ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 99-128

ตอนที่ 99

 

เหตุผลคือผมเป็นสามีของคุณ

เมื่อออกจากห้องวีไอพีแล้ว อวี๋กานกานพูดขึ้นมาทันที “ตอนนี้นายปล่อยฉันได้แล้ว”


 


 


แต่ฟังจือหันกลับไม่ปล่อยมือยังคงโอบเอวเธออย่างแน่นหนา จนกระทั่งเดินไปถึงหน้ารถยนต์ถึงจะยอมปล่อย


 


 


อวี๋กานกานเข้าไปนั่งในรถ พูดพลางพร้อมรัดเข็มขัดนิรภัย “หลังจากนี้นายอย่าทำแบบนี้อีก”


 


 


คนสองคนแนบชิดติดกันแบบนั้น ชวนให้เธอรู้สึกค่อนข้างอึดอัด


 


 


ฟังจือหันเบือนหน้ามาทางเธอ นัยน์ตาลึกซึ้งมองเธอโดยไม่กะพริบตา ราวกับว่าต้องการมองไปยังส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจของเธออย่างไงอย่างงั้น


 


 


อวี๋กานกานเมื่อถูกฟังจือหันมองแบบนี้ เธอรู้สึกกระอักกระอ่วน กะพริบตาปริบๆ มองสำรวจตัวเองรอบหนึ่ง ก่อนจะถาม “มองอะไร”


 


 


ฟังจือหันกล่าวเสียงเรียบออกมาประโยคหนึ่ง “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”


 


 


เกิดเส้นขีดสีดำพาดทั่วบริเวณศีรษะของอวี๋กานกาน “ฉันหมายถึงท่าทางสนิทสนมแนบชิดที่นายทำ ที่จริงมันไม่จำเป็นสำหรับพวกเราด้วยซ้ำ ต่อให้แสดงละครว่าเป็นคู่รักกัน แค่ทำตัวตามปกติก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ ทำแบบนี้ยิ่งดูเหมือนตั้งใจเกินไป คนอื่นมองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าเป็นการแสดง”


 


 


นัยน์ตาของฟังจือหันราวกับธารน้ำ มุมปากยิ้มเหยียด จ้องมองอวี๋กานกานด้วยความน่าสนใจ พูดเสียงเบา “คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”


 


 


อวี๋กานกานตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในสิ่งที่ฟังจือหันพูด จู่ๆ เธอก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรออกมาดี เมื่อครู่ตอนที่เธอมั่นใจแล้วว่าหยางเทียนโย่วเป็นคู่หมั้นกำมะลอ ทันใดนั้นก็พลันให้เธอนึกถึงสามีอย่างฟังจือหัน หากเธอไม่ได้ความจำเสื่อม ไม่มีคู่หมั้น นั้นย่อมหมายถึงไม่ได้มีสามีด้วยเช่นกัน


 


 


เพื่อคลินิกครอบครัวลุงใหญ่จึงหลอกเธอว่าเธอมีคู่หมั้น แล้วฟังจือหันละ? เขาอ้างว่าตัวเองเป็นสามีของเธอเพื่ออะไร


 


 


เธอไม่ได้จะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลอย่างที่ฟังจือหันพูด เพียงแค่ตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะต้องคุยกับฟังจือหันอย่างจริงจัง ผลคือเธอยังไม่ทันได้พูดอะไร เขากลับชิงพูดขึ้นมาก่อน ใช้วิธีพลิกเบี้ยล่างให้กลายมาเป็นเบี้ยบน[1] สังหารเธอในพริบตาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว


 


 


อากาศในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาวมักจะแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ท้องนภาปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มหนาแน่น เสียงฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น เพียงเดี๋ยวเดียวฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาราวกับน้ำรั่ว


 


 


สายฝนตกระทบลงบนหลังคารถ เกิดเสียงดังเปาะแปะ อวี๋กานกานฟังเสียงฝน เท้าคางครุ่นคิดอย่างเงียบเฉียบ ส่วนฟังจือหันมีสมาธิอยู่กับการขับรถ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร


 


 


หลังจากที่เงียบสงัดอยู่นาน อวี๋กานกานหันหน้าไปมองฟังจือหัน ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีค่อนข้างอึมครึม ฟังจือหันใจจดใจจ่ออยู่กับการขับรถสายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า มองไม่ออกว่าเขามีสีหน้าอย่างไร


 


 


อวี๋กานกานครุ่นคิด กล่าวเสียงเบา “ฉันไม่รู้ว่าทำไมคุณปู่ถึงเขียนพินัยกรรมฉบับนั้น คำตอบนอกจากคุณปู่แล้วคงมีแต่อาจารย์ฉันเท่านั้นที่รู้ ลุงใหญ่ฉวยโอกาสที่อาจารย์หายตัวไปอย่างกะทันหัน คิดจะใช้สถานภาพที่ฉันจดทะเบียนสมรสแล้วยึดเอาคลินิกไป จากนั้นค่อยขายคลินิกทิ้ง เรื่องในวันนี้ฉันรู้ว่านายเป็นช่วยฉัน ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่รู้เรื่องทั้งหมดได้เร็วแบบนี้ ฉะนั้นฉันต้องขอบคุณนาย”


 


 


ฟังจือหันเบือนหน้ามามองอวี๋กานกานแวบหนึ่ง มุมปากหยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ยากจะตีความ นิ้วมือที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถ เคาะเบาๆ สองครั้ง


 


 


อวี๋กานกานกล่าวต่อ ไม่ถามหยั่งเชิงอ้อมค้อมพูดเข้าประเด็นทันที “แต่ด้วยเหตุนี้ก็สามารถยืนยันได้ว่าฉันไม่ได้ความจำเสื่อม ในเมื่อฉันไม่ได้ความจำเสื่อม งั้นเรื่องคู่หมั้นก็ต้องเป็นเรื่องโกหก เรื่องสามีก็เช่นกัน ในเมื่อทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น ฉันก็อยากถามนาย นายมีเหตุอะไรที่ต้องทำแบบนี้”


 


 


ด้านหน้าเป็นไฟแดง ฟังจือหันจอดรถเข้าเบรกเรียบร้อย เขาเอนร่างพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย จากนั้นเอียงศีรษะสบตากับอวี๋กานกาน น้ำเสียงหนักแน่น ทุกคำทุกประโยคพูดออกมาอย่างแน่วแน่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เหตุผลคือผมเป็นสามีของคุณ”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] พลิกเบี้ยล่างให้กลายมาเป็นเบี้ยบน หมายถึง เปลี่ยนจากสถานการณ์ที่เสียเปรียบเป็นได้เปรียบ 

 

 

 


ตอนที่ 100

 

ผมเป็นสามีของคุณจริงๆ

ใบหน้าจิ้มลิ้มของอวี๋กานกานแฝงความบึ้งตึง น้ำเสียงหนักแน่น กล่าวอย่างไม่พอใจ “นายอย่าเอาคำพูดพวกนี้มาล้อฉันเล่นอีก” แต่ภายในใจกลับเกิดความลังเลสายหนึ่ง เป็นเพราะฟังจือหันมั่นใจเกินไป มั่นใจจนทำให้เธอลังเลในข้อวินิจฉัยของตนเอง


 


 


“คุณขอบคุณผมเพราะคุณรู้ว่างานเลี้ยงในวันนี้ที่มันยอดเยี่ยมได้แบบนี้นั้นเป็นเพราะผม ผมไม่กลัวว่าคุณจะรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่กลัวว่าคุณจะรู้ว่าเรื่องความจำเสื่อมเป็นเรื่องโกหก เรื่องคู่หมั้นเป็นเรื่องหลอกลวง แล้วมีเหรอที่ผมจะคิดไม่ถึงว่าคุณจะคิดเชื่อมโยงไปว่าสามีเองก็เป็นเรื่องหลอกลวงเช่นกัน แต่ผมก็ยังคงทำแบบนั้น เพราะอะไร เพราะผมเป็นสามีของคุณจริงๆ”


 


 


ฟังจือหันพูดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ราวกับเสียงลำธารเล็กๆ ที่กำลังไหลริน แต่คำพูดนี้กลับเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง ปานประหนึ่งกำลังควบม้าพันธุ์ดีพลางตะโกนอย่างบ้าคลั่งบนทุ่งหญ้าอันไร้ขอบเขต


 


 


อวี๋กานกานจับต้นชนปลายไม่ถูก ฟังจือหันสามารถเรียกเถียนรุ่ยซานและหยางเทียนโย่วให้มางานเลี้ยงได้อย่างพร้อมเพรียงกัน เขาต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ของทั้งสามคนนั้นจนชัดเจนมาก่อนแล้วอย่างแน่นอน ในเมื่อเขาสามารถสืบหาประวัติของสามคนนั้นได้ ฉะนั้นเธอเองย่อมต้องถูกเขาสืบประวัติทุกซอกทุกมุมไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว


 


 


หากเป็นอย่างที่ฟังจือหันพูดจริง เพียงเพราะเขาเป็นสามีของเธอ? พูดตามตรงเธอเชื่อไม่ลง ต่อให้ใครพูดเธอก็เชื่อไม่ลง


 


 


ฟังจือหันเป็นพวกเจ้าแผนการ แผนสูงสุดๆ โหดเ**้ยมอำมหิต ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ยังโชคดีที่เขาไม่ได้ใช้มันกับเธอ แต่ก็ไม่แน่ ตอนนี้เขาคือตำแหน่งคิงในกระดานหมาก ต่อให้ใช้แผนการไปแล้วจริงๆ ก็ยังแนบเนียนไร้ร่องรอยอยู่ดี


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเรียบ “แต่วันนี้นายก็ได้ยินแล้ว คลินิกจะถูกยึดไปอีกครั้งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าฉันจดทะเบียนสมรสแล้วหรือยัง ดังนั้นนายบอกกับฉันตอนนี้ได้เลยว่าจริงหรือเปล่าที่ฉันจดทะเบียนสมรสแล้ว”


 


 


ฟังจือหันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าหลงใหล ตอบอย่างเนิบนาบ “ผมเป็นสามีของคุณ มีผมอยู่ หากคุณไม่ยอมคลินิกไม่มีทางตกไปเป็นของคนอื่นอย่างแน่นอน”


 


 


น้ำเสียงของเขายืดยาวเนิบนาบ แต่กลับเต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าเกรงขาม


 


 


คำตอบกำกวมสองแง่สองง่ามนี้ อวี๋กานกานคาดเดาความหมายไม่ออก ต้องการหลบเลี่ยงคำถามของเธอหรือต้องการจะบอกเธอว่า ต่อให้เธอจดทะเบียนสมรสแล้วคลินิกก็ยังคงเป็นของเธออยู่วันยังค่ำ


 


 


เมื่อครู่เธอไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องคลินิกก่อน แต่ควรถามเขาไปตรงๆ ว่าตกลงพวกเขาทั้งสองคนได้แต่งงานกันจริงและได้จดทะเบียนสมรสกันจริงหรือเปล่า หรือเธอควรจะพาเขาไปสำนักงานทะเบียนด้วยกันสักครั้ง


 


 


หากเธอไม่ได้ความจำเสื่อม ถ้างั้นระหว่างพวกเขาก็เป็นเพียงคนแปลกหน้า เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้กระจ่างอีกที


 


 


รถจอดอยู่บริเวณสวนหย่อม อวี๋กานกานเพิ่งจะเปิดประตูรถก็ต้องปิดกลับเป็นดังเดิม ด้านนอกฝนยังตกหนัก บริเวณที่รถจอดอยู่มีระยะห่างจากคอนโดประมาณหนึ่ง


 


 


อวี๋กานกานยกกระเป๋าขึ้นบังศีรษะของตัวเอง เตรียมตัวจะพุ่งออกไปโต้งๆ ทันใดนั้นก็เห็นฟังจือหันกางร่ม ลงจากรถยนต์ ผู้ชายที่หน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์มาโดยตลอดยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน หรี่ตาอย่างไม่สบอารมณ์ “จะรีบขนาดนั้นทำไม ไม่เห็นว่าฝนตกหรือไง”


 


 


เขาออกแรงเปิดประตูรถ ก้าวเท้ามาตรงด้านข้างเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นดึงเธอให้มาอยู่ใต้ร่มของตัวเอง


 


 


“นายพกร่มมาด้วยเหรอ” ทั้งสองแนบชิดติดกัน อวี๋กานกานอยากจะก้าวถอยหลังสักสองก้าว แต่เมื่อก้าวถอยหลังก็จะถูกน้ำฝน


 


 


“ยืนดีๆ” ฟังจือหันดันดึงเธอกลับมาอีกครั้ง มือหนึ่งจับร่ม อีกมือหนึ่งโอบไหล่ของเธอ ปกป้องเธอไว้ในอ้อมกอดของตัวเองไม่ให้โดนฝน


 


 


ร่างกายของอวี๋กานกานค่อนข้างเกร็ง หลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองฟังจือหัน ชายหนุ่มโอบกอดเธอไว้อย่างแน่นหนา ร่างกายร้อนผ่าวจนน่าตกใจ


 


 


เธอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วอีกแล้ว ทั้งสับสนและสะเปะสะปะ ตื่นเต้นและกระวนกระวาย การเต้นและจังหวะแบบนี้ ในชีวิตของเธอเหมือนกับว่าจะเป็นแค่เพียงตอนที่อยู่กับฟังจือหันเท่านั้น


 


 


ตอนอื่นๆ ไม่ว่าจะตอนไหนต่อให้เธอประหม่าหรือกระวนกระวายมากกว่านี้ ล้วนไม่มีความรู้สึกเหมือนอย่างในตอนนี้

 

 

 


ตอนที่ 101

 

จำไว้ว่าเราจะได้เจอกันอีก

ท่ากลางลมฝนที่ตกกระหน่ำลงมา ทั้งสองเดินอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกัน


 


 


ในทีแรกอวี๋กานกานมักจะเขยิบออกด้านข้างอยู่เสมอ ร่มที่อยู่ในมือฟังจือหันก็เอียงตามมาด้วย ต่อให้เธอเขยิบแล้วเขยิบอีกก็ยังคงไม่โดนฝน แต่หัวไหล่ของฟังจือหันเปียกโชกไปแล้วครึ่งหนึ่ง


 


 


อวี๋กานกานเขยิบเข้าไปหาฟังจือหัน ยื่นมือออกไปประคองร่ม “เสื้อคุณเปียกหมดแล้ว”


 


 


ฟังจือหันเม้มริมฝีปากเล็กน้อย หลุบสายตาลงต่ำมองเธอโดยไม่กะพริบตา แววตาดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ก็ดูเหมือนมีความอบอุ่นอ่อนโยนแฝงเอาไว้


 


 


อวี๋กานกานถูกมองจนรู้สึกอึดอัด เธอรู้สึกว่าฉากอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันแบบนี้ ปกติแล้วมันก็มีแต่คู่รักโรแมนติกเท่านั้นที่ถึงจะมีกัน เธอหน้าแดงอย่าห้ามไม่ได้ เบือนศีรษะหนีอย่างแนบเนียน


 


 


สายลมเย็นเยียบพัดผ่าน ปัดเป่าบรรยากาศโรแมนติกทั้งหมด อวี๋กานกานจามทันที “ฮัดเช้ย!”


 


 


ฟังจือหันหรี่สายตาลงเล็กน้อย ยื่นมือออกไปโอบอวี๋กานกานให้มาอยู่ในเสื้อโค้ตของตนเองอย่างดื้อๆ “ไม่รู้ตัวหรือไงว่าตัวเองเพิ่งออกจากโรงพยาบาล”


 


 


จากนั้นเพิ่มความเร็วของฝีเท้า…


 


 


ร่างกายของทั้งสองถูกโอบกอดติดไว้ด้วยกันอย่างแนบชิด ไม่หลงเหลือช่องว่างใดๆ ถูกกั้นไว้เพียงเสื้อเชิ้ตบางโปร่ง อวี๋กานกานพิงอยู่ตรงหน้าอกของฟังจือหัน สามารถได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเขาได้อย่างชัดเจน เสียงหัวใจดังทีแล้วทีเล่า เหมือนกับจังหวะการเต้นของหัวใจเธอ ค่อนข้างเร็วและสะเปะสะปะ


 


 


อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับอยู่ในห้องอบซาวน่า ไม่ว่าคุณจะพยายามบังคับตัวเองให้สงบเยือกเย็นอย่างไร อุณหภูมิก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


 


อวี๋กานกานแอบเหลือบสายตาขึ้นมองฟังจือหันครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลา เครื่องหน้างดงาม โครงหน้าคมชัดประหนึ่งรูปปั้นแกะสลัก ภายใต้สายฝนและสายลมยิ่งเสริมให้เขาดูซีดเซียวเย็นชาไร้อุณหภูมิ


 


 


ทั้งคู่แนบชิดตัดกันมากจริงๆ ราวกับเหมือนเป็นคู่รักที่กอดกันกลมอย่างไงอย่างงั้น หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ สับสนอลหม่านอย่างหยุดไม่ได้ เลือดในตัวพลุกพล่านตามอำเภอใจอย่างสะเปะสะปะ บางครั้งก็เหมือนเลือดทั้งหมดทะยานขึ้นสู่สมอง ทำให้สมองของเธอแทบจะตื้อไปหมดอยู่แล้ว


 


 


อวี๋กานกานไม่หยุดที่จะบอกกับตัวเองว่าอย่าตื่นเต้นลนลาน แต่ร่างกายก็ยังคงแข็งเกร็ง


 


 


 ริมฝีปากเย็นๆ ของฟังจือหัน จู่ๆ ก็มาหยุดอยู่ตรงใบหูของเธอ กลั้วหัวเราะ “คุณจะเกร็งอะไรขนาดนั้น ผมไม่กินคุณหรอก”


 


 


ลมหายใจร้อนแผดเผา หัวใจเต้นเหมือนตีกลอง ยิ่งควบคุมไม่ได้ไปกันใหญ่


 


 


เมื่อถึงใต้คอนโดมิเนียม อวี๋กานกานทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอรีบผลักฟังจือหันออก กล่าวอย่างปากแข็งไม่ยอมรับความจริง “ใครเกร็ง ฉันแค่กลัวโดนฝนเดี๋ยวจะเปียกก็แค่นั้น” จากนั้นเธอกล่าวอีกหนึ่งประโยค “ขอบคุณสำหรับร่มของนาย…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบดี ครั้งนี้ร่างกายของเธอแข็งทื่อไปแล้วจริงๆ


 


 


ชายหนุ่มมองลงมาจากจุดที่อยู่สูงกว่า ค่อยๆ ขยับร่มที่อยู่ในมือออกไปทางด้านข้าง นิ้วมือเรียวยาวดีดลงบนหน้าผากของเธอเบาๆ ไม่เจ็บ เหมือนกับแค่แมลงปอบินระน้ำ[1]


 


 


อวี๋กานกานดวงตาเบิกโต มองฟังจือหันด้วยสีหน้างุนงง “นายทำอะไร”


 


 


ฟังจือหันยังคงเย็นชาเหมือนเก่า กลัวฟ้ากลัวฝนเสียที่ไหน เขาทำเหมือนกับลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน เอ่ยเสียงเรียบ “อากาศเย็นแล้ว เข้าไปด้านในเถอะ”


 


 


ฟังจือหันให้เธอเดินเข้าไป เขาไม่เดินเข้าไปกับเธอด้วย? หรือว่ามีเรื่องต้องออกไปจัดการ? อวี๋กานกานครุ่นคิด มองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ฉันไม่ใช่พวกเห็นแก่ได้แบบพ่อค้าคนกลาง ฉันไม่ได้จะไล่นายไปทันทีตั้งแต่ตอนนี้…”


 


 


เขาพูดเหรอว่าจะไป? การที่เธอรั้งเขาให้ยอมอยู่ด้วยชั่วคราวนั้นต่างหากที่เป็นการไล่เขา ฟังจือหันกล่าวประโยคที่เหมือนกับแฝงความนัยไว้ออกมา “จำไว้ว่าเราจะได้เจอกันอีก”


 


 


อวี๋กานกานกัดริมฝีปากล่าง ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างเป็นทรงกลม เหมือนกับแมวเหมียวไม่มีผิด สบตาเขาอย่างเจ้าเล่ห์และหวาดระแวง


 


 


ฟังจือหันสบตากับเธออย่างเงียบเฉียบอยู่หลายวินาที ทันใดนั้นริมฝีปากที่เม้มติดกันมาโดยตลอดก็หยักโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่เหมือนมีแต่ก็ไม่มี ภายในดวงตาล้ำลึกเต็มไปด้วยความขบขัน


 


 


 


 


——


 


 


[1] แมลงปอบินระน้ำ อุปมาถึงการกระทำ พฤติกรรมที่ไม่จริงจัง เหมือนกับแมลงปอที่บินเล่นอยู่บนผิวน้ำ

 

 

 


ตอนที่ 102

 

ฟังจือหัน กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ

อวี๋กานกานมองแผ่นหลังที่จากออกไปของฟังจือหัน ขยับริมฝีปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา


 


 


ฟังจือหันมองความคิดที่อยู่ในใจของอวี๋กานกานออกหมดแล้ว เขารู้ว่าต่อจากนี้เธอจะทำอะไร ดังนั้นจึงตัดสินใจล่วงหน้าไว้อยู่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้เธอพูดจนชัดเจน เธอไม่ได้อยากจะไล่เขาไปเดี๋ยวนี้ตอนนี้ อย่างไรเสียเขาก็ช่วยเธอไว้ แม้จะโกหกว่าเป็นสามี แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายเธอ


 


 


หากตอนนี้เขายังไม่มีที่ไหนให้ไป หรือติดปัญหาอะไร เขาสามารถพูดออกมาได้ ช่วยได้ก็จะช่วย ถือว่าเป็นการขอบคุณ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายถึง เธอจะยินยอมให้เขาอยู่ที่บ้านของเธอไปตลอด ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนล้วนไม่ควรปล่อยให้คนแปลกหน้าอาศัยอยู่ในบ้านเป็นระยะเวลานาน นี่เป็นความปลอดภัยของจิตใต้สำนึกขั้นพื้นฐาน


 


 


อวี๋กานกานกลับถึงห้อง กระเป๋าเดินทางของฟังจือหันยังคงอยู่ในห้องของเธอ แบบนี้นับว่าเขาจากไปตลอดกาลหรือเปล่า เราจะได้เจอกันอีก? หมายถึงสักวันหนึ่งจู่ๆ เขาก็จะปรากฏตัวอีกครั้ง? ยังไงซะเขาก็รู้จักรหัสประตูห้องของเธอ


 


 


หรือว่าจะเปลี่ยนรหัสอีกครั้งดี?


 


 


ช่างเถอะ อย่างไรเสียของของฟังจือหันก็ยังอยู่ในห้องเธอ ถ้าเกิดเขากลับมาเอาของ ผลปรากฏว่ารหัสประตูถูกฟังจือหันเจาะได้อีกครั้ง นั้นจะยิ่งแสดงให้เห็นว่าเธอทำเรื่องให้ยุ่งยากโดยเสียเวลาเปล่า


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าผ่านไปอีกสักสองวัน กระทั่งพรุ่งนี้ก็เป็นไปได้ ฟังจือหันจะต้องปรากฏตัวต่อหน้าเธอแน่ อย่างไรเสียเขาก็เป็นพวกเจ้าแผนการอยู่แล้ว


 


 


แต่ทว่าผ่านไปแล้ววัน ฟังจือหันกลับไม่ปรากฏตัวออกมาเลย ในห้องก็ไม่มีร่องรอยว่าเขาแวะกลับมา หากไม่ใช่เพราะกระเป๋าเดินทางของเขายังอยู่ในห้องของเธอ คงทำให้เธอสงสัยว่าเคยมีผู้ชายชื่อฟังจือหันปรากฏตัวอยู่ในชีวิตของเธอจริงๆ หรือเปล่า


 


 


หลินจยาอวี่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ของอวี๋กานกานค่อนข้างเซื่องซึม หลายวันมานี้ผ่านการฝังเข็ม มุมปากของหลินจยาอวี่คืนฟื้นสู่สภาพปกติกว่าครึ่งแล้ว ต่อให้ไม่สวมหน้ากาก ขอแค่หลินจยาอวี่ไม่พูดก็จะมองดูเหมือนคนปกติทั่วไป เพียงแต่ว่ามุมปากยังค่อนข้างแข็ง


 


 


ในมุมมองของหลินจยาอวี่ เธอหายกลับมาได้ถึงขนาดนี้นับว่าโชคดีมากแล้ว


 


 


“บางครั้งผู้ชายก็ต้องการให้ง้อ ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาดีต่อคุณ คุณก็โทรศัพท์หาเขาสักหน่อยเถอะ” หลินจยาอวี่พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อวี๋กานกานมองเธอด้วยความสับสนงุนงง ไม่ค่อยเข้าใจว่าประโยคนี้เธอหมายถึงอะไร


 


 


อวี๋กานกานจ้องหน้าหลินจยาอวี่ ทันใดนั้นก็เข้าใจหลินจยาอวี่ทันทีว่าทำไมเธอถึงได้กังวลว่าคนอื่นจะเห็นปากอัมพาตของเธอ นั้นเป็นเพราะว่าเธอสวยมากจริงๆ


 


 


หญิงงามย่อมเอาใจใส่ในรูปลักษณ์ของตนเอง


 


 


อวี๋กานกานถามอย่างไม่เข้าใจ “ที่เธอพูดหมายถึงอะไร”


 


 


หลินจยาอวี่เอ่ยเสียงเย็น “ไม่เห็นสามีคุณมาหลายวันแล้ว พวกคุณไม่ได้ทะเลาะกันหรอกเหรอ”


 


 


เดิมทีริมฝีปากบางเฉียบของอวี๋กานกานปิดสนิทเป็นเส้นตรง พลันโค้งขึ้นปรากฏเป็นรอยยิ้ม ที่แท้หลินจยาอวี่ก็นึกว่าเธอกับฟังจือหันทะเลาะกัน ดังนั้นจึงให้เธอโทรศัพท์ไปหาฟังจือหันสักสาย


 


 


อวี๋กานกานส่ายหน้า “เปล่า เธอคิดมากไปแล้ว”


 


 


 โทรศัพท์หาฟังจือหันสักสาย? จะโทรอย่างไร เธอไม่มีแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของฟังจือหันด้วยซ้ำ หากจะโทรก็น่าจะเป็นเขาที่โทรมา


 


 


ในขณะที่คิดอยู่ จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น อวี๋กานกานตะลึงไปเล็กน้อย มีความรู้สึกแปลกประหลาดสายหนึ่งแล่นผ่านอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ชั่วขณะหนึ่งเธอนึกว่าอาจจะเป็นที่ฟังจือหันที่โทรเข้ามาจริงๆ


 


 


ทว่าไม่ใช่ฟังจือหันเป็นสายเข้าจากทนายเฉิน ทนายเฉินเป็นอดีตทนายของคุณปู่ เขาเป็นผู้อ่านพินัยกรรมหลังจากที่คุณปู่เสียชีวิต


 


 


เธอรับโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะ ทนายเฉิน”


 


 


ทนายเฉินที่อยู่อีกฝั่งของสาย พูดอย่างค่อนข้างจำใจ “คุณอวี๋ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าบ่ายนี้คุณพอมีเวลาไหมครับ ทางนี้มีเรื่องต้องรบกวนให้คุณมาจัดการหน่อยน่ะครับ”


 


 


อวี๋กานกานพลันนึกถึงเรื่องที่ลุงใหญ่พูดในวันนั้น พินัยกรรมของคุณปู่ถูกเปิดอ่านไปตั้งแต่ตอนคุณปู่เสียแล้ว ที่ยังไม่ถูกเปิดอ่านน่าจะเป็นพินัยกรรมฉบับเสริม[1]


 


 


 


 


——


 


 


[1] พินัยกรรมฉบับเสริม คือ พินัยกรรมที่เขียนขึ้นภายหลังพินัยกรรมฉบับเดิม เพื่อเพิ่มเติม แก้ไข เนื้อหาหรือเงื่อนไขบางส่วนให้ครบถ้วนสมบูรณ์เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียนมากยิ่งขึ้น 

 

 

 


ตอนที่ 103

 

ตัดสินใจ คำตอบของอวี๋กานกาน

การที่ทนายเฉินเรียกเธอไปตอนนี้ หรือว่าพินัยกรรมฉบับเสริมที่คุณปู่เขียนจะระบุไว้จริงๆ ว่าหลังจากที่เธอแต่งงานแล้วจะสูญเสียสิทธิ์ในการสืบทอดคลินิก?


 


 


เธอไม่เชื่อว่าคุณปู่ทำพินัยกรรมฉบับเสริมนี้ขึ้นเพียงเพราะในอนาคตเธอต้องแต่งงาน ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลแน่นอน เพราะในโลกใบนี้ เธอสามารถไม่ไว้ใจใครก็ได้ แต่ต้องไว้ใจคุณปู่ คนคนนี้เป็นผู้อบรมเลี้ยงดูเธอจนเติบใหญ่ เป็นคนที่รักและเอ็นดูเธอมากที่สุด


 


 


ส่วนเรื่องที่ทำไมลุงใหญ่ถึงพูดแบบนั้นออกมา คงต้องไปหาทนายเฉินแล้วถามถึงเนื้อหาในพินัยกรรมให้ชัดเจนเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่


 


 


อวี๋กานกานนั่งแท็กซี่ไปยังสำนักงานทนายความ


 


 


ณ ห้องรับแขก ลุงใหญ่และเหอหว่านซินนั่งรออยู่ด้านในได้พักหนึ่งแล้ว ยังมีน้องชายของเหอหว่านซินเหอจิงม่อนั่งอยู่ด้วย


 


 


เมื่อเหอจิงม่อเห็นอวี๋กานกานเดินเข้ามา เด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสในทันตา “พี่กานกาน”


 


 


กลับกันกับเหอหว่านซินเมื่อเห็นอวี๋กานกานเดินเข้ามา พูดกับทนายเฉินอย่างรีบร้อนรำคาญใจ “ทนายเฉิน ทุกคนมากันครบแล้ว ตอนนี้เปิดพินัยกรรมฉบับเสริมได้แล้วหรือยังคะ”


 


 


ลุงใหญ่นั่งอยู่บนโซฟามาโดยตลอด สีหน้าเคร่งเครียดไม่พูดจาสักคำ


 


 


อวี๋กานกานยิ้มให้เหอจิงม่อ จากนั้นนั่งลงตรงอีกฝั่งหนึ่ง


 


 


แม้ว่าลุงใหญ่ ป้าสะใภ้และเหอหว่านซินจะค่อนข้างเชื่อถือไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับน้องชายอย่างเหอจิงม่อถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี


 


 


เหอจิงม่อเรียนอยู่ในโรงเรียนนานาชาติชั้นยอด ซึ่งใช้นโยบายแบบโรงเรียนประจำ หนึ่งเดือนได้รับสิทธิ์เพียงหนึ่งครั้งให้กลับมาพักผ่อนที่บ้านได้


 


 


ทนายเฉินลุกขึ้น มองพวกเขาแล้วส่ายศีรษะ “คุณหนูเหอ ไม่สามารถทำได้ครับ คุณปู่เหอเคยสั่งเสียไว้ว่า พินัยกรรมฉบับเสริมต้องเปิดในตอนที่คุณเหอสือกุย คุณหนูอวี๋กานกาน และคุณเหอจิงม่อสามคนอยู่พร้อมหน้ากันเท่านั้น”


 


 


เหอหว่านซินกล่าวอย่างไม่พอใจ “แต่คุณเหอสือกุย หรือก็คืออาเล็กของหนูเขาหายตัวไปค่ะ?”


 


 


ทนายเฉินหันมามองอวี๋กานกาน เธอพยักหน้าเล็กน้อย เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมลุงใหญ่ถึงได้รอหลายวันกว่าจะติดต่อทนายเฉิน ทั้งยังพาน้องชายมาด้วย ที่แท้พินัยกรรมฉบับเสริมมีเงื่อนไขว่าตอนเปิดพินัยกรรมต้องให้เหอจิงม่ออยู่ด้วยนี่เอง


 


 


ทนายเฉินหัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย กล่าว “หากคุณเหอสือกุยหายสาบสูญ พินัยกรรมฉบับเสริมนี้ขอเพียงแค่คุณเหอจิงม่อและคุณหนูอวี๋กานกานทั้งสองคนยินยอมก็จักสามารถเปิดผนึกได้”


 


 


ลุงใหญ่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ใช่ว่าตรงกับเงื่อนไขที่พินัยกรรมระบุไว้ก็สามารถเปิดอ่านได้เลยเหรอ” ที่เขารู้คือ แค่อวี๋กานกานจดทะเบียนสมรสก็จะสามารถเปิดพินัยกรรมฉบับเสริมได้ ซึ่งตอนนี้อวี๋กานกานก็จดเบียนสมรสแล้ว


 


 


ทนายเฉินส่ายหน้า “ไม่ใช่ครับ หากคุณเหอสือกุยหายสาบสูญไปสองปีโดยที่ไม่มีข่าวคราวใดๆ หรือถูกตัดสินว่าเสียชีวิตแล้ว เช่นนั้นก็จะสามารถเปิดพินัยกรรมได้ทันที”


 


 


สองปี? สองปีหลังจากนี้ใครจะรู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง พวกเขาไม่มีใครยอมทนรอถึงสองปีแน่ เหอหว่านซินหันขวับไปมองอวี๋กานกาน ออกคำสั่ง “แกรีบๆ ยินยอมให้ทนายเฉินเปิดพินัยกรรมฉบับเสริมซะ”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มแล้วกล่าว “ในใจของฉันคลินิกเป็นของอาจารย์มาโดยตลอด หากอาจารย์กลับมาแล้ว ฉันยอมให้เปิดพินัยกรรมฉบับเสริมนี้แน่ ถึงตอนนั้นในพินัยกรรมคุณปู่ระบุว่าอย่างไรฉันก็จะปฏิบัติตาม แต่ตอนนี้ฉันจะไม่ยอมให้เปิดพินัยกรรมฉบับนี้เด็ดขาด”


 


 


เหอหว่านซินด่าประณาม “แกก็แค่อยากจะยึดคลินิกตระกูลเหอของพวกเรา มือถือสากปากถือศีล”


 


 


เหอจิงม่อขมวดคิ้ว มองเหอหว่านซินกล่าว “พี่ครับ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”


 


 


เหอหว่านซินยกมือปรามเหอจิงม่ออย่างขัดใจ “เด็กอย่างแกจะไปเข้าใจอะไร อย่าโดนมันหลอก”


 


 


อวี๋กานกานมองพวกเขาแล้วกล่าว “ก็แล้วแต่พวกคุณจะคิด จะพูดอะไรก็เชิญตามสบาย หากจะเปิดพินัยกรรมฉบับเสริม ทางเดียวคืออาจารย์ฉันต้องอยู่ที่นี่ด้วยเท่านั้น”

 

 

 


ตอนที่ 104

 

ไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้น

แววตาที่ลุงใหญ่มองอวี๋กานกานฉายประกายความดุดันและแหลมคม “มองออกไม่จริงๆ กลอุบายของหนูร้ายกาจเสียยิ่งกว่าอาจารย์ของหนูอีก”


 


 


“ลุงใหญ่คะ ลุงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของอาจารย์หนู เป็นบุตรชายในไส้ของคุณปู่ หนูเคารพลุงค่ะ” หลังจากที่กล่าวประโยคนี้จบ อวี๋กานกานลุกขึ้นและเดินจากไปทันที


 


 


ภายในห้องโถงของสำนักงานทนายความ เสียงแหลมปรี๊ดของเหอหว่านซินดังสนั่น “อวี๋กานกาน หยุดเดี๋ยวนี้!”


 


 


อวี๋กานกานหันกลับไปเห็นเหอหว่านซินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ


 


 


“อวี๋กานกาน ตระกูลเหอของพวกเรามีบุญคุณต่อแก่มากมายล้นฟ้า แต่แกกลับกินบนเรือนขี้บนหลังคา พลิกลิ้นไม่รู้จักบุญคุณ ระวังแกจะไม่ได้ตายดี ตายไปแล้วตกนรกขุมที่สิบแปด” เหอหว่านซินด่ากราดด้วยความโมโห โทสะระเบิดพุ่งทะยานขึ้นฟ้า


 


 


อวี๋กานกานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ระหว่างนี้ที่อาจารย์ฉันยังไม่กลับมา ฉันไม่อยากจะเสวนาอะไรกับพวกคุณอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตามทุกเรื่องที่ฉันทำ ฉันได้ถามใจตัวเองแล้วว่าฉันไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องละอายใจแก่ตนเอง แค่อาจารย์ฉันเข้าใจก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับพวกคุณให้มากความ”


 


 


เหอหว่านซินกระทืบเท้าเร่าๆ ด่ากราดด้วยความโกรธ “อวี๋กานกาน ให้มันน้อยๆ หน่อยแกอย่ามาทำท่าทางสะอิดสะเอียนเหมือนไม่อยากหาผลประโยชน์อะไรจากตระกูลเหอของฉัน แต่ความจริงกลับยึดเอาคลินิกของตระกูลเหอตามใจชอบ แกมันนังเนรคุณ เลี้ยงไม่เชื่อง ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะ…” ด้านข้างมีรูปปั้นหยกแกะสลัก มือขวาของเหอหว่านซินหยิบรูปปั้นยกขึ้นสูง จะขว้างไปทางอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานไม่ขยับเขยื้อน เพียงแค่เตือนเหอหว่านซินด้วยเสียงเย็นเยียบ “พี่คะ ครั้งที่แล้วตอนที่ฉันมากับอาจารย์ ฉันเห็นว่ารูปปั้นแกะสลักนี้สวยดีจึงถามอาจารย์ อาจารย์บอกว่ารูปปั้นแกะสลักนี้เป็นงานฝีมือของศิลปินอวี่จิ่งหลง มีมูลค่าหลายแสนหยวนหรือมากกว่านั้น”


 


 


ไม่กี่วันก่อนลุงใหญ่จ่ายค่าอาหารเสียไปหลายแสนหยวน แม้เธอจะรู้ว่าลุงใหญ่ทำธุรกิจพอมีเงินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดใช้เงินเป็นใบไม้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีความคิดที่จะหุบคลินิก


 


 


เมื่อได้ยินราคา เหอหว่านซินไม่กล้าลงมือขว้าง สีหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวเขียว นั้นเรียกว่าขมขื่น


 


 


อวี๋กานกานยิ้มและหมุนตัวเดินออกไป เหอหว่านซินยังคงถือหยกแกะสลักไว้อย่างมั่นคง เธอขบกรามกรอด “อวี๋กานกาน แกมันร้ายจริงๆ ! รอฉันก่อนเถอะ!”


 


 


อวี๋กานกานนึกว่าปฏิเสธการเปิดพินัยกรรมฉบับเสริมไปแล้ว เรื่องก็คงจบแต่เพียงเท่านี้ คาดไม่ถึงเลยว่านี่ไม่ใช่จุดจบ แต่ทั้งหมดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น


 


 


ค่ำวันนี้อวี๋กานกานออกจากคลินิกกลับคอนโด วันนี้คนไข้เยอะเป็นพิเศษยุ่งจนอยู่ถึงดึกดื่น เธอเดินเลี้ยวเข้าซอยเพื่อเดินกลับทางลัด ในซอยคดเคี้ยวแต่ไม่แคบ เพียงแต่ค่อนข้างมืด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นทางที่ใช้กลับบ้านเป็นประจำซึ่งเดินจนคุ้นชินแล้ว เธอจึงไม่กลัว เดินไปเรื่อยๆ ตามทางกลับคอนโด


 


 


ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าด้านหลังเหมือนมีคนท่าทางลับๆ ล่อๆ เดินตามมา ความรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้อัดแน่นอยู่ในหัวใจ สีหน้าตึงเครียด เธอหยุดฝีเท้าหันไปตะโกน “ใครน่ะ”


 


 


ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นมีผู้ชายสองคนเดินออกมาจากทางด้านหลัง พวกมันทั้งคู่สวมหน้ากาก


 


 


อวี๋กานกานหน้าถอดสี ถอยหลังสองก้าวตามสัญชาตญาณ จากนั้นหมุนตัวอย่างรวดเร็วแล้วออกวิ่งทันที เนื่องจากรีบเกินไปทำให้เธอข้อเท้าพลิก ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมา แต่ไม่มีเวลามาให้สนใจแล้ว เธอวิ่งตรงไปด้านหน้าต่อ แต่วิ่งยังไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากทางด้านหน้า พวกเขาสวมหน้ากากเหมือนกับพวกผู้ชายด้านหลัง มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน


 


 


อวี๋กานกานพยายามข่มความกลัวในใจ คลี่ยิ้มที่ดูสุขุมเยือกเย็น “ขอโทษนะคะพวกพี่ๆ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ถ้าคุยกันได้ พวกเราลองมาคุยกันดีๆ ก่อนไหม”


ตอนที่ 105 ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้ว


 


 


ในบรรดาชายฉกรรจ์สวมหน้ากากทั้งสี่คน มีคนหนึ่งถือมืดสั้น น่าจะเป็นลูกพี่ของสามคนนี้ เขามองอวี๋กานกานแล้วพูด “ถ้าคุณหนูอวี๋ยอมให้ความร่วมมือ พวกเราย่อมไม่ทำให้คุณหนูอวี๋ต้องลำบาก” เขาผายมือเชิญชวน “เชิญครับ คุณหนูอวี๋”


 


 


“ไปไหนเหรอคะ แล้วไปทำอะไร พวกพี่ชายน่าจะแย้มๆ บอกฉันสักหน่อย?” นึกไม่ถึงว่าจะรู้ชื่อแซ่ของเธอ งั้นใครกันที่เป็นคนจ้างพวกนี้มา


 


 


“แค่คุณหนูอวี๋ยอมไปกับพวกเราโดยดี พอถึงแล้วเดี๋ยวก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเอง” ชายคนนั้นพูดพลางควงมีดสั้นเล่น


 


 


ภายในความมืดมีดสั้นส่องแสงประกายวูบวาบเย็นเยียบไปถึงกระดูก มือทั้งสองของอวี๋กานกานกำหมัดแน่น แม้ว่าภายนอกจะยังดูปกติ แต่หัวใจกลับเต้นโครมคราม ก้นบึ้งของหัวใจปรากฏความกลัวที่ไม่สามารถควบคุมไว้ได้


 


 


เธอจะไม่ไปกับพวกมันและจะไปกับพวกมันไม่ได้โดยเด็ดขาด “พี่ชายทุกท่าน วิธีหาเงินมีหลากหลายวิธี มีวิธีหนึ่งเรียกว่าเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อหาเงินกับอีกวิธีคือนอนอยู่เฉยๆ ก็ได้เงิน ไม่ว่าพวกเขาจะให้เงินพวกพี่ชายเท่าไร ฉันยินดีจ่ายสองเท่าให้พี่ชายทุกคน ฉันเชื่อว่าเรื่องดีๆ อย่างนอนอยู่เฉยๆ ก็ได้เงิน ขนมปังหล่นจากฟ้า[1]แท้ๆ พวกพี่ชายน่าจะไม่ปฏิเสธ”


 


 


แต่ละพยางค์แต่ละประโยคอวี๋กานกานกล่าวอย่างช้าๆ ต้องการที่จะถ่วงเวลาเพื่อหาทางหนีทีไล่


 


 


ผู้ชายที่ถือมีดสั้นปรายตามองอวี๋กานกานด้วยสายตาเย็นเยือก “คุณหนูอวี๋เนี่ยคารมคมคายดีจริงๆ อีกนิดเดียวพวกเราเกือบจะเปลี่ยนใจแล้ว แต่พวกเราเป็นพวกรักษาสัจจะ” เขาพูดพร้อมกับโบกมือสั้นเชิงสั่งให้ลงมือ “เลิกคุยไร้สาระได้แล้ว เอาตัวเธอไป”


 


 


ผู้ชายหนึ่งในนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่ง อวี๋กานกานแทบจะไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าในผ้าเช็ดหน้านั้นต้องโปะสารจำพวกอีเทอร์ที่ออกฤทธิ์ทำให้หมดสติ


 


 


อวี๋กานกานตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก จู่ๆ สมองของเธอก็ปรากฏภาพใบหน้าเย็นชาของคนคนหนึ่ง เขาดึงตัวเธอมาปกป้องไว้ในอ้อมอก ราวกับกำลังจะแสดงให้เห็นว่าเขาจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเธอได้


 


 


แต่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน


 


 


“ฟังจือหัน…” อวี๋กานกานเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจู่ๆ ตัวเองได้ตะโกนออกมา


 


 


ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ชะงักไปครู่หนึ่ง อวี๋กานกานเห็นโอกาสจึงรีบหนี ปรากฏว่าเพียงเอี้ยวตัวก็ล้มลงไปหมอบกับพื้นทันที


 


 


ทันใดนั้นเอง แสงไฟแยงตาสว่างวาบขึ้น ซอยที่มืดมิดพลันสว่างไสวขึ้นทันที ทุกคนล้วนหรี่ตาลงตามปฏิกิริยาโต้ตอบของร่างกาย เมื่อปรับสายตาได้แล้ว เห็นเพียงแค่รถจี๊ปสีดำคันหนึ่ง เบรกดังเอี๊ยดหยุดอยู่ตรงด้านข้างของพวกเขา


 


 


ประตูรถเปิดออก มีผู้ชายสองคนลงมาจากรถ เพราะว่ายืนอยู่ในจุดกำเนิดแสง ทำให้มองหน้าหน้าตาของพวกเขาได้ไม่ชัดเจน รู้เพียงแค่สวมสูท รูปร่างสูงใหญ่กำยำ


 


 


ในตอนที่ชายฉกรรจ์สวมหน้ากากทั้งสี่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว หนึ่งในชายหนุ่มที่ลงจากรถพุ่งเข้าไปถีบชายสวมหน้ากากที่ถือมืดสั้นทันที


 


 


ชายสวมหน้ากากถูกเตะลอยไปนอนบนถังขยะที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะกลิ้งตกลงมาบนพื้น เลือดไหลออกมาจากมุมปากและหน้าผาก มีดสั้นหล่นอยู่บนพื้น


 


 


ชายหนุ่มอีกคนที่ลงมาจากรถจี๊ปพูดแซว “คุณชายฟัง นายลงไม้ลงมือแรงเกินไปหรือเปล่า อย่าทำให้สาวน้อยแสนสวยตกใจสิ”


 


 


ชายคนนั้นไม่ได้ให้ความสนใจในสิ่งที่เขาพูด ทำเพียงเตะมีดสั้นให้ตกลงไปยังคูน้ำข้างๆ จากนั้นเดินไปหาอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานมองชายหนุ่มที่เดินมาทางเธอ ใบหน้าหล่อเหลายังคงเย็นชาไร้อุณหภูมิไม่เปลี่ยน นัยน์ตาราวกับว่ามีน้ำค้างแข็ง เต็มไปด้วยความอันตราย


 


 


ฟังจือหัน


 


 


จู่ๆ เขาก็โผล่มาจริงๆ ด้วย อวี๋กานกานรู้สึกค่อนข้างเหลือเชื่อ หัวใจเต้นผิดไปหลายจังหวะอย่างแปลกประหลาด มองเขาโดยไม่ละสายตา


 


 


ฟังจือหันก้าวยาวๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ในตอนที่สติของเธอยังไม่กลับคืนมา เขากอดเธอเอาไว้ในอ้อมอก ทั้งยังยื่นมือมาปิดตาเธอ “ผมอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”  


 


 


 


 


——


 


 


[1] ขนมปังหล่นจากฟ้า หมายถึง ลาภลอย 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 106 ผมกำลังต่อสู้ พวกคุณกลับสวีทหวาน


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


เธอเป็นเแค่หญิงสาวธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง จู่ๆ ก็ถูกชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่หลายคนล้อมจะให้ไม่กลัวได้อย่างไร ถึงแม้สีหน้าจะดูปกติสักแค่ไหน แต่ก็มีความกลัวอยู่ในใจ


 


 


เพียงแต่ว่าทำไมถึงต้องปิดตาเธอด้วย


 


 


มีน้ำเสียงทะเล้นดังขึ้นจากทางด้านหู “สวัสดีสาวน้อยแสนสวย ผมชื่อลู่เสวี่ยเฉิน” ตามด้วยเสียงเตะต่อย อวี๋กานกานสงสัยใคร่รู้ อยากจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พอเธอเอื้อมมือขึ้นมาก็ถูกฟังจือหันดันกลับลงไป “อย่ามอง”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


ที่จริงเธอก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่ว่าไม่กล้าดูคนชกต่อยกัน


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินกำลังรับมือหนึ่งต่อสาม ชั่วแวบหนึ่งเขาเหลือบมามองฟังจือหัน ตะลึงตาค้างไปในทันที เขาสะบัดปอยผมบริเวณหน้าผาก ใบหน้างดงามบูดบึ้ง บ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “โอ้โห ให้คุณชายอย่างฉันมาต่อยตีแทนนาย ส่วนตัวเองไปจีบสาว แถมยังมาสวีทหวานต่อหน้าฉันอีก?”


 


 


ชายสวมหน้ากากสองคนตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น พุ่งเข้าใส่ลู่เสวี่ยเฉินพร้อมๆ กัน


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินถอยหลังสองก้าว เอียงตัวปล่อยหมัดใส่ลำตัวของชายสวมหน้ากาก จากนั้นพุ่งเข้าไปจับแขนของชายสวมหน้ากากอีกคนหมุนตัวแล้วทุ่ม จากนั้นเหยียบลงบนแผ่นหลังอย่างโหดเ**้ยม เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของชายสวมหน้ากาก


 


 


ชายสวมหน้ากากที่เดิมทีถือมืดสั้น ก็ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วเช่นกัน เขาจ้องฟังจือหันด้วยสายตาโหดเ**้ยม ตะโกนเสียงดังลั่น พุ่งเข้าใส่ฟังจือหันและอวี๋กานกานทันที


 


 


ฟังจือหันยังคงกอดอวี๋กานกานแน่นไม่ยอมปล่อย มือปิดตาของเธอไว้ ดวงตาเย็นชาของเขาหรี่ลงอย่างอาฆาตมาดร้าย ภายในนัยน์ตาสีดำขลับเคลือบไว้ด้วยไอสังหาร


 


 


ทันใดนั้นเขาโอบอวี๋กานกานแล้วเอี้ยวตัว จากนั้นตวัดขาเตะไซด์คิก


 


 


ชายสวมหน้ากากที่ก่อนหน้านี้ถือมีดสั้น ครั้งนี้ถูกเตะกระเด็นชนเข้ากับกำแพงอย่างจัง ในตอนที่ล้มลงหัวกระแทกพื้น เขาร้องโหยหวนด้วยความจำปวด “โอ๊ย!”


 


 


อวี๋กานกานถูกปิดตาไว้ตลอด มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง เธอรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเสียงไซเรนดังขึ้น ฟังจือหันถึงจะปล่อยมือ


 


 


เธอเห็นชายสวมหน้ากากทั้งสี่คน ทั้งหมดถูกซ้อมนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ไม่กระดิกกระเดี้ยตัวแม้แต่น้อย บนร่างกายมีบาดแผล ดูแล้วน่าจะเจ็บค่อนข้างหนัก ส่งเสียงโอดครวญอยู่ในลำคอ


 


 


ผู้ชายที่ชื่อลู่เสวี่ยเฉินนั้นหน้าตาสะอาดหมดจด งดงามเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างที่สูงใหญ่กำยำ สวมสูทของผู้ชาย คนอื่นต้องเข้าใจผิดนึกว่าเขาเป็นสาวสวยคนหนึ่งแน่ๆ


 


 


ทว่ารอยยิ้มและแววตาล้วนอัดแน่นไปด้วยไอชั่วร้าย “กลางค่ำกลางคืนผู้ชายตัวใหญ่เบ้อเริ่มสี่คนล้อมสาวน้อยแสนสวยคนเดียว สุมหัวก่อเรื่อง ทำร้ายผู้อื่น ไม่สั่งสอนให้หนักเกรงว่าพวกแกจะไม่หลาบจำ” เขาเหยียบลงไปที่หลังของชายสวมหน้ากากคนหนึ่งอย่างอำมหิต จากนั้นเล่นโทรศัพท์ด้วยท่าทีเฉื่อยชาเอ้อระเหยลอยชายไม่รักษามาด


 


 


ตำรวจหลายคนเดินลงมาจากรถ หัวหน้าตำรวจรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน แววตาแฝงไว้ด้วยความดุดัน เขาคือคุณตำรวจหมีจั่งอี้ที่มาคลี่คลายเหตุวุ่นวายที่คลินิกในวันนั้น


 


 


อวี๋กานกานอยากจะเดินเข้าไปถามให้ชัดเจนว่าเป็นใครกันแน่ที่สั่งให้พวกเขามาจับตัวเธอ ผลปรากฏว่าเพียงแค่ก้าวเท้าออกไป ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ขาก็แล่นขึ้นมาทันที เธอหลุดปากร้อง “ซี๊ด” ออกมาเบาๆ


 


 


ฟังจือหันถาม “คุณเป็นอะไร”


 


 


“ไม่ทันระวังขาก็เลยพลิกน่ะ…” อวี๋กานกานพูดจบปุ๊บ บริเวณเอวรู้สึกถึงแรงรัดแน่นตามด้วยเท้าที่ลอยเหนือขึ้นจากพื้น เธอยังไม่ทันได้ร้องโวยวาย ทั้งตัวก็ถูกฟังจือหันอุ้มลอยขึ้น


 


 


ร่างกายที่ลอยอยู่บนอากาศให้ความรู้ที่ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง อวี๋กานกานจับบ่าของฟังจือหันตามสัญชาตญาณ “นายทำอะไร ฉันแค่ขาพลิกนิดหน่อยยังพอเดินไหว รีบปล่อยฉันลงเร็วเข้า”


 


 


คนตั้งมากมายมองมา น่าอายจะตาย



ตอนที่ 107 ใครเป็นคนส่งคนพวกนี้มา


 


 


ฟังจือหันไม่ได้สนใจเธอ อุ้มเธอตรงไปที่รถ


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินนั่งลงตรงที่นั่งคนขับ เตรียมสตาร์ทรถออกไปจากที่นี่


 


 


อวี๋กานกานรีบพูด “พวกเราจะไปกันแบบนี้เลยเหรอ ไม่ต้องให้ปากคำ ไม่ถามว่าใครเป็นคนส่งคนพวกเขามา?”


 


 


เธอต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนส่งคนพวกนี้มา


 


 


“ไปถึงสถานีตำรวจ เดี๋ยวคุณอาตำรวจก็สอบปากคำให้พวกเขาสารภาพเองว่าใครเป็นคนสั่งพวกเขาให้มาทำร้ายคุณ”


 


 


อวี๋กานกานนึกถึงเรื่องคราวก่อน ตอนนั้นเธอก็ไม่ต้องให้ปากคำเช่นกัน


 


 


ฟังจือหันเป็นใครกันแน่


 


 


เธอหันไปปรายตามองผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง พบว่าตอนนี้ตัวเองยังนั่งพิงหน้าอกของเขาอยู่ เธอรีบขยับตัวออกไปทางด้านข้าง


 


 


สัมผัสได้ว่าอวี๋กานกานเขยิบห่างออกจากตนเอง ฟังจือหันค่อยๆ ปรายตามาหยุดตรงที่เธอ แววตาลึกซึ้งดั่งมหาสมุทร


 


 


อวี๋กานกานถูกฟังจือหันจ้องจนรู้สึกอึดอัด กระแอมเบาๆ หนึ่งที “เอ่อคือ…เรื่องคืนนี้ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ แต่ทำไมถึงบังเอิญได้ขนาดนี้ที่นายอยู่แถวนี้พอดี”


 


 


“ทางผ่าน” ฟังจือหันตอบเสียงเรียบ จากนั้นยื่นมือมาจับขาของอวี๋กานกานแล้วยกขึ้นมาวางไว้บนตักของตนเอง


 


 


อวี๋กานกานตกใจ ยื่นมือไปเกาะประตูรถ ถามอย่างลนลาน “นายจะทำอะไร”


 


 


ฝ่ามือร้อนๆ แนบลงตรงจุดที่ขาของเธอพลิก จากนั้นถกขากางเกงของเธอขึ้นไปด้านบนเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงข้อเท้าเปลือยเปล่า ฟังจือหันตรวจดูตำแหน่งที่พลิก


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกกระอักกระอ่วนไปทั่วทั้งตัว “นายไม่ต้อง…”


 


 


“อย่าขยับส่งเดช” น้ำเสียงของฟังจือหันดุมาก


 


 


ภายในรถยนต์มีกล่องปฐมพยาบาลเล็กๆ ฟังจือหันสั่งลู่เสวี่ยเฉินให้หยิบเหล้าดอง[1]ออกมาขวดหนึ่ง จากนั้นทาลงไปบริเวณข้อเท้าที่เจ็บ ค่อยๆ นวดคลึง น้ำหนักมือไม่เบาเกินไปและไม่หนักจนเกินไป


 


 


อวี๋กานกานเขินอาย ใบหน้าจิ้มลิ้มเป็นสีแดงระเรื่อ ราวกับทาชาดไว้ อาการเจ็บบริเวณข้อเท้าดีขึ้นอย่างชัดเจน


 


 


“ขอบคุณนะ ไม่เจ็บแล้วล่ะ” อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเบา ขยับขาของตัวเองกลับมาวางยังตำแหน่งเดิม


 


 


“ขอบคุณด้วยอะไร”


 


 


อวี๋กานกานชะงักไปในทันที กะพริบตาปริบๆ ฉีกยิ้มหยั่งเชิง “นาย…นายอยากให้ฉันขอบคุณด้วยอะไรล่ะ”


 


 


“ขอบคุณด้วยอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ปากเปล่า…” ฟังจือหันเอ่ยเสียงเรียบ ทันใดนั้นก็โน้มตัวมาทางอวี๋กานกาน


 


 


ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นเป็นเกลียวคลื่น ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด


 


 


แผ่นหลังของอวี๋กานกานแข็งทื่อไปทั้งแทบ หัวใจเต้นระรัว มีคำถามหนึ่งข้อวนเวียนไปมาไม่หยุด ‘จู่ๆ เข้ามาใกล้ขนาดนี้จะทำอะไร จะทำอะไร จะทำอะไร….’


 


 


ขอบคุณด้วยจูบ?


 


 


ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงแปร๊ดราวกับเลือด ลามไปถึงใบหู


 


 


ในตอนที่เธอกำลังเตรียมจะหลับตาพริ้ม อวี๋กานกานเห็นฟังจือหันยื่นมือออกไปหยิบกระดาษทิชชูจากช่องเก็บของหน้าที่นั่งเธอ เขาเช็ดมือพร้อมกับจ้องหน้าเธอ แววตามีเลศนัย


 


 


อวี๋กานกานเบือนหน้าอย่างรวดเร็ว มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใจหวิวๆ


 


 


ฟังจือหันไม่ได้จงใจจริงเหรอ ท่วงท่าของเขาทั้งเย้ายวนและมีเสน่ห์


 


 


ฟังจือหันจ้องมองเธอที่หน้าแดงลามไปถึงใบหู เอ่ยออกมาอีกครั้ง “ของขวัญแทนคำขอบคุณของคุณ เก็บไว้ใช้แลกครั้งหน้า”


 


 


อวี๋กานกานค่อนข้างเอือมระอาปรายตามองฟังจือหันอย่างไม่สบอารมณ์


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินที่รับหน้าที่ขับรถอยู่ด้านหน้า มองผ่านกระจกหลัง สายตาจับจ้องไปที่พวกเขาเป็นครั้งคราว มุมปากยกยิ้มน่าสนุก


 


 


สาวน้อยคนนี้คือคนที่ชื่ออวี๋หวานหวาน….ไม่ใช่สิ อวี๋กานกาน


 


 


น่ารักสดใส ปากแดงระเรื่อฟันขาวสะอาด นับว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าสาวงามที่สวยหยดย้อยขนาดไหนพวกเขาล้วนเคยเห็นมาหมดแล้ว เมื่อเทียบอวี๋กานกานกับสาวงามล่มเมืองเหล่านั้น อวี๋กานกานถือว่าหน้าตาธรรมดามาก


 


 


ทำไมฟังจือหันต้องเป็นเธอคนนี้เท่านั้น ทำไมต้องถ่อมาไกลถึงที่นี่…


 


 


 


 


——


 


 


[1] เหล้าดองในที่นี้คือ เหล้าที่ดองกับสมุนไพรจีน ช่วยบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 108 แผนกลับเข้าห้อง


 


 


“หลายวันมานี้นายนอนที่ไหน” ภายในรถยนต์เสียงของอวี๋กานกานดังขึ้นอีกครั้ง “กระเป๋าเดินทางของนาย…” เมื่อไรจะเอากลับไป


 


 


ฟังจือหันพูดแทรก “นอนในรถ”


 


 


อวี๋กานกานตกตะลึง “…” !


 


 


อนาถขนาดนี้เชียว?


 


 


ฟังจือหันพูดต่อ “ไม่สบายไปทั้งตัว ผมขอกลับไปอาบน้ำหน่อยได้ไหม”


 


 


อวี๋กานกานมองชุดที่เขาใส่ เป็นชุดเดียวกับวันที่แยกจากกันจริงๆ


 


 


เธอพยักหน้า


 


 


 วันนี้เขาช่วยเธอไว้เยอะ แค่กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเธอจะปฏิเสธลงได้อย่างไร เพียงแต่ว่าเขาไม่มีที่ให้อยู่จริงๆ เหรอ มีเพื่อนเป็นตำรวจแท้ๆ ทั้งยังมีผู้ชายหน้าสวยหวานยิ่งกว่าผู้หญิงที่ขับรถอยู่ด้านหน้านั้นอีก เป็นไปไม่ได้หรอกมั้งที่พวกเขาจะไม่เหลียวแลฟังจือหัน?


 


 



 


 


มือที่กุมพวงมาลัยรถยนต์ของลู่เสวี่ยเฉินเกือบลื่นหลุด เมื่อก่อนเขานึกว่าตัวเองนั้นร้ายและไร้ยางอายมากแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะตระหนักได้ว่าฝีมือของตนเองยังอ่อนหัด


 


 


ฟังจือหันต่างหากที่เรียกว่าเจ้าเล่ห์เพทุบายของจริง


 


 


ทางผ่านเอย นอนในรถเอย ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันเอย โกหกทั้งเพ ก่อนออกมาเพิ่งจะอาบน้ำแท้ๆ


 


 


อวี๋กานกานสาวน้อยไม่ช้าหรือเร็วต้องถูกฟังจือหันเขมือบไม่เหลือแม้แต่ซากแน่


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินอยากจะบอกเธอใจจะขาดว่าอย่าหลงเชื่อผู้ชายแซ่ฟังตรงหน้าเป็นอันขาด


 


 


ฟังจือหันกลางวันเป็นมนุษย์ กลางคืนเป็นปีศาจ เห็นว่ากินเจทุกวัน แท้ที่จริงแล้วขาดเนื้อไม่ได้ เหมือนกับหมาป่าหุ้มหนังแกะตัวหนึ่ง


 


 


รถยนต์จอดตรงหน้าประตูคอนโดมิเนียม อวี๋กานกานยื่นมือออกไปปลดเข็มขัดนิรภัย ต่อด้วยเปิดประตูรถ ยังไม่ทันได้ก้าวลงจากรถ มือของฟังจือหันรั้งไหล่ของเธอไว้ จับเธอให้นั่งนิ่งๆ อยู่บนเบาะ


 


 


อวี๋กานกานมองเข้าด้วยสายตาไม่เข้าใจ ได้ยินฟังจือหันพูดว่า “นั่งดีๆ” จากนั้นเขาก็ลงจากรถ แล้วเดินอ้อมมาอุ้มเธอ


 


 


อวี๋กานกานสั่งให้เขาปล่อยอยู่หลายครั้ง แต่ฟังจือหันก็ปฏิเสธทุกครั้ง


 


 


จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูห้อง ฟังจือหันต้องเปิดประตูจึงปล่อยเธอลงโดยที่ให้ยืนพิงกำแพงไว้


 


 


หลินจยาอวี่เปิดประตูห้องเดินออกมา วันนี้เธอไม่ได้สวมหน้ากาก ใบหน้าเย็นชางดงามบึ้งตึง สายตาของเธอมองมาที่อวี๋กานกาน เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานยืนขาเดียว เธอจึงเดินเข้ามา “คุณเป็นอะไรน่ะ”


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบางๆ ให้เธอ “ไม่มีอะไร แค่ไม่ทันระวังขาพลิกนิดหน่อย”


 


 


หลินจยาอวี่มองสแกนอวี๋กานกานตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อมั่นใจแล้วว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ จึงหันไปมองฟังจือหันแล้วกล่าว “สามีภรรยาทะเลาะกัน ผู้ชายควรเป็นฝ่ายยอมรับผิดก่อน ไม่ควรให้ภรรยาต้องเป็นกังวลเพราะคุณ”


 


 


หลินจยาอวี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็เดินตรงกลับเข้าห้องตัวเองทันที


 


 


อวี๋กานกาน “…” หลินจยาอวี่พูดอะไรน่ะ เธอเป็นกังวลเพราะฟังจือหันตอนไหน


 


 


ดวงตาลึกซึ้งและเงียบงันของชายหนุ่มราวกับแอ่งน้ำลึก ยากที่อ่านความคิดของเขา อวี๋กานกานถูกเขาจ้องจนรู้สึกสับสนปั่นป่วน


 


 


ใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอแดงแปร๊ดอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง เธออยากจะพูดแก้ไขตัวอะไรสักหน่อย แต่อีกใจก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น


 


 


งั้นก็แกล้งโง่ แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจไปแล้วกัน


 


 


เธอผลักประตูห้อง เดินกะเผลกๆ เข้าไป “นายอยากอาบน้ำก็อาบเลย ฉันไปพักผ่อนล่ะ” อวี๋กานกานไม่หันกลับมา เดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง


 


 


ฟังจือหันมองแผ่นหลังของเธอ ริมฝีปากเย็นชาที่เม้มติดกันค่อยๆ ยกขึ้น เขาหันศีรษะพลันเห็นบนโต๊ะอาหารมีไข่ผัดมะเขือเทศวางอยู่ หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ทำไมอวี๋กานกานทำเมนูนี้อีกแล้ว ทุกวันไม่เดลิเวอรี่ก็ไข่ไก่ เธอเป็นแพทย์จริงๆ หรือเปล่า


 


 


กินไข่ทุกวัน ไม่กลัวติงต๊องบ้างหรือไง[1]


 


 


ห้องนอนของเขายังคงเหมือนกับตอนที่ตัดสินใจออกมา ข้าวของทุกอย่างวางอยู่ที่เดิม


 


 


ฟังจือหันบอกว่าจะขอมาอาบน้ำ แต่เมื่อเข้าไปในห้องนอนกลับนอนแผ่บนเตียงอย่างสุขสบาย ไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องตกใจดังมาจากห้องข้างๆ “ว้าย…”


 


 


 


 


——


 


 


[1] คำว่าไข่ในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่าปัญญาอ่อน ติงต๊อง 




ตอนที่ 109 ประวัติคนไข้แปลกประหลาด


 


 


ฟังจือหันดีดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินไปทางห้องนอนที่ติดกันอย่างรวดเร็ว


 


 


เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขาเห็นอวี๋กานกานยืนอยู่บนเก้าอี้ มือหนึ่งจับชั้นบนสุดของตู้ อีกมือหนึ่งถือของบ้างอยู่ ส่วนข้างๆ เก้าอี้มีกล่องกระดาษตกอยู่กล่องหนึ่ง


 


 


“คุณกำลังทำอะไร”


 


 


เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น ทั้งเยือกเย็นและแหลมคม อวี๋กานกานหันมาทางต้นตอของเสียงตามสัญชาตญาณ ในตอนที่เธอหันมา ขาที่พลิกไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงอยู่แล้ว ร่างกายของเธอจึงสูญเสียการทรงตัว กำลังจะล้มหงายไปด้านหลัง เธอร้องตกใจอย่างห้ามไว้ไม่อยู่อีกครั้ง “ว้าย…”


 


 


ฟังจือหันก้าวเท้ายาวๆ ไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว อ้าสองแขนรับอวี๋กานกาน จากนั้นกอดไว้ในอ้อมอก


 


 


อวี๋กานกานตกใจ แขนทั้งสองโอบคอของฟังจือหันเอาไว้ “ขอบคุณ”


 


 


“จะหยิบอะไร” ฟังจือหันโอบเอวของเธอ อุ้มมาวางบนเตียง


 


 


“กล่องยาน่ะ” อวี๋กานกานอาบน้ำแล้วกะว่าจะทาเหล้าดองที่ขาอีกสักหน่อยแล้วค่อยเข้านอน แต่กล่องยาถูกเก็บไว้บนชั้นบนสุดของตู้


 


 


“ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองเจ็บอยู่ ทำไมไม่รู้จักหัดเรียกผม” ดวงตาของฟังจือหันแผ่ไอเย็นออกมาเล็กน้อย เขาหยิบกล่องยาลงมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก


 


 


ทีแรกอวี๋กานกานก็อยากจะเรียกฟังจือหัน แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์อันคลุมเครือและกรุ้มกริ่มของพวกเขาแล้ว เธอก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา อีกอย่างถ้าฟังจือหันอาบน้ำอยู่ เธอเรียกไปเขาก็ไม่ได้ยินอยู่ดี เท้าของเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ยืนบนเก้าอี้หยิบของชิ้นเดียวทำได้อยู่แล้ว แต่ใครจะรู้ว่า พอเปิดตู้ปุ๊บก็มีกล่องใบหนึ่งหล่นใส่หัวปั๊บ


 


 


ฟังจือหันเปิดกล่องยา หยิบเหล้าดองออกมาทาตรงข้อเท้าของอวี๋กานกาน


 


 


“ขอบคุณ” อวี๋กานกานทำหน้าว่านอนสอนง่าย มุมปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มที่งดงาม


 


 


หลังจากที่เธออาบน้ำแล้ว เนื่องจากขาเจ็บไม่ค่อยสะดวกจึงสวมชุดนอนกระโปรง ตอนที่ถูกฟังจือหันอุ้มมาบนเตียงเขาวางเธออย่างไรเธอก็นั่งแบบนั้นไม่ได้ใส่ใจอะไร กระโปรงค่อนข้างร่นขึ้นไปด้านบน เผยให้เห็นท่อนขาเรียวยาวขาวเนียนละเอียด ชวนให้คิดอะไรเลยเถิด


 


 


ฟังจือหันกำลังช่วยเธอทายาอยู่ สายตาชำเลืองขึ้นมามองแวบหนึ่ง พลันเห็นฉากวับๆ แวมๆกระโปรงเหมือนจะปิดแต่ก็ไม่ปิด…มือที่ทายาอยู่แข็งค้างไปในทันที สมองสั่งการให้สลัดภาพที่น่าดึงดูดนั้นออก เขาหลุบสายตาลงต่ำ ปิดบังความมืดที่อยู่ในดวงตา


 


 


ส่วนอวี๋กานกานไม่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น ชี้กล่องที่อยู่บนพื้นพร้อมกับพูดขึ้นมา “นายช่วยหยิบกล่องใบนั้นให้ฉันหน่อยได้ไหม”


 


 


ตอนนี้ในหัวสมองของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย อาจารย์คนสวยทำไมต้องเอากล่องยาไปเก็บในตู้บนชั้นสูงสุดด้วย และดูเหมือนว่าที่กล่องยาถูกวางไว้บนนั้นก็เพื่อดันกล่องกระดาษนั้นให้อยู่สูงขึ้นไปอีก


 


 


ในกล่องกระดาษนี้เก็บอะไรไว้กันนะ สมบัติล้ำค่า?


 


 


สายตาของฟังจือหันมองใบหน้าจิ้มลิ้มอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอแวบหนึ่ง สีหน้าซับซ้อนอยากที่จะพรรณนา


 


 


เมื่อฟังจือหันทายาให้เธอเสร็จแล้ว เขาดึงชายผ้าห่มขึ้นมาปิดขาของอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานนั่งอยู่บนผ้าห่มแล้วถูกผ้าห่มพันทับไว้อีกทีแบบนี้ รู้สึกว่านั่งแล้วไม่สบายเนื้อสบายตัวเอาเสียเลย เธอขยับตัวสะบัดผ้าห่มออก อยากจะนั่งบนฟูกนอนก่อนแล้วค่อยห่มผ้า


 


 


ใครจะรู้ว่ามือที่เพิ่งเอื้อมไปสะบัดผ้าห่มออกกลับถูกฟังจือหันคว้าหมับทันที “คุณจะทำอะไร” น้ำเสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำแหบพร่า ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความเย้ายวนแสนอันตราย


 


 


อวี๋กานกานถูกออร่าน่าเกรงขามอันเย็นชาของฟังจือหันที่ปล่อยออกมาอย่างฉับพลัน ทำให้ตกใจจนชะงักไปเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้สติกลับมา เธอมองเขาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ตอบอย่างประหลาดใจ “ก็จะสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มไง”


 


 


ดวงตาล้ำลึกของฟังจือหันมีอาการล่อกแล่ก ก่อนจะหายไปในพริบตา ไม่ให้อวี๋กานกานสังเกตเห็น


 


 


เขาทำหน้าเย็นชาหมุนตัวไปหยิบกล่องกระดาษนั้นด้วยท่วงท่าเนิบนาบเชื่องช้า ในตอนที่เขาหันกลับมา อวี๋กานกานสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มเรียบร้อยดีแล้ว เธอยื่นมือมาทางเขา “ขอบคุณ” 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 110 ผู้อยู่เบื้องหลังคือใคร


 


 


อวี๋กานกานรับกล่องมาจากมือฟังจือหัน จากนั้นเปิดออก


 


 


ภายในกล่องไม่ได้มีสมบัติล้ำค่าเหมือนที่อวี๋กานกานจินตนาการไว้ มีเพียงประวัติคนไข้ไม่กี่ใบเท่านั้น


 


 


ประวัติคนไข้เหล่านั้น แต่ละคนมีอาการป่วยที่ไม่เหมือนกันและอยู่กันคนละโรงพยาบาล


 


 


อวี๋กานกานเกิดความสงสัย ทำไมอาจารย์คนสวยถึงต้องเก็บประวัติคนไข้เหล่านี้ไว้ด้วย อีกทั้งยังเก็บไว้ในกล่อง?


 


 


อวี๋กานกานอยากจะไปค้นดูห้องของอาจารย์สักหน่อย มือจับผ้าห่มเปิดออกได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น กลับถูกฟังจือหันคว้าไว้แล้วดันกลับลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขายังประคองบ่าของเธอให้ค่อยๆ นอนลงไปกับเตียง “ทำไมคุณถึงได้ซื่อขนาดนี้ นอนดีๆ”


 


 


อวี๋กานกานที่จู่ๆ ก็ถูกบังคับให้นอน ดวงตาเบิกโต สบตากับดวงตาสีดำขลับคู่นั้นที่ราวกับอาบไว้ด้วยน้ำหมึก เธอค่อนข้างสับสนงุนงง อีกทั้งจังหวะการเต้นของหัวใจก็เพิ่มความเร็วขึ้น


 


 


ท่าของพวกเขาสองคนในตอนนี้ค่อนข้างที่จะ…


 


 


“หลับตา” ฟังจือหันออกคำสั่งอย่างวางอำนาจ


 


 


ลมหายใจร้อนผ่าวรดลงบนแก้มของเธอ อวี๋กานกานหน้าแดงหูร้อน ขนตาหนาเป็นแพสั่นเทาเล็กน้อย อวี๋กานกานพูดอ้อมๆ แอ้มๆ แกมกล่าวโทษ “แต่ว่านายยังจ้องฉันอยู่แบบนี้ ฉันจะนอนยังไง?”


 


 


ฟังจือหันจดจ้องไปที่เธอ นัยน์ตาสีดำล้ำลึกฉายประกายอารมณ์แปลกประหลาดบางอย่าง ราวกับกำลังสะกดอะไรบางสิ่งไว้ จู่ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นยืน ร่างสูงใหญ่กำยำเคลื่อนตัวเดินออกจากห้อง ทั้งยังหยิบกล่องใบนั้นติดมือออกไปด้วย ก่อนจะปิดประตูห้อง เขาเอี้ยวตัวมากดปิดสวิตช์ไฟ เห็นว่าอวี๋กานกานจ้องมองมาที่ตนอยู่ ทั้งสองสบสายตากัน อวี๋กานกานรู้สึกเขินอายเล็กน้อย พลิกตัวหันหลังให้จากนั้นมุดเข้าไปในผ้าห่ม


 


 


ฟังจือหันยกยิ้มบางๆ ออกมา จากนั้นปิดไฟ หลังจากที่ออกมาจากห้องนอนของอวี๋กานกานแล้ว ในมือของเขาถือประวัติคนไข้เหล่านั้น นัยน์ตาฉายแววความสงสัย


 


 


เช้าวันที่สอง อวี๋กานกานตื่นขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง จากนั้นคลำไปที่เท้า พบว่าอาการปวดหายไปเกือบหมดแล้ว เดินได้ไม่มีปัญหาอะไรแค่ต้องระวังมากหน่อย แต่ทว่าก็ยังเดินนานไม่ได้ ยังคงต้องพักผ่อนให้มาก


 


 


เมื่อเธออาบน้ำแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากห้องนอน เห็นฟังจือหันกำลังรับประทานอาหารเช้า แล้วยังมีพี่ชายหน้าสวยคนที่เมื่อวานมาด้วยกันกับฟังจือหันช่วยเธอไว้จากชายสวมหน้ากาก


 


 


เมื่อได้ยินเสียง ฟังจือหันเคลื่อนสายตามามองเธอ แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าตกกระทบลงบนร่างของเขา แต่งแต้มเกิดเป็นความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายบนร่างของชายหนุ่มที่เย็นชามาโดยตลอด


 


 


“อรุณสวัสดิ์ น้องกานกาน” ลู่เสวี่ยเฉินเองก็เห็นอวี๋กานกานออกมาจากห้องแล้ว เขายิ้มให้อย่างเป็นมิตร


 


 


เมื่อวานเธอลืมขอบคุณเขาไปสนิท วันนี้เขามาถึงที่ห้อง อวี๋กานกานย่อมต้องต้อนรับอย่างมีมารยาท มุมปากคลี่ยิ้มสดใสงดงาม “สวัสดีค่ะ คุณลู่”


 


 


อวี๋กานกานเดินไปนั่งตรงโต๊ะรับประทานอาหาร ฟังจือหันวางน้ำอุ่นแก้วหนึ่งตรงหน้าเธอ เอ่ยเสียเรียบ “เดี๋ยวคุณต้องไปสถานีตำรวจกับผม”


 


 


อวี๋กานกานถามทันที “ผู้อยู่เบื้องหลังคือใคร”


 


 


“ผู้ชายสี่คนนั้นสารภาพหมดแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นหน้าตาของผู้ว่าจ้าง ติดต่อและจ่ายเงินผ่านทางอินเทอร์เน็ต แต่ได้ทำการบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างพวกเขาไว้แล้ว ต้องการให้คุณไปฟังว่าใช่คนที่คุณรู้จักหรือเปล่า” ลู่เสวี่ยเฉินกล่าวพร้อมกับยิ้ม เขามือยื่นมาออกมาหยิบจวักตักโจ๊ก


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้าเข้าใจ ยื่นมือออกไปหยิบจวักตักโจ๊กเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าลู่เสวี่ยเฉินก็จะตักโจ๊กเหมือนกัน เธอจึงชักมือกลับ


 


 


มือของทั้งสองยังไม่ทันสัมผัสโดนกันด้วยซ้ำ แต่ลู่เสวี่ยเฉินกลับชักมือกลับอย่างรวดเร็วประหนึ่งแตะโดนผี


 


 


อวี๋กานกานดื่มน้ำไปหนึ่งคำ มองเขาด้วยสายตางุนงง “…”


 


 


ฟังจือหันคิ้วขมวดเข้าหากัน น่าจะคิดไม่ถึงเช่นกันว่าลู่เสวี่ยเฉินจะมีอาการเช่นนี้


 


 


เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนจ้องมาที่ตนเอง ลู่เสวี่ยเฉินตระหนักได้ว่าตนเองออกอาการมากเกินไป เขายิ้มแหยงๆ “ผมเป็นแค่ลูกแกะใสซื่อบริสุทธิ์ตัวหนึ่ง ไร้ซึ่งประสบการณ์ลูบคลำ ตอนนี้เขิ้นเขิน”  




ตอนที่ 111 เลื่อนขั้นความสัมพันธ์ คู่รักที่คบกันมานาน


 


 


อวี๋กานกานเกือบสำลักน้ำที่อยู่ในปาก ลู่เสวี่ยเฉินเป็นคนที่ผูกมิตรเก่งมาก เข้าหาผู้อื่นก่อนทั้งยังขี้โม้ขี้อวด ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนขี้อาย


 


 


ฟังจือหันตักโจ๊กให้อวี๋กานกาน เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องไปสนใจคนวิตถาร”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินโมโห พูดทวงความยุติธรรมให้ตนเอง “ใครวิตถาร นายนะสิวิตถาร ฉันเป็นหนุ่มบริสุทธิ์ตั้งแต่ไหนแต่ไร ปัจจุบันจูบแรกและซิงของฉันก็ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินมองไปที่อวี๋กานกาน สายตาเร่าร้อนแฝงไว้ด้วยความหวัง “น้องกานกาน ขอแค่คุณยินดี…” พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ร่างกายของเขาพลันแข็งทื่อ ฟังจือหันที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่งสายตาเย็นเยือกทิ่มแทง ราวกับเคียวของยมทูต ชวนให้นึกถึงประสบการณ์ก่อนหน้าที่เขาถูกฟังจือหันกลั่นแกล้ง ลู่เสวี่ยเฉินกลับคำพูดทันที “…ยินดีที่จะแนะนำผมให้กับเพื่อนสนิทของคุณ แบบนี้ครั้งแรกทั้งหมดของผมก็จะเป็นของเพื่อนสนิทคุณ”


 


 


อวี๋กานกานยิ้ม นี่ลู่เสวี่ยเฉินกำลังแซวเธอเหรอ แต่เมื่อครู่มือยังไม่ทันสัมผัสโดนกันเลย ทำเหมือนกับหนูเจอแมว


 


 


ฟังจือหันปรายตามองเธอ เอ่ยเสียงเย็น “ยิ้มอะไรของคุณ”


 


 


รอยยิ้มของอวี๋กานกานชะงักค้าง จ้องไปที่ฟังจือหัน แค่ยิ้มจะอะไรนักหนา ลู่เสวี่ยเฉินเป็นเพื่อนของเขาไม่ใช่เหรอ


 


 


ลู่เสวี่ยเฉิน “…” ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้ดีถึงขนาดที่เขาคิดไว้ นึกว่าฟังจือหันจะผ่านด่านทุกด่าน มัดใจอวี๋กานกานได้แล้วซะอีก ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว สักด่านก็ยังไม่ผ่าน โคตรกาก!


 


 


เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ อวี๋กานกานเตรียมจะไปสถานีตำรวจ ในตอนที่เธอกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ห้อง ลู่เสวี่ยเฉินเดินมาใกล้ฟังจือหัน กล่าวอย่างชั่วร้าย “น้องกานกานเนี่ยตามใจนายไม่หือไม่อือเลยเนอะ”


 


 


ความหมายของประโยคนี้คือ ‘ดูเหมือนอวี๋กานกานจะไม่ได้ชอบนายนะ’


 


 


ฟังจือหันปรายตามองลู่เสวี่ยเฉินอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะพูดช้าๆ “แปลกมากเหรอ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินผงกศีรษะ “…” ต้องแปลกอยู่แล้ว ถึงแม้นายจะเป็นคุณชายฟังผู้เย็นชาปากแข็ง ลึกลับถ่อมตน แล้วมันยังไง ในเมื่อน้องกานกานคนเขาไม่ได้ชอบนาย


 


 


หน้าตาและศักดิ์ศรีล่ะ? ไม่เหลือแล้ว ถูกคนอื่นเขาเหยียบจมพื้นไปแล้ว


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินกำลังจะพูดเยาะเย้ย แต่ฟังจือหันกล่าวออกมาหนึ่งประโยคตัดหน้า “คู่รักที่คบกันมานานก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น”


 


 


มุมปากของลู่เสวี่ยเฉินกระตุก “…”


 


 


หน้าตาศักดิ์ศรีอะไรกัน หากใครบางคนจะรุกเต็มกำลังขึ้นมา ยางอายที่หน้าไม่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว


 


 


หน้าเนื้อใจเสือ เจ้าเล่ห์เพทุบายทั้งยังไร้ยางอาย


 


 


…..


 


 


หลังจากที่อวี๋กานกานออกมาจากห้องแล้ว ทั้งสามคนไปสถานีตำรวจด้วยกัน ณ ห้องโถงใหญ่ของสถานีตำรวจ ลู่เสวี่ยเฉินยืนเท้าแขนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ กำลังแซวดาวตำรวจสาวด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์


 


 


มีตำรวจหญิงคนหนึ่งดูเหมือนจะชอบเขา เธอเดินมาตรงหน้าลู่เสวี่ยเฉิน แต่ลู่เสวี่ยเฉินกลับก้าวถอยหลังทันที ออกห่างจากตำรวจหญิงคนนั้นประมาณสองสามเมตร


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าผู้ชายแบบนี้เลวมาก เป็นตัวอย่างของผู้ชายจำพวกดีแต่ปาก เก่งแต่หยอด ไร้ความรับผิดชอบ แต่พอสังเกตอย่างละเอียดแล้ว พบว่าลู่เสวี่ยเฉินยืนห่างจากผู้หญิงทุกคน ไม่รู้ว่าเป็นโรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมในการทำงานหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าอาการเช่นนี้ของลู่เสวี่ยเฉินผิดปกติเป็นอย่างมาก


 


 


พวกเขาทิ้งลู่เสวี่ยเฉินไว้ที่ห้องโถง อวี๋กานกานและฟังจือหันเข้าไปฟังเทปบันทึกเสียง เสียงในเทปเป็นเสียงของผู้หญิง ซึ่งชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นเสียงของเหอหว่านซิน พวกเธอคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีฟังแค่แวบแรกก็รู้ได้เลย


 


 


เหอหว่านซินคงนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะบันทึกเทปไว้ เธอจึงไม่ได้ใช้เครื่องดัดแปลงเสียง ไม่ใช่ว่าอวี๋กานกานไม่เคยคิดว่าชายฉกรรจ์สี่คนนั้น อาจจะเป็นเหอหว่านซินจ้างมา แต่ในใจก็หวังว่าจะเป็นเพียงแค่เธอคิดมากไปเอง


 


 


เธอกับเหอหว่านซินเติบโตมาด้วยกัน แม้ว่าจะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ แต่เพราะการที่มีคุณปู่อยู่ ทำให้เธอมักคิดว่าอย่างไรเสียพวกเราก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน อวี๋กานกานหัวเราะเยาะให้กับตัวเอง มีพี่น้องมากมายที่ฆ่ากันตายเพราะการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติ เธอกับเหอหว่านซินยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดด้วยซ้ำ ความรักความผูกพันที่สั่งสมมาตั้งแต่เล็กจนโตก็แสนจะธรรมดา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 112 โรคจิตน้อย ฉายาที่ฟังจือหันเรียกได้เพียงคนเดียว


 


 


ในระหว่างทางกลับคอนโดมิเนียม สายตาของอวี๋กานกานมองนอกหน้าต่างตลอดทั้งทาง ไม่ปกปิดสีหน้าที่อ้างว้างและว้าเหว่


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินแอบเหลือบมองอวี๋กานกาน เขารู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง นึกว่าฟังจือหันน่าจะพูดปลอบเธอสักสองประโยค ปรากฏว่าแซ่ฟังยังคงนิ่งเหมือนอย่างเคย สีหน้าเย็นชาไร้คลื่นอารมณ์ ทีท่าว่าจะพูดอะไรสักนิดสักหน่อยก็ไม่มีให้เห็น


 


 


หลังจากที่ถึงคอนโดมิเนียมแล้ว ลู่เสวี่ยเฉินมองอวี๋กานกาน ยิ้มแป้นแล้นแล้วกล่าว “เทปบันทึกเสียงไม่สามารถเป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ แต่ถ้าคุณอยากจะเคลียร์ข้อยุ่งยากข้อนี้ ผมสามารถช่วยคุณได้” แซ่ฟังไร้เมตตา แต่เขาทนทำแบบนั้นไม่ได้ ช่างเถอะ ช่วยปลอบใจสาวน้อยคนนี้แทนแซ่ฟังสักหน่อย


 


 


“ขอบคุณนะคะ แต่ว่าไม่เป็นไรค่ะ” อวี๋กานกานยิ้มบางๆ ให้เขา ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นอะไรมากก็ปล่อยให้มันจบไปแบบนี้แล้วกัน แต่ว่าต่อจากนี้จะจัดการอย่างไรเธอต้องคิดให้รอบคอบก่อน หวังว่าจะเป็นบทเรียนบทหนึ่งให้กับคนบ้านลุงได้และในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถสืบหาเบาะแสได้ว่าการหายตัวไปของอาจารย์ สรุปแล้วพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินดูๆ แล้วเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง อวี๋กานกานมองลู่เสวี่ยเฉิน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกล่าว “คุณลู่ ช่วงนี้คุณนอนไม่ค่อยหลับใช่ไหมคะ อีกทั้งในปากและลิ้นเป็นแผลร้อนใน เมื่อเห็นผู้หญิงจะรู้สึกว้าวุ่นใจ แต่พอเห็นผู้ชายจะมี…”


 


 


อวี๋กานกานปรายตาไปมองฟังจือหันแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นพูดกับลู่เสวี่ยเฉิน “…อารมณ์ตื่นเต้น”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึก ยังไม่ทันได้กลืนลงคอก็ต้องตกใจกับคำพูดอันน่าสยดสยองของอวี๋กานกานจนสำลักออกมา เขาหยิบกระดาษทิชชูเช็ดปาก ทำท่าทางเหมือนกับกำลังฟังเรื่องเหลวไหล พูดเสียงหลง “คุณพูดเรื่องเหลวไหลอะไรของคุณเนี่ย!”


 


 


ฟังจือหันเข้าใจแล้วว่าสายตาเมื่อครู่ของอวี๋กานกานหมายถึงอะไร เขาเอื้อมมือมาขยี้หัวของอวี๋กานกานจนผมเธอยุ่งพันกัน จากนั้นกล่าวออกมาสามพยางค์ “โรคจิตน้อย”


 


 


“โรคจิตน้อย?” ลู่เสวี่ยเฉินพูดสามคำนี้ซ้ำ


 


 


อวี๋กานกานตะโกนเสียงดังทันที “ห้ามเรียก”


 


 


ฟังจือหันเห็นเองก็ปรายตามองลู่เสวี่ยเฉินด้วยสายตาเย็นเยียบ “ห้ามเรียก”


 


 


มุมปากของลู่เสวี่ยเฉินกระตุก แหมไม่ต้องพร้อมเพรียงกันขนาดนี้ก็ได้ โรคจิตน้อยพูดนิดพูดน้อยจะเป็นอะไรไป


 


 


อีกนิดเดียวอวี๋กานกานจะหยิบแว่นออกมาสวมเพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของเธอแล้ว เธอกล่าวอย่างจริงจัง “แม้ว่าฉันจะไม่ได้ตรวจชีพจรให้คุณ แต่ฉันก็ดูออกว่าคุณมีภาวะที่ความร้อนสุมอยู่ในหัวใจ คุณไม่ชอบแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิง จากนั้นจะเกิดอาการต่อต้าน…”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินแค่นเสียงขึ้นจมูกดัง “เหอะ” กัดฟันดังกรอดพูดแทรกอวี๋กานกาน “เรื่องนี้ต้องถามผู้ชายของคุณแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะเรื่องแสนวิเศษที่เขาทำไว้กับผม”


 


 


“ผู้ชายของฉัน?” อวี๋กานกานไม่เข้าใจ


 


 


“ก็ถ้าไม่ใช่ผู้ชายของคุณ ถ้าไม่เป็นเพราะเขาผมก็คงไม่ตกต่ำอย่างทุกวันนี้” ลู่เสวี่ยเฉินถลึงตาใส่ฟังจือหันด้วยสายตาเคียดแค้น


 


 


ฟังจือหันตอบกลับเสียงเรียบ “ผู้ชายของเธอรู้สึกว่านายสมควรโดนแล้ว”


 


 


ผู้ชายของเธออะไรกัน ระหว่างเธอกับฟังจือหันขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะเสียอีก อวี๋กานกานกระแอมออกมาเบาๆ หนึ่งที กล่าว “สรุปเรื่องเป็นมาเป็นยังไงกันแน่ ช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินเม้นปากแน่น เรื่องน่าอับอายแบบนั้นเขาไม่อยากจะเล่า


 


 


อวี๋กานกานกล่าว “ฟังจากที่คุณพูดแล้ว อาการไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงเพิ่งจะเริ่มเป็นช่วงนี้ ระยะแรกคุณอาจจะยังไม่สังเกตเห็น แต่หากปล่อยเลยตามเลย อาการป่วยจะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินไม่ค่อยอยากจะเชื่อ รู้สึกเหมือนอวี๋กานกานแค่แกล้งขู่เขา “ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า “ฉันเป็นหมอนะ เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยฉันไม่เอามาล้อเล่นแน่นอน ถ้าคุณเล่าให้ฉันฟังได้ว่าคุณเริ่มมีอาการแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน บางทีฉันอาจจะช่วยคุณได้”


ตอนที่ 113 ฟังจือหัน ผู้ชายร้ายกาจ


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินไม่ได้คิดไว้จริงๆ ว่ามันจะเป็นปัญหา แม้ว่าช่วงนี้จะมีอาการนอนไม่หลับเข้าขั้นร้ายแรง เกือบทุกคืนต้องกินยานอนหลับถึงจะสามารถหลับได้อย่างสนิท แต่เขาคิดว่านานไปเดี๋ยวก็คงหายเอง


 


 


ทว่าตอนนี้ดูจากสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจัง ไม่มีเจตนาว่าพูดล้อเล่นของอวี๋กานกานแล้ว เขากัดริมฝีปากของตนเองอย่างลำบากใจ ทว่าเขาก็ยังไม่อยากจะเล่าอยู่ดี


 


 


ฟังจือหันมีสีหน้าเย็นชาเหมือนอย่างทุกที แต่นัยน์ตากลับฉายประกายความสนุกสนาน เขาเดินเข้าไปใกล้หูของอวี๋กานกาน จากนั้นกระซิบเบาๆ สองสามประโยค


 


 


อวี๋กานกานเมื่อได้ฟังก็เบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจทันที จากนั้นมองลู่เสวี่ยเฉินด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ


 


 


 สีหน้าของลู่เสวี่ยเฉินเต็มไปด้วยความอาฆาต กัดฟันกรอด “แซ่ฟังนายยังมีหน้ามากระซิบกระซาบได้อยู่อีกนะ ถ้าวันนั้นไม่ได้เป็นเพราะนายสั่งให้ผู้ช่วยนายจงใจมอมเหล้าฉัน ฉันก็คงไม่ดื่มจนเมาหัวราน้ำ ไม่ถูกผู้หญิงสวมหน้ากากขืนใจ ตอนนั้นเห็นว่ารูปร่างของเจ้าหล่อนก็ดูดี ดวงตาก็งดงาม นึกว่าถอดหน้ากากแล้วจะยิ่งสวยขึ้นไปอีก ผลปรากฏว่าอัปลักษณ์ซะจนคาดไม่ถึง…”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไร เขาไม่อยากจะเล่าต่อแล้ว ทำเพียงแค่มองฟังจือหันด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ราวกับว่าฟังจือหันติดหนี้เขาอยู่เป็นแสนล้าน


 


 


อวี๋กานกานเม้มปาก อยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า แท้จริงแล้วเมื่อครู่ฟังจือหันพูดเพียงสั้นๆ ว่า “เบิกตาโตๆ แล้วมองหมอนั้นแบบประหลาดใจ” เธอทำตาม ผลปรากฏว่าลู่เสวี่ยเฉินหลุดพูดความในใจออกมาจนได้ ไม่พูดไม่ได้ว่าฟังจือหันเป็นคนร้ายกาจจริงๆ


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินยอมพูดออกมาได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อวี๋กานกานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมง “อาการของคุณตอนนี้เป็นอาการป่วยทางจิตเวช แต่อย่าคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ทางที่ดีที่สุดคือให้รีบแก้ไข หากเป็นไปได้ก็ให้ไปพบจิตแพทย์สักท่าน หรือคุณจะปรึกษากับฉันก็ได้ ฉันพอจะช่วยคุณได้ในระดับเบื้องต้น”


 


 


“คุณไม่ใช่แพทย์แผนจีนหรอกเหรอ” เขาไม่อยากจะไปพบจิตแพทย์เพราะเรื่องน่าอายแบบนี้ เรื่องน่าอายแบบนี้เขาไม่อยากจะเล่าให้ใครฟังทั้งนั้น


 


 


“ตอนเรียนมหาลัยทางคณะเคยแนะนำให้ฉันค้นคว้าวิจัยทางด้านจิตวิทยา อาการทางจิตเวชของคุณยังอยู่ในระยะแรก ฉันน่าจะพอช่วยได้” อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบางๆ


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินมองท่าทางที่ค่อนข้างมั่นใจของเธอ “งั้นคุณก็ลองพูดมาว่าจะช่วยผมได้ยังไง”


 


 


อวี๋กานกานเริ่มทำการวิเคราะห์ “คืนนั้นผู้หญิงคนนั้นมอบความรู้สึกอันน่าหวาดกลัวอย่างรุนแรงให้กับคุณ ถึงขนาดที่ว่าตอนนี้ไม่ว่าคุณจะเห็นผู้หญิงคนไหนก็จะพลันนึกถึงเธอคนนั้นอย่างควบคุมไม่ได้ หวาดกลัวและสยดสยองราวกับเห็นมหันตภัยร้ายแรง”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินไม่อยากยอมรับ แต่อวี๋กานกานพูดถูกหมดทุกอย่างจริงๆ


 


 


อวี๋กานกานกล่าวต่อ “หากคุณยังไม่ให้ความสนใจ ปล่อยปละละเลยต่อไป นานวันเข้าอาการนี้ก็จะค่อยๆ พัฒนามาเป็นโรคกลัวผู้หญิง”


 


 


“โรคกลัวผู้หญิง?” ลู่เสวี่ยเฉินอยากจะพูดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่นึกขึ้นได้ว่าตนเองช่วงนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยากลองหาสาวๆ มาขจัดความทุกข์ทรมานนี้ แต่เขาทำไม่ได้จริงๆ แค่ต้องสัมผัสโดนตัวพวกเธอ เขาก็จะพลันนึกถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นทันที หากปล่อยไปนานๆ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นอย่างที่อวี๋กานกานพูด


 


 


“จากอาการของคุณฉันวิเคราะห์ได้ว่า มีเป็นไปได้สูงที่ผู้หญิงคนนั้นให้ความรู้สึกทั้งน่าดึงดูดและน่าผลักออกในคราเดียวกันก่อให้เกิดเป็นความขัดแย้งในจิตใจ จนทำให้คุณมีอาการทางจิตเวชอย่างที่เห็น”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงง “คุณหมายความว่าอะไร”


 


 


อวี๋กานกานพูดอธิบายอีกรอบ “ความหมายของฉันคือภายใต้สถานการณ์แบบนี้โดยปกติแล้วจิตของคุณจะเกิดการต่อต้าน ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่าเธอหน้าตาอัปลักษณ์ให้ความรู้สึกที่ไม่น่ามองกับคุณ มีความเป็นไปได้สูงที่เธอคนนั้นยังทำให้คุณเกิดอารมณ์ทางเพศได้อีกด้วย”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 114 โรคภัยไข้เจ็บ คุณคือยาของผม


 


 


ลู่เสวี่ยเฉิน “…”


 


 


อวี๋กานกานเห็นว่าลู่เสวี่ยเฉินยังไม่เข้าใจ จึงตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ “พูดแบบตรงไปตรงมาก็คือคุณชอบความรู้สึกในตอนที่คุณมีอะไรกับเธอ แต่คุณก็ยอมรับหน้าตาของเธอไม่ได้เช่นกัน จึงก่อให้เกิดอาการทางจิต ที่จริงแล้วอาการแบบนี้ไม่ถือว่าร้ายแรง เมื่อรู้สาเหตุแล้วก็ให้จ่ายยาตามอาการป่วย ไม่นานก็หายดีแล้วละค่ะ”


 


 


อะไรนะ เขาถูกผู้หญิงอัปลักษณ์นั้นดึงดูด? ลู่เสวี่ยเฉินขมวดคิ้วแน่นเป็นปม มองอวี๋กานกานเหมือนกับเห็นสัตว์ประหลาด


 


 


ฟังจือหันเองก็มีสีหน้าซับซ้อน จ้องเขม็งไปที่อวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานยังคงจมดิ่งอยู่ในการคิดวิเคราะห์ของตนเอง เมื่ออธิบายจบแล้วเธอยังกล่าวต่ออีก “อาการของคุณตอนนี้ ถ้าเป็นจิตแพทย์พวกเขาจะแนะนำให้คุณเข้าสังคมให้มากๆ แต่ฉันขอแนะนำว่าคุณควรดับไฟ[1]ที่สุมอยู่ในตัวก่อน ทำจิตใจให้มีความสุขผ่อนคลาย พยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้ได้โดยเร็วที่สุด จากนั้น…”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินพูดแทรกขึ้นมา “ดับไฟ?”


 


 


ผู้หญิงพูดกับผู้ชายว่าดับไฟ โดยทั่วไปแล้วหมายถึงเธอจะช่วยคุณระบายไฟแห่งความใคร่ ลู่เสวี่ยเฉินเกือบหลุดขำก๊ากออกมา


 


 


ฟังจือหันหรี่ตาลงเล็กน้อยมองลู่เสวี่ยเฉินด้วยหางตา นัยน์ตาเย็นเยียบแฝงไว้ด้วยคำเตือนที่อย่าได้ริอ่านมองข้ามเป็นอันขาด


 


 


บรรยากาศภายในห้องราวกับเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในพริบตา อุณหภูมิรอบๆ ลดต่ำลงสิบกว่าองศา


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินลุกขึ้นยืน จัดเสื้อเชิ้ตของตนเองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย “เอ เหมือนว่าจะได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วนะ น้องกานกานวันนี้ผมต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ ข้าวเที่ยงผมเลี้ยงเอง ขอตัวลงไปสตาร์ทรถรอนะครับ…”


 


 


อวี๋กานกานมองแผ่นหลังของลู่เสวี่ยเฉินที่กำลังเดินออกไปด้วยสีหน้าสับสนงุนงง เธอหันหน้ามามองฟังจือหัน “ฉันตรวจอาการให้เข้าอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงพูดเรื่องกินข้าวเที่ยงขึ้นมา”


 


 


ฟังจือหันสีหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไร “…”


 


 


อวี๋กานกานกลอกลูกตาหมุนเป็นวงกลม ขมวดคิ้วแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกปิ้งขึ้นมาได้ “ลู่เสวี่ยเฉิน เมื่อครู่นี้ฉันพูดตรงเกินไป หรือว่าเขาจะอาย?”


 


 


“คุณเห็นว่าเขาเหมือนคนขี้อายไหมล่ะ?” ฟังจือหันกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับลุกขึ้นยืน


 


 


อวี๋กานกานยิ้มตาหยี ส่ายศีรษะ “ไม่เหมือน”


 


 


ในเมื่อไม่เหมือนคนขี้อายแล้วทำไมจู่ๆ เขาถึงได้ลนลานพูดเรื่องกินข้าวขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพิ่งกลับถึงห้องได้ไม่นานจะออกไปข้างนอกกันอีกแล้วงั้นเหรอ แต่ว่าก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว ฝีมือการเข้าครัวของเธอไม่สามารถทำอาหารให้กับสองคนนี้ได้ พลันชวนให้นึกถึงอาจารย์ขึ้นมา นานมากแล้วที่ไม่ได้กินอาหารฝีมืออาจารย์


 


 


“ให้ฉันเลี้ยงพวกนายเถอะ แทนคำขอบคุณที่พวกนายช่วยฉันแถมวันนี้ยังพาฉันไปสถานีตำรวจอีก”


 


 


อวี๋กานกานเดินตามไป ยังพูดไม่ทันจบดี จู่ๆ ฟังจือหันก็หมุนตัวกลับมาขวางเธอไว้ที่หน้าประตู “ปกติคุณก็ตรวจให้คนไข้คนอื่นแบบนี้เหรอ”


 


 


อะไรคือตรวจแบบนี้ อวี๋กานกานไม่เข้าใจ “ฉันสังเกตเขามาตลอดทั้งช่วงกลางวัน พบว่าเขามีอาการผิดปกติจริงๆ เขาเป็นเพื่อนของนายไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเขาก็หน้าตาดี ฉันก็เลยลองช่วยๆ เขาดู”


 


 


ฟังจือหันเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ทำไมคุณไม่ตรวจให้ผมบ้าง”


 


 


“นายไม่สบายเหรอ” ครั้งก่อนเธอเคยตรวจชีพจรฟังจือหันแล้ว แข็งแรงเสียยิ่งกว่าอะไร


 


 


“ผมมีอาการไฟตับพลุกพล่าน[2] ความปรารถนาไม่ได้รับการเติมเต็ม คุณว่าคุณควรช่วยผมดับไฟสักหน่อยดีไหม” ฟังจือหันโน้มตัวลงมา ลมหายใจร้อนผ่าวรดลงบนแก้มของเธออย่างอุกอาจ


 


 


อวี๋กานกานงุนงง ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสีจนแดงเหมือนเลือด เกือบจะยืนไม่อยู่ ทั้งเขินอายและโมโห ฟังจือหัน…เขากำลังหยอกเย้าเธอ!


 


 


ปัญหาก็คือสีหน้าของหมอนั้นดันจริงจังสุดๆ ก่อนหน้านี้หลายครั้งเป็นเพราะเธอคิดลึกไปเอง ถูกฟังจือหันตอกกลับจนหน้าแตกทุกครั้ง


 


 


แล้วครั้งนี้ล่ะ? เป็นเพราะเธอคิดลึกไปเองเหมือนครั้งก่อนๆ หรือเปล่า  


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดับไฟ มีสองความหมาย ความหมายแรกคือ ให้ใจเย็น ทำจิตใจให้สงบ ปลอดโปร่งโล่งสบาย ความหมายที่สองคือ ระบายความใคร่


 


 


[2] ไฟตับพลุกพล่าน มีความร้อนอยู่ในตับมาก มีอาการหน้าแดง ตาแดงและแห้ง กระสับกระส่าย โกรธง่าย



ตอนที่ 115 ตามอกตามใจ คุณพอใจก็ดีแล้ว


 


 


อวี๋กานกานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สะกดอารมณ์ที่ตีกันปั่นป่วนอยู่ภายในใจ กล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งปกติ “คุณฟังท่านนี้ ขณะนี้ไม่อยู่ในเวลางาน หากคุณอยากตรวจโรคกับฉันกรุณาไปที่คลินิก โปรดอย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของดิฉัน” ตอบแบบนี้ดีที่สุด เธอไม่อยากถูกเขาตราหน้าว่าเป็นโรคจิตน้อยอีก


 


 


ฟังจือหันนิ่งเงียบไม่พูดจาเอาแต่มองเธอ สายตาราบเรียบ แต่ก็เหมือนแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้


 


 


เมื่ออวี๋กานกานเห็นว่าฟังจือหันไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ทั้งยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ความรู้สึกตื่นตระหนกในใจของเธอก็ยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้น เสียงของเธอเบาเหมือนเสียงยุงบินหึ่งๆ “ยังจะไปกินข้าวอยู่ไหม…”


 


 


“อือ” ฟังจือหันตอบรับเบาๆ มีความแหบพร่าแทรกอยู่ในน้ำเสียงอันนุ่มละมุม สายตาจดจ้องอยู่ที่ฟันขาวสวยที่กำลังขบริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอ จากนั้นค่อยๆ โน้มตัวลงมา…


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกชาไปทั้งตัว กะพริบตาปริบๆ สายตาจ้องไปที่ริมฝีปากของฟังจือหันที่กำลังใกล้เข้ามา ในตอนที่เธอกำลังสติหลุดไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเยียบดังผ่านเข้ามาในโสตประสาท “กานกาน”


 


 


หลินจยาอวี่ออกมาจากห้องเห็นแผ่นหลังของอวี๋กานกานจึงเรียกทักทายตามมารยาท แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้เพิ่งจะพบว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองเร่าร้อนดุจเปลวไฟ เหมือนว่ากำลังจะจูบกันอย่างดูดดื่ม หลินจยาอวี่รีบหันหลังกลับทันที “ขอโทษทีที่ขัดจังหวะ พวกคุณต่อเลย…”


 


 


“ไม่ใช่เป็นแบบที่เธอคิด…” อวี๋กานกานผลักฟังจือหันออกทันที อยากจะอธิบายให้หลินจยาอวี่ฟัง


 


 


“อ่าฮะ” หลินจยาอวี่ไม่เข้าใจ พวกเขาไม่ได้เป็นสามีภรรยากันหรอกเหรอ ทำไมถึงได้ดูเขินอายยิ่งกว่าคนหนุ่มสาวที่เพิ่งมีความรักครั้งแรก ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดแก้ตัวอะไรเลยนี่


 


 


อวี๋กานกานเดินไปใกล้ๆ จากนั้นถามเสียงเบา “เอ่อคือ เธอกินแล้วยัง”


 


 


หลินจยาอวี่วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน เมื่อก่อนเป็นเพราะอาการป่วย ไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าที่เหมือนกับจะเสียโฉม ถึงแม้ตอนนี้ใบหน้าของเธอจะไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปแล้ว แต่ยังคงไม่ชอบออกไปไหนมาไหน


 


 


“ยัง”


 


 


“ไปด้วยกันสิ” อวี๋กานกานรู้สึกว่าอาการป่วยตอนนี้ของหลินจยาอวี่คืออาการป่วยทางใจ กล้ามเนื้อและเส้นประสาทที่มุมปากของหลินจยาอวี่ไม่ได้เสียหาย ไม่ใช่ว่าไม่สามารถยิ้มได้แต่เป็นเพราะเธอไม่ยอมยิ้มเองต่างหาก คาดว่านี่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับสาเหตุที่เธอไม่ยอมรับการรักษาในตอนนั้น แต่ในเมื่อหลินจยาอวี่ไม่เต็มใจจะเล่า เธอก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ ทำได้เพียงหวังว่าหลินจยาอวี่จะออกไปพบปะผู้คนมากๆ มีความสุขสดใสร่าเริงมากกว่านี้สักหน่อย


 


 


 “ไม่ใช่มีแค่พวกเราสองคนนะ มีเพื่อนของเขาด้วยอีกคน ไปด้วยกันเถอะ ก่อนหน้าที่เธอสัญญากับฉันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะพาฉันไปหาของอร่อยๆ กิน”


 


 


อวี๋กานกานมองหลินจยาอวี่อย่างเฝ้ารอคอยคำตอบ เธอหวังว่าหลินจยาอวี่จะยอมก้าวเท้าก้าวแรกออกมา เมื่อมีก้าวแรกแล้วก้าวที่สองก็จะตามมาเอง ออกไปเข้าสังคมให้มากขึ้นหน่อย ทำความรู้จักหาเพื่อนใหม่ๆ บางทีอาจทำให้หลินจยาอวี่ไม่นึกถึงเรื่องเป็นทุกข์เหล่านั้นอีก สามารถกลับมายิ้มอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง


 


 


หลินจยาอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อือ งั้นฉันเป็นเจ้ามือเอง” เธอให้อวี๋กานกานรอเธอสักครู่ เธอขอตัวไปเอาเสื้อโค้ตและกระเป๋าสตางค์ในห้องก่อน


 


 


อวี๋กานกานหันไปมองฟังจือหัน “เพิ่มคนหนึ่งคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”


 


 


“คุณมีความสุขก็ดีแล้ว” เป็นน้ำเสียงที่ให้อภัยและตามอกตามใจ


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนขึ้นมาอีกแล้ว คนคนนี้ปากหวานเสียยิ่งกว่าพวกผู้ชายที่เคยจีบเธอ ปัญหาอยู่ที่เป้าหมายของคนอื่นดูชัดเจน แต่ฟังจือหันให้ความรู้สึกเหมือนว่ากำลังรำไทเก๊ก[1]


 


 


ทั้งสามลงมายังล็อบบี้ ลู่เสวี่ยเฉินขับรถจี๊ปสีดำคันนั้นของฟังจือหันมาจอดรอที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว


 


 


อวี๋กานกานแนะนำพวกเขาให้รู้จักกัน


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินหน้าตาดี ย่อมต้องชอบผู้หญิงที่หน้าตาสละสลวย แต่ดีแค่หน้าตาอย่างเดียวไม่ได้ ทรวดทรงองเอวต้องดุเด็ดเผ็ดร้อนด้วย ผู้หญิงตรงหน้าไม่ว่าจะรูปโฉมหรือสรีระเหมือนกับถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ช่างมีเสน่ห์เกินจะต้านทานไหว ลู่เสวี่ยเฉินนัยน์ตาลุกวาว โบกมือทักทาย “สวัสดีครับ คนสวย”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] รำไทเก๊ก ในที่นี้หมายถึงทีท่าคลุมเครือไม่ชัดเจน อุปมากับท่ารำไทเก๊กที่ม้วนเข้าม้วนออก แขนขาพัลวันกันไปมา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 116 งานเลี้ยงรวมตัว ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยความรัก


 


 


“สวัสดีค่ะ” หลินจยาอวี่มองผู้ชายคนนี้ที่หน้าสวยยิ่งกว่าผู้หญิงด้วยสายตาเย็นชา เธอทักทายกลับเสียงเรียบจากนั้นเบือนหน้าไปทางอื่นทันที ท่าทางหมางเมินไม่สนใจ


 


 


คิ้วของลู่เสวี่ยเฉินเลิกขึ้นเลิกน้อย ค่อนข้างประหลาดใจ ถามต่อ “คนสวย เพิ่งมาถึงเหรอครับ ทำไมผมไม่เห็นคุณเดินขึ้นไปด้านบนเลย”


 


 


หลินจยาอวี่สีหน้าเย็นเยียบไม่ตอบคำถาม สายตาจดจ้องไปยังด้านหน้า เหมือนว่าจะค่อนข้างรำคาญ


 


 


อวี๋กานกานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ตอบแทนหลินจยาอวี่ “เธออยู่ข้างห้องของฉันเป็นเพื่อนบ้านฉันเอง”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉิน “อือ” ออกมาเบาๆ จากนั้นเหยียบคันเร่งออกเดินทาง ผู้หญิงคนนี้สวยสดงดงาม หุ่นก็เซ็กซี่เย้ายวน เรียกได้ว่าเป็นสาวพราวเสน่ห์คนหนึ่ง แต่นิสัยเย็นชาจนเกินไป สายตาที่สบกันเมื่อครู่ก็เย็นยะเยือก เขาชอบผู้หญิงสวย ชอบผู้หญิงเซ็กซี่ยั่วยวน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเร่าร้อนเหมือนเปลวไฟ ผู้หญิงเย็นชาแบบนี้ จืดชืดไร้สีสันเมื่ออยู่บนเตียง


 


 


ร้านอาหารหลินจยาอวี่เป็นคนเลือก เป็นภัตตาคารชั้นสูงอันเลื่องชื่อของเมืองไป๋หยาง ภัตตาคารซื่อจี้หวงจู๋ ซึ่งใช้ระบบสมาชิกวีไอพี


 


 


บรรยากาศภายในภัตตาคารงดงามและเงียบสงบ มีกลิ่นอายของความโบราณ พวกเขาไม่ได้จองโต๊ะล่วงหน้า ห้องวีไอพีเต็มหมดแล้ว พนักงานนำทางพวกเขาไปยังโต๊ะที่ติดกับหน้าต่าง เก้าอี้และโต๊ะทำจากไม้จันทน์ ฉลุเป็นลวดลายดอกไม้ เมื่อมองออกไปด้านนอกก็จะเห็นเป็นน้ำตกจำลอง มีศาลาริมน้ำ ดอกไม้ใบหญ้าประดับประดาเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกว่าเหมือนได้ออกจากเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวาย กลับมาอยู่ในชนบทอันรื่นรมย์กับครอบครัว


 


 


สิ่งที่อวี๋กานกานกลัวที่สุดก็คือเดดแอร์ อวี๋กานกานอ้ำๆ อึ้งๆ อยากจะพูดอะไรสักอย่างให้บรรยายครื้นเครงขึ้น


 


 


ฟังจือหันรายนั้นไม่พูดอะไรอยู่แล้ว หลินจยาอวี่เองก็เป็นคนไม่ค่อยพูด ก่อนหน้านี้ลู่เสวี่ยเฉินชอบพูดติดตลก แต่หลังจากที่หลินจยาอวี่หักหน้าลู่เสวี่ยเฉินไปหลายครั้ง เขาก็ดูหมดอารมณ์ไม่พูดอะไรต่ออีก ทีนี้ก็ลำบากอวี๋กานกานแล้ว เธอเองก็ไม่ใช่เป็นคนคุยเก่ง แต่ในเมื่อเธอเป็นคนจับคนพวกนี้มารวมกัน จะปล่อยให้บรรยากาศอึมครึมแบบนี้ก็คงไม่ได้


 


 


เธอพยายามหาหัวข้อสนทนา ยิ้มแล้วถามหลินจยาอวี่ “จยาอวี่ ครั้งก่อนประธานหลินบอกว่าเธอรู้จักทางในเมืองจิงเป็นอย่างดี เดือนหน้าฉันจะไปเมืองจิง เมืองจิงมีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างแนะนำให้หน่อยสิ ถึงตอนนั้นฉันจะได้ไปเดินเที่ยวเล่น” คลาสฝึกอบรมของสมาคมแพทย์แผนจีนที่ผู้อำนวยการเฉินให้เธอเข้าร่วม เริ่มเข้าชั้นเรียนตอนต้นเดือนหน้า


 


 


ไม่ต้องรอให้หลินจยาอวี่ตอบ ลู่เสวี่ยเฉินพูดขึ้นมา “เมืองจิง คุณควรจะถามคนท้องถิ่นอย่างผมนะ คุณอยากจะไปเที่ยวที่ไหนอยากกินอะไรขอแค่คุณเอ่ยปากออกมา ผมจะเป็นคนขับรถเป็นไกด์นำเที่ยวให้คุณทันที บริการอย่างดีจนคุณไม่มีวันลืมได้อย่างแน่นอน”


 


 


“คุณเป็นคนเมืองจิง?” อวี๋กานกานค่อนข้างประหลาดใจ เธอเหลือบไปมองฟังจือหันแวบหนึ่ง ลู่เสวี่ยเฉินเป็นคนเมืองจิง งั้นฟังจือหันใช่คนเมืองจิงด้วยหรือเปล่า


 


 


ฟังจือหันสบตาอวี๋กานกาน นิ้วมือลูบแก้วชา เอ่ยเสียงราบเรียบ “แม้ว่าสามีคุณจะเป็นคนเมืองจิงเหมือนกัน แต่คุณจะให้เขาเป็นคนขับรถให้พวกเราเหมือนเดิมก็ได้นะ ผมไม่ติดอะไร”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินแค่นเสียงขึ้นจมูกดังเหอะ “แซ่ฟัง ฉันไม่ได้อยากเป็นคนขับรถให้นาย ฉันอยากเป็นคนขับรถให้แค่น้องกานกาน”


 


 


อวี๋กานกานยิ้ม “ขอบคุณนะคะ คุณลู่”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินคลี่ยิ้มอบอุ่น กล่าวแบบสุภาพบุรุษ “น้องกานกาน คุณลงคุณลู่อะไรกันอย่าเรียกแบบนั้น มันดูห่างเหินกันเกินไป ผมเคยบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ ผมชื่อลู่เสวี่ยเฉิน”


 


 


เมื่อได้ยินชื่อแซ่นี้ หลินจยาอวี่ที่นั่งนิ่งมาตลอด พลันเหลือบสายตาขึ้นมามองลู่เสวี่ยเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นเลื่อนสายตาหันไปมองฟังจือหัน นัยน์ตาของหลินจยาอวี่เต็มไปด้วยความสงสัย


 


 


ฟังจือหันสัมผัสได้ถึงสายตาที่ผิดปกติ เขาสบตากับหลินจยาอวี่อยู่ครู่หนึ่ง แววตาเย็นเยียบและแหลมคม แฝงไว้ด้วยคำเตือน


 


 


หลินจยาอวี่หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน ฟังจือหันกำลังเตือนอะไรเธอ เขาไม่อยากให้อวี๋กานกานรู้ว่าตัวเองเป็นใคร? แต่สำหรับหลินจยาอวี่ อวี๋กานกานเองก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่เธอรักมาก



ตอนที่ 117 ป้อนข้าว จู่ๆ ก็สวีทหวาน


 


 


หลินจยาอวี่สีหน้าเรียบนิ่ง ไร้คลื่นอารมณ์ แต่มือที่วางอยู่ข้างลำตัวกลับกำแน่น


 


 


ฟังจือหันแต่งงานกับอวี๋กานกานแล้ว แต่กลับไม่บอกอวี๋กานกานว่าเขาเป็นใคร?


 


 


หรือว่าเขาแค่คิดเล่นๆ กับอวี๋กานกาน ไม่ได้จริงจัง?


 


 


หากเป็นแบบนี้จริงๆ หลินจยาอวี่ไม่สามารถทนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ เธอต้องบอกอวี๋กานกานให้รู้ จะได้ไม่โดนผู้ชายเลวๆ หลอกทั้งกายและใจ


 


 


หลินจยาอวี่อ้าปากกำลังจะพูด ทันใดนั้นก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “จยาอวี่” น้ำเสียงอันคุ้นเคยทำให้เธอหันศีรษะไปตามสัญชาตญาณ มองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง


 


 


ผู้มาเยือนเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวนำสมัย เครื่องสำอางบนใบหน้างดงามหมดจด ในตอนที่เธอเห็นหลินจยาอวี่เธอดีใจเป็นอย่างมาก “เป็นเธอจริงๆ ด้วย จยาอวี่” จากนั้นมองไปยังอวี๋กานกาน ฟังจือหันและลู่เสวี่ยเฉินที่นั้งโต๊ะเดียวกันกับหลินจยาอวี่ ในตอนที่มองไปยังสุภาพบุรุษทั้งสอง นัยน์ตาของเธอตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้ม “เพื่อนของเธอเหรอ”


 


 


หลินจยาอวี่ลุกขึ้นยืน แนะนำอวี๋กานกานโดยที่ข้ามลู่เสวี่ยเฉินและฟังจือหันไปโดยอัตโนมัติ จากนั้นแนะนำเพื่อนของเธอให้อวี๋กานกาน “เฉียวพั่นเอ๋อร์”


 


 


ฟังจือหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับเฉียวพั่นเอ๋อร์เป็นเพียงอากาศธาตุ แม้แต่หางตาก็ไม่ปรายมามอง


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินนั่งเท้าคาง เหลือบสายตาขึ้นมามองพั่นเอ๋อร์ครู่หนึ่งอย่างเฉื่อยชา ไม่ใช่สไตล์ที่เขาชอบ จากนั้นก้มหน้าเล่นมือถืออย่างไม่สนใจไยดี


 


 


อวี๋กานกานเห็นว่าเป็นเพื่อนของหลินจยาอวี่ จึงโบกมือทักทายและยิ้มให้ตามมารยาท “สวัสดีค่ะ คุณเฉียว”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ถูกผู้ชายทั้งสองคนเมิน เธอค่อนข้างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก มองอวี๋กานกานเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม จากนั้นเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างหยิ่งยโส แสดงท่าทีที่อยู่เหนือกว่าผู้อื่น


 


 


อวี๋กานกานอิหลักอิเหลื่อเล็กน้อย “…”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์มองหลินจยาอวี่แล้วกล่าว “เมื่อกี้ฉันเกือบนึกว่าทักคนผิดแหนะ ฉันเพิ่งกลับจากต่างประเทศเมื่อสองวันก่อนนี่เอง พอกลับมาถึงก็ได้ข่าวว่าเธอไม่สบาย ไม่อยากพบหน้าใครทั้งนั้น ฉันเป็นห่วงเธอมาก ว่าจะไปเยี่ยมเธอที่บ้าน นึกไม่ถึงว่าเธอจะนัดเพื่อนออกมากินข้าว เธอหายดีแล้วเหรอ”


 


 


หลินจยาอวี่ตอบส่งๆ “ใกล้หายแล้ว”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ทำไมเธอไม่ไปตรวจแบบครบวงจรที่โรงพยาบาลของฉันล่ะ พ่อฉันบอกว่า พ่อแม่ของเธอเชิญแต่แพทย์แผนจีนมา ฉันก็ไม่ได้อะไรนะแต่นี่มันสมัยไหนแล้ว ยังมีคนกล้าหาแพทย์แผนจีนอยู่อีกเหรอ ไม่ป่วยก็รักษาจนป่วย ร่างกายของเธอมีเชื้อโรคต้องให้แพทย์แผนปัจจุบันเป็นคนรักษา ฉันจะเล่าอะไรให้ฟังนะ ครั้งก่อนมีคนไข้คนหนึ่ง…”


 


 


อวี๋กานกานฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าหู เธอพองแก้มมองฟังจือหันที่นั่งอยู่ตรงหน้า ฟังจือหันเองก็กำลังจ้องมองมาที่เธอเช่นกัน นัยน์ตาฉายประกายความขบขัน เขาใช้ตะเกียบคีบอาหารว่างยื่นมาตรงปากของอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานไม่ทันได้ตั้งตัว เผลออ้าปากกินเข้าไป มุมปากของเธอเลอะซอสเล็กน้อย ฟังจือหันใช้ทิชชูเช็ดให้เธอ


 


 


หลินจยาอวี่ฟังสิ่งที่เฉียวพั่นเอ๋อร์พูดแล้วไม่สบายใจ เธอกลัวว่าอวี๋กานกานได้ยินแล้วจะไม่พอใจ จึงชำเลืองไปมองอวี๋กานกานด้วยความรู้สึกผิด เผอิญได้เห็นฉากนี้เข้าพอดี ดูเหมือนพวกเขาก็รักกันดี สามีของอวี๋กานกานก็ดูเหมือนเขารักอวี๋กานกานมากจริงๆ หรือว่าเธอจะคิดมากไปเอง บางทีฟังจือหันอาจจะไม่ได้ไม่อยากให้อวี๋กานกานรู้ แต่ยังไม่คิดที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดจากปากของตนเองให้อวี๋กานกานรู้


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์เห็นว่าหลินจยาอวี่เหมือนจะไม่ได้ฟังในสิ่งที่เธอกำลังพูด สายตาจดจ้องอยู่ที่ผู้ชายสองคนตรงหน้า ผู้ชายสองคนนี้รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว แต่เธอไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน พวกเขาไม่ใช่คนในแวดวงนี้อย่างแน่นอน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 118 สืบทอดรุ่นสู่รุ่น ไม่มีวันสาบสูญ


 


 


พวกเขาไม่ใช่คนในแวดวงนี้อย่างแน่นอน คงไม่ใช่ว่าหลินจยาอวี่ไปคบค้าสมาคมกับพวกแมงดาเกาะผู้หญิงกินหรอกนะ มิน่าล่ะเมื่อครู่เธอถึงไม่ยอมแนะนำพวกเขาให้เธอรู้จัก เมื่อรู้สึกว่าตนเองคาดเดาได้ถูกต้อง ทันใดนั้นเฉียวพั่นเอ๋อร์ก็ทอดถอนหายใจออกมายาวเหยียด มองหลินจยาอวี่แล้วถาม “จยาอวี่ นี่แฟนใหม่ของเธอเหรอ”


 


 


หลินจยาอวี่มองหน้าเฉียวพั่นเอ๋อร์ “ไม่ใช่”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์สีหน้าเป็นกังวล “ฉันได้ยินมาว่าใครนะบอกเลิกเธอตอนที่อยู่ขั้วโลกใต้ ฉันเคยบอกกับเธอตั้งนานแล้วว่าสถานะอย่างพวกเรา อย่าไปมักจี่กับพวกคนบ้าๆ บอๆ มีคนมากมายที่เข้าหาพวกเราเพราะฐานะ เธอต้องรู้ว่าถ้าพวกมันได้แต่งงานกับเรา นั้นหมายถึงพวกมันไม่ต้องดิ้นรนไปอีกยี่สิบปี สามารถใช้ชีวิตแบบหล่อรวยไฮโซได้อย่างสบายๆ”


 


 


อวี๋กานกานฟังเฉียวพั่นเอ๋อร์พูดแล้วค่อนข้างรู้สึกเอือมระอา แม้ว่าเธออยากจะรู้ว่าตอนไปขั้วโลกใต้เกิดเรื่องอะไรที่ทำให้หลินจยาอวี่ถึงขั้นหมดอาลัยตายอยาก แต่อวี๋กานกานก็เคยคาดเดาไว้ว่าน่าจะเป็นปัญหาความรัก ทว่าก็ไม่กล้าถามออกไปตรงๆ กลัวหลินจยาอวี่จะเสียใจ


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ดูเป็นห่วงเป็นใยหลินจยาอวี่ก็จริง แต่การที่มาพูดต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ แท้จริงแล้วเป็นการหยิบมีดมาแทงหลินจยาอวี่มากกว่า


 


 


“คือเพื่อนฉันรออยู่…” หลินจยาอวี่เอ่ยเสียงเย็น พูดขัดเฉียวพั่นเอ๋อร์


 


 


นัยน์ตาของเฉียวพั่นเอ๋อร์ปรากฏความประหลาดใจ เบื้องลึกลงไปในหัวใจเกิดความไม่พอใจพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอรู้สึกว่าตัวเองปรารถนาดี แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับ สีหน้าพลันถมึงทึง “โอเค งั้นเธอกินข้าวเถอะ เดี๋ยวสายๆ พวกเราไปหาร้านกาแฟนั่งเล่นกัน”


 


 


หลินจยาอวี่ปฏิเสธออกไปตรงๆ “ไม่ล่ะ พอดีฉันมีธุระ”         


 


 


สีหน้าของเฉียวพั่วเอ๋อร์ฉายแววความไม่พอใจอยู่แวบหนึ่ง ลังเลเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป


 


 


หลินจยาอวี่มองอวี๋กานกานแล้วกล่าว “ขอโทษที”


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบางๆ “ขอโทษฉันทำไม?” ที่เฉียวพั่นเอ๋อร์พูดเมื่อกี้ เหมือนจะแอบด่าฟังจือหันและลู่เสวี่ยเฉินว่าเป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกินมากกว่า


 


 


หลินจยาอวี่พูดเสียงเบา “เขาบอกว่าแพทย์แผนจีน…”


 


 


อวี๋กานกานยิ้ม “นั้นมันไม่มีอะไรสักหน่อย เป็นความจริงที่แพทย์แผนจีนตกต่ำ แพทย์แผนปัจจุบันแผ่ขยายความนิยม จริงๆ แล้วหลายปีมานี้สถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีการประยุกต์เอาแผนแพทย์จีนและแพทย์ปัจจุบันมารวมกันแล้ว”


 


 


ตอนคุณปู่ยังมีชีวิตอยู่ มีอยู่หลายปีที่แพทย์แผนจีนเรียกว่าตกต่ำได้จริงๆ ผู้คนโพสต์ข้อความโจมตีแพทย์แผนจีนมีให้เห็นเป็นประจำ ยกกรณีตัวอย่างที่แพทย์แผนจีนรักษาผิดพลาดยาวเป็นขบวน จนถึงขนาดที่ว่ามีคนยื่นเรื่องเสนอรัฐบาลให้ยกเลิกศาสตร์แพทย์แผนจีน และแน่นอนก็เป็นเพราะว่ามักมีคนแอบอ้างใช้ชื่อแพทย์แผนจีนมารักษาผู้คน ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย


 


 


ตอนนั้นอวี๋กานกานอ่านข่าวเหล่านี้ เธอโมโหเป็นอย่างมาก แต่คุณปู่พูดกับเธออย่างสุขุมเยือกเย็น “หลังจากนี้หนูจะได้พบกับเรื่องทำนองนี้อีกมาก แต่อย่าได้โกรธไปเลย ไม่สู้เอาเวลาที่โกรธอยู่ไปคิดวิธีรักษาผู้คน คิดวิธีที่จะทำอย่างไรให้ศาสตร์ของแพทย์แผนจีนสืบทอดต่อไปได้ไม่ดีกว่าหรือ หนูต้องเชื่อมั่นว่าแพทย์แผนจีนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติจีน ได้รับการสืบทอดจากอีกรุ่นสู่อีกรุ่น เป็นเฉกเช่นนี้ต่อไป ไม่มีวันสาบสูญอย่างแน่นอน”


 


 


น้ำเสียงอบอุ่น รอยยิ้มอันมีเมตตา แต่กลับให้ความรู้สึกที่ฮึกเหิม แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของแพทย์แผนจีนค่อนข้างจะน่ากลุ้มใจ แต่ต้องมีสักวันที่แพทย์แผนจีนจะโชติช่วงชัชวาลขึ้นมา


 


 


คุณปู่มีลูกศิษย์มากมาย เธอไม่ใช่คนที่ดีเลิศที่สุด แต่เธอจะเป็นลูกศิษย์คนที่รักษาไว้ซึ่งเจตนารมณ์ของคุณปู่ไว้อย่างถึงที่สุด


 


 


ทันใดนั้นลู่เสวี่ยเฉินก็ถามขึ้นมา “แซ่เฉียว ถ้างั้นโรงพยาบาลเด็กและสตรีเฉียวซาน โรงพยาบาลป๋อจือ โรงพยาบาลศัลยกรรมความงามพั่นเอ๋อร์อะไรพวกนี้ ก็เป็นของคนตระกูลเฉียวหมดเลยนะสิ?”


 


 


หลินจยาอวี่มองหน้าลู่เสวี่ยเฉิน จากนั้นพยักหน้าน้อยๆ


 


 


อวี๋กานกานขมวดคิ้วเล็กน้อย “…”


 


 


โรงพยาบาลเด็กและสตรีเฉียวซาน โรงพยาบาลป๋อจือ โรงพยาบาลศัลยกรรมความงานพั่นเอ๋อร์ โรงพยาบาลสองสามที่นี้…ประวัติคนไข้ของอาจารย์ที่ถูกเก็บไว้ในกล่องใบนั้นเหมือนว่าจะมีหลายใบที่เป็นของโรงพยาบาลเหล่านี้ 



ตอนที่ 119 ผมชอบผู้หญิงแบบนี้


 


 


หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ อวี๋กานกานจะไปหาเหอหว่านซิน ฟังจือหันอาสาไปส่งเธอ ปล่อยให้ลู่เสวี่ยเฉินและหลินจยาอวี่กลับกันเอง


 


 


หลินจยาอวี่เองก็ไม่ได้ใส่ใจ “ไม่เป็นไร ฉันจะกลับบ้านอยู่พอดี”


 


 


อวี๋กานกานกุมมือหลินจยาอวี่ “กลับบ้านไปเยี่ยมประธานหลินและหลินฮูหยินสักหน่อยนะ กินข้าวเย็นกับพวกท่านสักมื้อ” รับความรักจากคนในบ้าน ความอบอุ่นจากคนในครอบครัว หลินจยาอวี่จะต้องกลับมามีชีวิตชีวามีความปรารถนาในการใช้ชีวิตได้อีกครั้งอย่างแน่นอน


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินค่อนข้างหัวเสีย สีหน้าบูดบึ้งชี้ท้ายรถของฟังจือหันพร้อมทั้งตะโกนด่า “แซ่ฟัง ชาติที่แล้วฉันคงทำกรรมไว้เยอะถึงได้มารู้จักกับนาย”


 


 


หลินจยาอวี่ปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นให้ยามหน้าประตูช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้ บังเอิญเหลือเกินก่อนหน้านี้เจอเฉียวพั่นเอ๋อร์ที่ห้องอาหาร ตอนนี้ยังเจอเธออีกครั้งตรงหน้าประตูอีก


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์เดินมาพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ตาโตจมูกโด่งคางแหลม ดูๆ แล้วก็สวยดี แต่ติดตรงคางแหลมที่ไปหน่อยจนเหมือนค้อน


 


 


ผู้หญิงคนนั้นเมื่อเห็นหลินจยาอวี่ก็หน้าบึ้งตึงทันที เฉียวพั่นเอ๋อร์เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกับหลินจยาอวี่กำลังจะเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ สายตาของเธอฉายแววความซับซ้อน ก่อนจะรีบเดินไปตรงกลางบังวิสัยทัศน์ของผู้หญิงคนนั้นไว้ “ชิวชิว รถตอนอยู่ตรงโน้น พวกเราเดินไปทางนี้ดีกว่านะ”


 


 


ผู้หญิงที่ชื่อชิวชิวไม่ขยับ จ้องหลินจยาอวี่เขม็ง ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าหลินจยาอวี่อกหักรักคุด ล้มป่วย วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน ใช้ชีวิตเหมือนซอมบี้ไม่ใช่หรือ เพราะเหตุนี้เธอจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง


 


 


พอตอนนี้ได้มาเจอกับหลินจยาอวี่อีกครั้ง ทำไมถึงยังเป็นหลินจยาอวี่คนนั้นคนเดิมที่ทุกคนคุ้นเคย เย่อหยิ่งจองหอง เย็นชาสง่างาม เธอสะบัดมือของเฉียวพั่นเอ๋อร์ที่จับแขนของเธออยู่ออก พุ่งเข้าไปหาหลินจยาอวี่ หน้ายิ้มเนื้อไม่ยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงถากถาง “หลินจยาอวี่”


 


 


 สำหรับเฉียวพั่นเอ๋อร์หลินจยาอวี่ยังให้ความเกรงใจอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ยังไว้หน้า แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ หลินจยาอวี่เบือนหน้าไปทางอื่น จงใจเมินอย่างสิ้นเชิง เห็นเธอเป็นเพียงแค่อากาศธาตุ


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ค่อนข้างกระอักกระอ่วน เอ่ยเสียงเบา “ชิวชิว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”


 


 


ชิวชิวกลั้วหัวเราะเสียงเย็น “หึหึ ตอนนี้ก็ยังไม่ให้ฉันพูด ตอนแรกที่ฉันโดนแย่งแฟน ทำไมไม่เห็นมีใครสนใจความรู้สึกของฉันบ้าง”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินยืนพิงอยู่ตรงหน้าประตู มองดูละครฉากเด็ดของผู้หญิงสามคนนี้ด้วยความสนอกสนใจ สถานที่ที่มีผู้คนคือยุทธภพ สถานที่ที่มีสตรีคือสงคราม


 


 


หลินจยาอวี่มองชิวชิวด้วยสายตาเย็นยะเยือก “แย่งแฟนเธอ? เธอไปเป็นแฟนเขาตอนไหนไม่ทราบ? คุ้นๆ ว่าหลังจากที่เขาเห็นใบหน้าที่ศัลยกรรมมาจนเหมือนแม่มดของเธอ เขาก็ตกใจกลัวจนฝันร้าย”


 


 


คำพูดนี้ทำให้ชิวชิวโกรธจนหน้าแทบจะเบี้ยว เธอกันฟัดกรอด แค่นหัวเราะออกมา “เธอเก่ง เลิศเลอสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ว่าเธอก็ถูกเขาทิ้งมาเหมือนกันหรอกเหรอ ผู้หญิงอย่างเธอที่วันๆ ใช้จมูกชี้หน้าคนอื่น คู่ควรแค่กับพวกผู้ชายที่ชอบเงินของเธอเท่านั้นแหละ” พูดพลางยื่นมือออกมาชี้ไปที่ลู่เสวี่ยเฉิน “นอกจากแมงดาอย่างหมอนั้นแล้ว ยังมีใครรับนิสัยเสียๆ ของเธอได้อีก” ทั้งยังปรายตาไปมองลู่เสวี่ยเฉินด้วยสายตาเหยียดหยามขั้นสูงสุด


 


 


ลู่เสวี่ยเฉิน “…”


 


 


เกี่ยวอะไรกับฉัน? เผือกอยู่ดีๆ ก็ถูกเผือกหล่นทับเสียอย่างงั้น เขาลู่เสวี่ยเฉินชายหนุ่มในฝันของสาวเมืองจิงนับร้อยล้านคน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มักถูกสาวๆ จำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมเป็นดาวล้อมเดือน


 


 


วันนี้เขาสวมชุดสูทราคาแพงตั้งแต่หัวจรดเท้า หล่อเหลาองอาจ เหมือนแมงดาตรงไหน?


 


 


ในตอนที่หลินจยาอวี่กำลังจะเถียงกลับ ทันใดนั้นก็มีแขนยื่นออกมาจากทางด้านข้างวางไว้บนไหล่ของเธอ พร้อมกับน้ำเสียงอันธพาลดังขึ้น “ขอโทษนะครับ พอดีผมชอบผู้หญิงสไตล์สวยเย็นชา ต่อให้ผมไม่ได้แต่งกับสาวงามพริ้งแบบนี้ ผมก็ไม่มีทางชอบผู้หญิงที่ศัลยกรรมจนหน้าแปลกประหลาดเหมือนแม่มดอย่างคุณ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 120 ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจจริงๆ


 


 


หลินจยาอวี่แข็งทื่อไปทั้งตัวเนื่องจากตกใจ เธออยากจะผลักลู่เสวี่ยเฉินออก แต่หัวไหล่ถูกโอบไว้อย่างแน่นหนา


 


 


ชิวชิวโกรธจนหน้าบูดหน้าเบี้ยว “แก…แกคิดว่าแกเป็นใครกัน เป็นแค่แมงดากล้าต่อปากกับฉันงั้นเหรอ ฉันฝากไว้ก่อนเถอะ” เธอหมุนตัวเดินกระทืบรองเท้าส้นสูงจากไปด้วยความโมโห


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์กล่าวขอโทษหลินจยาอวี่ “จยาอวี่ ขอโทษนะ ถ้าฉันรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ฉันคงไม่เล่าให้ชิวชิวฟังว่าฉันเจอเธอ ถ้างั้นฉันช่วยให้พวกเธอ…”


 


 


หลินจยาอวี่พูดขัด “ไม่จำเป็น”


 


 


ไม่ต้องให้ใครพูดแทนใครทั้งนั้น คำปลอบโยนที่เฉียวพั่นเอ๋อร์มักจะพูดอยู่เป็นประจำ เหมือนจะทำให้ชิวชิวโกรธยิ่งกว่าเดิมมากว่า


 


 


“ถ้างั้นจยาอวี่ฉันไปหาชิวชิวก่อนนะ พวกเราไว้คุยกันวันหลัง…” เฉียวพั่นเอ๋อร์รีบเดินตามหลังของชิวชิวไป


 


 


“ปล่อย” หลินจยาอวี่รอจนพวกนั้นลับสายตาไปแล้ว จากนั้นฟาดฝ่ามือลงไปที่แขนของลู่เสวี่ยเฉินที่อยู่ตรงหัวไหล่ของเธอทันที


 


 


“ผมช่วยคุณด้วยความปรารถนาดีนะ” ลู่เสวี่ยเฉินมองแขนด้านที่ถูกตีจนแดงเจ็บของตนเอง เธอมีสิทธิ์อะไรมาทำหน้าบึ้งตึงใส่เขา ความโกรธพรั่งพรูออกมาโดยพลัน ลู่เสวี่ยเฉินแค่นเสียงดังหึ “ไม่รู้จักบุญคุณ”


 


 


“ใครขอให้นายช่วย” หลินจยาอวี่ตีหน้าขรึม สีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก้าวขึ้นรถแท็กซี่ที่มารับเธอ


 


 


ลู่เสวี่ยเฉิน “…”


 


 


ผู้หญิงเย็นชาคนนี้นี่น่าเบื่อจริงๆ มิน่าล่ะถึงโดนผู้ชายทิ้งในที่หนาวเหน็บอย่างขั้วโลกใต้ ช่างเถอะ ถือว่าเธออกหัก ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาไม่ถือสาสุภาพสตรี


 


 


เดี๋ยวนะ…เมื่อครู่เหมือนเขาจะกอดหลินจยาอวี่อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกต่อต้าน ลู่เสวี่ยเฉินดวงตาเป็นประกาย หลังจากที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นแล้ว จากนั้นพยายามลืมมันอย่างสุดความสามารถ แบบนี้ไม่นานต้องกลับมาเป็นปกติได้อย่างแน่นอน น้องกานกานหมายถึงแบบนี้หรือเปล่า


 


 


สุดยอดไปเลย!


 


 



 


 


อวี๋กานกานและฟังจือหันมาถึงที่อยู่อาศัยของลุงใหญ่แล้ว เธอกลุ้มใจตลอดทั้งทางที่มา ลุงใหญ่กล้าที่จะลักพาตัวเธอแล้ว ถ้างั้นก็ไม่แน่ว่าลุงใหญ่เองก็กล้าที่จะลักพาตัวอาจารย์ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเธอห้ามโผงผางบุกเข้าไปคาดคั้นลุงใหญ่ ห้ามถามว่าเขาต้องการทำอะไร ถึงขั้นที่ต้องลักพาตัวเธอ ยิ่งไม่ควรกล่าวหาว่าเขาลักพาตัวอาจารย์ไป เพราะถ้าอาจารย์โดนพวกเขาจับตัวไปจริงๆ หากเธอบุ่มบ่ามแบบนี้จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น อาจจะทำให้อาจารย์หายสาบสูญไปตลอดกาลก็ได้ เสียงในเทปบันทึกเป็นเสียงของเหอหว่านซิน ครั้งนี้เธอไม่ควรจะไปคิดบัญชีกับลุงใหญ่ตรงๆ ควรจะลองถามแย้มๆ เหอหว่านซินดูก่อน เหอหว่านซินแค่ถูกเธอยั่วยุนิดๆ หน่อยๆ ก็ปิดบังความลับไว้ไม่อยู่แล้ว


 


 


รถจี๊ปอยู่ใต้คอนโดของลุงใหญ่ยังจอดได้ไม่สนิทดี ทันใดนั้นอวี๋กานกานเห็นเหอหว่านซินเดินออกมาจากคอนโด จากนั้นเดินเข้าไปในรถเตรียมตัวจะไปที่ไหนสักแห่ง


 


 


“เธอจะไปไหน?”


 


 


“ไม่รู้” ฟังจือหันตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อุณหภูมิ


 


 


อวี๋กานกานกำลังคิดว่าจะคิดบัญชีกับเหอหว่านซินแค่คนเดียวก่อน ยังไม่อยากจะแตกหักกับตาจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดี อวี๋กานกานอยากจะลงจากรถเดี๋ยวนี้ แต่ประตูรถยังล็อกอยู่ เธอจับแฮนด์เปิดประตูรถดึงเข้าดึงออกพร้อมทั้งกล่าวอย่างร้อนรน “รีบปลดล็อกประตูรถสิ เหอหว่านซินจะไปแล้วนะ”


 


 


รถยนต์ของเหอหว่านซินที่อยู่ด้านหน้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ ฟังจือหันเองก็เหยียบคันเร่งขับตามไปเช่นกัน “นั่งดีๆ”


 


 


“นายจะทำอะไร”


 


 


“ขับตามไป”


 


 


อวี๋กานกานนึกว่าขับตามไปที่ฟังจือหันพูดจะเหมือนกับภาพยนตร์แนวแข่งรถ ดริฟต์แบบเท่ๆ เข้าไปปาดหน้ารถเหอหว่านซิน สกัดกั้นเส้นทางที่มุ่งจะไป แต่เธอคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าขับตามไปของฟังจือหันคือการเหยียบคันเร่งเข้าไปตรงๆ จนมิดไมล์ พุ่งเข้าชนรถของเหอหว่านซินอย่างอุกอาจเ**้ยมเกรียม


 


 


อวี๋กานกานช็อกไปเรียบร้อย อ้าปากค้างดวงตาเบิกโต “…”


ตอนที่ 121 ฟังจือหันโหดเ**้ยมจริงๆ!


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของฟังจือหันทั้งเคร่งขรึมและร้ายกาจ ราวกับค่ำคืนก่อนวันที่ลมฝนจะโหมกระหน่ำ ดวงตาที่เย็นชามาโดยตลอดฉายประกายแสงแห่งความโกรธเกรี้ยว


 


 


รถจี๊ปสีดำภายนอกดูเหมือนเก่าและผุพัง แต่กลับแข็งแรงทนทานเป็นอย่างยิ่ง ชนรถของเหอหว่านซินที่อยู่ด้านหน้าจนกระโปรงหลังนูนโก่งออกมา แต่รถจี๊ปกลับมีเพียงรอยขีดข่วน เนื่องจากทั้งอวี๋กานกานและฟังจือหันเตรียมตัวก่อนที่จะพุ่งเข้าชน ร่างกายจึงโน้มไปด้านหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เหอหว่านซินที่อยู่ในรถด้านหน้าถูกชนจนร่างกายพุ่งไปด้านหน้าอย่างแรง โชคดีที่เข็มขัดนิรภัยช่วยรั้งร่างกายของเธอเอาไว้ ไม่เช่นนั้นศีรษะของเธอต้องโขกเข้ากับพวงมาลัยจนเลือดตกยางออกเป็นแน่แท้


 


 


เหอหว่านซินตกใจเป็นอย่างมาก กรีดร้องเสียงดังด้วยความหวาดผวา “กรี๊ด!”


 


 


ทีแรกเธอนึกว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุชนท้ายรถทั่วไป แต่หลังจากที่ลงจากรถแล้วเห็นฟังจือหันและอวี๋กานกานนั่งอยู่ในรถจี๊ป เธอก็มั่นใจได้อย่างทันทีว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุทางรถยนต์ธรรมดาๆ แต่เป็นฟังจือหันและอวี๋กานกานจงใจขับพุ่งเข้ามาชนรถเธอ


 


 


เมื่อเห็นกระโปรงหลังรถยนต์แสนรักแสนหวงของตัวเองถูกชนยับยู่ยี่ เหอหว่านซินเจ็บปวดหัวใจ ความโกรธพุ่งปรี๊ด กระฟัดกระเฟียดกรีดร้องออกมาเสียงดัง “อวี๋กานกาน แกทำอะไรของแก เป็นบ้าเหรอ”


 


 


“ลงมาจากรถเดี๋ยวนี้!” เหอหว่านซินกระทืบเท้าชี้หน้าอวี๋กานกานที่นั่งอยู่ในรถ มือทุบกระโปรงรถจี๊ปอย่างแรงอยู่หลายครั้ง สุดท้ายยังถีบแถมให้อีกหนึ่งที หลังจากระบายอารมณ์เสร็จแล้ว ในตอนที่เหอหว่านซินเหลือบสายตาขึ้นมา เธอสบตาเข้ากับฟังจือหันอย่างพอดี ทันใดนั้นพลันรู้สึกเสียววาบไปทั่วสันหลัง


 


 


แววตาของชายหนุ่มเย็นยะเยือกราวกับธารน้ำแข็งพันปี ทั้งยังเต็มไปด้วยรังสีเ**้ยมโหด


 


 


หัวใจของเหอหว่านซินบีบเกร็ง จู่ๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เธอกำหมัดแน่น มีอะไรต้องกลัวก็แค่ผู้ชายเกาะผู้หญิงกินคนหนึ่งที่ไม่มีทั้งเงินและอำนาจ


 


 


อวี๋กานกานตกใจกลัวจนขนลุก นั่งนิ่งอึ้งเหม่อลอยอยู่ในรถ จนกระทั่งเสียงโวยวายของเหอหว่านซินดังขึ้นถึงได้สติคืนกลับมา เธอยื่นมือออกไปจะเปิดประตูรถแต่ประตูยังคงถูกล็อกไว้อยู่ อวี๋กานกานกำลังจะอ้าปากบอกฟังจือหันให้ปลดล็อกประตู กลับพบว่ารถได้เคลื่อนตัวอีกครั้ง เธอหันไปมองฟังจือหันที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความตกใจ ใบหน้าหล่อเหลาของเขายังเย็นชาเหมือนอย่างเคย ในแววตาที่จ้องมองไปยังเหอหว่านซินแฝงไว้ได้ไอสังหารเย็นเยียบ


 


 


ฟังจือหันถอยรถไปด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นเหยียบคันเร่งพุ่งใส่รถของเหอหว่านซินอีกครั้ง ส่วนท้ายของรถถูกชนจนเละเทะ กระโปรงหลังห้อยโตงเตงก่อนจะร่วงลงพื้น


 


 


ครั้งนี้อวี๋กานกานไม่ตกใจ ในตอนที่เธอมองไปยังฟังจือหันในใจของเธอมีความรู้สึกว่าแค่นี้มันยังไม่พอ


 


 


ฟังจือหันโหดเ**้ยมจริงๆ!


 


 


ส่วนเหอหว่านซินที่อยู่ด้านนอกตกใจกลัวจนสติเตลิดเปิดเปิงไปเรียบร้อย กรีดร้องเสียงดังลั่นรีบวิ่งถอยไปด้านหลังไกลลิบ กลัวว่ารถจะพุ่งมาชนตัวเอง ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


“จะถามเธอเรื่องลักพาตัวไม่ใช่เหรอ” ฟังจือหันเอ่ยปากถามขึ้นมา น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้อุณหภูมิ ความหมายของประโยคนี้ก็คืออวี๋กานกานสามารถลงจากรถได้แล้ว


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า


 


 


ฟังจือหันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “…มาดของคุณล่ะ?”


 


 


อวี๋กานกานชะงักไปเล็กน้อย กระแอมออกมาเบาๆ เชิดหน้าขึ้น รวบรวมมาดของตนเองกลับมา จากนั้นจึงเปิดประตูลงจากรถ


 


 


เหอหว่านซินตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลท่วมตัว สีหน้าจุดหนึ่งเป็นสีเขียวอีกจุดหนึ่งเป็นสีขาว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด ปากสั่นหงึกๆ จนกระทั่งเห็นอวี๋กานกานเดินลงมาจากรถ เธอถึงรวบรวมสติฟื้นคืนกลับมาได้ เหอหว่านซินทั้งโกรธทั้งเสียใจระเบิดอารมณ์ออกมา “อวี๋กานกาน แกเป็นบ้าเหรอ เป็นบ้าก็ไปหาหมอ นังบ้า นังโรคจิต รถชั้นเพิ่งซื้อได้ไม่นาน แกรู้ไหมว่าราคาเท่าไร กล้าดียังไงมาชนรถฉันจนพังเละเทะ ถ้าพวกแกอยากตายเพื่อบูชาความรัก โน้นไปขับรถขึ้นหน้าผาสูงๆ แล้วพุ่งลงมา ฉันรับประกันว่าพวกแกจะต้องได้ตายอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร อย่าได้มาเป็นภัยสังคมอยู่ตรงนี้ พวกแกไม่รู้หรือไงว่าพุ่งชนเข้ามาส่งเดชแบบนี้มันอันตรายถึงชีวิต!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 122 จริงหรือปลอม ละครหรือของจริง


 


 


เหอหว่านซินเมื่อครู่กลัวมากเท่าไร ความโกรธตอนนี้ก็มากเท่านั้น เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ควันออกจากทวารทั้งเจ็ด[1] ตะโกนด่าเสียงดังสนั่นพร้อมทั้งพุ่งเข้ามาหาอวี๋กานกานง้างฝ่ามือขึ้น


 


 


อวี๋กานกานรวบแขนของเหอหว่านซิน จากนั้นออกแรงผลักอย่างแรงจนเหอหว่านซินล้มลงไปกองข้างรถที่ถูกชนจนพังยับเยิน


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเย็น “เธอก็รู้นี่ว่าแค่ผิดพลาดนิดเดียวก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ งั้นตอนที่เธอสั่งให้คนมาลักพาตัวฉัน ทำไมถึงไม่คำนึงข้อนี้บ้าง”


 


 


เหอหว่านซินสะดุ้ง เธอเกาะรถตะเกียกตะกายตัวเองขึ้นมา จากนั้นด่าเสียงดังสนั่น “แกพูดเรื่องเหลวไหลอะไร ลักพาตัวบ้าบออะไรอีก ฉันจะบอกให้เอาบุญอย่าคิดว่าแค่พูดจามั่วๆ ซั่วๆ แล้วฉันจะยอมทำเหมือนเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ถ้าแกไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้ฉัน ฉันจะแจ้งความจับแก”


 


 


อวี๋กานกานกลั้วหัวเราะแล้วพยักหน้า “เยี่ยม เอาเลย รีบแจ้งความเรียกตำรวจมาเลย เธอน่าจะไม่รู้สินะ ว่าคนที่มาลักพาตัวฉันวันนั้นพวกเขาได้อัดเทปเสียงสนทนากับผู้จ้างวานไว้ ฉันฟังแล้วเป็นเสียงของเธอไม่ผิดแน่ แจ้งความก็ดีพวกเราไปสถานีตำรวจพร้อมกันให้ตำรวจพิสูจน์ว่าเสียงในเทปนั้นใช่เสียงของเธอหรือเปล่า จะได้พิสูจน์ด้วยว่าฉันได้ใส่ร้ายเธอจริงไหม”


 


 


เหอหว่านซินลุกลี้ลุกลน แข็งทื่อไปทั้งตัว น้ำเสียงสั่นคลอน “กะ กะ กะ แก…”


 


 


อวี๋กานกานเห็นว่าเหอหว่านซิน “กะ กะ กะ” อยู่นานสองนานไม่พูดออกมาสักที เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาพร้อมกับพูดว่า “อย่าเอาแต่เรียกฉะ ฉะ ฉะ ฉันสิ สรุปเธอจะแจ้งความไหมเนี่ย ถ้าเธอไม่แจ้งฉันแจ้งเอง…”


 


 


อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเปรียบเทียบกับลักพาตัวแล้ว ข้อหาไหนหนักข้อหาไหนเบา อวี๋กานกานเชื่อว่าเหอหว่านซินรู้อยู่แก่ใจดี และอีกอย่างเหอหว่านซินไม่กล้าแจ้งความอย่างแน่นอน เพราะเธอกำลังสั่นเทา กำลังหวาดกลัว กลัวถึงขนาดที่ว่าแม้แต่จังหวะหายใจก็เริ่มติดๆ ขัดๆ แล้ว


 


 


ในตอนที่เหอหว่านซินอับจนหนทาง เธอเห็นลุงใหญ่กำลังเดินลงมาจากคอนโดอย่างรีบร้อน พลันร้องไห้โฮขึ้นมาทันที “พ่อ พ่อดูอวี๋กานกานสิ มันสั่งให้สามีมันขับรถชนรถหนู มันจะฆ่าหนู โหดเ**้ยมเกินไปแล้ว ฮื่อๆ” เหอหว่านซินร้องไห้อย่างน่าสังเวชไม่สนใจภาพลักษณ์โผเข้าหาลุงใหญ่


 


 


ลุงใหญ่มองไปยังรถที่ชนกัน พลางมองลูกสาวที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม คิ้วของเขาขมวดแน่นเป็นปม ถามอย่างโกรธเกรี้ยว “กานกาน นี่หนูทำอะไร!”


 


 


“ทำอะไร คำถามนี้ต้องถามพี่นะคะ” อวี๋กานกานพูดกับลุงใหญ่อย่างเย็นชา “ลุงใหญ่ ลุงคิดว่าสั่งให้คนมาลักพาตัวหนู แล้วหนูจะยอมเปิดพินัยกรรมของคุณปู่แต่โดยดีงั้นเหรอคะ หนูขอยืนยันไว้ตรงนี้เดี๋ยวนี้เลยว่าไม่มีทาง!”


 


 


นัยน์ตาของลุงใหญ่ฉายประกายความประหลาดใจครู่หนึ่ง “ลักพาตัว?”


 


 


“ลุงใหญ่ไม่รู้?” อวี๋กานกานไม่แน่ใจว่าลุงใหญ่กำลังเล่นละครตบตาเธออยู่หรือเปล่า แต่ปฏิกิริยาของลุงใหญ่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ เธอชี้ไปที่เหอหว่านซินพลางกล่าว “ลุงใหญ่ ลุงถามพี่ดูสิคะว่าเธอทำอะไรลงไป ทางตำรวจยังมีเทปเสียงตอนที่เธอคุยโทรศัพท์กับโจรลักพาตัวอยู่ด้วย”


 


 


ลุงใหญ่นิ่งอึ้งไป ก่อนจะตวาดใส่เหอหว่านซินด้วยความโมโหโกรธา “นังลูกโง่ แกทำเรื่องบ้าอะไรลงไปอีกแล้วฮะ” จากนั้นเงื้อฝ่ามือตบเข้าไปที่หน้าของเหอหว่านซินอย่างจัง


 


 


เหอหว่านซินถูกตบจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม “พ่อ…”


 


 


อวี๋กานกานไม่แน่ใจจริงๆ ว่านี่เป็นการแสดงหรือของจริง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าว “ลุงใหญ่คะ ครั้งนี้หนูจะถือว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย!” อวี๋กานกานหมุนตัว ไม่อยากจะมองภาพตรงหน้าที่เหมือนจะแสดงแต่ก็เหมือนไม่ได้แสดงนี้อีก


 


 


ฟังจือหันยืนอยู่ข้างหลังเธอออกไปไม่ไกล เขาไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเพียงแค่พูดกับเธอว่า “คุณขึ้นรถไปก่อน”


 


 


อวี๋กานกานมองดวงตาของฟังจือหันที่จ้องมองเหอหว่านซินและลุงใหญ่ เป็นสายตาที่ไร้อุณหภูมิเย็นเยียบ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ มองฟังจือหันเดินไปด้านหน้า ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับลุงใหญ่และเหอหว่านซิน สีหน้าของสองพ่อลูกจู่ๆ ก็ขาวซีดราวกับหิมะอย่างเฉียบพลัน อีกทั้งร่างกายยังสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


 


 


——


 


 


[1] ทวารทั้งเจ็ด ประกอบด้วย ตาสอง หูสอง จมูกสอง และปากหนึ่ง


ตอนที่ 123 เธอไม่ใช่คนที่พวกคุณมีสิทธิ์แตะต้อง!


 


 


ฟังจือหันกลับเข้ามานั่งในรถ เบ้ปากให้อวี๋กานกานจากนั้นขับรถออกไปจากคอนโดของลุงใหญ่


 


 


ทั้งลุงใหญ่และเหอหว่านซินไม่มีใครกล้าตามระรานเอาเรื่องอะไรอีก ไม่ต้องพูดถึงค่าชดเชยที่ชนรถอะไรนั่น แม้แต่สายตาเคียดแค้นก็ยังไม่มีส่งมาให้


 


 


รถยนต์ขับเคลื่อนอยู่บนถนนอย่างมั่นคง ออกจากบริเวณคอนโดของลุงใหญ่ได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ฟังจือหันก็ยังไม่ได้บอกอวี๋กานกานว่าตอนสุดท้ายเขาได้พูดอะไรกับลุงใหญ่ อวี๋กานกานสงสัยเป็นอย่างมาก อยากถามแต่ก็ไม่กล้า เธอหายใจเข้า เอ่ยเสียงเบา “แม้ว่าเมื่อครู่ที่คุณชนรถของเหอหว่านซินจะเท่ระเบิดระเบ้อ สง่างามน่าเกรงขามสุดๆ แต่มันก็น่ากลัวมากจริงๆ วลีที่ว่าสังหารศัตรูหนึ่งพันนาย สูญเสียกำลังพลแปดร้อย[1]นายใช้กับสถานการณ์นี้ได้ดี รถของเหอหว่านซินพังก็จริง แต่รถนายก็ได้รับความเสียหายเหมือนกัน อีกทั้งหากผิดพลาดจนทำให้คนอื่นพิการขึ้นมานายจะทำยังไง”


 


 


ฟังจือหันมีท่าทีเคร่งขรึมและเย็นชา เอ่ยเสียงเรียบ “มีแต่วิธีนี้ที่จะทำให้เขาจำขึ้นใจได้ว่ามีคนบางคนที่เขาไม่มีสิทธิ์แตะต้อง”


 


 


เมื่ออวี๋กานกานได้ยินภายในใจพลันรู้สึกวูบไหว ที่ฟังจือหันขับรถพุ่งเข้าชนรถของเหอหว่านซิน เป็นเพราะเหอหว่านซินจ้างคนให้มาลักพาตัวเธอ? เป็นการตักเตือนและการตอบโต้กลับ


 


 


หากเหอหว่านซินเป็นผู้ชาย คาดว่าฟังจือหันน่าจะสั่งคนไปอัดเหอหว่านซินสักชุด แต่เหอหว่านซินเป็นผู้หญิง ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาจะต่อยผู้หญิงก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงขับรถพุ่งชนแทน นี่เป็นวิธีที่เ**้ยมโหดที่สุดและเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สามารถทำให้อีกฝ่ายจำจนฝังใจ


 


 


อวี๋กานกานยกมือทั้งสองขึ้นมาประกบที่ใบหน้าของตัวเอง อดทนอดกลั้นอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวหันศีรษะไปถาม “งั้นเมื่อกี้ก่อนที่นายออกมา นายพูดขู่อะไรพวกเขาเหรอ พวกเขาถึงได้กลัวขนาดนั้น?”


 


 


ฟังจือหันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ก่อนที่จะออกมาผมพูดเรื่องหนึ่งกับพวกเขา”


 


 


“พูดเรื่องอะไร ทำไมพวกเขาถึงตกใจกลัวจนหน้าซีดเซียวแบบนั้น” อวี๋กานกานนึกถึงตอนที่เธอเตือนลุงใหญ่กับเหอหว่านซินว่า ‘ไม่มีครั้งหน้า’ ลุงใหญ่และเหอหว่านซินดูไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย แต่เมื่อครู่ตอนที่ฟังจือหันพูดกับพวกเขา ไม่ต้องเอ่ยถึงเหอหว่านซิน รายนั้นเป็นคนใจเสาะอยู่แล้ว ทว่าแม้แต่จิ้งจอกเฒ่าอย่างลุงใหญ่ยังช็อกจนนิ่งค้างไป


 


 


ฟังจือหันตอบ “พูดเรื่องที่พวกเขากลัว”


 


 


เรื่องที่พวกเขากลัว? อวี๋กานกานนึกถึงอาจารย์ของเธอขึ้นมาทันที “เรื่องน่ากลัวอะไร ใช่เรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนหรือเปล่า ใช่ไม่ใช่เรื่องที่เพียงแค่แจ้งความก็สามารถจับลุงใหญ่เข้าคุกได้?” หัวใจของอวี๋กานกานบีบแน่นอย่างฉับพลัน เธอมองฟังจือหันด้วยสายตาร้อนรน ขยับริมฝีปากอยากถามว่า พวกเขาลักพาตัวอาจารย์ของเธอไปใช่ไหม ถึงได้แสดงอาการหวาดกลัวเช่นนี้


 


 


“จริงๆ แล้วที่ฉันยังไม่แตกหักถึงขั้นตัดขาดกับลุงใหญ่ สาเหตุมาจากอาจารย์ของฉัน ในเมื่อนายบอกว่าตัวเองเป็นสามีของฉัน นายก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าฉันและลุงใหญ่พวกเราไม่ถูกกัน และแน่นอนนายต้องรู้ว่าฉันมีอาจารย์ ยิ่งไปกว่านั้นนายน่าจะรู้ว่าอาจารย์ของฉันหายตัวไป และที่ฉันกำลังสงสัยอยู่ก็คือลุงใหญ่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า เพราะฉะนั้นฉันถึงไม่กล้าบุ่มบ่าม หดมืองอเท้า[2]”


 


 


อวี๋กานกานไม่เคยพูดถึงอาจารย์ของเธอกับฟังจือหัน นี่เป็นครั้งแรก


 


 


นิ้วมือเรียวยาวของฟังจือหันเคาะพวงมาลัยเบาๆ สองที จากนั้นกล่าว “การหายตัวไปของอาจารย์คุณ ลุงใหญ่ของคุณน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”


 


 


แม้ว่าฟังจือหันจะพูดว่า ‘น่าจะ’ ทว่าน้ำเสียงกลับมั่นใจเป็นอย่างมาก


 


 


อวี๋กานกานจ้องเขาเขม็ง ไม่ปล่อยอาการทางสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ บนใบหน้าของเขาหลุดลอดไปได้ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับหิมะไม่แสดงอารมณ์และอาการใดๆ แววตาเรียบนิ่งมองตรงไปด้านหน้า จดจ่ออยู่กับการขับรถ


 


 


“ทำไมนายถึงคิดว่าการหายตัวไปของอาจารย์ฉันไม่เกี่ยวข้องกับลุงใหญ่ นายสืบประวัติลุงใหญ่ดูแล้ว?” 


 


 


“อืม” ดวงตาของฟังจือหันเคลื่อนมามองอวี๋กานกานแวบหนึ่ง


 


 


 


 


——


 


 


[1] สังหารศัตรูหนึ่งพันนาย สูญเสียกำลังพลแปดร้อยนาย หมายถึง ได้ไม่คุ้มเสีย


 


 


[2] หดมืองอเท้า หมายถึง ไม่กล้าลงมือทำเนื่องจากความกลัว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 124 สามีช่วยภรรยาเป็นเรื่องที่สมควรจะทำอยู่แล้ว


 


 


ความรู้สึกตอนนี้ของอวี๋กานกานทั้งสลับซับซ้อนและผสมปนเป “งั้นเมื่อกี้นายพูดเรื่องอะไร ทำไมถึงทำให้ลุงใหญ่กลัวได้ขนาดนั้น การหายตัวไปของอาจารย์ฉันถ้าลุงใหญ่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง งั้นมันจะเกี่ยวข้องกับใครได้อีก?”


 


 


ฟังจือหันหันหน้ามามองอวี๋กานกาน “คุณสงสัยว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้อง?”


 


 


อวี๋กานกานชะงักไปเล็กน้อย รีบเก็บซ่อนความเคลือบแคลงใจ ส่ายศีรษะ “ฉันไม่ได้สงสัยนาย…”  ซึ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ ผู้ชายที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา ทั้งยังอวดอ้างว่าเป็นสามีของเธอ จะไม่ให้เธอคิดมากได้หรือ แต่เธอรู้สึกว่าฟังจือหันจะไม่ทำร้ายเธอหรือแม้กระทั่งอาจารย์คนสวย


 


 


ไฟจราจรด้านหน้าเป็นสีแดง ฟังจือหันหยุดรถมองมาที่เธอด้วยสายตาลึกซึ้งดั่งมหาสมุทร “ถ้าอย่างงั้นคุณกลัวว่าผมจะโกหกคุณหรือเปล่า”


 


 


กลัวไหม เธอเองก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งจะบอกว่าไม่กลัวก็คงเป็นการโกหก เธอเก็บซ่อนความรู้สึกว้าวุ่นที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจไว้ ก่อนจะหันข้างพิงเบาะรถยนต์ ถามอย่างจริงจัง “แล้วนายจะโกหกฉันหรือเปล่า”


 


 


ย้อนถามกลับไป มุมปากของฟังจือหันยกขึ้น ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ผมจะช่วยคุณ…”


 


 


ไม่ยอมตอบว่าโกหกเธอหรือเปล่า พูดเพียงแค่ว่าจะช่วยเหลือเธอ นี่นับว่าเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นได้ไหม อวี๋กานกานหัวเราะเหอะๆ ในใจ เธอไม่หลงกลง่ายขนาดนั้น ในตอนที่อ้าปากกำลังจะพูด กลับได้ยินฟังจือหันพูดประโยคต่อท้ายออกมาอีกสี่พยางค์ “…ตามหาอาจารย์”


 


 


ดวงตาทั้งสองของอวี๋กานกานเบิกโต “นายยินดีที่จะช่วยฉันตามหาอาจารย์?”


 


 


ฟังจือหันส่งเสียงในลำคอดัง “อือ” น้ำเสียงที่ลากสาวชวนให้อวี๋กานกานรู้สึกเหลือเชื่อ


 


 


“เพราะอะไร”


 


 


“สามีช่วยภรรยาไม่ใช่เป็นเรื่องที่สมควรทำหรอกเหรอ”


 


 


ฟังจือหันใช้มือข้างเดียวหมุนพวงมาลัยเข้าโค้ง ดวงตาสีดำขลับมองไปด้านหน้า แสงเลือนรางส่งออกจากนอกหน้าต่างตกกระทบลงบนตัวของฟังจือหัน ใบหน้างดงามยั่วยวนชวนให้หลงใหล


 


 


อวี๋กานกานข่มอารมณ์ไว้ หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี


 


 


ถึงแม้หลินจยาอวี่จะพูดว่าจะกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ตรงกลับบ้านทันที แต่แวะไปหาซูจือจิ่งก่อน


 


 


ซูจือจิ่งรู้เพียงแต่ว่าหลินจยาอวี่ยอมรับการรักษาแล้ว แต่รักษาไปถึงขั้นไหนแล้วเธอเองก็ไม่รู้ ตั้งแต่วันนั้นที่อวี๋กานกานไปตรวจให้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอกับหลินจยาอวี่อีกครั้ง เมื่อเห็นหลินจยาอวี่ที่ตอนนี้กลับมาเป็นปกติดังเดิมแล้ว ซูจือจิ่งทั้งประหลาดใจและดีใจ “ยอดเยี่ยมไปเลย จยาอวี่ หนูหายดีแล้ว” เธอก้าวไปด้านหน้าโผเข้ากอดหลินจยาอวี่ สำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้ากล่าว “ทีนี้พ่อแม่ของหนูก็เบาใจได้เสียที”


 


 


แม้ว่าหลินจยาอวี่จะยังคงมีท่าทีที่เย็นชาอยู่ แต่น้ำเสียงกลับนุ่มนวลละมุนละไม “ขอบคุณคุณน้าที่แนะนำหมอให้หนูนะคะ กานกานเก่งมากจริงๆ” ไม่เพียงแต่รักษาโรคกายให้เธอ ยังรักษาโรคใจให้ด้วย


 


 


“แน่นอนอยู่แล้วล่ะจ้ะ อวี๋กานกานวิชาแพทย์สูงส่ง มีคุณธรรมจริยธรรม เพียงแต่ว่าเธอถ่อมตัวไปหน่อยเท่านั้น ทั้งยังไม่รู้จักโฆษณาให้ตัวเอง” ซูจือจิ่งจูงหลินจยาอวี่มานั่งบนโซฟา “หนูไม่ต้องขอบคุณน้าหรอก ถ้าจะขอบคุณไปขอบคุณกานกานเถอะ”


 


 


หลินจยาอวี่พยักหน้า จิบชาหนึ่งคำมองหน้าซูจือจิ่งจากนั้นถามตรงๆ “น้าซูคะ น้าเคยพบผู้ชายคนนั้นที่เมืองจิงมาก่อนใช่ไหมคะ”


 


 


ซูจือจิ่งไม่รู้ว่าหลินจยาอวี่หมายถึงอะไร “ใครนะ”


 


 


หลินจยาอวี่ตอบ “สามีของอวี๋กานกาน ฟังจือหัน”


 


 


ซูจือจิ่งชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี “…”


 


 


หลินจยาอวี่กล่าว “พ่อของหนูท่านไม่ค่อยได้ไปเมืองจิง ดังนั้นไม่แปลกที่ท่านจะไม่รู้จัก น้าซูไปร่วมงานเลี้ยงที่เมืองจิงเป็นประจำ เป็นไปไม่ได้ที่น้าจะไม่รู้จักเขา เขาก็คือคุณชายฟังผู้ลึกลับจากตระกูลนายพลเก่าแก่ของเมืองจิงใช่ไหมคะ”  



ตอนที่ 125 เรื่องความรัก คนนอกไม่มีทางเข้าใจ


 


 


ซูจือจิ่งยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน กล่าวช้าๆ “น้ารู้และดูออกด้วยว่าอวี๋กานกานเห็นฟังจือหันเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป แต่น้ารู้สึกว่าการที่เป็นแบบนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย เรื่องการแต่งงานสำหรับตระกูลใหญ่โตอย่างพวกเรา ล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับฐานะและวงศ์ตระกูลของคู่สมรสต้องทัดเทียมกัน เพราะฉะนั้นปิดบังไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี”


 


 


หลินจยาอวี่ส่ายศีรษะ “อวี๋กานกานไม่ใช่คนแบบ….”


 


 


ซูจือจิ่งพูดขัดขึ้นมา “พวกเราทั้งคู่ต่างก็รู้สึกว่าอวี๋กานกานไม่ใช่คนแบบนั้น แต่พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดทั้งชีวิต สมัยนี้ไม่รู้มีผู้หญิงตั้งเท่าไรที่ปิดบังสถานะของตนเองเพื่อเงิน เมื่อได้แต่งงานกับเศรษฐีที่พวกเขาหมายปองแล้ว พวกเขาก็จะเผยเนื้อแท้ของผู้หญิงหน้าเงินออกมาหรือหลอกผู้ชายรายใหม่ที่รวยกว่าได้แล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะถีบหัวส่งคนก่อนหน้าอย่างไร้เยื่อใย ผู้ชายเองก็มีแบบนี้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น…”


 


 


ซูจือจิ่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวออกมาช้าๆ สามพยางค์ “…แฟนเก่าหนู”


 


 


หลินจยาอวี่หยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาที่เย็นชาของเธอปิดลง ปกปิดความเจ็บปวดและความเศร้าโศกเสียใจที่อยู่ในแววตา


 


 


ซูจือจิ่งกุมมือของเธอ “น้ารู้ว่าหนูไม่ยอมเล่าเรื่องที่เลิกกับผู้ชายคนนั้นและไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าหนูเลิกกับผู้ชายคนนั้นเพราะอะไร ครั้งก่อนน้าเจอเขาที่เมืองจิง เขากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลสวี”


 


 


หลินจยาอวี่ลืมตาขึ้น แววตาของเธอกลับมาปกติดังเดิม เรียบนิ่งราวกับภาพสเก็ตช์ของคนที่นั่งอยู่บนยอดเขาหิมะโดยลำพัง เธอขยับปาก “วันนี้ที่หนูมา หนูอยากถามแค่เรื่องของอวี๋กานกานเท่านั้น”


 


 


ซูจือจิ่งคลี่ยิ้มออกมาบางๆ “ดูท่าหนูจะใส่ใจอวี๋กานกานมาก หนูเห็นเธอเป็นเพื่อนของหนูคนหนึ่งจริงๆ หนูกลัวว่าฟังจือหันจะทำให้เธอเสียใจ แต่ว่าจยาอวี่เท่าที่น้าทราบ ฟังจือหันเป็นคนนอบน้อมมาก แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิงและไม่เคยได้ยินว่าเขาเคยมีแฟน ในเมื่อเขายอมปิดบังสถานะของตนเองไปเป็นผู้ช่วยของอวี๋กานกาน ยอมอยู่กับเธอในคอนโดเล็กๆ นั้น ถึงขั้นยอมจดทะเบียนด้วย นั้นก็ความหมายว่าเขารักอวี๋กานกานมากจริงๆ ไม่มีทางทำให้อวี๋กานกานต้องเสียใจแน่ เรื่องของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่ง ไม่ว่าความรักของพวกเขาจะเป็นแบบไหน จะโศกเศร้าเคล้าน้ำตาหรือราบรื่นหวานแวว รสชาติของการใช้ชีวิตมีเพียงแค่ตัวพวกเขาเท่านั้นที่ลิ้มลองออกมาได้ว่าขมหรือหวาน”


 


 


“หนูเข้าใจความหมายของคุณน้าค่ะ”


 


 


“เฮ่าเฮ่าเองก็ชอบอวี๋กานกาน จริงๆ น้าก็ชอบเธอนะ ถึงได้พาเฮ่าเฮ่าไปหาเธอบ่อยๆ หนูเองก็ได้คลุกคลีอยู่กับอวี๋กานกานมาระยะหนึ่งแล้ว น่าจะรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงฉลาดคนหนึ่ง ทั้งยังละเอียดรอบคอบ คนคนหนึ่งต่อให้ปลอมตัวมาดีขนาดไหนยังไงก็ไม่สามารถปกปิดนิสัยที่แท้จริงของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การพูดหรือความสามารถในการเก็บอารมณ์ของฟังจือหันล้วนอยู่ในเกณฑ์ดีเลิศ ออร่าสุขุมและสูงส่งล้อมอยู่รอบกาย ผนวกกับอากัปกิริยาสง่างามน่าเกรงขาม สามีของตัวเองทั้งคนหนูคิดว่าอวี๋กานกานจะไม่รู้สึกแปลกใจและสงสัยสักนิดบ้างเลยเหรอ”


 


 


หลินจยาอวี่นิ่งเงียบ เป็นไปไม่ได้ อวี๋กานกานต้องสงสัยใคร่รู้อย่างแน่นอน แต่ว่าเธอเคยถามฟังจือหันแล้วหรือยัง หรือว่าถามแล้วแต่ฟังจือหันโกหกเธอ?


 


 


 ซูจือจิ่งพูดถูก เรื่องระหว่างสามีภรรยา ทางที่ดีที่สุดคนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งวุ่นวาย


 


 


“เอาล่ะจยาอวี่ เรื่องของพวกเขาหนูไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก” ซูจือจิ่งพูดจนคอแห้งผาก จิบชาไปสองสามคำ ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อ่อใช่ น้ามีข่าวข่าวหนึ่ง หนูช่วยเอาไปบอกอวี๋กานกานหน่อย”


 


 


“ข่าวอะไรเหรอคะ”


 


 


“เหมือนว่าคนตระกูลเฉียวจะหมายตาคลินิกของอวี๋กานกานเข้าแล้วนะสิ”


 


 


หัวคิ้วของหลินจยาอวี่มุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ตระกูลเฉียว? ตระกูลของเฉียวพั่นเอ๋อร์เปิดโรงพยาบาลตั้งมากมายหลายแห่งแล้วไม่ใช่เหรอ อีกทั้งได้ยินมาว่าปีหน้าจะให้ความสำคัญกับการขยายกิจการไปยังเมืองจิง ทำไมจู่ๆ ถึงมาถูกใจคลินิกเล็กๆ ของอวี๋กานกาน


 


 


หลังจากออกมาจากบ้านซูจือจิ่ง หลินจยาอวี่เรียกรถแท็กซี่กลับไปยังหลินซื่อคอร์ปอเรชั่นเพื่อไปเยี่ยมหลินกั๋วเฟิง ในขณะที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู มีทั้งข้อความและการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันวีแชท[1]หลายร้อยข้อความ ดูเหมือนว่ามีเพื่อนหลายคนกำลังเป็นห่วงเป็นใยถึงสุขภาพของเธอ


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] วีแชท เป็นแอปพลิเคชันคล้ายๆ ไลน์


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 126 แผ่นหลังอันคุ้นตา


 


 


วันนี้ตอนก่อนจะออกจากบ้าน ตอนที่ก่อนจะเจอเฉียวพั่นเอ๋อร์ ตอนที่มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าเธอป่วยเป็นโรคประหลาดไม่สามารถออกนอกบ้านได้อีกแล้ว พวกคนที่ส่งข้อความมาในวันนี้ ก่อนหน้านี้ล้วนไม่เคยถามไถ่ถึงเธอสักคำ หรือต่อให้มีคนมาเยี่ยมถึงที่บ้านหรือส่งข้อความมาจริง นั้นเป็นเพียงเพราะว่าพวกเขาแค่อยากรู้ว่าเธอป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ ทั้งยังได้ของแถมเป็นเรื่องให้พวกเขานำเอาไปขบขันกันต่อ


 


 


เธอไม่ได้เป็นคนชอบเข้าสังคม อีกทั้งยังเข้าสังคมไม่เก่ง ดังนั้นเพื่อนส่วนใหญ่ที่เธอมีล้วนเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกทั้งสิ้น เช่น คนหน้าซื่อใจคดอย่างเฉียวพั่นเอ๋อร์ หรือ จากเพื่อนกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตอย่างชิวชิว


 


 


เธอไม่สนใจและไม่เอามาใส่ใจ เดิมทีแวดวงไฮโซของพวกเธอนี้ก็ไม่มีมิตรแท้อะไรนั้นอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนผลประโยชน์ ทุกครั้งที่พบปะกันทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยงขึ้น ดูเหมือนว่าทั้งหมดก็เพื่อการอวดเบ่งฐานะ พูดจาตลบตะแลง มิตรภาพจอมปลอม


 


 


เพื่อนที่นับว่าจริงใจกับเธอจริงๆ มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เธอประทับใจอวี๋กานกานเป็นอย่างมาก อยู่กับอวี๋กานกานแล้วสบายใจ แม้ว่าจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนเก่า คุยด้วยแล้วจิตใจเบิกบานมีความสุข


 


 


 ทุกครั้งที่เธออารมณ์ไม่ดีหรือในตอนที่รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีค่า ได้คุยกับอวี๋กานกานเพียงครู่เดียวก็จะรู้สึกว่าตัวเองเจออะไรเพียงนิดหน่อยก็ร้องโอดครวญ ดูเหมือนว่าอวี๋กานกานจะปลงได้กับทุกๆ เรื่อง เหมือนกับว่าเกิดแก่เจ็บตายไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรสำหรับเธอ อาจเป็นเพราะเธอเป็นแพทย์คงเห็นวัฏจักรของการเกิดแก่เจ็บตายมาเยอะแล้ว…


 


 


ข่าวหลินจยาอวี่หายดีแล้วกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดของวันนี้ มีทั้งคนที่อยากจะนัดเธอไปช้อปปิ้ง มีทั้งคนที่อยากจะนัดเธอไปรับประทานอาหาร มีแม้กระทั่งคนที่ต้องการจะสู่ขอเธอแต่งงาน


 


 


คนผู้คนนั้นก็คือตู้ซูเหนียนบุตรชายคนที่สองของตระกูลเศรษฐีผู้มีอิทธิพลทางด้านอสังหาริมทรัพย์แห่งเมืองไป๋หยาง เขาตามจีบเธอมาตลอดตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ กระทั่งมีข่าวลือว่าหลินจยาอวี่ป่วยเป็นโรคประหลาด พอตอนนี้มีข่าวว่าหลินจยาอวี่หายดีแล้วเขาถึงได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง สวมชุดสูทรองเท้าหนัง ในมือถือดอกกุหลาบรอดักอยู่ตรงหน้าโรงแรมหลินซื่อ เมื่อเห็นหลินจยาอวี่ตู้ซูเหนียนก็เดินปราดเข้าไปหาทันที “จยาอวี่ ช่วงก่อนหน้านี้ผมอยู่ต่างประเทศตลอดเลย เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานนี้เองได้ยินว่าคุณหายดีแล้ว วันนี้ผมเลยรีบมาเยี่ยมคุณ”


 


 


หลินจยาอวี่ปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง จากนั้นเดินตรงไปที่ลิฟต์ทันที อยู่ต่างประเทศตลอดอะไรกัน ตู้ซูเหนียนคนนี้เป็นผู้ชายไฮโซเพลย์บอย ขับรถหรูไปรับไปส่งสาวสวยทุกวัน ใช้ชีวิตสุดโต่งไม่กลัวตาย ตอนเธอป่วยสาเหตุตู้ซูเหนียนไม่โผล่มาเลย นั้นก็แค่เป็นเพราะว่าเขาได้ข่าวว่าเธอป่วยเป็นโรคประหลาดหมดหนทางรักษาก็แค่นั้น เดิมทีที่เขาตามจีบเธอไม่ใช่เพราะความรัก แต่เป็นเพราะฐานะทางสังคมของเธอต่างหาก…


 


 


ตู้ซูเหนียนขึ้นลิฟต์มากับหลินจยาอวี่ด้วย ในขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง ทันใดนั้นก็มีคนกดลิฟต์จากด้านนอกพร้อมกับมีผู้ชายคนหนึ่งแทรกตัวเข้ามา ใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบ ค่อนข้างยากที่จะแยกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ในตอนที่ตู้ซูเหนียนเห็นแวบแรกเขาถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าคนคนนั้นเป็นเพศชาย นัยน์ตาของเขาฉายแววความผิดหวังออกมาอย่างรุนแรง


 


 


หลินจยาอวี่ชำเลืองมองคนที่ก้าวเข้ามาในลิฟต์ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นลู่เสวี่ยเฉิน พลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนลู่เสวี่ยเฉินเองก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นเดียวกัน นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอหลินจยาอวี่ที่โรงแรมนี้


 


 


ตู้ซูเหนียนมองหน้าหลินจยาอวี่ จากนั้นยื่นดอกกุหลาบในมือที่ยังไม่ได้มอบไปตรงหน้าหลินจยาอวี่ พูดอย่างหน้าไม่อาย “จยาอวี่ เย็นนี้เราไปดินเดอร์กันนะ?”


 


 


แววตาของหลินจยาอวี่เย็นยะเยือกราวกับน้ำค้างแข็ง ยังคงเมินตู้ซูเหนียน


 


 


แต่ตู้ซูเหนียนไม่สนใจแม้แต่น้อย พูดต่อ “คุณชอบกินอะไร อาหารจีนหรืออาหารตะวันตก…”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินยกยิ้มน่าสนุกขึ้น เขายืนอยู่ข้างๆ จ้องคอยจะเผือกเรื่องของหลินจยาอวี่ จ้องไปจ้องมาพลันพบว่าแผ่นหลังของหลินจยาอวี่คล้ายกับแผ่นหลังของผู้หญิงที่เจอในผับเมื่อคืนนั้น



ตอนที่ 127 เกลียดที่สุดคือผู้ชายชาติชั่วแบบนี้


 


 


หลินจยาอวี่สัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ ของลู่เสวี่ยเฉิน เธอปรายตาไปมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินได้สติคืนกลับมา นี่เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย แม้ว่าแสงไฟในผับคืนนั้นจะมีดสลัว คละคลุ้งไปด้วยควันบุหรี่ ผู้หญิงคนนั้นมีหุ่นที่เซ็กซี่ยั่วยวน เขาถึงได้…แต่ผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับหลินจยาอวี่ตรงที่รูปร่างเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขาสองคนไม่มีจุดไหนที่เหมือนกันสักนิด


 


 


คนหนึ่งสวยปานนางฟ้าอีกคนอัปลักษณ์เหมือนอสูรกาย ลู่เสวี่ยเฉินหลบสายตาไปจ้องที่หน้าจอตัวเลขในลิฟต์แทน


 


 


ถึงชั้นของหลินจยาอวี่แล้ว หลังจากที่ประตูลิฟต์เปิดหลินจยาอวี่ก้าวเท้าออกมา ตู้ซูเหนียนก็รีบตามมาติดๆ เช่นกัน “จยาอวี่ ผม…”


 


 


หลินจยาอวี่ที่เดินอยู่ด้านหน้าหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันพร้อมทั้งกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้านายยังตามมาอีก หลังจากนี้ฉันจะสั่งพนักงานห้ามให้นายเข้าออกโรงแรมหลินซื่อ”


 


 


ตู้ซูเหนียนหยุดอยู่กับที่ทันที ทว่ายังคงรอยยิ้มอันประจบประแจงไว้ มองแผ่นหลังของหลินจยาอวี่ที่ค่อยๆ ไกลออกไป เขายืนขวางอยู่ตรงประตูลิฟต์พอดีลิฟต์จึงไม่ปิด


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินเม้มปาก ภายในดวงตามืดมิดเต็มไปด้วยความรำคาญและความเอือมระอา


 


 


เมื่อแผ่นหลังของหลินจยาอวี่หายลับไปแล้ว สีหน้าของตู้ซูเหนียนก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เขาถ่มน้ำลายลงพื้นดังถุย “ทำท่าทำทางเหมือนคนตายไม่มีผิด คงหลงคิดว่าตัวเองเป็นยอดพธูแห่งยุค[1] ไปแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าหักหน้าฉัน! ถุย! ไม่รู้จักหัดส่องกระจกดูเงาตัวเองซะบ้าง นังผู้หญิงตายด้านทางเพศ มองแวบเดียวก็รู้ว่าถ้าพาขึ้นเตียงก็คงนอนแน่นิ่งเหมือนผัก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ฐานะของแม่แก ฉันก็ไม่อยากจะสนใจแกหรอก”


 


 


พูดยังไม่ทันจบดี ตู้ซูเหนียนถูกคนถีบเข้าไปที่ก้นอย่างแรงหนึ่งที เขาเสียหลักพุ่งออกมาล้มคะมำหน้าทิ่มลงกับพื้น อยู่ในท่าสุนัขรับประทานอุจจาระ ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด “โอ้ย! ใครเตะ ใครวะ…”


 


 


ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมาประตูลิฟต์ก็ปิดสนิทเสียแล้ว ลู่เสวี่ยเฉินอยู่ในลิฟต์แววตาชั่วร้ายเอ่ยเสียงเย็น “ไอ้ขยะ” เขาไม่ชอบผู้หญิงเย็นชาอย่างหลินจยาอวี่ รู้สึกว่าผู้หญิงนิสัยแบบนี้ไม่มีอะไรน่าค้นหา แต่ว่าเขาเกลียดผู้ชายชาติชั่วไร้ประโยชน์แบบนี้มากกว่า ถีบไปแค่ทีเดียวถือว่าปรานีมากแล้ว เพียงแต่ว่ารองเท้าของเขาติดเชื้อสกปรกซะได้ เห็นทีต้องเปลี่ยนคู่ใหม่เสียแล้ว…


 


 



 


 


ฟังจือหันไม่ได้กลับขึ้นห้องพร้อมกันกับอวี๋กานกาน เขามาส่งเธอแค่ที่ล็อบบี้แล้วบอกว่ามีธุระต้องจัดการ จากนั้นก็ขับรถออกไปทันที


 


 


อวี๋กานกานเมื่อกลับมาถึงห้องเธองีบหลับไปพักหนึ่ง พอตกเย็นก็รับประทานอาหาร เธอนึกถึงเรื่องกล่องเมื่อวานที่ตกลงมาจากตู้ขึ้นมาได้ จำได้ว่าเมื่อคืนก่อนฟังจือหันหยิบกล่องนั้นติดมือออกไปด้วย ทำไมฟังจือหันต้องเอากล่องใบนั้นไปด้วย หรือกล่องใบนั้นมีความลับอะไร


 


 


อวี๋กานกานเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของฟังจือหัน แต่กลับหากล่องใบนั้นไม่เจอ วันนี้ก่อนที่ฟังจือหันจะออกไป เขาให้เบอร์ติดต่อกับเธอไว้ ในตอนที่อวี๋กานกานกำลังจะไปหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรหาฟังจือหัน เธอเหลือบไปเห็นกล่องใบนั้นถูกวางไว้อยู่บนตู้ห้องรับแขกพอดี


 


 


เธอน่าจะคาดเดาผิดไปเอง ที่ฟังจือหันหยิบกล่องนั้นออกมาคงเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากเธอคิดมาก อยากให้เธอนอนหลับได้อย่างสบายใจ อวี๋กานกานเปิดกล่องออก หยิบประวัติคนไข้ทั้งกองออกมา จากนั้นวางเรียงทีละใบบนโต๊ะ เธอไม่ได้จำผิดจริงๆ ด้วย ในบรรดาประวัติคนไข้เหล่านี้ มีโรงพยาบาลของตระกูลเฉียวอยู่ด้วยจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด อาจารย์เก็บสะสมประวัติคนไข้เหล่านี้เพื่ออะไรกันแน่ อวี๋กานกานครุ่นคิดอยู่นาน แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก


 


 


พลบค่ำเมื่อหลินจยาอวี่กลับมาแล้ว เธอเคาะประตูห้องของอวี๋กานกาน ในมือถือขวดไวน์สองขวด หวังว่าอวี๋กานกานจะช่วยดื่มเป็นเพื่อนเธอสักแก้วสองแก้ว


 


 


อวี๋กานกานยิ้ม รับขวดไวน์ที่อยู่ในมือหลินจยาอวี่ “ป่วยอยู่ยังจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก? แล้วอีกอย่างฉันก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นานยังดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยอดพธูแห่งยุค หมายถึง สุดยอดสาวงาม


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 128 อีกด้านมุมของสังคม


 


 


“โทษที งั้นพวกเราไม่ดื่มแต่มานั่งคุยกันสักหน่อยดีกว่า” นัยน์ตาของหลินจยาอวี่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หญิงสาวตรงหน้ายิ้มแล้วหวานมากจริงๆ เหมือนกับชื่อกานกานของเธอไม่มีผิด


 


 


“ดื่มน้ำอุ่นสักหน่อย” อวี๋กานกานรินน้ำให้เธอหนึ่งแก้ว


 


 


“ขอบคุณ” หลินจยาอวี่รับแก้วน้ำมาดื่มเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นถามออกมาลอยๆ “สามีของคุณไม่อยู่เหรอ”


 


 


ฟังจือหันไม่ได้เป็นสามีจริงๆ ของเธอเสียหน่อย ใบหูของอวี๋กานกานร้อนวูบวาบ “ที่จริง…” อวี๋กานกานอยากจะอธิบายอย่างเปิดใจให้ชัดเจนไปเลยว่าพวกเขาไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน แต่หลินจยาอวี่พูดขัดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงเสียก่อน “ไม่ใช่ว่าพวกคุณทะเลาะกันอีกแล้วหรอกนะ”


 


 


อวี๋กานกานรีบส่ายมือปฏิเสธ “เปล่า”


 


 


“ดูพวกคุณรักกันดี…” หลินจยาอวี่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาป้อนอาหารกันอย่างอบอุ่นลึกซึ้ง เธอไม่จำเป็นต้องไปกังวลแทนให้มากความ


 


 


อวี๋กานกานชะงักไปเล็กน้อย เธอและฟังจือหันดูรักกันดี? ไม่ใช่ดูห่างเหิน ดูไม่เหมือนคู่สามีภรรยาหรอกเรอะ?


 


 


หลินจยาอวี่ไม่ถามเรื่องของอวี๋กานกานกับฟังจือหันอีก เธอกล่าว “วันนี้ฉันไปเยี่ยมน้าซูมา น้าซูให้ฉันมาบอกคุณว่าตระกูลเฉียวหมายตาคลินิกของคุณไว้แล้ว”


 


 


อวี๋กานกานขมวดคิ้ว “ตระกูลเฉียว?”


 


 


หลินจยาอวี่ตอบ “ตระกูลของเฉียวพั่นเอ๋อร์ที่เจอกันตอนกินข้าววันนี้ไง ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน ทำไมพวกเขาถึงได้หมายตาคลินิกของคุณ อาจจะเป็นเพราะว่าสองปีมานี้หย่างเซิง[1]ได้รับความนิยมมาก พวกเขาอาจจะอยากเปิดโรงพยาบาลที่เกี่ยวกับหย่างเซิงโดยเฉพาะ คุณจะขายไหม”


 


 


อวี๋กานกานตอบกลับทันควัน “ไม่ขายเด็ดขาด!”


 


 


หลินจยาอวี่กล่าวเตือน “งั้นคุณก็ต้องระวังพวกเขาให้มาก”


 


 


อวี๋กานกานหลุดขำออกมา ถาม “ฉันไม่ขายซะอย่าง พวกเขายังจะบังคับให้ฉันขายให้ได้งั้นเหรอ”


 


 


หลินจยาอวี่ถามกลับ “คุณรู้ไหมว่าตระกูลเฉียวก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างไร”


 


 


อวี๋กานกานส่ายศีรษะ


 


 


“พ่อของเฉียวพั่นเอ๋อร์อาศัยตำรับยาสมุนไพรพื้นเมืองของหมอเท้าเปล่า[2]ในการก่อร่างสร้างตัว แรกเริ่มเดิมทีเขาเปิดแค่คลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่งจำหน่ายยาทารักษาโรคหิด หลายปีก่อนโรงพยาบาลเอกชนผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด พ่อของเฉียวพั่นเอ๋อร์อยากจะขยายคลินิกแต่เขาไม่มีเงิน งั้นจะทำอย่างไรดีละ เขาก็เลยคิดวิธีหนึ่งออกมาได้ เขาย้ายคลินิกไปแถวเขตที่มีการค้าประเวณี ทั้งยังจงใจส่งคนไปแพร่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เหล่าคนที่ติดโรคไปที่คลินิกของเขาเพื่อให้เขารักษา พวกเขาไม่สนใจว่าจะรักษาได้หรือไม่ สนใจแค่เพียงว่าจ่ายยาที่แพงที่สุดไว้ก่อน ในที่สุดพวกเขาก็มีต้นทุน ขยายคลินิกจนเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก จากนั้นระดมทำโฆษณาทุกรูปแบบ พวกเขาเริ่มจากรักษาโรคทางผิวหนังขยับขยายมาเป็นรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ขยับขยายครอบคลุมหลายร้อยโรค หากเข้าไปใช้บริการของโรงพยาบาลตระกูลนี้ พวกเขาจะจ่ายยาที่แพงที่สุดโดยที่ไม่สนว่าป่วยเป็นอะไร รักษาได้หรือไม่ ใช้กลอุบายไร้ยางอายทุกวิถีที่จะสามารถดูดเงินจากคนไข้ได้ ด้วยวิธีการเหล่านี้พวกเขาถึงได้มีโรงพยาบาลในเครือมากมายอย่างทุกวันนี้”


 


 


อวี๋กานกานฟังแล้วดวงตาเบิกโตอ้าปากหวอ เสียวสันหลัง “ไม่ใช่มั้ง? นี่ไม่เท่ากับว่าพวกเขากำลังทำนาบนหลังคนหรอกเหรอ”


 


 


หลินจยาอวี่เอ่ยเสียงเย็น “ใช่ เงินทุกบาททุกสตางค์ของตระกูลเฉียวล้วนได้มาจากการทำนาบนหลังคนทั้งสิ้น พูดได้ว่าเพื่อผลประโยชน์พวกเขาไม่สนใจวิธีการ” เธอเว้นจังหวะไปช่วงหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “คุณเรียนแพทย์ไม่ใช่เหรอ หมออย่างพวกคุณไม่มีใครรู้เรื่องของตระกูลเฉียวเลยเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานส่ายหน้า “ฉันไม่รู้จริงๆ พวกเรานักศึกษาแพทย์ วันๆ ก็คิดแต่เรื่องวิจัยค้นคว้าทางด้านแพทยศาสตร์ มีเหรอจะไปสนใจเรื่องพวกนี้ อีกอย่างเรื่องพวกนี้คนธรรมดาทั่วไปไม่น่าจะรู้หรอก”


 


 


การหาสถานที่ทำงานในสายอาชีพนี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญว่าโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลรัฐวิสาหกิจหรือโรงพยาบาลเอกชน เงินเดือนดีไหม มีอนาคตหรือเปล่า อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นใคร


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ฟังประวัติที่ถูกเก็บซ่อนไว้ พลันรู้สึกว่าตัวเองได้รับรู้ถึงอีกมุมหนึ่งของสังคม


 


 


ช่างน่าประหลาดใจ


 


 


ช่างมืดมน


 


 


ช่างน่าสยดสยอง


 


 


 


 


——


 


 


[1] หย่างเซิง หมายถึง เป็นวิธีการรักษาสุขภาพตามหลักแพทย์แผนจีน ให้ความสำคัญการดูแลรักษาเลือดและพลังชี่ เพราะบริเวณไหนที่ชี่ไหลเวียนสะดวก เลือดก็จะไหลเวียนสะดวกด้วยเช่นกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่ก่อให้เกิดโรคภัย การรักษาเลือดและพลังชี่ให้สมดุลนั้น ทำได้โดยปรับเปลี่ยนวิธีการหายใจให้ถูกต้องตามหลัก การทำอารมณ์ให้ปลอดโปร่ง สูดอากาศที่สดชื่น รับประทานอาหารที่ดีต่อเลือดและพลังชี่ เป็นต้น


 


 


[2] หมอเท้าเปล่า หมายถึง เกษตรกรในสมัยก่อนที่ได้รับการฝึกวิชาแพทย์ให้เป็นผู้ช่วยแพทย์ขั้นพื้นฐานเพื่อทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน ชื่อนี้ได้มาจากเกษตรกรทางภาคใต้ ซึ่งมักทำงานเท้าเปล่าในนาข้าว ระบบหมอเท้าเปล่าได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม