Ancient Strengthening Technique 1235-1258

 บทที่ 1235 – การตัดสินใจของเทียน เจียง คำเชิญของนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ปฏิเสธ


 


เพราะว่าราชสีห์เทวาทองคำนั้นได้รับยาเสริมอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำไป จึงถือว่าชิงซาสามารถจับมันได้สำเร็จในตอนนี้ ราชสีห์เทวาทองคำขนาดใหญ่วิ่งวนไปรอบๆชิงซา


 


ชิงซายื่นมือของนางออกไปลูบศีรษะของมันอย่างมีความสุข สัตว์อสูรตัวนี้มีทั้งเกล็ดและขนที่นุ่มนวล


 


“ขอบคุณท่านพ่อ!” ชิงซาหันหลังแล้วมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความยินดี


 


“เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะมากพิธีกับพ่อทำไม? มาเถอะ ไปทานอาหารกัน” เมื่อเห็นว่าชิงซามีความสุขชิงสุ่ยก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน ความสุขคือสิ่งที่สามารถส่งต่อไปยังคนอื่นๆได้


 


ชิงสุ่ยมอบยาหลายชนิดให้แก่ชิงซาเพื่อให้นางมอบให้กับสัตว์อสูรของตนเองรวมถึงยาเม็ดเสริมอสูรสีชาดในแก่นแท้ของหมาป่าจันทรา 9เศียรด้วยเช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่ดีและมันยังสามารถช่วยพัฒนาสายเลือดของสัตว์อสูรได้ มันจะเป็นประโยชน์มากสำหรับเวลาที่สัตว์อสูรต้องการที่จะปลุกสายเลือดของตนเองให้ตื่นขึ้น


 



 


เมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยงเทียน เจียงก็ได้มาหาเขา เมื่อเขาเห็นชิงสุ่ยเขาก็ดูมีความสุขอย่างยิ่ง หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยเขาก็พูดเรื่องที่ต้องการจะพูดออกมาทันที “พี่ชายของข้าได้ไปพบกับนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ และนายน้อยนั่นอยากจะพูดคุยกับเจ้า”


 


ชิงสุ่ยรู้ว่ายังไงวันนี้ก็ต้องมาถึงแต่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะรวดเร็วเพียงนี้ ตอนแรกเขาคิดว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมาตามหาเขาหลังจากเวลาผ่านไป เขาไม่คาดคิดว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะพูดตรงๆว่าต้องการพบกับเขา


 


“โอ้? เขาอยากจะพบกับข้า? เช่นนั้นก็ให้เขามาที่นี่” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างไม่สนใจ ในตอนนี้มังกรไอยราเกล็ดทองคำได้ทรงพลังยิ่งขึ้นและแม้ว่าชิงสุ่ยจะต้องต่อสู้กับนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ มันก็อาจจะช่วยเหลือเขาได้


 


ดวงตาของเทียน เจียงเบิกกว้างขึ้น “เข้าต้องการให้เจ้าไปหาเขา”


 


เทียน เจียงยิ้มหลังจากกล่าวเช่นนี้ รอยยิ้มของเขาดูเจื่อนๆราวกับเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ในเรื่องนี้


 


“พี่ชาย มีอะไรงั้นหรือ?” เมื่อชิงสุ่ยได้เห็นสีหน้าของเทียน เจียง เขารู้ว่ามันต้องเป็นเพราะเรื่องนี้


 


“นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังตามหาใครสักคนอยู่ ข้าได้ให้พี่ชายของข้าไปตามหาเขาอยู่และพี่ชายของข้าก็ได้รับปากว่าจะทำเรื่องนี้ แต่นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องการให้เจ้าไปตามหาด้วยและยังต้องการให้เจ้ารักษาน้องชายของเขา”


 


“พี่ชาย พี่กลัวนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์และเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ?” ชิงสุ่ยถาม


 


“ข้าไม่ได้กลัว ไม่ว่าเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะหยิ่งผยองมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรข้า มันย่อมดีหากไม่มีเรื่องเลวร้ายใดๆเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างเรา แต่มันย่อมต่างออกไปสำหรับเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังทำให้ชีวิตของฟู่ เหยียนติงต้องตกอยู่ในอันตราย หากเจ้าไม่รักษาเขา คนพวกนั้นย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน ไม่มีผู้ใดจะสามารถหยุดเขาเอาไว้ได้” เทียน เจียงกล่าวด้วยความหดหู่


 


“พี่ชาย พี่ชายของท่านได้บอกเรื่องนี้มางั้นหรือ?” ชิงสุ่ยยิ้มและถามขึ้น


 


“ใช่แล้ว เป็นเพราะพี่ชายของข้ารู้ดีว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแบบไหน ชิงสุ่ย เจ้าต้องฟังข้าในตอนนี้ ในตอนนี้เราไม่มีพลังมากพอที่จะต่อกรกับคนพวกนี้ แม้แต่พี่ชายของข้าก็ทำได้เพียงต้องยอมรับเรื่องนี้”


 


“พี่ชาย พี่ยังไม่ได้เดินออกจากโซ่พันธนาการที่คอยกักขังท่านเอาไว้ หากพี่ไม่หาญสู้กับพวกเขา พี่ก็จะไม่มีทางข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้อีกเลย ตัวพี่นั้นก็เป็นเหมือนกับกบที่อยู่ในบ่อน้ำและบ่อน้ำนั่นได้กักขังพี่เอาไว้” ชิงสุ่ยถอนหายใจและกล่าวออกมา


 


ชิงสุ่ยเข้าใจมุมมองของเทียน เจียง เขาก็เคยมีมุมมองแบบนี้ก่อนหน้านี้ หากเขาไม่ได้รับพลังแห่งความบรรพกาลมา เขาก็คงจะยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตนเองด้วยเช่นกันและรู้สึกว่าบางคนนั้นกลับมีชีวิตที่ดียิ่งนักจนไม่อาจหาใครเทียบได้ แต่มันต่างออกไปในตอนนี้ เขาไม่เกรงกลัวผู้ใดอีกต่อไป เขาต้องการเพียงเวลา


 


“ข้าเข้าใจในเรื่องนี้แต่ความต่างระหว่างพวกเขากับข้านั้นมีมากเกินไป ข้ายังกลัวว่าอาจจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้า บางทีเราน่าจะทนกับมันอีกสักหน่อย?” เทียน เจียงกล่าวด้วยความหดหู่


 


“ข้ารู้ว่าที่พี่พูดเรื่องนี้ก็เพื่อประโยชน์ของข้า แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้วเรื่องบางอย่างนั้นยอมหักได้แต่ไม่ยอมงอ พี่ชาย ข้าหวังว่าพี่จะหลุดออกจากพันธนาการของตนเองได้ มิฉะนั้นการบ่มเพาะของพี่ในอนาคตย่อมต้องจบลงเพราะตัวพี่เองในสักวันหนึ่ง พี่ต้องพยายามแม้มันจะยากยิ่งนัก มิฉะนั้นเมื่อพี่ได้ไปถึงจุดคอขวดในภายภาคหน้าพี่จะสูญเสียความมุ่งมั่นที่จะทำลายผ่านคอขวดนั้นไปได้ จิตใต้สำนึกของพี่จะรู้สึกว่าพี่ไม่อาจข้ามผ่านมันได้ มันก็เหมือนที่ข้าถามพี่ในตอนนี้ พี่ต้องทำให้ตนเองรู้สึกว่าพี่สามารถยกระดับไปยังระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้” ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปยังเทียน เจียง


 


ชิงสุ่ยกำลังทดสอบเขา หากเทียน เจียงไม่อาจผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ มันย่อมยากยิ่งนักที่เขาจะได้เป็นผู้พิทักษ์เทวะธรรมระดับ 5 ในอนาคต


 


เทียน เจียงขมวดคิ้วเข้าหากันทันที ความประทับใจที่เขามีต่อพี่ชายของเขานั้นทำให้เขารู้สึกว่าตนเองยังห่างไกลกับความทรงพลังนั่น เขาจะเผชิญหน้ากับคนที่แม้แต่พี่ชายของเขาก็ต้องไว้หน้าได้อย่างไรกัน? แม้ว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ชิงสุ่ยพูด แต่มันก็ยากยิ่งนักที่จะทำตาม นี่มันก็เหมือนกับคนธรรมดาที่ต้องเผชิญหน้ากับฝูงพยัคฆ์และราชสีห์ เขาจะสู้กับคนพวกนั้นได้อย่างไรกัน?


 


“หากคนเรามีความหวังอย่างแน่วแน่ จิตใจก็จะแน่วแน่ตามไปด้วย” ชิงสุ่ยกล่าวต่อ


 


คิ้วที่ขมวดกันของเทียน เจียงค่อยๆดูลึกขึ้นเรื่อยๆและมีประกายแห่งความดุดันปรากฏขึ้นในสายตาที่สดใสของเขา พี่ชายของเขานั้นทรงพลังอย่างยิ่งและตั้งแต่ยังเด็กนั้นความประทับใจที่เขามีต่อพี่ชายนั้นก็ยากที่จะลบเลือนออกจากจิตใจ มันมีวิธีที่จะลบมันออกอย่างง่ายดายได้หรือไม่?


 


“น้องชาย ข้าเชื่อในตัวเจ้า ในตอนนี้ข้าจะเผชิญหน้ากับพวกมันไปพร้อมกับเจ้า” หลังจากผ่านไปเป็นเวลานานเทียน เจียงก็พูดขึ้นอย่างมั่นใจ แม้ว่ามันจะไม่ได้ดูชััดเจนแต่นี่ก็เป็นการตัดสินใจของเขา


 


“เอาหละ อย่ากังวลไปเลย มันจะไม่เป็นอะไรหรอก ในอนาคตพี่จะคิดว่าการตัดสินใจในวันนี้นั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว


 


มันย่อมดีกว่าที่จะตีเหล็กในตอนที่มันยังร้อน เพื่อที่จะให้เทียน เจียงเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง เขาจึงมอบหยดของฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตให้ไป เขารู้ว่าคนแบบเทียน เจียงนั้นสามารถไว้ใจได้และดังนั้นเขาจึงไม่ได้กลัวว่าจะโดนหักหลัง ยิ่งไปกว่านั้นชิงสุ่ยก็ไม่ได้เกรงกลัวเรื่องอื่นๆเช่นกัน เขาพยายามช่วยเหลือเทียน เจียงจริงๆ


 


ชิงสุ่ยนั้นได้รับประโยชน์ที่มากมายมหาศาลจากยาเม็ดทองคำแห่งสวรรค์ทั้ง 9 ที่เทียน เจียงได้มอบให้แก่เขา ดังนั้นชิงสุ่ยจึงอยากแบ่งปันสิ่งที่เขามีให้แก่เทียน เจียงด้วยเช่นกัน


 


ยิ่งไปกว่านั้นเทียน เจียงยังถือเป็นสหายของเขา ในอนาคตพวกเขายังสามารถช่วยเหลือกันและกันได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงเทียน เจียงย่อมเป็นประมุขของดินแดนแห่งนี้และเขาจะสามารถช่วยเหลือชิงสุ่ยได้อย่างมาก  ชิงสุ่ยนั้นชื่นชอบคนแบบเทียน เจียง เขาเป็นคนที่มีหลักการ ตรงไปตรงมาและเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์


 


หลังจากเทียน เจียงได้รับฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต พลัง ร่างกาย และศักยภาพในการเติบโตของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เขามองไปยังชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ เขาได้รับประโยชน์มากมายจากชิงสุ่ย คนๆนี้มีสมบัติแห่งสวรรค์และโลกมากมายจากที่ใดกัน? เขาเองก็ไว้ใจชิงสุ่ยเช่นกัน มิฉะนั้นเขาคงไม่ตัดสินใจเมื่อครู่นี้


 


เขารู้สึกแปลกๆว่าไม่มีอะไรเลยที่ชิงสุ่ยนั้นไม่สามารถทำได้


 


“พี่ชาย หากข้าไม่ได้ไป นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมาที่นี่ด้วยตนเองหรือไม่?” ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นนั่งอยู่กับเทียน เจียงที่ข้างๆสะน้ำในลานบ้าน เขามองไปยังฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำและถามขึ้น


 


“เขาน่าจะทำเช่นนั้น แม้ว่าฟู่ เหยียนติงจะหยิ่งผยองไปหน่อย นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงรักเขา” เทียน เจียงกล่าวด้วยความมั่นใจ


 


“เช่นนั้นท่านคิดว่าเหลือเวลามากที่สุดกี่วันกันที่เขาจะออกมาตามหาข้า?”


 


“อีก 3 วัน เพราะเขาได้รับรู้ถึงจุดยืนของเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว เขาย่อมออกมาตามหาเจ้าภายใน 3 วันนี้หากเจ้าไม่ไปหาเขา” เทียน เจียงรู้ดีถึงนิสัยของนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ โดยปกติแล้วwเมื่อนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เรียกใครให้ไปหาเขา ย่อมจบลงโดยไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน


 


“นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแบบไหนกัน?” ชิงสุ่ยสงสัยอย่างยิ่ง


 


“เด็ดขาด แน่วแน่ ไม่เกรงกลัวข่าวลือใดๆ ชาญฉลาด และถือว่าเป็นคนที่สำคัญยิ่งนัก ไม่แปลกเลยที่เขาจะอาละวาดสังหารหมู่เป็นครั้งคราว เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและเป็นคนตรงไปตรงมา เขาจะไม่ใช้เล่ห์กลใดๆ อาจเป็นเพราะว่าส่วนใหญ่ที่ผ่านมาแล้วศัตรูที่เขาได้พบนั้นไม่มีค่าพอที่จะทำให้เขาต้องใช้เล่ห์กลใดๆ” เทียน เจียงประเมินนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ออกมา


 


ชิงสุ่ยไม่ได้คิดว่าการที่เขาเป็นคนแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด หากนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนแบบนี้เขาคงไม่อาจอยู่ในตำแหน่งนี้ได้หรอก ดังนั้นเขาจึงได้คำตอบแล้ว เขาแค่อยากจะรู้ว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นคนแบบใดจากวิธการที่เขาได้ใช้ เพราะเขาเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนั้นย่อมไม่เป็นไร แน่นอนว่าชิงสุ่ยยังคงต้องระวังตัวอยู่เสมอ


 


เทียน เจียงได้จากไป ชิงสุ่ยหวังว่าเมื่อตอนที่นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้มาถึง เทียน เจียงจะสามารถมาที่นี่ได้เช่นกัน อีก 3 วัน… แม้ว่าเทียน เจียงจะบอกว่ามากที่สุด 3 วันชิงสุ่ยก็รู้ดีว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมมาถึงที่นี่เกินกว่า 3 วันอย่างแน่นอน


 


ในอีก 3 วันนี้เขาอาจจะต้องต่อสู้กับนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หรืออาจจะไม่ก็ได้ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้น แต่ชิงสุ่ยมีความรู้สึกอยากจะต่อสู้อย่างยิ่ง


 


เขาไม่รู้ว่าเขาจะได้พบความสงบในสามวันนี้หรือไม่


 


สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหนือความจริงมากสำหรับชิงสุ่ย การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นช่างมากยิ่งนัก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดี เขามีความสุขจนรู้สึกว่ามันเกินจะรับไหว


 


ยามบ่ายในวันถัดมา ก็มีชายหลายคนปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า


 


ก่อนหน้านี้เวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างสงบสุข ในวันนี้ชิงสุ่ยได้ให้คำแนะนำกับชิงซาอยู่ในลานฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงได้เห็นผู้คนที่มานี้ได้อย่างรวดเร็ว


 


พวกเขามาแล้วงั้นหรือ?


 


ชิงสุ่ยเงยศีรษะของเขาขึ้นและมองออกไป คนที่สามารถบินได้เช่นนี้ในสำนักสวรรค์เร้นลับอย่างน้อยก็ต้องมีสภานะที่เป็นผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเทียนยี่ได้มาที่นี่ก่อนหน้านี้ ดังนั้นในครั้งนี้ผู้ที่มานั้นย่อมทรงพลังยิ่งกว่าผู้อาวุโสเทียนยี่


 


ชายชรา 4 คนเข้ามายืนอยู่เหนือคฤหาสน์ของเขาอย่างรวดเร็ว


 


“เจ้าคงเป็นท่านชิง พวกเรามารับเจ้าไป นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเวลาว่างมากนักจึงส่งพวกเรามารับเจ้าแทน” ชายชราที่เป็นผู้นำมีร่างกายที่กำยำและสวมชุดเกราะสีทองทำให้เขาดูราวกับเทพแห่งสงคราม ชายชราผู้นี้ไม่ได้ดูชรามากนัก บนเป็นบนใบหน้าของเขาทำให้เขาดูแข็งแกร่งและมีมีริ้วรอยจางๆบนใบหน้าของเขา ดวงตาของเขานั้นเฉียบคมราวกับใบมีด


 


“ข้าได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้ว หากเขาต้องการที่จะพบข้า เขาต้องมาด้วยตนเอง หากเขายุ่งมากนักเช่นนั้นข้าก็จะไม่รบกวนเขาดีกว่า”


 


“เจ้าคิดว่าตัวเองสูงศักดิ์มากงั้นหรือ เจ้าเป็นใครกันที่นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องมาพบเจ้าด้วยตนเอง?” ชายชรารู้สึกโกรธจนไม่อาจอธิบายได้แม้แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ


 


“เช่นนั้นเจ้าจะมาพูดอะไรให้มากความต่อหน้าข้า?” ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่ได้สนใจตำแหน่งผู้อาวุโสของคนพวกนี้เลย


 


นี่เพราะว่าชายชราเป็นตัวแทนของนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้และไม่ได้มาในนามสำนักสวรรค์เร้นลับ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีการรายงานไปยังสำนักสวรรค์เร้นลับว่าผู้อาวุโสพวกนี้ไม่อาจจัดการกับรุ่นเยาว์ได้พวกเขาคงขายหน้าอย่างยิ่งในอนาคต


 


ดังนั้นชิงสุ่ยจึงโต้ตอบกลับไปด้วยความรังเกียจเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นสำนักสวรรค์เร้นลับนั้นยุ่งจนเกินกว่าจะมาจัดการปัญหาแบบนี้ได้


 


“จองหองยิ่งนัก เด็กอย่างเจ้าคงไม่รู้ว่าโลกนี้นั้นใหญ่โตมากเพียงใด เจ้าคิดจริงๆงั้นหรือว่าเจ้าเหนือกว่าคนอื่นๆเพีนงเพราะเจ้าสามารถจัดการเทียนยี่ได้? ข้าจะบอกเจ้าเองว่าที่นี่คือสำนักสวรรค์เร้นลับ มันไม่ที่ที่เจ้าจะมาทำตัวอวดดีได้ เจ้ายังเติบโตได้อีกมากนัก” ชายชราโกรธจนต้องหัวเราะออกมาและกล่าวเช่นนี้


 


“เจ้าเฒ่า ข้าอาจยังเด็กนักและจองหองแต่เจ้ามันแก่แต่อายุเสียจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าไม่มีไพ่ตายซ่อนเอาไว้งั้นหรือที่ข้ากล้าต่อปากต่อคำแบบนี้?” ชิงสุ่ยยิ้มและตอบกลับ


 


ชายชราตกตะลึงไปในทันที เขามองไปที่ชิงสุ่ยอย่างจริงจังและกล่าวขึ้น “ในวันนี้เจ้าต้องไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม” ชายชรากล่าวอย่างดุดันก่อนที่จะพุ่งออกไปหาชิงสุ่ย


 


เมื่อคิดถึงชิงซา ชิงสุ่ยก็พุ่งขึ้นไปที่กลางอากาศและความเร็วของเขาก็เพิ่มมากขึ้นจากการได้ใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวา


 


ท่าฟาดฟันแห่งไท่เก๊ก!


 


ชิงสุ่ยสะบัดมือขวาของเขาจากนั้นก็โจมตีออกไปโดยการสับด้วยฝ่ามือ!


 


ปราณทองคำไทเก๊ก !


 


ตู้ม!


 


ชิงสุ่ยเข้าใจเพลงหมัดไทเก๊กจนถึงระดับที่เชี่ยวชาญอย่างยิ่ง การฟาดฟันครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นเพลงหมัดไทเก๊กแต่มันก็ใช้หลักการเดียวกันกับเพลงหมัดไทเก๊กในการโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรง


 


ด้วยระดับของชิงสุ่ย เขาไม่ทำเป็นที่จะใช้ท่วงท่าต่างๆในขณะที่ตนเองนั้นยืนนิ่งแต่สามารถใช้ท่วงท่าเช่นนี้ได้ แต่มันยังมีเงาของท่วงท่าอื่นๆลางๆในการโจมตีครั้งนี้ ตัวอย่างเช่น ท่าฟาดฟันแห่งไท่เก๊กของชิงสุ่ยที่มาจากเพลงหมัดไทเก๊กและปลดปล่อยความรู้สึกที่ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่ทรงพลัง


บทที่ 1236 – ไร้หนทางถอย,จดหมายท้าประลอง


 


ตู้ม!


 


การโจมตีอย่างลึกซึ้งของชิงสุ่ยได้ปะทะเข้ากับชายชราอย่างจัง ชิงสุ่ยขยับเพียงเล็กน้อยในขณะที่ชายชรากลับถอยหลังไปสองก้าว ชิงสุ่ยเตรียมพุ่งเข้าใส่อีกครั้งโดยใช้ทักษะย่างก้าวเก้าเทวาและโจมตีด้วยท่วงท่าไท้เก๊กสังหาร


 


ในตอนนี้ ท่วงท่าไท้เก๊กของเขาถูกทิ้งเหลือไว้เพียงร่องรอยเท่านั้น เมื่อเคลื่อนไหวด้วยท่าเท้าทักษะย่างก้าวเก้าเทวา แต่ละก้าวย่อมมาพร้อมกับความน่ากลัว ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ชายชราต้องเป็นฝ่ายถอยเพราะเขาเสียเปรียบตั้งแต่การออกตัวแล้ว


 


ฮึ!


 


หมัดและแขนของชายชรามีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าสามในสิบส่วนและผิวของมันเริ่มเป็นสีทองแวววาว ด้วยเสียงที่กำลังปะทุออกมา เขาพุ่งหมัดขนาดใหญ่ออกไปในทันที


 


หมัดวชิระคำราม!


 


ความแปลกใจปรากฏขึ้นมาในดวงตาของชิงสุ่ยอย่างฉับพลัน เขาเคยเห็นการใช้หมัดวชิระคำรามเช่นนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามวิชาที่เขาเห็นอยู่นี้มีความแตกต่างออกไป เขารู้ดีว่าชายชราในชุดเกราะสีทองจะต้องมีวิชาหมัดวชิระคำรามซึ่งเป็นวิชาขั้นสูงอยู่แน่ แน่นอนว่าในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกนี้มีผู้ที่ใช้วิชาขั้นสูงเช่นนี้ได้อยู่เพียงไม่กี่คน


 


เพลงหมัดวานร!


 


ชิงสุ่ยได้แสดงความสามารถกลับไปบ้าง แขนของเขาดูเหมือนจะขยายขึ้นเล็กน้อย ร่างกายของเขามีแสงสีทองส่องประกายด้วยทักษะกายาทองคำเก้าหยางเช่นกัน ดังนั้นเพลงหมัดวานรของชิงสุ่ยควรจะถูกเรียกว่าเพลงหมัดวานรวชิระเสียมากกว่า


 


ชื่อของวิชาไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือผลลัพธ์ที่ถูกแสดงออกในการต่อสู้ต่างหาก ในศึกต่อสู้ก็เช่นกัน ความแข็งแกร่งไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด ผู้ที่มีชีวิตรอดต่างหากคือผู้ชนะ


 


ตู้ม ตู้ม…


 


เสียงระเบิดดังขึ้นในอากาศอย่างต่อเนื่อง ชิงสุ่ยและชายชราต่างเรียกเกราะอสูรสำแดงของตนออกมาใช้งาน ลมหายใจของชิงสุ่ยมีความยาวมากและการโจมตีของเขายังคงถาโถมเป็นระลอกๆ ราวกับว่าไม่มีจุดสิ้นสุด


 


ยิ่งโจมตีไปเท่าไร ชายชราก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่เขาต้องถอยร่นจากการะทะกับชิงสุ่ยอีกครั้ง ถุงมือสีทองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนมือทั้งสองข้างของเขา


 


แน่นอนว่าถุงมือคู่นี้เป็นอาวุธของเขา อาจเป็นเพราะว่าเขาแอบชื่นชมชิงสุ่ยอยู่บ้างหลังจากการประลองมาสักพัก “นำอาวุธของเจ้าออกมา มิฉะนั้นเจ้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”


 


ชิงสุ่ยพยักหน้ารับ “ไม่ต้องกังวล เมื่อข้าต้องการใช้อาวุธ ข้าย่อมนำมันออกมาแน่นอน แต่ว่าให้ข้ากล่าวกับเจ้าสักหน่อย เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ยังไงเจ้าก็จะพบกับความพ่ายแพ้”


 


“อวดดียิ่งนัก! งั้นรับนี่ไป!”


 


ดูเหมือนว่าชายชราจะโกรธอยู่เล็กน้อย เขาขยับหลังของตัวเองให้ตรงพร้อมกับเอนไปข้างหลังเหมือนกับท่าเตรียมยิงธนู ร่างกายของเขากลายเป็นสีทองแวววาวพร้อมด้วยพลังที่พร้อมจะปะทุออกทุกเมื่อ จากนั้นเขาปล่อยมันออกไป


 


ไป!


 


ร่างของชายชราเปี่ยมไปด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ แสงสีทองรอบๆตัวเขามาพร้อมกับกระแสของแสงสว่างและเงามืด และในตอนนี้หมัดของเขาที่เหมือนกับสว่านเจาะพุ่งตรงไปหาชิงสุ่ย


 


หุบเขาเก้าเทวา!


 


ออกมา!


 


ชิงสุ่ยเรียกใช้งานหุบเขาเก้าเทวาโดยปราศจากความตื่นตระหนก ความสามารถของชายชราผู้นี้อยู่ที่ราวๆสี่ล้านเมฆา และนั่นเป็นพลังทั้งหมดของเขา คนที่มีพลังเช่นนี้จัดว่าอยู่ในอันดับสูงของสถาบันสวรรค์เร้นลับ


 


พลังสองล้านเมฆาคือจุดสูงสุดของระดับผู้พิทักษ์เทวะธรรมขั้นสี่ มีกำแพงขนาดใหญ่ที่กั้นอยู่ตรงนั้น ผู้คนจำนวนมหาศาลจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านมัน เพื่อไปถึงระดับผู้พิทักษ์เทวะธรรมขั้นห้าได้


 


ใครก็ตามที่ไม่สามารถก้าวข้ามเกณฑ์นั้นออกไปก็จะไม่มีทางที่จะเพิ่มขีดความสามารถของตนได้ เห็นได้ชัดว่าชายชราในชุดเกราะสีทองคนนี้ถูกจัดอยู่ในพิทักษ์เทวะธรรมขั้นห้าและมีพลังอยู่ราวๆสี่ล้านเมฆาเลยทีเดียว


 


แต่น่าเสียดายที่หุบเขาเก้าเทวาของชิงสุ่ยมีพลังมากกว่าห้าล้านเมฆา ช่องว่างระหว่างการโจมตีทั้งสองช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ฝั่งหนึ่งมีมากกว่าห้าล้านเมฆาส่วนอีกฝั่งมีไม่ถึงสี่ล้านเมฆาด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อหุบเขาเก้าเทวาปะทะเข้ากับชายชราที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง ท่าทีของเขาก็ดูจะเปลี่ยนไป


 


เกราะเงาทองคำ!


 


ชายชราหยุดนิ่งอยู่กับที่ เขาสบัดตัวเล็กน้อยเพื่อสร้างภาพลวงตาในขณะที่เขากำลังล่าถอยออกไป!


 


ตู้ม!


 


หุบเขาเก้าเทวาชนเข้ากับภาพลวงตาอย่างจังพร้อมกับมุ่งไปหาชายชราอีกครั้ง


 


นี่เป็นการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธิ์ที่ใช้พลังทางกายภาพในการต่อสู้ เมื่อฝ่ายศัตรูมีพลังต่อสู้ทางกายภาพที่สูงกว่าจะถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเผชิญเลยทีเดียว


 


“พวกเราทุกคนจู่โจมเข้าไปพร้อมกัน! จับตัวมันออกมา! ”


 


บุคคลหนึ่งท่ามกลางหมู่ชายชราที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนตะโกนออกมา พร้อมเข้าร่วมการต่อสู้และพุ่งเข้าใส่ชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยไม่ได้แปลกใจอะไรทว่าสายตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจและยังแฝงไปด้วยแววตาอันชั่วร้ายด้วยเช่นกัน เขาไม่ชอบผู้ที่ใช้วิธีการเช่นนี้ ถ้าหากว่าชิงสุ่ยเป็นผู้ที่เริ่มการต่อสู้นี้ขึ้นก่อนละก็ พวกมันคงจะโจมตีเข้ามาพร้อมกันตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องในวันนี้เกิดจากหนึ่งในพวกมันเป็นฝ่ายหาเรื่องชิงสุ่ยเสียก่อน เมื่อเห็นว่าพรรคพวกของตนเริ่มสู้ไม่ไหวจึงเริ่มโจมตีเข้ามาพร้อมๆกัน สำหรับการต่อสู้กับคนจำพวกนี้ชิงสุ่ยจะไม่ปล่อยให้มันจบลงอย่างสวยงามแน่นอน


 


รูปแบบดาราจักร!


 


แส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่ม!


 


ในตอนนี้ พลังวิญญาณของชิงสุ่ยยิ่งกว่าน่ากลัวเสียอีกแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม นี่เป็นเพราะเขาจะได้รับโอกาสเพิ่มขึ้นสองเท่าที่จะปัดป้องการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์ เขารู้สึกว่าไม่อยากฝากความหวังไว้กับโอกาสพวกนี้มากนัก


 


ปัง!


 


ชายชราผู้เป็นฝ่ายพุ่งตัวเข้ามาต้องกลับไปตั้งรับอย่างเต็มรูปแบบ แต่เขายังคงต้องสั่นสะเทือนจากการโดนแส้โจมตีพร้อมก้าวถอยหลังกลับไป พวกเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน เขาอ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับชายชราผู้ที่ใส่ชุดเกราะสีทองแต่ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสเทียนยี


 


ในตอนนี้ พลังของแส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่มของชิงสุ่ยมีพลังอยู่กว่าสามล้านเมฆา ยิ่งไปกว่านั้นมันยังพร้อมไปด้วยความยืนหยุ่นและลึกลับทำให้ยากต่อการปัดป้อง ชายชรากำลังจะตายด้วยแส้เพียงอันเดียว อีกทั้งตัวเขาถูกส่งกระเด็นไกลออกไป


 


ชายชราในชุดเกราะสีทองถูกตรึงไว้โดยหุบเขาเก้าเทวา จากชายชราสามคนที่ยังเหลืออยู่ หนึ่งคนได้รับบาดเจ็บสาหัสส่วนอีกสองคนกำลังเริ่มการต่อสู้เท่านั้น อย่างไรก็ตามพวกเขามีท่าทีที่จะหยุดเอาไว้แค่ตรงนั้น เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าชายผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวนั่นเลย และคงเป็นการกระทำที่โง่เง่าและไร้ประโยชน์ถ้ายังดื้อดึงต่อไป


 


“พวกเราคือผู้อาวุโสแห่งสถาบันสวรรค์เร้นลับ เจ้ากำลังทำผิดต่อผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่า!” ชายชราร่างท้วม หนึ่งในผู้ที่เหลืออยู่ตะโกนออกมา


 


“หยุดพยายามนำตำแหน่งอาวุโสออกมาอ้างเถอะ พวกท่านลงมือทำอะไรไปก่อนหน้านี้? แม้จะเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสถาบันสวรรค์เร้นลับก็ไม่มีสิทธิ์จะจับตัวใครสักคนไว้ตามอำเภอใจเสียหน่อย” แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ได้ตั้งใจฆ่าพวกเขา แต่ว่าเขาจะไม่ปล่อยไปง่ายๆอย่างแน่นอน


 


“รองผู้อาวุโสจิน ดูเหมือนว่าท่านจะชนเข้ากับแผ่นเหล็กเสียแล้วสินะ”


 


ทันใดนั้น มีเสียงหัวเราะออกมาจากชายชราหลายคน ก่อนที่จะมองเห็นพวกเขาเสียงหัวเราะพวกนั้นได้


ปรากฎขึ้นมาก่อนแล้ว


 


ดูจากชุดคลุมของพวกเขาแล้ว ชิงสุ่ยรู้ดีว่าพวกเขาคือผู้คนจากนิกายโลกานฤเบศ


 


“นี่เป็นธุระของพวกเราเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องของพวกนิกายโลกานฤเบศเช่นพวกเจ้าเลย หยุดยื่นจมูกเข้ามาแส่เรื่องของคนอื่นได้แล้ว” แม้แต่ชายชราในชุดเกราะสีทองที่อยู่ในจุดเป็นตายยังโตะโกนออกไปยังกลุ่มผู้ที่เพิ่งมาถึง


 


“ฮาฮ่า เช่นนั้นพวกเราจะยืนดูพวกเจ้าโดนเล่นงานก็แล้วกัน เหตุใดยังคิดว่าพวกตนยังแข็งแกร่ง? เหตุใดถึงเอาจำนวนคนมากและสถานะเข้าข่ม?” ชายชรากล่าวด้วยใบหน้าที่มีความสุข


 


คำพูดเหล่านั้นทำให้ชายชราในชุดเกราะสีทองและคนอื่นๆเต็มไปด้วยความโกรธ ชายชราในชุดเกราะสีทองผละตัวห่างออกจากหุบเขาเก้าเทวาในขณะที่อีกสองคนกำลังช่วยเหลือเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อสบโอกาสที่ดีพวกเขาทั้งหมดก็ได้หลบหนีไป


 


ก่อนจากไปพวกเขาไม่ได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะกล่าวอะไร ก็ยิ่งแต่สร้างความอัปยศให้พวกตัวเองทั้งสิ้น ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเขาไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมา ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้และเหล่าคนอื่นๆที่ได้มอบบทเรียนให้กับพวกเขา


 


“เจ้าหนุ่ม เจ้ามีวรยุทธิ์สูงเลยทีเดียว!”


 


ชายชราท่านนี้มีรูปร่างคล้ายกับพระศรีอริยเมตไตรย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยิ้มออกมาแต่ใบหน้าของเขาเหมือนกับมีรอยยิ้มอยู่ตลอด ชิงสุ่ยรู้ดีกว่าบุคคลประเภทนี้หากไม่ใช่คนดีมากๆก็จะเลวร้ายมากๆไปเลย


 


“ข้าน้อยขอคาราวะ!” ชิงสุ่ยรู้ว่าเขามาจากนิกายโลกานฤเบศและอาจมีความเกี่ยวข้องกับเทียนเจียง


 


“เมื่อเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เจ้าหนุ่มเทียนคงจะกังวลมากไปและยืนยันว่าพวกเราต้องมาที่นี่” ชายชรากล่าวอย่างอบอุ่น


 


“ข้าเพียงแค่ประสบกับปัญหาเล็กน้อยก็เท่านั้น ทำไมพวกท่านไม่มาดื่มชากับข้าเสียหน่อยล่ะ” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสุภาพ เขารู้ดีว่าเจ้าหนุ่มเทียนที่พวกเขากล่าวถึงจะต้องเป็นเทียนเจียงอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าสถานะของเทียนเจียงในนิกายโลกานฤเบศกำลังก้าวหน้าขึ้นแล้ว


 


“ไว้คราวหน้าแล้วกัน ต่อไปพวกเราจะต้องมีโอกาสอีกมากมายที่จะได้พบกันอีก พวกข้ายังมีบางอย่างที่ต้องทำ เช่นนั้นต้องขอตัวก่อน”


 


“ตกลง!”


 


ชิงสุ่ยเฝ้าดูพวกเขาจากไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการมาของชายพวกนี้ ก็เป็นความประสงค์ของเทียนเจียง และมันอาจจะนับได้ว่านิกายโลกานฤเบศได้ช่วยเขาไว้ในครั้งนี้


 


เมื่อชายชราทั้งสีได้จากไป เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ควรจะปรากฏออกมาอีกครั้ง นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังได้มอบบาดแผลสาหัสกับพวกนั้นเอาไว้ ถ้าหากไม่มีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นอีกล่ะก็ เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องกลับมาโจมตีชิงสุ่ยอีกแน่นอน


 


หลังสิ้นการต่อสู้ในครั้งนี้ ชื่อเสียงของชิงสุ่ยถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทั่วทั้งสถาบันสวรรค์เร้นลับ บางข่าวลือยังกล่าวไว้อีกว่าเขาได้จัดการกับชายชราทั้งสี่ด้วยตัวเอง หรือแม้กระทั่งข่าวที่ว่าชิงสุ่ยได้เขียนจดหมายท้าประลองต่อเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ชี้เป็นชี้ตายภายในสองวัน


 


ชิงสุ่ยไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าข่าว่าลือพวกนั้นอาจจะถูกอีกฝ่ายปล่อยออกมาก็เป็นได้ แม้กระทั่งข่าวเกี่ยวกับจดหมายท้าประลองก็ยังปรากฎ ชิงสุ่ยตระหนักดีว่าจะต้องเป็นกับดักของบางคนที่ตั้งเอาไว้ ผู้คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้จะต้องเป็นเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน


 


ข่าวลือเล่าไว้ว่าชิงสุ่ยมีความยโสโอหังเป็นอย่างมาก เขาได้ท้าทายเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์และแม้กระทั่งใช้วืธีสกปรกวางยาพิษต่อน้องชายของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาได้กล่าวขอให้ชิงสุ่ยช่วยรักษาอาการจากพิษนั้นแต่ชิงสุ่ยกลับทำร้ายเหล่าผู้อาวุโสและไม่มีท่าทีเคารพต่อผู้ที่อาวุโสกว่า


 


หลายๆคนไม่ทราบถึงสถานการณ์ทีเกิดขึ้นจริงๆและคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้คงอยากสร้างชื่อ ดังนั้นผู้คนจำนวนมากมีท่าทีรังเกียจต่อชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยไม่รู้สึกอะไรต่อข่าวลือพวกนี้ ไม่ว่าข่าวมันจะมั่วสักแค่ไหนก็ไม่สามารถรบกวนจิตใจของเขาได้ เขามีจุดยืนที่ชัดเจนและไม่ว่าคนอื่นๆจะคิดยังไง นั่นไม่ใช่ปัญหา คนเรานั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเสียงของคนอื่น ไม่เช่นนั้นคงจะเหนื่อยเกินไปถ้าหากต้องทำให้ทุกคนพึงพอใจ


 


ชิงสุ่ยนั่งอยู่ในศาลาพร้อมหยิบพู่กัน,หมึก และกระดาษออกมา


 


“ในเมื่อพวกท่านปล่อยข่าวลือเรื่องการท้าประลองออกมาแล้ว ฉะนั้นทำให้มันเป็นจริงเสียเถอะ นี่คงจะทำให้ความปราถนาของท่านเป็นจริง” ชิงสุ่ยคิดเล็กน้อยและเริ่มเขียนมันลงบนแผ่นหนังสัตว์อสูร


 


เมื่อองค์หญิงใหญ่เดินเข้ามา ชิงสุ่ยก็ได้เสร็จธุระของเขาพอดิบพอดี


 


“เจ้ากำลังเขียนอะไรอยู่งั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่ยิ้มพร้อมมองไปยังแผ่นหนังสัตว์อสูรที่วางอยู่บนโต๊ะหิน


 


“จดหมายท้าประลอง!” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว


 


“เจ้าต้องการที่จะท้าประลองกับเขางั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่พูดด้วยความตกตะลึง ปากอันมีเสน่ห์ของนางเปิดออกด้วยท่าทีประหลาดใจ เมื่อชิงสุ่ยได้เห็นริมฝีปากอันมีเสน่ห์เช่นนั้นทำให้มีความคิดชั่วร้ายโผล่ขึ้นมาในหัวของเขาเล็กน้อย เขารีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป


 


“ใช่แล้ว เมื่อเขาปล่อยข่าวลือเรื่องการประลองออกมา คงจะเป็นการดีกว่าถ้าเราเริ่มมันเสียเลย”ชิงสุ่ยพูดโดยไม่ได้สนใจอะไรมากมาย


 


องค์หญิงใหญ่จ้องมองไปยังชิงสุ่ย นางรู้สึกว่านางไม่เข้าใจชายผู้ที่มีท่าทีสงบต่อหน้านางเลย เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักนางกล่าวอย่างเชื่องช้า “เจ้ามีความมั่นใจเพียงใดว่าจะชนะเขา?”


 


“สามในสิบส่วน!” ชิงสุ่ยกล่าวออกมา


 


“เจ้าจะประลองกับเขาแม้จะมีโอกาสชนะเพียงสามในสิบส่วนได้อย่างไร?” องค์หญิงใหญ่กล่าวต่อชิงสุ่ยด้วยความเหลือเชื่อ


 


“อาจเป็นเพราะข้ายังไม่รู้ถึงความสามารถของเขา ในบางครั้ง ก็มีเรื่องที่ผู้ชายอย่างข้าจะต้องเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่”


 


เมื่อชิงสุ่ยกล่าวว่าสามในสิบส่วนแล้วนั้น เขาไม่ได้พูดมันขึ้นมาลอยๆอย่างแน่นอน เขาประเมินแล้วว่าโอกาสชนะมีอยู่สามในสิบส่วนจริงๆ แต่ถ้าหากขัดเกลาพลังในร่างกายออกมาได้อย่างดี เขากลับรู้สึกว่าโอกาสชนะมีถึงแปดในสิบส่วนเลยทีเดียว


 


นั้นเป็นเพราะชิงสุ่ยมีทั้งลมปราณจักรพรรดิ,มังกรไอยราเกล็ดทองคำ และวชิระสยบอสูร ไม่ว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน มีความสามารถเพียงใด ถ้าหากเขาสามาถใช้งานพลังในร่างกายได้เป็นอย่างดี เขาจะสามารถครอบครองพลังที่เกินกว่าสิบล้านเมฆาไปได้เสียอีก


 


เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีเวลามากพอหรือไม่ ถ้าหากว่าไม่ล่ะ เช่นนั้นเขาคงต้องพึ่งพาความสามารถของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ตัวชิงสุ่ยเองก็ยังไม่มั่นใจเช่นเดียวกันว่าการพึ่งพามังกรไอยราเกล็ดทองคำจะเพียงพอกับการต่อกรกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่


บทที่ 1237 – ผู้หญิงย่อมเป็นสาเหตุของปัญหา ความสับสน สวมกอดองค์หญิงใหญ่


 


มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาในการปกป้องตัวเอง อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าสามารถทำได้ จากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา เขาประเมินไว้ว่าพลังของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ราวๆสิบห้าล้านเมฆา เมื่อเผชิญกับพลังที่สูงเช่นนี้ ชิงสุ่ยเองก็มีวิธีที่ทำให้ผลออกมาเสมออยู่ นั่นคือการประสานกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำนั่นเอง


 


พลังราวๆสิบห้าล้านเมฆา… ในครั้งหนึ่งชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำเกือบจะก้าวไปถึงแล้ว พลังในตอนนั้นมีส่วนต่างอยู่ที่ราวๆหนึ่งล้านหนึ่งแสนเมฆา ภายใต้เงื่อนไขที่มังกรไอยราเกล็ดทองคำอยู่ในความพร้อมสูงสุดพลังของมันอยู่ที่ราวๆสิบล้านเมฆา เมื่อนำมารวมกับพลังของตัวเขาเองแล้ว สามารถต่อกรกับผู้ครอบครองพลังสิบห้าล้านเมฆาได้สูสีเลยทีเดียว


 


ทั้งหมดนี้กล่าวถึงแค่ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น อย่างไรก็ตามมังกรไอยราเกล็ดทองคำเป็นถึงสัตว์อสูรแห่งสวรรค์และโลก ชิงสุ่ยคิดว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำจะสามารถจัดการกับพลังสิบห้าล้านเมฆาได้เมื่ออีกฝ่ายอ่อนแอลง ชื่อของสัตว์อสูรแห่งสวรรค์และโลกไม่ได้มีไว้ประดับเพียงเท่านั้น


 


ด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงตัดสินใจส่งจดหมายท้าประลองนี้ออกไป เขาคิดว่าถ้าหากมังกรไอยราเกล็ดทองคำร่วมมือกับเขาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เขาจะสามารถรักษาจุดยืนของตนที่จะไม่มีทางแพ้เอาไว้ ตราบเท่าที่เขายังต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามไว้ได้จะต้องมีโอกาสให้เขาเอาชนะด้วยสัตว์อสูรตัวนี้เป็นแน่


 


“สุดท้ายแล้วเจ้าก็กลับมาพึ่งพาสัญชาตยานของตัวเองจนได้ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่งั้นหรือ?”องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์


 


ชิงสุ่ยเรียกสติของตัวเองกลับมาพร้อมมองไปยังองค์หญิงใหญ่ด้วยท่าทีเขินอาย นางขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางกังวลกับเรื่องนี้จริงๆ เขาเปิดปากพร้อมกับยิ้มออก “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าอยู่ใช่ไหม?”


 


ท่าทางการพูดของเขาดูสนุกสนาน นี่เป็นเพราะเขาต้องการเปลี่ยนบรรยากาศที่ตึงเครียดให้ผ่อนคลายมากขึ้น หลังสิ้นคำพูดของตนเองลงเขามีความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าทั้งสองคนจะกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขาก็ยังคงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องเหมาะสมที่จะพูดออกไปเช่นนี้


 


“ใครจะเป็นห่วงเจ้ากันล่ะ? ตัวเจ้าเองแท้ๆ เจ้ายังไม่ห่วงตัวเองเลย จะมีใครที่ไหนมาเป็นห่วงเจ้าอีกล่ะ?” องค์หญิงใหญ่โกรธเรื่องที่ชิงสุ่ยเขียนจดหมายท้าประลอง


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก แม่นางซู่ เจ้าควรจะคอยให้กำลังใจข้าเสียมากกว่าไม่ใช่เจ้ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักสิทธิ์นั่น แม้ว่าเขาจะคอยตามเอาใจเจ้าอยู่ก็เถอะ เจ้าก็ไม่ควรทำเช่นนี้” ชิงสุ่ยยิ้มออกในขณะที่มองไปยังองค์หญิงใหญ่


 


“เจ้านี่ไม่เคยจริงจังเลยใช่ไหม ในสถานการณ์เช่นนี้ยังจะมีอารมณ์มาตลกอีก ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าส่งจดหมายนั่นออกไป” องค์หญิงใหญ่ตอบออกไปหลังจากใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่


 


ลึกๆแล้วชิงสุ่ยรู้สึกอบอุ่น เขามีความรู้สึกว่าเขาใกล้ชิดกับหญิงสาวคนนี้มากจริงๆ ความกังวลของคนเรานั้นจะถูกแสดงออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าปัญหาจะใหญ่หรือเล็กเพียงใดนั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือปฏิสัมพันธ์ของหัวใจทั้งสองที่รับรู้เรื่องราวต่อกันได้มากกว่า


 


“แม่นางซู่ ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นห่วงข้า ทุกๆอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ข้าก็ยังไม่อยากตายเช่นกัน ข้ายังมีครอบครัว,ภรรยา และลูกๆที่รออยู่ ฉะนั้นแล้วไม่ต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย ข้าน่ะหนังเหนียวมากนะ คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจพรากมันไปได้ง่ายนักหรอก” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาอาจจะแสดงออกอย่างผ่อนคลาย แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งเขาก็ได้เผยให้คนอื่นรับรู้เช่นกันว่าเขาจริงจังมากๆ


 


“ฟังข้าให้ดี ในตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” องค์หญิงใหญ่พูดอย่างจริงจังพร้อมมองไปยังชิงสุ่ย


 


“ซูหนี่ เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไม่เอาชีวิตของเขาหรอก” ณ เวลานี้ มีเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมา


 


ชิงสุ่ยและองค์หญิงใหญ่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ชิงสุ่ยหันมองไปรอบๆก็พบกับชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศซึ่งห่างออกไปไกลพอสมควร ในเวลานี้เขากำลังจ้องมองมาที่ทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มพร้อมกับปล่อยความรู้สึกที่แปลกประหลาดออกมา


 


ชิงสุ่ยพยายามหลิ่วตามองชายที่อยู่ห่างไกลออกไป เขาไม่สามารถบอกอายุของชายผู้นั้นได้จากภายนอก ชายผู้ยืนอยู่กลางอากาศดู่สง่างามราวกับว่าเป็นอมตะ อีกทั้งยังมีดวงตาที่มองดูอบอุ่นแต่คงจะเป็นความอบอุ่นที่ไม่มีใครกล้ามองนัก ดูเหมือนว่าจะมีความแตกต่างระหว่างชายผู้นั้นและชิงสุ่ยอยู่ ระหว่างคิ้วของชิงสุ่ยเองนั้นมีเครื่องหมายสีม่วงประทับเอาไว้ ความอ่อนโยนและความสงบดูเหมือนจะถูกบรรจุอยู่ในนั้น เมื่อนำทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันแล้ว ความอ่อนโยนของชิงสุ่ยชวนให้น่าหลงไหลเสียมากกว่า แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนมองเขางดงามราวกับหญิงสาว ในทางตรงกันข้ามผู้คนจะรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์แบบแปลกๆเสียมากกว่า


 


ชายผู้นี้มีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่สิ่งที่โดดเด่ดยิ่งกว่านั้นคือภาพลักษณ์ภายนอกของเขา ใครก็ตามที่ได้เห็นจะมีความรู้สึกว่าชายผู้นี้ต้องเป็นคนที่เทียงธรรมเป็นแน่ อีกทั้งยังดูเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ทุกเพศทุกวัย


 


ไม่ใช่เรื่องของโชคลางอะไรทั้งนั้นที่ชายผู้นี้ได้รับตำแหน่งผู้นำของเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เขามีกิริยาท่าทางที่เหมาะสมกับมัน ชิงสุ่ยแทบจะบอกได้ทันทีเลยว่าบุคคลที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของเขาคือรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอายที่ถูกปล่อยออกมารอบๆนั่นอีก


 


“เอาชีวิตของข้างั้นหรือ? เจ้าแข็งแกร่งพอที่จะทำเรื่องนี้ได้สินะ? รับนี่ไว้สิ!” ชิงสุ่ยสะบัดมือเพื่อโยนจดหมายท้าประลองนั่นไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์


 


แผ่นหนังสัตว์อสูรพุ่งไปยังชายผู้นั้นราวกับว่ามันเป็นมีดคม ชิงสุ่ยได้ใช้คล็ดวิชาศาสตราวุธเร้นลับเพื่อโยนมันออกไป


 


ชายผู้นั้นยิ้มออก เขาแบมือออกและรับจดหมายท้าประลองจากชิงสุ่ยได้อย่างง่ายดาย


 


ชิงสุ่ยไม่ชอบท่าทีหยิ่งยโสของเขา จะกล่าวว่าหยิ่งยโสก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว จากมุมมองของชิงสุ่ย นี่เป็นความประทับใจแรกที่ชายผู้นั้นปล่อยออกให้ผู้อื่นได้รับรู้ ความจริงแล้วมันคือกลิ่นอายของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงเป็นระยะเวลานานเกินไป


 


“ชิงสุ่ย!” องค์หญิงใหญ่ดึงแขนเสื้อของชิงสุ่ยไว้ นางกังวลว่าชิงสุ่ยจะผลีผลามทำอะไรออกไป


 


เมื่อรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เห็นองค์หญิงใหญ่มีความใกล้ชิดกับชายผู้อื่น แม้จะเป็นเพียงการดึงแขนเสื้อก็ตาม ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที


 


“ซูหนี่ เจ้าไม่ต้องรั้งเขาเอาไว้หรอก ยังไงเสียจดหมายท้าประลองก็อยู่ในมือข้าแล้ว” ชายผู้นั้นกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา


 


ชิงสุ่ยหัวเราะพร้อมเดินกลับไปคว้ามือขององค์หญิงใหญ่เอาไว้ ก่อนหน้านี้เขาได้สังเกตุเห็นแววตาที่ไม่เป็นสุขจากชายผู้นั้น มันเป็นท่าทีที่ต้องการหลบซ่อนความรู้สึกเอาไว้ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยสามารถรับรู้ได้ เป็นเพราะเขาเคยได้ยินข่าวมาว่าชายผู้นี้มีใจให้องค์หญิงใหญ่


 


องค์หญิงใหญ่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชิงสุ่ยจะมีความอาจหาญถึงเพียงนี้ นางจ้องเขม็งไปยังชิงสุ่ย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่มีท่าทีที่จะดึงมือออกมาจากชิงสุ่ยเลย แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ นางรู้ดีว่านี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม แต่ก็ไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้แล้วที่จะทำให้ชายผู้นี้ยอมแพ้ต่อนาง


 


ตั้งแต่ที่มือของนางถูกคว้าไว้โดยชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายผู้นั้นคงไม่ยอมรามือจนกว่าชิงสุ่ยจะตายเป็นแน่ เขาเป็นคนที่ยึดถือในความสมบูรณ์แบบ ผู้ที่มีนิสัยเช่นนี้ย่อมไม่ยอมให้เกิดความด่างพล้อยเกิดขึ้นในสิ่งที่เขาปราถนาอย่างแน่นอน


 


องค์หญิงใหญ่รู้สึกว่านางจะต้องเหน็ดเหนื่อยมากมายแน่ๆถ้าหากว่าต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายประเภทนี้ คงไม่มีใครที่ไหนอยากเป็นผู้หญิงของเขาหรอก คงเป็นเพราะความรู้สึกที่ได้รับเหมือนกับกำลังรับภาระอะไรสักอย่างไว้ แน่นอนว่าไม่ใช่ความสุข นี่คงเป็นเหตุผลที่รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไร้คู่ครองจนถึงทุกวันนี้


 


แต่ถึงอย่างนั้นองค์หญิงใหญ่ก็ทำให้เขามาตกหลุมรักเสียจนได้ จากจุดนี้คงกล่าวได้ว่านางเป็นคนที่เลอเลิศเพียงใด


 


“ข้ายังคงรักษาคำพูดที่กล่าวว่าข้าจะไม่เอาชีวิตเจ้าเช่นเดิม ถ้าเจ้ายอมตัดแขนของเจ้าออกเสียตอนนี้ ข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้าก็ได้” ชายผู้นั้นมีท่าทีสงบแต่ในใจกลับโกรธแค้นมากกว่าใครๆ


 


“แม่นางซู แม้ว่าชายผู้นั้นจะทรงพลังอย่างมาก แต่เขาไม่คุณสมบัติของสามีที่ดีเลย เจ้าเห็นว่าอย่างไรถ้าจะยกหน้าที่แต่งงานมาไว้ที่ข้าแทน” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้กังวลต่อชายผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย


 


จริงๆแล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกว่าชายผู้ที่ครอบครองตำแหน่งสำคัญเช่นนั้นจะต้องมีความโดดเด่นมากมายเป็นแน่ แต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเป็นชายที่ใจแคบเช่นนี้ ถึงแม้ว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะทรงพลังมากก็ตาม ชิงสุ่ยกลับไม่มีความรู้สึกดีต่อเขาเลยแม้แต่น้อย


 


อาจเป็นเพราะชิงสุ่ยไม่รู้มาก่อนว่าองค์หญิงใหญ่เป็นสิ่งที่รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มิอาจแตะต้องได้แม้ว่าเขาจะพยายามเอาใจนางมากแค่ไหนแล้วก็ตาม สาเหตุที่เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ นั่นเป็นเพราะการที่ชิงสุ่ยได้อยู่ใกล้ชิดองค์หญิงใหญ่มากเกินไป


 


ไม่ใช่เพราะเรื่องความใจแคบของเขา แต่เป็นเพราะเขารู้ดีกว่าองค์หญิงใหญ่ไม่ได้สนิทกับชายผู้นี้มากมาย มีคำกล่าวไว้ว่าถ้าเอาตัวเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองมีแต่จะทำให้เรื่องมันเลวร้ายยิ่งขึ้น ช่วงชีวิตของบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความปราดเปรื่องมักจะเจอปัญหาเช่นนี้เข้ามาก่อก่วน และไม่เคยมีสักครั้งเลยที่ใจของเขาคิดว่าองค์หญิงใหญ่จะถูกพิชิตได้อย่างง่ายดาย


 


“ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ข้าต้องพูด เกี่ยวกับเงื่อนไขในการถอนพิษออกจากตัวน้องชายของข้า”นี่เป็นสาเหตุหลักที่ข้ามาในวันนี้


 


“และข้าได้กล่าวไปแล้ว ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิต ตัดแขนทั้งสองข้างของเจ้าทิ้งซะ ถ้าเจ้ายังเสียดายแขนของเจ้าอยู่ เจ้าจะได้สูญเสียทั้งชีวิตไปแทน นักรบที่รักษาคำมั่นเอาไว้ไม่ได้ ไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถปกปิดทั้งท้องฟ้าไว้ด้วยตัวเจ้าเองได้” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอันโหดเหี้ยมและไร้ความปราณี เขาไม่ได้ต้องการที่จะแสดงท่าที่โอ้อวดผ่านคำพูดเหล่านั้น เขาเพียงไม่คุ้นเคยกับการขมขู่แบบนี้ทัศนคติที่น่ารังเกียจของฟู่เหยียนติง คนจำพวกนี้สมควรได้รับการลงโทษ


 


“เยี่ยม เช่นนั้นแล้วเรามาพบกันที่ลานประลองแห่งชีวิตและความตาย ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดอยู่อีกสองวัน” ชายคนนั้นจากไปหลังสิ้นคำพูดของเขา


 


ชิงสุ่ยส่ายศีรษะ “ผู้หญิงช่างอันตราย”


 


“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” องค์หญิงใหญ่พูดด้วยความโกรธ


 


“อ๋อ ข้าเพียงกล่าวว่า ความงามขององค์หญิงใหญ่มีมากจนสามารถทำลายเมืองได้เลย” ชิงสุ่ยรีบตอบอย่างรวดเร็ว


 


“ปล่อยข้าไปได้แล้ว เจ้าทำให้เขาโกรธจนกระทั่งเขาจากไปเลยนะ เจ้านี่ต้องมีความสามารถด้านนี้เป็นพิเศษแน่ๆ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้เขาโกรธถึงเพียงนี้ได้” องค์หญิงใหญ่ยกมือของชิงสุ่ยขึ้นโดยปราศจากคำพูดใดๆ นางรู้ดีว่าที่ชายผู้นั้นจากไปเป็นเพราะตัวนางเอง แต่ในอีกมุมหนึ่งชิงสุ่ยกลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างมาก


 


นางไม่คาดคิดมาก่อนว่ามือของนางจะถูกคว้าไว้โดยชายหนุ่ม ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่คิดว่าชิงสุ่ยจะกล้าถึงเพียงนี้ ในตอนนี้ความรู้สึกของนางช่างซับซ้อน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะนางไม่ได้รู้สึกโกรธ นางปฏิบัติต่อเขาเช่นพี่น้องเท่านั้น แต่นี่ถือเป็นจุดได้เปรียบเล็กๆน้อยๆของชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยรีบปล่อยมือของนางออก “แม่นางซูไม่ได้ผิดหรอกที่อยู่ตรงนี้ เป็นข้าเองที่ทำตัวหยาบคาย ข้าไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าเปรียบเหมือนเทพธิดาในใจของข้าเป็นคนที่ข้าไม่สามารถดูหมิ่นได้  ”


 


“เอาล่ะ พอได้แล้ว” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยความโกรธ นางปล่อยมือของนางออกและเคาะไปที่หน้าผากของชิงสุ่ย นางรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจเป็นอย่างมากเมื่อได้คุยกับเขา ในทางตรงกันข้ามน้ำเสียงของนางจะไร้ชีวิตชีวาเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้อื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ ชายพวกนั้นพยายามเสนอตัวเองมากเกินไป พวกเขาจีงไม่สามารถทำให้นางประทับใจได้เลยแม้แต่น้อย


 


“ยอดเยี่ยมจริงๆ เขาต้องไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน ทำไมเจ้าต้องเอาตัวเองเข้าไปจุดที่ไม่มีทางหันกลับอยู่เรื่อย” องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยด้วยความงุนงง


 


“นั่นเป็นเพราะจุดที่ข้าไม่อาจหันกลับจะสามารถดึงความสามารถสูงสุดของข้าออกมาได้ แม่นางซูเจ้ามีแรงจูงใจอะไรให้ข้าได้บ้างไหมล่ะ? บางทีข้าอาจจะชนะเพราะมันก็ได้นะ” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างนุ่มนวล


 


“ฮึ แรงจูงใจแบบไหนกันล่ะ? ข้าจะให้อะไรก็ได้ในสิ่งที่อยู่ในความสามารถของข้า” องค์หญิงใหญ่กล่าวพร้อมถอนหายใจออกมา


 


ชิงสุ่ยมองไปยังดวงตาทั้งสองของนาง นัยน์ตาของนางดูงดงามราวกับว่าไม่มีวันสลาย เขายิ้มออก “เป็นเวลานานมากแล้วที่ข้าไม่ได้กอดใครสักคน ในช่วงเวลานี้ข้าอยากถูกกอดเหลือเกิน ”


 


องค์หญิงใหญ่อึ้งเล็กน้อย นางเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาอันบริสุทธิ์ซึ่งไม่มีเจตนาร้ายใดๆ เป็นแววตาที่หาคำอธิบายได้ยาก ในช่วงเวลานั้นนางยอมใจอ่อน “ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า จะไม่มีครั้งต่อไปแล้วนะ”


 


หลังสิ้นคำพูดขององค์หญิงใหญ่ นางยกมือทั้งสองข้างออกพร้อมกับสวมกอดรอบคอของชิงสุ่ยไว้


 


ความจริงแล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่กล่าวเช่นนั้นออกไป เขาไม่ได้ต้องการใช้เหตุการณ์นี้ฉกฉวยโอกาสมา เมื่อถึงจุดๆหนึ่งทุกคนล้วนมีความเหนื่อยล้าทั้งสิ้นและเมื่อถึงจุดนั้น พวกเขาย่อมมองหาคนที่คอยให้กำลังใจ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนที่เข้มแข็งเพียงใดก็ตาม ตัวอย่างเช่น เมื่อกลับถึงบ้าน ไม่ว่าเขาจะเป็นใครที่ไหนมา เมื่อได้เห็นพ่อแม่รออยู่ก็จะรู้สึกผ่อนคลายทันที นี่เป็นเพราะพวกเขาจะเป็นเด็กสำหรับพ่อแม่เสมอ แม้จะไม่มีพ่อแม่ ความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นได้กับครอบครัว ภรรยา และลูกๆได้เช่นกัน


 


องค์หญิงใหญ่คิดว่าการแสดงออกเหล่านี้ของชิงสุ่ยเป็นแค่เรื่องปกติเท่านั้น นางเข้าใจดีว่าชิงสุ่ยรู้สึกอย่างไร เหตุผลเพราะนางก็พบเจอกับความรู้สึกเหล่านี้อยู่บ่อยๆ ความรู้สึกของนางต่อชิงสุ่ยในตอนนี้ไม่ใช่ความรู้สึกสงสาร…ไม่ใช่ความรู้สึกพวกนั้นแน่ๆ แม้แต่ตัวของนางเองในตอนนี้ก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง


 


ชิงสุ่ยสวมกอดนางไว้ เขากอดนางไว้อย่างแน่นเลยทีเดียว ใบหน้าของเขาถูกวางอยู่ที่ต้นคอขององค์หญิงใหญ่ ณ เวลานี้ ในหัวของเขาไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น มันเป็นเพียงกอดที่ธรรมดาๆ แต่ก็มีความเงียบสงบที่ไม่อาจอธิบายได้


 


แม้ว่าจะมีอ้อมแขนที่อ่อนนุ่มสวมกอดเขาอยู่ แต่เขาก็ยังรักษาให้จิตใจสะอาดไว้ได้ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะสามารถควบคุมความรู้สึกพวกนี้เอาไว้ นี่เป็นเรื่่องยากซะทีเดียว เพราะมันอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิตของเขา


 


ดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะรู้สึกเช่นเดียวกัน นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก การกอดอย่างเงียบงันทำให้พวกเขาลืมเรื่องเวลาออกไปทั้งหมด ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว องค์หญิงใหญ่ค่อยๆลืมตาออกและต้องตกใจเล็กน้อย เมื่อพบว่าเหยียนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ดยืนอยู่ออกไปไกลๆ


 


เกิดอะไรขึ้นกันแน่? มีคนเข้ามาใกล้ขนาดนี้และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้สึกตัว


บทที่ 1238 – ความเข้าใจผิด, ผสานจิตไอยรา, ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย


 


องค์หญิงใหญ่ไม่เคยรู้สึกตกใจแบบนี้มาก่อน นางสวมกอดชายหนุ่มไว้อย่างสงบเป็นเวลานาน อีกทั้งยังไม่รับรู้ถึงเรื่องการเข้ามาใกล้ของบุคคลที่มีพลังอันน้อยนิด


 


แต่ในเวลานี้ ไม่ใช่เวลาที่นางจะมาคิดถึงเรื่องเช่นนั้น นางกำลังครุ่นคิดว่าจะอธิบายถึงสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดี เหตุผลก็เพราะน้องสาวของนาง ซูซิงมีความรู้สึกที่ซ่อนเอาไว้ต่อชิงสุ่ยมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเคยให้คำปรึกษากับน้องสาวเรื่องชิงสุ่ยในก่อนหน้านี้ แต่กลับกลายเป็นนางมาสวมกอดชิงสุ่ยอยู่แทน ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้คิดอะไรแต่น้องสาวของนางต้องไม่คิดเช่นนั้นเป็นแน่


 


นางคงจะคิดว่าพี่สาวของนาง องค์หญิงใหญ่ชอบพอชิงสุ่ยอยู่เช่นกัน… หรือนางกำลังจะคิดว่าพี่สาวกำลังแย่งตัวชายหนุ่มผู้ที่ทางมีใจให้ไป?


 


องค์หญิงใหญ่รีบผละตัวออกจากชิงสุ่ยในทันที และดูเหมือนว่าชิงสุ่ยจะรับรู้การมาถึงของบุคคลทั้งสอง ผ่านไปสักครู่เขาพูดขึ้นมาด้วยเสียงอึดอัดเล็กน้อยว่า “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”


 


ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครตอบกลับมา เหยียนจินยวี้มองชิงสุ่ยอยากแปลกใจ ดวงตาของนางดูสับสน นางไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น


 


ในอีกมุมหนึ่ง องค์หญิงเจ็ดดูผิดปกติไป นางจ้องมองไปยังองค์หญิงใหญ่พร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน องค์หญิงใหญ่รับรู้ได้ทันทีว่าน้องสาวของนางกำลังคิดไปไกล นางถอนหายใจพร้อมกับพูดว่า “ซู่ซิง มีสิ่งหนึ่งที่ข้าบอกเจ้าได้ก็คือ สิ่งที่เจ้าเห็นก่อนหน้าไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้ากำลังคิด”


 


“ข้าคิดอะไร ท่านรู้งั้นหรือว่าข้ากำลังคิดอะไร?” องค์หญิงเจ็ดมองไปยังชิงสุ่ยและพูดออกมา  การแสดงออกของนางดูค่อนข้างสับสน


 


“เจ้าเด็กน้อย เดี๋ยวนี้เจ้าไม่เชื่อสิ่งที่พี่สาวของเจ้าเองเป็นคนพูดแล้วงั้นหรือ?”  องค์หญิงใหญ่รู้สึกได้ว่านางคงไม่ฟังอะไรที่ตนพูดออกไปในตอนนี้


 


“ข้าเชื่อในสิ่งที่เข้าเห็นอยู่เท่านั้น จริงๆแล้วพี่ไม่ต้องอธิบายอะไรกับข้าทั้งสิ้น ทำไมท่านไม่บอกข้าในก่อนหน้านี้? ท่านพี่ปกติท่านรักข้าและมอบทุกสิ่งให้ข้ามาตลอด… ”


 


“พวกเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน?” เมื่อมองไปยังองค์หญิงเจ็ด ชิงสุ่ยบอกได้ทันทีว่าองค์หญิงเจ็ดกำลังมององค์หญิงใหญ่ต่างไปจากเดิม เมื่อเขาลองนึกถึงสิ่งที่องค์หญิงใหญ่เคยบอกไว้เกี่ยวกับองค์หญิงเจ็ด เขาก็เข้าใจเรื่องราวขึ้นมาทันที


 


“เจ้าชอบพี่ใหญ่ใช่ไหม?” องค์หญิงเจ็ดยิ้มให้ชิงสุ่ย


 


“ทำไมเจ้าถึงถามเช่นนี้?” ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย องค์หญิงใหญ่เป็นคนแบบใดกัน? เมื่อนางสวมกอดเข้ากับใครสักคน…แล้วมีคนมาพูดว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้คิดอะไรกัน แม้แต่ตัวเหยียนจินยวี้หรือแม้กระทั่งตัวเขาเองก็คงจะเชื่อได้ยาก ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรมากกว่านั้นจริงๆ แต่ในบางครั้งเรื่องตลกเช่นนี้ก็มักจะเกิดขึ้น


 


“พี่สาวของข้าเกิดมาด้วยความงามระดับที่โค่นล้มทั้งประเทศได้ อีกทั้งนางยังมีบทบาทสำคัญกับพวกราชวงศ์ด้วย ถ้าเจ้าชอบนาง มีสิ่งเดียวที่เจ้าจะทำได้ก็คือแต่งงานกับนางเพื่อให้นางมาเป็นภรรยา เจ้าทำได้ไหม?” องค์หญิงเจ็ดมองไปยังชิงสุ่ย


 


“เจ้าเด็กน้อย นี่มันเริ่มเกินเลยไปใหญ่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในวันนี้?” องค์หญิงใหญ่พูดขึ้น นางยกมือขึ้นเพื่อหยุดชิงสุ่ยที่กำลังจะพูด


 


“ท่านพี่ ข้าแค่เพียงมีความสุขที่ได้เห็นท่านตกหลุมรักใครสักคน ท่านรู้หรือไม่ว่าตลอดมานี้ ข้ารู้สึกว่าไม่มีใครที่เหมาะสมกับท่านเลย ดังนั้นข้าจึงรู้สึกเป็นสุขจริงๆ” องค์หญิงเจ็ดพูดอย่างจริงจังในขณะที่มองไปยังองค์หญิงใหญ่


 


“เจ้าช่างไม่รู้วิธีโกหกเอาเสียเลย เป็นไปได้หรือความสัมพันธ์ที่พวกเรามีจะแบกรับเรื่องพวกนี้ไว้ไม่ได้?” องค์หญิงใหญ่เดินเข้าไปหาและถามนางอย่างอ่อนโยน


 


“ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว!”


 


“ในไม่เวลาไม่นาน องค์หญิงเจ็ดเดินไปสวมกอดองค์หญิงใหญ่เอาไว้ นางไม่รู้ว่าทำไม แต่ในตอนนี้นางเริ่มร้องไห้ออกมา เหมือนกับเด็กที่ถูกขโมยของเล่นไปโดยคนใกล้ชิด”


 


“เจ้าไม่ผิดหรอก ให้ข้าได้อธิบายเถอะ อย่างน้อยในตอนนี้ข้าก็ยังไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือยังไม่ได้สัญญาอะไรกับเขา” องค์หญิงใหญ่ลูบหัวขององค์หญิงเจ็ด


 


ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องน่าขบขันเช่นนี้กับตน เขารู้สึกตลกจนพูดไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางทั้งสองยังเป็นถึงองค์หญิงเจ็ดและองค์หญิงใหญ่ มันคือเรื่องจริงที่พวกเขาทั้งสามยังไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้


 


“ท่านพี่ ข้าขอโทษ… ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม…”


 


“เจ้าเด็กน้อย แบบนี้แหละดีแล้ว ข้าจะเสียใจว่านี้ถ้าเจ้าพยายามซ่อนความรู้สึกพวกนี้เอาไว้” องค์หญิงใหญ่ยื่นมือออกไปเพื่อเช็ดน้ำตาให้องค์หญิงเจ็ด


 


“ท่านพี่ ท่านชอบเขาจริงๆหรือ?” องค์หญิงเจ็ดกระซิบถาม


 


“ไม่”


 


“เอาหน่า พวกเจ้าหยุดพูดถึงเรื่องนี้กันได้หรือยัง?” ชิงสุ่ยรู้สึกอึ้งเมื่อได้ยินคำตอบขององค์หญิงใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรนางก็สามารถแก้สถานการณ์ได้ดี


 


“เอาล่ะ พวกเรานั่งลงกันก่อนเถอะ ในเมื่อชิงสุ่ยก็อยู่ตรงนี้ด้วยแล้ว ข้าไม่อยากให้ใครเกิดความเข้าใจผิดขึ้นอีก พวกเราเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“มีอะไรให้พูดอีกล่ะ? ข้าก็ไม่ได้ชอบเขาเช่นกัน” องค์หญิงเจ็ดกล่าวด้วยความอายเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่นางแสดงออกแล้ว


 


“เจ้าแน่ใจหรือ?” องค์หญิงใหญ่ถามพลางหัวเราะ


 


“…”


 


“ชิงสุ่ยเป็นคนที่เคยแต่งงานมาแล้ว นอกเหนือจากนี้เขายังมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน เจ้าอย่าหวังให้ชิงสุ่ยทิ้งพวกเขาเชียว เจ้าเด็กน้อยข้าจะคิดว่าสิ่งที่เจ้าพูดไว้ก่อนหน้าเป็นสิ่งที่พูดออกมาด้วยโกรธ อย่าพูดเช่นนี้อีกล่ะ ข้าจะหยุดยั้งเจ้าจากการชอบเขา จริงๆแล้วข้าจะช่วยตรวจสอบให้ต่างหาก แต่สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าอยู่ดี” องค์หญิงใหญ่พูดอย่างอ่อนโยน


 


“ข้ารู้แล้ว ข้าขออภัย” นางขอโทษต่อชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยส่ายศีรษะและไม่ได้พูดอะไรต่อ


 


“ข้าจะยังมีความสุขของข้าต่อไป ข้าไม่ต้องการใช้ผู้ชายร่วมกับใครคนอื่นหรอก” องค์หญิงเจ็ดยิ้มขณะมองไปยังชิงสุ่ย ดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่เลยทีเดียว “ข้าก็เช่นกัน!” เหยียนจินยวี้กล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา


 


ชิงสุ่ยไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะจบลงเช่นนี้ มันก็ไม่เลวนักหรอกอย่างน้อยก็มีเรื่องรบกวนใจน้อยลง ตลอดเวลามานี้ความรักถือเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นผลออกมาเป็นเช่นนี้ก็ดีสำหรับเขาแล้ว


 


“ท่านพี่ แล้วท่านล่ะ?” องค์หญิงเจ็ดมองไปยังองค์หญิงใหญ่


 


มีเพียงองค์หญิงเจ็ดคนเดียวเท่านั้นที่สามารถถามองค์หญิงเจ็ดด้วยคำถามเช่นนี้ นางเท่านั้นที่มี่สิทธิ์


 


“ข้าไม่ได้วางแผนที่จะแต่งงานเลย” องค์หญิงใหญ่ตอบพลางส่ายศีรษะ เสียงของนางหนักแน่น


 


คำตอบของนางทำให้ชิงสุ่ยอึ้งไป แม้แต่เหยียนจินยวี้เองก็ตกใจเล็กน้อย แต่ในอีกมุมหนึ่ง องค์หญิงเจ็ดแสดงออกต่างจากสองคนก่อนหน้า เธอหัวเราะออกเบาๆ “ท่านพี่ ท่านก็ยังยืนยันคำนี้สินะ แต่ข้าไม่เชื่อท่านหรอก ข้ามั่นใจว่าท่านจะได้แต่งงานในอนาคตอันใกล้นี้”


 


องค์หญิงใหญ่ไม่ได้เถียงอะไรกลับถึงแม้จะไม่ได้ยอมรับมันก็ตาม ความจริงแล้วนางมีความรู้สึกปั่นป่วนขึ้นลึกๆในหัวใจ เป็นความรู้สึกที่ช่างแปลกประหลาด เวลาสามารถทำลายได้ทุกสิ่งหรือมันจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้เช่นกัน ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางเคยยึดถือมาตลอดกำลังจะถูกสั่นคลอน


 


“เอาล่ะ เป็นเรื่องดีแล้วที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี ครั้งหน้าเจ้าต้องบอกข้านะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” ดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะปล่อยวางภาระอันหนักอึ้งออกไปได้


 


……


 


“อะไรนะ? ชิงสุ่ยส่งจดหมายท้าประลองไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์”


 


เหยี่ยนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ดมองชิงสุ่ยด้วยความเกรงกลัว


 


“ยังไงข้ากับเขาก็ต้องสู้กันไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ไม่ดีกว่าหรือที่ข้าจะทำมันให้เร็วขึ้น” ชิงสุ่ยพยายามทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายเมื่อเขาพูด


 


“แต่เขาเป็นถึงรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์”


 


นามของคน เงาของไม้ (ภาษิตจีน) บุคคลที่ทรงพลังและมีชื่อเสียงจะปลูกฝังความกดดันไว้ในจิตใจของคนอื่นๆ ทำให้มีความเข้าใจที่ผิดไป นี่เป็นเรื่องที่รบกวนผู้คนส่วนมากได้เลยทีเดียว


 


“ต่อให้เขาเป็นถึงรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วจะยังไง อย่าไปกลัวเพียงเพราะได้ยินแค่ชื่อนั่น อย่ายอมแพ้เพียงเพราะว่าเขาไม่ใช่คนที่เรารู้จัก สิงโตยังใส่ความพยายามลงไปเต็มที่แม้ว่ามันจะล่ากระต่ายเพียงตัวเดียว ดังนั้นเราควรใช้ความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น มิฉะนั้นแล้วเราจะตายไปโดยไม่รู้ถึงสาเหตุเลยด้วยซ้ำ” ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมมองไปยังพวกผู้หญิง


 


องค์หญิงใหญ่นั่งฟังอย่างเงียบๆพลางจิบชาของนางไป


 


“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงมากมาย เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสามารถล้มเขาได้” เหยียนจินยวี้ถามอย่างสงสัย


 


“เมื่อพิจารณาถึงศัตรูแล้วนั้น มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะมีชื่อเสียงเพียงใด เขามีความรู้ และเกียรติแค่ไหน เขาก็ยังเป็นศัตรูของเราอยู่ดี ต่อหน้าศัตรูสิ่งสุดท้ายที่พวกเราจะทำคือถอยหนี สิ่งที่ต้องทำจริงๆคือล้มเขาให้ได้ แน่นอนว่าเจ้าจะเอาไข่ไปกระทบกับหินไม่ได้หรอกนะ มีแต่พวกโง่เท่านั้นที่จะไปตายโดยไร้เหตุผล” ชิงสุ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้ม


 


“เช่นนั้นแล้วเจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะเขาได้” เหยียนจินยวี้ถามด้วยความแปลกใจ


 


“ไม่หรอก!” ชิงสุ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา


 


เหยียนจินยวี้อารมณ์เสียและมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความโกรธ


 


ชิงสุ่ยยิ้มออก “แต่ข้าย่อมปกป้องตัวเองได้”


 


“จริงหรือ?”


 


“แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น”


 


เหยียนจินยวี้หยุดถามต่อ นางรู้สึกว่ายิ่งนางถามมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้นางเองรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก


 


“แม่นางเหยียน ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ใช่คนใจร้อนมุทะลุหรอก”


 


……


 


เมื่อทั้งสามจากไป ชิงสุ่ยนั่งอยู่ที่นั่นคนเดียว เขารู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยและรู้สึกว่าการต่อสู้กับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ยังรู้สึกดีว่าการต่อสู้กับปัญหารัก จากนั้นเขาสงบสติลงและคิดถึงเรื่องวิธีการต่อสู้กับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ต่อไปในอนาคต


 


ในคืนนั้น เขาใช้เวลาอยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ เขาไม่ได้วางแผนที่จะดึงพลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำให้มากขึ้น เขาไม่ต้องการเสี่ยงเช่นนี้ ดังนั้นสิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็คือรอจนกระทั่งพลังของตนเองคงที่


 


แต่เมื่อเขามองไปยังมังกรไอยราเกล็ดทองคำ มีแสงสว่างสาดส่องเขามาในดวงตาของเขา


 


ผสานจิตไอยรา!


 


ทำไมเขาถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ?


 


ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจจนหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้ ถ้าเขาใช้ผสานจิตไอยราได้เป็นอย่างดี โอกาสของเขาจะมีมากยิ่งขึ้น


 


ชิงสุ่ยเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมาพร้อมกระโดดเขาหามันในทันที ทั้งสองลอยอยู่กลางอากาศในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ชิงสุ่ยนึกถึงภาพในอดีตตอนที่เคยใช้ผสานจิตไอยราก่อนที่จะเริ่มลงมือฝึกอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเขาเริ่มควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองและมังกรไอยราเกล็ดทองคำเพื่อให้พลังทั้งสองผสานกันได้


 


ผสานจิตไอยราระดับต่ำสามารถดึงพลังออกมาจากผู้ใช้และมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น มีการกล่าวเอาไว้ว่าพลังจะเพิ่มสูงขึ้นตามความเข้าใจกันระหว่างผู้ใช้และมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ทักษะนี้ถูกดำเนินภายใต้กฎที่ว่าหนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสองซึ่งเป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยกำลังมองหา เขาไม่เพียงต้องการผลหนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสองหรือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองเพียงแค่นั้น แต่เขามองไปถึงการผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกับมันเลยต่างหาก


 


โจมตี!


 


วชิระลี้ภัย


 


การจู่โจมมังกรไอยราคุ้มคลั่ง


 


…….


 


ชิงสุ่ยผสานการโจมตีไปพร้อมกลับมังกรไอยราเกล็ดทองคำขณะที่อยู่บนหลังของมัน การทำเช่นนี้ทำให้พลังโจมตีของมังกรไอยราเกล็ดทองคำถูกเพิ่มมากขึ้น ในก่อนหน้านี้ที่พลังผสานจิตไอยรายังไม่สามารถถูกใช้ออกได้อย่างดีคงเป็นเพราะระดับพลังที่ต่างกัน แต่ในตอนนี้เมื่อเขาฝึกฝนมันอีกครั้งก็พบว่าเริ่มใช้ความสามารถนี้ได้ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความก้าวหน้าก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นๆอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้าแล้ว ระดับการฝึกยุทธิ์ของชิงสุ่ยในตอนนี้จัดได้ว่าอยู่คนละระดับเลยทีเดียว


 


เหตุการณ์ดำเนินไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าชิงสุ่ยจะลืมเรื่องเวลาไปเลย เขากินเมื่อหิว หลับเมื่อเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย จนในที่สุดเวลาในดินแดนหยกยุพราชอมตะก็หมดลง


 


ชิงสุ่ยรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นผลของวิชาผสานจิตไอยราระหว่างตัวเขาและมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะยังไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม เป็นเพราะเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าว่าพลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำจะก้าวไปถึงสิบเอ็ดล้านเมฆาเมื่อใช้ผสานจิตไอยรา


 


ก่อนหน้านี้พลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำอยู่ที่ราวๆสิบล้านเมฆา ถึงจะพยายามแค่ไหนแล้วก็ตามพลังของมันก็ถูกเพิ่มขึ้นมาได้เพียงหนึ่งแสนเมฆาเท่านั้น และแม้ว่าผสานจิตไอยราถูกกล่าวว่าจะไม่สามารถแยกตัวตนระหว่างสัตว์อสูรและตัวผู้ใช้ออกมาได้ แต่โชคร้ายที่กว่าจะไปถึงขั้นนั้นได้ต้องใช้ผสานจิตขั้นสูงเท่านั้น แต่ในตอนนี้วิชาผสานจิตไอยราของเขาก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ เมื่อมังกรไอยราเกล็ดทองคำเป็นฝ่ายที่มีพลังโจมตีมากกว่า ชิงสุ่ยสามารถทำได้แค่ประสานกับพลังโจมตีของมันเพียงเท่านั้น


 


“ในเมื่อยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวัน หวังว่าจะพัฒนาได้อีกสักหน่อยนะ ข้าจะได้มีโอกาสชนะเพิ่มมากขึ้น” ชิงสุ่ยถอนหายใจก่อนออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ


 


สำหรับเรื่องการฟื้นฟูพลังนั้น ชิงสุ่ยยังต้องการเวลาอีกซักระยะ เขาไม่ต้องการเพิ่มโอกาสเสี่ยงให้มากขึ้นจึงวางแผนเอาไว้ว่าจะเริ่มฟื้นฟูพลังก็ต่อเมื่อพลังของตนเริ่มคงที่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ความเสี่ยงจะลดลงหลายเท่าเลยทีเดียว แต่เมื่อมาลองคิดในอีกมุมหนึ่ง หรือตอนนี้จะเป็นเวลาที่ดีที่เขาควรจะฟื้นฟูพลังกันนะ


บทที่ 1239 – ลานประลองสวรรค์เร้นลับ การแสดงออกต่อหน้ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์


 


ภายใต้สถานการณ์ปกติ ชิงสุ่ยควรจะฟื้นฟูพลังเป็นอย่างยิ่ง เหตุก็เพราะรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางที่จะออมมือให้เขาเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนที่มีพลังอันมหาศาลอีกด้วย


 


อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือไม่ใช่ตัวชิงสุ่ยไม่อยากฟื้นฟูพลัง แต่ในตอนนี้ร่างกายของเขากำลังอยู่ในภาวะอิ่มตัวเนื่องจากเพิ่งได้รับพลังอันมหาศาลเมื่อไม่นานมานี้ ในเวลานี้ร่างกายของเขาไม่สามารถรับพลังเพิ่มได้อีกแล้ว อีกทั้งระยะเวลาที่เพิ่งผ่านมาไม่นานก็เป็นปัญหาด้วยเช่นกัน


 


เนื่องด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ชิงสุ่ยจำเป็นต้องพึ่งพาวิชาผสานจิตไอยราและทำให้ตัวเองประสานเข้ากับมังกรไอยราเกล็ดทองคำให้ได้  ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายควบคุม แต่ความคุ้นเคยจะทำให้เขาสือสารกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำผ่านจิตสำนึกได้


 


ชิงสุ่ยสามารถเพิ่มพลังให้ตนเองได้ราวๆหนึ่งแสนเมฆาในดินแดนหยกยุพราชอมตะ และยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวันเต็มๆ เขาไม่รู้ว่าจะมีวิธีใดที่จะเพิ่มพลังให้กับเขาได้อีกไหม ถึงแม้จะเป็นพลังที่เล็กน้อย แต่นั่นก็หมายถึงโอกาสชนะที่เพิ่มขึ้น


 


……


 


ในวันถัดมา ข่าวลือเรื่องชิงสุ่ยท้าประลองรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักสวรรค์เร้นลับ สถานที่และเรื่องอื่นๆกลายมาเป็นหัวข้อในการพูดคุยของแต่ละคน พวกอาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหลายรวมถึงชนชั้นสูงจากสำนักสวรรค์เร้นลับก็ทราบถึงเรื่องนี้เช่นกัน


 


รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักสวรรค์เร้นลับ อาจกล่าวได้ว่าทุกๆคนในสำนักรู้จักเขา หลังจากที่ขึ้นมาเป็นผู้นำของเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดหรือผู้พิทักษ์ก็ยังต้องไว้หน้า เหตุผลก็เพราะเขาจะต้องมาเป็นกำลังหลักในการพัฒนาสำนักสวรรค์เร้นลับในอนาคต


 


บุคคลประเภทนี้อาจไม่ได้พบเห็นตลอดช่วงชีวิตเลยก็เป็นได้ นอกจากนี้เขายังมีพลังที่น่ากลัวซ่อนเร้นเอาไว้อยู่ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงคิดว่าตนต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก ถ้าพลาดพลั้งตายไปจะเป็นการตายที่ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าผลไม่ได้จบเช่นนั้นเขาก็ต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆต่อไป


 


รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นคนที่มีความภูมิใจและเย่อหยิ่งในตนเองเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะตกหลุมรักหญิงสาวลงได้ ถ้าหากว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จในการไล่ตามองค์หญิงใหญ่ ในอนาคตเรื่องนี้จะส่งผลต่อการฝึกยุทธิ์ของเขาเป็นแน่ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองในครั้งก่อน


 


ในความเป็นจริงแล้ว รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยกลัวแม้จะมีสักกี่คนที่สนใจในตัวองค์หญิงใหญ่ ถึงตัวเขาเองจะไม่ได้ใกล้ชิดกับองค์หญิงใหญ่มากก็ตาม แต่เขารู้ดีว่าหญิงสาวที่เขาชอบไม่มีทางถูกขโมยหัวใจไปจากผู้อื่นได้ง่ายดายนัก ถึงแม้ว่าผู้นั้นจะเป็นถึงผู้นำแห่งนิกายโลกานฤเบศหรือใครก็ตาม เขาไม่เคยกังวลเลย


 


อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่น ผู้ที่ไม่รู้แม้กระทั่งหัวนอนปลายเท้าจะเป็นคนคว้ามือนางเอาไว้ นี่ทำให้หัวใจของเขารู้สึกเหมือนถูกดาบคมทิ่มแทง ลึกๆในใจของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เขายกให้อวี้ซูหนี่เป็นคนพิเศษไปแล้ว เมื่อมาคิดว่าตนปล่อยให้ผู้อื่นได้แตะต้องปลายนิ้วของนางในวันนั้นเขาเกือบพลั้งมือฆ่าชิงสุ่ยเสียแล้ว อย่างไรก็ตามเขารู้สึกประหลาดใจและสับสนขึ้นมาจึงอยากสงบสติเสียก่อน และนั่นเป็นเหตุผลที่เขารีบจากไปในวันนั้น


 


เรื่องทั้งหมดนี้ถูกพูดไปทั่วสำนัก เรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของชิงสุ่ย ในหลายปีมานี้รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้วางก้อนหินลงลึกไปในใจพวกเขา ทำให้ผู้คนเหล่านั้นถูกตรึงไว้ด้วยชื่อเสียงเกียรติภูมิของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับเทียนเจียงทว่าเมื่อเทียบกับเขาแล้วช่างห่างไกลกันนัก


 


“พี่สุย ท่านคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นสิ่งที่คู่ควรแก่การรอคอยหรือไม่?”


 


ชายสองคนกำลังเล่นหมากรุกอยู่ในคฤหาสน์ที่แยกตัวออกมา หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสีเหลือง บนชุดคลุมนั้นมีรูปมังกรสีทองประดับอยู่ ดูเหมือนเขาค่อนข้างจะชราเพียงเล็กน้อย ภายนอกดูสง่างามอีกทั้งยังมีรัศมีแห่งราชันย์แผ่ออกมา ให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่


 


ส่วนชายอีกคนสวมชุดคลุมสีม่วงซึ่งมีรูปสิงโตประดับอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วชายชราผู้นี้มีร่างกายที่สูงและกำยำกว่าเล็กน้อย เขามีผมสีเทาหนาคล้ายกับแผงคอของสิงโตและรอบๆของเขามีแรงกดดันถูกปล่อยออกมา


 


ชายเจ้าของคำพูดก่อนหน้านี้คือชายชราในชุดคลุมสิงโตม่วง


 


“เจ้ารู้จักชายหนุ่มที่ท้าประลองเจ้าหนุ่มแซ่ฟู่หรือไม่?” ชายชราในชุดคลุมมังกรทองถาม


 


ชายชราในชุดคลุมสิงโตม่วงมองไปยังกระดานหมากรุกและพูดออกมาอย่างเชื่องช้า “เจ้าหนุ่มนั่นเพิ่งเข้ามายังสำนักสวรรค์เร้นลับได้ไม่นานนัก ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างใกล้ชิดกับซูหนี่ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเขาเข้ามาวิชายุทธิ์ของซูหนี่นับวันก็มีแต่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ”


 


“เจ้านี่รอบรู้จริงๆ ข้าเลยเดาว่าเจ้าต้องมีคำตอบให้ขาแน่” ชายชราในชุดคลุมมังกรทองยิ้มและเงยหน้าขึ้น


 


“ถ้าหากเขาเป็นคนโง่ คงไม่มีใครไปค่อยเย้าแหย่ด้วยหรอก เจ้าหนุ่มนั่นต้องไม่ธรรมดาเพียงแค่เขายังเด็กเกินไปเท่านั้น แต่ก็คงเป็นเรื่องเหลือเชื่อถ้าหากเขาสามารถต่อกรกับเจ้าหนุ่มแซ่ฟู่นั่นได้” ชายชราในชุดคลุมสีม่วงขมวดคิ้วในขณะที่กำลังกล่าว


 


“เช่นนั้นพวกเราจะคอยดู ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ พวกเราก็ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ในซักวันหนึ่งชายหนุ่มพวกนี้จะต้องก้าวขึ้นมาช่วยเหลือสำนักสวรรค์เร้นลับได้อย่างแน่นอน” ชายชราในชุดคลุมมังกรทองหัวเราะเบาๆ


 


“พี่สุย เจ้าหนุ่มนี่เรียกว่าเรียกว่ากล้าหาญได้หรือไม่?” ชายชราในชุดคลุมสิงโตม่วงมองไปยังชายชราในชุดคลุมมังกรทอง


 


“น้องเฉา เรายังมีเวลาอีกมาก เหตุใดเราไม่คอยเฝ้าสังเกตุเขาไปล่ะ?”


 


“แล้วพลังของตระกูลฟู่ล่ะ?” ชายชรานามเฉากล่าวถามอย่างสุภาพ


 


“ตระกูลฟู่จัดได้ว่าเป็นตระกูลที่รุ่งเรื่อง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ต้องอยู่ที่เจ้าหนุ่มแซ่ฟู่ผู้นั้นล่ะ ถ้าเขาไม่สามารถจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้ ก็คงถึงคราวสิ้นยุคทองของตระกูลฟู่เป็นแน่”


 


……


 


สำนักสวรรค์เร้นลับ  ลานประลองสวรรค์เร้นลับ


 


นี่ถือเป็นสถานที่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสำนักสวรรค์เร้นลับ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดด้วย เฉพาะการต่อสู้ที่ยิงใหญ่เท่านั้นถึงจะได้รับอนุญาตให้จัดขึ้นที่นี่ การต่อสู้ทั่วๆไปจะไม่ได้รับการพิจารณา


 


ในวันนี้เป็นวันที่ชิงสุ่ยนัดหมายท้าประลองต่อรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ก็คือลานประลองสวรรค์เร้นลับ


 


ลานประลองแห่งนี้แออัดไปด้วยผู้คนมากมาย บางคนเดินทางมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จนกระทั่งตอนนี้ดวงอาทิตย์ได้ส่องสว่างเป็นที่เรียบร้อย ยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยก่อนถึงเวลาประลอง


 


“เจ้าคิดว่าคนที่ชือชิงสุ่ยนั่นจะกล้ามาหรือไม่?”


 


“ข้าว่ามานะ”


 


“ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเขาจะอยู่บนลานประลองได้นานสักแค่ไหนเชียว รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะฆ่าเขาไหมนะ?”


 


“อย่างน้อยคงไม่ฆ่าบนลานประลองสวรรค์เร้นลับหรอก เขายังต้องการให้ชิงสุ่ยรักษาอาการบาดเจ็บของฟู่เหยียนติง”


 


“พวกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าหนุ่มนั่นมีความใกล้ชิดกับหัวหน้าของพาไลหิมะหวน”


 


“อ่า เช่นนั้นการประลองนี้ก็ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น ผู้คนมากมายทราบดีว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สนใจในตัวหัวหน้าของพาไลหิมะหวนอยู่ อยากรู้เหลือเกินว่านางจะเอาใจช่วยใครกันนะ”


 


……


 


ผ่านไปไม่นาน เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงสาย นี่เป็นเวลาที่ถูกกำหนดไว้ในการประลอง หลังจากนั้นไม่นานก็มีชายหนุ่มปรากฏตัวอยู่ห่างออกไป เขาค่อยๆมุ่งเข้าหาลานประลองอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวของเขางดงามราวกับเป็นเทพบุตร


 


“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์”


 


“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้ว”


 


“เขาหล่อมากๆเลย!”


 


……


 


รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆเดินเข้าหาลานประลอง หลังจากนั้นเขาหยุดนิ่งอย่างสงบ ไม่ขยับไปไหนแม้แต่นิ้วเดียว


 


“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์!”


 


“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์!”


 


……


 


ผู้คนมากมายต่างตะโกนว่า “รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์” ผู้คนเหล่านี้ล้วนมาจากกลุ่มรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น ช่วงเวลานี้เป็นการพิสูจน์ได้อย่างดีว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจมากเพียงใด เขาเป็นคนที่ลึกลับแต่เปี่ยมไปด้วยพลัง มีเพียงน้อยคนมากที่จะได้พบเจอเขา


 


“อย่าบอกนะว่าเจ้าชิงสุ่ยที่โอ้อวดผู้นั้นจะไม่กล้ามาประลองตามนัดหมาย”


 


“แน่นอนว่ามันจะไม่สนุกอะไรเลยถ้าเขาไม่มา”


 


“ใช่แล้ว ถ้าเขาไม่ยอมมาน่ะนะ รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีสิทธิ์ในการฆ่าเขาอย่างถูกต้อง ไม่เพียงเขาเท่านั้นทุกๆก็ทำได้เช่นกัน”


 


ทุกๆคนกำลังพูดถึงการประลองในครั้งนี้ เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปทีละนิด ชิงสุ่ยเหลือเวลาอีกเพียงสิบห้านาทีในการแสดงตัวออกมา ถ้าเขามาสายก็จะถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ในทันที แต่ในขณะนี้เขาปรากฏตัวแล้ว


 


เขาพุ่งตัวออกมาด้วยความเร็วสูงราวกับฝนดาวตก ช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังพูดถึงเขาอยู่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ชิงสุ่ยปรากฏตัวบนลานประลองแล้ว


 


ชิงสุ่ยให้ชิงซาร่วมชมการต่อสู้ครั้งนี้เช่นกัน พวกเขาไม่ได้มาพร้อมกัน ชิงซาเป็นฝ่ายเดินทางออกมาก่อน นางนั่งอยู่ในที่ว่างข้างล่างซึ่งมีน้อยคนนักที่จะรู้จักนาง ในตอนนี้นางนั่งอยู่กับเหยียนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ด


 


องค์หญิงใหญ่เพิ่งเดินทางมาถึง นางเข้ามาก่อนชิงสุ่ยเล็กน้อย การปรากฏตัวของนางทำให้เกิดการพูดคุยในหมู่ผู้คนอีกครั้ง


 


ชิงสุ่ยยืนอยู่บนลานประลองพร้อมมองไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ บ่งบอกให้เห็นถึงความไม่แยแสนของเขา พร้อมกันนั้นคลื่นแห่งความกดดันถูกแผ่มายังชิงสุ่ย


 


มีชายชราคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตุการณ์ หลังจากเขาประกาศกฏของการประลองเป็นที่เรียบร้อย ก็เป็นสัญญาณให้เริ่มต้นการประลองได้.


 


“เจ้าเป็นคนที่ท้าประลองมายังข้า นอกเหนือจากชีวิตและความเป็นตาย ทำไมไม่เดิมพันสิ่งอื่นเพิ่มเติมล่ะ?” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มองไปยังชิงสุ่ยพร้อมรอยยิ้ม


 


“ย่อมได้!” ชิงสุ่ยไม่ได้แปลกใจอะไร นี่เป็นสิ่งที่เขาหวังไว้อยู่แล้ว


 


“ข้อเสนอของข้า ถ้าข้าเป็นฝ่ายชนะ เจ้าจะต้องรักษาน้องชายข้องข้าและห้ามพบกับซูหนี่อีกต่อไป”  รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กล่าวต่อชิงสุ่ย


 


คำกล่าวของเขาทำให้เกิดความวุ่นวายนอกเวทีอีกครั้ง


 


“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ”


 


“ไม่เพียงแค่พี่ชายที่ดีเท่านั้น แต่ยังน่าหลงใหลมากๆอีกด้วย”


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของฟู่เหยียนติง รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์คงไม่ยอมรับคำท้าของเจ้าชิงสุ่ยนั่นหรอก”


 


……


 


“แน่นอนว่าการที่รักษาอาการบาดเจ็บของน้องชายเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากข้าต้องบอกลาซูหนี่? ผู้หญิงไม่ใช้สิ่งของที่จะมอบให้กันได้ ยิ่งไปกว่านั้นซูหนี่และข้าเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น ไม่คิดว่าข้อเสนอของเจ้าไร้ประโยชน์ไปหน่อยหรือ?” ชิงสุ่ยไม่ได้อยู่ในจุดที่เสียเปรียบในการเจรจา


 


องค์หญิงใหญ่รู้สึกตกใจ นางได้ยินการสนทนาของชายทั้งสองบนลานประลอง อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนั่งฟังอยู่ตรงนั้น


 


“ได้ เช่นนั้นเอาอย่างที่เจ้าว่า มาเริ่มกันเลย!” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ตอบสนองด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย


 


“เดี๋ยวก่อนผู้คนจากตระกูลฟู่ไร้ยางอายกันทุกคนเลยงั้นหรือ? ถ้าหากข้าต้องเสียบางอย่างตอนที่แพ้ แล้วเจ้าล่ะ? ไม่คิดจะสัญญาอะไรไว้บ้างหรือ?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“แพ้? ถ้าหากวาข้าแพ้?” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มองไปยังชิงสุ่ยด้วยความตกใจ


 


ชิงสุ่ยกล่าวออกไปด้วยความตั้งใจ อย่างไรก็ตามเขายังกล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม “มีผู้คนมากมายที่ไม่คู่ควรกับชื่อเสียงที่ได้รับเสียเลย”


 


เพียงคำพูดไม่กี่คำเหล่านี้สามารถทำให้รุ่นเยาว์แห่งแดนศํกดิ์สิทธิ์อารมณ์เสียขึ้นมา เขาตอบอย่างไม่มีทางเลือก “พูดสิ่งที่เจ้าอยากได้ออกมา อะไรก็ตามที่เจ้าต้องการ”


 


“มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากเลยทีเดียว ในครั้งหน้าพับเก็บความภาคภูมิใจของเจ้าเอาไว้ซะ รู้ไว้เสียด้วยว่าซูหนี่ไม่ใช้ผู้หญิงของเจ้าเพียงเพราะเจ้าคิดว่าตัวเองหล่อเหลา อ่อ และหยุดเรียกชื่อซูหนี่ได้แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่านางรังเกียจเพียงใด นางอยากให้ข้ามาบอกเจ้าว่าเจ้ามันห่วยและนางไม่ชอบเจ้าเอาเสียเลย” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


คำพูดเหล่านี้ทำให้ให้รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์รู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เชื่อในคำพูดพวกนั้น แต่ลึกๆลงไปในใจแล้วเขาก็อดคิดไม่ได้ เหตุเพราะเขาเห็นเจ้าเด็กเหลือขอนั่นเป็นคนที่กุมมือของซูหนี่เอาไว้ด้วยตาของเขาเอง สำหรับเขาแล้วการกุมมือกันเช่นนี้ ถ้าหากทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันก็คงเป็นเพราะซูหนี่เสียสติไปแล้ว เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้หยาบคายเกินไปแล้ว แล้วเมื่อไรกันที่นางพูดเรื่องเช่นนี้? ต่อให้สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง นางก็คงไม่กล้าพูดออกมาหรอก เจ้าเด็กนั่นจะไปรู้ความคิดของนางได้อย่างไร?


 


แม้แต่จิตใจที่เข้มแข็งของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังถูกทำร้ายด้วยคำพูดพวกนั้น ตัวเขาเองรู้สึกสับสนเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “อย่างที่ข้ากล่าวไปก่อนหน้า ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะมอบให้ทุกสิ่งที่ต้องการ”


 


“เจ้าบ้านั่น เตรียมตัวแพ้ได้เลย!”


 


“เจ้าคิดว่าจะต่อกรกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์ได้งั้นหรือ?”


 


“นั่นน่ะสิ! มาดูว่าเจ้าจะตายยังไง? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ที่เขารับปากประลองกับเจ้าก็เพราะความสงสาร มิฉะนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์ต่อสู้ด้วยหรอก”


 


“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าเอาใจช่วยท่าน”


“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ จัดการมันอย่างรวดเร็วเลย”


 


……


 


ณ เวลานี้ เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต่างถ่มน้ำลายไปทางชิงสุ่ย


บทที่ 1240 – เหล่าผู้คนที่ให้การสนับสนุนชิงสุ่ย, ความสามารถในการลดทอน, ความเร็ว


 


ชิงสุ่ยไม่ได้เก็บเรื่องที่เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กระทำมาใส่ใจ เขาหวังเพียงจะใช้ถ้อยคำในการบั่นทอนความเยือกเย็นของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้ความหวังอาจจะน้อยนิด แต่เขาก็อยากจะลองดู


 


นี่เป็นสาเหตุที่ชิงสุ่ยดึงองค์หญิงใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แน่นอนเขารู้ดีว่าองค์หญิงใหญ่ไม่ได้ชอบรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์และไม่มีทางเป็นไปได้เลย ส่วนองค์หญิงใหญ่เองนั้นก็ไม่ใช่ผู้หญิงของชิงสุ่ย ถ้านางเป็นเช่นนั้นคงเกิดการต่อสู้กันระหว่างทั้งสองไปนานแล้ว ไม่ต้องรอจนถึงทุกวันนี้


 


เมื่อมาคิดถึงจุดนี้ สิ่งที่ชิงสุ่ยลงมือทำไปคงจะส่งผลจริงๆ ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่ไร้เทียมทาน ทุกๆคนย่อมมีจุดอ่อนในตัวเองทั้งสิ้น ดังคำกล่าวที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” เพียงทราบถึงจุดอ่อนของศัตรูก็จะสามารถสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดาย


 


“ท่านพ่อ ข้าเอาใจช่วยท่าน ล้มเขาให้ได้!”


 


จู่ๆก็มีเสียงปรากฎขึ้นมาทำให้ผู้คนรอบๆต่างรู้สึกตกอกตกใจ หลายๆคนจ้องมองไปยังชิงซาด้วยความประหลาดใจ ส่วนตัวนางเองนั้นพยายามทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเปล่งเสียงดังออกมาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ผู้คนยังสงสัยว่าชิงซากำลังพูดอยู่กับใครแต่หลังจากได้ยินเสียงที่พุ่งไปทางชิงสุ่ยก็ทราบได้ทันที


 


“ชิงสุ่ย พวกเราจะเอาใจช่วยเจ้าเช่นกัน พาไลหิมะหวนสนับสนุนเจ้า!” เหยียนจินยวี้ตะโกนออกมา ณ ขณะนั้น


 


“น้องชาย ข้าก็อยู่ฝ่ายเจ้าเช่นกัน! จัดการเขาให้ได้!” เสียงของเทียนเจียงปรากฎขึ้น


 


……


 


หลังจากนั้นเสียงที่สนับสนุนชิงสุ่ยก็ถูกเปล่งขึ้นมาเรื่อยๆ ในความเป็นจริง เมื่อผู้คนทราบว่าพาไลหิมะหวนให้การสนับสนุนชิงสุ่ยต่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง นี่แสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดกันระหว่างพาไลหิมะหวนและตัวชิงสุ่ยเอง ผู้คนจำนวนมากต่างพากันคิดว่าศึกนี้กลายเป็นศึกแย่งชิงรักเสียแล้ว


 


แม้แต่เสียงของเทียนเจียงเองยังปรากฎขึ้น มันทำให้ผู้คนต่างไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ทุกๆคนต่างรู้ดีว่าเทียนเจียงมาจากนิกายโลกานฤเบศซึ่งเป็นกลางในการประลองครั้งนี้


 


อย่างไรก็ตาม เทียนเจียงสัญญากับชิงสุ่ยว่าจะคอยสนับสนุนและจะเผชิญหน้ากันอีก เขาคงต้องใช้ความกล้าอย่างมากในการพูดออกไป


 


“ตั้งแต่เมื่อใดกันที่นิกายโลกานฤเบศอยู่ฝ่ายเดียวกับพาไลหิมะหวน?”


 


“แน่นอน ถึงแม้นิกายโลกานฤเบศและเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะเผชิญหน้ากันเสมอมา แต่ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน หรือเป็นเพราะหัวหน้าของนิกายโลกานฤเบศจะสนใจในตัวผู้หญิงคนนี้เช่นกัน? ”


 


“ข้าเป็นคนของนิกายโลกานฤเบศ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านิกายข้าไปเข้ากับฝ่ายใด”


 


“ใช่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกัน?”


 


……


 


ชิงสุ่ยลอบสังเกตุรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังสงบอยู่ ชิงสุ่ยรู้ดีว่าลึกๆในใจของเขาต้องเริ่มวอกแวกเป็นแน่ เหตุเพราะไม่เพียงพาไลหิมะหวนที่สนับสนุนชิงสุ่ย แต่ยังมีนิกายโลกานฤเบศเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย


 


แม้ว่านิกายโลกานฤเบศจะมีอำนาจมากแต่นั่นไม่ได้ทำให้รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หวั่นใจเท่าไร เหตุผลหลักเป็นเพราะพาไลหิมะหวนแสดงตัวออกว่าสนับสนุนชิงสุ่ยต่างหาก ถึงแม้ในวันนี้จะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น ถึงแม้เขาจะเป็นฝ่ายชนะในวันนี้ สุดท้ายแล้วเขาก็จะรู้สึกพ่ายแพ้อยู่ดี


 


ความคิดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า เขาไม่เคยจะต้องตกอยู่ในสถานะเช่นนี้มาก่อน เป็นความรู้สึกที่เขาไม่ได้พบเจอมาหลายปีมากแล้ว และในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเป็นตัวตลก


 


“เชิญลงมือ!” ชิงสุ่ยพูดอย่างสุภาพในขณะที่มองไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์


 


“ย่อมได้ เชิญเจ้าลงมือก่อนเลย ข้าเกรงว่าเจ้าจะมีโอกาสแสดงฝีมือได้ไม่มากนัก” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มองไปยังชิงสุ่ยด้วยสายตาที่เป็นประกาย ในเวลานี้เขากลับมาอีกครั้งด้วยความมั่นใจราวกับดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผา


 


“ตกลง งั้นไม่เกรงใจล่ะ”


 


หลังสิ้นสุดคำพูด ชิงสุ่ยเรียกกระบี่ดารายุพฆาตและเกราะอสูรสำแดงออกมาใช้งาน


 


ตามด้วยมังกรไอยราเกล็ดทองคำในทันใด


 


การปรากฎตัวอย่างน่าเกรงขามของมังกรไอยราเกล็ดทองคำทำให้ผู้คนต่างตกใจ ไม่ว่าใครก็ตามต่างทราบดีว่ามังกรไอยราเป็นสิ่งที่พิเศษ พลังกดดันและกลิ่นอายของมันที่ถูกปล่อยออกมาทำให้ผู้คนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว


 


ท่าทีของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ชิงสุ่ยทราบดีว่าอย่างน้อยเขาก็เริ่มให้ความสำคัญกับตนขึ้นมาบ้างแล้ว สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาเอาจริงก็คือพลังของเขาที่มากมีมากกว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำแต่กลับไม่มีท่าทีที่ประมาทเลย


 


ก้าวเท้ามังกรสัญจร ทักษะย่างก้าวเก้าเทวา!


 


ร่างกายของชิงสุ่ยเป็นเหมือนกับมังกรที่คดเคี้ยวอยู่ในน้ำพร้อมพุ่งไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์


 


กระบี่ทะลวง!


 


ชิงสุ่ยพุ่งดาบไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยท่าทีที่เรียบง่าย จู่ๆเขาก็ปรากฎตัวอยู่ข้างหลังฝ่ายตรงข้าม ซึ่งจุดนั้นย่อมเป็นจุดอับสายตา


 


รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เริ่มเคลื่อนไหวตัว ด้วยการก้าวอย่างสง่างาม เขาสามารถหลบการโจมตีของชิงสุ่ยได้อย่างง่ายดาย


 


ท่าเท้าของเขามีความรวดเร็วมาก ราวกับได้ก้าวข้ามคำว่าวิชาไปแล้ว


 


ส่วนตัวชิงสุ่ยก็ใช้ก้าวเท้ามังกรสัญจรและทักษะย่างก้าวเก้าเทวาต่อไปเพื่อทดสอบขีดจำกัดของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์


 


นั่นทำให้เขาประหลาดใจมาก เพราะฝ่ายตรงข้ามสามารถหลบทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย


 


ชิงสุ่ยหยุดการใช้เล่ห์กลต่างๆ เขาเร่งความเร็วให้ถึงขีดสุดพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่ในมือด้วยเพลงหมัดไทเก๊ก


 


ดวงตาของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นประกาย เขายังคงปัดป้องการโจมตีของชิงสุ่ยต่อไปพร้อมกับปากที่เอ่ยขึ้นว่า “ได้เวลาที่เจ้าต้องระวังตัวบ้างแล้ว!”


 


เขาเปล่งน้ำเสียงอันสงบออกมา หลังสิ้นสุดคำพูด แทนที่เขาจะล่าถอยกลับเป็นฝ่ายพุ่งหมัดขวาเข้าใส่แทน แขนของเขาดูเหมือนจะยาวและเบามันช่างดูแปลกตาเหลือเกิน อีกทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยความแข็งแรงและเด็ดเดี่ยว ในเวลาไม่นานนักมันก็พุ่งเข้าใส่ปลายดาบของชิงสุ่ย


 


ฝ่ามือทองคำอินทนิล!


 


ชิงสุ่ยเร่งพลังของตนให้ถึงขีดสุด นี่เป็นเพียงพลังที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น ในช่วงเวลาสนั้นๆเขาระเบิดพลังที่น่ากลัวออกมา


 


ตึ้ง!


 


มีเสียงดังชัดเจนเกิดขึ้น


 


ร่างกายของชิงสุ่ยกระเด็นถอยหลังไป พลังโจมตีที่ร้ายแรงนั่นพุ่งตรงเข้าสู่ลมปราณของชิงสุ่ยผ่านกระบี่เข้ามา ถ้าลมปราณของชิงสุ่ยไม่แข็งแกร่งมากพอการโจมตีเมื่อครู่นั้นอาจจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือแม้กระทั่งทำลายลมปราณของเขาไปได้เลย


 


เมื่อมาพิจารณาดูว่าเขาสามารถรับการโจมตีเมื่อครู่ได้แสดงว่าเขาก็แข็งแกร่งพอตัวเลยทีเดียว


 


ในวันนี้ ชิงสุ่ยได้ขยายขอบเขตพลังออกไป เพียงการโจมตีครั้งเดียว ชิงสุ่ยยังไม่สามารถประเมิณพลังของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายยังมีพลังมากกว่านี้ หรือในบางทีรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ทดสอบเขาโดยยังไม่ได้ใช้พลังออกมาทั้งหมด


 


หุบเขาเก้าเทวา!


 


ชิงสุ่ยควบคุมหุบเขาเก้าเทวาให้พุ่งเข้าชนรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังสูงสุด


 


“ถ้านี่เป็นทั้งหมดที่เจ้ามี เจ้าก็ไม่น่ามาท้าทายข้าเลย” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ส่ายศีรษะ เขากำหมัดแน่นและชกเขาใส่หุบเขาเก้าเทวาในทันที


 


ปัง!


 


หุบเขาเก้าเทวาถูกซัดให้กระเด็นกลับ ชิงสุ่ยยังคงควบคุมหุบเขาเก้าเทวาด้วยจิตใต้สำนีก เขายื่นมือออกและปรบมือสองสามครั้งเพื่อวางหุบเขาเก้าเทวาให้เข้าที่


 


แปลกมาก ช่างแปลกจริงๆ พลังของตัวเขาเองราวๆสามล้านเมฆารวมกับพลังของหุบเขาเก้าเทวาอีกห้าล้านเมฆา ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการต่อกรกับศัตรูเช่นรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์


 


“แน่นอนว่าไม่ หลังจากนี้เจ้าจะได้เจอกับทั้งหมดที่ข้ามี” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


“สัตว์อสูรงั้นหรือ? แม้ว่ามันจะดูไม่เลวซะทีเดียว แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะเป็นคู่มือสำหรับข้าหรอก ถ้าเจ้าจะหวังพึ่งมัน เจ้าเตรียมตัวแพ้ได้เลย” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แบมือออกพร้อมหยิบหอกออกมา มันมีสีเทา-ขาว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีรังสีฆ่าฟันถูกแผ่ออกมาอีกด้วย


 


ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขากำลังใช้จะเป็นศาตราวุธในตำนานหรือไม่ อย่างน้อยก็ใกล้เคียงเชียวล่ะ


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยมีความกังวลเป็นอย่างมาก รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ช่างทรงพลังจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีทางสู้เลยเสียทีเดียว เขาเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมาด้วยจิตของเขา


 


วชิระสยบอสูร!


 


ปราณจักรพรรดิ!


 


โดยปราศจากความลังเลใดๆ ชิงสุ่ยกระโดดขึ้นสู่หลังมังกรไอยราเกล็ดทองคำทันทีที่เรียกมันออกมา เขาไม่สามารถประมาทได้อีกแล้ว


 


โฮ่กกกกก!


 


ปราณกระบี่วชิระ!


 


เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ผ่านไป ชิงสุ่ยก็ต้องพบกับความตกใจ เขาสูญเสียพลังไปแล้วกว่าหกล้านเมฆา นั่นหมายความว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มีพลังเริ่มที่ยี่สิบล้านเมฆา แต่ในตอนนี้เขาหลงเหลือพลังกว่าสิบห้าล้านเมฆา


 


ช่างแข็งแกร่ง เขาสงสัยว่าระดับพลังของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ส่วนใดกันแน่ หรือจะอยู่บนจุดสูงสุดของยอดปิระมิด? มีผู้คนอีกมากเพียงใดกันทีถือครองพลังที่สูงกว่านี้อีก?


 


ในเวลานี้ ชิงสุ่ยยืนอยู่เหนือมังกรไอยราเกล็ดทองคำพร้อมใช้วิชาผสานจิตไอยรา ทำให้พลังของเขาในตอนนี้อยู่ที่ราวๆสิบเอ็ดล้านเมฆา ถึงอย่างนั้นพลังก็ยังต่างกันอยู่สี่ล้านเมฆาอยู่ดี


 


“นี่เจ้ามีวิชาที่โหดร้ายเช่นนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ?” รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์พูดออกมาด้วยความตกใจหลังจากสังเกตุชิงสุ่ยอยู่ชั่วครู่


 


เมื่อพิจารณาถึงพลังที่ลดลงจากยี่สิบเอ็ดล้านเมฆาลดลงมาเหลือสิบห้าล้านเมฆามันส่งผลต่อเจ้าตัวมากจริงๆ นี่เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เขาต้องพบเจอ ไม่ใช่ว่าเขามีพลังที่ไม่มากพอแต่เป็นเพราะพลังที่ถูกทำให้ลดหลั่นลงไปต่างหาก ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาแทบกระอักเลือกออกมาเลยทีเดียว


 


“รับนี่ไปซะ!” ชิงสุ่ยตะโกน เขาเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำพร้อมพุ่งเขาใส่ฝ่ายตรงข้าม


 


ผสานจิตไอยรา


 


ก้าวพสุธามังกรไอยรา!


 


ปัง…


 


ราวกับว่ามีการระเบิดครั้งใหญ่เกิดขึ้น ท้องฟ้าทั้งหมดถูกกระชากออก ทั่วท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆเห็ดสีเทา โดยปกติสภาพอากาศของสี่มหาทวีปเต็มไปด้วยลมปราณแรกเริ่ม เมื่อเทียบกับห้ามหาทวีปก่อนหน้าแล้ว จะเป็นเรื่องยากกว่าในการทะลุทะลวงท้องฟ้าออกไปได้


 


มีการระเบิดอย่างต่อเนื่องกลางอากาศ ราวกับว่าสวรรค์และโลกกำลังถูกฉีกออกจากัน


 


ในที่สุดสีหน้าของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ชั้นเกราะสีขาวเงินปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา ในที่สุดง้าวยาวในมือของเขาก็ถูกพุ่งออกไปด้วยความรุนแรง “มังกรบรรพกาล” และพุ่งตรงไปยังมังกรไอยราเกล็ดทองคำ


 


หุบเขาเก้าเทวา


 


ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่ต้องการให้มังกรไอยราเกล็ดทองคำเผชิญหน้ากับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป


 


ปัง!


 


เขาปล่อยมันไว้ซักพักเมื่อเรียกใช้มังกรไอยราเกล็ดทองตำ เขาสูญเสียการควบคุมหุบเขาเก้าเทวาไป ไม่ว่ามันจะทรงพลังซักแค่ไหนก็ตามมันก็จะหยุดนิ่งลงหากสิ้นสุดระยะการควบคุมของชิงสุ่ย


 


แส้เปลวเพลิงมังกรแรกเริ่ม!


 


รูปแบบที่แปด ดาราคล้อยแปดสวรรค์


 


ชิงสุ่ยเล็งแส้ไปยังศีรษะของฝ่ายตรงข้าม ในตอนนี้พลังโจมตีทางวิญญาณของเขาทรงพลังกว่าพลังทางกายภาพเสียแล้ว


 


การโจมตีด้วยพลังวิญญาณมักซับซ้อนและมีเลห่กว่าเสมอ อย่างไรก็ตามแค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามได้ ถึงแม้ในบางครั้งจะมีพลังโจมตีพิเศษเกิดขึ้นก็ตาม ความห่างชั้นของระดับพลังของทั้งสองยังมีอยู่มาก


 


ถ่วงเวลา! ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังไปเรื่อยๆ!


 


ชิงสุ่ยควบคุมมังกรไอยราเกล็ดของคำตามใจคิด เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ เขาจะใช้วชิระลี้ภัยและการจู่โจมมังกรไอยราคุ้มคลั่ง


 


ภายใต้ทักษะผสานจิตไอยรา แม้ตัวชิงสุ่ยจะถูกซัดให้กระเด็นกลับมาแต่ก็เป็นร่างของมังกรไอยราเกล็ดทองคำที่คอยรับเอาไว้ มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจ ตราบเท่าที่ยังรับการโจมตีเอาไว้ได้เช่นนี้ เขาจะมีโอกาสในการสังหารศัตรู


 


ชิงสุ่ยนำเครื่องรางแห่งสวรรค์ออกมาใช้ เขารีบใช้มันสองสามอันเพื่อเพิ่มพลังให้กับมังกรไอยราเกล็ดทองคำ และขว้างมันออกไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อลดพลังของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์


 


ดวงตาแห่งสัจธรรม!


 


อาจเป็นเพราะระดับพลังที่ต่างกันเกินไป ดวงตาแห่งสัจธรรมจึงใช้ไม่ได้ผลมากนัก หรืออาจเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามมีวิธีในการรับมือกับวิชาเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามวิชาดวงตาแห่งสัจธรรมไม่สามารถประสบผลสำเร็จ


 


ตาประทับซวนเทียน!


 


ย่าห์!


 


ชิงสุ่ยยังคงใจเย็นและไม่รีบร้อน เขายกมือขึ้นจากนั้นก็ปรากฏสิ่งของขนาดใหญ่สีเงินบนท้องฟ้า มันพุ่งทับลงมาใส่ร่างของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เขาตกใจไปอยู่ชั่วขณะ แต่ก็เป็นเพียงแค่เวลาชั่วครู่เท่านั้น บางคนอาจไม่สามารถสังเกตุถึงมันได้เสียด้วยซ้ำ


 


ก่อนหน้าเขาได้ลดพลังของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ในครั้งนี้เขาลดความเร็วของศัตรูด้วยปราณกระบี่วชิระและตราประทับซวนเทียน ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นเห็นได้อย่างชัดเจน


 


เดิมทีนั้นชิงสุ่ยถนัดในเรื่องความเร็วและท่าเท้าอยู่แล้ว ยังไม่ต้องรวมถึงวิชาวชิระลี้ภัยของมังกรไอยราเกล็ดทองคำนี้ด้วยซ้ำ ตัวชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกันอยู่ตลอด อีกทั้งภายใต้วิชาผสานจิตไอยราทักษะย่างก้าวเก้าเทวะก็ยังสามารถใช้งานได้


 


อย่าดูถูกความเร็วของสัตว์อสูรเหล่านี้ไป วิชามากมายของมนุษย์ล้วนเลียนแบบมาจากสัตว์อสูรเหล่านี้ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ก้าวเท้ามังกรสัญจร และเคล็ดวืชาเลียนแบบสัตว์เก้าอสูรของชิงสุ่ยเป็นต้น


 


ส่วนมังกรไอยราเกล็ดทองคำก็มีทักษะย่างก้าวมังกรไอยราของตัวมันเองเช่นกัน ซึ่งมีความลึกซึ้งในตัวของมันเองอยู่ ดังนั้นภายใต้วิชาผสานจิตไอยราตัวชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำถือความได้เปรียบในเรื่องความเร็วเอาไว้


 


ความเร็วย่อมหมายถึงพลัง ความเร็วยังเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ท่ามกลางทุกวิชาในโลกนี้ ต่อหน้าความเร็วสูงสุด ทุกๆอย่างย่อมไร้ค่า และทุกอย่างจะง่ายขึ้นแน่นอนถ้าถือครองความเร็วเอาไว้ได้ และในตอนนี้ชิงสุ่ยถือความได้เปรียบในเรื่องของความเร็วเอาไว้ ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขาจะเริ่มเห็นแสงสว่างท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิดนี้


บทที่ 1241 – หนึ่งหอกกระชากวิญญาณ, ย่างก้าวดาวตก, ชายชราในชุดคลุมสิงโตม่วง


 


ทั้งชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำอยู่ในจุดที่ได้เปรียบกว่าในแง่ของความเร็ว มันทำให้ชิงสุ่ยสุขใจมากจริงๆ เป็นเพราะความเร็วทำให้เขาสามารถโจมตีและป้องกันได้อย่างที่ต้องการ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เขาสามารถเคลื่อนที่ได้ยืดหยุ่นมากกว่า


 


การต่อสู้ที่แท้จริงช่วยให้คนแข็งแกร่งขึ้น ชิงสุ่ยดำเนินการใช้พลังวิญญาณระดับสูงของเขาจนถึงจุดสูงสุด


 


ผสานจิตไอยรา!


 


โจมตี!


 


ทั้งชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำรีบมุ่งไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังงานประหลาดจากอีกฝ่ายได้วิ่งเข้าสู่ลมปราณของทั้งสองอีกครั้ง อย่างไรก็ตามมันสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว


 


เขตแดนแห่งราชันย์!


 


มีแสงสีขาวขึ้นมาห่อหุ้มชิงสุ่ยป้องกันผลกระทบทุกอย่างในร่างกายของเขา เมื่อใช้เขตแดนแห่งราชันย์แล้ว ชิงสุ่ยรู้สึกสบายมากขึ้น


 


ปราณกระบี่วชิระ!


 


ย้อนกลับไปก่อนหน้า ร่างกายของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีแสงสีขาวส่องประกายด้วยเช่นกัน นอกจากปราณจักรพรรดิแล้วสถานะผิดปกติต่างๆถูกลบออกไปทั้งหมด ทำให้ชิงสุ่ยไม่มีทางต้องเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำกลับมาอีกครั้ง


 


วชิระสยบอสูร!


 


เมื่อไม่มีความสามารถในการลดความอ่อนแอเหล่านี้ ชิงสุ่ยมีความรู้สึกว่าตัวเองจะได้รับความพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว


 


รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ยังคงใจเย็นและมีสติ อย่างไรก็ตามเมื่อเขายิ่งสู้มากขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวมากเท่านั้น เขารู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามและสัตว์อสูรกำลังเข้าขากันมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียว


 


แต่ในเวลานี้ เขาพร้อมที่จะโต้กลับแล้ว เขาป้องกันการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามอย่างใจเย็น ตอบโต้ด้วยการโจมตีกลับ และในตอนนี้ชิงสุ่ยสามารถจัดการกับเขาได้ยาก


 


เมื่อชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำใช้การจู่โจมมังกรไอยราคุ้มคลั่งอีกครั้ง รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็โจมตีพุ่งสวนเข้ามา


 


ที่กลางอากาศ ร่างกายของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ท่วมท้นไปด้วยแสงสีขาวที่ชิงสุ่ยคุ้นเคยอีกครั้ง ทั้งพลังและความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน หอกยักษ์ในมือของเขาถูกระเบิดออกด้วยแสงสีขาว


 


ระบำกระชากวิญญาณ!


 


ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจ เขามองเห็นหอกพุ่งตรงเข้ามา และเขารู้ดีว่าไม่มีเวลาให้หลบอีกแล้ว แม้ว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำจะใช้วชิระลี้ภัยก็ตาม มันก็เปล่าประโยชน์เสียแล้ว เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเขาถูกขังไว้ด้วยการรับรู้ทางวิญญาณของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์


 


เคล็ดคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์!


 


ชิงสุ่ยใช้กระบี่คลื่นเจ็ดสะท้านด้วยกระบี่ดารายุพฆาตอย่างฉับพลัน


 


ปัง ปัง ปัง!


 


เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำกระเด็นถอยหลังไป ไม่มีทางที่รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้หลุดรอดไปได้ เขารีบพุ่งเข้าใส่ชิงสุ่ยอีกครั้ง


 


ย่างก้าวดาวตก!


 


ชิงสุ่ยโยกหัวหลบ ลูกปัดเหล็กกล้าเหมันต์หมื่นปีที่เขาเตรียมมาก่อนหน้าถูกโยนออกไปในทันที


 


เชื่อกตรึงอสูร!


 


ตอนนี้ชิงสุ่ยต้องการที่จะตรึงอีกฝ่ายไว้เท่านั้น พร้อมกันนั้นเขาให้มังกรไอยราเกล็ดทองคำใช้วชิระสยบอสูรและปราณกระบี่วชิระด้วย เพราะปราณจักพรรดิเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ได้รับการยกเว้น ทั้งวชิระสยบอสูรและปราณกระบี่วชิระจึงมีผลต่อไปได้ประมาณห้านาที


 


ชิงสุ่ยระงับความปั่นป่วนภายในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเคล็ดคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ไปก่อนหน้า เขาคงได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว ยิ่งพัวพันกับการต่อสู้มากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าศัตรูไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่าที่ยังต่อสู้ได้เป็นเพราะมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เขาทำได้มีเพียงสิ่งเดียวคือต้องหนีเท่านั้น


 


อสูรอัสนีคลั่ง!


 


ชิงสุ่ยใช้ประโยชน์จากตอนที่ฝ่ายตรงข้ามถูกตรึงไว้ เรียกอสูรอัสนีคลั่งออกมา


 


อัสนีกัมปนาถ!


 


ชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำมีความต้านทานต่อการโจมตีทางกายภาพที่สูงมาก แต่ในด้านของการรับรู้ทางวิญญาณก็ต้องยอมรับว่าด้อยกว่า ดังนั้นโอกาสของเขาจะมีก็ต่อเมื่ออสูรอัสนีคลั่งถูกเรียกออกมา


 


หลังจากที่อสูรอัสนีคลั่งโจมตีได้เพียงไม่กี่ครั้ง รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป เขาถอยห่างออกจากชิงสุ่ยและเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอสูรอัสนีคลั่งแทน เขารู้ดีว่าถ้าเขาไม่กำจัดสัตว์อสูรตัวนี้ไปเสียก็ต้องเป็นเขานี่แหละที่จะถูกกำจัดในวันนี้


 


เขามีการรับรู้ทางวิญญาณที่น่ากลัวจริงๆ แม้ว่าจะเป็นอสูรอัสนีคลั่งก็ยังสร้างได้แค่เพียงความเสียหายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่ความรู้สึกของเขากลับบอกว่าสัตว์อสูรตัวนี้มีความน่ากลัวซ่อนอยู่ นี่เป็นเรื่องที่เหมือนกับการต้มกบในน้ำร้อนนั่นแหละ


 


(เมื่อผู้คนปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ พวกเขาจะลดการป้องกันลง ส่งผลให้เพลี่ยงพล้ำจนเสียชีวิต)

(ต้มกับในน้ำร้อน : หากคุณจับกบโยนลงน้ำร้อน มันจะกระโดออกจากหม้อทันที แต่ถ้าคุณจับกบลงใส่น้ำแล้วค่อยๆ เร่งไฟ กบจะไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกต้มอย่างช้าๆ และตายในที่สุด)


 


ไม่มีทางที่ชิงสุ่ยจะปล่อยให้เขาได้ทำตามอย่างที่ต้องการ เขาเข้าขวางรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยวชิระลี้ภัยและโจมตีอีกครั้งด้วยตาประทับซวนเทียน ซึ่งมีความแม่นยำเต็มสิบส่วนไม่สามารถหลบเลี่ยงได้


 


ภูผาปฐพี!


 


ปัง!


 


ซ่อนเร้น!


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือด!


 


ในขณะที่โจมตีด้วยมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ชิงสุ่ยก็ยังสร้างปัญหาต่อเนื่องให้กับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ทั้งหมดนี้เพราะต้องการซื้อเวลาให้อสูรอัสนีคลั่ง


 


ในตอนนี้รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆแล้ว เขาควรจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้แต่เขากลับถูกตรึงไว้และไม่สามารถเอาตัวห่างออกจากเจ้าเด็กนี่ไปได้ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วชิงสุ่ยไม่ลืมที่จะใช้วชิระสยบอสูรและปราณกระบี่วชิระเป็นครั้งคราว เพื่อรักษาระดับพลังของเขาเอาไว้ตลอดเวลา


 


ก้าวพสุธามังกรไอยรา!


 


ก้าวพสุธามังกรไอยราทำให้รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กังวลขึ้นมาแล้วจริงๆ เขารู้สึกว่าการโจมตีที่เป็นวงกว้างเช่นนี้อันตรายมาก ดังนั้นเขาจึงพยายามเลี่ยงมันให้ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ล้มเหลวไปสองสามครั้ง เป็นเพราะร่างกายของเขารู้สึกแข็งทื่อ มันทำให้เขาตกใจจริงๆ


 


รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกล่อให้ติดกับอีกครั้ง เขาก้าวถอยหลังไปและเหวี่ยงหัวหลบ แต่ปรากฏเป็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่อยู่ข้างหลังของเขา


 


อสูรกิเลนหยก!


 


ร่างกายของมันมีสีเขียวเข้มคล้ายกับหยกและมีรูปร่างเหมือนสิงโต มันมีความสูงกว่าร้อยเมตรแต่เมื่อเทียบกับมังกรไอยราเกล็ดทองคำแล้วมันดูตัวเล็กนิดเดียว ทันทีที่มันปรากฏออกมานั้นมันรีบพุ่งเข้าหาอสูรอัสนีคลั่งในทันที


 


ชั่วพริบตาเดียวรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เรียกใช้สัตว์อสูรของเขา ชิงสุ่ยจึงใช้พลังที่ลดความสามารถของศัตรูพร้อมกับๆพลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำในทันที


 


วชิระสยบอสูร!


 


ปราณจักรพรรดิ!


 


เท่านี้ยังไม่พอชิงสุ่ยใช้ระฆังสะท้านจิตและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


 


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าสัตว์อสูรตัวนี้อ่อนแอกว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำ พลังควรจะห่างอยู่ที่แปดล้านเมฆาหรือมากกว่านั้น นอกจากนี้อสูรกิเลนหยกยังเป็นสัตว์กลายพันธุ์ เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรกิเลนไฟมันหายากกว่ามาก


 


หลังจากที่ระฆังสะท้านจิตถูกลั่นออก พลังของอสูรกิเลนหยกถูกลดลงอย่างรวดเร็ว


 


แมงมุมอสูรเจ็ดเศียร!


 


โดยปราศจากความลังเล ชิงสุ่ยเรียกใช้แมงมุมอสูรเจ็ดเศียรออกมา ด้านบนสุดของตัวแมงมุมอสูรเจ็ดเศียร มีสิ่งเล็กๆบางสิ่งที่ปรากฏอยู่ มันคือพังพอนหมื่นพิษนั่นเอง


 


ด้วยกลองสะบั้นสวรรค์และตะเกียงร้อยวิญญาณชิงสุ่ยไม่รู้สึกกังวลเลย เขาสามารถจัดการสัตว์อสูรของฝ่ายตรงข้ามได้ทุกเมื่อตามต้องการ


 


อสูรกิเลนหยกมีเกราะหยกหนาบนลำตัว มันสามารถป้องกันได้ทั้งพลังวิญญาณและพลังโจมตีกายภาพได้มีประสิทธิภาพมาก ตำนานได้กล่าวไว้ว่ามันมีสายเลือดที่แท้จริงของกิเลนหยกอยู่ในตัวของมัน


 


ด้วยความสามารถของกลองสะบั้นสวรรค์และตะเกียงร้อยวิญญาณ แมงมุมอสูรเจ็ดเศียรได้รับพลังเพิ่มขึ้นประมาณสองล้านเมฆาหรือมากกว่านั้น ทั้งยังมีเกราะทองคำแมงมุมอสูรช่วยเพิ่มความเหนียวและความทนทานของพิษได้ถึงสามเท่า ดังนั้นในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีอสูรกิเลนหยกก็ถูกขังไว้โดยแมงมุมอสูรเจ็ดเศียร


 


แต่ไม่นานนัก ก็มีไอสีเขียวเข้มจางๆออกมาจากร่างของอสูรกิเลนหยก มันดูเหมือนกับน้ำและมันค่อยๆกัดกร่อนใยแมงมุมอย่างช้าๆ


 


อสูรกิเลนหยกเป็นอริกับสัตว์อสูรที่ใช้พิษทุกชนิด!


 


แม้ว่าอสูรกิเลนหยกจะสามารถยับยังแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรเอาไว้ได้ แต่ทว่าแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดาทั่วไป ผลจากการต่อต้านพลังเกิดขึ้นถึงสองสิ่ง สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดก็คือแสงสีทองที่ส่องสว่างออกมาจากเศียรของมัน ไม่เพียงเท่านั้นใยแมงมุมก็เริ่มส่องแสงสีทองออกมาอีกด้วย


 


ใยแมงมุมพัวพัน!


 


หลังจากนั้นไม่นานใยแมงมุมขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น


 


อสูรอัสนีคลั่งยังคงใช้อัสนีกัมปนาถไปยังรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง


 


ความสามารถของแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรนี้ยังทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจ มันสามารถหยุดยั้งอสูรกิเลนหยกเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย แมงมุมอสูรเจ็ดเศียรเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญามากจริงๆ และแม้ว่าอสูรกิเลนหยกจะอ่อนแอลงอย่างมากชิงสุ่ยก็ยังต้องใช้ทั้งอสูรอัสนีคลั่งและแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรเพื่อหยุดมันเอาไว้


 


การโจมตีของอสูรกิเลนหยกนั้นมุ่งเน้นไปที่การใช้เพลิงหยก เปลวเพลิงชนิดนี้ค่อนข้างน่ากลัว แต่เมื่อมาพิจารณาดูแล้วแมงมุมอสูรเจ็ดเศียรอยู่ในธาตุน้ำตามธรรมชาติของมัน ทำให้ยังคงสามารถต้านทานเพลิงหยกไว้ได้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตามมันถือว่าเป็นตัวก่อกวนอสูรกิเลนหยกได้ดีเลยทีเดียว


 


“ถ้าเจ้าไม่ยอมแพ้ข้าเกรงว่าท้ายที่สุดข้าอาจจะพลังมือฆ่าเจ้าเสีย” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ


 


แม้ว่าเสียงนี้จะไม่ดังมากแต่ผู้คนข้างล่างก็สามารถได้ยิน


 


“ไม่น่าเชื่อ ผลออกมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?  รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเด็กเหลือขอนั่น” ใครบางคนกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ


 


“เจ้าเด็กเหลือขอนั่นสู้เขาไม่ได้หรอก มันเพียงใช้สัตว์อสูรของมันก็เท่านั้น”


 


“ยังไงมันก็เป็นส่วนหนึ่งจากพลังของเขา เจ้าทำได้แบบเขาไหมล่ะ?”


 


“ข้าไม่คิดเลยว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้  รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นคนที่ไร้เทียมทาน เขาต้องมีไม้ตายบางอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ”


 


……


 


ไม่มีอะไรหยุดการพูดคุยข้างล่างได้อีกแล้ว


 


ในทำนองเดียวกัน องค์หญิงใหญ่ยังรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่นั้นช่างเหลือเชื่อเสียจริง แม้ว่านางจะดูเหมือนเดิมจากภายนอก แต่ภายในของนางเกิดคลื่นยักษ์ทำให้รู้สึกปั่นป่วนเหลือเกิน นางประหลาดใจในความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ เขามีศักยภาพที่จะสู้กับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ และในตอนนี้เหมือนเขาจะถือไพ่เหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ


 


ทั้งเหยียนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ดรู้สึกตกใจมากเช่นกัน จากความกังวลที่เกิดขึ้นในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกแปลกใจตอนหลัง อย่างไรก็ตามพวกเขามองไปยังองค์หญิงใหญ่เป็นครั้งเป็นคราว เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพวกเขากำลังนึกถึงเรื่องที่องค์หญิงใหญ่สวมกอดกับชิงสุ่ย แน่นอนว่าอาการที่แสดงออกมานั้นไม่เหมือนกับที่นางได้พูดไว้ก่อนหน้า หรือนางจะชอบชิงสุ่ยเข้าแล้วจริงๆ?


 


“เจ้าคิดว่าจะล้มข้าได้จริงๆงั้นหรือ”รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ สังเกตุใบหน้าของชิงสุ่ยที่ดูสงบเสมอมา


 


“เช่นนั้น ต้องลองดูแล้ว!”


 


หลังสิ้นคำพูดของชิงสุ่ย เขาให้อสูรอัสนีคลั่งโจมตีด้วยอัสนีจู่โจม


 


หอกเดี่ยวกระชากวิญญาณ!


 


ภาพหอกสีขาวปรากฏออกมา ทันใดนั้นเองมันพุ่งตรงไปยังชิงสุ่ย


 


ย่างก้าวดาวตก!


 


อัสนีจู่โจม!


 


ขณะที่ชิงสุ่ยกำลังมองเห็นภาพติดตาจากหอกที่พุ่งเข้าใส่ตัวอยู่นั้น เขาตระหนักดีว่าเขาไม่สามารถหลบพ้นได้แน่ มีพลังงานแปลกๆบางอย่างหยุดเขาเอาไว้ มันไม่ใช่พลังวิญญาณ…แต่มันเล็งเป้าหมายมายังจิตวิญญาณของเขา ช่างรู้สึกแปลกจริงๆ บนหอกนั่นมีพลังงานที่ปล่อยออกมา ซึ่งมันน่ากลัวจริงๆ


 


แหวนศิลาหยกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์


 


เขาประสบความสำเร็จในการเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย….ร่างกายของชิงสุ่ยเริ่มขยับได้แล้ว อย่างไรก็ตามเงาหอกก็ยังตามติดตัวของชิงสุ่ยไป ผลไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยหลังจากที่เขาพยายามถอยห่างออกมา ระยะห่างของเขาและเงาหอกนั่นยังคงเดิม


 


มันคือการโหยหาวิญญาณที่แท้จริง


 


ร่างกายของชิงสุ่ยไม่สามารถขยับได้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่ขยับได้คงเป็นเพียงจิตใจของเขา


 


รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เห็นชิงสุ่ยยังคงขยับได้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกตกใจแต่เขาก็ยังคงมั่นใจในพลังของเขา วิชานี้เขาเก็บไว้ใช้สำหรับคนที่มีพลังมากเช่นเดียวกับชิงสุ่ย ก่อนหน้านี้เข้าประมาทเกินไป เขาควรจะใช้มันตั้งนานแล้ว


 


อัสนีจู่โจม!


 


เพื่อความปลอดภัย ชิงสุ่ยบอกให้อสูรอัสนีคลั่งโจมตีด้วยอัสนีจู่โจมอีกครั้ง เมื่อเขาต้องเผชิญกับความตาย รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องตายไปด้วยเช่นกัน


 


ลึกๆแล้วรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ยังคงรู้สึกกลัวอยู่ในใจ เขาไม่สามารถเคลื่อนที่ได้และลูกปัดเหล็กกล้าเหมันต์หมื่นปีก็กำลังพุ่งตรงมายังดวงตาของเขา นี่เป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากๆ


 


เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าสัตว์อสูรจะซ่อนกับดักเอาไว้เช่นนี้


 


ทุกๆคนข้างล่างลานประลองต่างตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาวางแผนที่จะตายกันทั้งคู่เช่นนั้นหรือ ?


 


“ไม่!”


 


“ท่านพ่อ!”


 


“รุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์!”


 


……


 


ณ เวลานี้ ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ร่างกายของชิงสุ่ยและรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เริ่มขยับ นอกเหนือจากนี้สองเสียงที่เบาทว่าชัดเจนดังขึ้นมา หลังจากนั้นสิ่งรอบๆตัวเริ่มไร้รูปร่าง ทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง


 


ชิงสุ่ยและรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังเดินผ่านประตูนรกไป ณ เวลานี้ ชายชราในชุดคลุมลายสิงโตสีม่วงปรากฏขึ้นบนลานประลอง เขาไม่พูดอะไรแต่ว่ากลับหัวเราะออกมาเสียงดัง


 


“เอาหล่ะ เอาหล่ะ เจ้าทั้งสองเป็นอัจฉริยะที่เกิดมาจากสวรรค์ นอกจากนี้พวกเจ้าทั้งสองยังเป็นคนของสำนักสวรรค์เร้นลับ ทำไมถึงต้องสู้กันจนถึงเป็นตายหล่ะ? ในวันนี้ถือซะว่าข้าเป็นคนกลางแล้วกัน บอกมาได้เลยว่าพวกเจ้าทั้งสองขุ่นเคืองเรื่องอะไรกัน ข้าจะช่วยดูว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง”เสียงของชายชราฟังเหมือนกับนาฬิกา มันดังขึ้นในหูของทุกคน


 


“นี่คือท่านอาจารย์ใหญ่เฉา”


 


“ใช่แล้ว เขาว่ากันว่าเขานี่แหละแข็งแกร่งของจริงเลย”


 


“พล่ามอะไรของเจ้า! การโจมตีที่รุนแรนก่อนหน้านี้หายไปอย่างง่ายดาย เขาจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร?”


 


……


 


“ฟู่เหยียนเทียนคาราวะอาจารย์ใหญ่เฉา”


 


“ชิงสุ่ยคาระวะอาจารย์ใหญ่เฉา”


 


แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่ก็ยังทำตามรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์และทำความเคารพ


 


“เอาหล่ะ เอาหล่ะ พวกเรามาแก้ปัญหาระหว่างเจ้าสองคนกันเถอะ ข้าจะพยายามหาทางออกให้พวกเจ้าทั้งสอง พอเท่าที่จะทำได้” ชายชราดูเหมือนจะมีความสุขเป็นพิเศษ


บทที่ 1242 – ปัญหาที่ถูกคลี่คลาย, ชื่อเสียง, ถามไถ่เรื่องหัวใจแห่งมหาทวีป


 


เมื่อชิงสุ่ยได้ยินชายชราพูดเช่นนี้ เขารู้ดีว่าผลลัพธ์ก็คือต้องยอมรามือไป อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกแปลกใจมาก ผลลัพธ์ของการต่อสู้ในวันนี้ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการเสมอ แท้จริงแล้วควรเป็นชัยชนะของเขา นั่นเป็นเพราะเขาเป็นฝ่ายไปขอท้าประลองกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์


 


การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้ชิงสุ่ยแข็งแกร่งและมั่นคงขึ้น มันช่วยเขาพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้นมาก และคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าถ้าหากต้องมาตายไปพร้อมกับคู่ต่อสู้ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น และคงอีกไม่นานที่ความแข็งแกร่งของเขาจะก้าวข้ามรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไปได้


 


จริงๆแล้วชิงสุ่ยมีความรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆเมื่อชายชราเข้ามาขวางการประลอง ซึ่งตรงกันข้ามกับฟู่เหยียนเทียนที่รู้สึกหดหู่ขึ้นมา เดิมทีก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เขามีลางสังหรว่าจะต้องถูกจัดการอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือผลลัพธ์ที่เกิดออกมาเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นลึกๆภายในใจของเขารู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายแพ้


 


“นายน้อยฟู่ ไหนเจ้าบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น?” ชายชรายิ้มและถามไปยังฟู่เหยียนเทียน


 


“เขาได้ผนึกน้องชายของข้าเอาไว้ พลังของเขากำลังสลายออกไปอย่างช้าๆ ข้าต้องการให้เขาคลายผนึกที่ใช้”ฟู่เหยียนเทียนรู้สึกเป็นทุกข์จริงๆ อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ ณ ตอนนี้เขารู้สึกหมดหนทาง


 


“หืม!” ชายชราตอบและมองไปยังชิงสุ่ย


 


“ข้ามีความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าและน้องชายของนายน้อยฟู่” ชายชราถามชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


 


“เขามีปัญหาในจุดยืน เขากลับคำพูดหลังจากที่พ่ายแพ้ในการเดิมพัน ข้าต้องทำแบบนั้นโดยไม่มีทางเลือก” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างช้าๆ


 


“เยี่ยม เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าทั้งสองไม่ได้มีความแค้นต่อกันและกันมากมายนัก” ชายชราเผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใสยิ่งขึ้น


 


“ใช่แล้ว!”ฟู่เหยียนเทียนรีบตอบอย่างรวดเร็ว


 


“ชิงสุ่ยงุนงงและตอบกลับไปเช่นกันว่า” “ใช่”


 


ชิงสุ่ยไม่คาดคิดมาก่อนว่าฟู่เหยียนเทียนจะเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็วเช่นนี้  เขามีเจตนาที่จะให้ชิงสุ่ยคลายผนึกที่ใช้กับน้องชายของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข


 


“จากคำกล่าวที่ว่า ‘การทำลายความเกลียดชังเป็นเรื่องที่ดีกว่าเก็บมันเอาไว้’ ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันสวรรค์เร้นลับ ถ้าผลของการประลองในวันนี้จบด้วยการเสมอกัน ข้าจะให้ชิงสุ่ยได้รับสิ่งที่เหมาะสมแลกกับการช่วยคลายผนึกของน้องชายเจ้า แบบนี้ฟังดูเข้าท่ากว่าใช่หรือไม่? ” ชายชราพูดพร้อมมองไปยังทั้งสองคน


 


“ตกลง การที่เขาได้รับเงือนไขที่เหมาะสมย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ข้าจะมอบบทเรียกให้กับน้องชายของข้าเอง”  ฟู่เหยียนเทียนพูดโดยเน้นเสียงคำว่า “เหมาะสม”


 


“ดี เช่นนั้นแล้วชิงสุ่ย เจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่?”ชายชรามองไปยังชิงสุ่ย


 


“ข้าไม่ขัดข้อง!” นี่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยควรจะทำตาม ไม่ว่าอย่างไร ชายชราก็ถือว่าได้ช่วยชีวิตเขาไว้ในก่อนหน้า


 


“ตกลง เช่นนั้นแล้ว ชิงสุ่ยบอกเงื่อนไขของเจ้าออกมา” ชายชราพูดอย่างเร่งรีบ


 


“เงื่อนไขนั้นง่ายเพียงนิดเดียว ข้าต้องการให้เขาทำตามที่ตกลงไว้ก่อนที่จะมีการประลองนี้เกิดขึ้น” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


ชายชรารู้สึกตกใจ  ฟู่เหยียนเทียนก็เช่นกัน เขาได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมา อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนที่รักษาสัจจะ ดังนั้นเขาจึงกัดฟันและพยักหน้า “ข้าให้สัญญากับเจ้า หวังว่าเจ้าจะช่วยคลายผนึกให้กับน้องชายของข้าได้”


 


“แน่นอน!”ชิงสุ่ยตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม


 


……


 


“เจ้าชิงสุ่ยคนนี้คือใครกัน? เขามีพลังมากจริงๆ”


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนที่ไม่แสดงอาการกังวลเมื่ออยู่ต่อหน้ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์”


 


“จริงๆแล้วผู้อาวุโสหรือแม้กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดบางคนยังต้องแสดงความสุภาพต่อรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เรียกได้ว่าในครั้งนี้เขาถูกตบหน้าเข้าอย่างจังเชียวล่ะ ข้าสงสัยจริงๆว่าพวกคนที่อยู่ในกลุ่มของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีท่าทีต่อไปยังไงในอนาคต ”


 


“ข้าเดาว่าในครั้งนี้  นิกายโลกานฤเบศจะต้องทำอะไรซักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ๆ ไม่ก็พาไลหิมะหวนจะเป็นคนจัดการแทน”


 


……


 


การถกเถียงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากข้างล่าง ในขณะที่ฟู่เหยียนเทียนเดินขึ้นไปบนเวที ชิงสุ่ยก็ช่วยคลายผนึกออกอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาพูดเสริมขึ้นมาว่า “มันไร้ประโยชน์ที่จะพึ่งพาคนอื่น แม้แต่คนที่ใกล้ชิดก็ไม่สามารถช่วยเราได้ทุกครั้งไป ไม่สำคัญว่าสุดท้ายใครจะเป็นคนทำให้คนอื่นเจ็บปวด  แต่คนประเภทที่ทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวดอยู่เสมอนั้นไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่”


 


ฟู่เหยียนติงรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าถูกคมดาบทิ่มแทงหัวใจ เหตุผลที่ทำให้พี่ชายของเขาต้องขายหน้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตัวเขาเองอย่างแน่นอน ความรู้สึกลึกลับที่เขาเคยมอบให้คนอื่นก็ได้หายไปเช่นกัน เรื่องนี้สร้างความเสียหายให้กับกลุ่มรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าจะมีคนมากมายที่จะออกจากกลุ่มไป รวมถึงเรื่องนี้ยังส่งผลต่อความตั้งใจของอีกหลายคนที่เดิมทีต้องการจะเข้าร่วมด้วย


 


ยังมีเรื่องอื่นๆที่จะยังส่งผลต่อเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์อีก เหตุก็เพราะทุกคนรับรู้ได้ว่าชิงสุ่ยเป็นคนที่มีความสามารถสูง ในอนาคตเขาต้องสามารถก้าวข้ามกลุ่มรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไปได้ นอกจากนี้ผลลัพธ์ของการต่อสู่ระหว่างชิงสุ่ยและรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันหายไป ดังนั้นถ้าต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์พวกเขาก็จำเป็นต้องเข้าหาชิงสุ่ยและพาไลหิมะหวน.


 


“เมื่อปัญหาต่างๆได้รับการแก้ไขแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ พวกเจ้าคืออนาคตของสถาบันสวรรค์เร้นลับ ความผิดพลาดไม่มีความหมายใดๆตราบเท่าที่เจ้าเรียนรู้ที่จะยืนขึ้น ไม่มีผู้ใดที่ไม่เคยผิดพลาด เพียงเพราะเจ้าทั้งสองได้ต่อสู่กัน นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าทั้งสองเป็นศัตรูกันเสียหน่อย มีประโยชน์มากมายที่เจ้าจะได้รับจากคู่แข่ง อย่ามองเพียงเฉพาะปัญหาเท่านั้น” ชายชรากล่าว


 


ฟู่เหยียนเทียนที่รู้สึกไม่ดีในก่อนหน้ารู้สึกเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา เขากำมือแน่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เหตุเพราะเขาทำได้เพียงเสมอกับชิงสุ่ยที่มีฐานะต่ำต้อยกว่า ถ้าชิงสุ่ยเป็นถึงระดับหัวหน้าของนิกายโลกานฤเบศ สิ่งต่างๆก็คงจะง่ายดายกว่าและความสามารถของเขาก็จะถูกพูดถึงอย่างมากขึ้น


 


ในตอนแรก เขาได้รับรู้ความสามารถของชิงสุ่ยมาบ้างแล้ว เมื่อฟู่เหยียนเทียนคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาก็ค่อยๆสงบลง ความล้มเหลวในวันนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป มันเป็นเหมือนที่ชายชราได้กล่าวไว้ เขาอาจพบคู่แข่งที่ดีในวันนี้ก็เป็นได้


 


ชายชราจากไป ชิงสุ่ยมุ่งไปยังทิศของพาไลหิมะหวน พี่น้องตระกูลฟู่ ก็จากไปเช่นกันทิ้งไว้แต่เพียงฝูงชนข้างหลัง ผู้คนมากมายยังคงมีบทสนทนาต่อไปเพียงแต่ชิงสุ่ยไม่ได้มีอารมณ์ที่จะอยู่ฟังเท่านั้น


 


“ท่านพ่อ!” ชิงซาวิ่งเขาโผกอดชิงสุ่ยอย่างมีความสุข


 


ชิงสุ่ยเห็นความกังวลและความสุขในดวงตาของนาง เขายื่นมือออกไปและลูบหัวของนาง หลังจากนั้นก็จากไปพร้อมเหยียนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ด พวกเขาทุกคนมุ่งหน้าไปยังพาไลหิมะหวน ซึ่งองค์หญิงใหญ่ได้แจ้งเรื่องนี้กับพวกเขาแล้ว


 


แน่นอนว่าชิงซาก็ตามไปด้วย


 


เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องพาไลหิมะหวนทุกๆคนต่างจ้องไปยังชิงสุ่ยโดยไม่กะพริบตา ชิงสุ่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำได้แค่ยักไหล่ “พวกเจ้ารู้สึกเช่นไรก็แสดงออกมาได้เลย ไม่ต้องมองข้าเช่นนี้ก็ได้ใช่ไหม? พวกเจ้านี่ทำตัวเหมือนพวกอันธพานเลย”


 


“เจ้าสิเป็นพวกอันธพาน ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มีพลังเพิ่มมากขึ้น? เจ้าเป็นพวกสัตว์อสูรงั้นหรือ? ”


 


“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ข้ามีพลังเพิ่มขึ้น และข้าก็ไม่ใช้สัตว์อสูรเชื่องๆด้วย”ชิงสุ่ยให้คำตอบที่ไม่ชัดเจนกลับไป


 


ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขายังอยู่ในเมืองตระกูลเหยียน เหยียนจินยวี้รู้สึกว่าชิงสุ่ยเป็นเพียงคนที่อ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น แต่นั่นมันนานแค่ไหนกันแล้ว? ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวเลยทีเดียว


 


หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อองค์หญิงใหญ่กลับมาถึงนางส่งยิ้มให้กับชิงสุ่ย “เจ้าช่างเป็นคนที่ทำให้คนอื่นประหลาดใจได้เสมอ พวกเรารู้สึกมีความสุขในครั้งนี้”


 


“ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่พอใจที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้” ชิงสุ่ยมองไปยังองค์หญิงใหญ่และยิ้มให้


 


“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? วันนี้เป็นวันที่ดี พวกเรามาฉลองกันเถอะ เช่นนั้นข้าขอเสนอให้ชิงสุ่ยเป็นคนเตรียมอาหาร”องค์หญิงใหญ่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


“ข้าเห็นด้วย!”เหยียนจินยวี้ยิ้ม


 


“ข้าก็เช่นกัน!” องค์หญิงเจ็ดเว้นช่วงและกล่าวเสริม


 


“ท่านพ่อ ท่านทำให้ข้ารู้สึกกลัวในวันนี้ ท่านต้องทำอาหารเพื่อปลอบใจข้าแล้วล่ะ”ชิงซายิ้มออกเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นมีความคลุมเครืออยู่มากแต่มันก็ทำให้เหยียนจินยวี้และคนอื่นๆรู้สึกราวกับว่าพวกเขาอยู่ในภาพลวงตา สิ่งของทุกอย่างนั้นจะมีค่าก็ต่อเมื่อมันมีอยู่เพียงน้อยนิด และรอยยิ้มของชิงซาเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากๆ


 


ในอีกแง่หนึ่ง ชิงสุ่ยก็ยินดีที่จะทำอาหาร เขามีทักษะในการทำอาหารอยู่มากมาย จริงๆแล้วมีผู้ชายน้อยคนมากทั่วทั้งทวีปที่รู้จักวิธีการปรุงอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธิ์ สำหรับพวกเขาการทำอาหารเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและเป็นการลดค่าตัวเองลง แต่ถึงอย่างนั้นชิงสุ่ยก็เป็นคนพิเศษ สำหรับเขาแล้วผู้ชายที่ดูแลเด็กได้ถือเป็นเรื่องที่ดีมากและคนทำอาหารที่มีชื่อเสียงที่เขารู้จักล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น


 


ในครั้งนี้ รายการอาการที่ชิงสุ่ยเตรียมเสนอล้วนเป็นของที่ล้ำค่าจากดินแดนหยกยุพราชอมตะทั้งสิ้น มีทั้งเต่าปลาเทราต์สายรุ้ง ปูและอื่นๆอีกมากมาย พวกมันทั้งหมดถูกตุ๋นด้วยสมุนไพร มีทั้งซุป ทั้งอาหารตุ๋น รวมทั้งอาหารทอด พวกมันไม่เพียงแค่ดูน่าทานเท่านั้น แต่รสชาตที่ออกมายังน่าตื่นตาตื่นใจอีกด้วย


 


ชิงสุ่ยมีความสุขมากๆราวกับว่ากำลังมีลูกคนใหม่เลยทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้เขาเกือบจะโยนชีวิตของตัวเองทิ้งไปเสียแล้ว มีคนกล่าวไว้ว่าคนเราจะเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้นก็ต่อเมื่อชีวิตกำลังอยู่บนความเป็นความตาย พวกเขาจะเข้าใจสิ่งต่างๆในชีวิตที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะเข้าใจมาก่อน ซึ่งโอกาสที่จะได้เจอช่วงชีวิตที่กำลังเป็นตายนั้นมีอยู่น้อยมาก


 


และคงไม่มีใครอยากจะเจอกับมันเท่าไหร่นัก เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะจะมีเพียงไม่กี่คนที่จะมีชีวิตรอดกลับมาได้


 


คนอื่นๆช่วยชิงสุ่ยในการจัดโต๊ะอาหารเช่นกัน ในไม่นานทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยจานอาหาร รายการอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลและแน่นอนว่าต้องมีจานผักอยู่ในนั้นด้วย


 


ไม่มีใครสนใจถามถึงที่มาของวัตถุดิบในวันนี้เพราะชิงสุ่ยได้ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจ พวกเขาเสียเวลารอมานานมาแล้ว สิ่งที่ทุกคนต่างรอคอยอยู่คือการได้ลิ้มรสอาหารสุดน่าอัศจรรย์ในตอนนี้


 


“ในเมื่อเจ้าปรุงอาหารเก่งถึงเพียงนี้ ใครที่ได้แต่งงานกับเจ้าไปจะต้องอ้วนทวนสมบูรณ์แน่ๆ”องค์หญิงเจ็ดกล่าว ไม่มีใครทราบว่านางตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจพูดออกไป


 


ชิงสุ่ยนำเหล้าองุ่นออกมาสองสามขวด จะขาดเหล้าองุ่นไปได้อย่างไรกับมื้อสุดพิเศษเช่นนี้? ในเมื่อไม่มีคนนอกอยู่เลย องค์หญิงเจ็ดดื่มเหล้าองุ่นไปมากมายและนางได้กล่าวเสริมว่านางต้องการจัดการกับอาหารมื้อนี้ให้เรียบร้อย หลังสิ้นสุดคำพูดนางก็ลงมือทันที


 


“อร่อยมาก!”


 


……


 


“เอ๊ะ…อาหารสามารถช่วยเพิ่มระดับการฝึกยุทธิ์ได้…” องค์หญิงเจ็ดมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความตกใจ


 


“ใช่แล้ว จริงๆไม่ว่าคนเราจะทำอะไรก็สามารถเพิ่มระดับการฝึกยุทธิ์ได้ถ้าหากทำมันในเวลาที่เหมาะสม การทานอาหารถือได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดเช่นกัน ความอดอยากก่อให้เกิดความแปรปรวน การทานอาหารที่เพียงพอจะทำให้เพิ่มพลังได้มากขึ้นและยังทำให้ฟื้นฟูสุขภาพได้ดีอีกด้วย ผลไม้อมตะในตำนานรวมถึงยาสมุนไพรต่างๆถูกเผาผลาญในกระเพาะทั้งสิ้น เช่นนั้นคงไม่มีอะไรให้แปลกใจถ้าหากว่าจะทานอาหารเพื่อเพิ่มระดับการฝึกยุทธิ์” ชิงสุ่ยวางแก้วลงพร้อมยิ้มออกมา


 


“แม้ว่าเจ้าจะกล่าวออกมาในแง่นี้ แต่คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้ อย่างน้อยเจ้าก็เป็นคนแรกที่ข้าเห็นหรือบางทีก็อาจเป็นคนสุดท้ายเช่นกัน” องค์หญิงใหญ่กำลังซดซุปปลาของนาง


 


“อ้อใช่ ชิงสุ่ย เมื่อมาคิดดูแล้วว่าในเมื่อผลจากการประลองในครั้งนี้ออกมาเป็นเสมอ พวกระดับสูงจากสถาบันสวรรค์เร้นลับจะต้องมาตามดูเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาอาจจะให้ข้อยกเว้นบางอย่างกับเจ้าและเลื่อนให้ระดับของเจ้าสูงขึ้น อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะได้เป็นระดับอาวุโสหรืออาจจะได้เป็นถึงผู้พิทักษ์เลยก็เป็นได้” องค์หญิงใหญ่พูดกับชิงสุ่ยในขณะที่กำลังทานอาหารไปด้วย


 


“ยอดเยี่ยม” ด้วยสถานะพวกนี้เขารู้สึกว่าจะสามารถช่วยเหลือมหาทวีอู่เซียตะวันตกได้มากมาย อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าถึงในตอนนี้เขายังต้องพึ่งพาสถาบัน แต่ในอนาคตเขาจะต้องทำประโยชน์คืนกลับไปให้กับสถาบันได้อย่างแน่นอน


 


“ชิงสุ่ย เจ้ารับพาไลหิมะหวนไว้สิ แม้ว่ามันจะยังไม่ใหญ่มากแต่มันจะสามาถช่วยให้เจ้าเป็นผู้ปกครองแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ในอนาคตทุกสิ่งทุกอย่างในสถาบันสวรรค์เร้นลับจะเป็นของเจ้า” องค์หญิงใหญ่พูดออกมาอย่างจริงจังหลังใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่


 


นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่นางพูดออกมาในทำนองนี้ ชิงสุ่ยมองไปยังใบหน้าของนาง ในครั้งนี้นางดูจริงจังเหลือเกิน อย่างไรก็ตามเขายังไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนี้ เขายิ้มและตอบกลับไปว่า “ความทะเยอทะยานของข้า ไม่ได้อยู่ในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้”


 


องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยด้วยความสับสน


 


“ในอีกไม่นานนี้ ข้าจะออกเดินทางไปตามหาภรรยาของข้า ข้ายังมีสิ่งอื่นให้ทำอีกมากมาย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับข้าที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอด แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็เป็นสมาชิกของพาไลหิมะหวนตลอดไป และข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการช่วยให้เจ้าก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงในสถาบันสวรรค์เร้นลับ แน่นอนว่ามันอาจจะใช้เวลาสักหน่อย”


 


“ข้า?”องค์หญิงใหญ่ยิ้มออกมาและส่ายหัว


 


“เจ้าไม่เชื่อในตัวข้า หรือแม้แต่ตัวของเจ้าเองงั้นหรือ” ชิงสุ่ยพูดและยิ้มออกมา


 


“แม้ว่าข้าจะมีพรสวรรค์ที่เหมาะสมตั้งแต่กำเนิดและโอกาสของข้าที่จะสู้เพื่อตำแหน่งในระดับสูงก็มีความสดใส แต่เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วช่างต่างออกไปจริงๆ ” องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยและยิ้มออกมา


 


“ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ เจ้าจะต้องได้รับมันอย่างแน่นอน ข้าสงสัยว่าน้องสาวของเจ้าเคยถามถึงหัวใจแห่งมหาทวีปบ้างหรือไม่” ชิงสุ่ยมองไปยังองค์หญิงใหญ่


บทที่ 1243 – เพิ่มพลัง, ลานสวรรค์เร้นลับ, พระราชวัง, การพูดคุย


 


องค์หญิงใหญ่มองไปยังความรู้สึกจริงจังของชิงสุ่ยและยิ้มออกมา “ขอบใจสำหรับความหวังดีของเจ้า ถึงแม้ว่าข้ามีความคิดที่จะทำเช่นนี้ แต่มันคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี เมื่อเวลาผ่านไปจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย เหตุใดเราไม่ลองปล่อยไปตามนั้นล่ะ?”


 


ชิงสุ่ยไม่ได้พูดอะไรอีก เขายิ้ม “ข้าจะเชื่อฟังเจ้าก็แล้วกัน แต่ถึงยังไงข้าก็จะยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาทางเพิ่มพลังให้กับเจ้า ข้ามีความรู้เรื่องการใช้ยารวมถึงการฝังเข็มที่จะสามารถช่วยเจ้าได้อยู่บ้าง เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าคงจะมีพลังพอที่จะทำมัน และขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะต้องการมันหรือไม่”


 


“เอาล่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เจ้าอาจจะถูกมองว่าเป็นศัตรูกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์  พวกพี่น้องในตระกูลฟู่จะต้องหาทางมาจัดการกับเจ้าอีกแน่ ถึงดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่ได้ผิดใจอะไรอีก แต่เรื่องทั้งหมดก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเจ้าควรระวังตัวเอาไว้” ดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะรู้จักตระกูลฟู่เป็นการส่วนตัว ถึงแม้ว่าฟู่เหยียนเทียนและน้องชายของเขาจะไม่ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง แต่พวกคนอื่นๆจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเป็นแน่


 


ตระกูลฟู่ถือว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ จะต้องมีพวกผู้อาวุโสและสมาพันธ์ผู้พิทักษ์และสมาชิกที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดอยู่แน่นอน ไม่เพียงแค่นั้นฟู่เหยียนเทียนยังเป็นความหวังที่จะกลายมาเป็นผู้นำของสถาบันสวรรค์เร้นลับในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลฟู่ก็จะรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากมีศัตรูปรากฏออกมา พวกเขาต้องพยายามหาทางกำจัดทิ้งโดยไม่มีเงื่อนไข


 


จริงๆแล้วไม่ใช่แค่ตระกูลฟู่เท่านั้นที่มีความคิดทำนองนี้ กองกำลังอื่นๆก็มีความทะเยอทะยานแบบนี้เช่นเดียวกัน สถาบันสวรรค์เร้นลับก็เหมือนเนื้อชิ้นโตที่ใครๆก็อยากได้มาครอบครอง องค์หญิงใหญ่พยายามอธิบายสถานการณ์บางส่วนให้ชิงสุ่ยทราบ


 


“ข้าคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น และคงจะเป็นเรื่องดีหากว่าพวกมันไม่มายั่วยุข้า ถ้าพวกมันทำเช่นนั้น ข้าจะให้มันจ่ายตอบแทนด้วยราคาอย่างงาม” ในครั้งนี้เหมือนกับว่าชิงสุ่ยได้หน้าจากอาจารย์ใหญ่เฉาโดยที่ไม่ต้องตัดมือของฟู่เหยียนติงทิ้ง บางทีเหตุการณ์ในครั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้


 


แม้ว่าเขาจะปล่อยฟู่เหยียนติงไปในวันนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสอีกมากมายที่เขาจะได้ทำมันอีก ในเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาและฟู่เหยียนเทียนจะเป็นมิตรกันอย่างที่ชายชราในชุดคลุมสิงโตสีม่วงได้หยิบยื่นไว้ให้ สิ่งต่างๆดูเหมือนจะคลี่คลายลงไปแล้วตราบที่ทั้งสองฝ่ายทำตามที่ตกลงกันไว้ นอกจากนี้ชายชรารู้ดีว่ามีการชิงดีชิงเด่นกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะอยู่กันอย่างสันติสุข


 


พวกนิกายโลกานฤเบศและพวกผู้นำ โดยเฉพาะพวกตระกูลใหญ่ๆต้องการให้มีการนองเลือดเกิดขึ้น พวกเขาต้องการให้มีการต่อสู้อันโหดเหี้ยมและการฆ่าสังหารหมู่เพื่อที่จะได้ไต่เต้าไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้น การที่จะได้มายังตำแหน่งอันสูงส่งใช่ว่าจะได้มาอย่างสันติสุข แต่สิ่งที่ต้องมีคือทำให้ผู้คนเชื่อฟังหรืออย่างน้อยต้องทำให้คนอื่นรู้สึกเกรงกลัว


 


สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั่นก็คือการมีอำนาจมากขึ้นกว่าคนอื่นๆ เพื่อไปให้ถึงจุดที่ไม่มีใครกล้าจะต่อกรด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องพวกนี้พูดได้ง่ายกว่าลงมือทำ ยังมีอัจฉริยะหลายคนบนโลกใบนี้รวมถึงนักรบทั้งหลาย พวกเขาไม่สามารถยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองได้โดยปราศจากการทำศึกและการฆ่าล้างสังหาร


 


ดังนั้น เกือบทุกนิกายบนทวีปแห่งนี้จะต้องส่งพวกลูกศิษย์ออกไปเก็บเกียวประสบการณ์จากการต่อสู้กับสัตว์อสูรหรือแม้กระทั่งมนุษย์ด้วยกันเอง นี่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และอาจถึงขั้นให้คนในต่อสู้กันเองตราบที่ไม่เอากันถึงขั้นเป็นตาย


 


“ข้าเชื่อว่าในเร็วๆนี้ เจ้าจะแข็งแกร่งพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ในเมื่อเจ้าไม่มีความสนใจในพาไลหิมะหวน ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”องค์หญิงใหญ่ยิ้มในขณะที่กำลังวางส้อมเงินในมือลง


 


จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ ชิงสุ่ยแอบสังเกตุการทานอาหารของนาง นางดูสง่างามมากเวลาซดน้ำซุปหรือแม้กระทั่งทานอาหารทั่วไป นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของนางยังดูเป็นธรรมชาติจริงๆ ชิงสุ่ยมีความสุขมากๆในเวลานี้ ขณะที่กำลังทานอาหารนางหันมามองชิงสุ่ยบ้างในบางครั้ง อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ยังคงแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ในสายตาที่ชัดเจนของเขาไม่มีความชั่วร้ายอยู่เลย เขาแค่ตะลึงในความงามของนางเท่านั้น หรือในบางทีเขาอาจจะคิดเรื่องสกปรกในจิตใจแต่ปกปิดมันไว้ได้อย่างดี


 


ยิ่งไปกว่านั้น ริมฝีปากสีชมพูรวมถึงลิ้นนี่น่าดึงดูดของนางทำให้มองได้ไม่เบื่อเลย มันทำให้ชิงสุ่ยเองนั้นจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อย่างไรก็ตามเขาไม่แสดงอาการอะไรออกมา


 


……


 


ตอนนี้เป็นเพียงเวลาบ่ายอ่อนๆเท่านั้น ชิงสุ่ยและชิงซาเพิ่งกลับมาถึงลานหน้าบ้านของตัวเอง เมื่อมาถึงพวกเขาสังเกตุเห็นว่ามีชายชรายืนอยู่คนหนึ่ง เขาไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากจะเป็นชายชราในชุดคลุมสิงโตสีม่วง ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยได้ยินมาจากองค์หญิงใหญ่มาแล้วว่าจะต้องมีคนตำแหน่งระดับสูงมาหาเขาด้วยตัวเอง แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มายังเป็นชายชราคนนี้เสียอีก


 


“ข้ามาที่นี่โดยปราศจากคำเชิญใดๆ หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวน” ชายชราเผยให้เห็นรอยยิ้มเมื่อเจอชิงสุ่ย


 


“ข้ามีเวลาว่างอยู่เสมอ ถ้าหากท่านอาวุโสต้องการจะพบข้า ท่านเพียงส่งคนมาบอกข้าก็เพียงพอแล้ว”ชิงสุ่ยตอบไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่าชายคนนี้แข็งแกร่งมาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าแข็งแกร่งเพียงใดแต่เขาก็เป็นที่นับหน้าถือตาในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้


 


“ทำไมเจ้าไม่ไปที่ลานสถาบันสวรรค์เร้นลับกับข้าล่ะ? มีบางอย่างที่ท่านผู้นำต้องการคุยกับเจ้า”ชายชราในชุดคลุมสีม่วงพูดอย่างตรงไปตรงมา


 


“เอาล่ะ เด็กน้อยเจ้าเข้าบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวพ่อจะกลับมา”


 


“ได้ค่ะ!”ชิงซาพยักหน้าพร้อมเดินกลับไปที่ลานบ้าน


 


“เด็กหญิงคนนั้นมีกลิ่นอายที่อันตรายมากๆติดตัวอยู่” หลังจากที่ชิงซาเดินเข้าไป ชายชราพูดมันออกมาเบาๆ


 


“ตอนนี้นางอางการดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยในตอนนี้นางก็ยังรักษาความสงบของตัวเองไว้ได้ ”


 


“นางยังไม่ได้เขาร่วมกับสถาบันสวรรค์เร้นลับใช่หรือไม่? ข้าสงสัยว่าเจ้าจะให้นางทำเช่นนั้น?”


 


ชิงสุ่ยรู้ดีว่าสถาบันสวรรค์เร้นลับจะต้องตรวจสอบภูมิหลังของเขาเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกตกใจอะไร เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ข้าจะถามนางถึงเรื่องนี้อีกครั้งในภายหลัง นางมีบุคลิกที่แปลกมาก”


 


ทั้งสองพูดคุยกันในขณะที่กำลังเหาะไปยังลานของสถาบันสวรรค์เร้นลับโดยใช้นกกระเรียนยักษ์ของชายชรา


 


สถานที่ตั้งของลานสถาบันสวรรค์เร้นลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน มันตั้งอยู่ในจุดสูงสุดของรอบนอก รอบๆนั้นมีรูปแบบหมอกเก้าเทวาล้อมรอบอยู่ ถ้าหากมองมาจากภายนอกจะไม่เห็นสิ่งใดเลย แต่ทุกๆอย่างจากภายนอกสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากข้างในนี้


 


“ชิงสุ่ย เจ้าไม่ได้มาจากสี่มหาทวีปใช่หรือไม่?”


 


“ข้ามาจากห้า มหาทวีป” นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง ชิงสุ่ยเชื่อว่าพวกเขาต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว


 


“ห้ามหาทวีปเช่นนั้นหรือ ในอดีตถูกกล่าวกันว่าเก้ามหาทวีปเคยเป็นจุดเชื่อมสมดุลและเชื่อมต่อระหว่างที่ต่างๆ ใครจะไปคาดคิดว่าจะถูกแบ่งออกโดยใช้ภูเขาและมหาสมุทร?”ชายชรามองไปรอบๆพร้อมส่ายศีรษะ


 


“ผู้อาวุโส ข้าสงสัยว่ามีวิธีการเดินทางข้ามไปมาระหว่างห้ามหาทวีปและสี่มหาทวีปนอกเหนือจากต้องใช้รูปแบบผสานบรรพกาลอยู่หรือไม่?” ชิงสุ่ยเก็บคำถามนี้เอาไว้ในใจเสมอมา เขายังคงต้องการที่จะกลับไปพบกับครอบครัวของเขา ไม่เช่นนั้นก็ต้องใช้เวลาสิบปีเพือที่จะได้พบกันเพียงหนึ่งครั้ง


 


“ข่าวลือเล่าไว้ว่ามีวิธีอยู่ ผู้ที่บรรลุถึงระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจรวมถึงผู้ควบคุมระยะทางในตำนานบางคนสามารถข้ามไปมาได้  นอกเหนือจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆอีกที่มหาทวีปมังกรอหังกาล มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ มหาทวีปอุดรเทวา ที่เรายังไม่รู้ถึงมัน” ชายชรามองไปยังชิงสุ่ย ชิงสุ่ยเป็นคนที่มาจากห้าทวีปดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชิงสุ่ยจะถามเช่นนี้


 


“อ้อใช่ ผู้อาวุโส ยังมีนิกายหรือราชวงศ์ใดๆในระดับห้าหรือไม่ในอีกสามมหาทวีปที่เหลือ?”เมื่อได้ยินเรื่องพวกนี้ ชิงสุ่ยรู้แล้วว่าเขาไม่ต้องรับฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถถามถึงเรื่องอื่นๆได้เช่นกัน


 


“ใช่แล้ว ยังมีอยู่ แม้ว่ามหาทวีอู่เซียตะวันตกจะเป็นหนึ่งในสี่มหาทวีป ความต่างของระดับพลังเมื่อเทียบกับอีกสามมหาทวีปก็ยังคงมีอยู่มาก และยิ่งห่างมากไปกว่านั้นเมื่อเทียบมหาทวีอู่เซียตะวันตกกับห้าทวีป ” ชายชราถอนหายใจแทนความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้


 


แม้ชิงสุ่ยจะคาดการณ์ไว้ว่าอีกสามมหาทวีปที่เหลือจะต้องมีระดับพลังที่แข็งแกร่งมากจากชื่อของพวกนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะจริงเสมอไป เขาไม่รู้เช่นกันว่าเขาควรจะตื่นเต้นหรือจะหมดหวังดี อีกสามมหาทวีปที่เหลือต้องมีการดำรงอยู่ของพวกระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจเป็นแน่ พวกเขาเป็นพวกที่น่ากลัวที่สุดที่มีการดำรงอยู่หรือไม่นะ?


 


“ผู้อาวุโส จุดสูงสุดของผู้พิทักษ์เทวธรรมขั้นห้าอยู่ที่จุดใด?” ชิงสุ่ยรีบใช้โอกาสเพื่อถาม


 


“นี่อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่น่าจะอยู่ที่ยี่สิบล้านเมฆาหรือเรียกว่าสองร้อยสุริยา”


 


“เช่นนั้นแสดงว่าหนึ่งแสนเมฆามีค่าเท่ากับหนึ่งสุริยา  ผู้พิทักษ์เทวธรรมขั้นห้าจะเริ่มที่ราวๆยี่สิบสุริยาและจุดสูงสุดจะอยู่ที่สองร้อยสุริยา  ช่องว่างของพลังในระดับเดียวกันมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆเรื่อยๆ”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


“ยิ่งระดับสูงช่องว่างจะยิ่งเพิ่มขึ้น ความจริงแล้วเมื่อมาอยู่ในจุดนี้ผู้คนก็จะแสดงออกเพียงว่าตนอยู่ในระดับผู้พิทักษ์เทวธรรมเท่านั้น แน่นอนว่ามันฟังดูกำกวม สุดท้ายแล้วก็ต้องประเมิณจากพลังของฝ่ายตรงข้ามเองอยู่ดี เป็นเพราะความแข็งแกร่งพวกนี้ถูกนิยามขึ้นมาเมื่อนานมาแล้ว และในหลายแห่งก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงต่างกันออกไป”


 


ในระหว่างที่พวกเขาได้พูดคุยกัน สุดท้ายก็เดินทางมาถึงลานของสถาบันสวรรค์เร้นลับ หลังจากที่ได้เดินทางผ่านรูปแบบหมอกเก้าเทวามาได้ ชิงสุ่ยตระหนักขึ้นมาทันทีว่าเขาสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ด้วยทักษะย่างก้าวเก้าเทวา


 


“เจ้ากำลังคิดว่ารูปแบบพวกนี้มันธรรมดาเกินไปใช่หรือไม่?” มีเสียงอ่อนโยนและสง่างามดังขึ้นมา


 


ชิงสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับชายชราในชุดคลุมมังกรสีทองยืนอยู่ในจุดที่ไม่ห่างจากเขามากนัก ราวกับว่าจู่ๆชายชราคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างดื้อๆเลย อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ชิงสุ่ยก็ยังไม่สามาถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายใดๆจากตัวชายชราคนนั้น


 


ชายชราคนนั้นดูสง่าและมีภูมิฐานเป็นอย่างมาก เขามีราศีราวกับเป็นกษัตริย์ เขาเป็นอาจารย์ใหญ่และเป็นหัวหน้าของสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาเป็นคนที่สามารถควบคุมสถาบันเร้นลับแห่งนี้ไว้ได้


 


“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น… ข้าเพียงคิดว่าข้าเริ่มจะคุ้นเคยกับมันขึ้นมาบ้างแล้ว” ชิงสุ่ยรีบตอบคำถาม


 


“นั่งลงก่อนสิ เป็นเวลานานมากแล้วที่ข้าได้สนทนากับเด็กหนุ่ม ผ่านมานานเท่าไหร่ข้าก็ลืมไปแล้ว ข้าไม่สงสัยในเรื่องของชายหนุ่มผู้นี้เลย” ชายชรากล่าวไปยังชิงสุ่ยและชายชราที่อยู่ในชุดคลุมสิงโตสีม่วง


 


“ข้าเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถานบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ และข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มองข้าในแง่ลบ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเจ้า เป็นเพราะการปรากฏตัวที่น่าอัศจรรย์ของเจ้าทำให้พวกเราหวังจะให้เจ้าแบกชื่อสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ไว้”


 


“ผู้อาวุโส ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดถึงอะไร? ตัวชิงสุ่ยเองมีความลับอยู่มากมายที่แม้กระทั่งคนใกล้ตัวก็ไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนนอกเลย และเขาก็ยังไม่มีความคิดที่จะบอกเรื่องพวกนี้แก่คนอื่น ถ้าเขามองข้ามเรื่องพวกนี้ไป นั่นอาจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกสังหารได้”


 


“ข้าหมายความว่าเมื่อเจ้าไปที่ใดในอนาคตข้างหน้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไปในนามของสถาบันสวรรค์เร้นลับ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยยกระดับของสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ได้”ชายชรามองไปยังชิงสุ่ยพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง


 


“ข้าไม่ได้เก่งถึงเพียงนั้น ยังมีผู้คนอีกมากมายในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ที่เก่งกว่าข้า แม้แต่พวกหัวหน้าบางคนก็ยังมีพลังมากกว่าข้าเลย” ชิงสุ่ยเผยให้เห็นรอยยิ้มอันขมขื่นพร้อมกับส่ายหน้า


 


“ฮ่าๆ เจ้ายังคงแสดงออกว่าโง่อยู่ดีแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าพวกข้า พวกข้ารู้ดีว่าเจ้ามีความลับซ่อนอยู่ แต่ไม่อยากที่จะถามถึงมันก็เท่านั้น ลึกๆแล้วเจ้าไม่เห็นถึงความสูงส่งของสถาบันสวรรค์เร้นลับ แต่เจ้าก็มีความทะเยอทะยานลึกๆในใจของเจ้า ดังเช่น สักวันหนึ่งเจ้าจะแซงหน้าสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ไป”ชายชรากล่าวอย่างมั่นใจ


 


ในตอนนี้ ชิงสุ่ยรู้แล้วว่าชายชราคนนี้มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆที่พบเจอมา เขากล่าวไปอย่างไม่มีทางเลือก “ข้าไม่กล้าที่จะคิดเช่นนั้น”


 


“เอาล่ะ พวกข้าจะไม่บังคับให้เจ้าแบกรับมัน และจะไม่คอยก้าวก่ายในเรื่องนี้อีก ทุกคนในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้มีอิสระเสรี แม้ว่าข้อตกลงของเราจะไม่สามารถบรรลุได้ แต่พวกข้าจะไม่เก็บมันมาใส่ใจ ที่พวกข้าหวังไว้ก็คืออยากให้เจ้าช่วยสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้จากฝีมือของตัวเจ้าเอง ทั้งหมดนี่ถือเป็นการพัฒนาอนาคตของสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้อีกด้วย แน่นอนว่าพวกข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากจนเกินไป ดังเช่น เจ้าสามารถเสนอสิ่งที่เจ้าต้องการมาได้เลย หากเป็นสิ่งที่ทำได้พวกข้าก็จะลงมือช่วยอย่างเต็มที่” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย


 


“ข้าให้คำมั่นว่า ข้าจะอยู่ในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ในฐานะลูกศิษย์และส่วนหนึ่งของพาไลหิมะหวน”ชิงสุ่ยรู้สึกว่าตัวเขาเองในตอนนี้ยังไม่อยู่ในจุดที่ต่อรองได้ เขารู้สึกว่าในเร็วๆนี้ สถาบันสวรรค์เร้นลับคงเห็นว่าเขามีคุณสมบัติมากพอ และมันคงจะมากพอแล้วเมื่อเขาแสดงจุดยืนว่าเป็นสมาชิกของพาไลหิมะหวน ชายชราเป็นคนที่มีประสบการณ์สูง เขาจะต้องรับรู้ถึงความคิดของชิงสุ่ยได้แน่แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ก็ตาม


 


“การเป็นคนหนุ่มนี่มันดีจริงๆ เจ้าหนุ่มน้อยเจ้าเป็นคนที่จริงใจ อย่าได้กังวลไปพวกข้าจะช่วยเหลือพาไลหิมะหวนอย่างเต็มที่ ถ้าหากว่าสถานการณ์เป็นใจในอนาคต เจ้าจะได้รับโอกาสดีในการปกครองสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้”


 


“ข้าขอขอบคุณมากๆ”ชิงสุ่ยรู้ดีว่าชายชรากำลังให้สัญญาจากคำพูดในตอนนี้ ถ้าหากชิงสุ่ยอยากทำให้มันเป็นจริง ยังไงเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้มากนัก


บทที่ 1244 – คุณค่า, ผู้พิทักษ์อิสระ, ความแข็งแกร่งของมหาทวีปอู่เซียตะวันตก


 


“ข้าก็ได้กล่าวสิ่งที่อยากจะบอกหลักๆไปทั้งหมดแล้ว มีอีกอย่างก็คือข้าต้องการจะให้เจ้ารับตำแหน่งผู้พิทักษ์อิสระ เจ้าเห็นว่าอย่างไร” ชายชราในชุดคลุมมังกรสีทองกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


“ผู้พิทักษ์อิสระ?” ชิงสุ่ยรู้เกี่ยวกับผู้พิทักษ์ดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่าผู้พิทักษ์อิสระ


 


“จริงๆแล้วผู้พิทักษ์อิสระก็เป็นเหมือน ผู้พิทักษ์ทั่วๆไปนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเจ้าจะไม่ถูกจำกัดโดยบุคคลอื่นๆ แม้กระทั่งพวกข้า พวกเราจะไม่มีสิทธิ์ในการควบคุมเจ้า แต่แน่นอนว่าเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ทำความเสื่อมเสี่ยให้กับสถาบันสวรรค์เร้นลับเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่สถาบันสวรรค์เร้นลับตกอยู่ในปัญหาและมันไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไปสำหรับเจ้าผู้พิทักษ์อิสระจะต้องมีหน้าที่ช่วยแก้ปัญหานั้น” ชายชรามองไปยังชิงสุ่ยพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม


 


เงื่อนไขนี่ฟังดูยืดหยุ่นเป็นอย่างมาก เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะยิ่งผู้ใดที่มีพลังมาก พวกเขาจะยิ่งอึดอัดเมื่อโดนบังคับ ดังนั้นพวกสถาบันจึงเปิดกว้างให้อิสระได้ตามที่ต้องการตราบที่สถานการณ์ยังเป็นใจ ถึงแม้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายกับสถาบันขึ้น พวกเขาจะทำประโยชน์ได้น้อยกว่าพวกที่ถูกจำกัดอยู่ในกรอบและหัวใจหลักของสถาบันคือความสามัคคีในหมู่คณะก็ตาม แน่นอนว่ากฏเกณฑ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดของสถาบัน


 


“ข้าให้สัญญา แต่ข้าก็เป็นศิษย์ของสถาบันอยู่แล้ว จะดีกว่าไหมหากท่านลืมเรื่องเกี่ยวกับผู้พิทักษ์นั่นไป” ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมมองไปยังชายชรา


 


“ฮ่าฮ่า คำพูดนี้มีช่างสำคัญจริงๆและข้าคิดว่าคงปฏิเสธมันไม่ได้แน่ๆ ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นถ้าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็คงเป็นพลังในร่างกายของเจ้าเองนั่นแหละ วันหนึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงเจ้าเป็นมังกรท่ามกลางหมู่มนุษย์ทั้งหลายและทะยานขึ้นไปบนฟ้าอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นสิ่งที่ข้าหวังไว้คือเจ้าจะสามารถช่วยดูแลสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ได้”


 


ชิงสุ่ยรู้ดีเกี่ยวสถานภาพของตัวเอง เขารู้ดีว่าเขาย่อมทำมันได้ ยิ่งคิดตามที่ชายชรากล่าว มันยิ่งตอกย้ำความเชื่อนั้นเพิ่มขึ้นไปอีก ต่อหน้าความองอาจของชายชราเขาควรเป็นเพียงแค่สิ่งที่ไร้ตัวตนเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามการกระทำของชายชราคนนั้นได้เปิดประตูบานใหญ่ออกให้เขาเรียบร้อยแล้ว


 


“ไม่ต้องกังวลไป ถ้าวันนั้นมาถึง ข้าจะรับภาระหน้าที่นี้เอง ข้าจะช่วยสถาบันสวรรค์เร้นลับทำลายรูปแบบของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกนี้เสีย” ชิงสุ่ยพูดอย่างหนักแน่นหลังใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่


 


“เอาล่ะ ถ้าเจ้ามีอะไรก็ตามที่พวกข้าสามารถช่วยเหลือได้ สถาบันสวรรค์เร้นลับจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ บอกมาได้เลยโดยไม่ต้องเกรงใจ พวกข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อสนองความต้องการของเจ้า”ชายชราในชุดคลุมมังกรทองมองไปที่ชิงสุ่ยอย่างจริงจรัง


 


“เช่นนั้นแล้ว ผู้อาวุโส ผู้ที่ครอบครองพลังที่สูงสุดในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกอยู่ที่เท่าใด ” ชิ่งสุ่ยต้องการทราบ เขาต้องการออกเดินทางไปยังทวีปอื่นๆในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ซ้ำยังกล่าวอีกว่า ”รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” เขาอยากรู้เรื่องนี้จริงๆ


 


“พลังสูงสุดในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกนี้อยู่ที่ราวๆแปดพันสุริยา  ข้าก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าข้อมูลนี้ถูกต้องหรือไม่” หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ชายชราได้กล่าวออกมา


 


ชิงสุ่ยขมวดคิ้ว ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าพลังเท่านี้มันสูงผิดปกติเกินไปหรือไม่ แต่เมื่อเทียบกับตัวเขาในตอนนี้แล้วมันยังถือว่าสูงมาก ปัจจุบันพลังของเขาอยู่ที่ราวๆสามร้อยถึงหกร้อยสุริยาเท่านั้น พลังที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของเขาไม่อาจนับเป็นพลังที่แท้จริงได้ เพราะว่ามันเกิดขึ่นเป็นครั้งคราว


 


“เจ้าไม่คิดว่ามันไม่เลวร้ายไปหรือ? จริงๆแล้วที่พลังสามพันสุริยานับว่าเป็นจุดเปลี่ยน ที่พลังห้าพันสุริยาก็เช่นกันนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกขั้น และก็จะเกิดเรื่องแบบเดียวกันนี้อีกที่พลังแปดพันสุริยา ตัวอย่างเช่น เมื่อใครซักคนไปถึงจุดที่มีพลังสามพันสุริยา พวกเขาจะพบกับปัญหาคอขวด คอขวดนัั่นหมายความว่า จะเป็นเรื่องยากขึ้นที่พลังจะผ่านจุดนี้ออกไปได้ คงเป็นเรื่องยากใช่มั้ยล่ะที่จะปีนป่ายขึ้นไปยังสวรรค์” ชายชรายิ้มและมองไปทางชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยรู้สึกละอายเล็กน้อย ทั้งหมดก็เพราะว่าเขาเองก็มีพลังเพียงอันน้อยนิด แต่เขาก็ยังคิดว่าพลังแปดพันสุริยานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม แต่ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าการที่ใครสักคนจะก้าวข้ามตัวเองไปได้นั้น แม้ว่าในความเป็นจริงพวกเขาจะมีประสบการณ์และพลังที่เพียบพร้อม แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปได้


 


“ข้าเข้าใจแล้ว เส้นทางของผู้ฝึกยุทธิ์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความวิตก


 


“เจ้ายังหนุ่มนัก ความอ่อนเยาวน์นั้นเป็นสมบัติของเจ้า เมื่อเจ้ามีอายุเพิ่มขึ้น พลังก็จะเติบโตขึ้นไปด้วย หรือแม้กระทั่งในตอนนี้ พลังของเจ้าอาจจะกำลังเพิ่มขึ้นอยู่ก็ได้


 


…………………..


 


ชิงสุ่ยออกจากลานของสถาบันสวรรค์เร้นลับหลังใช้เวลาอยู่ที่นั่นกว่าครึ่งวัน ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาอยู่ที่ลานซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปจากองค์หญิงใหญ่มากนัก ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าชายชราทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อจุดประสงค์ใด แต่จากการที่เขาได้คุยกับชายชราแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาควรจะอยู่”


 


นอกเหนือจากนี้ชายชรายังมอบกุญแจไว้ให้กับเขา นี่เป็นหนึ่งในสมบัติที่ชายชรามองไว้ให้กับเขา กล่าวคือมันเป็นกุญแจเพื่อไปยังห้องที่เก็บสมบัติไว้มากมาย ซึ่งที่จริงแล้วชิงสุ่ยตั้งใจจะปฏิเสธมัน แต่เมื่อเขามาลองคิดดูดีๆแล้ว นี่อาจเป็นรางวัลที่มอบไว้ให้กับเขาในอนาคต และนอกเหนือจากนี้ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับรางวัลพวกนี้เช่นกัน


 


ชิงสุ่ยไม่ได้รีบที่จะไปดูสัมบัติ เขากลับมายังลานบ้านของเขาก่อนและนำตัวชิงซาออกไปพร้อมกัน


 


ชิงสุ่ยพบว่าล้านกว้างที่นี่อยู่ใกล้กับองค์หญิงใหญ่มากในตอนที่มุ่งออกไปพร้อมชิงซา ความจริงแล้วรอบๆสถานที่ที่องค์หญิงใหญ่อาศัยอยู่มีล้านกว้างเต็มไปหมด แต่ว่าแทบจะไม่มีอะไรเลย และในตอนนี้พวกมันทั้งหมดถูกมอบให้ชิงสุ่ยหมดแล้ว


 


ในเวลาไม่นานนักหลังจากชิงสุ่ยและชิงซาไปถึงลานกว้าง องค์หญิงใหญ่ก้าวเดินออกมา การแสดงออกของนางต่อชิงสุ่ยมีท่าทีแปลกมาก ชิงสุ่ยรู้สึกเขินอายเมื่อถูกจ้องมองด้วยท่าทีเช่นนั้น “นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์ใหญ่ได้มอบไว้ให้กับข้า ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมข้าถึงโผล่มาอยู่ที่นี่…”


 


แม้ว่าชิงสุ่ยจะรู้ดีว่ามันเป็นการยากที่จะเชื่อ นับปราะสาอะไรกับองค์หญิงใหญ่ นี่เป็นสำหรับสถานที่สำหรับพวกผู้อาวุโสเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่สถานะสูงกว่าผู้อาวุโสทั่วไปเสียอีก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ของนาง เรื่องสำคัญก็คืออาจารย์ของนางได้บอกนางไว้ว่าห้ามไม่ให้มีใครอาศัยอยู่ในบริเวณใก้เคียงนางโดยเฉพาะพวกผู้ชาย แต่ในตอนนี้คนที่อยู่ใกล้ตัวนางที่สุดกับเป็นชายหนุ่มคนนี้


 


“เจ้ากำลังจะพยายามอธิบายอะไร? ข้าไม่ได้จะไล่เจ้าออกไปเสียหน่อย” องค์หญิงใหญ่พบกับท่าที่อันน่าขำของชิงสุ่ย


 


“ดีแล้ว ข้าเพียงคิดว่าเจ้าอาจจะไม่พอใจ” เมื่อเขาได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกโล่งใจ


 


“หมายความว่าเจ้ากลัวข้าใช่ไหม?” องค์หญิงใหญ่ถามด้วยความแปลกใจ ดวงตาของนางมีความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย


 


“……”


 


“เอ่อ… ก็ไม่ใช่ทำนองนั้น ข้าเพียงกลัวว่าเจ้าจะอารมณ์ไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน พวกเราควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”


 


องค์หญิงใหญ่ยิ้มออกมาและมองไปยังชิงสุ่ยโดยไม่กะพริบตา และชิงสุ่ยก็พบว่าตนเองอยู่ในอาการเป็นใบ้ เขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหยุดนิ่ง


 


“เช่นนั้นแล้ว พวกเราเป็นเพียงเพื่อนบ้านกัน”


 


“เอ่ออ.. แม่นางซู่ ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น อย่างนี้ดีไหม ในคืนนี้ข้าและเจ้าตัวน้อยจะย้ายไป…”


 


“ในฝันของข้าใช่ไหม ก็ได้ มาสิ หยุดบ่นได้แล้ว.” องค์หญิงใหญ่รู้ว่าชิงสุ่ยแค่ล้อเล่นเท่านั้น นางรู้สึกมีความสุขจริงๆ ชีวิตของนางในช่วงนี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยคิดฝันมาก่อนในอดีต


 


แม้แต่อาจารย์ของนางเอกยังทักว่านางเปลี่ยนไป แต่อาจารย์ของนางชอบนางในแบบปัจุบันนี้ นางจำได้ว่าอาจารย์เคยพูดว่าการฝึกยุทธิ์ไม่ได้หมายถึงการหนีห่างออกจากโลก มีเพียงความรู้สึก อารมณ์และความเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้ถึงจะเป็นประสบการณ์ที่มีค่า นี่ต่างหากคือการฝึกฝนที่แท้จริง


 


ลานกว้างของที่นี่ดูเหมือนกับขององค์หญิงใหญ่มาก ความจริงแล้วนางไม่รู้ตัวเลยว่าพื้นที่ในส่วนนี้นอกจากส่วนของนางแล้ว ในส่วนที่เหลือแทบจะเป็นของชิงสุ่ยเกือบทั้งหมด เมื่อเทียบกับสถานที่ที่ชิงสุ่ยอยู่ในก่อนหน้าแล้วที่นี่เพียบพร้อมกว่ามาก แม้ว่าขนาดของที่พักจะไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือบริเวณรอบๆ นอกจากนี้สิ่งปลูกสร้างพวกนี้ยังเอื้อต่อการฝึกยุทธิ์มากกว่าเดิม


 


เหยียนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ดเพิ่งเดินทางมาถึง ชิงสุ่ยมอบลานอีกสองแห่งที่เหลือให้พวกนาง เมื่อพวกนางรู้ว่าข่าวนั้นเป็นความจริงก็รู้สึกดีใจมาก เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหากใช้สถานที่แห่งนี้ในการฝึกยุทธพลังจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าสถานที่พวกนี้จะถูกสร้างให้พวกผู้อาวุโส แต่การก่อสร้างรูปแบบนี้พวกเขาจะใช้ได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเสียอีก


 


“ยอดเยี่ยม! ต่อไปก็จะได้ทานอาหารด้วยกันง่ายยิ่งขึ้น ไม่เหมือนเช่นก่อนหน้าที่ต้องเดินทางไกลเพื่อมาพบกัน” องค์หญิงเจ็ดพูดอย่างดีใจหลังจากที่นางพยายามยืนยันว่านี่คือเรื่องจริง


 


ในอีกมุมนึง เหยียนจินยวี้ยิ้มออกมาและยังไม่ได้พูดสิ่งใด นางจ้องมองไปยังชิงสุ่ย ลึกๆในหัวใจของนางรู้สึกตกใจที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของชิงสุ่ยในช่วงไม่กี่วันนี้


 


……


 


ในช่วงบ่ายแก่ๆ ชิงสุ่ยนำกุญแจและมุ่งไปยังหุบเขา คลังสมบัติของสถาบันสวรรค์เร้นลับนั้นมีอยู่หลายแห่ง แต่ละที่ก็มีอยู่อีกหลายห้องเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้มีฝีมือเฝ้าปกป้องดูแลสถานที่แห่งนี้


 


หุบเขาเทียนยี่!


 


ชิงสุ่ยมุ่งไปยังสถานที่ที่ชายชราบอกเอาไว้ มันเป็นสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยหุบเขาซึ่งมีความคดเคี้ยวมาก มีเพียงจุดสูงสุดเท่านั้นที่จะมองเห็นว่าทั้งหมดนี้เป็นภูเขาที่ใหญ่โตมโหฬาร ภูเขามากมายที่ทะลุผ่านก้อนเมฆขึ้นไป ครอบคลุมตั้งแต่จุดสูงสุดจนถึงต่ำสุด ลักษณะของมันดูเหมือนอุโมงค์ซึ่งชิงสุ่ยกำลังจะลอดผ่านมันไป


 


นอกเหนือจากนี้ ยังมีจุดเชื่อมอยู่อีกหลายแห่ง มีก้อนหินที่ดูแข็งทื่อ มืดทึบ รวมถึงบรรยากาศที่เปียกชื้น มีพวกมอสและตะไคร่เติบโตเต็มไปหมด รวมถึงสัตว์อสูรขนาดเล็ก หนอนต่างๆ แต่พวกมันต่างถอยห่างออกจากชิงสุ่ย


 


บรรยากาศของรอบๆบ่งบอกว่าไม่มีใครย่างก้าวเข้ามาที่นี่นานแล้ว ไม่เชิงว่ามันอับชื้นซะทีเดียว นี่คงเป็นเพราะจิตแห่งปราณของหุบเขาแห่งนี้หรือผลจากตะไคร่น้ำพวกนั้น ทำให้อากาศสดชื่นและสะอาด แน่นอนว่ามันก็ยังเทียบกับข้างนอกไม่ได้อยู่ดี


 


ชิงสุ่ยรีบเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเขาใช้การเคลื่อนที่กลางอากาศ ระยะทางมันคงจะสั้นกว่านี้ แต่จะเป็นเรื่องยากต่อการหาสถานที่เป้าหมาย เขาจึงเลือกเดินทางบนพื้นดินแทน ผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะข้ามผ่านไปทางข้างบนแต่บางส่วนก็เลือกเดินทางผ่านใต้ดิน คนส่วนมากที่พบเจอคงจะบอกกล่าวกันว่ามันถูกสร้างมาราวกับสิ่งปลูกสร้าง


 


ทางใต้ดิน!


 


ชิงสุ่ยไม่รู้ตัวว่าเมื่อไหร่ เขากำลังรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ที่อุโมงค์ใต้ดิน ในตอนแรกบริเวณรอบๆประกอบไปด้วยโขดหินแต่ในปัจจุบันรอบๆล้วนประกอบไปด้วยหินดินทั้งสิ้น ท้ายที่สุดก็พบว่าตัวเองเดินอยู่ใต้ดินเสียแล้ว


 


ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็หยุดชะงักด้วยสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขาคือช่องว่างขนาดใหญ่ ที่น่าแปลกใจก็คือมีแสงส่องอยู่เล็กน้อยรอบๆบริเวณนั้น มันดูคล้ายๆกับกระโจม นั่นหมายความว่าอาจจะมีใครสักคนพักอยู่ที่แห่งนี้ ด้านบนสุดยังมีแสงส่องลงมาราวกับดาวระยิบระยับ อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงช่องว่างที่เชื่อมต่อกับภายนอกเท่านั้น


 


รอบๆของกำแพงประกอบไปด้วยแผ่นหินสองสามชิ้น จู่ๆก็มีชายชราจำนวนหนึ่งปรากฎตัวออกมา คนพวกนี้ดูชรามากจริงๆราวกับเป็นต้นไม้ที่แห้งเหี่ยว ให้ความรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก


 


“แสดงตราประทับ!”


 


เสียงที่มืดหม่นและหนาวเหน็บปรากฏออกมา


 


ชิงสุ่ยหยิบตราประทับที่ชายชราในชุดคลุมมังกรทองมอบให้ออกมา มันมีหมายเลขแกะสลักอยู่บนนั้น


 


“มุ่งหน้าไปยังห้องลับที่มีตัวเลขสลักอยู่ อย่าเข้าไปใกล้ห้องอื่นๆเด็ดขาด หรือมิเช่นนั้นก็อย่าโทษพวกข้าถ้าหากว่าเจ้าตาย” ทันทีที่สิ้นเสียง ชายชรากลุ่มนั้นก็หายไปราวกับปิศาจ ราวกับว่าพวกเขาแสดงตัวออกมาและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว


 


ชิงสุ่ยส่ายศีรษะของเขา ชายชราทุกคนล้วนมีพลังสูงส่ง พวกเขาน่าจะเป็นกลุ่มที่คอยเฝ้าพิทักษ์สมบัติของสถาบันสวรรค์เร้นลับ


 


เข้าหยิบกุญแจที่หนักซึ่งมีความยาวประมาณหนึ่งฟุตและไขมันออก สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปแบบที่ซับซ้อน ถ้าหากมีใครซักคนพยายามทำลายมันด้วยกำลัง รูปแบบที่ซับซ้อนพวกนั้นคงถูกเปิดใช้งาน นอกเหนือจากนี้ประตูที่ของห้องลับแห่งนี้ยังทำด้วยโลหะที่แปลกประหลาดซึ่งมีความทนทานสูงมาก แต่น่าเสียดายที่มันไม่เหมาะจะนำมาทำอาวุธ


 


มันเป็นประตูกับดัก หากว่ามันถูกทำลายลง ห้องลับก็จะถูกปิดไปพร้อมๆกับมัน


 


ชิงสุ่ยไขมันอย่างรวดเร็ว ประตูนี้มีความซับซ้อนมาก ด้วยความเร็วของชิงสุ่ยเขาบิดกุญแจกว่าร้อยครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงเสียงรบกวนที่ออกมา ในที่สุดประตูของห้องลับก็ถูกเปิดออก


 


ความจริงแล้วชิงสุ่ยสนใจที่จะศึกษาเรื่องของกับดักอยู่เสมอ แต่โชคไม่ดีเขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสใกล้ชิดกับมันสักเท่าไร ประตูหินถูกเปิดออก สิ่งที่เข้ามาในสายตาของเขาเพียงอย่างเดียวก็คือบันไดอันยาวเหยียดสำหรับก้าวลงไปข้างล่าง มีสิ่งที่คล้ายอยู่กับไข่มุกราตรีประดับอยู่ตามทางให้แสงสลัวๆเพื่อให้เขาสามารถมองเห็นได้บ้าง


บทที่ 1245 – สมบัติ, หินหยางสวรรค์, ยาเม็ดสวรรค์หยาง, ตำรายาสวรรค์เก้าหยาง, อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ


 


ชิงสุ่ยเดินลงไปตามทางอย่างช้าๆ บันไดนั้นมีความยาวเพียงไม่กี่เมตร ชิงสุ่ยเรียกผึ้งหยกจักรพรรดิออกมาเพื่อให้ช่วยหาทางเดิน มันเป็นคงจะดีหากปลอดภัยไว้ก่อน อย่างน้อยถ้ามีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้น เขาจะได้เตรียมตัวทัน


 


ขั้นบันไดหินมีระยะทางไม่ยาวมาก ในไม่นานก็ลงมาถึงจุดหมาย ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นมากเนื่องจากสมบัตินี้เป็นสิ่งที่สถาบันสวรรค์เร้นลับมอบให้กับเขา เข้าไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งนั้นมันคืออะไรแต่มันคงไม่ใช่อะไรที่เลวร้ายแน่นอน


 


ในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังใช้ความคิด เขาก็ได้เดินมาถึงห้องลับขนาดใหญ่ห้องหนึ่งข้างใน ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณอันตรายใดๆส่งมาจากผึ้งหยกจักรพรรดิ ในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังเดินต่อไป เขาก็กำลังคิดถึงสิ่งที่เขารอคอยมากที่สุด


 


เมื่อเขาใช้ความคิดมาได้ซักพัก เขาก็หยุดชะงักลง เหตุผลก็คือตัวเขาเองมีดินแดนหยกยุพราชอมตะอยู่แล้ว สิ่งของมากมายของเขาล้วนมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะทั้งสิ้น และในขณะนี้เขาตระหนักได้ว่าสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่สิ่งของจากโลกภายนอกอีกต่อไป ชิงสุ่ยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ถ้ามีสิ่งที่เขาต้องการจริงๆก็คงจะเป็นอะไรซักอย่างที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับภายในของตนได้


 


ประตูภายในห้องลับนั้นไม่ได้ถูกปิดเอาไว้ ดังนั้นชิงสุ่ยสามารถมองเห็นสิ่งของทั้งหมดได้จากจุดที่เขายืนอยู่ สิ่งของข้างในส่วนใหญ่จะเป็นพวกหีบสมบัติ และเกือบทั้งหมดเป็นของที่ใช้การไม่ได้แล้ว แม้ว่าห้องลับจะมีขนาดใหญ่มาก แต่ข้างในกลับมีสิ่งของเพียงน้อยนิด


 


ทั้งหมดนี่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกดีใจ นั่นเป็นเพราะด้วยประสบการณ์ของชิงสุ่ยที่มีมาอย่างยาวนาน ถ้าหากพบกับสิ่งของที่มากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งของที่ไรประโยชน์ทั้งสิ้น มีส่วนน้อยเท่านั้นที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ


 


ชิงสุ่ยวางมือลงบนหีบสมบัติที่อยู่ใกล้กับเขาที่สุด หีบสมบัติถูกสร้างอย่างดีด้วยหยก เมื่อหีบภายนอกสร้างมาดีเช่นนี้แล้วข้างในย่อมบรรจุไปด้วยสิ่งมีค่า ถ้าเป็นของธรรมดาทั่วไปจะเป็นของจำพวกหินหยกและสมุนไพรต่างๆ


 


ชิงสุ่ยค่อยๆเปิดมันออกอย่างช้าๆ ปรากฏว่าเป็นหีบชั้นเดียว ข้างบนสุดเป็นหลุมกลมขนาดเท่ากับไข่นกพิราบ ข้างในนั้นมีแสงระยิบระยับและยาเม็ดเทพโอสถที่โปร่งแสง ซึ่งมันมีจิตแห่งปราณที่น่าเกรงขามถูกปล่อยออกมา


 


ชิงสุ่ยหยิบหนึ่งในนั้นออกมาและปิดหีบสมบัติลง ยาเม็ดเทพโอสถค่อยๆขยายตัวขึ้นมาเท่าหัวแม่โป้ง สีของมันเป็นสีทองมีแสงส่องสว่างออกมารอบๆให้ความรู้สึราวกับว่ามันเป็นยาวิเศษ


 


เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์!


 


ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่ง!


 


ความสามารถ : ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่ง! หนึ่งเม็ดสามารถเพิ่มพลังให้กับผู้ใช้ได้จำนวนหนึ่งสุริยา(ไม่ได้เสริมสร้างพลังขึ้นมาใหม่แต่เป็นส่วนหนึ่่งกับตัวผู้ใช้เลย) ทุกคนสามารถใช้มันได้สิบครั้งตลอดชีวิตของพวกเขา และใช้ได้หนึ่งครั้งต่อระยะเวลาหนึ่งปีเท่านั้น


 


เมื่อใช้ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งก็ยังสามารถใช้ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สองและสามได้ ฤทธิ์ของพวกมันจะไม่ต่อต้านกัน กล่าวคือในขณะที่กินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งเข้าไปยังสามารถกินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สองและสามไปพร้อมกันได้เลย


 


“อ๊ะ ยังมียาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สองและสามอยู่อีกด้วย…” ชิ่งสุ่ยรู้สึกตกใจ ในตอนแรกเขาคิดว่า ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่ง สามารถช่วยเขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ว่าหากกินทั้งหมดไปพร้อมกันก็คงช่วยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ชิงสุ่ยเองไม่รู้ว่ายังมียาอีกสองชนิดอยู่ในห้องนี้อีกหรือไม่


 


เงื่อนไขการใช้งาน : ผู้ใช้ต้องมีระดับพลังผู้พิทักษ์เทวธรรมขั้นหนึ่งหรือมากกว่าเท่านั้น


 


ชิงสุ่ยกำลังคิดว่าเหตุใดพวกชาวยุทธิ์ในตระกูลแพทย์จึงมีพลังมาก ตระกูลของพวกเขาคงมีมรดกตกทอดมาอย่างดี ถึงแม้พวกเขาไม่อยากจะเก่งยังไงแต่เมื่อกินยาเม็ดเทพโอสถที่มีประสิทธิภาพเข้าไปสักหน่อยพลังก็เพิ่มอย่างมาหาศาลแล้ว ตัวอย่างเช่น ถ้าเริ่มที่ระดับผู้พิทักษ์เทวธรรมขั้นแรกกินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งเข้าไปเพียงเม็ดเดียว ระดับของเขาก็จะถูกเพิ่มขึ้นไปถึงผู้พิทักษ์เทวธรรมขั้นสามแล้ว


 


และแน่นอนว่าพวกผู้คนที่ครอบครองยาเม็ดเทพโอสถพวกนี้ต้องเป็นกลุ่มกองกำลังที่แข็งแกร่งแน่นอน นอกเหนือจากนี้ถ้ามองในแง่ดีคงมีเพียงพวกอัจฉริยะในตระกูลเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์กินมัน


 


พวกตระกูลอื่นๆอาจจะไม่ได้มีเพียงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่ง แต่พวกเขาอาจจะมียาเม็ดเทพโอสถชนิดอื่นๆที่ประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่า หรือพวกเขาอาจจะครอบครองยาที่มีประสิทธิภาพเทียบเคียงกับยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สองและสามก็เป็นได้


 


ถ้าหากพูดถึงเรื่องยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันจะช่วยเขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหตุผลก็เพราะมันไม่ได้เพิ่มพลังใหม่ต่อตัวเขา แต่ในความเป็นจริงถ้ามันส่งผลเสริมสร้างพลังขึ้นมาใหม่ ชิงสุ่ยคงไม่กล้าที่จะกินมัน เพราะว่ามันอาจจะทำให้ร่างกายระเบิดออกได้


 


ในหีบสมบัติมียานี้กว่าหกสิบเม็ด แค่ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งเม็ดเดียวก็มีมูลค่ามากมายมหาศาล มูลค่ารวมทั้งหมดของหกสิบเม็ดคงเป็นสิ่งที่ประเมิณค่าไม่ได้


 


ชิงสุ่ยวางยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งที่หยิบออกมากลับลงไปในหีบสมบัติและโยนทั้งหมดเข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ


 


หลังจากที่ชิงสุ่ยหยุดมองอยู่ชั่วครู่ เขาโยนหีบสมบัติทั้งหมดเข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะและกลับออกมา เขารีบกระโจนออกมาอย่างรวดเร็วไปตามทางที่เดินเข้ามา และเมื่อออกมายังภายนอกได้แล้ว เขาหลีกเลี่ยงที่จะไปยังทางที่ชายชราพวกนั้นปรากฏตัว


 


ชิงสุ่ยกลับมาถึงบ้านในเวลาตอนเย็นแล้ว เขาประหลาดใจอย่างมากนี่เหล่าหญิงสาวยังอยู่กันที่นี่ เป็นจังหวะที่พอเหมาะสำหรับมื้ออาหาร แต่ในครั้งนี้ชิงสุ่ยให้พวกนางเป็นฝ่ายเตรียมอาหารแทน


 


ชิงสุ่ยมอบเครื่องปรุงและส่วนผสมต่างๆให้กับพวกนางไป จากนั้นก็เข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ


 


สำหรับพวกหญิงสาว พวกนางทำได้แค่พยายามปรุงอาหารเท่านั้น แต่ละคนต่างยืนตะลึงกันอยู่ โชคดีที่เหยียนจินยวี้เคยเห็นชิงสุ่ยทำมาก่อน อาหารที่นางเตรียมเป็นเพียงอาหารธรรมดาทั่วไป ส่วนชิงซาเป็นคนที่เห็นชิงสุ่ยปรุงอาหารมามากที่สุด นางจึงพยายามอย่างสุดความสามารถในการทำ


 


ในขณะเดียวกัน ชิงสุ่ยก็กำลังทยอยเปิดหีบสมบัติด้านในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ซึ่งมีอยู่ราวๆสิบหีบด้วยกัน ชิงสุ่ยเปิดหนึ่งในสองที่เป็นหีบหยกและพบกับ ยาเม็ดเทพโอสถที่ดูเหมือนกับยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งไม่มีผิด มันมีขนาดและสีเดียวกันเลย มีเพียงกลิ่นอายที่ถูกปล่อยออกมาเท่านั้นที่แตกต่างกันและดูเหมือนว่าจะมีพลังมากกว่าเล็กน้อย


 


ชิงสุ่ยแทบจะหัวใจวายเมื่อตรวจสอบมันด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์.


 


ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สอง!


 


ความสามารถ : ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สอง! หนึ่งเม็ดสามารถเพิ่มพลังให้กับผู้ใช้ได้จำนวนสองสุริยา (ไม่ได้เสริมสร้างพลังขึ้นมาใหม่แต่เป็นส่วนหนึ่่งกับตัวผู้ใช้เลย) ทุกคนสามารถใช้มันได้สิบครั้งตลอดชีวิตของพวกเขา และใช้ได้หนึ่งครั้งต่อระยะเวลาหนึ่งปีเท่านั้น


 


สามารถกินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สอง  พร้อมกับยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สามและยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งได้


 


เงื่อนไขการใช้งาน : ผู้ใช้ต้องมีระดับพลังผู้พิทักษ์เทวธรรมขั้นหนึ่งหรือมากกว่าเท่านั้น


 


มันคือยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สองจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งนี้ยังเหมือนกับที่เค้าคิดไว้ไม่มีผิด ยาทั้งหมดมีอยู่ราวๆหกสิบเม็ด แต่ละแถวประกอบไปด้วยยาสิบเม็ดซึ่งมีทั้งหมดหกแถว


 


เขาเปิดหีบหยกที่เหลือต่อไป หีบอันนี้มีขนาดใหญ่กว่าอันก่อนหน้า ชิงสุ่ยมองเข้าไปก็พบว่ามีส่วนผสมของยาอยู่ข้างในนั้น นอกเหนือจากนี้มันยังดูล้ำค่ากว่าพวกของก่อนหน้าเสียอีก ถึงแม้ว่ามันจะมีเพียงอยู่ไม่กี่ชิ้นก็ตาม แต่มันต้องมีค่ามากๆแน่นอน


 


เมื่อชิงสุ่ยสังเกตุดีๆก็พบว่ามันมีอายุราวๆหนึ่งหมื่นปีด้วยกัน


 


หลังจากนั้นชิงสุ่ยมองไปยังหีบที่เหลือ


 


หินหยางสวรรค์!


 


ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ หินหยางสวรรค์ชิ้นนี้มีขนาดใหญ่เท่ากับศีรษะของชายหนุ่มสองคนรวมด้วยกันเลยทีเดียว จากสีของมันบ่งบอกได้ว่ามันมีคุณภาพดีมากๆ ชิงสุ่ยปิดหีบสมบัติลง ชายชราได้มอบสิ่งมีค่ามากมายมหาศาลให้แก่ชิงสุ่ยจริงๆ


 


เขายังคงเปิดหีบอื่นๆต่อไปแต่ก็พบกับพวกเมล็ดต่างๆเท่านั้น


 


มีเมล็ดพันธุ์มากมายข้างในนั้น ชิงสุ่ยตรวจสอบพวกมันด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ก็พบว่ามันคือเมล็ดพันธุ์ของหญ้าสวรรค์หยางและบุปผาเปลวเพลิงหยาง


 


ชิงสุ่ยหัวใจแทบจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม


 


หรือมันจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เอาไว้สกัดยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งและสอง?


 


……


 


ชิงสุ่ยปิดหีบทุกอันที่เขาเปิดออก ทุกสิ่งที่อย่างล้วนมีสิ่งที่เชื่อมอยู่กับ“หยาง”ทั้งสิ้น เช่น , หินหยางสวรรค์, ยาเม็ดสวรรค์หยาง, บุปผาเปลวเพลิงหยางรวมถึงหญ้าสวรรค์หยาง


 


ยังคงมีหีบเล็กๆเหลืออีกสองหีบ มันมีขนาดเพียงหนึ่งฟุตเท่านั้น อย่างไรก็ตามมันดูมีมูลค่าสูงสุดเมื่อเทียบกับที่เขาได้มาทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาค่อยๆเปิดมันออกอย่างช้าๆ สิ่งที่ปรากฏออกมาต่อหน้าเขาเป็นหนังสือโบราณ บนปกของมันเขียนข้อความสั้นๆเอาไว้ว่า “ตำรายาสวรรค์เก้าหยาง”.


 


ชิงสุ่ยเปิดอ่านมันตั้งแต่หน้าแรก ทั้งหมดเป็นตำราแพทย์ที่ถูกเขียนไว้อย่างดี อย่างไรก็ตามสูตรยาทั้งหมดที่ถูกเขียนไว้ล้วนมีหญ้าสวรรค์หยางเป็นสิ่งประกอบ เมื่อเปิดอ่านจนถึงหน้าสุดท้ายก็พบว่าทั้งหมดล้วนเป็นสูตรยาของ ยาเม็ดสวรรค์หยาระดับที่หนึ่งไปจนถึงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่เก้า


 


ด้วยเมล็ดพวกนั้นและสูตรยาเล่มนี้ ชิงสุ่ยรู้สึกว่าสมบัติพวกนี้ถูกทิ้งไว้โดยนักเล่นแร่แปรธาตุที่ทรงพลังมาก อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดทั้งหลายหรือสถานการณ์ต่างๆ เขาสามารถปรุงได้ถึงเพียงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่สองเท่านั้น


 


หลังจากใช้เวลาอยู่นาน ชิงสุ่ยจดสูตรยาพวกนั้นไว้บนมือ เป็นเพราะเขารู้สึกว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปีถึงจะสามารถปรุงยาได้สำเร็จ เขาหมายถึงว่าอายุของสมุนไพรพวกนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่เขาจะสามารถมีได้ทันที พวก ยาเม็ดเทพโอสถที่เขาปรุงได้ล้วนมีโอสถแห่งจิตวิญญาณเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น ซึ่งอายุขั้นต่ำของมันอยู่ที่ราวๆสามพันปี พวกยาสมุนไพรที่มีอายุสามพันปีสามารถสร้างได้เพียงโอสถแห่งจิตวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น และสำหรับยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่หนึ่งจะต้องใช้สมุนไพรที่อายุมากกว่านั้น แม้แต่ข้างในดินแดนหยกยุพราชอมตะยังต้องใช้เวลาปรุงกว่าสิบปีของโลกภายนอก


 


ดังนั้นชิงสุ่ยรู้สึกกลุ้มใจเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นชิงสุ่ยก็ยังคงดีใจ อย่างไรก็ตามอายุไขของเขายืดยาวมาก ถ้าเขาหมดหนทางจริงๆ เขาก็ยังรอถึงสิบปีได้เพื่อปรุงมันให้สำเร็จ


 


ชิงสุ่ยเปิดหีบสุดท้ายด้วยความรู้สึกสับสนเพราะมันเป็นเพียงหนังสือที่ปกเขียนว่า “อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ”


 


ชิงสุ่ยรู้สึกสับสน เขาหยิบหนังสือออกมาและเริ่มพลิกดูมัน เมื่อเขาเริ่มอ่านมันสีหน้าประหลาดใจของเขาก็เริ่มปรากฏให้เห็น ดูเหมือนว่อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณจะระบุว่าต้องใช้สมุนไพรเยียวยาเท่านั้น มีสัตว์อสูรที่จะเปลี่ยนสมุนไพรเยียวยาเป็นโอสถแห่งจิตวิญญาณอยู่ด้วย


 


อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณจะเปลี่ยนแปลงดินในสวนสมุนไพรให้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ บางส่วนก็จะผสมเกสรขณะที่บางส่วนจะแทรกซึมผ่านสมุนไพรเยียวยาได้ ส่วนสำคัญก็คือพวกสัตว์อสูรที่คอยเปลี่ยนแปลงดินให้เป็นจิตวิญญาณและนั่นจะส่งผลให้สมุนไพรเยียวยาเปลี่ยนเป็นหญ้าแห่งจิตวิญญาณได้ สำหรับพวกที่ถูกผสมเกสรส่วนใหญ่จะให้ผลไม้แห่งจิตวิญญาณออกมา


 


ชิงสุ่ยยังคงอ่านต่อไปเรื่อยๆและพบกับเรื่องน่าสะพึงกลัวเกี่ยวกับอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณระดับหนึ่งสามารถลดเวลาเพาะปลูกได้หนึ่งในสิบส่วน ระดับสองและระดับสามจะช่วยลดเวลาได้ สองและสามในสิบส่วนตามลำดับ


 


ลักษณะการทำงานของมันไม่ใช่การร่นระยะเวลา แต่เป็นการเพิ่มพลังจิตวิญญาณเข้าไปในสมุนไพรเยียวยา ซึ่งนั่นเป็นตัวช่วยให้เวลาในการเพาะปลูกลดลง เหตุเพราะการที่สมุนไพรเยียวยาจะเปลี่ยนเป็นโอสถแห่งจิตวิญญาณได้ต้องได้รับจิตวิญญาณที่มากพอ


 


ยังมีดอกไม้แห่งชีวิตและดอกบัวขนาดใหญ่อยู่ในบ่อน้ำของดินแดนหยกยุพราชอมตะ แต่เรืองที่สำคัญคือจะทำอย่างไรหากต้องการเลี้ยงดูอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ


 


ตำราอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณกล่าวถึงวิธีการเลี้ยงดูอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ ส่วนใหญ่พวกมันไม่มีพลังในด้านการต่อสู้ นอกเหนือจากนั้นร่างกายของพวกมันยังมีขนาดเล็ก เพราะหน้าที่ของพวกมันคือการผสมเกสรให้กับสมุนไพรเยียวยา


 


ชิงสุ่ยมีจุดมุ่งหมายให้พวกมันช่วยผสมเกสร ตอนนี้เขามีผึ้งหยกจักรพรรดิรวมถึงผีเสื้อทองเงินอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องการหลักๆในตอนนี้คือการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของผืนดินเสียมากกว่า


 


ผืนดินในดินแดนหยกยุพราชอมตะมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมาก ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งวันในการตัดสินใจ เขาก็พบหมูป่านักล่าสมบัตินอนหลับอยู่ในมุมๆหนึ่ง


 


ร่างกายของมันยังคงมีสีทองสดใสและกลมเหมือนเช่นเคย มันเป็นสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความน่ารักจริงๆ คงจะเป็นการดีที่สุดที่จะเปลี่ยนหมูป่านักล่าสมบัติตัวนี้ให้เป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ ไม่เพียงในเรื่องของการล่าสมบัติเท่านั้นขนาดของมันยังเหมาะสมอย่างยิ่ง แม้ว่ามันจะไม่มีพลังต่อสู้ใดๆ แต่ก็มีความทนทานเป็นอย่างมาก เพราะมันต้องใช้ความสามารถในการขุดดิน ข้ามแม่น้ำ ฝ่าเปลวเพลิง ทะลุทะลวงสิ่งที่แกร่งกว่าตัวเอง นั่นก็เพราะมันจะต้องหาสมบัติให้ได้


 


หากหมูป่านักล่าสมบัติกลายมาเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณก็จะเป็นผลดีต่อตัวมันเองเช่นกัน เมื่อถึงมื้ออาหารของมันแล้วชิงสุ่ยต้องให้ยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณกับมัน และต้องใส่เมล็ดพันธุ์แห่งอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณเข้าไปในร่างกายของมันด้วย ถ้ามันรวมเข้ากันได้กับสัตว์อสูร มันจะกลายมาเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณระดับหนึ่งทันที แต่ถ้าไม่สามารถเข้ากันได้ก็จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น


 


มีสูตรยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณเขียนไว้ในตำราอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ นอกเหนือจากนี้ยังมีเมล็ดพันธุ์และสมุนไพรเยียวยาอยู่อีกด้วย อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขามีกล่องเก็บสมุนไพรเยียวยาอยู่ เขาจึงรีบเปิดมันออก


 


“อย่างที่ข้าได้คิดเอาไว้เลย มีสมุนไพรเยียวยาและสูตรยาสำหรับปรุงยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณอยู่ในนี้” ชิงสุ่ยไม่สามารถอธิบายความรู้สึกประหลาดใจที่เกิดขึ้นกับเขาในขณะนี้ออกมาได้ ถ้าเขาต้องการที่จะเลี้ยงดู อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณและเลี้ยงดูมันในดินแดนหยกยุพราชอมตะนี้ ด้วยความสามารถในการปรุงยาของเขา มันไม่ใช่ปัญหาเลยที่เขาจะปรุงยาเม็ดเทพโอสถในตำรายาสวรรค์เก้าหยางนี้ออกมาได้


บทที่ 1246 – ขั้นที่ 2 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ หมูป่านักล่าสมบัติ ราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิ โชคดี


 


สมุนไพรทั้งหมดได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว โดยปกติแล้วชิงสุ่ยวางแผนที่จะปรุงยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณ แต่ก่อนหน้านั้นเขาได้โปรยเมล็ดพันธุ์ของสมุนไพรไปทั่วดินแดนหยกยุพราชอมตะ เขาเริ่มปรุงยาหลังจากโปรยเมล็ดพันธุ์เสร็จสิ้น


 


เขานำวัตถุดิบทั้งหมดในการปรุงยาออกมา สมุนไพรทั้งหมดนี้มีอายุประมาณ 10000 ปีหรือใกล้เคียง มันแสดงให้เห็นว่ายาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณนั้นล้ำค่ามากเพียงใด เพียงแค่ดูจากส่วนประกอบของยาชนิดนี้ก็รู้ได้เลยว่ามันไม่ใช่ยาระดับต่ำอย่างแน่นอน


 


ชิงสุ่ยยังได้เตรียมหญ้าอสรพิษทองคำเอาไว้ ครั้งนี้มันไม่อาจล้มเหลวได้ เขาต้องการบำรุงอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณของตนเองให้เร็วที่สุด เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าสมุนไพรที่นำมาปรุงยาที่ทรงพลังเช่นนี้นั้นมีจำนวนมากพอ จากนั้นเขารวมไปถึงตระกูลของเขาและสหายของเขาก็จะทรงพลังยิ่งขึ้น


 


ชิงสุ่ยโจรเกือบทั้งหมดของสมุนไพรเหล่านั้นลงไปในหม้อกลั่นยาและใช้เวลาปรุงพวกมันถึง 10 วัน ในที่สุดเขาก็สร้างมาได้สำเร็จ เขาเปิดหม้อกลั่นยาเหล็กทองคำประกายเพลิงออกด้วยความตื่นเต้นและเห็นว่ามีเม็ดยาที่มีขนาดเท่ากับไข่ไก่ 2 เม็ดอยู่ภายในนั้น มันส่องแสงเปล่งประกายเรืองรองและอัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณตามธรรมชาติ


 


มีเพียง 2 เม็ดงั้นหรือ?


 


ด้วยสมุนไพรมากมายที่ใช้ไปก่อนหน้านี้เขาปรุงยานี้ขึ้นมาได้เพียง 2 เม็ดเท่านั้น นี่ทำให้ชิงสุ่ยต้องประหลาดใจจริงๆ ในตอนแรกเขาวางแผนว่าจะเลือกสัตว์อสูรหลายๆตัวที่เหมาะสมให้เปลี่ยนเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ แต่ในตอนนี้เขาเลือกได้เพียง 2 ตัวเท่านั้น เขาใช้โอกาสแรกในการเลือกสัตว์อสูรที่สามารถสำรวจไปทั่วพื้นดินได้ และตัวที่ 2 เขาเรียกสัตว์อสูรที่สามารถผสมเกสรดอกไม้ได้


 


ชิงสุ่ยปิดหม้อกลั่นยาเหล็กทองคำประกายเพลิงกลับไปและพักผ่อนทันที ต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่ามันจะเย็นตัวลง ตอนนี้เขาเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะคิดเรื่องสัตว์อสูรที่เขาจะมอบยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณให้ไปหลังจากที่เขาได้ฟื้นฟูพลังกลับมาเป็นปกติแล้ว


 


หลังจากผ่านไป 8 ชั่วโมง ชิงสุ่ยก็ได้ตื่นขึ้น หลังจากได้ทานอาหารไปเขาก็สงสัยว่าสัตว์อสูรของเขาจะสามารถเปลี่ยนเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณได้อย่างไร


 


“อ้า ข้าไม่ทราบถึงผลของมันเลย”


 


เมื่อชิงสุ่ยคิดเรื่องนี้ เขาก็รีบตรงไปยังหม้อกลั่นยาเหล็กทองคำประกายเพลิงทันทีพร้อมกับเปิดมันออกแล้วมองดูยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณ


 


ยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณ!


 


มันปรุงขึ้นจากสมุนไพรที่ล้ำค่ามากมาย มันอัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณตามธรรมชาติที่ทรงพลัง


 


ผลที่ได้รับ: มันสามารถช่วยเปลี่ยนเป้าหมายให้กลายเป็นสัตว์อสูรแห่งจิตวิญญาณหรืออสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณได้ มันยังสามารถช่วยเพิ่มระดับของสัตว์อสูรและความสามารถภายในช่วงระดับที่เหมาะสม ไม่มีผลตามหลังใดๆ สามารถใช้ได้กับสัตว์อสูรทุกๆสายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะเกิดความล้มเหลว เมื่อมันล้มเหลวมันจะสามารถช่วยเพิ่มพลังของสัตว์อสูรและพรสวรรค์ตามธรรมชาติของพวกมันได้


 


เขาปิดหม้อกลั่นยาเหล็กทองคำประกายเพลิงและถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณนั้นถือว่าล้ำค่าอย่างยิ่ง เพียงแต่มันมีประโยชน์สำหรับสัตว์อสูรเท่านั้น แม้ว่าหากมันจะไม่เหมาะสมสำหรับสัตว์อสูรบางตัวหรือสัตว์อสูรตัวนั้นไม่เหมาะสมที่จะเปลี่ยนเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ มันก็ยังไม่มีผลเสียใดๆ อย่างน้อยมันก็ยังสามารถช่วยเพิ่มพรสวรรค์ที่ซ่อนเร้นหรือความสามารถตามธรรมชาติรวมถึงระดับของสัตว์อสูรได้เช่นกัน


 


ดังนั้นจึงมีการกล่าวว่าที่สัตว์อสูรรับแต่เพียงผลประโยชน์และไม่มีอันตรายใดๆ


 


หมูป่านักล่าสมบัติ!


 


ชิงสุ่ยเรียกหมูป่านักล่าสมบัติออกมา และนำยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณออกมาจากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้ามัน


 


หมูน้อยสีทองมีสายตาที่หิวกระหาย เจ้าตัวเล็กนี้ฉลาดอย่างยิ่ง โดยไม่ต้องพูดอะไรออกมาชิงสุ่ยก็ป้อนยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณให้แก่มันทันที ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่มีผลเสียเกิดขึ้น


 


หมูป่านักล่าสมบัติเปล่งแสงสีทองออกมาอย่างรวดเร็ว ร่างกายของมันยังคงมีขนาดเท่าเดิมและวงกลม แต่ชิงสุ่ยรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนไปของมัน ดูเหมือนมันจะมีจิตแห่งปราณชนิดใหม่ภายในร่างกายมันในตอนนี้


 


มันสำเร็จ! ชิงสุ่ยมองไปยังหมูป่านักล่าสมบัติอย่างมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์


 


สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยมีความสุขมากที่สุดนั่นก็คือหมูป่านักล่าสมบัติได้ยกระดับเข้าสู่ขั้นที่ 2 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณในทันที ของจำได้จากหนังสือ “อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ” ที่เขียนไว้ว่าแม้สัตว์อสูรจะมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ดี เมื่อได้รับยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณ มันย่อมยกระดับเพียงขั้นที่ 1 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ นี่ถือว่าทรงพลังอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่จะต้องใช้เวลานานมากในการเปลี่ยนเป็นขั้นที่ 1 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณเมื่อได้กินยานี้เข้าไป


 


แน่นอนว่ายังมีตัวอย่างของสัตว์อสูรที่สามารถยกระดับขึ้นสู่ขั้นที่ 2 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณได้ในทันทีเช่นกันแต่สัตว์อสูรพวกนั้นเป็นสัตว์อสูรที่สืบทอดสายเลือดแห่งความบรรพกาล ชิงสุ่ยไม่เคยคิดว่าหมูป่านักล่าสมบัติจะเป็นแบบนั้นไม่เช่นกัน เมื่อเห็นว่ามันสามารถยกระดับขึ้นสู่ขั้นที่ 2 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณได้ในทันที


 


เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์!


 


หมูป่านักล่าสมบัติ ขั้นที่ 2 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ!


 


“หืม ขั้นที่ 2 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ?” ชิงสุ่ยอยากรู้จริงๆว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแบบใดบ้าง


 


ทั่วร่างกายของหมูป่านักล่าสมบัตินั้นแข็งราวกับเพชร มันยังมีปราณทองคุ้มกายที่น่ากลัวแล้วลมปราณก็อัดแน่นอยู่ภายในร่างกายของมัน มันสามารถปลดปล่อยออกไปได้อย่างอัตโนมัติเมื่อมันถูกโจมตี


 


ทุกๆครั้งที่ชิงสุ่ยตกตะลึงนั้นเป็นเพราะเขาไม่ได้คาดคิดมาตั้งแต่แรก มีคนจำนวนน้อยยิ่งนักที่สามารถทำอันตรายต่อหมูป่านักล่าสมบัติได้ เห็นคนนั้นก็คือมันสามารถเจาะทำลายผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่กักขังมันเอาไว้ได้ แม้ว่ามันจะถูกกลืนกินโดยสัตว์อสูรตัวอย่างไม่เป็นอะไร หมูตัวนี้สามารถเจาะทะลุร่างกายของสัตว์อสูรออกมาได้ การโจมตีด้วยพลังวิญญาณหรือพิษยังไม่อาจทำอันตรายมันได้


 


นี่มันต้องเป็นเหมือนกับแม่นที่แข็งที่สุดในโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถกลืนมันลงไปได้


 


ความสามารถ: ล่าสมบัติ สามารถปลูกสมุนไพรแห่งจิตวิญญาณได้และสามารถยกระดับได้


 


ปราณทองคุ้มกายของหมูป่านักล่าสมบัติ: เคล็ดวิชาติดตัว เพิ่มความเร็วของมันขึ้น 8 เท่า สามารถพัฒนาได้ ไม่ใช้พลังงานใดๆ


 


มันรวดเร็วขึ้นในตอนนี้ ชิงสุ่ยตกตะลึงอีกครั้ง


 


ไม่ใช่ว่าอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณนั้นไม่อาจเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังได้ เพียงแต่ส่วนใหญ่ของอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณนั้นไร้ประโยชน์ในการต่อสู้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถแปรเปลี่ยนชีวิตของตนเองและมีพลังที่น่ากลัวได้


 


ชิงสุ่ยสั่งให้หมูป่านักล่าสมบัติไปสร้างสวนสมุนไพรใกล้ๆเพื่อให้มันแสดงพลังของอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณออกมา หลังจากนั้นเขาก็ได้เห็นหมูป่านักล่าสมบัติเริ่มเจาะพื้นดินลงไป สิ่งเดียวที่เห็นคือพื้นผิวของโลกสั่นเล็กน้อย มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวไปตามพื้นผิวโลกเมื่อมีการสั่นสะเทือน


 


หมูป่านักล่าสมบัติได้เดินไปทั่วพื้นที่ส่วนใหญ่ของดินแดนหยกยุพราชอมตะอย่างรวดเร็วและกลับมา


 


“แค่นั้น?” ชิงสุ่ยรู้สึกสงสัยจริงๆ


 


หลังจากนั้นเขาก็ก้มตัวลงไปและหยิบดินขึ้นมาหนึ่งกำมือ เขาพยายามที่จะรับรู้ถึงจิตแห่งปราณภายในนั้น


 


“โอ้ ข้าเห็นแล้ว”


 


ชิงสุ่ยรู้แล้วว่าทำไมอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณนั้นไม่อาจทรงพลังไปมากกว่านี้ได้ เหตุผลสำหรับเรื่องนี้นั้นก็เพราะว่าจิตแห่งปราณภายในร่างกายของพวกมันกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นดิน ยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณทำให้ร่างกายของพวกมันมีจิตแห่งปราณมากยิ่งขึ้นและจากนั้นก็ทำให้พวกมันปลดปล่อยจิตแห่งปราณออกไป มีเพียงอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณเท่านั้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้


 


เมื่อปลดปล่อยจิตแห่งปราณภายในร่างกายของมันออกไป อัตราที่อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณจะเพิ่มพลังของมันได้นั้นก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นเว้นแต่จะเป็นสัตว์อสูรที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมจริงๆ มันย่อมไม่อาจเป็นสัตว์อสูรที่ส่งพลังด้านการต่อสู้ได้


 


แต่ก็ยังคงมีอีกหนึ่งประเด็น อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณนั้นจะคอยคุ้มกันโอสถแห่งจิตวิญญาณ หากอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณใส่ลงไปในสวนสมุนไพรในขณะที่โอสถแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ในช่วงอายุที่เหมาะสม มันจะสามารถดูดซึมพลังของสมุนไพรอันทรงพลังที่ปลูกอยู่ได้ หากสายพันธ์ของสัตว์อสูรนั้นทรงพลัง อัตราที่มันจะพัฒนาขึ้นรวดเร็วเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับพลังของสัตว์อสูร


 


“หรือว่าหมูป่านักล่าสมบัติยังสามารถวิวัฒนาการไปสู่สัตว์อสูรสายต่อสู้ที่ทรงพลัง?” ชิงสุ่ยเองก็ยากที่จะเชื่อเรื่องนี้ ในมือของเขาตอนนี้เขากำลังอุ้มสัตว์อสูรตัวเล็กที่ดูน่ารัก เพียงแต่ทักษะการเอาชีวิตรอดของมันนั้นสูงยิ่งนักรวมถึงทักษะด้านการล่าสมบัติเช่นกัน


 


แต่เจ้าสัตว์อสูรตัวน้อยนี้คล้ายคลึงกับหนูทะลายปฐพีเล็กน้อย มันสามารถเจาะทะลวงพื้นดินได้ เพียงแต่หนูทะลายปฐพีนั้นทำได้รวดเร็วยิ่งนัก แต่หมูป่านักล่าสมบัตินั้นสามารถทำได้ทั้งในน้ำหรือในเปลวเพลิง ทั่วร่างกายของวันนั้นยากที่จะได้รับความเสียหายใดๆ แม้แต่เหล่ายอดฝีมือก็สร้างที่จะสร้างความเสียหายให้แก่มันได้ แต่หมูป่านักล่าสมบัตินั้นถูกกำจัดด้วยพลังที่บริสุทธิ์ได้โดยง่าย มิฉะนั้นหมูป่านักล่าสมบัติย่อมสามารถเจาะทะลุผ่านร่างกายของเหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งได้


 


แน่นอนว่าก่อนที่มันจะวิวัฒนาการ ความเร็วของหมูป่านักล่าสมบัตินั้นก็ถือว่ามากยิ่งนัก ในตอนนี้หมูป่านักล่าสมบัติสามารถรับการโจมตีจากศัตรูได้เป็นร้อยๆครั้ง


 


แต่ในตอนนี้ความเร็วของหมูป่านักล่าสมบัติที่ได้ยกระดับมาสู่ขั้นที่ 2 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณนั้นรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้ถึง 8 เท่า นอกจากนี้ดูเหมือนทั่วร่างกายของมันก็ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นของสัตว์อสูรล่าสมบัตินั้นถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือเมื่อมันได้เปลี่ยนเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณความฉลาดของมันนั้นก็ได้เพิ่มขึ้นมาก นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด


 


หมูป่านักล่าสมบัตินั้นเกิดมาขี้ขลาดตาขาว นี่คือเหตุผลว่าทำไมมันจึงไม่อาจเปลี่ยนเป็นสัตว์อสูรสายต่อสู้ได้ เดิมทีมันไม่อาจรับการโจมตีที่ทรงพลังได้ มันสามารถทนต่อการโจมตีด้วยพลังวิญญาณและสร้างความเสียหายเล็กน้อยกับร่างกายของมัน ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่ได้ทำอะไรมากนักในตอนนี้ มังกรไอยราเกล็ดทองคำนั้นก็สามารถทำได้เพียงกระแทกและกระทืบมัน แต่มันก็ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนใดๆ ปราณทองคุ้มกายของน่างกายมันนั้นทรงพลังยิ่งนัก


 


ในอดีตชิงสุ่ยนั้นเคยคิดจะทำให้หมูป่านักล่าสมบัตินั้นเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังมาก่อน เพราะความทนทานต่อการโจมตีของมัน แต่เมื่อลองใช้งาน 2 3 ครั้งเขาก็คิดว่ามันไร้ประโยชน์ เพราะมันขี้ขลาดจนไม่อาจต่อสู้ได้และมักจะหนีไปตลอด นี่ทำให้เขาล้มเลิกความคิดนั้น


 


เมื่อชิงสุ่ยมองไปยังหมูป่านักล่าสมบัติเขาก็คิดถึงมู่ ชิง นางเป็นคนมอบหมูป่านักล่าสมบัติให้แก่เขา หากเป็นไปได้เขาอยากจะทำให้หมูป่านักล่าสมบัติของนางได้ยกระดับขึ้นเช่นกัน


 


เพื่อการสื่อสารกับหมูป่านักล่าสมบัติผ่านทางจิตใจของเขา ชิงสุ่ยเห็นว่านิสัยมันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน มันดูกล้าหาญมากยิ่งขึ้นในตอนนี้


 


ในตอนนี้หมูป่านักล่าสมบัตินั้นถือว่าเติบโตเกินกว่าที่ชิงสุ่ยได้คาดคิดเอาไว้ มันได้ยกระดับขึ้นเป็นขั้นที่ 2 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณในทันที ซึ่งถือว่ามากจนมันอาจจะน่ากลัวอย่างยิ่งในอนาคต สำหรับตอนนี้ชิงสุ่ยเลือกที่จะไม่คิดอะไรเกี่ยวกับมันก่อน สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับความในตอนนี้คือการปรุงยาครอบจักรวาล


 


ตอนนี้ที่เหลืออยู่คือสัตว์อสูรที่สามารถผสมเกสรได้เท่านั้น ชิงสุ่ยนั้นได้คิดแล้วคิดอีกจนมาจบลงที่ราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิ เพราะเมื่อมันได้เปลี่ยนเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ ราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิรุ่นถัดไปที่จะกำเนิดขึ้นมานั้นถือว่าทรงพลังยิ่งนัก นอกจากนี้คุณภาพของรังผึ้งของพวกมันนั้นก็จะมากยิ่งขึ้นเช่นกัน


 


ในตอนแรกชิงสุ่ยอยากจะใช้มันเปลี่ยนผีเสื้อทองเงิน แต่หลังจากเขาได้คิดดูอีกทีเขาก็รู้สึกว่าให้ราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิจะดีกว่า เขาจะปรุงยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณอีกครั้งเมื่อเขาหาส่วนผสมทั้งหมดของมันได้ในอนาคต จากนั้นเขาก็จะให้มันกินไป 1 เม็ดและที่เหลือก็ให้สัตว์อสูรตัวอื่นๆในการเพิ่มพลังของมัน


 


เพียงเพราะมันเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลัง มันไม่ได้หมายความว่ามันจะสามารถกลายเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณได้ ตัวอย่างเช่น สัตว์อสูรประเภทไส้เดือนหรือใกล้เคียง สัตว์อสูรประเภทแมลง ย่อมง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ แต่สำหรับสัตว์อสูรประเภทอื่นๆนั้นมีโอกาสสูงกว่าที่พวกมันจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นสัตว์อสูรแห่งจิตวิญญาณแทน


 


เช่นเดียวกับสัตว์อสูรตัวอื่นๆของชิงสุ่ย พวกมันนั้นถือว่าเป็นสัตว์อสูรแห่งจิตวิญญาณแล้วในตอนนี้ เมื่อมันได้รับยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณไปนั้นก็ทำให้พวกมันเพิ่มพลังขึ้นเท่านั้น


 


นี่จึงเป็นเหตุผลที่ชิงสุ่ยเลือกหมูป่านักล่าสมบัติและราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิ พวกมันมีโอกาสสูงกว่าในการที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ ก่อนหน้านี้เขากลัวว่าหมูป่านักล่าสมบัติจะเปลี่ยนแปลงเป็นสัตว์อสูรแห่งจิตวิญญาณแทนอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ


 


ดีย่อมดีนะ ไม่เพียงแต่มันจะเป็นสัตว์อสูรสมบัติมันยังเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน เจ้าตัวเล็กนี้ถือเป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่าได้ เหตุผลนั้นก็เพราะๆมันได้เป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณซึ่งมันจะเปลี่ยนน้ำมันเป็นสัตว์อสูรสายต่อสู้ที่ทรงพลัง


 


อันที่จริงแล้วก่อนที่จะใช้ยานี้ชิงสุ่ยได้สื่อสารกับสัตว์อสูรของเขาผ่านทางจิตใจ ยังมีเหตุผลอื่นๆที่ชิงสุ่ยเลือกราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิ มันเป็นเพราะผลผลิตของดินแดนหยกยุพราชอมตะ เมื่อมันได้เปลี่ยนแปลงเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณผลผลิตของดินแดนแห่งนี้ย่อมมากยิ่งขึ้น


 


อย่างน้อยมันก็ดีกว่าผีเสื้อทองเงิน


 


ร่างกายของราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิเริ่มเปล่งแสงออกมาหลังจากที่มันได้รับยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณเข้าไป สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยต้องประหลาดใจนั้นคือร่างกายของราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิเริ่มกดลงไป มันได้กลายเป็นสัตว์อสูรที่มีขนาดเพียง 10 เมตรเท่านั้นและขนาดของมันยังลดไปอีกเรื่อยๆด้วย


 


แต่ชิงสุ่ยไม่ได้กังวลอะไร เหตุผลนั้นก็เพราะๆแม้เขาจะเห็นว่าร่างกายของราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิได้หดลง  แต่กลิ่นอายรวมถึงจิตแห่งปราณของมันนั้นได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น


 


แม้มันจะมีขนาดเล็กแต่มันก็ยังถือว่าเป็นราชินี นี่เป็นเหมือนความเป็นผู้นำตามธรรมชาติของมัน


 


ร่างกายของราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิเริ่มหดตัวลงช้าๆและหยุดลงเมื่อมันมีขนาดประมาณ 2 เมตร มันมีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของผึ้งจักรพรรดิทั่วทั่วไป ร่างกายของมันเปลี่ยนเป็นสีทอง นอกจากนี้บนศีรษะของมันยังมีมงกุฎสีทองเล็กๆ


 


นี่เหมือนว่ามันจะประสบความสำเร็จ


 


ชิงสุ่ยมองไปยังราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิอย่างมีความสุข


 


ราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิ! ขั้นที่ 2 อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ!


 


ชิงสุ่ยตกตะลึงไปอีกครั้ง เขาโชคดีมากเพียงใดกันในวันนี้? ตามบันทึกโบราณนั้นกล่าวเอาไว้ว่าโอกาสที่มันจะเปลี่ยนแปลงนั้นมีเพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ 100 ปี… เขาสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ถึง 2 ครั้งในวันนี้


 


เดิมทีผึ้งจักรพรรดินั้นถือว่าอ่อนแอยิ่งนัก แต่ในตอนนี้มันได้พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


พลังพื้นฐานของมันในตอนนี้เกินกว่า 100 เมฆา!


 


พลังหยกจักรพรรดิ เพิ่มพลังพื้นฐานของราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิขึ้น 10 เท่า ไม่ใช้พลังงานใดๆ มันสามารถสั่งการแมลงทุกตัวที่อยู่ในระยะร้อยลี้รอบรอบตัวมันได้


 


เหล็กในแห่งราชินีผึ้ง เหล็กในที่มีพิษที่น่ากลัว


 


ผงบุปผาพิษ มันสามารถปลดปล่อยผงบุปผาพิษออกมาได้


บทที่ 1247- ท่านเชื่อในความรักหรือไม่?


 


ชิงสุ่ยมองไปยังความสามารถของราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิ ขอตระหนักว่ามันไม่ได้ทรงพลังมากขึ้นเท่าไหร่ แม้ว่าพลังของมันจะเพิ่มขึ้นมากมาย น่าเสียดายที่ความต้องการของเขาคือการผสมเกสรของมันไม่ใช่ทักษะด้านการต่อสู้ ของมันในตอนนี้เมื่อเวลาผ่านไปมันย่อมมีประโยชน์ในการต่อสู้สำหรับเขาน้อยลงไปทุกที


 


มันสามารถเรียกแมลงที่อยู่รอบตัวมันในระยะหนึ่งร้อยลี้ได้ นี่อาจทำให้มันช่วยเขาตามหาร่องรอยของสิ่งต่างๆได้ ดังนั้นชิงสุ่ยเขารู้สึกว่ามันอาจจะมีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิดไว้


 


เมื่อมองไปยังอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณทั้ง 2 ตัวของเขา ชิงสุ่ยรู้สึกโล่งใจมากยิ่งขึ้นในตอนนี้ ดินแดนหยกยุพราชอมตะย่อมทรงพลังมากยิ่งขึ้นเพราะอสูรโอสถตัวน้อยทั้งสองตัวนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่จะมีการเปลี่ยนแปลงไป นี่เป็นเหมือนวัฏจักรของการเปลี่ยนแปลง


 


เมื่อเขาได้รับยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณอีกครั้ง เขาจะมอบให้เต่าทองคำ 5000 ปีกินมันเข้าไป อันที่จริงแล้วมันยังมีอีกหลายทางที่จะกลายเป็นอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ แต่ดูเหมือนว่าหากไม่ได้ใช้ยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณ มันก็จะติดอยู่ในระดับเดิมและไม่อาจยกระดับขึ้นได้ นอกจากนี้มันยังมีประโยชน์เฉพาะสำหรับสัตว์น้ำเท่านั้น


 


เมล็ดพันธ์ที่เขาได้หว่านเอาไว้ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆในเวลาไม่กี่วันภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ นอกจากนี้เพราะจิตแห่งปราณภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ เมล็ดพันธ์จึงเติบโตขึ้นภายในไม่กี่วัน ในตอนนี้พวกมันสูงประมาณ 1 ศอกและเป็นสมุนไพรล้ำค่าหลากหลายสี เมื่อชิงสุ่ยได้มองไป เขาก็รู้สึกโล่งใจ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสมบัติของเขา


 


เมื่อชิงสุ่ยได้ออกมา เวลาของโลกภายนอกก็ผ่านไปได้ไม่นานนัก มันยังไม่ได้ช้าเกินไปที่เขาจะทานอาหารค่ำในตอนนี้ เด็กสาวได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกนางทำพึ่งจะเสร็จสิ้น


 


“เจ้าออกมาแล้ว พวกเรากำลังจะไปตามพอดีเลย” องค์หญิงเจ็ดยิ้มและเดินเข้ามาเมื่อนางได้เห็นชิงสุ่ย


 


อาหารบนโต๊ะนั้นส่งกลิ่นหอมออกมา เมื่อตอนที่ชิงสุ่ยออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะเขายังไม่ได้ทานอะไรเลย ด้วยกลิ่นของมันทำให้เขารู้สึกหิวอย่างยิ่ง เขานั่งลงและมองไปยังจานอาหารที่น่าอร่อย “ท่านทำได้ดียิ่งนัก”


 


ชิงสุ่ยกินอาหารบนโต๊ะไปกว่าครึ่ง ตราบใดที่อาหารบนโต๊ะปรุงสุกและไม่เค็มจนทำให้คนรู้สึกอยากจะร้องไห้หรือจะจนเป็นน้ำเปล่า มันย่อมมีรสชาติดียิ่งกว่าพ่อครัวใหญ่มาปรุงเอง เหล่าหญิงสาวยังภูมิใจที่ได้ทานอาหารที่ตนเองนั้นได้ทำเอง แต่การพวกนางก็รู้ว่ามันขึ้นอยู่กับส่วนประกอบและเครื่องปรุงด้วยเช่นกัน


 


ทั้งหมดดื่มชากันหลังจากทานอาหารเสร็จสิ้น ดังนั้นพวกเขานั่งที่ลานหน้าบ้านเพื่อดื่มชา ชิงสุ่ยนึกถึงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 และระดับที่ 2 แม้ว่ามันจะช่วยเพิ่มพลังให้แก่เขาได้ไม่มากนัก แต่สำหรับชิงซา เหยียน จินยวี้ รวมไปถึงองค์หญิงเจ็ด มันเป็นเหมือนยาที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิต


 


แน่นอนว่าทั้งชิงสุ่ยและองค์หญิงใหญ่พวกเขาแม่ใช้มันได้อีกแล้ว ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 สิบเม็ดรวมไปถึงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 2 สิบเม็ด นั่นคือพลังที่เท่ากับ 30 สุริยาหรือ 300000 เมฆา น่าเสียดายที่ เขาไม่มียาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 3 มิฉะนั้นมันย่อมดีกว่า เพียงแต่เขาสงสัยว่ายาเม็ดสวรรค์หยางพี่ที่มีระดับสูงกว่านี้จะให้ผลแบบเดียวกับระดับต่ำหรือไม่


 


ครั้งนี้พวกนางไม่ได้ถามอะไรมากนักเมื่อชิงสุ่ยมอบยานี้ให้แก่พวกนาง องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยด้วยความงุนงง อย่างไรก็ตามนางยังคงไม่พูดอะไร


 


ชิงซารวมไปถึงองค์หญิงเจ็ดและเหยียน จินยวี้กินยานี้ลงไปทันที ทันทีที่พวกนางกินเข้าไปพลังของผู้นั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวทั้ง 3 ต้องการฝึกฝนพลังที่ได้รับมาใหม่ให้ชำนาญจึงออกไปฝึกฝนทันที เหลือไว้เพียงชิงสุ่ยและองค์หญิงใหญ่ที่กำลังดื่มชาด้วยกัน


 


“สำนักสวรรค์เร้นลับมอบสิ่งดีๆให้ท่านงั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยและยิ้ม


 


ชิงสุ่ยนำกุญแจออกมา “อื้ม พวกเขามอบห้องสมบัติลับให้กับข้า”


 


องค์หญิงใหญ่มีสีหน้าที่บัลลาดใจทันที นางกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง “สำนักสวรรค์เร้นลับมอบห้องสมบัติลับให้แก่เจ้า ปกติแล้วมีเพียงคนที่มีตำแหน่งแบบเดียวกับอาจารย์ของข้าเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้”


 


“อันที่จริงแล้วข้างในนั้นไม่ได้มีอะไรมากนักหรอก มีเพียงยาอย่างยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 และยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 2 โอ้ และก็ยังมีหินสุริยาไม่มากนักภายในนั้น” ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากคิดครู่หนึ่ง


 


“ความจริงแล้วมนุษย์ที่ไม่มีความพอใจก็เหมือนกับอสรพิษที่พยายามกินช้างเข้าไป ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 และระดับที่ 2 นั้นก็ถือว่าล้ำค่ายิ่งนัก นี่ยังเป็นเหตุผลที่ทำไมสำนักสวรรค์เร้นลับจึงมีสาวกที่ทรงพลังมากมาย ตราบใดที่พวกเขาได้มาถึงขั้นที่ 1 ผู้พิทักษ์เทวะธรรม  พวกเขาย่อมคิดร้อยพันวิธีที่จะได้รับยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1  นั่นสามารถทำให้พวกเขายกระดับขึ้นสู่ขั้นที่ 3 ผู้พิทักษ์เทวะธรรมได้ในทันที เจ้าทำราวกับว่ายาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 เป็นสิ่งที่สามารถหาได้ง่าย” องค์หญิงใหญ่ส่ายศีรษะและมองไปยังชิงสุ่ยพร้อมรอยยิ้ม


 


นั่นก็จริง ชิงสุ่ยเคยคิดเช่นนี้มาก่อน บางทีมันดูเหมือนว่าเขาอาจจะได้รับยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 และระดับที่ 2 มาอย่างง่ายดายเกินไปจึงทำให้เขาคิดเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นๆย่อมยากยิ่งนักที่พวกเขาจะทำเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะคนสำหรับที่ต้องการมัน อย่างเช่นเหยียน จินยวี้มันยากยิ่งนักสำหรับนางที่จะได้รับยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 สักเม็ดหนึ่ง


 


“เมื่อข้าปรุงยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 3 หรือระดับที่ 4 ได้ ข้าก็จะมอบมันให้แก่ท่านเช่นกัน” ชิงสุ่ยกล่าวขึ้น


 


“มันย่อมดีหากเจ้าจะมีความตั้งใจเช่นนี้ แต่เจ้ารู้หรือไม่ขณะที่เจ้าพยายามก้าวหน้าไปเรื่อยๆ การปรุงยาเม็ดสวรรค์หยางนั้นก็จะยิ่งยากขึ้นไปเรื่อยๆ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 3 ขึ้นไปยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 4 จะเป็นเหมือนจุดสิ้นสุด มันเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่จะปรุงขึ้นมาได้” องค์หญิงใหญ่ยิ้มและมองไปยังชิงสุ่ย


 


“เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อมั่นในตัวข้า? ถ้าไม่เคยโกหก” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับหัวเราะ


 


“หากนี่ออกมาจากปากของคนอื่นๆ ข้าคงไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน แต่มันออกมาจากปากเจ้าแม้แต่ความคิดของข้าก็เริ่มสั่นคลอน” องค์หญิงใหญ่กล่าวอย่างจริงจัง


 


“โอ้ ดูเหมือนนี่จะเป็นพรสวรรค์ของข้าใช่หรือไม่ พี่สาวซู หากข้าจะบอกว่าในภายภาคหน้าท่านจะร้องไห้และกรีดร้องจากการเป็นภรรยาของข้า ท่านจะเชื่อหรือไม่?”


 


“เชื่อก็โง่แล้ว” องค์หญิงใหญ่ลังเลเพียงครู่เดียวและยื่นมือออกไปเขกศีรษะของชิงสุ่ยแต่นางยังคงยิ้มขณะที่ทำเช่นนั้น


 


แน่นอนว่าชิงสุ่ยก็เจตนาที่จะให้นางทำร้ายเขา มิฉะนั้นเขาก็คงจะหลบมันไปอย่างง่ายดาย


 


“ก็แค่ล้อเล่น พี่สาวซู ท่านไม่รู้งั้นหรือว่าตอนนี้ท่านได้งดงามมากขึ้นแล้ว? มีคำกล่าวเสมอว่าหญิงสาวนั้นงดงามที่สุดตอนที่พวกนางยิ้ม เพียงแค่ยิ้มพวกนางก็จะงามยิ่งกว่าหญิงใด ชายหนุ่มทุกๆคนย่อมพร้อมที่จะต่อสู้กันเพื่อจะได้ครอบครองหญิงสาว”


 


“เจ้าเด็กน้อย ความกล้าของเจ้านับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เจ้ากล้าแม้แต่มาเย้าหยอกข้า” องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ย


 


“แน่นอนว่าข้าไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น โอ้ ใช่แล้ว พี่สาวซู จงฝึกฝนให้หนัก! ในภายภาคหน้าสำนักสวรรค์เร้นลับย่อมอยู่ในการดูแลของท่าน”


 


“นี่เจ้าไปสัญญาสิ่งใดกับอาจารย์ใหญ่?” องค์หญิงใหญ่มองเข้าไปในดวงตาของชิงสุ่ย


 


“ไม่มี สิ่งที่ข้าเชื่อมั่นได้ก็มีเพียงพลังอันน้อยนิดของข้า?” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสงบนิ่ง


 


“เจ้าดูจริงจังยิ่งนักทุกครั้งที่เจ้าโกหก……” องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยและยิ้ม


 


“จริงหรือ?”


 


“ใช่!”


 


“ที่จริงแล้วข้าโกหก ข้าสัญญากับเขาไว้ว่าข้าจะช่วยปกป้องสำนักสวรรค์เร้นลับในยามที่มีภัยพิบัติมาถึงในอนาคต ท่านเชื่อข้าหรือไม่?”


 


“ข้าเชื่อ!”


 


ชิงสุ่ย “……”


 


“ข้ามีเคล็ดการฝังเข็ม 9 หยางและเคล็ดการกดจุด 9 หยาง พวกมันสามารถช่วยยกระดับให้แก่ท่านได้ พี่สาวซูท่านอยากจะลองหรือไม่?


 


“จริงหรือ?” องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยด้วยความสงสัย


 


“จริงสิ เพียงแต่มันต้องสัมผัสกับร่างกายของพี่สาวซูโดยตรง”


 


องค์หญิงใหญ่ยังคงเงียบในตอนนี้


 


“พี่สาวซู ท่านจะไม่แต่งงานงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยยิ้มและถามขึ้น


 


มีประกายแสงปรากฏขึ้นในดวงตาขององค์หญิงใหญ่ เมื่อนางมองไปยังชิงสุ่ยราวกับนางต้องการมองทะลุผ่านเขา


 


ในทางกลับกันชิงสุ่ยก็ยิ้มและมองไปที่นาง เขาไม่ได้ดูประหม่าเลยแม้แต่น้อย


 


“เอาล่ะ พูดมาเลย ข้าควรทำเช่นไร?” องค์หญิงใหญ่ส่ายศีรษะของนางและพยายามสงบจิตใจ


 


“มือทั้งสองข้างของข้าต้องสัมผัสกับหลังของท่าน ข้าเพิ่งได้เรียนรู้ทักษะการฝังเข็มเหล่านี้” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความอายเล็กน้อย


 


“นี่เจ้าจะใช้ข้าลองวิชานั้นหรือ!” องค์หญิงใหญ่ยิ้ม


 


“ข้ามั่นใจในเรื่องนี้แหละน้า!”


 


“แล้วพลังของข้าจะเพิ่มขึ้นมากเพียงใดกัน?” องค์หญิงใหญ่ยังคงสงสัย


 


“มันจะสามารถช่วยดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นของท่านออกมาและช่วยให้การพัฒนาของท่านเป็นไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น แต่นอกจากนี้มันยังสามารถช่วยเพิ่มพลังของท่านได้ประมาณ 5% ทันที” ชิงสุ่ยกล่าวขึ้นหลังจาก คิดครู่หนึ่ง


 


5% นั้นก็ถือว่ามากยิ่งนัก หากผู้ที่มีพลังประมาณ 300 สุริยา 5% ย่อมหมายถึง 15 สุริยา ที่มันทรงพลังยิ่งกว่าการกินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 เข้าไป 10 เม็ด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันยังสามารถช่วยดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นออกมาได้


 


ในตอนนี้องค์หญิงใหญ่กำลังลังเล ชิงสุ่ยมองไปที่นางและยิ้ม “อย่ากังวลไปเลย ท่านไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าออก!”


 


“อ้า!” องค์หญิงใหญ่หน้าแดงในทันที นางมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความเกรี้ยวกราด


 


“แต่ท่านอาจไม่สบายใจเล็กน้อยที่มือของข้าต้องสัมผัสแผ่นหลังของท่านผ่านทางเสื้อผ้า” เหตุผลที่ทำไมชิงสุ่ยกล้าที่จะกล่าวเช่นนี้เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยกอดนามาก่อน เขาเคยได้สัมผัสหน้าอกอันอ่อนนุ่มของนางผ่านทางเสื้อผ้ามาก่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าครั้งนี้อาจสำเร็จ


 


เมื่อได้เห็นความคิดของชิงสุ่ย องค์หญิงใหญ่ก็ยังคิดในสิ่งที่คล้ายคลึงกัน นางไม่ได้โกหกเมื่อนางบอกว่านางไม่ได้วางแผนที่จะแต่งงานในอดีต แม้กระทั่งตอนนี้นางก็ยังคงมีความคิดเช่นนั้น พลังยุทธ์เป็นสิ่งเดียวที่นางตามหา เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้นางสามารถรักษาความปลอดภัยของตนเองไปตลอดชีวิตได้ หากนางมีพลังในอดีต ท่านแม่ของนางก็คงไม่ต้องตายไป…..


 


“ไปเถอะ ไปลองที่ห้องของข้ากัน ท่านก็แค่คิดว่าข้าเป็นเด็กที่อ่อนแอคนหนึ่ง……” ชิงสุ่ยพยายามทำให้นางผ่อนคลาย


 


สิ่งเดียวที่ชิงสุ่ยเป็นห่วงนั้นคือชิงซา เขาไม่อาจพาชิงซาไปด้วยได้ในตอนที่เขาจากที่นี่ไป เขาอยากจะร้องไห้องค์หญิงใหญ่แข็งแกร่งกว่านี้อีกสักเล็กน้อย นอกจากนั้นเขายังต้องการให้อาจารย์ใหญ่เห็นการพัฒนาของเขาอีกครั้งเพื่อให้พวกเขาสงบจิตใจลงซะ พวกเขาจะต้องดูแลองค์หญิงใหญ่ด้วยความจริงใจ ด้วยวิธีนี้ชิงซาและเหยียน จินยวี้จะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่


 


ไม่ว่าองค์หญิงใหญ่จะเป็นหญิงที่งามสมบูรณ์แบบหรือหญิงสาวที่เย้ายวนจนดึงดูดชายหนุ่ม นางยังพิเศษยิ่งนักเมื่อเทียบกับหญิงสาวด้วยกันเอง มันเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะซ่อนความรู้สึกที่มีต่อนางได้


 


ไม่ว่ายังไงชิงสุ่ยก็ไม่ได้คิดที่จะไล่ตามนาง อย่างน้อยก็สำหรับในตอนนี้เขาไม่มีความคิดจะทำเช่นนั้น เขาต้องการคิดถึงเรื่องผู้หญิงของตัวเอง นอกจากนี้ดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่ชอบยิ่งนักที่จะต้องแบ่งปันชายหนุ่มของตนเองให้แก่หญิงสาวคนอื่นๆ


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้อยู่ในห้องเดียวกันกับองค์หญิงใหญ่ ที่นี่คือห้องของชิงสุ่ย โชคดีที่ทุกอย่างที่นี่ยังดูเหมือนใหม่ ปกติแล้วเขาจะไม่ได้นอนบนเตียง เขาจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับดินแดนหยกยุพราชอมตะ


 


ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้วหรืออาจจะกล่าวได้ว่ามันดึกมากแล้ว


 


“ค่อยทำพรุ่งนี้เป็นไร? วันนี้มันดึกมากแล้ว” องค์หญิงใหญ่ดูเหมือนจะยังรู้สึกกังวลเล็กน้อยจนอยากจะถอนตัว


 


“หรือท่านกลัวว่าท่านอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายจัดการข้าซะเอง?” ชิงสุ่ยมองไปยังองค์หญิงใหญ่อย่างจริงจัง


 


“ปากสกปรกย่อมไม่อาจพูดคำดีๆได้จริงๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยากเจ็บตัว!” องค์หญิงใหญ่ดึงหูของชิงสุ่ย นางสังเกตว่านางเริ่มจะเคยชินกับคำพูดของชิงสุ่ย ในอดีตนางไม่แม้แต่สนใจคำพูดเช่นนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปนี้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


 


นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ชิงสุ่ยถูกนางดึงเข้ามาใกล้ แต่เขาก็ยื่นมือออกไปและกอดเอวของนาง “พี่สาวซู ท่านรู้สึกเหงาหรือไม่?”


 


ในตอนแรกองค์หญิงใหญ่อยากจะผลักชิงสุ่ยให้ออกไป แต่นางก็ตระหนักว่าเขาเพียงโอบเอวนางเบาๆเท่านั้น เขาไม่ได้กระทำอะไรที่เสียสติไป นอกจากนี้นางเคยเจอกับพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อนจึงไม่ได้ต่อต้านมากในตอนนี้ นอกจากนี้คำถามที่เขาถามนั้นยังทำให้นางต้องตกตะลึง


 


“เหงางั้นถือ?” ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่ก็รู้สึกว่านางไม่รู้ว่านางควรจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี นางเองก็ไม่รู้ว่านางรู้สึกเช่นไร เหตุผลนั่นก็เพราะนางรู้สึกคุ้นชินกับมันไปแล้ว นางไม่รู้ว่านานมากเพียงใดแล้วที่นางได้คิดถึงคำถามเช่นนี้


 


นางวางมือทั้ง 2 ข้างลงบนบ่าของชิงสุ่ยและมองไปยังชิงสุ่ย “ข้าก็ไม่รู้ ข้าเองก็เพิ่งได้คิดเรื่องนี้”


 


“พี่สาวซู ท่านเคยมีความรู้สึกแบบนี้ไหม… ท่านรู้สึกอะไรบางอย่างในจิตใจของท่านแต่ท่านก็ไม่รู้จะอธิบายมันยังไงดี?” ชิงสุ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้ม เขามองไปที่ใบหน้าที่อยู่ใกล้เขายิ่งนัก ภายในดวงตาอันงดงามของนางนั้นได้ปรากฏร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยและความเหงาออกมา มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายด้วยความพูดได้ ชิงสุ่ยเองก็รู้สึกเสียใจไปกับนางเช่นกัน


 


“เจ้าอยากจะพูดอะไรกับข้ากัน?” องค์หญิงใหญ่รู้ว่าเหตุผลที่เด็กหนุ่มพูดกับนางเช่นนี้ก็เพราะต้องการให้นางรู้สึกผ่อนคลาย เขาไม่ได้พยายามล่วงเกินนางแต่อย่างใด


 


“ท่านเชื่อในความรักหรือไม่?” เมื่อชิงสุ่ยถามคำถามนี้ออกไป เขารู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนนักต้มตุ๋นที่พยายามจะหลอกเด็กสาว เว้นแต่เด็กสาวที่เขาพยายามจะหลอกนั้นเป็นหญิงสาวที่โตเต็มวัย


บทที่ 1248 – เข็มทองคำ 9 หยางสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย ชิงสุ่ยกินยาเม็ดสวรรค์หยาง


 


คำพูดของชิงสุ่ยนั้นทำให้องค์หญิงใหญ่รู้สึกประหลาดใจ นางกล่าวขึ้นช้าๆหลังจากมองไปยังชิงสุ่ยสักพักหนึ่งว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องความรักเลย”


 


สำหรับใครสักคนที่ไม่รู้เรื่องความรัก พวกเขานั้นจะพบว่าตัวเองสามารถเชื่อมั่นในบางสิ่งบางอย่างที่แม้จะมีความรู้ในเรื่องนั้นเพียงน้อยนิดเท่านั้น?


 


อันที่จริงแล้วไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองรู้เรื่องความรักดี แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าความรักคืออะไรแต่ก็ยังเชื่อมั่นในมัน หรือไม่พวกเขาก็จะพยายามอย่างยิ่งที่จะหายได้ว่าความรักมันเป็นเช่นไร


 


“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าเชื่อในความรัก” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขึ้น


 


“ความรักคืออะไรกัน?” องค์หญิงใหญ่ยิ้มหลังจากที่นั่งเกล้าจบ ดูเหมือนนางจะเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนในอดีต แต่นางก็ลืมมันไปนานแล้ว


 


“ท่านหวังที่จะได้เห็นใครสักคนเข้ามาในหัวใจของท่าน เมื่อใดก็ตามที่ท่านค้นพบสิ่งใหม่ๆคนๆนั้นจะเป็นคนแรกที่ฉันอยากจะแบ่งปันเรื่องราวนี้ด้วย ท่านหวังเสมอให้คนๆนั้นจะมีความสุข… ท่านหวังว่าคนๆนั้นจะคิดถึงท่านเช่นกัน…” ชิงสุ่ยยิ้มขึ้นเมื่อเขาอธิบายเรื่องนี้


 


เขาไม่รู้จริงๆว่าความรักคืออะไร ดังนั้นเขาจึงพูดได้เพียงอารมณ์และความรู้สึกในตอนที่ได้ตกหลุมรัก หรือไม่เขาก็พูดถึงตอนที่เขาตกหลุมรักเท่านั้น เขาเพียงต้องการเปิดโลกให้แก่หัวใจของนางเพื่อให้หัวใจของนางได้สัมผัสถึงความรู้สึกใหม่ๆที่นางเองก็ไม่เคยรู้สึก


 


องค์หญิงใหญ่ยังคงเงียบขณะที่ตั้งใจฟังชิงสุ่ยอธิบายเรื่องนี้ หลังจากนั้นนางก็ยิ้มและตอบกลับมาว่า “ขอบคุณ ดูเหมือนข้าจะไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลยเมื่อท่านพูดถึงเรื่องนี้ ข้าเองก็เคยคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าข้าได้สูญเสียอารมณ์เช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


 


ชิงสุ่ยนั้นไม่คาดคิดว่าทุกอย่างจะออกมาเป็นเช่นนี้ เพราะเขามีผู้คนมากมายยิ่งนักที่เขาคิดถึงภายในหัวใจ เขาไม่เข้าใจว่านางรู้สึกยังไงในตอนนี้ ในอดีตเมื่อเขารู้สึกโดดเดี่ยวเขายังมีท่านแม่ที่ยังคอยอยู่เคียงข้างเขา อย่างน้อยนางก็สามารถให้ความอบอุ่นแก่หัวใจของเขาได้ แต่องค์หญิงใหญ่เกิดมาก็ต้องอยู่ในราชวงศ์ชั้นสูงมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้เลย อาจารย์ของนางก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้มากนักหรือนางอาจไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องนี้จนไม่มีความคิดในเรื่องนี้เลย


 


“อันที่จริงแล้วท่านยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้นะ ตัวอย่างเช่น พยายามเชื่อในตัวคนๆหนึ่งและแบ่งปันเรื่องราวทุกข์สุขให้แก่เขา” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มหลังจากคิดครู่หนึ่ง เขารู้สึกจริงจังมากเมื่อกล่าวเช่นนี้


 


“ข้าเองก็พยายามมากยิ่งนัก ข้าพยายามเชื่อมั่นในคนอื่นๆและพยายามจะมีความรู้สึกในแบบที่เจ้าได้กล่าวไว้” เมื่อองค์หญิงใหญ่กล่าวจบ นางก็มองไปยังมือทั้งสองข้างของชิงสุ่ยที่ได้โอบเอวของนางเอาไว้ก่อนที่จะมองไปยังชิงสุ่ย


 


“โอ้ ข้าทราบแล้ว  เช่นนั้นข้าก็ถือว่าโชคดีดีจริงๆ” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม


 


“อย่าคิดแม้แต่จะฉวยโอกาส เจ้าจะได้เห็นดีแน่หากเจ้าจะทำเช่นนั้น” องค์หญิงใหญ่หน้าแดง นางยังดูเป็นเหมือนปกติ เพียงแต่สีหน้าของนางมีความเย้ายวนและขี้เล่นมากขึ้น


 


“พี่สาวซู่ ท่านคือเทพธิดาในหมู่มวลมนุษย์ ข้าเองก็เป็นคนบริสุทธิ์อย่างยิ่ง แม้แต่ยามที่ข้าได้กอดท่าน ข้าก็ไม่มีความคิดลามกเลยแม้แต่น้อย” ชิงสุ่ยประกาศจุดยืนของเขาขึ้นมาทันที


 


“นี้เจ้าจะบอกว่าข้าไม่มีเสน่ห์งั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่ถามขึ้นด้วยอารมณ์โกรธ


 


“ไม่ มันจะเป็นเช่นนั้นได้ยังไง แม้ว่าข้าจะมีความคิดเช่นนั้นแต่ข้าก็ไม่อาจพูดออกไปได้ อันที่จริงแล้วข้าเริ่มรู้สึกร้อนรุ่มแล้ว แต่จิตใจที่ยิ่งใหญ่ของข้านั้นได้หยุดข้าไว้ หัวใจของข้านั้นเหมือนกำลังต่อสู้อยู่ครับสรวงสวรรค์ ข้าสามารถกินท่านได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขึ้น อันที่จริงแล้วเขาเองก็รู้สึกได้ว่าองค์หญิงใหญ่นั้นกำลังล้อเล่น


 


“เอาล่ะเรามาเริ่มกันอีกครั้งเถอะ ทำไมเราไม่เริ่มกันในตอนนี้เลย? เจ้าบอกไม่ใช่เหรือว่าเจ้าต้องการให้ข้าสงบจิตใจก่อน? ข้าสงบจิตใจยิ่งนักกแล้วในตอนนี้” องค์หญิงใหญ่กล่าวในขณะที่มองไปยังชายหนุ่มตัวน้อยที่ดูเหมือนจะโตเต็มที่แม้จะอายุน้อย มีความอบอุ่นปรากฏขึ้นอยู่ในสายตาของนาง


 


ความอบอุ่นในสายตาของนางนั้นทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตกตะลึง เขาเริ่มกอดนางแน่นขึ้นโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ดูเหมือนเขาจะต้องการความรู้สึกที่อบอุ่นเช่นนี้ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรมากเกินไป


 


“พี่สาวซู่ โปรดนอนคว่ำหน้าลง” ชิงสุ่ยชี้ไปที่เตียงในห้องของเขา


 


องค์หญิงใหญ่หน้าแดงยิ่งนักในตอนนี้ มันสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เหมือนที่นางได้กล่าวเอาไว้นางพยายามจนถึงที่สุดที่จะเชื่อในชิงสุ่ย… จึงนอนลงไปบนเตียงตรงหน้าชายหนุ่มผู้นี้…


 


องค์หญิงใหญ่ถอดรองเท้าของนางออก ถุงเท้ายาวสีขาวที่สวมอยู่นั้นไม่อาจปกปิดความงามที่โดดเด่นของเท้านางได้ มันดูละเอียดและอ่อนนุ่มจนเชิญชวนให้ลงไปสัมผัสมัน หรือบางทีอาจจะถึงจูบมัน นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นโรคจิตที่ชื่นชอบเท้า แต่เพราะมันดึงดูดใจของเขาอย่างยิ่ง


 


องค์หญิงใหญ่นอนลงไปบนเตียงพร้อมกับปิดตาลง ร่างกายที่สง่างามและนิ่มนวลของนางปรากฏอยู่ตรงหน้าของชิงสุ่ย ผมของนางที่ถูกรวบเอาไว้ รวมถึงลำคอ แผ่นหลัง ไปจนถึงบั้นท้ายของนาง… ทั้งหมดนี้ดูเว้าโค้งได้อย่างงดงามราวกับเป็นประติมากรรมของพระเจ้า


 


แม้ว่านางจะสวมเสื้อผ้าอยู่แต่มันก็ปกปิดร่างกายของนางเพียงชั้นเดียวเท่านั้น ชิงสุ่ยยืนอยู่ข้างเตียงและพยายามสงบจิตใจของเขา เขานำกล่องของเข็มทองคำออกมาและวางไว้ที่ขอบเตียง หลังจากนั้นเขาก็ถูฝ่ามือของตัวเองเข้าด้วยกัน


 


เมื่อเขาถูฝ่ามือ ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาเริ่มเปล่งแสงแวววาวออกมาราวกับหยก มันดูงดงามยิ่งนัก มือข้างหนึ่งของเขาเริ่มเปร่งแสงสีทองจางๆออกมา


 


บางทีอาจเป็นเพราะเสียงจากการที่ชิงสุ่ยถูฝ่ามือของเขาทำให้องค์หญิงใหญ่รู้สึกตื่นตระหนก ร่างกายของนางเริ่มสั่น นางลืมตาขึ้นเล็กน้อยและมองไปยังฝ่ามือทั้งสองข้างของชิงสุ่ย นางพยายามที่จะสงบจิตใจหลังจากที่ได้เห็นเช่นนี้


 


“อย่ากังวลไปเลย แม้ว่าข้าจะฉวยโอกาสจากท่านได้ ข้าก็จะทำมันอย่างเบามือ ข้าไม่เคยต้องแอบทำอย่างนี้มาก่อน” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความจริงจัง


 


“เจ้าเอาแต่กล่าวเรื่องไร้สาระ” องค์หญิงใหญ่เริ่มคุ้นชินกับชิงสุ่ยแล้ว นางไม่ได้ตำหนิอะไรในสิ่งที่เขาพูด


 


ชิงสุ่ยวางฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาลงบนแผ่นหลังขององค์หญิงใหญ่ มันรู้สึกอ่อนโยนราวกับหยก แม้ว่าจะมีเสื้อผ้าที่ยังขวางกั้นอยู่มือของชิงสุ่ยก็รู้สึกดียิ่งนักกในตอนนี้ ถึงแม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ใช่ชายบริสุทธิ์และเขาก็มีหญิงสาวผู้งดงามมากมายที่เขาได้สัมผัสมาก่อนหน้านี้ มันก็ไม่อาจช่วยให้เขาหยุดประหม่าได้และหัวใจของเขาเต้นรัวราวกับม้าที่กำลังจะเข้าเส้นชัยในตอนนี้


 


เขาได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ฉวยโอกาสจากนาง ดังนั้นเขาจึงรีบใช้เคล็ดการกดจุด 9 หยางที่เขาคุ้นเคยรวมถึงเคล็ดวิชาอื่นๆ เขาใช้มือข้างหนึ่งทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายและมีอาการชา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งใช้ในการเปลี่ยนแปลงร่างกายของนางด้วยพลัง 9 หยางของเขา เขาตั้งใจจะช่วยยกระดับความสามารถของร่างกายนางและปลุกศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกาย


 


ในตอนที่มือของชิงสุ่ยได้สัมผัสกับองค์หญิงใหญ่ เขาก็รู้สึกได้ว่าองค์หญิงใหญ่นั้นกำลังสั่นอยู่ แต่ทันใดนั้นนางก็สงบขึ้นมาทันที หลังจากนั้นร่างกายของนางเริ่มนุ่มนวลยิ่งขึ้น นอกจากนี้ชิงสุ่ยก็ยังเห็นองค์หญิงใหญ่นั้นกัดฟันของนางเอาไว้แน่น นางพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งเสียงใดๆออกมา


 


“ท่านจะรู้สึกสบายมากกว่าหากได้ร้องออกมา”


 


ทันทีที่ได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย องค์หญิงใหญ่ก็ครางออกมาเบาๆ เสียงนั้นช่างงดงามและเย้ายวนใจอย่างยิ่ง


 


องค์หญิงใหญ่ก็รีบเอามือทั้งสองข้างปิดใบหน้าของตนเองทันที


 


ชิงสุ่ยพยายามอย่างยิ่งที่จะสงบจิตใจของเขา มีเพราะว่าเขาเริ่มรู้สึกว่าอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาเริ่มแข็งขึ้นแล้ว เขาเร่งความเร็วของมือของตนเอง ลูบ ตบ บีบ รวมถึงกดจุด


 


หลังจากผ่านไปประมาณสองก้านธูปชิงสุ่ยก็เริ่มนำเข็มทองคำออกมาและเริ่มใช้การฝังเข็มของเขา


 


แต่tสิ่งแรกที่เขาใช้นั้นคือเข็มทองคำฟื้นฟูร่างกาย หลังจากนั้นเขาก็ใช้ทักษะการฝังเข็มเบญจธาตุเพื่อเพิ่มพลังให้แก่นางก่อนจะจบลงที่การใช้ทักษะการฝังเข็มธาตุหยาง เคล็ดการฝังเข็ม 9 หยางนี้การเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่สุด นอกจากนี้แรงเข็มของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆจนเมื่อร่างกายของนางมาถึงขีดจำกัด


 


ชิงสุ่ยทำให้องค์หญิงใหญ่ยื่นมือของนางออกมาเพราะว่าทั้ง 4 นิ้วของนางเริ่มเป็นสีดำแล้วในตอนนี้ พวกมันดูน่ากลัวอย่างยิ่ง ชิงสุ่ยคว้ามันเอาไว้ก่อนที่จะเจาะปลายนิ้วของนางด้วยเข็มทองคำของเก่า


 


โลหิตสีดำเริ่มไหลลงมาทีละหยด ทีละหยด


 


กลิ่นเหม็นของเลือดสีดำนี้รุนแรงอย่างยิ่ง นี่ทำให้องค์หญิงใหญ่รู้สึกอายยิ่งนัก แต่ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวว่า “พิษในร่างกายของท่านนั้นถือว่าน้อยยิ่งนัก นี่คือสิ่งสกปรกที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย ผู้คนจำนวนมากจะมีมันถึงครึ่งหนึ่งของร่างกาย ไม่สามารถขจัดมันออกไปได้ ศักยภาพในร่างกายของท่านก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้พลังของท่านก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น”


 


หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมงชิงสุ่ยก็หยุดมือและเก็บเข็มทองคำของเขา องค์หญิงใหญ่รีบวิ่งตรงไปยังห้องน้ำทันที ร่างกายของนางนั้นเต็มไปด้วยคราบสกปรกและเหงื่ออ ความงานของนางในตอนนี้ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นอยากจะก่ออาชญากรรมขึ้นมาเลย


 


ชิงสุ่ยล้างคราบสกปรกที่อยู่ในห้องมีให้หมดไปและโรยกลีบดอกท้อจากดินแดนหยกยุพราชอมตะเพื่อปรับอากาศในห้องนี้อีกครั้ง


 


ตอนที่องค์หญิงใหญ่กลับเข้ามาเวลาก็ผ่านไปอีก 1 ชั่วโมงแล้ว องค์หญิงใหญ่อยู่ในชุดใหม่และผมของนางได้ถูกรวบเอาไว้ อยากให้ตัวนางเองดูรู้สึกขี้เกียจขึ้นเล็กน้อย ความรู้สึกของนางในตอนนี้นั้นแตกต่างกันออกไป กลิ่นอายทั้งหมดที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของนางนั้นดูทรงพลังมากยิ่งขึ้น มันเทียบได้กับของอีเย่ เจี้ยนเก้อเลย


 


สิ่งที่ดียิ่งกว่าคือความสง่างามของนางก็มากยิ่งขึ้น เมื่อชิงสุ่ยได้เห็นทั้งหมดนี้ เขาก็รู้สึกว่าผลที่ออกมานั้นค่อนข้างดี ทัศนคติของนางได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


องค์หญิงใหญ่ได้เห็นความหม่นหมองบนใบหน้าที่ซีดเซียวของชิงสุ่ย ห้องของเขาไม่ได้มีคราบเลือดที่สกปรกอีกต่อไป นอกจากนี้กลิ่นของมันยังสดชื่นยิ่งนัก


 


“ ขอบคุณ!”


 


“ถือว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นได้ผล ท่านดูแข็งแกร่งและสง่างามมากยิ่งขึ้นในตอนนี้” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขึ้น


 


“ข้ารู้สึกเหมือนว่าข้าจะต้องติดค้างท่านมากยิ่งขึ้นอีก” องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยและยิ้ม


 


ชิงสุ่ยรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องกล่าวเช่นนี้ออกมา แต่ก็ดูเหมือนมันจะรวดเร็วที่นักที่นางได้กล่าวเช่นนี้ออกมา


 


“มันถือว่ามากกันหรือ?”


 


“ใช่แล้ว มันมากจนข้ารู้สึกว่าข้าไม่อาจตอบแทนให้เจ้าได้หมดเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวอย่างจริงจัง


 


“อันที่จริงแล้วหากท่านคิดว่าท่านไม่อาจตอบแทนข้าได้หมด ท่านก็ค่อยช่วยเหลือข้าในอนาคตก็ได้ เช่นนั้นท่านก็จะไม่ต้องตอบแทนอะไรข้าอีก” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขึ้น


 


“อื้ม แต่บางครั้งข้าก็จะหาทางตอบแทนให้ท่านเช่นกัน บอกข้ามาว่าข้าสามารถทำอะไรให้เจ้าได้บ้าง?”


 


“ท่านอยากจะตอบแทนข้าจริงๆมันหรือ?”


 


“ใช่!”


 


“เช่นนั้นก็ช่วยกำเนิดลูกแก่ข้าหน่อย”


 


“ทำไมเจ้าไม่ตายตายไปซะ…” องค์หญิงใหญ่พูดไม่ออก นางยื่นมือทั้ง 2 ข้างออกไปหยิกปากของชิงสุ่ย แต่ชิงสุ่ยกลับพุ่งตรงเข้าไปและกอดนางเอาไว้อีกครั้ง


 


“เจ้าเสพติดการกอดข้างั้นหรือ?” องค์หญิงใหญ่ถามชิงสุ่ยด้วยความงึงงงขณะที่มองไปยังชิงสุ่ยที่ก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่านั้น


 


“ข้ารู้สึกว่าการทำเช่นนี้เป็นการฉวยโอกาสจากท่านโดยที่ท่านยังสามารถรับขอบเขตนี้ได้”


 


องค์หญิงใหญ่: “……”


 


……


 


หลังจากองค์หญิงใหญ่จากไป ชิงสุ่ยก็เข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะทันทีเป็นวันที่ 2


 


ช่วงเวลาในดินแดนแห่งนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก แต่ชิงสุ่ยก็ยังรอคอยโอกาสที่จะมาถึง สำหรับชิงสุ่ยการปะลองของเขาครั้งที่แล้วกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นสร้างประโยชน์ให้แก่เขาอย่างมาก


 


แต่สิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการทำในตอนนี้คือการแยกส่วนยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 และระดับที่ 2


 


เขาไม่สามารถกินมันได้ทันเวลา แต่ในตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีเวลาที่จะทำเช่นนั้น ชิงสุ่ยมีความรู้สึกว่าทั้งยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ยอมให้อะไรบางอย่างแก่เขา เขากินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 เข้าไปก่อน


 


ความรู้สึกอบอุ่นปรากฏขึ้นภายในร่างกายของเขาและกระจายไปทั่วแขนขาและกระดูกของเขา ทันใดนั้นเขาสังเกตเห็นว่ากระดูกภายในร่างกายของเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย


 


“อื้ม มันค่อนข้างมีประโยชน์สำหรับกายาทองคำ 9 หยางของข้า” ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง


 


ทันใดนั้นเขาก็กินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 2 ส่วนที่เหลือลงไป พลังที่ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 สามารถเพิ่มได้นั้นมีเพียง 1 สุริยา แต่กายาทองคำ 9 หยางของเขาดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ เดิมทีมันได้อยู่ที่ระดับสมบูรณ์แบบ แต่ในตอนนี้มันได้ยกระดับขึ้นอีกครั้ง


 


นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร หนทางของผู้ฝึกยุทธนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นมันย่อมมีระดับที่เหนือกว่าระดับสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับรูปแบบพยัคฆ์ที่เขาได้ฝึกฝนในอดีตเมื่อเขาได้มาถึงระดับสมบูรณ์แบบ มันยังสามารถยกระดับขึ้นได้อีกมากมาย


 


เมื่อได้กินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 2 ลงไป ชิงสุ่ยก็รู้สึกราวกับว่าทั่วร่างกายของเขาได้เปร่งแสงสีทองออกมา เส้นลมปราณของเขามีขนาดใหญ่ขึ้น ทั่วร่างกายของเขาในตอนนี้รู้สึกเป็นเหมือนกับภาชนะ และจำนวนที่ภาชนะนี้สามารถบรรจุได้นั้นก็ได้เพิ่มขึ้น จุดตันเถียนของเขาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังทั่วร่างกายของเขาเริ่มโคจรมารวมกันในตอนนี้


บทที่ 1249 – สำเร็จ พลังที่น่ากลัว ความสามารถในการพัวพันที่ทรงพลัง


 


ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขา มันย่อมเป็นประโยชน์ต่อเขายิ่งนักในการซึมซับพลังที่เข้ามา


 


แต่ไม่นานนักเขาก็ตระหนักได้ว่าการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขาเริ่มชะลอตัวลงและหยุดไป มันยังช่วยเพิ่มพลังให้แก่เขาได้เล็กน้อย นี่ทำให้เขาตื่นเต้นอย่างยิ่งเพราะว่าในตอนนี้เขาสามารถใช้ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 และยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 2 เป็นจำนวน 10 เม็ดตามลำดับ


 


เพียงแต่ว่าเขาสามารถใช้ได้เพียง 1 เม็ดต่อปี แต่ในกรณีนี้เขาจะต้องรอเวลาเพียง 3 วันจึงจะสามารถกินมันได้ใหม่อีกครั้ง ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจพลังที่ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 หรือยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 2 เพิ่มขึ้นให้แก่เขา เขาสนใจเรื่องจำนวนพลังที่เพิ่มขึ้นที่ร่างกายของเขาสามารถรับได้มากกว่า


 


มันยังสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายของเขาได้


 


“เข็มทองคำ 9 หยาง!”


 


ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขาทำให้คนอื่นๆได้รับประสบการณ์เช่นนี้แต่เขาก็ไม่เคยทำมันกับตัวเองมาก่อน แต่เขาเป็นคนที่ต้องการมันมากที่สุดในขณะนี้ เมื่อชิงสุ่ยคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เริ่มลงมือทันที มันย่อมเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาในการปักเข็มพวกนี้ใส่ร่างกายของตนเอง


 


เขาสามารถควบคุมตำแหน่งของการปักเข็มนี้ได้อย่างแม่นยำด้วยพลังวิญญาณ ด้วยวิธีนี้ชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าตัวเขาช่างอัจฉริยะยิ่งนัก การฝังเข็มครั้งนี้ช่วยเพิ่มพลังให้แก่เขาอย่างเห็นได้ชัดยิ่งกว่าที่ยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 และยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 2 ได้เพิ่มขึ้นให้


 


ขณะที่เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป ชิงสุ่ยเริ่มรู้สึกว่าเขาสามารถปรับปรุงพลังของตนเองได้ในตอนนี้ แต่เพื่อความปลอดภัยเขายังคงตัดสินใจที่จะรออีกหนึ่งเดือนเพื่อปรับปรุงมันหลังจากที่เขาได้กินยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 1 และยาเม็ดสวรรค์หยางระดับที่ 2 อีกครั้งหนึ่ง


 


เมื่อเวลาผ่านไปอีกประมาณ 1 เดือน ชิงสุ่ยเชื่อว่าตำแหน่งของเขาภายในสำนักสวรรค์เร้นลับจะมั่นคงมากยิ่งขึ้น อาจารย์ใหญ่อาจจะมองเห็นศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ของเขาได้ แม้ว่าเขาจะไม่อาจยกระดับได้ในทันที แต่เขาก็จะมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมในตอนนี้


 


เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถออกจากที่นี่ไปได้ สำนักสวรรค์เร้นลับย่อมช่วยดูแลพาไลหิมะหวนและสหายของเขา


 


เมื่อชิงสุ่ยได้วางแผนไปแล้วเขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาวางแผนที่จะช่วยเหลือองค์หญิงใหญ่และคนอื่นๆ ในตอนที่พลังขององค์หญิงใหญ่นั้นยังถือว่าค่อนข้างทรงพลัง เขาจึงได้ช่วยเหลือนางมากมายในการยกระดับศักยภาพที่ซ่อนเร้นของนาง สำหรับคนที่มีอายุเพียงเท่านี้ นางนั้นถือเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง เขาเชื่อว่าเหล่าผู้อาวุโสจากสำนักสวรรค์เร้นลับนั้นย่อมไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้แก่นาง


 


……


 


เช่นเดียวกันนี้ นอกจากแนะนำพวกเขาผ่านการฝึกฝนแล้วชิงสุ่ยยังตรวจสอบพื้นที่โดยรอบของสำนักสวรรค์เร้นลับ เขานึกถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าผู้ที่ทรงพลังที่สุดในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกนั้นมีพลังประมาณ 8,000 สุริยา เช่นนั้นก็มีโอกาสมากที่สำนักสวรรค์เร้นลับจะมีพลังเช่นเดียวกันนี้หรือมากกว่าได้


 


สำนักสวรรค์เร้นลับนั้นเทียบได้กับจักรวรรดิระดับที่ 2 ในด้านของความแข็งแกร่ง นี่หมายความว่าพลังของพวกเขาส่วนใหญ่นั้นมีค่าเท่ากับคนอื่นๆ มิฉะนั้นระดับพลังของมันย่อมไม่สมดุลกัน ชิงสุ่ยนั้นตระหนักดีว่าทุกๆคนต่างต้องการครอบครองมหาทวีปนี้แต่ยังไม่มีใครที่ทรงพลังจนสามารถทำเช่นนั้นได้


 


ชิงสุ่ยรู้สึกห่างไกลจากพลัง 8,000 สุริยายิ่งนักเมื่อเขาได้คิดถึงมัน พลัง 8,000 สุริยานั้นจะสามารถเข้าสู่ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้หรือไม่?


 


ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจมันเป็นเหมือนเทพเจ้าในโลกใบนี้ พลังที่ได้ครอบครองนั้นจะน่ากลัวอย่างยิ่งและมันยากยิ่งนักที่จะยกระดับเข้าสู่ระดับนี้ได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่รู้ว่ามหาทวีปอู่เซียตะวันตกนั้นมีผู้ที่อยู่ในระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจหรือไม่


 


ดินแดนที่อยู่ภายในระยะพันลี้ของสำนักสวรรค์เร้นลับต่างเป็นอาณาเขตของสำนักนี้ เทือกเขาที่อยู่ใกล้ๆนั้นมีความสูงที่แตกต่างกันและทอดตัวยาวออกไปหลายพันลี้ ในยามเช้าเมื่อใดก็ตามที่ชิงสุ่ยนั้นว่าง เขาก็จะเดินทางไปรอบรอบที่แห่งนี้เพื่อมองดูวิวทิวทัศน์ต่างๆ


 


ที่นี่มีทางทะเลสาบ ลำธาร แม่น้ำ ป่าไม้ รวมไปถึงภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆมากมาย ไม่ไกลจากที่นี่จะเป็นหนทางที่จะนำพาไปสู่ดินแดนเทือกเขาสันโดษ การเข้าไปภายในดินแดนแห่งนั้นถือว่าเสี่ยงยิ่งนัก มีคำว่าเล่าลือกันว่าใครก็ตามที่ผ่านดินแดนนั้นไปได้จะสามารถไปสู่ทั้ง 5 มหาทวีปได้ นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวที่ว่าสถานที่แห่งนี้เชื่อมต่อกับอีก 3 มหาทวีปที่เหลือ


 


นอกจากนี้ยังมีวิธีเฉพาะในการเดินทางไปยังมหาทวีปมังกรอหังกาล มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ รวมไปถึงมหาทวีปอุดรเทวา เมื่อจะทำเช่นนั้นเขาจะต้องเดินผ่านดินแดนที่แข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว มหาทวีปอู่เซียตะวันตกนั้นเป็นเหมือนจุดตัดระหว่างทั้ง 5 มหาทวีปกับอีก 3 มหาทวีปที่เหลือ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้มาถึงมหาทวีปอู่เซียตะวันตกเมื่อผ่านรูปแบบผสานบรรพกาลมา


 


ชิงสุ่ยรู้สึกว่าหากเขามีโอกาสเขาจะหาทางที่จะไปยังอีก 3 มหาทวีปที่เหลือ


 


เพียงพริบตาเวลากว่า 1 เดือนก็ได้ผ่านไป ภายใน 1 เดือนนี้ชิงสุ่ยและคนอื่นๆแทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก พวกเขาทุกๆคนต่างฝึกฝนเพื่อความก้าวหน้าทั้งนั้น


 


ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นมาก นี่เพราะว่าเขารู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาจะสามารถปรับปรุงพลังออกตัวเองได้ เมื่อเขาปรับปรุงมันได้ไม่ต้องเป็นประโยชน์มหาศาลตลับตัวเขาเอง


 


ชิงสุ่ยยังได้ช่วยเหลือเหยียน จินยวี้ องค์หญิงเจ็ด รวมไปถึงชิงซาด้วยการฝังเข็ม แต่เขาควบคุมเข็มทองคำให้ลอยไปบนอากาศด้วยพลังวิญญาณของเขา ของไม่ได้สัมผัสพวกนางเลยตั้งแต่ต้นจนจบ นี่ทำให้องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ด้วยต้องจ้องมองมาที่เขา


 


ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาขององค์หญิงใหญ่เขาก็ทำได้เพียงยิ้มขณะที่ตอบกลับว่า “ข้าได้พัฒนาฝีมือขึ้นแล้ว ก็ไม่อาจทำได้ก่อนหน้านี้”


 


แน่นอนว่าองค์หญิงใหญ่ย่อมไม่เชื่อเขา


 


แม้แต่องค์หญิงใหญ่เองก็ตกตะลึงไปกับการเปลี่ยนแปลงของตนเองในตอนนั้น นางสังเกตเห็นว่านางไม่ได้รู้สึกรังเกียจชายผู้นี้เลย จนนางไม่รู้สึกโกรธเมื่อเขาฉวยโอกาสกับนาง นางไม่รู้ว่าความรู้สึกที่นางมีต่อเขานั้นคืออะไร มันถือเป็นความสนิทมากขึ้นหรือไม่?


 


หลังจากชิงซาและหญิงสาวคนอื่นได้จากไป ชิงสุ่ยก็จับมือขององค์หญิงใหญ่และพานางเดินออกไปด้วยกัน นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเดือนนี้ ในตอนนี้ชิงสุ่ยสามารถจับมือของหญิงสาวที่งดงามผู้นี้ได้เท่าไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ เช่นเดียวกับการเดินและพูดคุยกับนาง


 


หากจะกล่าวให้ถูกต้องชิงสุ่ยเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อใด นอกจากนี้องค์หญิงใหญ่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเช่นกัน ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะเริ่มคุ้นชินกับมันอย่างช้าๆ นอกเหนือจากนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะมาถึงขั้นกอดกันแต่นั่นก็เกิดขึ้นได้ยากยิ่งนัก พวกเขาไม่ได้เลื่อนระดับความสัมพันธ์ใดๆให้มากขึ้นไปกว่านั้น


 


“เจ้าได้ให้ทุกๆคนฝึกฝนอย่างหนักเมื่อเร็วๆนี้ มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ? หรือว่าเจ้ากำลังจะจากไป?” องค์หญิงใหญ่เดินไปมาอย่างช้าๆขณะจับมือของเขาเอาไว้ มองมองเขาจากทางด้านข้างและถามขึ้น


 


“ใช่แล้ว ข้ากำลังจะจากไปในเร็วๆนี้ ข้าจะทราบคำตอบนั้นภายใน 2 หรือ 3 วันนี้ ในตอนนี้พลังของท่านนั้นยังสามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง ท่านสามารถช่วยแนะนำกับพวกนางได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามขึ้นหลังจากที่เขาคิดครู่หนึ่ง


 


“ข้าจะทำให้ เจ้ากำลังจะไปยังจักรวรรดิเดชสวรรค์งั้นหรือ?”


 


“ใช่แล้ว” ชิงสุ่ยตอบกลับ เขาไม่ได้พูดอะไรมากนักในตอนนี้


 


“ขอให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นกับเจ้า เมื่อภรรยาของเจ้าได้กลับมาพวกเราคงไม่สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้อีก” องค์หญิงใหญ่ยิ้มขณะที่นางยกมือที่ทั้ง 2 คนนั้นจับเอาไว้ด้วยกันขึ้นมา


 


“ตราบใดที่ท่านยังไม่แต่งงาน ย่อมไม่เป็นอะไร……”


 


ชิงสุ่ยดูแลนางเหมือนเป็นเพื่อนสนิทของเขา เนื้อคู่ของเขาเอง เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันจะคงอยู่ได้นานมากเพียงใด


 


……


 


ในยามค่ำคืนชิงสุ่ยได้เข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งในตอนนี้เมื่อได้ปรับปรุงพลังที่มังกรไอยราเกล็ดทองคำได้มอบให้แก่เขา มันเป็นความรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาได้ขยายใหญ่ขึ้นจนมากกว่าเดิมถึงครึ่งหนึ่ง


 


นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของเส้นลมปราณของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขาเตรียมตัวมามากพอแล้วและไม่อาจรอที่จะทำเช่นนี้ได้อีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำสิ่งที่เขาอยากจะทำมาโดยตลอด


 


ขอเพิ่มพลังของตนเองไปถึงจุดสูงสุดและโคจรมันภายในร่างกาย เขารอจนตนเองสงบลงและจากนั้นก็โคจรพลังขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะทะลุผ่านก้อนพลังสีเทาไปในร่างกายของเขา


 


เป้ง!


 


หน้าผาก ส่วนบนของศีรษะ รวมไปถึงหน้าอกของชิงสุ่ยต่างมีเข็มทองคำปักเอาไว้ที่ละ 3 เล่ม พลังอันมหาศาลได้ถาโถมเข้ามาและมันเกือบจะทำให้ชิงสุ่ยต้องเป็นลมไป กลิ่นอายที่สดชื่นปลดปล่อยออกมาจากศีรษะของเขา หน้าอกรวมไปถึงหน้าผากของเขากำลังขยับอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้โลหิตของเขาไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ภาพหยินหยางก็หมุนวนอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน


 


พลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา ก้อนเมล็ดเจ็ดสีก็หมุนวนอย่างรวดเร็วเช่นกัน มันได้ดูดซับพลังเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันก้อนทองคำภายในร่างกายของเขาก็เปล่งแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


หุบเขา 9 เทวาที่อยู่ภายในจุดตันเถียนก็ได้ดูดซึมพลังนี้เช่นกัน มันดูเชื่อมต่อกับชิงสุ่ยได้ดียิ่งขึ้นในตอนนี้


 


ร่างกายของชิงสุ่ยได้รับการชำระล้างอีกครั้งและเหมือนกับว่ามันได้ถือกำเนิดใหม่ แต่มันก็ปลอดภัยอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับครั้งล่าสุด อย่างน้อยชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าเขาสามารถควบคุมมันได้


 


มันยังคงอันตรายเหมือนดังก่อนหน้านี้ แต่เส้นลมปราณของชิงสุ่ยและเส้นเอ็นของเขาได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันทรงพลังขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก


 


แต่คราวนี้พลังที่เขาสามารถดูดซึมได้นั้นดูเหมือนจะมีมากเกินไป เพียงแต่ว่ามันรู้สึกลำบากน้อยกว่าก่อนหน้านี้เพราะว่าก่อนหน้านี้นั้นพลังของเขายังถือว่าน้อยเกินไป มันเป็นเรื่องอันตรายยิ่งนักษาเขาจะดูดซึมพลังอันมหาศาลเช่นนี้ไป


 


แม้กระทั่งความคิดเรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกกลัวอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะปราณแห่งการหวนคืนของเขา เขาย่อมไม่อาจทำเช่นนี้ได้


 


คนล้วนเกิดมาเพื่อเสี่ยงโชคและชิงสุ่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับในตอนนี้สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นเป็นเหมือนกับการเล่นกับความเสี่ยง


 


เวลาได้ผ่านไปเรื่อยๆและชิงสุ่ยก็ไม่รู้ว่ามันได้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในตอนแรกการที่จะทำเช่นนี้นั้นถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งแต่เพื่อความก้าวหน้าของตนเองเขาจึงได้เก็บพลังนี้เอาไว้และรอจนกว่าเขาจะสามารถรับมือกับมันได้ ในตอนนี้เขาสามารถรับพลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์


 


ชิงสุ่ยถอนหายใจออกมาแล้วเปิดตาของเขาขึ้นช้าๆ เขามีสีหน้าที่เป็นปกติและดูเหมือนคนธรรมดา แต่ในตอนนี้เขาก็มีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด


 


เขาเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ความสงบและความมั่นใจปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา แต่มันก็ยังทำให้คนอื่นๆรู้สึกว่าเขายังขาดความเฉียบแหลม


 


ชิงสุ่ยรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยเมื่อมองไปยังเสื้อที่เปื้อนเลือดจากทั่วทั้งร่างกายของเขา ทั้งหมดนี้เป็นเลือดของเขาเองแต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสารพิษและสิ่งปนเปื้อนที่อยู่ภายในร่างกายของเขา มันเป็นเหมือนสิ่งสกปรกภายในร่างกายของเขา ในตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจยิ่งขึ้น


 


หลังจากได้อาบน้ำ ชิงสุ่ยก็เปลี่ยนชุดใหม่ทันทีและทำลายชุดเก่าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดนั้นทิ้งไป หลังจากทำเช่นนี้แล้วเขาก็รีบตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเขาทันที


 


พลังพื้นฐานเกินกว่า 1 สุริยา…..


 


ถึงแม้ว่าชิงสุ่ยจะรู้สึกได้ว่าพลังภายในร่างกายของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่เมื่อได้สัมผัสพลังของตนเองเขาก็ตกตะลึงไปในทันที  1 สุริยานั้นเท่ากับ 10,000 เมฆา ก่อนหน้านี้ขอเป็นเพียงคนที่มีพลังประมาณ 3,000 เมฆา


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน? พลังของเขาเพิ่มขึ้นมามากกว่า 6,000 เมฆา


 


ในตอนที่ชิงสุ่ยสัมผัสได้ถึงก้อนเมล็ดเจ็ดสี เขาก็ได้ตกตะลึงไปอีกครั้ง มันยกระดับขึ้น จากตอนแรกที่มันช่วยเพิ่มพลังพื้นฐานขึ้นอีก 15 เท่า ในตอนนี้มันช่วยเพิ่มพลังพื้นฐานขึ้นอีก 20 เท่า……


 


ชิงสุ่ยสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา พลังอันแข็งแกร่งที่โคจรไปทั่วร่างกายของเขาทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง ทันทีที่ได้ตรวจสอบมันเขาก็ยิ้มออกมา หากพลังพื้นฐานของเขานั้นอยู่ที่ 1 สุริยา ด้วยการเพิ่มขึ้น 20 เท่าจากก้อนเมล็ดเจ็ดสีและอีก 5 เท่าที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้อาวุธของเขาพร้อมกับสิ่งต่างๆ เช่น เกราะอสูรสำแดง และยาเม็ดทองคำแห่งสวรรค์ทั้ง 9 เขาจะมีพลังประมาณ 1,000 สุริยา หากเขาใช้หุบเขา 9 เทวาพลังของเขาจะเกินกว่า 2,000 สุริยาเล็กน้อย


 


ชิงสุ่ยตกตะลึงไปในตอนนี้ เขาประหลาดใจอย่างยิ่งที่พลังของตัวเองเหมือนได้รับการระเบิดขึ้นอย่างฉับพลัน ด้วยการเพิ่มพลังครั้งนี้ของเขา เขาสามารถเริ่มทำสิ่งต่างๆได้อีกมากมาย


 


สิ่งที่ชิงสุ่ยตรวจสอบถัดมานั้นคือพลังวิญญาณของเขา ภายใต้ขนของลูกประคำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ อาวุธของเขา เกราะอสูรสำแดง รวมไปถึงรูปแบบดาราจักร มันจะช่วยให้เขามีพลังวิญญาณประมาณ 1,300 สุริยา  5 ของใช้พลังรูปแบบวิหคศักดิ์สิทธิ์ พลังวิญญาณนั้นจะเพิ่มขึ้นไปถึง 2,700 สุริยา


 


หากโอกาส 20% ที่จะเพิ่มพลังโจมตีขึ้นเป็น 2 เท่านั้นเกิดขึ้นมันย่อมน่ากลัวยิ่งนัก แต่สำหรับในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่อยากพึ่งพามัน เพราะเขาต้องการโอกาสที่แน่นอนมากกว่า มันไม่ได้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งของเขาจริงๆ แต่ในตอนนี้ด้วยพลังของเขาที่รวมกับปราณจักรพรรดิและมังกรไอยราเกล็ดทองคำ การจัดการกับยอดฝีมือที่มีพลังประมาณ 3,000 สุริยาหรือมากกว่านั้นจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แม้แต่ยอดฝีมือที่มีพลังเกินกว่า 4,000 สุริยา ชิงสุ่ยก็รู้สึกว่าเขาสามารถรับมือได้


 


ช่วยความจริงที่ว่ารูปแบบ8ดาราคล้อย 8 สวรรค์ของชิงสุ่ยนั้นไม่อาจเพิ่มพลังให้แก่เขาได้ มันช่วยเพิ่มเพียงความอดทน ความเฉียบแหลม และสิ่งที่พึ่งพาโจมตีด้วยพลังวิญญาณของเขาขึ้นอีกหลายเท่า ตัวอย่างเช่น เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดของเขา ในตอนนี้แม้ว่ามันจะต้องเผชิญกับยอดฝีมือที่มีพลัง 5,000 สุริยาก็ตาม มันยังสามารถพัวพันคนๆนั้นได้เป็นเวลานาน นี่คือผลของรูปแบบ8ดาราคล้อย 8 สวรรค์


 


มันยังสามารถช่วยเพิ่มพลังในการกลืนกินของหลุมดำกลืนมหาสมุทรแห่งผนึกคลื่นเมฆาผกผันของเขา


บทที่ 1250 – เตรียมตัวที่จะจากไป จดหมายท้าประลองอีกฉบับหนึ่ง


 


สิ่งที่ทรงพลังที่สุดของชิงสุ่ยยังคงเป็นพลังวิญญาณของเขา แน่นอนว่าพลังของหุบเขา 9 เทวาของเขาก็ถือว่าน่ากลัวยิ่งนัก แต่เมื่อเทียบกันแล้วพลังวิญญาณนั้นถือว่าทรงพลังมากที่สุด


 


หากโอกาสที่พลังโจมตีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเกิดขึ้น การโจมตีด้วยพลังวิญญาณของเขาจะทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ชิงสุ่ยนั้นยังมั่นใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกี่ยวพันกับพลังวิญญาณของเขาภายใต้ขนของรูปแบบ8ดาราคล้อย 8 สวรรค์ ตัวอย่างเช่น เขารู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นกับฝ่ามือพุทธองค์ทองคำและสะท้านที่ 7 ของเขา นอกจากนี้พลังที่พัวพันของเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดยังถือว่าน่ากลัวยิ่งนักในตอนนี้


 


ทั้งผนึกคลื่นเมฆาผกผันและตราประทับซวนเทียนก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


ชิงสุ่ยรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง ตราบใดที่พลังวิญญาณของเขายังสามารถพันธนาการศัตรูเอาไว้ได้ ตัวอย่างเช่น เถาวัลย์อสูรกระหายเลือด มันง่ายยิ่งนักที่จะทำให้ศัตรูถึงแก่ความตาย ตัวอย่างอื่นๆก็เช่น อสูรอัสนีคลั่งที่สามารถทำให้ศัตรูเป็นอัมพาตได้  หรือหมูป่านักล่าสมบัติที่สามารถทะลวงผ่านร่างของศัตรูได้


 


ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าความสามารถในการสังหารของเขาในตอนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกพึงพอใจจริงๆ แม้ว่าเขาจะตระหนักดีว่าผู้ที่ทรงพลังที่สุดในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกนั้นมีพลังประมาณ 8,000 สุริยา แต่จะมีสักกี่คนกันที่จะอยู่ภายในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก? คนที่มีพลังเช่นนั้นน่าจะสามารถนับหัวได้เลย


 


พลังที่เพิ่มขึ้นของชิงสุ่ยทำให้พลังงานในร่างกายของเขานั้นเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า ร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับเดียวกัน กายาทองคำ 9 หยาง แม้ว่าเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลของเขาจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้มีพลังที่เพิ่มขึ้นมาจากโลหิตทองคำอินทนิลของเขา


 


การยกระดับครั้งใหญ่ในตอนนี้ย่อมหมายความว่าชิงสุ่ยได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารภายในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกแล้ว พลังที่เพิ่มขึ้นมาเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ มันอาจจะถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการก้าวกระโดดของเขา การยกระดับครั้งนี้ย่อมทำให้เขาได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆอีกมากมาย


 


ในตอนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ชิงสุ่ยไม่ต้องเป็นห่วงมันอีกต่อไป เขาสามารถไปที่ไหนก็ได้ที่เขาต้องการในตอนนี้


 


……


 


ในวันถัดมาชิงซาก็ยังคงฝึกฝนในตอนเช้าเหมือนเช่นเคย เพราะเวลาภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ชิงสุ่ยจึงไม่ได้ออกมาเช้ามากนัก ดังนั้นชิงซาจึงออกมาเร็วกว่าเขาเสมอ


 


เมื่อเวลาผ่านไปชิงซาก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้นางเหนือกว่าองค์หญิงเจ็ดและเหยียน จินยวี้ แม้แต่กลิ่นอายต่างๆของนางก็ทรงพลังยิ่งขึ้น มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไปตราบใดที่จิตใจของนางได้ตื่นขึ้นแล้ว ไม่มีผู้ใดตัดสินเพียงว่าปราณกระบี่สีขาวนั้นแสดงถึงความยุติธรรมและปราณกระบี่สีดำนั้นแสดงถึงความชั่วร้าย สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดนั้นคือมนุษย์ มนุษย์นั้นยังคงชั่วร้ายแม้ว่าพวกเขาจะใช้ปราณกระบี่สีขาว


 


ชิงสุ่ยยังคงฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊กของเขาและจิตใจที่สงบของเขาเต็มไปด้วยพลังธรรมชาติ ในตอนที่เขายกมือขึ้นและขยับขา ทั่วทั้งสวรรค์และโลกก็เคลื่อนไหวไปพร้อมกับเขาราวกับว่ามันเป็นท่วงทำนองเดียวกัน


 


หลังจากนั้นๆฝึกฝนจนเสร็จสิ้น ชิงซาก็สามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของชิงสุ่ย ทั้งตัวและกลิ่นอายของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป แต่เขายังคงเป็นท่านพ่อที่นางคุ้นเคย – ผู้ที่ดูแลนางได้ดีที่สุดในโลกใบนี้


 


ดูเหมือนชิงสุ่ยจะมีความสุขอย่างยิ่งในการฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊กของเขา ปราณทองคำรอบๆตัวเขาดูเปล่งประกายมากขึ้น.. มันทรงพลังยิ่งกว่าปราณทองคำไทเก๊ก ในอดีต ชิงซาก็ได้รับประโยชน์มากมายเพียงได้มองชิงสุ่ยฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊กของเขา ด้วยระดับของนางในตอนนี้ ประโยชน์ที่นางได้รับจากการเฝ้าดูเพลงหมัดไทเก๊กของชิงสุ่ยนั้นไม่อาจประเมินค่าได้เลย


 


นี่ถือว่าเป็นการสัมผัสกับประตูสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เมื่อชิงสุ่ยเคลื่อนไหวมือของเขา ร่างกายของเขาก็เหมือนเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของสวรรค์และโลก แม้ตอนที่เขาสะบัดแขน ลมปราณที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นก็มากพอที่จะฆ่าคนตายได้เลย


 


“ท่านพ่อ ท่านยกระดับขึ้นอีกครั้งแล้ว!”


 


เมื่อชิงสุ่ยหยุดฝึกฝน ชิงซาก็พุ่งตรงมาหาเขาด้วยความยินดีและกอดแขนของเขาเอาไว้


 


“ใช่แล้ว มันถือว่าเป็นการยกระดับขึ้น โอ้ เด็กน้อย ข้าจะบอกอะไรบางอย่างกับเจ้า” เพราะชิงสุ่ยนั้นได้ยกระดับขึ้นเวลาที่เขาจะจากที่แห่งนี้ไปนั้นก็รวดเร็วยิ่งขึ้น


 


“ท่านพ่อจะจากไปแล้ว พาข้าไปด้วย!” ชิงซายิ้มและมองไปยังชิงสุ่ย


 


“เด็กน้อย บางทีหลังจากนี้ ถ้าข้าต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลาและด้วยระดับของเจ้านั้นยังไม่เหมาะสมที่จะเดินทางไปกับข้า การฝึกฝนสำคัญกับเจ้าที่สุดในตอนนี้ เจ้าไม่ต้องการเพิ่มพลังของตนเองต่อไปหรือ?” ชิงสุ่ยถามชิงซาขณะที่เขาเดินไป


 


“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องการข้าแล้วนั้นหรือ?” ทันใดนั้นใบหน้าของชิงซาก็ซีดลงทันที นางมองไปยังชิงสุ่ยอย่างจริงจัง


 


“จะเป็นเช่นนั้นได้ยังไงกัน? เด็กน้อย เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนี้?” ชิงสุ่ยลูกศีรษะของนางเมื่อเขาได้เห็นสีหน้าของนาง


 


“ข้ากลัวว่าท่านพ่อจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วเมื่อท่านจากไป” ชิงซากล่าวด้วยความโศกเศร้า


 


“เด็กน้อย เจ้ายังมีคนอื่นที่อยู่ที่นี่ เหตุใดข้าจะไม่จะกลับมากัน? ถ้ายังหวังว่าพี่สาวซูจะได้เป็นอาจารย์ใหญ่ของที่แห่งนี้ สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้คือ จงฝึกฝนให้หนัก” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างใจเย็น


 


ชิงซากลอกตาของนาง “ท่านพ่อ ท่านชอบนางใช่ไหม?”


 


“เหตุใดจึงถามเช่นนี้?” ชิงสุ่ยรู้ว่าชิงซานั้นกำลังพูดถึงองค์หญิงใหญ่


 


“เหตุใดข้าจึงถามเช่นนี้ไม่ได้? ข้ารู้สึกว่าท่านพ่อดูแลนางต่างจากคนอื่น ท่านมักจะจับมือของนางบ่อยๆและบางครั้งก็กอดนาน” ชิงซาบุ้ยปาก


 


“เอ๋ แค่นี้ก็หมายความว่าข้าชอบนางแล้วงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยตกตะลึงในทันทีและถามด้วยรอยยิ้ม


 


“อย่ามาทำเหมือนข้าเป็นเด็กนะ ท่านทำเช่นนี้ ยังนับว่าเป็นสหายปกติได้อีกนั้นหรือ?” ชิงซากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ


 


“เช่นนั้นก็ดี เด็กน้อย เจ้าต้องการให้ข้าชอบนางหรือไม่?” ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่าชิงซาจะคิดเช่นนี้ เมื่อนางคิดเช่นนี้ แสดงว่าเหยียน จินยวี้องค์หญิงเจ็ดก็ต้องมีความคิดแบบนี้เช่นกัน


 


“มันไม่มีประโยชน์หรอกไม่ว่าข้าจะเห็นด้วยหรือไม่ ท่านต้องถามภรรยาของท่าน” ชิงซาหัวเราะ


 


ชิงสุ่ยเขกหัวของนางเบาๆและยิ้ม “สัญญากับข้าว่าเจ้าจะฝึกฝนอยู่ที่นี่เท่านั้น เจ้าอยากเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์เร้นลับหรือไม่? นี่เป็นทางเลือกของเจ้า อีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อเจ้าต้องการความช่วยเหลือจงไปหาพวกนาง ตกลงไหม?”


 


ชิงซาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ก็จะเชื่อฟังท่านพ่อ ตราบใดที่ท่านหาเวลาว่างมาเยี่ยมข้าบ้าง”


 


“ข้าจะสัญญากับเจ้าในเรื่องนี้ อย่ากังวลไปเลย มันง่ายยิ่งนักสำหรับข้าที่จะกลับมาที่นี่” ชิงสุ่ยนั้นมีรองเท้า 9เทวา เขาย่อมใช้เวลาไม่มากนักในการเดินทางกลับมาที่นี่ด้วยผลของทักษะย่างก้าว 9เทวา แม้ว่าจักรวรรดิเดชสวรรค์อาจจะอยู่ห่างไกลจากสำนักสวรรค์เร้นลับ มันก็ยังคงอยู่ในระยะที่ชิงสุ่ยนั้นรับได้


 


ในยามเช้าชิงสุ่ยตรงไปยังลานประลองสวรรค์เร้นลับ ชายชรา 2 คนจากก่อนหน้านี้ก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ในตอนนี้การรับรู้ทางจิตวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวของชิงสุ่ย นั้นสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของอาจารย์ใหญ่เฉาได้รางๆ มันคือพลังประมาณ 5,000 สุริยาหรือใกล้เคียง


 


อาจารย์ใหญ่เฉานั้นถือเป็นอาจารย์ใหญ่ไม่กี่คนของสำนักสวรรค์เร้นลับ สำหรับพลังของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ชิงสุ่ยก็สัมผัสมันได้อย่างไม่ชัดเจนเช่นกัน เขาไม่อาจรับรู้ได้ถึงพลังที่แท้จริงของคนพวกนี้ได้ แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้นั้นคือคนพวกนี้นั้นทรงพลังยิ่งกว่าอาจารย์ใหญ่เฉา


 


เมื่อได้เห็นชิงสุ่ย ผู้อาวุโสทั้ง 2 คนก็ได้ตกตะลึงไป ชายชราในชุดมังกรทองยิ้มอย่างมีความสุข “ชิงสุ่ย ดูเหมือนข้าจะคิดถูก ข้าสงสัยจริงๆว่าเจ้ามีพลังมากเพียงใดในตอนนี้?”


 


อันที่จริงแล้วชายชรานั้นอยากรู้อย่างยิ่ง เพราะว่าในตอนนั้นชิงสุ่ยสามารถประลองกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังมากกว่า 2,100 สุริยาได้อย่างสูสี ด้วยพลังเพียง 500 สุริยาของเขาและพลัง 1,000 สุริยาของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ


 


“ข้าสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธที่มีพลัง 4,000 สุริยาได้อย่างง่ายดาย สำหรับ 5,000 สุริยา ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเช่นกัน แต่ข้าย่อมป้องกันตัวเองได้แน่นอน!” ชิงสุ่ยรู้ว่าในตอนนี้ เขาต้องพูดเรื่องนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังของเขา


 


ชายชราดูไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่และพยักหน้า “สำนักสวรรค์เร้นลับจะเป็นโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้า อย่างน้อยก็ในตอนนี้มันยังคงสามารถเป็นเช่นนั้นได้ ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะทำให้หญิงสาวของพาไลหิมะหวนนั้นแข็งแกร่งขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นถ้าจะมอบสำนักสวรรค์เร้นลับให้แก่นาง”


 


ชิงสุ่ยมองไปยังชายชราด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด “ท่านผู้อาวุโส ท่านเชื่อมั่นในข้าเพียงนั้นเชียวหรือ? ท่านไม่กลัวงั้นหรือว่าข้าจะช่วงชิงสำนักสวรรค์เร้นลับของท่านไป? ท่านไม่กลัวว่าข้าอาจจะเป็นสายลับที่มาจากจักรวรรดิอื่นๆหรือ?”


 


“ฮ่าฮ่า เจ้าประเมินสายตาของข้าต่ำไป หลังจากผ่านไป 10 ปีหรืออาจไม่นานถึงเพียงนั้น สำนักสวรรค์เร้นลับย่อมไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสนใจอีกต่อไป นอกจากนี้ข้ายังมั่นใจว่าข้ามองคนไม่ผิด หรือมิฉะนั้นข้าจะกำจัดเจ้าให้เร็วที่สุด ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สำนักสวรรค์เร้นลับจะตกอยู่ในมือของเจ้า”


 


ชายชรากล่าวขึ้นอย่างสงบนิ่ง


 


เมื่อชิงสุ่ยได้ยินคำพูดของชายชรา ไม่ใช่แค่เขาไม่โกรธ แต่ตรงกันข้ามเลยชายชราผู้นี้เป็นคนที่จริงใจยิ่งนัก นี่คือชายชราผู้ที่ทุ่มเทหัวใจทั้งหมดของเขาให้กับสำนักสวรรค์เร้นลับ เขาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะช่วยดูแลสำนักสวรรค์เร้นลับให้ดีที่สุด”


 


ทั้ง 3 คนเริ่มดื่มชากันและพูดคุยถึงเรื่องตัดต่อ ในทางกลับกันชิงสุ่ยก็มีเรื่องที่อยากจะถามมากมาย ดังนั้นเขาจึงถามคำถามที่เขาได้คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา


 


“ผู้คนของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกจะเดินทางไปยังอีก 3 มหาทวีปได้เช่นไร?”


 


“ครึ่งหนึ่งของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกนั้นเป็นพื้นที่ที่พวกเรากำลังอยู่ในตอนนี้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของมหาทวีปนี้เป็นพื้นที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น หลังจากที่เจ้าได้ผ่านดินแดนเทือกเขาสันโดษไป เจ้าจะต้องไปถึงอีกครึ่งหนึ่งของมหาทวีปนี้ หนทางเดียวที่จะไปยังอีก 3 มหาทวีปนั้นคือต้องผ่านอีกครึ่งหนึ่งของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกไป อย่างแรกคือต้องผ่านอีกครึ่งหนึ่งของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกไปก่อน มันอาจจะฟังดูง่ายแต่การเดินทางนั้นช่างอันตรายยิ่งนัก” ชายชราในชุดมังกรทองกล่าวอย่างช้าๆหลังจากคิดครู่หนึ่ง


 


“มีเพียงทางเดียวกันหรือ?” ชิงสุ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง


 


“อย่างน้อยก็จากความรู้ของข้าก็มีแค่เพียงทางเดียว อันที่จริงแล้วโลก 9 มหาทวีปกว้างใหญ่เกินไป แต่ละมหาทวีปแบ่งแยกตามมหาสมุทรและหุบเขา แต่ก็ยังคงมีรูปแบบผสานบรรพกาลที่เชื่อมต่อทั้ง 5 มหาทวีปเข้ากับมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ตำนานได้กล่าวไว้ว่าเมื่อนานมาแล้วมหาทวีปอู่เซียตะวันตกงั้นก็เคยมีรูปแบบผสานบรรพกาลที่เชื่อมต่อกับอีก 3 มหาทวีปด้วยเช่นกัน แต่ตำนานก็ได้กล่าวอีกว่าอีก 3 มหาทวีปได้ทำลายรูปแบบนั้นไป พวกเขาได้ทำลายการเชื่อมต่อกลับมหาทวีปอู่เซียตะวันตกไปอย่างสมบูรณ์”


 


“มีผู้ใดเคยไปอีก 3 มหาทวีปในปีนี้หรือไม่?” ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากที่เขาคิดครู่หนึ่ง


 


“อื้ม อันที่จริงแล้วก็ควรมีคนที่มาจากอีก 3 มหาทวีปในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก เป็นเรื่องง่ายยิ่งนักสำหรับนักรบในตำนานที่เดินทางไปมาระหว่างมหาทวีปต่างๆ แต่มีน้อยยิ่งนักที่คนของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกจะสามารถเดินทางไปที่นั่นได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงเรื่องในตำนานเท่านั้น”


 


“หากข้าต้องการเดินทางไปยังอีก 3 มหาทวีปได้อย่างราบรื่นนั้นต้องมีพลังมากเพียงใดกัน?” ชิงสุ่ยมีความรู้สึกว่าเขาจะต้องไปที่นั่นในอนาคต ดังนั้นเขาจะรู้สึกว่ามันจะเป็นการดีที่สุดที่จะหาความรู้ในเรื่องนี้


 


“พลังที่มากกว่า 3,000 สุริยานั้นจะสามารถเริ่มเดินทางได้ แต่เจ้ายังคงต้องการความเร็ว ตัวอย่างเช่น สัตว์อสูรเวหาที่ทรงพลัง มิฉะนั้นจำนวนเวลาที่เจ้าจะต้องใช้ไปกับการเดินทางนั้นจะยาวนานยิ่งกว่าช่วงชีวิตของคนธรรมดา” ชายชราในชุดมังกรทองยิ้มขณะที่เขามองไปยังชิงสุ่ย


 


“การเดินทางนี้ดูเหมือนจะไกลยิ่งนัก” ชิงสุ่ยหัวเราะ


 


“มันไกลมาก เจ้าจะต้องใช้เวลา 20 ปีในการเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด แม้ว่าเจ้าอาจจะมีเวลาชีวิตที่ยืนยาว แต่เจ้าคงไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าตลอดการเดินทางครั้งนี้ได้”


 


20 ปี?


 


ชิงสุ่ยตกตะลึงไปในทันที เขาอาจจะมีระดับพลังที่สูงและมีชีวิตที่ยืนยาวแต่เวลา 20 ปีนั้นไม่ถือว่าสั้นเลย หากพูดถึงการเดินทางเพียงอย่างเดียว ความโดดเดี่ยว รวมไปถึงอันตรายที่ต้องเผชิญ มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทนรับได้ เมื่อมันเป็นการเดินทางที่ยาวนานเช่นนี้นั่นหมายความว่าต้องเผชิญกับอันตรายอย่างยาวนานเช่นกัน สิ่งที่เขาต้องข้ามผ่านไปนั้นรวมไปถึงมหาสมุทรขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน มันคือสิ่งที่อันตรายที่สุด หากเขาไม่ได้พบเกาะร้างใดๆ เช่นนั้นเขาก็ต้องใช้สัตว์อสูรเวหาจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนสลับในการเดินทาง


 


“ชิงสุ่ย หากเจ้าคิดจะไปยังอีก 3 มหาทวีปที่เหลือ ข้าอยากเสนอให้เจ้าค่อยคิดเรื่องนี้หลังจากผ่านช่วงนี้ไป” ชายชราแนะนำชิงสุ่ยด้วยเจตนาดี เขาไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น


 


“ขอรับ ถ้าทราบดี ข้ายังคิดที่จะอยู่ที่นี่อีกสัก 2-3 ปี”


 


……


 


ชิงสุ่ยกลับออกมาหลังจากที่เขาถามทุกๆสิ่งเกี่ยวกับจักรวรรดิเดชสวรรค์ เหตุผลหลักที่เขาแสดงให้ชายชราได้เห็นศักยภาพที่ซ่อนเร้นของเขานั่นก็เพื่อเพราะอิทธิพลภายในสำนักสวรรค์เร้นลับ นอกเหนือจากนั้นเขายังได้ถามเรื่องที่เขาอยากรู้เพื่อตนเองด้วยเช่นกัน


 


แต่ไม่นานหลังจากชิงสุ่ยกลับมาถึงบ้าน เขาก็ได้รับจดหมายท้าประลอง นี่เป็นจดหมายท้าประลองที่ส่งมาโดยกลุ่มคนที่รวมตัวกัน รายชื่อภายในนั้นประกอบไปด้วย ฟู่ เหยียนเทียน เทียน เจียนเซียน โจว ไป่ตง หยา เฟิงสุ่ย และอวี้ หูหวี่


 


คนเหล่าเทียบได้กับ 5 อันดับที่ทรงพลังที่สุดในสำนักสวรรค์เร้นลับ เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ นิกายโลกานฤเบศ โถงแห่งโจวเยว่… นอกจากนี้ยังเป็นไปได้มากว่าคนเหล่านี้ย่อมมีผู้นำที่ทรงพลังด้วยเช่นกัน


บทที่ 1251 – ก่อนเริ่มการประลอง ยอมรับคำท้าทาย


 


ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าจะมีใครเข้ามาและกล้าท้าทายกับเขาในขณะที่เขาพึ่งก้าวข้ามขีดพลัง นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือชะตาได้วางแผนเอาไว้? อย่างไรก็ตามเขาเองก็รู้สึกมีความสุขจริงๆก่อนที่เขาจะจากไป เขาเองเคยรู้สึกกังวลว่าจะสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองได้อย่างไร มันเปรียบเสมือนอาหารที่มาวางตรงหน้าคนที่กำลังหิว


 


อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงกล้ารวมตัวกันและท้าทายเขา? มันเป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่เคยใกล้ชิดกับองค์หญิงใหญ่เมื่อครั้งก่อน? หรือพวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเหล่าชนชั้นสูงของนิกายสวรรค์เร้นลับ หรือมาในตัวแทนแขกของแดนศักดิ์สิทธิ์?


 


หัวใจของชิงสุ่ยก็สูบฉีดขึ้นอีกครั้งทันทีที่เขาเห็นชื่อรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ มันคงเป็นไปได้ว่าเขาคงรู้สึกว่าตัวเองประมาทจึงต้องการจะต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง หรืออาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาได้ส่งกับใครบางคนที่มีพลังนอกเหนือความสามารถที่พวกเขามี เช่น ถ้าหากชิงสุ่ยถูกสั่งสอนโดยคนระดับสูงของนิกายโลกานฤเบศและได้รับความพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะสามารถบอกได้ว่าชิงสุ่ยนั้นอ่อนแอกว่าพวกเขา


 


เพียงชั่วครู่เดียวความคิดที่แตกต่างของชิงสุ่ยก็เป็นประกายอย่างต่อเนื่อง เขาไม่รู้สึกกังวลใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่หวาดกลัวผู้ใด แต่เขาก็จะไม่ทำร้ายทุกคน เพราะยังมีองค์หญิงใหญ่ ชิงซา และคนอื่นๆอาศัยอยู่ที่นี่อีก


 


ในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังคบคิดเรื่องเหล่านั้น เทียน เจียงก็ได้มาถึง เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเขาจะมีความสงบและมั่นคงมากขึ้น อย่างไรก็ตามคิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นจดหมายท้าทายในมือของชิงสุ่ย เขาพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “นี่คงเป็นความปรารถนาของพี่ใหญ่ ข้าคงไม่อาจหยุดเขาได้”


 


“จะหยุดเขาไปทำไม? หรือว่าเจ้าไม่เชื่อใจในนิกายโลกานฤเบศ?”ชิงสุ่ยถามเทียนเจียงอย่างฉับพลัน


 


“ข้าไม่เข้าใจ?”เทียนเจียงดูตกใจและจับจ้องสายตาไปที่ชิงสุ่ย


 


“ข้าจะบอกว่า ถ้าหากพี่ชายของท่านพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้ และผลจบลงคือการท่านได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ควบคุมนิกายโลกานฤเบศ ท่านจะสามารถควบคุมมันได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยวางจดหมายลงบนโต๊ะหิน


 


“น้องชาย ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้านั้นยังคงไม่มากพอที่จะสามารถควบคุมนิกายโลกานฤเบศได้”เทียนเจียงถอนหายใจ


 


“อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้ายังคงรอได้อีกนาน”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว


 


เทียนเจียงรู้สึกได้ว่าปัจจุบันชิงสุ่ยเป็นคนที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แม้ว่ามันจะดูคาดเดายากแต่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจเชื่อได้เช่นกัน คราวนี้มีคนเพียงไม่กี่คนมารวมตัวเพื่อท้าทายเขา หลายๆคนบอกว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายประมาทเมื่อครั้งล่าสุด ดังนั้นถ้าหากครั้งนี้ชิงสุ่ยยอมรับคำท้า ผลลัพธ์ที่จะจบลงก็คงไม่ดีสำหรับเขา


 


“พี่ชาย ได้โปรดช่วยข้าส่งข้อความนี้ไปบอกพวกเขาว่า ข้ายอมรับคำท้า แต่จะต้องแลกมาด้วยการเดิมพันบางสิ่งบางอย่าง”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว


 


“น้องชาย แม้ว่าเจ้าจะปฏิเสธคำท้าครั้งนี้คนนอกก็จะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทำไมเจ้าถึงไม่ปฏิเสธมัน?”เทียนเจียงพยายามโน้มน้าว


 


“ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เป็นไร ได้โปรดช่วยข้าส่งข้อความนี้ให้กับพวกเขาด้วย ขอเพียงแค่พวกเขาสัญญา ข้าก็จะยอมรับคำท้าครั้งนี้ การเดิมพันจะทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ บอกพวกเขาว่าไม่ต้องกังวล”ชิงสุ่ยยิ้มครั้งนี้เขาคิดที่จะช่วยปูทางให้กับองค์หญิงใหญ่


 


เทียนเจียงหยุดที่จะโต้แย้งกับชิงสุ่ยเพราะเขารู้ดีว่าชิงสุ่ยจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความคิดในสิ่งที่เขาตัดสินใจไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้ดีว่าชิงสุ่ยเป็นคนที่จะไม่ทำอะไรถ้าหากไม่มั่นใจ


 


เมื่อเขามาครั้งแรก เขาสังเกตเห็นทันทีว่าชิงสุ่ยนั้นแตกต่างไปจากเดิม แม้จะไม่ค่อยมั่นใจ แต่อย่างน้อยความสัมพันธ์ที่เขามีกับชิงสุ่ยก็ได้พัฒนาไปอีกก้าว


 


” พรุ่งนี้เที่ยงที่ลานประลองสวรรค์เร้นลับ”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวยืนยันเวลากับเทียนเจียง


 


การที่ชิงสุ่ยยอมรับคำท้าทาย มันจึงส่งผลให้ชื่อของเขากระจายไปทั่วนิกายสวรรค์เร้นลับอีกครั้ง


 


ผู้คนมากมายต่างพูดถึงหลังจากผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว ตอนนี้ไม่มีใครกล้าดูถูกชิงสุ่ยอีก เขาสามารถบังคับให้เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกันเพื่อท้าทายกับผู้อื่น อีกทั้งเขายังดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิทักษ์อิสระซึ่งเป็นตำแหน่งที่แสนพิเศษ


 


………………..


 


“น้องชายซุย เจ้าจะเข้าร่วมเป็นสักขีพยานอีกหรือไม่?”ชายชรานามสกุลเฉาระเบิดเสียงหัวเราะขณะกล่าว


 


“ท่านคิดว่ามันยังมีความหวังลงเหลืออีกอยู่หรือ?”


 


“ข้าคิดว่าไม่นะ ดูเหมือนช่องว่างจะกว้างเกินไป”


 


“มันก็จริง แต่อีกเส้นทางหนึ่งคือการดูแลสาวน้อยคนนั้นให้ดีที่สุด ในอนาคต เธอจะเป็นผู้ครอบครองนิกายสวรรค์เร้นลับ เมื่อเธอได้ปกครองที่แห่งนี้ มันจะกลายเป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก นิกายสวรรค์เร้นลับก็อาจจะมีกำลังมากพอที่จะก้าวขึ้นไปสู่อีก 3 ทวีป นี่แหละคือโอกาส”


 


“เจ้ากำลังพูดถึงเจ้าหนูน้อยซูหนี่รึ?” ชายชราสกุลเฉาถามด้วยท่าทีที่แปลกไป


 


“ฮ่าๆ เรื่องนี้ยังต้องน่าสงสัยอีกหรือ? เจ้าก็ดูนั่นสิ อนาคตของเจ้าหนูซูหนี่จะต้องถูกช่วยเหลือโดยเจ้าเด็กนั่น”ชายชราในชุดมังกรทองกล่าวพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะ


 


………………………..


 


“เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ!!”องค์หญิงใหญ่แสดงความตกใจเมื่อเห็นชิงสุ่ย


 


“ข้าดูหล่อขึ้นใช่ไหมล่ะ?”ชิงสุ่ยรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว


 


“ผิวหนังของเจ้าดูซีดจาง แถมยังนุ่มนวลราวกับเด็กผู้หญิง”องค์หญิงใหญ่กล่าวอย่างจริงจัง


 


“นี่ข้าเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?…..”


 


เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชิงสุ่ย เธอก็เอื้อมมือของเธอไปลูบหัวเขาก่อนจะดึงมือกลับ


 


“นี้เจ้ากำลังจะขึ้นต่อสู้อีกแล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้ามันใจหรือไม่ว่าเจ้าจะเอาชัยชนะมาได้?”องค์หญิงใหญ่กล่าวขณะที่เดินไปรอบรอบ


 


“ท่านก็รู้จักข้านี่ ข้าเคยทำอะไรที่ข้าไม่มั่นใจอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยกล่าวตอบ


 


“เป็นเช่นนั้นก็ดี แล้วก็ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะจากที่นี่ไปก็บอกข้าด้วย ข้าจะเป็นคนไปส่งเจ้าเอง!!”องค์หญิงใหญ่ยิ้มขณะมองหน้าชิงสุ่ย


 


“ท่านกำลังคิดถึงข้าอย่างนั้นรึ?”ชิงสุ่ยก้าวเท้าตรงไปยืนอยู่ข้างหน้าเธอ


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? ข้าไม่เห็นจำเจ้าได้เลย”องค์หญิงใหญ่ยิ้มขณะกล่าว


 


“ข้าขอถามอะไรท่านสักอย่างได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลกๆ


 


“ถามอะไรหรือ?”องค์หญิงใหญ่รับรู้ได้ถึงรูปลักษณ์ที่ดูแปลกไปของชิงสุ่ย


 


“ข้าสามารถบอกได้ว่าทุกคนล้วนมีอารมณ์ส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่ทราบว่าท่านเคยคิดถึงใครสักคนหนึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาหรือไม่? เช่นการที่ท่านฝันถึงใครสักคนนึง”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างตั้งใจขณะที่มองไปที่องค์หญิงใหญ่ ถ้าหากท่าทางของเธอเปลี่ยนไป เขาก็จะหยุดคำพูดลง


 


“เจ้าต้องการคำตอบเช่นไร?”องค์หญิงใหญ่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆราวกับว่าเธอไม่มีความรู้สึก แต่เธอกลับถามคำถามชิงสุ่ยกลับข้อหนึ่ง


 


“ข้าต้องการคำตอบที่แท้จริง”


 


“แล้วเจ้าสามารถแยกแยะระหว่างคำตอบที่แท้จริงกับคำตอบจอมปลอมได้หรือ?”


 


“ไม่!!”


 


” ก็ดี เช่นนั้นเจ้าก็จงบอกคำตอบที่เจ้าอยากได้ยิน ข้าจะได้ตอบในสิ่งที่เจ้าต้องการไม่ดีกว่าเหรอ?”องค์หญิงใหญ่ตอบพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย


 


” ดูเหมือนมันจะสมเหตุสมผลดี ถ้าเช่นนั้นข้าก็อยากให้ท่านตอบว่าท่านมีอารมณ์ และคนที่ท่านมักจะฝันถึงก็คือชายที่ชื่อว่าชิงสุ่ย และทุกครั้งที่ท่านฝัน ท่านก็จะจมลงสู่ความสุขที่ครอบงำพร้อมกับความรู้สึกทางเพศที่ท่านต้องการ……….”


 


ก่อนที่ชิงสุ่ยจะกล่าวจบ องค์หญิงใหญ่ก็เม้มปากของเธอ


 


เธอไม่คาดคิดว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้จะไม่ค่อยมีมารยาท และเขาก็แสดงความกล้าหาญออกมา โดยการที่เขาประทับปากของเขาลงบนปากของเธอและเริ่มแลกลิ้นผ่านช่องปากของเธอ ผนวกกับมือที่ค่อนข้างซุกซน ในตอนนี้องค์หญิงใหญ่ถูกเติมเต็มไปด้วยความตกใจ


 


“เจ้าไม่ให้ความเคารพข้าเลย”องค์หญิงใหญ่ลดศีรษะของเธอลงและกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่


 


หัวใจของชิงสุ่ยหยุดเต้นไปชั่วขณะ พร้อมกับยื่นแขนทั้งสองข้างไปจับที่ไหล่ของเธอและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ ข้ายังคงเคารพการกระทำท่านอยู่เสมอ แต่ด้วยเพราะเหตุผลบางประการมาทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้มองเห็นใบหน้าอันขี้อายขอท่าน ข้าจะปฏิบัติต่อท่านเฉกเช่นคู่รักที่พร้อมจะแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าท่านจะบอกว่าท่านจะไม่แต่งงาน แต่ข้าก็จะเป็นคนเติมเต็มส่วนที่ขาดหายให้ท่านเอง”


 


เมื่อองค์ยืนใหญ่ได้ยินคำพูดของชิงสุ่ยร่างกายของเธอก็เริ่มสั่นสะท้าน เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองการกระทำที่รุนแรงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นเธอก็ยิ้มอย่างนิ่มนวล “ข้าไม่เคยคิดที่จะแต่งงาน แต่ถ้าหากเจ้าต้องการทำเช่นนั้น ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้า”


 


“แล้วท่านลืมความจริงเรื่องที่ข้ามีภรรยาอยู่แล้วได้อย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยจ้องมององค์หญิงใหญ่ด้วยความสับสน ความคิดของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้


 


“ข้าไม่ได้ยึดติดอยู่กับสิ่งที่อยู่รอบตัวเจ้า นอกจากนี้ข้าก็แค่อยากบอกว่า เจ้าอย่าได้คิดไม่ซื่อ มิฉะนั้นข้าจะไม่สนใจเจ้าไปอีกตลอดชีวิต”องค์หญิงใหญ่เผยรอยยิ้มที่แสนผ่อนคลาย


 


“เจตนาที่หยาบคาย? คิดไม่ซื่อ?”ชิงสุ่ยเสแสร้งแกล้งถามราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร


 


“อย่าถอดเสื้อของข้า……..” ดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่รู้ว่าเธอควรจะตอบสนองอย่างไรให้เหมาะสม เธอรู้ว่าชิงสุ่ยกำลังล้อเล่นกับเธออยู่ดูเหมือนเธอจะตระหนักได้ถึงแผนการของชายคนนี้


 


“โอ้ ข้ารู้ แต่ถ้าหากข้าไม่ถอดเสื้อผ้าออกแล้วข้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการได้อย่างไร?”ชิงสุ่ยถามกลับด้วยรอยยิ้ม


 


เมื่อองค์หญิงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นเธอก็รีบกล่าวต่อว่า “เจ้าหนูน้อย ความห้าวหาญของเจ้าช่างมากจริงๆ”


 


“ข้ากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับผู้อื่น แม่นางซู ได้โปรดสร้างแรงจูงใจให้ข้าด้วยเถิด”ชิงสุ่ยเผยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย


 


องค์หญิงใหญ่ยังคงเดินหน้าต่อและเริ่มกอดชิงสุ่ย จากสิ่งที่เธอกล่าวมาก่อนหน้านี้ถือได้ว่ามันเป็นสัญญาที่มีต่อชิงสุ่ย ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกแล้วว่าการมีปฏิสัมพันธ์ในครั้งนี้คือสิ่งที่น่าเกลียด


 


ชิงสุ่ยมองหน้าอันงดงามของเธอก่อนจะเริ่มบรรจงจูบอีกครั้ง กลิ่นหอมพร้อมกับผิวที่นุ่มเรียบลื่นยิ่งทำให้มือของเขาซุกซน และทำให้องค์หญิงใหญ่ตกตะลึง


 


ผลกระทบยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เธอมองดูชิงสุ่ยเธอก็ลดศีรษะลงแนบที่หน้าอกของเขา  ต่างฝ่ายต่างโอบกอดซึ่งกันและกัน


 


ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงยอดปทุมถันที่กระชับและความนุ่มนวลทั่วร่างกาย เขาไม่อาจต้านทานการแข็งตัวขององค์ชายตัวน้อยของเขาได้อีกต่อไป มันเริ่มกดลงทับจุดซ่อนเร้นที่แสนงดงามของเธอ


 


ทันทีทันใดที่ส่วนสำคัญของเขาสัมผัสกับร่างกายของเธอ ร่างกายที่แสนงดงามขององค์หญิงใหญ่ก็เริ่มสั่นระทวย ขาที่เรียวยาวของเธอแปรเปลี่ยนเป็นงูเข้ารัดรางกายของเขา องค์ชายตัวน้อยของชิงสุ่ยก็ค่อยๆขยับเหนือจุดซ่อนเร้น


 


ชิงสุ่ยสูดรับลมหายใจแห่งความเย็น นี่เป็นความรู้สึกที่แสนสบาย หลังจากที่เขาได้ดื่มด่ำกับความสุขอันแสนยาวนาน เขายังคงสวมกอดเอวสาวงามดูที่มือของเขายังคงจับอยู่บริเวณก้นที่นุ่มนวลดุจหยก


 


“ถ้าหากเจ้าพยายามทำอะไรเกินเลยมากกว่านี้ ข้าจะจากไปทันที”


 


เสียงที่แสนนุ่มนวลและอ่อนโยนขององค์หญิงใหญ่ดังขึ้น


 


ถึงแม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่วัตถุที่ตั้งตระหง่านกำลังกระตุ้นราวกับว่ามันกำลังเคลื่อนไหวขึ้นลงเล็กน้อย


 


อ้อมแขนของชิงสุ่ยโอบกอดก้นอันทรงเสน่ห์ของเธอ เขาลดศีรษะลงพร้อมกับสายตาพร่ามัว ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงพร่า และเธอก็สวมกอดแขนทั้งสองข้างของเธอลงบริเวณข้างคอของชิงสุ่ย เธอต้องการขยับร่างกายของเธอขึ้นเล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์ในส่วนล่าง


 


แต่อย่างไรก็ไม่ทราบ ยิ่งเธอพยายามขยับเขยื้อนมากเท่าไหร่ร่างกายทั้งสองอย่างแออัดมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เธอจะสมเสื้อผ้าแต่ความปรารถนาอันแรงกล้าของชิงสุ่ยก็ส่งผลถึงเธออย่างเห็นได้ชัด เขาเหมือนคนที่กำลังจะอดตายทั้งทั้งที่เห็นเนื้อปรุงสุกแสงอร่อยอยู่เบื้องหน้า แต่สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้คือการเลียสัมผัสแต่ไม่อาจกัดกินมัน


 


แม้เวลาจะผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแต่สิ่งเดียวที่ชิงสุ่ยทำได้คือการโอบกอดหญิงสาวโฉมงาม จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนโชกอยู่ด้านล่างตัวเขา แต่มันไม่ได้มาจากเขา มันมาจากหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนซึ่งกำลังสั่นเครือ


 


เธอช่างเป็นหญิงสาวที่แสนอ่อนไหวจริงๆ…………………


บทที่ 1252 – รางวัลแด่ผู้ชนะ เจ้าในตอนนี้เปรียบดั่งมดที่ข้าสามารถขยี้ได้ทุกเมื่อ


 


ชิงสุ่ยรับรู้ได้ว่าหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา ยังคงกอดเขาแน่นและไม่ยอมเคลื่อนย้ายไปไหน มันเป็นความสุขที่ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์


 


ร่างกายของชิงสุ่ยในตอนนี้ ราวกับกำลังถูกเผาไหม้ มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาอาจจะกระทำ? แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเลย อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะจบลงอย่างรวดเร็ว เขายังคงถูกเติมเต็มไปด้วยความรู้สึกเพลิดเพลินของร่างกายที่ถูกันไปมา แม้จะเป็นเพียงภายนอกแต่มันก็มีผลอย่างมากต่อจิตใจ


 


อย่างไรก็ตามการที่ได้สัมผัสกับสุภาพสตรีโดยเฉพาะหญิงงามที่มีใครเทียบได้ ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเขาพุ่งพล่านและอยากเพลิดเพลินกับการแสดงออกของเธอมากขึ้น


 


ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดที่หัวไหล่ก่อนจะได้ยินเสียงร้องอุทานดังขึ้น “เจ้าคนพาล!!”


 


ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงใหญ่จึงรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเธอจะกังวลเกี่ยวกับบริเวณส่วนล่างของชิงสุ่ยที่กำลังเปียกชื้น……………


 


องค์หญิงใหญ่ต้องการล้างเนื้อล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนตัวเขานั้นกำลังใช้ความพยายามทั้งหมดในการปราบปรามเปลวเพลิงที่แสนชั่วร้ายในร่างกายของเขา


 


การกระทำของเธอในตอนนี้ได้สูญเสียความสงบนิ่งเยี่ยมเย็น ชิงสุ่ยรู้ดีว่าชีวิตนี้เขาจะต้องพัวพันกับผู้หญิงคนนี้อย่างแน่นอน


 


เขาไม่สามารถต่อต้านความงามของเธอได้ เขายอมรับกับตัวเองว่าเขารู้สึกหลงใหลในตัวของเธอ ในเวลาเดียวกัน ความขัดแย้งที่แฝงอยู่ก็ทำให้ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าควรจะก้าวต่อหรือถอยหลังดี


 


แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ก็ตาม แต่ชิงสุ่ยย่อมรู้ดีว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจแบ่งปันใช้ที่ตนรักให้กับผู้อื่น แม้ว่าโลกนี้อยู่บนพื้นฐานแห่งความผิดปกติ แต่ชิงสุ่ยก็รับรู้ได้ถึงมุมมองเหล่านั้น


 


ในชีวิตก่อนเขาใฝ่ฝันถึงการมีภรรยาหลายคนรวมถึงนางสนม แต่ในสังคมเหล่านั้นการแต่งงานกับผู้หญิงหลายคนคือสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยและถือว่าเป็นสถานะที่เท่าเทียมกันทั้งสองคน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกมาตลอดว่ามันไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงของเขา


 


ตั้งแต่บัดนั้นจะถึงตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วสำหรับเขาที่จะมีภรรยาเพียงแค่คนเดียว นี่คือโชคชะตาของเขาที่คงถูกลิขิตเอาไว้ ชิงสุ่ยยังคงย้ำเตือนกับตนเองว่าเขาไม่ควรเพิ่มจำนวนผู้หญิงข้างกายและควรมุ่งมั่นที่จะชำระหนี้แค้นและมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ควรทำ


 


แต่ชายหญิงเปรียบเสมือนหยินและหยางของโลก ซึ่งทั้งสองอย่างล้วนมีเสน่ห์และดึงดูดซึ่งกันและกัน มนุษย์เปรียบดังสิ่งมีชีวิตที่หิวกระหายอาหารและความปรารถนา นี่คงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงตัณหาราคะ


 


การผสานระหว่างหยินและหยางคือศาสตร์แห่งความลึกลับ มันจะนำมาซึ่งพลังอันแสนพิศวง การแลกเปลี่ยนจิตใจและจิตวิญญาณของคนทั้งสองซึ่งนำไปสู่สรวงสวรรค์พร้อมจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง


 


ชิงสุ่ยสายหน้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะกลิ่นที่ค้างติดร่างกายของเขาอยู่นั้น เขาคงคิดว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา หลังจากรอเพียงชั่วครู่หนึ่ง เขาก็ไม่เห็นองค์หญิงใหญ่กลับมา ชิงสุ่ยรับรู้ได้ทันทีว่าเธอจะต้องรู้สึกเขินอายอย่างยิ่ง


 


เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งตรงไปยังห้องที่องค์หญิงใหญ่อยู่ และเคาะประตูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าปรากฏเป็นองค์หญิงใหญ่ที่สวมชุดวิหคเพลิงทองคำ เสน่ห์ของเธอเปล่งประกายออกมาผ่านชุดที่สวมใส่ พร้อมกับแก้มอมชมพูและดวงตาที่พร่ามัว เธอพยายามหลีกเลี่ยงการจ้องตากับชิงสุ่ย


 


“พี่สาวซูเป็นอะไรหรือไม่…….”


 


ทุกอย่างเป็นไปดั่งที่คาด องค์หญิงใหญ่ร่วมมือออกมาบิดหูข้างนึงของเขาและกล่าวว่า “เจ้าเด็กเล่ห์เหลี่ยม เจ้ากำลังจะทำอะไรกับข้า……”


 


“ข้าไม่ได้ทำอะไร ทุกอย่างดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอตัวไปทำอาหารก่อนล่ะ”


 


“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้นำเรื่องนี้ออกมาพูด”องค์หญิงใหญ่ยังคงแสดงความเขินอาย


 


ชิงสุ่ยฉวยโอกาสสวมกอดเธอและกระซิบข้างหูเบาๆว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้เจ้ารู้สึกดีหรือไม่?”


 


องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงกระเส่าว่า “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนี้ บางทีถ้าหากเจ้าทำผลงานได้ดี ข้าก็อาจจะมีรางวัลให้”


 


“ข้าชอบการได้รับรางวัล ถ้าหากข้าชนะ ท่านจะต้องให้รางวัลแก่ข้า”ความโลภปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงสุ่ย


 


“ถ้าหากเจ้าชนะ ข้าจะให้รางวัลกับเจ้า จงตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้และเอาชนะให้ได้ในวันพรุ่ง”


 


หลังจากกล่าวจบองค์หญิงใหญ่ก็ออกจากห้องของชิงสุ่ยไป


 


……………….


 


ช่วงเที่ยงของวันรุ่งขึ้นฝูงชนจำนวนมากได้มารวมตัวกันใกล้ๆลานประลองสวรรค์เร้นลับ ภาพที่ปรากฏเต็มไปด้วยชีวิตที่ถูกเติมเต็มไปด้วยความสนุก ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้รับชมการต่อสู้ที่แสนน่าตื่นเต้นบนลานประลองสวรรค์เร้นลับในระยะเวลาอันสั้น


 


คราวนี้ ชิงสุ่ยไม่ได้มาสาย อีกทั้งเขายังมาก่อนเวลาถึง 15 นาที เขานั่งอยู่ใกล้กับผู้คนจากพาไลหิมะหวน ซึ่งผู้คนภายในพาไลหิมะหวนแตกต่างจากครั้งก่อนมาก ชิงสุ่ยได้บอกให้องค์หญิงใหญ่รับสมัครผู้คนโดยตั้งเงื่อนไขที่สูงขึ้นสำหรับการเข้าร่วม เป้าหมายหนึ่งก็คือการสร้างความสามัคคีภายในพาไลหิมะหวน และทำให้พวกเขารู้สึกว่าทุกคนคือครอบครัวใหญ่


 


ชิงสุ่ยปรากฏตัวขึ้นเป็นคนแรกบนลานประลองสวรรค์เร้นลับ จากนั้นเขาก็ชูกำปั้นขึ้นและชี้ออกไปทางผู้คนที่อยู่ด้านล่างลานประลอง


 


“ในวันนี้ ข้ามาที่นี่ก็เพราะ เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ นิกายโลกานฤเบศและคนจากหอจันทรา พวกเขาได้ส่งจดหมายท้าทายแก่ข้า ข้าจะไม่พูดมาก ผู้เข้าร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบชีวิตและความตายของตนเอง ผู้ที่พ่ายแพ้จะต้องยอมรับเงื่อนไขของผู้ชนะเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด แน่นอนว่ามันก็ขึ้นอยู่กับผู้ชนะว่าจะตัดสินใจยอมรับมันหรือไม่”ชิงสุ่ยกล่าวข้อตกลงคือจำกัดให้กับผู้คนได้ยิน


 


“หยิ่งยโสเหลือเกิน มันก็เป็นเพียงเด็กที่โชคดีคิดหรือว่าจะสามารถต่อต้านเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้?”


 


” เขาช่างเป็นคนที่หยิ่งยโสเหลือเกิน มันคิดว่าตัวเองอยู่สูงส่งกว่าผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?”


 


“อีกเดี๋ยว มันก็คงรู้ตัวว่าชีวิตกำลังจะดับสิ้น”


 


“ชิงสุ่ย พวกเราเชื่อใจในตัวเจ้า ล้มพวกมันซะ พวกมันก็แค่อวดอ้างชื่อเสียงข่มขู่ผู้อื่นไปทั่ว”


 


“ถูกต้องพวกมันเอาแต่กลั่นแกล้งผู้อื่นผู้คนมากมายรอคิดบัญชีกับพวกมัน”


 


…………..


 


ฟู่ เหยียนเทียนทะยานลงสู่ลานประลองสวรรค์เร้นลับ และเหลือบมองไปทางชิงสุ่ยด้วยความสงบ


 


“วันนี้เจ้าจะต้องระมัดระวังให้มาก ครั้งนี้ ข้าจะไม่ออมมือแล้ว”ฟู่ เหยียนเทียนจ้องมองชิงสุ่ย พร้อมทั้งหยิบง้าวสงครามออกมา


 


“ถ้าหากเจ้าแพ้ เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องรับใช้ภายใต้คำสั่งพาไลหิมะหวน”ชิงสุ่ยเปล่งวาจา


 


ฟู่ เหยียนเทียนรู้สึกทึ่ง เหตุผลก็เพราะสิ่งที่ชิงสุ่ยได้กล่าวออกมาเป็นสิ่งที่ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน


 


“จะทำอย่างไรถ้าหากเจ้าพ่ายแพ้?”


 


“ถ้าหากข้าพ่ายแพ้ เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการกับตัวข้า”ชิงสุ่ยกล่าวตอบ


 


“เอาล่ะทุกคนจงเป็นสักขีพยาน พวกเรามาเริ่มกันเถอะ”ฟู่ เหยียนเทียนก้าวไปข้างหน้าและกล่าววาจาให้ทุกคนได้ยิน


 


” โปรดแสดงกระบวนท่าของเจ้าเถิด มิฉะนั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นอีก”คำพูดของชิงสุ่ยส่งผลให้ฟู่ เหยียนเทียนแสดงปากที่บิดเบี้ยว ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งเดียวกันกับที่เขาได้กล่าวไว้เมื่อครั้งที่แล้ว


 


“เดี๋ยวเจ้าจะได้เห็นดีกัน!!”


 


ฟู่ เหยียนเทียนปลดปล่อยพลังแห่งความห้าวหาญทั้งหมดออกมาพร้อมทั้งเปิดการใช้งานของเกราะอสูรสำแดง แสงสว่างอันร้อนแรงถูกระเบิดออกมาอย่างรวดเร็ว ง้าวสงครามที่อยู่ในมือของเขาเริ่มทอแสงและเคลือบไปด้วยเจตนาแห่งการฆ่าฟัน


 


“มาดูกันว่าเจ้าสามารถปกป้องตัวเองได้หรือไม่ เจ้าจะสู้กับข้าได้อย่างไรถ้าหากเจ้าไม่นำอสูรของเจ้าออกมา?”


 


คราวนี้ชิงสุ่ยไม่ได้เรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมา ฟู่ เหยียนเทียนจึงพยายามที่จะทำให้ชิงสุ่ยพิการภายในกระบวนท่าเดียว


 


กระบี่ดารายุพฆาต!!!!


 


รูปแบบ8ดาราคล้อย 8 สวรรค์!!!


 


ฝ่ามือพุทธองค์ทองคำสะท้านที่ 7


 


ฝ่ามือทองคำขนาดยักษ์ทั้ง 7  ผสานกันเป็นรูปดอกบัว เข้าโอบล้อมฟู่ เหยียนเทียนที่กำลังถือง้าวสงคราม


 


ความสามารถในการคุมขังของชิงสุ่ยไม่เพียงแต่จะสามารถจัดการกับฟู่ เหยียนเทียนที่มีพลัง 2000 สุริยา แต่เขายังสามารถคุมขังผู้คนที่มีพลังมากถึง 4000 สุริยาได้ และยิ่งผสานเข้ากับ รูปแบบ8ดาราคล้อย 8 สวรรค์แล้ว ยิ่งสร้างความอันตรายเป็นทวีคูณ


 


“เจ้าในตอนนี้เปรียบดั่งมดที่ข้าสามารถขยี้ได้ทุกเมื่อ!!!”ชิงสุ่ยจ้องมองฟู่ เหยียนเทียนที่ถูกกักขังและกล่าวอย่างสงบนิ่ง


 


ฟู่ เหยียนเทียนทำได้เพียงแค่ตกตะลึง ในเมื่อเขาถูกคุมขังด้วยพลังพลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าแลh;เขาจะต่อสู้ได้อย่างไร? สำหรับการคุมขังโดยผู้ที่มีพลังปราณจิตสูงกว่าการทำลายจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง นั่นก็หมายความว่าชิงสุ่ยย่อมสามารถสังหารเขาได้โดยง่าย


 


เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เขาแข็งแกร่งขึ้นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดเมื่อต้องเจอกันในครั้งก่อน


 


“ฟู่ เหยียนเทียน จงเลือกทางของเจ้าซะ เจ้าจะต่อสู้ต่อหรือจะยอมสวามิภักดิ์ต่อพาไลหิมะหวน”


 


ความเงียบกำลังครอบงำหลงเหลือเพียงแค่เสียงลมหายใจและอาการหอบที่ผิดปกติ


 


ฟู่ เหยียนเทียนตกอยู่ในอาการท้อแท้โดยสิ้นเชิง เขาพ่ายแพ้เพียงกระบวนท่าเดียว นี่หรือคือคนที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะ? อัจฉริยะที่ได้รับพรจากสวรรค์ ในช่วงขณะ เขาก็เริ่มเข้าใจในบางสิ่งบางอย่าง


 


“ปุ!!!”


 


เลือดสดๆไหลออกอย่างรวดเร็ว ร่างกายของฟู่ เหยียนเทียนซูบผอมขาดความมีชีวิตชีวา จุดตันเถียนกำลังรั่วไหล เขากำลังจะกลายเป็นคนพิการ แม้ว่าจะไม่ตายแต่ก็พิการไปตลอดชีวิต


 


ชิงสุ่ยไม่ได้บังคับใดๆทั้งสิ้น เขาทำได้แค่ตอนหายใจและเฝ้าดูฟู่ เหยียนเทียนถูกหามออกจากลานประลอง ตระกูลฟู่เองก็ไม่อาจเชื่อสายตาตัวเอง อนาคตของพวกเขากำลังเสื่อมโทรมลง


 


” เทียน เจียนเซียน ขึ้นมาเถิด!!!”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับหันไปทาง นิกายโลกานฤเบศ


 


ชายรูปร่างสูงโปร่งและดูห้าวหาญปรากฏตัวขึ้นกลางลานประลองสวรรค์เร้นลับ ลักษณะภายนอกอาจดูคล้ายกับเทียนเจียงแต่กลิ่นอายที่พิศวงนั้นทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดคล้ายคลึงกับฟู่ เหยียนเทียน


 


ฟู่ เหยียนเทียนพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว เขาจะไม่ยอมให้ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นติดกัน 2 ครั้ง เรือที่ขับเคลื่อนขุมพลังมาเป็นเวลาหลายปีและจะต้องสูญเสียไปทั้งสองคนเป็นเรื่องที่รับไม่ได้


 


อย่างไรก็ตาม เทียน เจียนเซียนก็ไม่ได้ดีกว่า เขาเองก็รู้สึกท้อแท้เมื่อต้องก้าวขึ้นสู่ลานประลองสวรรค์เร้นลับ แม้ว่าเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งกว่าฟู่เหยียนเทียน แต่เขาก็ต้องยอมรับคำท้า และทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะให้ได้ ความพ่ายแพ้คือความอัปยศอดสูในสายตาของผู้ฝึกตน นอกจากนี้เขายังยืนอยู่ข้างเดียวกับผู้ที่ออกจดหมายท้ารบผู้อื่น นั่นก็ยิ่งทำให้การที่พวกเขาพ่ายแพ้ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับคลื่นน้ำแห่งความเยาะเย้ยอันแสนน่ากลัว


 


“เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำของนิกายโลกานฤเบศ จงช่วยเหลือน้องชายของเจ้าเพื่อให้เขาขึ้นมาเป็นผู้นำนิกายโลกานฤเบศคนใหม่ เขาเหมาะสมมากกว่าเจ้า ในอนาคต เขาจะต้องบรรลุในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ข้าสงสัยว่าเจ้าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูดหรือไม่?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว


บทที่ 1253 – ออกจากการประลอง ความสามารถที่เหนือกว่า นางสามารถท่องเที่ยวไปได้รอบโลก 9 มหาทวีป?


 


แม้ว่าคำพูดของชิงสุ่ยจะไม่น่าแปลกใจ แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเทียนเจียนเซียน ผู้นำนิกายเป็นความปรารถนาของเขา หากละทิ้งมัน เขาก็เหมือนเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ถ้าข้อตกลงสำหรับเขาเพียงเพื่อช่วยน้องชายที่มีพรสวรรค์ เขาคิดว่าจริงๆแล้วเขาสามารถเอาชนะน้องชายได้ในอนาคต เขาเพียงแค่ต้องการเวลานิดหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าน้องชายของเขาได้กลายเป็นผู้นำนิกายโลกานฤเบศ ด้วยทรัพยากรอันยอดเยี่ยมที่จะเข้าถึงได้ ความสามารถของน้องชายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากและในที่สุดก็จะเหนือเขาไปอีกในอนาคต


 


แม้ว่าเทียนเจียงจะเป็นน้องชายของเขา เทียนเจียนเซียนก็ไม่ต้องการให้น้องชายเหนือกว่า หากว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่เป็นผู้นำตระกูลเทียนอีกต่อไป


 


“ดูเหมือนว่าท่านคงไม่เต็มใจ เช่นนั้นมาต่อสู้กันเถอะ อย่างไรก็ตามข้าจะบอกท่านเอาไว้ล่วงหน้า ถ้าหากพวกเราสู้กัน ท่านจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต” คำพูดของชิงสุ่ยเต็มไปด้วยเจตนารมณ์ในการฆ่าฟันที่รุนแรง


 


ชิงสุ่ยไม่ต้องการที่จะสังหารเขาหรือทำให้พิการใดๆ


 


การทำให้เขามีชีวิตอยู่คือแรงผลักดันสำหรับเทียนเจียงที่จะก้าวไปข้างหน้า เมื่อวันที่เทียนเจียงมีความสามารถมากพอที่จะก้าวผ่านเทียนเจียนเซียน นั่นน่าจะเป็นวันที่เทียนเจียงเติบโตขึ้นแล้วอย่างแท้จริง


 


พลัง 3,000 สุริยาเป็นจุดใหญ่ที่ต้องข้ามผ่านไปจุดหนึ่ง  พลัง 2,000 สุริยาเป็นเพียงจุดเล็กๆ ผู้ที่ชื่นชมฟู่เหยียนเทียนและเทียนเจียนเซียนมักจะหยุดนิ่งอยู่ที่พลังประมาณ 2,000 สุริยา จุดๆไม่ใช่ทางที่ดีนัก แต่มันก็ไม่สำคัญ มีคนจำนวนมากที่ติดอยู่ที่นี่และไม่เคยบรรลุความก้าวหน้าตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา มันถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จะติดอยู่ในขั้นนี้เป็นเวลา 180 ปี


 


ฟู่เหยียนเทียนและเทียนเจียนเซียนติดอยู่ที่จุดนี้อย่างน้อย 15 ปี!


 


“ข้าเห็นด้วยกับข้อตกลงของเจ้า!” เทียนเจียนเซียนถอนหายใจ ตอนนี้ราวกับมีหนามพุ่งมาทิ่มแทงหัวใจเขา แต่อย่างน้อยมันจะไม่ทำให้เขากลายเป็นคนพิการ คนทั่วไปบอกว่าบุรุษจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรอ่อนข้อและหยุด อย่างไรก็ตามการยอมอ่อนข้อในวันนี้ทำให้เขาต้องจ่ายไปด้วยราคาที่สูงลิ่ว


 


ชิงสุ่ยไม่รู้สึกประหลาดใจกับผลดังกล่าว เขาพยักหน้าและเทียนเจียนเซียนก็เดินออกไปอย่างฉับพลัน


 


“ขี้ขลาด เจ้าไม่ได้มีความกล้าที่จะต่อสู้กับมัน”


 


“เทียนเจียงช่างไร้ค่า ข้าคิดว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับบุคคลภายนอกเพื่อขับไล่พี่ชายออกจากเส้นทางของเขา”


 


“มันมีอะไรแปลกๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เทียนเจียนเซียนเป็นผู้นำนิกายโลกานฤเบศ แต่เขากลับไม่สนใจเรื่องของเทียนเจียงเลย แม้พวกเขาทั้งสองจะเป็นพี่น้องกัน เทียนเจียนเซียนไม่อาจเทียบกับฟู่เหยียนเทียนได้”


 


“เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จบสิ้นแล้ว ข้าสงสัยว่านิกายโลกานฤเบศจะเป็นอย่างไร?”


 


“มีข่าวว่าเทียนเจียงทำข้อตกลงดีๆกับชิงสุ่ย ข้าสงสัยว่าชิงสุ่ยอาจเข้าไปควบคุมนิกายโลกานฤเบศ”


 


“ตั้งแต่ชิงสุ่ยที่สามารถเอาชนะรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ในกระบวนท่าเดียว เจ้าคิดว่าเขาจะมาคิดมากเรื่องนิกายโลกานฤเบศงั้นหรือ ถ้าหากเขาต้องการ แม้แต่การเข้าปกครองสำนักสวรรค์เร้นลับก็คงแค่ขึ้นอยู่กับเวลา”


 


“สำนักสวรรค์เร้นลับน่าจะคอยสนับสนุนเขา มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่แต่งตั้งเขาเป็นผู้พิทักษ์อิสระ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสามารถที่เป็นเลิศ”


 


“ถูกต้อง มันดูเหมือนว่าพาไลหิมะหวนจะทรงพลังมากขึ้นในอนาคต หลังจากวันนี้อำนาจของพาไลหิมะหวนจะเปลี่ยนไปและจะมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการเข้าร่วมด้วย”


 



 


ชิงสุ่ยยืนอยู่บนลานประลองสวรรค์เร้นลับและมองไปที่ผู้มีอิทธิพลทั้งสามเช่นหอจันทรา “ขึ้นมา ถ้าท่านสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะเข้าร่วมกับท่าน นั่นนับว่าเป็นชัยชนะที่ยอดเยี่ยมของท่าน”


 


คำพูดของชิงสุ่ยทำให้คนจำนวนมากถึงกับหนาวสั่น อย่างไรก็ตามพวกเขาเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเขาไม่ได้โอ้อวด ผู้ที่สามารถจัดการรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ในครั้งเดียวย่อมสามารถทำอะไรเช่นนี้


 


ชิงสุ่ยก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที เขาสามารถบอกได้ว่าทั้งสามคนไม่หลงเหลือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้มากนัก แต่เขาก็ยังต้องการที่จะทำอะไรบางอย่าง เขาหมุนเวียนพลังของเขาไปถึงจุดสูงสุดและกวัดแกว่งกระบี่ดารายุพฆาต


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือด!


 


เถาวัลย์อสูรกระหายเลือดขนาดใหญ่ดูน่ากลัวกว่าแต่ก่อน กิ่งก้านอันใหญ่จองมันมีสีแดงอมม่วง ขณะที่พวกมันพุ่งขึ้นในอากาศพร้อมด้วยหนามแหลมคมยาวกว่า 1 ฟุต เมื่อพวกมันสะบัดไปมาก็ทำให้เกิดเสียงอื้ออึง


 


ผู้ที่บรรลุถึงระดับหนึ่งจะสามารถสัมผัสภัยคุกคามของมันได้ แม้กระทั่งผู้ที่อ่อนแอด้านล่างลานประลองก็รู้สึกได้ว่าเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดช่างน่ากลัว ความรู้สึกนั้นราวว่ากับเถาวัลย์สามารถบดขยี้ภูเขาลงได้


 


ชิงสุ่ยแตะมันเบาๆด้วยกระบี่ดารายุพฆาตของเขาในขณะที่เขาเรียกว่าเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดขนาดใหญ่ออกมาอีกสองเถา นี่เป็นจำนวนที่มากที่สุดที่ชิงสุ่ย สามารถเรียกออกมาได้ในขณะนี้ เขาพยายามที่จะแสดงพลังของเขา


 


“พวกเรายอมรับความพ่ายแพ้ เสนอข้อตกลงของเจ้ามา หากพวกเราทำได้ พวกเรายินดียอมรับมันอย่างแน่นอน”


 


แม้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่สำหรับพวกเขามันจบลงแล้ว นิกายโลกานฤเบศยังถือว่าเปลี่ยนผ่านผู้กุมอำนาจได้ แต่กับผู้คนจากหอจันทรานั้นไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา


 


อย่างไรก็ตามพวกเขาอาจจบลงไม่สวยนัก นี่คือผลลัพธ์ของผู้แพ้


 


“ข้าไม่ได้มีข้อตกลงใดๆ พวกเจ้าแค่ต้องซื่อสัตย์ต่อสำนักสวรรค์เร้นลับ” ชิงสุ่ยกล่าวเบาๆ


 


ชิงสุ่ยรู้สึกหมดหนทางเช่นกัน องค์หญิงใหญ่ยังคงต้องการเวลาอีกสักเล็กน้อยเพื่อความก้าวหน้า ตราบใดที่เขาอยู่ใกล้ๆ มันก็ไม่มีอะไรต้องกลัว


 


“พวกเราจงรักภักดีต่อสำนักสวรรค์เร้นลับเสมอ”


 


“งั้นก็ดี อีกเรื่องหนึ่งข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพาไลหิมะหวน พวกเราจะทำให้สิ่งๆต่างสิ้นสุดลงในวันนี้!” หลังจากพูดแบบนั้น ชิงสุ่ยก็ค่อยๆเดินลงมา เมื่อเขากล่าวถึงตอนสุดท้าย ทั้งสามฝ่ายก็รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร


 


วันนี้สิ้นสุดลงแล้วและผลลัพธ์นี้ไม่ได้เกินความคาดหมายของเขา เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน พลังวิญญาณของเขาโดดเด่นและแม้จะไม่มีรูปแบบดาราจักร เขาก็ยังคงสามารถจัดการกับคนระดับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้


 


คราวนี้เขาจากไปพร้อมกับองค์หญิงใหญ่และคนอื่นๆ ชิงสุ่ยและชื่อเสียงของพาไลหิมะหวนแพร่กระจายออกไป ผู้ที่ประเมินสถานการณ์ได้ดีจะสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างชิงสุ่ยกับพาไลหิมะหวนและองค์หญิงใหญ่กับเขาได้


 


หญิงผู้ที่งดงามที่สุดในสำนักสวรรค์เร้นลับ ไม่เคยถูกผู้ใดทำให้ด่างพร้อยมาก่อน แม้แต่กับเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่นชอบเธอก็ยังทำไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตามในขณะนี้ดูเหมือนจะมีแนวโน้มว่าจะถูกใครบางคนแย่งชิงไป มันทำให้คนจำนวนมากจ้องมองไปที่ด้านหลังของชิงสุ่ยด้วยความอิจฉาอันยิ่งใหญ่


 


สิ่งต่างๆสิ้นสุดลงแล้วในวันนี้ ชิงสุ่ยวางแผนที่จะออกไปสักพัก มันควรจะเป็นวันพรุ่งนี้ แต่ถ้าเป็นภายหลังก็ไม่น่าจะเกิน 3วัน


 


ชิงสุ่ยปล่อยให้เธอกลับไปก่อนขณะที่เขาบินไปยังลานสวรรค์เร้นลับ


 


สำหรับชิงสุ่ย รูปแบบหมอกเก้าเทวาไม่ใช่สิ่งที่ท้าทายเกินไป หลังจากที่เขามาถึง เขาเห็นชายชราสองคนที่ดูเหมือนจะรู้ว่าเขามา


 


“มาเถอะ เจ้ามาเร็วกว่าที่พวกเราคาดไว้” ชายชราสวมชุดคลุมมังกรทองเรียกว่าชิงสุ่ยให้นั่ง


 


“พวกเขาช่างขี้ขลาดและไม่กล้าที่จะต่อสู้แม้สักนิด” ชิงสุ่ยส่ายหัว


 


“พวกเขาได้เห็นอะไรมากขึ้นและคงไม่สามารถผ่านมันไปได้ง่ายๆ จิตใจของพวกเขาตอนนี้ไม่มั่นคงและนี่ถือว่าเป็นบททดสอบสำหรับพวกเขา”


 


“โอ้ จริงสิ ชิงสุ่ย เจ้าจะออกไปงั้นหรือ?” ชายชราคนหนึ่งนามว่าเฉายิ้มและพูดกับชิงสุ่ย


 


“ใช่!”


 


“เมื่อใด?”


 


“ข้ากำลังคิดว่าอาจจะวันพรุ่งนี้หรือไม่เกินอีก 3 วัน”


 


“เช่นนั้นระวังตัวด้วย พวกเราคงไม่ต้องไปส่งเจ้า” ชายชราในชุดคลุมมังกรทองยิ้มและกล่าว


 


“ขอบคุณ ท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธี ยังมีบางสิ่งที่ข้าต้องขอคำชี้แนะจากท่าน” ชิงสุ่ยยิ้มและพูด


 


“มันคืออะไร? จงพูดมา เจ้าไม่ต้องมากพิธี หากเจ้าไม่คิดรังเกียจ เจ้าสามารถปฏิบัติต่อพวกเราทั้งสองเสมือนผู้อาวุโสในครอบครัวของเจ้าได้” ตอนนี้ชายชราผู้สวมชุดคลุมมังกรทองนั้นให้ค่ากับชิงสุ่ยมาก


 


“ข้าอยากรู้เรื่องประมุขอสูร” ชิงสุ่ยใช้ความคิดบางอย่างและกล่าว


 


“ประมุขอสูร?” ชายชราทั้งสองมองชิงสุ่ยด้วยความตกตะลึง


 


“ใช่ ข้าสงสัยว่าพวกท่านทั้งสองรู้อะไรหรือไม่?” ตอนนี้ชิงสุ่ยพูดกับพวกเขาต่างออกไป มันให้ความรู้สึกที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสามใกล้ชิดกันมากขึ้น


 


“ประมุขอสูรไม่ได้มาจากมหาทวีปอู่เซียตะวันตก พวกเรารู้เพียงว่านางเป็นผู้นำแห่งพระราชวังอสูร นางเป็นศัตรูกับผู้ที่ทรงอำนาจและชอบธรรมทั้งทวีป พวกเขาทั้งหมดต่างบอกว่านางเป็นปีศาจและพวกเราไม่รู้รายละเอียดนั้น มหาทวีปอู่เซียตะวันตกรู้เพียงข่าวลือเกี่ยวกับนางและพวกมันอาจไม่เป็นความจริง” ชายชรามองไปที่ชิงสุ่ยและกล่าวอย่างช้าๆ


 


“ชิงสุ่ย เจ้ารู้จักประมุขอสูรหรือ?” ชายชรานามเฉาถามด้วยความตกตะลึง


 


“ข้าเป็นคนทำลายผนึกของนางที่โลก 5 มหาทวีป”


 


ชิงสุ่ยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังข้อมูลนี้และกล่าวมันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามเมื่อเขากล่าวมัน สีหน้าของชายชราทั้งสองดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย


 


“พวกเราหวังว่าเจ้าจะไม่ออกตามหานางจนกว่าเจ้าบรรลุพลังระดับ 10,000 สุริยา โปรดจำไว้ว่าที่พวกเราพูดก็เพื่อไม่ให้เจ้ามีภัย มิฉะนั้นเจ้าอาจตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่ รอจนกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น จากนั้นเจ้าจะได้ยินเรื่องราวของนางจากผู้อื่นเองในระหว่างเดินทางภายในโลก 9 มหาทวีป” ชายชราสวมชุดคลุมมังกรทองถอนหายใจและกล่าว


 


“พลังระดับ 10,000 สุริยา  นางอยู่ในระดับใดกัน นางสามารถท่องเที่ยวไปมาระหว่างโลก 9 มหาทวีปได้งั้นหรือ?” ชิงสุ่ย กล่าวด้วยความประหลาดใจ


 


“มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีที่จะรู้มากไปในตอนนี้ จดจำสิ่งที่พวกเราได้บอกไป จงมุ่งมันเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น ในอนาคตสำนักสวรรค์เร้นลับยังคงต้องพึ่งพาเจ้า ด้วยพลังทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการแก้ไข”


 



 


“ท่านพ่อ ท่านจะไม่พาลูกไปด้วยจริงๆหรือ?” ชิงซาคว้าแขนของชิงสุ่ยเอาไว้และกล่าวอย่างสลด


 


“พวกเราพูดเรื่องนี้กันแล้วไม่ใช่หรือ หากเจ้าไม่ฝึกฝน มันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าในอนาคตก็ไม่อาจรู้ได้? ยิ่งไปกว่านั้นพ่อจะกลับมาหาเจ้าบ่อยๆ”


 


ชิงสุ่ยพยายามอย่างหนักและสุดท้ายชิงซาก็เชื่อฟัง


 


เหยียนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ดมาเพื่ออวยพรเขา


 


“เด็กน้อย เจ้าต้องเชื่อฟังท่านป้า” ชิงสุ่ยนำชิงซาไปหาองค์หญิงใหญ่และกล่าว


 


“ท่านพ่อไม่เคยพูดเช่นนี้ ลูกจะเรียกนางว่าท่านแม่เหมือนก่อนหน้านี้? ทำไมลูกต้องเปลี่ยนมัน?” ชิงซาถามชิงสุ่ยขณะที่เธอมองเขาอย่างจริงจัง


 


ชิงสุ่ยตระหนักแล้วว่าเธอเป็นเหมือนปีศาจตัวน้อย ศักยภาพของเธอกำลังค่อยๆพัฒนาขึ้น


 


องค์หญิงใหญ่หน้าแดงขณะจับชิงซา “เด็กน้อย เจ้ากำลังหยอกล้อข้างั้นหรือ?”


 


“ฮ่าฮ่า ข้าแค่เชื่อฟังท่านพ่อ เมื่อท่านพ่อไม่อยู่ ข้าก็จะเชื่อฟังท่าน” ชิงซามองไปยังพวกเขาทั้งสองที่เดินห่างออกไปสองคนเรื่อยๆ


 


ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและองค์หญิงใหญ่เปลี่ยนไป เป็นเพราะเขารู้สึกว่าชิงซายังสังเกตเห็นแล้วคนอื่นๆจะไม่รู้ได้อย่างไร?


 


“เดินทางปลอดภัย”


 


“ท่านยังไม่ได้ให้รางวัลข้าเลย” ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปที่องค์หญิงใหญ่


 


“รางวัลอะไรกัน?” องค์หญิงใหญ่กล่าวอย่างผิดธรรมชาติ


 


“บุรุษนั้นยังรักษาคำพูด ท่านกลับคำพูดของตัวเองได้อย่างไร?”


 


“ข้าไม่ใช่ผู้ชาย ข้าเป็นหญิงสาว” องค์หญิงใหญ่ยิ้มและพูดว่า


 


“อ๊ะ ถ้าท่านไม่ให้รางวัล ข้าจะไม่ยอมให้ท่านเป็นหญิงสาว” ชิงสุ่ยมองไปที่เธอและพูดอย่างจริงจัง


 


“ข้าเป็นหญิงสาว ข้าจะเป็นอะไรได้ถ้าหากไม่ใช่หญิงสาว?” องค์หญิงใหญ่คิดเพียงผิวเผิน


 


“ท่านสามารถกลายเป็นเพียงหญิงเฉยๆได้เช่นกัน”


 


องค์หญิงใหญ่ “…”


 


ขณะที่เธอตกตะลึง ชิงสุ่ยก็จูบลงบนริมฝีปากสีแดงขององค์หญิงใหญ่และดูดน้ำอันหอมหวานในปากของเธออย่างตะกละตะกลาม มันเป็นรสที่ดียิ่งกว่าความมีชีวิตชีวาในฤดูใบไม้ผลิ เขาเอามือหนึ่งโอบรัดรอบเอวอันงดงามของเธอ ขณะที่มืออีกข้างคว้าไปที่ยอดเนินออกทั้งสองจากด้านใต้เสื้อผ้า


 


องค์หญิงใหญ่สูญเสียการควมคุมตัวเองไปเพียงช่วงสั้นๆ เมื่อเธอได้สติ มือของชิงสุ่ยก็ล้วงเข้ามาในเสื้อผ้าของเธอและบีบจับก้น


 


เธอต้องใช้กำลังอย่างมากในการหลบเลี่ยงจากปากของชิงสุ่ยและมือของเธอก็กดลงบนมือที่เขาจับก้นเธอเพื่อไม่ให้เขาขยับมัน มืออีกข้างหนึ่งของเธอโอบไปที่คอของเขา


 


“ถ้าเจ้ายังจะเลยเถิด ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าทำมันสมปรารถานา แต่ข้าจะหายตัวไปหลังจากนี้”


 


ชิงสุ่ยรู้สึกหดหู่มาก ทำไมผู้หญิงทุกคนชอบที่จะใช้ไม้นี้? เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดยั้งมือ อย่างไรก็ตามมือที่อยู่บนยอดเนินอกของเธอยังคงเคลื่อนที่ไปรอบๆร่างกาย ครึ่งล่างของชิงสุ่ยได้กลายเป็นสิ่งที่อัดแน่นเหมือนครั้งก่อนๆ


 


เมื่อเป็นเช่นนั้น ชิงสุ่ยจึงมองไปยังหญิงผู้งดงามและเพลิดเพลินไปกับการสัมผัสด้วยความปิติยินดี


บทที่ 1254 – ไม่อาจต้านทานไว้แม้เพียงสักครั้ง หลอมกระบี่ดารายุพฆาตอีกครั้ง


 


ชิงสุ่ยค่อยๆขยับมือของเขาไปรอบๆยอดเนินอกของเธอ เขาพยายามที่จะสัมผัสกับความนุ่มนวลและเรียบเนียนในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งสัมผัสไปที่เบื้องล่าง เขามองไปใบหน้าอันอ่อนหวานและมีเสน่ห์ที่เย้ายวน


 


“เจ้าพึงพอใจแล้วหรือยัง?” ดวงตาขององค์หญิงใหญ่ดูสวยงามจริงๆ มันดูสง่างามและเลือนราง


 


“ไม่ ข้ายังไม่พอใจ หญิงของข้า” ใบหน้าของชิงสุ่ยเป็นสีแดงฝาดเล็กน้อย เนื่องจากเขาความอัดอั้นของเลือดในขณะที่เขาพยายามจะควบคุมตัวเองไว้ แต่อย่างนั้นเขาก็ยังตอบอย่างจริงจัง


 


“เจ้าทำให้ข้ามาถึงจุดนี้ จุดที่ข้าต้องเป็นผู้หญิงของเจ้า อย่าบังคับข้าเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวเบาๆ


 


“แต่ท่านก็ยังคล้อยตามไปกับข้า” ชิงสุ่ยย้ายร่างกายของเขาเป็นวิธีที่จะแสดงให้เห็นว่าเขากระหายน้ำสำหรับเธอ


 


“มันอาจเป็นไปได้ว่าเจ้าต้องการข้าแค่เพียงร่างกาย? หากเป็นเช่นนั้น ข้าสามารถมอบมันให้เจ้าได้ในตอนนี้ หลังจากนั้นพวกเราก็จะไม่พบเจอกันอีก เจ้าต้องการมันหรือ?” องค์หญิงใหญ่มองไปที่ชิงสุ่ยอย่างจริงจัง


 


“ท่านเห็นข้าเป็นเช่นไร? ข้าชอบหยอกล้อท่านและข้าชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นท่าน แน่นอนว่าข้าชอบร่างกายท่านด้วย” ชิงสุ่ยดึงมือด้านล่างกลับมาและกอดเธอไว้แนบแน่น


 


องค์หญิงใหญ่กล่าวเบาๆ “วันนี้เจ้าไม่ได้เอาเปรียบข้างั้นหรือ? เจ้าเป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเป็นคนอื่น ข้าคงจะฉีกพวกมันออกเป็นชิ้นๆในทันที”


 


เมื่อชิงสุ่ยได้ยินคำพูดขององค์หญิงใหญ่ เขาก็เคลื่อนไหวและตอบอย่างมีความสุข “ซูหนี่ ท่านรู้สึกเหมือนกันกับข้าหรือไม่?”


 


องค์หญิงใหญ่ไม่เคยคาดคิดว่าเด็กสารเลวคนนี้จะเปลี่ยนคำเรียกเธอ เธอกลอกตาไปมา “ข้าไม่ชอบเจ้าและไม่ได้เกลียดเจ้า เจ้าไม่เคยพูดมาก่อนว่าความรักและความชื่นชอบนั้นแตกต่างกันอย่างไร? เจ้าเพียงแค่ชื่นชอบข้าเท่านั้นและเจ้ากำลังข่มเหงข้าอยู่หรือ?”


 


“เมื่อท่านเริ่มชื่นชอบใครสักคน มันจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความรัก ณ ตอนนี้ความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่านคือรักแล้ว”


 


“มันไม่ใช่ความรัก เจ้าเคยพูดมาก่อนว่าความรักเป็นสิ่งที่สามารถทดสอบได้ ความรักคือการเห็นแก่ตัว บอกข้า เจ้าจะยืนหยัดเพื่อทดสอบความรักของเจ้าหรือไม่?” องค์หญิงใหญ่มองไปที่ชิงสุ่ยในขณะที่เธอดึงแขนของเขาออก


 


ชิงสุ่ยรู้สึกไม่สบายใจ เขาพูดอะไรเหลวไหลแบบนั้นตอนไหน? ตอนนี้เธอนำมันมาใช้กับเขา เขาเผยรอยยิ้มอันขมขื่นและกล่าว “มันเพียงเพราะใครบางคนรักผู้อื่นมากเกินไปจึงกลายเป็นความเห็นแก่ตัวเท่านั้น ความรักนั้นเปราะบาง มันสามารถเปลี่ยนไปได้ง่าย ดังนั้นความรักจึงเป็นสิ่งที่ต้องดูแลมันให้ดี”


 


ในขณะที่ชิงสุ่ยพูดเสร็จ องค์หญิงใหญ่ก็จูบลงไปที่แก้มของเขาอย่างพอดี “เจ้ายังเป็นชายชาตรีอยู่ ถ้าเจ้าพูดอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้าไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ในอนาคตเจ้าก็ไม่ต้องคิดถึงการที่จะได้สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวข้าอีกเลย”


 


ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันใกล้ชิดขึ้น เธอกำลังทดสอบเขา แต่เขาก็เข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว หลังจากเรื่องทุกอย่างเธอรู้ว่าเขามีภรรยาอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังปล่อยให้เขากอดเธอเอาไว้ นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง หากเขาคิดว่าเธอจะขอให้เขามีเพียงเธอคนเดียว ถ้าเขาเข้าใจผิดว่าเธอตั้งใจเช่นนั้น เขาก็มีแต่จะต้องสูญเสียเธอไป


 


“ในที่สุดท่านก็สัญญาว่าจะแต่งงานกับข้าแล้วงั้นหรือ?”


 


“ไม่ใช่ แต่ข้าจะตอบรับคำขอเล็กๆของเจ้าก่อนจากไป ถ้าคำขอนี้มากเกินไป ข้าจะยกเลิกมันทันที” องค์หญิงใหญ่โอบไปที่รอบคอของชิงสุ่ยและกระซิบข้างๆหู


 


เลือดในกายของชิงสุ่ยเดือดพล่าน มันเป็นเพียงคำขอเล็กๆที่ไม่มากเกินไป เขารีบอุ้มองค์หญิงใหญ่เข้าไปในห้องของเขาทันที


 


“การฝึกตนของข้าทำให้ข้าไม่สามารถสูญเสียความบริสุทธิ์ได้”


 


คำพูดอ่อนโยนเหล่านี้เพียงไม่กี่คำที่ออกมาจากปากขององค์หญิงใหญ่ทำให้ชิงสุ่ยแทบจะล้มเลิกวางแผนที่วางไว้ในใจ ในขั้นต้นเขาคิดว่าเขาอาจจะขย้ำเธอได้ แต่ตอนนี้เขาหมดความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จเขาก็ยังคงต้องเคารพเธอ


 


“ข้าคิดว่ามันยากที่จะอดกลั้นเอาไว้ แค่ต้องคิดวิธีที่จะช่วยให้ข้าปลดปล่อยมัน!” ชิงสุ่ยกระซิบข้างหูเธอ เขายื่นมือออกไปจับแขนที่งดงามราวกับหยกของเธอและวางมันไว้แน่นตรงจุดที่แข็งตรงของร่างกายเขา


 


เธอขยับมือไปมาทันทีเช่นเดียวกับที่ร่างกายของเธอสั่นไหว


 


“พี่สาวซู ท่านสัญญากับข้าไว้ก่อนแล้ว นี่คงไม่มากเกินไปที่จะทำมัน?”


 


………..


 


ในที่สุดชิงสุ่ยก็ถอดเสื้อผ้าออก เด็กสารเลวคนนี้พยายามจะทำให้องค์หญิงใหญ่อับอายมากขึ้นเมื่อเขาค่อยๆสอดแทรกมันเข้าไปในปากของเธอ ขณะนั้นการแสดงออกของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึง ความตกใจและความประหม่ายิ่งกระตุ้นให้มองไปที่มัน หลังจากพยายามอดทนสักพัก เธอก็จับมันด้วยตัวเองและเริ่มขยับเรือนร่างเคลื่อนไปตามคำแนะนำของชิงสุ่ย


 


เมื่อเสร็จสิ้นองค์หญิงใหญ่ก็รีบออกไป ในทางตรงกันข้ามชิงสุ่ยยังคงหวนนึกถึงฉากที่งดงามก่อนหน้านี้ภายในใจของเขาเมื่อน้ำแห่งตัณหาพุ่งทะลักออกมา ท่าทางอันน่ารักขององค์หญิงใหญ่ที่รีบวิ่งไปยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา


 


ชิงสุ่ยฟื้นคืนสติและไตร่ตรองเมื่อเขาควรจะออกไป มันอาจจะถือว่าเขายืนยันความสัมพันธ์ของเขากับองค์หญิงใหญ่ได้แล้ว แน่นอนว่าเขาเป็นคนยืนยันมันด้วยตัวเอง เขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนี้จากไป


 


ชิงสุ่ยจากไป เหล่าหญิงสาวเฝ้าดูเขาขณะออกเดินทาง


 


ตอนนี้ทิศทางที่ชิงสุ่ยมุ่งหน้าไปเป็นจักรวรรดิเดชสวรรค์


 


ในขณะที่เป็นชิงสุ่ยมุ่งสู่จักรวรรดิเดชสวรรค์ สิ่งหนึ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือติ๊เฉิน เหตุผลที่เขามาถึงมหาทวีปอู่เซียตะวันตกแน่นอนว่าเพื่อติ๊เฉิน ยิ่งไปกว่านั้นจักรวรรดิเดชสวรรค์ยังเป็นจักรวรรดิระดับ 4 ที่ทรงพลังมาก


 


ทักษะย่างก้าว 9 เทวา!


 


ในช่วงเวลานี้ความสามารถของทักษะย่างก้าว 9 เทวายังไม่ได้ก้าวหน้าขึ้น เขานึกถึงประมุขอสูร ผู้หญิงคนนี้สามารถเดินทางไปมาได้ทั่วทั้งโลก 9 มหาทวีป เขาไม่รู้ว่าเธอพึ่งพาอะไรเพื่อที่จะทำเช่นนั้น มันอาจจะเป็นเต่าศักดิ์สิทธิ์?


 


มันเด่นชัดว่าอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของการเดินทางไปมาภายใน 4 มหาทวีปเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มันเป็นไปได้ว่าเต่าศักดิ์สิทธิ์มีพลังที่พิเศษเมื่ออยู่ในท้องทะเล?


 


ทุกครั้งที่เขาคิดถึงผู้หญิงคนนี้ เขาก็จะปวดหัวเล็กน้อย เธอเป็นศัตรูกับผู้คนที่เดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ผู้คนทั่วไปเห็น พระราชวังอสูร ชิงสุ่ยเชื่อว่าเขาต้องมีความแข็งแกร่งประมาณ 10,000 สุริยา ถ้าหากเขาต้องการที่จะพบเธออย่างปลอดภัย ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน?


 


ชิงสุ่ยต้องการทราบถึงความเป็นจริง เขาตัดสินใจที่จะไหลไปตามกระแสและดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น


 


เขาขี่มังกรไอยราเกล็ดทองคำ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเท่านั้นเขาจึงจะเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะเพื่อฝึกฝน เมื่อเขาออกมาเขาก็จะเดินทางต่อไป


 


อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากที่เขาบินออกมาขอบเขตอิทธิพลของสำนักสวรรค์เร้นลับ เขาพบว่าตัวเองถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน ชิงสุ่ยตกใจจริงๆ เขาใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวาไปแล้วหลายครั้งในระหว่างเดินทาง แต่เขายังคงถูกผู้อื่นจับตาดูอยู่ นี่แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ


 


กลุ่มคนที่หยุดเขาไว้เป็นชายชราทั้งหมด ทุกคนมีใบหน้าที่มืดมนเหมือนน้ำหยด พวกเขามองมาที่ชิงสุ่ยราวกับว่าพวกเขาคันไม้คันมืออยากจะฉีกเขาออกเป็นพันๆชิ้นโดยเร็วที่สุด


 


“ทำไมพวกเจ้าถึงพยายามที่จะหยุดข้า?” ชิงสุ่ยถามชายชราสองคนที่มีหลังโค้งงอ


 


ถ้าหากไม่ใช่เพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันที่นี่ ใครก็คงยากที่จะเชื่อมโยงว่าชายชราทั้งสองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้


 


“เพราะเจ้าสมควรได้รับมัน” ชายชราทางซ้ายมือกล่าวว่าขณะที่เขายกมือขึ้น


 


“พวกเจ้าเป็นใคร? ข้าไม่คิดว่าข้าได้ทำสิ่งใดผิดกับพวกเจ้า” ในขณะนี้ชิงสุ่ยต้องการทราบว่าใครเป็นคนเหล่านี้ แม้ว่าเขาจะคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้ด้วยความเฉลียวฉลาด แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังพวกเขา


 


มันง่ายมากสำหรับชิงสุ่ยที่จะหนี เมื่อเขามีแหวนศิลาหยกสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และรองเท้า 9 เทวา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตื่นตระหนก นอกจากนั้นที่นี่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะเขาได้


 


อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรู้สึกว่าคนที่เป็นศัตรูกับเขาแข็งแกร่งมาก พวกเขาน่าจะมีพลังประมาณ 3,000 สุริยา


 


ชิงสุ่ยรู้สึกสับสน ใครกันที่เดินทางมาไกลเพื่อเลือกที่จะต่อสู้กับเขา?


 


มังกรไอยราเกล็ดทองคำ


 


ชิงสุ่ยเพิ่มพลังและเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมา เขามองไปที่กลุ่มคนซึ่งอยู่ตรงข้าม “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร พวกเจ้ายังสามารถถอยกลับไปได้ในตอนนี้ แต่ถ้าหากพวกเจ้าอยากตายจริงๆก็อย่าได้มาโทษข้าที่หลัง”


 


“โง่เขลา เด็กสารเลวอวดดี! ตายซะ!”


 


ชายชราคนหนึ่งทางด้านขวาตวัดไม้เท้าของเขาไปทางชิงสุ่ย


 


หุบเขา 9 เทวา!


 


ขณะที่ชิงสุ่ยนึกคิดอยู่ในใจ หุบเขา 9 เทวาก็ปรากฏขึ้นมาทันที มันห้อมล้อมเข้าใส่ชายชรา


 


แส้เปลวเพลิงมังกร!


 


ฟุ่บ!


 


แส้เปลวเพลิงมังกรฟาดเข้าใส่ชายชราทันทีคนหนึ่งด้วยเปลวเพลิงที่ลุกไหม้


 


ชายชราได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของชิงสุ่ย มันเห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บและแสดงออกถึงความสิ้นหวัง


 


ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาพบกับโอกาส 20% ในการเพิ่มพลังขึ้นเป็น 2 เท่า


 


วชิระสยบอสูร!


 


ปราณจักรพรรดิ!


 


……


 


ในระยะสั้นๆชิงสุ่ยได้ลดพลังของชายชราลงเกือบหนึ่งในสาม ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเหลือเพียงพลัง 1,000 สุริยา


 


ตราประทับกลืนนภา!


 


บริเวณโดยรอบปกคลุมไปด้วยมหาสมุทรขนาดใหญ่ทันที


 


คลื่นทะเลถาโถมไปมา โค่นผูผาทำลายมหาสมุทร!


 


ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของชิงสุ่ย การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเขาคือตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตามการข่มขวัญที่แท้จริงคือความสามารถในการควบคุมของเขา แน่นอนว่ามันน่าจะแตกต่างออกไป ถ้าตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ของเขาสามารถแสดงผลของการเพิ่มพลังขึ้นเป็น 2 เท่าด้วยโอกาส 20% ที่มีอยู่ได้


 


ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์!


 


ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ชิงสุ่ยสามารถผลักดันชายชราคนหนึ่งให้เข้าสู่กระแสน้ำวนที่มืดมิดได้ เขารีบเดินหน้าโจมตีด้วยคลื่นขนาดใหญ่จากโค่นผูผาทำลายมหาสมุทร


 


เพลิงวารีพิโรธ!


 


วารีพันธนาการ!


 


ตราประทับซวนเทียน!


 


ในขณะนี้ชิงสุ่ยแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นถึงความสามารถในการควบคุมของเขา เพียงพริบตาเดียว เหล่าชายชราต่างก็ได้รับบาดเจ็บและถูกจำกัดความเร็วลง ทั้งมือและเท้าของพวกเขาจมท่ามกลางมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด


 


ก้าวเท้ามังกรสัญจร!


 


ชิงสุ่ยเหมือนเป็นมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลลึก เขาสลายหุบเขา 9 เทวาออกเพื่อเปิดทางให้เคลื่อนไหว สำหรับฝ่ายตรงข้ามการโจมตีแต่ละครั้งของเขาสร้างความยุ่งยากให้กับพวกนั้น ขณะที่เขาใช้ตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์เพื่อโจมตี


 


ในการโจมตีแต่ละครั้งเขาได้รับโอกาส 20% เพื่อเพิ่มพลังโจมตีขึ้น 2 เท่าและมันจบลงด้วยการสังหารฝ่ายตรงข้ามทันที


 


เมื่อชิงสุ่ยอยู่กับมังกรไอยราเกล็ดทองคำ ตราบเท่าที่เขาอ่อนแอกว่าฝ่ายตรงข้าม เขาก็จะใช้ผสานจิตไอยรา ทุกครั้งที่โจมตีด้วยตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ มันจะส่งผลร้ายต่อศัตรู


 


การสังหารหมู่เริ่มขึ้นแล้ว ชิงสุ่ยก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ ผลจากการเพิ่มพลังที่เขาได้รับทำให้พลังวิญญาณ พลังผนึกคลื่นเมฆาผกผัน และตราประทับซวนเทียนเพิ่มขึ้นอย่างมาก


 


ชิงสุ่ยเตรียมจากที่นี่ไปในทันทีเมื่อเขาเก็บถุงแพรมิติทั้งหมด อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดก็คือกลุ่มคนพวกนั้น 2 คนมาจากตระกูลเทียน 4 คนจากตระกูลฟู่ ส่วนที่เหลือมาจากตระกูลอื่น


 


ตระกูลขุนนางยังคงมีความขัดแย้งภายในอยู่จำนวนมาก หลายคนคงกระหายตำแหน่งหัวหน้าของตระกูล ชิงสุ่ยไม่ได้แปลกใจเลย ตอนนี้เขาต้องการที่จะหนีออกไป มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถหยุดเขาในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก


 


คราวนี้เมื่อชิงสุ่ยเห็นหินหยางสวรรค์ เขาคิดขึ้นมาอีกครั้งถึงการเสริมกระบี่ดารายุพฆาต ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถเพิ่มพลังขึ้นมาก


 


ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะทำอย่างนี้ แต่คราวนี้เขากำลังมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิเดชสวรรค์ มันจะเป็นประโยชน์สำหรับเขาที่จะยกระดับความแข็งแกร่ง เพราะเขาอยู่ตามลำพังที่นั่น มันจะเลวร้ายมากๆหากเขาเดินเข้าไปเจอกับผู้ที่เชี่ยวชาญ


 


คราวนี้ชิงชุยรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาหวังว่าเขาจะทำให้กระบี่ดารายุพฆาตกลายเป็นศาตราวุธในตำนาน เขาตั้งตารอคอยมัน ถ้าเขาสามารถทำได้จริงๆ ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ


 


ปราณบรรชาสวรรค์พินาจ เขาสงสัยว่าความแข็งแกร่งระดับไหนที่จะถือว่าได้ก้าวเข้าสู่ประตูแห่งดินแดนปราณบรรชาสวรรค์พินาจ


 


ชิงสุ่ยรวบรวมความคิดของเขาและทุ่มเทไปกับการสรรสร้าง


 


เขาหลอมกระบี่ดารายุพฆาต กระบี่ดารายุพฆาตเป็นทั้งหัวใจและโครงสร้างกระบี่ของเขา


 


หลังจากนั้นเขาก็เริ่มปรับแต่งหินหยางสวรรค์และผสมมันลงในกระบี่ดารายุพฆาต


 


ตั้งแต่ที่ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้น พลังแห่งเคล็ดเปลวเพลิงบรรพกาลหยิน-หยางก็รุนแรงตามไปด้วย เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ความเร็วที่เขาจะใช้ละลายหินหยางสวรรค์นั้นเร็วกว่าแต่ก่อนมาก แต่กระนั้นเขาก็ยังต้องใช้เวลาเกือบ 49 วันในการละลายมัน


 


เขาใช้หินหยางสวรรค์ไปหนึ่งในสามส่วนแล้ว อันที่จริงจำนวนเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะตีกระบี่ อย่างไรก็ตามเมื่อผสมมันลงในกระบี่ดารายุพฆาต มันก็ทำให้ขอบของกระบี่กลายเป็นเส้นสีทองจางๆ ในแง่ของขนาดและความหนาตัวกระบี่นั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก


 


ต่อไปเมื่อเขาเริ่มใช้ค้อนและปรับแต่งมัน ส่วนที่สำคัญที่สุดได้มาถึง ชิงสุ่ยอธิษฐานให้เขาเอื้อมถึงศาตราวุธระดับตำนาน


บทที่ 1255 – กระบี่จิตวิญญาณ ระเบิดพลัง การพบกันกับฮูยี่หย่า


 


ชิงสุ่ยอยากจะเข้าสู่สภาวะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่น่าเสียดายที่เขามีสติมากกว่าใครในขณะนี้ แม้ว่าเขาจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างในการหลอมกระบี่ แต่เขาก็พบว่าตัวเองไม่สามารถเข้าสู่สภาวะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้


 


ทันใดนั้นชิงสุ่ยรู้สึกเจ็บปวดที่มือของเขา ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เข้าสู่สภาวะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่จู่ๆเขาก็เกิดใจลอย เขาก้มศีรษะต่ำลงและด้วยเหตุนั้นทำให้พบว่ามือของเขาถูกกรีดด้วยกระบี่ดารายุพฆาต หลังจากนั้นหยดเลือดสดๆก็ไหลอาบลงบนกระบี่ดารายุพฆาต


 


เดิมทีแผลขนาดเล็กแค่นี้สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่ได้ห่วงเรื่องนี้มากนัก เขายังคงใช้ค้อนและตีมัน ในขณะนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถมารบกวนเขาหรือเขาจะสนใจในสิ่งอื่นได้


 


เวลาผ่านไปทีละนิด สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยคือแผลเล็กๆนั้นไม่ได้ฟื้นตัว เขาไม่รู้ว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกับกลิ่นอายบนกระบี่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามชิงสุ่ยรู้สึกแปลกๆเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


เขาสูญเสียเลือดไปเพียงเล็กน้อย เลือดได้ผสานเข้ากับกระบี่ดารายุพฆาตแล้ว นี่เป็นเลือดของเขาที่มีโลหิตทองคำอินทนิล ตอนที่ทำการสร้างอาวุธสิ่งที่บังเอิญเกิดขึ้นนี้รู้จักกันในชื่อการสังเวยเลือด


 


ชิงสุ่ยรู้จักการสังเวยเลือดสองชนิด ชนิดแรกเป็นที่รู้จักกันในชื่อการสังเวยความตาย มันเป็นการสังเวยเลือดที่ช่างตีเหล็กจะใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อเป็นสิ่งสังเวย อาวุธชนิดนี้ปกติแล้วเป็นอาวุธที่มีไว้สำหรับสังหารผู้คน อาวุธสังหารที่มีเจตนาแห่งการฆ่าฟันอันรุนแรงรวมถึงความขุ่นเคืองใจ


 


อีกชนิดเป็นการสังเวยเลือดของตัวเองเพื่อเชื่อมความเข้าใจซึ่งกันและกันกับอาวุธหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนมันเป็นกระบี่จิตวิญญาณ กระบี่จิตวิญญาณเป็นกระบี่ที่สามารถสื่อสารทางจิตได้ มันจะมีความคิดและความรู้สึกเป็นของตัวเอง ดังนั้นพลังของชิงสุ่ยจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก


 


ชิงสุ่ยคิดมันขึ้นมาในใจทันที แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขารีบมุ่งเน้นไปที่การตีอีกครั้ง


 


เลือดไหลไปหยดต่อหยด เขาค่อยๆสูญเสียเลือดไป แม้ว่าหนึ่งหยดจะไม่มาก แต่เขาก็ไม่สามารถทนมันเอาไว้ได้นานนัก ชิงสุ่ยตระหนักว่าตอนนี้เขากำลังสูญเสียเลือดไปมาก อย่างไรก็ตามตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะหยุด ถ้าเขาเดิมพันกับมัน ในตอนท้ายเขาอาจจะได้รับกระบี่จิตวิญญาณ ด้วยสิ่งนั้นเขาจะแข็งแกร่งขึ้น มันอาจช่วยได้มากในการที่เขาพยายามฝ่าไปให้ถึงคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8


 


ชิงสุ่ยขบฟันและบอกกับตัวเองในใจว่าต้องมุ่งมั่นและคิดแผนสำรองเอาไว้เมื่อถึงขีดจำกัด ด้วยวิธีนี้อย่างน้อยเขาก็จะไม่เสียใจ แม้ว่ามันจะล้มเหลวก็ตาม


 


ชิงสุ่ยหน้าตาซีดเซียวลงมาก เขาขบฟันแน่นและอดกลั้นด้วยความขมขื่น เขามาถึงขีดจำกัดแล้ว หากเลยไปกว่านี้ สิ่งที่เดียวที่เขาสามารถทำได้คือการกินสมุนไพรเพื่อช่วยให้ตัวเขาเองมีชีวิตรอด แต่แม้ว่าเขาจะกินพวกมัน เขาก็ไม่สามารถเสริมสร้างเลือดขึ้นมาทดแทนได้ในทันที


 


ในขณะนั้นชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจเมื่อแสงอันพร่างพราวพุ่งเข้าใส่เขา มีแสงสว่างปรากฏอยู่ด้านนอกของกระบี่ดารายุพฆาต นั่นหมายความว่ากระบวนการนี้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้กระบี่ดารายุพฆาตยังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว มันหยุดลงเมื่อมีขนาดเหลือเท่ากับนิ้วมือเล็กๆ มันส่องแสงสว่างสีทองและพุ่งเข้าไปในจุดตันเถียนของเขา


 


น่าเสียดายที่ชิงสุ่ยได้เสียชีวิตลงแล้ว เขาไม่มีโอกาสเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง หลังจากที่ขนาดของมันหดเล็กลง มันก็เข้าไปในจุดตันเถียนของชิงสุ่ย มันเริ่มที่จะค่อยๆฟูมฟักเส้นลมปราณของเขาเพื่อฟื้นคืนลมปราณและเลือดในร่างกาย


 


หลังจากผ่านไปประมาณ 8 ชั่วโมง ชิงสุ่ยก็ตื่นขึ้น แม้ว่าในขณะนี้ร่างกายของเขายังคงรู้สึกอ่อนล้า แต่เขารู้สึกดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เขารีบไปดูกระบี่ดารายุพฆาตและพบว่ามันหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


ชิงสุ่ยรู้สึกแปลกๆ แต่ก็สงสัยว่ากระบี่ดารายุพฆาตหายไปที่ไหน จิตใต้สำนึกของเขาบอกเขาว่ากระบี่ดารายุพฆาตอยู่ใน จุดตันเถียนแล้ว ตอนแรกชิงสุ่ยประหลาดใจอย่างมากจากเรื่องนี้ เขารีบแอบมองเข้าไปข้างในและต้องพบกับความตกตะลึงอีกครั้งในชีวิตของเขา


 


ตอนนี้ภายในจุดตันเถียนยาเม็ดทองคำตั้งอยู่ตรงกลาง หุบเขา 9 เทวาอยู่ทางซ้ายมือชณะที่ก้อนเมล็ดเจ็ดสีอยู่ทางขวา อย่างไรก็ตามด้านล่างยาเม็ดทองคำมีกกระบี่ดารายุพฆาตอยู่ ปลายของกระบี่นั้นชี้ไปข้างหน้า


 


กระบี่จิตวิญญาณ!


 


เขาได้บรรลุกระบี่จิตวิญญาณแล้วจริงๆ!


 


ชิงสุ่ยพบว่ามันยากที่จะเชื่อ กระบี่จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ลึกลับ ความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดคือมันสามารถติดต่อสื่อสารทางจิต ศาตราวุธศักดิ์สิทธิ์ในตำนานเป็นอาวุธที่ละเอียดอ่อน ศาตราวุธศักดิ์สิทธิ์ย่อมแข็งแกร่งกว่ากระบี่จิตวิญญาณมากนัก อย่างไรก็ตามกระบี่จิตวิญญาณก็มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นศาตราวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่โอกาสที่ว่ามานี้ค่อนข้างน้อย


 


ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ กระบี่จิตวิญญาณเกือบเทียบเท่ากับศาตราวุธในตำนาน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่ากระบี่จิตวิญญาณราวกับอยู่ในระดับตำนานแล้ว อย่างไรก็ตามมันเป็นศาตราวุธในตำนานที่สามารถพัฒนาขึ้นได้


 


มันเหมือนกับครั้งล่าสุดที่เขาช่วยองค์หญิงเจ็ดหลอมกระบี่เก้าหยาง นั่นคือเท่าที่เขาจะทำได้ มันจะคงอยู่ที่ระดับนั้นถาวรจนกว่าจะถูกทำลาย แต่แน่นอนว่าศาตราวุธในตำนานไม่ใช่สิ่งที่จะทำลายได้ง่ายๆ


 


อย่างไรก็ตามกระบี่จิตวิญญาณของชิงสุ่ยสามารถพัฒนาขึ้นได้! เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมและเงื่อนไขได้รับการเติมเต็มความแข็งแกร่งของมันก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อพูดถึงความแข็งแกร่ง ชิงสุ่ยมองไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าพลังของกระบี่ดารายุพฆาตในปัจจุบันเป็นอย่างไร


 


กระบี่ดารายุพฆาต กระบี่จิตวิญญาณ หลอมรวมด้วยเลือด เชื่อมต่อกับจิตใจของเจ้าของ


 


มันสามารถเพิ่มพละกำลังให้กับผู้ใช้ได้ 10 เท่าและพลังวิญญาณ 3 เท่า มีโอกาส 10% ที่พลังโจมตีจะเพิ่มเป็น 2 เท่า การสิ้นเปลืองพลังเมื่อใช้เคล็ดวิชาการต่อสู้จะลดลงครึ่งหนึ่ง


 


ไม่จำเป็นต้องถือมันไว้ในมือ ความแข็งแกร่งยังคงเพิ่มขึ้นแม้จะใช้อาวุธชิ้นอื่น ผู้ใช้สามารถหดขยายกระบี่ด้วยลมปราณ สามารถสั่งโจมตีได้ทันทีด้วยมือเปล่า สำหรับตอนนี้กระบี่ดารายุพฆาตยังไม่สามารถออกมาจากจุดตันเถียนได้


 


……


 


ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ ศาตราวุธจิตวิญญาณถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม อันหนึ่งสามารถพัฒนาขึ้นได้และอีกอันทำไม่ได้ อย่างหลังนั้นหมายความว่าอาวุธจะคงอยู่ในสถานะเดิมถาวร ส่วนอันตรงข้ามจะมีความหวังเล็กๆที่มันจะกลายเป็นศาตราวุธศักดิ์สิทธิ์ มีความเป็นไปได้ว่าพลังของมันจะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง


 


คราวนี้พลังของชิงสุ่ยเพิ่มขึ้นอย่างมาก พละกำลังของเขาเกือบถึง 1,900 สุริยา เมื่อใช้หุบเขา 9 เทวาจะสามารถเข้าใกล้พลังระดับ 3,800 สุริยาได้ ถ้าเขาใข้มันร่วมกับวชิระสยบอสูรและปราณจักรพรรดิ เขาจะสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีพลัง 5,000 สุริยาได้ทันที ด้วยหุบเขา 9 เทวาผู้อื่นจะไม่สามารถต้านทานเขาได้


 


นอกจากนี้พลังวิญญาณของเขาก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น เมื่อเขาปลดปล่อยตราประทับแห่งวิหคศักดิ์สิทธิ์ เขาจะสามารถบรรลุพลังได้มากกว่า 5,300 สุริยา แม้ว่าเขาจะใช้แส้เปลวเพลิงมังกรอย่างสะเปะสะปะ แต่เขาก็ยังมีพลังเกือบถึง 2,700 สุริยา


 


ความสามารถในการควบคุมของเขาเพิ่มสูงขึ้น เพียงแค่กระบี่จิตวิญญาณก็สามารถผลักดันเขาไปถึงจุดสูงสุดของตัวเองได้แล้ว ตอนนี้มีคนจำนวนน้อยนักในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกซึ่งสามารถจับกุมเขาได้


 


ถ้าหากชิงสุ่ยวิ่งเข้าไปเจอกับชายชราทั้งสิบคนก่อนหน้านี้ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เขาก็จะสามารถบดขยี้พวกเขาได้เพียงพริบตา


 


กระบี่จิตวิญญาณ กระบี่จิญญาณซึ่งสามารถพัฒนาได้ มันเทียบเคียงได้กับศาตราวุธศักดิ์สิทธิ์


 


เมื่อชิงสุ่ยมองไปที่สมุนไพรภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ เขาหวังว่าจะสามารถปรุงยาเม็ดสวรรค์หยาง 3 หรือ 4 เม็ดให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในอนาคตถ้าเขามีความตั้งใจที่จะไปยังอีก 3 ทวีป เขายังคงต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาจำเป็นต้องบรรลุผ่านคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8


 


ชิงสุ่ยกำลังยืนจ่ออยู่ตรงหน้าคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 แต่ว่ามันช่างเป็นเหมือนเทือกเขาที่สูงเสียดฟ้า มันแหลมสูงจนแทบจะไม่มีความลาดชัน คนทั่วไปจะสามารถปีนขึ้นเทือกเขาได้อย่างไร?


 


……


 


ภายในเวลา 2 เดือน ชิงสุ่ยสามารถเข้าสู่พื้นที่ของจักรวรรดิเดชสวรรค์ด้วยทักษะย่างก้าว 9 เทวาและความสามารถในการบินของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ บางทีอาจเป็นเพราะมันอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่อันตรายและเป็นที่ราบสูงของอีกครึ่งมหาทวีปอู่เซียตะวันตก วัฒนธรรมของที่นี่จึงค่อนข้างมีเอกลักษณ์


 


จักรวรรดิเดชสวรรค์เป็นพื้นที่ที่มีลมแรงมากและหิมะตกบ่อย สภาพอากาศที่นี่ดูแย่กว่าเล็กน้อย แต่อากาศยังคงสดชื่น นอกจากนี้ทั้ง 4 ฤดูกาลก็มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก


 


อีกครั้งที่เขามาถึงสถานที่อันไม่คุ้นเคยเพียงลำพัง อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ชิงสุ่ยมาถึงด้วยความเชื่อและความคาดหวัง เหตุผลเพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาคุ้นเคยอยู่ที่นี่ เขาหวังว่าจะได้พบเธอเร็วๆ


 


เมื่อถึงชิงสุ่ยมาถึงจักรวรรดิเดชสวรรค์ เขาก็อยากที่จะพบติ๊เฉินในทันที ราวกับว่าเขาไม่สามารถรอได้ถึงแม้เพียง 1 วินาที เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อสูดหายใจให้สงบลง


 


เขาไม่รู้ว่านี่เป็นสถานที่แห่งใด ไม่ว่าในกรณีใดสถานที่แห่งนี้ดูแออัดอย่างเหลือเชื่อ มีคนเดินตามท้องถนนหลายสาย จริงๆแล้วชิงสุ่ยไม่ได้รู้สึกลังเลใจเลย เขาไม่รู้สึกหนาว หิวโหย หรือจะถูกผู้อื่นรังแก ในความเป็นจริงเขารู้สึกผ่อนคลายมากทีเดียวที่นี่


 


นิกายที่ติ๊เฉินอยู่เรียกว่านิกายบงกชเทวะ เขาไม่รู้ว่านิกายบงกชเทวะเป็นอย่างไรและเขาไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เขาสอบถามคนจำนวนมากบนถนนแล้ว เขายังได้จ่ายเงินให้พวกเขาสำหรับถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามความพยายามของเขาจบลงด้วยความล้มเหลว มีบางคนที่สุ่มชี้ไปในทิศทางหนึ่งเมื่อได้รับเงิน แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ได้มุ่งหน้าไปยังทิศทางดังกล่าว แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องโกหก พวกเขาทำมันเพื่อเงินเท่านั้น


 


ดูเหมือนผู้คนที่อยู่เบื้องล่างจะไม่ได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของนิกายบงกชเทวะ โลกนั้นไร้ขอบเขต หนึ่งนิกายเล็กๆคงจะมองเห็นได้ไม่ชัด แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินเรื่องนี้ แต่ก็ยังคงไร้ประโยชน์ สำหรับพวกเขามันเป็นเพียงบางสิ่งที่มีอยู่ในตำนานเท่านั้น พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรเกี่ยวกับที่ตั้งของมัน?


 


เส้นทางมีมากเกินไป ชิงสุ่ยตัดสินใจมุ่งหน้าสู่เมืองมรกต


 


ภายในเมืองมรกตมีบุคคลที่มีพรสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ การหาตัวพวกเขาเป็นสิ่งง่ายสำหรับเขา


 


คราวนี้ชิงสุ่ยได้ทำการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางของเมืองมรกต เขาไม่ลังเลที่จะใช้เงินเพื่อถามเรื่องนี้จากทหารสองสามคน เขาใช้เพียงทักษะย่างก้าว 9 เทวาเพื่อเดินทางไปสู่เมืองมรกต หลังจากที่เขาได้รับคำตอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากแต่ละคน


 


จักรวรรดิเดชสวรรค์มีขนาดใหญ่มาก มีจักรวรรดิระดับต่ำมากมายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา เดิมชิงสุ่ยรู้สึกว่า จักรวรรดิอวี้มีขนาดใหญ่พอตัวแล้ว แต่เมื่อเทียบกับจักรวรรดิอวี้ พวกเขาดูต่างกันมากเกินไป


 


ตอนนี้เป็นฤดูหนาว เมื่อถึงเมืองมรกตท้องฟ้าเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ชิงสุ่ยชอบหิมะตกมากกว่าฝนตก หิมะปกคลุมไปทั่วทุกแห่ง หิมะขาวปกคลุมพื้นดินและต้นสนอย่างรวดเร็ว


 


ชิงสุ่ยยืนอยู่บนแผ่นดินหิมะและปล่อยให้เกล็ดหิมะตกลงมาบนตัว เขารู้สึกสงบ สงบราวกับน้ำลึกที่นิ่งเงียบ


 


แม้ว่าจะมีหิมะตกอยู่ แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากอยู่ตามถนน ในความเป็นจริงดูเหมือนว่าจะมีผู้คนมากขึ้นกว่าปกติ


 


ทันใดนั้นมีเสียงอึกทึกเกิดขึ้นข้างหน้า กลุ่มคนกำลังเดินมาทางชิงสุ่ย คนเหล่านี้สวมเสื้อผ้าที่หรูหรา เพียงมองแวบเดียวก็บอกได้ว่าพวกเขาเป็นสาวกของตระกูลที่ร่ำรวย พวกเขาเป็นเยาวชนทั้งหมด อย่างน้อยก็เห็นได้จากการปรากฏตัวของพวกเขา พวกเขาดูยังหนุ่มยังสาวจริงๆ


 


ในขณะที่ชิงสุ่ยมองไปที่คนเหล่านั้น พวกเขาก็ดูเหมือนจะมองกลับมาที่เขาอย่างรวดเร็ว หญิงคนหนี่งกำลังเดินมาทางเขา คนที่เป็นผู้นำคือหญิงที่ดูฉลาดหลักแหลมและสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก ชิงสุ่ยรู้สึกคุ้นเคยกับเธอเล็กน้อยเพียงได้เห็นครั้งแรก


 


“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่จักรวรรดิเดชสวรรค์?” หญิงคนนั้นดูแปลกใจเมื่อเห็นชิงสุ่ย


 


“ฮูยี่หย่า?” ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขาแย่เล็กน้อยในการจดจำผู้คน โดยปกติแล้วเมื่อผู้หญิงสวมเสื้อผ้าใหม่และตบแต่งใบหน้า มันก็จะค่อนข้างยากสักหน่อยที่จะจดจำพวกเธอ


 


“เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่? นี่ช่างเป็นเรื่องที่ดี เมื่อเจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง” ฮูยี่หย่าดูเหมือนจะมีความสุขเป็นพิเศษ เธอมีเสน่ห์ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความไร้เดียงสา


 


“เจ้ายังติดต่อกับเขาอยู่หรือ” ชิงสุ่ยกำลังพูดถึงเรื่องเทียนเจียง เขารู้เพียงว่าเธอมีความสัมพันธ์พิเศษกับเทียนเจียง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างแล้ว


 


“แน่นอน เขาบอกข้าว่าเขาจะแต่งงานกับข้าเมื่อเขาแข็งแกร่งมากพอ” ฮูยี่หย่ามองไปที่ชิงสุ่ยและยิ้ม


 


“โอ๊ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น แน่นอนว่าเขาจะประสบความสำเร็จอีกมากมาย” ชิงสุ่ยยิ้มและตอบโต้


 


“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปดูรอบๆ”


 


“พี่สาวหย่า เขาเป็นใครกัน? เขาดูไม่ค่อยคุ้นตาเลย” ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆฮูยี่หย่าถาม


 


“เขาเป็นสหายของข้าที่มาจากแดนไกล เขาแข็งแกร่งมาก” ฮูยี่หย่าตอบผ่านๆ


 


“โอ๊ะ ถ้าท่านเป็นสหายของพี่สาวหย่า นั่นก็หมายความว่าท่านเป็นสหายของพวกเราด้วย ไปกันเถอะ ทางนี้” เห็นได้ชัดว่าฮูยี่หย่า เป็นผู้นำของพวกเขา ในบรรดคนทั้งสิบสองรวมทั้งฮูยี่หย่า มีผู้หญิงเพียง 4 คนเท่านั้น


บทที่ 1256 – ใครกันที่ช่างน่าสมเพช


 


ตระกูลฮูถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างมากในภูมิภาคแห่งนี้และยังเป็นตระกูลที่ทรงพลัง ในความจริงแล้ว ฮู ยี่หย่าสามารถเดินทางไปยังสำนักสวรรค์เร้นลับพร้อมกับเหล่าตระกูลราชวงศ์เพื่อแสดงให้เห็นในการแข่งขันว่าตระกูลฮูนั้นมีพลังมากเพียงใด


 


ตระกูลราชวงศ์ไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วยตัวของพวกเขาเอง แท้จริงแล้วสายเลือดของพวกเขานั้นอาจมีเพียงแค่ 1 ใน 3  แต่คนเหล่านั้นคือขุมพลังที่ทรงประสิทธิภาพอย่างแท้จริง คนกลุ่มนี้คือพลังอำนาจ คือสายเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายสายเลือดที่มอบมรดกแห่งพลังอันทรงเกียรติ


 


ตระกูลฮูอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็นตระกูลที่ยอดเยี่ยมที่สุดแต่พวกเขาก็เกือบจะก้าวขึ้นถึงจุดนั้น จำนวนตระกูลที่สามารถปราบปรามตระกูลฮูได้ สามารถนับได้เพียงแค่นิ้วมือทั้งสองมือ


 


ชิงสุ่ยรู้จักกับคนเหล่านี้เพราะว่าเขาได้รับการแนะนำในก่อนหน้านี้ พวกเขาคือตระกูลศักดินาที่เป็นผู้ครอบครองพื้นที่บริเวณเหล่านี้ ตระกูลขุนนางอาจจะมีจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองจักรพรรดิ แต่ทุกตระกูลล้วนจับมือเป็นพันธมิตรกันเปรียบดังเชือกที่ถักร้อย มิฉะนั้นพวกเขาก็จะถูกกำจัดออกไป


 


แม้ว่าเหล่าตระกูลชนชั้นขุนนางเหล่านี้จะให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันแต่ก็ยังแข่งขันกันเอง


 


ในหมู่กลุ่มของฮูยี่หย่า ตระกูลฮูและตระกูลเป่ยผู้คุมพลังที่มีอำนาจมากที่สุด ในหมู่ตระกูลเป่ยนั้นจะมีชายหนุ่มคนนึงที่ชื่อว่า เป่ย เก้อลี่ เขาคือคนที่สานสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มตระกูลเป่ยและตระกูลฮูรวมถึงตระกูลอื่นๆอีกด้วย


 


เป่ย เก้อลี่ และฮูยี่หย่า มีอายุประมาณรุ่นราวคราวเดียวกัน อายุจะต่างกันเพียงแค่ไม่กี่เดือน ดังนั้นเขาจึงเรียกฮูยี่หย่าว่าพี่สาว แต่อย่างไรก็ตามพลังในการบ่มเพาะของเขานั้นอยู่สูงกว่าฮูยี่หย่าอยู่เล็กน้อย


 


เขาไม่ได้มาจากตระกูลสาขาหลัก และยังเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดารุ่นราวคราวเดียวกับคนของเขา แม้ว่าเขาจะมีความสามารถ แต่เขาก็ยังเด็กเกินไปที่จะดึงดูดอิทธิพลต่อความปรารถนาของตระกูลในตอนนี้


 


แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรพวกเขา เพราะพวกเขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลไว้จำนวนมาก


 


“พี่ใหญ่ชิง การบ่มเพาะของท่านอยู่ในระดับใดกัน? ทำไมพี่หย่าจึงไม่สามารถหยุดยั้งท่านได้” เป่ย เก้อลี่ จ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขลาด แต่ชิงสุ่ยสามารถรับรู้ได้ว่าไม่มีใครคิดจะทำร้ายเขา


 


“ทำไมหรือ? หรือว่าเจ้าต้องการที่จะสู้กับข้า?”ชิงสุ่ยถามกลับด้วยรอยยิ้ม


 


ชิงสุ่ยเองอายุก็ไม่ได้มากกว่าเขามากนัก แต่ด้วยความสูงของระดับพลัง แม้แต่ฮูยี่หย่าเองก็คิดว่าชิงสุ่ยคงไม่ใช่ชายหนุ่มแต่ก็ไม่ใช่คนแก่ ในบรรดาตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ชายหนุ่มรุ่นเยาว์บางคนก็เพิ่งได้แต่งงานเมื่ออายุ 200 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแต่ยังคงบริสุทธิ์


 


ตระกูลราชวงศ์และชนชั้นขุนนางอาจจะได้รับการแต่งงานเร็วกว่านั้น พวกเขาอาจจะเริ่มต้นมันเมื่อตอนอายุ 20  หรือ 16 ปี มันเป็นการจับถุงชนซึ่งจะเป็นตัวช่วยส่งเสริมสถานภาพทางสังคม โดยที่การหย่าร้างนั้นแทบจะเกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้เว้นเสียแต่จะมีบุคคลที่ทรงอำนาจมากกว่าต้องการช่วงชิง


 


หลังจากนั้นเราลูกหลานของตระกูลราชวงศ์ที่ได้รับการแต่งงานไปแล้ว พวกเขาจะยังคงไม่ได้ให้กำเนิดบุตรในเร็ววัน ส่วนใหญ่การแต่งงานจะถูกจัดขึ้นโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีอายุมากกว่า ซึ่งถือเป็นเรื่องยากในการตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตร แต่บุตรพวกเขาให้กำเนิดจะมีระดับพรสวรรค์สูงกว่าคนทั่วไป เพราะนั่นคือพลังที่สืบทอดกันมาจากสายเลือดตระกูล


 


“ข้าอยากจะ ข้ามีบางอย่างจะขอร้อง พี่ชายชิงได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด”


 


“หยุดเดี๋ยวนี้ ชิงสุ่ยไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือของเรา ถ้าพวกเจ้ายังทำเช่นนี้อีก หลังจากนี้ ข้าจะไม่ยอมให้พวกเราติดตามข้า”ฮูยี่หย่า กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมา


 


ชิงสุ่ยแทบไม่ต้องเดาเลย พวกเขาจะต้องสร้างความขัดแย้งกับคนจากตระกูลอื่นๆ และดูเหมือนว่าฮูยี่หย่าจะอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ


 


เป่ย เก้อลี่ส่ายหน้าอย่างไม่มีทางเลือก แต่ชิงสุ่ยก็เลือกที่จะพยักหน้า


 


แม้ว่าจะไม่มีการพูดคุยอะไรกันแต่เป่ย เก้อลี่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข การพยักหน้าถือเป็นตัวแทนแห่งคำพูด เขารับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์ที่เขามีต่อตัวชิงสุ่ยว่าชายคนนี้จะต้องมีพลังไม่ธรรมดาและมีพลังมากกว่าเขา


 


“หยุดรบกวนเขาได้แล้ว!!!”


 


เมื่อชิงสุ่ยได้ยินเสียงของฮูยี่หย่า เขาก็เข้าใจ คนเกือบ 20 คนก็เริ่มเดินตามฮูยี่หย่าออกไปอย่างรวดเร็ว


 


ฮูยี่หย่าหยุดเดินและหันไปมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่อับอาย ” พวกเรากำลังเดินทางไปเพื่อต่อสู้ในวันนี้ และดูเหมือนว่าเราจะเจอกันโดยบังเอิญ ชิงสุ่ยได้โปรดจากไปก่อนเถิด ขอเวลาข้าอีกสักหน่อยแล้วข้าจะออกไปหาเจ้า”


 


ชิงสุ่ยมองดูสายตาที่แสนจริงจังของฮูยี่หย่า


 


” ด้วยสายสัมพันธ์ที่เจ้ามีต่อพี่ใหญ่ เจ้าคิดว่าข้าจะจากไปง่ายๆงั้นหรือ? เจ้าพอจะอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม


 


“เห้อออ เด็กผู้เป็นผู้นำของพวกมันคือ เฉินฟู่ติง แห่งตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินและตระกูลของข้านั้นอยู่ในระดับเดียวกัน เฉินฟู่ติงหลงรักข้าดังนั้นเขาจึงให้ตระกูลของเขามาสู่ขอการแต่งงานต่อข้า ท่านก็รู้ว่าข้านั้นย่อมต้องไม่เห็นด้วย นอกจากนี้คนในตระกูลของข้าก็เห็นด้วยกับความคิดของข้าจึงได้ทำการปฏิเสธพวกเขาไปอย่างสุภาพ แต่ผลของการกระทำนั้นก็ย่อมต้องเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คำพูดการปฏิเสธก็เหมือนเปรียบดั่งการตบหน้าตระกูลเฉิน มันจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเราร้าวฉาน เฉินฟู่ติงยังคงกล่าวโทษข้าที่ทำให้ตระกูลของเขาต้องอับอาย ดังนั้นพวกเราจึงต้องสู้กันทุกครั้งที่ได้พบเจอกัน


 


ในขณะที่ฮูยี่หย่ากล่าวจบ กลุ่มของอีกฝ่ายก็ปรากฏตัวขึ้นห่างจากพวกเขาไม่เกิน 5 เมตร ชิงสุ่ยหันไปมองดูชายที่มีลักษณะดูดี ผิวพรรณของเขาใสสะอาดจมูกตรงมีดวงตาที่แสนสดใสแต่ภายใต้ดวงตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและชั่วร้ายที่แฝงอยู่


 


“ฮูยี่หย่า ข้าบอกเจ้าแล้วว่าถ้าจะกระทืบคนของเจ้าทุกครั้งที่เจอหน้าเจ้า การที่ปฏิเสธชายที่โดดเด่นที่สุดเช่นข้าคือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้า”เฉินฟู่ติงกล่าวด้วยความหยิ่งผยอง


 


แม้ว่าเฉินฟู่ติงจะพูดอย่างจริงจัง แต่ชิงสุ่ยก็ไม่อาจระงับเสียงหัวเราะของเขาได้จนทำให้เขาต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว


 


“พี่ชายชิง ท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกงั้นหรือ?”เป่ย เก้อลี่ถามชิงสุ่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า


 


“มันไม่ได้เป็นเรื่องตลกเลย แต่มันกลับดูหน้าขันเมื่อออกมาจากปากของคนที่ดูโง่เง่า”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง


 


ข้อความที่ชิงสุ่ยได้กล่าวออกมาได้สร้างความเสียหายอย่างมาก เฉินฟู่ติงถึงกับหน้าเสียและหันมาจ้องมองชิงสุ่ยก่อนที่เขาจะเสแสร้งรอยยิ้มจอมปลอมออกมา  “ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นใครกัน? ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน แต่ข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบจากที่นี่ไปซะ”


 


ชิงสุ่ยไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะพูดจากลับมาอย่างรอบคอบ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเต็มไปด้วยความโกรธแต่เขาก็สามารถระงับความโกรธของตัวเองได้ มันอาจเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายเข้าใจดีว่าการที่จะต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่รู้จักอาจจะต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงส่ง


 


“เจ้าไม่ต้องห่วงเลยว่าข้าเป็นใคร เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าคนที่โง่เง่าอย่างเจ้าจะสามารถพูดอะไรที่กล้าหาญเช่นนี้กับหญิงสาวคนหนึ่ง? เจ้าคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นคือเรื่องที่น่ารื่นรมย์มากอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยไม่อาจทนดูคนที่ดูไร้ความปราณีและลงตัวเองอย่างเขา การที่เขาดูพวกมันวิตกกังวลคือเรื่องที่น่ารื่นรมย์ที่สุด


 


“นี่คือเรื่องระหว่างตระกูลฮูและตระกูลเฉิน ถ้าหากเจ้าหยุดก้าวก่าย ข้าก็จะถือว่าเจ้าไม่ต้องรับผิดชอบที่บังอาจทำให้ข้ารู้สึกอับอาย แต่ถ้าหากไม่แล้วมิฉะนั้น เจ้าจะต้องเสียใจเป็นร้อยเท่าพันเท่า”เฉินฟู่ติงกล่าวเตือน


 


ทันทีที่เขาเห็นปฏิกิริยาของชิงสุ่ย รีบพยายามตรวจสอบพื้นเพเบื้องหลังในทันที


 


” คงไม่มีใครสามารถสร้างความอัปยศอดสูให้กับตระกูลเฉินได้มากกว่าเจ้าแล้ว สำหรับผู้ชายเยี่ยงเจ้าที่พยายามสร้างปัญหาให้กับหญิงสาวตัวคนเดียวในทุกๆวัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นว่าตัวเจ้านั้นกำลังดันทุรัง เจ้าคงไม่อาจเข้าใจได้ว่าคนอื่นๆกำลังมองเป้าอย่างน่าสมเพช เจ้านี่มันน่าสงสารจริงๆ”


 


“หุบปาก เจ้านั่นแหละที่น่าสมเพช ข้าเป็นถึงนายน้อยตระกูลเฉิน ยังมีใครกันที่กล้ากล่าวหาว่าข้าน่าสมเพช?”เฉินฟู่ติงตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้าง


 


“คนที่น่าสงสารอย่างแท้จริงคือคนที่ไม่ทราบว่าเขากำลังได้รับความเมตตาจากผู้อื่น นั้นคือเรื่องที่น่าสมเพชที่สุดที่เกิดขึ้นในตอนนี้  ตระกูลเฉินเองก็มีบุตรมากมาย แต่ทำไมเจ้าถึงเป็นคนเดียวที่ทำอะไรไร้สาระแบบนี้ล่ะ?”


 


“นั่นเป็นเพราะว่านางง……”เฉินฟู่ติงไม่อาจกล่าวเรื่องที่เธอปฏิเสธการแต่งงานออกมาได้


 


“เจ้ากำลังจะบอกว่าที่ทำเช่นนี้เพราะว่านางไม่ยอมรับข้อเสนอการแต่งงานจากคนของตระกูลเจ้า สำหรับการกระทำที่เจ้าทำไม่เพียงแต่จะทำให้เจ้าดูโง่เง่าแต่มันยังทำให้คนอื่นยิ่งสมเพชเจ้ามากขึ้น ลองหันไปมองผู้อาวุโสของเจ้าสิ พวกเขาก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้เพราะพวกเขาย่อมรู้ดีว่าผู้อื่นจะมองเห็นว่าการกระทำเหล่านี้คือความน่าสมเพช ทำไมไม่มีใครจากตระกูลฮูยื่นมือออกมาช่วยหญิงสาวตัวน้อยๆคนนี้จากตระกูลปัญญาอ่อนที่จะทำการกลั่นแกล้งโง่เง่าเช่นนี้? นั่นก็เป็นเพราะว่าตระกูลฮูคลิปเพลงแค่ว่าเจ้านั้นน่าสงสาร มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ชายที่น่าสงสารอาจเกิดจากการโดนดูถูกหมิ่นประมาท แต่บางครั้งคนที่น่าสงสารก็เกิดขึ้นมาจากความน่าสมเพชเช่นกัน…….”


 


“ข้าน่าสงสารงั้นหรือ?”


 


“ข้าน่าสงสารงั้นหรือ?”


 


…………………….


 


เฉินฟู่ติง กล่าวถามคนที่อยู่รอบตัวของเขาทันที ชายที่หญิงสาวทุกคนฝันถึงไม่ว่าเขาจะไปที่ใด แต่เหตุใดถึงต้องมาติดกับดักอยู่ที่ตรงนี้ด้วย


 


เมื่อคนเหล่านั้นคิดอย่างถี่ถ้วน พวกเขาก็เพราะว่านี่มันคือเรื่องที่แสนน่าสงสารจริงๆ แต่เป้าหมายของพวกเขาก็ยังคงเป็นฮูยี่หย่า ดังนั้นพวกเขาจึงหันมองหน้ากันและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี


 


ฮูยี่หย่าหันไปมองชิงสุ่ยด้วยความตกใจ “ข้าคิดว่าพลังของเจ้านั้นดีขึ้นกว่าเก่า ได้ดูเหมือนว่าปากของเจ้านั้นดียิ่งกว่าเสียอีก เจ้าสามารถผลักดันให้คนหนึ่งคิดฟุ้งซ่านจนเป็นบ้าได้โดยอาศัยเพียงแค่คำพูดช่างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”


 


มันช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกจริงๆสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกตามรังควานด้วยคนบ้าคนเดียว และเมื่อเขาได้พบกับคนที่ไร้ยางอายอย่างเฉินฟู่ติง เพียงแค่ประโยคแรกที่ได้กล่าวออกมาก็เห็นแล้วว่าเขานั้นไร้ยางอายและหลงตัวเองอยู่ในระดับที่สูงเสียดฟ้า


 


“นายน้อยเฉิน ในเมื่อเขาบอกว่าท่านน่าสงสารและน่าสมเพช เหตุใดพวกเราถึงไม่เอาชนะเขาและทำให้เขารู้ว่าใครกันแน่ที่มันน่าสมเพช?”ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ที่อยู่ด้านหลังกล่าวอย่างฉับพลัน


 


“นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการจะได้ยิน ในเมื่อข้าถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าข้านั้นเป็นคนที่น่าสมเพช ในวันนี้ถ้าจะเอาชนะมันและแสดงให้เห็นว่าผู้ใดที่น่าสมเพช”เฉินฟู่ติงหัวเราะจนเห็นร่องฟัน


 


เขาไม่ได้สนใจว่าจะถูกด่าว่ากล่าวว่าเป็นคนที่ไร้ยางอายหรือหลงตัวเองหรืออะไรก็ตาม เขาเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกที่เหนือกว่าผู้อื่นดังนั้นเขาจึงไม่สนใจไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรถึงเขา แต่ชิงสุ่ยกลับทำลายความรู้สึกที่เขามีด้วยคำพูด มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเขากำลังยืนแก้ผ้าให้คนอื่นจ้องมอง มันเป็นคำพูดที่กัดกินและทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงความน่าสงสารในตัวเอง


 


อย่างไรก็ตามพวกเขายิ่งรับรู้ได้ถึงความน่าสมเพชทันทีที่เริ่มต้นการต่อสู้ ชิงสุ่ยใช้เพียงแค่พลังวิญญาณของเขาในการจำกัดความเร็วและการรับรู้ของศัตรู คนกว่า 10 คนของ ฮูยี่หย่าเดินตรงออกไปเพื่อรับมือก็ต้องพบกับว่าคนของเฉินฟู่ติงไม่อาจปัดป้องการโจมตีใดๆได้เลย สุดท้ายใบหน้าของแต่ละคนบวมเป่งและเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือด


 


ตลอดเวลา คนของฮูยี่หย่าจะเป็นฝ่ายที่ได้รับความพ่ายแพ้ แต่คราวนี้พวกเขาตระหนักแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นอ่อนแออย่างยิ่งและด้อยกว่าที่เคยเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงปลดปล่อยความโกรธที่ถูกระงับเอาไว้เป็นเวลายาวนาน ครั้งนี้มันทำให้เฉินฟู่ติงและคนที่เหลือต้องกล่าวคำอ้อนวอนขอความเมตตา


 


ชิงสุ่ยไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ เขาเพียงแค่ยืนมองดูฝ่ายศัตรูกำลังโดนโจมตีจากคนของฮูยี่หย่า ในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดสูญเสียชีวิตแต่วัตถุประสงค์หลักคือการสร้างความเสื่อมเสียให้กับอีกฝ่าย ดังนั้นส่วนใหญ่จึงมุ่งเป้าไปที่ใบหน้าของศัตรู มันคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ทำให้พวกมันต้องอยู่กับใบหน้าที่บวมเป่งและจมูกที่เปรอะเปื้อนเลือดคล้ายกับหัวหมู


บทที่ 1257 – กายาทองแดง กายาเงา


 


สถานที่สุดแล้วเฉินฟู่ติงก็ต้องรีบล่าถอยไปพร้อมกับคนของเขา ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาเองก็ไม่รู้ว่าผลของวันนี้มันจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน แม้แต่ ฮู ยี่หย่าเองก็ไม่อาจรู้ได้  แต่เธอมั่นใจว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับชิงสุ่ยอย่างแน่นอน


 


“ขอบคุณมากนะ ชิงสุ่ย!!!”ฮู ยี่หย่ากล่าวแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อหน้าชิงสุ่ย


 


“เจ้าจะมาขอบคุณข้าทำไม? พวกเจ้าเป็นคนไร่มันกลับไปด้วยกำปั้นของเจ้า ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ


 


” พอดีถ้าหากเจ้าไม่ยอมรับมัน แต่ข้าก็จะระลึกไว้ในใจของข้าเสมอ มาเถอะเดี๋ยวข้าจะเอาเหล้ามาเลี้ยงเจ้า คิดซะว่ามันเป็นงานต้อนรับสำหรับเจ้า”ฮู ยี่หย่ากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ


 


ประจวบเหมาะกับชิงสุ่ยยังไม่ได้ตัดสินใจจะทำอะไรต่อ เขาเองก็ยังไม่รู้จักใครที่นี่และฮู ยี่หย่าคือคนที่เขารู้จักเพียงหยิบมือ นอกจากนี้ตระกูลของเธอดูเหมือนจะเป็นตระกูลที่ทรงพลัง ถ้าหากเขาตามเธอไป เขาอาจจะรู้เบาะแสเกี่ยวกับนิกายบงกชเทวะก็เป็นได้


 


เมื่อมาถึงจุดนี้ชิงสุ่ยก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย และพวกเขาก็เดินทางไปยังร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ


 


“พี่ชายชิง ให้ข้าเลี้ยงขนมปังท่านเถิด!!”เป่ย เก้อลี่ดื่มเหล้าอย่างมีความสุข


 


ทั้งฮู ยี่หย่าและเป่ย เก้อลี่ต่างก็สามารถคาดเดาผลการต่อสู้ในวันนี้ได้ว่ามันเป็นผลพวงมาจากการช่วยเหลือของชิงสุ่ยที่อยู่เบื้องหลัง


 


“น้องสาวหย่า ข้าต้องการข้อมูลบางอย่างจากเจ้า”ชิงสุ่ยถามฮู ยี่หย่าขณะเริ่มรับประทานอาหาร


 


“มันคืออะไรงั้นหรือ? แล้วเจ้าก็ไม่ต้องสุภาพมากนักก็ได้”


 


“เจ้ารู้จักนิกายบงกชเทวะหรือไม่?”ชิงสุ่ยความคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และตอนนี้เขาเองก็เป็นคนที่มีพลังสูงดังนั้นตามธรรมชาติเขาจึงไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่จะตามมา


 


“นิกายบงกชเทวะ?”ฮู ยี่หย่าจ้องมองชิงสุ่ยพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน


 


“ถูกต้อง”แม้ว่าชิงสุ่ยจะมองเห็นหน้าตาที่เปลี่ยนไปของฮู ยี่หย่า ด้วยลางสังหรณ์เขาจึงคิดว่าเธอจะต้องรู้เกี่ยวกับอะไรบางอย่าง


 


“นิกายบงกชเทวะคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจักรวรรดิเดชสวรรค์ แม้ว่ามันอาจจะดูไม่เหมือนดินแดนระดับ 4  แต่ตามตำนานกล่าวไว้ว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งไม่ต่างกับจักรวรรดิระดับ 4 เลย”ฮู ยี่หย่าจ้องมองไปที่ชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องปกติ เขาได้เรื่องยินขุมพลังที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้มหาทวีปอู่เซียตะวันตก และข่าวลือนั้นก็ค่อนข้างจะเป็นความจริงแม้จะเป็นข้อมูลที่ล้าสมัยหลายปีมาแล้ว


 


“ที่ข้ามายังจักรวรรดิเดชสวรรค์ก็เพื่อมาตามหาใครบางคนที่อยู่ในนิกายบงกชเทวะ”ชิงสุ่ยอธิบายวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้


 


“นิกายบงกชเทวะถูกสร้างขึ้นโดยหญิงสาวที่พยายามแยกตัวห่างจากเรื่องทางโลก”ฮู ยี่หย่าจ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่จริงจัง เธอไม่ได้สงสัยในตัวของชิงสุ่ย แต่กำลังสงสัยว่าชิงสุ่ยต้องการจะเจอกับใคร


 


“ดูเหมือนเจ้าจะคุ้นเคยกับนิกายบงกชเทวะ?”


 


“พี่สาวของข้าก็คือคนของนิกายบงกชเทวะ ดังนั้นข้าเองก็ย่อมต้องรู้เรื่องของพวกเขาแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตาม”ฮู ยี่หย่ารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้กล่าวออกไป เห็นได้ชัดว่านิกายบงกชเทวะมีสถานะที่ค่อนข้างดีเมื่ออยู่ภายในจักรวรรดิเดชสวรรค์


 


“โอ้ ถ้าเป็นเช่นนั้นยิ่งดีเลย เจ้ารู้สถานที่ตั้งของนิกายบงกชเทวะหรือไม่?”


 


“ข้าไม่รู้!!!”ฮูยี่หย่าส่ายหน้าก่อนจะกล่าวออกมาอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่านิยายบงกชเทวะมีสาวกอยู่มากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดภายนอกโรงรู้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของนิกายเลย”


 


“เจ้าสามารถติดต่อกับพี่สาวของเจ้าได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยรู้สึกมืดมนอีกครั้ง แต่เนื่องจากว่าเธอมีพี่สาวของเธออยู่ในนิกาย สิ่งนี้อาจจะเป็นทางที่ง่ายขึ้นสำหรับเขา


 


“พี่สาวของข้ารักสันโดษ จึงไม่มีผู้ใดสามารถติดต่อกับนางได้”ฮู ยี่หย่าเสียใจเล็กน้อยเมื่อต้องอธิบายเรื่องนี้


 


“แล้วนางเคยกลับมาบ้างหรือไม่?”ชิงสุ่ยตระหนักได้ว่าสิ่งต่างๆไม่ง่ายอย่างที่คิด


 


“นางมักจะกลับมาในช่วงปลายปี แต่บางครั้งนางก็ไม่กลับมา นี่มันเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้ว ทำไมเจ้าไม่มาที่พักของข้าเพื่อรอนางกลับมาล่ะ?”ฮู ยี่หย่าเสนอหลังจากคิดชั่วครู่หนึ่ง


 


ชิงสุ่ยเองก็ไม่ได้มีแผนที่ดีกว่านี้ พี่สาวของฮู ยี่หย่าเป็นถึงคนที่อยู่ในนิกายบงกชเทวะ แต่คนผู้เป็นน้องอย่างฮู ยี่หย่ากลับไม่สามารถรู้เรื่องสถานที่ตั้งของนิกายบงกชเทวะ แล้วคนภายนอกจะไปรู้เรื่องสถานที่เหล่านั้นได้อย่างไรกัน


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างอื่นก่อน และเดี๋ยวข้าจะกลับมาเยี่ยมเจ้าในช่วงปลายปี”


 


“เช่นนั้นก็ดี แต่เจ้ายังคงจะต้องไปยังที่พักของข้าเสียก่อนเพื่อให้เจ้ารู้ว่าในครั้งหน้าเจ้าจะมาได้อย่างไร ข้าจะแนะนำเจ้าให้กับคนในตระกูลของข้าได้รู้จัก คนในตระกูลของข้ายินดีต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือนเสมอ”ฮู ยี่หย่ากล่าวอย่างมีความสุข


 


ในตอนนี้เป่ย เก้อลี่และคนอื่นๆก็ได้จากไปแล้ว ชิงสุ่ยและฮู ยี่หย่าจึงเดินทางตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลฮู


 


ตระกูลฮูคือตระกูลที่มีความสำคัญในพื้นที่บริเวณนี้ และพวกเขาก็ครอบครองจำนวนผู้พิทักษ์ธรรมอีกเป็นจำนวนมาก ชิงสุ่ยรับรู้เรื่องเหล่านี้ผ่านการพูดคุยของฮู ยี่หย่า ในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ผู้ที่จะสามารถบรรลุผ่านระดับผู้พิทักษ์ธรรมจึงมีจำนวนมาก จะมีก็เพียงแต่เด็กกำพร้าเท่านั้นที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้


 


ฮู ยี่หย่าได้พาชิงสุ่ยตรงมายังตระกูลของเธอ ตระกูลฮูที่เป็นตระกูลขนาดใหญ่ภายในจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย


 


ฮู ยี่หย่าคือคนที่เด็ดที่สุดในตระกูลของเธอ พ่อของเธอยังไม่แก่ชราและยังเป็นคนที่เก่งอีกด้วย แม้ว่าเขาจะไม่สูงมากนักแต่ร่างกายของเขานั้นบ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยพลังงานที่ขับเคลื่อนไปมาคล้ายๆกับพลังธรรมชาติในตัวชิงสุ่ย


 


ไม่เพียงแค่นั้น เขายังมีพลังที่แข็งแกร่งจนเข้าใกล้ระดับ 2000 สุริยา


 


ผู้อวุโสคนนี้เป็นคนที่มีความสุภาพอย่างยิ่ง และดูเหมือนเขาจะรักลูกสาวคนสุดท้องมากที่สุด ภายนอกเขาอาจจะดูไม่เหมือนกับคนอื่นๆในตระกูลขุนนาง แต่ทั้งสองพ่อลูกต่างก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ฮู ยี่หย่าเปรียบเสมือนเด็กตัวเล็กๆที่ยืนอยู่ข้างพ่อของเธอ สิ่งนี้ทำให้ชิงสุ่ยยิ่งประทับใจในตัวของผู้อาวุโสคนนี้


 


“เจ้าคงจะเป็นเพื่อนของเจ้าหนูหย่าตัวน้อย นั่นก็หมายความว่าเจ้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา ทำตัวอยู่ที่นี่ให้เหมือนอยู่ที่บ้านของเจ้า ถ้าหากเจ้าต้องการอะไรก็โปรดบอกไม่จำเป็นต้องเขินอายใดๆทั้งสิ้น”ผู้อาวุโสกล่าวด้วยความอบอุ่น


 


“ขอบคุณครับท่านลุง!!”


 


ไม่นานหลังจากนั้น ชิงสุ่ยก็ได้ทำความรู้จักกับเหล่าพี่น้องของฮู ยี่หย่า เหล่าพี่น้องของเธอนั้นล้วนแล้วแต่มาจากต่างมารดา และส่วนใหญ่ก็ได้แต่งงานออกเรือนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


พี่ชายสามและ พี่สาวสี่ของฮู ยี่หย่าก็ได้ทิ้งความรู้สึกลึกๆเอาไว้ข้างในใจของชิงสุ่ย ชิงสุ่ยมีความทรงจำที่ดีดังนั้นเขาจึงสามารถจำชื่อคนเหล่านี้ได้หลังจากที่ฮู ยี่หย่าทำการแนะนำ


 


ฮูเย่จงและฮูอี้เหมินอาจได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแกร่งพิเศษ ซึ่งก็คือ กายาทองแดง และกายาเงา ซึ่งเหมาะสำหรับการฝึกฝนร่างกายและการฝึกฝนด้านความเร็ว แต่ช่างน่าเสียดายที่พวกเขายังไม่อาจกล่าวถึงศักยภาพที่สมควรได้รับ


 


“มาเถิดมาเถิด ชิงสุ่ย พวกเรามาจิบชากัน”ชายรูปร่างผอมสูงกล่าวเชิญชวนชิงสุ่ย


 


เขาคือพี่ชายหกของฮู ยี่หย่า นามว่า ฮูเย่เฟ่ง


 


“ข้าต้องขอโทษด้วยที่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องในครอบครัว”


 


“ชิงสุ่ย เจ้าอย่าได้คิดมากและอย่าได้สุภาพเลย หรือว่าเจ้าไม่ได้เห็นพวกเราเป็นครอบครัว”ฮูเย่จงระเบิดเสียงหัวเราะ


 


“ถูกต้องแล้ว ชิงสุ่ย ถ้าหากเจ้าไม่คิดมาก เจ้า สามารถเรียกข้าว่าพี่สาวเหมินได้” ฮูอี้เหมินจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความแปลกใจ


 


ทุกคนต่างก็ตระหนักดีว่าพวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงศักยภาพภายใต้ชายหนุ่มคนนี้ เพียงแค่มองแวบแรกพวกเขาต่างก็รู้ดีว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างถูกปกปิดไว้ภายใน


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงไม่ปฏิเสธ ได้โปรดดูแลข้าด้วยพี่สาวเหมิน”ชิงสุ่ยยิ้มให้กับหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว


 


……………………


 


บรรยากาศที่เคยกดดันก็เริ่มลดลงผ่านการสนทนาของพวกเขา


 


“ท่านพี่ทั้งหลาย ไม่ทราบว่าในช่วงปีใหม่พี่สาวเซียนจะกลับมาหรือไม่?”ฮู ยี่หย่าเอ่ยถามพี่ชายและพี่สาวของเธอ


 


“ทำไมรึ? หรือว่าเธอหายตัวไป?”


 


“ชิงสุ่ยปรารถนาที่จะพบใครสักคนหนึ่งที่อยู่ในนิกายบงกชเทวะ แต่พวกเราเองก็ไม่ทราบว่านิกายบงกชเทวะตั้งอยู่ที่ใด”ฮู ยี่หย่าช่วยชิงสุ่ยอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของเขา


 


“พวกเราก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเซียนเอ่อจะกลับมาหรือไม่ แต่ข้าสามารถพาเจ้าไปพบใครบางคน นางเป็นคนที่รู้ที่ตั้งของนิกายบงกชเทวะ อย่างไรก็ตามข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านางจะยินดีแบ่งปันข้อมูลให้กับเจ้าหรือ เพราะแม้แต่ข้าเองนางก็ยังไม่ยอมบอกว่าอยู่ที่ใด เห็นได้ชัดเลยว่านี่มันเป็นกฎที่ถูกตั้งขึ้นของนิกายอย่างแน่นอน”ฮูอี้เหมินกล่าวหลังจากคิดชั่วครู่หนึ่ง


 


“โอ้ พี่สาวเหมินท่านรู้จักใครบางคนที่มาจากนิกายวงกตเทวะด้วย ช่างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!!”หัวใจของชิงสุ่ยเริ่มถูกเติมเต็มไปด้วยความหวัง


 


“ใช่แล้วล่ะ แต่ทว่าเพื่อนของข้าคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างไม่ปกติ ดังนั้นอัตราความสำเร็จที่จะได้ล่วงรู้เรื่องสำคัญจึงมีน้อยมากๆ”ฮูอี้เหมินกล่าวหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง


 


“ผิดปกติ?”ชิงสุ่ยเริ่มรู้สึกว่าความหวังหายไปเล็กน้อย


 


” เส้นลมปราณที่ท้องขาของนางได้ถูกทำร้ายจนไม่อาจใช้งานได้ จึงทำให้เธอต้องออกจากนิกายบงกชเทวะ และแน่นอนว่า นางคือลูกสาวคนโตของตระกูลติ๊หวู่แห่งจักรวรรดิเดชสวรรค์ ในคนรุ่นราวคราวเดียวกับนาง พรสวรรค์ของนางนั้นไร้คู่แข่ง แต่ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินที่ไม่มียาสมุนไพรใดจะสามารถฟื้นคืนพลังขาของนางได้ มันจึงทำให้บุคลิกของงานแปรเปลี่ยนไป”


 


ติ๊หวู่นั่นคือนามสกุล เขารับรู้ถึงตระกูลติ๊หวู่เมื่อครั้งในตอนที่เขายังอยู่ในนิกายสวรรค์เร้นลับเพราะมันคือส่วนหนึ่งของตระกูลราชวงศ์ ตระกูลติ๊หวู่ยังมีข่าวลือว่าตระกูลแห่งนี้คือตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในบรรดาจักรวรรดิ์เดชสวรรค์


 


แต่มันก็ไม่มีอะไรที่น่าแปลกใจเลยเพราะว่าชิงสุ่ยได้มองดูการดำรงอยู่ของนิกายสวรรค์เร้นลับ ซึ่งมีอำนาจเกือบจะเท่าเทียมกับจักรวรรดิเดชสวรรค์ ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามชิงสุ่ยจำเป็นต้องตามหาใครสักคนหนึ่งที่รู้เรื่องราวของนิกายบงกชเทวะ เขาจำเป็นต้องมีคนคอยแนะนำมิฉะนั้นคนทางเบื้องหน้าคงเต็มไปด้วยความมืดมน


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าเองก็ได้เรียนรู้เรื่องทักษะในการรักษามาบ้าง บางทีค่าอาจจะช่วยซ่อมแซมมันให้นางได้”ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง


 


“ตระกูลติ๊หวู่ได้ลงทุนหาสมุนไพรมากมายจนกระทั่งยามหัศจรรย์กระดูกมรณะทำให้เธอเธอฟื้นคืน ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถเดินได้เหมือนคนปกติ แต่ลมปราณก็ไม่อาจเข้าไปสู่เส้นลมปราณที่อยู่ภายในได้”ฮูอี้เหมินทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ เธอไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับความรู้เชิงการรักษา แต่เธอระบุว่าแม้แต่ยามหัศจรรย์กระดูกมรณะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้


 


ชิงสุ่ยรู้สึกงงงวย ยามหัศจรรย์กระดูกมรณะ ควรจะสามารถรักษาเธอให้หายขาดได้ เนื้อกระดูกเส้นเลือดและ เส้นลมปราณสมควรจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แม้ว่าเธอจะสูญเสียขาทั้งสองข้างไปแต่มันสมควรจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หรืออาจเป็นเพราะเธอยังคงมีขาของเธออยู่ ผลของยาจึงถูกลดลง?


 


ชิงสุ่ยรู้สึกกลุ้ม หรือว่าเธอควรจะต้องตัดขาของเธอออกก่อนที่จะได้รับยา?


 


“ไม่ทราบว่าพี่สาวเหมินจะสะดวกพาข้าไปหาเพื่อนของท่านตอนใดกัน?”ชิงสุ่ยไม่ได้พูดถึงเรื่องการรักษาเพื่อนของเธอต่อ


 


“ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นวันพรุ่งนี้ ข้าจะพาเจ้าไปยังที่แห่งนั้น วันนี้เจ้าควรจะพักผ่อนเสียก่อน”ฮูอี้เหมินตอบหลังจากพิจารณาชั่วครู่หนึ่ง


 


“อ๋ออ พี่สาวเหมิน ข้าคาดเดาว่าความแข็งแกร่งของท่านนั้นขึ้นอยู่กับความเร็วที่ท่านสามารถแสดงได้ใช่หรือไม่?”ชิงสุ่ยยิ้ม


 


“โอ้ ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า”


 


“พี่สาวท่านเป็นผู้ครอบครองกายาเงาที่แสนหายาก ช่างน่าเสียดายที่ความสามารถส่วนสำคัญยังไม่ถูกปลุกให้ตื่น หากว่าท่านสนใจ ข้าสามารถช่วยเพิ่มความเร็วของท่านได้อีกหลายเท่า และมันจะสามารถเพิ่มขึ้นอีกเมื่อช่วงเวลาได้ผ่านล่วงเลยไป”


 


ชิงสุ่ยต้องการที่จะช่วยเหลือเธอ ด้วยวิธีนี้เขาอาจจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกคนนึงที่นี่ ทุกคนล้วนแล้วแต่ปรารถนาจะมีเพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือ


 


“หืออ ชิงสุ่ย ดูเหมือนเจ้าตัวมีความสามารถในการรับรู้และสามารถบอกการบ่มเพาะในตัวของข้าได้ ข้ามีความสามารถในด้านทักษะความเร็วสูงกว่าผู้อื่นเสมอมา และปู่ของข้าก็บอกข้าว่า ข้าได้ครอบครองกายาเงา แต่ช่างน่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถบรรลุถึงผลลัพธ์ที่แท้จริงของกายยาเงานี้ คาดหวังเพียงแต่ว่าสักวันหนึ่งมันจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เจ้าสามารถช่วยข้าให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้จริงๆหรือ?” ฮูอี้เหมินจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความตื่นเต้น


 


“มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนกัน ข้าก็ย่อมยินดีที่จะช่วยเหลือท่าน นอกจากนี้ สำหรับพี่ชายสาม  ข้าเองก็สามารถช่วยทำลายกำแพงทองแดงที่ขวางกันตัวท่านอยู่ได้”


 


รูปลักษณ์แห่งความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮูเย่จงทันทีที่ชิงสุ่ยกล่าวถึงกำแพงทองแดงที่ไม่อาจเข้าถึง ซึ่งนั่นก็คือคำยอมรับว่าชิงสุ่ยล่วงรู้ถึงร่างกายของเขาเช่นกัน ตระกูลของพวกเขาหวังในตัวของทั้งสองคนไว้สูงมาก คนในตระกูลหวังเสมอว่าทั้งสองคนจะสามารถปลุกความสามารถอันทรงพลังภายใต้ร่างกายของพวกเขาได้


บทที่ 1258 – กล้วยไม้เสริมกายา ยากที่จะพบติ๊เฉิน


 


พวกเขาหวังที่จะปลุกมันขึ้นมา พรสวรรค์ดังกล่าวเผยให้เห็นอยู่แล้วแม้จะยังไม่ตื่นขึ้น ดังนั้นหากมันตื่นขึ้น แน่นอนว่าผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับนั้นน่าตื่นตาตื่นใจ


 


“เป็นไปได้จริงหรือ?” ฮูเย่จงมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความคาดหวังอันแรงกล้า


 


“ข้าจะทำให้รู้ในวันนี้ ท่านต้องเชื่อใจข้า ข้าสามารถช่วยท่านได้เลย” ชิงสุ่ยยิ้มและพูด


 


“แน่นอน ข้าเชื่อใจเจ้า ถ้ามันเป็นไปได้ ข้าต้องการลองทำมันทันที” ฮูเย่จงกล่าวอย่างไม่รีรอ


 


“ตกลง งั้นพวกเรามาเริ่มกันเถอะ นั่งลงบนพื้น เพ่งจิตไปที่จุดตันเถียนของท่าน อย่าคิดถึงเรื่องอื่น” ชิงสุ่ยยิ้มและหยิบกล่องเข็มออกมา


 


สำหรับชิงสุ่ยการกระตุ้นศักยภาพในร่างกายเป็นเรื่องง่าย มันไม่มีอะไรมากมาย


 


ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เขาจัดการทำบางสิ่งที่ดูเหมือนยากมาก การที่จะกระตุ้นมันนั้น เขาใช้ยาเม็ดจำนวนมากเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในตัวออกมา อย่างไรก็ตามมันน่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พวกเขาแทบจะไม่เชื่อว่าจะสามารถลงมือทำมันได้ง่ายดายภายในระยะเวลาสั้นๆเช่นนี้


 


“วันนี้ข้าสามารถกระตุ้นมันได้ราวหนึ่งในสาม อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล ครั้งต่อไปมันจะต้องตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์” ชิงสุ่ยยิ้มและเก็บเข็มทองคำไว้


 


แม้ชิงสุ่ยจะไม่พูด แต่ฮูเย่จงก็สามารถรับรู้ถึงมันได้ ในระยะเวลาอันสั้นความสามารถของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า สิ่งที่เพิ่มมากขึ้นคือความทนทานของร่างกาย เขารู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเหมือนกำแพงเหล็ก กลิ่นอายที่เขาปล่อยออกมาคนรอบข้างอาจรู้สึกได้


 


“น่าแปลกใจเหลือเกิน” ฮูเย่จงคว้ามือของชิงสุ่ยและกล่าวอย่างลุกลน เขาไม่สามารถพูดมันได้อย่างปกติ


 


“น้องสาม ถ้าเจ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นต่อไปก็เป็นตาของข้า” ฮูอี้เหมินตื่นเต้นมาก


 


ตอนนี้ชิงสุ่ยช่วยพวกเขาเช่นเดียวกับการช่วยตัวเอง เขาต้องการขยายอิทธิพลภายในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกอย่างช้าๆ ภายในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกมักไม่ค่อยแก่งแย่งชิงดีกัน เพราะส่วนใหญ่แทบจะไม่สามารถจัดการกับปัญหาในเขตแดนของตัวเองได้หมด


 


นี่เป็นสิ่งที่ชายชราจากสำนักสวรรค์เร้นลับเล่าให้เขาฟัง ดังนั้นถ้ามีใครในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าผู้อื่นมากเกินไป มันก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับผู้ที่มีอำนาจทั้งหมด ถ้าหากพวกเขาไม่รวมกันเป็นหนึ่ง พวกเขาก็จะอยู่กันแบบฉันมิตร แน่นอนว่ายังคงมีการแข่งขันกันอยู่ แต่มันก็ไม่ถึงจุดที่พวกเขาจะกำจัดอีกฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากไม่มีใครอยากแบกรับความสูญเสีย


 


เมื่อชิงสุ่ยทำการฝังเข็มบนร่างกายของเธอ ศักยภาพของฮูอี้เหมินก็ได้รับการกระตุ้น กลิ่นอายที่ทรงพลังไหลผ่านไปตามสายลม กลิ่นอายอันแข็งแกร่งนี้ทำให้ฮูอี้เหมินเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง


 


“ขอบคุณชิงสุ่ย”


 


ฮูอี้เหมินกอดชิงสุ่ย ตอนนี้ทุกคนรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา สิ่งที่ทำให้ครอบครัวของพวกเขาหมดหนทางถูกแก้ไขแล้วโดยชิงสุ่ยภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง


 


“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี พวกท่านทั้งสองควรจะไปปรับสมดุลพลังเสียก่อน” ชิงสุ่ยหยิบขวดลายคราม 2 ขวดที่มีของยาฟื้นกายาและส่งให้พวกเขา


 


ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจช่วยพวกเขา เขาก็ต้องการเห็นมันจนถึงที่สุด ยาฟื้นกายาไม่ได้เป็นสิ่งที่มีค่ามากแต่อย่างใด


 



 


วันรุ่งขึ้นหลังจากอาหารเช้า ชิงสุ่ยตามฮูอี้เหมินไปที่ตระกูลหวู่ ตระกูลหวู่ยังอยู่ในเมืองจักรพรรดิ แต่มันเข้าไปภายในมากขึ้นเมื่อเทียบกับตระกูลฮู ยิ่งตระกูลนั้นตั้งอยู่ไกลออกไปแค่ไหน มันก็หมายถึงความมีอำนาจของพวกเขา


 


ตอนนี้ฮูอี้เหมินเหมือนกลายเป็นคนใหม่ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรู้สึกว่าเธอดีกับเขามากเช่นเดียวกับที่พี่สาวดูแลน้องชาย เขาสามารถบอกได้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่เธอแสดงออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง


 


“ตอนนี้ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถรักษานางได้” ฮูอี้เหมินกล่าวกับชิงสุ่ยอย่างตื่นเต้น พวกเขาอยู่บนเหยี่ยวลายครามของฮูอี้เหมิน มันเดินทางไปด้วยรวดเร็ว


 


“ท่านมั่นใจในตัวข้ามากงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยถามอย่างสุภาพ เขามีความมั่นใจในตนเองเช่นกัน แต่ก็ไม่ควรทำให้มันดูเกินเหตุ มันคงเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจหากเขาไม่สามารถรักษาคนได้


 


“ใช่ ข้ามั่นใจในตัวเจ้ามาก ตอนนี้ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าก็รู้สึกว่ามันเป็นความจริง”


 


“พี่สาวเหมิน ท่านช่างล่อลวงได้ง่ายดาย” ชิงสุ่ยยิ้มและพูด


 


“เจ้ามองมาที่ข้าทำไมงั้นหรือ? ตาของเจ้าช่างดูเป็นประกาย” ฮูอี้เหมินพูดอย่างมั่นใจ


 



 


ขณะที่พวกเขาคุยกัน พวกเขาก็มาถึงสถานที่อันเงียบสงบ ที่นี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีสิ่งก่อสร้างมากนัก มันเป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยสงสัย ผู้คนอย่างตระกูลหวู่ไม่น่าจะอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้


 


ราวกับว่าเธอสามารถบอกได้ว่าชิงสุ่ยคิดอะไรอยู่ ฮูอี้เหมินยิ้มและพูด “สหายของข้ายืนยันว่านางพักที่นี่”


 


คฤหาสน์เงียบๆหลังนี้มีดอกไม้รายล้อมอยู่มากมาย มันเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ มีกล้วยไม้มากกว่าพืชชนิดอื่นภายในลานและพวกมันมีสีสันที่หลากหลาย


 


คนรับใช้ 2 คนยืนอยู่ที่ประตูและทั้งสองเป็นผู้ฝึกตน สิ่งที่แปลกใจสำหรับชิงสุ่ยคือหญิงทั้งสองแข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าพวกเธอมาจากตระกูลหวู่ มันเป็นเรื่องที่ถือว่าปกติ


 


ผู้พิทักษ์ธรรมระดับ 4 เป็นผู้คุ้มกันที่นี่… มันเป็นการลงทุนที่ดีจริงๆ


 


“หยุดอยู่ตรงนั้น!”


 


ผู้รับใช้ทางด้านขวาร้องตะโกนออกไปเพื่อหยุดชิงสุ่ยและฮูอี้เหมิน


 


“ข้าคือฮูอี้เหมิน ข้าเคยมาที่นี่” ฮูอี้เหมินกล่าวอย่างรวดเร็ว


 


“เจ้าสามารถเข้าไปได้ แต่เขาห้ามเข้า” ผู้รับใช้พูดตอบ


 


ฮูอี้เหมินไม่ได้ขัดแย้ง เธอพูดกับชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอสักครู่ ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกที”


 


ชิงสุ่ยพยักหน้าและเฝ้ามองขณะที่ฮูอี้เหมินเข้าไป


 


หลังจากผ่านไป 15 นาที ฮูอี้เหมินก็เดินออกมา เธอแสดงเหรียญตราที่อยู่ในมือแล้วกวักเรียกชิงสุ่ย


 


ชิงสุ่ยเข้าไปอย่างรวดเร็ว


 


สถานที่นี้ไม่ใหญ่มาก กระถางดอกไม้มากมายภายในลานยังคงส่งกลิ่นหอมอันลึกลับลอยมาตามอากาศ


 


“กล้วยไม้เสริมกายา!”


 


ชิงสุ่ยกล่าวเมื่อมองไปที่กล้วยไม้ที่ดูลึกลับบางส่วนในลานด้วยความรู้สึกแปลกๆ


 


“กล้วยไม้เสริมกายา มันคืออะไร?”


 


“ข้าคิดว่าท่านจะรู้จักกล้วยไม้เสริมกายา”


 


ก่อนที่ชิงสุ่ยจะพูดอะไร เสียงอันร่าเริงแต่แฝงไว้ด้วยความหนาวเย็นก็ดังขึ้น


 


ชิงสุ่ยหันไปและเห็นหญิงคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าหลวมๆยืนอยู่ แม้ว่าหญิงผู้นี้จะสวยมาก แต่เธอก็ดูแตกต่างไปจากองค์หญิงใหญ่ อย่างไรก็ตามหญิงผู้นี้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนองค์หญิงใหญ่ มันทำให้เพิ่มความดึงดูดขึ้นหลายเท่า


 


ความดึงดูดใจดังกล่าวทำให้รู้สึกถึงความกระหายเมื่อมองดูเธอ เขาก็อยากจะเห็นการกระทำทุกอย่างของเธอและแม้กระทั่งต้องการฟังเสียงพูดของเธอ มันเป็นเสน่ห์ที่น่าทึ่ง


 


ผมอันสละสลวยของเธอถูกมัดเอาไว้ มันให้ความรู้สึกที่มั่นคงและสง่า อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยตระหนักว่าหญิงผู้นี้ดูเหมือนจะเจ็บป่วยเล็กน้อย


 


“กล้วยไม้เสริมกายาเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง หากมีเพียงแค่ดอกเดียวมันก็ไม่ส่งผลอะไร แต่ถ้าเติบโตขึ้นจนกลายเป็น 99 ดอก มันจะสามารถป้องกันการสูญเสียพลังได้ในระดับหนึ่ง” ชิงสุ่ยไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเรียกว่ากล้วยไม้เสริมกายาในโลกนี้ สำหรับคุณสมบัติของมันแน่นอนว่าชิงสุ่ยรู้ดี


 


หญิงผู้นั้นไม่มีท่าทีเปลี่ยนไป เธอเดินมาด้านหน้า 2-3 ก้าว ชิงสุ่ยได้กลิ่นหอมของกล้วยไม้จางๆจากเธอ


 


“นานมากแล้วที่จะมีใครสักคนมาหาข้า พละกำลังของข้าลดลงเช่นเดียวกับความสามารถ ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีกับหมินเอ๋อ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่เกินกำลัง ข้าจะช่วยเจ้าถ้าทำได้” เธอกล่าวเบาๆ


 


“ข้าต้องการรู้ว่านิกายบงกชเทวะอยู่ที่ใด”


 


“ไม่มีทาง!”


 


“ข้าอยากพบใครบางคนในนิกายบงกชเทวะ มีวิธีใดบ้างที่ข้าจะทำเช่นนั้นได้?”


 


“หาใครสักคนจากนิกายบงกชเทวะเพื่อช่วยเจ้าส่งสาสน์”


 


“เช่นนั้นท่านช่วยทำให้ข้าได้หรือไม่?”


 


“ข้าไม่ได้เป็นสาวกของนิกายบงกชเทวะอีกแล้ว”


 


“ทำไม? มันเป็นเพราะนิกายบงกชเทวะหรือเพราะตัวท่าน?”


 


“ข้าเป็นผู้ที่ยืนกรานว่าจะออกมาเอง ข้าจะยืนอยู่จุดใดภายในนิกายบงกชเทวะได้กัน?” เธอตอบอย่างนิ่งสงบ แม้แต่อารมณ์ของเธอยังดูสงบ


 


ชิงสุ่ยตระหนักแล้วว่าหญิงผู้นี้ไม่ง่าย มันเป็นเหมือนเช่นที่ฮูอี้เหมินกล่าว นิสัยของเธอเปลี่ยนไปมาก ในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่มีอะไรง่ายดาย


 


เพราะนี่เป็นเส้นแบ่งบางๆระหว่างชีวิตและความตาย อาจกล่าวได้ว่าในสถานการณ์เช่นนั้นเธอไม่มีทางเลือกนอกจากขอออกมาเอง มันกลายเป็นสิ่งที่คุ้นชินและแตกต่างจากการยอมแพ้เมื่อหมดหวัง นี่แสดงให้เห็นว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับมันอย่างใจเย็น


 


“แต่ข้าไม่สามารถหาใครเพื่อติดต่อกับนิกายบงกชเทวะได้ตอนนี้ ทำไมพวกเราไม่ทำเช่นนี้? ถ้าหากข้าสามารถรักษาอาการป่วยของท่านได้ ท่านจะสามารถช่วยข้าส่งสาสน์ได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามอย่างจริงจัง


 


แม้ว่าเธอจะได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี แต่เธอก็เกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมา นี่มันคืออะไร? เขาสามารถรักษาข้าได้จริงงั้นหรือ แม้ว่าเขาจะทำได้ มันก็เพียงเพื่อให้เธอช่วยเขาส่งสาสน์?


 


ฮูอี้เหมินตกตะลึง แต่เธอไม่ได้พูดอะไร


 


“เจ้าสามารถรักษาข้าได้หรือ?” เธอมองเขาด้วยท่าทีแปลกๆ เธอไม่อยากที่จะเชื่อในตัวชิงสุ่ยเลย


 


“ข้าไม่แน่ใจ ถ้าหากข้าไม่สามาถรักษาท่านได้ ท่านจะยังช่วยข้าไหม มันไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้วสำหรับท่าน ท่านคิดว่าอย่างไร?”


 


เธอมองไปที่ชิงสุ่ยเป็นเวลานานมาก “ถ้าไม่ใช่เพราะหมินเอ๋อพาเจ้ามาที่นี่และยืนกรานเสียงแข็ง ข้าคงจะโยนเจ้าออกไปอย่างแน่นอน”


 


ชิงสุ่ยไม่ได้ต่อรองอะไรเพิ่ม เขายิ้มและกล่าว “เช่นนั้นแม่นางติ๊หวู่ตกลงกับเงื่อนไขของข้างั้นหรือ?”


 


“ข้าตกลง ข้าตกลงแน่นอน ทำไมข้าจะต้องปฏิเสธข้อเสนอดีๆเช่นนี้? อย่างแรกคือเจ้าต้องรักษาข้า” เธอยังคงพูดอย่างใจเย็น


 


“เอาหล่ะ ข้าจะทำการรักษาท่านตอนนี้เลย ท่านสะดวกหรือไม่?”


 


“ไม่มีปัญหา!”


 


“หมินเอ๋อ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ อย่าได้กังวล เขาจะสบายดี” เธอมองไปทางฮูอี้เหมินและกล่าว


 


ฮูอี้เหมินมองชิงสุ่ย หลังจากพยักหน้าแล้วเธอก็จากไป


 


“ไปกันเถอะ เจ้ากำลังตามหาใครกัน? ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเจ้า พวกเราลืมเรื่องการรักษาไปได้เลย” ผู้หญิงกล่าวและมุ่งหน้าไปที่ห้องโถง


 


ชิงสุ่ยตกตะลึง แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจ สำหรับการพูดที่ดูเฉยเมยเช่นนั้น มันเป็นเพราะเธอไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถรักษาเธอได้ เหตุผลที่เธอทำมันลงไปก็เพื่อฮูอี้เหมิน


 


ชิงสุ่ยเดินตามเธอเข้าไปในห้องโถง ภายในห้องไม่ได้ตกแต่งหรูหราและดูจะเรียบง่ายและสะอาด


 


“ข้าต้องการพบติ๊เฉิน” ในที่สุดชิงสุ่ยก็บอกมัน สำหรับการรักษาของเธอเขาได้ตัดสินใจที่จะทำในสิ่งที่เขาทำได้สำหรับเธอเอาไว้แล้ว


 


“ติ๊เฉิน เจ้ากำลังตามหาติ๊เฉิน? เจ้ามาจาก 5 มหาทวีปงั้นหรือ?” เธอมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ


 


“อืมม ดูเหมือนว่าท่านจะรู้จักนาง นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างตื่นเต้น


 


“นางเป็นหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะ ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้ในเรื่องนี้” เธอถอนหายใจและกล่าว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม