ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 99.1-100.4

ตอนที่ 99-1 รายชื่อผู้ตามเสด็จออกล่าส...

 

ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าไปในห้องรับแขก คนในครอบครัวสกุลอวิ๋นก็นั่งกันอยู่ในห้องอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งและถงฮูหยินนั่งอยู่บนเก้าอี้คู่สลักลายนกกางเขนเกาะกิ่งเหมยที่ตั้งอยู่ด้านบนสุด อวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งอยู่ด้านซ้าย คิ้วหนาทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น มือหนึ่งถือถ้วยชา สีหน้าหม่นหมองอยู่บ้าง คล้ายมีเรื่องอะไรในใจ ด้านข้างของเขามีม่อไคไหลยืนอยู่


 


 


ถงฮูหยินนั่งอยู่ด้านขวา โดยมีโต๊ะน้ำชาไม้แดงคั่นกลาง สองวันมานี้นางหายป่วยในเบื้องต้นแล้ว ตอนนี้จึงมีสติแจ่มใส ใบหน้ามีเลือดฝาด ถัดจากนางลงมาด้านล่าง ค่อยเป็นอนุฟาง เหลียนเหนียง และฮุ่ยหลาน ยืนอยู่กันสามคน


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งที่เพิ่งกลับจากโรงเรียน นั่งเก้าอี้มีฟูกอยู่ด้านหน้าถงฮูหยิน พอเห็นพี่สาวมา ก็กระพริบขนตายาวสวยปริบๆ


 


 


ฮุ่ยหลานแต่งตัวตามปกติ สวมชุดสีเขียวอ่อนเรียบๆ ไม่แต่งหน้า และไม่พูดคุยกับอนุอีกสองคน ได้แต่ยืนเงียบๆ อยู่ใกล้ถงฮูหยิน


 


 


ส่วนอนุฟางกับเหลียนเหนียงกลับอยู่ไม่สุข แอบมองสีหน้าเจ้าบ้านเป็นระยะ แล้วหันมาซุบซิบกันว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่


 


 


เหลียนเหนียงสวมชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อน แต่งหน้าสดใส ใช้เครื่องประทินผิวกลิ่นดอกท้อ แม้ดูสีและยี่ห้อไม่ออก แต่ส่วนผสมล้วนเป็นของดีมีชื่อเสียง มองปราดเดียวก็รู้ว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งสั่งทำเพื่อนางโดยเฉพาะ หลายวันไม่เห็นหน้านาง ใบหน้าเล็กๆ ของนางดูชุ่มชื้นดั่งดอกชบา สะดุดตาขึ้นมาก แต่พอเห็นคุณหนูใหญ่ปรากฏตัวที่หน้าประตู นางก็เงียบเสียงลง


 


 


ส่วนอนุฟาง หมู่นี้แต่งตัวหรูหราขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่อวิ๋นหว่านถงกลับบ้านมาในวันนั้น นางก็เดินเชิดหน้ายืดอกมาตลอด วันนี้นางสวมเสื้อสีเขียวสด ทับด้วยเสื้อคลุมสีเขียวเข้มเด่นสะดุดตา สวมประโปรงหนาหน้าม้าจีบเล็กสีเขียวอ่อน มวยผมเสียบปิ่นมรกตใสฝังหยกเม็ดเท่าไข่นกพิราบอยู่ด้านใน เป็นปิ่นที่ลูกสาวมอบให้นางเมื่อวันกลับบ้าน ทั้งเนื้อทั้งตัวดูคล้ายยอดอ่อนที่โผล่ขึ้นมาจากต้นไม้ใบหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ โดยเกรงว่าจะไม่มีใครพบเห็นอย่างไรอย่างนั้น พอเห็นคุณหนูใหญ่มา นางกลับไม่เหมือนเหลียนเหนียงที่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา เพียงยิ้มแล้วจ้องมอง พลางพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบา แต่คนในห้องได้ยินอย่างชัดเจน


 


 


“อ้าว คุณหนูใหญ่มาแล้วจ้า”


 


 


น้ำเสียงเหมือนล้อเล่น แต่ก็เหมือนกำลังตำหนิลูกหลานที่มาสาย


 


 


สิ้นเสียงอนุฟาง อวิ๋นหว่านชิ่นก็เห็นว่า อวิ๋นเสวียนฉั่งที่นั่งอยู่ด้านบน แม้ไม่พูด แต่หน้ากลับเปลี่ยนสี ขมวดคิ้วแน่น ยิ้มบางๆ หันหน้าเข้าหาถงฮูหยิน แล้วตอบเบาๆ


 


 


“พอบ่าวไปตาม ชิ่นเอ๋อร์ก็มาทันที”


 


 


อนุฟางจึงกลืนน้ำลายลง แล้วยืนหน้าตาเหลอหลา


 


 


ระหว่างย่างเข้าฤดูหนาว จะว่าหนาวก็ไม่เชิง เพียงแต่เมืองหลวงตั้งอยู่ทางตอนเหนือ อากาศจึงเย็นยะ


 


 


เยียบ ฟืนในกระถางกำยานรูปปากสัตว์กลางห้องรับแขกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว จนได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะๆ มีประกายไฟสีส้มเปล่งให้เห็นเป็นระยะ ทำให้ภายในห้องอบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นถกกระโปรง แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงต่ำ “คารวะท่านพ่อกับท่านย่า”


 


 


“มา มานั่งข้างย่านี่” ถงฮูหยินกวักมือเรียกให้หลานสาวเข้ามานั่ง


 


 


เมื่อคนในครอบครัวมากันครบ ไม่ขาดสักคนเช่นนี้ ย่อมมีเรื่องภายในครอบครัวบางอย่างที่ต้องการจะแจ้งให้ทราบ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหันมองสีหน้าบิดาอีกครั้ง แล้วจึงหันมาทางเมี่ยวเอ๋อร์ ขณะจะบอกให้นางออกไปก่อน คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งจะยกแขนเสื้อขึ้น พลางโพล่ง


 


 


“อ้อ ให้เมี่ยวเอ๋อร์อยู่เถอะ อีกสักครู่ ไม่แน่ว่ายังมีเรื่องของนางด้วย”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นขยับคิ้ว ส่งสายตาให้เมี่ยวเอ๋อร์ไปยืนข้างม่านประตู แล้วตนค่อยก้าวไปนั่งที่เก้าอี้พนักพิงทรงกลมข้างถงฮูหยิน ทว่าบิดายังไม่ทันพูด อวิ๋นจิ่นจ้งก็พูดขัดจังหวะขึ้นก่อน แต่ด้วยเกรงว่าพี่สาวจะกังวลใจ จึงพูดเกริ่นเบาๆ “พี่ มีเรื่องดีน่ะ”


 


 


เรื่องดี?


 


 


“จิ่นจ้ง” อวิ๋นเสวียนฉั่งเอ็ดลูกชาย ก่อนขมวดคิ้ว กระแอมไอเบาๆ พลางยกแขนเสื้อขึ้นปิดปาก แล้วเอ่ย


 


 


“วันนี้ที่เรียกคนในครอบครัวมา เพราะมีเรื่องสองเรื่องที่ต้องบอกให้ทุกคนรู้”


 


 


พูดจบก็หันมองอนุฟาง ด้วยสีหน้าที่หมองหม่นลง เห็นชัดว่าไม่ค่อยสบอารมณ์


 


 


อนุฟางพลันสะดุดกึก หมู่นี้ตนไม่ได้ล่วงเกินอะไรท่านพี่นี่ ทำไมถึงมองมาทางตนเล่า แต่สายตาที่ไร้ความปรานี เต็มไปด้วยความบึ้งตึงและดุร้ายคู่นี้ ทำให้อยู่ดีๆ ตนก็รู้สึกสะท้านขึ้นมา จึงแอบใช้มือถูผ้าเช็ดหน้า


 


 


“วันก่อน ซุนจวิ้นอ๋องที่ถูกกักบริเวณในจวนจวิ้นอ๋องได้วานให้คนในราชสำนักช่วยส่งจดหมายให้ฝ่าบาท สารภาพเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงสังสรรค์เฉลิมพระชนม์เจี่ยไทเฮา บอกว่าเว่ยอ๋องส่งคนมาเอาสุราดอกท้อของตนไปป้ายสีฉินอ๋อง จนเกือบจะทำร้ายไทเฮาเข้า”


 


 


ขณะอวิ๋นเสวียนฉั่งพูด สีหน้าก็หม่นหมองลงเรื่อยๆ ทำให้คนสกุลอวิ๋นใจเต้นตึกตัก หายใจไม่ทั่วท้อง


 


 


โดยเฉพาะอนุฟาง ที่เสียวสันหลังวาบ เหงื่อไหลไปทั้งตัว เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านพี่ถึงทำท่าไม่พอใจใส่ตน


 


 


เรื่องสุราดอกท้อในงานเลี้ยงสังสรรค์ คนในบ้านสกุลอวิ๋นล้วนรู้ดี ส่วนเรื่องที่ตอนนี้เว่ยอ๋องถูกกักบริเวณ โทษฐานขุดเจาะเหมืองแร่ผิดกฎหมายที่เขาชิงเหอนั้น แม้ทำให้คนในบ้านตกใจ แต่อย่างไรก็ยังมีโอกาสพลิกคดีอยู่ แต่ถ้าบวกความผิดฐานป้ายสีพี่น้องต่อหน้าสาธารณะชน กับพยายามทำให้ไทเฮาภูมิแพ้กำเริบเข้าไปด้วย ใยจะไม่เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเล่า!


 


 


โดยไม่ว่าอย่างไร เว่ยอ๋องก็ถือเป็นคนในสกุลอวิ๋นแล้ว ถ้าเขาล่มจม สกุลอวิ๋นไหนเลยจะได้ดีเล่า


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งได้เป็นท่านเจ้ากรม ทุกสิ่งเริ่มต้นยากเสมอ เพิ่งได้นั่งเก้าอี้ ก้นยังไม่ทันร้อน และกำลัง


 


 


อยู่ในช่วงทำอะไร ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ ประมาทไม่ได้ในทุกๆ เรื่อง เพราะอาจถูกคนนำมาใช้ข่มขู่เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อเว่ยอ๋องถูกซุนจวิ้นอ๋องฟ้องร้อง ถ้าได้รับโทษ เกรงว่าอาจมีคนตาร้อนชี้หัวหอกมาที่ตน


 


 


ดังนั้น พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ข่าวว่าซุนจวิ้นอ๋องฟ้องร้องเว่ยอ๋องกับฝ่าบาท ก็เครียดจัด แล้วใยไม่ระบายอารมณ์ใส่อนุฟางเล่า


 


 


อนุฟางกลืนน้ำลายสองรอบ ราวกับมีเม็ดบ๊วยติดอยู่ในลำคอ ลูกสาวแต่งไปจวนเว่ยอ๋อง นางนึกว่าลูกสาวจะได้เป็นชายาคนโปรดขององค์ชายที่มีอนาคตไกลสุดแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเว่ยอ๋องเป็นพวกท่าดีทีเหลว ที่ถูกคนเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงไปเสียทุกครั้งเล่า!


 


 


เรื่องเหมืองแร่ครั้งก่อนยังดี…ที่ชายาถูกลดขั้นและส่งคืนกำลังทหาร พอได้ยินคำตัดสินจากเหล่าขุนนาง ฝ่าบาทจะมากจะน้อยก็ยังคงอยากที่จะปกป้องโอรส ได้ยินถงเอ๋อร์ว่า ขอเพียงเว่ยอ๋องอยู่อย่างสงบระยะหนึ่ง ไม่ก่อเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นอีก รอให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤต คนในวังหยุดซุบซิบ มเหสีรองเหวยค่อยพูดคำหวานเพิ่มเข้าไป เว่ยอ๋องก็น่าจะค่อยๆ กลับคืนสู่สถานะเดิมได้ ดูตัวอย่างจากรัชสมัยก่อน ที่องค์ชายหรือขุนนางคนโปรดทำความผิด ต่อให้ถูกเนรเทศไปถึงขอบฟ้า ถ้าฝ่าบาทมีใจปกป้อง อย่างไรก็สามารถอ้างบรรดาศักดิ์แล้วเรียกตัวกลับมาใหม่ได้


 


 


แต่ตอนนี้…เรื่องป้ายสีพี่น้องยังไม่ต้องพูดถึง โยงใยไทเฮาเข้าไปด้วยนี่สิ นั่นเป็นถึงไทเฮาเชียวนา คิดว่าฝ่าบาทจะอภัยให้ไหมล่ะ!

 

 

 


ตอนที่ 99-2 รายชื่อผู้ตามเสด็จออกล่าส...

 

อนุฟางเหงื่อกาฬหลั่งไหล ไม่ง่ายเลยที่ตนจะกลับมาพูดดีๆ กับท่านพี่ได้ จึงก้าวออกมา พูดจาละล่ำละลัก “อาจไม่เกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายห้าก็เป็นได้นะ ท่านพี่…หรือถ้า ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็ไม่น่าจะ จะโยงใยมาถึงเราหรอก”


 


 


“เหรอ? เป็นได้แค่แม่บ้านจริงๆ โง่สุดจะเปรียบ! หนอนกัดกิ่งไม้ของต้นไม้ไปกิ่งหนึ่งแล้ว จะไม่กัดกิ่งอื่นๆ หรือ!?” อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่ได้ยินคำพูดของอนุฟางยังดี พอได้ยินแล้วก็โมโห อารมณ์ขึ้น ต้องจับทรวงอกอย่างช่วยไม่ได้


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมือของเขากดลงบนกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงสองซี่เยื้องๆ หัวใจด้านล่าง เหมือนอาการระหว่างกินข้าวในตอนนั้นไม่มีผิด บิดาคลุกคลีในแวดวงขุนนางมานานหลายปี ต้องการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงประจบผู้บังคับบัญชา เอาใจผู้สูงศักดิ์ ดื่มสุราระหว่างมื้ออาหารเป็นเพื่อนบุคคลต่างๆ อยู่เป็นนิจจนเป็นเรื่องปกติ ทำให้ม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนแอ ยิ่งหมู่นี้ได้เลื่อนตำแหน่ง ก็ยิ่งยุ่งอยู่นอกบ้านตลอด กินอาหารสามมื้อไม่เป็นเวลา พอกลับถึงบ้าน ก็สนใจแต่เรื่องกิจกรรมบันเทิงเริงรมย์กับอนุคนใหม่ คงสูญเสียพลังงาน ระบบทางเดินอาหารจึงยิ่งรวนเข้าไปอีก


 


 


พอเห็นสีหน้าอวิ๋นเสวียนฉั่งม่วงคล้ำ ท่าทางข่มกลั้นความเจ็บปวดไว้ อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมิได้มีความกังวลและห่วงใยในฐานะลูกสาวเสียทั้งหมด ในหัวสมองกลับมีคำว่า สมน้ำหน้า ขึ้นมา


 


 


ขณะคิด อวิ๋นหว่านชิ่นก็เบือนหน้าไปอีกทาง มารดาอัดอั้นตันใจและทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยในช่วงท้ายของชีวิต ตอนนี้ ถึงคราวบิดาเนรคุณจะได้สัมผัสด้วยตัวเองดูสักตั้งบ้าง


 


 


โรคระบบทางเดินอาหาร เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่แสดงอาการอย่างฉับพลัน ก็จะสะสมไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื้อรัง แทบจะรักษาไม่หายตลอดชีวิต เมื่อบิดาหนีแวดวงขุนนางไม่พ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โรคจะลากยาวและหนักขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ส่วนเหลียนเหนียง เมื่อเห็นท่าทางของอวิ๋นเสวียนฉั่งไม่สู้จะดี ก็มีปฏิกิริยาเร็วสุด รีบก้าวเข้าไปพยุงเขาไว้ พลางพูดอย่างอ่อนโยน “ท่านพี่ใจเย็นๆ อย่าใจร้อน ค่อยๆ พูด เดี๋ยวอาการจุกเสียดก็กำเริบหรอก”


 


 


แล้วรีบเรียกบ่าวรินน้ำชาร้อนๆ มา ก่อนยื่นให้อวิ๋นเสวียนฉั่ง


 


 


อนุฟางถูกท่านพี่ด่าทอ จึงยืนเป็นตอไม้ วิญญาณหลุดออกจากร่างอยู่ในห้อง


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งรับถ้วยน้ำชามาถือไว้ในมือ ยกขึ้นจิบสองคำ อาการจุกเสียดค่อยทุเลาลง


 


 


ในห้องล้วนเป็นคนในครอบครัว เขาจึงไม่ต้องสนใจเรื่องความอับอาย อยากพูดอะไรก็ไม่ต้องกังวล ขณะรู้สึกอัดอั้นตันใจ จำเป็นต้องหาคนมาระบาย จึงวางถ้วยกระเบื้องเคลือบลงบนโต๊ะแรงๆ เสียงดัง ‘ต๊ก’ น้ำชากระฉอกออก


 


 


“ล้วนเป็นเจ้า! แม่บ้านมหาภัยหนอแม่บ้านมหาภัย! ถ้าไม่ใช่เจ้าเอะอะโวยวายว่าต้องให้ถงเอ๋อร์เข้าวังไป


 


 


เป็นเพื่อนชิ่นเอ๋อร์ให้ได้ ไทเฮาจะพระราชทานถงเอ๋อร์ให้เว่ยอ๋องได้อย่างไรกัน สกุลอวิ๋นเราก็ไม่มีทางถูกโยงให้


 


 


เข้ามาแบกรับหายนะที่ไม่ได้ก่อ! และถ้าตำแหน่งของข้าถูกสั่นคลอนเพราะเรื่องของเว่ยอ๋องล่ะก็ ข้า ข้า…”


 


 


เขายกถ้วยชาขึ้นอีกครั้ง พลันเขวี้ยงใส่อนุฟางอย่างเดือดดาล เนื่องจากอยู่ใกล้ เห็นเป้าชัด ถ้วยชาถึงกระแทกเข้าที่หน้าผากอนุฟางอย่างจัง ได้ยินเสียงร้องโหยหวน ตามด้วยอนุฟางล้มลง ขณะพยายามลุกขึ้น หน้าผากก็ปูดบวมและห้อเลือด


 


 


หลายวันมานี้ เนื่องจากลูกสาวได้เป็นใหญ่เป็นโต สถานะในสกุลอวิ๋นของนางก็สูงขึ้นตาม ทำให้บ่าวในบ้านไม่กล้าหืออือ อนุคนใหม่ก็ยังมาฝากเนื้อฝากตัวกับนางถึงที่ ขนาดหญิงชรานั่น เวลาพูดจากับนางก็ยังมีความเกรงใจอยู่บ้าง แต่พริบตาเดียว นางก็คืนสู่สภาพเดิมเสียแล้ว ไม่กล้าร้องขอความเป็นธรรม ได้แต่ใช้มือจับแผลห้อเลือดที่หน้าผากพลางร้องไห้เหมือนเด็กๆ


 


 


“ไม่รู้เหมือนกันว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวอย่างไร ใครไม่ไปหา ดันหาแต่พวกดวงซวยที่ทำอะไรไม่ขึ้นมา!” อวิ๋นเสวียนฉั่งยังคงคับแค้นใจไม่หาย จึงด่าทอไม่หยุด


 


 


อนุฟางก็ได้แต่ร้องไห้จนสายตัวแทบขาด ใบหน้าบวมจนแยกไม่ออกว่าแดงหรือม่วงช้ำ นี่เขาพูดอะไรออกมา หาความเป็นธรรมไม่ได้จริงๆ ถ้านางมีตาทิพย์ สามารถเห็นว่าองค์ชายท่านไหนมีความสามารถมากสุด จะมานั่งอยู่ตรงนี้หรือ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นทำเสียงจุ๊ๆ ในใจ อนุฟางน่าจะใกล้อกแตกเต็มที แต่นางติดตามบิดามานานหลายปี ก็น่าจะรู้ว่าบิดาเป็นคนอย่างไร ตัดสัมพันธ์ได้อย่างไร้เยื่อใย แต่ทีตอนอาศัยลูกสาวไต่เต้า กลับไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ตอนนี้พอกลัวว่าลูกสาวจะทำให้ตนติดร่างแหไปด้วย น้ำโสโครกอะไรก็สาดใส่คนอื่นได้หมด


 


 


ถงฮูหยินเลิกคิ้วขณะฟังทุกถ้อยกระทงความอย่างตั้งอกตั้งใจ รอจนลูกชายระบายอารมณ์เสร็จ ค่อยเอ่ยปากขึ้น


 


 


“พอแล้วเจ้ารอง ตอนนี้เจ้าด่าว่านางไปก็ไร้ประโยชน์ การที่ถงเอ๋อร์แต่งกับองค์ชายห้า จะเคราะห์ดีก็ดี จะเคราะห์ร้ายก็ได้ ล้วนเป็นชะตาชีวิตของนาง แต่คนในครอบครัวใหญ่อย่างสกุลอวิ๋นเรายังต้องมีชีวิตที่ดีต่อ อย่างจิ่นจ้ง ไม่เพียงแต่ต้องมีชีวิตที่ดี อีกสองปีก็ต้องสอบเข้าเป็นขุนนางแล้ว จะให้โยงเข้ากับเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว จนกระทบกับอนาคตไม่ได้เป็นอันขาด! เจ้าเป็นขุนนางและเป็นเสาหลักของบ้านมาหลายปี ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าควรทำอย่างไร เจ้าบอกคนในบ้านทั้งเล็กและใหญ่อย่างพวกเรามาตามตรงดีกว่าว่า ถ้าเว่ยอ๋องนั่นต้องโทษจริงๆ โทษคืออะไร แล้วเจ้าค่อยตัดสินใจจะดีกว่า!”


 


 


ถ้าบอกว่า ถงฮูหยินเป็นหญิงชรามาจากบ้านนอกที่ไม่รู้จักโลกภายนอก ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะพอเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกะทันหัน นางกลับเยือกเย็นกว่าลูกชายที่เป็นขุนนางอยู่หลายเท่า อวิ๋นหว่านชิ่นขยับมุมปากขึ้น ปรากฎรอยยิ้ม


 


 


พอได้ยินคำเตือนของมารดาผู้เป็นม่าย อวิ๋นเสวียนฉั่งค่อยสงบสติอารมณ์ลง จึงยืดตัวตรง พลางพูดพร้อมสีหน้าจริงจัง


 


 


“ถ้าองค์ชายต้องโทษ ระดับของโทษที่เชื่อมโยงถึงญาติพี่น้อง มีทั้งหนักและเบา ถ้าหนักหน่อย จะลดตำแหน่งร่วมกับเสียค่าปรับ ล้วนนับว่าดี พวกเจ้ายังจำเรื่องขององค์ชายสี่ เหิงอ๋องซื่อเฝ่ย เมื่อหลายปีก่อนได้หรือไม่ ทรงเมาสุราอาละวาด กระด้างกระเดื่องในท้องพระโรง จนทำให้ฝ่าบาทตกพระทัยยิ่ง แม้เป็นการทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่สุดท้ายยังคงถูกเนรเทศไปจูโจว ที่ห่างไกลความเจริญ แม้ยังเป็นอ๋อง แต่ก็ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในจูโจว กลับเมืองหลวงไม่ได้อีก ส่วนคนในครอบครัวชายา ทั้งชายาเอกและชายารองรวมสี่ร้อยกว่าชีวิต ก็ต้องตามลูกเขยไปจูโจวด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไหนเลยยังมีอนาคตอะไรอีก! ความผิดครั้งนี้ของเว่ยอ๋อง ตามรูปการณ์แล้วก็พอๆ กับเหิงอ๋อง ข้าจึงเกรงว่าน่าจะถูกลงโทษพอๆ กัน…”


 


 


“อะไรนะ!” แม้กำลังหวาดกลัว แต่อนุฟางก็ยังคงร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านพี่ว่า เขาจะเอาเราไปปล่อยไว้ต่างถิ่นหรือ!?”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งค้อนนางหนึ่งควับ ก่อนเหลือบมองมารดา แล้วจึงกวาดตามองคนในบ้านทีละตน


 


 


“ดังนั้น ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาก็เพราะต้องการเตือนพวกเจ้าว่า แต่นี้ไปต้นไป ห้ามคนสกุลอวิ๋นทุกคนติดต่อกับคนในจวนเว่ยอ๋องอีกไม่ว่าผู้ใดก็ตาม รวมทั้งการแจ้งด้วยปากเปล่าหรือจดหมายด้วย โดยเฉพาะเจ้า”


 


 


จ้องมองอนุฟาง แล้วว่า “สรุปแล้ว ให้ทำตัวเหมือนไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้น! ถ้าคนในจวนเว่ยอ๋องมา ก็พยายามหลบเลี่ยง หาข้ออ้างปฏิเสธที่จะพบแขก อย่าให้พวกเขาก้าวเข้ามาในบ้านสกุลอวิ๋นเป็นอันขาด พวกเจ้ากลับไปกำชับบ่าวและเด็กรับใช้ในเรือนของพวกเจ้าให้ดี และถ้าอยู่นอกบ้าน ก็ห้ามพูดถึงเรื่องเว่ยอ๋องแม้ครึ่งคำ ถ้าปากใครเที่ยวพูดมั่วซั่วว่า คุณหนูบ้านตนเป็นชายารองเว่ยอ๋องล่ะก็ ข้าจะฉีกปากให้”


 


 


ตั้งแต่อวิ๋นหว่านถงเข้าจวนเว่ยอ๋อง อนุฟางก็มักส่งคนไปสืบถามสถานการณ์ที่นั่นเป็นระยะ บางครั้งก็ให้คนไปเดินแก่วแถวประตูข้างจวนอ๋อง ประการแรก เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับลูกสาว รักษาความใกล้ชิดระหว่างแม่กับลูกไว้ ประการที่สอง ดีไม่ดีอาจได้ของเล็กๆ น้อยๆ ติดมือกลับมา เรื่องนี้ทำไมอวิ๋นเสวียนฉั่งจะไม่รู้เล่า เพียงแต่ตอนแรก เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ตอนนี้กลับต้องรู้ต้องเห็นแล้ว


 


 


พออนุฟางได้ยิน ก็ขานรับอย่างหวาดกลัว ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลอวิ๋นต่างก็ทยอยกันขานรับ สัญญาว่าจะไม่พูดมากเป็นอันขาด ทว่าปากแม้ไม่พูด ทุกคนก็รู้ว่า ต้องรักษาระยะห่างกับเว่ยอ๋องไว้ เพื่อแสดงให้ราชสำนักเห็นจุดยืนก่อน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเว่ยอ๋องในภายหลัง จะได้มีข้อแก้ตัว

 

 

 


ตอนที่ 99-3 รายชื่อผู้ตามเสด็จออกล่าส...

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งลูบสันจมูกอีกครั้ง รู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง


 


 


“…ระยะนี้ ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร พวกเจ้าก็ไม่ต้องออกจากบ้านให้เตะตาผู้คน ถ้าเรื่องของเว่ยอ๋องยังไม่ถูกตัดสิน อย่าออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียวเป็นดี อยู่ในเรือนของตัวเองตามปกติ กระทั่งนอกเรือนก็ออกไม่ได้ พวกที่ชอบสวมเครื่องประดับเงินทอง ต้องถอดออกให้หมด เปลี่ยนไปใส่ชุดเรียบๆ แทน ไม่สวมอะไรที่มีหยกมีมุก ไม่สวมเสื้อแพรไหม หวังว่าเมื่อทำตัวสมถะแล้ว จะไม่เป็นขี้ปากชาวบ้าน จะได้ไม่ถูกเว่ยอ๋องเชื่อมโยงเข้าไป…ถ้าใครยังทำตามอำเภอใจ ไปมาหาสู่สะเปะสะปะ พูดจานินทากันเป็นการส่วนตัว ข้าจะฟาดขาให้หักเสียทีเดียว!”


 


 


ทุกคนล้วนพยักหน้ารับ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นชำเลืองมองน้องชาย เรื่องดี? ออกจากบ้านไม่ได้เนี่ยนะเรื่องดี? ต่างกับการถูกกักบริเวณตรงไหน


 


 


พออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นสายตาสงสัยของพี่สาวมองมา กลับทำปากยื่นปากยาว บอกใบ้ว่าอย่าเพิ่งร้อนใจไป จากนั้นก็วางศอกลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้ แล้วหันหาอวิ๋นเสวียนฉั่ง


 


 


“ท่านพ่อ ท่านบอกว่ามีสองเรื่องมิใช่หรือ”


 


 


พอได้ยินลูกชายเตือนสติ สีหน้าของอวิ๋นเสวียนฉั่งก็ผ่อนคลายลงมาก กระทั่งรอยตีนกาบางๆ ที่หางตาก็ไม่มีแล้ว หันมองลูกสาว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลงไม่น้อย


 


 


“อีกเรื่องหนึ่ง วันนี้หลังประชุมท้องพระโรง ข้าได้รับแจ้งจากคนของสำนักพระราชวังว่า อีกสามวันถัดจากนี้ เป็นวันล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วง ขอเชิญข้า จิ่นจ้ง และชิ่นเอ๋อร์ตามเสด็จไปล้อมป่าฮู่หลงด้วยกัน โดยครั้งนี้จิ่นจ้งต้องอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเหล่าองค์ชาย ส่วนชิ่นเอ๋อร์ก็อยู่กับเหล่าสตรีชาววัง คอยเป็นเพื่อนและรับใช้สตรีผู้สูงศักดิ์ในกระโจม”


 


 


ชะงักเล็กน้อย ค่อยว่า “จิ่นจ้งยังนับว่าเคยฝึกขี่ม้ามาแต่เด็ก ตอนนี้ที่โรงเรียนก็สอนศิลปะการต่อสู้เบื้องต้นอีก ข้าจึงไม่ค่อยห่วง ชิ่นเอ๋อร์นี่สิ ไม่เคยสัมผัสกับการนั่งบนหลังม้าและยิงธนูมาก่อน ข้าเกรงว่าถึงตอนนั้นเจ้าจะตื่นเต้นจนประหม่า ไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดี จึงบอกให้ไคไหลเลือกลูกม้ามาสองตัว กะว่าจะใช้เวลาสองวันนี้ ฝึกให้พวกเจ้าสองพี่น้องขี่ม้าเป็นสักหน่อย เตรียมพร้อมเอาไว้”


 


 


ตอนอยู่ที่โรงเรียน อวิ๋นจิ่นจ้งได้ยินข่าวนี้มาบ้างแล้ว ตอนนี้พอบิดาพูดออกจากปากด้วยตัวเอง จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจด้วยการตบมือแล้วว่า “เยี่ยม!”


 


 


ถ้าบอกว่าเรื่องเมื่อครู่ทำให้บ้านสกุลอวิ๋นโกลาหล เรื่องนี้กลับทำให้ถงฮูหยินโล่งใจลง สีหน้าปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง ทีแรกคิดว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายอะไรจะเข้ามาแทรกอีก ที่ไหนได้ กลับเป็นเรื่องดีที่โชคดีอะไรเช่นนี้ ทั้งหลานชายและหลานสาวในบ้านตนจะได้ออกล่าสัตว์ร่วมกับองค์ฮ่องเต้ นี่มิใช่พรอันประเสริฐจากฟากฟ้าหรอกหรือ!


 


 


หนังตาอวิ๋นหว่านชิ่นกระตุก นี่เป็นขนมปังที่หล่นมาจากฟากฟ้าจริงๆ กำลังพูดอยู่แหม่บๆ ว่าทำอย่างไร


 


 


ถึงจะได้พบเจี่ยงยิ่น เมื่อสามารถไปล้อมป่าที่ฮู่หลงด้วยกัน ใยมิใช่มีโอกาสเยอะแยะมากมายหรือ


 


 


ทว่า…ก็อย่างที่บิดาบอก การตามเสด็จและปรนนิบัติรับใช้ของเหล่าลูกสาวขุนนาง ย่อมต้องสัมผัสกับลูกม้า ซึ่งผู้ที่ได้ไปส่วนใหญ่เป็นลูกสาวขุนนางฝ่ายบู๊ ทำไมถึงได้เลือกลูกสาวขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างตนล่ะ


 


 


การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงเป็นเทศกาลงานรื่นเริงของบุรุษ ซึ่งโอรสสวรรค์ทรงเป็นเจ้าภาพมาแต่ไหนแต่ไร และรัชสมัยนี้ รายชื่อผู้เข้าร่วมในทุกๆ ปี หนิงซีฮ่องเต้ต้องพิจารณาด้วยองค์เอง มิใช่งานเลี้ยงเล็กๆ ของเหล่าสตรีในวัง และมิใช่ว่าพระสนมเอกเฮ่อเหลียนพูดคำเดียวก็สามารถยัดชื่อตนเข้ามาได้แน่ๆ หรือแม้แต่เจี่ยไทเฮา ก็ไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวกับรายชื่อ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดเก็บความสงสัยนี้ไว้ เชิดหน้าขึ้น แล้วแสร้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจ ถามออกไปตรงๆ อย่างสุภาพ


 


 


“ท่านพ่อ เหตุใดปีนี้คนของสำนักพระราชวังถึงได้เลือกลูกให้ตามเสด็จไปด้วยเจ้าคะ ลูกได้ยินมาว่า การไปล้อมป่าฮู่หลงล่าสัตว์ในทุกๆ ปี ลูกสาวขุนนางที่ไปด้วย ถ้าไม่ใช่พระธิดาในราชวงศ์ ก็ต้องเป็นลูกสาวขุนนางฝ่ายบู๊ที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูนา”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งนิ่งไปสักพัก คล้ายค้างแข็งในพริบตา ก่อนตอบด้วยการจ้องตาอวิ๋นหว่านชิ่น คล้ายซ่อนความกระอักกระอ่วนใจที่พูดไม่ออกไว้ แต่ก็รีบดึงสติคืนกลับ ยืดหลังให้ตรง แล้วแสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจกับข้อสงสัยธรรมดาๆ ของลูกสาว โดยพูดอย่างรำคาญใจ


 


 


“ตอนนี้พ่อเป็นขุนนางชั้นสอง แม้ยังไม่ได้รับบรรดาศักดิ์ ก็ถือว่าเป็นขุนนางใหญ่ การที่มีชื่อเจ้าในรายชื่อ ก็เพราะฝ่าบาทและขุนนางในราชสำนักเห็นความสำคัญของพ่อ จึงได้ให้ลูกชายและลูกสาวตามพ่อไปเปิดหูเปิดตา ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”


 


 


เหลียนเหนียงหัวเราะตัวโยน “จริงด้วยเจ้าค่ะ ท่านพี่กำลังเนื้อหอม คนในบ้านสกุลอวิ๋นยิ่งมาก็ยิ่งเนื้อหอมตาม วันเวลาอันเรืองรองของสกุลอวิ๋นเรามีแนวโน้มว่าจะสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”


 


 


ถงฮูหยินตีมือหลานสาวเบาๆ “ขุนนางในราชสำนักเห็นความสำคัญของพ่อเจ้า ถึงได้เลือกลูกชายคนเดียวของบ้านสกุลอวิ๋นให้ไปด้วย ชิ่นเอ๋อร์เป็นพี่สาวมารดาเดียวกันกับจิ่นจ้ง จะเกาะรัศมีไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินคำพูดของมารดา ทั้งร่างก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เกรงว่าต้องเป็นลูกชายเกาะรัศมีของลูกสาวถึงจะถูก…แต่จะพูดออกไปก็ไม่ดี จึงชะงักเล็กน้อย ก่อนว่า


 


 


“เจ้าจะไปทั้งที ก็ต้องพาคนที่พึ่งได้และใช้งานได้ไปด้วย บ่าวที่สามารถช่วยเจ้าได้น่ะ”


 


 


ตอนนี้อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดบิดาถึงพูดว่า มีเรื่องของเมี่ยวเอ๋อร์ด้วย จึงรับคำ


 


 


“เจ้าค่ะ เช่นนั้นลูกพาเมี่ยวเอ๋อร์ไปก็แล้วกัน”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งพยักหน้าหงึกๆ เมี่ยวเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ตรงประตูก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน จึงก้าวเข้ามาแล้วโค้งตัวลง “บ่าวช่วยคุณหนูใหญ่ได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


พอกำชับทุกเรื่องแจ่มแจ้งแล้ว กลุ่มคนก็พากันเดินออกจากห้องรับแขก แยกย้ายกันกลับเรือนของตน


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งจงใจเดินช้าๆ ฉวยจังหวะขณะชานเรือนไม่มีคน กระทุ้งพี่สาวจากด้านข้างพลางยิ้ม


 


 


“พี่ เห็นไหมข้าไม่ได้หลอกพี่นา ก็บอกแล้วว่าเป็นเรื่องดี…”


 


 


พูดยังไม่ทันจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ดึงแขนเล็กๆ ของเขาไว้


 


 


“เจ้ารู้อยู่แต่แรกแล้วว่า เราสองคนอยู่ในรายชื่อผู้ตามเสด็จไปล่าสัตว์ เจ้าได้ยินมาจากไหน”


 


 


“ตอนเช้า หยางจิ่นพูดที่โรงเรียนน่ะ” อวิ๋นจิ่นจ้งยิ้มตาหยี


 


 


“พ่อของเขาก็คือราชครูหยางไง พี่น่าจะรู้จักนะ ได้ยินว่าพี่รองของเขาเคยส่งรถม้ามารับพี่หลังจากงานเลี้ยงในวังเลิก! เอาเป็นว่าหยางจิ่นพูดว่า หลายวันก่อนตอนอยู่ในบ้าน เขาได้ยินพ่อบอกว่า ในใบรายชื่อมีชื่อของเราสองคนอยู่ด้วย”


 


 


ราชครูหยางเป็นอาจารย์ของหนิงซีฮ่องเต้ และเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก การรู้รายชื่อผู้ตามเสด็จไปล่าสัตว์ก่อนใครก็ไม่น่าแปลกใจ เมื่อกำหนดรายชื่อไว้หลายวันแล้ว ก็แสดงว่าฝ่าบาททรงกำหนดให้ตนกับจิ่นจ้งไปด้วยองค์เอง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกกังขา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก


 


 


 


 


พระราชฐานชั้นใน ตำหนักหมิงชุ่ย


 


 


ในสวนดอกเหมย วันนี้อากาศกำลังดี พระสนมเอกเฮ่อเหลียนจึงอยู่นอกตำหนัก ตัดแต่งกิ่งเหมยด้วยองค์เองอย่างสบายอกสบายใจ โดยมีพวกหลานถิง คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง


 


 


จางเต๋อไห่ไปข้างนอกเพิ่งกลับ ก็ตรงมาที่สวนดอกเหมยทันที หลังจากก้าวเข้าทำความเคารพ ก็ก้าวเข้ากระซิบข้างหูนายตน


 


 


“ฉินอ๋องเข้าวังมาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


กรรไกรหยกในมือสนมเอกเฮ่อเหลียนนิ่งค้างกลางอากาศ พลางขมวดคิ้ว “มีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


จางเต๋อไห่ส่ายศีรษะ “เหมือนเพิ่งเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่ตำหนักหย่อนใจ”


 


 


ลูกคนนี้ ถ้าไม่ถูกเรียกตัว ไม่มีทางเข้าวังหรอก และถ้าเข้าวังมาเอง ก็เหมือนครั้งก่อน ที่ตนล้มป่วย


 


 


แต่ตอนนี้ตนไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ป่วย ไม่ได้ประสบเหตุเภทภัย แล้วเขาเข้าวังมาทำไม


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงใส่กรรไกรลงไปในตระกร้าหวาย แล้วว่า


 


 


“จางเต๋อไห่ เจ้าไปดูหน่อยสิว่า หมอนี่มาพูดอะไรกับฝ่าบาท”

 

 

 


ตอนที่ 100-1 สาบานหลอกๆ

 

ตำหนักหย่อนใจ


 


 


แสงแดดยามบ่ายส่องต้องกระเบื้องหลังคาสีเขียว สะท้อนประตูใหญ่สีแดงห่วงทองสัมฤทธิ์ ท่ามกลางแสงทองกะพริบ อบอวลไปด้วยบรรยากาศของการพักผ่อนหย่อนใจ


 


 


หลังการประชุมท้องพระโรง หนิงซีฮ่องเต้ก็เสด็จมาประทับอยู่บนเก้าอี้ไม้ประดู่ฝังมุกและหินโมราสลักลายมัจฉาเริงร่าในสระปทุม ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดผ้าแพรธรรมดา เปลี่ยนจากท่าทีสูงส่งสง่างามในท้องพระโรง มาเป็นท่าทีผ่อนคลายสบายๆ แต่ยังคงความสง่างามหรูหราอย่างไม่เป็นทางการอยู่


 


 


หนิงซีฮ่องเต้กำลังฟังคำพูดทุกถ้อยทุกคำจากฉินอ๋อง พลางกระดิกนิ้วขึ้นลงกับโต๊ะ ก่อนเลิกคิ้วงาม


 


 


“เจ้าสาม การที่เจ้าอยากออกจากบ้านนี่ นับเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว เพียงแต่การล้อมป่าล่าสัตว์ในครั้งนี้ ทั้งไปและกลับต้องใช้เวลาร่วมสิบกว่าวัน หรือครึ่งเดือนเห็นจะได้ อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ป่าก็อยู่ทางทิศเหนือ ร่างกายเจ้าจะรับไหวหรือ”


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงยืนอยู่ด้านล่าง สวมชุดยาวสีม่วงปักลายมังกรห้าเล็บและผ้าคาดเอวลายงูใหญ่ แสงจากช่องแสงบนหลังคาสาดผ่านแประแนงไม้ต้องร่าง เกิดรัศมีสีทองจางๆ รอบตัว เวลายืนหลังตรง รูปร่างจึงดูสูงใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าที่ปกติซีดขาว ดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง ริมฝีปากที่บางเป็นกระจับพูดอย่างเป็นกันเอง


 


 


“ทูลเสด็จพ่อ ที่ผ่านมาลูกสุขภาพแข็งแรงดี หมออิงที่จวนตรวจดูอาการให้แล้ว บอกว่าลูกเดินทางไกลได้ไม่มีปัญหา ไปครั้งนี้หมออิงก็ไปด้วย”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้รู้ว่าหมออิงก็คือหมอประจำจวนฉินอ๋อง ผู้รักษาอาการป่วยให้ฉินอ๋องโดยเฉพาะมานานหลายปี จึงวางใจลง ไม่พูดอะไรมากอีก เพียงตอบกลับอย่างเป็นกันเอง


 


 


“ก็ดีเหมือนกัน ลูกสาวของอวี้เหวินผิงก็ไปด้วย”


 


 


พอเหยาฝูโซ่วมองสีหน้าฝ่าบาทก็รู้ว่า ทรงเห็นจังหวะที่จะให้องค์ชายสามได้ใช้เวลาอยู่กับคุณหนูอวี้พอดี ซึ่งไม่แน่ว่า อาจทรงฉวยโอกาสฉลองเทศกาลล่าสัตว์ ด้วยการพระราชทานสมรสก็เป็นได้ ซึ่งก็ทรงยิ้มรับในทันที


 


 


“อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลล่าสัตว์แล้ว เจ้ารีบกลับไปจัดการเรื่องผู้ติดตามจะดีกว่า”


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงรับคำ พูดอีกเล็กน้อยก็ขอตัวกลับ พอออกจากประตูตำหนักหย่อนใจ เพิ่งก้าวลงเดินบนระเบียงทางเดิน ก็เห็นชายวัยกลางคนๆ หนึ่งกำลังเดินมา พร้อมคนในวังและผู้ติดตามล้อมรอบ


 


 


เขาอายุราวห้าสิบเศษ สวมชุดโบราณ ห้อยถุงผ้าทรงปลาทองไว้ที่เอว ใบหน้าอันเคร่งขรึมไม่มีรอยย่น เนื่องจากได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หนวดเคราก็ดกดำมันวาว มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีสถานะสูงส่ง ท่าทีที่เย่อหยิ่ง และดวงตาฉลาดเฉลียวมีความลุ่มลึกอยู่บ้าง ทำให้คนมองความรู้สึกนึกคิดไม่ออก


 


 


ซือเหยาอัน ผู้เข้าวังมาเป็นเพื่อนซย่าโหวซื่อถิงพูดเสียงต่ำ “ท่านสาม เป็นท่านสมุหนายก”


 


 


วันนี้อวี้เหวินผิงมาเข้าเฝ้าที่ตำหนักหย่อนใจ เพราะต้องการหารือกับฝ่าบาทเกี่ยวกับการเสด็จออกล่า


 


 


สัตว์ โดยคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับฉินอ๋องซื่อถิงที่เผอิญเดินออกมาจากทางเข้า จึงหยุดฝีเท้าลง แล้วค่อยๆ ยกมือ


 


 


ขึ้นส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามหยุดเดิน


 


 


แล้วตัวเขาเองก็ก้าวเข้ามาเพียงลำพัง ประสานมือ “คารวะฉินอ๋อง”


 


 


ปากแม้บอกคารวะ แต่มิได้โค้งตัว น้ำเสียงไม่อ่อนน้อม แต่ก็ไม่ยโส มีท่าทีแบบคนใหญ่คนโต


 


 


พอซือเหยาอันเห็นท่าทีหยิ่งผยองของอวี้เหวินผิง ก็ไม่แปลกใจ คนสกุลอวี้หยั่งรากลึกในต้าเซวียนมานาน ช่วงแรกที่สร้างชาติ บรรพบุรุษสกุลอวี้ซึ่งเป็นขุนนางได้ช่วยสกุลซย่าโหวกอบกู้บ้านเมือง สร้างผลงานไว้มากมาย จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องมิตรภาพของพวกเขากับบรรพบุรุษของฮ่องเต้ว่ามีความลึกซึ้งเพียงใด ลูกหลานในรุ่นหลังถึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์กันถ้วนหน้า และเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ พอมาถึงรุ่นของอวี้เหวินผิง ก็แทบจะมาถึงจุดสูงสุด เมื่อเทียบกับขุนนางสกุลอื่นๆ แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครโดดเด่นไปกว่าเขาอีก


 


 


สมุหนายกท่านนี้ ปกติแล้วเวลาเข้าเฝ้าหนิงซีฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว จะได้รับพระบรมราชานุญาติให้นั่ง และสำหรับตัวเขาเองนั้น นอกจากเกรงใจรัชทายาทอยู่บ้าง ก็ไม่เคยเห็นองค์ชายท่านอื่นๆ อยู่ในสายตามาแต่ไหนแต่ไร อย่าว่าแต่นายของตนที่ปกติแล้วจะอยู่อย่างเงียบๆ ไม่สนใจเรื่องในราชสำนักเลย อย่างตอนนี้ ที่สมุหนายกอวี้แค่ทักทายออกมาคำหนึ่ง ก็นับว่าพบเห็นได้ยากมาก นายของตนจึงเพียงตอบรับเบาๆ


 


 


อวี้เหวินผิงสำรวจมองฉินอ๋องอย่างเงียบๆ ตอนที่รู้ว่าฝ่าบาทมีเจตนาที่จะจับคู่โหรวจวงกับองค์ชายสามนั้น เขากับลูกสาวก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน แต่ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยเช่นนี้ เขาก็พูดอะไรไม่ได้ คิดไปคิดมา ก็ได้แต่ฝืนใจยอมรับองค์ชายเลือดผสมท่านนี้ แต่ตอนนี้เขากลับพบว่า ต่อให้เขายอมรับ ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่แน่ว่าจะยอมรับ ด้วยองค์ชายสามท่านนี้ ไม่เคยมาประจบประแจงพ่อตาในอนาคตอย่างเขา เช่นวันนี้ พอทั้งสองพบปะกัน ก็ไม่ได้พูดจาสนิทสนมอะไรกัน เหมือนพูดพอเป็นพิธีด้วยซ้ำ


 


 


ลูกสาวคนโตของบ้านแต่งให้กับลูกชายคนเดียวของราชบุตรเขยกับลูกสาวคนโตของหนิงซีฮ่องเต้ องค์หญิงอันเชิง ลูกสาวคนที่สองก็แต่งให้กับหลานชายของเจี่ยไทเฮา ซึ่งลูกเขยทั้งสองล้วนมีสถานะสูงส่ง และมีผู้หนุนหลังไม่ด้อยไปกว่าองค์ชายสาม แต่ทั้งสองก็ล้วนเข้ามาประจบประแจงตนอย่างไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาล้วนรู้ดีว่า การสนิทสนมกับสกุลอวี้ ประหนึ่งได้พึ่งพิงต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่าน


 


 


แต่พอมาถึงองค์ชายสาม กลับไม่เห็นตนอยู่ในสายตาแต่อย่างใด


 


 


พอซย่าโหวซื่อถิงเห็นสมุหนายกอวี้ยืนนิ่งไม่พูดจาอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็คล้ายเอะใจ กระพริบตาแล้วยิ้ม พลางว่า “สมุหนายกอวี้ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม ถ้าไม่มี ข้าก็ขอตัว”


 


 


อวี้เหวินผิงกระพริบตา รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง จึงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ก่อนหาเรื่องคุย


 


 


“ฉินอ๋องเพิ่งเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ”


 


 


“อืม” น้ำเสียงไม่เบาและไม่ดัง


 


 


บรรยากาศนิ่งค้างเล็กน้อย จนแทบจะได้ยินเสียงอากาศลอยผ่าน ท่าทางของคนถามคำตอบคำ ทำให้ผู้ที่ปกติรู้สึกว่าตนเองสูงศักดิ์อย่างอวี้เหวินผิงไม่อยากจะเชื่อสายตา จึงหรี่ตาลง แล้วว่า


 


 


“ไม่ค่อยได้เห็นฉินอ๋องเข้าวังมาเข้าเฝ้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


 


 


“เทศกาลล้อมป่าฮู่หลงล่าสัตว์ ท่านสามก็ไปด้วย” ซือเหยาอันเห็นสีหน้าอดรนทนไม่ไหวและเหนื่อย


 


 


หน่ายของท่านสาม จึงตอบแทนนาย


 


 


ดวงตาอวี้เหวินผิงทอประกายทันที ลูบเคราที่ดูแลรักษาได้อย่างเงางามและชุ่มชื้นไปมา พลางว่า


 


 


“อ้อ โหรวจวงลูกสาวข้าก็ได้รับแจ้งจากสำนักพระราชวังให้ตามเสด็จไปเหมือนกัน พอไปถึงก็น่าจะได้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮองเฮา”


 


 


ครั้งนี้เจี่ยงฮองเฮาก็ตามเสด็จหนิงซีฮ่องเต้ไปล้อมป่าฮู่หลงด้วย ส่วนราชกิจในเมืองหลวง ก็ให้รัชทายาทซื่อถิง อวี้เหวินผิงและขุนนางใหญ่อีกเจ็ดท่านกำกับดูแลชั่วคราว

 

 

 


ตอนที่ 100-2 สาบานหลอกๆ

 

 


 


ซือเหยาอันเหลือบมองท่าทีนาย อืม มีความรู้สึกอึดอัดเพิ่มขึ้นบนใบหน้าจริงๆ แต่อย่างไรเสีย สมุหนายกอวี้ก็ยังคงพึมพำต่อ


 


 


“…สองสามวันนี้นางก็คงฝึกขี่ม้าล่วงหน้าที่สนามม้าสวินหลานข้างวังเหมือนเช่นเคย ครั้งนี้ถ้าฉินอ๋องไปด้วย ถึงตอนนั้นก็ยังช่วยสอนลูกสาวข้าได้ ราชวงศ์ซย่าโหวชนะเลิศเรื่องบนหลังม้า องค์ชายหลายท่านเชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู แต่ละคนล้วนไม่เป็นสองรองใคร ฉินอ๋องก็ต้องทำได้ไม่เลวเช่นกัน…”


 


 


สนามม้าสวินหลานเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ห่างจากพระราชวังราวห้าลี้ ที่ๆ ผู้สูงศักดิ์ในต้าเซวียนชอบไปขี่ม้ายิงธนูกัน สนามม้าถูกสร้างและซ่อมแซมโดยราชสำนัก เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกสอนขี่ม้าให้กับเหล่าองค์ชายและคุณชายผู้สูงศักดิ์ ปกติแล้วจะมีขันทีผู้ดูแลคอกม้าในวัง มาคอยจัดการดูแลสนามม้าโดยเฉพาะ


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงยิ้มน้อยๆ น้ำในดวงตาอันลึกล้ำคล้ายแข็งจนกลายเป็นน้ำแข็ง ที่สามารถทำให้ผู้พบเห็นหนาวเหน็บเข้ากระดูก


 


 


“คุณหนูอวี้มิได้ตามเสด็จไปล่าสัตว์ครั้งแรก จึงไม่มีปัญหาด้านทักษะการขี่ม้าขั้นพื้นฐานแน่ ในสนามม้าสวินหลานก็มีขันทีและทหารรักษาการณ์คอยดูแลอยู่ ข้าไหนเลยจำเป็นต้องไปสอนนาง ในทางกลับกัน ข้าเองต่างหากที่อยู่แต่ในจวนมาหลายปี ไม่ค่อยได้ฝึกขี่ม้ายิงธนูอะไรทำนองนี้เลย”


 


 


ว่าแล้วก็ก้มหน้า คล้ายยิ้มแต่ไม่ตลก “ถึงตอนนั้น ถ้าทำให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของสมุหนายกอวี้ตกม้าล่ะก็ ข้าคงรับผิดชอบไม่ไหว”


 


 


อวี้เหวินผิงเลิกคิ้วขึ้น ตนเป็นคนชวนคุยก่อนแท้ๆ แต่เขาก็ยังเอาแต่พูดพอเป็นพิธีไม่หยุด ซ้ำยังผลักไสตนครั้งแล้วครั้งเล่า หรือเป็นเพราะเขารู้สึกว่าลูกสาวตนไม่คู่ควร


 


 


อวี้เหวินผิงอย่างไรก็เป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมและมีความยับยั้งชั่งใจ จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ จ้องมองฉินอ๋องพลางว่า “เฮ้อ…พอพูดถึงลูกสาว หลังกลับจากงานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนั้น ก็รู้สึกจะป่วย ไม่ค่อยสบาย บอกแค่ว่าร้อนใน แต่ก็เห็นนางกินข้าวไม่ลงทุกวัน”


 


 


ก็แหงล่ะ ถูกเจี่ยไทเฮาตำหนิต่อหน้าเหล่าผู้สูงศักดิ์ จนอับอายขายหน้าแบบนั้น จะไม่ให้ป่วยได้อย่างไรกัน แล้วเขามาพูดเช่นนี้กับท่านสามทำไม หรือหวังให้ท่านสามไปปลอบโยนนางที่บ้านสักตั้ง แต่ซือเหยาอันกลับได้ยินชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงเรียบ


 


 


“ถ้าป่วยก็ต้องมีหมอหลวงไปตรวจดูอาการ เพราะเสด็จพ่อรักและเคารพท่านสมุหนายกอวี้มาก จึงไม่มีปัญหาถ้าจะส่งหมอหลวงไปให้ ท่านเองก็ไม่ต้องร้อนใจ วันนี้เข้าวังมาพอดี ก็ทูลขอไปเสียทีเดียวเลย”


 


 


พูดเหมือนไม่ต้องเกรงใจ แต่แฝงนัยยะของการปฏิเสธคนให้ไปไกลๆ อย่างไม่แยแส


 


 


อวี้เหวินผิงไม่อยากพูดจาอ้อมค้อมตามเขาอีก จึงพูดขึ้นมาตรงๆ ให้ชัดเจนกันไปข้างหนึ่ง ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “เรื่องการสมรสของโหรวจวงกับฉินอ๋อง ฝ่าบาทน่าจะจัดการให้ในปลายปีนี้”


 


 


ความหมายก็คือ อวี้โหรวจวงกำลังจะเป็นชายาเอกที่เข้าพิธีสมรสตามประเพณีกับเจ้า และเขาอวี้เหวิ


 


 


นผิงก็คือพ่อตาในอนาคตของเจ้า ต่อให้เจ้าไม่สนใจใยดีเขาก็แล้วกันไป แต่จะพูดจากับเขาอย่างเย็นชาเช่นนี้ไม่ได้ จึงต้องขยิบตาเตือนกันหน่อย


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงมองอวี้เหวินผิงนิ่ง ยิ้มในดวงตา แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย พอเข้าใกล้อวี้เหวินผิง ใบหน้าหล่อเหลาก็มีแววหม่นหมอง พลางพูดเน้นทีละคำ


 


 


“เรื่องนี้มิใช่…ยังมิได้จัดการหรอกหรือ”


 


 


ใบหน้าของอวี้เหวินผิงพลันคล้ายกลืนแมลงวันเข้าไป พูดไม่ออกอีก


 


 


ซือเหยาอันส่ายศีรษะเงียบๆ พลางยิ้มขมขื่นในใจ แต่ไหนแต่ไรมาท่านสามเกลียดคนวางท่าใหญ่โตเป็นที่สุด เพราะท่านสามเองก็เป็นคนหยิ่งทะนงตน เมื่อท่านเบ่งใส่เขา ไม่เท่ากับเอาไข่มากระทบหิน ไม่เท่ากับท่านมี


 


 


แต่ตายกับตายหรอกหรือ!


 


 


และในตอนนี้เอง ขันทีผู้เฝ้าประตูตำหนักหย่อนใจก็เดินเข้ามา


 


 


“ฝ่าบาทเชิญสมุหนายกอวี้เข้าเฝ้า”


 


 


เมื่ออวี้เหวินผิงเห็นว่าเถลไถลไม่ได้อีก จึงว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


จากนั้นก็จ้องมองฉินอ๋องนิ่ง ความรู้สึกส่วนใหญ่คือไม่พอใจ ส่วนที่เหลือคือดูแคลน ก่อนสะบัดแขนเสื้อ เดินเข้าไป


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงหนังตากระตุก ขนตางอนยาวกระพริบปริบๆ เกิดเงาดำขึ้นที่ใต้ตา อ่านความคิดความรู้สึกไม่ออก ซือเหยาอันที่อยู่ข้างๆ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงต่ำ


 


 


“คนในบ้านอวี้เหวินผิงเป็นแบบนี้กันทั้งบ้าน ข้าว่า นอกจากฝ่าบาทแล้ว คนสกุลอวี้ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาหรอก”


 


 


บรรพบุรุษสกุลอวี้ประสานงานกับขุนพลตามหัวเมืองต่างๆ จนช่วยให้สกุลซย่าโหวยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของต้าเซวียนได้ ขุนนางสกุลอวี้ในตอนนั้นจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าขุนนางสกุลซย่าโหวเลย ถ้าพูดถึงความดีความชอบแล้ว ก็ต้องยกให้ทั้งสองสกุลๆ ละครึ่งด้วยซ้ำ พูดให้ถูกก็คือ ฮ่องเต้ต้าเซวียนในยุคบุกเบิก ถ้าไม่ใช่สกุลซย่าโหว ก็มีแต่สกุลอวี้เท่านั้นที่ต้องแบกรับหน้าที่นี้ไว้


 


 


ช่วงแรกของยุคบุกเบิก ยังมีเพลงกล่อมเด็กที่ชาวบ้านร้องต่อๆ กันมาว่า “อวี้ซย่าโหวค้ำจุนใต้หล้า” ความหมายก็คือ จากความดีความชอบของคนสกุลอวี้ สามารถปกครองใต้หล้าร่วมกับคนสกุลซย่าโหวได้


 


 


และเมื่อมีจุดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมากมาย คนสกุลอวี้จะชักสีหน้าใส่ลูกหลานของคนสกุลซย่าโหวในรุ่นต่อๆ มาจะนับเป็นอะไรได้


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงมองตามหลังอวี้เหวินผิงไปอย่างไม่ยี่หระ พอหันกลับมา กลับเห็นว่า ตรงกำแพงแดงใต้กระเบื้องหลังคาเขียวที่อยู่ไม่ไกล สนมเอกเฮ่อเหลียนกำลังยืนจ้องมองมาที่ตน โดยมีหลานถิงกับจางเต๋อไห่ขนาบข้างซ้ายและขวา ซึ่งหลานถิงกำลังถือร่มบังแดดในยามบ่ายให้อยู่


 


 


แสดงว่า สนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นสิ่งที่โอรสกระทำเมื่อครู่อย่างชัดเจน ดวงตาสวยๆ ที่อ่อนโยนและอ่อนน้อมมาตลอดจึงเย็นชาลง ตรงกันข้ามกับความสดใสที่แสงแดดอบอุ่นสว่างไสวมี เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและไม่พอใจ ควบด้วยคำตำหนิติเตียน ซึ่งก็คือ นางกำลังโทษโอรสว่า ไม่ควรทำเย็นชากับอวี้เหวินผิง ทำให้อวี้เหวินผิงเสียหน้า


 


 


“ท่านสาม สนมเอก…” ซือเหยาอันตกใจ จึงพูดเสียงต่ำออกมา


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงถูกเสด็จแม่จับได้คาหนังคาเขา จึงค่อยๆ เดินเข้าไปรับหน้า


 


 


“เอ่อ…เสด็จแม่ทำไมถึงเสด็จมาตำหนักหย่อนใจได้ล่ะ”


 


 


ซือเหยาอันทำปากเบี้ยวขณะเดินตามอยู่ด้านหลัง ท่านสามของตนคิดอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น ซึ่งก็เหมาะสมดีแล้ว หรือจะให้ทำลับๆ ล่อๆ แบบโจร


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ตอบ เพียงจ้องมองโอรสอย่างไม่ลดละ สักพักก็มีเสียง ‘ฟึ่บ’ สะบัดแขนเสื้อ หัน


 


 


กาย แล้วเดินไปข้างหน้า


 


 


จางเต๋อไห่จึงส่งสายตาบอกฉินอ๋องว่า นายหญิงกำลังโกรธ ให้ฉินอ๋องช่วยเหลือตัวเองและระมัดระวังคำพูดด้วย


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงจึงเดินตามขึ้นไป โดยเดินเงียบๆ อยู่ข้างกายสนมเอก

 

 

 


ตอนที่ 100-3 สาบานหลอกๆ

 

 


 


สองแม่ลูกเดินไปตามกำแพงแดงสูงตระหง่าน บนทางเดินแผ่นหินสีขาวสะอาดสะอ้านไร้ผู้คน พอเดินไปได้สักระยะ สนมเอกค่อยถอนหายใจออกมา เหลือบมองโอรส แล้วว่า


 


 


“ตอนข้ายืนอยู่นอกตำหนัก ยังคิดว่าทำไมเจ้าถึงได้อยากเข้าร่วมการล่าสัตว์ในครั้งนี้นักหนา แล้วพอมาเห็นท่าทีที่เจ้าพูดกับสมุหนายกอวี้เมื่อครู่ ไม่ต้องบอก ข้าก็เดาออก ทำไม ได้กลิ่นล่ะสิ ถึงได้วิ่งโร่ไปหาลูกสาวบ้านสกุลอวิ๋นนั่นน่ะ?”


 


 


ตอนฉินอ๋องเข้าทำงานที่สำนักพระราชวังใหม่ๆ สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้สึกไม่ไว้วางใจ จึงซื้อตัวข้าราชการในนั้นไว้คนหนึ่ง ให้ช่วยจับตาดูโอรสตน และแล้ว พอรายชื่อผู้ตามเสด็จออกล่าสัตว์ถูกส่งมาเมื่อสองวันก่อน ตนถึงได้รู้ว่ามีชื่ออวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ในนั้นด้วย


 


 


ซือเหยาอันชักอดรนทนไม่ไหวกับนิสัยหัวโบราณและคำพูดด่าว่าโอรสสุดที่รักอย่างไม่บันยะบันยังของสนมเอกเฮ่อเหลียน ที่จู่ๆ ก็เอาโอรสไปเปรียบกับสุนัข แต่พอมองดูท่านสาม ก็เห็นว่าจมูกค่อยๆ แดงขึ้นมาจริงๆ ด้วย แล้วท่านสามก็ขยับลูกกระเดือก


 


 


“ก็ลูกไม่ชอบอวี้เหวินผิงจริงๆ ไม่เกี่ยวกับใครสักหน่อย”      


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนหันมาค้อนโอรส


 


 


“ไม่ชอบ? ถึงไม่ชอบอย่างไร เขาก็เป็นพ่อตาในอนาคตของเจ้า หรือต่อให้ไม่ใช่ อย่างไรเขาก็เป็นสมุหนายกผู้มากบารมี ขนาดฝ่าบาทยังเห็นเขาเป็นคนสำคัญ แต่เจ้ากลับเย็นชาและพูดพอเป็นพิธีกับเขา ทำเช่นนี้มีประโยชน์รึ”


 


 


“เสด็จแม่ ลูกเป็นองค์ชาย ถึงเขามีตำแหน่งสูงแค่ไหน ก็เป็นแค่ทาสของราชวงศ์ซย่าโหว” ซย่าโหวซื่อถิงแก้ต่าง


 


 


แก้มหยกของสนมเอกเฮ่อเหลียนพลันตึง โกรธขึ้นมาทันที พลันหยุดฝีเท้า


 


 


“องค์ชาย? โอรสของฝ่าบาทมีมากจนเกินไป ล่วงเกินขุนนางใหญ่แล้วคุ้มค่าหรือ ซื่อถิง เราสองแม่ลูกไม่ง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เจ้าถูกคนวางยาจนบัดนี้ก็ยังรักษาไม่หาย ลืมแล้วหรือไร พ่อแม่ของยินหลัวเสียชีวิตอย่างคลุมเครือ เจ้าก็ลืมแล้วรึ ล้วนเป็นเพราะเราไม่มีที่พึ่ง สกุลอวี้มีอำนาจ ถ้าสามารถพึ่งพาสกุลอวี้ได้ เจ้าก็มีแต่ได้ ไม่มีเสีย! ซื่อถิงเอ๋ย เจ้าเป็นบุรษเพศ ใจอ่อนไม่ได้เป็นอันขาด อย่าปล่อยให้ผู้หญิงคนเดียวมาทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้า ข้ามิใช่คนไร้เหตุผล ถ้าเจ้าพบเจอคนที่ชอบ ทำไมข้าจะไม่ดีใจ แต่คนผู้นั้นต้องไม่ทำร้ายเจ้า…ถ้าเจ้าต้องทำลายอนาคตตัวเอง เพื่อคนที่เจ้าชอบแล้วล่ะก็ แม่ก็จะทำให้คนที่เจ้าชอบ…ไม่มีตัวตนทันที!”


 


 


ไม่มีตัวตน? ซือเหยาอันเสียวสันหลังวาบขึ้นมา ทรงนำชีวิตของคุณหนูอวิ๋นมาข่มขู่ท่านสามหรือ ที่ผ่านมาตนก็เห็นว่าทรงประทับใจในตัวคุณหนูอวิ๋นไม่น้อยนี่นา ถือว่าชอบพอเลยล่ะ แต่อย่างไรก็ทรงรักลูกตัวเองมากกว่า ถ้าเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และเส้นสายของลูกแล้วล่ะก็ ต่อให้ชอบพอมากขนาดไหน ก็พร้อมจะขจัดให้พ้นทาง


 


 


กระทั่งจางเต๋อไห่กับหลานถิงก็ยังตกใจ หันมาสบตากัน นี่ ทรงกำลังยื่นคำขาดกับฉินอ๋อง


 


 


“…ตำแหน่งชายาฉินอ๋อง ต้องเป็นคุณหนูสกุลอวี้! ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าสาบานกับข้า รับรองกับข้า!”


 


 


พอเห็นโอรสไม่พูดจา สนมเอกก็ร้อนใจ จึงฉวยโอกาสตีเหล็กเมื่อยังร้อน บีบกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง


 


 


ไม่บ่อยนักที่จะเห็นสนมเอกแสดงอารมณ์โกรธออกมา การสั่งสอนในครั้งนี้ เสียงแม้ไม่ดัง แต่คล้ายหยกตกกระทบจาน ส่งเสียงเกรียวกราวไม่หยุด ไม่ง่ายที่จะพูดแทรก ทำให้คนทั้งสามอย่างจางเต๋อไห่ หลานถิง และซือเหยาอัน ล้วนอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง ไม่กล้าหายใจ


 


 


ลูกห่างจากแม่แต่เด็ก สนมเอกไม่ค่อยได้มีโอกาสสั่งสอนโอรส เมื่อสบโอกาสที่ยากพานพบ จึงทรงเล่นใหญ่ บีบให้ท่านสามสาบาน และเนื่องจากท่านสามเป็นคนกตัญญู จะไม่ทำตามได้อย่างไรกัน แต่ท่านสามมีหญิงในดวงใจแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะยอมขออวี้โหรวจวงมาเป็นชายาเอกจริงๆ…ทั้งสองทางนี้ล้วนเลือกยากทั้งสิ้น จนซือเหยาอันถึงกับปาดเหงื่อ


 


 


แต่ซย่าโหวซื่อถิงกลับไม่คิดอะไรมาก เสียงตอบของเขาสะท้อนไปมาบนทางน้อยแคบยาวที่ปูด้วยแผ่นหินสีขาว “ต่อไปลูกจะเกรงใจสมุหนายกอวี้หน่อยก็แล้วกัน”


 


 


“สาบาน!” สนมเอกเฮ่อเหลียนไล่ไม่ยั้ง ไม่หยุดแม้ถูกลูกขัดจังหวะ และไม่รู้ว่านางหยั่งเชิงหรือเอาจริงที่รีบพูดจนสำลัก ไอออกมาสองคำ หลานถิงจึงกุลีกุจอเข้าลูบหลังให้นายหญิง


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงชูสองนิ้วขึ้น ข้างใบหน้าอันหล่อเหลา ยังคงทำในสิ่งที่ควรทำอย่างใจเย็น


 


 


“ลูกสาบานว่า จะเชื่อฟังเสด็จแม่ทุกอย่าง มิเช่นนั้นขอให้ถูกสายฟ้าฟาด ไม่ตายดี…”


 


 


น้ำเสียงทะเล้น ไม่เหมือนคนกำลังสาบาน เหมือนกำลังตอบว่าวันนี้ไปกินอะไรมามากกว่า


 


 


คำสาบานนี้…หลอกกันชัดๆ ซือเหยาอันกลืนน้ำลาย ขนลุกซู่


 


 


พอสนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นโอรสสาบานรุนแรงขนาดนี้ ก็สะดุ้งตกใจ ไม่รอให้เขาพูดจบ ก็รีบยื่นมือออกไปปิดปากเขาไว้ จับมือเขาลง แต่เมื่อสาบานรุนแรงเช่นนี้ ก็ย่อมตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนความคิด ไฉนนางยังไม่ไว้ใจเขาอีก


 


 


พอสนมเอกหายโกรธ สีหน้าก็คืนสู่ปกติ อารมณ์ดีขึ้นมาก


 


 


“หนอย! สายฟ้าฟาดอะไรของเจ้า! พูดยังกับเด็กๆ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าซื่อถิงน่ะกตัญญู พอเถอะๆ เจ้าพูดมาแบบนี้ แม่ก็วางใจแล้ว จะไม่ถามมากอีก เจ้าชอบใครก็ชอบไป แม่ไม่ใช่คนไร้เหตุผลแบบนั้น”


 


 


ขอเพียงไม่กระทบงานใหญ่ ที่เหลือก็แล้วแต่ความสุขของลูกชายก็แล้วกัน


 


 


พอซย่าโหวซื่อถิงได้รับคำชม ก็ไม่พูดมากอีกเช่นกัน


 


 


สองแม่ลูกเดินไปด้วยกันอีกสักระยะ ก็สุดทางเดิน จึงแยกย้ายกันไป


 


 


หลังจากใช้สายตาส่งสนมเอกเฮ่อเหลียนที่มีสีหน้าชื่นมื่นกลับตำหนัก ซือเหยาอันก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น


 


 


“ท่านสามพูดจริงหรือ ที่ว่าต่อไปจะญาติดีกับอวี้เหวินผิง จะยอมรับสมรสพระราชทานแต่โดยดี”


 


 


เสียงยิ้มเยาะพลันลอยเข้าหู


 


 


“ยอมก้มหัวให้อวี้เหวินผิงนี่สิ ถึงจะเรียกว่าใจอ่อน”


 


 


ซือเหยาอันอึ้ง “เช่นนั้น เมื่อครู่ท่านก็สาบานหลอกๆ กับสนมเอก…” อะไรต่อมิอะไรให้สายฟ้าฟาดตาย เสียงนี้ยังคงก้องไปมาอยู่ข้างหู!


 


 


ชายหนุ่มไพล่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง เหล่ตามองเขา แล้วพูดจาสบายๆ


 


 


“คนที่ชอบสบถสาบานมีมากอยู่ ต้องดูว่าสวรรค์จะมีสายฟ้ามากพอที่จะฟาดลงมาหรือไม่”


 


 


สาบาน? เขาไม่เคยเชื่อคำสาบาน ถ้าสาบานแล้วเห็นผลจริง จะมีศาลมีราชสำนักไว้ทำไมกัน! แค่ให้อาชญากรทุกคนกล่าวคำสาบานก็สิ้นเรื่อง!


 


 


แต่มันทำให้เสด็จแม่สบายใจ ขอเพียงเสด็จแม่ไม่ระบายอารมณ์โกรธใส่ผู้ที่อยู่นอกวังหรือฝ่าบาทเท่านี้ก็พอ ว่าแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ เดินไปยังประตูเจิ้งหยาง


 


 


ท่านสามนี่ โหดกับตัวเองจริงๆ


 


 


ซือเหยาอันคิด แต่พอได้สติ ก็รีบก้าวเดินตาม

 

 

 


ตอนที่ 100-4 สาบานหลอกๆ

 

หลังจากอวิ๋นเสวียนฉั่งเรียกประชุมรวมคนในครอบครัว วันรุ่งขึ้น สำนักพระราชวังก็ส่งสารมา บอกอวิ๋นเสวียนฉั่งถึงพระราชประสงค์ว่า ถ้าพี่น้องสกุลอวิ๋นมีเวลาว่าง ก็สามารถไปที่สนามม้าสวินหลานฝึกขี่ม้าแบบเดียวกันกับลูกท่านหลานเธอได้


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงปลื้มปิติยิ่ง รีบโขกศีรษะขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ


 


 


ขณะเดียวกัน อวิ๋นจิ่นจ้งก็สืบข่าวบางอย่างเกี่ยวกับการตามเสด็จไปล่าสัตว์จากปากเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกันมาได้ จึงรีบกลับมาบอกพี่สาวที่บ้าน


 


 


ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นรู้จากปากของน้องชายว่า จำนวนคนในขบวนรถม้าที่ตามเสด็จออกล่าสัตว์ในปีนี้ ใหญ่โตพอๆ กันกับปีก่อน


 


 


โดยผู้นำขบวนคือฝ่าบาท ตามด้วยขบวนของเจี่ยงฮองเฮาและมเหสีรองเหวย ถัดมาจึงเป็นขบวนของขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋น ฝ่ายละสามสิบกว่าคน จากนั้นก็เป็นขบวนขององค์ชายหกท่าน องค์หญิงสามท่าน และคนในเชื้อพระวงศ์ อาทิ จวิ้นอ๋อง ท่านหญิง เป็นต้น รวมกันอีกราวไม่ต่ำก่ว่ายี่สิบคน สุดท้ายค่อยเป็นลูกหลานขุนนาง อย่างตนกับจิ่นจ้ง คร่าวๆ ก็น่าจะราวห้าหกสิบคน


 


 


บวกกับคนในวังที่คอยรับใช้ขณะเดินทาง บ่าวและองครักษ์ ก็ยิ่งมากเข้าไปอีก


 


 


ตามตารางกิจกรรมเมื่อปีก่อน พอไปถึงป่าฮู่หลง ช่วงกลางวันก็จะทำการล่าสัตว์และรับประทานอาหารในป่าที่ล้อมรั้วไว้


 


 


พอตกกลางคืน ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็จะประทับอยู่ในตำหนักไคหยวน ที่อยู่ข้างๆ ป่า ส่วนจ้าวและขุนนางก็จะแยกย้ายกันพักอยู่ในกระโจมรอบๆ พระตำหนักลดหลั่นกันไปตามลำดับชั้นสูงต่ำ


 


 


ส่วนราชกิจในเมืองหลวง รัชทายาทซย่าโหวซื่อถิงเป็นผู้กำกับดูแลแทนชั่วคราว


 


 


บ่ายวันเดียวกัน พ่อบ้านม่อก็จัดเตรียมบ่าวและรถม้าไว้พร้อมสำหรับส่งคุณชายและคุณหนูไปยังสนามม้าสวินหลาน


 


 


สนามม้าสวินหลานมีพื้นที่ราวหนึ่งพันไร่ นับเป็นพื้นที่ๆ กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งหาได้ยากยิ่งในยุคที่ที่ดินเป็นเงินเป็นทองเช่นนี้ เมื่อกวาดตามองไป ก็เห็นสนามหญ้าเขียวขจีที่ได้รับการตัดแต่งเรียบร้อย คอกม้าถูกสร้างเรียงรายเป็นแถวยาวราวหนึ่งลี้เห็นจะได้ ภายในรั้วไม้มีม้าที่ถูกเลี้ยงและผสมพันธุ์ขึ้นเอง แต่ละตัวล้วนมีรูปร่างอ้วนพี แข็งแรง ขนเรียบเนียนเงางาม


 


 


พอลงจากรถม้า สายลมอ่อนๆ ก็โชยพัดใบหน้า อากาศสะอาดบริสุทธิ์ ได้ยินเสียงกุบๆ กับๆ ดังมาจากด้านใน เหมือนมีคนกำลังฝึกขี่ม้าอยู่ อวิ๋นหว่านชิ่นได้กลิ่นสดชื่นแบบทุ่งหญ้า ทั้งๆ กำลังยืนอยู่ในเขตเมืองที่มีคนอาศัยอย่างหนาแน่น คลับคล้ายอยู่ในชานเมืองอย่างไรอย่างนั้น


 


 


หน้าประตูสนามม้ามีชายอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดยืนอยู่ เขาสวมชุดเครื่องแบบสีเขียว สวมหมวกผ้า


 


 


แพร เป็นขันทีที่กองกิจการภายในสำนักพระราชวังจัดส่งมาดูแลสนามม้า พอเห็นสองพี่น้องสกุลอวิ๋น หรือบุตร


 


 


เจ้ากรมกลาโหมคนใหม่ ที่ต้องตามเสด็จไปล่าสัตว์ในอีกสองวันข้างหน้า ก็ก้าวเข้ามาต้อนรับ


 


 


“ข้าน้อย ซ่งลุ่ย หัวหน้าขันทีดูแลคอกม้าในวัง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการดูแลสนามม้าสวินหลานพ่อบ้านของนายท่านได้แจ้งให้ข้าน้อยทราบล่วงหน้าแล้ว เชิญคุณชายอวิ๋นและคุณหนูอวิ๋นตามข้าน้อยเข้าไปด้านใน อีกสักครู่จะมีบ่าวคอยดูแล จูงม้ามาให้นายน้อยทั้งสองฝึกขี่”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม “รบกวนใต้เท้าซ่งแล้ว”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งก็พูดและแสดงกิริยามารยาทตามพี่สาว “รบกวนใต้เท้าซ่งแล้ว”


 


 


ซ่งลุ่ยเห็นสองพี่น้องสกุลอวิ๋นมีท่าทีเกรงใจตน ก็ประทับใจยิ่ง ขณะจะยื่นมือออกไปนำทาง ก็เห็นคุณหนูอวิ๋นแอบสอดอะไรแข็งๆ ลื่นๆ เย็นๆ เข้ามาในแขนเสื้อตน


 


 


“ลำบากใต้เท้าซ่งแล้ว”


 


 


ซ่งลุ่ยสัมผัสปุ๊บ ก็รู้ว่าเป็นหนึ่งตำลึงทองโดยไม่ต้องดู จึงยิ้มหน้าบาน


 


 


“ไม่ลำบากๆ คุณหนูอวิ๋น คุณชายอวิ๋น เชิญทางนี้ ตามข้อน้อยไปเลือกม้าที่คอกม้าก่อน”


 


 


พี่น้องสกุลอวิ๋นดูไปแล้วอายุก็ไม่มาก มาสนามม้าเป็นครั้งแรกด้วย คิดไม่ถึงว่าจะรู้กาลเทศะเช่นนี้!


 


 


เนื่องจากได้รับค่าน้ำร้อนน้ำชาจากอวิ๋นหว่านชิ่น ซ่งลุ่ยจึงดูแลเอาใจใส่สองพี่น้องเป็นพิเศษ พอมาถึงคอกม้า ก็ถามอย่างละเอียดว่า ทั้งสองเคยขี่ม้ามาก่อนไหม


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางว่า


 


 


“น้องข้าเคยฝึกมาบ้าง การขี่ม้าขั้นพื้นฐานจึงไม่มีปัญหา ส่วนข้านั้นโง่งม ตอนเป็นเด็กถูกท่านลุงอุ้มขี่ลูกม้าเพียงสองรอบเท่านั้น อย่างมากก็แค่คุมบังเ**ยนได้”


 


 


ซ่งลุ่ยฟังแล้วก็เดินเข้าไปด้วยตัวเอง เลือกม้าเจริญวัยที่ตอนแล้วมาให้สองตัว ตัวหนึ่งสีขาว อีกตัวหนึ่งสีแดงเข้ม ทั้งสองตัวขนเรียบ กีบเท้ากลม ขาแข็งแรง บั้นท้ายสมบูรณ์ คนไม่รู้เรื่องม้าก็ยังดูออกว่าเป็นม้าดี ม้าที่ตอนแล้วโดยทั่วไปจะมีนิสัยอ่อนโยน ไม่พยศ ไม่ทำร้ายคน ต่อให้ขี่เป็นครั้งแรกก็เชื่อง


 


 


พอเลือกม้าเสร็จ ซ่งลุ่ยก็ประสานมือพลางยิ้ม


 


 


“นายน้อยทั้งสองตามบ่าวรับใช้ไปฝึกขี่ม้าที่สนามหญ้าด้านนั้นก่อน ถ้ากระหายน้ำและเหนื่อย หรือมีเรื่องอะไร ก็เรียกหาข้าน้อยได้ทุกเมื่อ”


 


 


แล้วบ่าวรับใช้ประจำสนามม้าก็จูงม้าทั้งสองตัวลงไปในสนามหญ้า


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งเดินตามอยู่ด้านหลังพลางพึมพำเบาๆ “พี่ ข้าได้ยินพวกหยางจิ่นว่า เจ้าหน้าที่ในสนามม้าแต่ละคนหัวสูงกันทั้งนั้น คิดไม่ถึงว่าหยางจิ่นจะโป้ปด อย่างซ่งลุ่ย ข้าก็เห็นว่าเขามีอัธยาศัยดีเอามากๆ ยังเลือกม้าให้เราด้วยตัวเองอีก”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองน้องชาย “ก็แค่เงินถึงน่ะ”


 


 


ผู้ดูแลสนามม้า จะว่าตำแหน่งใหญ่ก็ไม่เชิง แต่ถ้าเขาคิดกลั่นแกล้ง แอบเลือกม้าพยศหรือม้าที่เชื่องช้าให้ตนกับน้องแล้วล่ะก็ ถึงตนกับน้องจะร้องแรกแหกกระเชอก็ไร้ประโยชน์


 


 


พอทั้งสองเดินมาถึงข้างสนามหญ้า บ่าวประจำสนามม้าก็ปล่อยเชือกลง แล้วถอยไปยืนด้านข้าง


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าได้ไม่เลว เขาสวมกางเกงและเสื้อแขนสอบ ดูรัดกุมมาก พอดึงบังเ**ยน เหยียบโกลน ก็กระชับพอดีกับอาน จึงขยับข้อมือ บังคับม้าให้เดินวนอยู่กับที่สองรอบก่อน ให้รู้สึกว่าก้าวย่างได้มั่นคงแล้ว ค่อยกวักมือเรียกอย่างอารมณ์ดี


 


 


“พี่ ยังไม่ขึ้นม้าอีก!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้ามายืนข้างๆ ม้าสีขาวราวหิมะ ใช้มือลูบขนที่หลังของมันเบาๆ ต้องผูกมิตรกับมันก่อน ขณะจับบังเ**ยนให้แน่น เตรียมจะขึ้นม้า ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อตนในระยะห่างออกไปไม่ไกล

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม