จำนนรักชายาตัวร้าย 99.3-100.5

ตอนที่ 99-3 ทำชั่วได้ชั่ว สมน้ำหน้าเจ...

 

 “พวกเขา…กำลังฝึกวิชาร่วมกัน”


 


 


ในขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังตกตะลึงจนพูดไม่ออกนั่นเอง น้ำเสียงดังฟังชัดของซย่าโหวฉิงเทียนก็ดังขึ้นที่ข้างหูของนาง


 


 


ฝึกวิชาร่วมกันบ้าอะไรเล่า!


 


 


อวี้เฟยเยียนถึงกับกลอกตาไปมา เมื่อมองเห็นซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่จ้องมองคู่รักสุนัขชายหญิงที่ด้านล่างตาไม่กะพริบ ราวกับกำลังตั้งใจศึกษาอย่างจริงจังอยู่นั้น อวี้เฟยเยียนก็รีบเอาแผ่นหลังคาอุดเอาไว้ตามเดิมทันที


 


 


“ห้ามมอง ปิดตาเดี๋ยวนี้!”


 


 


“โอ…”


 


 


เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนเริ่มสั่งการ ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบปิดตาลงอย่างว่าง่าย


 


 


เอาเถอะ คงเป็นเพราะแมวน้อยมิอาจฝึกร่วมกับเขาได้ถึงได้โกรธเคืองขึ้นมา


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเอ่ยปากปลอบนางว่า


 


 


“แมวน้อย รอให้เจ้าฝึกถึงขั้นอาวุโสก่อน พวกเราค่อยฝึกวิชาด้วยกัน ตอนนี้ระดับขั้นเจ้ายังต่ำเกินไป ฝึกร่วมกันจะไม่ดีต่อเจ้า!”


 


 


วาจาซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเหตุให้อวี้เฟยเยียนถีบเขาจนกระเด็นลงไป


 


 


 “เพล้ง…”


 


 


เสียงแผ่นหลังคาค่อยๆ ร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่าง วินาทีที่ที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังจะร่วงตกลงไปด้านล่างนั้น เขาก็คว้ากระเบื้องนั้นเอาไว้ได้จนกลับหัวห้อยต้องแต่งอยู่บนหลังคา


 


 


ฝึกร่วมกันกับผีน่ะสิ!


 


 


ใครจะฝึกร่วมกับท่านกัน!


 


 


ใบหน้าเล็กของอวี้เฟยเยียนไม่สบอารมณ์เล็กน้อย นางถลึงตาใส่ซย่าโหวฉิงเทียน แล้วกระโดดขึ้นไปบนฟ้าทะยานออกไปทันที


 


 


“ใคร ใครกัน”


 


 


เชียนเจิ้นหยางที่กำลังปฏิบัติการจนเร่าร้อนได้ที่ หลังจากที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างบนหลังคา เขาก็อั้นเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ปลดปล่อยออกมา เยี่ยอ๋องที่ผู้คนเรียกขานว่าปืนเงินจอมบ้าดีเดือด กลับกระทำเรื่องเช่นนี้ หากแพร่งพรายออกไปผู้มิพากันหัวเราะเยาะจนฟันหักหรอกหรือ


 


 


“เด็กๆ!”


 


 


ถึงแม้ว่าความร้อนรุ่มที่อัดแน่นอยู่เต็มพิกัดจะมิได้ระบายออกมา แต่จู่ๆ ก็เหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็กระตุ้นเตือนสัญชาตญาณระมัดระวังของเขาเป็นอย่างดี


 


 


หลังจากที่สวมใส่ชุดเรียบร้อย เขาก็สั่งให้คนไปตรวจดูโดยรอบทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่


 


 


เพียงแต่ในเวลานั้นซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนหนีไปได้ไกลเสียแล้ว


 


 


เชียนเจิ้นหยางให้คนออกตามหาจนทั่ว แต่ก็ไม่พบใครที่น่าสงสัย ทว่าแผ่นกระเบื้องบนหลังคาบ่งบอกชัดเจนว่ามีคนเคยขึ้นมาจริง


 


 


“ใครกันแน่นะ”


 


 


ถูกคนเข้ามาขัดจังหวะหลายครั้งเข้า อารมณ์เรื่องอย่างว่าของเชียนเจิ้นหยางก็หมดลงไปเสียแล้ว


 


 


ความน่าสงสัยในวันนี้ก็คือ


 


 


ตกลงแล้วคนที่อยู่บนหลังเป็นใครกันแน่ พวกมันเห็นอะไรไปเท่าไหร่กัน


 


 


หลังจากสับสนตื่นตระหนกอยู่บนรถม้าอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเชียนเจิ้นหยางก็สงบสติอารมณ์ลงได้


 


 


ต่อให้ถูกพบเห็นแล้วอย่างไรเล่า


 


 


ในตอนนี้เสด็จพ่อก็อยู่ในสภาพเช่นนั้น เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ตายไปแล้ว คนที่สามารถสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไปได้ก็มีเพียงเขา พวกที่ไม่เชื่อฟังก็ฆ่ามันให้หมด แล้วดูสิว่าคนพวกนั้นจะพูดอะไรได้อีกหรือไม่!


 


 


เมื่อกลับถึงจวนเชียนเจิ้นหยางก็ตรงไปที่เรือนอนุภรรยาเพื่อปลดปล่อยต่อทันที


 


 


ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับตามติดอวี้เฟยเยียนอย่างใกล้ชิด


 


 


“แมวน้อย วิชาตัวเบาเจ้ารวดเร็วยิ่งนัก จะตามพี่ทันอยู่แล้ว!”


 


 


อวี้เฟยเยียนที่เดิมทีกำลังหงุดหงิดเรื่อง ‘ฝึกร่วม’ ได้ยินประโยคนี้แล้วในที่สุดก็ยิ้มออกมา


 


 


คนหน้าไม่อาย ใช้ความไร้เดียงสาเป็นอาวุธ แต่คำพูดที่ใช้กลับทำให้คนฟังคิดลึกไปไกล น่าโมโหจริงๆ !


 


 


ได้ยินเสียงหัวเราะของนาง ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็คลายความกังวล


 


 


เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดจู่ๆ อวี้เฟยเยียนก็เกิดงอนเขาขึ้นมา!


 


 


ในตอนนี้เราสองคนยังมิอาจฝึกร่วมกันได้ แต่แมวน้อยก็ไม่จำเป็นต้องโมโหนี่นา!


 


 


ในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังคิดไม่ตกกับเรื่องนี้อยู่นั่นเอง ทันใดนั้นอวี้เฟยเยียนก็กระโดดขึ้นฟ้าทะยานออกไปไกล วินาทีนั้นเองที่ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนเข้าใจกับความหมายของประโยคที่ว่า ‘ใจของสตรีลึกยิ่งกว่ามหาสมุทร!’


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนไม่ยอมสนใจตนเอง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงแสร้งก้าวพลาดแล้วร้องออกมาคำหนึ่ง


 


 


“ไอ้หยา”


 


 


แล้วล้มลงไปบนพื้น


 


 


แผนแกล้งเจ็บตัวนี้ใช้ได้ผล!


 


 


เพราะเมื่ออวี้เฟยเยียนได้ยินดังนั้นก็หันหลังกลับมาทันที จากนั้นก็รีบร้อนตรงเข้ามาหา


 


 


เมื่อนางรีบร้อนทะยานสับขาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกระโปรงนางก็เกี่ยวเข้ากับต้นไม้ทำให้นางสะดุดล้มไปจริงๆ


 


 


จนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนมาถึง มืออวี้เฟยเยียนก็ขูดเข้ากับพื้นจนเกิดเป็นแผลใหญ่ แดงก่ำเป็นทาง ไม่นานเลือดก็เริ่มไหลออกมา


 


 


“ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”


 


 


อวี้เฟยเยียนมิได้สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง กลับรีบร้อนถามซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความเป็นห่วง


 


 


“เมื่อครู่ท่านเป็นอะไรไป หกล้มตรงไหน”


 


 


เห็นอากัปกิริยาของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็อยากจะเขกหัวตัวเองสักสองสามครั้ง


 


 


เดิมทีก็ไม่มีเรื่องอะไร กลับไปแกล้งทำให้แมวน้อยตกใจเสียนี่ ตอนนี้เป็นเรื่องแล้วหรือไม่เล่า!


 


 


“พี่สบายดี!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจับมือของอวี้เฟยเยียนขึ้นมา


 


 


บนฝ่ามือนางมีแผลถลอกเป็นแนวสามแนว รอยเลือดยังปรากฏชัดเจน ทำให้เขาสงสารนางยิ่งนัก


 


 


“อย่า! มันสกปรก…”


 


 


เห็นซย่าโหวฉิงเทียนก้มหน้าลงต่ำ อวี้เฟยเยียนก็รีบชักมือกลับทันที ใครจะคาดคิด มือเขากุมมือนางเอาไว้แน่นหนาราวกับตะปูใหญ่ตรึงเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ลิ้นเลียเลือดบนบาดแผลของนาง


 


 


“โอ๊ย…”


 


 


อวี้เฟยเยียนกัดริมฝีปากเล็กน้อย คิ้วขมวดจนเป็นปม


 


 


“เจ็บมากหรือ”


 


 


อวี้เฟยเยียนเงยหน้าขึ้นกล่าวถาม ที่มุมปากของเขายังมีรอยเลือดอยู่ด้วย


 


 


“อื้ม!”


 


 


อวี้เฟยเยียนพยักหน้า นางเอื้อมมือไปเช็ดเลือดที่มุมปากของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“บนฝ่ามือข้าเต็มไปด้วยฝุ่นดิน กินเข้าไปมันจะไม่ดีต่อท้องนะ!”


 


 


“ไม่หรอก!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยังรู้สึกผิดไม่หาย


 


 


หากมิใช่เขาแสร้งหกล้ม อวี้เฟยเยียนก็คงไม่เป็นเช่นนี้!


 


 


“แมวน้อย เลือดเจ้าหอมหวานยิ่งนัก!”


 


 


เมื่อนึกถึงในเวลาปกติที่อวี้เฟยเยียนมันจะปลุกปลอบตนเองอย่างไร ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มปลุกปลอบนางด้วยท่าทางงุ่มง่ามขึ้นมา


 


 


พี่ชายท่านนี้ ท่านมาพูดเช่นนี้เอาตอนนี้ ท่านคิดจะเป็นผีดูดเลือดหรืออย่างไรกัน


 


 


ช่างเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักความรักใคร่เอาเสียเลย!


 


 


อวี้เฟยเยียนอดส่ายหน้าไม่ได้


 


 


ในตอนที่นางเงียบไปชั่วครู่นั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็เลียรอยเลือดบนฝ่ามือนางเสียจนสะอาดเอี่ยม


 


 


“กลับไปพี่จะทายาให้เจ้านะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นแนบอก แล้วพุ่งทะยานมุ่งหน้ากลับที่พักทันที


 


 


เหน็ดเหนื่อยมากเกือบทั้งคืน เมื่อพวกเขากลับถึงที่พัก ฟ้าก็เกือบสว่างแล้ว


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไปตักน้ำด้วยตัวเอง ล้างแผลให้นางอย่างระมัดระวัง หลังจากเป่าจนแห้งเขาก็ทายาเป็นชั้นหนาให้ สุดท้ายจึงค่อยพันแผลให้ซึ่งมันหนาเป็นก้อนใหญ่ราวกับขาหมูอย่างไรอย่างนั้น เขาถึงวางใจ


 


 


“พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ!”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีมองดูมือที่กลมราวกับขาหมูของอวี้เฟยเยียน ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง


 


 


“แม่นางอวี้ เจ้าเป็นอะไรไป”


 


 


จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนอธิบายสาเหตุออกไป บอกว่าสะดุดล้มเล็กน้อย หลังจากนั้นตี้อู่เฮ่ออีก็ใช้สายตาตำหนิมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ท่านพี่ซย่าโหว ท่านพันแผลเช่นนี้มันผิดถนัด!”


 


 


“นี่เป็นเพียงบาดแผลภายนอกเพียงเล็กน้อย แต่ท่านพันแผลเสียจนแน่นขนาดนั้นทำให้ผิวหนังมิอาจหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปได้ซึ่งมันจะส่งผลเสียต่อบาดแผล อีกอย่างอากาศร้อนอบอ้าว ผู้ป่วยจะไม่สบายตัวเอา!”


 


 


“นอกจากต้องแน่ใจว่าผู้ป่วยปลอดภัยแล้ว ความสบายของผู้ป่วยก็เป็นสิ่งสำคัญ!”


 


 


ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ตี้อู่เฮ่ออีจึงปรารถนาดีแก้มืออ้วนราวกับมือหมูของอวี้เฟยเยียน แล้วพันแผลให้ซย่าโหวฉิงเทียนดูเป็นตัวอย่าง


 


 


“ดูสิ เช่นนี้ต่างหากจึงดีที่สุด!”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีทำราวกับเป็นคุณครูอย่างไรอย่างนั้น อธิบายทุกขั้นตอนละเอียดยิบ


 


 


ทว่าเมื่อได้เห็นยาทาบาดแผลของอวี้เฟยเยียนเข้า สีหน้าสงบราบเรียบก็นิ่งต่อไปไม่ไหว


 


 


“แม่นางอวี้ ยาของเจ้าให้ข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่”


 


 


แววตานับถือเลื่อมใสของตี้อู่เฮ่ออีจ้องมองอวี้เฟยเยียนนิ่ง มันดูคล้ายราวกับสุนัขพันธุ์ปั๊กก็ไม่ปาน


 


 


เดิมทีเขารอชมการประลองวิชาแพทย์ระหว่างอวี้เฟยเยียนและตี้อู่หงเยี่ยอย่างใจจดใจจ่อ แต่ตี้อู่หงเยี่ยถูกซย่าโหวฉิงเทียนสังหารไปแล้ว การประลองในครั้งนี้ก็จบไป


 


 


ไม่ได้ชมวิชาแพทย์ของอวี้เฟยเยียน ทำให้ตี้อู่เฮ่ออีรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง


 


 


คราวนี้ นางบาดเจ็บเป็นโอกาสที่ดีที่ให้เขาได้เรียนรู้วิชาแพทย์ของอวี้เฟยเยียน


 


 


ถึงแม้ว่ายาที่อวี้เฟยเยียนใช้รักษาบาดแผลจะเป็นยาธรรมดาทั่วไป แต่ตี้อู่เฮ่ออีก็รับรู้ได้ว่ายานั้นมีความบริสุทธิ์สูงมาก อีกทั้งยังมีส่วนผสมบางอย่างของยาที่เขาไม่รู้จักอีกด้วย


 


 


เมื่อได้พบกับความรู้ทางด้านการแพทย์ที่สูงส่งซึ่งตนเองไม่รู้มาก่อน เลือดในกายตี้อู่เฮ่ออีก็แล่นพล่านไปทั่วร่างด้วยความอยากรู้!


 


 


“ข้าแลกเปลี่ยนกับท่านก็ได้ จริงๆ นะ!”


 


 


ด้วยเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่ยินยอม ตี้อู่เฮ่ออีจึงพุ่งเข้าไปในห้องของตน ไม่นานก็หอบเอาขวดยามากมายออกมาเต็มอ้อมแขน


 


 


“เจ้าชอบขวดไหนก็หยิบเอาไปได้เลย!”


 


 


ท่าทางตี้อู่เฮ่ออีทำอวี้เฟยเยียนได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง


 


 


เขาที่เป็นเพียงแพทย์ท่าทางสูงส่งเรียบร้อยแท้ๆ แต่เมื่อได้พบกับปริศนาในเรื่องการแพทย์เท่านั้น ก็กลายร่างเป็นผู้ติดตามตัวยงที่แสนบ้าคลั่งไปในทันที


 


 


หรือชาวตานฝ่ายขวาจะบ้าคลั่งการแพทย์เช่นนี้ทุกคนหรือ


 


 


“เจ้าหยิบไปเถอะ ในห้องของข้ายังมีอีกนะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเองก็สนใจใคร่รู้ในวิชาแพทย์ของเผ่าตานอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นจึงเข้าไปเลือกขวดยาที่ตนเองสนใจมาสองสามขวด


 


 


การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ ตี้อู่เฮ่ออีพึงพอใจเป็นที่สุด!


 


 


หากอวี้เฟยเยียนให้ยาแก่เขาเปล่าๆ เขาคงขัดเขินอย่างมากแน่ๆ !


 


 


ไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนกันด้วยมิตรภาพและมารยาท เช่นนี้ต่างหากจึงเป็นการดีที่สุด! ยิ่งกว่านั้นเขาเองก็หวังว่าอวี้เฟยเยียนจะเรียนรู้วิชาการแพทย์ของเผ่าตานให้มากยิ่งขึ้น เมื่อพบกับปัญหาในการปรุงยาที่แก้ไม่ตก ได้ปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน ไม่แน่ว่าอาจจะค้นพบอะไรใหม่ๆ เข้าก็เป็นได้


 


 


หากเอาแต่หมกเม็ดวิชาเอาไว้ ความรู้ตนก็ไม่มีวันก้าวหน้า!


 


 


ความรู้ด้านวิชาแพทย์กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต!


 


 


กระทั่งตี้อู่เฮ่ออีทำแผลให้อวี้เฟยเยียนเสร็จ สุดท้ายจึงผูกปมพันแผลให้กับนางอย่างสวยงาม


 


 


“ท่านพี่ซย่าโหว ท่านเข้าใจหรือยัง”


 


 


“อื้ม”


 


 


ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะรู้สึกเบื่อหน่ายที่ตี้อู่เฮ่ออีแย่งความดีความชอบของเขาไป แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ให้ผู้เชี่ยวชาญทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด!


 


 


ไม่ได้การ เขาต้องเรียนรู้เช่นกัน!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจะไม่ยอมให้ตี้อู่เฮ่ออีมาแย่งตำแหน่งเขาไปได้

 

 

 


ตอนที่ 99-4 ทำชั่วได้ชั่ว สมน้ำหน้าเจ...

 

หากมิใช่เพราะเป็นห่วงมืออวี้เฟยเยียนละก็ เขาคงจับตี้อู่เฮ่ออีที่เอาแต่พิรี้พิไรโยนออกไปตั้งนานแล้ว


 


 


“แมวน้อย เจ้าไปพักผ่อนสักครู่เถอะ!”


 


 


ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนประคองอวี้เฟยเยียนเข้าไปพักผ่อนในห้องนั่นเอง ตี้อู่เฮ่ออีก็ถลามาตรงหน้าของเขาแล้วทำจมูกฟุดๆ ฟิตๆ ราวกับได้กลิ่นอะไรบางอย่าง


 


 


“เอ๋”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีตาโตด้วยความตกใจ แล้วยังอ้อมไปด้านหลังของซย่าโหวฉิงเทียนดมต่อ


 


 


“อะไรกัน!”


 


 


มองดูตี้อู่เฮ่ออีทำตัวราวกับสุนัข เอาแต่ดมกลิ่นไปทั่วร่างตน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ก้าวถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว เพื่ออดกลั้นมิให้ตนเองโยนตี้อู่เฮ่ออีออกไป


 


 


“บนร่างของท่านไม่มีกลิ่นหอมแล้ว!”


 


 


คำพูดของตี้อู่เฮ่ออี ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง


 


 


เป็นไปได้อย่างไรกัน


 


 


เพียงคืนเดียวก็หายไปเสียแล้ว


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยกมือยกไม้ขึ้นดมกลิ่นตนเอง ซ้ายทีขวาที


 


 


เหตุใดเขาถึงไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนะ…


 


 


ตรงกันข้ามกับอวี้เฟยเยียนที่เมื่อได้ยินคำพูดของตี้อู่เฮ่ออีเข้า ก็รีบยกไม้ยกมือของซย่าโหวฉิงเทียนขึ้นดมกลิ่นพิสูจน์ ซ้ายทีขวาทีทันที


 


 


“จริงด้วย กลิ่นนั้นหายไปแล้ว! ดีจังเลย!”


 


 


ปัญหาที่กวนใจซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนมาทั้งคืน ในที่สุดถูกขจัดไปได้ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดในกรรมวิธีและอาจจะงงงวยไปบ้าง ทว่าในท้ายที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ


 


 


“หายไปแล้วจริงๆ หรือ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนถาม เขาไม่มีประสาทสัมผัสรับกลิ่นที่ว่องไวเฉกเช่นตี้อู่เฮ่ออีและอวี้เฟยเยียนจริงๆ


 


 


“ท่านพี่ซย่าโหว ท่านกำจัดกลิ่นดอกไม้หอมนั่นอย่างไรกัน รีบบอกข้าเร็วเข้า! นี่เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่เชียวนะ เมื่อคืนวานนี้ท่านไปที่ไหนมา หรือท่านใช้อะไร”


 


 


“ไสหัวไป…”


 


 


ถูกบุรุษด้วยกันลากไปลากมา ในที่สุดความอดทนเฮือกสุดท้ายของซย่าโหวฉิงเทียนก็หมดไป


 


 


ในตอนที่เขาหยิบตี้อู่เฮ่ออีเตรียมจะโยนออกไปนั่นเอง อวี้เฟยเยียนก็จับแขนห้ามเขาเอาไว้


 


 


พละกำลังอันน้อยนิดของตี้อู่เฮ่ออี ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ซย่าโหวฉิงเทียนได้ หากซย่าโหวฉิงเทียนตวัดมือโยนเขาออกไปละก็ มีหวังร่างที่บอบบางราวไม้แขวนเสื้อของตี้อู่เฮ่ออีคงจะกระเด็นไปไกล อย่างเบาก็อาจจะกระดูกหัก หากหนักก็แขนขาดหายไปเลยกระมัง


 


 


“อย่าทำร้ายเขาเลย! เขาเพียงแต่หลงใหลในวิชาแพทย์มากเท่านั้นเอง!”


 


 


สิ่งที่ตี้อู่เฮ่ออีถามขึ้น เป็นสิ่งที่อวี้เฟยเยียนอยากรู้เช่นกัน


 


 


เมื่อคืนนางอยู่กับซย่าโหวฉิงเทียนทั้งคืน ก็ไม่ได้มีเรื่องพิเศษอะไรเกิดขึ้นนี่นา!


 


 


ในฐานะที่อวี้เฟยเยียนเป็นผู้ที่รักในการศึกษาวิชาแพทย์คนหนึ่งซึ่งได้โคจรมาพบกับตี้อู่เฮ่ออีหมอผู้ที่รักในการแพทย์อย่างล้นเหลือเช่นกัน คนทั้งสองจึงเริ่มถกสาเหตุและที่มาที่ไปทันที


 


 


ความรู้สึกที่ถูกละเลยเช่นนี้ ช่างทรมานเสียเหลือเกิน!


 


 


เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนเริ่มปรึกษาหารือกับตี้อู่เฮ่ออีว่าด้วยเรื่องของกลิ่นหอมของตี้อู่หงเยี่ยถูกกำจัดไปจากร่างของเขาเมื่อไหร่ขึ้นมา ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มเบื่อหน่ายอย่างที่สุด


 


 


หากไม่เห็นแก่ที่ว่าตี้อู่เฮ่ออีช่วยชีวิตหนานกงจื่อหลิงเอาไว้ละก็ เขาคงเหวี่ยงเจ้าหนุ่มที่เอาแต่เกาะติดแมวน้อยกลับเมืองอู๋โยวไปตั้งนานแล้ว


 


 


สิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่เข้าใกล้อวี้เฟยเยียน ล้วนแต่เป็นศัตรูของเขาทั้งสิ้น!


 


 


เป็นศัตรูทั้งสิ้น!


 


 


ได้ยินเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ใกล้ๆ ตี้อู่เฮ่ออีก็เงยหน้าขึ้นจึงได้พบกับใบหน้าที่เย็นชาราวน้ำแข็งของ ซย่าโหวฉิงเทียนเข้าอย่างจัง


 


 


“นี่คงมิใช่ผลข้างเคียงจากกลิ่นหอมนั่นใช่หรือไม่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีมาก่อน”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีถามขึ้นอย่างแสนซื่อ


 


 


ส่วนอวี้เฟยเยียนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับซย่าโหวฉิงเทียนอย่างที่สุด เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกขำขันยิ่งนัก


 


 


ก่อนหน้านี้ใครกันที่หัวเราะว่านางว่าเป็นถังน้ำส้มสายชูน้อย ต่อไปบ้านเรามิต้องซื้อน้ำส้มสายชูอีกต่อไปกัน


 


 


เห็นชัดๆ ว่าตัวเองต่างหากที่เป็นน้ำส้มสายชูหมักแรมปีน่ะ!


 


 


“เรื่องที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ หากข้านึกเรื่องอะไรออกอีก ข้าค่อยบอกเจ้าอีกดีหรือไม่”


 


 


อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่าท่าทางนี้ของซย่าโหวฉิงเทียนคืออารมณ์ไม่ได้ดั่งใจราวกับเด็กๆ ต้องการการปลอบโยน จะต้องปลอบโยนให้ทันเวลาด้วย มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าเขาจะทำเรื่องสุดโต่งอะไรออกมาอีกนะสิ


 


 


“ได้! ไม่มีปัญหา!”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีมองตามหลังอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนที่กลับห้องไป จากนั้นเขาจึงหยิบยาของอวี้เฟยเยียนขึ้นมาศึกษา


 


 


“พี่ไม่ชอบที่เจ้าคุยกับชายคนอื่น!”


 


 


เมื่อกลับถึงห้อง ซย่าโหวฉิงเทียนก็นั่งลงเคียงข้างอวี้เฟยเยียนอย่างว่าง่าย


 


 


“ตรงนี้จะไม่สบาย!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจับมืออวี้เฟยเยียนไปวางไว้ที่อกตนเอง


 


 


“พี่จะหึงหวง…”


 


 


ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ยอมรับออกมาว่าตนหึงหวง เหตุใดท่าทางเขาถึงได้ดูน่ารักเพียงนี้นะ!


 


 


“คนโง่ มันไม่มีเรื่องอะไรก็เอาแต่หึงหวง! ในใจข้าท่านยอดเยี่ยมที่สุด เก่งกาจที่สุด หล่อเหลาที่สุด! และท่านดีกับข้าที่สุด! ในใจข้ามีเพียงท่านเท่านั้น!”


 


 


หลังอวี้เฟยเยียนสารภาพออกไปตั้งมากมาย ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ้มออกมา


 


 


“เป็นหนึ่งไม่มีสองใช่หรือไม่”


 


 


เขาถามต่อ


 


 


เจ้าหมอนี่! ภาคภูมิใจจริงๆ ใช่หรือไม่เนี่ย!


 


 


“ใช่! ไม่เพียงแต่เป็นที่หนึ่งไม่มีสอง อีกทั้งในโลกใบนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่อยู่ในใจข้า!”


 


 


คราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งยิ้มออกมาด้วยความปลาบปลื้มมากขึ้นไปอีก


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว พี่ย่อมดีที่สุด!”


 


 


หลังจากปลอบซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เฟยเยียนก็มิได้พักผ่อนแต่อย่างใด นางกลับไปดูเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


เสียงระฆังหลวงที่ดังขึ้นเมื่อคืนนี้ เชียนเยี่ยเสวี่ยย่อมต้องได้ยินเป็นแน่ ไม่รู้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยได้นอนหลับพักผ่อนดีหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ฉินจื้อเกิดเรื่องร้ายแรงเพียงนี้ อวี้เฟยเยียนควรจะบอกเชียนเยี่ยเสวี่ยให้รับรู้เสียหน่อย


 


 


กระทั่งอวี้เฟยเยียนไปถึงห้องของเชียนเยี่ยเสวี่ย ก็พบว่านางกำลังนั่งพิงหมอนทอดมองไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย


 


 


“เสวี่ย”


 


 


อวี้เฟยเยียนยกอ่างน้ำร้อนเข้าไป บิดผ้าชุบน้ำบิดหมาดแล้วส่งให้เชียนเยี่ยเสวี่ยเช็ดหน้าเช็ดตา


 


 


“ช่าช่า เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ย ‘มอง’ ไปที่อวี้เฟยเยียนนิ่ง


 


 


“ใช่ แต่สำหรับเจ้าแล้วนับเป็นข่าวดี!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวังหลวงแห่งฉินจื้อที่นางได้รู้ได้เห็นมา ให้กับเชียนเยี่ยเสวี่ยได้รู้ทั้งหมดโดยละเอียด


 


 


เมื่อเล่าถึงตอนที่เชียนลั่วเฉิงเป็นอัมพาต ทั้งยังถูกเยี่ยอ๋องทรมาน เชียนเยี่ยเสวี่ยถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับตบไปที่ขอบเตียง ท่าทางสบายใจมีความสุขเป็นอย่างมาก


 


 


ในปีนั้นเชียนลั่วเฉิงเป็นดั่งงูพิษที่ฉกเสด็จแม่และสกุลฉู่อย่างเ**้ยมโหด มาตอนนี้เขากลับกลายเป็นชาวนา ถูกงูเห่าที่เขาสู้อุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟักมาจนโตแว้งกัดเขาอย่างจัง ทำชั่วได้ชั่วจริงๆ !


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยหัวเราะจนน้ำตาไหล ซึ่งถึงแม้ว่าดวงตานางยังขุ่นมัวมองไม่เห็น แต่สภาพจิตใจดีขึ้นมาก


 


 


ครั้นเมื่อได้ฟังเรื่องของหลิวกุ้ยเฟยและเชียนเจิ้นหยาง เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก


 


 


“น่ารังเกียจจริงๆ! สกปรกที่สุด!”


 


 


แม้แต่ชื่อคนทั้งสองเชียนเยี่ยเสวี่ยก็มิอยากเอ่ยถึง


 


 


“เหอะ! นี่ไงเล่าสตรีที่เสด็จพ่อข้าหลงรักหัวปักหัวปำ ยังมีลูกชายที่เสด็จพ่อรักนักรักหนา ดี! ดีจริงๆ เลย!”


 


 


อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่า เชียนเยี่ยเสวี่ยอัดอั้นมานาน ต้องการหาวิธีระบายความอัดอั้นภายในใจออกมา ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวังหลวงอวี้เฟยเยียนจึงเล่าให้นางฟังทั้งหมดโดยไม่มีหมกเม็ด


 


 


โดยเฉพาะเรื่องที่เหล่าขุนนางทั้งหลาย ต่างก็พากันยืนอยู่ข้างหลิวกุ้ยเฟยและเยี่ยอ๋องสองแม่ลูก ไม่มีใครสนใจเชียนลั่วเฉิงสักคน


 


 


เชียนลั่วเฉิงถูกลูกเมียทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว กรรมตามสนอง เชียนเยี่ยเสวี่ยสุขใจอารมณ์ดียิ่งนัก


 


 


ยังดีที่เขาเนรเทศครอบครัวของท่านตาออกไป!


 


 


“มิเช่นนั้นเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สกุลฉู่จะต้องยืนเคียงข้างเชียนลั่วเฉิง ยอมสู้ตายกับหลิวกุ้ยเฟยและเยี่ยน อ๋อง ในเมื่อแม่ทัพใหญ่เป็นพวกเดียวกับพวกมัน สามารถเข่นฆ่าขุนนางที่จงรักภักดีได้ เช่นนั้นพวกมันคงไม่ปล่อยสกุลฉู่! แล้วคนที่ต้องตายอยู่ที่ท้องพระโรงนั่นอาจจะเป็นท่านตาและท่านลุงทั้งหลายของข้าเป็นแน่!”


 


 


“เสด็จแม่ ท่านเห็นหรือยังเพคะ! สกุลฉู่มีโชคดีในความโชคร้าย หลบหนีจากเคราะห์กรรมนี้ไปได้!”


 


 


สิ่งที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวมา คือสิ่งที่อวี้เฟยเยียนคิด!


 


 


สิ่งเลวร้ายที่เชียนลั่วเฉิงพบเจอในวันนี้ เขาสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของตนเองทั้งสิ้น


 


 


ใกล้ทรชน ห่างไกลขุนนางและปราชญ์ จึงตกต่ำลงจนถึงตอนนี้ ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงขอมอบคำเดียวนี้ให้กับเชียนลั่วเฉิง นั่นก็คือ ‘สมน้ำหน้า ‘


 


 


“เสวี่ย ข้าได้คิดแผนการขั้นต้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”


 


 


อวี้เฟยเยียนเขยิบเข้าไปกระซิบแผนที่ข้างหูเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


เมื่อนางกล่าวจบ เชียนเยี่ยเสวี่ยก็หัวเราะออกมา


 


 


“ช่าช่า ข้านึกไม่ถึงเลยว่า เจ้าก็เป็นนักวางแผนที่ร้ายกาจคนหนึ่ง! เดิมทีข้าคิดว่ารอให้ร่างกายข้าหายดีจะลอบเข้าวังสังหารพวกมันเสีย แล้วตัดหัวของพวกมันโยนให้หมากิน ตอนนี้ได้ฟังแผนการของเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดีทีเดียว!”


 


 


“ให้พวกมันตายง่ายๆ สบายพวกมันเกินไป! เสด็จแม่ข้าสิ้นพระชนม์อย่างน่าอนาถ ข้าแค้นจนอยากจะกินเนื้อ ดื่มเลือด เลาะเส้นเอ็น ถลกหนังของพวกมันเสียด้วยซ้ำ!”


 


 


“ช่าช่า ทุกคืนข้ามักจะฝันเห็นเสด็จแม่ของข้า ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ข้ายิ่งแค้นมันยิ่งนัก!”


 


 


พูดถึงตรงนี้ เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ยกมือปาดน้ำตา ปากก็เค้นรอยยิ้มเยาะออกมา


 


 


“ช่าช่าพูดถูก เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าจะฟังเจ้าทุกอย่าง!”


 


 


รอจนอารมณ์เชียนเยี่ยเสวี่ยสงบลง อวี้เฟยเยียนจับมือนางเอาไว้


 


 


“เสวี่ย รอให้ร่างกายเจ้าดีขึ้นกว่านี้ ข้าจะรักษาดวงตาให้กับเจ้า! มีเพียงแต่ร่างเจ้าหายดี จึงจะสามารถล้างมลทินให้กับฮองเฮาและสกุลฉู่ได้ ดังนั้นเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!”


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามากนะ!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยเผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา


 


 


“ช่าช่า ได้มาพบกับเจ้า เป็นโชคดีที่สุดในชีวิตของข้า ข้าไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนเจ้าอย่างไรดี!”


 


 


“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า เจ้ากับข้าเป็นอะไรกันเจ้าลืมแล้วหรือ พวกเราเป็นพี่น้องกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านสิ!”


 


 


วาจาอวี้เฟยเยียน บรรยายความห้าวหาญในใจของเชียนเยี่ยเสวี่ยได้เป็นอย่างดี


 


 


“ใช่ พวกเราจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป มีเจ้าก็มีข้า มีข้าก็มีเจ้า พี่น้องที่ดีต่อกันชั่วชีวิต!”


 


 


“ใช่ พี่น้องที่ดีต่อกันชั่วชีวิต!”


 


 


มือทั้งสี่จับกันเอาไว้แน่น สตรีผู้งดงามทั้งสอง ยิ้มกว้างออกมาจากหัวใจ 

 

 


ตอนที่ 100-1 เล่นงานเจ้าไม่ตายให้มันร...

 

เพื่อให้เชียนเยี่ยเสวี่ยฟื้นตัวเร็วขึ้น อวี้เฟยเยียนจึงรับหน้าที่ทำอาหารทั้งสามมื้อให้กับนางรวมทั้งการสรรหาเมนูด้วย


 


 


หนานกงจื่อหลิงอิจฉาในความมีลาภปากของเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นอย่างมาก


 


 


“พี่อวี้ ท่านนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”


 


 


เมื่อตื่นนอน หนานกงจื่อหลิงราวกับแมลงวันตามก้นก็ไม่ปานตามติดเป็นลูกมือให้กับอวี้เฟยเยียนไม่ห่าง ซึ่งก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเสียจากว่านางอยากจะเรียนรู้การทำอาหารบ้างนั่นเอง


 


 


ถึงแม้ว่าตี้อู่เฮ่ออีจะเป็นยอดฝีมือในการปรุงยา แต่กับข้าวที่เขาทำรสชาติแย่เสียยิ่งกว่ายาพิษเสียอีก มันกลืนแทบไม่ลง


 


 


ถึงแม้ว่าช่วงหลังมานี้ เขาจะว่าจ้างแม่บ้านคนหนึ่งมาทำกับข้าวและงานบ้านให้ แต่กับข้าวนั้นก็ยังไม่ถูกปากหนานกงจื่อหลิงอยู่ดี


 


 


ในฐานะที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนานกง ถึงแม้บิดามารดาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับนางเท่ากับหนานกงเช่อก็ตาม แต่ในเรื่องอาหารการกินความเป็นอยู่ พวกเขาก็มิได้ให้นางด้อยกว่าแต่อย่างใด ของทุกอย่างที่นางใช้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดทั้งสิ้น


 


 


ในระยะนี้ หนานกงจื่อหลิงรู้สึกว่าตนเองผอมจนหัวโต


 


 


จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนมาจุดประกายเรื่องการบ้านงานครัว หนานกงจื่อหลิงจึงรู้สึกว่าชีวิตนางเริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


“หากข้ารสมือดีเช่นพี่ก็คงจะดี!”


 


 


เมื่อรู้ว่าหนานกงจื่อหลิงคือน้องสาวแท้ๆ ของซย่าโหวฉิงเทียน เป็นว่าที่น้องสามีในอนาคตของนาง อวี้เฟยเยียนจึงปฏิบัติต่อนางสนิทสนมใกล้ชิดขึ้นมาก


 


 


เพราะซย่าโหวฉิงเทียนเคยบอกเอาไว้ เมื่อตอนเขาอยู่บ้านตระกูลหนานกง หนานกงจื่อหลิงคือคนเดียวที่ดีกับเขาด้วยใจจริง และในครั้งนี้ที่หนานกงจื่อหลิงหนีมาก็เพื่อจะแจ้งข่าวสารให้กับซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรู้


 


 


แม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนดีคนหนึ่ง!


 


 


“ถ้าเจ้าชอบละก็ ข้าสอนเจ้าได้นะ!”


 


 


“จริงหรือ”


 


 


หนานกงจื่อหลิงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก


 


 


“พี่อวี้ ท่านอย่างรังเกียจที่ข้าโง่นะ!”


 


 


“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! เจ้าเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ จะต้องเรียนได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่!”


 


 


ได้รับกำลังใจจากอวี้เฟยเยียน หนานกงจื่อหลิงก็ยิ่งกระหายอยากเรียนมากยิ่งขึ้น ตี้อู่เฮ่ออีได้กลิ่นหอมของอาหาร จึงเดินตามมา


 


 


“แม่นางอวี้ กับข้าวที่เจ้าทำ เพิ่มตะเกียบอีกสักคู่จะได้หรือไม่”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีมองดูโจ๊กฟักทองที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในหม้อแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ


 


 


“ข้ากินไม่เยอะหรอก จริงๆ นะ!”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีทำสีหน้านักเรียนดีเด่น ย้ำชัดอีกครั้ง


 


 


“พอแล้ว พอแล้ว!”


 


 


ด้วยรู้ว่าจุดประสงค์ของทั้งสองคือขอกินข้าวด้วย อวี้เฟยเยียนเองก็ใจกว้าง กวักมือเรียกอย่างมีน้ำใจ


 


 


“อีกเดี๋ยวกินข้าวด้วยกันนะ! มีข้าอยู่ พวกเจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะท้องจะหิว!”


 


 


“ดีจังเลย! แม่นางอวี้เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ ”


 


 


ชื่นชมไม่หยุดปาก แล้วก็ผลุบกลับเข้าไปศึกษาส่วนผสมในยาของอวี้เฟยเยียนต่อ


 


 


เห็นอวี้เฟยเยียนตวัดมือตีแป้งเป็นวงกลม แล้วห่อด้วยกุ้ยช่ายอย่างรวดเร็ว หนานกงจื่อหลิงก็เริ่มทำตามท่าทางของอวี้เฟยเยียน ห่อมันขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ว่านางจะทำอย่างไร ก็ทำได้ไม่สวยเท่าอวี้เฟยเยียนทำเสียที


 


 


ทว่านางก็มิได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด ต่อให้ห่อออกมาบิดเบี้ยว หน้าตาน่าเกลียดเพียงใด นางก็ยังไม่ยอมแพ้


 


 


“พี่อวี้ทั้งเก่งกาจทั้งอ่อนโยน หากได้แต่งงานกับพี่ใหญ่ก็คงจะดี!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงมองไปที่อวี้เฟยเยียน พลางครุ่นคิดในใจ


 


 


ถึงแม้นางจะดูออกว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเป็นคนรักกัน แต่ในใจหนานกงจื่อหลิงก็ยังรู้สึกว่าพี่ใหญ่ต่างหากที่ดีที่สุด


 


 


ดูท่าทางซย่าโหวฉิงเทียนทั้งเย่อหยิ่ง เย็นชา โหดเ**้ยม…


 


 


คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมจะเป็นสามีใคร!


 


 


พี่อวี้อ่อนโยนเพียงนี้ จะต้องถูกรังแกเป็นแน่!


 


 


เฉกเช่นเดียวกับพี่ใหญ่นาง ถึงแม้ว่าเขาจะพูดไม่เก่ง แต่ก็จิตใจดี นี่จึงเหมาะกับการที่พึ่งพาให้กับสตรี!


 


 


หนานกงจื่อหลิงยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านิสัยอวี้เฟยเยียน รวมทั้งความสามารถในทุกด้าน เหมาะสมกับพี่ใหญ่นางทุกประการ อีกอย่างพี่ใหญ่ลำบากมาตั้งแต่เล็ก ต้องการดอกไม้ที่งามทั้งกายและใจเช่นนี้อยู่เคียงข้าง


 


 


คิดแล้ว หนานกงจื่อหลิงก็วิ่งเข้าไปหาอวี้เฟยเยียน


 


 


“พี่อวี้ ข้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนดีมากนะ เอ่อ…ท่านอยากจะทำความรู้จักสักหน่อยหรือไม่ ข้าอยากได้ท่านเป็นพี่สะใภ้ของข้า จริงๆ นะ…”


 


 


ด้วยเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะถูกซย่าโหวฉิงเทียนชักจูงไป หนานกงจื่อหลิงจึงรีบอธิบายว่า


 


 


“พี่ชายข้าเป็นคนดีจริงๆ อย่างไรเสียให้โอกาสคนอื่นก็เท่ากับให้โอกาสตัวเองด้วย ใช่หรือไม่เจ้าคะ!”


 


 


“พี่อวี้ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ รอให้ข้าตามหาพี่ชายข้าเจอเสียก่อน แล้วพวกท่านพบหน้ากันสักครั้ง ก็ได้นี่นา! ไม่แน่นะ เมื่อท่านได้พบพี่ชายข้าแล้ว ท่านอาจจะรู้สึกว่าพี่ชายข้าดีกว่าซย่าโหวฉิงเทียนมากนัก!”


 


 


“แค่ก…”


 


 


อวี้เฟยเยียนถึงกับสำลักน้ำลายเลยทีเดียวเมื่อหันหลังกลับไปก็พบว่าซย่าโหวฉิงเทียนยืนที่ประตูด้วยสีหน้าประหลาด จนอวี้เฟยเยียนหัวเราะออกมา


 


 


น้องสาวแท้ๆ พยายามเลื่อยขาเก้าอี้เขาสุดชีวิต รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง


 


 


หนานกงจื่อหลิงเองก็เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเช่นเดียวกัน เดิมนางคิดว่าเขาคงจะโกรธเกรี้ยวเป็นแน่ แต่นึกไม่ถึงว่า เขาเพียงแต่มองมาที่นางแวบหนึ่งแล้วหมุนกายเดินจากไปทันที


 


 


“พี่อวี้ ท่านดูสิ เขาไม่สนใจพี่เลยด้วยซ้ำ”


 


 


หนานกงจื่อหลิงกระซิบบอก


 


 


“คนทั่วไปหากเจอเรื่องเลื่อยขาเก้าอี้ตัวเองเช่นนี้ คงจะอาละวาดตีโพยตีพายไปแล้ว แต่นี่เขากลับ…”


 


 


หนานกงจื่อหลิงต้องการที่จะบอกว่า ‘เขาปล่อยนางไป’ เช่นนี้ ไม่ได้ตบตีหรือว่ากล่าวแม่สื่อเช่นนางสักคำ


 


 


“เขาจะต้องไม่จริงใจกับท่านแน่ๆ!”


 


 


ถึงตอนนี้ อวี้เฟยเยียนก็พอเข้าใจในลักษณะนิสัยหนานกงจื่อหลิงบ้างแล้ว หนานกงจื่อหลิงอบอุ่นซื่อตรง ขณะเดียวกันก็ใสซื่อและน่ารักใคร่


 


 


เอาเถอะ แม่นางน้อย คนผู้นั้นก็คือพี่ชายเจ้าอย่างไรเล่า!


 


 


เจ้าโน้มน้าวให้พี่สะใภ้ในอนาคตเจ้าเบนเข็มไปชอบคนอื่น มันจะดีหรือ หากเปลี่ยนจากเจ้าเป็นคนอื่น พี่ชายเจ้าคงจะสับเขาคนนั้นเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว…


 


 


ขณะที่กินข้าว หนานกงจื่อหลิงลอบมองซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ครูหนึ่ง พบว่าเขามิได้มองมาที่ตนแต่อย่างใด เขาเพียงแต่กำลังนั่งกินข้าวอย่างเบื่อหน่าย หนานกงจื่อหลิงจึงถอนใจออกมา


 


 


ดูท่าแล้ว เขาคงจะเป็นเสือคนหนึ่ง


 


 


ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังอยากจะได้อวี้เฟยเยียนมาเป็นพี่สะใภ้อยู่ดี!


 


 


เพื่อพี่ชายและพี่อวี้แล้ว นางจะต้องจับคู่คนทั้งสองอย่างเต็มกำลัง!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็เดาความคิดหนานกงจื่อหลิงออก ส่วนการที่น้องสาวเขาเอาแต่เลื่อยขาเก้าอี้เขาอย่างไม่ลดละ เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก


 


 


คงจะถึงเวลาที่จะต้องนับพี่นับน้องกันแล้วกระมัง!


 


 


มิเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่รู้ว่าหนานกงจื่อหลิงจะทำเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอะไรออกมาอีก! ไม่แน่นะว่านางอาจจะโน้มน้าวให้อวี้เฟยเยียนหนีไปพร้อมกับนาง เพื่อไปตามหา ‘พี่ชาย’ ของนางก็เป็นได้


 


 


ต้องมาเผชิญหน้ากับน้องสาวที่จงรักภักดีกับตนถึงเพียงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว!


 


 


อวี้เฟยเยียนเตรียมอาหารเช้าให้เชียนเยี่ยเสวี่ยแยกออกมาอีกชุด หลังจากป้อนให้นางเรียบร้อยแล้ว อวี้เฟยเยียนก็ประคองนางขึ้นนั่ง เพื่อให้อาหารที่กินเข้าไปย่อย


 


 


“อีกสักครู่ข้าจะเข้าวัง เพื่อกรุยทางให้กับเจ้า!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวขึ้น


 


 


“ช่าช่า เจ้าจะไปทำลายบรรยากาศสิไม่ว่า!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยหัวเราะขึ้นมา


 


 


เพียงแค่อวี้เฟยเยียนเอ่ยปากขึ้น นางก็รู้ทันทีว่าเพื่อนรักต้องการจะทำอะไร


 


 


“เชียนลั่วเฉิงเกิดเรื่อง เชียนเจิ้นหยางกุมอำนาจทั้งหมดแทน วันนี้เขาจะต้องแสดงอำนาจครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกแน่ เจ้าไปหักหน้าเขาในตอนนี้ น่าสนุกที่สุดเลย ช่าช่า เจ้าต้องช่วยข้าเหยียบมันให้จมเลยนะ!”


 


 


“ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า!”


 


 


 “เสวี่ย จริงๆ แล้วข้ามีความคิดที่ดีกว่านั้น!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเขยิบเข้าไปหาเชียนเยี่ยเสวี่ย แล้วกระซิบบางอย่างให้กับนางฟังครู่ใหญ่


 


 


“ช่าช่า เจ้า…คืออวี้เฟยเยียน”


 


 


ได้ฟังในสิ่งที่อวี้เฟยเยียนกล่าวออกมา เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก


 


 


นึกไม่ถึงว่าอวี้หลัวช่ากับอวี้เฟยเยียนคือคนคนเดียวกัน!


 


 


“อืม! ท่านปู่ข้าคือจงอี้กงอวี้จิงเหลย เจ้าเคยพบมาแล้ว ส่วนลุงสามข้า เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจว”


 


 


ครั้งก่อนเมื่อตอนที่อยู่ที่หอราชาโอสถ อวี้เฟยเยียนก็คิดจะบอกเรื่องนี้ให้กับเชียนเยี่ยเสวี่ยได้รู้


 


 


แต่ตอนหลังเชียนลั่วเฉิงเขียนจดหมายมาเรียกเชียนเยี่ยเสวี่ยให้กลับไปเสียก่อน อวี้เฟยเยียนจึงไม่มีโอกาสได้พูดเรื่องนี้


 


 


“ช่าช่า หากเจ้าคืออวี้เฟยเยียน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ง่ายขึ้นมากทีเดียว!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยยกยิ้มที่มุมปาก


 


 


นางไม่สนใจว่าระหว่างต้าโจวและฉินจื้อมีความแค้นอะไรกัน นางและอวี้เฟยเยียนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นั่นเป็นเรื่องจริงอย่างมิต้องสงสัย มิตรภาพของทั้งสองคือมิตรภาพข้ามแคว้น 

 

 


ตอนที่ 100-2 เล่นงานเจ้าไม่ตายให้มันร...

 

“เชียนเจิ้นหยางจะต้องไม่รู้เรื่องนี้เป็นแน่! เช่นนั้นพวกเราก็ข่มขู่เขาสักหน่อยเป็นไร!”


 


 


สิ่งที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวมา ตรงกับที่อวี้เฟยเยียนกำลังคิด


 


 


ตอนนี้ในสายตาคนทั่วไป ต้าโจวมีจอมเทวาสองคนนั้นคืออวี้หลัวช่าและอวี้เฟยเยียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนแผ่นดินหลัวอวี่แห่งนี้


 


 


เชียนเจิ้นหยางเพิ่งจะเริ่มรับช่วงบริหารราชกิจต่อจากเชียนลั่วเฉิง ไม่ทันไรก็ต้องมาเผชิญหน้ากับต้าโจวที่แข็งแกร่งเพียงนี้ ดูสิว่าเขาจะทำอย่างไร


 


 


“เสวี่ย ข้ารับรองว่าฉินจื้อจะต้องกลับคืนสู่มือเจ้าในสภาพเดิมครบถ้วนทุกประการ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนคาดเดาความคิดส่วนใหญ่ของซย่าโหวจวินอวี่ได้


 


 


ในเมื่อซีเย่ว์กลายเป็นส่วนหนึ่งของต้าโจวไปแล้ว ก้าวต่อไป ฝ่าบาทจะต้องส่งกองทหารมาพิชิตฉินจื้อเป็นแน่ เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดขึ้น


 


 


แต่ฉินจื้อเป็นของเชียนเยี่ยเสวี่ย!


 


 


หากไม่มีฉินจื้อ เชียนเยี่ยเสวี่ยจะทำอย่างไร!


 


 


“ช่าช่า น้ำใจเจ้า ข้ารู้ดี!”


 


 


สำหรับเชียนเยี่ยเสวี่ย การดำรงอยู่หรือล่มสลายของฉินจื้อไม่ได้สลักสำคัญมากสักเท่าไหร่นัก


 


 


เป็นฮ่องเต้


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยไม่เคยคิดเลย


 


 


ก่อนหน้านี้ ความปรารถนานางก็คือได้อยู่กับเสด็จแม่ แม่ลูกได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบสุข


 


 


มาตอนนี้ฉู่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวนางเอาไว้ที่ฉินจื้อก็ไม่มีอีกแล้ว


 


 


แผ่นดินที่มีแต่ความเจ็บปวดผืนนี้ ไม่ได้ก็ช่างเถอะ!


 


 


“เรื่องนี้ ข้าจะตัดสินใจเอง!”


 


 


“เจ้าช่วยข้าทรมานเชียนเจิ้นหยางไอ้ลูกเต่าหดหัวนั่นเสียก่อน เพียงแค่คิดว่ามันและหลิวกุ้ยเฟยสมคบคิดกันทำอะไรไว้บ้าง ข้าก็รังเกียจจนแทบจะอ้วกออกมาแล้ว!”


 


 


“เจ้ารอข่าวดีจากข้าก็แล้วกัน!”


 


 


ก่อกวนวังหลวง อวี้เฟยเยียนคิดจะทำตั้งแต่เมื่อคืนวานอยู่แล้ว


 


 


เมื่อคาดการณ์ในตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่พอเหมาะพอเจาะพอดี อวี้เฟยเยียนจึงตรงดิ่งไปยังวังหลวงแห่งฉินจื้อเพียงลำพัง


 


 


นางออกไปได้ไม่นาน เชียนเยี่ยเสวี่ยก็คลำทางลงจากเตียง แล้วเรียกขานซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“หลินเจียงอ๋อง ข้อตกลงที่ข้าเคยทำให้กับท่านก่อนหน้านี้ ข้าต้องการจะแก้ไขเสียหน่อย”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งที่อวี้เฟยเยียนแอบเข้าไปในวังหลวง โดยที่ไม่พาเขาไปด้วย เหตุใดไม่พาเขาไปด้วยกันนะ


 


 


อวี้เฟยเยียนเกรงว่าการปรากฏตัวอันแข็งแกร่งของซย่าโหวฉิงเทียน จะทำให้ฉินจื้อเข้าใจผิดไปว่าต้าโจวยกทัพมา ซึ่งจะนำมาซึ่งความสามัคคีรวมใจเป็นหนึ่งเดียวของชาวฉินจื้อ เช่นนั้นก็จะเข้าทางเชียนเจิ้นหยางเป็นการช่วยเขาทางอ้อม


 


 


ด้วยเหตุนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงโกรธเคืองไม่น้อย


 


 


“เข้าโจมตีฉินจื้อช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ยังต้องปิดบังซ่อนเร้นเช่นนี้อยู่ทำไมกัน”


 


 


“เห็นเจ้าแล้วมันขัดตา ข้าก็โจมตีเจ้า เจ้าจะทำไมกัน”


 


 


ทว่าอวี้เฟยเยียนกลับเลือกที่จะมองข้ามวิถีทางตรงไปตรงมาเช่นนี้ของซย่าโหวฉิงเทียนไปเสีย


 


 


ทั้งๆ ที่สามารถสยบพวกเขาได้โดยไม่ต้องสูญเสียชีวิตทหารเลยแม้แต่คนเดียว แล้วเหตุใดจึงต้องฆ่าแกงกันด้วยเล่า


 


 


หากยังฝืนท้าชนซึ่งหน้า มิใช่เพียงศัตรูเท่านั้นที่เสียหาย


 


 


หรือทหารพวกนั้นไม่ใช่คน พวกเขาไม่มีลูกเมียไม่มีครอบครัวหรืออย่างไรกัน


 


 


โดนอวี้เฟยเยียนถล่มไปชุดใหญ่ ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้ยอมรออยู่ที่นี่แต่โดยดี ทว่าความกลัดกลุ้มกังวลในใจแทบไม่ต้องจินตนาการถึงเลย


 


 


“เจ้าจะแก้ไขอย่างไร”


 


 


ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียนแข็งกระด้างเล็กน้อย


 


 


“ข้าจะมอบฉินจื้อให้กับช่าช่า!”


 


 


วาจาเชียนเยี่ยเสวี่ย ทำให้สีหน้าไร้อารมณ์ของซย่าโหวฉิงเทียนเริ่มมุ่นคิ้วขึ้นมา


 


 


เมื่อครั้งที่ออกจากหอราชาโอสถนั้น เชียนเยี่ยเสวี่ยได้ทำตกลงกับซย่าโหวฉิงเทียนอย่างหนึ่ง นางพาฉู่ฮองเฮาออกจากฉินจื้อโดยปลอดภัย ส่วนเชียนลั่วเฉิงให้เป็นหน้าที่ซย่าโหวฉิงเทียนเก็บกวาด


 


 


ทว่ามาถึงตอนนี้ หลังจากรู้ฐานะที่แท้จริงของอวี้เฟยเยียนแล้ว เชียนเยี่ยเสวี่ยก็เปลี่ยนความคิด


 


 


“ช่าช่าช่วยข้ามามากเกินไปแล้ว ข้าอยากจะมอบฉินจื้อให้ช่าช่าเป็นของขวัญแต่งงาน หากท่านรับปาก เรื่องนี้ก็ให้ตกลงตามนี้ แต่หากท่านไม่ทำละก็ พวกเราก็เจอกันในสนามรบบนหลังม้าก็แล้วกัน!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยพูดจาหนักแน่น นางติดค้างอวี้เฟยเยียนมากเกินไปแล้ว มากจนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร


 


 


สิ่งเดียวที่นางมีนั่นก็คือ แคว้นฉินจื้อ


 


 


ในตอนนี้ เชียนเยี่ยเสวี่ยสูญเสียเสด็จแม่ไปแล้ว ถ้าหากเป็นไปได้ละก็ นางมิอยากกลับไปที่นั่นอีกตลอดไป


 


 


“นางรู้หรือไม่” ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวถามขึ้น


 


 


“ช่าช่าไม่รู้เรื่องนี้” เชียนเยี่ยเสวี่ยส่ายหน้า


 


 


“นางยังบอกอีกว่าจะนำแผ่นดินฉินจื้อผืนเดิมมาคืนข้า เหอะ ข้าจะเอาแผ่นดินฉินจื้อไปเพื่ออะไรกัน ข้าไม่เคยคิดเป็นฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ…”


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้ารู้ดีว่าฮ่องเต้ของท่านต้องการฉินจื้อให้จงได้ และข้าก็รู้ดีว่าฉินจื้อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต้าโจว แต่มีจุดหนึ่งที่ข้าขอเน้นย้ำนั่นก็คือ ถึงแม้ว่าแคว้นฉินจื้อจะรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของต้าโจว แต่ให้อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดเป็นของช่าช่า นี่เป็นข้อเรียกร้องเพียงข้อเดียวของข้า”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพบเจอผู้คนและเรื่องราวมามากมาย ทว่าผู้ที่ใช้แคว้นทั้งแคว้นเป็นของขวัญให้กับเพื่อน คงมีเพียงเชียนเยี่ยเสวี่ยเท่านั้นที่ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้


 


 


แมวน้อย คนที่เจ้ารู้จัก น่าสนใจทั้งนั้นเลย!


 


 


“เรื่องนี้ข้าคงต้องคิดดูก่อน”


 


 


“ไม่ต้องคิด! มันจะต้องเป็นเช่นนี้!” เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวย้ำด้วยความหนักแน่นชัดเจนอีกครั้ง


 


 


“หากต้าโจวมิต้องการสูญเสียกำลังทหารแม้แต่คนเดียวก็ในการพิชิตแคว้นฉินจื้อ เพียงแค่รับปากเงื่อนไขของข้าเท่านั้น มิฉะนั้นข้อตกลงก่อนหน้านี้ให้ถือเป็นโมฆะ ข้าจะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ แล้วเรารบราฆ่าฟันกันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง!”


 


 


ในขณะที่กล่าวคำพูดนี้ สีหน้าท่าทางเชียนเยี่ยเสวี่ยหนักแน่นมั่นคง


 


 


“เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่าเจ้าหรืออย่างไร” ซย่าโหวฉิงเทียนหรี่ตาลง ยิ่งรู้สึกว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยน่าสนใจยิ่งนัก


 


 


“ท่านไม่ฆ่าข้าหรอก! ฆ่าข้าไม่มีประโยชน์อะไรกับท่านเลย ทั้งยังจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับช่าช่าอีกด้วย และข้าก็กล้าพนันได้เลยว่า ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของข้าอย่างแน่นอน!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวตรงไปตรงมาถึงขนาดนี้ หากซย่าโหวฉิงเทียนยังปฏิเสธอีก นั่นก็ชัดเจนว่าเป็นเพราะอารมณ์ล้วนๆ


 


 


หากไม่ต้องสิ้นเปลืองแรง ไม่สูญเสียชีวิตคนก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ไหนเลยจะไม่ยินดีเล่า!


 


 


ยิ่งกว่านั้นฉินจื้อจะอยู่ใต้อาณัติอวี้เฟยเยียน เช่นนั้นเท่ากับว่านางจะมีแคว้นทั้งแคว้นเป็นเบื้องหลังคอยสนับสนุน ภายหน้าหากว่าใครต้องการหาเรื่องอวี้เฟยเยียนก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อนแล้ว!


 


 


ถึงแม้ว่ามีเขาอยู่แล้ว จะไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องก็ตาม


 


 


“ตกลงตามนี้!”


 


 


ในเมื่อข้อเสนอของเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นประโยชน์ต่ออวี้เฟยเยียน เหตุใดเขาจะไม่รับปากเล่า!


 


 


อวี้เฟยเยียนมิได้ล่วงรู้เลยว่า คนทั้งสองใช้เวลาเพียงแค่ชั่วครู่ก็ตัดสินปัญหาที่ว่าฉินจื้อจะตกเป็นของใครได้ไปเรียบร้อยแล้ว


 


 


ในตอนนี้ นางมาอยู่ที่บนหลังคาวังหลวงแห่งฉินจื้อ หันไปทางตำหนักจันทราแล้วตะโกนออกมา


 


 


“เยี่ยหง ออกมานะ!”


 


 


ขณะที่เชียนเจิ้งหยางกำลังหน้าบานกระหยิ่มยิ้มย่องรับการคารวะจากขุนนางผู้ใหญ่หลายคนอยู่ภายในตำหนักจันทรา เมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้น แทบจะร่วงตกจากบัลลังก์มังกรลงมาเลยทีเดียว


 


 


ในสายตาเขา อย่างไรเสียเชียนลั่วเฉิงก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ขอเพียงแต่เขารับช่วงดูแลราชกิจต่อไป เชียนลั่วเฉิงก็ไปตายได้เลย


 


 


เสียงที่จู่ๆ ก็ดังแว่วเข้ามาทำเอาเชียนเจิ้นหยางตกใจแทบสิ้นสติ


 


 


“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


 


ขุนนางที่กำลังคุกเข่าก็เริ่มลุกลี้ลุกลน แต่ละคนค่อยๆ คลานเข้ามารวมกันที่นอกประตู เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า


 


 


“ใครกัน”


 


 


“ยโสโอหังถึงเพียงนี้!”


 


 


“กล้ามาหาเรื่องปรมาจารย์เยี่ยหงถึงที่นี่”


 


 


เหล่าขุนนางทั้งหลายผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ กล่าวขึ้น ยิ่งทำให้ในใจเชียนเจิ้นหยางยิ่งหวาดกลัวเป็นทวีคูณ


 


 


เยี่ยหงหายสาบสูญไปแล้ว ตอนนี้อีกฝ่ายมาตามหานางถึงที่ ชัดเจนว่าคงมาท้าดวลตัวต่อตัว นี่เขาจะทำอย่างไรดี


 


 


“เยี่ยหง เจ้าคิดว่าหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมาพบข้า เรื่องเมื่อวานก็จะจบไปอย่างนั้นหรือ เจ้าใช่หรือไม่ที่ให้คนมาจับข้า วันนี้ข้ามาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง เจ้ายังไม่ออกมาอีกหรือ!’


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น คนที่อยู่ข้างล่างก็เข้าใจในทันที


 


 


ผู้ที่อยู่ด้านบนก็คืออวี้หลัวช่า!


 


 


ส่วนเรื่องที่ว่าเยี่ยหงส่งสายตาให้ท่าหลินเจียงอ๋องกลางถนน จนถูกซย่าโหวฉิงเทียนเล่นงานจนปางตายนั้น เล่าลือไปทั่วทุกหัวระแหง


 


 


ผู้ที่รู้เรื่องราวยังเล่าอีกว่า ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้หลัวช่าคือคนรักกัน ในตอนนั้นอวี้หลัวช่าก็อยู่ด้วย


 


 


บัดนี้ อวี้หลัวช่ายังมาหาเรื่องถึงที่ เห็นทีคนทั้งสองจะผูกใจเจ็บกันมา!


 


 


อวี้เฟยเยียนร้องตะโกนดังขึ้นอีก ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ได้ยินเสียงของนางโดยทั่ว


 


 


นางจำเพาะเจาะจงต้องมาหาเรื่องในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่านางเจตนา! 

 

 


ตอนที่ 100-3 เล่นงานเจ้าไม่ตายให้มันร...

 

ส่วนเชียนลั่วเฉิงอาศัยว่ามีปรมาจารย์หงเยี่ยเป็นที่พึ่ง มีหลักให้พึ่งพา จึงได้กำเริบเสิบสานทำร้ายเชียนเยี่ยเสวี่ยและฉู่ฮองเฮา


 


 


ตอนนี้ตี้อู่หงเยี่ยก็ได้ตายไปแล้ว ทว่าไม่มีใครรู้ นึกว่านางยังมีชีวิตอยู่ คิดว่าพวกเชียนเยี่ยเสวี่ยยังมีปรมาจารย์ให้ท้าย อวี้เฟยเยียนมาในวันนี้ ก็เพื่อที่จะเปิดเผยเรื่องนี้นี่เอง!


 


 


เมื่อบ่ายเมื่อวาน ซย่าโหวฉิงเทียนทำร้ายตี้อู่หงเยี่ยจนบาดเจ็บ ทำลายความเชื่อมั่นของฉินจื้อไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


 


วันนี้ อวี้เฟยเยียนมาบีบบังคับถึงที่ หากปรมาจารย์ยังไม่ออกหน้าอีกละก็ นี่ต่างหากที่จะกระทบ กระเทือนจิตใจของชาวฉินจื้อได้อย่างง่ายดาย!


 


 


ในฐานะที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของแคว้น กลับหดหัวขลาดกลัวในตอนนี้ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในจิตใจของประชาชนอย่างมากทีเดียว


 


 


เมื่อจิตใจประชาชนสั่นคลอน ฝันเฟื่องจอมปลอมตอนสายของเชียนเจิ้นหยางก็ควรที่จะตื่นได้แล้วกระมัง!


 


 


“เยี่ยหง ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่จนถึงเที่ยงวัน หากเจ้ายังไม่ออกมาอีก ถือว่าเจ้าขี้ขลาดตาขาว”


 


 


วาจาอวี้เฟยเยียน ยโสโอหังอย่างที่สุด เหล่าแม่ทัพนายกองที่อารมณ์ร้อนหุ่นหันพลันแล่น ได้ยินเข้าถึงกับเลือดขึ้นหน้าทันที


 


 


“ท่านอ๋อง เชิญใต้เท้าเยี่ยหงออกมาสั่งสอนเด็กเมื่อวานซืนที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนี่ทีเถอะ!”


 


 


หูอวี้เฟยเยียนดีนัก แน่นอนว่าได้ยินคำพูดนั้นเต็มๆ


 


 


“ดีสิ!”


 


 


“ไปตามเยี่ยหงมาได้เลย!”


 


 


อวี้เฟยเยียนนั่งกระดิกเท้ารออยู่บนหลังคาพระราชวังแห่งฉินจื้ออย่างสบายอารมณ์


 


 


“เยี่ยอ๋อง ท่านฟังคำเขา ให้คนไปตามเยี่ยหงออกมาเถอะ! ข้าตามหานางมาทั้งเช้าแล้ว ยังไม่ยอมโผล่หน้าออกมา นางจะต้องหลบซ่อนตัวอยู่เป็นแน่! หากนางไม่กล้าพอ ทนรับความตกใจไม่ได้ละก็ ก็ให้นางยอมรับว่าตนเองขี้ขลาดตาขาวเสีย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ให้แล้วไป ข้าจะไม่รื้อฟื้นขึ้นมาอีก!”


 


 


คำพูดทุกคำของอวี้เฟยเยียนดังไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทุกซอกทุกมุมล้วนได้ยินกันทั่วหน้า


 


 


มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ได้ยินเสียงนั้นต่างก็หยิบฆ้องขึ้นมาเคาะไปตามถนน


 


 


“ใต้เท้าอวี้ท้าประลองใต้เท้าเยี่ยแล้ว! ทุกคนรีบมาดูกันเร็ว!”


 


 


หนึ่งคืออวี้หลัวช่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฉินจื้อ อีกหนึ่งคือปรมาจารย์แห่งฉินจื้อเยี่ยหง คนทั้งสองปะทะกัน ผลจะออกมาเป็นอย่างไร มีใครบ้างเล่าไม่รอคอย!


 


 


เชียนเจิ้นหยางกล้ายืนยันเลยว่า ตนดวงซวยจริงๆ


 


 


เยี่ยหงเพิ่งจะหายสาบสูญไป อวี้เฟยเยียนก็มาหาเรื่องถึงที่


 


 


อวี้หลัวช่าคือดาวมรณะของเขาโดยแท้!


 


 


ในตอนแรกเชียนเยี่ยเสวี่ยบาดเจ็บจวนเจียนจะตายอยู่แล้ว อวี้หลัวช่าดันปรากฏตัว รักษานางจนหาย ทำเอาเชียนเจิ้นหยางและหลิวกุ้ยเฟยโกรธจนแทบควันออกหู


 


 


มาตอนนี้ ก้นเขานั่งยังมิทันที่บัลลังก์มังกรจะร้อน ก็ถูกอวี้หลัวช่ามาก่อกวนจะเกือบจนล้มคว่ำไม่เป็นท่า เสียหายย่อยยับเลยทีเดียว!


 


 


ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยหงกันแน่!


 


 


นางคงจะไม่สะบัดก้นหนีไปแล้วกระมัง


 


 


ถึงแม้ว่าเชียนเจิ้นหยางจะนึกขอบคุณเยี่ยหงที่หนีหายไปกะทันหัน ทำให้เชียนลั่วเฉิงกลายเป็นอัมพาตไป แต่ในขณะเดียวกันตัวเขาก็ร้อนอกร้อนใจเป็นอย่างมาก


 


 


เมื่อไร้ซึ่งการคุ้มครองของเยี่ยหง ฉินจื้อจะเป็นไปในทิศทางใดต่อไป


 


 


ตอนนี้อวี้หลัวช่ามาหาเรื่องถึงที่ ซึ่งเชียนเจิ้นหยางก็ทำอะไรนางไม่ได้เสียด้วย


 


 


“ใต้เท้าอวี้หลัวช่า บนหลังคานั้นดวงอาทิตย์แรงยิ่งนัก ท่านจะลงมาดื่มน้ำชาที่ด้านล่างก่อนหรือไม่”


 


 


เชียนเจิ้นหยางเงยหน้าขึ้น ยิ้มเล่นหูเล่นตาให้กับอวี้หลัวช่า


 


 


เรื่องที่เยี่ยหงหายสาบสูญไป ยังไม่ได้ถูกแฉออกมา ฉะนั้นเขาจะต้องทำเรื่องโกหกนี่ให้สมบูรณ์!


 


 


อย่าให้ตนเองลนลานจนเดินผิดแผน!


 


 


“เมื่อวานใต้เท้าเยี่ยบาดเจ็บ นางเดินทางไปยังเขาหลัวชิงรักษาอาการบาดเจ็บ อาจต้องรออีกสักสองสามวันจึงกลับมา!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางแต่งเรื่องโกหกอย่างสุดความสามารถ


 


 


“เยี่ยอ๋อง ท่านกำลังเล่าเรื่องตลกอยู่ใช่หรือไม่”


 


 


มองออกว่าเชียนเจิ้นหยางกำลังถ่วงเวลา อวี้เฟยเยียนจึงหัวเราะออกมา


 


 


“บาดแผลเพียงเล็กน้อยเมื่อวานนี้ สำหรับข้าที่เป็นเพียงจักรพรรดิโอสถยังไม่ระคายผิว แล้วนับประสาอะไรกับราชันจักรพรรดิโอสถ! บาดแผลแค่นั้นต้องใช้เวลารักษาตัวถึงสองสามวันเชียวหรือ ท่านพูดเช่นนี้จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้นะ!”


 


 


“ข้าขอถามท่าน นางคือราชันจักรพรรดิจริงหรือไม่ มิใช่ว่าพวกท่านแต่งตั้งขึ้นมาเอง!”


 


 


วาจาอวี้เฟยเยียนปิดปากเชียนเจิ้นหยางได้ชะงัดนัก


 


 


จริงด้วยสิ!


 


 


เยี่ยหงคือราชันจักรพรรดิโอสถ บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย นางควรจะสามารถรักษาตัวเองได้นี่นา


 


 


ในเมื่อไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ แล้วเพราะเหตุใดนางถึงไปจากที่นี่


 


 


หรือนางตามหาหนานกงจื่อหลิงเจอแล้ว ดังนั้นจึงจากไปโดยที่ไม่บอกกล่าวสักคำ


 


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง เยี่ยหงก็ไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย!


 


 


คนที่ล่วงรู้ว่าเชียนลั่วเฉิงและเยี่ยหงทำสัญญาแลกเปลี่ยนกันมีไม่มาก ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้เชียนเจิ้นหยางก็ยังพะวงกับการหายไปของเยี่ยหงยิ่งนัก


 


 


ทว่าคำโกหกนี้ก็ยังต้องโกหกต่อไปให้ถึงที่สุดน่ะสิ!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนแห่งต้าโจวยังอยู่ในเมืองหลวง หากเขารู้ว่าฉินจื้อไร้ซึ่งปรมาจารย์ ไม่แน่ว่ากองทัพทหารสามแสนของต้าโจวอาจจะมุ่งขึ้นเหนือมา


 


 


ถึงแม้เชียนเจิ้นหยางจะมิได้ความทะเยอทะยานหรือมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ใดๆ แต่เขาก็อยากที่จะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเป็นฮ่องเต้สักสิบยี่สิบปีอย่างมั่นคง ไม่อยากต้องตกเป็นทาสเพราะแคว้นล่มสลาย


 


 


“ใต้เท้าอวี้หลัวช่า ที่ข้าพูดมาล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น!”


 


 


“หึหึ…”


 


 


อวี้เฟยเยียนยิ้มแฝงเลศนัย


 


 


“เยี่ยอ๋อง ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดจากับข้า เสด็จพ่อของท่านเล่า เหตุใดในเวลาเช่นนี้เขายังหลบซ่อนตัวอยู่อีก ซ่อนตัวเป็นเต่าหดหัว หาใช่วิสัยของเขาไม่!”


 


 


เรื่องเชียนลั่วเฉิงเป็นอัมพาตไปเมื่อคืนนี้ มีเพียงขุนนางเท่านั้นที่รู้ คนภายนอกยังไม่มีใครล่วงรู้


 


 


ดังนั้น อวี้เฟยเยียนจะต้องป่าวประกาศข่าวนี้ ให้ชาวฉินจื้อได้รับรู้โดยทั่วกันด้วยความปรารถนาดี


 


 


ฝ่าบาทมิได้ทรงแสดงพระองค์ เยี่ยอ๋องบริหารจัดการราชกิจ…


 


 


ความหมายโดยนัยจากคำพูดอวี้เฟยเยียนครบถ้วน


 


 


จริงดั่งที่คาด เมื่อประชาชนได้ยินประโยคนั้นของอวี้เฟยเยียนเข้า ต่างก็เริ่มซุบซิบถกเถียงกันขึ้นมา


 


 


ในปีที่ผ่านมานี้ สุขภาพร่างกายเชียนลั่วเฉิงมิสู้ดีสักเท่าไหร่นัก ก่อนหน้านี้ทุกคนก็กำลังเป็นกังวล เกิดฝ่าบาททรงรักเยี่ยอ๋องมาจนยกตำแหน่งฮ่องเต้ให้กับเยี่ยอ๋องแล้วจะทำอย่างไร


 


 


ในวันนี้ เชียนลั่วเฉิงไม่ปรากฏตัว มิเท่ากับเป็นข่าวร้ายอย่างนั้นหรือ!


 


 


เยี่ยอ๋องเป็นคนเช่นไร หลายปีมานี้ทุกคนต่างก็รู้ดี!


 


 


หากว่าฝ่าบาททรงเป็นอะไรขึ้นมาจริง เชียนเจิ้นหยางได้ขึ้นครองราชย์ ถึงตอนนั้นยามยากของประชาชนก็จะมาถึงในทันที


 


 


โดนอวี้เฟยเยียนพูดดักทางเอาไว้ ทำให้เชียนเจิ้นหยางแค้นเคืองจนกัดฟันกรอด ทว่ากลับทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้


 


 


“สุขภาพของเสด็จพ่อมิสู้ดีสักเท่าไหร่…”


 


 


เชียนเจิ้นหยางกล่าวออกมาสีหน้าเคร่งเครียด


 


 


“ที่แท้เชียนลั่วเฉิงก็ล้มป่วยนี่เองหรือ! เช่นนั้นในเมื่อตี้อู่หงเยี่ยไม่อยู่ ให้ข้าไปตรวจอาการเสด็จพ่อท่านหน่อยหรือไม่ แม้ข้าจะเป็นเพียงจักรพรรดิโอสถ แต่จะให้ช่วยรักษาชีวิตคนสักคนย่อมไม่มีปัญหา!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวออกมาเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าเชียนเจิ้นหยางไม่มีทางตอบตกลง


 


 


น่าขำ!


 


 


อวี้เฟยเยียนวิชาแพทย์สูงส่ง หากนางรักษาเชียนลั่วเฉิงหาย มิเท่ากับเขาจะต้องไม่เหลืออะไรเลยหรือ!


 


 


“ไม่จำเป็น!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางปฏิเสธทันควัน


 


 


“รอให้ใต้เท้าเยี่ยหงกลับมารักษาให้กับเสด็จพ่อ!”


 


 


แต่ทว่า นี่กลับเป็นเพียงความต้องการของเชียนเจิ้นหยางเพียงฝ่ายเดียว


 


 


เสนาบดีหวังที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้น ก็ก้าวออกมาด้านหน้าทันที


 


 


“ท่านอ๋อง โรคอัมพาตควรเร่งรักษามิควรยืดเยื้อเอาไว้นาน ในเมื่อในตอนนี้ใต้เท้าเยี่ยหงไม่อยู่ในเมืองหลวง ก็ควรที่จะเชิญใต้เท้าอวี้หลัวช่ามารักษาอาการให้กับฝ่าบาทแทนเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เสนาบดีหวังมิต้องการโง่งมเฉกเช่นเชียนเจิ้นหยาง


 


 


เยี่ยหงหายสาบสูญไปแล้ว!


 


 


เยี่ยอ๋องเอาแต่ดื่มสุราเคล้านารี ไร้ซึ่งสติปัญญาในการบริหารบ้านเมือง หากเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ละก็ ปล่อยให้ซย่าโหวจวินอวี่เดินไม่กี่ตา ฉินจื้อจะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน


 


 


เชียนลั่วเฉิงแม้จะหัวดื้อไม่ฟังใครไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าเชียนเจิ้นหยางมากนัก


 


 


อีกอย่าง เมื่อหัวมังกรเมื่อเปลี่ยน ขุนนางย่อมต้องถูกเปลี่ยนไปด้วย


 


 


หากเชียนเจิ้นหยางขึ้นครองบัลลังก์เขาจะต้องปรับเปลี่ยนให้คนของเขาเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นแน่


 


 


นั่นจะทำให้เหล่าขุนนางเก่าแก่ต้องสูญเสียผลประโยชน์!


 


 


อีกทั้งการต่อสู้ระหว่างฝ่าบาทและเยี่ยอ๋อง ใครแพ้ใครชนะยังไม่รู้แน่!


 


 


เสนาบดีหวังเพิ่งจะส่งหลานสาวของเขาเข้าวัง หากฝ่าบาททรงฟื้นฟูพระวรกายกลับมาหายดี แล้วหลานสาวเขาให้กำเนิดพระโอรสละก็ อนาคตฉินจื้อจะเป็นอย่างไร มันก็ยังไม่แน่!


 


 


เสนาบดีหวังยอมออกหน้า ขุนนางเก่าแก่อีกสองสามคนที่ตามเข้าไปดูอาการเชียนลั่วเฉิงเมื่อวานก็ออกโรงเช่นกัน


 


 


กระดาษอย่างไรก็ห่อไฟไว้ไม่ได้!


 


 


เรื่องเยี่ยหงจะปกปิดไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน!


 


 


มอบฉินจื้อไว้ในมือเยี่ยอ๋อง พวกเขาไม่วางใจอย่างยิ่ง


 


 


เมื่อคืนเชียนเจิ้นหยางเข่นฆ่าขุนนางที่ไม่ลงรอยกับตนเอง นั่นก็แสดงสันดานโหดเ**้ยมของเขาออกมาได้อย่างชัดเจน


 


 


มีฮ่องเต้ที่เ**้ยมโหดทารุณ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น! 

 

 


ตอนที่ 100-4 เล่นงานเจ้าไม่ตายให้มันร...

 

เมื่อมีคนเป็นแนวหน้า คนที่เหลือย่อมตามน้ำไปด้วย เหล่าขุนนางทุกคนจึงออกมาสนับสนุนข้อเสนอของเสนาบดีหวัง เชิญอวี้หลัวช่ามารักษาเชียนลั่วเฉิง


 


 


คราวนี้ทำเอาเชียนเจิ้นหยางโกรธจนควันออกหู


 


 


เมื่อตอนเช้าพวกคนเหล่านี้ยังประจบสอพลอคล่องปาก กล่าวคำสรรเสริญเยินยอเขามากมาย เชียนเจิ้นหยางยังหลงคิดว่าตนกลายเป็นฮ่องเต้ไปเสียแล้ว


 


 


ในเวลาไม่นาน พวกเขากลับแปรพักตร์ต้องการโค่นล้มเขาเสียแล้วหรือ


 


 


ช่างกลับกลอกราวกับปลาไหลก็ไม่ปาน!


 


 


“นางเป็นคนต้าโจว เป็นพวกเดียวกันกับซย่าโหวฉิงเทียน ใครจะไปรู้ว่าจิตใจนางคิดอะไรอยู่!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางชี้ไปที่อวี้เฟยเยียนขณะหันไปกล่าวกับเหล่าขุนนางว่า


 


 


“หากนางลงมือทำร้ายเสด็จพ่อเล่า จะทำอย่างไร”


 


 


อวี้เฟยเยียนมองดูเชียนเจิ้นหยางที่กำลังจะเป็นบ้าคลั่ง ก็ส่ายหัวเบาๆ


 


 


“เยี่ยอ๋อง นี่ท่านกำลังใช้จิตใจที่ต่ำช้า ประเมินค่าสุภาพชนนี่นา!”


 


 


“หากข้ามีจิตใจชั่วร้ายจริง เมื่อครั้งที่ฉินจื้อเกิดโรคระบาด ข้าคงลงมือไปแล้ว!


 


 


“ข้าเป็นหมอ ช่วยคนรักษาชีวิตเป็นหน้าที่ของข้า หากท่านไม่ยินยอมให้ข้ารักษาเสด็จพ่อของท่าน ไม่อยากจะให้เขากลับมาแข็งแรงดังเดิม นั่นมันเป็นเรื่องของพวกท่านฉินจื้อ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแม้แต่น้อย แต่หากท่านสงสัยในความเป็นคนของข้า มันย่อมไม่ถูกต้อง!”


 


 


“ท่านอย่าลืมว่า อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงจอมเทวา ให้ร้ายจอมเทวา โทษนี้ท่านรับมันไหวหรือ”


 


 


ขณะที่พูดอวี้เฟยเยียนจงใจแสดงพลังของตนเองออกมาด้วย


 


 


พลังที่แข็งแกร่งนั้น กดดันจนเชียนเจิ้นหยางต้องทรุดกายคุกเข่าลงบนพื้น


 


 


เดิมอวี้เฟยเยียนก็ไม่ได้คิดจะปล่อยเชียนเจิ้นหยางไปอยู่แล้ว นางใช้พลังบังคับให้เขาโขกศีรษะคำนับนางนับร้อยครั้งแล้วจึงยอมปล่อยเขา


 


 


ศีรษะที่โขกคำนับลงไปนับร้อยครั้ง ทำเอาหัวเชียนเจิ้นหยางอาบไปด้วยเลือด


 


 


ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เชียนเจิ้นหยางรับรู้ได้ถึงพลังของจอมเทวา มันน่ากลัวถึงเพียงนี้!


 


 


หากอวี้เฟยเยียนใช้จุดนี้เป็นเหตุผลสังหารเขาเสีย คงไม่มีใครกล้าต่อต้านแม้สักคำ


 


 


เพราะจอมเทวาบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้เดิมทีก็สามารถทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว


 


 


เมื่อก่อนหูซาอยู่ที่ฉินจื้อ เห็นใครไม่ถูกชะตาก็เข่นฆ่า แม้แต่เชียนลั่วเฉิงก็มิกล้าคัดค้าน


 


 


“อย่าฆ่าข้า!”


 


 


ตามองไปเห็นอวี้เฟยเยียนที่นั่งอยู่บนหลังคาพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจ เชียนเจิ้นหยางถึงกับเข่าอ่อน


 


 


“เยี่ยอ๋อง มือทั้งสองข้างของข้ามีเอาไว้ช่วยคน ไม่ใช่เอาไว้ฆ่าคน!”


 


 


“เอ้อ ขอตักเตือนท่านอีกเรื่อง โรคอัมพาตจะต้องรีบทำการรักษา หากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป โอกาสที่ผู้ป่วยจะหายกลับมาเป็นดังเดิมก็ยิ่งน้อยลง จะชั่วดีอย่างไรเชียนลั่วเฉิงก็รักดูแลท่านมาตั้งหลายปี มาตอนนี้ท่านกลับไม่ยอมให้รักษาอาการป่วยของเขา มันจะไม่โหดเ**้ยมทารุณเกินไปหน่อยหรือ!


 


 


คำพูดทุกประโยคของอวี้เฟยเยียน ประชาชนต่างก็ได้ยินโดยทั่วกัน


 


 


ถึงแม้ไม่รู้ว่าในเกิดเรื่องอะไรขึ้นในวังหลวง แต่พวกเขาก็รับรู้ได้บางส่วนจากคำพูดของอวี้เฟยเยียน


 


 


ฝ่าบาททรงเป็นอัมพาต


 


 


เยี่ยอ๋องมิยอมเชิญหมอมารักษาฝ่าบาท


 


 


เพราะอะไรกัน!


 


 


เขายังเป็นคนอยู่หรือเปล่า!


 


 


ชาวบ้านบางคนที่มีความมุทะลุตรงไปตรงมา เริ่มก่นด่าขึ้นมากลางถนน


 


 


เชียนลั่วเฉิงทะนุถนอมเยี่ยอ๋องราวกับดวงแก้วก็ไม่ปาน สองมือประคบประหงมราวกับกลัวว่าเขาจะแตกสลาย ความลำเอียงของเชียนลั่วเฉิงไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่เป็นมาหลายปีแล้ว มาตอนนี้ฝ่าบาททรงเป็นอัมพาต เชียนเจิ้นหยางกลับขัดขวางทุกวิถีทาง เขาต้องการจะเป็นฮ่องเต้เสียเองนะสิ


 


 


“หมาป่าขี้ขลาดจอมเนรคุณ!”


 


 


เดิมทีชื่อเสียงเชียนเจิ้นหยางก็ไม่ดีอยู่แล้ว มาถูกอวี้เฟยเยียนแฉกลางงานเช่นนี้อีก ประชาชนยิ่งไม่อยากจะมองหน้าเขาเลยทีเดียว


 


 


ขณะเดียวกัน ผู้คนมากมายก็เริ่มคิดถึงเชียนเยี่ยเสวี่ยขึ้น


 


 


ในฐานะโอรสองค์โต แม้เยี่ยนอ๋องจะไม่ได้รับความรักจากเชียนลั่วเฉิง แต่ก็มีสติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่เล็ก เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ทิ้งห่างเชียนเจิ้นหยางมากมายนัก


 


 


และแม้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยจะหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ออกจะเจ้าสำราญไปสักนิด แต่นางก็ไม่เคยกระทำการเยี่ยงเชียนเจิ้นหยางที่ฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน


 


 


เจ้าสำราญแต่ไม่ต่ำช้า นี่ต่างหากจึงเป็นคุณสมบัติของสุภาพชน!


 


 


ฉู่ฮองเฮามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลฉู่ อ่อนหวานเรียบร้อยจิตใจงดงาม ดีกว่านางมารอย่างหลิวกุ้ยเฟยไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า


 


 


ยิ่งกว่านั้น หลังจากกลับมาจากหอราชาโอสถ เยี่ยนอ๋องก็สำเร็จขั้นราชา!


 


 


จอมราชาเชียวนะ!


 


 


เยี่ยนอ๋องอายุอานามเพียงสิบหกสิบเจ็ด จอมราชาที่อายุยังน้อยเท่านี้ ยังไม่ชัดเจนว่าอีกหรือว่าเกิดมาเพื่อเป็นดาว! เชื่อแน่ว่าอีกไม่นาน เยี่ยนอ๋องจะต้องสำเร็จจอมเทวา ไม่แน่ว่า ภายหน้าอาจกลายเป็นปรมาจารย์ก็เป็นได้!


 


 


น่าเสียดาย ที่คนดีมักอายุสั้น!


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยและฉู่ฮองเฮามาด่วนจากไปเช่นนี้…


 


 


หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ละก็ คงไม่มีที่ให้เชียนเจิ้นหยางมากำเริบเสิบสานเช่นนี้เป็นแน่


 


 


ทันใดนั้นก็มีคนนึกถึงคำพูดอวี้เฟยเยียนขึ้นมา


 


 


ใต้เท้าอวี้หลัวช่าเคยป่าวประกาศที่ตลาดเพื่อบอกกล่าวให้ทุกคนได้รับรู้ว่า เชียนเยี่ยเสวี่ยถูกใส่ร้าย ฉู่ฮองเฮาก็ถูกใส่ร้ายเช่นกัน!


 


 


หรือเรื่องนี้มันจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ภายใน


 


 


อวี้หลัวช่าได้ใจของประชาชน อีกทั้งในปีนั้นความสัมพันธ์ของอวี้หลัวช่าและเชียนเยี่ยเสวี่ยก็กำลังสับสนคลุมเครือ


 


 


แม้ในท้ายที่สุดคนทั้งสองจะไร้วาสนาต่อกัน มิอาจกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันได้ แต่อวี้หลัวช่าก็ยินยอมเดินทางนับร้อยลี้ก็เพื่อมาล้างมลทินให้กับเพื่อน มิตรภาพเช่นนี้น่ายกย่องยิ่งนัก!


 


 


เรื่องราวที่ถูกซุบซิบพูดคุยกันในหมู่ประชาชนมักจะถูกใส่สีตีไข่เพิ่มเติมจนสมบูรณ์อยู่แล้ว!


 


 


ว่าแล้ว การคาดเดาต่างๆ นานาก็เริ่มแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง


 


 


ที่ผู้คนเชื่อมากที่สุดนั่นก็คือ หลิวกุ้ยเฟยและเยี่ยอ๋องแค้นเคืองเยี่ยนอ๋อง เกรงว่าเยี่ยนอ๋องจะเป็นที่นิยมชมชอบเกินหน้าเกินตาเชียนเจิ้นหยาง ดังนั้นจึงร่วมมือเยี่ยหงวางแผนให้ร้ายเยี่ยนอ๋องและฉู่ฮองเฮา บีบบังคับฉู่ฮองเฮาจนต้องปลิดชีพพระองค์เองเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ส่วนเยี่ยนอ๋องก็เป็นตายไม่รู้แน่ชัด


 


 


เสียงลือเสียงเล่าเหล่าอ้างนี้ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ทั้งยังได้ยินว่า สองสามวันมานี้ เชียนลั่วเฉิงไม่เคยล้มเลิกที่จะตามหาเชียนเยี่ยเสวี่ยเลย แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ จนเขาถอดใจ ส่วนชาวบ้านก็ยิ่งคิดว่าเยี่ยนอ๋องตายไปแล้วจริงๆ


 


 


ทว่า ในความเท็จเหล่านี้ก็มีความจริง ในความจริงก็ซุกซ่อนเสียงเล่าลือที่เป็นเท็จเอาไว้ ซึ่งมันแพร่สะพัดออกไปอีกครั้ง!


 


 


คล้ายกับพบแสงสว่างในทางตัน


 


 


ตอนนี้ เยี่ยนอ๋องกลายเป็นความหวังหนึ่งเดียวของประชาชน


 


 


ถึงกระทั่งมีคนอธิษฐานขอพรต่อหน้าพระ ขอให้เยี่ยนอ๋องปลอดภัยกลับมา ให้เยี่ยอ๋องเหลือขอนั่นไปตายเสีย!


 


 


คนที่ภาวนาเช่นนั้น ได้รวมไปถึงผู้ที่ยังนอนป่วยบนเตียงขยับเขยื้อนส่วนใดมิได้อย่างเชียนลั่วเฉิงด้วย


 


 


ในอดีตเขาคือฮ่องเต้ผู้สูงส่งที่ใครๆ ต่างก็เอื้อมไม่ถึง ข้างกายเขารายล้อมไปด้วยผู้คนที่คอยดูแลเอาอกเอาใจ


 


 


มาตอนนี้เขาล้มป่วย ลูกชายแท้ๆ กลับไม่อยากจะเห็นหน้า ข้างกายเหลือเพียงหมอหลวงหลี่ที่ขลาดกลัวคอยปรนนิบัติรับใช้ มันช่างเจ็บปวดและหนาวเหน็บหัวใจยิ่งนัก


 


 


โดยเฉพาะหลังจากปากและลำคอถูกลวกจนเป็นแผลไปทั่ว ยิ่งทำให้เชียนลั่วเฉิงเจ็บปวดทรมานจนยากจะเอื้อนเอ่ย


 


 


ตอนนี้เขากินได้เพียงอาหารเหลว เชียนเจิ้นหยางยังตัดขาดเขาไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง


 


 


หมอหลวงหลี่จึงทำได้เพียงหาเอาหม้อใบเล็กมาต้มโจ๊กรอให้เย็นแล้วจึงค่อยๆ ป้อนให้กับเขากิน


 


 


แต่ทว่า มือคู่นี้ของหมอหลวงหลี่ต้มยายังพอไหว แต่ต้มโจ๊กกลับเละไม่เป็นท่า


 


 


ไม่ต้มจนไหม้ ก็เดือดจนหม้อแทบพัง


 


 


จนกระทั่งหมอหลวงหลี่ยกโจ๊กที่กว่าจะต้มได้สำเร็จเข้ามา ทว่าเชียนลั่วเฉิงกินไปเพียงคำเดียวก็อาเจียนออกมาเสียแล้ว


 


 


นี่มันอะไรกันเนี่ย!


 


 


เทียบไม่ได้กับอาหารหมูด้วยซ้ำ!


 


 


เชียนลั่วเฉิงสงสัยยิ่งนักว่า หมอหลวงหลี่นั้นเจตนา


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมเคยไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน พระองค์ช่วยเห็นใจหม่อมฉันบ้างเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ใบหน้าหมอหลวงหลี่เปอะเปื้อนเป็นปื้นดำและฝุ่นทั่วทั้งใบหน้า ดูสกปรกมอมแมมราวกับตัวตลกก็ไม่ปาน


 


 


“พระองค์ต้องทรงเสวยให้มาก คราวหน้าผู้น้อยจะตั้งใจทำให้ดียิ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เห็นหมอหลวงหลี่ตัวสั่นงักงกเช่นนั้น เชียนลั่วเฉิงก็ถอนหายใจ ไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยเอากับความรักตัวกลัวตายของหมอหลวงหลี่ที่แสดงออกมาเมื่อวานหลังจากที่ถูกเชียนเจิ้นหยางข่มขู่อีกต่อไป


 


 


อย่างไรเสีย หมอหลวงหลี่ก็ติดตามเขามาหลายปี เชียนลั่วเฉิงเองรู้ดีว่าหมอหลวงหลี่ไม่มีข้อเสียใด นอกเสียจากขี้ขลาดหวาดกลัวเท่านั้น


 


 


แต่เขากลับปฏิบัติต่อตนเองได้ถึงขนาดนี้ในเวลาเช่นนี้ ก็นับว่าไม่เลวแล้ว!


 


 


คิดได้ดังนั้น เชียนลั่วเฉิงก็ฝืนใจกลืนโจ๊กคำโตในปากลงไป


 


 


ถึงแม้ว่าในทุกครั้งที่กลืน เขาจะเจ็บปวดทรมานในปากและลำคอจนแทบทนไม่ไหว แต่เชียนลั่วเฉิงก็ยังคงกัดฟันกลืนมันลงไปให้จงได้


 


 


คำพูดที่อวี้เฟยเยียนกล่าวเมื่อครู่ เชียนลั่วเฉิงก็ได้ยินหมดแล้ว


 


 


ลูกเฮงซวยนั่นต้องการให้เขาตายจริงๆ!


 


 


ไม่ได้ เขาจะตายไม่ได้! 

 

 


ตอนที่ 100-5 เล่นงานเจ้าไม่ตายให้มันร...

 

 


 


เชียนลั่วเฉิงต้องการให้หมอหลวงหลี่ไปตามอวี้เฟยเยียนมารักษาอาการป่วยให้กับเขา แต่เขากลับพูดไม่ได้ ทำได้เพียงส่งเสียง ‘อือๆ’ ออกมาเท่านั้น


 


 


หมอหลวงหลี่พยายามอยู่นานในที่สุดก็ฟังออกจนได้


 


 


“ฝ่าบาท ทรงอยากให้หม่อมฉันไปตามใต้เท้าอวี้หลัวช่าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“อื้อ อื้อ!’


 


 


เชียนลั่วเฉิงพยักหน้า


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันออกไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ที่นี่มีทหารเยี่ยอ๋องเฝ้าอยู่โดยรอบ หม่อมฉันไร้ซึ่งวรยุทธ์ แม้แต่ประตูใหญ่นี่หม่อมฉันยังออกไปไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


หมอหลวงหลี่ทำสีหน้าราวอยากจะร้องไห้ทว่าไร้ซึ่งน้ำตา เขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างเชียนลั่วเฉิงและเชียนเจิ้นหยาง ลำบากใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร!


 


 


แม้ว่าลึกๆ ในใจ หมอหลวงหลี่จะหวังให้ฝ่าบาททรงหายดีดังเดิมก็ตาม


 


 


แต่วิธีการของเชียนเจิ้นหยางทำให้เขาหวาดกลัว ยิ่งกว่านั้น ที่นี่ล้อมรอบไปด้วยคนของเชียนเจิ้นหยาง แม้แต่แมลงวันสักตัวยังบินออกไปไม่ได้ แล้วเขาจะทำอะไรได้เล่า!


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่หมอหลวงหลี่กล่าว เชียนลั่วเฉิงก็ถอนใจออกมา ทำได้เพียงนอนราบอยู่บนเตียงเท่านั้น


 


 


เขานี่มันตาบอดแท้ๆ!


 


 


สายตาเหลือบมองไปที่ม่านเตียง เป็นครั้งแรกที่เชียนลั่วเฉิงรู้สึกว่าตนช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในเวลาเช่นนี้เชียนลั่วเฉิงคิดถึงฉู่ฮองเฮาขึ้นมาจับใจ


 


 


ตั้งแต่เขาเกิดเรื่องแล้วหลิวกุ้ยเฟยพาขุนนางกลุ่มหนึ่งเข้ามาคราวก่อน นับตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยได้พบนางอีกเลย


 


 


เชียนลั่วเฉิงยังจดจำได้ดี ปีที่สองหลังจากที่ฉู่ฮองเฮาแต่งงานกับเขา เขาตกม้าจนขาหัก…


 


 


ในตอนนั้นฉู่ฮองเฮาสงสารเขาเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งสองของนางบวมช้ำจากการร้องไห้ ทุกวันนางจะต้องอยู่ข้างเตียงคอยปรนนิบัติเขา นางถึงขนาดลงมือเข้าครัวตุ๋นน้ำแกงให้เขาดื่มด้วยตัวเองทุกวัน เพื่อให้เขาฟื้นฟูร่างกายได้โดยเร็ว


 


 


เขาเองที่ไม่รู้จักถนอมนางเอาไว้ ผลักไสคนที่รักตนเองให้ไกลออกไป จึงได้มีจุดจบดั่งเช่นวันนี้


 


 


อีอี เจ้าเห็นหรือยัง


 


 


กรรมกำลังตามสนองข้าแล้ว!


 


 


เชียนลั่วเฉิงกำผ้าห่มเอาไว้แน่น น้ำตาไหลนองหน้า


 


 


เขารู้ดีว่า เขาในสภาพนี้ ฉู่ฮองเฮาไม่มีวันได้เห็นอีกต่อไปแล้ว


 


 


เพราะนางได้ควักลูกตาตนออกมาน่ะสิ จวบจนวินาทีสุดท้ายในชีวิตนางก็ยังไม่อยากที่จะมองเห็นเขาอีก นางคงจะแค้นเขามาก!


 


 


หากเทียบกับเชียนเจิ้นหยางที่กำลังอกสั่นขวัญแขวน และเชียนลั่วเฉิงที่กำลังรู้สึกผิดอย่างที่สุด เชียนเยี่ยเสวี่ยในตอนนี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกว่ามากนัก


 


 


หลังจากอวี้เฟยเยียนเดินรอบวังหลวงหนึ่งรอบเต็มๆ ชื่อเสียงของเยี่ยนอ๋องในหมู่ราษฎรก็โด่งดังกระหึ่มขึ้นมาราวกับพลุแตก


 


 


พลัวะ พลัวะ…


 


 


และดูแล้วจะโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีว่าจ้างแม่บ้านมาสองสามคนเพื่อช่วยงานในบ้าน ทุกคนล้วนแต่เป็นคนในเมืองหลวงทั้งสิ้น


 


 


ในช่วงเวลาที่พวกนางพักจากงานนั้น ก็เอาแต่พูดคุยเรื่องนี้กันยกใหญ่


 


 


ฟังจากปากท่านป้าแม่บ้านแล้ว ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยรู้ตัวว่าตนเองกลายเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังไปเสียแล้วในเวลานี้


 


 


เหล่าชาวบ้านต่างก็เริ่มตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อตามหาเยี่ยนอ๋อง  เนื่องจากเขายอมไม่ได้ที่จะให้เชียนเจิ้นหยางเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เยี่ยนอ๋องที่หายสาบสูญไป


 


 


เหล่าแม่บ้านสาวใหญ่ต่างปรึกษาหารือกัน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขอลากับตี้อู่เฮ่ออีเพื่อไปตามหาเยี่ยนอ๋องกับชาวบ้านคนอื่นๆ


 


 


เมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้น เชียนเยี่ยเสวี่ยก็อดที่จะนับถืออวี้เฟยเยียนขึ้นมาไม่ได้


 


 


นางเพียงแค่เผยโฉมที่วังหลวงเพียงครั้งเดียว กับกล่าวคำพูดไม่กี่ประโยค ก็สามารถปลุกระดมผู้คนได้


 


 


ในตอนนี้ เชียนเจิ้นหยางคงกำลังคิดหาทางเอาตัวรอดจนหัวแทบแตกแล้วกระมัง!


 


 


ส่วนเชียนลั่วเฉิง เขาจะคิดอย่างไร เชียนเยี่ยเสวี่ยหาได้ใส่ใจไม่


 


 


สำหรับเชียนเยี่ยเสวี่ยแล้ว บิดาผู้นี้กลายเป็นคนนอกที่ไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องใดๆ กับนางตั้งนานแล้ว…


 


 


ทุกวันอวี้เฟยเยียนจะต้องเข้าไปเดินเล่นในวังสักรอบ


 


 


ซึ่งนางไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น นอกเสียจากนั่งบนหลังคาของตำหนักจันทราในเวลาที่เชียนเจิ้นหยางว่าราชการในตอนเช้า แล้วกล่าวคำพูดสองสามประโยค


 


 


นางทำเพียงเท่านี้ ก็สามารถบีบเชียนเจิ้นหยางจนแทบจะร้องไห้ออกมา!


 


 


แต่วรยุทธ์เขาสู้อวี้เฟยเยียนไม่ได้ และในฉินจื้อก็ไม่มีใครรับมือกับนางได้เลยเช่นกัน


 


 


เมื่อคิดถึงว่าอวี้เฟยเยียนคือจอมเทวา เชียนเจิ้นหยางก็ทำได้เพียงอดทนอดกลั้น ในใจก็เอาแต่ภาวนาให้เยี่ยหงกลับมาโดยเร็ว


 


 


อวี้เฟยเยียนเข้าไปที่วังหลวงไม่ได้ยุ่งเรื่องไม่เป็นไรเรื่องเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเหล่าขุนนางจะขอร้องนางครั้งแล้วครั้งเล่าให้ช่วยทำการรักษาเชียนลั่วเฉิง แต่ถ้าหากว่าเชียนเจิ้นหยางไม่เอ่ยปากเองละก็ นางจะไม่ช่วยเชียนลั่วเฉิงเด็ดขาด!


 


 


ทุกวันอวี้เฟยเยียนจะตีฆ้องร้องว่าต้องการจะพบเยี่ยหงให้ได้ ทว่าก็ไม่เคยได้พบกับเยี่ยหงเลยสักครั้ง


 


 


ผ่านไปสองสามวัน บรรดาชาวบ้านก็เริ่มซุบซิบขึ้นมา ว่าเหตุใดเยี่ยหงถึงไม่ปรากฎตัวเสียที ถึงแม้นางจะบาดเจ็บ แต่เวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว น่าจะหายดีแล้วนี่นา


 


 


ความไม่สบายใจที่บังเกิดขึ้น ลุกลามขยายใหญ่ไปสู่จิตใจประชาชนทั่วไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หรือเยี่ยหงเกิดเรื่อง


 


 


หรือแท้ที่จริงแล้วเยี่ยหงมิใช่ปรมาจารย์แต่อย่างใด ทั้งไม่ใช่จอมเทวาด้วย นางโกหก นางกำลังหลอกลวงทุกคน


 


 


เชียนเจิ้นหยางทำให้อวี้เฟยเยียนหุบปากไม่ได้ และก็หยุดข่าวลือต่างๆ นานานั้นไม่ได้เช่นกัน


 


 


เมื่ออวี้เฟยเยียนเข้าวังหลวงบ่อยขึ้น และเวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานมากขึ้น ในที่สุดผู้คนก็เข้าใจได้โดยปริยายว่า แท้ที่จริงแล้วเยี่ยหงหายสาบสูญไปนั่นเอง!


 


 


เมื่อไร้ซึ่งปรมาจารย์คุ้มครอง ฮ่องเต้ก็ทรงประชวรถึงเพียงนี้ เยี่ยอ๋องต้องการแย่งอำนาจชิงบัลลังก์ ต้าโจวก็คอยจ้องจะเล่นงานอยู่ตลอดเวลา……


 


 


ในตอนนี้ ความหวังหนึ่งเดียวของฉินจื้อก็เหลือเพียงเยี่ยนอ๋องแล้ว!


 


 


“เสด็จแม่ ข้าจะเป็นบ้าอยู่แล้ว! ข้าถูกบีบจนเป็นบ้า!”


 


 


หลังจากว่าราชการเช้าเสร็จสิ้น เชียนเจิ้นหยางก็พุ่งตรงมาที่ตำหนักหลิวกุ้ยเฟย กอดนางร้องไห้ออกมาอย่างหนัก


 


 


“เสด็จแม่ ข้าควรจะทำอย่างไรดี”


 


 


เรื่องของอวี้เฟยเยียน หลิวกุ้ยเฟยได้ยินมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่นางก็ไม่มีวิธีรับมืออวี้เฟยเยียนได้ ทำได้เพียงสั่งการให้หูจื้อเหนิงเพิ่มคนค้นหาเยี่ยหงเท่านั้น


 


 


“ผู้คนข้างนอกล้วนแต่บอกว่าข้าอกตัญญู ขุนนางพวกนั้นก็เอาแต่บีบบังคับข้า เพื่อที่จะให้ข้าไปเชิญอวี้หลัวช่ามารักษาให้กับไอ้แก่นั่น หากอวี้เฟยเยียนรักษาเขาจนหายจริงละก็ ข้าก็ต้องตายอย่างแน่นอน! เสด็จแม่ ท่านจะต้องช่วยข้าคิดหาวิธีนะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


สองสามวันมานี้ เชียนเจิ้นหยางกินไม่ได้ นอนไม่หลับ แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว


 


 


“เจ้าอย่าได้กังวลไป จะต้องมีวิธีสิ!”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามปลอบโยนเชียนเจิ้นหยางไปก่อน


 


 


ทันใดนั้น ดวงตานางเปล่งประกาย มือทั้งสองนางโอบศีรษะของเชียนเจิ้นหยางเอาไว้ ดวงตาจ้องมองเขาเขม็งปากก็กล่าวว่า


 


 


“หากว่าเชียนลั่วเฉิงตายไป มิเท่ากับเรื่องทุกอย่างคลี่คลายไปได้แล้วหรือ และวิธีที่ดีที่สุดก็คือ โยนบาปทั้งหมดให้อวี้หลัวช่า!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม