วย”ชิ่งสุ่ยยิ้มและกล่าว
“นี่ เจ้าคนโง่”เธอเคาะลงไปที่หัวของเขา
“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่า พี่ลู่หยานอยู่ที่ภูเขาปู่โถว ทำไมเจ้าถึงไม่พานางไปที่สำนักสวรรค์เร้นลับละ?”
“ลู่หยานได้รับเลือกเป็นศิษย์ของเทือกภูเขาปู่โถวตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะเข้าไปยังสำนักสวรรค์เร้นลับ มันจึงเป็นการดีที่จะให้นางอยู่ที่นั้นก่อนในตอนแรก นอกจากนี้ข้ายังรู้สึกได้ว่าหากอยู่ที่นั้นถานท่าย หยวนจะสามารถปกป้องนางได้ ”
แสงตะวันได้ลับขอบฟ้าไปในตอนนี้
“ลงไปหาที่พักเถอะ แล้วค่อยเดนิทางต่อกัน”
ขณะที่ได้ยินคำพูดของเขา ติ๊เฉินเองแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้าให้กับเขา
ที่แห่งนี่เป็นพื้นที่ที่รกร้างว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งเป็นพื้นที่ว่างระหว่างเขตแดงจักรวรรดิ ที่กว้างใหญ่ไพรศาลอย่างมาก แต่ก็น่าเสียดายที่ดินแดนแห่งนี้นั้นแห้งแล้งกันดารอย่างมาก ไม่มีต้นหญ้าสักตันขึ้นในบริเวณแห่งนี้
…….
“หือ? ทำไมหน้าของเจ้าแดงแบบนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้าอย่างนั้นรึ?”มือชิงสุ่ยเอิ้อมจับลงไปที่ชายเสื้อของเธอ
“เจ้าเด็กโง่ เจ้านี่เก่งจริงในการกวนประสาทข้า !”ถึงแม้ปากจะกล่าวว่าเขา แต่เธอเองก็ไม่ได้ห้ามเขาเลย ในขณะที่ปล่อยให้มือของเขาสอดใสเข้าไปในชายเสื้อของเธอ ในตอนนี้เธอรู้สึกได้ว่ามือของเขานั้นไม่ต่างอะไรเลยกับปิศาจร้ายที่กำลังหื่นกระหาย
“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่ามนุษย์นั้นเป็นปิศาจร้าย นั้นเพราะพวกเขานั้นมีความรู้สึกนึกคิดและต้องการเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงไม้แปลกที่ข้านั้นจะเป็นเช่นนี้ หากปราศจากอารมณ์ข้าคงไม่ต่างอะไรกับขอนไม้ นอกจากนี้แม้การบ่มเพาะนั้นก็ไม่สามารถจำกัดความนึกคิดพวกนี้ได้ มีเพียงจิตใจของข้าเท่านั้นที่สามารถควบคุมมัน แต่ตอนนี้ข้าไม่สามารถควบคุมมันได้แล้ว ”
“ข้ารู้แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่สามารถให้เจ้าสอดมือเข้าไปต่ำกว่าสะโพกของข้าได้จริงๆ” ติ๊เฉินกล่าวขณะร้องเสียงหลองออกมา
“เพียงแค่ให้ข้าสัมผัสมันก็พอข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรมากกว่านั้น”ชิงสุ่ยกล่าวเบาๆขณะกระซิบข้างๆหูของเธอ
“พอแล้วไม่ต้องพูดอะไรอีก ถ้าเจ้ายังพูดมากอีกข้าจะตัดลิ้นเจ้า”ติ๊เฉินกล่าวมาขณะที่ เห็นท่าทางของชิงสุ่ย
“ถ้าเจ้าตัดลิ้นของข้าจริงๆ เจ้าจะต้องรู้สึกเสียดายไปไปตลอดชีวิตแน่ๆ ลิ้นของข้านั้นสามารถทำ…..”
“ไปตายซะ!”
ติ๊เฉินผลักชิงสุ่ยออกมาด้วยความอับอาย ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ในวันนั้นชิงสุ่ยได้จูบลงไปทุกๆส่วนบนร่างกายของเธอแต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้จูบลงไปที่จุดสงวนของเธอ
……….
ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นได้ขวนเธอให้พักกับเขา แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธไว้ มันทำให้เขาโมโหเล็กน้อยจึงได้กัดไปที่ต้นคอของเธอเบาๆและกลับไปที่พักของเขา
ในตอนนี้ ข้างในดินแดนหยก พืชในดินแดนแห่งนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างมาก พวกมันเป็นสิ่งของสำคัญที่จะใช้ในการปรุงยาของเขา ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจจำนวนปีของมันอีกต่อไป
ในตอนนี้เขานั้นก็สามารถสะสมน้ำทิพย์ฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตไว้เป็นจำนวนมาก จนเป็นบ่อเล็กๆที่ลึกเท่ากับฝ่ามือของคนเรา แต่ถึงอย่างไรบ่อนั้นก็มีรูปทรงที่เป็นทรงกรวย จึงสามารถบอกได้ว่าจำนวนข้างในนั้นไม่มากและไม่น้อยเกินไป
จากนั้นชิงสุ่ยช่วยยกระดับอาวุธกับติ๊เฉิน ถึงแม้มันจะไม่สามารถก้าวไปสู่ระดับตำนานแต่มันนั้นก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดี
……….
อีกสองวันๆปีใหม่ก็จะมาถึง ชิงสุ่ยและติ๊เฉินได้เดินทางมาถึงสำนับสวรรค์เร้นลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สายตาของจับจ้องไปที่อาคารที่สูงที่สุดที่แสนคุ้นเคย นั้นเพราะที่แห่งนั้นเป็นที่พักของสหายที่เขาคุ้นเคย
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้พาติ๊เฉินกลับไปที่พักของเข้า ขณะที่เปิดประตูเข้าไป ชิงสุ่ยก็พบองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้าในนั้น นอกจากนี้ยังผู้หญิงคนอื่นที่เขาคุ้นเคยอีกข้างๆเธอ
“ข้าดีใจด้วยในที่สุดเจ้าก็สามารถ ตามหาเธอจนเธอ”องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“สวัสดี ข้าอวี้ซูหนี่ พอดีข้าได้ยินข่าวว่า พวกเจ้าจะกลับมา ข้าเลยได้ออกมารอพวกเจ้าทั้งสองที่นี่ เจ้าช่างงามดังที่ชิงสุ่ยกล่าวไว้จริงๆ เจ้าช่างงดงามกว่าผู้หญิงคนใดที่ข้าเคยพบมาทั้งสิ้น”องค์หญิงใหญ่กล่าวขณะมองไปที่ติ๊เฉิน
“สวัสดี ข้าติ๊เฉิน พวกเรานั้นก็ไม่ต่างกับสหายกัน ไม่ต้องยกยอข้าขนาดนั้นก็ได้ นอกจากนี้เจ้าเองก็มีความงามไม่ด้อยไปกว่าข้าเลยด้วยซ้ำ เจ้าเองก็งดงามมากๆเหมือนกัน”ติ๊เฉินกล่าวออกมาขณะมองไปที่เธอ
“จริงๆแล้ว เราเคยพบกับครั้งหนึ่งที่จักรวรรดิเดชสวรรค์ เมื่อสามปีก่อน ที่จริงตอนนั้นก็อยากทำความรู้จักท่านเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่มีโอกาส”
“ข้าเองก็จำได้ ในเมื่อครั้งนี้มีโอกาส ทำไมเราไม่มาเป็นพี่น้องกันละ?”ติ๊เฉินกล่าวออกมา เธอนั้นรู้ดีว่าสักหนึ่งผุ้หญิงคนนี้ต้องกลายมาเป็นคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายชิงสุ่ย ดังนั้นเธอจึงไปไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
“ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ก็ดีมาก พี่ติ๊เฉิน!”
ชิงสุ่ยเองก็มีความสุขอย่างมาก ถึงไม่รู้ว่าติ๊เฉินกำลังวางแผนอะไรอยู่ ก็ตาม
ในตอนนั้นเองชิงซาก็ได้เดินเข้ามาใกล้ๆเขาพร้อมกับองค์หญิงเจ็ด
“ท่านพ่อ”
เธอไม่สามารถทนรอได้อีก พร้อมกระโจนเข้าหาชิงสุ่ยและกอดเขาอย่างมความสุข
เมื่อเห็นภาพดังกล่าวติ๊เฉินก็งงงวยขึ้นมา “เมื่อไหร่กันที่เขามีลูกที่โตขนาดนี้แล้ว? ไม่ใช่ชิงหยินหรอกรึ ที่เป็นลูกคนแรกของเขา”
ในตอนนั้นเอง เหยียน จินอวี้และองค์หญิงเจ็ดได้มองไปที่สาวงามที่ไม่สามารถเทียบได้ เธอนั้นงดงามอย่างมาก แม้แต่องค์หญิงใหญ่นั้นยังดูด้อยไปเลยเมื่อเทียบกับเธอ ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมชิงสุ่ยนั้นถึงรักเธอเป็นอย่างมาก
บทที่ 1268 – ความเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ
“มาเถอะ ข้าจะแนะนำนี่คือภรรยาของข้า ติ๊เฉิน ส่วนนี่คือลูกบุญธรรมของข้า นางชื่อชิงซา!” ชิงสุ่ยยิ้มและจับมือของชิงซา ขณะที่เขาพาเธอเดินไปทางติ๊เฉิน
“ท่านพ่อ นี่คือ หญิงในภาพที่ท่านตามหาอย่างนั้นรึ? ” ชิงซาถามขณะที่มองไปที่ติ๊เฉิน
ในขณะนี้เธอยิ้มออกมา รอยยิ้มของเธอนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก นอกจากชิงสุ่ยแล้ว ไม่มีใครที่เคนเห็นมัน
ในขณะนั้นชิงสุ่ยส่งมือของเธอให้กับติ๊เฉิน”สวัสดี ชิงซา ข้าคือติ๊เฉิน ยินดีที่ได้รู้จักนะ หากเจ้ามีสิ่งขาดเหลืออะไร หรือเรื่องอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วย เจ้าสามารถบอกข้าได้ตลอกเวลา”
“ข้าขอบคุณมากๆท่านหญิง ท่านใจดีจริงๆ นอกจากนี้ท่านยังงดงามมากๆ ข้าเขาใจแล้วทำไมท่านพ่อถึงได้ไม่ยอมปล่อยท่านไป” ชิงซากล่าวและยิ้มออกมา
“เอาล่ะเข้าไปข้างในกันเถอะ วันนี้ข้าจะเป็นเจ้ามือเอง” ชิงสุ่ยยิ้มและบอกให้ทุกๆคนเข้ามา
“เยี่ยมยอด วันนี้เจ้าจะต้องเป็นทำอาหารเลี้ยงพวกเรานะ”
…
ในตอนนั้นติ๊เฉินต้องการที่จะช่วยเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธเอาไว้ เขาบอกให้เธอนั้นไปคุยกับคนอื่นๆ และบอกว่าเขาจะเป็นทำมันเองทั้งหมด
“สถาบันสวรรค์เร้นลับ เป็นยังไงบ้างตอนที่ข้าไม่อยู่?”
“ดูเหมือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆมากนัก ในช่วงนี้ ” องค์หญิง ยิ้มและพูดว่า
“แล้วมีอะไรบ้างละที่เปลี่ยนไป?” ชิงสุ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ตอนนี้อำนาจของกลุ่มบุตรแห่งสวรรค์ได้พังทลายลงไป ส่วนนิกายนิกายโลกานฤเบศนั้นก็ถูกดูแลด้วยเทียน เจียงเซียน แต่ส่วนมากจะเป็นเทียน เจียงที่ดูแลเรื่องต่างๆ” องค์หญิงใหญ่กล่าวกับชิงสุ่ย
“แล้วพาไลหิมะหวนเป็นไงบ้าง?” ชิงสุ่ยมองไปที่องค์หญิงใหญ่และถาม
“พาไลหิมะหวน ในตอนนี้แข็งแกร่งอย่างมาก มีคนกว่าสามพันคนที่ร่วมกับเรา นอกจากนี้พวกเขายังเป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่ง และเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก”เมื่อพูดถึง พาไลหิมะหวนดูองค์หญิงใหญ่จะมีความสุขอย่างมาก
“อืม ตอนนี้ดูเหมือนว่าการบ่มเพาะของเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นช้ามากนะ แล้วตอนนี้เฉินเอ๋อก็ต้องการออกจากนิกายบงกชเทวะ จะเป็นไรมั้ยหากข้าให้นางเข้าร่วมกับท่าน?” ชิงสุ่ยยิ้มและพูด
“เจ้าคนโง่ ข้าจะปฏิเสธได้ไงถ้าพี่เฉินต้องการเข้าร่วมกับพาไลหิมะหวน” องค์หญิงใหญ่กล่าวออกมา
“แต่ชิงสุ่ย เจ้ายังจำสิ่งที่ ข้าเคยบอกเจ้าไว้ในอดีตได้รึไม่ ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้” องค์หญิงใหญ่กล่าวออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ตอนนี้เองชิงสุ่ยเริ่มตระหนักว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและองค์หญิงใหญ่กลับไปเป็นเหมือนเดิมในอดีต มัน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก “ทำไมหัวใจของผู้หญิง ถึงได้เปลี่ยนไปได้รวดเร็วเช่นนี้ นางหึงอย่างนั้นรึ?…”
ความไว้วางใจอย่างนั้นรึ?
ชิงสุ่ยรู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่คงเข้าใจผิดที่เขาพาติ๊เฉินเข้าร่วมกับพาไลหิมะหวน ชิงสุ่ยตบหัวตัวเองเบา “นี่ข้าทำอะไรลงไป ตอนนี้เจ้าคงคิดว่า ข้าพาติ๊เฉินมาแทนที่เจ้าสินะ”
“ข้า ขอโทษจริงๆ ข้าไม่ได้มีเจตนาดังกล่าว”
ตอนนี้องค์หญิงใหญ่รู้แล้วว่าชิงสุ่ยไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น อย่างไรก็ตามเธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกเสียใจเช่นนี้ ราวกับหัวใจที่แตกสลาย เธอเริ่มตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวตนของชิงสุ่ยได้เข้ามาอยู่ในหัวใจของเธอแล้ว
“ไม่ต้องขอโทษนะ เป็นข้าเองที่ใจแคบไป” องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจและกล่าวว่า
เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงถอนหายใจ แต่มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าเธอกำลังแย่มากๆ
“เจ้าไม่ได้ใจแคบ และข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่มีความคิดแบบนั้นอีก ข้าไม่ได้ยกกองทัพของเราให้กับใครมันยังคงเป็นของเราเสมอ เพียงแค่ข้างหวังว่าวันใดที่ข้าไม่อยู่ช่วยเจ้าจะมีคนที่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ ” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง ขณะมองไปรอบๆ
“หยุด เจ้าไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว” องค์หญิงใหญ่กล่าวออกมา
ติ๊เฉินที่นั่งอยู่ด้านข้างและมองไปทีชิงสุ่ย ขณะที่เธอยิ้ม แต่เธอไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่กลับด่าเขาในใจว่า เขา “เจ้าช่างเป็นคนโง่จริงๆ”
ชิงสุ่ยรู้สึกอึดอัดอย่างมาก จากการสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่างทั้งคู่
ไม่ใช่ว่าคำพูดก่อนหน้าของชิงสุ่ยเป็นคำโกหกทั้งหมด บางครั้งมันก็ยังสำคัญอย่างมากที่จะต้องพูดถึงสิ่งเหล่านั้นแม้จะต้องโกหกก็ตาม บางครั้งการโกหกก็จำเป็นต่อคนเรา
ในตอนนี้ข้างๆกายเขาเต็มไปด้วยสาวงามที่ไม่มีใครอาจเทียบได้ นอกจากนี้ยังมีสองคนที่เป็นหญิงงามล้มเมือง และ หนึ่งในนั้นมีกลิ่นอายที่สดใสดังท้องฟ้าราวกับว่าเธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลก แต่มาจากฟ้าสวรรค์
ทุกครั้งที่เขาอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่ามันไม่สมจริงอย่างมาก ผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างๆเขาคือหญิงงามในรอบพันปีจะมีสักคน ในอดีตเขายังคงกังวลว่าจะไม่สามารถหาคู่ชีวิตได้ เนื่องจากร่างกายที่อ่อนแอของตน เมื่อมองกลับไปชีวิตของเขานั้นมาไกลอย่างมากในตลอดหลายปีมานี้
“แล้วเจ้าจะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปที่องค์หญิงใหญ่
“ข้าไม่มีความสัมพันธ์กับเจ้าเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้มันก็ไม่มีสำคัญอะไรกับเจ้า มันสำคัญด้วยรึที่ข้าจะให้อภัยหรือไม่ให้ก็ตาม?” องค์หญิงใหญ่ ยิ้มและพูดว่า
ชิงสุ่ย จับมือเธอและกระพริบตาอย่างไร้เดียงสาขณะที่เขามองไปที่ องค์หญิงใหญ่ ด้วยการจ้องมองที่เธอจะเข้าใจเท่านั้น ในตอนนี้ไม่มีใครกล้ามองสิ่งที่เกิดระหว่างทั้งสอง
“รู้มั้ยเฉินเอ๋อใจดีกับข้ามากๆ มากจนเจ้าไม่รู้หรอก ข้าถามหน่อยสิ เจ้าจะยอมเป็นภรรยาของข้าได้รึไม่ ข้าไม่สามารถทนดูเจ้าอยู่ในอ้อมแขนของชายอื่นได้” ชิงสุ่ย ยิ้มและคว้ามือขององค์หญิงใหญ่เอาไว้
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป แม้ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไปข้าจะไม่แต่งงานกับชายใด นอกจากนี้เจ้าคิดจริงๆรึ ว่าผู้หญิงทุกๆคนนั้นชอบผู้ชายที่แข็งแกร่ง”
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่ข้ากำลังหมายถึงว่าหากมีคนต้องการที่จะฆ่าข้าและต้องการที่จะตัดแขนของข้า เจ้าจะยอมมันได้หรือ?”
องค์หญิงใหญ่ “… “
เป็นตามที่เขาพูดเธอไม่สามารถยอมรับมันได้หากใครต้องการที่จะทำร้ายเขา แต่ถึงอย่างไร แต่สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นก็เป็นเรื่องเกินจริงเสียทั้งหมด เธอได้แต่มองไปที่ชายหนุ่มที่รูปหล่อและจริงจัง แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
…
“พวกเจ้าสองคนคุยกันก่อนแล้วกัน ข้าขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา” ชิงสุ่ยกล่าวกับติ๊เฉินและองค์หญิงใหญ่
หญิงสาวทั้งสองพยักหน้าให้เขา พวกเธอทั้งสองนั้นรู้ดีว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นคนยังไง เขานั้นมีผู้หญิงมากมายรอบๆตัวของเขา แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้จะรู้มันแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่ได้คิดถึงสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่พวกเธอไม่คาดหวังว่าจะเป็นเช่นนี้
ในตอนนี้ ชิงสุ่ยได้เดินทางไปที่สำนักสวรรค์เร้นลับ เข้าไปในอาคารขนาด เมื่อไปถึงข้างหน้าของเขามี ชายชราที่สวมชุดมังกรทองและชายชราที่สวมชุดสิงโตสีม่วง พวกเขาดูเป็นร่าเริงและมีความสุขอย่างมาก ในตอนนี้พวกเขากำลังดื่มชา และเล่นหมากรุกอยู่ หลังจากที่เห็นชิงสุ่ย พวกเขาหันมายิ้ม และทักทายเขาอย่างมีความสุข
ชายชราคนหนึ่งเก็บชุดหมากรุกลงมา และเทชาลงในถ้วยให้กับชิงสุ่ย ที่พึ่งมาถึง
“ท่านลองดูชาของข้าดูหน่อยมั้ย ไม่รู้ว่ามันจะรถชาติดีรึไม่ ?”
ชิงสุ่ยหยิบใบชาออกมา และหยิบขวดที่บรรจุน้ำทะเลสาบในดินแดนหยกออกมา ถึงแม้จะเป็นน้ำจากทะเลสาบ แต่มันกลับริสุทธ์ดังน้ำแร่จากภูเขา เมื่อชิงสุ่ยนั้นได้พบเรื่องนี้เข้า เขาจึงได้ใช้น้ำจากที่แห่งนี้ตลอด
แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่มีความสามารถในการชงชามากนัก แต่ด้วยวัตถุดิบชั้นยอดทำให้เขาสามารถทำชาที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ ในขณะนี้ชายชราทั้งสองคนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในชาของชิงสุ่ย เมื่อพวกเขาดื่มมันลงไปมันทำให้พวกเขานั้นสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าอย่างมา
ถึงแม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ใช่ปรมาจารย์ในการชงชา แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถบอกได้ว่าชานั้นมีรสชาดีหรือไม่ดี
ชายชราทั้งสองคนนี้มีอายุที่ยื่นยาวมากนานแล้ว นอกจากนี้พวกเขานั้นยังชงชาดื่มอย่างนี้ในทุกๆวัน ด้วยประการที่พวกเขามีอาจกล่าวได้ว่าทั้งคู่นั้นเป็นปรมาจารย์ในการชงชาอย่างแท้จริง
“หญิงสาวคนนั้นมีกลิ่นอาจที่คล้ายกับคนของนิกายบงกชเทวะอย่างมาก” ชายชราที่สวมชุดคลุมมังกรทองกล่าวขณะที่มองไปที่ชิงสุ่ยและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่นางเป็นสาวกศักดิ์สิทธิ์ของนิกายบงกชเทวะ และยังเป็นภรรยาของข้า หลังจากปีใหม่ข้าจะพาเธอไปนิกายบงกชเทวะ และจัดการเกี่ยวกับกฎระเบียบเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระที่ห้ามคนในนิกายแต่งงาน สักหน่อย” ชิงสุ่ยพูดติดตลกออกมา
“ฮ่าๆ หญิงชราคนนั้นคงเป็นบ้าแน่ ๆ หากนางต้องต่อต่อสู้กับเจ้า” ชายชราที่สวมชุดคลุมมังกรทองตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาและพูด
“โอ้ นี่ท่านรู้จักคนในนิกายบงกชเทวะรึ?”
“แน่นอนว่าข้าต้องรู้จักนาง ตอนสมัยนางสาวๆนางเคยโดนผู้ชายคนหนึ่งหักอก จึงทำให้เธอเกลียดผู้ชายอย่างมาก เธอจึงได้ตามล่าเขาและจัดการเขาในท้ายที่สุด และหลังจากเหตุการณ์นั้นนางก็กลายเป็นบ้าและไม่ไว้วางใจผู้ชายอีกต่อไป”
บทที่ 1269 – เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรวมมหาทวีปอูเซียตะวันตกให้เป็นปึกแผ่น
ชิงสุ่ยค่อนข้างหงุดหงิด เขาไม่คาดคิดว่าการคาดเดาเขาจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าเธอจะถูกชายหักอก เธอจึงส่งมอบประเพณีอันแสนโหดร้ายให้กับนิกายบงกชเทวะ
แต่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าเธอได้เข้าร่วมนิกายบงกชเทวะก่อนหน้าหรือหลังจากที่เธอโดนหักอก ชิงสุ่ยยิ้มและหันไปมองผู้อาวุโสทั้งสองคน “ความแข็งแกร่งของผู้นำนิกายบงกชเทวะนั้นมีมากเท่าไหร่กัน?”
เนื่องจากชายชราทั้งสองคน บอกเขาว่ามันมีแนวโน้มที่ผู้นำนิกายจะเดินทางมาเพื่อต่อสู้กับเขาเอง อย่างน้อยการได้ประเมินความสามารถของเธอ เขาจะได้ไม่รู้สึกประหลาดใจมากนักเมื่อต้องเผชิญหน้า
“นางไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายบงกชเทวะ แต่ก็เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งไม่กี่คนและยังมีพลังมากถึง 6000 สุริยา หรืออาจมากกว่านั้นเล็กน้อย”ชายชราสวมเสื้อคลุมมังกรทองจ้องมองชิงสุ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม
“โอ้? ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เรื่องมันก็คงจะง่าย”ชิงสุ่ยเผยรอยยิ้มขณะตอบกลับ
ผู้อาวุโสทั้งสองคนถึงกับตกตะลึง ความแข็งแกร่งของชิงสุ่ยเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจมองเห็น แต่พวกเขารู้ดีว่าชายคนนี้ไม่ได้โป้ปด
“ภายใต้นิกายบงกชเทวะ ยังคงมีสภาผู้อาวุโสบงกชเทวะ ซึ่งแฝงตัวไปด้วยสัตว์ประหลาด 1 ถึง 2 คน ที่มีพละกำลังสูงส่งมากถึง 7000 ถึง 8000 สุริยา คนเหล่านี้จะไม่ปรากฏตัวเว้นเสียแต่นิกายบงกชเทวะจะเข้าสู่ภาวะคับขันที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย”ชายชรากล่าวเตือน
ชิงสุ่ยไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดใจว่าทำไมชายชราถึงรู้เรื่องเหล่านี้ เขาเองก็คาดเดาว่านิกายบงกชเทวะก็รับรู้ถึงสถานการณ์ภายใต้ สํานักสวรรค์เร้นลับเช่นกัน
“ขอบคุณทุกท่านมากที่บอกข้าให้รับรู้เรื่องเหล่านี้”
ชายชราโบกมือ “อย่าได้มากพิธีกับพวกเราเลย พวกเราคือครอบครัว และพวกเราก็รู้ดีว่าความสำเร็จในอนาคตของเจ้านั้นย่อมไปไกลกว่าสํานักสวรรค์เร้นลับแห่งนี้เป็นแน่ แต่พวกเราคาดหวังเพียงแค่ว่าเจ้าจะนำพาสำนักสวรรค์เร้นลับของเราไปสู่ที่ที่สูงกว่าที่พวกเรายืนอยู่ได้”
“พวกท่านอย่าได้เป็นกังวล ข้าได้ให้คำสัญญาแล้วว่าข้าจะนำพาชื่อเสียงของสำนักสวรรค์เร้นลับออกไปแพร่กระจายให้ทั่วทั้ง 9 มหาทวีป ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของสำนักสวรรค์เร้นลับ”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง
“เอาล่ะ ส่วนเรื่องของซูหนี่ ความสามารถของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฟู่ เหยียนเทียนและคนอื่นอื่นๆเลย พวกเราไม่อาจพูดอะไรได้มากนัก ถ้าหากซูหนี่สามารถแบกรับหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ได้ จะได้ถอนตำแหน่งออกไปเข้าร่วมกับสมาคมผู้อาวุโสเสียที”ชายชราที่สวมเสื้อคลุมมังกรทองยิ้มและกล่าว
“พวกท่านจะได้รีบร้อน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นซูหนี่จะต้องเป็นผู้ครอบครองสำนักสวรรค์เร้นลับ และข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
ชายชราทั้งสองคนย่อมต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์มากและรู้ว่าพวกเขาควรทำอะไร สถาบันสวรรค์เร้นลับจะต้องก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นเมื่ออยู่ในมือของซูหนี่ แต่ถ้าหากความคิดของชายชราไม่ผิดพลาด ชิงสุ่ยและซูหนี่จะต้องตบแต่งเป็นสามีภรรยากันอย่างแน่นอน
“พวกท่าน ข้าสงสัยว่าถ้าหากจะรวมกลุ่มคนจากมหาทวีปอูเซียตะวันตกเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวพอจะมีทางเป็นไปได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยสงสัย มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาจำเป็นจะต้องดำเนินการ
“มันก็เป็นไปได้ แน่นอนว่า ถ้าหากเจ้าคาดหวังที่จะสร้างที่เพื่อยืนอยู่เหนือ 3 มหาทวีป เจ้าก็ต้องต่อต้านคนพวกนั้น นี่ยิ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการรวมตัวมหาทวีปอูเซียเป็นปึกแผ่น เพื่อเป็นแกนกำลังสำคัญ”ชายชราที่สวมเสื้อคลุมมังกรทองคิดเล็กน้อยก่อนจากกล่าวออกมา
หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ชายชรากล่าว ความคิดก็กระโจนเข้าสู่สมองของชิงสุ่ย เขาต้องการที่จะรวมมหาทวีปอูเซียตะวันตกเป็นปึกแผ่น ขั้นตอนแรกเขาจะต้องรวมครึ่งมหาทวีปให้เป็นหนึ่งก่อน นั่นก็หมายถึงสํานักสวรรค์เร้นลับ เทือกเขาปู๋โถวแห่งทะเลใต้ นิกายบงกชเทวะ จักรวรรดิเดชสวรรค์และจักรวรรดิระดับ 4 แห่งอื่นๆ
สำหรับสำนักสวรรค์เร้นลับเขาสามารถกระทำมันได้โดยง่ายและรวดเร็ว สำหรับเทือกเขาปู๋โถวแห่งทะเลใต้? เขามีถานท่ายหยวนและอวี้ลู่หยานพำนักอยู่ที่นั่น โดยเฉพาะถานท่ายหยวนที่เป็นถึงศิษย์เอกของหัวหน้าผู้อาวุโส จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเธอได้กลายเป็นผู้สืบทอดของเทือกเขาปู๋โถว
สำหรับนิกายบงกชเทวะ ดูเหมือนจะไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่ เขาควรจะผลักดันติ๊เฉิน หรือเขาควรจะผลักดัน ติ๊หวู่ สือฉา? และเรื่องของจักรวรรดิเดชสวรรค์ ดูเหมือนเขาจะรู้จักเพียงแค่ ฟู่ ร่ง
เมื่อคิดไปคิดมาแล้วชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าการรวมมหาทวีปอูเซียตะวันตกไม่ใช่เรื่องที่ง่ายอย่างที่คิด แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะทำเรื่องนี้กับเทือกเขาปู๋โถวแห่งทะเลใต้ ถานท่ายหยวนก็อาจไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา
ชิงสุ่ยใช้เวลาคิดอย่างยาวนานและตัดสินใจที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆที่กำลังจะตามมา เมื่อจัดเรียงความคิดจนเสร็จสิ้น เขาก็สงบสติอารมณ์ลง
ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างอิทธิพลภายในสำนักสวรรค์เร้นลับ เขาจะต้องมัดรวมมันเป็นกลุ่มก้อน และผู้อาวุโสทั้งสองก็จะเป็นคนช่วยเหลือเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ชิงสุ่ยก็เงยหน้ามองดูชายชราทั้งสองคน เมื่อไม่นานมานี้เขาได้รับรู้ว่าชายชราทั้งสองคนหรืออายุขัยไม่มากแล้ว เขาจะต้องมองหาใครสักคนมาเข้ารับตำแหน่งภายในสํานักสวรรค์เร้นลับในเร็ววันนี้
แม้ว่าชายชราทั้งสองคนแต่ยังไม่ถึงขีดสุดของอายุไข แต่สำหรับผู้ฝึกตน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะสามารถยืนยงคงกระพันได้จนครบอายุไข
ผู้ฝึกตนจำนวนมากมายย่อมต้องได้รับบาดเจ็บจากการฝึกฝน อาการบาดเจ็บหลายๆอย่างย่อมต้องไม่สามารถรักษาได้อย่างสมบูรณ์จึงทำให้ผู้ฝึกตนเหล่านั้นมีอายุได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของอายุขัยที่แท้จริง
ซึ่งสำหรับชายชราทั้งสองคนนี้ก็ไม่ต่างกัน พวกเขาคงจะมีอายุยืนอยู่ได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของอายุขัย ช่างน่าเสียดายที่ร่างกายของพวกเขานั้นมิได้รับการชำระล้าง และอาการบาดเจ็บที่ซุกซ่อนอยู่ภายในร่างกายได้สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว สิ่งเหล่านี้กำลังรอวันปะทุเปรียบดังระเบิดเวลา
เมื่อระเบิดเวลาได้ถูกจุดชนวน ก็ย่อมไม่มีทางที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้อีกเว้นเสียแต่ พวกเขาจะได้รับขุมทรัพย์อันทรงพลังที่จะสามารถชำระล้างร่างกายของพวกเขา สิ่งเหล่านี้จะทำให้อายุไขเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าในอนาคตเขายังจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากชายชราทั้งสอง องค์หญิงใหญ่เองก็ต้องใช้เวลาเพื่อที่ทำให้เธอขึ้นครองราชสมบัติ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องช่วยยืดอายุไขของชายชราทั้งสองคน
“อืม ชานี้รสชาติดียิ่ง ข้าคิดว่าการดื่มชาจะสามารถช่วยเพิ่มอายุขัยของข้าได้”ชายชราในชุดมังกรทองมองชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้องแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเพิ่มอายุไขให้กับตนเอง เหตุผลที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อที่ช่วยเพิ่มอายุไขให้กับพวกท่านทั้งสอง”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
“เพิ่มอายุไขให้กับพวกเรา?”
“ถ้าหากข้าพิจารณาไม่ผิดพลาด ดูเหมือนอายุไขของพวกท่านทั้งสองจะเหลืออยู่ไม่มากแล้ว และการที่พวกท่านพยายามต่างๆนานา นั่นเป็นเหตุผลเดียวก็คือพวกท่านกำลังมองหาใครสักคนหนึ่งเพื่อเป็นตัวแทนเข้าไปควบคุมดูแลสำนักสวรรค์เร้นลับ”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสงบ
“เห้อ ก่อนหน้าที่เจ้าจะปรากฏตัว พวกเราได้ลงทุนลงแรงเพื่อฟูมฟักเลี้ยงดู ฟู่ เหยียนเทียน พวกเราหวังว่าพวกเราจะมีอายุขัยยืนยาวมากขึ้นอีกสัก 2-3 ปี แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะฟูมฟักฟู่ เหยียนเทียนให้ทันเวลา เอาจริงๆแล้ว แม้จะเป็นเจ้าก็ตาม พวกเราเองก็รู้สึกว่าเวลาของพวกเรานั้นมีไม่มากพอ แม้ว่าสำนักสวรรค์เร้นลับจะมีชื่อเสียงอย่างมาก แต่ภายในของมันกลับเต็มไปด้วยปัญหา” ชายชราทั้งสองกล่าว
“แล้วทำไมพวกท่านถึงไม่ส่งต่อมันให้กับคนรุ่นก่อนหน้าฟู่ เหยียนเทียนล่ะ?”ชิงสุ่ยถามด้วยความงุนงง
“มันเป็นเพราะพรสวรรค์ ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้าก็เป็นหนึ่งในคนที่หาจับตัวได้ยาก มันจะเป็นเรื่องยากที่จะตามหาคนเหล่านั้น แม้ว่าสาวกของคนรุ่นก่อนหน้าฟู่ เหยียนเทียนจะไม่แย่นัก แต่พวกเขาก็เลือกที่จะซ่อนตัวและไม่เข้าร่วมกับใคร ซึ่งต่างจากคนรุ่นฟู่ เหยียนเทียน”ชายชรากล่าวอย่างช่วยไม่ได้
ชิงสุ่ยคิดวิเคราะห์และเห็นด้วย จริงๆแล้วคนรุ่นก่อนๆก็ไม่ได้มีความสามารถเท่ากับฟู่ เหยียนเทียนเลย แม้กระทั่ง เทียน เจียนเซียนเองก็ยังคงด้อยกว่าเขาเล็กน้อย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จึงได้มีอิทธิพลมากมายเหลือคณา
“จะเรื่องอะไรก็ช่าง แต่มันคงไม่มีปัญหาสำหรับข้า ที่จะเพิ่มพูนอายุขัยให้กับพวกท่านสัก 100 ปี”
คำพูดของชิงสุ่ยทำให้ทั้งสองถึงกับตกตะลึง การเพิ่มพูนอายุ 100 ปี ความมั่นใจนี้มันคืออะไร!!! มันเปรียบเสมือนการพยายามฉกฉวยชีวิตให้ยืนยาวมากขึ้นทั้งที่สวรรค์ได้บัญญัติ แม้แต่ 3 ถึง 5 ปียังเป็นเรื่องยาก แล้วสำหรับ 100 ปี มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
หลังจากกล่าวจบ ชิงสุ่ยก็หยิบขวดยากระเบื้อง 2 ขวดออกมาและส่งมาให้กับชายชราทั้งสอง และเขายังนำเอาเหล้าบ๋วยออกมาเช่นกัน
เมื่อชายชราทั้งสองคนเห็นฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต สีหน้าของพวกเขาก็ต้องแปรเปลี่ยนไป หลังจากนั้นพวกเขาก็หันไปมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่ไม่อาจเชื่อได้ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไร “ข้าเจอฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตโดยบังเอิญ และมันก็มีไม่มากนัก และข้าก็ไม่อาจมอบมันให้ใครนอกเหนือพวกท่านทั้งสองได้”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“นี่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นพบสิ่งของเหล่านี้ในโลกความจริง ชิงสุ่ย ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก”
มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับชายชราทั้งสองคนที่จะไม่รู้ว่าสิ่งของในมือคืออะไร ฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าเกินกว่าจะกำหนดเป็นตัวเงิน มันสามารถค้นพบได้เฉพาะในสถานที่ที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณจิตแห่งสวรรค์และโลก
หากไม่ได้รับความยินยอมจากชิงสุ่ย สัตว์อสูรที่อยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะก็ไม่กล้าที่จะแตะต้องฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตแม้แต่ปลายนิ้ว
“ชิงสุ่ย สิ่งนี้คือสิ่งของที่นำค่าอย่างมาก ถ้าจะใช้มันกับพวกเรา มันอาจจะเสียของ”ชายชราเสื้อคลุมมังกรทองมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่ลังเล
“แม้ว่าข้าเองจะมีไม่มากนัก แต่ข้าก็มีมากพอหลายสิบหยด และพอที่จะแบ่งปันให้กับทุกท่าน”ชิงสุ่ยยิ้มและตอบกลับ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชราทั้งสองคนก็ไม่ยืนกรานปฏิเสธ พวกเขายิ้มและหยิบมันมา ภาพเบื้องหน้าคือภาพที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในตัวชิงสุ่ย ชายหนุ่มคนนี้ช่วยเขาโดยไม่ได้ร้องขออะไรเลย
“มาเถิด มาลิ้มรสเหล้าที่ข้าบ่ม พวกท่านจะไม่มีวันได้ลิ้มรสเหล่านี้จากที่ใดมาก่อนอย่างแน่นอน”ชิงสุ่ยเปิดเหล้าบ๊วยของเขาทันที
เหล้าบ๊วยงั้นไม่สามารถเพิ่มพูนอายุไขได้โดยตรง แต่มันอาจจะช่วยยืดอายุขัยได้หลังจากที่ชายชราทั้งสองได้ดื่มมันอย่างต่อเนื่องเพราะมันจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกในร่างกายบางส่วน คำกล่าวของชิงสุ่ยที่จะช่วยเพิ่มอายุไขอย่างน้อย 100 ปีนั้นเป็นเรื่องจริง และถ้าหากผนวกมันเข้ากับเหล้าบ๊วย ผลลัพธ์ที่ได้อาจเพิ่มพูนมากกว่านั้น
“กลิ่นหอมนี่มัน ดูเหมือนเหล้านี้จะมีอายุหลายพันปี ข้าคิดว่านี่จะต้องเป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกับเหล้าระดับศักดิ์สิทธิ์….”ชายชรามองไปที่ของเหลวโปร่งแสงด้วยความประหลาดใจ มันเหมือนน้ำทิพย์จากสวรรค์ อีกทั้งกลิ่นหอมของมันยังฟุ้งกระจายจนอวัยวะภายในต่างตื่นตัวเมื่อได้รับกลิ่น
ช่างน่าประหลาดจริงๆ
เหล้าไหนี้สมควรที่จะได้รับคำกล่าวว่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์
ชิงสุ่ยเทเหล้าลงถ้วยและส่งให้กับทั้งสองคน “มาเถิด ลองลิ้มรสเหล้าพวกนี้ดู มันจะช่วยยืดอายุขัยให้กับพวกท่านได้อีกเล็กน้อย”
ชายชราทั้งสองคนสัมผัสข้องกับความแปลกประหลาดในตัวของชิงสุ่ย มันเป็นด้านที่พวกเขารู้สึกไม่คุ้นเคย อาจเป็นเพราะชิงสุ่ยเป็นคนกล่าวเรื่องเหล่านั้นออกมาเอง ตั้งแต่ที่เขากล่าวว่าเหล้าเหล่านี้คือสิ่งที่เขาบ่ม แต่มันอาจมีความหมายว่ามันได้ถูกส่งผ่านโดยบรรพบุรุษของเขา แต่เขาบอกว่านี่เป็นสูตรเฉพาะของเขาเอง และเมื่อตัดสินจากอายุของเหล้าบ๊วยแล้ว มันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเป็นคนต้มและบ่มเหล้าด้วยตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม ชายชราทั้งสองคนกลับรู้สึกว่าเหล้าที่พวกเขากำลังจะดื่มมันคือเหล้าที่ชิงสุ่ยเป็นคนต้มจริงๆ……
บทที่ 1270 – สัตตะดวงใจอสูร
“ตลอดชีวิตของข้าการได้ดื่มสุรารสเลิศเช่นนี้มันเปรียบดังสวรรค์โปรด นี่คือสุราที่ควรจะเป็น”
ในฐานะผู้นำนิกายแห่งสำนักสวรรค์เร้นลับ มันอาจกล่าวได้ว่าเขาได้ลิ้มรสสุรามามากมาย แม้จะเป็นสุราที่ถูกบ่มมาเป็นเวลามากกว่าพันปีรสชาติของมันก็ยังคงทั่วไป แต่สำหรับเหล้าบ๊วยของชิงสุ่ย แม้ว่าจะมีอายุไม่กี่พันปี นอกจากรสชาติที่เกินจะพรรณนา คุณสมบัติที่ได้รับจากมันก็ยิ่งใหญ่ในระดับสวรรค์อีกด้วย
ชิงสุ่ยหมักบ่มสุราจำนวนมากเอาไว้ภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ดังนั้นเขาจึงสามารถนำมันออกมาแจกจ่ายได้โดยไม่กังวล
ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ดังนั้นเขาจึงใช้แนวทางปฏิบัติของชายชาตรีซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ชายชราทั้งสองคนเห็นถึงความพยายามของชิงสุ่ย ในภายภาคหน้าพวกเขาแต่เต็มใจช่วยเหลือชิงสุ่ยไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
“ผู้อาวุโส ในตอนเช้าของทุกวัน พวกท่านจะต้องดื่มสุราที่ข้าได้มอบให้อย่างน้อย 1 จอก ข้าอาจจะไม่รับประกันว่ามันจะช่วยยืดอายุไขของพวกท่านให้ยาวนานยิ่งขึ้น แต่อย่างน้อยพวกท่านจะอายุยืนอีก 100 ปี ข้าคิดว่าพวกท่านทั้งสองคนยังคงต้องการมองเห็นความสำเร็จของสำนักสวรรค์เร้นลับ”
ชายชราทั้งสองคนสามารถมองเห็นผลลัพธ์โดยไม่ต้องซึ่งคำอธิบายของชิงสุ่ย วันนี้ พวกเขาต่างก็ดื่มมันเป็นจำนวนมากจนเริ่มเมามาย สัมผัสของพวกเขาสามารถรับรู้ได้ถึงผลลัพธ์ที่ได้จากเหล้าบ๊วย และยังรับรู้ถึงการประสานงานระหว่างเหล้าและฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต นี่อาจเรียกได้ว่าผลลัพธ์กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
” ถูกต้องแล้วล่ะ นี่คือความปรารถนาของพวกข้า พวกข้าปรารถนาที่จะได้เห็นสำนักสวรรค์เร้นลับเจริญก้าวหน้า”
……………..
“ท่านผู้อาวุโส นิกายปฐพีซ่อนเร้นนั่นมีเป้าหมายคืออะไร?”ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันช้าไปนิดหน่อยที่เขาเพิ่งได้เอ่ยถามเรื่องนี้
“นิกายปฐพีซ่อนเร้น เป็นนิกายที่มีความทะเยอทะยานอย่างมาก แท้จริงแล้ว พวกมันต้องการที่จะกลืนกินมหาทวีปอูเซียตะวันตกทั้งมหาทวีป”ชายชราตอบกลับชิงสุ่ยหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
“กลืนกินมหาทวีปอูเซียตะวันตกทั้งมหาทวีป? ความโลภของพวกมันช่างมหาศาลนัก แต่ข้าสงสัยเหลือเกินว่าพวกมันมีความสามารถที่จะกระทำเช่นนั้นได้จริงๆหรือ?”ชิงสุ่ยกำลังตกตะลึง
“ตอนนี้อาจจะยังไม่ อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะมีสองสาวกผู้ซึ่งมีพรสวรรค์โดดเด่นปรากฏตัวขึ้นภายในนิกายปฐพีซ่อนเร้น นอกจากนี้ดูเหมือนพวกเขาจะสืบสายเลือดโดยตรงมาจากสกุลหลี่ พวกมันกำลังเฝ้าคอยบ่มเพาะศิษย์อัจฉริยะทั้งสองคน เพื่อที่จะได้ดำเนินตามแผนการที่พวกมันวางไว้”ชายชราขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเป็นกังวลเรื่องศิษย์อัจฉริยะทั้งสอง
“ทั้งสองคนนี้มีความน่ากลัวจริงๆงั้นรึ?”ชิงสุ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น การที่ทำให้ชายชรานามสกุลสุยให้ความสำคัญได้แสดงว่าจะต้องไม่ใช่อัจฉริยะธรรมดา
“ทั้งคู่คือผู้ฝึกสัตว์อสูร ดูเหมือนพวกเขาจะครอบครองสัตตะดวงใจอสูร ตามตำนานเล่ากล่าวกันว่าพวกเขาสามารถควบคุมสัตว์อสูรจำนวนมากที่มาจากภูเขารกร้าง แถมสัตว์อสูรแต่ละตัวก็มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวอีกด้วย พวกเขามีอายุประมาณ 100 ปี และตอนนี้ก็น่าจะมีความแข็งแกร่งประมาณ 4,000 สุริยา บอกข้าสิ ว่าพวกเขาน่าหวาดกลัวหรือไม่? ไม่ต้องพูดถึงศักยภาพทางกายที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นิกายปฐพีซ่อนเร้นจึงทุ่มเทและเลี้ยงดูพวกเขาขุมทรัพย์ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลอบเร้นเข้าไปสังหารพวกเขาทั้งสองคน”ชายชรานามสกุลสุยไม่เคยกล่าวเรื่องนี้กับชิงสุ่ย ดูเหมือนว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่เขาจะอธิบายเรื่องราวให้กระจ่าง
“ผู้ฝึกสัตว์อสูร?”ชิงสุ่ยตกตะลึง ในบรรดาจอมยุทธ ผู้ฝึกสัตว์อสูรคือภัยร้าย ไม่มีใครรู้ว่าสัตว์อสูรที่พวกเขาเลี้ยงมีพลังมากเพียงใด แต่ส่วนใหญ่มักจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกสัตว์อสูร มันเปรียบดังนักรบ 10 คนที่กำลังเผชิญหน้ากับนักรบเพียงแค่คนเดียว ดังนั้นผู้ฝึกสัตว์อสูรจึงได้เปรียบทางด้านพลังและจำนวน
“ถูกต้อง ชิงสุ่ย ถ้าหากเจ้าต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา เจ้าจงพึงระวังตัวเอาไว้ ในตอนนี้พวกเขามุ่งหน้าดำเนินตามแผนการที่จะยึดครองมหาทวีปอูเซียตะวันตกก่อนจะวางแผนมุ่งยึดมหาทวีปอื่นๆ”ชายชรามองไปที่ชิงสุ่ยด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“อย่าได้กังวล ข้ามีวิธีในการจัดการของข้าเอง ข้าเองก็เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรขั้นเริ่มต้น บางทีในตอนนี้ข้าอาจจะยังไม่ดีเท่าพวกเขา แต่ในอนาคตสัตว์อสูรของข้าเพียงแค่ตัวเดียวก็สามารถเอาชนะสัตว์อสูรของพวกมันเป็น 10 ตัวได้”ชิงสุ่ยคิดถึงกลองสะบั้นสวรรค์ ตะเกียงร้อยวิญญาณ หินสลักมังกรขด ถ้าหากสิ่งของเหล่านี้ยกระดับตัวเองขึ้นไปอีก 1 ระดับ พวกมันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อันมหาศาล
และเมื่อถึงตอนนั้นเพียงแค่มังกรไอยราเกล็ดทองคำและวิหคเพลิงก็เพียงพอที่จะทำลายสัตว์อสูรของศัตรู
“พวกเราเชื่อมั่นในตัวเจ้า นี่จึงทำให้พวกเรารู้สึกโล่งอกโล่งใจ ในที่สุดพวกเราก็สามารถยุติการทำงานและเริ่มพักผ่อน เราจะช่วยเจ้าในการสนับสนุนซูหนี่และในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนคอยระวังภัยให้กับสำนักสวรรค์เร้นลับ”
เมื่อตัดสินจากคำกล่าวอย่างเป็นทางการของชายชรา ชิงสุ่ยก็รู้แล้วว่าเป้าหมายของชายชราเป็นอันเสร็จสิ้น เขายิ้มและตอบกลับชายชราว่า “ท่านผู้อาวุโส หัวใจของท่านยิ่งใหญ่นัก ในอนาคตท่านจะได้รับรางวัลกลับคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่า”
เนื่องด้วยคำรับประกันจากชิงสุ่ย แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนจะเป็นคนที่ใช้นามสกุลสุยและเฉา หรืออีกความหมายก็คือพวกเขาก็มีตระกูลเป็นของตนเอง พวกเขาต่างก็รู้ดีถึงคุณสมบัติของตระกูลตนเองว่าไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าควบคุมสํานักสวรรค์เร้นลับ โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ย่อมมีจิตใจที่ลำเอียง คนล้วนอยากเป็นเจ้าของในสิ่งที่ตนต้องการ แต่ในตอนนี้ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นภัยพิบัติย่อมกลับมาสู่มือพวกเขา ดังนั้น ชายชราทั้งสองคนจึงไม่ต้องการที่จะปล่อยให้ตระกูลของตนเองเข้ามาครอบงำและยึดครองสํานักสวรรค์เร้นลับ
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ผู้อาวุโสทั้งสองถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เมื่อใดก็ตามที่พบเจอคนที่ตั้งใจช่วยเหลืออะไรอย่างเต็มใจ นั่นก็เป็นความหมายว่าบุคคลคนนั้นคือเพื่อนแท้ยามเมื่อเจอปัญหา ดังนั้นเมื่อเวลาวิกฤตมาถึง เพื่อนแท้ก็จะปรากฏ
เมื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆเกี่ยวกับนิกายปฐพีซ่อนเร้น ชิงสุ่ยก็ได้กล่าวคำอำลาผู้อาวุโสทั้งสองคน
ในขณะที่เขากลับมายังลานกว้างหน้าบ้านของตนเอง หญิงสาวทั้งหลายก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาพูดคุยกันอย่างมีความสุข เมื่อชิงสุ่ยกลับมาถึงเขาก็นั่งลงระหว่างกลางของติ๊เฉินและองค์หญิงใหญ่
ช่วงเวลาเฉลิมฉลองวันปีใหม่ใกล้มาถึง สำนักสวรรค์เร้นลับเต็มไปด้วยความรื่นเริง วัฒนธรรมการเฉลิมฉลองวันปีใหม่มั่งคั่งยิ่งกว่าสิ่งที่ชิงสุ่ยคาดคิดเอาไว้ มันคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
คืนพรุ่งนี้คือวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนต่างใช้เวลาร่วมกันในการรับประทานอาหารเย็น ตัวของชิงสุ่ยรู้สึกสงบนิ่ง ตลอดเวลาที่เขาเตรียมอาหารเย็นมันเป็นเวลาที่เขามีความสุข
ในยามราตรี คนอื่นๆได้จากไป แต่ก่อนที่จะจากไป องค์หญิงใหญ่ได้เฝ้าดูชิงสุ่ยที่ดูแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจกลับคำพูดได้ มันไม่ใช่ความกลัว แต่ จากรูปลักษณ์ขององค์หญิงใหญ่ที่มองดู เหมือนว่าเธอจะรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก
ชิงสุ่ยกล่าวอำลาและส่งเธอกลับคฤหาสน์ หลังจากที่เขาส่งทุกคนกลับ ชิงสุ่ยก็จับมือติ๊เฉินแล้วเดินเล่นไปรอบๆพร้อมทั้งมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าที่กำลังทอแสงอย่างงดงามลงสู่พื้นดิน ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขาเปรียบดังนางอัปสรที่ลงมาจากคฤหาสน์จันทรา เธอยังคงงดงามและทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในความฝัน
” ข้ารู้สึกได้จริงๆว่าจิตใจของเจ้านั้นดูเหมือนกำลังสงบ แต่เลือดในกายของเจ้ากำลังพลุ่งพล่าน”ติ๊เฉินกล่าว
“เลือดในกายหยาบของข้ากำลังเดือดพล่าน มันเป็นเพราะความปรารถนาในร่างกายของข้าที่ถูกรั้งเอาไว้”ชิงสุ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ติ๊เฉิน ข้ากำลังวางแผนที่จะรวบรวมมหาทวีปอูเซียตะวันตกเข้าด้วยกันเป็นปึกแผ่น เจ้าว่าเรื่องนี้มันเป็นอย่างไร?”ชิงสุ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้ากำลังวางแผนที่จะครอบครองและเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกอย่างนั้นหรือ?”ติ๊เฉินจ้องมองชิงสุ่ยด้วยท่าทางที่ตกใจ
“ข้ามีแผนอยู่ในใจแล้ว แต่ตอนนี้แผนนั้นยังคงเป็นเรื่องยากอยู่เล็กน้อย”ชิงสุ่ยจ้องมองติ๊เฉินที่กำลังประหลาดใจขณะตอบกลับ
“ยากอยู่เล็กน้อย?”ติ๊เฉินมองชิงสุ่ยและค่อยๆสงบลง เธอค่อยๆยิ้มและเอ่ยถาม
“สำหรับตอนนี้ ความยากเหล่านั้นดูเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ข้าคิดว่า ข้าจำเป็นต้องรอไปอีกสักระยะ เมื่อโอกาสนั้นมาถึง มันก็จะเป็นเวลาที่ข้าจะให้เจ้าเข้ายึดครองนิกายบงกชเทวะหรือตัดสินใจให้เจ้าครอบครองสำนักสวรรค์เร้นลับ”ชิงสุ่ยจ้องมองติ๊เฉินด้วยท่าทางที่ซับซ้อน
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าคิดว่าข้าควรอยู่กับนิกายบงกชเทวะ สำหรับที่แห่งนี้ซูหนี่ย่อมสมควรกว่า”
“ไว้เราค่อยมาตัดสินกันหลังจากช่วงเวลาเฉลิมฉลองวันปีใหม่เสร็จสิ้น การเจรจากับผู้นำนิกายจะเริ่มต้นด้วยการหาทางออกร่วมกันที่สงบ หากไม่เป็นผลข้าเองจะเป็นคนเริ่มต้นสงคราม”
“ชิงสุ่ย……….ผู้นำนิกายนั้นเป็นคนที่ดีมากจริงๆ นั่งเป็นเพียงผู้หญิงที่น่าเวทนาเท่านั้น”ติ๊เฉินอธิบายพร้อมทั้งถอนหายใจ
“ชายที่กระทำต่อนางก็สมควรได้รับการพิจารณา แต่บางสิ่งบางอย่างมันเป็นสิ่งที่นางก็ทำมันแนะนํามันเข้าสู่ตัวเอง”
“สตรีทุกคนล้วนแล้วแต่น่าสังเวชใจ”ติ๊เฉินจ้องมองชิงสุ่ยอย่างไม่เต็มใจ
“เอาเถิด มันเป็นความผิดของข้าเอง”ชิงสุ่ยยอมจำนนทันทีที่เห็นดวงตาอันมืดมนของติ๊เฉิน
ในยามราตรี ชิงสุ่ยยังคงอยู่ในห้องของติ๊เฉิน เขาบรรจงจูบเธอเหมือนเด็กหวงของ มือทั้งสองของเขายังคงซนและเคลื่อนไหวไปทั่วร่างกาย เขาทั้งรู้สึกพึงพอใจและทรมานใจในเวลาเดียวกัน
ติ๊เฉินโอบกอดเข่าในขณะที่เธอรับรู้ได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าในร่างกาย แต่มันก็เหมือนว่าเธอเองก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอกระซิบเบาๆข้างหูของชิงสุ่ยว่า “ถ้าหากเจ้าต้องการในตัวข้าก็จงรับมันไป ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้”
ชิงสุ่ยตกตะลึงขณะที่เขาจ้องมองติ๊เฉินพร้อมกับเธอรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่ได้รู้สึกทรมานแม้แต่น้อย ข้ารู้ดีว่าเจ้ายังไม่พร้อม ข้าจะรอคอยวันที่เจ้าทะลวงผ่านระดับพลังที่เจ้าติดขัด หลังจากนั้น ข้าจะเป็นคนพาเจ้าทะลวงขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้า และจะให้เจ้าเป็นคนกำเนิดลูกๆที่แสนน่ารักของข้า เจ้าว่าอย่างไร?”
“เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็หยุดสัมผัสร่างกายข้าได้แล้ว ข้ากลัวว่าข้าจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้”ติ๊เฉินกล่าวเบาๆ
เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมาจากปากของเธอ แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็แทบจะสูญเสียการควบคุมตัวเองไป
บทที่ 1271 – ศักยภาพของแมงมุมอสูร 7 เศียร หุ่นเชิด
มีคำกล่าวเอาไว้ว่าหญิงสาวทุกๆคนสามารถที่จะเป็นเทพธิดาได้ มีหญิงสาวมากมายที่ผู้คนรู้สึกว่าพวกนางนั้นเป็นเหมือนเทพธิดา ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมตราตรึงอยู่ภายในใจของชายหนุ่มทุกคน
ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าติ๊เฉินมันเป็นเทพธิดาที่มีความหมายสำหรับเขายิ่งนัก เขาไปที่ใบหน้าที่งดงามยิ่งรักของนางและดวงตาที่สามารถสั่นคลอนไปทั้งเมืองได้ มีความขี้เล่นที่ซ่อนเอาไว้อยู่ภายในรอยยิ้มที่เอียงอายของนาง ไม่มีสิ่งใดจะงดงามเกินกว่าสิ่งที่เขาได้เห็นในตอนนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ชิงสุ่ยก็กอดนางอย่างเงียบๆขณะพูดคุยกัน เขารอจนกว่าติ๊เฉินจะหลับไป จากนั้นเขาก็ค่อยออกมาช้าๆ ตอนนี้มันใกล้เวลาแล้วที่เขาจะต้องเข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ
สำหรับในตอนนี้ความก้าวหน้าของพลังของเขาในตอนนี้นั้นถือว่าใช้ยิ่งนัก อย่างน้อยในตอนนี้มันก็คืบหน้าไปได้อย่างช้ามาก แต่เขาก็ใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะฝึกฝนให้ใช้พลังของตนเองได้อย่างชำนาญและสร้างสมบัติต่างๆ ขอการใช้โอกาสนี้ในการปรุงยาและสร้างเครื่องมือแพทย์ขึ้นมาหลายชิ้น
ทันทีที่เขาเข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ พลังวิญญาณที่ทรงพลังก็เข้าปะทะกับใบหน้าของเขา นี่เป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคยซึ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกพึงพอใจกับมันยิ่งนัก ไม่ว่าเขาจะมองไปที่ใดในดินแดนแห่งนี้เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
ทั้งวิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำนั้นสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็วในตอนนี้ ชิงสุ่ยสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ความเร็วในการพัฒนาความแข็งแกร่งของมังกรไอยราเกล็ดทองคำนั้นทำให้ชิงสุ่ยต้องตกตะลึง อาจเป็นไปได้ว่ามันคือพลังที่หลงเหลืออยู่มังกรเพลิง เพราะสายเลือดของมังกรเพลิงนั้นถือว่าบริสุทธิ์ยิ่งนัก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพลังพื้นฐานของมันก็ได้เพิ่มขึ้นมากว่า 3,000 เมฆา นอกจากนี้แทนที่ความเร็วของมันจะลดลงไป ความเร็วของมันกลับเพิ่มขึ้นมาอีก แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราส่วนของเวลาภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะมันเป็นเวลาที่นานมากเมื่อเทียบกับโลกภายนอก
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจมากที่สุดนั่นก็คือแมงมุมอสูร 7 เศียร สำหรับในตอนนี้การเติบโตของมันนั้นเกินกว่าความรู้ที่มีของชิงสุ่ยไปแล้ว มันได้กินผลอับเฉา 1000 ปี 1 ใน 3 ลูกเข้าไปและต้นที่มันได้กินไปนั้นตอนนี้ก็ได้ผลิดอกออกผลใหม่มาแล้ว
นี่อาจมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแมงมุมที่เติบโตขึ้นจนถึง 7 เศียร นี่ทำให้แมงมุมอสูร 7 เศียรขึ้นเป็นสัตว์อสูรชั้นสูงสุดและหากสายเลือดบรรพกาลภายในร่างกายของมันได้รับการตื่นขึ้นทางสายเลือด นั่นจะช่วยทำให้อัตราการพัฒนาความแข็งแกร่งของมันนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันอาจเทียบไม่ได้กลับมังกรไอยราเกล็ดทองคำ พลังของมันก็ต้องเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าตัวแน่นอน
ร่างกายของมันในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น แมงมุมอสูร 7 เศียรนั้นเป็นสัตว์อสูรสายควบคุม ทางของมันเพิ่มขึ้นมา 10% ความสามารถในการควบคุมของมันก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างน้อย 30% ดังนั้นหากพลังของมันเพิ่มขึ้นมา 1 เท่าตัวนั่นหมายความว่าความสามารถในการควบคุมของมันก็จะเพิ่มขึ้นมากว่า 3 เท่าตัว
ชิงสุ่ยยังคงตรวจสอบพลังในตอนนี้ของแมงมุมอสูร 7 เศียร มันแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เขาต้องตรวจสอบมันดูด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ของตนเอง
พลังพื้นฐานของมันเพิ่มขึ้นมาจนถึง 30,000 เมฆา ซึ่งนั่นเท่ากับพลัง 3 สุริยา นี่มันเกินกว่าที่เขาได้คาดการเอาไว้ มังกรไอยราเกล็ดทองคำและวิหคเพลิงในตอนนี้นั้นจะทรงพลังมากเพียงใดกัน? ดังนั้นชิงสุ่ยรู้ดีว่าย่อมมีสายเลือดชั้นสูงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของแมงมุมอสูร 7 เศียร เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันสืบทอดสายเลือดมาจากสัตว์อสูรประเภทใด
จุดปราณ 5 กำเนิด: เคล็ดวิชาที่มีมาแต่กำเนิดของแมงมุมอสูร 7 เศียร ช่วยเพิ่มพลังพื้นฐานของมันขึ้นอีก 30 เท่า ไม่ใช้พลังงานใดๆ
ในตอนนี้ชิงสุ่ยก็ได้เข้าใจนะว่าเหตุใดแมงมุมอสูร 7 เศียรถึงทรงพลังเพียงนี้ นั่นเป็นเพราะจุดปราณ 5 กำเนิดที่ได้ให้ผลมากขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
ใยแมงมุมพิษกัดกร่อน: แมงมุมอสูร 7 เศียรโจมตีออกไปด้วยเส้นใยอันทรงพลังของมัน การโจมตีครั้งนี้เต็มไปด้วยพิษกัดกร่อนและใยแมงมุมนี้ก็เหนียวยิ่งนัก ใยแมงมุมนี้ไม่สามารถตัดด้วยมีดหรือดาบใดๆ ความเสียหายที่สร้างขึ้นจากใยแมงมุมพิษนี้คิดเป็น 3 เท่าของพลังพื้นฐานของมัน
เส้นใยพิษพันธนาการ: แมงมุมอสูร 7 เศียรสามารถปลดปล่อยใยแมงมุมพิษเพื่อโจมตีภายในระยะ 2,000 เมตรได้ มันสามารถเข้าพัวพันศัตรูได้อย่างรวดเร็ว ความเหนียวและความเป็นพิษของใยแมงมุมนี้ก็ทรงพลังยิ่งนัก ความเสียหายที่สร้างขึ้นจากใยแมงมุมพิษนี้คิดเป็น 5 เท่าของพลังพื้นฐานของมัน
ฝูงแมงมุมจู่โจม: ความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของราชันสัตว์อสูร มันสามารถเรียกลูกน้องที่ทรงพลังออกมาได้และควบคุมให้โจมตีไปพร้อมพร้อมกัน ลูกน้องของมันนั้นสามารถวิวัฒนาการได้จนถึงระดับแมงมุมอสูร 6 เศียร
ฝูงแมงมุมจู่โจมนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ในตอนนี้ชิงสุ่ยโคนันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดแมงมุมอสูรที่อยู่รอบรอบตัวของแมงมุมอสูร 7 เศียรไม่มีตัวใดที่ทรงพลังไปกว่ามันเลย นั่นก็เพราะแมงมุมอสูร 7 เศียรนั้นถือเป็นราชันของสายพันธุ์นี้แล้ว นี่เป็นเหมือนกฎแห่งธรรมชาติ
แมงมุมชักใยจู่โจม: เคล็ดวิชาติดตัว ไม่ใช้พลังงานใดๆ เพิ่มความเร็วขึ้นอีก 10 เท่า
แมงมุมชักใยจู่โจมก็ได้เพิ่มความเร็วขึ้นจาก 8 เท่าเป็น 10 เท่า นอกจากนี้มันยังกลายเป็นเคล็ดวิชาติดตัว ชิงสุ่ยมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้เห็นเช่นนี้
ขาแห่งราชันย์แมงมุม: ขาทั้ง 8 ข้างของแมงมุมอสูร 7 เศียรนั้นแหลมคมยิ่งนัก มันมีความเป็นพิษสูงและมีความสามารถในการเจาะทะลุ
เปลือกแห่งราชันย์แมงมุม: พลังป้องกันของแมงมุมอสูร 7 เศียรนั้นทรงพลังยิ่งนัก
เกราะราชันย์แมงมุมทองคำ: เพิ่มพลังป้องกันของขาแห่งราชันย์แมงมุมและเปลือกแห่งราชันย์แมงมุมขึ้นอีก 4 เท่า มันยังช่วยเพิ่มความเหนียวของใยแมงมุม ความเป็นพิษ และการติดแน่น ขึ้นอีก 4 เท่า ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเพิ่มพละกำลังและความทรหดอดทนขึ้นอีก 1 เท่า ไม่ใช้พลังงานใดๆ!
ความสามารถที่เพิ่มขึ้นของเกราะราชันย์แมงมุมทองคำทำให้ชิงสุ่ยมีความสุขมากที่สุด เพราะว่ามันช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมของแมงมุมอสูร 7 เศียรและยังเพิ่มความเสียหายที่มันสามารถสร้างขึ้นได้
ภายใต้ขนของจุดปราณ 5 กำเนิด พลังของแมงมุมอสูร 7 เศียรนั้นจะมีมากถึง 93 สุริยา การโจมตีด้วยใยแมงมุมพิษของมันนั้นจะมีพลังมากขึ้น 279 สุริยา ขณะที่พลังโจมตีของเส้นใยพิษพันธนาการนั้นประมาณ 465 สุริยา
ความสามารถนี้ค่อนข้างดีแต่มันก็ถือว่าแค่ดีเท่านั้น เมื่อมันได้อยู่ในการต่อสู้ที่แท้จริงมันยังถือว่าอ่อนแออยู่เล็กน้อย แต่แมงมุมอสูร 7 เศียรนั้นยังมีเกราะราชันย์แมงมุมทองคำ นี่ทำให้ร่างกายของมันแข็งและแหลมคมขึ้นถึง 4 เท่าและยังช่วยเพิ่มความสามารถทั้งหมดของใยแมงมุมของมันขึ้นอีก 4 เท่า นอกจากนี้มันยังสามารถช่วยเพิ่มพละกำลังและความทรหดอดทนขึ้นอีก 1 เท่าโดยไม่ใช้พลังงานใดๆเลย
ดังนั้นพลังในการควบคุมของแมงมุมอสูร 7 เศียรนั้นจะมีมากกว่า 1,000 หรือ 2,000 สุริยา แมงมุมอสูร 7 เศียรในตอนนี้นั้นยังสามารถเพิ่มพลังขึ้นอีกได้ เขาเชื่อว่าในอนาคตแมงมุมอสูร 7 เศียรย่อมสามารถเทียบได้กับมังกรไอยราเกล็ดทองคำและวิหคเพลิง
เมื่อเทียบกันแล้วอสูรอัสนีคลั่งนั้นยังถือว่าด้อยกว่ามันมากนัก อย่างไรก็ตามมันยังคงมีความเร็วที่ถือว่ามากรวมถึงจิตแห่งปราณภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะก็มีอยู่อย่างมากมายเช่นกัน เพียงแค่มีระยะเวลาภายในดินแดนแห่งนี้ก็ถือว่าสำคัญยิ่งนัก
หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็เริ่มสร้างอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆของเขา เขาพยายามจะสร้างมันในทุกๆวัน หากไม่มีเหตุสุดวิสัยแต่อย่างใดเขาก็จะไม่ล่าช้าอย่างเด็ดขาด นอกเหนือจากนี้ชิงสุ่ยย่อมมองหาหนทางต่างๆที่ช่วยยกระดับให้แก่อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆของเขาได้ ตราบใดที่อาวุธของเขาได้รับการยกระดับขึ้นเขารู้สึกว่าเขาสามารถเดินทางไปยังทุกแแห่งหนของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกพร้อมกับสัตว์อสูรของเขาได้อย่างสบายๆ
ในวันถัดมาหลังจากที่เขาได้ตื่นขึ้น ชิงสุ่ยก็ออกมาฝึกฝนในตอนเช้าเหมือนดังปกติ แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันสิ้นปีแต่เขาก็ยังคงฝึกฝนเพื่อพัฒนาความสามารถของตนเอง เพราะพลังนั้นสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา แน่นอนว่าในวันนี้เขาวางแผนที่จะพาพวกนางทุกๆคนไปเดินเล่นรอบๆจักรวรรดิแห่งนี้ มันต้องสนุกอย่างแน่นอน วันนี้คงเป็นวันที่คึกคักอย่างยิ่งแน่นอน
“วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เราจำเป็นต้องทำ เช่นนั้นออกไปเดินเล่นซื้อของรอบๆเมืองแห่งนี้กันดีหรือไม่?” ชิงสุ่ยเสนอความคิดนี้ขึ้นมาในระหว่างมื้ออาหาร
“ตกลง!”
“ข้าเกือบจะตายไปเพราะความน่าเบื่อของที่นี่เสียแล้ว”
ทั้งชิงซาและองค์หญิงเจ็ดต่างรีบเห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างรวดเร็ว
สำหรับพวกนางการที่ได้ออกไปข้างนอกนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก กลุ่มของเขานั้นเดินไปพร้อมๆกัน ชิงสุ่ยจับมือของติ๊เฉินเอาไว้ข้างหนึ่งขณะที่มืออีกข้างจับมือขององค์หญิงใหญ่เอาไว้ และหญิงสาวทั้ง 2 คนนี้ก็จับมือของหญิงสาวคนอื่นๆต่อไปเป็นทอดๆเสมือนกับสร้างวงกลมขึ้นมา หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็ได้ใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวา
จักรวรรดิราชันย์มังกรสวรรค์!
หลังจากใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวาอย่างต่อเนื่องไปประมาณ 10 ครั้ง ชิงสุ่ยก็หยุดใช้มัน เขาต้องการที่จะเก็บจำนวนครั้งที่ยังสามารถใช้ได้เอาไว้เดินทางกลับบ้าน หลังจากที่เขาได้สอบถามคนอื่นๆก็พบว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับจักรวรรดิเดชสวรรค์
จักรวรรดิราชันย์มังกรสวรรค์งั้นเป็นจักรวรรดิที่อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นที่ 3 แน่นอนว่ามันได้สืบทอดการปกครองมาอย่างยาวนาน สำหรับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขานั้นมีเพียงจักรวรรดิราชันย์มังกรสวรรค์เองเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
ผู้อาวุโสจากสำนักสวรรค์เร้นลับได้แนะนำเขาก่อนหน้านี้ว่ามิให้ดูถูกจักรวรรดิใดๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงจักรวรรดิระดับแรกเท่านั้น เพราะสีพวกเขาจะไม่ได้ดูแข็งแกร่งมากเท่าไหร่แต่สิ่งที่สืบทอดกันมานั้นไม่อาจประมาทได้ มันไม่น่าแปลกใจเลยที่สิ่งเหล่านี้จะสามารถสืบทอดกันมาได้อย่างยาวนานหลายปี สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือการที่จะตรวจสอบว่าสิ่งที่พวกเขาสืบทอดนั้นทรงพลังมากเพียงใด มีตำนานกล่าวไว้ว่าผู้พิทักษ์เทวะธรรมขั้นที่ 1 มากมายได้รับพลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและพุ่งทะยานไปถึงขั้นที่ 4 หรือแม้แต่ขั้นที่ 5 แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงเรื่องที่บันทึกไว้ในตำนาน เมื่อคนๆหนึ่งสามารถไปถึงจุดสูงสุดของโลกใบนี้ได้ เขาย่อมต้องพาญาติพี่น้องและมิตรสหายของตนเองไปด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายคนก็เป็นเช่นนี้โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบความจริงใดๆ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเรื่องนี้อาจจะเคยเกิดขึ้นหรือไม่เคยเกิดขึ้นก็ได้
จักรวรรดิราชันย์มังกรสวรรค์นั้นตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจุดศูนย์กลางของมหาทวีปนี้ มันถือว่าเป็นจักรวรรดิที่ก้าวหน้ายิ่งนัก แม้ว่าจะเทียบกับจักรวรรดิขั้นที่ 4 ความแตกต่างนั้นก็ถือว่าไม่มาก กลุ่มของพวกเขาเดินไปตามถนนที่กว้างใหญ่และดูสิ่งต่างๆรอบตัว
ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยความคึกคักมากมาย เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้เครื่องแต่งกายหลากหลายสีสันนั้นมีมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
ชิงสุ่ยและกลุ่มของเขานั้นเป็นที่จับตามองของผู้คนที่อยู่บนถนน เพราะหญิงสาวที่อยู่รอบตัวเขานั้นพวกนางงดงามยิ่งนักจนบางครั้ง 100 ปีอาจจะปรากฏให้เห็นเพียงแค่คนเดียว จึงทำให้การปรากฏตัวของชิงสุ่ยนั้นดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย ดังนั้นตลอดเส้นทางที่พวกเขาได้เดินไปมีคนมากมายที่ได้กล่าวชื่นชมพวกเขา ผู้ชายจะชื่นชมชิงสุ่ยในขณะที่ผู้หญิงจะอิจฉาหญิงสาวรอบรอบตัวเขา พวกนางอิจฉาที่หญิงสาวรอบๆตัวเขานั้นงดงามกว่าจนพวกนางเทียบไม่ติด
“ชิงสุ่ย ดูสิ! มีคนขายหุ่นเชิดอยู่ที่นี่ด้วย!” เหยียน จินยวี้กล่าวออกมาทันที
ชิงสุ่ยตกตะลึงไป เมื่อเขานึกถึงหุ่นเชิดเขาก็นึกถึงนักปราชญ์สุขสำราญที่ได้พบกัน อวี้ ลู่หยาน ถานท่าย หยวนและตัวเขาเองต่างเคยพบนักปราชญ์สุขสำราญมาแล้วครั้งหนึ่ง นอกจากนี้พลังของพวกเขายังได้เพิ่มขึ้นมากมายหลังจากการพบกันครั้งนั้น ผู้อาวุโสผู้นี้ดูเหมือนจะมีหุ่นเชิดอยู่มากมาย
ดังนั้นชิงสุ่ยจึงมีปฏิกิริยากับคำว่าหุ่นเชิดอยู่เล็กน้อย
ชิงสุ่ยเห็นว่าผู้ที่ขายหุ่นเชิดนี้ก็เป็นชายวัยชรา แต่เขาไม่ใช่นักปราชญ์สุขสำราญ จึงทำให้เหยียน จินยวี้รู้สึกสนใจอย่างยิ่ง เขายิ้มและตอบกลับไปว่า “ดูเหมือนว่าน้องสาวเหยียนจะชื่นชอบหุ่นเชิดยิ่งนัก ทำไมเราไม่ไปดูร้านนั้นกันหน่อยล่ะ?”
เหยียน จินยวี้ยิ้มและพยักหน้า แม้ความงามของนางจะถือว่าด้อยกว่าติ๊เฉินและองค์หญิงใหญ่ แต่นางก็ยังคงมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
กลุ่มของพวกเขาเดินทางมาที่นี่เพื่อพักผ่อน ดังนั้นหากมีใครสนใจสิ่งใดพวกเขาทั้งหมดก็ยังพากันไปอยู่ด้วยกัน ชิงสุ่ยยังมีความสุขที่ได้เห็นพวกนาเป็นเช่นนี้ ในใจของเขาเขาหวังว่าจะได้พบสมบัติที่ล้ำค่าในที่นี่บ้าง เขาคิดกับตัวเองว่าตราบใดที่เขาพบเจอสมบัติที่ล้ำค่าเขาย่อมสามารถหาทางซื้อมันออกไปจากที่แห่งนี้ได้
กลุ่มของเขาเดินเข้าไปยังร้านของชายชราที่ขายหุ่นเชิดหนี มีหุ่นเชิดมากมายนับร้อยตัวอยู่ตรงหน้าของชายชรา ชิงสุ่ยได้เห็นร้านนี้เมื่อตอนที่เหยียน จินยวี้บอกเขาก่อนหน้านี้เท่านั้น มีผู้คนมากมายอยู่เลยรอบร้านแห่งนี้ เมื่อได้เข้ามาแล้วเขาก็เห็นว่ามีหุ่นเชิดมากมายหลายสีและหลายขนาด บางตัวมี 3 สีบางตัวก็มี 4 สี
ชายชราดูแก่ชราแต่ใจดีอย่างยิ่ง เพียงมองครั้งแรกชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าชายชราผู้นี้คล้ายคลึงกับซานตาคลอสยิ่งนัก คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในร้านแห่งนี้ต่างเป็นเด็กๆ แต่ก็ยังคงมีบางคนที่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว
หุ่นเชิดของที่นี่ดูงดงามจริงๆ มองแค่ครั้งเดียวก็รู้ได้ว่ามันถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันทุกตัว เมื่อได้สอบถามชายชรา ชิงสุ่ยก็รู้ว่าหุ่นเชิดพวกนี้ ชายชรานั้นได้สร้างมันขึ้นมาจากมือของเขาทุกตัว
ชิงสุ่ยถามคำถามอีกมากกว่าร้อยครั้งแล้วมอบหุ่นเชิดให้กับหญิงสาวของเขาแต่ละคน เขาพยายามจะช่วยเหลือธุรกิจของชายชราและคุณภาพของหุ่นเชิดพวกนี้ก็ถือว่าดียิ่งนัก
“ชิงสุ่ย เจ้าชอบหุ่นเชิดพวกนี้หรือไม่? เจ้าถามคำถามเขาเสียมากมายเลย” ติ๊เฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“พวกมันก็ไม่เลวนะ ข้าคิดจะเก็บมันไว้เพื่อลูกของเราจะสามารถเล่นมันได้ในอนาคต” ชิงสุ่ยมองไปที่นางพร้อมกับรอยยิ้ม
ชิงสุ่ยไม่ได้กล่าวเสียงดังมากนักแต่ติ๊เฉินนั้นสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน ใบหน้าของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง นางยังคงมองมาที่เขาแต่ก็ยังคงเงียบ อย่างไรก็ตามนางรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูดภายในจิตใจของนาง มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ยิ่งนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำว่า ‘ลูกของเรา’ นางก็มีความรู้สึกเช่นนี้
“น้องชาย โปรดรอก่อน!”
ในตอนที่ชิงสุ่ยและคนอื่นกำลังจะจากไป ชายชราก็ได้เรียกเขา
ชิงสุ่ยหยุดแล้วมองไปยังชายชรา “ท่านผู้อาวุโส มีอะไรหรือไม่?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะชอบหุ่นเชิดมาก ถ้ามีหุ่นเชิดบางตัวที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของข้า แต่เนื่องจากพวกมันไม่มีประโยชน์สำหรับข้า ข้าจึงคิดที่จะมอบมันให้แก่เจ้า” ชายชรายื่นกระเป๋ามาให้ชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยนั้นรับรู้ได้ว่าชายชรานั้นจริงจังอย่างยิ่งเมื่อตอนที่เขายืนกระเป๋ามาให้ กระเป๋านี้ดูไม่ได้ใหญ่มากนักและคงมีหุ่นเชิดภายในนั้นไม่มากนัก แต่เมื่อเทียบกับหุ่นเชิดธรรมดา หุ่นเชิดภายในกระเป๋านี้หนักกว่ามาก
ในตอนที่ชิงสุ่ยมองเข้าไปในกระเป๋านี้เขาตกตะลึงทันที หุ่นเชิดที่อยู่ภายในกระเป๋านี้ไม่ได้มีสีสดใสและสวยงาม ความจริงแล้วพวกมันดูเก่าแก่ยิ่งนัก แต่ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยบ่ได้ใช้เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ของเขา
หุ่นเชิดสวรรค์!
ผู้คนที่ใช้หุ่นเชิดนั้นอาจกล่าวได้ว่าหุ่นเชิดธรรมดานั้นสามารถรับการโจมตีได้ไม่กี่ครั้ง หุ่นเชิดที่มีระดับแตกต่างกันย่อมสามารถรับการโจมตีได้แตกต่างกัน ผู้ใช้ที่จำเป็นต้องใส่จิตแห่งปราณลงไปในหุ่นเชิด เพื่อที่จะบ่งบอกความเป็นเจ้าของ
ชิงสุ่ยเห็นพวกมันมากกว่า 10 ตัวภายในกระเป๋านี้จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง พวกมันถือว่าล้ำค่ายิ่งนักในโลกใบนี้
“ท่านผู้อาวุโส นี่มันล้ำค่าเกินไป ข้าไม่อาจรับมันเอาไว้ได้” ชิงสุ่ยไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด เขาไม่ชอบที่จะรับประโยชน์มากมายจากคนแปลกหน้า แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าหุ่นเชิดทำอะไรได้บ้าง แต่เขาก็รู้ว่ามันน่าจะล้ำค่ายิ่งนัก
“เพราะเจ้าสามารถบอกได้ว่ามันล้ำค่า เช่นนั้นเจ้าก็สามารถรับมันไปได้ นี่คือโชคชะตา ข้าคิดว่าที่ข้ามอบได้มอบให้เจ้านั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว” ชายชราหยิบหนังสือที่ดูเก่าแก่ออกมาและมอบมันให้กับชิงสุ่ย
สารานุกรมแห่งหุ่นเชิดสวรรค์!
นี่ช่างเป็นชื่อหนังสือที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง!
บทที่ 1272 – หุ่นเชิดสวรรค์อันน่าตกตะลึง 3 ปีก็มากพอ
สารานุกรมแห่งหุ่นเชิดสวรรค์!
เพียงแค่ชื่อของมันอย่างเดียวก็รู้ได้ว่ามันคืออะไร แต่เขาก็ไม่รู้รายละเอียดของมันมากนักและทำได้เพียงรับมันมา เขาเห็นว่าชายชราผู้นี้ดูธรรมดายิ่งนัก เขาดูมีสุขภาพที่ดีแต่ก็ดูไม่ใช่ยอดฝีมือ เขาไม่ใช่แม้แต่ผู้ฝึกยุทธระดับเซียนเทียน แต่ชิงสุ่ยนั้นบอกได้เลยว่าชายชราผู้นี้นั้นฝึกฝนร่างกายอย่างดีมาโดยตลอด
“ท่านปู่ ท่านปู่!”
มีเด็กคู่หนึ่งที่มีอายุประมาณ 5-6 ปียืนอยู่ไม่ไกลออกไป เด็กผู้ชายนั้นดูสุขภาพดีและสมส่วนในขณะที่เด็กผู้หญิงนั้นดูเฉลียวฉลาดและมีร่างกายที่ดี ชิงสุ่ยจำได้ว่าชายชราผู้นี้ได้บอกว่าหุ่นเชิดสวรรค์นั้นส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของเขา นี่แสดงให้เห็นว่าตระกูลของเขานั้นเป็นผู้ฝึกยุทธมาเนิ่นนานแล้ว
ชิงสุ่ยรักทุกๆอย่างที่ชายชราผู้นี้ได้มอบให้ มันอาจคิดได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นแน่นแฟ้นกันมากยิ่งขึ้น เพราะหากเป็นคนอื่นคงไม่มีใครที่จะมอบหุ่นเชื่อเช่นนี้ให้แก่เขาได้ แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขาไม่อาจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้
เขานำ “ผลไม้มหัศจรรย์” ออกมา 2 ลูกและมอบให้กับเด็กทั้งสองคน ชายชราไม่ได้ห้ามปรามเขาแต่อย่างใด เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองคนนั้นกินผลไม้ได้อย่างมีความสุขชิงสุ่ยมอบรูปแบบพยัคฆ์ฉบับคัดลอกที่เขาได้เขียนขึ้นเองให้กับชายชราอย่างลับลับ
ชิงสุ่ยยังมีพวกมันอีกมากมายภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ นอกจากนี้ยังมีรูปแบบอื่นที่เขาได้ฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงมอบหนังสืออีกเล่มหนึ่งให้แก่ชายชรา แม้ว่าเขาต้องการจะเผยแพร่รูปแบบพยัคฆ์ออกไป แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะให้ทุกๆคนได้รับรู้ เขาจะมอบให้แก่ผู้คนที่เหมาะสมเท่านั้น
สายตาของชายชราก็เป็นประกายออกมาและชิงสุ่ยก็ได้กล่าวขึ้น “ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดได้ยินในสิ่งที่ข้าพูด โปรดฟังในสิ่งที่ข้ากำลังจะกลับ หนังสือเล่มนี้ที่ข้ามอบให้จะเป็นแนวทางในการฝึกยุทธให้แก่ท่าน นอกจากนี้ก็จะช่วยเปลี่ยนแปลงร่างกายให้แก่หลานของท่าน ท่านสามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธหรือไม่ พวกเรากําลังจะจากที่นี่ไปแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของคนอื่นๆท่านอย่ากระโตกกระตากไป”
ชิงสุ่ยและกลุ่มของเขาก็เดินออกไป ชายชราเห็นเด็กทั้งสองคนกำลังกินผลไม้นี้ในขณะที่มองไปทางชิงสุ่ยและกลุ่มของเขาด้วยความโหยหา
เคล็ดวิชาฝึกยุทธ… ชายชรารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง บรรพบุรุษของเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธเช่นเดียวกัน แต่มันน่าเสียดายที่พวกเขาอ่อนแอลงเรื่อยๆและกลายเป็นครอบครัวของคนธรรมดาในที่สุด ชายชรานั้นมีลูกชาย และปกติแล้วลูกชายกับลูกสะใภ้ของเขาจะเป็นผู้ทำงานหาเงินในขณะที่ชายชราจะช่วยดูแลเด็กๆ เพราะเขามีเวลาว่างมากมายจากการเปิดร้านขายหุ่นเชิดเช่นนี้
เขาเองก็ไม่ได้อายุน้อยแล้วและมักจะคิดหาหนทางที่จะทำให้ลูกหรือหลานของเขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธได้ เพราะนี่จะเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลได้ แต่คนธรรมดาอย่างพวกเขาฝึกฝนได้แค่เคล็ดวิชาระดับพื้นๆและไม่อาจก้าวข้ามผ่านระดับโฮ่วเทียนไปได้
ในตอนนี้เขาไม่รู้แม้แต่ชายหนุ่มผู้นี้ได้มอบเคล็ดวิชาอะไรให้แก่เขาหรือเคล็ดวิชานี้จะสามารถพาเขาไปถึงระดับใดได้ แต่เขารู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้มีจิตใจที่ดีและมันต้องเป็นอะไรที่เกินกว่าที่เขาคาดไว้อย่างแน่นอน
เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยชายชราจึงยังคงเปิดร้านของเขาจนถึงเวลากลางคืนก่อนที่จะปิดไป!
ชิงสุ่ยไม่ออกมาแล้วนะดังนั้นจึงไม่รู้ว่าชายชรานั้นคิดอะไรอยู่ เขาไม่อยากคิดอะไรมากเพราะพวกเขายังมีโอกาสที่จะได้พบกันในอนาคตและมันก็มีความเป็นไปได้มาก
ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยไม่ได้พูดถึงหุ่นเชิดที่เขาได้รับมาเลย นั่นเป็นเพราะมีคนมากมายอยู่รอบตัวเขาในเมื่อพวกเขาเห็นว่ามันเป็นเพียงหุ่นเชิดเก่าๆก็จะไม่สนใจทันที หุ่นเชิดที่มีสีสันสดใสในร้านนั้นยังดูดีกว่ามาก
…
“หุ่นเชิดพวกนี้เป็นของดีงั้นหรือ?” ติ๊เฉินเล่นกับหุ่นเชิดสีสันสดใสที่นางถืออยู่ก่อนที่จะถามขึ้น
“หุ่นเชิดนี้คือหุ่นเชิดสวรรค์และมันยังสามารถเพิ่มพลังป้องกันของผู้ใช้ขึ้นได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงการโจมตีด้วยพลังวิญญาณเช่นกัน แต่แล้วมันจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันน่าจะขึ้นอยู่กับอะไรบางอย่าง” ชิงสุ่ยยิ้มหน้ากากขึ้น
“โอ้? หากเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าดียิ่งนัก มันจะทำงานเมื่อผู้ใช้สวมใส่มันงั้นหรือ?”
“มันน่าจะมีช่องที่ให้ใส่จิตแห่งปราณของผู้ใช้เข้าไปภายในนั้น ยิ่งจิตแห่งปราณทรงพลังมากเพียงใดก็จะยิ่งเพิ่มพลังได้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อจิตแห่งปราณหมดลงผลของมันก็จะหายไป”
“โอ้? มันก็ถือว่าไม่เลว แต่ก็ยังคงธรรมดา” ติ๊เฉินคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับขึ้น
“ไว้ค่อยศึกษามันต่อในตอนที่เรากลับกันแล้ว ที่นี่ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่” ชิงสุ่ยโยนหุ่นเชิดนั้นกลับเข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ
เขายังถือหุ่นเชิดขนาดเล็กสีเขียวที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ไม้ที่ใช้สร้างมันเป็นไม้ธรรมดาที่มีอายุประมาณ 100 ปี ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาไม้ที่มีอายุ 100 ปีนั้นยากยิ่งนักที่จะหาได้แต่ในโลกใบนี้มันกลับหาได้อย่างง่ายดาย
ฝีมือในการผลิตและพื้นผิวบางส่วนที่ขรุขระไม่ได้ส่งผลต่อความงดงามของมัน สีที่ใช้ในการย้อมอันนั้นได้มาจากพืช มันไม่ได้มีความสามารถไปมากกว่าเป็นของเล่นของเด็กๆ แน่นอนว่ามันยังสามารถใช้ในการตกแต่งบ้านได้เช่นกัน
…
พวกเขาเดินดูรอบเมืองนี้อย่างสบายๆและใช้เวลากว่าครึ่งวันไปกับการเดิน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตลอดการเดิน บางครั้งก็จะซื้อของบางอย่างและกินอาหารพื้นเมืองของที่นี่
ชิงสุ่ยชอบบรรยากาศในการทานอาหารพื้นเมืองข้างทางเช่นนี้ อาหารที่ขายตามข้างทางนั้นต่างจากอาหารปกติและอร่อยกว่ามาก โดยเฉพาะอาหารที่มีรสชาติที่เข้มข้น แน่นอนว่าก็ยังมีอาหารข้างทางที่รสชาติแย่ ส่วนที่สำคัญที่สุดนั้นคือน้ำซุปและเครื่องปรุงรส สิ่งที่พวกเขาได้กินในวันนี้นั้นถือว่ารสชาติค่อนข้างดี
ในตอนนี้ชิงสุ่ยคิดว่าเขาสามารถทำของทานเล่นเองได้ นี่เป็นเหมือนเคล็ดลับในการทานอาหารที่เขาได้รับมา ในอนาคตเขาจะสามารถสร้างเครื่องเทศของตนเองเพื่อรสชาติที่แตกต่างจากทุกๆอย่าง
ย้อนกลับไปเมื่อเขาอยู่ในตระกูลชิง เขาก็ได้สร้างขนมง่ายๆให้แก่พวกเด็กๆ นั่นก็ถือว่าเป็นของทานเล่นเช่นกัน
ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเขาก็น่าจะเป็นคนขายอาหารหรือไม่ก็นักชิม แต่ในตอนนี้มันเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น เขาทำอาหารเพียงเพื่อทุกๆคนที่อยู่รอบตัวเขาเท่านั้น
เมื่อถึงเวลากลุ่มของเขาก็เดินทางกลับไปยังสำนักสวรรค์เร้นลับอีกครั้ง ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้วและดอกไม้ไฟก็ก็ขึ้นมาแต่งแต้มท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เมื่อดอกไม้ไฟลูกแรกขึ้นมาลูกต่อไปก็ตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
พื้นที่รอบรอบสำนักสวรรค์เร้นลับนั้นง่ายต่อการจุดดอกไม้ไฟ เพียงแต่หลังจากสำนักสวรรค์เร้นลับได้จุดดอกไม้ไฟแล้วคนที่อยู่รอบๆก็เริ่มจุดดอกไม้ไฟของตัวเองเช่นกัน พวกเขาอยู่ที่ลานฝึกฝนและมองท้องฟ้าที่สว่างไสว โลกใบนี้ช่างงดงามยิ่งนัก
น่าเสียดายที่อวี้ ลู่หยานไม่ได้อยู่กับเขาที่นี่ นี่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ในตอนนี้นางก็น่าจะคิดถึงเขาเช่นกัน ตระกูลชิงก็น่าจะเริ่มจุดดอกไม้ไฟแล้วเหมือนกัน… ทุกคนยังสบายดีไหมนะ…
ชิงสุ่ยยังคิดถึงลูกๆของเขา เขาไม่ใช่พ่อที่ดีเลยและได้ทำผิดต่อผู้คนมากมาย แต่พวกนางก็ไม่ได้เกลียดชังเขา ความพยายามที่เขาวางไว้ในวันนี้ก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพร้อมหน้ากัน
“มาเถอะ นำหุ่นเชิดพวกนี้ออกมากัน ดอกไม้ไฟจะมีมาเรื่อยๆและมันน่าจะงดงามยิ่งกว่านี้อีก” ชิงสุ่ยยิ้มและนำหุ่นเชิดสวรรค์ออกมาสวมที่มือของทุกๆคน
หุ่นเชิดพวกนี้ไม่ได้ดูสกปรกเลยเพียงแต่สีสันของมันดูธรรมดาเกินไป
ชิงสุ่ยนำเข็มมาจิ้มนิ้วของตนเองและจากนั้นก็หยดเลือดลงไปบนหุ่นเชิดสวรรค์ ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาดและหุ่นเชิดนี้ก็ดูจะมีจิตวิญญาณของตัวเองขึ้นมาทันที หากไม่ใช่เพราะว่าชิงสุ่ยมีความสามารถในการรับรู้ที่ทรงพลัง เขาคงคิดว่านี่เป็นภาพลวงตา
จากนั้นชิงสุ่ยก็พยายามที่จะเชื่อมต่อกับมันด้วยจิตแห่งปราณแต่เขาก็ยังไม่อยู่ในระดับที่สามารถทำได้ เขายังไม่ได้ทดสอบดูว่ามันสามารถเพิ่มพลังของเขาได้มากเพียงใด หญิงสาวทุกคนก็ทำแบบเดียวกับเขาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่อหุ่นเชิดพวกนี้
เรื่องเหล่านี้สามารถเข้าใจได้ง่ายทันทีเมื่อเขาแสดงให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว แม้ว่าพวกนางจะไม่มีความรู้ในเรื่องนี้แต่ก็เข้าใจเรื่องการผูกพันธะความเป็นเจ้าของ นี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างยิ่ง
ชิงสุ่ยคิดว่ามันน่าจะสามารถช่วยลดพลังโจมตีที่เข้ามาได้ 10% แม้เพียง 10% นั้นก็ถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะฝึกฝนมันให้ไปถึงระดับนั้นเช่นกัน
แม้ว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำที่ทรงพลังอย่างยิ่งในตอนนี้ มันก็สามารถลดพลังโจมตีของศัตรูลงไปได้เพียง 10% เท่านั้น ฮาหุ่นเชิดสวรรค์สามารถช่วยลดพลังโจมตีที่เข้ามาได้ 10% มันจะเทียบได้กับวชิระสยบอสูรของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ดังนั้นชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลยที่เขาจะเพิ่มความชำนาญของหุ่นเชิดสวรรค์ ในตอนนี้เป้าหมายของชิงสุ่ยนั้นคือช่วยลดพลังโจมตีที่เข้ามา 5%
ยิ่งมันเป็นสิ่งที่ทรงพลังและท้าทายสวรรค์มากเพียงใด มันก็ยิ่งยกระดับขึ้นได้ยากมากเท่านั้น นี่เป็นเหมือนความเท่าเทียมกันของโลกใบนี้ ดังนั้นไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่ามันมีความสามารถที่น่ากลัวเพียงใด แม้แต่ลูกประคำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ สมบัติที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักในหมู่สมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด มันมีความสามารถเพียงลดการโจมตีด้วยพลังวิญญาณที่เข้ามาลงไปได้ครึ่งหนึ่งและเป็นสมบัติที่ไม่สามารถยกระดับขึ้นได้
แต่ลูกประคำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์งั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง น่าเสียดายที่มันมีผลต่อพลังวิญญาณเท่านั้น
หุ่นเชิดสวรรค์ร้านมีผลทางการโจมตีด้วยพลังวิญญาณและการโจมตีปกติ ดังนั้นเพียงแค่ 10% ก็ถือว่าน่ากลัวมากยิ่งนักแล้ว แต่จะให้มันแสดงผลเช่นนี้ออกมาได้ระดับของมันก็ต้องอยู่ในระดับที่สูง แต่เมื่อเทียบกับตะเกียงร้อยวิญญาณและสมบัติชนิดอื่น มันเป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะเพิ่มระดับของมัน
เขามีเวลาอยู่มากมายและไม่ต่างกันเลยสำหรับเขาที่จะฝึกฝนอะไรเพียงอย่างเดียวหรือฝึกฝนเป็นร้อยอย่าง มันทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น
ท้องฟ้าในตอนนี้มืดสนิทลงไปแล้วแต่ดอกไม้ไฟก็ยังเปล่งประกายอยู่บนท้องฟ้า เสียงของดอกไม้ไฟดังออกไปทุกหนแห่งและสีสันของมันทำให้ท้องฟ้าในคืนนี้ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก ชิงสุ่ยหญิงสาวทุกๆคนนั่งอยู่ในศาลาหินพร้อมกับดื่มชาอย่างมีความสุข มันเป็นความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
นี่เป็นปีที่ 2 แล้วที่เขาได้มาถึงมหาทวีปอู่เซียตะวันตก มีเวลาอีก 3 ปีก่อนที่เขาจะจากที่นี่ไป ช่วงเวลา 3 ปีนี้เขารู้สึกว่าเขาสามารถอยู่ได้เพียงที่มหาทวีปอู่เซียตะวันตก หวังว่าเขาจะสามารถไปยังอีกฝั่งนึงของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกภายใน 3 ปีนี้และหาหนทางที่จะไปยังอีก 3 มหาทวีปที่เหลือได้
ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทำมันให้สำเร็จได้หรือไม่หรือเวลา 3 ปีจะเพียงพอหรือไม่ สำหรับชิงสุ่ยเวลา 3 ปีนั้นก็ถือว่ายาวนานยิ่งนัก ความสามารถของเขาควรจะพุ่งทะยานขึ้นไปมากกว่านี้ นอกจากนี้เขายังมีเหล่าสัตว์อสูรและสำนักสวรรค์เร้นลับที่คอยช่วยเหลือเขามากมาย
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและนี่ก็เป็นวันที่ 3 หลังจากวันปีใหม่แล้ว ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาหุ่นเชิดสวรรค์นั้นสามารถไปถึงระดับขั้นแรกได้ หลังจากลองทดสอบมันดูก็พบว่ามันสามารถลดพลังโจมตีที่เข้ามาได้เพียง 1% เท่านั้น
1% นั้นไม่ถือว่ามากเลยกล่าวตามตรงมันช่างน้อยนิดยิ่งนัก แต่ในภายภาคหน้าเมื่อระดับของมันเพิ่มมากขึ้น มันจะสามารถเพิ่มขึ้นไปถึง 5%ได้หรือไม่? หากมันสามารถเพิ่มขึ้นไปถึง 10% ได้เช่นนั้นเขาย่อมมีความสุขอย่างยิ่ง 10% นั้นถือว่าทรงพลังยิ่งนัก
สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยมีความสุขมากที่สุดนั้นคือหลังจากที่เขาได้อ่านสารานุกรมแห่งหุ่นเชิดสวรรค์ เขาก็พบว่ามันมีวิธีที่จะสร้างหุ่นเชิดสวรรค์ขึ้นมาได้ ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจกับวัสดุที่จำเป็นในการทำหุ่นเชิดสวรรค์รวมไปถึงไม้อับเฉา 1,000 ปี
อีกเรื่องหนึ่งคือชิงสุ่ยนั้นตระหนักได้ว่าหุ่นเชิดสวรรค์นั้นน่าจะมีความสามารถหรืออื่นนอกเหนือจากการลดพลังโจมตีที่เข้ามาได้ ของพวกนี้เป็นเพียงหุ่นเชิดสวรรค์ระดับต่ำ หุ่นเชิดสวรรค์ระดับสูงนั้นสามารถช่วยเพิ่มพลังโจมตี ความเร็ว หรือแม้กระทั่งสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยชีวิตตนเองได้
มันน่าเสียดายที่ชิงสุ่ยไม่อาจสร้างหุ่นเชิดสวรรค์ระดับนั้นได้ในตอนนี้ เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสร้างมันได้เช่นกัน ทำได้เพียงรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ หุ่นเชิดสวรรค์นั้นสามารถใช้ร่วมกับเครื่องรางแห่งสวรรค์ได้ เขากำลังศึกษาที่ทุกอย่างในสารานุกรมแห่งหุ่นเชิดสวรรค์และพยายามที่จะยกระดับมันขึ้น
มันไม่มีอันตรายใดๆในการศึกษาเรื่องพวกนี้สิ่งเดียวที่สูญเสียไปนั่นคือเวลาเท่านั้น เขาอาจจะยังไม่สามารถรับรู้ได้ถึงหนทางในการยกระดับคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล หลังจากที่ดินแดนหยกยุพราชอมตะของเขาได้ยกระดับมาถึงระดับที่ 8 เขาก็เหมือนเห็นหนทางของการไปสู่คลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลแต่น่าเสียดายที่หนทางนั้นยังคงไกลเหลือเกิน มันเหมือนกับก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ยากยิ่งนักที่จะไขว่คว้าเอามาได้
บทที่ 1273 – เริ่มลงมือ ตระกูลฟู่เป็นตระกูลแรก
เมื่อได้รู้ว่าเรื่องนี้ยังคงมีหวังชิงสุ่ยก็ยังคงมีความหวังเช่นกัน เขาเชื่อว่าเขาจะต้องยกระดับไปสู่คลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลได้อย่างแน่นอนและเมื่อถึงตอนนั้นพลังของเขาจะต้องพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง
ชิงสุ่ยก็มีความรู้สึกว่าหากเขาได้เข้าสู่คลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล เขาย่อมสามารถเข้าสู่ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้เช่นกัน กลุ่มคนที่เป็นเหมือนเทพเจ้าในโลกแห่งนี้!
เมื่อเลิกคิดเรื่องนี้ชิงสุ่ยก็ได้ปิดสารานุกรมแห่งหุ่นเชิดสวรรค์ลงไป ยิ่งอ่านไปมากเท่าไรสารานุกรมเล่นนี้ก็ดูจะลึกลับยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องการสร้างหุ่นเชิดสวรรค์ และการมอบจิตวิญญาณให้แก่มัน พวกมันย่อมช่วยเหลือในการต่อสู้ได้ ราวกับหุ่นเชิดของนิกายหุ่นเชิดสวรรค์
แต่การที่จะมอบจิตวิญญาณให้แก่มันได้นั้นต้องอยู่ในระดับที่สูงยิ่งนัก ระดับขั้นในการเขียนภาพขั้นจิตวิญญาณ… ชิงสุ่ยไม่คิดว่าระดับขั้นในการเขียนภาพจะมีความสำคัญในตอนนี้ ใช้ระดับขั้นในการเขียนภาพขั้นจิตวิญญาณและเขียนลงไปบนหุ่นเชิด เขาก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณของเขาเพื่อควบคุมมันได้
หุ่นเชิดสวรรค์จะทรงพลังมากเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เขียนภาพและยังรวมไปถึงพลังวิญญาณของผู้ใช้ แน่นอนว่ามันยังเกี่ยวข้องกับวัสดุที่ใช้ในการสร้างหุ่นเชิดด้วย วัสดุที่ใช้สร้างมันจะต้องเป็นไม้และแน่นอนว่ามันจะต้องมีระดับสูง โชคดีที่ยังมีไม้ที่ถือว่าคุณภาพสูงมากมาย อย่างเช่นเถาวัลย์อสูรกระหายเลือด มันก็ไม่ได้แย่เลยที่จะใช้เถาวัลย์นี้ในการสร้างหุ่นเชิด
ชิงสุ่ยวางแผนที่จะศึกษารายละเอียดของสารานุกรมแห่งหุ่นเชิดสวรรค์นี้อีกครั้งในอนาคต นั่นก็เพราะๆหุ่นเชิดสวรรค์นั้นมีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน เมื่อมันสร้างขึ้นจากทุกทุกอย่างที่มีระดับสูงเช่นนี้มันก็ควรจะมีความสามารถที่ไม่เลวนัก แต่ที่เขาคิดในตอนนี้คือเขาต้องไปให้ถึงระดับขั้นในการเขียนภาพขั้นจิตวิญญาณก่อน
ชิงซายังไม่เข้าร่วมกับสำนักสวรรค์เร้นลับ แต่ตอนนี้นางก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหญิงสาวหลายคน มันอาจเป็นเพราะด้วยอายุของนาง เมื่อนางได้เผชิญหน้ากับคนอื่นๆกลิ่นอายที่ทรงพลังและอันตรายของนางนั้นทำให้คนอื่นๆรู้สึกได้ถึงอันตราย แต่ชิงสุ่ยและหญิงสาวหลายคนก็ได้รู้สึกชินชาไปกับมันแล้ว
วันปีใหม่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ชิงสุ่ยรู้ว่ามีอีกหลายสิ่งที่เขาจะต้องจัดการในตอนนี้ ตัวอย่างเช่นตระกูลฟู่และตระกูลเทียน เหล่าผู้คนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขายังไม่ได้ลงมืออะไรในตอนนี้ เพราะพวกเขายังไม่ได้ทราบถึงสถานการณ์ในตอนนี้จึงไม่ได้มารุกรานชิงสุ่ยแต่อย่างใด
เขายังมีความคิดที่จะสังหารใครสักคนเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่น ในอดีตเขารู้สึกว่าเขาไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับต่างออกไปและมันก็เหมาะสมยิ่งนักที่เขาจะทำเช่นนี้ มันน่าเสียดายสำหรับเขาการลงมือเช่นนี้จะไม่ได้รับผลประโยชน์อื่นด้วย
ตระกูลฟู่นั้นเป็นกลุ่มคนที่โดดเด่นภายในสำนักสวรรค์เร้นลับ ตระกูลฟู่เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งภายในสำนักสวรรค์เร้นลับมาเป็นเวลานาน มันน่าเสียดายยิ่งนักเพราะเมื่อมันสืบทอดมาถึงรุ่นของฟู่ เหยียนเทียน สำหรับฟู่ เหยียนเทียนเอง การที่เขาทรงพลังยิ่งขึ้นและได้เป็นประมุขของสำนักสวรรค์เร้นลับ นี่ย่อมจะนำพาให้ตระกูลฟู่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด หากฟู่ เหยียนเทียนไม่ทะเยอทะยานเช่นนี้ คนรุ่นถัดไปของตระกูลฟู่ย่อมยากนักที่จะทำเช่นนี้ได้ในอนาคต
มันก็น่าเสียดายที่ฟู่ เหยียนเทียนนั้นได้เป็นคนพิการไปแล้วและมันก็ยากยิ่งนักสำหรับตระกูลฟู่ที่จะขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง พวกเขาทําได้เพียงเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ในตอนแรกชิงสุ่ยงั้นก็ไม่ได้คิดจะสังหารพวกเขาทั้งหมดแต่เมื่อคิดว่าตระกูลฟู่อาจจะลอบสังหารเขาได้ เขาจึงเปลี่ยนใจมาทำเช่นนี้ เมื่อพวกเขาได้ประกาศท่าทีของตนเองออกมาอย่างชัดเจนแล้วก็โทษเขาไม่ได้ที่จะไร้เมตตาเช่นนี้
ชิงสุ่ยเดินทางไปกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำและมาถึงท้องฟ้าเหนือตระกูลฟู่พร้อมกับวิหคเพลิงที่บินอยู่เหนือเขา
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น ตั้งแต่ตระกูลฟู่ได้ทำบางอย่างเช่นนี้ พวกเขาก็น่าจะมีการเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว เขารู้ว่าย่อมมีคนของตระกูลฟู่ที่จะออกมา
ในเวลาไม่ถึง 1 ก้านธูป ชายชรา 3 คนก็บินออกมาจากตระกูลฟู่ พวกเขาดูแก่ชราอย่างยิ่งและสวมชุดขาวที่ดูธรรมดาในขณะที่มองไปยังชิงสุ่ยด้วยสีหน้าที่ขึงขัง
“เจ้ามาที่ตระกูลฟู่ทำไมกัน?” ชายชราที่เป็นผู้นำนั้นมีดวงตาเป็นรูปสามเหลี่ยม คิ้วหนา จมูกแดง เขามีร่างกายที่สูงและกำยำ มีผมที่ฟูเหมือนกับราชสีห์ นี่ถือเป็นความผิดปกติที่มีมาแต่กำเนิด ชายชรามองตรงมายังชิงสุ่ยพร้อมกับเจตนาสังหารในดวงตาของเขา
“ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะรับสิ่งที่ติดค้าง พวกเจ้าพร้อมหรือไม่?” ชิงสุ่ยกล่าวเข้าเรื่องทันที เขารู้ว่าคนพวกนี้ย่อมเข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน แต่ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ว่าตระกูลฟู่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาทำตัวยโสโอหังได้ เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกาจที่สุดเพียงเพราะพรสวรรค์อันน้อยนิดนั่นนั้นหรือ” ชายชรามองตรงมายังชิงสุ่ยอย่างสงบนิ่ง แน่นอนว่าเขายังไม่ได้ยอบรับในสิ่งที่ชิงสุ่ยพูดไป แม้ว่ามันอาจจะมีหลักฐาน พวกเขาก็จะผลักไสมันให้กับแพะรับบาปสักคนหนึ่ง พร้อมบอกว่าคนๆนั้นทำด้วยเจตนาของตนเองและไม่เกี่ยวข้องใดๆกับตระกูลฟู่
“ข้าไม่ได้มาเพื่อเจรจาในวันนี้ ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับมันหรือไม่ ข้าก็จะมาเพื่อสังหารในวันนี้” ชิงสุ่ยกล่าวทุกๆคำอย่างชัดเจน
“เจ้าคิดว่าตนเองสูงส่งมากนักนั้นหรือ นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาทำตัวอวดเก่งได้ แม้ว่าประมุขของสำนักสวรรค์เร้นลับจะให้ท้ายเจ้า ข้าก็จะทวงคืนความยุติธรรมในวันนี้” สายตาแห่งความชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของชายชรา
“เพราะมีคนแบบพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดตระกูลฟู่จึงได้เสื่อมโทรมลงไป วันนี้ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อรับสิ่งที่พวกเจ้าติดค้างข้าเอาไว้ ลงมือเถอะ อย่าเสียเวลากันอีกเลย”
ชิงสุ่ยใช้เกราะอสูรสำแดงของเขาในทันทีและจากนั้นมังกรไอยราเกล็ดทองคำก็ปล่อยวชิระสยบอสูรออกไป!
เมื่อจัดการกับคนเหล่านี้ สิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการคือจัดการกับที่ทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงใช้ปราณจักรพรรดิทันที
ตราประทับซวนเทียน!
ก้าวพสุธามังกรไอยรา!
อากาศโดยรอบเป็นเหมือนกับน้ำวนที่ระเบิดขึ้น แม้ว่าเขาจะลงมือโดยปราศจากอาวุธ ชิงสุ่ยก็มีพลังที่เทียบได้กับคนอื่นๆที่ได้ถืออาวุธในตำนาน คนอื่นๆย่อมไม่อาจเข้าใจได้ว่าชิงสุ่ยนั้นทรงพลังมากเพียงใด
เพลิงนรกภูมิ!
พลังของชายชราทั้ง 3 คนนั้นอยู่ที่ประมาณ 5,000 สุริยา มันถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้แต่ประมุขของนิกายบงกชเทวะก็มีพลังเพียง 6,000 สุริยาเท่านั้น แน่นอนว่าประมุขของนิกายไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดภายในนิกายนั้นๆ
ด้วยพลังของพวกเขา พวกเขาถือเป็นกลุ่มคนที่ทรงพลังที่สุดภายในตระกูลฟู่ แต่ก็ยังมีชายชราอีกหลายคนที่เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ พวกเขาจะมีชีวิตอยู่หรือไม่นั้นก็ไม่มีใครรู้ ชายชราทั้ง 3 คนจากตระกูลฟู่นั้นถือเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในตระกูลฟู่แล้ว ในตอนนี้พวกเขาออกมาเพื่อกำจัดชิงสุ่ย มิฉะนั้นตระกูลฟู่จะต้องทุกข์ทรมานกับปัญหาที่ไม่มีที่สิ้นสุดในอนาคต
พลังเป็นสิ่งที่พวกเขาใช้ในการบดขยี้ศัตรูมากมาย พวกเขารู้สึกว่าชิงสุ่ยนั้นมีพลังเพียง 3,000 สุริยาหรืออาจจะไม่ถึง 3,000 สุริยาเลยก็ได้ ความแตกต่างระหว่าง 2,000 และ 3,000 สุริยานั้นก็ถือว่ามากยิ่งนักและความแตกต่างระหว่าง 3,000 ถึง 4,000 สุริยานั้นก็เป็นเหมือนคนละโลกกันเลย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงดูมั่นใจยิ่งนัก
แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็จะได้รู้ว่าที่เป็นเพราะความโง่เขลาของตนเอง พวกเขารู้สึกอ่อนแอลงไปในทันทีและเหลือพลังอยู่เพียง 3,500 สุริยา…
พลังมากกว่า 5,000 สุริยาถูกลดลงมาจนเหลือเพียง 3,500 สุริยา… ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่กระทันหันเช่นนี้ได้ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้มีปฏิกิริยาอะไรตราประทับซวนเทียนก็ได้พุ่งเข้ามาปะทะกับพวกเขา ในตอนนี้ทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตระหนก เพราะความประมาทของพวกเขาตระกูลฟู่อาจจะถึงจุดจบได้ในวันนี้
พลังจากก้าวพสุธามังกรไอยราได้เข้ามาปะทะกับพวกเขาแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกมึนงงแต่อย่างใด แต่ในตอนนี้เองวิหคเพลิงก็ได้เริ่มโจมตี
เพลิงนรกภูมิ!
พลังโจมตีกว่า 4,000 สุริยา!
มันถือว่าง่ายยิ่งนักที่จะจัดการชายชราทั้ง 3 คนที่เหลือพลังอยู่เพียง 3,500 สุริยา ในตอนนี้ทั้งในด้านของพลังโจมตีและความเร็ว วิหคเพลิงนั้นได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เคล็ดวิชาเปลวเพลิงแห่งนรก!
เพลิงนรกภูมิ!
หนึ่งในชายชราสามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้เพียงครั้งแรก ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งที่ 2 และได้รับบาดเจ็บหนักในการโจมตีที่ 3 การโจมตีแต่ละครั้งนั้นทำให้วิหคเพลิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและโบกสะบัดปีกอันทรงพลังของมันพร้อมกับตรงเพลิงนรกภูมิไปยังชายชราทั้งสามคน
หายไปซะ!
ชายชราถูกทำลายจนไม่มีอะไรหลงเหลือไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 1 ลมหายใจเท่านั้น
เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจยอดฝีมือที่มีพลังกว่า 5,000 สุริยาก็ต้องจบลงด้วยสภาพเช่นนี้…
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ว่าพลังที่แท้จริงของวิหคเพลิงนั้นมีมากเพียงใด เมื่อประสานงานกับปราณจักรพรรดิของเขาและวชิระสยบอสูรของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังกว่า 5,000 สุริยาย่อมไม่อาจรับมือกับพลังนี้ได้แม้เพียงหนึ่งลมหายใจ
นี่ถือเป็นความประหลาดใจอย่างยิ่งสำหรับชิงสุ่ยในขณะที่มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับชายชราที่เหลืออีก 2 คน พวกเขาทั้งสามคนนี้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และหากวิหคยักษ์สีดำตัวนี้ต้องการจะกำจัดพวกเขา มันคงเป็นเรื่องที่พวกเขาจะไม่อาจต่อต้านอะไรได้เลย
ชายชราอีก 2 คนก็มองตากันอย่างรวดเร็วและกวัดแกว่งกระบี่ที่อยู่ในมือของพวกเขา ราชันย์แมลงยักษ์เกราะน้ำแข็ง 2 ตัวก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่ข้างๆพวกเขา สัตว์อสูรทั้ง 2 ตัวนี้เหมือนกับก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างเหมือนแมลง มันมีขนาดยาวกว่าร้อยเมตรและเหมือนกับภูเขาขนาดย่อมๆ ในตอนที่มันปรากฏตัวมามีหมอกน้ำแข็งปรากฏอยู่รอบตัวมัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัสกับหมอกน้ำแข็งนี้จะกลายเป็นน้ำแข็ง
สัตว์อสูรบรรพกาลวิวัฒนาการ!
ชิงสุ่ยมองไปยังแมลงทั้งสองตัวนี้ที่ดูเหมือนจะทรงพลังยิ่งกว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำเด็กน้อยแต่ยังคงไม่อาจเทียบได้กับเพลิงทองคำเบญจธาตุ แต่ในด้านของธาตุทั้ง 5 นั้น ธาตุไฟนั้นแพ้ทางธาตุน้ำ
แต่แม้ว่าน้ำแข็งนั้นจะจัดอยู่ในธาตุน้ำ ความสามารถของพวกมันกับวิหคเพลิงนั้นต่างกันมากเกินไปและพวกมันคงสามารถรับมือได้เพียงครู่หนึ่งก่อนจะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน พวกมันอยู่ในระดับเดียวกันกับวิหคเพลิง ชิงสุ่ยอาจจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเพราะธาตุของสัตว์อสูรของเขานั้นถือว่าแพ้ทาง ในตอนนี้ชายชราทั้ง 2 คนต่างแบกรับอนาคตของตระกูลฟู่เอาไว้บนบ่าของพวกเขา
ทันใดนั้นหนึ่งในพวกเขาก็หยิบก้อนหินที่มีสีสันสดใสออกมา สำหรับชิงสุ่ยมันดูเหมือนหินธรรมดา แต่เมื่อตอนที่ชายชราโยนมันขึ้นไปกลางอากาศมันก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่
ในตอนที่มันระเบิดขึ้นนั้นเสียงของระเบิดก็ดังออกไปไกล
นี่เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือนั้นหรือ?
ชิงสุ่ยระวังตัวในทันที เขาได้สังหารชายชราไปแล้ว 1 คนและคงไม่ปล่อยให้อีก 2 คนนั้นรอดไปได้ ด้วยประกายแห่งความดุดันในสายตาของเขา เขาก็ได้ใช้ฝ่ามือพุทธองค์ทองคำออกมาเพื่อกักขังชายชราไว้
วิหคเพลิงปลดปล่อยการโจมตีของมันอีกครั้ง!
หลังจากที่ชายชรานั้นอ่อนแอลงพวกเขาก็มีพลังเท่ากับชิงสุ่ย วิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำนั้นกำลังสังหารยอดฝีมือที่มีพลังกว่า 3,500 สุริยา นี่ถือเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งนัก หากปราศจากปราณจักรพรรดิและวชิระสยบอสูร ชิงสุ่ยย่อมไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถจัดการกับชายชราของตระกูลฟู่ได้
ในตอนที่ผู้คนของตระกูลฟู่ได้ออกมาที่นี่นั้น ทั้งฟู่ เหยียนเทียนและฟู่ เหยียนติงก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ในตอนนี้ฟู่ เหยียนเทียนได้กระอักเลือดออกมาและหมดสติไป
ฟู่ เหยียนติงนั้นมองตรงมายังชิงสุ่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองพยาบาท ชิงสุ่ยร่อนลงมาสู่พื้นอย่างช้าๆ “ข้าจะไม่สังหารพวกเจ้าพวกเจ้าทำลายพลังยุทธ์ของตนเอง มิฉะนั้นพวกเจ้าก็จะเป็นเหมือนเขา”
เมื่อชิงสุ่ยกล่าวเช่นนี้พร้อมกับสะบัดมือ เขาก็ฟาดฟันไปยังฟู่ เหยียนติงด้วยฝ่ามือของเขา ชิงสุ่ยเห็นความแค้นเคืองภายในสายตาของฟู่ เหยียนติง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกรงกลัวฟู่ เหยียนติงก็ตาม ชิงสุ่ยก็ไม่ชอบที่จะลอบทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีเช่น
ฟู่ เหยียนเทียนอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็เป็นได้และดังนั้นจึงไม่จำเป็นสำหรับชิงสุ่ยที่จะต้องลงมือใดๆอีก
ชิงสุ่ยไม่ได้อยากที่จะกำจัดผู้ใดอย่างถอนรากถอนโคนแต่เขาก็ไม่อยากที่จะมีเมตตามากจนเกินไป เมื่อถึงเวลาที่ต้องสังหาร เขาก็จะไม่มีเมตตาใดๆ มีบางคนไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ตัวอย่างเช่นฟู่ เหยียนติง ยิ่งไปกว่านั้นฟู่ เหยียนเทียนยังสมควรที่จะตายเช่นกัน
ความโหดเหี้ยมของชิงสุ่ยทำให้ทุกๆคนต้องตกตะลึง หลังจากที่แม้แต่ชายชราทั้ง 3 คนก็ถูกกำจัดออกไป พวกเขาจะสามารถทำอะไรได้อีกอัน?
ทุกคนของตระกูลฟู่ต่างตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว หากไม่มีพลังยุทธ์พวกเขาก็จะเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต สำหรับใครหลายๆคนเมื่อทำลายพลังยุทธ์ของพวกเขาไป เวลาชีวิตของพวกเขานั้นก็จะเหลืออีกไม่มากนัก
“ข้าสามารถแสดงความจงรักภักดีต่อท่านแทนได้หรือไม่?” ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความหวาดกลัว
เพียงแค่หมัดเดียว ชิงสุ่ยก็ทำให้เขากระเด็นไป และสังหารเขาไปในทันที
ตระกูลฟู่ไม่มีสิทธิ์ที่จะเจรจาใดๆ
“ฆ่ามัน! โจมตีไปที่มันพร้อมๆกัน! เราทุกคนต่างเป็นคนของตระกูลฟู่!” ชายชราอีกคนตะโกนออกมาคนทีและพุ่งตรงไปยังชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาขณะที่มองไปยังคนประมาณ 20 คนที่กำลังพุ่งตรงมาที่เขา
นิ้ง!
วิหคเพลิงพุ่งถลาลงมาหาพวกเขา มันปลดปล่อยเคล็ดวิชาเปลวเพลิงแห่งนรกออกมา กลุ่มของคนที่กำลังพุ่งตรงมาหาเขาก็ถูกทำลายไปทันที
“หยุดนะ” เสียงที่ดูแก่ชราดังขึ้น มันปลดปล่อยแรงกดดันออกมาอย่างมาก
บทที่ 1274 – ปล่อยวางเจตนาฆ่าฟัน รูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์ โลหิตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์
เสียงที่ได้ยินนั้นทำให้ชิงสุ่ยต้องขนลุก มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับถูกจ้องมองไปทั่วทั้งตัว ราวกับว่าตอนนี้เขากำลังแก้ผ้าอยู่ในที่สาธารณะ
ร่างกายของชิงสุ่ยรู้สึกหนาวเหน็บไปในทันที ขนทั่วร่างกายของเขาตั้งชันขึ้น เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากำลังสั่นแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้รู้สึกหนาวก็ตาม หลังจากนั้นก็มีชายชราปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนือตระกูลฟู่
ชายชรามีร่างกายที่ผอมแห้งจนหนังติดกระดูกราวกับปีศาจที่อดอยากมานานหลายปี ขณะที่เขามองไปยังชายชรา ชิงสุ่ยก็มีความรู้สึกว่าชายชราอาจจะตายไปได้ตลอดเวลา แต่มันมีวัตถุประหลาดที่ดูเหมือนแท่งหินภายในร่างกายของเขาซึ่งดูเหมือนมันจะคอยมอบพลังชีวิตให้แก่เขาอยู่
หินแห่งชีวิต!
เพียงมองแค่ครั้งเดียว ชิงสุ่ยก็สามารถจดจำสิ่งที่เขาเคยได้รับมาก่อนหน้านี้ได้ ในตอนนั้นที่เขาได้รับบาดเจ็บหนักจากผู้คนของนิกายเทวะทรราชย์สวรรค์และเหลือเวลาชีวิตอีกเพียงหนึ่งหรือสองวันเท่านั้น ก่อนหน้านั้นติ๊เฉินได้สวมจี้หยกที่ทำขึ้นมาจากหินแห่งชีวิตให้แก่เขา มันทำให้เขายืดเวลาชีวิตออกไปได้อีกประมาณ 3 ปี
มันยังเป็นเพราะหินแห่งชีวิตซึ่งติ๊เฉินได้มอบให้แก่เขาจึงทำให้เขาสามารถเข้าใจในปราณแห่งการหวนคืน และผ่านอาการบาดเจ็บครั้งนั้นมาได้จนเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง ตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่าชายชราก็มีหินแห่งชีวิตดีเช่นกัน นอกจากนี้ดูเหมือนว่าพลังของหินนี้ใกล้จะหมดไปแล้ว มันย่อมไม่มีปัญหาสำหรับหินแห่งชีวิตที่จะช่วยยืดเวลาชีวิตให้แก่ชายชราเป็นเวลา 1 ปีหรือครึ่งปี แต่ตอนนี้พลังของมันเกือบจะหมดไปแล้วเพราะร่างกายของชายชรานั้นได้ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายอันทรงพลังออกมา
“ท่านบรรพบุรุษ!”
……
แม้ว่าชิงสุ่ยคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีบรรพบุรุษของตระกูลที่เข้ามาช่วยเหลือตระกูลฟู่ แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดว่านี่จะเป็นบรรพบุรุษของตระกูลนี้
ในตอนที่ชายชราได้มาปรากฏตัวขึ้น เขาก็ยังไม่ได้ลงมือใดๆ ตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้เขาเพียงมองไปยังชิงสุ่ยและไม่แม้แต่เหลือบมองไปยังผู้คนของตระกูลฟู่เลย
ชิงสุ่ยนั้นระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ในเวลาเดียวกันเขายังรู้สึกได้ถึงพลังของชายชราและรีบลดพลังของเขาลงไปทันทีด้วยเคล็ดวิชาของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามพวกเขาจะต้องถูกทำให้อ่อนแอลง ชิงสุ่ยเลือกที่จะทำเช่นนี้ก่อนและค่อยต่อสู้ภายหลัง เขาไม่มีทางประมาทในตอนนี้อย่างแน่นอน
แต่ชิงสุ่ยก็ต้องตกตะลึงไปเมื่อชายชรานั้นถูกทำให้อ่อนแอลง เขายังคงมีพลังที่มากเกินกว่า 5,000 สุริยาและเกือบจะถึง 6,000 สุริยา นี่หมายความว่าก่อนหน้านี้ชายชรานั้นมีพลังประมาณ 9,000 สุริยา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดชิงสุ่ยจึงรู้สึกได้ถึงอันตราย
ประมุขของสำนักสวรรค์เร้นลับได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าผู้ที่ทรงพลังที่สุดในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกนั้นมีพลังประมาณ 8,000 สุริยา เป็นชายชราผู้นี้หรือไม่ที่เขาได้กล่าวถึงในตอนนั้น?
ชายชรานั้นดูราวกับปีศาจผู้ชั่วร้ายเมื่อเขามองตรงมายังชิงสุ่ย แม้ว่าหลังจากที่เขาจะถูกทำให้อ่อนแอลงเขาก็ยังไม่ได้ลงมือใดๆ เพียงแต่กล่าวขึ้นช้าๆว่า “พรสวรรค์ของเจ้านั้นช่างเปล่งประกายยิ่งนัก เหตุใดเจ้าจะต้องทำลายแบบถอนรากถอนโคนเช่นนี้? หากเจ้าปล่อยให้คนของตระกูลฟู่รอดไป แม้ว่าจะมีคนของตระกูลฟู่มากมายที่ต้องการขัดขวางเจ้าพวกเขาก็ไม่อาจทำได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเจ้าเลือกที่จะปล่อยวางเจตนาฆ่าฟันในจิตใจของเจ้า เจ้าอาจจะได้รับความรู้ในแง่มุมใหม่ๆของชีวิตก็เป็นได้..”
ชิงสุ่ยมองไปยังชายชรา ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้คิดว่าจะจบเรื่องนี้แบบอื่นเลย นอกจากนี้การฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแม้ว่าเขาจะยังทำมันไม่สำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนักสำหรับตระกูลฟู่ที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขาไปได้
“เมื่อท่านกล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้ ท่านคิดเช่นไรหากจะต้องต่อสู้กับข้าเมื่อท่านพูดจบแล้ว?” ชิงสุ่ยรู้ว่าชายชราไม่อยากจะต่อสู้กับเขา เขารับรู้ถึงเจตนาเช่นนี้ได้
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าเอาชนะข้าได้ ในภายภาคหน้าเจ้าจะต้องก้าวหน้าไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตระกูลฟู่จะต้องขอความเมตตาจากเจ้าในวันนี้ เช่นนี้เป็นไร? ข้าจะมอบของพวกนี้ให้แก่เจ้าเพื่อแลกกับความปลอดภัยของผู้คนในตระกูลฟู่ ปล่อยพวกเขาออกไปจากที่นี่และให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดา เช่นนี้ดีหรือไม่?” ชายชราถอนหายใจและมองไปยังชิงสุ่ย
“โอ้ ท่านต้องการแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างกับชีวิตของพวกเขานั้นหรือ?” ชิงสุ่ยถามเช่นนี้แม้ว่าเขาจะทราบคำตอบของมันอยู่แล้ว
“ใช่!”
“แต่อย่างแรกข้าต้องการทราบว่าของสิ่งนั้นคืออะไร ข้าอยากรู้จริงๆว่ามันจะมีค่ามากพอที่จะแลกเปลี่ยนกับชีวิตของคนพวกนี้หรือไม่” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างไม่ได้สนใจอะไร
“ได้เลย รับมันไป” ชายชราโยนถุงแพรมิติให้กับชิงสุ่ยทันที
ชิงสุ่ยตรวจสอบภายในของมันด้วยการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาทันที พื้นที่ภายในถุงแพรมิตินี้นั้นมีขนาดเล็กและมีพื้นที่เพียง 1 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น มีสิ่งของไม่กี่อย่างภายในนั้นและสิ่งที่มีมากที่สุดนั้นคือหินหยางสวรรค์ ถึงแม้ว่าชิงสุ่ยจะมีของพวกนี้อยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นหินหยางสวรรค์เขาจะไม่บ่นกับตัวเองเลยหากเขามีมันมากเกินไป เพราะเขาคือช่างตีเหล็ก
มันยังมีกระบี่หินหยางสวรรค์ น่าเสียดายที่ระดับในการสร้างของกระบี่เล่มนี้นั้นต่ำเกินไป แต่หากเขานำมันออกไปภายนอกต้องมีคนมากมายจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงกระบี่เล่มนี้ ดังนั้นมันก็ถือว่าล้ำค่าอย่างยิ่ง ของ 2 สิ่งสุดท้ายนั้นก็คือขวดกระเบื้องเคลือบ 2 ขวดเล็กๆ
ชิงสุ่ยรีบตรวจสอบมันทันที สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจนั่นก็คือ ขวดแรกนั้นมีโลหิตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์บรรจุอยู่ภายใน ขวดนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยแต่มันก็ยังทำให้เขาต้องประหลาดใจ ภายในนั้นบรรจุไปด้วยไข่ของหนอนไหมหิมะจำนวน 2 ลูก ในตอนที่ชิงสุ่ยเรียกการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขากลับคืนมา เขาก็มองไปยังหินธรรมดาที่อยู่ตรงหน้า และก็ต้องตกตะลึงเมื่อตรวจสอบหินนี้
รูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์!
เมื่อพูดถึงรูปแบบที่สลักไว้บนศิลาเช่นนี้ ผู้ใช้นั้นจะสามารถเพิ่มพลังของรูปแบบได้เป็น 2 เท่า สำหรับรูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์มันสามารถยกระดับขึ้นได้และพลังของรูปแบบนี้ก็จะสามารถเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
ดวงตาของชิงสุ่ยเปล่งประกายอย่างยิ่งในตอนนี้ ของที่อยู่ในนี้ต่างล้ำค่าอย่างยิ่ง เพียงแค่รูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่อาจประเมินค่าได้แล้ว เพียงแต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่าของพวกนี้ใช้งานยังไง
“ท่านไม่กลัวงั้นหรือเพราะข้าจะสังหารท่านหลังจากที่ได้รับของพวกนี้ไปแล้ว?” ชิงสุ่ยถามชายชรา
“หากมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าก็เพียงได้แต่โทษดวงตาของข้าว่ามันมืดบอดจริงๆ” ชายชราไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้สีหน้าของเขาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย
“ข้าจะปล่อยพวกเขาไป ข้าหวังว่าท่านจะบอกพวกเขาได้พวกพวกเขาควรทำสิ่งใด พวกท่านสามารถตัดสินใจได้ว่าจะอยู่ต่อไปที่สำนักสวรรค์เร้นลับหรือจากไป” ชิงสุ่ยไม่ได้กังวลว่าพวกเขาจะทำอะไรต่อไป นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าเมื่อหมดวันนี้ไปจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถรอดชีวิตไปได้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมือใดๆ ก็ยังมีคนอื่นๆที่พร้อมลงมือในเรื่องนี้เช่นกัน
“พวกเราจะจากไป อย่ากังวลไปเลย คำพูดของข้านั้นเชื่อถือได้เสมอ แม้ว่าข้าจะเป็นคนที่ใกล้จะตายแล้ว นอกจากนี้ย่อมไม่อาจแก้แค้นเจ้าได้ ถ้าจะทำลายการบ่มเพาะของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา” ชายชรากล่าวอย่างสงบนิ่ง
ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าชายชราจะมีความคิดเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้อาจจะถือว่าเป็นการช่วยให้ตระกูลฟู่อยู่รอดเพื่อสืบทอดตระกูลของพวกเขาต่อไปได้ในระดับหนึ่ง โดยการกระทำเช่นนี้เป็นเหมือนการตัดธนาในการแก้แค้นของพวกเขาออกไป สำหรับคนที่อยู่มานานแบบเขา ชายชราได้เห็นโลกมาเกือบทุกๆด้านแล้ว เมื่อเทียบกับการเอาชีวิตรอด ความรักและการแก้แค้นก็เป็นเหมือนก้อนเมฆที่ล่องลอยไปบนท้องฟ้า พวกมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย
ชีวิตนั้นถือว่ายากลำบากยิ่งนัก ดังนั้นจงรักษาชีวิตให้ดี เมื่อเทียบกับการอยู่รอดของตระกูลก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่านี้อีก ต้องมีชีวิตอยู่เท่านั้นจึงจะมีความหวังต่อไปได้
……
ชิงสุ่ยจากมาในทันทีและกลับมายังที่พักของเขา ในเวลาเดียวกันเรื่องของตระกูลฟู่ก็ได้กระจายออกไปทั่วสำนักแห่งนี้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผู้ที่รู้สึกกังวลมากที่สุดคงไม่ใช่ใครนอกจากตระกูลเทียนและตระกูลอื่นๆที่วางแผนร่วมกันลอบสังหารชิงสุ่ย
สำหรับตระกูลฟู่ พวกเขาจากไปอย่างรวดเร็วภายในวันนั้นโดยไม่มีแม้ร่องรอยใดๆทิ้งไว้เลย ผู้ที่มีระดับสูงภายในสำนักสวรรค์เร้นลับต่างก็ไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องนี้ ชายชราในชุดมังกรทองได้เตือนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้วและปีศาจเฒ่าหลายคนยังไม่ได้ถามสำนักสวรรค์เร้นลับมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ไปรบกวนพวกเขาเลย
หากไม่ใช่เพราะว่าบรรพบุรุษของตระกูลฟู่นั้นใกล้จะจบชีวิตแล้ว เรื่องนี้อาจจะจบอีกแบบนึงเลยก็เป็นได้ ชายชรารู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย ตระกูลฟู่นั้นตั้งอยู่ภายในสำนักสวรรค์เร้นลับ แต่เมื่อเทียบกับสำนักแห่งนี้แล้ว ตระกูลฟู่นั้นนก็ถือว่าไม่มีส่วนข้องเกี่ยวใดๆเลย ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นคนที่ได้รับการคุ้มครองโดยสำนักสวรรค์เร้นลับ แม้ว่าเขาอยากจะลงมือกำจัดชิงสุ่ยไป เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่ามันจะทำได้สำเร็จ แต่หากเขาต้องเผชิญหน้ากับชิงสุ่ยจริงๆในตอนนี้ เขาจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆเลยแม้แต่น้อย
“ชิงสุ่ย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” องค์หญิงใหญ่นั้นก็ได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นของตระกูลฟู่
“ข้าสบายดี ข้าจะช่วยท่านกวาดล้างอุปสรรคทั้งหมดภายในสำนักสวรรค์เร้นลับ หลังจากนั้นข้าจะช่วยให้ท่านได้ปกครองสํานักแห่งนี้” ชิงสุ่ยยิ้มและตอบกลับไป สำนักสวรรค์เร้นลับงั้นเรียบง่ายยิ่งนัก ด้วยความช่วยเหลือของเขา นางจะสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ได้อย่างง่ายดาย
ในกรณีที่ต้องเผชิญหน้ากับตระกูลฟู่ ชิงสุ่ยก็จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา คน 3 คนที่มีพลังประมาณ 5,000 สุริยาต่างถูกเขากำจัดไปในช่วงเวลาสั้นๆ การต่อสู้ครั้งนี้เพียงพอที่จะช่วยให้เขาโดดเด่นยิ่งขึ้นภายในสำนักสวรรค์เร้นลับ นอกจากนี้เขายังเป็นคนของพาไลหิมะหวนและที่สำคัญที่สุดเขายังได้รับความช่วยเหลือจากพาไลหิมะหวน อวี้ซูหนี่
“อย่าใจร้อนมากนัก ทำตามกำลังของเจ้าก็พอ” องค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้วของนางเล็กน้อยและกล่าวออกมา
“อย่ากังวลไปเลย ข้ายังไม่ได้รู้สึกอยากตายตอนนี้ ข้าขอตัวไปพักก่อน” ชิงสุ่ยกลับเข้าไปยังห้องของเขา
ในวันนี้เขาไม่ได้คิดจะไปจัดการตระกูลเทียนและตระกูล การต่อสู้ในวันนี้ได้มอบประโยชน์ให้แก่เขามากมาย เขาเชื่อว่าในตอนนี้เขาจะสามารถเพิ่มพลังขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงตรงเข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ
เขาเริ่มต้นด้วยการศึกษารูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์
ที่ศิลาแผ่นนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือและทุกๆด้านของมันนั้นมีความแหลมคม ตรงกลางมีลักษณะนูนออกมาเป็นรูปไข่ มันคล้ายคล้ายกับลูกดอกแต่ก็มีขนาดใหญ่กว่ามาก เมื่อสัมผัสมันชิงสุ่ยเขาก็รู้สึกว่ามันเย็นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผันผวนทางจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
ชิงสุ่ยค่อยๆส่งพลังเข้าไปจากฝ่ามือของเขา ในตอนนี้เขาไม่อยากใส่แรงมากจนเกินไปจนทำลายแผ่นหินนี้ แต่รูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์นี้นั้นถือว่าแข็งมาก แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะไปพลังเข้าไปมากจนเกินไปเพราะหากมันเกิดพังทลายขึ้นมาเขาก็ทำได้เพียงแค่ร้องไห้เจ้านั้น
ของชิ้นนี้ไม่จำเป็นต้องผูกพันธะสัญญาเลือดเพราะมันสามารถใช้ได้ทันที สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยประหลาดใจนั่นก็คือจำนวนของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์สามารถดูดซับเข้าไปนั้นถือว่ามากยิ่งนัก ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงขั้นแรกของรูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์
เขาไม่รู้ว่ารูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในขั้นแรกหรือไม่หรือมันจะเคยมีเจ้าของมาก่อนหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็รู้สึกมีความสุขจริงๆที่รูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถเพิ่มพลังให้แก่ผู้ที่ถือมันเอาไว้ได้ถึง 1 เท่าในทันที
หลังจากศึกษามันจนเสร็จสิ้นชิงสุ่ยก็ใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวาทันที
ด้วยทักษะย่างก้าว 9เทวา เทวาทั้ง 9 นั้นยังถือว่าเป็นรูปแบบกับดัก การดำเนินไปของเวลาภายในพื้นที่ของรูปแบบนี้จะช้าลงไป นอกจากนี้พื้นที่ที่มันแผ่ขยายออกไปนั้นก็มีขนาดกว้างยิ่งขึ้น ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขา รวมไปถึงปฏิกิริยาตอบสนองของเขานั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เขาฝึกฝนต่อไปราวกับไม่รู้จักความเหนื่อยล้า และหยุดลงหลังจากเวลาได้ผ่านไปนาน ขนาดที่ใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวา เขาก็ยังฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊ก หมัดวานรปฤษฎางค์ รูปแบบพยัคฆ์ และเคล็ดวิชาอื่นๆของเขา เคล็ดวิชาพวกนี้มีความแข็งแกร่งในระดับที่ทำให้เขาพึงพอใจอย่างยิ่ง ความเสียหายที่สร้างขึ้นจากเคล็ดวิชาพวกนี้นั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ที่มุมหนึ่งของดินแดนหยกยุพราชอมตะ นั้นก็มีลานหินขนาดใหญ่ ด้านบนของมันนั้นคือ เชือกตรึงอสูร ระฆังสะท้านจิต ตะเกียงร้อยวิญญาณ กลองสะบั้นสวรรค์ หินสลักมังกรขด หยกผสานวิญญาณ และอื่นๆ แน่นอนว่ายังมีรูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน
หินหยางสวรรค์และวัสดุในการสร้างอาวุธอื่นๆนั้นถูกกองเอาไว้รวมกัน พวกยาและสมุนไพรอื่นๆนั้นถูกรวมเอาไว้อยู่บนลานหินอีกที่หนึ่ง ส่วนผสมต่างๆในการหมักสุราและสุราหมักอยู่นั้นได้รับการจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ลานหินทั้งหมดนี้อยู่ใกล้ๆกันแต่ก็ไม่ได้ชิดกันจนมากเกินไป นอกจากนี้มันยังแบ่งออกเป็นหลายชั้น
ความสามารถของรูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์นั้นน่าสนใจยิ่งนัก หลังจากที่ชิงสุ่ยได้ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบนี้มามากมาย พลังของเขาก็เหมือนจะพุ่งทะยานไปอีกครั้งในตอนนี้ เขาคิดถึงตอนที่เขายังอยู่ในระดับต่ำ ในตอนนั้นเขาได้แต่สงสัยว่าเขาจะมีพลังมากเพียงใดเมื่อมาถึงระดับในตอนนี้
ชิงสุ่ยวางหินหยางสวรรค์ไว้บนลานหินที่มีวัสดุสำหรับสร้างอาวุธกองรวมกันเอาไว้ เขาวางกระบี่ที่ได้รับเอาไว้ที่นี่เช่นกัน และคิดจะหลอมมันขึ้นมาใหม่เมื่อมีโอกาสในอนาคต
หลังจากนั้นเขาก็นำโลหิตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ในขวดที่เขาได้รับมานั้นมีปริมาณโลหิตนี้อยู่เพียงไม่กี่หยด แต่ละหยดของมันนั้นมีขนาดเท่านิ้วโป้งและเหนียวอย่างยิ่ง มันมีความผันผวนของพลังมากยิ่งนักอยู่ภายในนั้น เมื่อชิงสุ่ยตรวจสอบมันด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ของเขา มันก็บอกเพียงว่าใช้ป้อนเป็นอาหารสำหรับสัตว์อสูรเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของพวกมัน
มันก็เหมือนกับตอนที่ชิงสุ่ยได้รับยาเม็ดเสริมอสูรสีชาดจากแก่นแท้ของหมาป่าจันทรา 9เศียร นั่นถือเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์จากตำนาน มันสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เคล็ดวิชาที่มีมาแต่กำเนิดของสัตว์อสูรได้ และยังให้ผลที่ดียิ่งขึ้นสำหรับสัตว์อสูรประเภทหมาป่าและสัตว์อสูรที่มีศีรษะมากกว่าหนึ่ง พลังที่เพิ่มขึ้นจากยาเม็ดนี้มันถือว่ามากมายเลย ในตอนนี้มันอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนที่ค่อนข้างน้อย แต่เมื่อเทียบกับระดับของเขาในตอนนี้มันถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง แม้แต่ยาวิเศษที่มีเพียงเหล่ายอดฝีมือสามารถใช้ได้ เมื่อคนธรรมดาได้รับมันเข้าไป แม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะไม่ได้ระเบิดออก แต่พลังที่พวกเขาจะได้รับนั้นก็ยังถือว่ามีขีดจำกัดอยู่ มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะสามารถรับพลังของมันไปได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ผลของโลหิตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์จะเป็นเช่นไรกันเมื่อเทียบกับยาเม็ดเสริมอสูรสีชาดจากแก่นแท้ของหมาป่าจันทรา 9เศียร?
บทที่ 1275 – หนอนไหมหิมะ เส้นไหมของหนอนไหมหิมะ พบประมุขนิกายแห่งนิกายบงกชเทวะ
ชิงสุ่ยนั้นอยากจะรู้จริงๆ เขาดูแลยาเม็ดเสริมอสูรสีชาดจากแก่นแท้ของหมาป่าจันทรา 9เศียรราวกับสมบัติอันล้ำค่าของตนเอง นั่นคือแก่นแท้แต่ที่เขาได้รับมานั้นโลหิต ชิงสุ่ยจ้องไปยังหยาดโลหิตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งและเห็นว่าเขายังไม่ได้ตั้งใจมองมันจริงๆจนกระทั่งตอนนี้
นี่คือโลหิตแก่นแท้ของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์!
ชิงสุ่ยยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดก่อนหน้านี้เขาจึงพลาดความสําคัญอย่างคำว่า ‘แก่นแท้’ ไป การที่เขาอ่านผิดนี้ทำให้คุณค่าของมันลดลงไปอย่างมาก เทียบกับมนุษย์ก็ได้ ในร่างกายของมนุษย์ทุกๆคนต่างมีโลหิตอยู่มากมาย แต่ในทางกลับกันโลหิตแก่นแท้นั้นมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น การสูญเสียมันไปแม้เพียงน้อยนิดก็เหมือนกับต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงล้ำค่าอย่างยิ่ง
ชิงสุ่ยยังไม่ได้ป้อนมันให้แก่สัตว์อสูรของเขาในทันที เขาเก็บมันเอาไว้ก่อน และจากนั้นเขาก็นำขวดกระเบื้องเคลือบขวดสุดท้ายออกมา ภายในนั้นมีไข่ของหนอนไหมหิมะอยู่ 2 ฟอง
หนอนไหมหิมะนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษยิ่งนัก มันจัดเป็นสัตว์อสูร นอกจากนั้นมันยังสามารถพ่นไหมหิมะออกมาได้ นี่เป็นวัตถุดิบที่ดียิ่งนักในการสร้างเกราะอ่อน เกราะภายใน รวมไปถึงเครื่องแต่งกายอื่นๆ มันสามารถป้องกันคมดาบได้และยังทนทานต่อไฟและน้ำ นอกจากนี้มันยังรู้สึกสบายเมื่อสวมใส่ แต่เส้นใหม่หิมะนี้หายากยิ่งนัก
แต่หนอนไหมหิมะนั้นนก็ยังถือว่าเป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่ง นอกจากนี้มันยังทรงพลังเช่นกัน แน่นอนว่าชิงสุ่ยไม่เคยเห็นตัวจริงของมัน เขาได้ยินเรื่องนี้จากปากของคนอื่นๆและจากตำราบางเล่ม อย่าดูถูกเพียงเพราะดูจากขนาดไข่ของหนอนไหมหิมะที่มีขนาดเท่ากับนิ้วโป้ง เจ้าตัวเล็กนี้สามารถเติบโตได้ถึง 100 เมตรหรือมากกว่านั้นเมื่อมันอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม
หากหนอนไหมหิมะเติบโตจนมีขนาด 100 เมตรมันจะมีพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่ง หนอนไหมหิมะยังถือเป็นสัตว์อสูรบรรพกาลวิวัฒนาการ น่าเสียดายที่เงื่อนไขในการวิวัฒนาการของมันนั้นยากยิ่งนัก เขาไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดสามารถทำให้หนอนไหมหิมะนี้เติบโตจนมีขนาดใหญ่ได้ ปกติแล้วมีเพียงผู้พบเห็นมันในธรรมชาติเท่านั้น อย่างไรก็ตามโอกาสที่มันจะสามารถเติบโตเต็มที่นั้นก็มีน้อยยิ่งนัก
ชิงสุ่ยนำไข่ของหนอนไหมหิมะทั้ง 2 ฟองออกมา มันทำให้มือของเขารู้สึกเย็นเล็กน้อย แต่ก็เป็นความรู้สึกที่อ่อนโยนไม่รุนแรง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างระหว่างเขากับไข่ฟองนี้ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าสระโลหิตแก่นแท้ภายในร่างกายของเขานั้นเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงกับมัน
ชิงสุ่ยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แสงสีทองเปล่งประกายบนมือทั้งสองข้างของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นคือไข่ของหนอนไหมหิมะทั้ง 2 ฟองได้หายไป เขารีบตรวจสอบสระโลหิตแก่นแท้ภายในร่างกายของเขาทันที ในขณะที่เขาตรวจสอบมันนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงไปในทันที เขาเห็นว่ามีวัตถุสีฟ้าขนาดเล็กๆอาศัยอยู่ในสระโลหิตนั่น
นี่ย่อมเป็นหนอนไหมหิมะ หนอนไหมหิมะที่ถือกำเนิดใหม่!
ชิงสุ่ยสังเกตเห็นว่าหนอนไหมมังกรทองดูเหมือนจะร่าเริงอย่างยิ่ง เขารีบสื่อสารกับมันทางโทรจิตว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่มันจะสามารถกินได้ เขากลัวว่าพวกมันจะถูกหนอนไหมมังกรทองกินไปซะก่อน
ในตอนนี้หนอนไหมมังกรทองก็ยังคงมีขนาดเล็กยิ่งนัก มันมีความยาวไม่ถึง 1 นิ้วและทั่วทั้งตัวของมันปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง เขามังกรเล็กๆ 2 อันบนศีรษะของมันนั้นช่างดูงดงามอย่างยิ่งและดวงตาของมันก็เปล่งแสงสีทองออกมา แม้ว่ามันจะมีขนาดเล็กแต่พลังที่มันปลดปล่อยออกมานั้นก็ถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง
เขามังกรของมันก็ได้งอกออกมาแล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกว่าในตอนนี้หนอนไหมมังกรทองมันน่ากลัวมากยิ่งขึ้น มันเหมือนกับมังกรทองตัวเล็กๆที่เต็มไปด้วยพลังธรรมชาติภายในร่างกายของมัน
เมื่อได้ยินคำสั่งของชิงสุ่ย หนอนไหมมังกรทองก็ดำดิ่งลงไปในสระโลหิตแก่นแท้ทันที สำหรับในตอนนี้ชิงสุ่ยก็ไม่รู้ว่าหนอนไหมมังกรทองนั้นมีพลังมากเพียงใดกัน ไม่ว่ายังไงเขาก็รู้สึกว่ามันทรงพลังอย่างยิ่ง สำหรับในตอนนี้มันได้กลายเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขาไปแล้ว
ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็นึกถึงโลหิตแก่นแท้ของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ เขาเริ่มกลัวความคิดของตนเองมากขึ้นทุกที เขาอยากจะใส่โลหิตแก่นแท้ของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์นี้ลงไปยังสระโลหิตแก่นแท้ภายในร่างกายของเขานี้ แต่ทันใดนั้นเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
เขารู้สึกว่าความคิดนี้นั้นมันน่ากลัวเกินไป นั่นก็เพราะว่านี่คือโลหิตแก่นแท้ของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ เขากลัวว่าเขาอาจจะทนรับมันเอาไว้ไม่ได้ เขายังคงรู้สึกว่าความคิดมีอันตรายอย่างที่ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่อาจเพิ่มโลหิตแก่นแท้ของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ลงไปแต่ชิงสุ่ยอยากเห็นว่าจริงๆแล้วเขายังไม่ได้เพิ่มหยาดโลหิตทองคำอินทนิลจากสายเลือดทองคำอินทนิลของเขาลงไปยังสระโลหิตแก่นแท้
เขาจึงทำมันทันทีแนะนำหยาดโลหิตทองคำอินทนิล 1 หยดไปลงไปยังสระโลหิตแก่นแท้
โลหิตทองคำอินทนิลได้เข้าไปยังสระโลหิตแก่นแท้ มันทำให้ชิงสุ่ยตระหนักว่าสระโลหิตแก่นแท้นั้นราวกับเริ่มเดือดขึ้นในตอนนี้ นี่คือความแข็งแกร่งของพลังชีวิต มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้
หลังจากสังเกตไปเรื่อยๆและเห็นว่าสถานการณ์เริ่มสงบลงแล้ว ชิงสุ่ยก็ออกมาจากจิตสำนึกของเขา เขาไม่เคยคิดว่าจะสามารถเพิ่มหนอนไหมหิมะนี้เข้าไปยังสระโลหิตแก่นแท้ภายในร่างกายของเขาได้ ตั้งแต่เขาไม่รู้ว่ามันจะสามารถเติบโตขึ้นได้หรือไม่ภายในร่างกายของเขา? หากไม่ได้ชิงสุ่ยก็จะรีบนำมันออกจากสระโลหิตแก่นแท้โดยเร็วที่สุด
หลังจากที่ชิงสุ่ยออกมาไม่นานก็มีคนมาหาเขา
เทียน เจียง!
ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขาต้อนรับชายผู้นี้เข้าสู่ห้องรับแขก “พี่ชาย พี่เป็นเช่นไรบ้าง?”
เทียน เจียงยิ้มเจื่อนๆเมื่อเขามองไปยังชิงสุ่ย “น้องชาย เจ้าจะสามารถเมตตาตระกูลเทียนได้หรือไม่?”
“พี่ชาย พี่นี่ช่างใจอ่อนยิ่งนัก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปสักวันหนึ่งพี่จะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ทุกๆคนต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่พวกเขาสร้างขึ้นมา พี่คิดเช่นนี้หรือไม่?”
“ข้าทราบดี เพียงแต่ เจ้าสามารถปล่อยให้พวกเขากลายเป็นคนธรรมดาเหมือนกับตระกูลฟู่ได้หรือไม่? ข้าทราบดีว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก” เทียน เจียงรู้ว่าตระกูลเทียนได้ทำอะไรเอาไว้กับชิงสุ่ยบ้างก่อนหน้านี้ แม้ว่าหากในตอนนี้ชิงสุ่ยจะกวาดล้างตระกูลเทียนจนหมดสิ้นไป หลายๆคนก็คงคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ
แต่เพราะเทียน เจียงมาร้องขอเช่นนี้ ชิงสุ่ยจึงทำได้เพียงทำตามคำขอ แต่ตระกูลเทียนกว่าครึ่งจะต้องถูกทำลายการบ่มเพาะของพวกเขาไป นี่เป็นสิ่งที่เทียน เจียงนั้นเสนอให้กับเขา
……
ในวันถัดมาไม่เพียงแต่ตระกูลเทียน ตระกูลอื่นๆก็ยังมาหาชิงสุ่ยยกเว้นตระกูลเดียวเท่านั้น ในที่สุดชิงสุ่ยก็ตัดสินใจทำการสังหารผู้คนในตระกูลที่ลอบสังหารเขาไปครึ่งหนึ่งของทั้งหมด นี่ถือว่าเป็นการลดหย่อนโทษแล้ว
โลกแห่งการต่อสู้ก็เป็นเช่นนี้ การมีเมตตาต่อคนอื่นมากเกินไปนั้นจะเป็นการทำร้ายตัวเอง เหมือนดังคำพูดที่สืบต่อกันมาเป็นเวลานานในโลกใบนี้นั่นคือ ทุกๆคนจะทำสิ่งใดก็ได้เว้นแต่ประนีประนอมกันในโลกใบนี้
เพียงพริบตาเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปหลายวันแล้ว ชิงสุ่ยนั้นทราบว่าลานประลองสวรรค์เร้นลับสนับสนุนการกระทำของเขา หรือมิฉะนั้นพวกเขาก็คงมาหยุดเรื่องนี้ไปแล้ว ในตอนนี้พาไลหิมะหวนนั้นได้เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งภายในสำนักสวรรค์เร้นลับ
องค์หญิงใหญ่ได้เก็บตัวเงียบในตอนนี้ ครั้งนี้การเก็บตัวฝึกฝนของนางได้รับการช่วยเหลือจากลานประลองสวรรค์เร้นลับ เมื่อตอนที่นางออกมาจากการเก็บตัวพลังของนางจะเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งราวกับก้าวกระโดด แต่พลังนั้นจะเพิ่มมากขึ้นเพียงใดมันก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ที่ซ่อนเร้นและความมุ่งมั่นของนาง
ในทางกลับกันชิงสุ่ยนั้นได้เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางไปยังนิกายบงกชเทวะพร้อมกับติ๊เฉิน
ชิงซา เหยียน จินยวี้และองค์หญิงเจ็ดก็ได้อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่ชิงสุ่ยได้ร้องขอให้ผู้อาวุโสช่วยดูแลพวกนาง
ในตอนที่พวกเขาจะต้องแยกจากกัน ชิงซามันรู้สึกลังเลที่จะต้องบอกลาชิงสุ่ยเหมือนเช่นเคย ชิงสุ่ยสัญญากับนางอีกครั้งว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุดและจะพานางไปฝึกฝนเมื่อกลับมา
ในการเดินทางกลับไปยังนิกายบงกชเทวะครั้งนี้ ติ๊เฉินต้องพาชิงสุ่ยไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เดิมทีนางต้องการพูดคุยเรื่องนี้กับท่านประมุขนิกายของนิกายบงกชเทวะด้วยตัวเราเอง แต่ชิงสุ่ยย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับติ๊เฉิน เขาจะต้องพยายามอย่างหนักอีกครั้งเพื่อนำนางกลับมาให้ได้
ที่ตั้งของนิกายบงกชเทวะนั้นอยู่ใกล้กับดินแดนเทือกเขาสันโดษ ทัศนียภาพของที่แห่งนี้นั้นดูดีอย่างยิ่ง มันตั้งอยู่ในจุดที่เงียบสงบ หากไม่ใช่เพราะว่าติ๊เฉินได้นำทางเขามา เขาคิดว่าเขาคงไม่อาจหาสถานที่แห่งนี้ได้
เมื่อมองไปจากบนท้องฟ้าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหุบเขาขนาดใหญ่มากมาย มันมีรูปร่างราวกับดอกบัว จิตแห่งปราณแห่งสวรรค์และโลกก็รวมตัวกันหนาแน่นยิ่งนักภายในอากาศ บ้านไม้ไผ่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและพวกมันก็อยู่ติดๆกัน มันเป็นทัศนียภาพที่น่ารื่นรมย์จนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
“รออยู่ที่นี่ก่อน อีกประเดี๋ยวจะมีคนมาที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็จะขอให้พวกนางแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านประมุขนิกายภาพ” ติ๊เฉินหยุดเดินและกล่าวกับชิงสุ่ย
“ตกลง!” ชิงสุ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร
ทันใดนั้นก็มีเด็กผู้หญิง 2 คนได้พุ่งทะยานมาทางพวกเขา “คารวะ ศิษย์พี่!”
ภายในนิกายบงกชเทวะนี้ หญิงสาวศักดิ์สิทธิ์นั้นยังถือว่าเป็นหัวหน้าสาวกนิกาย ดังนั้นผู้คนที่อยู่ในนิกายเดียวกับนางจะเรียกนางว่าศิษย์พี่
“ช่วยส่งสาสน์จากข้าไปยังท่านประมุขนิกายหน่อย เพียงบอกนางว่าในตอนนี้ข้ามีบางอย่างที่จะต้องแจ้งให้นางทราบ แต่ในตอนนี้ข้าไม่สะดวกที่จะไปพบนาง” ติ๊เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตกลง ข้าจะทำให้!” เด็กผู้หญิงทั้ง 2 คนนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้ารู้สึกกังวลหรือไม่?” ชิงสุ่ยมองไปยังติ๊เฉินและยิ้ม
“เล็กน้อยน่ะ นางดูแลข้าดียิ่งนัก ข้ารู้สึกไม่ดีเลยที่จะต้องทำให้นางเสียใจ” ติ๊เฉินกล่าวขึ้น
“ที่แห่งนี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของหญิงสาว เจ้ายังไม่อาจตัดใจจากเรื่องโลกีย์และของโลกได้ เจ้ายังไม่สามารถออกจากโลกของมนุษย์ได้”
“อาจารย์ของข้ากำลังมาถึงที่นี่แล้ว” ติ๊เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในระยะไกลๆ นางเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูแก่ชราเล็กน้อย ผมของนางกว่าครึ่งได้เปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว มีริ้วรอยเล็กน้อยบนใบหน้าของนาง แต่เมื่อนางปรากฏตัวขึ้นมา ทุกคนต่างก็เห็นด้วยว่านางนั้นงดงามยิ่งนัก นางไม่ได้มีรอยยิ้มใดๆบนใบหน้าเลย เมื่อได้เห็นชิงสุ่ยและติ๊เฉิน นางก็จ้องมองมายังชิงสุ่ยทันที
“เจ้าคิดจะทำลายการฝึกฝนของเฉินเอ๋องั้นหรือ?”
หญิงชรามองตรงมายังชิงสุ่ยทันทีที่นางมาอยู่ตรงหน้าเขาและถามคำถามนี้
“ถ้าไม่ได้คิดที่จะทำลายการฝึกฝนของนาง นิกายบงกชเทวะแห่งนี้ได้ช่วงชิงหรือเปล่าของข้าไป” ชิงสุ่ยไม่ได้หวาดกลัวหญิงชราผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
แสงระยิบระยับจางๆเป็นประกายรอบตัวหญิงชราผู้นี้ หลังจากนั้นนางก็จ้องมองมายังติ๊เฉิน “เจ้าคือหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะ เจ้ารู้ว่าเจ้าควรทำอะไร เจ้าสามารถทำสิ่งใดก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่ข้าได้ห้ามเจ้าไว้นั่นก็คือเรื่องความสัมพันธ์ หากเจ้าไม่ทำตามที่ข้าบอก ชีวิตของเจ้าก็เหมือนหมดลมหายใจไปแล้ว”
“ท่านจงอย่าใช้ประสบการณ์ของตนเองมาเกี่ยวข้องกับการฝึกยุทธ อย่าเหมารวมผู้ชายทั้งโลกเพียงเพราะท่านต้องเจ็บปวดกับผู้ชายเพียงคนเดียว หากทุกคนเป็นเหมือนกับท่าน ทั่วทั้งโลกนี้ก็ต้องจบสิ้นแล้ว” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเย็นชา
ร่างกายของหญิงชราสั่นเล็กน้อย นางจ้องมองไปทางชิงสุ่ยราวกับมีดทิ่มแทงเขา ทันทีที่นั่งขยับตัว กระบี่สีทองในมือของนางก็พุ่งตรงไปยังไหล่ของชิงสุ่ย
ปัง!
ร่างกายของชิงสุ่ยกระเด็นไปทันทีพร้อมกับกระอักเลือดออกมา
“ชิงสุ่ย!” ติ๊เฉินที่วิ่งไปทางชิงสุ่ยและกอดเขาเอาไว้
“เหตุใดเจ้าจึงไม่หลบมัน?” ติ๊เฉินถามขึ้น
ทันทีที่หญิงชราได้เห็นสีหน้าของติ๊เฉิน จิตสังหารภายในดวงตาของนางก็รุนแรงยิ่งขึ้น
“นางเป็นอาจารย์ของเจ้า ไม่ว่ายังไงนางก็คือผู้ที่ช่วยเหลือเจ้าตลอดมาเมื่อตอนที่เจ้ามาที่นี่ ข้าต้องการที่จะรับการโจมตีนี้ ด้วยวิธีนี้ ข้าจะรู้สึกสบายใจยิ่งกว่าเมื่อได้พาเจ้าไปจากที่นี่” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างนุ่มนวล
ในตอนนี้ร่างกายของเขานั้นโดดเป็นอย่างยิ่ง คนอื่นๆคงคิดว่ากระดูกของเขาคงป่นปี้ได้จากการโจมตีเมื่อครู่แล้ว แต่มีเพียงชิงสุ่ยที่รู้ว่ามันจะหักเท่านั้น นอกจากนี้มันยังสามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว
“อย่าเปรียบเทียบลูกศิษย์ของนิกายบงกชเทวะกับหญิงแพศยาในโลกของมนุษย์ พวกนางไม่อาจเทียบกันได้เลย” น้ำเสียงที่เย็นชาของหญิงชราดังออกมา สิ่งที่ชิงสุ่ยได้กล่าวไปก่อนหน้านี้นั้นได้รบกวนจิตใจของนางอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นแล้วท่านล่ะ? ท่านก็เป็นหญิงแพศยาหรือไม่?” ชิงสุ่ยถามขณะที่เขากำลังเช็ดเลือดที่ปากของตนเอง
“เจ้าเด็กอวดดี!”
“ฮ่าฮ่า ท่านคิดว่ามันถูกต้องแล้วหรือที่ท่านจะกีดกันเหล่าลูกศิษย์ของท่านจากความรักระหว่างชายหญิง หรือท่านคิดว่าท่านนั้นทำได้เพียงเพราะท่านทรงพลัง? ท่านไม่คิดหรือว่าสิ่งที่ท่านทำอยู่นั้นมันทารุณเกินไป?” ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขามองไปยังหญิงชรา
“เจ้าหลอกลวงผู้คนด้วยการโกหก ข้าไม่อาจทนรับคำพูดของเจ้าให้เข้ามาในหูข้าได้”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงต้องโกหกพวกนางด้วยล่ะ……”
“เจ้า หุบปากแล้วไปลงนรกซะ!”
หญิงชราตะโกนออกมาเสียงดัง หลังจากนั้นนางก็พุ่งตรงไปยังชิงสุ่ย ชิงสุ่ยผลักติ๊เฉินให้มาอยู่ด้านหลังของเขาด้วยฝ่ามือและใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวา
ปราณจักรพรรดิ !
เกราะอสูรสำแดง!
เดิมทีเมื่อใดก็ตามที่ชิงสุ่ยใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวาของเขา พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในตอนนี้ด้วยการเพิ่มขึ้นจากรูปแบบเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์ ชิงสุ่ยรู้สึกราวกับเขาเป็นพยัคฆ์ที่ได้รับการติดปีก สำหรับความเสียหายที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยหลบเลี่ยงไม่ให้มันโดนจุดสำคัญด้วยนาทีวิจิตร ทำให้ความเสียหายที่เขาได้รับมานั้นถือว่าน้อยยิ่งนัก
ชิงสุ่ยนั้นสามารถหลบการโจมตีของหญิงชราได้อย่างง่ายดาย
ที่ทำให้หญิงชรารู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้พลังของนางที่ได้ลดลงไปก็ทำให้นางต้องประหลาดใจ เมื่อคิดว่าเขาสามารถทำให้พลังของศัตรูในรถลงไปได้ เขาก็ควรจะมีระดับฝีมือที่ดีพอสมควร แต่เขายังดูอายุน้อยยิ่งนัก……
“เช่นนี้เป็นไร เรามาตกลงกับกันและกัน”
“จงอย่าแม้แต่จะคิดเรื่องนี้!”
ด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงเปลี่ยนการโจมตีไปเรื่อยๆทั้ง เพลงหมัดไทเก๊ก หมัดวานรปฤษฎางค์ รูปแบบพยัคฆ์ รูปแบบกระเรียน รูปแบบหมีในขณะที่ประลองกับหญิงชรา เขาไม่อาจคาดเดาได้แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
บทที่ 1276 – พลัง การป้องปรามของชิงสุ่ย
ข้างนอกใกล้ๆกับนิกายบงกชเทวะ ชิงสุ่ยเริ่มแลกหมัดกับผู้นำนิกาย เขารู้สึกเดือดดาลต่อหญิงชราที่อาจจะนำพาปัญหามาให้ ในความเป็นจริงแล้วมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งจากนิกายบงกชเทวะพุ่งออกมาข้างหน้าเพื่อช่วยต่อสู้ด้วย อย่างไรก็ตามนางสั่งให้ทั้งหมดถอยกลับออกไป
“เหตุใดท่านถึงต้องปากแข็งเช่นนี้? ข้าไม่ได้กล่าวถามสิ่งที่ยากเกินไปเลย ข้าเพียงต้องการได้ผู้หญิงของข้าคืนมาก็เท่านั้น” ยิ่งระยะเวลาต่อสู้ดำเนินไปเรื่อยๆ ชิงสุ่ยยิ่งแสดงพลังออกมามากขึ้น ในฝั่งผู้นำนิกายเองเริ่มรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าเดิม เมื่อการต่อสู้เริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ ชิงสุ่ยเปรียบเสมือปลาที่แยกกันว่ายวนในแม่น้ำ ซึ่งนางมิอาจสามารถจับมันได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าฝันไปเถอะ! ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้าทำร้ายเฉินเอ๋อเป็นอันขาด! นางยังเด็กนัก นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งใดถูกหรือผิด หากเจ้ายอมรามือแต่เพียงเท่านี้จะเป็นการดีที่สุด เห็นแก่เจ้าเป็นเพื่อนของเฉินเอ๋อข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป” หญิงชราได้ใช้พลังกว่าแปดในสิบส่วนของตนเองแล้ว และนางตระหนักดีว่านางไม่สามารถหยุดชิงสุ่ยได้
ฝ่ามือเมฆา!
เพลงหมัดตันเปียน!
ทุกๆหมัดที่เขาปล่อยออกไปล้วนไร้ข้อบกพร่อง ณ เวลานั้น เพลงหมัดของชิงสุ่ยเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเนื่องจากได้รับพลังหนุนจากกระบี่ดารายุพฆาต แม้เขาจะใช้เพียงมือเปล่าแต่ในตอนนี้เขามีพลังเทียบเท่ากับตอนที่ใช้กระบี่ดารายุพฆาต
ลึกๆในใจของผู้นำนิกายบงกชเทวะรู้สึกไม่ดีเต็มที ด้วยอาวุธในมือของนางคงไม่เพียงพอแล้วที่จะหยุดชิงสุ่ยเอาไว้ ดวงไฟที่ไม่สามารถอธิบายได้เริ่มลุกลามแผดเผาใจนาง
เคล็ดวิชาบงกชเพลิง!
เคล็ดวิชาบงกชเพลิงแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของหญิงชรา กลิ่นอายที่ถูกปลดปล่อยออกมาถูกเพิ่มให้รุนแรงขึ้นอย่างมหาศาล อาวุธในมือของนางเปลี่ยนเป็นดอกบัวที่ปกคลุมไปด้วยสีแดงจางๆ และให้พลังที่เปี่ยมล้นออกมาราวกับว่ามีชีวิต
เคล็ดวิชาบงกชสำแดง!
หญิงชราตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกับกวาดดอกบัวขึ้นเหนือศีรษะ ดอกบัวสีแดงเข้มปรากฏขึ้นออกมาทั่วทุกทิศ รูปร่างของมันมีขนาดใหญ่พร้อมพลังโหดร้ายที่แผ่ออกมา
ระเบิดดอกบัวบรรจบ!
ดอกบัวกว่าสิบดอกรอบๆตัวชิงสุ่ย พุ่งเข้าหาตัวเขาด้วยการรับรู้ทางวิญญาณที่เปี่ยมล้น ชิงสุ่ยรู้สึกหนาวขึ้นมาทั่วกระดูสันหลังเมื่อเขาตระหนักได้ว่าหญิงชราคนนั้นต้องการให้เขาตาย
อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยยังมีลูกประคำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นการโจมตีพวกนี้เปรียบเสมือนการโจมตีด้วยพลังวิญญาณทั่วๆไปที่เขาสามารถป้องกันได้เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง เขาเร่งพลังวิญญาณของตนขึ้นพร้อมเรียกหุบเขาเก้าเทวาออกมาข้างหน้าและปัดป้องการโจมตีได้กว่าครึ่ง
ปัง!
หญิงชราปลดปล่อยรังสีของเคล็ดวิชาบงกชเพลิงออกและปะทะเข้ากับแส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่ม!
ดูเหมือนว่าพลังของแส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่มจะอ่อนด้อยกว่าเคล็ดวิชาบงกชเพลิงของฝ่ายตรงข้ามอยู่หนึ่งขั้น ดังนั้นมันจึงเริ่มโดนหลอมละลาย อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยสะบัดมือของเขาเพื่อเปลี่ยนทิศทางของแส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่ม
ปัง! ปัง!……
เสียงระเบิดที่เกิดจากการปะทะกันของพลังอันเต็มเปี่ยมดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของชิงสุ่ยกำลังปรับตัวพร้อมดึงพลังที่เหลืออยู่ออกมา
ปัง!
ในครั้งนี้แส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่มแสดงพลังออกอย่างเฉิดฉาย เขาสามารถทำให้หญิงชราถูกผลักถอยกลับไปได้ ชิงสุ่ยไม่ได้แปลกใจกับการได้รับพลังโจมตีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในครั้งนี้ เขาวางแผนที่จะรักษาระยะห่างกับหญิงชราคนนี้ไว้อยู่แล้ว
ในเวลานี้ ชิงสุ่ยยังไม่ต้องการตัดสินผลเป็นตาย แต่ถึงอย่างนั้นหญิงชราต้องการเอาชีวิตของชิงสุ่ยให้ได้โดยที่นางไม่ได้ตระหนักเลยว่าชิงสุ่ยมีระดับที่เทียบเท่ากับตัวนางแล้ว
“ได้โปรดบอกมา ท่านต้องการอะไรถึงจะยอมเห็นด้วยกับข้อเสนอของข้า? ติ๊เฉินเป็นคนที่จะต้องอยู่กับข้าไปตลอดชีวิต ข้าเข้าใจในเรื่องที่ท่านวางแผนให้นางขึ้นเป็นผู้นำของนิกายบงกชเทวะแต่ขอให้มันไม่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างข้าและนาง” ชิงสุ่ยกล่าวออกมา
“ให้ตายสิ เจ้าเด็กเหลือข้อ อย่าแม้แต่คิดถึงเรื่องนั้นเชียว!” หญิงชราปลดปล่อยพลังออกมาจากมือของนาง นางเป็นคนที่แน่วแน่ต่อความคิดอย่างแท้จริง
“ข้าเองก็ยังหนุ่มอยู่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้าอาจเป็นประโยชน์ต่อนิกายบงกชเทวะได้ในภายภาคหน้า ท่านจะไม่พิจารณาถึงเรื่องนี้เลยหรือ? เช่นนั้นท่านคิดหรือว่าจะหยุดข้าได้? ท่านคิดหรือว่าผู้คนจากนิกายของท่านจะไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยความสมัครใจเลย? แม้แต่พวกอาวุโสต่างล้วนละเมิดกฎข้อนี้ทั้งสิ้น มีหรือที่ท่านจะไม่รับรู้ หรือท่านเพียงแต่หลอกลวงตัวเองไปวันๆ? คิดหรือว่ากฎพวกนี้จะบังคับใช้ได้กับทุกคนจริงๆ? ข้าคิดว่ามันถึงเวลาที่ควรได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้ว” ในขณะที่เขากำลังพูด เขาค่อยๆขยับมือออกอย่างช้าๆ
หญิงชรารู้ถึงปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างดี เป็นอย่างที่ชิงสุ่ยกล่าวไว้ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเหล่าแม้ว่าจะมีกฎบังคับอยู่ก็ตาม นอกเหนือจากนั้นตัวของนางเองยังเคยสัมผัสกับมันมาแล้วนั่นทำให้ตัวนางเอกรู้สึกเจ็บปวดลึกๆข้างใน นางรู้ดีว่าถึงแม้นางฆ่าชิงสุ่ยได้ก็ไม่ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเลยกลับกันแล้วนางรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
นางลอบสังเกตุผู้ชายคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้านาง เขายังหนุ่ม ทรงพลัง และมีเสน่ห์จริงๆ นางรู้สึกว่าต้องมีผู้หญิงมากมายที่ต้องมาหลงสเน่ห์ชายผู้นี้ ด้วยความจริงที่ว่าเขากล้ามาถึงที่นี่ด้วยตัวคนเดียวแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของติ๊เฉินที่มีต่อเขา นอกเหนือจากนี้จะมีหญิงสาวสักกี่คนที่สามาถเทียบเคียงกับติ๊เฉินได้? ไม่สำคัญว่าชายคนใดจะพยายามทำดีต่อนาง ก็มิอาจเทียบเท่ากับการพิสูจน์ออกมาอย่างแท้จริง
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่ทรงพลังมาก หากข้าสามารถเอาชนะท่านได้ ให้พวกเรามานั่งคุยกันดีๆ แบบนี้ฟังดูเข้าท่าหรือไม่?” แบบนั้นข้าจะสามารถช่วยเพิ่มพลังให้กับเฉินเอ๋อเพื่อไปยังจุดสุงสูดของทวีปในขณะที่เป็นผู้นำของนิกายบงกชเทวะ หรือท่านไม่อยากให้นิกายบงกชเทวะมีชื่อใน มหาทวีปมังกรอหังกาล มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ และมหาทวีปอุดรเทวา? อย่ากล่าวเลยว่าข้าไม่รู้ถึงเรื่องเหล่านี้ ข้าเชื่อมั่นว่าข้าสามารถทำมันได้” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับก้าวถอยหลังออกมา
“เช่นนั้นเราจะพูดถึงเรื่องนี้กันหลังจากทีเจ้าเอาชนะข้าได้!” หญิงชราลังเลอยู่ชั่วครู่หลังจากได้ยินคำกล่าวของชิงสุ่ยถึงเรื่องที่จะทำให้ติ๊เฉินก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุดและให้นางได้เป็นผู้นำของนิกายบงกชเทวะไม่ใช่ตัวของเขาเอง นั่นทำให้ทราบได้ว่าชิงสุ่ยยังเป็นคนที่ยึดถือหลักการอยู่บ้าง หากชิงสุ่ยกล่าวสิ่งหลังนั้นออกมา นางคงปฏิเสธทุกอย่างเกียวกับเขาในทันที
ชิงสุ่ยพยักหน้า “เช่นนั้น เชิญท่านลงมือ”
หลังสิ้นสุดคำพูดของชิงสุ่ย เขาเรียกวิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมา
วชิระสยบอสูร!
ผสานจิตไอยรา!
ภายใต้วิชาผสานจิตไอยรา ชิงสุ่ยสามารถได้รับพลังที่สูงขึ้น เขาสามารถใช้วิชาปราณกระบี่วชิระเพื่อลดความเร็วของหญิงชราลงอีกครั้ง พร้อมกันนั้นเขาเรียกใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่ได้เห็นพลังโจมตีในปัจจุบันของชิงสุ่ยเทียบกับพลังของตัวนางเองนั้น หญิงชรารู้สึกตกใจอย่างขึดสุด ช่องว่างของพลังต่างกันเกินไป ชิงสุ่ยเพียงแต่หยิบตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ออกมายังไม่ได้ลงมือใช้มัน เขาเกรงว่าหากถึงจังหวะที่ได้รับพลังขึ้นสองเท่ามันอาจจะสังหารหญิงชราลงได้
พลังโจมตีของวิหคเพลิงในตอนนี้เทียบเท่ากับหญิงชราเลยทีเดียว แน่นอนว่าพลังล้วนมาจากพลิงนรกภูมิ ในแง่ของการได้รับความเสียหาย การโจมตีจากหญิงชราจะถูกลดลงกว่าครึ่งโดยวิหคเพลิง พลังของเพลิงนรกภูมิช่างเลวร้ายเสียจริง
ชิงสุ่ยค่อยๆเก็บตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์อย่างช้าๆ
“ผู้อาวุโส ข้าเกรงว่าท่านคงทราบผลของการต่อสู้ในครั้งนี้ ความจริงได้ปรากฎขึ้นแล้ว พลังโจมตีที่ข้าได้แสดงออกมามีอยู่ที่ราวๆหกพันสุริยา นอกเหนือจากนั้นข้ายังมีโอกาสหนึ่งในสิบส่วนที่จะได้รับพลังขึ้นเป็นสองเท่า ข้าเพียงใช้การโจมตีออกสิบครั้งเพื่อแสดงมันออกหนึ่งครั้ง ด้วยพลังปัจจุบันของท่านจะรับพลังกว่าหนึ่งหมื่นสุริยาไว้ได้หรือไม่?”
เพื่อให้หญิงชราเชื่อในคำพูด ชิงสุ่ยค่อยๆปลดปล่อยตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ออก หลังจากนั้นเขาพูดประโยคเดิมขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยพลังอันเปี่ยมล้นของเขาในตอนนี้สามารถใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง เขาโชคดีอยู่พอสมควรที่สามารถปลดปล่อยพลังนั้นออกมาได้ภายในครั้งที่เจ็ด พลังที่ถูกเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าถูกแสดงออก ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นสีทองในครั้งนี้ มันปล่อยแสงสองสว่างเฉิดฉายออกมาราวกับว่าจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วพลังในครั้งนี้ถือว่าเหนือกว่าพลังเดิมอยู่หนึ่งเท่าตัว สำหรับหญิงชราเองแล้ว นางยังไม่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของชิงสุ่ย แต่พลังหกพันสุริยานั้นเทียบไม่ได้เลยกับแสงสีทองที่ถูกเปล่งออกมา.
ความจริงในข้อนี้อาจกล่าวได้ว่า เขาหยุดหญิงชราเอาไว้ได้แล้ว นางรู้สึกพ่ายแพ้ลึกๆในจิตใจ นางมองไปยังชิงสุ่ยเรากับว่าขาเป็นสัตว์ประหลาด อีกทั้งยังเกรงว่าสิ่งที่เพิ่งจะได้เห็นอาจเป็นพลังที่สูงที่สุดใน มหาทวีปอู่เซียตะวันตก ดังนั้นนางจึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากจากพลังที่ชิงสุ่ยได้แสดงออก
ชิงสุ่ยเรียกวิหคเพลิงและมังกรไอยราเกล็ดทองคำกลับ หลังจากนั้นเขายืนอยู่กับที่ ผู้นำนิกายบงกชเทวะสูญเสียความรู้สึกที่เคยเหนือกว่าไป ก่อนหน้านี้นางคิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงลูกศิษย์จากตระกูลชั้นสูงทั่วไปเท่านั้น เมื่อเทียบกับนิกายบงกชเทวะแล้วเขาเป็นเพียงสิ่งที่ไร้ตัวตน อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นถึงพลังของชิงสุ่ยแล้ว กองกำลังใดๆก็ตามในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกล้วนย่อมพ่ายแพ้หากชิงสุ่ยได้ไปถึง เขามีพลังที่จะทำลายนิกายทิ้งได้ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขามีรูปแบบการป้องกันขั้นสูงสุด
หากนิกายใดๆต้องการใช้รูปแบบการป้องกันขั้นสูงสุด พวกเขาจำต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากใช้รูปแบบการป้องกันขั้นสูงสุดแล้ว นิกายอาจถึงขั้นต้องสูญเสียนักรบชั้นสูง หากเป็นเช่นนั้นนิกายอาจเสียหายเป็นอย่างมากและอาจถูกรุกรานโดยคนอื่นต่อไป
“ท่านชิง!”
การแสดงออกของหญิงชราต่อชิงสุ่ยมีท่าทีเปลี่ยนไป ไม่ใช่ท่าทีของผู้ที่เดินทางข้ามผ่านทวีปควรจะได้รับ
“ข้าเป็นเพียงผู้น้อย ท่านเพียงเรียกข้าว่าชิงสุ่ยก็พอ อีกอย่างท่านเป็นอาจารย์ของเฉินเอ๋อ” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้น นั่งลงก่อนแล้วค่อยคุยกัน” หญิงชราสามารถรับรู้ได้ถึงความจริงใจของชิงสุ่ย นางชี้ไปยังศาลาหินใกล้ๆและกล่าว
ไม่มีใครสามารถหยุดชิงสุ่ยได้ถ้าหากเขาต้องการฉกตัวเฉินเอ๋อและจากไป เขาไม่ได้มีท่าทีหยิ่งยโสหลังจากได้รับชัยชนะในครั้งนี้ หญิงชรามักชื่นชมคนที่มีทัศนะคติดีเช่นชิงสุ่ย
หญิงชราไม่คิดว่าชิงสุ่ยจะมีความกระหายในนิกายบงกชเทวะอีกต่อไป แต่ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงกฏของ นิกายบงกชเทวะก็ถูกปฏิเสธไปเช่นกัน เมื่อพิจารณาถึงความชราของตนเองแล้วหากคนหนุ่มสาวต้องการทำเช่นนี้แม้แต่ตัวนางเองก็คงไม่สามารถหยุดยั้งได้
“ชิงสุ่ย หากเจ้าต้องการชิงตัวติ๊เฉินไปจริงๆ นิกายบงกชเทวะย่อมหยุดยั้งเจ้าไว้แน่ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเรามาหาทางออกกันเสียดีกว่า บางทีเจ้าอาจคิดว่าข้าเป็นคนไม่มีเหตุผล หัวดื้อ หรือหญิงแก่ๆคนนึงเท่านั้น” หญิงชรานั่งลงอย่างช้าๆพร้อมชิงสุ่ยและติ๊เฉิน
ในใจของชิงสุ่ยเองคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่เขาแสดงออกด้วยการกล่าว “ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น?”
“เจ้าไม่ต้องสุภาพแบบนี้ก็ได้ เจ้าต้องการสิ่งใดให้กล่าวออกมา” หญิงชรากล่าวพร้อมส่ายศีรษะ
“ผู้อาวุโส ข้าเข้าใจดีว่านิกายบงกชเทวะย่อมมีกฏของตน แต่นิกายใดๆไม่ควรยึดติดกับกฏเดิมๆตลอดไป กฏเป็นของตายแต่มนุษย์ล้วนมีชีวิต เหตุใดคนที่มีชีวิตอยู่จึงต้องทำตามผู้ที่ตายไปแล้ว? ยิ่งไปกว่านั้นกฏพวกนี้เป็นสิ่งที่ตั้งขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เวลาได้เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับรูปแบบของทวีป ถ้าหากกฏของนิกายยังคงเดิมสุดท้ายแล้วอาจพบกับความหายนะ”
“ท่านเคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้บ้างหรือไม่? นิกายบงกชเทวะล้วนเต็มไปด้วยหญิงสาวที่สง่างาม ในตอนนี้ยังไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งเพราะท่านยังแข็งแกร่ง แต่ข้าได้ยินข่าวลือว่าสองอัจฉริยะจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นได้ปรากฏขึ้นแล้ว นอกเหนือจากนี้พวกเขายังวางแผนจะครอบครองทั้งมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ท่านลองคิดดูผู้คนจากนิกายพวกนั้นเป็นคนเช่นใด ถ้าหากพวกเขาปกครองทั้งมหาทวีปอู่เซียตะวันตกได้จริง ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนิกายบงกชเทวะ? แม้ว่านิกายปฐพีซ่อนเร้นอาจะไม่ลงมือทำอะไร แต่ยังมีนิกายอื่นๆที่ต้องลงมืออย่างแน่นอน” ชิงสุ่ยหยุดลงชั่วครู่หลังกล่าวมาได้สักระยะ
หญิงชราไม่ได้ตอบอะไรอีก นางกำลังอยู่ในห้วงความคิด
“เทือกเขาปู๋โถวจากทะเลทางใต้เป็นเหมือนเช่นนิกายบงกชเทวะ แต่พวกเขาไม่ห้ามหากพวกลูกศิษย์ต้องการแต่งงาน เทือกเขาปู๋โถวจากทะเลทางใต้แทบจะเหมือนนิกายบงกชเทวะในทุกทาง เหล่าลูกศิษย์ที่ได้รับการแต่งงานล้วนไม่ใช่บุคคลธรรมดา ถึงแม้จะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นบ้าง แต่มันก็เท่านั้น เทือกเขาปู๋โถวตั้งอยู่ในที่ตั้งที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งพวกเขา นั่นเป็นเพราะเครือข่ายที่พวกเขามีพัวพันกันเป็นขนาดใหญ่ ใครล่ะจะกล้าทำร้ายพวกเขา? ”
การแสดงออกของหญิงชราเริ่มผ่อนคลายลง นางกำลังคิดหาทางออก
“ความรักของชายหญิงเป็นสิ่งที่ขัดต่อกฏธรรมชาติ เจ้าไม่คิดว่าการทำเช่นนี้จะทำให้นิกายบงกชเทวะจะต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นหรือ?”
บทที่ 1277 – ความเปลี่ยนแปลงของผู้นำนิกายบงกชเทวะ แผนระยะยาว ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเดชสวรรค์
“ความรักของชายหญิงเป็นสิ่งที่ขัดต่อกฏธรรมชาติ เจ้าไม่คิดว่าการทำเช่นนี้จะทำให้นิกายบงกชเทวะจะต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นหรือ?”
สิ่งที่ชิงสุ่ยได้กล่าวไปก่อนหน้าเป็นสิ่งที่รวมถึงกฏแห่งธรรมชาติไว้แล้ว นี่เป็นสาเหตุที่นิกายบงกชเทวะควรเปลี่ยนแปลงเพราะความสัมพันธ์ของมนุษย์ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ในความเป็นจริงแล้วมีบางสิ่งที่นางเห็นด้วยกับชิงสุ่ยแต่นางเป็นผู้นำนิกายบงกชเทวะ แม้ว่าอยากเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ก็มิอาจทำได้ด้วยตัวคนเดียว มิฉะนั้นนางอาจถูกประนามที่ล่วงละเมิดสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างไว้
“ชิงสุ่ย เจ้าเองรู้ดีว่ากฎเหล่านี้ถูกสร้างมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าข้าจะเป็นถึงผู้นำนิกาย แต่เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ใช่ว่าข้าจะเป็นผู้ตัดสินแต่เพียงผู้เดียว”
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าหญิงชราไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายบงกชเทวะ บางอย่างจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมเท่านั้น อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ไม่ได้หวังให้นางเปลี่ยนมันในทันที
“ผู้อาุวุโส ข้าไม่ได้หมายความว่าให้ท่านเปลี่ยนมันในตอนนี้ ข้าเพียงหวังว่าท่านจะไม่ขัดขวางเรื่องของข้าและติ๊เฉิน ส่วนในตอนนี้ข้าจะอยู่ให้ห่างจากเฉินเอ๋อเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นการลำบากใจต่อนิกายบงกชเทวะ” ชิงสุ่ยอธิบายหลังใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่
“ข้ารู้จักเฉินเอ๋อดี ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้วข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าอีก ข้าคิดว่าข้าอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฏได้ เมื่อเฉินเอ๋อเดินทางออกไปในครั้งนี้ระดับวิชายุทธของนางคงถูกเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อีกไม่นานนางคงพร้อมที่จะขึ้นเป็นผู้นำนิกายบงกชเทวะ” หลังจากคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าและกล่าวออกมา หญิงชรารู้สึกโล่งใจมากขึ้น
ลึกๆแล้วชิงสุ่ยกลับรู้สึกมีความสุข นั่นเป็นเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับนิกายบงกชเทวะถูกคลี่คลายอย่างสันติวิธี อีกทั้งการที่ติ๊เฉินขึ้นเป็นผู้นำของนิกายเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอีกด้วย นี่เป็นวิธีที่เขาจะเอาชนะนิกายบงกชเทวะโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงใดๆเลย แน่นอนว่าชิงสุ่ยต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างของนิกายบงกชเทวะให้กับติ๊เฉิน สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเพิ่มพลังให้กับนาง อีกสิ่งหนึ่งคือต้องรอจนกว่านางจะแข็งแกร่งพอที่จะขึ้นปกครอง
ปัญหาเดียวในตอนนี้คือพลังของตัวติ๊เฉินเอง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลนัก ในตอนนี้ติ๊เฉินได้รับพลังจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์รูปแบบดอกบัว พลังงานในร่างกายของนางตอนนี้มีเพียงพอแล้ว และในตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโส ไม่ต้องกังวลไป เมื่อท่านเชื่อในตัวเฉินเอ๋อแล้ว ท่านควรจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนั้นด้วย ข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในนิกายบงกชเทวะ อีกทั้งข้าเองจะค่อยช่วยเหลืออยู่เสมอ” ชิงสุ่ยกล่าวออกเพื่อแสดงถึงความรู้คุณ
“เข้าใจแล้ว เมื่อเจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้ เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าข้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎของนิกายได้ เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง ข้าจะสนับสนุนเฉินเอ๋อในการจัดการเรื่องภายในนิกายต่อไป”
ชิงสุ่ยรู้สึกแปลกใจต่อท่าทีของผู้นำนิกายบงกชเทวะ เพราะในก่อนหน้านางมีความดื้อรั้นและไม่มีทางถูกชักจูงได้อย่างง่ายดาย แต่ในตอนนี้กลับมีความใจกว้างแสดงออกให้เห็น เขากำลังคิดว่าอาจจะเป็นเพราะการกล่าวถึงเรื่องในอดีตทำให้จุดอ่อนของนางแสดงออกมา ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก ถ้าเขากุมจุดนี้เอาไว้ทุกอย่างถือเป็นเรื่องง่ายดาย แต่ว่าตัวติ๊เฉินเองยังไม่มีความสามารถมากพอ และสิ่งทีสำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาด้วยความสันติ อีกทั้งติ๊เฉินยังเป็นหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะ ภายในนิกายของนางตำแหน่งนี้ถือเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ
ติ๊หวู่สือฉามีความเป็นหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะอยู่ส่วนหนึ่งเช่นกัน นางเป็นลูกสาวคนโตจากตระกูลติ๊หวู่ นางเป็นอีกคนที่ให้การสนับสนุนติ๊เฉิน (ติ๊หวู่สือฉาปฏิบัติต่อติ๊เฉินราวกับติ๊เฉินเป็นพี่สาวของนาง นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานะและการฝึกยุทธของพวกนาง ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอายุเลย ความสัมพันธ์ของพวกนางไม่ได้ก่อเกิดเกิดขึ้นจากอายุของแต่ละคน)
ไม่ว่าชิงสุ่ยจะมองไปในทางใด ก็มีแต่ผลลัพธ์ที่ติ๊เฉินต้องขึ้นปกครองนิกายบงกชเทวะทั้งสิ้น
เรื่องของนิกายบงกชเทวะถือว่าได้คลี่คลายไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับก่อนหน้า ติ๊เฉินยังคงอยู่ในนิกายบงกชเทวะ ส่วนตัวชิงสุ่ยเองวางแผนจะมุ่งไปยังจักรวรรดิเดชสวรรค์ เขาต้องการไปดูสถานการณ์ที่นั่นก่อน
“ชิงสุ่ย ในตอนนี้ตัวข้าเองต้องแสวงหาความสันโดษ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายของข้าได้รับพลังจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์เพียงพอแล้ว พลังของข้าจะก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้น ถึงตอนนั้นแล้วข้าอาจสู้เจ้าได้ใครจะรู้” ติ๊เฉินยิ้มพร้อมกุมมือชิงสุ่ยเอาไว้
“ตกลง ข้าจะรอเจ้า เมื่อถึงตอนที่ข้ากับเจ้าร่วมมือกันในนามสามีและภรรยา จะไม่มีใครในโลกนี้ต่อกรพวกเราได้ ”
“อีกอย่างหนึ่งชิงสุ่ย ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเจ้าที่จะต่อสู้กับกองทัพขนาดใหญ่ในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกด้วยตัวคนเดียว สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเมื่อเจ้ามีพลังที่มากพอแล้ว เจ้าควรทำงานร่วมกับกองกำลังอื่นๆหรือจัดตั้งพันธมิตรขึ้น ”
“อ้ะ เฉินเอ๋อของข้าช่างฉลาดเสียจริง เจ้านี่คิดเหมือนข้าตลอดเลย” ความจริงแล้วชิงสุ่ยกำลังคิดเรื่องทำนองนี้อยู่เช่นเดียวกัน แต่เมื่อติ๊เฉินกล่าวมันออกมา เขาจึงคิดว่าควรจะจริงจังกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น
“เจ้าเด็กบ้า นี่เจ้ากำลังชื่นชมตัวเองอยู่ใช่หรือไม่?” ติ๊เฉินรู้สึกหมดคำกล่าว
“ข้าต้องไปแล้ว เจ้าจะคิดถึงข้าหรือไม่?”
“ข้าจะคิดถึงเจ้าเสมอ”
“ข้าต้องไปแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ให้รางวัลแก่ข้าบ้างล่ะ!” ในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังพูดใบหน้าของเข้าก็ยื่นเข้าใกล้กับปากของติ๊เฉิน
“รอจนกว่าจะถึงครั้งหน้าที่เราได้พบกัน จนกว่าเจ้าจะบรรลุความสันโดษนั่น ข้าจะกินเจ้าให้ดูและทำให้เจ้ามาเป็นผู้หญิงที่แท้จริงของข้า” นี่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวก่อนที่จะจากไป หลังสิ้นสุดคำพูดเขาก็จากไปในทันที
เหตุที่ชิงสุ่ยต้องรีบจากไปพร้อมกล่าวคำลาเพียงสั้นๆ นั่นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้ต้องมีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นต่อทั้งสอง
ใบหน้าของติ๊เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่มองตามไปยังทิศทางที่ชิงสุ่ยจากไป
……
ขณะนี้ชิงสุ่ยได้มาถึงเมื่องจักพรรดิแห่งจักรวรรดิเดชสวรรค์เป็นที่เรียบร้อย นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเดินทางมายังที่นี่ เมื่อเขารู้ตัวอีกทีตัวเองก็มาปรากฏอยู่ที่ร้านตีอาวุธของเมืองจักรพรรดิเสียแล้ว เขาเดินเข้าไปในร้านพร้อมมองดูสินค้าต่างๆไปทั่ว
“ยินดีต้อนรับ!”
เมื่อชิงสุ่ยหันกลับไปมองทิศทางที่เสียงปรากฏออกมา ก็พบกับบริวารหนุ่มคนก่อนหน้า ในตอนนี้เขายิ้มออกให้ชิงสุ่ยเล็กน้อย
“มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“นายหญิงบอกเอาไว้ว่าถ้าท่านปรากฎตัวออกมา นางอยากให้ท่านรอสักครู่ นางอยากพบกับท่าน” บริวารหนุ่มกล่าวอย่างสุภาพ
“อ้ะ ได้สิ!”
“ข้าต้องขอขอบคุณจริงๆ ข้าจะไปแจ้งนายหญิงเดี๋ยวนี้ ” บริวารหนุ่มมีท่าทีเร่งรีบหลังพูดจบ
ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาตื่นตระหนกเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยพบผู้คนจากราชวงศ์ในจักรวรรดิเดชสวรรค์มากมายนัก สิ่งที่เขาแปลกใจก็คือการที่ใครบางคนนำหมอนมาให้เพียงเพราะเขาแค่หาว(นำหมอนมาให้เพียงเพราะแค่หาวเป็นสำนวนที่กล่าวถึงการที่ใครบางคนเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอย่างฉับไว)
ในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชิงสุ่ยก็ได้พบกับฟู่ร่ง เช่นเดียวกับทุกๆครั้งเจ้าเด็กนี่ช่างดูฉลาดและสดใสเหมือนเดิม เมื่อพบกับชิงสุ่ยนางรีบวิ่งมาอย่างมีความสุข
“ในที่สุดท่านก็มา ท่านบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าท่านจะไปเยี่ยมข้าที่บ้าน? เหตุใดถึงหายไปนานเพียงนี้?”
“ก็.. ในตอนนี้ข้าก็มาแล้วไม่ใช่หรือ?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
บริวารหนุ่มเดินกลับออกไป
“ครอบครัวของข้าอยากพบกับท่านมากๆเลย จะเป็นอะไรไหมหากต้องไปพบพวกเขา? ” ฟู่ร่งกล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย
“เจ้าเป็นคนของราชวงศ์มิใช่หรือ?” ชิงสุ่ยไม่ได้ตอบคำถามของฟู่ร่ง
“ใช่แล้ว!”
นางมีแซ่ฟู่ มันเป็นสกุลเดียวกันกับผู้คนในราชวงศ์ นอกเหนือจากนั้นที่นี่ก็เป็นร้านตีอาวุธของเมืองจักรพรรดิ ชิงสุ่ยไม่ควรถามคำถามเช่นนี้ออกไปจริงๆ
“หรือตระกูลของเจ้ากำลังเปิดรับสมัครคนอยู่?” ชิงสุ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากท่าน แต่ท่านต้องพึงพอใจกับของรางวัลนั่นแน่ๆ ฟู่ร่งกล่าวอย่างรวดเร็ว”
“ไปกันเถอะ ข้าวางแผนที่จะเข้าพบผู้คนจากราชวงศ์เพื่อพูดคุยเรื่องบางอย่างอยู่แล้ว ข้าสงสัยว่าสมาชิกในตระกูลของเจ้ามีส่วนจัดการสำนักพระราชวังหรือไม่? ” ชิงสุ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ฟู่ร่งยิ้ม “ข้าว่าอย่างน้อยพวกเขาก็มีส่วนนะ”
ชิงสุ่ยถึงกับชะงัก ดูเหมือนว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้จะมีตำแหน่งสูงส่งในสำนักพระราชวังเสียด้วย นางอาจจะเป็นสมาชิกสาขาหลักของสำนักพระราชวัง มิฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ครอบครัวของนางจะมีอำนาจในการตัดสิน
เมื่อเวลาผ่านไปสองชั่วโมง ชิงสุ่ยมองไปยังเบื้องหน้าก็พบกับสวนที่กว้างใหญ่ซึ่งเป็นของสำนักพระราชวัง สถานที่แห่งนี้มีความกว้างขวาง นอกจากนี้มันยังตั้งอยู่ข้างภูเขา มีสุสานจำนวนมากตั้งอยู่บนนั้น และมีบันไดหินระหว่างทาง ดูเหมือนว่าจะมีทางขึ้นไปยังยอดเขาที่ไกลออกไป
ชิงสุ่ยรับรู้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลังรอบๆตัวเขาผ่านการรับรู้ทางจิตวิญญาณ พวกมันพุ่งออกไปยังท้องฟ้าสู่ภูเขาที่อยู่สูงขึ้นไป
เหมือนกับว่าที่นี่เป็นจุดตรวจสอบของสำนักพระราชวัง ซึ่งมันคือพระราชวังในเมืองจักพรรดินี้จริงๆ ในความเป็นจริงพระราชวังที่ประชาชนมองเห็นอยู่ทุกวันนั้นเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาเฉยๆเท่านั้น
ระหว่างทางเดินชิงสุ่ยพบกับยามจำนวนหนึ่ง พวกเขาล้วนเป็นนักรบที่ทรงพลัง แน่นอนว่าจากมุมมองของชิงสุ่ยเองไม่ได้แปลกอะไร แต่ถ้าเป็นคนภายนอกจะให้การนับถือพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ซ่อนและที่ตั้งอันโดดเดี่ยวของคฤหาสน์ ยิ่งไปกว่านั้นทิวทัศน์แถวนี้ยังมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใด พวกเขาสามาถมองเห็นสถานที่สำคัญๆในเมืองได้จากที่นี่ ในทางกลับกันสถานที่อื่นๆจะไม่สามารถมองเห็นที่แห่งนี้ได้
มียามสองคนเฝ้าอยู่หน้าทางเข้า ชิงสุ่ยประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาทั้งสองคน เหตุเพราะทั้งคู่มีพลังกว่าหนึ่งพันสุริยา นอกเหนือจากนี้พวกเขายังหนุ่มอยู่แท้ๆ หากเรื่องของเขาถูกแพร่หลายออกไปคงได้รับการชื่นชมว่าเป็นอัจฉริยะ พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อคอยปกป้องทางเข้าเอาไว้ แต่เมื่อมาคิดว่าที่นี่เป็นของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเดชสวรรค์ก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก
“ท่านลุง ช่วยส่งข้อความให้ข้าหน่อย! ข้าอยากพบกับท่านพ่อ อีกอย่างบอกเขาด้วยว่าท่านชิงมาถึงแล้ว” เหมือนกับว่าฟู่ร่งจะคุ้นเคยกับทั้งสองคนมาก นางพูดกับเขาทั้งสองอย่าเป็นธรรมชาติ
“ฝ่าบาทอยู่ข้างในแล้ว องค์หญิงสามารถเดินเข้าไปได้เลย ” ชายคนที่ยืนอยู่ทางซ้ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฟู่ร่งยิ้มตอบพร้อมพยักหน้า นางเดินเข้าไปข้างในพร้อมชิงสุ่ย
พวกเขาเดินผ่านลานกว้างเข้าไปข้างในก็พบกับชายชราสองคน ชายวัยกลางคนจำหนวนหนึ่ง และชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยถึงบางอย่างอยู่
“ท่านพ่อ!”
ฟู่ร่งตะโกนออกไปด้วยความดีใจต่อบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหน้านาง ชายชราที่ยืนอยู่ตรงกลางซึ่งสวมชุดคลุมมังกรหยกสีขาวหันมายิ้มและพยักหน้า
ชายผู้นั้นมีรูปร่างสมส่วน ผมสีขาวเล็กน้อยแสดงให้เห็นถึงความสง่างาม เสียงของเขาบ่งบอกถึงความมั่งมีและความมีรสนิยม ทำให้ผู้คนรอบๆรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่สูงศักดิ์
ชายผู้นั้นยิ้มและก้าวมาข้างหน้าสองก้าว “เช่นนั้นท่านก็คือท่านชิง ท่านดูเหมือนชายหนุ่มที่มีอนาคตไกลจริงๆ ”
ชิงสุ่ยยิ้มตอบพร้อมมองไปยังชายชราผู้นั้น “ผู้อาวุโส ข้าเดาว่าท่านคงรู้เรื่องที่ข้าเป็นสมาชิกของสำนักสวรรค์เร้นลับ เป็นเกียรติจริงๆที่ได้พบกับท่าน ”
ในบางครั้งคนเราก็จำต้องแสดงความสุภาพอ่อนน้อม หลายๆครั้งที่ความถ่อมตนทำงานของมันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ เหตุที่ชิงสุ่ยกล่าวเช่นนี้เพราะเขาต้องการแสดงตัวตนของตัวเองอย่างชัดเจน
“ใช่แล้ว หากว่าไม่ ข้าคงต้องคิดหาวิธีต่างๆมารั้งตัวเจ้าเอาไว้” ชายชรากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าชอบพูดคุยกับคนที่มีใจกว่างเช่นผู้อาวุโสจริงๆ”
“เยินยอข้าเกินไปแล้ว!”
“ผู้อาวุโส ได้โปรดเรียกข้าว่าชิงสุ่ยเถอะ!”
“เช่นนั้น ชิงสุ่ย ถ้าเจ้าไม่ถืออะไรก็เรียกข้าว่าลุงฟู่แล้วกัน มันคงเป็นการเรียกที่ดีต่อข้า”
“ยินดีที่ได้พบ ลุงฟู่! คงไม่เป็นไรใช่ไหมหากท่านจะแนะนำคนอื่นๆให้ข้าได้รู้จัก”
“เอาล่ะ มานี่สิ นี่เป็นคนที่คอยติดตามและคอยปกป้องข้า‘เจียงเซี่ย’” ชายชรากล่าวในขณะที่ผายมือไปยังชายชราอีกคนที่เปี่ยมไปด้วยกลื่นอายอันน่าเกรงขาม
“ผู้อาวุโสเจียง ยินดีที่ได้พบ! ลุงฟู่ข้าเกรงว่าท่านคงไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องท่าน เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีพลังเทียบเคียงกับลูงฟู่ได้” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวตอบ เขาถือโอกาสทักทายเหล่าผู้อาวุโส
“หืม ชิงสุ่ยเจ้ากำลังพูดถึงระดับการฝึกยุทธอยู่เช่นนั้นหรือ?” ฟู่ตงเชียงมองไปยังชิงสุ่ย
“เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้ารู้สึกได้ ลุงฟู่ ข้าเดาว่าท่านมีพลังอยู่ที่ราวๆเจ็ดพันสุริยา” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ เจ้ารู้ได้ถึงแม้กระทั่งระดับพลังของข้า…” ฟู่ตงเชียงมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความตกใจ จากมุมมองของตัวเขาเอง เขารู้สึกว่าพลังของชิงสุ่ยมีความกำกวมจริงๆ
เรื่องนี้ทำให้เขาถึงกับต้องประหลาดใจ ไม่เพียงเขาเท่านั้นแม้แต่เจียงเซี่ยก็รู้สึกตกใจเช่นกัน
“ลูงฟู่ เหตุใดท่านไม่เริ่มด้วยการแนะนำพวกเขาให้ข้าได้รู้จักเสียล่ะ? พวกเขาคงจะเป็นคนรุ่นใหม่ในตระกูลของท่านสินะ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น