โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ 99-100

 Ch.91 – ดึงดูดความสนใจจากพวกระดับสูง

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.91 – ดึงดูดความสนใจจากพวกระดับสูง


 


เนื่องจากตั้งแต่การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในกลางดึก ช่องว่างมิติถูกเปิดทิ้งไว้เป็นเวลานาน ส่งผลให้ปริมาณของกองทัพซากศพเพิ่มขึ้นมหาศาล เมืองเฉิงหยางจึงทำการร้องขอกำลังเสริมจากเขตต่างๆอีกครั้ง ทำการระดมคนเข้ามาเพิ่มเติม


 


ด้วยเหตุนี้เอง ผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์และกองทหารทุ่งล่า จึงมาสมทบในแนวหน้าด้วย


 


วันนี้ จำนวนผู้ใช้พลังเลเวล E ในแนวหน้า มีเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 16 คน


 


“ฉันคงแก่เกินไปแล้ว!” เติ้งเหนียนถอนหายใจ


 


การต่อสู้เมื่อวานเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง แต่ราชันย์อัศวินกลับสามารถหลบหนีไปได้!


 


เหตุการณ์นี้ทำให้เติ้งเหนียนรู้สึกเสียใจจริงๆ


 


“เฮอะ! เป็นเพราะทุกคนไม่ทุ่มร่วมมือกันเต็มที่นั่นแหละ!” หลินเซิงกล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง ประเด็นสำคัญก็คือคนจากแต่ละเขตไม่ได้สามัคคีกัน ต่างฝ่ายต่างหวาดกลัวว่าตนจะได้รับบาดเจ็บ เลยไม่ได้ให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่


 


เหตุผลนี้เอง ที่นำไปสู่ความล้มเหลวของการปิดล้อมราชันย์อัศวิน


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่มันยังเป็นเหตุให้หลินเซิงได้รับบาดเจ็บอีกด้วย


 


ช่างเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดเสียจริงๆ!


 


ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!


 


เสียงจากอุปกรณ์ภายในรถดังขึ้น แผนที่ได้รับการอัปเดตอีกครั้ง


 


“เอ๊ะ?”


 


หยางซานหูอุทาน เอนตัวก้มลงมาข้างหน้า ขมวดคิ้วมองแผนที่


 


“ช่วยดึงแผนที่เมื่อสามชั่วโมงก่อนออกมาให้ฉันดูหน่อยสิ” จู่ๆหยางซานหูก็สั่งการออกไป


 


ช่างเทคนิคดึงแผนที่ของเมื่อสามชั่วโมงที่แล้วขึ้นมาทันที และพบว่าเครื่องหมายสีแดงและส้มที่อยู่บนมัน หากเทียบกับแผนที่ในปัจจุบัน อดีตมีจำนวนมากกว่า


 


และบริเวณที่ลดลง ยังเป็นตำแหน่งแบบเฉพาะเจาะจงอีกด้วย


 


“ซากศพเลเวล F กว่า 200 ตัวที่หายไป? มีทีมไหนเพิ่งออกสำรวจพื้นที่รอบนอกแล้วทำการล่าสังหารพวกมันไปรึเปล่า?” หยางซานหูกล่าวด้วยความสงสัย จริงๆแล้วซากศพ 200 ตัว ไม่ใช่ปริมาณที่มากมายอะไร แต่ก็มันแปลกไง ที่จู่ๆก็มีศพหายไปทีเดียวกว่า 200 ตัว แถมยังเป็นซากศพเลเวล F อีก


 


ต้องไม่ลืมนะว่าซากศพเลเวล G น่ะมีจำนวนมหาศาล และมันกระจายกันอยู่รอบนอก ดังนั้น หากต้องการจะบุกทะลวงเข้าไปยังภูเขาแม่ อย่างไรก็เป็นเรื่องยาก


 


“ควบคุมโดรนให้ไปเก็บภาพตามทิศทางที่เกิดเรื่องขึ้นเดี๋ยวนี้!” หยางซานหูออกคำสั่งอีกครั้ง


 


จากนั้น โดรนที่อยู่ใกล้ๆก็เริ่มตีวงอ้อมออกไป แล้วพบกับฉินเฟิงที่กำลังต่อสู้อยู่อย่างรวดเร็ว


 



 


บนตีนเขาด้านหลังของภูเขาพ่อ มีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิงราวกับเคียวแห่งความตาย มันเก็บเกี่ยวชีวิตของศัตรูอย่างต่อเนื่อง


 


“ตัวที่สาม!”


 


“จงตายซะ!”


 


มีดกษัตริย์ครามวูบไหว ตัดผ่านลำคอของโครงกระดูกชุดคลุมดำตัวที่สาม ส่งมันสู่ความตายภายใต้น้ำมือของฉินเฟิง


 


พลังสมาธิถูกสูบเข้าสู่ร่างกายของฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว พละกำลังของเขาเองก็เพิ่มสูงขึ้น


 


ขณะนี้ ฉินเฟิงรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวเขาชัดเจนมากขึ้น พลังสมาธิของเขากวาดระยะออกไปได้ไกลกว่าหลายร้อยเมตร และสามารถ ‘มองเห็น’ ทุกสิ่งรอบตัวได้อย่างชัดเจน


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ในใจกลางของดาวเคราะห์เพชร ยังเกิดการหมุนวนอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับรูนธาตุภายในเกิดความปั่นป่วน แต่ไม่นาน มันก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นรูปแบบหนึ่ง


 


รูปแบบที่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่อาจเข้าใจได้ปรากฏขึ้นมา กลายเป็นพลังพิเศษท่าใหม่


 


‘ลำแสงแห่งความมืด!’


 


ฉินเฟิงเกิดการตระหนักรู้เกี่ยวกับพลังพิเศษใหม่นี้ได้ทันใด เพราะนี่คือพลังเดียวกันกับที่โครงกระดูกชุดคลุมดำเคยปลดปล่อยใส่เขา


 


อาจเป็นเพราะท่านี้ถูกยิงใส่เขาซ้ำๆ ส่งผลให้ร่างกายและจิตสำนึกของฉินเฟิงเรียนรู้ และจดจำมันได้


 


อย่างไรก็ตาม พลังพิเศษนี้ ต่อให้ได้มา ก็ไม่ค่อยมีผลอะไรต่อสถานการณ์ในปัจจุบันมากนัก


 


เพราะถ้าฉินเฟิงมีภูมิคุ้มกันต่อลำแสงแห่งความมืด ในทำนองเดียวกัน กองทัพซากศพซึ่งเป็นธาตุมืดก็ย่อมมีภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกัน


 


“ยังไงก็ตาม รูปแบบการโจมตีนี้ ฉันสามารถดัดแปลงมันเป็นท่ายิงธาตุไฟได้!”


 


เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉินเฟิงก็เริ่มระดมพลังสมาธิ จำลองท่าพลังพิเศษนี้จากแก่นธาตุไฟ


 


ด้วยวิธีนี้ จะเทียบเท่ากับว่าฉินเฟิงได้รับท่าพลังพิเศษธาตุไฟ ‘ลำแสงเปลวเพลิง’ เพิ่มขึ้นมาอีกท่า!


 


ระหว่างที่ฉินเฟิงกำลังตื่นเต้น พลังสมาธิของเขายังถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณ และค้นพบว่ามีโดรนกำลังลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้วมุ่น


 


เนื่องจากพลังสมาธิแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก เขาเลยแทบจะสามารถระบุได้ในทันทีว่า โดรนดังกล่าว กำลังชี้กล้องมาทางเขา ไม่เพียงแค่นั้น แต่มันยังลอยวนไปมารอบตัวเขา คล้ายต้องการเก็บภาพจากทุกมุม


 


‘เป็นไปได้ไหมว่าฉันฆ่ามากเกินไป เลยดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ?’


 


อย่างไรก็ตาม ทางฉินเฟิงก็ไม่ต้องการที่จะซ่อนผลงานของเขาอยู่แล้ว ทางฝั่งเขาเองก็ทำการบันทึกวิดีโอจำนวนซากศพที่ตนฆ่าไว้เหมือนกัน เพราะผลงานเหล่านี้สามารถนำไปแลกรางวัลกับทางฐานได้


 


ยังไงก็ตาม พลังพิเศษของเขาน่ะพิเศษออกไป ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าบางสิ่งไม่ถูกเปิดเผย!


 


เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉินเฟิงก็ทำเป็นไม่สนใจเสียงหึ่งๆของโดรน เขามุ่งต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง เพื่อมองหาโครงกระดูกชุดคลุมดำท่ามกลางกองทัพซากศพ


 


ในรถศึกบัญชาการ ความสนใจของหยางซานหูและคนอื่นๆ ต่างประทับลงบนร่างของฉินเฟิง


 


“เป็นเขา!” ฮั่นเจียนอุทานออกมาอย่างไม่คาดฝัน


 


“นายรู้จักผู้ชายคนนั้นด้วยหรอ? เขาเป็นใครกัน? มาจากสถานที่ชุมชนเขตไหน?” หยางซานหูเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว


 


ความแข็งแกร่งที่ฉินเฟิงแสดงออกมา เป็นอะไรที่น่าตกใจจริงๆ


 


ต้องทราบนะว่า ทุกวันนี้หากจะล่าเลเวล F ทีมทหารรับจ้างต้องร่วมมือกัน และทุกขั้นตอนต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นจะเป็นพวกเขาซะเองที่ถูกกองทัพซากศพฆ่าเอา


 


แต่ฉินเฟิงดันตรงกันข้าม เขาเล่นใหญ่ ไปลำพัง ล่าคนเดียว ไม่สน ไม่ระวังใดๆทั้งสิ้น อันที่จริงเหมือนจะจงใจยั่วยุซากศพให้เข้ามาหาด้วยซ้ำ!


 


“เขามาจากสถานที่ชุมชนเขตเฉิงเป่ยของพวกเรา แต่เขาไม่น่าจะแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น ด้วยความแข็งแกร่งที่เผยออกมา ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ในระดับ F แต่ว่า … ” ฮั่นเจียนไม่มั่นใจว่าเขาควรจะพูดประโยคต่อไปดีหรือไม่


 


แต่สายตาของคนอื่นๆ ต่างก็ตกลงบนร่างของฮั่นเจียน


 


“แต่ว่าอะไร?” หยางซานหูถาม


 


ฮั่นเจียนส่ายหัว บังเกิดความไม่มั่นใจในตัวเองเล็กน้อย


 


“เด็กคนนี้มีชื่อว่าฉินเฟิง เขาอายุ 16 ปี และเพิ่งได้รับการฉีดยากระตุ้นในปีนี้ และอีกอย่าง เมื่อครึ่งเดือนก่อนในพื้นที่เพาะปลูก เขาคือคนที่ทำผลงานการต่อสู้ได้เป็นอันดับต้นๆอีกด้วย!” ฮั่นเจียนกล่าว


 


“อายุแค่ 16 ปี?” หยางซานหูตกใจอย่างช่วยไม่ได้


 


กระทั่งหัวใจของเติ้งเหนียนกับหลินเซิงเองก็ยังเต้นครึกโครม


 


ยังวัยเยาว์ แต่กลับสำแดงศักยภาพได้ถึงขนาดนี้!


 


หากดึงเอาตัวบุคคลดังกล่าวมาอยู่ภายใต้บารมีของตน มันคงเป็นอะไรที่ดีที่สุด


 


แน่นอน ว่าการที่บุคคลเช่นนี้ปรากฏขึ้นก็ย่อมมีข้อเสียเช่นกัน เพราะหากไม่ใช่พวกเดียวกัน ศักยภาพของฉินเฟิงอาจกล่าวได้ว่าเป็นภัยคุกคาม


 


“คุณบอกว่าคนๆนี้เรียกว่าฉินเฟิงอย่างงั้นหรอ?” หลินเซิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขาคล้ายกับว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง


 


และทางฝั่งเติ้งเหนียนเองก็มีท่าทีไม่แตกต่างกัน


 


เพราะเติ้งเหนียนได้อ่านรายชื่อของนักเรียนใหม่ในชั้นปีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะให้ความสนใจกับคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ที่มีเพียง 21 คน ไหนจะเรื่องที่ตัวเขาเป็นผู้ใช้พลังเลเวล E มันเลยช่วยให้ตนมีสติปัญญาและความจำที่น่าอัศจรรย์ใจ -เติ้งเหนียนเลยนึกออกได้ทันทีว่าในบรรดาคลาสผู้ใช้พลังพิเศษปีนี้ ดูเหมือนจะมีเด็กที่ชื่อว่าฉินเฟิงอยู่จริงๆ


 


มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะใช่ไหม?


 


ณ จุดนี้ ฮั่นเจียนหันไปเพ่งมองวิดีโออีกครั้ง แล้วถอนหายใจ


 


“นั่นน่าจะใช่เขาจริงๆ ฉันไม่คาดคิดเลย ว่าในช่วงเวลาสั้นๆเขาจะเติบโตขึ้นมากถึงขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ฉันกับหวังเฉิงเคยเชื้อเชิญเขาให้เข้าร่วมกองทหารรักษาการณ์และกองทหารเสือไฟ แต่เขาปฏิเสธ เพราะบอกว่าต้องการจะเข้าร่วมกับสถาบันระดับสูงทางตอนเหนือ -ตาแก่เติ้ง เรื่องนั้นจริงรึเปล่า ไม่อย่างนั้นฉันจะขอตัวเด็กคนนี้ไปแล้วนะ!”


 


เติ้งเหนียนหัวเราะทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย


 


“น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะตอนนี้เขาคือนักเรียนในคลาสผู้ใช้อบิลิตี้”


 


สำหรับช่วงเวลานี้ เติ้งเหนียนดูเหมือนจะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองสุดๆ


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว นักเรียนที่มากไปด้วยศักยภาพกลับปรากฏตัวขึ้นภายใต้ขอบเขตการดูแลของเขา มันยากมากเลยนะที่จู่ๆก็มีเพชรชั้นเลิศหล่นใส่หัวแบบนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่อีกฝ่ายปฏิเสธสองนายพล เพื่อมาเข้าร่วมกับทางสถาบันโดยเฉพาะ แล้วนี่จะไม่ให้เขารู้สึกสุขใจได้อย่างไร?


 


“ต้นกล้าที่ดี!” เติ้งเหนียนถอนหายใจ ท่าทีเขายิ่งนานก็ยิ่งมีความสุข


 


อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของหลินเซิงกลับดูหม่นลงไปถนัดตา คู่แววตาของเขาเปล่งประกายโหดเหี้ยม


 


นั่นเพราะตนจดจำได้แล้ว ว่าฉินเฟิงคนนี้เป็นใคร!


 


ไม่กี่วันก่อน มีรายงานมาว่าเจียงเส้าหยางได้หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ หลังจากการตามล่าผู้เข้าประลองเวทีใต้ดิน นอกจากนี้ ทางคลับอินทรีภายใต้การครอบครองของหลินเซิง จู่ๆก็ถูกเข้าตรวจสอบอย่างกระทันหัน เขาสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก ชนิดที่ว่าต้องเฉือนเนื้อตัวเองจ่ายมันออกไป


 


และผู้เข้าประลองคนที่กล่าวมาก็ไม่ใช่ใครอื่น มันเรียกว่าฉินเฟิง นอกจากนี้ข้อมูลที่ถูกส่งมากับภาพตรงหน้าก็เหมือนกันแทบทุกประการ


 


‘เดิมที ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เด็กคนนี้ที่ฆ่าเจียงเส้าหยาง แถมยังมีข่าวลือต่างๆถูกปล่อยออกมาอีกมากมาย แต่พอมาลองดูตอนนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว เพราะอีกฝ่ายก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล F เหมือนกัน!’


 


เมื่อคิดได้ดังนั้น ความเกลียดชังก็ฟุ้งออกมาจากในแววตา หลินเซิงบังเกิดความคิดที่ว่าจะต้องสังหารฉินเฟิงให้เร็วที่สุด!


Ch.92 – แต้มสงครามสูงสุด

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.92 – แต้มสงครามสูงสุด


 


แต่ปัจจุบันมีคนอยู่เยอะเกินไป ไหนจะเรื่องที่ฉินเฟิงกำลังถูกให้ความสนใจอีก เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะลอบสังหารฉินเฟิงในตอนนี้ ยิ่งตาแก่เติ้งตัดสินใจแล้วว่าจะสนับสนุนฉินเฟิง มันก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่


 


หลินเซิงเลยจำต้องระงับความคิดของตนไว้ชั่วคราว


 



 


ฉินเฟิงไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนบังเกิดเจตนาร้ายต่อเขา ขณะเดียวกัน ตัวเขาเองก็ไม่เต็มใจที่จะรามือจากซากศพพวกนี้


 


ด้วยความพยายามของเขา เพียงวันเดียวก็สามารถสังหารซากศพเดินได้ไปมากกว่า 500 ตัว ซึ่งเป็นจำนวนพอดีกับที่หลั่งไหลเข้ามาในระลอกก่อน สถานการณ์คงจะดีขึ้น ถ้าหากชุดคลุมดำกระหายเลือดไม่เปิดรอยแยกมิติอีกคราว


 


อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงความหวังเพ้อฝันของผู้คน


 


ในช่วงเย็น ชุดคลุมดำปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขา และเริ่มเปิดช่องว่างมิติอีกครั้ง


 


เมื่อช่องว่างเปิดออก สถานการณ์จากนี้ไปคงยากจะคาดเดา ไหนจะเรื่องลูกหลงอีก ดังนั้นฉินเฟิงจึงตัดสินใจปลีกตัวจากสนามรบ


 


เนื่องจากเมืองเฉิงหยางได้เรียกกำลังเสริมมาแล้วในครั้งนี้ ภายใต้การปิดล้อมของเลเวล E จำนวนมาก ชุดคลุมดำกระหายเลือดเลยเปิดช่องว่างมิติได้แค่ไม่กี่นาที ก่อนจะถูกบังคับให้ปิดลง ดังนั้นจำนวนซากศพที่ถูกเรียกออกมาเลยไม่มากเท่าไหร่นัก


 


พอตกเย็น ฉินเฟิงก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก เขาจึงกลับไปยังค่าย


 


ใจกลางค่าย มีจอแสดงผลเกียรติยศของผู้ที่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้ติดตั้งเอาไว้อยู่


 


อันดับ 1 : จ้าวหูซิน (ทีม) , แต้มสงคราม : 1238 , แต้มสะสม 5189


 


อันดับ 2 : ฮั่วรุ่ย (ทีม) , แต้มสงคราม : 1134 , แต้มสะสม 4811


 


อันดับ 3 : เกาหลิงฮาน (ทีม) , แต้มสงคราม : 1089 , แต้มสะสม 4790


 


อันดับ 4 ……..


 


สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เหล่าบุคคลที่มีชื่ออยู่ในจอแสดงผลเกียรติยศนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ถูกเรียกว่า ‘ลูกรักของพระเจ้า’ จากสถาบันต่างๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมอัจฉริยะรุ่นเยาว์


 


“วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเราสามารถทำผลงานได้มากกว่า 1000 แต้ม! พวกเราจะแบ่งกันเป็น หยางเซ่าเอาไป 200 ส่วนคนอื่นๆเอาไป 100 แต้มเป็นไง?” เกาหลิงฮานกล่าว


 


หยางเซ่าเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในทีม กำลังรบของเขาเป็นรองเพียงเกาหลิงฮานเท่านั้น เลยเป็นธรรมดาที่คนอื่นๆจะไม่โต้แย้งกับข้อเสนอนี้


 


“ไม่มีปัญหา”


 


“ตกลงตามนั้น”


 


“รุ่นพี่ ฉันไม่ต้องการมันหรอก เพราะฉันรู้สึกว่า ฉันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย!” หลี่เหยาเหยากล่าวด้วยความเขินอาย


 


“ทำไมจะไม่ช่วยล่ะ? พลังรักษาของรุ่นน้องหลี่มีประโยชน์จะตาย ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ฉันมีหรือจะสามารถต่อสู้ได้ยาวนานถึงขนาดนี้!” หยางเซ่ากล่าวขึ้นทันที


 


แม้ปัจจุบันหลี่เหยาเหยาจะอยู่แค่ปี 2 และไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่เธอก็เป็นคนที่เชี่ยวชาญในด้านพลังรักษาอย่างน่าประหลาดใจ ดังนั้นเกาหลิงฮานจึงตัดสินใจดึงหลี่เหยาเหยามาเข้าร่วมทีม


 


“ใช่ๆ เธอจะปล่อยให้รุ่นพี่ต้องผิดคำพูด เอาแต้มไปอมไว้เองจนกลายเป็นหมูอย่างงั้นหรือ?”


 


“รุ่นพี่ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น!” หลี่เหยาเหยาหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป เพราะกลัวเกาหลิงฮานจะอึดอัดใจ


 


หลังจากนั้น หลายคนก็ทำการแลกเปลี่ยนแต้มสงครามเป็นวัตถุดิบสำคัญบางอย่าง ทางหลี่เหยาเหยาเธอใช้แต้มแลกเปลี่ยนเป็นแก่นอบิลิตี้ธาตุน้ำ แก่นอบิลิตี้ชิ้นนี้ไม่เพียงสามารถใช้ในการดูดซับรูนผ่านทางเครื่องมือมิเตอร์ แต่มันยังสามารถใช้ฟื้นฟูพลังพิเศษในช่วงเวลาวิกฤตได้อีกด้วย


 


100 แต้มสงครามน่ะมีมูลค่าเทียบเท่ากับ 100,000 เหรียญ และเมื่อรวมกับราคาของแก่นพลังงานที่ได้มาและขายมันไป นำมาแบ่งกันอีกครั้ง ส่งผลให้ในวันนี้ รวมๆแล้วเธอสามารถได้รับเงินมามากถึง 300,000 เหรียญ –หลี่เหยาเหยารู้สึกคล้ายกับว่าตนกำลังโผบินขึ้นสู่ฟากฟ้า


 


และในเวลานั้นเอง เธอก็ได้เห็นฉินเฟิงเดินเข้ามาท่ามกลางฝูงชนจากระยะไกล


 


หรือจะให้พูดอีกอย่างนึงก็คือ มันเป็นเพราะไป๋หลีสะดุดตาเกินไปต่างหาก เลยสามารถเห็นฉินเฟิงได้อย่างง่ายดาย -ต่อให้ไป๋หลีจะสวมแว่นกันแดดสีน้ำตาลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังตกเป็นเป้าสายตาอยู่ดี มีหลายคนพยายามที่จะสำรวจความงดงามของเธออยู่ดี


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พาตัวเสี่ยวไป๋เดินฝ่าฝูงชนอย่างรวดเร็ว


 


“หิวจัง!” ไป๋หลีดึงแขนเสื้อฉินเฟิง เอียงตัวอิงแนบแขนเขาราวกับคนไม่มีกระดูก


 


“โอเค โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเอาแก่นพลังงานจากซากศพให้แกกิน!” ฉินเฟิงปลอบประโลม


 


แต่ไป๋หลีกลับแสดงสีหน้ารังเกียจสวนกลับมา “หนูไม่กินพวกมัน เพราะมันไม่น่าอร่อยเลย!”


 


ปัจจุบันไป๋หลีเริ่มแสดงออกเหมือนกับมนุษย์มากขึ้นทุกที แต่ในส่วนของเรื่องกิน เธอก็ยังเป็นจิ้งจอกน้อยที่เรื่องมากอยู่ดี


 


“งั้นเอาไว้หลังจากนี้ ฉันจะซื้อแก่นพลังงานราชันย์สัตว์ร้ายให้แก!”


 


ดวงตาของไป๋หลีเปล่งประกายขึ้นทันใด


 


ฉินเฟิงเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมา


 


ท่าทางสนิทสนมกันของทั้งสองคน ทำให้สีหน้าของหลี่เหยาเหยาหม่นลง


 


“ฉินเฟิง!”


 


หลี่เหยาเหยาร้องตะโกนขึ้น


 


ฉินเฟิงมองตามเสียง ก็พบกับหลี่เหยาเหยา ก่อนจะกวาดสายตามองคนอื่นๆรอบตัวเธอ และหยุดลงตรงเกาหลิงฮานอย่างไม่คาดคิด


 


เจ้าหมอนี่ อายุยังน้อย แต่กลับครอบครองความแข็งแกร่งในเลเวล F ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกที่ถูกเรียกกันว่าลูกรักของพระเจ้า


 


“สวัสดีรุ่นพี่สาว”


 


ฉินเฟิงพยักหน้า กล่าวอย่างสุภาพ ทว่าขณะเดียวกันก็ห่างเหิน!


 


สีหน้าของหลี่เหยาเหยากลายเป็นไม่อาจคาดเดาได้ เธอไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่จู่ๆเธอก็อยากจะทำร้ายจิตใจของฉินเฟิง เพื่อให้เขาลดความเย่อหยิ่งลง


 


“ฉินเฟิง ฉันขอแนะนำให้รู้จัก คนๆนี้คือรุ่นพี่ปีสาม เป็นอันดับหนึ่งของสถาบันทางตอนเหนือของเรา รุ่นพี่เกาหลิงฮาน!” หลี่เหยาเหยากล่าว


 


เกาหลิงฮานหัวเราะเล็กน้อยและกล่าว “อย่าพูดแบบนั้นสิรุ่นน้องหลี่ อันดับหนึ่งอะไรกัน นั่นมันเป็นคนอื่นเอาไปพูดกันเองต่างหาก!”


 


“ไม่หรอกค่ะ รุ่นพี่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วในโรงเรียน ทุกครั้งที่มีการประเมินหรือแข่งขันอะไร รุ่นพี่ก็มักจะเป็นอันดับแรกเสมอ ดังนั้นถ้าจะพูดว่าไม่มีอะไรยากสำหรับรุ่นพี่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องเกินเลย!” หลี่เหยาเหยากล่าวด้วยความชื่นชม


 


เกาหลิงฮานยิ้มจางๆ เขามองไปทางฉินเฟิง


 


“ถ้านายต้องการความช่วยเหลืออะไรในอนาคต นายสามารถมาหาฉันได้เลยนะ!” เกาหลิงฮานกล่าว


 


ฉินเฟิงมองเกาหลิงฮาน พยักหน้าตอบ “เข้าใจแล้วครับรุ่นพี่!”


 


ถึงจะเป็นการดูโอ้อวดไปบ้าง แต่เกาหลิงฮานก็กล่าวกับเขาอย่างสุภาพ ดังนั้นฉินเฟิงก็ย่อมสุภาพตอบอย่างเหมาะสม แม้เขาจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายก็ตามที


 


ในเวลานี้ เกาหลิงฮานเบนสายตาไปมองไป๋หลี แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “สาวน้อยคนนี้ก็เป็นนักเรียนปี 1 ของพวกเราด้วยงั้นหรอ?”


 


ไป๋หลีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงตัวเอง มันก็นึกถึงคำแนะนำของฉินเฟิงก่อนหน้านี้ และกล่าวออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ “ฉันเป็นแฟนของฉินเฟิง และเขาเป็นแฟนของฉัน!”


 


ใบหน้าอ่อนโยนของเกาหลิงฮานพลันแข็งทื่อไป


 


หลี่เหยาเหยาเองก็รู้สึกหดหู่ในหัวใจ


 


“รุ่นน้องชายถึงขั้นพาแฟนออกมาสู้กับพวกสัตว์ร้ายในทุ่งล่า ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกันมากเลยสินะ!” เกาหลิงฮานประชดประชันเล็กน้อย


 


“ก็ประมาณนั้น ผมขอตัวก่อนนะ” ฉินเฟิงไม่ตั้งใจที่จะเสียเวลากับทั้งสองคนอีกต่อไป เนื่องจากท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว นั่นหมายความว่ายิ่งช้า คิวการตรวจสอบก็จะยิ่งนาน


 


“รุ่นพี่สาว รุ่นพี่ชาย ผมคงต้องไปตรวจสอบแต้มสงครามก่อน พวกรุ่นพี่คุยกันตามสบายเลยนะครับ”


 


ฉินเฟิงไม่รอให้ทั้งสองเอ่ยตอบ เขาพุ่งตรงไปยังสำนักงานตรวจสอบทันที


 


แม้ฉินเฟิงจะปลีกตัวออกไปแล้ว แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังไม่แยกจากกันในทันที คล้ายกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง


 


ฉินเฟิงส่งวิดีโอ และภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที มันก็ถูกตรวจสอบจนเสร็จสิ้น


 


“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! เสร็จสิ้นการตรวจสอบแล้ว แต้มสงครามในปัจจุบันของคุณคือ 5,671 แต้ม!”


 


แต้มสงครามที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซากศพเลเวล G มีค่าเท่ากับ 1 แต้มสงคราม และเลเวล F คือ 10 แต้มสงคราม ยิ่งเป็นพวกระดับทหารหรือระดับนายพลก็จะมีแต้มเสริมเพิ่มเข้าไปอีก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ฉินเฟิงจะได้รับมากกว่า 5,600 แต้มภายในวันเดียว


 


ช่วงเวลาต่อมา รายชื่อของฉินเฟิงก็ปรากฏขึ้นสู่ด้านบนสุดของจอแสดงผล


 


อันดับ 1 : ฉินเฟิง (รายบุคคล) , แต้มสงคราม : 5671 , แต้มสะสม 5671


 


พริบตานั้นเอง ผู้คนก็หันมาให้ความสนใจจอแสดงผลเกียรติยศ ก่อนจะพากันร้องอุทานออกมา


 


“ฉินเฟิง? ใครกันคือฉินเฟิง?”


 


“ต่อสู้แบบรายบุคคล? มันเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะสามารถทำแต้มได้มากกว่า 5,000 แต้ม?”


 


“แถมตรงแต้มสะสมของเขาเองก็ขึ้นเป็นเลขเดียวกัน นั่นหมายความว่าเขาสามารถล่าแต้มสงครามมากมายขนาดนี้ได้ในวันเดียว?”


 


“เป็นตัวตนทรงพลังจากที่อื่นรึเปล่า? อย่างน้อยก็น่าจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล E !”


 


ฝูงชนรอบข้างต่างถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางฝั่งเกาหลิงฮานกับหลี่เหยาเหยา แน่นอนย่อมได้ยินถึงบทสนทนา สีหน้าของทั้งสองแปรเปลี่ยนไป


 


เขาและเธอแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง


 


ฉินเฟิงออกจากสำนักงานตรวจสอบ และกำลังจะมุ่งตรงไปยังสำนักงานแลกเปลี่ยน


 


หลี่เหยาเหยามองไปทางฉินเฟิงด้วยดวงตาอันซับซ้อน และตะโกนเรียกอีกครั้ง


 


“ฉินเฟิง! นายตรวจสอบแต้มสงครามแล้วใช่ไหม? ได้มาเท่าไหร่หรอในการต่อสู้ครั้งนี้?”


 


หลี่เหยาเหยาภาวนาในจิตใจ ว่าไม่ควรจะเป็นเขา! มันก็แค่คนที่ชื่อเหมือนกัน! -มันต้องเป็นแค่เรื่องบังเอิญ!!


Ch.93 – ลูกรักของพระเจ้าก็ยังเทียบไม่ติด

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.93 – ลูกรักของพระเจ้าก็ยังเทียบไม่ติด


 


หลี่เหยาเหยาไม่อยากจะเชื่อเลย ถึงเธอจะรู้ว่าฉินเฟิงแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่น่าจะถึงขั้นได้รับแต้มสงครามกว่า 5,000 แต้มในวันเดียว … นี่เขาสังหารซากศพไปกี่ตัวกัน?


 


“ไม่ได้ตั้งใจมอง แต่น่าจะมากกว่า 5,000 นะ” ฉินเฟิงตอบอย่างราบรื่น


 


ในเวลานี้ สีหน้าของเกาหลิงฮานหม่นทะมึนลง


 


“รุ่นน้องชาย นายใช้วิธีตุกติกอะไรบางอย่างหลอกลวงระบบรึเปล่า? นายเพิ่งจะเข้าเรียนกับทางสถาบันใช่ไหม? อย่าทำอะไรแบบนั้นเพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยเลย นั่นจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของสถาบันเขตเฉิงเป่ยนะ!”


 


หากเป็นคนอื่น เกาหลิงฮานอาจจะยังพอทำใจเชื่อได้


 


แต่ฉินเฟิงคือใคร? เขาเป็นแค่น้องใหม่ปี 1 แถมยังพาสาวสวยออกมาสู้ แบบนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เกรงว่าเจ้าหนูนี่คงไปท่องธรรมชาติ เพลิดเพลินไปกับสถานที่ต่างๆที่ไม่สัตว์ร้ายต่างหากถึงจะน่าเชื่อกว่า


 


เมื่อคิดได้แบบนี้ น่ากลัวว่าระบบจะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้ว ขณะที่คนรอบข้างต่างเริ่มมองมาทางฉินเฟิง และได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง พวกเขาก็ย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าชื่อที่อยู่บนจอเกียรติยศคือคนที่อยู่ตรงหน้า


 


แต่ฉินเฟิงกลับยังดูอ่อนเยาว์อยู่เลย แถมบนหน้าอกเขาก็แปะเพียงโลโก้เลเวล G เท่านั้น ผู้คนจึงเริ่มรู้สึกไม่เชื่อถือขึ้นมา


 


ทั้งหนุ่มและยังเลเวล G -มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่สามารถสังหารสัตว์ร้ายได้มากมายถึงขนาดนั้น?


 


ช่วงเวลานี้ บางคนก็เริ่มชี้ไม้ชี้มือมาทางฉินเฟิง


 


คิ้วของฉินเฟิงยับย่นอย่างรุนแรง ฉากนี้คล้ายกับตอนกองทัพหนูในพื้นที่เพาะปลูกเลย


 


บางคนกลัวว่าจะไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่าได้ เพราะยังไงซะ พวกเขาก็เผชิญกับความผิดหวังมามากเกินไป … กว่าจะได้มาสักแต้มช่างยากลำบากเหลือเกิน!


 


และช่างโชคร้าย ที่ผลงานของฉินเฟิงดันไปจี้ใจดำพวกเขาเข้าพอดี


 


ไม่รีรอให้ฉินเฟิงได้เอ่ยคำอธิบายกับผู้คน ก็พลันเกิดเสียงอุทานจากฝูงชนดังขึ้น จากนั้นพวกเขาก็แยกออกเป็นสองฟากฝั่ง ราวกับมีคนใหญ่คนโตและสำคัญยิ่งปรากฏตัวขึ้น


 


ใจกลางเส้นทางที่ฝูงชนเปิดออก เติ้งเหนียนกับฮั่นเจียนก้าวมาข้างหน้า โดยมีผู้คุมกลุ่มใหญ่คอยประกบอยู่ข้างๆ แบ่งแยกฝูงชนให้ทั้งสองเดินเหินได้อย่างอิสระ


 


และทิศทางที่เติ้งเหนียนเดินตรงเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเขาคือฉินเฟิง หลี่เหยาเหยากับเกาหลิงฮานเองก็สังเกตเห็นถึงเติ้งเหนียนแล้วเช่นกัน


 


“ผู้อำนวยการ!”


 


“ผู้อำนวยการ!”


 


ทั้งสองคนโค้งแสดงความเคารพอีกฝ่าย


 


ฉินเฟิงกำลังคิดว่าเขาเองควรจะทักทายด้วยดีหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ขณะนี้เขาก็เป็นนักเรียนของสถาบันระดับสูงเช่นกัน


 


แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยมันออกมา เติ้งเหนียนก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน และตบลงบนไหล่ฉินเฟิง


 


“ฉินเฟิง! เธอเป็นเกียรติยศของสถาบันเราโดยแท้ ทำได้ดีมาก!” เติ้งเหนียนมองมาทางฉินเฟิงด้วยความชื่นชม


 


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของฉินเฟิง ว่าก่อนหน้านี้เขาได้ยินถึงเสียงหึ่งๆอยู่เหนือหัวของตนเอง


 


เกรงว่าอีกฝ่ายน่าจะค้นพบเขาแล้วตั้งแต่ช่วงเวลานั้น!


 


แต่สมควรอยู่หรอก ฆ่ากันถึงขนาดนี้ จะไม่เห็นมันก็กระไรอยู่!


 


เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉินเฟิงก็ไม่คิดปฏิเสธ “มันเป็นสิ่งที่ผมควรจะทำ!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ตอบได้ดี!” เติ้งเหนียนหัวเราะดังลั่น


 


ในเวลานี้ ฮั่นเจียนก้าวออกมาบ้าง เขาเผยถึงรอยยิ้มในดวงตา


 


“ฉินเฟิง เธอยังจำฉันได้ไหม?”


 


เป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงยังไม่ลืมอีกฝ่าย


 


“นายพลฮั่น!” ฉินเฟิงพยักหน้าให้เขา


 


“ฮี่ฮี่ ผลงานทางทหารของเธอในปัจจุบัน มันมากเกินพอแล้วที่จะได้ขึ้นเป็น ‘รองนายพล’ ฉันไม่เห็นว่าเธอจำเป็นต้องเรียนอีกต่อไป ทำไมไม่ลาออกจากสถาบันแล้วมาเข้าร่วมกับกองทหารรักษาการณ์ของพวกเราล่ะ!” ฮั่นเจียนเกิดความคิดที่จะชักชวนฉินเฟิงอีกครั้ง


 


“ตาแก่ฮั่น นิสัยเสียเกินไปแล้ว กล้าปล้นนักเรียนของฉันต่อหน้าต่อตาแบบนี้!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เอาน่า ยังไงก็ขอลองฟังความเห็นของฉินเฟิงดูก่อน”


 


นี่คือสิ่งล่อใจอันใหญ่ยิ่ง ทราบกันหรือไม่ว่าตำแหน่ง ‘รองนายพล’ นั้นหมายถึงอะไร?


 


มันคือตำแหน่งที่ทั่วทั้งภูมิภาคของเขตเฉิงเป่ย ไม่ว่าจะเป็นซูซิงฝู , เหอหลี หรือกระทั่งเจียงเส้าหยางซึ่งเป็นผู้ดูแลคลับอินทรี ก็ยังไม่อาจเทียบเท่า! เป็นตำแหน่งที่เป็นรองเพียงฮั่นเจียนเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งนี้ไม่อาจซื้อฉินเฟิงได้ ในชีวิตนี้ ตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ เขาก็ไม่ใช่เจ้าหนูไก่อ่อนที่ไร้อำนาจอีกต่อไป แต่คือคนที่กำลังค่อยๆหวนคืนสู่ตำแหน่งราชันย์ทหารรับจ้างในชีวิตก่อนหน้า เพียงแต่ปัจจุบันความแข็งแกร่งยังไม่ฟื้นคืนก็เท่านั้น


 


จึงพูดได้ว่าตำแหน่งดังกล่าว มันไม่ได้ดึงดูดความสนใจใดๆของฉินเฟิงเลย


 


“ผมยังต้องการที่จะเรียนรู้อย่างจริงจัง เกรงว่าคงต้องทำให้เจตนาดีของนายพลฮั่นผิดหวังซะแล้ว”


 


“อ๊า น่าเสียดาย!’ ฮั่นเจียนรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง แต่ก็ยังกล่าวต่อ “อืม แต่ก็จริงนั่นล่ะนะ เธอยังเด็กอยู่ และมันคงยากที่จะจัดสรรตำแหน่งรองนายพลให้แก่เธอในทันที แต่ถ้าเป็นตำแหน่ง ‘ร้อยเอกกิตติมศักดิ์’ ล่ะ? คงได้ใช่ไหม กิตติมศักดิ์คือเธอจะได้รับยศร้อยเอก โดยที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ประจำแต่อย่างใด ขอแค่มาปรากฏตัวขึ้นในเวลาสำคัญก็พอ แบบนี้เป็นไง ฟังดูน่าสนใจใช่ไหม?”


 


พอเจอแบบนี้เข้าไป ฉินเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าเขาหลงกลซะแล้ว -การเสนอตำแหน่งรองนายพลก่อนหน้านี้ ก็เพื่อให้เขาปฏิเสธ จะได้ไม่ปฏิเสธ ข้อเสนอในครั้งที่สอง


 


อย่างไรก็ตาม ร้อยเอกกิตติมศักดิ์ ก็เป็นข้อเสนอที่ดี กล่าวกันอย่างตรงไปตรงมา มันคือตำแหน่งว่างงาน แต่ยังคงได้รับผลประโยชน์!


 


ด้วยยศดังกล่าว มันจะส่งผลให้สถานะในสถานที่ชุมชนของฉินเฟิงพุ่งทะยานขึ้น และเขาก็จะไม่ใช่นักเรียนธรรมดาๆอีกต่อไป


 


ทันใดนั้นฉินเฟิงก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้น มองไกลออกไปในรถบัญชาการที่จอดอยู่ตรงพื้นที่โล่งกว้าง แล้วก็พบว่ามีคนๆกำลังยืนมองมาจากข้างหน้าต่าง


 


กลิ่นอายของชายคนนั้นแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ใบหน้าของเขามืดมนเล็กน้อย คล้ายกำลังอารมณ์เสียมาก ดูไม่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง


 


‘หลินเซิง!’ ชื่อของคนๆหนึ่งปรากฏขึ้นในจิตใจของฉินเฟิงทันที


 


อีกฝ่ายกำลังมองมาที่ตนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ในดวงตากระทั่งเผยถึงเจตนาฆ่า


 


‘นั่นสินะ ก็ถ้าวันนี้ทั้งฮั่นเจียนกับเติ้งเหนียนยังเห็นถึงความสามารถในการต่อสู้ของฉัน งั้นหลินเซิงจะมองไม่เห็นได้อย่างไร? ในกรณีนี้อย่าบอกนะว่าเขาเกิดความสงสัยในตัวฉันเข้าให้แล้ว?’


 


ระหว่างที่กำลังคิดเช่นนั้น สายตาของฉินเฟิงก็มองไปยังหลินเซิง แต่มันดันเป็นทิศทางเดียวกันกับของเติ้งเหนียนพอดี เจ้าตัวจึงคิดว่าฉินเฟิงกำลังมองมาที่ตนเพื่อขอความเห็น เติ้งเหนียนเลยยิ่งรู้สึกภูมิใจขึ้นเป็นสองเท่า เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉินเฟิง ความแข็งแกร่งยิ่งมาก ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากตาม งานของทางฝั่งนายพลฮั่นเจียนเองก็หนักเอาเรื่อง ดังนั้นเธออย่าทำให้เขาผิดหวังเลย เธอควรรับตำแหน่งร้อยเอกกิตติมศักดิ์นี้ไว้!”


 


เมื่อฉินเฟิงได้ยินคำพูดของเติ้งเหนียน เขาก็ถอนสายตากลับมา และมองไปทางฮั่นเจียนราวกับไม่รับรู้ว่าหลินเซิงยืนอยู่ในสถานที่ห่างไกล


 


“ในเมื่อพูดกันถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าผมไม่รับ มันคงจะเป็นการไม่สุภาพ!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ดีมาก! มาเถอะ เธอจะได้รับตราร้อยเอกในไม่ช้า ตอนนี้พวกเราเปลี่ยนที่ เพื่อพูดคุยกันอีกสักเล็กๆน้อยๆดีกว่า!”


 


เติ้งเหนียน และฮั่นเจียนพาฉินเฟิงไปยังรถจอแสดงมอนิเตอร์อีกคัน เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะสนทนากันเป็นการส่วนตัว


 


ส่วนทางฝั่งหน้าสำนักงานตรวจสอบแต้มสงคราม เหลือเพียงกลุ่มผู้สังเกตการณ์เท่านั้นที่ยังคงอยู่


 


“ดูเหมือนว่าฉินเฟิงคนนี้ จะเป็นของจริง!”


 


“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ถ้าได้แต้มสงครามมากกว่า 5,000 แบบนี้ น่ากลัวว่าที่เขาฆ่าไป น่าจะไม่ใช่แค่ซากศพเลเวล G !”


 


“ยศร้อยเอกกิตติมศักดิ์อย่างงั้นหรอ ตำแหน่งที่ว่าอย่างน้อยที่สุดควรจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในกลุ่มเลเวล F ดูเหมือนว่าฉินเฟิงคนนี้จะประมาทไม่ได้ซะแล้ว!”


 


ในเวลานี้ เกาหลิงฮานผู้ซึ่งเคยตั้งคำถามกับฉินเฟิง ใบหน้าของเขาได้สูญสิ้นซึ่งความอ่อนโยนไปโดยสิ้นเชิง ปัจจุบันมันแดงระเรื่อด้วยความอับอายและความโกรธ!


 


ในดวงตาของหลี่เหยาเหยาเองก็กลายเป็นซับซ้อน เพราะทั้งหมดนี้ เดิมเธอต้องการที่จะลดทอนความเย่อหยิ่งของฉินเฟิงลง แต่ปัจจุบัน เธอกลับพบว่าอีกฝ่ายทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ชนิดที่ว่าเธอไม่อาจเอื้อมมือไปแตะเศษฝุ่นจากรองเท้าเข้าได้ด้วยซ้ำ


 


ก่อนที่จะทำให้ฉินเฟิงได้รับความอับอาย กลับกลายเป็นทั้งสองซะเองที่ได้รับความอัปยศ ในหัวใจของทั้งคู่ อดไม่ได้ที่จะชิงชังฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงสนทนากับเติ้งเหนียนและฮั่นเจียนได้เพียงครู่เดียว เพราะยังไงซะ ในเวลานี้ทั้งสองคนก็กำลังยุ่งมากเกินไป และฉินเฟิงเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่กับเติ้งเหนียนให้นานเกินไปนัก เนื่องจากธาตุแสงกับมืดเป็นปรปักษ์กัน ยามเมื่อยืนอยู่ข้างเติ้งเหนียน ฉินเฟิงมักจะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว


 


หลังจากออกมา ฉินเฟิงก็ตรงไปยังสำนักงานแลกเปลี่ยนแต้มสงคราม เพื่อตรวจสอบดูว่ามีไอเท็มดีๆที่เขาสามารถแลกเปลี่ยนได้หรือไม่


 


ไอเท็มที่ใช้แลกเปลี่ยนกับแต้มสงครามคือของสำหรับยามวิกฤตทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้มักจะไม่ค่อยปรากฏตามท้องตลาด อย่างเช่นอาวุธรูนที่ทำจากวัตถุดิบของนายพลสัตว์ร้าย หรือไม่ก็อาวุธปืนทางทหารที่ทรงประสิทธิภาพ ฯลฯ


 


ฉินเฟิงกวาดตามองไอเท็มที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนต่างๆ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างไสว


 


“นั่นมันเม็ดยาฟ้าฟื้น!!”


Ch.94 – โดยรวมแล้วครอบคลุมเลเวล F2

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.94 – โดยรวมแล้วครอบคลุมเลเวล F2


 


เม็ดยาฟ้าฟื้น คือยาสำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณ มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกำลังภายใน อุดมไปด้วยสมบัติทางธรรมชาติอันหลากหลาย หลังจากกลืนเข้าไปแล้ว มันสามารถเพิ่มกำลังภายในได้เป็นจำนวนมาก และหลังจากดูดซึมเม็ดยาจนหมด ก็จะสามารถช่วยยกระดับได้อย่างรวดเร็ว


 


ไม่เพียงสามารถใช้ในการฝึกฝนเท่านั้น แต่มันยังสามารถใช้เพื่อฟื้นฟูกำลังภายใน ในช่วงเวลาวิกฤตระหว่างการต่อสู้ได้อีกด้วย ทว่าในกรณีหลังค่อนข้างกล่าวได้ว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยสูญเปล่า


 


และนี่เอง คือเหตุผลที่เม็ดยาฟ้าฟื้นปรากฏขึ้นที่นี่ มิฉะนั้น หากต้องการสิ่งนี้ คงจำเป็นต้องไปซื้อด้วยตัวเองจากเมืองเฉิงหยางโดยตรงเท่านั้น


 


เม็ดยาฟ้าฟื้นเป็นสิ่งที่ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F เท่านั้นถึงจะใช้ได้ ดังนั้นจึงหาได้ยากยิ่งในเขตเฉิงเป่ย


 


“ผมต้องการแลกเปลี่ยนเม็ดยาฟ้าฟื้น! 50 เม็ด!” ฉินเฟิงใช้ 5,000 แต้มเพื่อแลกเปลี่ยนกับ 50 เม็ดยา


 


ส่วน 600 ที่เหลือฉินเฟิงยังไม่ได้ใช่จ่าย เพราะเม็ดยาเหล่านี้ เพียงพอแล้วต่อความต้องการของเขาสำหรับวันนี้


 


หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็ได้ตรวจสอบอุปกรณ์สื่อสารของเขาอีกครั้ง และพบว่าในบัญชีมียอดเงินทั้งสิ้น 140 ล้านเหรียญ!


 


50 ล้านมาจากไพ่สีดำที่ได้รับมาจากเจียงเส้าหยาง และอีก 50 ล้านมาจากข่าวที่ขายให้กับซูซิงฝู นอกจากนี้ยังมีอีก 10 ล้านจากทางเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลและสุดท้ายเป็นเงิน 30 ล้าน จากการขายวัตถุดิบค้างค้าวยักษ์ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาเมื่อไม่กี่วันก่อน


 


“งั้นฉันจะซื้อเจ้าสองสิ่งนี้ให้แกก็แล้วกัน!” ฉินเฟิงกล่าวพลางชี้ลงบนอุปกรณ์สื่อสาร


 


ไป๋หลีฝึกใช้อุปกรณ์สื่อสารมาพักหนึ่งแล้ว หลังจากที่เธอทำการเชื่อมต่อกับเครือข่ายห้องประมูลของกลุ่มหวันซ่ง เธอก็สามารถมองเห็นข้อความมากมายบนหน้าจอ


 


หากเป็นแก่นพลังงานเลเวล F ธรรมดา จะมีมูลค่าหลายหมื่น แต่ไป๋หลีต้องการแก่นพลังของของราชันย์สัตว์ร้าย ดังนั้นมูลค่าของมันจึงน่าสยดสยองมาก


 


ก็ลองสังเกตจากการปิดล้อมราชันย์อัศวินดูสิ แค่นั้นพวกคุณก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่ากว่าจะได้แก่นพลังงานเลเวล F ระดับราชันย์มา มันยากเย็นเพียงใด และแน่นอน ว่าพลังที่บรรจุอยู่ภายในย่อมมีปริมาณมหาศาล ดังนั้นราคาก็เลยมหาศาลอย่างน่าตกใจไม่ต่างกัน


 


【แก่นพลังงานราชันย์ยักษ์ เลเวล F5 ราคาเสนอขาย 53 ล้าน!】


 


【แก่นพลังงานราชินีแมลง เลเวล F7 ราคาเสนอขาย 81.3 ล้าน!】


 


“ว้าว ยอดไปเลยที่รัก!” ไป๋หลีกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้ม


 


ฉินเฟิงเลิกคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “แค่พูดขอบคุณ มันยังไม่พอหรอก!”


 


ไป๋หลีกระพริบตาปริบๆ มันไม่เข้าใจคำพูดของฉินเฟิง


 


มองไปยังสายตาที่ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ของไป๋หลี ฉินเฟิงก็เกิดความคิดสนุก อยากจะแกล้งไป๋หลีอีกครั้ง แม้ความรู้สึกผิดจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็อดไม่ได้จริงๆ


 


“หอมแก้มฉันด้วย” ฉินเฟิงเคาะๆลงบนแก้มตัวเอง


 


ไป๋หลีโน้วตัวลงทันที แต่แทนที่จะจูบ มันกลับเลียแทน


 


นี่คือปฏิกิริยาของจิ้งจอกน้อยยามเมื่อมันแสดงออกถึงความสุข … แทบจะไม่แตกต่างกับหมา


 


“เอาล่ะ เอาล่ะ พอได้แล้ว”


 


ฉินเฟิงจับไป๋หลี และรู้สึกว่าการแกล้งเธอ มันกลับเป็นฝ่ายเขาซะเองที่ยากจะข่มอารมณ์


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยการกระทำนี้ ทำให้มุมปากของฉินเฟิงยกสูงขึ้นด้วยความสุข อารมณ์ของเขาผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก


 


ระหว่างรอส่งมอบสินค้าจากกลุ่มหวันซ่ง ฉินเฟิงก็กลับไปยังบริเวณที่ตั้งเต็นท์ของตน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างรถศึกของตนและโจวฮ่าว


 


“รุ่นน้องโจว รีบๆย่างมันเร็วเข้า ฉันหิวจนจะตาลายอยู่แล้ว!”


 


“เธอกินไปห้าไม้แล้วนะ แต่ผมยังไม่ได้กินเลย ตัวเล็กขนาดนี้ กินตั้งเยอะได้ยังไง!”


 


“เหอ? ก็ฉันต้องกินให้มากเข้าไว้ไง จะได้สูงๆซักที!”


 


“ฝันไปเถอะ เธออายุ 17 ปี แล้ว หมดหวังเรื่องความสูงแล้ว!”


 


“พูดแทงใจดำ! คอยดูเถอะ วันนี้ฉันจะกินให้หมดเลย ไม่เหลือทิ้งไว้ให้นายซักไม้เดียว!”


 


ขณะที่ฉินเฟิงเดินเข้าไป เขาก็บังเอิญเห็นลู่เหมิงกับโจวฮ่าวกำลังนั่งล้อมรอบกองไฟ และแย่งปีกไก่ย่างกัน


 


“โอ้ กลิ่นหอมดีนี่นา” ฉินเฟิงเดินเข้าไปร่วมวง


 


“ไอ้บ้า! รีบมาช่วยฉันเร็วเข้า พวกเราเจอปีศาจกระเพาะใหญ่เข้าให้แล้วนะรู้ไหม!” โจวฮ่าวเบ้ปากไปทางลู่เหมิง


 


ฉินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อยที่ทั้งสองเข้าขากันได้ดี แต่เขาก็ยังเข้ามาช่วย


 


ไป๋หลีขยับจมูกฟุดฟิด ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าอาหารตรงหน้ามีกลิ่นหอมมากกว่าแก่นพลังงานนัก นิ้วของเธอเริ่มขยุกขยิก ย่อตัวนั่งลง


 


โจวฮ่าวนำวัตถุดิบเหล่านี้มาด้วยก่อนที่เขาจะมายังแนวหน้า ต้องไม่ลืมนะว่ารถของเขามีขนาดใหญ่ แถมยังติดตั้งตู้เย็นขนาดเล็ก ดังนั้นโจวฮ่าวจึงสามารถนำสิ่งของในชีวิตประจำวัน ร่วมถึงหม้อเตาถ่านมาด้วยได้


 


ระหว่างกินอาหาร ฉินเฟิงก็รู้ได้ในที่สุดว่าทำไมทั้งสองคนถึงอยู่ด้วยกัน


 


-กลับกลายเป็นว่าหลี่เหยาเหยาทิ้งลู่เหมิงไปอยู่กับเกาหลิงฮาน ดังนั้นโจวฮ่าวกับลู่เหมิงจึงจัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมา


 


และในวันเดียว ลู่เหมิงก็ประทับใจกับโจวฮ่าวเป็นอย่างมาก ทั้งสองไล่ฆ่าซากศพเลเวล G ไปกว่า 200 ตัว ซึ่งกล่าวได้ว่าแต้มสงครามที่ทั้งสองได้รับ มันไม่ด้อยไปกว่าแต้มของหลี่เหยาเหยาเลย


 


มีลู่เหมิงในฐานะเศรษฐีท้องถิ่นคอยยิงสนับสนุน ฉินเฟิงก็ไม่ต้องกังวลว่าโจวฮ่าวจะได้รับบาดเจ็บ


 


อาหารมื้อเย็นกินเวลายาวนานกว่า 1 ชั่วโมง กระทั่งไป๋หลีเองก็ซัดปีกไก่ไปหลายชิ้นมาก หากไม่ใช่เพราะวัตถุดิบหมด ไป๋หลีคงกินได้อีกหลายสิบชิ้น


 


….


 


“คืนนี้พวกเราจะไม่ออกล่า”


 


ฉินเฟิงเอ่ยออกมาเมื่ออยู่ลำพังกับไป๋หลี เขาคิดว่าความแข็งแกร่งของตนถูกเปิดเผยแล้วในช่วงเย็น ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องออกไปสู้ยามค่ำคืนให้ กระตุ้นความสงสัยของผู้คนอีกต่อไป


 


“แต่ฉันจะอาศัยช่วงเวลาว่างนี้ เพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด!”


 


ว่าจบ ฉินเฟิงก็หลับตาลง เริ่มกระตุ้มพลังสมาธิ และรับรู้ถึงการเก็บเกี่ยวในวันนี้


 


ในวันนี้ ฉินเฟิงได้ล่า และสังหารโครงกระดูกชุดคลุมดำไปกว่า 6 ตัว พลังสมาธิของเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้ มันได้มาถึงเลเวล F1 แล้ว


 


“เสี่ยวไป๋ เอาทุกอย่างออกมา แล้วก็ไปพักผ่อนได้” ฉินเฟิงกล่าว


 


“รับทราบ!”


 


ไป๋หลีโยนทุกสิ่งที่อยู่ในพื้นที่มิติของมันออกมา ทันใดนั้น เม็ดสีแดงขนาดเท่าลูกปัดกองใหญ่ก็ร่วงตกลงกับพื้น


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งเหล่านี้ก็คือแก่นพลังงานที่ไป๋หลีช่วยฉินเฟิงเก็บรวบรวมมาในระหว่างวันนั่นเอง


 


นอกจากนี้ ยังมีกระดูกเหล็กดำอีกหลายชิ้น และแก่นอบิลิตี้สีดำอีก 6 อัน


 


“แก่นอบิลิตี้ธาตุมืดของสัตว์ร้ายระดับนายพล!”


 


ด้วยของตรงหน้า อาจพูดได้ว่าการเก็บเกี่ยวของฉินเฟิงในวันนี้มีมากกว่าแต้มสงครามมากนัก แต่กำไรเหล่านั้นจะไม่ถูกเปลี่ยนเป็นเงิน


 


คนอื่นๆต้องการเครื่องมือมิเตอร์เพื่อแยกรูนธาตุ แต่ฉินเฟิงไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น


 


“จงดูดกลืน!”


 


“จงดูดกลืน! จงดูดกลืน!”


 


หลังจากกลืนกินแก่นอบิลิตี้ทั้งหกเข้าไปในลมหายใจเดียว พลังสมาธิของฉินเฟิงก็ทะยานขึ้นอีกครั้ง


 


ก้าวขึ้นสู่เลเวล F2 !


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ฉินเฟิงยังค้นพบรูปแบบรูนใหม่ๆ(ที่สามารถใช้เปลี่ยนเป็นท่าใหม่) จากแก่นอบิลิตี้ที่เขาดูดกลืนมันเข้ามาอีกด้วย


 


เนื่องจากการดำรงอยู่ของศิลานรก อบิลิตี้ธาตุมืดของฉินเฟิงจึงทรงพลังและแกร่งมากกว่าคนอื่นๆถึงสิบเท่า มันรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพลังพิเศษใหม่เหล่านี้ที่ฉินเฟิงได้รับมา เกรงว่าบางทีกระทั่งชุดคลุมดำกระหายเลือดก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกร!


 


หลังจากดูดกลืนแก่นอบิลิตี้ไป ฉินเฟิงก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาของเขาเบนตกลงไปที่กระดูกเหล็ก


 


ฉินเฟิงต่อสู้ด้วยตนเองในวันนี้ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่เขารู้ว่ากระดูกเหล่านี้แข็งเพียงใด มันจะต้องเป็นวัตถุดิบชั้นดีอย่างแน่นอน


 


เมื่อนึกถึงมือแห้งเหี่ยวที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงก็เริ่มถือกระดูกเหล็ก เขาพบว่ากระดูกนี้ถูกเสริมความทนทานมา นอกจากจะทำจากเงินแล้ว ยังมีประกายเงางามของเหล็กดำ เขาไม่รอช้า ทำการดูดกลืนมันทันที


 


จากนั้น ก็ตามด้วยการดูดกลืนเม็ดยาฟ้าฟื้น และแก่นพลังงานอีกจำนวนมาก


 


ฉินเฟิงทำการกลืนกินและวิวัฒนาการตลอดทั้งคืน


 


ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพลังสมาธิ , ความทนทานของกระดูกในร่างกาย หรือกำลังภายใน มันล้วนเพิ่มพูมขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า !


 


กล่าวอีกนัยนึงก็คือ ณ ขณะนี้ ระดับผู้ใช้อบิลิตี้ และระดับผู้ใช้วรยุทธโบราณของฉินเฟิง ได้มาถึง เลเวล F2 แล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น หากเทียบกับผู้ใช้พลังในระดับเดียวกัน เขาจะแข็งแกร่งกว่าถึงหลายสิบเท่า!


 


เมื่อเส้นขอบฟ้าปรากฏแสงสาดส่องลงมา ฉินเฟิงก็ถอนหายใจอย่างช้าๆ


 


อาจกล่าวได้ว่าในค่ำคืนเดียว ฉินเฟิงสามารถก้าวกระโดดไปอีกขั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


 


ครอบครองความแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อวานหลายเท่า!


 


“ตอนนี้ ชักจะอยากรู้ซะแล้วสิ ว่าฉันจะสามารถรับมือกับราชันย์อัศวินได้รึยัง”


 


ฉินเฟิงกำหมัดแน่น บังเกิดความกระตือรือร้นที่จะทดสอบในสิ่งที่คิด!


Ch.95 – ชุดคลุมดำกระหายเลือด

Translator : Muntra / Author


 โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.95 – ชุดคลุมดำกระหายเลือด


 


แต่เมื่อได้ลองย้อนคิดดู ว่าราชันย์อัศวินน่ะมีระดับอยู่ในเลเวล F8 ฉินเฟิงก็รู้สึกว่าเขาไม่สมควรที่จะผลีผลาม


 


ในปัจจุบัน เขาไม่สามารถมองสถานการณ์เหมือนดังในชีวิตก่อนหน้า ที่ตนเองเป็นถึงเลเวล A ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าราชันย์อัศวินยังคงครอบครองอาวุธโล่ที่ทรงพลังไม่แตกต่างไปจากอุปกรณ์รูนสีทอง


 


“งั้นเอาไว้แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ แล้วค่อยยกเรื่องที่ว่ามาคิดอีกครั้งก็แล้วกัน”


 


ด้วยการคิดเช่นนี้ ฉินเฟิงเลยไม่รู้สึกกดดันมากจนเกินไป


 


ในวันต่อมา ฉินเฟิงพยายามต่อสู้สังหารซากศพเลเวล F แต่สถานการณ์ก็ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าที่ควร


 


ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของฉินเฟิงแข็งแกร่งจริงๆ มันเทียบเท่าได้เลยกับพวกเลเวล E แต้มสงครามและจำนวนซากศพที่ฉินเฟิงสังหารเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในแต่ละวัน


 


เพียงแต่ว่า จำนวนครั้งที่ชุดคลุมดำกระหายเลือดทำการเปิดช่องว่างมิติก็ถี่ขึ้นเช่นกัน ดูเหมือนว่าทางฝั่งมันเองก็ถูกกดดันเลยต้องทำเช่นนั้น


 


เหตุการณ์นี้เองที่นำไปสู่การยื้อยุทธ คล้ายกับการชักเย่อระหว่างมนุษย์และกองทัพซากศพ หรืออาจเรียกว่า ‘เจ้าอัญเชิญ? งั้นข้าทำลาย!’


 


ไม่กี่วันผ่านมา กองทัพซากศพสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมหาศาล แต่ในความเป็นจริง ผู้ใช้พลังทางฝั่งมนุษย์เองก็มีบ้างเหมือนกันที่จบชีวิตลง แต่เมืองเฉิงหยางทำการขอกำลังพลมาเติมเรื่อยๆ แน่นอน ว่าการขอกำลังพลไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่เพราะการกระทำเช่นนี้นั่นเอง เลยทำให้ไม่มีใครทันสังเกต ว่าทางฝั่งมนุษย์สูญเสียผู้ใช้พลังไปแล้วกว่า 300 – 400 คน


 


ฉินเฟิงไม่ได้เพิกต่อสถานการณ์ดังกล่าว ตรงกันข้าม เขารู้ดีกว่าคนอื่นๆซะอีก ดังนั้น นอกเหนือไปจากการพักผ่อนที่จำเป็นแล้ว เวลาอื่นๆเขาล้วนทุ่มเทไปกับการต่อสู้ในเทือกเขาพ่อแม่ลูก ตอนนี้ แต้มสงครามของเขาเลยปาเข้าไปกว่า 80,000 แต้มแล้ว! มันเป็นจำนวนน่าสยองขวัญที่คนเบื้องหลังไม่อาจไล่ตามได้ทัน


 


ตรงตีนเขาภูเขาแม่ ฉินเฟิงเพิ่งจัดการตัดหัวของซากศพเพลิงระดับนายพลเบื้องหน้า


 


สิ่งที่ปรากฏอยู่ในกะโหลกของซากศพเพลิง เป็นแก่นอบิลิตี้ หลังจากฉินเฟิงกลืนกินมันแล้ว เขาไม่เพียงได้รับพลังงานจากมัน แต่ยังได้รับรูนไฟเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย


 


แต่น่าเสียดาย ที่ถึงแม้ฉินเฟิงจะได้รับรูนไฟ แต่เขาก็ไม่ได้รับพลังสมาธิมาด้วย


 


ในปัจจุบัน เป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกินที่จะเพิ่มพูนพลังสมาธิ


 


เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้ฉินเฟิงเล่นไล่กวาดล้างโครงกระดูกชุดคลุมดำไปจนหมดแล้ว ดังนั้นเลยไม่เหลือกองทัพซากศพตัวไหนที่เขาสามารถดูดกลืนพลังสมาธิมาจากมันได้อีกต่อไป


 


“ทำไมเจ้าชุดคลุมดำกระหายเลือดถึงไม่ยอมเรียกโครงกระดูกชุดคลุมดำมาให้มากกว่านี้นะ!” ฉินเฟิงบ่นพึมพำ


 


อันที่จริงเรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้ อย่างเช่นในฝั่งมนุษย์เอง ผู้ที่สามารถควบคุมรูน ก็คือผู้ใช้อบิลิตี้ และขนาดทางฝั่งมนุษย์ยังขาดแคลนผู้ใช้อบิลิตี้เลย ดังนั้นในเผ่าพันธ์อื่นๆก็คงจะขาดแคลนไม่ต่างกัน -เนื่องขากการดำรงอยู่ของโครงกระดูกชุดคลุมดำเป็นตัวตนที่สามารถควบคุมรูนได้ ดังนั้นมันเลยเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากเช่นกัน


 


ฉินเฟิงหัวเราะเบาๆ และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกายสดใส


 


เพราะตรงเนินลาดชัน สูงขึ้นไปบนภูเขาแม่ จู่ๆก็มีชุดคลุมดำปรากฏกายขึ้น


 


“ให้มันได้อย่างนี้สิ! เอ่ยปากขออะไร ก็ได้ดั่งใจต้องการ!”


 


ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า พุ่งเข้าหามัน


 


แต่เมื่อเห็นฉากนี้ ไป๋หลีกลับขมวดคิ้วมุ่น


 


“ที่รัก ระวังตัวด้วยนะ เจ้านั่นมันอยู่ในระดับราชันย์สัตว์ร้าย!” ไป๋หลีเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา


 


หลังจากเฝ้าสังเกตพวกมันมาเป็นเวลานาน ไป๋หลีก็สามารถตระหนักถึงวิธีการจำแนกระดับของสัตว์ร้าย ตัวตนในชุดคลุมดำเบื้องหน้านี้ไม่ใช่ชุดคลุมดำธรรมดาอย่างที่ฉินเฟิงคิด แต่ว่ามันเป็นระดับราชันย์!


 


ในหัวใจของฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย


 


“งั้นมันก็คือชุดคลุมดำกระหายเลือด?”


 


ฉินเฟิงตระหนักถึงสถานะของอีกฝ่ายได้ทันที


 


แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ชุดคลุมดำกระหายเลือดก็รับรู้ถึงตัวตนของเขาเช่นกัน มันโฉบลงจากเนินเขา พุ่งเข้าหาฉินเฟิง


 


“กัก กัก กัก!” กรามของชุดคลุมดำกระหายเลือดขบกันจนเกิดเสียงแปลกๆ เมื่อใกล้เข้ามา ใบหน้าของมันก็เผยโฉมต่อสายตาฉินเฟิง


 


นี่แตกต่างไปจากโครงกระดูกชุดคลุมดำ ใบหน้าของชุดคลุมดำกระหายเลือดมีสีแดงก่ำคล้ายกับอาบไปด้วยเลือดสมชื่อของมัน มีกล้ามเนื้อเช่นเดียวกันกับมนุษย์ปกติ หากแต่ไม่มีผิวหนังคอยปกคลุม


 


ดวงตายังคงมีเลือดเนื้อ หากแต่ไม่มีตาขาว เป็นสีดำสนิท ดูน่าเกลียดและน่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก และปัจจุบันก็กำลังสาดประกายอะไรบางอย่างออกมา


 


“นั่นมัน … ลำแสงแห่งความมืด?”


 


ฉินเฟิงสามารถรับรู้ได้ว่านี่คืออะไร เพราะท่านี้โครงกระดูกชุดคลุมดำก็เคยใช้กับฉินเฟิงเหมือนกัน แต่ฉินเฟิงครอบครองศิลานรก ดังนั้นเลยมีภูมิคุ้มกันต่อธาตุมืด สามารถทานรับการโจมตีนี้ตรงๆได้


 


อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ในสนามรบ มีโดรนคอยเก็บภาพอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ฉินเฟิงจึงไม่อาจเผยความลับ เข้าทานรับลำแสงนี้ตรงๆได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบเลี่ยง!


 


ยังไงก็ตาม ลำแสงแห่งความมืดของชุดคลุมดำกระหายเลือดน่ะรวดเร็วมาก แถมระยะโจมตีก็ไม่ใช่แค่เส้นตรง แต่เป็นวงกว้าง พอปลดปล่อยออกมา พื้นที่โดยรอบก็พลันกระเพื่อมไหว แพร่กระจายไปด้วยรูนมืด


 


ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะหลบเลี่ยง


 


“แกคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่มีท่าโจมตีนี้รึไง?”


 


แม้จะพบเจอกับสถานการณ์ดังกล่าว แต่ฉินเฟิงก็ยังใจเย็นมาก เขายกนิ้วชี้สวนกลับไป!


 


แน่นอน ว่าแม้เขาจะกล่าวแบบนั้น แต่ฉินเฟิงก็ไม่ได้ปลดปล่อยลำแสงแห่งความมืด หากแต่มันเป็นลำแสงสีแดงเพลิง ระเบิดออกจากปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากเรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับลำแสงแห่งความมืดแล้ว ฉินเฟิงก็สามารถเข้าใจถึงวิธีการปลดปล่อยลำแสงเปลวเพลิงเช่นกัน


 


ลำแสงเปลวเพลิงนั้นทรงอานุภาพมาก มันเป็นธาตุแห่งการระเบิดและเผาทำลาย เป็นมวลพลังงานที่เกาะกลุ่มกันหนาแน่น เมื่อสองลำแสงพลังงานปะทะกัน ผลลัพธ์เลยกลายเป็นเปลวเพลิงที่กุมความได้เปรียบ


 


เปรี้ยง!


 


ลำแสงสองธาตุปะทะเข้าหากันโดยตรง ในชั้นอากาศ ปรากฏหนึ่งเส้นแดง หนึ่งดำ ยื้อกันไปกันมา ไม่มีใครยอมใคร


 


อย่างไรก็ตาม หากเพ่งมองอย่างใกล้ชิด จะพบว่าลำแสงเปลวเพลิงของฉินเฟิงกำลังค่อยๆผลักดันลำแสงแห่งความมืดถอยร่นไปทีละขั้น ทีละขั้น


 


“จงโค่นมันให้ฉัน!”


 


พลังสมาธิของฉินเฟิงปะทุโหม รูนไฟลุกท่วมไปถึงท้องฟ้า มันเพิ่มพูนจำนวนมากขึ้น มากขึ้น จนปกคลุมรอบบริเวณ กุมความได้เปรียบ และคว้าชัยได้ในที่สุด!


 


ตูมมมมม!


 


ลำแสงเปลวเพลิงกระแทกเข้าใส่ร่างของชุดคลุมดำกระหายเลือดเข้าเต็มรัก


 


เหวี่ยงกระแทกศัตรูปลิวออกไปอย่างโหดเหี้ยม


 


“ฟู่ว … ”


 


ฉินเฟิงผ่อนลมหายใจ


 


เนื่องจากเกิดการโจมตีอย่างรุนแรงระหว่างทั้งสอง ดังนั้นกลิ่นอายของชุดคลุมดำกระหายเลือดเลยเล็ดลอดออกมา เมื่อมันเผลอเผยโฉม อุปกรณ์สื่อสารก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


“เตือนภัย เตือนภัย! ตรวจพบสิ่งมีชีวิตระดับราชันย์สัตว์ร้าย เลเวลราวๆ F3 – F4 ห่างจากตำแหน่งปัจจุบันของคุณ 42 เมตร โปรดหลีกเลี่ยงตำแหน่งดังกล่าวด้วย!”


 


ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงได้เปลี่ยนอุปกรณ์สื่อสารเป็นรุ่นที่ดีที่สุดแล้ว ดังนั้นการสแกนตรวจสอบของมันก็ย่อมแม่นยำที่สุดเช่นกัน


 


“ชุดคลุมดำกระหายเลือดมีเลเวลอยู่แค่ F3 เท่านั้นเองหรือนี่?” ฉินเฟิงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


 


ก็แล้วในเมื่อคู่ต่อสู้อ่อนแอถึงขนาดนี้ งั้นทำไมพวกผู้ใช้พลังเลเวล E ถึงยังไม่สามารถสังหารมันลงได้ซักทีกัน?


 


“เป็นไอ้พวกกากจริงๆด้วย!”


 


ใบหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชา แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่ลองขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เขาก็สามารถรู้ได้ถึงเหตุผล : ในปัจจุบัน สถานการณ์เรียกได้ว่าอยู่ในการควบคุมเป็นอย่างดี เลเวล E ออกปฏิบัติการกันทุกวัน และยังได้รับรางวัลที่สูงลิ่ว ดังนั้นทุกคนจึงคิดเพียงแต่จะหาผลประโยชน์ โดยไม่ยอมเสี่ยงอันตรายใดๆ อย่างการบุกเข้ามาสังหารมัน


 


หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป สงครามในแนวหน้าก็จะไม่มีวันจบสิ้น!


 


ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่สูญเสียกลับเป็นผู้ใช้พลังในเลเวล G และ F


 


“ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีใครจะฆ่ามัน งั้นฉันก็จะลงมือเอง!”


 


คิดได้แบบนั้น ฉินเฟิงก็ไม่รอช้า ก้าวไปข้างหน้า โถมเข้ามุ่งสังหารมันทันที


 


เห็นได้ชัดว่าชุดคลุมดำกระหายเลือดคือหนึ่งในผู้สามารถควบคุมอบิลิตี้ได้ ดังนั้นการดำรงอยู่เช่นมัน ย่อมเป็นกลุ่มที่ครอบครองพลังสมาธิแข็งแกร่งอย่างแน่นอน หากฉินเฟิงฆ่ามัน เขาก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล!


 


ชุดคลุมดำกระหายเลือดถูกยั่วยุโดยฉินเฟิง มันโกรธแค้นสุดแสน ในมุมมองของมัน ฉินเฟิงไม่มีอะไรมากไปกว่ามดที่พยายามจะเขย่าต้นไม้ ไม่อาจเป็นคู่ต่อกรกับตนเองได้


 


ไม่รอช้า มันชี้นิ้วไปทางฉินเฟิง จากนั้น บอลสีดำก็ปรากฏขึ้นในอากาศ ขยายขนาดเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเปรี้ยง! ถูกยิงออกไป


 


บอลแห่งความมืดนี้ สามารถช่วงชิงเอาลมหายใจของมนุษย์ไปได้ อำนาจของมันเหมือนกับบอลทมิฬของฉินเฟิงที่เคยใช้ในเหมืองฉิงซานไม่มีผิด แต่ต่างกันตรงที่ชุดคุลมดำกระหายเลือดนั้นมีพลังสมาธิสูงกว่า เลยสามารถโจมตีได้จากระยะที่ไกลยิ่งกว่า


 


ฉินเฟิงย่ำเท้าลงกับพื้น ดีดตัวหลบด้วยความเร็วที่ไวยิ่งกว่า!


 


ฉินเฟิงว่องไวและปราดเปรียวมาก กำลังภายในของเขาควบรวมไปที่สองฝ่าเท้าของตน และระเบิดมัน ถีบส่งทั้งคนทั้งร่างหลบเลี่ยงจากรัศมีการโจมตีของบอลแห่งความมืดนี้ไปได้


 


ในขณะเดียวกัน ลำแสงเปลวเพลิงกว่าห้าเส้นก็ปะทุขึ้นตามแต่ละนิ้วมือของฉินเฟิง แต่คราวนี้ ระยะของลำแสงทั้งห้ามันกลับสั้นมาก แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะไปถึงตัวของอีกฝ่าย!


 


ตูม ตูมมมมม!


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เปลวไฟจะเข้าถึงเนื้อหนัง ทั้งตนทั้งร่างของชุดคลุมดำกระหายเลือดจู่ๆก็ปรากฏความมืดเข้าปกคลุม สร้างม่านกำบังปัดป้องการโจมตีลำแสงเปลวเพลิงทั้งห้าของฉินเฟิง


 


ทั้งสองคนต่อสู้กันมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะแยกแยะว่าฝ่ายใดที่มีเปรียบ!


 


แน่นอน เนื่องจากการต่อสู้ระหว่างทั้งสองมันกินพื้นที่เป็นวงกว้าง ดังนั้นย่อมไม่พ้นถูกตรวจจับได้โดยโดรนสังเกตการณ์


 


ภายในจุดรวมพลของเลเวล E ทั้งสี่เขตและเมืองเฉิงหยาง ได้รับภาพฉายนี้พร้อมกัน


 


“เกิดอะไรขึ้น เสียงดังมากเลย?”


 


“เป็นชุดคลุมดำกระหายเลือดกำลังต่อสู้กับใครบางคนอยู่!”


 


“นั่นมันฉินเฟิง เจ้าบ้านั่นมันคิดจะทำอะไร?”


 


“เขาครอบครองพลังมากพอที่จะสามารถสังหารราชันย์เลเวล F ได้! แบบนี้ไม่ดีแน่ พวกเราจะต้อง ‘หยุดเขา!’ ”


Ch.96 – ดวลปืน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.96 – ดวลปืน


 


เดิมทีฉินเฟิงคิดว่าคนพวกนี้ แต่ละคนคงมีความคิดเป็นของตัวเอง และไม่อยากจะทำงานหนักเสี่ยงอันตราย แต่อันที่จริงแล้วมันยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นคือ-


 


-อย่างที่เคยได้กล่าวไปในตอนก่อนๆ ว่าเมืองเฉิงหยางต้องการที่จะติดตั้งอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นในอนาคต บริเวณเทือกเขาพ่อแม่ลูกจึงมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าอาจมีการก่อตั้งเมืองเกิดขึ้น เหมือนกับสถานที่ชุมชนทางตอนเหนืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


หมายความว่าอะไรรู้ไหม? หมายความว่าก็จะมีผู้ใช้พลังย้ายมาประจำการที่นี่น่ะสิ และผลประโยชน์จากการได้รับตำแหน่ง ‘ผู้ว่าการ’ ของที่นี่ย่อมเป็นจำนวนมหาศาล


 


ด้วยเหตุนี้เอง หัวใจของทุกคนเลยไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเขาต่างไม้ไว้ใจซึ่งกันและกัน ระแวงว่าอีกฝ่ายจะสามารถคว้าผลประโยชน์ก้อนใหญ่ไป


 


เมื่อไม่กี่วันก่อน เทศมนตรีของเมืองเฉิงหยางโคตรจะรู้สึกอารมณ์เสียกับเรื่องพวกนี้ เขาเลยกล่าวออกไปแค่ว่า : ‘งั้นใครสามารถทำผลงานในแนวหน้าได้ดีที่สุด มีเครดิตมากที่สุด คนๆนั้นก็กลายเป็นผู้การเขตใหม่นี้ไปเลยก็แล้วกัน!’


 


ส่งผลให้สถานการณ์ภายในสงบลง แต่กลายเป็นทุกฝ่ายต่างรอคอยให้อีกฝ่ายชิงลงมือก่อน และคนแรกที่เด่นสะดุดตา ก็จะตกเป็นเป้าหมายของคนที่เหลือแทน


 


เพียงแต่ว่าใครมันจะไปคิด ว่าในวันเดียว สมดุลที่ว่าจะถูกทำลายลง โดยคนที่เป็นผู้ใช้พลังในเลเวล G!


 


แน่นอน ว่าพวกเขาทราบดีว่าความแข็งแกร่งของฉินเฟิงไม่ใช่เลเวล G ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมให้ฉินเฟิงลงมือสังหารชุดคลุมดำกระหายเลือด!


 


….


 


ในเวลานี้ ฉินเฟิงยังไม่ล่วงรู้ถึงความคิดของทุกคน แต่อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่มีเวลามามัวสนใจที่จะก้มลงมองอุปกรณ์สื่อสาร


 


ขณะที่คนจากปลายของของฉินเฟิง แทบจะกลายเป็นบ้าอยู่แล้ว


 


และคนๆนั้นคือเติ้งเหนียน!


 


ฉินเฟิงเป็นนักเรียนของเขา และไม่รู้ว่าต้องรอคอยอีกกี่ปี อัจฉริยะเช่นนี้ถึงจะปรากฏขึ้นอีกครั้งในสถาบัน ดังนั้นบุคคลแสนล้ำค่าเช่นนี้ เติ้งเหนียนย่อมไม่สามารถสูญเสียไปได้


 


ในตอนแรกที่เห็นว่าฉินเฟิงสามารถต่อกรกับชุดคลุมดำกระหายเลือดได้ เติ้งเหนียนรู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจมากจริงๆ แต่พอลองย้อนนึกถึงคำสั่งก่อนหน้านี้ของเทศมนตรีเมืองเฉิงหยาง เขาก็ตระหนักได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีที่กำลังเกิดขึ้น


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับไม่ยอมกดตอบรับสายสื่อสาร


 


“ไม่ดีแล้ว ฉันจะต้องไม่ปล่อยให้เรื่องร้ายเกิดขึ้นกับฉินเฟิง!”


 


เติ้งเหนียนคว้าไมค์ประกาศเตือนภัยที่สามารถแพร่กระจายเสียงตามสายไปทั่วทั้งพื้นที่ได้โดยตรง


 


“ฉินเฟิง หยุดความตั้งใจที่จะฆ่ามันเดี๋ยวนี้ รีบถอนตัวออกจากตำแหน่งของเธอซะ!”


 


การเตือนภัยสาธารณะเช่นนี้ เป็นเหมือนกันกับในตอนพื้นที่เพาะปลูก ที่ประกาศทั้งพื้นที่ว่าสัตว์ร้ายบุกเข้ามาแล้ว แต่ปัจจุบัน มันกลับประกาศเพื่อสื่อสารไปยังคนเพียงคนเดียวโดยตรง


 


และแน่นอน ว่าข้อเสียของเรื่องนี้นั้นชัดเจนมาก เพราะในเวลานี้ ทุกคนที่เข้าร่วมปฏิบัติการปิดล้อมและปราบปรามกองทัพซากศพในเทือกเขาพ่อแม่ลูกต่างก็ได้ยินข้อความดังกล่าว


 


ฉินเฟิงเป็นคนดังของที่นี่ แล้วจู่ๆก็มีเสียงแจ้งเตือนที่เกี่ยวข้องกับเขาดังขึ้น ทุกคนจึงอดสงสัยไม่ได้


 


ยังไงก็ตาม หลังจากฉินเฟิงได้รับข้อความ เขาก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเติ้งเหนียนถึงบังคับให้เขาทำแบบนั้น


 


แต่ในช่วงเวลาต่อมา สองหูขอิงฉินเฟิงก็ได้ยินถึงเสียงแหวกอากาศจากระยะไกล -เป็นกระสุนปืนใหญ่สีแดงที่ลอยมายังตำแหน่งทิศทางนี้ และกำลังโค้งลงเป็นรูปพาราโบล่า


 


สีหน้าของฉินเฟิงหม่นทะมึนลงทันที


 


ไม่ต้องสงสัยเลย ว่ากระสุนปืนใหญ่เบื้องหน้า กำลังยิงตรงมายังทิศทางของฉินเฟิง


 


“พวกมันคิดจะทำบ้าอะไร?”


 


โดรนยังคงถ่ายภาพอยู่บนท้องฟ้า ดังนั้นคนเหล่านั้นย่อมกระจ่างแก่ใจว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาก็ยังเลือกยิงกระสุนปืนใหญ่ที่ทรงอานุภาพเข้ามา —ใช่ต้องการให้ฉินเฟิงตายไปพร้อมๆกับชุดคลุมดำกระหายเลือดหรือไม่?


 


แต่เมื่อลองย้อนนึกดูถึงคำเตือนของเติ้งเหนียน ฉินเฟิงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เขายังไม่ล่วงรู้


 


แต่ … นั่นมันไม่เพียงพอที่จะระงับความโกรธเกรี้ยวของเขา!


 


-บังอาจมาก กล้ามาแทงข้างหลังฉันได้อย่างไร!!!


 


ฉินเฟิงเดือดดาลอย่างถึงที่สุด


 


ไม่รอช้า เจ้าตัวชักปืนพลังงานออกจากเอวทันที ง้างมันขึ้น และยิงออกไปหลายนัด


 


โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ!


 


โดรนทั้งหมดที่อยู่บนท้องฟ้าร่วงตกลงมา


 


ในช่วงเวลาเดียวกัน กระสุนก็กำลังจะตกลงมาถึงพื้น ทางฝั่งชุดคลุมดำพลันกลายเป็นเงามืด มุดหายกลืนไปกับพื้นดินอย่างกระทันหัน


 


“เสี่ยวไป๋ รีบพาฉันหนีไปเร็วเข้า!”


 


เมื่อไร้ซึ่งกล้องสังเกตการณ์จากโดรน ฉินเฟิงก็ยอมให้ไป๋หลีลงมือในที่สุด


 


“รับทราบ!”


 


ไป๋หลีพาฉินเฟิง เทเลพอร์ตหายวับไปจากสถานที่เดียวกันอย่างรวดเร็ว


 


ตูมมมมมมม!


 


กระสุนปืนใหญ่ตกลงกลางจุดที่ฉินเฟิงเคยยืนอยู่พอดิบพอดี เปลวเพลิงระเบิด ลุกโหมเป็นดอกเห็ดอย่างกระทันหัน -หากฉินเฟิงยังยืนอยู่ที่นั่น ต่อให้เขาไม่ตาย ก็คงถูกไฟคลอกสาหัสทั้งตัว


 


มันเป็นกระสุนระเบิดที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก


 


“คิดว่ามีแค่แกคนเดียวรึไงที่ยิงเป็น?”


 


ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็นชา เริ่มระดมพลังสมาธิของเขาบ้าง


 


ต้องไม่ลืมนะว่า พลังสมาธิของผู้ใช้อบิลิตี้น่ะแข็งแกร่งยิ่งกว่าของมือปืนซะอีก


 


“เสี่ยวไป๋ เอาปืนใหญ่ระยะไกล ซิลเวอร์วันออกมา!”


 


“อันนี้น่ะหรอ?”


 


ไป๋หลีหยิบกระบอกปืนใหญ่สีเงินขาวที่ยาวกว่าหนึ่งเมตรครึ่งออกมาจากพื้นที่มิติ รูปลักษณ์ของมันแทบจะไม่แตกต่างจากแขนของหุ่นยนต์ ปัจจุบันกำลังสาดแสงของจักรกลออกมา


 


ฉินเฟิงพรวดเข้าไป คว้าจับและสวมใส่มันอย่างชำนิชำนาญ ในเวลาเพียงห้าวินาที ตัวกระบอกปืนใหญ่ก็ประทับอยู่บนแขนซ้ายของเขาแล้ว*


 


*(ถ้าจินตนาการไม่ออก ให้นึกภาพปืนของร็อคแมน)


 


กระบอกปืนใหญ่ยกสูงขึ้น ขณะเดียวกันมือขวาของเขาก็เอื้อมไปกระแทกใส่ปุ่มสีแดงตัวโตๆบนมัน


 


ตูม!


 


ปากกระบอกปืนส่งเสียงคำราม กระสุนสีส้มพุ่งทะยานออกไป


 


ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของมือปืนเลเวล E ที่อยู่บนเนินเขาห่างไกลออกไปหลายลี้ก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด


 


เพราะเขารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังถูกล็อคเป้าโดยพลังสมาธิ!


 


ต่อมา กระสุนปืนใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา และทิศทางเป้าหมายของมัน ก็คือจุดที่เขาอยู่เป๊ะๆ ไม่มีคลาดเคลื่อน!


 


“ชิบหายแล้ว!”


 


มือปืนเลเวล E คนนี้ คือตัวตนที่เพิ่งลอบโจมตีฉินเฟิง แต่ในเวลานี้ ฉินเฟิงกลับเป็นฝ่ายลอบโจมตีเขาสวนกลับมา นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลยจริงๆ


 


แต่จะให้กระโดดหนีดูท่าว่าคงไม่ทัน มือปืนที่ยังอยู่ในสภาพเตรียมเล็ง ยกปากกระบอกปืนขึ้น และยิงกระสุน เปรี้ยง! เข้าปะทะหักล้างกับกระสุนของฉินเฟิงกลางอากาศทันที


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงที่อยู่ไกลออกไปเผยรอยยิ้มเยาะ


 


“จงหมุน!”


 


พลังสมาธิโถมเข้าควบคุม กระสุนปืนใหญ่สีส้มของฉินเฟิงจู่ๆก็ม้วนเป็นวงอย่างกระทันหัน โฉบหลบ ฝ่ากระสุนแดงเข้ามา มุ่งเป้าร่วงตกลงใส่มือปืนเลเวล E ดังเดิม!


 


“สารเลว!”


 


มือปืนเลเวล E สบถสาปแช่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาตระหนักถึงลางไม่ดี จึงยิงมันออกไปอีกนัดหนึ่งในตำแหน่งเดิม และอีกสองนัดเผื่อกระสุนนรกนี่จะโฉบหลบอีกครั้ง และในที่สุดก็สามารถสกัดกระสุนของฉินเฟิงเอาไว้ได้ก่อนที่มันจะตกลงถึงตัวเขา


 


แต่ก่อนที่มือปืนเลเวล E จะทันได้ผ่อนลมหายใจ จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงกระสุนปืนใหญ่แหวกอากาศมาอีกครั้ง และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกที ก็พบว่ากระสุนสีส้ม ‘3ลูก’ กำลังแหวกฝ่าเมฆดอกเห็ดที่เกิดจากแรงระเบิดเมื่อครู่ —แต่ทำไมกัน? ทำไมพลังสมาธิของมือปืนเลเวล E ถึงไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้ตั้งแต่แรก!


 


“หรือว่าจะเป็นการใช้พลังสมาธิเข้าบดบังการรับรู้ … ” มือปืนเลเวล E กล่าวด้วยความว่างเปล่า และวินาทีถัดมา เขาก็ถูกฝังภายใต้กระสุนปืนใหญ่


 


ตูม ตูม ตูมมมมมมม!


 



 


ณ บริเวณตีนภูเขาแม่ ฉินเฟิงหัวเราะหยันด้วยความเย็นชา


 


ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว!


 


ต้องขอบอกว่าการลงมือตอบโต้ของฉินเฟิง ทำให้เหล่ามือปืนหวาดกลัวอย่างแท้จริง


 


เพราะตอนนี้ในแนวหน้า มีมือปืนหลายคนตัดสินใจออกมาเคลื่อนไหว และมือปืนที่เพิ่งถูกฉินเฟิงยิงใส่ก็ไม่ใช่คนเดียวที่คิดลงมือ เพียงแต่ว่ามือเขาดันไวกว่าคนอื่นไปนิดเดียวก็เท่านั้นเอง


 


ในขณะที่คนที่เหลือต่างกำลังเฝ้ารอดูว่าจะเป็นฉินเฟิงหรือชุดคลุมดำกระหายเลือดที่ตกตายลง แล้วจากนั้นค่อยเข้าไปฮุบผลงานที่เหลือ แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าจะมีกระสุนถูกส่งลอยกลับมาหาพวกตนเอง


 


อีกอย่าง หลังการระเบิด กลิ่นอายของทั้งชุดคลุมดำกระหายเลือดและฉินเฟิงล้วนมลายหายไปจากการรับรู้ของพวกเขา ทั้งหมดเลยไม่ทันระวัง รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกล็อคเป้าด้วยพลังสมาธิซะแล้ว


 


“ไอ้ฉินเฟิงนี่ มันเป็นสัตว์ประหลาดขนานแท้ มันครอบครองพลังสมาธิที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไงกัน!”


 


“ให้ตายเถอะ เขาเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณไม่ใช่รึไง?”


 


“ตามข้อมูล มันบอกว่าฉินเฟิงเป็นนักเรียนคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ของสถาบันเขตเฉิงเป่ย งั้นหมายความว่าพลังพิเศษของเขาต้องไปถึงเลเวล F ด้วยแล้วน่ะสิ ไม่อย่างนั้นจะครอบครองพลังสมาธิมากถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?”


 


สำหรับมือปืน พลังสมาธิจะถูกฟูมฟักด้วยพรสวรรค์และสมบัติมากมาย แต่ตอนนี้ ทั้งหมดกลับถูกพลังสมาธิของฉินเฟิงที่เป็นเพียงเลเวล F สะกดข่มเอาไว้!


 


ส่งผลให้ในเวลานี้ มือปืนทุกคนที่คิดจะฉวยโอกาส ไม่อาจทำอะไรได้เลย


 


“แบบนี้ไม่ดีแน่ พวกเราต้องส่งผู้ใช้วรยุทธโบราณไป จะปล่อยให้ฉินเฟิงลงมือสำเร็จไม่ได้!”


 


แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่เอ่ยปากออกมา แต่เหล่าผู้ใช้วรยุทธโบราณก็ได้ทำการติดปีกเครื่องร่อน และบินตรงไปยังทิศทางเทือกเขาพ่อแม่ลูกเรียบร้อยแล้ว


 


บนท้องฟ้า พวกเขาทั้งหมดกำลังตามหาร่องรอยของฉินเฟิง!


Ch.97 – ต้องฆ่าฉินเฟิง!

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.97 – ต้องฆ่าฉินเฟิง!


 


อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ใช้วรยุทธโบราณกลับไม่อาจค้นพบถึงวี่แววของฉินเฟิงได้เลย


 


ไม่เพียงแต่ไม่พบฉินเฟิง กระทั่งชุดคลุมดำกระหายเลือดก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน


 


‘ให้ตายเถอะ ชุดคลุมดำกระหายเลือดหนีไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ฉินเฟิงทำไมถึงหายตัวไปด้วยกันนะ? อดห่วงเขาไม่ได้จริงๆ’


 


‘พวกเราจะปล่อยให้ฉินเฟิงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เจ้าเด็กนี่เป็นนักเรียนของสถาบันระดับสูงเขตเฉิงเป่ย นั่นหมายความว่ามันจะต้องเข้าร่วมงานประเมินในอีกครึ่งเดือนต่อจากนี้ -จะให้มันเข้าร่วมงานสวนล่าใบไม้ร่วงไม่ได้เด็ดขาด!’


 


‘เจ้าเด็กนี่มีศักยภาพชนิดต่อต้านสวรรค์ ถ้าปล่อยให้มันเติบโตขึ้นต่อไป วันนึงอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของเมืองเฉิงหยาง อีกอย่าง ลุงฉันก็เป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งเทศมนตรีคนต่อไป ดังนั้นฉันไม่สามารถปล่อยให้ไอ้เด็กฉินเฟิงมันเติบโตขึ้นได้’


 


‘ฮี่ฮี่ฮี่ ฉินเฟิงสินะ? ในเมื่อแกกล้าทำร้ายมือปืนเขตฉัน ฉะนั้นวันนี้คือวันตายของแก!’


 


ข้างต้นคือสิ่งที่ในหัวใจของผู้ใช้วรยุทธแต่ละคนกำลังนึกคิด แม้แต่ละคนจะคิดไม่เหมือนกัน หากแต่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือตามหาตัวฉินเฟิง!


 


อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีใครพบถึงวี่แววของฉินเฟิงเลย


 


ในความเป็นจริง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่อาจหาชุดคลุมดำกระหายเลือดและฉินเฟิงพบ เพราะในเวลานี้ ภูเขาแม่ทั้งลูกโล่งเตียน แทบจะเปลือยเปล่า ต้นไม้ที่เหลืออยู่ก็เหี่ยวเฉา แถมยังปนเปื้อนไปด้วยรูนมืด หากปล่อยทิ้งไว้ เกรงว่าพวกมันอาจกลายพันธ์เป็นต้นไม้ปีศาจ


 


เพราะเหตุนี้เอง สีของภูเขาแม่ทั้งลูกจึงเป็นสีดำสนิท ในขณะที่ฉินเฟิงกับชุดคลุมดำกระหายเลือดต่างก็เป็นผู้ใช้อบิลิตี้มืดด้วยกันทั้งคู่ ทั้งสองต่างใช้ ‘ซ่อนเงา’ และหลบอยู่ในความมืดมิด ดังนั้นคนอื่นๆจึงไม่อาจหาเขาและมันพบ


 


ยังไงก็ตาม แม้จะสามารถหลบซ่อนตัวจากคนอื่นๆได้ แต่ฉินเฟิงกับชุดคลุมดำกระหายเลือดต่างก็รู้กันและกัน ว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน


 


ความแข็งแกร่งของทั้งสองแทบจะใกล้เคียงกัน และมันเป็นทางฝั่งฉินเฟิงที่แกร่งกว่าเล็กน้อย


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ยังไงตัวเขาก็มีสถานะเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ!


 


“ต้องจบการต่อสู้ลงให้เร็วที่สุด!”


 


เมื่อฉุกคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็พาไป๋หลีไล่ตามชุดคลุมดำกระหายเลือดไปอย่างรวดเร็ว


 


ชุดคลุมดำกระหายเลือดคล้ายตระหนักได้ถึงความตั้งใจของฉินเฟิง มันจึงเร่งถอยกลับไปบนยอดเขาทันที


 


บนยอดเขา ราชันย์อัศวินกำลังจ้องมองดูเหล่าแมลงวันติดเครื่องร่อน บินวนอยู่เหนือหัวด้วยความรำคาญและโกรธเกรี้ยว


 


หลังจากที่สูญเสียหอกเหล็กดารา ราชันย์อัศวินก็ไม่มีความสามารถในการโจมตีระยะไกลอีกต่อไป และทำได้เพียงเฝ้ารอให้คนพวกนั้นลงมาด้วยตัวเอง


 


ความสนใจของมันถูกตรึงอยู่บนท้องฟ้า มันเลยไม่ทันสังเกตเห็นชุดคลุมดำกระหายเลือดในสภาพซ่อนเงา


 


“คิดจะหนีงั้นหรอ?”


 


ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็นชา เร่งเร้ากายเนื้ออันทรงประสิทธิภาพ พรวดทะยานไปดักถึงเบื้องหน้าของชุดคลุมดำกระหายเลือด และ-


 


-โครม!


 


ชุดคลุมดำกระหายเลือดถูกกระแทกอย่างแรง มันปลิวกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะร่วงตกลงมาอย่างหนักหน่วง กลิ้งไถลตามทางลาดชัน ไกลกว่าสิบเมตร สุดท้ายชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่เหี่ยวเฉาจึงหยุดลง


 


“จงขาดเป็นท่อนๆซะ!”


 


ฉินเฟิงสะบัดมีดกษัตริย์ครามในมือ เชือดเฉือนเข้าใส่ชุดคลุมดำกระหายเลือด


 


เพียงแต่ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลย ว่าเสื้อคลุมของชุดคลุมดำกระหายเลือดเองก็ทำมาจากรูนเช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีดตัดลงไป ก็พลันเกิดหมอกดำระเบิดออกมาทันที ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าฉินเฟิงกำลังตัดลงไปในก้อนสำลี


 


“กัก กัก!” ชุดคลุมดำกระหายเลือดโกรธเกรี้ยวไม่แพ้กัน มันขบกรามระเบิดพลังพิเศษธาตุมืดออกมาอย่างบ้าคลั่ง


 


ปัจจุบันในตำแหน่งนี้ไม่ปรากฏเสียงหึ่งๆจากโดรนอีกต่อไป ดังนั้นฉินเฟิงจึงไม่คิดหลบเลี่ยงใดๆ


 


มีดกษัตริย์ครามไม่สามารถทำลายรูนที่ปกคลุมมันได้ กล่าวว่าทั้งสองต่างข่มกันและกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉินเฟิงจะไม่มีหนทางอื่น!


 


ฉินเฟิงเก็บมีดกษัตริย์คราม กางฝ่ามือเป็นกรงเล็บ และฉกไปคว้าหมอกดำที่ปกคลุมอีกฝ่าย


 


“จงดูดกลืน!”


 


พลังพิเศษพลันระเบิดออก รูนมืดมากมายเริ่มถูกดูดกลืนเข้ามาตามฝ่ามือของฉินเฟิง


 


เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งหมอกหนาที่ปกคลุมอีกฝ่ายจางหายไป ในที่สุดฉินเฟิงก็สามารถคว้าตัวชุดคลุมดำกระหายเลือดได้โดยตรง


 


“ทักษะลับกลืนดารา!”


 


เอกลักษณ์ของกลืนดารานั้นไม่เพียงแต่สามารถสำแดงออกมาในรูปแบบดึงดูดกำลังภายในเท่านั้น หากแต่ยังสามารถระเบิดแรงผลักที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าพลังรุนแรงถึงสิบเท่า!


 


และสิ่งที่ฉินเฟิงคว้าได้ นั่นคือแขนข้างหนึ่งของชุดคลุมดำกระหายเลือด!


 


ปุ ปุ ปุ พรวดดดดด!


 


ทั้งแขนเกิดการระเบิดออกทันที แต่มันไร้ซึ่งเลือดสาดกระเซ็น มีเพียงเศษเนื้อที่กระจายเป็นชิ้นๆ ระเบิดกระจุยออกไปพร้อมกับชุดคุลมสีดำ


 


“จงหักไปซะ!”


 


ฉินเฟิงกระชากอย่างแรง จนแขนของชุดคลุมดำกระหายเลือดหลุดออกจากร่าง


 


เสียงการต่อสู้ระหว่างทั้งสองดังขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ใช้วรยุทธโบราณที่ติดเครื่องร่อนบนท้องฟ้าจึงสามารถค้นพบฉินเฟิง และเริ่มลดระดับลง


 


ไม่เพียงแค่ฝั่งมนุษย์ แต่ทางราชันย์อัศวินเองก็ตระหนักได้ถึงวิกฤตของชุดคลุมดำกระหายเลือดเช่นกัน


 


“ก๊าซซซซซ!!!”


 


ราชันย์อัศวินคลั่งไปแล้ว


 


มันสะบัดบังเหียน ควบม้าทมิฬอย่างบ้าคลั่ง กระโจนผ่านอากาศที่ว่างเปล่า ตรงมายังตำแหน่งของฉินเฟิงในพริบตา


 


และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฝั่งผู้ใช้วรยุทธโบราณมาถึงพอดิบพอดี


 


“หยุดไอ้เด็กเวรนั่นไว้!”


 


ผู้ใช้วรยุทธหลิวบาจากเขตตงหลิงคำรามก้อง ขณะที่ตนเองเร่งกระโจนเข้าใส่ชุดคลุมดำกระหายเลือด


 


ในเวลานี้ ดูจะไม่มีใครสนใจราชันย์อัศวินเลย


 


เพราะทั้งหมดล้วนตระหนักดี ว่าต้องลงมือเช่นไรถึงจะได้ผลประโยชน์สูงสุด -ในเวลานี้ชุดคลุมดำกระหายเลือดแขนขาดไปข้างนึงแล้ว ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่มันจะตกเป็นเป้าสังหาร


 


“มีฝูงแร้งกาที่ไม่กลัวตายเสนอหน้าเข้ามาอีกแล้ว!” ฉินเฟิงที่กำลังพัวพันกับชุดคลุมดำแสยะยิ้มเย็น เร่งเร้ากำลังภายในของตนอีกครั้ง


 


“ทักษะลับกลืนดารา!”


 


ในพริบตา พลันเกิดรูปแบบของกระแสวังวนขึ้นรอบตัวฉินเฟิง


 


“นั่นมันอะไรกัน?”


 


ผู้ใช้วรยุทธโบราณบางคนที่ลงมือตามคำสั่งของหลิวบา ไม่เคยเห็นทักษะลับกลืนดารามาก่อน พวกเขาบังเกิดความสับสนเล็กน้อย และยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเมื่อกำลังภายในจากตันเถียนจู่ๆก็เริ่มหดหาย คล้ายกับว่ามันถูกสูบออกไป


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเลเวล E อย่างน้อยก็มีประสบการณ์ต่อกรกับศัตรูมากมาย ทั้งหมดจึงล่วงรู้ได้อย่างรวดเร็ว ว่ากระแสวังวนนี้ น่าจะถูกส่งออกมาโดยฉินเฟิงไม่ก็ชุดคลุมดำกระหายเลือด ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาถอยออกไป ก็จะหลุดพ้นจากมันได้เป็นธรรมดา


 


และผู้ใช้พลังในเลเวล E น่ะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถหลุดจากการควบคุมของกระแสวังวนได้อย่างง่ายดาย!


 


“เสียใจด้วยนะ แต่มันสายไปแล้ว!”


 


ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือก


 


ยามเมื่อเสียงของเขาตกลง ราชันย์อัศวินที่ไม่มีใครเหลียวแลก็มาถึงระยะโจมตีพอดิบพอดี มันยกโล่ขึ้นและหวดกระแทกอย่างแรง!


 


ปงงงงง!


 


ทันใดนั้น หนึ่งในผู้ใช้วรยุทธโบราณที่พุ่งเข้ามาล้อมฉินเฟิงก็ลอยม้วนไปกลางอากาศทันที


 


พรวดดดด!


 


โชคยังดี ที่นี่เป็นการจู่โจมแบบกระทันหัน ดังนั้นเลยไม่ส่งผลร้ายแรงอะไร และอีกอย่างคนอื่นๆจากฝั่งตนก็ประจำตำแหน่งอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ใช้วรยุทธโบราณที่บาดเจ็บก็ไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไรอีก แค่ถอนตัวออกจากการต่อสู้ก็พอ


 


อย่างไรก็ตาม ในจังหวะฉุกละหุก กลับมีร่างเงาวูบไหวดั่งภูติผีปีศาจปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาอย่างกระทันหัน


 


“อาเร๊ะ~~~ ท่านผู้ใหญ่จะรีบไปไหน? ไม่ใช่ว่ากำลังคิดจะจับตัวผู้น้อยอยู่หรอกหรือ?” ฉินเฟิงเอ่ยเสียงเย็นประชดประชัน


 


สีหน้าของชายคนนั้นแปรเปลี่ยนกลับกลาย


 


แต่มันก็สายเกินกว่าที่เขาจะมีเวลาได้เอ่ยปากออกมา ฉินเฟิงวางมือลงบนตันเถียนเขา


 


“ทักษะลับกลืนดารา!”


 


กำลังภายในมหาศาลพลันถูกดูดกลืนโดยฉินเฟิง


 


หากกล่าวกันว่า กำลังภายในของผู้ใช้วรยุทธเลเวล F อยู่ในรูปแบบปราณหมอก ถ้าอย่างนั้น กำลังภายในของผู้ใช้วรยุทธเลเวล E ก็จะอยู่ในรูปแบบปราณทะเลเมฆ


 


ฉินเฟิงดูดซับทะเลเมฆที่ว่ามาอย่างรวดเร็ว และทะเลเมฆเหล่านั้นก็แปลงสภาพกลายเป็นกลุ่มหมอกกว่าสิบกลุ่มในตันเถียนของฉินเฟิง


 


แน่นอน ว่ากลุ่มหมอกหน้าใหม่เหล่านี้ ความแข็งแกร่งย่อมด้อยกว่า 20 กลุ่มหมอกดั้งเดิมที่ฉินเฟิงครอบครองอยู่


 


แต่นี่ก็ยังนับว่าเป็นผลประโยชน์มหาศาลเช่นกัน!


 


เพราะมันจะช่วยให้ความเร็วในการฝึกฝนของฉินเฟิงเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก


 


“นี่แกทำอะไรกับฉัน?” เมื่อตระหนักได้ถึงกำลังภายในที่ลดฮวบๆลงอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งตันเถียนก็เริ่มเหี่ยวเฉา ไม่สามารถกระตุ้นกำลังภายในได้อีกต่อไป ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E ก็กลายเป็นตื่นตระหนก


 


“ท่านผู้ใหญ่ ผู้น้อยต่างหากที่จะต้องการคำอธิบายถึงการกระทำของท่าน แต่ในเมื่อท่านบาดเจ็บอยู่ งั้นเอาไว้เรากลับไปก่อนแล้วค่อยพูดถึงมันอีกครั้งก็แล้วกัน”


 


ฉินเฟิงกล่าวคล้ายตนเป็นฝ่ายถูก หันกลับไปมองคนอื่นๆอีกคราว


 


คนเหล่านั้นแต่เดิมกำลังจะปิดล้อมเขา แต่ตอนนี้ทั้งหมดกำลังถูกไล่ต้อนโดยราชันย์อัศวิน


 


เนื่องจากทักษะกลืนดาราของฉินเฟิงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ปัจจุบันพวกเขากำลังเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวง


 


แต่แน่นอน ว่ายังมีบางคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน อย่างเช่นหลินเซิงกับฮั่นเจียน


 


“ฮ่าฮ่า ฉินเฟิง ทำได้ดีมาก!” ฮั่นเจียนหัวเราะ


 


จริงอยู่ที่ว่าฮั่นเจียนติดเครื่องร่อนไล่ตามมาเช่นกัน แต่เขามาที่นี่ก็เพื่อต้องการจะหยุดคนอื่นๆและช่วยเหลือฉินเฟิง แต่ใครจะคาด ว่าฉินเฟิงสามารถแก้วิกฤตได้แล้วด้วยตนเอง


 


ในทางกลับกัน เป็นหลินเซิงที่กังวลเกี่ยวกับการปรากฏตัวของฮั่นเจียน เพราะเขา หลินเซิงจึงไม่สามารถลงมือสังหารฉินเฟิงซึ่งเป็นคนจากเขตเดียวกันได้อย่างโจ้งแจ้ง -เขาไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้น


 


“จงฆ่าราชันย์อัศวินซะ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะตายกันหมด!”


 


หลิวบาคำรามก้อง


 


และเพราะกลัวว่าคนรอบข้างจะไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้นหลิวบาจึงเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไป


 


ในขณะที่เหล่าผู้ใช้วรยุทธโบราณคนอื่นๆต่างก็ทราบดี ว่าหากพวกเขาไม่ร่วมมือกันในตอนนี้ ทั้งหมดก็อาจตกตายกันที่นี่ จึงพากันระเบิดความแข็งแกร่งของตนออกมาอย่างสุดกำลัง


 


อันที่จริงแล้วคนพวกนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากแต่ก่อนหน้านี้พวกเขาเอาแต่ขัดขากันไปกันมา จึงถูกราชันย์อัศวินกดดันมาโดยตลอด


 


กำลังสงสัยว่าแล้วเหตุใดทั้งหมดถึงไม่หันไปร่วมมือกันสังหารชุดคลุมดำกระหายเลือดใช่หรือไม่? แน่นอน นั่นก็เป็นเพราะเจ้าชุดคลุมดำมันกลับไปใช้ซ่อนเงา หลบตัวอยู่ในเงามืดอีกครั้งน่ะสิ พวกผู้ใช้วรยุทธโบราณเลยไม่สามารถหาตัวมันพบ และเปลี่ยนเป้าหมายในที่สุด


Ch.98 – จุดจบของราชันย์อัศวิน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.98 – จุดจบของราชันย์อัศวิน


 


“กั๊ก กั๊ก!” ชุดคลุมดำกระหายเลือดขบกรามโกรธเกรี้ยว เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี มันเลยพรวดออกมาจากซ่อนเงา และระเบิดลำแสงแห่งความมืดออกไป


 


เจ็ดผู้ใช้วรยุทธโบราณที่อยู่ในบริเวณนี้ต่างโดนลำแสงแห่งความมืดกันถ้วนหน้า


 


แต่แน่นอน ว่าไม่ได้รวมฉินเฟิง


 


ในปัจจุบัน จากบรรดาทั้งเจ็ดผู้ใช้วรยุทธโบราณ มีหนึ่งคนที่ถูกฉินเฟิงดูดกำลังภายในไป ส่วนฮั่นเจียนกับหลินเซิงไม่เข้ามาร่วมวง แยกตัวห่างออกมา ดังนั้นจึงมีทั้งสิ้นสี่คนที่โดนลำแสงเข้าจังๆและตกอยู่ในภาวะอันตราย


 


ส่งผลให้สถานการณ์ในปัจจุบัน ทางฝั่งราชันย์อัศวินสามารถพลิกฟื้นกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง


 


“บัดซบ! ใครก็ได้ ไปฆ่าไอ้ชุดคลุมดำกระหายเลือดนั่นที!”


 


“แต่มันหายตัวไปอีกแล้วเนี่ยสิ! ในเมื่อหาไม่เจอแล้วจะฆ่ายังไง!”


 


“แล้วฉินเฟิงล่ะ? มันไปไหนแล้ว ให้ฉินเฟิงลงมือไง ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงก็เป็นคนหามันเจอไม่ใช่หรือ งั้นคราวนี้เขาก็ต้องหามันได้สิ!”


 


ในเวลานี้ เมื่อหลายคนตระหนักถึงความเลวร้ายของสถานการณ์ จู่ๆพวกเขาก็กลับลำ หันมาพึ่งพาฉินเฟิงซะอย่างงั้น!


 


ฉินเฟิงที่กลับไปหลบในซ่อนเงาลอบหัวเราะหยัน


 


เห็นฉันเป็นไอ้โง่รึไง ทำไมฉันต้องช่วยพวกแกด้วย?


 


ช่วงเวลานั้นเอง ชุดคลุมดำกระหายเลือดก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่มันผุดมาจากเงามืดเบื้องหลังผู้ใช้วรยุทธโบราณที่ฉินเฟิงเพิ่งปล้นกำลังภายในไป


 


เมื่อไร้ซึ่งกำลังภายในที่จะใช้ขัดขืน วินาทีต่อมา ชุดคลุมดำกระหายเลือดก็งับ!เข้าใส่ลำคอของอีกฝ่าย


 


“อ๊า!” ชายคนนั้นกรีดร้องน่าอย่างน่าสังเวช “ช่วยฉันด้วย รีบช่วยฉันเร็วเข้า!”


 


แต่น่าเสียดาย ที่เวลานี้ไม่มีใครสนใจจะช่วยเขา เพราะในบรรดาคนทั้งหมดในปัจจุบัน แท้จริงแล้วแบ่งยิบย่อยกันเป็นห้ากองกำลังหรือก็คือเขตใครเขตมัน! และผู้ใช้วรยุทธโบราณในที่นี้ก็มีแค่เขาคนเดียวที่มาจากเขตของตนเอง!


 


แต่กรณีนี้ก็ยังมีข้อยกเว้น อย่างเช่นฉินเฟิงกับหลินเซิงก็มาจากเขตเฉิงเป่ยเหมือนกัน แต่หากหนึ่งในสองเกิดปัญหาขึ้นล่ะก็ อีกคนย่อมไม่มีวันเข้าไปช่วยเหลือ!


 


ดังนั้น จึงไม่มีใครเลยในที่นี้ที่คิดยื่นมือช่วยเขา!


 


ไม่นานเกินรอ ชายคนนั้นก็ถูกสูบเลือดจนเนื้อหนังเหี่ยวแห้ง ตำแหน่งช่วงแขนที่ขาดวิ่นของชุดคลุมดำกระหายเลือดเริ่มก่อร่าง สร้างกระดูกและเลือดเนื้อของมัน งอกขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว


 


“จงตายให้บิดา!”


 


จู่ๆหลินเซิงก็พุ่งเข้าไป ฉวยโอกาสนี้คิดสังหารชุดคลุมดำกระหายเลือด


 


เนื่องจากในเวลานี้ เขาไม่ได้ถูกลำแสงแห่งความมืดยิงเข้าใส่จังๆ ร่างกายจึงยังสามารถคงพละกำลังเอาไว้ ไม่สูญสิ้นเรี่ยวแรงจากอานุภาพของลำแสงเหมือนคนอื่นๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันในสนามรบแห่งนี้ เขาคือผู้ใช้วรยุทธโบราณที่ความแข็งแกร่งที่สุด!


 


ชุดคลุมดำกระหายเลือดไม่ใช่การดำรงอยู่ที่จะยอมให้ตนเองถูกข่มเหง หากฉินเฟิงไม่มีภูมิคุ้มกันอบิลิตี้มืด ผลการต่อสู้ระหว่างฉินเฟิงกับมันคงไม่ปรากฏออกมาในรูปแบบนี้!


 


เมื่อเห็นศัตรูเสนอหน้า มันก็น้อมรับคำท้า ทั้งสองกระโจนเข้าระเบิดโจมตีใส่กัน ตลอดทั้งฉากกลายเป็นสว่างวาบ


 


—-


 


ย้ายกลับมาอีกด้าน ราชันย์อัศวินก็สู้เพียงลำพังเช่นกัน แต่ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ทว่าคนๆเดียวย่อมไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ เมื่อต้องตกอยู่ภายใต้การรุมทึ้งของผู้ใช้วรยุทธเลเวล E คาดว่ามันคงสามารถยืนหยัดได้อีกไม่นาน


 


“กี๊ซซซซซ!”


 


ราชันย์อัศวินหวีดเสียงแหลม หวดกระแทกศัตรูสองคนที่กำลังรุมล้อมอย่างดุร้าย และขว้างโล่ในมือของมัน โจมตีซ้ำออกไป


 


ฟาดเปรี้ยง! เข้าใส่หนึ่งในผู้ใช้วรยุทธโบราณอย่างแรง ขอบโล่จมลึกเข้าไปในหน้าอกเขา


 


เป๊าะ!


 


เสียงซี่โครงแตกหักดังขึ้น


 


พรวดดดด!


 


ผู้ใช้วรยุทธโบราณปลิวกระเด็น เลือดกระอักพุ่งตามเป็นสาย หน้าอกยุบลงดูน่าสยองขวัญ ขณะเดียวกัน ดวงตาของเขาก็เริ่มสูญเสียความสดใสไป


 


ในหัวใจของเขาบังเกิดความรู้สึกเสียดาย : ทั้งๆที่ตนกอบโกยผลประโยชน์จากสงครามแนวหน้าได้มากมายถึงขนาดนี้แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องเอาชีวิตมาทิ้งอย่างงั้นหรือนี่?


 


ฉินเฟิงผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง โฉบไปใกล้ๆผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เพิ่งตายลง


 


“จงดูดกลืน!”


 


พลังงานทางกายภาพที่แข็งแกร่ง และกำลังภายในจากตันเถียนที่ยังไม่สลายไป ว่ายวนเป็นคลื่นระลอกใหญ่ถ่ายเทเข้ามายังในตันเถียนของฉินเฟิง


 


ปรากฏกลุ่มหมอกอีกนับสิบกลุ่มเสริมเข้ามาภายในตันเถียนของฉินเฟิง


 


“เสี่ยวไป๋ ไปเอาโล่มา!”


 


ฉินเฟิงตะโกน


 


ไป๋หลีก็หลบอยู่ในซ่อนเงาของฉินเฟิงเช่นกัน และมันไม่เคยปรากฏตัวเลย ใช้ออกด้วยพลังมิติทันที


 


ราชันย์อัศวินสูญเสียอาวุธของมันอีกครั้ง แต่คราวนี้มันสามารถค้นพบถึงตัวหัวขโมยในที่สุด


 


เพราะยังไงซะ ก็มีเพียงฉินเฟิงคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างๆศพที่ถูกโล่จมลึกอยู่ในอก


 


“ก๊าซซซซ!”


 


ราชันย์คำรามด้วยความโกรธ ควบม้าทมิฬเบื้องล่าง พุ่งเข้าหาฉินเฟิง


 


และฉินเฟิงไม่ลังเลเลยที่จะ —- เผ่นหนี!


 


ในขณะเดียวกัน อีกสามคนกำลังล้อมราชันย์อัศวินอยู่ เป็นธรรมดาที่ไม่ยินยอมพลาดโอกาสทองนี้ไป เมื่อเห็นศัตรูสูญสิ้นอาวุธ ทั้งหมดก็ไล่ตามอัศวินมาติดๆ


 


อย่างไรก็ตาม ความเร็วของคน มีหรือจะสู้ความเร็วของม้าได้?


 


ผู้ใช้วรยุทธโบราณทั้งหมดไม่อาจไล่ตามราชันย์อัศวินได้ทัน ยิ่งนานก็ยิ่งถูกทิ้งห่าง


 


แน่นอน ว่าความเร็วของฉินเฟิงก็ไม่อาจสู้ม้าได้เช่นกัน!


 


“ลำแสงเปลวเพลิง!”


 


ท่ามกลางช่วงวิกฤติ ฉินเฟิงวาดหลังมือออกไป ระเบิดพลังพิเศษยิงกลับหลังอย่างรวดเร็ว


 


ลำแสงเปลวไฟปะทุขึ้น ฉากนี้เปรียบดั่งดอกไม้เบ่งบานในท้องฟ้ายามค่ำคืน วิสัยทัศน์ของทุกผู้คนกลายเป็นพร่ามัว รู้สึกตัวอีกที ลำแสงก็กระแทกเข้าเต็มอกของราชันย์อัศวินแล้ว!


 


เปรี้ยง!


 


แรงปะทะนี้ ส่งผลให้ราชันย์อัศวินร่วงหงาย ตกลงจากหลังม้าโดยตรง


 


สำหรับไป๋หลี ทุกสิ่งเธอล้วนได้รับการสอนสั่งโดยฉินเฟิง เฝ้าสังเกตและรับฟังฉินเฟิงเสมอมา จนได้มาทั้งหอกและโล่ของศัตรู ดังนั้นเมื่อเห็นถึงสถานการณ์ตรงหน้า เธอก็คิดเองได้ทันทีว่าต้องทำอย่างไร —เมื่อเห็นม้าทมิฬยืนนิ่งงันอยู่เพียงลำพัง ดวงตาของเด็กสาวก็เปล่งประกายสดใส พื้นที่มิติปรากฏขึ้นทันใด โถมกลืนกินม้าศึกเข้าไปทันที


 


ส่งผลให้เวลานี้ ราชันย์อัศวินกลายเป็นโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง!


 


ฉินเฟิงไม่ยอมปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปแน่นอน เขาหยุดหลบหนี สะบัดตัวกลับหลัง ปากอ้าตะโกนก้อง


 


“ตายซะ!!!”


 


ฉินเฟิงยกแขนซ้ายขึ้น ปืนใหญ่ในมือที่ยังไม่ถอดออก ส่งเสียงคำรามหึ่งๆ


 


วูบบบบ เปรี้ยง!!!


 


กระสุนปืนใหญ่ถูกยิงออกไป


 


หลิวบาและคนอื่นๆที่ไล่ตามมาต่างเบิกตากว้าง ทั้งหมดสบถสาปแช่ง


 


แต่ก็มีเวลาไม่มากพอ ด่าได้ไม่กี่คำก็ต้องชะงักฝีเท้า ม้วนตัวหลบ หมอบลงกับพื้น


 


ตูมมมมม!


 


ตำแหน่งที่ราชันย์อัศวินเคยยืนอยู่ เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง


 


เปลวไฟขนาดใหญ่พวยพุ่ง แรงระเบิดส่งผลให้ผู้ใช้วรยุทธโบราณหลายคนได้รับผลกระทบ อวัยวะภายในสั่นสะเทือนราวกับมีอะไรมากระชากให้หลุดไปจากตำแหน่งเดิม


 


ตรงกันข้าม มีเพียงฉินเฟิงที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เนื่องจากตั้งแต่แรกที่เขายิงราชันย์อัศวิน เขาอยู่ห่างจากมันมากที่สุด


 


ไม่รีรอให้ฝุ่นผงปลิวหาย ฉินเฟิงปราดเข้าไปในเปลวไฟจากแรงระเบิดที่ลุกไหม้ รูนไฟว่ายวนขึ้นรอบตัวเขา เพื่อปกป้องร่างกายให้พ้นจากอันตราย


 


ณ ใจกลางของการระเบิด ราชันย์อัศวินมิได้ถูกระเบิดจนแหลกสลายก็จริง หากแต่เกราะตัวของมันบัดนี้บิดเบี้ยวไม่เป็นรูปเป็นร่าง โดยเฉพาะส่วนหัวถูกแรงระเบิด จนฉีกขาดแยกจากลำตัว


 


มันจบชีวิตลงโดยสิ้นเชิง!


 


ฉินเฟิงเร่งหยิบหมวกเกราะ และเขย่าๆเทเอาหัวของราชันย์อัศวินลงมา


 


ตุบ ..


 


หัวที่มีน้ำหนักพอๆกับหมวกเกราะแยกออกจากกัน


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ในเบ้าตาของมัน ยังสามารถมองเห็นถึงแก่นพลังงานสีแดง – สีแดงที่มีขนาดเท่ากำปั้นปรากฏอยู่!


 


–เป็นแก่นพลังงานระดับราชันย์เลเวล F8 !


 


หากอิงตามราคาห้องประมูลของกลุ่มหวันซ่ง มูลค่าแก่นพลังงานชิ้นนี้น่าจะมีราคาอยู่ที่หลักร้อยล้าน!


 


“ที่รัก ฉันต้องการมัน!” ไป๋หลีกระโดดออกมาจากซ่อนเงา โผเข้ากอดรัดพัวพันกับฉินเฟิง แต่สายตายังคงจดจ้องกับแก่นพลังงาน


 


ฉินเฟิงพอถูกเรียกโดยไป๋หลีก็ได้สติกลับคืน เขารู้สึกร่างกายเริ่มด้านชา ช่วงล่างจู่ๆก็เริ่มขยายตัวขึ้น!


 


“เออๆ รีบเอาไปเลย!” ฉินเฟิงโยนแก่นพลังงานนี้ให้กับไป๋หลีทันทีโดยไม่ลังเล


 


ไป๋หลีรับมันมาอย่างมีความสุข จากนั้นก็เก็บเอาหัว และร่างของราชันย์อัศวินลงในพื้นที่มิติ


 


“แค่ก แค่ก ไอ้โง่ฉินเฟิง คิดจะฆ่าพวกเดียวกันรึไง ว่าแต่ราชันย์อัศวินมันหายไปไหนแล้ว?”


 


ในที่สุด เศษฝุ่นรอบตัวก็กระจายหายไป หลิวบาและคนอื่นๆจึงสามารถไล่ตามมาได้ในที่สุด ส่วนไป๋หลีเมื่อเสร็จกิจก็หายวับไปทันที ปัจจุบันจึงเหลือฉินเฟิงเพียงลำพัง


 


“มันปลิวเป็นขี้เถ้าไปหมดแล้ว” ฉินเฟิงผายสองมือออก ถึงเขาจะไม่มีหลักฐานการตายของมัน แต่ต่อให้คนเหล่านี้พลิกทั้งภูเขาแม่ พวกเขาก็จะไม่มีวันเจอราชันย์อัศวินอยู่ดี!


 


“โกหก! แกซ่อนราชันย์อัศวินเอาไว้ใช่ไหม แกจะต้องมีอุปกรณ์รูนมิติอยู่กับตัวแน่ๆ สารภาพมาซะดีๆ พวกเราเป็นคนช่วยกันฆ่าราชันย์อัศวินไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมแกต้องฮุบสินสงครามเอาไว้คนเดียว!”


 


ฉินเฟิงแสยะยิ้ม “ผมสามารถฆ่ามันได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพวกคุณ ตรงกันข้าม พวกคุณนั่นแหละที่พาคนจำนวนมากเข้ามาจนก่อความวุ่นวายให้กับผมแทน!”


 


“ฉินเฟิง อย่าทำเป็นอวดดีไป!”


 


“ไอ้หนู แส่หาเรื่องตาย!”


 


อีกสองผู้ใช้วรยุทธโบราณคำรามด้วยความโกรธ


Ch.99 – โจมตีก่อนได้เปรียบ

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.99 – โจมตีก่อนได้เปรียบ


 


ฮั่นเจียนแสดงออกชัดเจนว่ายืนอยู่ฝ่ายฉินเฟิง


 


“อะไรกัน? จู่ๆตอนนี้ก็ดันมาต้องการเครดิตซะได้ ทั้งๆที่พวกเราไม่ได้ฆ่ามันแท้ๆ ตอนนี้พวกเรามีกัน 5 คนนะ ต่อให้แบ่งรางวัลกันมันก็คนละ 1/5 มากสุดแค่ไม่กี่สิบล้าน เงินแค่นี้จิ๊บจ๊อยสำหรับบิดา ไม่พอใช้เลี้ยงครอบครัวด้วยซ้ำ!” แม้ปากของฮั่นเจียนจะกำลังกล่าวถึงเรื่องเงิน แต่ก็ยังไม่วายเสียดสีเหล่าตัวตนทรงพลังที่เหลือ


 


“ฮั่นเจียน อย่าลืมว่าคุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมปิดล้อมราชันย์อัศวินเหมือนกัน!” หลิวบาคำราม แม้ฮั่นเจียนจะเอ่ยลอยๆออกมา ไม่ได้กล่าวถึงตนเอง แต่หลิวบาก็เป็นคนที่ทะนงในศักดิ์ศรีมาก เขารับไม่ได้!


 


“ก็แล้วยังไง? อย่างน้อยครั้งนี้ ผลจากการฆ่าของราชันย์อัศวิน ก็เป็นเขตเฉิงเป่ยของฉันที่ได้เครดิตมากที่สุดไปอยู่ดี!”


 


ในทั้ง 5 คน มีฉินเฟิงกับฮั่นเจียน 2 คนที่มาจากชุมชนทางตอนเหนือ ส่วนอีก 3 คนมาจากชุมชนคนละเขต ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจน ว่าผลงานในครั้งนี้ เขตใดได้รับเครดิตไปมากที่สุด


 


ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงหัวเราะขบขันในเวลานี้


 


“ถ้าหากผมเป็นพวกคุณ ผมจะไม่เสียเวลาเถียงกันที่นี่ อย่าลืมสิว่าชุดคลุมดำกระหายเลือดยังมีชีวิตอยู่นะ”


 


ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา สีหน้าของหลายคนก็เปลี่ยนไป


 


“ไม่ดีแล้ว!”


 


ก่อนหน้านี้ มีเฉพาะหลินเซิงคนเดียวเท่านั้น ที่แยกออกไปจัดการชุดคลุมดำกระหายเลือด แต่พวกเขาที่เหลือไม่ยินดีที่จะร่วมมือกำจัดมัน เพราะการกำจัดราชันย์อัศวินดูเหมือนจะเป็นงานง่ายกว่า


 


แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าเครดิตจากการสังหารราชันย์อัศวินจะถูกฉกชิงไปโดยฉินเฟิง และตอนนี้ ก็เหลือเพียงชุดคลุมดำกระหายเลือดเท่านั้น มันครอบครองสถานะที่สามารถเปิดช่องว่างมิติได้ ดังนั้นจึงเป็นตัวเครดิตมหาศาลตัวเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่!


 


เมื่อได้สติ ทั้งหมดก็หันหลังวิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว ฉินเฟิงกับฮั่นเจียนเองก็ตามไปเช่นกัน


 


เมื่อมาถึง แท้จริงแล้วทุกคนกลับพบว่า สถานการณ์ทางฝั่งชุดคลุมดำกระหายเลือดเองก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าที่คิด


 


เนื่องจากชุดคลุมดำกระหายเลือดครอบครองพลังซ่อนเงา ดังนั้นการจะกำจัดมันจึงยากเย็นยิ่งกว่าราชันย์อัศวิน ไหนจะเรื่องที่มันมีภูมิปัญหาหลักแหลม ฉลาดพอๆกับมนุษย์อีก -เมื่อหลุดจากการไล่ล่าของฉินเฟิง ชุดคลุมดำกระหายเลือดก็ใช้ซ่อนเงา และพุ่งไปหลบอยู่ท่ามกลางกองทัพซากศพทันที


 


หลังจากชุดคลุมดำกระหายเลือดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในกองทัพซากศพเหล่านั้น ก็ไม่มีใครสามารถหามันพบได้อีกเลย


 


ปัจจุบัน สีหน้าของหลินเซิงไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะเมื่อเขารู้ว่าราชันย์อัศวินถูกสังหารลงโดยฉินเฟิง สีหน้าของเขาก็น่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม


 


ในเวลานี้ เหล่าผู้ใช้อบิลิตี้ที่ตามมาสมทบภายหลังก็เกิดความสับสนขึ้นเช่นกัน


 


ณ จุดนี้ นอกจากเติ้งเหนียนแล้ว ก็ยังมีผู้ใช้อบิลิตี้ดินและไฟในเลเวล E ที่ตามเข้ามา


 


พวกเขามาที่นี่ได้ เพราะเห็นว่าสถานการณ์ค่อนข้างมั่นคงแล้ว ต้องไม่ลืมนะว่าการดำรงอยู่ของผู้ใช้อบิลิตี้คือสมบัติของชาติ พวกเขาไม่สามารถตกตายได้ แม้แต่ละคนจะครอบครองความแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ก็ไม่เหมาะสมที่จะบุกเข้ามาเพียงลำพังโดยไร้ซึ่งผู้ใช้วรยุทธโบราณคอยคุ้มกัน


 


“สถานการณ์ตอนนี้ ดูท่าว่ายังไงก็คงจะไม่สามารถหาชุดคลุมดำกระหายเลือดเจอ”


 


 


“ปัจจุบันมีซากศพมากมายมากองรวมกันอยู่บนยอดเขา กรณีนี้น่าจะฝากมือปืนจัดการคงเหมาะกว่า ให้พวกเขาระดมขีปนาวุธลงมา ล้างบางพวกมันให้หมดไปเลย!”


 


“หลังจากนั้น ถึงพวกเรายังหาชุดคลุมดำกระหายเลือดไม่เจอ แต่ราชันย์อัศวินก็ตายไปแล้ว นั่นหมายความว่า ต่อให้ชุดคลุมดำเปิดช่องว่างมิติอีกครั้ง ก็จะไม่มีใครมาช่วยปกป้องมันอีกต่อไป”


 


“ถูกต้องที่สุด!”


 


ชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแล้ว ดังนั้นมนุษย์ทุกคนย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไป!


 


แล้วพวกเขาก็ส่งผ่านข้อมูลให้แก่มือปืน


 


แต่ข้อมูลที่ถูกส่งกลับมา ทำให้ทุกคนแทบจะกลายเป็นใบ้


 


“อะแฮ่ม ฉินเฟิง มานี่ซิ!” เติ้งเหนียนเป็นคนแรกที่เอ่ยปากเรียกฉินเฟิง


 


“ผู้อำนวยการ!” ฉินเฟิงก้าวมาข้างหน้า “ผู้อำนวยการอยากให้ผมคอยคุ้มครองระหว่างล่าถอยใช่ไหมครับ?”


 


เติ้งเหนียนอายุมากแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ในแนวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลึกเข้ามาในแนวทัพศัตรูแบบนี้ เป็นเรื่องอันตรายเกินไปจริงๆ


 


“มันไม่ใช่เรื่องนั้น ฉินเฟิง ตอนนี้พลังสมาธิของเธอกำลังล็อคตำแหน่งของมือปืนอยู่ใช่ไหม? คือว่าพวกเรากำลังวางแผนที่จะถล่มภูเขาแม่อยู่น่ะ เธอช่วยถอนพลังสมาธิที่คอยสะกดข่มพวกเขาออกให้หน่อยสิ!”


 


เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เติ้งเหนียนก็มองฉินเฟิงด้วยความชื่นชมในจิตใจ คลื่นลูกใหม่นี่ร้ายกาจสุดๆไปเลย! เขาเกิดความรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วอีกครั้ง


 


พรสวรรค์ที่ฉินเฟิงแสดงมันออกมาช่างแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!


 


ถึงขั้นครอบครองพลังสมาธิที่สามารถต่อกรกับมือปืนเลเวล E ได้!


 


ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงเพิ่งต่อสู้มา แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว ยังไม่เหนื่อยเลย มันเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง -ใครจะสามารถจินตนาการได้กันว่าเขาทรงพลังเพียงใด


 


“ตราบใดที่พวกเขาใช้อาวุธปืนในมืออย่างรอบคอบ ไม่กระทบมาถึงตัวผม แล้วผมจะไปวุ่นวายกับพวกเขาทำไม?” ฉินเฟิงกล่าวประชดประชัน


 


อันที่จริง หลังจากการดวลปืนครั้งแรกจบลง หากฉินเฟิงไม่ได้ล็อคพลังสมาธิสะกดข่มการรับรู้ของพวกเขาเอาไว้ล่ะก็ อีกฝ่ายคงช่วยกันระดมยิงใส่เขาจนไม่เหลือซากไปแล้ว


 


นี่แหละคือวิธีการของพวกมือปืน ไม่คิดใช้พละกำลังเผชิญหน้ากันตรงๆ แต่คอยจู่โจมระยะไกลแล้วได้รับเครดิตไปเต็มๆ


 


“เอาล่ะ ฉันจะแจ้งคำพูดของเธอให้พวกเขาทราบเอง และอีกอย่าง เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่เธอไปทำร้ายลู่เหิงหรอกนะ หึหึ .. เพราะเขาสมควรแล้วที่จะโดนแบบนั้น!” เติ้งเหนียนกล่าว


 


ลู่เหิงคือมือปืนที่ร่วมมือกับหลิวบากำจัดศัตรูในครั้งแรกที่ฉินเฟิงมาที่นี่ และเขาคือคนๆเดียวกับที่รับประทานกระสุนสามนัดของฉินเฟิงไป


 


อย่างไรก็ตาม พวกมือปืนน่ะเป็นเศรษฐี ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมสวมใส่อุปกรณ์รูนบางอย่างเพื่อปกป้องชีวิต เลยเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ตาย


 


“ครับ ผมไม่สนใจเรื่องนั้นเลย!”


 


ฉินเฟิงพยักหน้า


 


หลังจากสนทนากันจบ ทุกคนก็ถอยกลับไปตั้งหลักกันที่ตีนภูเขาแม่ ทางฝั่งมือปืนก็ร่วมมือกัน ระดมยิงเข้าใส่ยอดเขาทันที


 


ไม่นานเกินรอ กองทัพซากศพจำนวนมากก็พินาศสิ้น


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา การระดมปืนใหญ่ก็หยุดลง ทั้งผู้ใช้วรยุทธโบราณและผู้ใช้อบิลิตี้ต่างก็พากันขึ้นไปบนยอดเขาแม่อีกครั้ง


 


ทั้งหมดตระหนักดีว่าชุดคลุมดำกระหายเลือดใกล้ถึงแก่วาระแล้ว นั่นหมายความว่าหากใครก็ตามในที่นี้เป็นคนค้นพบตัวมัน และสามารถโค่นมันลงได้ ก็จะได้ครอบครองสถานที่แห่งนี้ในอนาคต!


 


เติ้งเหนียนอาสาเป็นผู้นำเปิดการโจมตี


 


“จงเฉิดฉาย!”


 


รูนอบิลิตี้วสาดแสงพรั่งพรูออกมา เปลี่ยนยอดเขาจนเต็มไปด้วยรังสีแสงสว่าง สาดส่องดั่งดวงตะวันร่วงตกลงมายังโลก ความมืดมิดใดๆ ก็ไม่อาจหลบซ่อนได้อีกต่อไป


 


เติ้งเหนียนเร่งพุ่งตรงไปยังสถานที่ที่มีรูนมืดกระจุกตัวอยู่เข้มข้นที่สุดทันที เพราะนั่นน่าจะเป็นสถานที่ซึ่งชุดคลุมดำกระหายเลือดซ่อนตัวอยู่


 


ในขณะที่บางคนก็กระจัดกระจายกันออกไป และบางคนก็ตัดสินใจตามเติ้งเหนียน


 


ต้องบอกว่าเติ้งเหนียนยังคงมีไม่ตก เพราะสถานที่ๆเขามุ่งไป มันคือจุดที่ชุดคลุมดำกระหายเลือดซ่อนตัวอยู่จริงๆ


 


ฉินเฟิงตามเติ้งเหนียนไปติดๆ สายตาคอยสอดส่องผู้ใช้พลังเลเวล E คนอื่นๆอย่างระแวดระวัง แต่ในจิตใจของเขาบังเกิดความคิดที่ว่า หากในบรรดาคนเหล่านี้ มีใครเสียชีวิตลง เขาก็จะดูดกลืนพลังงานมา ไม่ปล่อยไปอย่างเปล่าประโยชน์


 


กลุ่มผู้ใช้พลังทั้งหมดในที่นี้ ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนจ้องจะเขมือบพวกเขาอยู่ พวกเขาเพียงตามเติ้งเหนียนมาโดยไม่สนไม่แคร์สิ่งใด


 


“ฮี่ฮี่ เสี่ยวไป๋ จัดการมันซะ!” ฉินเฟิงไม่ได้เอ่ยมันออกมา แต่ถ่ายทอดความคิดผ่านทางสัญญา ส่งหาเสี่ยวไป๋โดยตรง ให้มันลงมือทันที


 


คนเหล่านี้กำลังทำตัวเปรียบดั่งสำนวน ‘螳螂捕蝉 黄雀在后’ (ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง) จ้องแต่จะรับผลประโยชน์จากผู้อื่น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองก็กำลังถูกผู้อื่นจ้องจะเอาผลประโยชน์เช่นกัน


 


และฉินเฟิงรู้ดีถึงความคิดของพวกเขา ดังนั้นเจ้าตัวเลยตัดสินใจชิงลงมือก่อน


 


ด้วยพลังมิติของไป๋หลี ทำให้เธอสามารถปรากฏกายขึ้นและหายวับไปอย่างลับๆได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงทุ่มทุนซื้อแก่นพลังงานระดับราชันย์สัตว์ร้ายให้เป็นอาหาร ปัจจุบันเธอเลยยกระดับเป็นราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล F2 แล้ว –นี่แทบจะไม่แตกต่างไปจากเลเวลของชุดคลุมดำกระหายเลือดเลย


 


สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ชุดคลุมดำกระหายเลือดได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


ไป๋หลีปรากฏกายขึ้นราวกับภูติผีเบื้องหลังชุดคลุมดำกระหายเลือด


 


“ใบมีดมิติ!”


 


รังสีแสงสีเงินพลันเปล่งประกาย พร้อมกับรอยแยกปรากฏขึ้นใจกลางพื้นสีดำสนิท ส่งผลให้บริเวณรอยแยกกลายเป็นช่องว่างมิติ


 


และตำแหน่งที่ไป๋หลีซัดใบมีดลงไป มันคือส่วนหัวของชุดคลุมดำกระหายเลือดพอดิบพอดี


 


ฉัวะ!


 


ชุดคลุมดำกระหายเลือดเดิมเตรียมการที่จะลอบจู่โจมมนุษย์ ทั้งร่างของมันเริ่มซวนเซ หัวร่วงกลิ้งลง


 


ไม่รอช้า ไป๋หลียื่นแขนออกไป และพรึบ! แก่นพลังงานสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเด็กสาวก็หายวับไปทันที


 


ในเวลานี้ ฝูงชนต่างหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวาง และมาถึงตำแหน่งของชุดคลุมดำกระหายเลือดกันในที่สุด


 


-ทุกสายตาพบเห็นถึงร่างของมัน


 


ฉินเฟิงก้าวออกไปสองสามก้าว แสร้งทำเป็นว่าจะสำรวจตรวจสอบ แต่ความจริงเขากำลังดูดกลืนพลังงานและพลังสมาธิที่กระจายไปในอากาศมาเป็นของตนเอง


 


เมื่อทุกอย่างไหลวนเข้าสู่ร่างกายตัวเอง จิตสำนึกของฉินเฟิงก็กลายเป็นคึกคัก พลังสมาธิของเขายกระดับขึ้นอีกครั้ง


 


อบิลิตี้ก้าวขึ้นสู่เลเวล F3!


Ch.100 – สถานชุมชนเฟิงหลี

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.100 – สถานชุมชนเฟิงหลี


 


“บัดซบ! มันตายแล้ว งั้นคราวนี้ก็เป็นพวกมือปืนน่ะสิที่ได้รับเครดิตไปเต็มๆ!”


 


“ไม่ใช่หรอก ลองดูดีๆสิ ตรงคอของมันมีรอยถูกเฉือนอยู่!”


 


“แก่นพลังงานของมันก็หายไปแล้วด้วย สารเลว! ใครกันที่เป็นคนขโมยไป”


 


“บ้าจริง อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย!”


 


ในพริบตา ฝูงชนก็กลายเป็นโกรธแค้น


 


แต่พวกเขาไม่มีใครสงสัยฉินเฟิงเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ภายใต้การค้นหาชุดคลุมดำกระหายเลือด ฉินเฟิงน่ะอยู่ในสายตาของพวกเขาตลอดเวลา


 


สุดท้าย การตายของชุดคลุมดำกระหายเลือดก็ปริศนาดำมืดที่ไม่มีวันคลี่คลาย


 


บางคนที่ต้องการจะได้รับเครดิตครั้งใหญ่ ในเวลานี้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก สะบัดแขนจากไปด้วยความฉุนเฉียว


 


แต่สำหรับผู้ใช้พลังระดับต่ำ นี่นับว่าเป็นข่าวดีที่สุดที่พวกเขาอยากจะได้ยิน


 


เพราะยังไงซะ สัตว์ร้ายที่แกร่งที่สุดในกองทัพซากศพก็ตายลงแล้ว และหากไม่มีชุดคลุมดำกระหายเลือดคอยเปิดช่องว่างมิติ สถานที่แห่งนี้ก็ย่อมปลอดภัย นั่นหมายความว่าทหารรับจ้างและพวกที่ถูกระดมพลมาจากกองทัพต่างๆ จะสามารถกลับบ้านหรือหวนคืนสู่ตำแหน่งประจำการเดิมของตนได้!


 


วิกฤติได้รับการแก้ไข และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชื่อของบางคนได้ถูกกำหนดให้เป็นที่จดจำ


 


และชายผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น —เป็นฉินเฟิง!


 


ฉินเฟิงและเหล่าผู้ใช้พลังเลเวล F จำนวนมากยังคงมีส่วนร่วมในปฏิบัติการปิดล้อม เข้าปราบปรามกองทัพซากศพที่เหลือ และในวันต่อมา อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติก็ถูกส่งมาจากเมืองเฉิงหยาง


 


ไม่อาจบอกบรรยายได้เลยว่าราคาของอุปกรณ์ดังกล่าวแพงขนาดไหน


 


อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติลอยขึ้นในระดับความสูงสองร้อยเมตร มันแลคล้ายกับดาวเทียมขนาดใหญ่ ลอยเข้าปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ และในอนาคต ตำแหน่งนี้จะถูกพัฒนาจนกลายเป็นสถานที่ชุมชนอีกแห่งหนึ่ง


 


ในเวลานี้ บนภูเขาแม่ ฉินเฟิงกับไป๋หลีมองออกไป ก็พบกับคนสองคน


 


“ผู้ว่าการเจิ้ง!” ฉินเฟิงมองคนที่กำลังตรงเข้ามา เขาเป็นชายที่สูงกว่า1.9 เมตร มีมัดกล้ามที่สามารถมองเห็นได้ชัด ดวงตาสุกใสดั่งคบเพลิง และมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล E4!


 


เป็นชายที่ยังอยู่ในช่วงวัยสำคัญ และอนาคตอันสดใส!


 


ผู้เป็นหัวหอกประจำชุมชนทางตอนเหนือ ผู้ว่าการเจิ้งหยาง!


 


“ฉินเฟิง ไอ้หนูวีรบุรุษ!” เจิ้งหยางกับฉินเฟิงเชคแฮนด์กันอย่างแข็งขัน


 


“ท่านผู้ว่าการเจิ้งยกย่องกันเกินไปแล้ว”


 


ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ


 


ขณะเดียวกัน ซูซิงฝูที่ยืนอยู่ข้างๆเจิ้งหยางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ


 


“ไอ้น้องชาย ฉันพูดไม่ออกเลยจริงๆ สิ่งที่เธอทำมันโคตรจะยิ่งใหญ่!”


 


ปฏิบัติการปิดล้อมราชันย์อัศวินและชุดคลุมดำกระหายเลือด แม้ว่าทุกคนจะทะเลาะกัน แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดกลับชัดเจน


 


ฉินเฟิงเป็นคนแรกที่โจมตีชุดคลุมดำกระหายเลือด ทำให้ชุดคลุมดำได้รับบาดเจ็บสาหัส และในที่สุดเหล่าตัวตนทรงพลังก็บุกไปถึง แม้จะไม่ทราบว่าเป็นใครที่สังหารชุดคลุมดำกระหายเลือด แต่ก็ไม่มีใครออกมารับหน้าว่าเป็นตน ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลย ว่าฉินเฟิงกลายเป็นคนที่มีส่วนร่วมในการสังหารมันมากที่สุดไปโดยปริยาย


 


ในส่วนของราชันย์อัศวิน ก็เป็นฉินเฟิงอีกเช่นกันที่เป็นคนปิดฉากสังหารมัน แม้จะมีข้อสงสัยในเรื่องการขโมยสินสงคราม แต่การกระทำก่อนหน้านี้ของคนอื่นๆ มันไม่ใช่การพยายามขโมยสินสงครามเหมือนกันหรอกหรือ?


 


ฉินเฟิงเพียงแค่โต้ตอบ และลงมือเหมือนกับอีกฝ่าย ให้ลิ้มชิมรสการกระทำเดียวกันก็เท่านั้นเอง


 


แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ เทศมนตรีเมืองเฉิงหยางดันให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ว่าจะส่งตำแหน่งผู้นำสถานชุมชนที่ใหม่ให้กับคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเนี่ยสิ


 


ด้วยเหตุนี้เอง เจิ้งหยางจึงมาที่นี่ เพื่อส่งมอบอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ และสร้างพันธมิตรกับฉินเฟิง


 


“เกรงว่าผมคงไม่มีเวลามาจัดการกับสถานชุมชนแห่งนี้ ยังไงก็ตาม ผมสามารถรับตำแหน่งเป็นผู้นำกิตติมศักดิ์ได้ เหมือนกับที่เคยรับตำแหน่งร้อยเอกกิตติมศักดิ์ประจำกองทหารรักษาการณ์ก่อนหน้านี้”


 


“น้องชาย มันอาจจะทำให้ฉันรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ต้องพูดตรงๆ แต่เธอยังเด็กเกินไปที่จะถูกผูกติดไว้กับสถานที่แบบนี้ เธอมีความคิดที่จะให้ใครมารับผิดชอบมันรึเปล่า?” เจิ้งหยางเอ่ยถาม


 


ฉินเฟิงยิ้ม และหันไปมองซูซิงฝูที่ยืนอยู่ข้างๆเจิ้งหยาง


 


“พี่ชายฝูกับผมสนิทกันมากที่สุด งั้นทำไมพวกเราไม่ให้พี่ชายฝูเป็นคนดูแลล่ะ?” ฉินเฟิงกล่าว


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ก็ได้ ตกลง! ฉันจะยอมฝากมือขวาคนนี้ให้แก่เธอ!” เจิ้งหยางพยักหน้าและกล่าว


 


ซูซิงฝูรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ เขาไม่คิดเลยว่าฉินเฟิงจะใจดีกับตนเองถึงขนาดนี้ เจ้าตัวรีบพยักหน้าโดยไม่ลังเล


 


“แล้วเธอจะตั้งชื่อสถานที่ชุมชนแห่งนี้ว่าอะไรล่ะน้องชาย?” เจิ้งหยางถาม


 


“เอ่อ คือผมยังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” ฉินเฟิงไม่เร่งร้อนที่จะตั้งชื่อ


 


“งั้นเอาเป็นเรียกว่าสถานที่ชุมชนเป่ยเฟิงเป็นไง? มันมีทั้งชื่อของที่ๆเธอเกิดมา และชื่อของเธอ เข้าท่าไหมน้องชายฉิน?” ซูซิงฝูเสนอความคิด


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับมองไปทางซูซิงฝูด้วยรอยยิ้ม “ชื่อนั้นไม่ดีหรอก เพราะที่นี่ไม่ใช่ทางตอนเหนือของเมืองเฉิงหยาง”


 


อันที่จริง ฉินเฟิงรู้ดีว่าคำพูดของซูซิงฝูเมื่อครู่ เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อเจิ้งหยางแห่งเขตเฉิงเป่ย


 


แต่ซูซิงฝูถูกฉินเฟิงขอร้องให้มารับผิดชอบดูแลสถานชุมชนแห่งใหม่แล้ว ดังนั้นในอนาคต แม้ซูซิงฝูจะยังอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเจิ้งหยาง แต่ภายภาคหน้า เมื่อสถานชุมชนแห่งนี้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป!


 


และอีกอย่าง หากในสถานชุมชนมีคำว่าเป่ย นั่นก็เทียบเท่ากับเป็นลูกเมียน้อยของเขตเฉิงเป่ยเลยไม่ใช่รึไง!


 


“ยิ่งไปกว่านั้น คำว่าเป่ยเฟิง(北风) มันรวมกันมีความหมายว่าลมทางตอนเหนือ ฟังดูไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่”


 


ซูซิงฝูยิ้มอย่างกระดากอาย แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ


 


เจิ้งหยางหัวเราะ “มันก็ฟังดูไม่เหมาะจริงๆนั่นแหละ งั้นน้องชาย ในฐานะผู้นำ เธอสมควรที่จะเป็นคนตั้งชื่อมันด้วยตัวเอง”


 


ฉินเฟิงมองไปทางไป๋หลีที่ยืนอยู่ข้างๆ และเกิดความคิดขึ้นในหัวใจ


 


“หรือจะเรียกมันว่าสถานที่ชุมชนเฟิงหลี่! เฟิง(风)ที่มาจากคำว่าสายลม และหลี(黎) ที่มาจากหลีหมิง(黎明) ที่แปลว่ารุ่งอรุณ!”


 


ความจริงแล้วความหมายมันค่อนข้างไร้สาระ ฉินเฟิงตั้งชื่อมันให้สอดคล้องกับเขาและไป๋หลีก็เท่านั้น


 


ยังไงก็ตาม ชื่อนี้ก็ยังฟังดูดีกว่าเป่ยเฟิงมิใช่หรือ?


 


“สถานที่ชุมชนเฟิงหลี? เป็นชื่อที่ดี! เอาตามนั้นเลยแล้วกัน!” เจิ้งหยางพยักหน้าเห็นด้วย


 


“จริงสิฉินเฟิง ปฏิบัติการปราบปรามกองทัพซากศพในครั้งนี้ นอกจากจะเรื่องการสร้างสถานชุมชนเฟิงหลีแล้ว หลังจากกลับไป ฉันจะทำการประชาสัมพันธ์บางอย่าง โดยจะใช้วิดีโอบางส่วนในช่วงที่เธอออกสู้กับกองทัพซากศพไปฉายนะ อย่าถือสาล่ะ!”


 


“แน่นอนครับ ทำตามที่ท่านเห็นสมควรได้เลย”


 


“น้องชาย นายกำลังจะได้เป็นวีรบุรุษแล้วนะรู้ตัวไหม!” ซูซิงฝูหัวเราะ


 


ในความเป็นจริง สิ่งต่างๆที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นแทบทุกครั้ง ในช่วงเวลาที่ทุ่งล่าเกิดวิกฤติ หลังจากมนุษย์ได้รับชัยชนะ พวกเขาก็จะทำการโฆษณาชวนเชื่อ และให้กำลังใจผู้คนอยู่เสมอ ด้วยภาพบันทึกจากวิดีโอ บางครั้งกระทั่งทำเป็นภาพยนต์ก็ยังมีความเป็นไปได้


 


สิ่งนี้จะค่อยๆส่งอิทธิพลต่อการแนวคิดของผู้คนในสถานที่ชุมชน ทำให้พวกเขาตระหนักว่าการออกล่าสัตว์ร้าย และพวกซากศพเน่าเปื่อยจะช่วยให้ได้รับเกียรติยศ สถานะ และความมั่งคั่ง


 


และฉินเฟิงในปัจจุบันเอง ก็เป็นตัวอย่างที่ดีเลยมิใช่หรือ?


 


เพราะเขาถึงขั้นได้กลายเป็นผู้นำของสถานที่ชุมชนแห่งใหม่!


 


นี่มันสุดยอดแรงบันดาลใจชัดๆ!


 


จากนั้น ทั้งสามก็หารือเกี่ยวกับการแบ่งผลประโยชน์


 


เพื่อความชัดเจน ตอนนี้ฉินเฟิงครอบครองสิทธิ์ในการพัฒนา , เจิ้งหยางครอบครองสิทธิ์ในการลงทุน , ซูซิงฝูครอบครองสิทธิ์ในการบริหารจัดการ และทั้งสามก็เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ สำหรับส่วนแบ่งผลประโยชน์ จะแบ่งออกเป็น ฉินเฟิง 30% , เจิ้งหยาง 45% , ซูซิงฝู 10% และสุดท้ายอีก 15% กระจายให้กับผู้บริหารคนอื่นๆในสถานชุมชนแห่งใหม่


 


แต่ผลประโยชน์เหล่านี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนาในอนาคต เพราะคงจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย และจะมีการเจรจากันในทุกๆครึ่งปี


 


ฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจกับผลประโยชน์ในปัจจุบันเท่าใดนัก เพราะครึ่งปีหลังจากนี้ จะเกิดหลายสิ่งหลายอย่างขึ้น มากจนน่ากลัวว่าอาจจะทำให้ทั้งสองคนตรงหน้าตกตะลึงกลายเป็นตัวโง่งมเลยก็ยังได้!


 


ฉินเฟิงแท้จริงแล้วไม่ใส่ใจเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของสถานที่ชุมชน แต่เนื่องจากผลกระทบที่ตนเป็นคนขโมยเอาศิลานรกมา ดังนั้นเขาเลยเกิดความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ


 


เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบสถานที่แห่งนี้!


 


และสักวันหนึ่ง เขาจะออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก สถานที่ซึ่งตัวตนทรงอำนาจอย่างเจ้าของมือที่ถูกตัดขาดอาศัยอยู่ สังหารมัน และช่วยนำพาสถานชุมชนแห่งนี้ไปสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริง!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม