สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย 98.1-99.3
บทที่ 98 อิงแอบอยู่ในอ้อมกอด ตกน้ำแล้ว (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ความหวังจุดประกายขึ้นในใจซูหว่านในชั่วพริบตา นางรีบวิ่งตามไปแซงหน้าเขา ยืนอยู่บนบันไดขั้นล่างสุดแล้วเงยหน้าหันกลับมามองเขา
นางสบสายตาฉู่ฉีเหยียน มุมปากยกโค้งขึ้นยิ้มเยาะเจือความเย็นชาเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือ? ฉู่ฉีเหยียน เจ้าคิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นจริงๆ เชียวหรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนไม่ชอบนาง!
ก่อนหน้านี้นางยังสามารถหลอกตนเองได้ว่า เขาอาจจะมีความรู้สึกดีๆ ให้นางเหมือนกัน เพียงแต่เขาเป็นคนแบบนี้ เย่อหยิ่ง เย็นชา และแค่ไม่ชอบแสดงออกเท่านั้น
เรื่องมาถึงวันนี้ถึงจำเป็นต้องยอมรับ…
ฉู่ฉีเหยียนแค่ใช้ประโยชน์จากนางเท่านั้น!
สีหน้าฉู่ฉีเหยียนเรียบเฉยไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง มุมปากยกโค้งเล็กน้อยเอ่ย “โอ้? เจ้ารู้หรือ?”
“คนที่เฉลียวฉลาดแบบท่านหญิงอันเล่อ แต่ไหนแต่ไรมามีแต่นางที่คิดทำร้ายคนอื่น ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนางกับจางอวิ๋นเจี่ยนกันแน่ แต่ข้ารู้เรื่องที่นางใช้ให้พี่ชายข้าไปลอบทำร้ายฉู่สวินหยางก่อนหน้านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า” ซูหว่านเอ่ยอย่างไร้ความหวั่นเกรง “แทนที่จะบอกว่านางถูกฉู่หลิงซิ่วทำร้าย สู้บอกว่านางจงใจให้ฉู่หลิงซิ่วรับเคราะห์แทนนางดีกว่า พวกเจ้าคิดจะยืมมือข้าฆ่าปิดปากฉู่หลิงซิ่วหรือ? อันที่จริงทีแรกข้าก็ไม่ได้ถือสาหรอก ถ้าเพื่อเจ้าแล้ว ให้ข้าทำเแค่นี้ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร? แต่…แต่ว่า…”
ซูหว่านพูดไปก็รู้สึกน้อยใจ จนกลั้นน้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจและโกรธแค้นไว้ไม่อยู่
ฉู่ฉีเหยียนฟังถึงตรงนี้ กลับรู้สึกโล่งอกไปที…
เมื่อครู่เขาเกือบคิดว่าซูหว่านมองเจตนาที่แท้จริงของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่แล้วเชียว
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยให้เจ้าทำอะไรเพื่อข้า เรื่องที่เจ้าทำไปก็เป็นเรื่องที่เจ้าคิดเอาเองทั้งนั้น” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและผ่อนลมหายใจออกอย่างสบายใจด้วยสีหน้าเฉยชา “เจ้าอยากบอกอะไรกับซูหลินก็ตามสบาย!”
เขาเอ่ยพลางผลักนางออกไปด้วย แล้วเดินลงบันไดสองขั้นสุดท้ายและเดินต่อไปทางประตู
ซูหว่านถูกเขาผลักจนเซไปกระแทกรั้วด้านข้าง
นางรีบเงยหน้าขึ้นแล้วชี้นิ้วไปที่ประตูทางเข้าทันที ตวาดเสียงสูงว่า “ปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
เพื่อจัดการฉู่สวินหยาง นางได้เปลี่ยนคนในโรงเตี๊ยมนี้ใหม่หมดแล้ว
นางยังไม่ทันพูดจบ ก็มีองครักษ์เจ็ดถึงแปดคนเข้ามาจากด้านนอกและปิดประตูทางเข้า ในขณะเดียวกันยังถือทวนยาวเตรียมพร้อมไว้ในมือ ปิดตายทางไปของฉู่ฉีเหยียน
ในเวลาเดียวกันก็มีคนอีกสิบกว่าคนทยอยออกมาจากห้องต่างๆ บนชั้นสอง ปิดทางออกทั้งหมดทุกชั้นและไม่ให้ใครเล็ดลอดออกไปได้
ครั้งนี้ถือว่าฉู่ฉีเหยียนพลาดท่าเสียที เพราะว่าเมื่อตอนบ่ายเพิ่งเจอฉู่สวินหยางในวัง ดังนั้นพอตอนเย็นชิงหลัวไปแจ้งข่าวด้วยตนเองอีก เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และเพื่อตบตาหลอกคนอื่น จึงพาหลี่หลินตามมาด้วยแค่คนเดียว
เวลานี้ต้องรับมือองครักษ์ราวสามสิบคนของซูหว่าน ด้วยฝีมือของเขาและหลี่หลินไม่ใช่เรื่องยากนัก เพียงแต่ต้องสิ้นเปลืองแรงแน่ โรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้เคียงที่นี่มีไม่น้อย ถึงตอนนั้นหากส่งเสียงดังออกไปก็คงยุ่งวุ่นวาย
สายตาฉู่ฉีเหยียนเย็นยะเยือกและหยุดเดินอีกครั้ง
ซูหว่านยืนอยู่ตรงหัวบันได เห็นเงาของเขาเหมือนลังเลไม่ก้าวเดินต่อ จึงหัวเราะเยาะอย่างถือดี “ข้ารู้ว่าข้ารั้งเจ้าไว้ไม่ได้ เจ้าจะลองใช้กำลังฝ่าออกไปก็ได้ ถึงยังไงตอนนี้ข้าก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว อย่างมากพอเรื่องก็ไปถึงฝ่าบาท ชื่อเสียงของทุกคนจะได้ป่นปี้ด้วยกัน!”
หากฮ่องเต้ยังคงยืนกราน เช่นนั้นจุดจบของนางคงไม่พ้นต้องไปโม่เป่ยด้วยกันกับทั่วป๋าอวิ๋นจี
ฉู่ฉีเหยียนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับนางทำให้เขากลัวจริง
ซูหว่านยกยิ้มมุมปากแล้วเดินไปข้างหน้า เดิมทีอยากจะเอื้อมมือไปจับบ่าของเขา แต่เพราะมีองครักษ์อยู่ด้วยจึงลังเลไปชั่วครู่ แล้วออกคำสั่งว่า “พวกเจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ เฝ้าประตูที่นี่ไว้ให้ดี อย่าให้ใครผ่านเข้าออกได้”
“ขอรับ!” แต่เหล่าองครักษ์ยังไม่ทันได้ถอยออกไปเฝ้าด้านนอก แสงเทียนก็สว่างไสวจนสามารถมองเห็นเงาคนที่อยู่นอกประตูได้อย่างชัดเจน
คนนอกออกไปจากห้องโถงหมดแล้ว เมื่อครู่ซูหว่านลองเข้าไปใกล้ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ แล้วค่อยๆ วางมือลงบนไหล่ฉู่ฉีเหยียน
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้หันกลับมามองและยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ท่าทางที่คล้ายกับยินยอมของเขากลับทำให้ซูหว่านดีใจ ใบหน้าของซูหว่านย้อมด้วยสีเลือดฝาด นางพยายามควบคุมลมหายใจ หลับตาลง แล้วค่อยๆ ก้าวไปชิดหลังของเขา
ฉู่ฉีเหยียนฝืนใจปิดตาลง และพลิกมือคว้าข้อมือนางไว้แล้วเหวี่ยงไปด้านข้างทันที
ซูหว่านถูกเขาผลักจนเซ กว่าจะทรงตัวได้ก็โดนเขาบีบคอไว้แล้ว
“เจ้า…” ถึงเขาจะยังไม่ลงมือ แต่ก็บีบแน่นจนซูหว่านแทบหายใจไม่ออก
เวลานี้มีเพียงปลายเท้านางที่ยังแตะพื้น ลำคออยู่ในกำมือของฉู่ฉีเหยียน นางหายใจลำบาก พริบตาเดียวก็หน้าคล้ำเป็นสีเลือดหมู สองเท้าเตะสะเปะสะปะพยายามแกะมือของเขาออก นางทรมานจนส่งเสียงไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
ฉู่ฉีเหยียนมองนางด้วยสีหน้าเฉยเมย และเอ่ยอย่างชัดเจนทุกคำว่า “เจ้าอยากไปก่อความวุ่นวายที่ไหนก็เรื่องของเจ้า แต่อย่าได้พยายามมาข่มขู่ข้า เจ้ายังไม่มีสิทธิ์นั้น!”
เขาเอ่ยพลางผลักนางออกไปด้วย
ซูหว่านโซเซจนถอยไปหลายก้าว มือลูบคอหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
ฉู่ฉีเหยียนมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ แล้วเดินไปทางประตู
ถึงซูหว่านจะหายใจได้สะดวกแล้ว แต่กลับยังรู้สึกเหมือนถูกอะไรกดทับไว้จนอึดอัดมาก
ชั่วพริบตาที่ฉู่ฉีเหยียนจะเปิดประตูนั้นเอง จู่ๆ นางก็เงยหน้ายิ้มและเอ่ยเสียงเย็นว่า “ฉู่ฉีเหยียน เจ้าคิดว่าข้าขู่เจ้าจริงๆ งั้นหรือ? ข้าไม่ได้สำคัญอะไรจริง แต่เจ้าว่า…หากหลังจากที่เจ้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่ แล้วท่านหญิงสวินหยางแห่งวังบูรพา แม่นางหลัวอวี่ก่วนและข้าตายด้วยกันที่นี่หมด เรื่องนี้…เจ้ายังแน่ใจว่าไม่มีส่วนรู้เห็นหรือไม่?”
เวลานั้นฉู่ฉีเหยียนแง้มประตูทางเข้าเปิดได้เพียงนิดเดียว ประตูหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ รับลมหนาวชื้นให้พัดเข้ามา เสื้อผ้าของเขาโบกสะบัดด้วยลมหนาวสะท้านจนยากจะบรรยาย
เขาพลันหยุดยืนนิ่งเงียบไม่ขยับอีกครั้ง
ซูหว่านเดิมตามมาและลอบสังเกตใบหน้าของเขาอย่างละเอียดอยู่ข้างๆ ว่า “หากข้ายังสำคัญไม่พอ หลัวอวี่ก่วนก็ไม่ได้มีค่าพอให้สนใจ เช่นนั้นฉู่สวินหยางเล่า? นางเป็นท่านหญิงแห่งวังบูรพา แก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาท หากนางตายอยู่ข้างหลังเจ้าอย่างคลุมเครือ เจ้าคิดว่า…เจ้าจะอธิบายได้อย่างชัดเจนหรือ?”
สีหน้าฉู่ฉีเหยียนคงเดิม แต่นัยน์ตาคล้ายมีเมฆฝนปกคลุม ราวกับมีน้ำค้างแข็งอันเย็นเฉียบทับนัยน์ตาเดิมที่แสนเย็นชาไปอีกชั้น
นิ้วมือขยับเล็กน้อย แล้วในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ลดแขนลงปิดประตูที่เปิดได้เพียงครึ่งบานอีกครั้งเสียงดังปัง
เสียงลมที่พัดผ่านห้องโถงพลันเงียบหายไป เขาเอียงศีรษะอย่างเฉยเมย มองซูหว่านอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยเสียงเย็นเยียบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ซูหว่านเห็นเขายอมอ่อนข้อให้ ในใจกลับรู้สึกทั้งเจ็บปวดและเปล่าเปลี่ยว
รู้ว่าครั้งนี้นางจับจุดอ่อนของฉู่ฉีเหยียนได้แล้วจริงๆ ความมั่นใจของนางกลับคืนมาในชั่วพริบตา จึงก้าวไปอีกสองก้าวอย่างไร้ซึ่งความกังวลอีก แล้วกอดเอวเขาไว้จากด้านข้าง นางซบหน้าบนหลังบ่าของเขา น้ำเสียงร้อนรนเจือความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่า “ช่วยข้า!”
ฉู่ฉีเหยียนยืนนิ่ง ค้ำมือหนึ่งไว้บนบานประตูนั้น นิ้วมือค่อยๆ กำเป็นหมัด และใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุดสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ให้ตนเองผลักนางออกไปทันที
ซูหว่านกระวนกระวายใจ จึงกอดเขาไว้แน่นว่า “ข้าไม่อยากไปโม่เป่ย ข้าคิดหาทางเอาไว้แล้ว เพียงแค่เจ้าช่วยข้าสักครั้งก็ต้องสำเร็จแน่นอน”
“หือ?” ฉู่ฉีเหยียนสงบสติอารมณ์จนใจเย็นลงแล้ว มุมปากค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มออกมา เขาหันตัวอย่างเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็ประคองบ่าของซูหว่านเอาไว้ แยกตัวนางออกห่างจากตนเองชั่วคราว แล้วเดินเข้าไปเลือกโต๊ะด้านในสักตัวนั่งลง และหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมารินชาให้ตนเอง
สายตาซูหว่านจ้องมองเขาอยู่ตลอด นางคอยสังเกตสีหน้าของเขาอย่างรอบคอบ ทั้งเครียดและกังวล
ฉู่ฉีเหยียนรินชาให้ตนเองแล้วดื่มไปหนึ่งอึก แล้วถึงจะเอ่ยต่ออย่างไม่รีบร้อนว่า “ลองว่ามา เจ้าจะให้ข้าช่วยยังไง?”
“ข้าไม่ไปโม่เป่ย!” ซูหว่านเอ่ย แล้วกัดฟันเดินไปนั่งลงใกล้เขา หยิบถ้วยมารินชาเช่นเดียวกัน เหมือนกับรวบรวมความกล้ามาจนมากพอแล้ว นัยน์ตาของนางทอประกายเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวที่สุดว่า “ในเมื่อไม่สามารถปฏิเสธพระราชโองการของฝ่าบาทได้ แต่ถ้าหากข้าตายล่ะ?”
นางพูดไปก็ยิ้มเย็นยะเยือกอย่างอวดดี สายตาจ้องใบหน้าด้านข้างของฉู่ฉีเหยียนเขม็ง “เรื่องที่พวกเราเจอกันในวังเมื่อตอนบ่ายดันถูกหลัวอวี่ก่วนเห็นเข้า นางจึงต้องตาย ข้าพานางมาที่นี่แล้ว นางอยู่ในห้องชั้นสอง ข้าจัดการไว้หมดแล้ว แค่สร้างสถานการณ์ว่าโต้เถียงขัดแย้งกัน ด้านนอกเป็นแม่น้ำจ้าวธาร เดิมทีกระแสน้ำในช่วงหน้าหนาวก็ไหลเชี่ยวกรากอยู่แล้ว ตกลงไปก็ตามหาศพได้ยาก ถึงเวลานั้นค่อยก่อความวุ่นวายขึ้นมา เรื่องนี้ก็จะเงียบไปเอง”
…………………………………..
บทที่ 98 อิงแอบอยู่ในอ้อมกอด ตกน้ำแล้ว (2)
โดย
Ink Stone_Romance
เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว หอยลนทีแห่งนี้อาศัยความได้เปรียบทางด้านที่ตั้งอีกครั้ง ถึงจะมีคนโต้เถียงกันจนตกน้ำ ในความมืดสนิทไร้แสงไฟเช่นนี้ จะมีใครแยกออกว่าตกน้ำไปกี่คนหรือเป็นใครกันแน่?
ฉู่ฉีเหยียนยิ้ม สีหน้าเจือความชื่นชมเล็กน้อยว่า “เจ้าหมายถึง…แกล้งตาย?”
นัยน์ตาของซูหว่านพราวระยับ ตื่นเต้นกับแผนการของตนเองไม่น้อย
นางขยับไปด้านข้างอีกหนึ่งที่นั่ง แล้วคว้ามือฉู่ฉีเหยียนไว้แน่นว่า “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของข้าแล้ว ซื่อจื่อ เจ้าช่วยข้าด้วย พาข้าไปจากที่นี่ เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าจัดการไว้เรียบร้อยหมดแล้ว”
ฉู่ฉีเหยียนเม้มปากและนิ่งเงียบ เพียงครุ่นคิดแล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นต้องมีสาเหตุ หลัวอวี่ก่วนเป็นคนของตระกูลฮองเฮา เจ้ากับนางไม่มีความแค้นกันมาก่อน แต่กลับก่อเรื่องจนมีคนตายอย่างโจ่งแจ้ง หากฮองเฮาทรงมีพระราชประสงค์ให้สืบหาความจริงให้ได้จะเป็นเรื่องยุ่งยาก”
ซูหว่านเห็นเขาดูท่าทางคล้ายกับผ่อนคลายลงก็ค่อยๆ สบายใจมากขึ้น ทว่านัยน์ตาทอประกายเย็นชาว่า “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ข้าหลอกฉู่สวินหยางมาขังไว้ที่นี่แล้ว ข้ากับหลัวอวี่ก่วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่พวกนางสองคนเคยขัดแย้งกันต่อหน้าธารกำนัลมาก่อน ถ้าหากบอกว่าข้าช่วยห้ามปราบปรามไม่ให้ทะเลาะกันล่ะ?”
ซูหว่านมองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและเย็นชา
ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบจับสังเกตไม่ได้ พลันเงยหน้ามองไปทางห้องชั้นสองอย่างฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที
ซูหว่านมองตามสายตาของเขาไป แล้วมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเย็นชาว่า “ผู้หญิงคนนั้นก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับจวนอ๋องหนานเหอของพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่หรือ? ใช้โอกาสนี้กำจัดนางไปเลยทีเดียว ถึงเวลานั้นฮองเฮาก็จะออกหน้าเพื่อหลัวอวี่ก่วน พี่ชายข้าก็ต้องไม่ยอมวางมือแน่ พอเรื่องวุ่นขึ้นมา เจ้าก็นั่งดูทั้งสองฝ่ายสู้กันจนเพลี่ยงพล้ำทั้งคู่ แล้วค่อยตักตวงผลประโยชน์”
นางพูดอย่างอวดดีและเริ่มลืมตัว ฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยลองเขยิบเข้าไปใกล้เขาอีก นางจับมือของเขาไว้พลางรวบรวมความกล้าเข้าไปกระซิบใกล้เขา แล้วพึมพำอย่างรีบร้อนว่า “ช่วยข้าด้วย พาข้าไป ชื่อเสียงและฐานะจอมปลอมเหล่านี้ข้าไม่ต้องการสักนิด เพียงแค่เจ้าให้ตำแหน่งที่เหมาะสมกับข้า ให้ข้าได้อยู่ข้างกายเจ้า”
สายตาของฉู่ฉีเหยียนจับจ้องบานประตูที่ปิดสนิทบนชั้นสอง ราวกับกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง ตอนที่กำลังเหม่อลอยก็ได้กลิ่นหอมของชาดที่ใช้ทาแก้มให้แดงและแป้งโชยมาตามสายลมอย่างเบาบาง
ในใจเขารู้สึกรังเกียจ จึงถอยหลบออกไปด้านข้างอย่างเยือกเย็น
ซูหว่านคว้าน้ำเหลว จึงอดหน้านิ่งไปไม่ได้ นางกัดริมฝีปากมองเขาอย่างโมโหและแค้นใจ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนว่า “ซื่อจื่อ ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้า เจ้าก็รู้มาโดยตลอด ตอนนี้ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ช่วยข้าได้”
นางเอ่ยพลางหลับตาลงอีก แล้วเขยิบเข้าไปใกล้
ซูหว่านกักขังฉู่สวินหยางหรือ?
เรื่องนี้ยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ตามหลักแล้วฉู่สวินหยางน่าจะหลอกเขามาที่นี่ก่อน ซึ่งก็พอจะเห็นว่านางเตรียมแผนป้องกันตัวมาตั้งแต่แรก
ในสถานการณ์แบบนี้ นางจะถูกซูหว่านทำร้ายได้ยังไง?
หากอยู่แบบนี้ต่อไปอีกต้องแย่แน่!
ฉู่ฉีเหยียนถอนหายใจออกมา พอตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้วก็ลุกขึ้น ทว่ากลับรู้สึกเวียนศีรษะในทันใด
เขารู้สึกตกใจจนรีบจับโต๊ะยันตัวเอาไว้ และเงยหน้าขึ้นอย่างเดือดดาล สายตาพลันจ้องมองซูหว่านอย่างอาฆาตมาดร้าย
“เจ้าวางยาข้าหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนถาม สายตาเย็นเยียบจับจ้องไปที่ชุดน้ำชาบนโต๊ะ
ถูกเขาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนั้น ซูหว่านก็คงพาลโกรธขึ้นมา ฟังแล้วก็ไม่เห็นน่าตกใจตรงไหน นางลุกขึ้นจะเข้าไปประคองเขาว่า “ทีแรกข้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ข้าก็จนตรอกแล้วจริงๆ เหมือนกัน ในเมื่อเจ้าไม่ยอมช่วยข้า เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องช่วยตนเอง!”
ฉู่ฉีเหยียนจะอดทนกับแผนการร้ายนี้ของนางได้ยังไง? เขาสกัดมือนางอย่างโมโหในทันที
เดิมทีเขาแค่ใส่ยาสลบลงไปในชาของซูหว่าน ตอนที่ผลักนางออกดันสัมผัสมือนางโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หัวใจและเลือดกลับแข็งตัวอย่างฉับพลัน ราวกับจะระเบิดพลุ่งพล่านในพริบตาเดียว
ความรู้สึกแบบนี้…
ความร้อนรุ่มในใจฉู่ฉีเหยียนถูกปลุกเร้าไปถึงขีดสุดในชั่วพริบตา อยากจะใช้กำลังภายในฝืนยับยั้งเอาไว้ ต่อมาถึงได้รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ยาพิษ และกำลังภายในก็หยุดยั้งไม่ได้เหมือนกัน
เขารู้สึกเหมือนพูดมากเกินไปจนคอแห้ง และมองซูหว่านตรงหน้าอย่างเฉยชา ในช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้นพลันไม่อยากจะพูดอีกแม้แต่ประโยคเดียว
ซูหว่านทุ่มสุดตัว นางมองนัยน์ตาแสนเย็นชาและเยาะเย้ยของฉู่ฉีเหยียน และยังคงหัวเราะอย่างขมขื่น
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดยังไงกับข้า ถึงยังไงเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่สนใจอะไรแล้วเช่นกัน” ซูหว่านเอ่ย พลางหมุนตัวกลับไปข้างโต๊ะแล้วรินชาอีกถ้วยหนึ่ง นางเงยหน้ามองฉู่ฉีเหยียนด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าแล้วกัน อันที่จริงข้าเตรียมของในร้านนี้ไว้ให้ฉู่สวินหยาง ถึงนางจะระมัดระวังขนาดไหนแล้วยังไง? ข้าไม่เชื่อว่านางจะโชคดีขนาดสามารถหนีรอดจากกับดักที่ข้าตั้งใจเตรียมเอาไว้และล้อมไว้อย่างหนาแน่นไปได้ทุกครั้ง แทงข้างหลังข้าจนสาหัสก่อน แล้วก็แอบบังคับให้ข้าแต่งงานกับโม่เป่ย ในเมื่อนางไม่ให้ข้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ถึงแม้ต้องตาย ข้าก็ต้องให้นางชดใช้มากกว่าให้ได้ และถึงยังไงทิ้งศพลงแม่น้ำก็ไม่มีทางหาเจออยู่แล้ว จะมีใครรู้ว่าที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าว่าไง?”
ซูหว่านเอ่ยพลางรินชาอีกถ้วย แล้วเดินยกมาถึงตรงหน้าฉู่ฉีเหยียน
“ดื่มอีกถ้วยหรือไม่? ยังไงก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ที่นี่ก็ถือว่าไม่เลวนัก” เพราะว่ายาออกฤทธิ์ แก้มของนางค่อยๆ แดงซ่าน นางยิ้มแล้วยื่นถ้วยชานั้นให้ตรงหน้าฉู่ฉีเหยียนว่า “เจ้าว่าหากอีกสักครู่มีคนเปิดประตูเข้ามาพบว่าซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องหนานเหอที่สง่างามเช่นเจ้ากับพระชายาองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยมีอะไรกันที่นี่ ฝ่าบาทจะทรงจัดการยังไง?”
คำพูดนี้จงใจข่มขู่อย่างชัดเจน
ฉู่ฉีเหยียนสีหน้าเย็นชา เพียงแค่มองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เท่านั้น
ซูหว่านพูดเองแล้วก็หัวเราะเองอีก ก็ไม่รู้ว่าแค่ดีใจหรือเจือปนความเศร้าด้วยกันแน่ หัวเราะจนสุดท้ายน้ำตาไหลออกมา
ในห้องชั้นสอง ฉู่สวินหยางกับชิงหลัวคอยดูลาดเลาข้างล่างอยู่หลังประตู แต่เพราะอยู่ไกลจึงทำให้ได้ยินไม่ค่อยชัดว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน ทว่าแค่เห็นสีหน้าซูหว่านเศร้าแบบนั้นก็รู้ว่าต้องพูดความในใจแน่
“ท่านหญิง ทำยังไงดี? จะ…” รอนานแล้วก็ยังไร้ผล ชิงหลัวจึงลองเอ่ยถามก่อน
“ไม่ต้องรีบ!” ฉู่สวินหยางยกมือห้ามนางไว้ แล้วสังเกตความเคลื่อนไหวของสองคนที่อยู่ข้างล่างผ่านรูที่เจาะทะลุกระดาษปิดหน้าต่างต่อไป
นางจะไม่รู้ได้ไงว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก? ครั้งนี้นางกับซูหว่านกลับคิดเหมือนกันโดยบังเอิญ…
หากพระชายาองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยกับซื่อจื่อจวนอ๋องหนานเหอถูกจับได้ว่าเป็นชู้กันคาเตียง นางไม่สนใจอยากรู้ว่าฮ่องเต้จะโมโหเดือดดาลขนาดไหน สนก็แต่ทั่วป๋าไหวอัน…
โดนสวมเขาให้ขนาดนี้ เช่นนั้นก็สามารถล้มข้อตกลงระหว่างเขากับฉู่ฉีเหยียนได้แล้ว
นางนัดฉู่ฉีเหยียนมาก็เพราะคิดแบบนี้ ดูว่าจะฉวยโอกาสช่วงชุลมุนได้หรือไม่ แต่สำหรับฉู่ฉีเหยียน…
นางจะไม่บุ่มบ่ามลงมือ
เขานั้นความคิดลุ่มลึก นางไม่คิดว่าเขาจะประมาทถึงขั้นมาตามนัดศัตรูอย่างนางคนเดียวแบบนี้
ชิงหลัวรู้ความกังวลของนางดี แต่พอคิดว่าโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าทิ้งไปก็น่าเสียดายมาก ทันใดนั้นตอนที่กำลังรู้สึกเสียดายอยู่นั้นก็สัมผัสถึงเสียงเบามากบนหลังคาที่ปะปนมากับเสียงลมพัดอื้ออึงด้านนอกได้อย่างเฉียบไว
นัยน์ตาของชิงหลัวแน่วแน่ นางถือกระบี่วิ่งไปทางหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก แล้วใช้มือเดียวคว้าขอบหน้าต่างด้านบนปีนขึ้นไปบนหลังคา
ฉู่สวินหยางก็สัมผัสถึงเสียงเมื่อครู่ได้เช่นกัน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงต่อสู้อย่างที่คิดไว้ ทว่าผ่านไปเพียงชั่วครู่กลับเห็นเงาคนโผล่เข้ามาทางหน้าต่างที่ว่างเปล่า
ที่แท้คือ…
เหยียนหลิงจวินที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยเหมือนเดินทางรอนแรมมาไกล!
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ มองไปทางหน้าต่างด้านหลังเขาว่า “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
เหยียนหลิงจวินยิ้มแล้วปิดหน้าต่างเสียงเบา ไม่ส่งเสียงใดดังออกไป
“อ๊ะ!” ฉู่สวินหยางรีบเอ่ยว่า “ชิงหลัวยังอยู่ข้างนอกนะ!”
“ข้าให้นางกับอิ้งจื่อกลับไปก่อนแล้ว” เหยียนหลิงจวินตอบ
เพราะว่ามีคนอยู่ห้องข้างๆ ทั้งสองคนจึงต้องพยายามกดเสียงพูดให้ต่ำที่สุด ในห้องไม่ได้จุดโคมไฟ อาศัยเพียงแสงที่ลอดผ่านมาจากห้องโถงด้านนอกมาเล็กน้อย พอจะมองเห็นได้รำไร แต่แสงไฟสลัวก็ยังยากที่จะแยกได้อย่างชัดเจน
เหยียนหลิงจวินเดินตรงมาหา แล้วถอดเสื้อคลุมของตนเองคลุมลงบนไหล่ของนาง
ตอนที่ฉู่สวินหยางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พลันเกิดเสียงดังสนั่นมาจากชั้นล่างอย่างกะทันหัน เหมือนมีคนกระแทกประตูเข้ามาอย่างแรง จนบานประตูล้มกระแทกพื้นดังปัง
……………………………………
บทที่ 98 อิงแอบอยู่ในอ้อมกอด ตกน้ำแล้ว (3)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่สวินหยางอดไม่ได้ที่จะแอบสูดลมหายใจ นางหันไปมองผ่านรูบนประตูออกไป แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเห็นซูหลินพาคนบุกพรวดเข้ามาชั้นล่างอย่างกะทันหัน
ขัดจังหวะการโต้เถียงกันระหว่างฉู่ฉีเหยียนกับซูหว่าน
ซูหลินบุกเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว ก็พุ่งเข้าไปตบหน้าซูหว่านเป็นอย่างแรก
เสียงฝ่ามือนั้นดังกังวานชัดเจนในเวลากลางคืน
ซูหว่านถูกเขาตบจนเซไปอีกด้าน
ซูหลินไม่สนใจนาง ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับฉู่ฉีเหยียน แต่ฉู่ฉีเหยียนกลับสะบัดแขนเสื้อออกไปอย่างโกรธจัดโดยไม่รอฟังให้จบด้วยซ้ำ
ฉู่สวินหยางคิ้วขมวดแน่น แล้วหันกลับไปถามเหยียนหลิงจวินว่า “นี่เจ้าพาเขามาหรือ?”
พอซูหลินปรากฏตัวก็เกิดความวุ่นวายอย่างชัดเจน
แต่ถ้าเป็นแผนการของเหยียนหลิงจวิน เรื่องที่เกิดขึ้นต้องมีสาเหตุแน่
เหยียนหลิงจวินแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่จูงมือนางไปที่หน้าต่าง แง้มหน้าต่างบานนั้นออกเล็กน้อยและให้นางมองดูด้านนอก
ฉู่สวินหยางก้มมองอย่างสงสัย
หน้าต่างของสองห้องที่ขนาบข้างซ้ายขวาหัวโค้งบันไดเปิดอยู่อย่างแปลกประหลาด ด้านล่างนั้นนอกจากระเบียงด้านหน้าหอยลนทีที่สูงมากแล้ว ถัดไปก็เป็นแม่น้ำจ้าวธารที่เกลียวคลื่นม้วนตัวโหมกระหน่ำซัดสาด ฉู่สวินหยางเอียงตัวมาทางขวาเล็กน้อยถึงจะมองเห็นประตูทางเข้าชั้นล่าง
แล้วก็เห็นฉู่ฉีเหยียนพาหลี่หลินเดินออกมาจากประตูทางเข้าอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างดูราวกับปกติดี ระหว่างที่เดินนั้นฉู่สวินหยางกลับเห็นอย่างชัดเจนว่านิ้วกลางมือขวาที่เขาพาดอยู่หลังตัวเขาขยับอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็ตำหนิเงาคนท่ามกลางความมืดอย่างไว ซึ่งมีทั้งที่กระโดดลงมาจากหลังห้องข้างๆ ชั้นบน ปีนออกมาจากใต้บันไดที่ระเบียงหน้าประตู แฝงตัวเหมือนภูตผีวิญญาณ และหลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ก็แยกย้ายหายไปคนละทิศคนละทาง เร้นกายกลืนหายไปในความมืดที่โรยตัวปกคลุม
“ที่แท้เขาก็มีแผนรับมือตั้งแต่แรก!” ถึงแม้จะเตรียมการมาก่อน แต่ฉู่สวินหยางก็ยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเสียดาย
ระหว่างที่พูดอยู่นั้นนางพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปมองเหยียนหลิงจวินที่อยู่ใกล้ตัวทันที…
ฉู่ฉีเหยียนแอบเตรียมคนเอาไว้พร้อมก่อนแล้ว แต่เขากลับใช้วิชาตัวเบาเดินเหินบนหลังคาอย่างคล่องแคล่วบุกเข้ามาทางหน้าต่างได้อย่างโจ่งแจ้ง? เกรงว่ายังไงก็คงหนีไม่พ้นสายตาของอีกฝ่ายรึเปล่า?
ด้านล่างเหมือนกับจะตอบกลับความคิดของนาง ทันใดนั้นหลี่หลินที่คอยติดตามอยู่ด้านหลังฉู่ฉีเหยียนก็เดินเข้าไปบอกบางอย่างเสียงต่ำข้างหูฉู่ฉีเหยียน
ฉู่ฉีเหยียนหยุดเดินในทันที
กะทันหันจนฉู่สวินหยางตั้งตัวไม่ทัน ทันใดนั้นก็เห็นเขาหันกลับมามองตำแหน่งที่นางอยู่
ในสถานการณ์ที่น่าหวาดหวั่นและอันตรายนั้น แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างมองไม่เห็นกัน อาจเป็นปฏิกิริยาที่สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงอันตราย ฉู่สวินหยางจึงก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ถอยไปไม่ทันระวัง เหยียนหลิงจวินที่เดิมควรจะยืนอยู่ข้างนางกลับไม่รู้ว่าย้ายมายืนอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อไหร่ ทันทีที่นางถอยหลังไปก็ชนเข้ากับหน้าอกเขาพอดี และเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนจึงถูกแรงกระแทกสะท้อนกลับมา
ฉู่สวินหยางจะค้ำหน้าต่างตามสัญชาตญาณ แต่ตอนนั้นหน้าต่างกลับไม่มีกลอนอีก ระหว่างที่จะถอยหรือจะหาที่จับนั้น…
ดันชนหน้าต่างเปิดอ้าเสียงดังพอดี กระแสลมที่หนาวเหน็บพัดปะทะหน้าจนคนโดนลมตัวหนาวสั่น
“เหมือนกับมีเสียงบางอย่าง!” องครักษ์ที่อยู่ห้องข้างๆ ได้ยินเสียง จึงรีบเปิดหน้าต่างมองรอบๆ
ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเหยียนที่หันมองจากชั้นล่างสบตากันอย่างตกใจ เหยียนหลิงจวินยื่นแขนมาโอบเอวนางไว้ แล้วพานางมาหลบข้างๆ ซ่อนตัวจากสายตาขององครักษ์ห้องข้างๆ ที่โผล่ศีรษะมามองซ้ายมองขวา
ซูหลินพาคนมากมายมาฆ่าถึงที่ เวลานี้ฉู่สวินหยางก็ไม่กล้าประมาทเหมือนกัน จึงยอมอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย
มองจากมุมของฉู่ฉีเหยียนกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน…
มีเงาคนสองคน คนหนึ่งตัวสูงและอีกคนตัวเล็กกว่า แอบอิงกันอยู่ท่ามกลางความมืด ซ่อนอยู่หลังกำแพงข้างหน้าต่าง ถึงแม้จะดูไม่ออกว่าทั้งสองคนกำลังทำอะไรกัน ทว่าภาพไร้เสียงที่เห็นนั้นกลับบาดตาอย่างชัดเจน
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร! แค่ลมพัดหน้าต่างห้องข้างๆ เปิด!” คนห้องข้างๆ สอดส่องอยู่ที่หน้าต่างพักหนึ่ง ไม่เจออะไรผิดปกติก็ตะโกนให้ปิดหน้าต่างอีกครั้ง
ฉู่สวินหยางโล่งอกไปที นางลูบอกแล้วถอยออกมาจากอ้อมแขนของเหยียนหลิงจวินก้าวหนึ่ง ตอนที่โผล่ศีรษะออกไปดูอีกรอบ ด้านล่างก็ไม่มีร่างของฉู่ฉีเหยียนแล้ว
นางก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เพียงแค่ต่อว่าเหยียนหลิงจวินอย่างไม่พอใจว่า “ทำอะไรตกใจหมด?”
“ยังไงพวกเขาก็เห็นตั้งแต่ตอนที่ข้ามาแล้วก็ไม่เห็นต้องไปยั่วโมโหอีกรอบ!” เหยียนหลิงจวินยิ้ม แล้วช่วยจัดปกเสื้อนางให้เรียบร้อยอีกว่า “ไปเถอะ ละครฉากนี้ไม่มีอะไรน่าดูอีกแล้ว!”
ฉู่สวินหยางเบ้ปาก ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถจัดการฉู่ฉีเหยียนได้อย่างที่หวังไว้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เอาเปรียบอะไร คิดดูแล้วก็ไม่มีอะไรเสียหาย
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าอย่างเสียดายเล็กน้อย
เหยียนหลิงจวินรูปร่างปราดเปรียวปีนออกไปทางหน้าต่างแล้ว ฉู่สวินหยางขยับไปตามแผน แต่ไม่ต้องรอให้นางขยับตัว เงาคนที่หายไปจากนอกหน้าต่างพลันห้อยศีรษะกลับเข้ามา แล้วยื่นแขนมาโอบนางเข้าสู่อ้อมกอดด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าหล่อเหลาและพานางออกไปทางหน้าต่าง
หน้าต่างสั่นไหวเกิดเสียงดังขึ้นอีกครู่
องครักษ์ที่อยู่ห้องข้างๆ พูดไปด่าไปพลางโผล่ศีรษะออกมามองซ้ายมองขวาอีกครั้ง “เหล่าจางทางพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้น? ไม่ได้ปิดตายหน้าต่างไปแล้วหรือ? เหล่าหลี่เจ้าไปดูห้องข้างๆ!”
“ขอรับ!” องครักษ์อีกคนตอบรับแล้วลุกออกไป แต่ประตูของห้องนั้นกลับถูกคนกระแทกเปิดจากด้านนอก ซูหว่านถลาเข้ามาอย่างโมโหร้าย นางไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว พุ่งเข้าไปลากตัวหลัวอวี่ก่วนที่ถูกมัดอยู่ตรงมุมกำแพงขึ้นมา ใช้ทั้งมือและเท้าแกะเชือกที่พันตัวนางยุ่งเหยิงออก แล้วลากตัวนางไปทางหน้าต่าง
องครักษ์สองคนต่างนิ่งอึ้งไป และมองอย่างตกตะลึงอย่างไม่รู้ว่าจะเข้าไปห้ามยังไงดี
เวลานั้นฤทธิ์ยาสลบในร่างหลัวอวี่ก่วนหมดไปเกินครึ่งแล้ว นางฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกซูหว่านพาตัวมาที่นี่ เพียงแต่ทั้งร่างกายอ่อนแอไม่มีแรง ถึงแม้เวลานี้จะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่กลับตื่นตระหนกจนมือเท้าหนักอึ้ง ทำได้เพียงคล้อยตามคนอื่น
ซูหว่านเปิดหน้าต่างออก จะผลักหลัวอวี่ก่วนออกไปนอกหน้าต่างนั้น
“อย่า…” หลัวอวี่ก่วนร้องอย่างหวาดผวาน่าสงสาร มองแม่น้ำที่โหมกระหน่ำซัดสาดด้านล่าง วิญญาณบินออกจากร่างในชั่วพริบตา
ซูหว่านจะกำจัดนางทิ้งงั้นหรือ?
หลัวอวี่ก่วนอ่อนแรงไปทั้งร่าง เพียงถูกลมหนาวที่พัดผ่านผิวน้ำด้านนอกก็เหงื่อตกด้วยความหวาดกลัวอีก
นางร้องให้ช่วยเหลือเสียงดังอย่างหวาดหวั่น แต่เสียงกลับกระจายอยู่แค่รอบหูเท่านั้น แทบกลืนหายไปกับเสียงลมที่พัดกระหน่ำจากด้านนอกไปทันที
เวลานั้นหลัวอวี่ก่วนแทบสิ้นหวังแล้ว
ซูหลินตามซูหว่านมาจากด้านหลัง และดันเห็นภาพนี้เข้าพอดี สีหน้าเขาโศกเศร้าเวทนาและหายใจติดขัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“หว่านเอ๋อร์?” ซูหลินทั้งตกใจและหวาดกลัว
“เจ้าบ้าไปแล้วรึไง? ยังไม่รีบหยุดมืออีก!” เขารีบเดินเข้าไปลากตัวซูหว่านออกมาจากหน้าต่าง แต่เพราะใช้แรงเยอะไป ซูหว่านจึงเซล้มลงไปบนโต๊ะด้านหลัง
ชุดชาบนโต๊ะถูกกวาดทิ้งตกพื้นจนแตกละเอียด
ซูหว่านไม่สนใจความเจ็บปวด นางลุกขึ้นมาได้ก็กระโจนเข้าใส่อีก และเอ่ยเสียงดังจนแทบเหมือนบ้าว่า “นางต้องตาย หากวันนี้นางไม่ตาย ถ้าเรื่องถูกเปิดโปงออกไป พวกเราจะยังรอดไปได้อีกหรือ?”
ถึงแม้บางครั้งซูหว่านจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ในความทรงจำของซูหลิน น้องสาวของตนคนนี้ก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ถูกตามใจจนเสียคนเท่านั้น เขาเคยเห็นนางท่าทางเหมือนเสียสติแบบนี้เสียเมื่อไหร่
หากหลัวอวี่ก่วนหายตัวไป หลัวฮองเฮากับจวนหลัวกั๋วกงต้องไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่
ซูหลินเผลอขัดขวางโดยไม่รู้ตัว มือหนึ่งขวางนางไว้ ขณะเดียวกันก็รีบอุ้มหลัวอวี่ก่วนลงมาจากหน้าต่าง
ฤทธิ์ยาสลบในตัวหลัวอวี่ก่วนยังไม่หมดไปซะทีเดียว อีกทั้งยังรู้สึกตื่นตกใจไม่น้อยที่ถูกผลักไปที่หน้าต่าง ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง
เพิ่งถูกซูหลินพาตัวกลับมา ซูหว่านก็กระโจนเข้าใส่อีกทันที
ซูหลินโมโหเดือดดาลจนคว้าข้อมือนางไว้แน่น เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนและตำหนิเสียงเย็นว่า “อย่าได้ทำตัววุ่นวายอีก เข้ามานี่ มัดตัวท่านหญิงกลับไป!”
องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูขานรับและเข้ามา
แต่ซูหว่านกลับทั้งเตะทั้งถีบอย่างรุนแรงและแยกเขี้ยวขู่ โดยไม่ยอมแพ้แม้แต่นิดเดียว
ซูหลินทำลายแผนของนาง แถมตอนนี้ยังจะช่วยหลัวอวี่ก่วนที่ร้ายซ่อนลึกนี่อีกหรือ? เขาเป็นพี่ชายของนาง แต่กลับช่วยคนนอกไปทั่ว!
เวลานี้ซูหว่านเสียสติไปจนหมดสิ้น นางรู้สึกเกลียดเป็นอย่างมาก แต่แรงของนางสู้ซูหลินไม่ได้ ทันใดนั้นในขณะที่จวนตัวก็อ้าปากกัดหลังมือซูหลินอย่างไม่สนใจไยดี
สภาพนางเหมือนสติฟั่นเฟือนไปครึ่งหนึ่งแล้ว นางกัดไปเต็มคำอย่างไร้ความปราณี เลือดไหลทะลักออกมาในชั่วเวลาอันสั้น จนย้อมฟันขาวทั้งสองแถวของนางให้ดูดุร้ายน่ากลัว
“อ๊ะ…” ซูหลินร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วเผลอยกมือสะบัดนางออกไปตามสัญชาตญาณ
………………………………….
บทที่ 98 อิงแอบอยู่ในอ้อมกอด ตกน้ำแล้ว (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ด้วยความเจ็บปวดจนเวียนศีรษะ เขาจึงผลักออกไปเต็มแรงในทีเดียวอย่างไม่ทันได้ฉุกคิดสักนิด
ว่าเวลานั้นทั้งสามคนเบียดเสียดกันอยู่หน้าหน้าต่าง เพื่อให้ชมวิวทิวทัศน์ได้สะดวก หน้าต่างบานนั้นก็ดันเปิดได้กว้างมาก ร่างของซูหว่านกระเด็นไปชนสะดุดเก้าอี้กลมที่ล้มอยู่ด้านหลัง แล้วร่วงหล่นออกไปทางหน้าต่างบานนั้น
“หว่านเอ๋อร์!” ซูหลินพุ่งตัวตามไป รีบยื่นมือไปคว้าไว้ แต่กลับช้าไปเพียงก้าวเดียว
ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกนั้น กระโปรงของซูหว่านแฉลบปลายนิ้วเขาแล้วตกลงไป
หออยู่ใกล้น้ำในช่วงหน้าหนาวเสียงลมพัดอื้ออึง ทำให้เสียงกรีดร้องของนางฟังดูเลื่อนลอย ชุดผู้หญิงสีแดงร่วงลงสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็วจนเห็นเหมือนสีตกไปทันที
ในที่สุดเสียงของตกลงในน้ำดังตูมก็ดังขึ้น
น้ำไม่ได้กระเซ็นขึ้นมามากนัก และถูกแม่น้ำกลืนหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา
นิ้วมือของซูหลินยังค้างอยู่ในท่าไขว่คว้ายื่นออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งร่างเหมือนถูกสายฟ้าฟาด เขายืนนิ่งหน้าซีดไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาว่างเปล่าจ้องมองกระแสน้ำที่โหมกระหน่ำซัดสาดด้านล่าง
หลัวอวี่ก่วนที่อยู่ข้างๆ ก็มองอย่างตื่นตะลึงเช่นกัน นางยังไม่ทันได้กรีดร้องอย่างหวาดหวั่นก็ใช้สองมือปิดปากไว้ทันที ท่าทางนางตื่นตระหนกตกใจมากจนเบิกตาโพลงแต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
เมื่อครู่หากซูหลินไม่ขวางเอาไว้ เช่นนั้นศพที่ถูกทิ้งลงแม่น้ำเวลานี้ก็คงเป็นนาง!
กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากแบบนี้และอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ไม่ต้องคิดเลย ตกลงไปก็มีทางเดียวคือตายเท่านั้น
เหงื่อเย็นพาลจะไหลท่วมตัวด้วยความหวาดกลัว หลัวอวี่ก่วนขาอ่อนยวบลงไปคุกเข่า สองมือรีบปีนป่ายขอบหน้าต่างข้างๆ สีหน้าท่าทางยังตกใจกลัวจนตัวสั่นไม่หยุด
เหตุการณ์ที่นี่ทำให้ซูหลินตกใจ ตอนนี้เขาเพิ่งจะได้สติกลับมา
ในสีหน้าหวาดกลัวของเขาเจือปนด้วยความแปลกประหลาดบางอย่าง เขาหลบสายตาอย่างน่าสงสัย สายตากลับมองของในห้องนี้ไปมาอย่างสะเปะสะปะ ทำยังไงก็หาจุดพักสายตาที่เหมาะสมไม่ได้สักที แต่บางครั้งก็ก้มหน้าลงมองสองมือของตนเองอย่างหวั่นใจ…
เมื่อครู่เขาพลั้งมือผลักซูหว่านตกลงไป!
ถึงแม้เวลานี้ในกระแสน้ำทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่ความรู้สึกหน่วงนั้นกลับชัดเจนเหลือเกิน
ดังนั้น…
เป็นเขา เป็นเขาที่ผลักน้องสาวตนเองลงไปตายในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากด้วยมือของเขาเอง!
“ซื่อจื่อ…” ตอนนี้องครักษ์ที่ติดตามเขามาเพิ่งจะได้สติ และเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “ข้าจะพาคนไปค้นหาเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
“รีบไป!” ซูหลินตอบไปด้วยความตกใจ
องครักษ์คนนั้นหันตัวจะจากไปแล้ว อยู่ดีๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงตะโกนเสียงแหบว่า “หยุด!”
หลายคนหันกลับมา
ซูหลินกลืนน้ำลาย ในหัวมีแต่ภาพซูหว่านตกลงในแม่น้ำเมื่อครู่ด้วยมือเขาหมุนวนอยู่ตลอดเวลา รู้สึกเพียงจิตใจสับสนวุ่นวาย เขาใช้พลังไปอย่างมากกว่าจะฝืนเรียกสติกลับมาได้ และกวาดสายตาไปทางองครักษ์หลายคนอย่างเด็ดเดี่ยว พลางเอ่ยถามว่า “เมื่อครู่ท่านหญิงตกหอไปได้ยังไง?”
เหล่าองครักษ์นิ่งอึ้งไป ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก…
เวลานี้เขาไม่คิดรีบช่วยชีวิตคน ยังมีแก่ใจมาถามเรื่องนี้อีกหรือ?
ทว่าพอคิดดูแล้ว อากาศแบบนี้ ซูหว่านก็ว่ายน้ำไม่เป็นอีก ตกลงไปก็ตายแน่อย่างไม่ต้องสงสัย
เหล่าองครักษ์เหงื่อตกผุดพรายเต็มหน้าด้วยนัยน์ตาของเขาที่จ้องมองอยู่ใกล้ๆ อย่างเคร่งขรึม ท้ายที่สุดก็ยังเป็นหัวหน้าองครักษ์ที่สงบสติอารมณ์ได้เร็วที่สุด ก้มหน้าลงเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “ท่านหญิงไม่ระวังก้าวพลาดตอนที่กำลังชมวิวอยู่ใกล้หน้าต่างขอรับ!”
ฟังคำนี้แล้ว ซูหลินถึงจะค่อยๆ รู้สึกใจสงบลงบ้าง แล้วโบกมืออย่างใจลอยว่า “ไปเถอะ!”
เหล่าองครักษ์เหมือนยกภูเขาออกจากอก จึงรีบลงไปข้างล่าง
ซูหลินเองก็เหงื่อตกไปทั้งตัว ฟังเสียงลมหนาวที่พัดอื้ออึงและเสียงน้ำที่โหมกระหน่ำซัดสาดด้านหลังแล้ว ยิ่งรู้สึกวุ่นวายใจ
เขาเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะ พลันพบว่ามือของตนเองสั่นไม่ไหวแล้ว…
เขาฆ่าซูหว่าน!
เขาผลักน้องสาวเพียงคนเดียวของเขาตกแม่น้ำจ้าวธารด้วยมือของเขาเอง!
ที่น่ากลัวที่สุด…
เวลานี้ซูหว่านยังเป็นพระชายาขององค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยที่ฮ่องเต้พระราชทานให้!
ซูหลินรู้สึกว้าวุ่นใจ แม้แต่รินชาให้ตนเองสองถ้วยยังต้องสงบสติอารมณ์อยู่หลายนาที สายตาเหลือบมองไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่กลับเห็นหลัวอวี่ก่วนที่กลัวจนหัวหดและตัวสั่นเทาอยู่ริมหน้าต่างนั้น
หลัวอวี่ก่วนสีหน้าหวาดกลัว น้ำตาไหลอาบเต็มหน้าไปนานแล้ว นางมองเขาอย่างระวังตัวเต็มที่
ทันใดนั้นซูหลินก็ปวดศีรษะขึ้นมาอีก…
ผู้หญิงคนนี้ก็ยุ่งยาก!
หรือต้องวางแผนไว้ก่อนแบบซูหว่านจริงๆ จัดการให้นางก็ “บังเอิญก้าวพลาด” เหมือนกันงั้นหรือ?
ซูหลินกะพริบตาปริบๆ ชั่งใจส่วนได้ส่วนเสียในใจอย่างรวดเร็ว
หลัวอวี่ก่วนไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาที่ไม่รู้ประสีประสา เห็นท่าทางก็คงพอเดาออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ในเวลานี้
“ซูซื่อจื่อ!” นางเข้ามากอดขาซูหลินไว้แน่น และขอร้องว่า “เรื่องของท่านหญิงซูข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น และข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าไปก่อปัญหาให้นางได้ยังไง ข้าไม่ได้อยากทำร้ายนางให้ถึงตาย เจ้าเชื่อข้าเถอะ ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!”
อาจเพราะตื่นตกใจเกินไป หรืออาจเพราะลนลานขอชีวิต นางจึงกอดขาซูหลินไว้สุดชีวิตไม่ปล่อยมือ
ซูหลินก้มตัวลงอยากดึงตัวนางออก สัมผัสใกล้ชิดแบบนี้สามารถสัมผัสได้ถึงสัดส่วนนุ่มนิ่มแต่ละส่วนบนร่างกายของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน เกรงว่าถึงจะใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ก็นึกไม่ถึงว่าความรู้สึกแบบนั้นจะทำให้คนหวั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด
ท่าทางของซูหลินชะงักอยู่ครึ่งทาง แค่รู้สึกว่าใจเต้นเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน พอหันกลับไปมองอีกรอบก็เห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของหญิงงาม ยิ่งรู้สึกคอแห้ง ความร้อนรุ่มในร่างกายเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ทำไมเขายังคิดอะไรแบบนั้นขึ้นมาได้?
น่าอายเหลือทน ซูหลินรีบสะบัดศีรษะอย่างแรง อยากจะยับยั้งความรู้สึกที่ไม่ถูกเวลานั้นเอาไว้ แต่ถึงเป็นแบบนี้ก็ยังไม่ช่วยสักนิด
“ซื่อจื่อ ข้าไม่ได้อยากทำร้ายท่านหญิงซูจริงๆ เจ้าเชื่อข้าเถอะ!” หลัวอวี่ก่วนกอดเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ
ถึงจะมีเสื้อผ้ากั้นก็ยังรู้สึกถึงความร้อนของร่างกายอีกฝ่ายที่ส่งผ่านมาอย่างเบาบาง
“ลุกขึ้นมา!” ซูหลินบังคับระงับอารมณ์ของตนเอง และก้มตัวลงไปประคองนาง เพราะพยายามควบคุมตนเองให้ได้ เสียงจึงฟังดูอึดอัดและแข็งกระด้างอย่างเห็นได้ชัด
สองมือหลัวอวี่ก่วนเกาะแขนเขาไว้ นางพยุงตัวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าซีดเซียวและงดงามย้อมด้วยแสงสว่างจากเทียนในห้องกลับยิ่งสวยจับใจ นางเรียกอย่างไม่สบายใจ “ซูซื่อจื่อ!”
ซูหลินลูกกระเดือกสั่น เขาฝืนเบี่ยงเบนความสนใจไปมองอย่างอื่นใกล้ตัว แล้วหันไปปิดหน้าต่างด้านหลังที่เปิดกว้างอยู่ครึ่งบาน
ลมหนาวพลันหยุดพัด เวลานั้นความร้อนรุ่มแปลกๆ ที่ซ่อนอยู่ในร่างกายก็ทะลักออกมาราวกับจะพุ่งทะยานถึงขีดสุดในชั่วพริบตา
อาหารว่างและน้ำชาในห้องนี้ถูกซูหว่านวางยาไว้หมดแล้ว ซึ่งเดิมทีเตรียมไว้ให้ฉู่สวินหยาง เรื่องนี้หลัวอวี่ก่วนรู้ดีอยู่แก่ใจ
แต่ตอนนี้เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ นางก็ไม่มีทางอื่นให้เลือกเดินแล้ว จึงกัดฟันรินชาอีกถ้วยให้ซูหลิน แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อครู่ขอบคุณซื่อจื่อมากที่ช่วยเหลือ!”
นางก้มหน้าลงต่ำ เปิดเผยผิวบริเวณคอที่เกลี้ยงเกลาเหมือนเครื่องลายครามอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ซูหลินค่อยๆ ยกมือรับชาถ้วยนั้น ขณะเดียวกันจิตใจกลับฟุ้งซ่าน สายตามองทางอื่นอยู่ตลอดเวลา ระหว่างที่ใจลอยนั้นนิ้วมือก็สัมผัสโดนชาในถ้วย
“ระวัง!” หลัวอวี่ก่วนร้องเสียงต่ำ รีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมา จับนิ้วมือเขาเช็ดอย่างละเอียด
ระหว่างที่สัมผัสผิวของกันและกัน นิ้วก้อยของนางเหมือนปัดผ่านฝ่ามือของซูหลินเบาๆ อย่างไม่ตั้งใจ
ความรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านแล่นไปทั่วร่างในพริบตา กล้ามเนื้อทั้งตัวของซูหลินแน่นตึง จนข่มกลั้นไม่ได้อีกต่อไป เขาพลิกมือมาจับนิ้วมือของนางไว้ แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด
หลัวอวี่ก่วนก้มหน้ามองต่ำ ซบกับอกเขา นางก้มหน้าไม่พูดไม่จาอย่างเขินอาย ท่าทางขวยเขินปนประหม่านั้นยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวน
ซูหลินโอบเอวกักตัวนางไว้ แม้ใจนางอยากปฏิเสธแต่ก็ส่งเสียงครางตอบรับ
ปฏิกิริยาตอบสนองที่เบาบางนี้ทำให้ซูหลินโยนสติที่เหลือเพียงน้อยนิดทิ้งไปทันที เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว และโอบนางให้นอนลงบนเตียงที่แกะสลักจากงาช้างด้านใน
ริมแม่น้ำชั้นล่างลมเหนือพัดหวีดหวิว อากาศหนาวแทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก
เหล่าองครักษ์วิ่งไปวิ่งมา มองไปทั่วบริเวณแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มลงมือจากตรงไหน หาตั้งนานแล้วก็ยังไร้ผล จึงจำเป็นต้องฝืนใจกลับไปรายงานข่าวกับซูหลิน แต่พอขึ้นมาถึงชั้นบนกลับได้ยินเสียงกระซิบอ่อนโยนและเสียงหอบหายใจอันแผ่วเบาดังมาจากในห้องนั้น ถึงแม้จะรู้ว่าไม่เหมาะสม แต่ใครจะกล้าเข้าไปขัดจังหวะเจ้านาย ดังนั้นจึงรีบย่องออกไปดีกว่า และลัดเลาะตามแม่น้ำค้นหาซูหว่านต่อไป
……………………………………..
บทที่ 99 เป็นข้ารับใช้ของข้า ก็ต้องรักษากฎของข้า (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ระหว่างทางกลับจวน ฉู่ฉีเหยียนพิงผนังรถม้าหลับตลอดทาง ไม่พูดอะไรขึ้นสักประโยคตั้งแต่ต้นจนจบ
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่สวินหยางลงมือจัดการเขาอย่างเปิดเผย
ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่สวรรค์จะลิขิตไว้แล้วก็ตาม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่พอสมควร
หลี่หลินไล่ตามอยู่ด้านนอกรถม้ามาพักใหญ่ รอจนรถม้าเดินทางออกจากถนนเลียบแม่น้ำ แล้วเข้าไปยังถนนสายหลักของเขตเมืองชั้นในแล้ว เขาจึงเคาะหน้าต่าง พูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อยขอตัวลาไปทำธุระสักประเดี๋ยวนะขอรับ”
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ในรถม้าเอ่ยตอบเสียงเบา ราวกับว่าไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเสียเท่าไร
หลี่หลินบังคับม้าให้ถอยห่างออกมาสองก้าว จากนั้นกำชับกับจางเสียงทหารข้างกายของฉู่ฉีเหยียนว่า “พาซื่อจื่อ กลับจวนทันที อย่าให้เกิดอันใดขึ้นระหว่างทางเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“ขอรับ ข้าน้อยจะพาซื่อจื่อกลับจวนโดยสวัสดิภาพแน่นอนขอรับ!” ทหารขานตอบทันควัน
หลี่หลินโบกมือ มองรถม้าห่างออกไปไกล แล้วมุ่งหน้าไปยังถนนหลิ่วหลินที่อยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมืองอย่างรีบร้อน
เมื่อฉู่ฉีเหยียนกลับมาถึงจวนก็ปาเข้าไปยามสอง[1] ได้แล้ว พ่อบ้านเปิดประตูจวนออก แต่เขายังไม่ลงจากรถม้า นั่งต่อยาวไปจนถึงหน้าประตูเรือนที่สองถึงค่อยลงจากรถ
“ซื่อจื่อ ทำไมเพิ่งได้กลับมาเอาป่านนี้เล่าขอรับ? ตอนทานอาหารเย็นเสร็จ ท่านอ๋องเรียกหาท่านด้วย ท่านว่า…” พ่อบ้านสั่งการให้บ่าวนำรถม้าไปเก็บ พลางพยายามเอ่ยปากถามอย่างยากลำบาก “ท่านไปหาเขาหน่อยดีไหมขอรับ?”
ฉู่ฉีเหยียนไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย เดินเข้าไปในเรือนของตัวเอง จากนั้นพูดขึ้นว่า “วันนี้ดึกแล้ว ท่านพ่อน่าจะพักผ่อนแล้ว มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เช้าแล้วกัน!”
อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดี ภายใต้ใบหน้าเย็นชานั้น แฝงไปด้วยความรู้สึกโกรธโมโหอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าแดงคล้ำไม่เป็นธรรมชาติ
พูดพลางโบกมือไล่พวกทหารอารักขา “พวกเจ้าก็กลับไปเถอะ!”
บรรดาผู้คนถอยกลับไปตามคำสั่ง
เหลือเพียงจางเสียงผู้เดียวที่ติดตามเขาเข้ามาในเรือน
“ซื่อจื่อ!” เจ้านายของเขาไม่ตอบ เหล่าสาวใช้ในเรือนต่างก็ไม่กล้าไปเข้านอน เมื่อเห็นเขากลับมา สาวใช้สองคนที่เฝ้ากะดึกอยู่ ก็รีบทำความเคารพอย่างลุกลี้ลุกลน
ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้ว พลันถอยตัวหนี พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “กลับไปให้หมด คืนนี้ไม่ต้องอยู่เฝ้าเรือน!”
ภายในจวนแห่งนี้ ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือสงสัยการตัดสินใจของเขา
จางเสียงหันไปสั่งการให้ผู้คนกลับ ยืนส่งจนฉู่ฉีเหยียนเข้าไปในห้องหนังสือ นัยน์ตาเขาเป็นประกาย แล้วหันหลังเดินออกจากเรือนไป
ฉู่ฉีเหยียนพลิกมือไปด้านหลังตัวแล้วดันประตูปิดลง ขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือคนเดียว
เขาไม่ได้ดื่มน้ำชาที่ผสมยานั่นเข้าไปเยอะเท่าไร แต่ก็รู้สึกว่าฤทธิ์มันแรงพอสมควร ตอนที่อยู่ด้านนอกอากาศแม้หนาวเย็นยังไม่รู้สึกอะไรนัก แต่พอเข้ามาในห้อง เมื่อโดนลมร้อนจากเตาผิงเข้า ความรู้สึกร้อนอบอ้าวที่อัดอั้นไว้อยู่นมนาม ก็ค่อยๆ คืบคลานออกมา ทำให้เขายิ่งรู้สึกอารมณ์ไม่ดี
เขาเดินไปเปิดหน้าต่าง แล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
ลมเย็นโชยพัดผ่านใบหน้าของเขา เขาหลับตาลง พยายามคิดวิเคราะห์เรื่องงานธุระเรื่องอื่น เพื่อจะได้ไม่รู้สึกถึงความรุ่มร้อนในตัว แต่แปลกมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถควบคุมความคิดฟุ้งซ่านนั้นได้เลย
มีภาพเหตุการณ์หลายอย่างสลับไปสลับมาตรงหน้า เป็นภาพซูหว่านเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้พูดกับเขา นั่นเป็นภาพความทรงจำยามค่ำคืนมืดสนิทของเขาที่ริมตลิ่ง จู่ๆ ก็ปะทะสายตาเข้ากับคนที่ยืนอยู่หลังบานหน้าต่าง มองเขาลงมาด้วยสายตาตะลึงงัน
ภายในค่ำคืนอันมืดมิดนั้น ผู้คนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยืนกอดกัน ภาพเหตุการณ์นั้นขึ้นมาให้เห็นแค่ชั่ววูบเดียว แต่สิ่งที่เหลืออยู่นั้นกลับเหลือเพียงแต่ความละเอียดอ่อนโยน
เขายืนไพล่มือไว้ด้านหลัง จากนั้นใช้นิ้วกดลงไปบนฝ่ามืออย่างแรง พยายามฉีกภาพเหตุการณ์ที่ป่วนสมองให้แหลกขาด
ด้านหลังตัวเขามีเตาผิงที่ไฟกำลังลุกโชนอยู่ มันกำลังอบแผ่นหลังของเขา จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนพิงมาที่ไหล่จากด้านหลัง ความรู้สึกนั้นราวกับโดนความนุ่มนวลของผิวผู้หญิงที่อุ่นเท่ากับอุณหภูมิร่างกายนาบลงมา
เขาเอื้อมมือไปลูบด้วยความหงุดหงิด แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า นั่นทำให้ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก
เมื่อคิดถึงภาพหน้าตาของซูหว่านในอดีต แล้วคิดถึงที่ตอนนั้นฉู่สวินหยางแอบฟังแอบดูอยู่บนห้องอุ่นชั้นสองนั้น เขายิ่งรู้สึกว่าพื้นผิวบนร่างกายของตนที่ถูกแตะต้องนั้นสกปรกจนรู้สึกแย่เหลือทน
จิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย ไม่สามารถอยู่ในห้องหนังสือต่อได้อีก
“เอาเตาผิงในห้องไปเก็บให้หมด!” ฉู่ฉีเหยียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางเปิดประตูห้องหนังสือออกอย่างรุนแรง แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของตนที่อยู่ด้านข้างด้วยความรวดเร็ว เขาถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนทิ้งลงไปในเตาผิงด้านนอกห้อง
เปลวไฟลุกโชนขึ้นมา จากนั้นทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้ขึ้นทันควัน
แต่เขาไม่แยแส เดินก้าวเข้าห้องไป
คนที่อยู่ด้านนอกรีบเปิดประตูเข้ามายกเตาผิงออกไป ฉู่ฉีเหยียนสงบอารมณ์ตัวเองลงมาไม่ได้ คนที่ย้ายเตาผิงอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจางเสียงนั่นเอง เขาไม่สนใจ รื้อหีบค้นตู้หาชุดนอนมาสวมใส่ ในขณะที่กำลังจะปลดเชือกเพื่อเปลี่ยนชุดอยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนมีมือนุ่มของหญิงสาวพาดลงมาบนไหล่ ทั้งยังมีเสียงยั่วยวนของหญิงสาวเอ่ยขึ้นอีก
“ให้ข้าช่วยท่านเปลี่ยนชุดนะเจ้าคะ!”
กล้ามเนื้อทั้งตัวของฉู่ฉีเหยียนเกร็งขึ้นอย่างรุนแรง หัวไหล่ที่ถูกแตะต้องไปมีเลือดสูบฉีดร้อนแรงถึงขนาดทะลุเสียดฟ้า รู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาดใส่ก็มิปาน เรียกสติให้กลับคืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังคนนั้น ยื่นมือออกไปเป็นนัยว่าขออนุญาต
ทุกคนภายในจวนต่างรู้นิสัยอันเยือกเย็นและเข้มงวดของซื่อจื่อผู้นี้ดี นางเป็นคนที่จางเสียงส่งมา เดิมทีนางก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อคิดว่าจางเสียงเองก็เป็นถึงคนข้างกายของซื่อจื่อ แถมยังดำเนินจัดการเรื่องพวกนี้ให้เขาอีก แสดงว่าเขาต้องได้รับการเอ็นดูมากแน่ นางจึงยอมมาด้วยจิตใจที่ยินดีและไม่สบายใจในเวลาเดียวกัน
อีกฝ่ายหาได้ปฏิเสธการสัมผัสนั้นไม่ ทำให้ฝ่ายหญิงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีก ในขณะที่รู้สึกดีใจอยู่นั้น มืออ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกข้างนั้นเคลื่อนเข้าไปด้านหน้า ไปจนถึงหัวไหล่ จากนั้นค่อยๆ เลื่อนไปยังคอเสื้อ
ปลายนิ้วของหญิงสาวนุ่มนวล นางอยู่ด้านนอกเพิ่งได้เข้ามา ทำให้ปลายนิ้วนั้นยังมีความเย็นหลงเหลืออยู่ เมื่อผิวสัมผัสกัน ก็ทำให้ฉู่ฉีเหยียนที่ไล่ความหงุดหงิดของตนออกไปไม่ได้สักที ใจเย็นลงพอสมควร
ฉู่ฉีเหยียนก็รู้สึกตกใจจนผงะออกอย่างบอกไม่ถูก จู่ๆ ร่างกายของเขาก็สั่น
หญิงสาวผู้นั้นใช้แขนของตนโอบกอดคอของเขาไว้อย่างมีความสุข ร่างกายของนางค่อยๆ แนบเข้าใกล้ กระซิบเสียงเบาอย่างเขินอายขึ้นว่า “ซื่อจื่อ!”
พยายามทำใจให้สงบมาตั้งนาน นอกจากอารมณ์หงุดหงิดร้อนใจแล้ว ฉู่ฉีเหยียนไม่มีความคิดมั่วซั่วอื่นใดหลง เหลืออยู่อีก เวลานี้ร่างกายของหญิงสาวอยู่ตรงหน้า ถึงเขาจะกลั้นใจไว้ได้มากแค่ไหนก็ยากที่จะปฏิเสธ รู้สึกเพียงแค่เลือดในร่างกายกำลังพลุ่งพล่าน และฉีดไปทั้งเนื้อทั้งตัว
สีหน้าของเขาแดงระเรื่อขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ลมหายใจค่อยๆ แรงขึ้น
หญิงสาวผู้นั้นจู่โจมเข้าใส่อย่างไร้สติ มือของนางค่อยๆ เลื่อนลง ปลายนิ้วลูบคลอเคลียไปมาอยู่บนเชือกที่ผูกอยู่ของเสื้อตัวใน น้ำเสียงของนางยิ่งพูดก็ยิ่งอ่อนโยนรื่นหู ระหว่างที่พูดอยู่นั้นร่างกายของนางก็แนบชิดเข้ามา
“ข้าเปลี่ยนชุดให้นะเจ้าคะ!”
ปลายเสียงเดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา อยู่ท่ามกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ช่างเย้ายวนให้คนลุ่มหลงเสียโดยจริง
ฉู่ฉีเหยียนยืนนิ่งสงบโดยไม่รู้ตัว ราวกับอนุสาวรีย์ที่ขยับไปไหนไม่ได้ ไม่แสดงท่าทางหรือเอ่ยคำใดขึ้นแม้แต่น้อย
เมื่อเขาก้มหน้าลง ก็เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นชัดเจนขึ้น
นางอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น หน้าตาสละสลวย ใบหน้าขาวผ่องประดับไปด้วยแววตายั่วยวน ราวกับนำช่วงเวลาที่งดงามที่สุดของหญิงสาวมาให้ยลโฉมอยู่เบื้องหน้า
ดวงตาของหญิงสาวอ่อนโยน มองมาที่เขาอย่างเขินอายปนอยากกระหาย กัดริมฝีปากอย่างตื่นเต้น ทำให้ใบหน้าของนางยิ่งน่ามองน่าเอ็นดูขึ้นไปอีก
ในสถานการณ์แบบนี้ มีหญิงรูปงามมาแอบอิงแนบชิดอย่างเปิดเผยโดยที่ไม่ได้ขอแบบนี้? เกรงว่า…
ไม่ว่าจะเป็นชายใดก็ยากที่จะปฏิเสธได้ลงกระมัง?
ความนึกคิดของฉู่ฉีเหยียนสับสนปนเปจนสมองขาวโพลนไปหมด เขาค่อยๆ ยกมือเอื้อมออกไป นิ้วสัมผัสลงบนใบหน้าของนาง แป้งฝุ่นเลอะโดนปลายนิ้ว เขาพลันนึกขึ้นได้ ทำให้สติสัมปชัญญะที่แตกกระเจิดกระเจิงไปกลับคืนมา
เขาผลักหญิงสาวผู้นั้นออกไป แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ จากนั้นตะโกนอย่างโมโหว่า “ออกไปซะ!”
หญิงสาวผู้นั้นถูกผลักออกไปจนร่างกายล้มเซ ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะอะไร จึงทำได้เพียงควบคุมสติแล้วรุกอีกครั้ง พลางกอดแขนของเขา น้ำตาคลอเบ้า แล้วพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ หรือว่าข้าทำอะไรผิดไป ข้า…”
ยังพูดไม่ทันจบ ฉู่ฉีเหยียนหมดความอดทนที่จะจัดการนางต่อ สะบัดแขนเสื้อข้างที่นางกอดไว้อยู่ออกอย่างแรง
ปึง เสียงดังขึ้น!
ประตูถูกชนจนเปิดออก!
ตูม เสียงดังขึ้นอีก!
มีบางอย่างตกลงไปในสระดอกบัวที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อจางเสียงที่แอบซ่อนอยู่ด้านนอกเรือนได้ยินเสียงก็รีบพุ่งมาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีสาวใช้คนหนึ่งกำลังพยายามขึ้นมาจากสระบัวอย่างหวาดกลัว
สระบัวนั้นไม่ใหญ่ขนาดสี่เหลี่ยมลึกเพียงแค่เอว ในตอนนี้เป็นฤดูหนาว ดอกบัวในสระเหี่ยวเฉา ตกกลางคืนผิวน้ำก็กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งชั้นบางๆ
แผ่นน้ำแข็งแตกสลาย สาวใช้คนนั้นเต็มไปด้วยดินโคลนทั่วทั้งตัว นางยืนกอดอกอยู่กลางสระด้วยใบหน้าตกใจและหวาดกลัว จนถึงขั้นลืมปีนออกจากสระ
สีหน้าของจางเสียงเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเบิกโพลงไปชั่วขณะ
ในขณะที่ทั้งสองจ้องมองอีกฝ่ายกันอย่างไม่รู้ตัวอยู่นั้น ด้านนอกเรือนก็มีคนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
คนคนนั้นคือหลี่หลิน
——————————————————
[1] ยามสอง หรือยามไฮ่ หรือเวลา 21:00 – 23:00 ในปัจจุบัน
บทที่ 99 เป็นข้ารับใช้ของข้า ก็ต้องรักษากฎของข้า (2)
โดย
Ink Stone_Romance
หลี่หลินวิ่งกลับมาจากด้านนอกอย่างรีบร้อน เดิมทีตั้งใจว่าจะมาหาฉู่ฉีเหยียน แต่สุดท้ายยังไม่ได้ทันเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากทางนี้ก่อน
เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นประตูห้องของฉู่ฉีเหยียนเปิดอยู่ กับหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางสระ แล้วเห็นหน้าอย่างกับเจอผีเข้าของจางเสียง ทำให้เขาเข้าใจเรื่องทุกอย่างในทันที!
สีหน้าของหลี่หลินมืดมนลง มองไปยังจางเสียงด้วยสายตาอาฆาตแค้น
จางเสียงรีบหลบถอยออกไปอย่างเกรงกลัว ก้มหัวลงอย่างรู้สึกผิด แล้วพูดว่า “ข้าน้อยเพียงแค่คิดถึงซื่อจื่อที่…”
ฉู่ฉีเหยียนโดนวางยาปลุกอารมณ์ทางเพศ โอกาสนี้มีไม่มาก เขาเพียงต้องการใช้โอกาสนี้สร้างผลงานให้เจ้านายของตนพึงพอใจก็เท่านั้น ถึงได้ไปหาหญิงรูปงามมาถวายให้ถึงที่
แต่ใครจะไปคิดว่านางจะโดนฉู่ฉีเหยียนไล่ตะเพิดออกมา
เขาคิดว่าเรื่องจะลงเอยด้วยดีด้วยซ้ำไป
ในใจของจางเสียงทรมานแต่ก็ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้
“เจ้ามีสิทธิ์เข้ามาก้าวก่ายเรื่องของซื่อจื่อตั้งแต่เมื่อไรกัน?” หลี่หลินพูดขึ้นเสียงเย็นชา
จางเสียงขาอ่อนรีบคุกเข่าลงไป ไม่ทันให้เขาอ้าปากขอร้อง ฉู่ฉีเหยียนก็เดินออกมาจากห้องในเสื้อผ้าชุดใหม่
“ซื่อจื่อ!” จางเสียงรีบดึงสติกลับมา คุกเข่าลงคำนับอยู่หลายครั้งแล้วกล่าวขึ้น “ซื่อจื่อโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อยทำไปโดยพลการ ขอซื่อจื่อโปรดเมตตาข้าน้อยด้วย”
ท่าทางของฉู่ฉีเหยียนนิ่งเฉย แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง เขาเอ่ยขึ้นเพียงไม่กี่คำอย่างไม่แยแสว่า “เป็นข้ารับใช้ของข้า ก็ต้องรักษากฎของข้า หลี่หลิน จัดการมันตามกฎซะ!”
จัดการตามกฎงั้นรึ?
จิตใจของจางเสียงหล่นไปถึงตาตุ่ม รู้ตัวดีว่าขอร้องไปก็ไม่เห็นผล เขาเลยกัดฟันแล้วพุ่งกระโดดข้ามกำแพงหายหนีไป
แววตาของฉู่ฉีเหยียนเย็นชาขึ้นทันควัน หลังจากนั้นก็มีวงแหวนสีฟ้าโจมตีเข้าใส่ราวกับสายฟ้าฟาด
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ!
จากนั้นตามมาด้วยเสียงร้อง
ร่างกายของจางเสียงที่กำลังปีนข้ามผนังตกลงไปด้านนอกจนเกิดเสียงร้องขึ้น
‘โอ๊ย…’
‘โอ๊ย…’
มีเสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้นไล่เลี่ยกัน
ด้านนอกมีคนอยู่รึ?
แววตาของฉู่ฉีเหยียนสงบนิ่ง จับชายเสื้อแล้วเดินออกไปนอกเรือนอย่างรวดเร็ว
ด้านนอกจางเสียงถูกดาบของหลี่หลินแทงทะลุ ทั้งยังตกลงมาจากที่สูง เสียชีวิตแล้วตามที่คาด ดวงตาของเขาเบิกโพลงนอนอยู่บนผืนดิน เลือดไหลออกมาจากปากและจมูก
ส่วนด้านข้างมีหญิงสาวหน้าซีดขาวอยู่สองคน คือเตี่ยนชุ่ยกับบ่าวรับใช้ซิ่งเอ๋อร์
ดูท่าสองคนเดินผ่านสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ แล้วโดนศพหล่นทับใส่ ทำให้ตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก มือไม้อ่อนแรงจนทรุดนั่งอยู่กับพื้น มองไปยังศพร่างนั้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เมื่อฉู่ฉีเหยียนเห็นพวกนาง ก็รู้สึกโล่งอก
“ซื่อจื่อ…ข้า…” เตี่ยนชุ่ยตอบสนองโดยพลัน นางรีบดึงสติกลับมา พยายามเอ่ยขึ้นเสียงสั่น พูดไปก็กลืนน้ำลายไปสองที มองไปยังรอบด้านด้วยแววตาระส่ำระส่าย “ข้าเพียงแค่เดินผ่านมาโดยบังเอิญเท่านั้น ข้า…ข้า…”
ฉู่ฉีเหยียนหันปรายตามองนางด้วยแววตานิ่งเฉย จากนั้นเบนสายตามองไปทางอื่น
ร่างกายของซิ่งเอ๋อร์สั่นไปทั่วทั้งตัว พยายามมองไปทางอื่นไม่มองศพที่อยู่ด้านข้าง พลางพยุงเตี่ยนชุ่ยให้ลุกขึ้นยืน
เตี่ยนชุ่ยพยายามฝืนดึงสติกลับมา แล้วย่อเข่าถวายความเคารพฉู่ฉีเหยียนที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน
หลี่หลินช่วยสาวใช้ที่ร่างกายเต็มไปด้วยดินโคลนขึ้นมา
สาวใช้คนนั้นทั้งหนาวทั้งตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ… ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว ขอร้องด้วยเถิดเจ้าค่ะ โปรดให้อภัยแก่ข้าด้วย! ซื่อจื่อ โปรดเห็นใจไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย!”
ฉู่ฉีเหยียนหันหลังเดินเข้าไปในเรือน ไม่ชายตามองนางแม้แต่น้อย พลางพูดกับหลี่หลินว่า “จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยซะ!”
“ขอรับ ซื่อจื่อ!” หลี่หลินขานตอบอย่างขึงขัง จากนั้นเรียกทหารนำศพของจางเสียงออกไป แล้วสั่งให้คนพาตัวสาวใช้คนนั้นไปแล้วจับตาดูเอาไว้ รอวันพรุ่งนี้ค่อยเอาตัวนางไปขายทิ้ง
เมื่อจัดการเรื่องภายนอกเสร็จหมดแล้ว เขาเดินกลับเข้ามาในเรือนรอคำสั่งจากฉู่ฉีเหยียนต่อ
ประตูเรือนของฉู่ฉีเหยียนถูกชนจนพังเสียหาย เขาไม่ได้สนใจ ปล่อยให้ประตูบานใหญ่เปิดกว้างอยู่แบบนั้น แล้วนั่งดื่มชาอยู่กลางห้องโถงอย่างเย็นชา
“เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วรึ?” เมื่อเขาเห็นหลี่หลินเดินเข้ามา ก็เหล่ตามองถามขึ้น
“เป็นเพราะข้าน้อยดูแลได้ไม่ทั่วถึงเอง” หลี่หลินรีบคุกเข่าลงหนึ่งข้างพูดขออภัยโทษ
ฉู่ฉีเหยียนไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตอบตกลง ปล่อยให้เขาคุกเข่าต่อไป จากนั้นหันไปมองเขาอีกครั้ง
ราวกับว่าหลี่หลินเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ เขารีบหยิบยาที่เหน็บไว้อยู่ที่เอวออกมาสองเม็ดแล้วยื่นให้ แล้วพูดขึ้นว่า “ยาของท่านหญิงซูซื้อมาจากจิ่นซั่งฮวาขอรับ ปกติแล้วเป็นยาที่พวกหญิงบำเรอมักใช้เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ ของแขก ส่วนอันนี้เป็นยาถอนขอรับ!”
ฉู่ฉีเหยียนรับมา ไม่เอ่ยเสียงใดขึ้น เขาเพียงดื่มชาแล้วกลืนยานั่นลงไป
—————————————————
วันรุ่งขึ้น
เรื่องของซูหว่านก็ถูกส่งข่าวมาถึงในวัง ซึ่งทำให้ฮ่องเต้โมโหเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ตบหัวกระทืบหน้าซูหลินแล้วด่าทออย่างเสียหาย
ซูหลินคุกเข่าร้องห่มร้องไห้อยู่กลางท้องพระโรง สีหน้าเจ็บปวดทรมาน กล่าวโทษตัวเองอย่างน่าอนาถไม่หยุด “เป็นความผิดของกระหม่อมเอง กระหม่อมเห็นว่าพระชายาขององค์ชายห้าต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ ณ ที่ห่างไกล นางรู้สึกแย่ทรมานหัวใจ ถึงได้ไม่ห้ามและให้นางดื่มเพิ่มอีกสองแก้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะพลาดท่าตกน้ำจนเสียชีวิต! ฝ่าบาท กระหม่อมผิดเองพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลินคลานอยู่บนพื้น สีหน้าหวาดกลัวและโศกเศร้า ไม่เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย
ภายในไม่กี่วันนี้เกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน ความอดทนของฮ่องเต้เองก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว
เขาหยิบพระราชสาส์นที่วางอยู่ไม่ไกลมือนักโยนลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรง ก่นด่าอย่างโมโหว่า “นางเป็นสาวที่เพิ่งแต่งงานแท้ๆ ไม่มีอะไรทำก็ไม่ยอมอยู่ในจวน แต่กลับออกไปดื่มเหล้าเพื่อคลายทุกข์เนี่ยนะ? คุณธรรมของพวกเจ้าสกุลซูมีแค่นี้เองงั้นรึ? ไม่มีความรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเลยงั้นรึ?”
บ้านสกุลซูสูญเสียลูกสาวไปหนึ่งคน สำหรับตัวเขาแล้วมันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด ถึงแม้ว่าคนที่ตายไปจะเป็นพระชายาขององค์ชายห้าแห่งแคว้นโม่เป่ยก็ตาม มันก็หาได้ส่งผลกระทบกับเขาไม่
แต่เพราะช่วงนี้มีหลายสิ่งไม่ราบรื่นดั่งที่หวัง แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ มันก็เพียงพอที่จะกระตุ้นอารมณ์เขาแล้ว
ในขณะที่ฮ่องเต้โมโหจนปรอทแตก เย่าสุ่ยที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามากราบทูลพอดีว่าฮองเฮามาขอเข้าเฝ้า
หลัวฮองเฮาไม่สบายมาสองวัน ฮ่องเต้เองก็ต้องออกหน้าดูแลหน่อย เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรียกฮองเฮาเข้ามาเถิด!”
หลี่รุ่ยเสียงยื่นน้ำชาให้จากด้านข้าง
ฮ่องเต้รับมาดื่มเข้าไปหนึ่งคำ สีหน้าของฮ่องเต้ดีขึ้นทีเดียวเชียว จากนั้นเขาจึงเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้
ไม่นานนักหลัวฮองเฮาก็เดินเข้ามาพร้อมกับแม่นมเหลียงที่คอยช่วยพยุงอยู่
“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท!” หลัวฮองเฮากล่าวพลางย่อตัวทำความเคารพ
ฮ่องเต้มองใบหน้าที่ยังแสดงให้เห็นถึงอาการป่วยของนาง จึงรู้สึกสงสารขึ้นมา เขาพยักหน้าแล้วกล่าว
“นั่งลงเถิด!”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!” หลัวฮองเฮากล่าวขอบคุณ จากนั้นแม่นมเหลียงก็พานางไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้างเขา
ส่วนหลัวอวี่ก่วนที่ตามเข้ามาก็ก้มหน้าก้มตาถอยไปยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังของหลัวฮองเฮาอย่างว่าง่าย
หลัวฮองเฮาเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ไม่สู้ดี แล้วมองซูหลินที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า จึงเอ่ยเสียงขึ้นอย่างเห็นใจ “ฝ่าบาททรงกริ้วเพราะเรื่องของเด็กน้อยสกุลซูผู้นั้นรึเพคะ? พูดถึงเด็กคนนั้นแล้ว หม่อมฉันเองก็กังวลอยู่ ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อคนก็ไม่อยู่แล้ว ฝ่าบาทเองก็อย่าโกรธกริ้วไปมากกว่านี้เลยเพคะ มันไม่ดีต่อพระวรกาย”
“หึ!” ฮ่องเต้สบถพ่นลมออกทางจมูกอย่างเย็นชา ไม่แสดงท่าทีใดให้เห็นชัดเจน
เมื่อซูหลินเห็นดังนั้น ก็รีบพูดขึ้นว่า “เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะกระหม่อมปล่อยปละละเลย จนทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮากริ้วโกรธเพราะเรื่องภายในบ้านของสกุลซู เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ!”
“พอได้แล้ว!” หลัวฮองเฮาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นบังแล้วไอออกมาสองที จากนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ไปแล้ว เจ้าเองก็รู้สึกแย่ไม่น้อย ถึงแม้เด็กคนนั้นจะแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติ เรื่องพิธีหลังจากนี้เจ้าต้องเป็นคนจัดการดูแล อย่างไรก็ตั้งใจทำมันให้ดีแล้วกัน!”
“ขอบพระทัยฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะที่ทรงเป็นห่วงกระหม่อม!” ซูหลินกล่าวขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน ถวายความเคารพต่อหลัวฮองเฮาด้วยสีหน้าขอบคุณ
หลัวฮองเฮาพูดออกไปมากมาย แต่ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ยังคงไม่แสดงสีหน้าท่าทางใด
นางจึงหันไปมองเขาด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทเพคะ เรื่องเมื่อวานมีสาวใช้มาเล่าให้หม่อมฉันฟังแล้ว มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ไม่มีใครคาดคิดหรอกเพคะ คนตายไปแล้วฟื้นคืนมาไม่ได้ ฝ่าบาทเย็นพระทัยลงเถิดนะเพคะ สั่งการให้พวกเขารีบจัดการเรื่องงานพิธีที่เหลือก็พอ!”
ฮ่องเต้ไม่ค่อยสนเรื่องของซูหว่านเท่าไรนัก แต่ถ้าคิดอย่างละเอียดแล้ว หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่น่าสงสัยเลยก็ไม่ใช่
เขาเบนสายตาไป
หลัวอวี่ก่วนก้มหน้าก้มตา พยายามเก็บควบคุมสีหน้าของตนไว้ คุกเข่าแล้วลงกราบทูล “กราบทูลฝ่าบาท เมื่อวานตอนที่หม่อมฉันออกจากวัง ได้เจอเข้ากับพระชายาขององค์ชายห้าพอดี ตอนนั้นพระชายาบอกว่าตนอารมณ์ไม่ดี อยากจะไปเดินเล่นกับหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่กล้าปฏิเสธ จึงเดินเล่นเป็นเพื่อนนางจนไปถึงหอยลนที พระชายาบอกว่าไปโม่เป่ยครานี้ไม่รู้จะได้กลับเมื่อไร นางดูเศร้าโศกเสียใจจนดื่มเข้าไปอีกหลายแก้ว หากรู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ ตอนนั้นหม่อมฉันน่าจะรั้งนางไว้ ไม่ปล่อยให้นางดื่มเสียมากมายขนาดนั้นเพคะ”
หลัวอวี่ก่วนพูดไปน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลออกมาอย่างเสียใจในสิ่งที่ตนทำลงไป
“พอได้แล้ว เรื่องนี้ไม่โทษเจ้าหรอก!” หลัวฮองเฮากล่าวพลางโบกมือไล่พวกนางสองคน แล้วกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อนไป ข้ามีธุระจะคุยกับฝ่าบาท!”
“เพคะ ฮองเฮา!” ทั้งสองคนถวายความเคารพก้มศีรษะคำนับฮ่องเต้แล้วเดินออกไป
เมื่อออกมาแล้ว หลัวอวี่ก่วนรอหลัวฮองเฮาอยู่ด้านนอก แต่ซูหลินกลับเดินออกจากวังไปโดยทันที
ระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีใครพูดขึ้นมาสักประโยค ขนาดสบตามองกันยังไม่มี
เมื่อทั้งสองคนออกไปแล้ว หลัวฮองเฮาจึงหันไปมองฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร แล้วกล่าวขึ้นว่า “แบบนี้ก็ดี พวกคนบ้านสกุลซูกระทำไม่ดีจนได้เรื่องแบบนี้ เจ้าเด็กนั่นจะได้ไม่ต้องแต่งย้ายไปอยู่โม่เป่ยแล้วสร้างเรื่องอะไรมาอีก”
เดิมทีแล้วฮ่องเต้เองก็รู้สึกไม่ชอบใจที่จวนอ๋องฉางซุ่นกับแคว้นโม่เป่ยเกี่ยวดองกันอยู่แล้ว พูดได้เลยว่าการตายของซูหว่านครั้งนี้เป็นไปตามที่ตนหวังไว้พอดี
“ช่างเถิด!” ฮ่องเต้เผยใบหน้าอ่อนล้าออกมา จากนั้นพูดขึ้นอีกว่า “วันนี้ทั่วป๋าอวิ๋นจีเข้าวังมาเข้าเฝ้าตั้งแต่เช้า บอกว่าจะกลับแคว้นโม่เป่ยวันรุ่งขึ้น ดูท่ากลับไปครั้งนี้จะปล่อยให้นางกลับไปมือเปล่าไม่ได้ สองสามวันนี้เจ้าไม่สบายอยู่ เดี๋ยวไปบอกหรงเฟยแล้วกันว่าเจ้าจะใช้ของอะไรบ้าง แล้วสั่งให้นางไปจัดการให้แทน!”
“เพคะ!” หลัวฮองเฮาพยักหน้า จากนั้นก็ทำหน้าหวาดกลัวขึ้นราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างออก พูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ! ที่หม่อมฉันมาในวันนี้ หม่อมฉันมีเรื่องอยากขอให้ฝ่าบาทช่วยเพคะ!”
ฮ่องเต้ปรายตามองนาง เขารู้อยู่แล้วจึงพูดขึ้นว่า “อี้อันไปจัดการให้ เจ้าวางใจได้เต็มที่ เมื่อวานเพิ่งมีคนส่งข่าวมาบอกว่า เขาพาตัวหมอหลวงไปยังเมืองฉู่แล้ว เขาต้องพาหลัวอี้กลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
หลัวฮองเฮาขอบตาร้อนผ่าว นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าซับที่หางตา แล้วพูดว่า “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!”
“ข้ายังมีสาส์นต้องอ่านอีกหลายฉบับ หากเจ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ก็รีบกลับไปพักเสียเถิด!” ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์
——————————-
บทที่ 99 เป็นข้ารับใช้ของข้า ก็ต้องรักษากฎของข้า (3)
โดย
Ink Stone_Romance
หลัวอี้เป็นพวกคนชอบสร้างผลงานชอบแหกกฎโดยไม่สนสิ่งใด มาวันนี้ก็เพียงเพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรแน่ ฮ่องเต้ถึงได้เห็นแก่หน้าหลัวฮองเฮาเลยยังไม่คิดตัดสินโทษเขา ทั้งยังรับปากยินยอมว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
ถึงแม้หลัวฮองเฮาจะมีเรื่องอยากพูดอยู่อีก แต่เห็นสีหน้าของฮ่องเต้เป็นแบบนี้ สุดท้ายจึงเก็บคำพูดนั้นเอาไว้ ลุกขึ้นทูลลา
เมื่อนางออกไปแล้ว สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งคล้ำลงไปอีก จากนั้นหยิบจดหมายที่เพิ่งได้มาฟาดลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง ด่าออกมาด้วยความโมโห “เดี๋ยวคนนั้นทีคนนี้ที ทำไมมีแต่เรื่องให้ข้าปวดหัว!”
เขาหยุดนิ่งลง ชายตามองหลี่รุ่ยเสียงแล้วถามว่า “ตรวจสอบแล้วรึว่าเจ้าเด็กบ้านสกุลซูคนนั้นก้าวพลาดจนจมน้ำตายจริง?”
“กระหม่อมให้คนไปสืบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงตอบ “เมื่อวานท่านหญิงซูกับคุณหนูหลัวอวี่ก่วนนั่งรถออกไปยังหอยลนทีด้วยกันจริงพ่ะย่ะค่ะ ท่านหญิงซูเป็นคนเหมาจ่ายสถานที่ไว้ ตกกลางคืนมีผู้คนไปมาอยู่ในละแวกนั้นมากโขตอนที่เกิดเรื่องขึ้น ก็มีผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาพบเห็นคนตกน้ำ องครักษ์ของจวนอ๋องฉางซุ่นก็ลงไปตามหาในแม่น้ำทั้งคืน เท่ากับว่าตอนนี้แทบไม่มีความหวังเหลือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้หญิงอย่างซูหว่านนั้น ฮ่องเต้คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีใครที่ไหนวางแผนทำร้ายนาง
ในเมื่อมีพยานอย่างซูหลินและหลัวอวี่ก่วนแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบสาวเรื่องราวต่อ
“งั้นจงใช้ชื่อของข้า นำข่าวร้ายไปแจ้งให้จวนอ๋องฉางซุ่นและทางทั่วป๋าไหวอันทราบเถิด” ฮ่องเต้กล่าว “ส่วนเรื่องพิธีจะทำอย่างไร ก็ให้สองฝั่งนั้นเขาปรึกษากันเอง อย่าเอาเรื่องนี้มาทำให้ข้าวุ่นวายอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรับราชโองการแล้วเดินออกไปอย่างรีบร้อน
—————————————————–
ณ จวนอ๋องหนานเหอ
หลังจากแต่งงานมาได้สามวัน ฉู่หลิงอวิ้นกลับจวนมาเยี่ยมครอบครัว
รถม้าของจวนติ้งเป่ยโหวค่อยๆ ทยอยเคลื่อนเข้ามาในตรอกที่จวนอ๋องหนานเหอตั้งอยู่ตั้งแต่เช้า
ฉู่หลิงอวิ้นเดินลงจากรถโดยมีสาวใช้คอยช่วยพยุงอยู่สองคน
ด้านหลังรถ จางอวิ๋นเจี่ยนก็โดนข้ารับใช้ลากตัวลงมาด้วย
เขายังคงไม่ได้สติ ดูแล้วยังมึนๆ งงๆ อยู่ ไม่ทักทายผู้คนไม่เอ่ยพูดคำใด บางครั้งยังโหวกเหวกโวยวายทำตัวเหมือนเด็กเจ็ดแปดขวบ
ฉู่หลิงอวิ้นเดินเข้าประตูไปโดยที่ไม่แยแสเขาเลยสักนิด
ฉู้อี้หมินไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงตอบรับคำเชื้อเชิญออกจากจวนไปตามเวลานัดตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อตั้งใจหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้
การที่งานแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ รวมถึงเหตุการณ์บ้านเมืองที่ไม่สงบช่วงหลายวันมานี้ ทำให้พิธีการกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเรียบง่ายขึ้น ถึงขนาดไม่มีป้ายประกาศติดเลยด้วยซ้ำ
ฉู่หลิงอวิ้นเข้าไปยังเรือนหลักพูดคุยกับคนแซ่เจิ้งชายาเอกแห่งจวนอ๋องหนานเหอ จากนั้นคนแซ่เจิ้งก็จูงมือนางไป อดไม่ได้ที่จะเสียใจร้องไห้ออกมา พูดปลอบใจไม่หยุด
ฉู่หลิงอวิ้นนั่งฟังหน้านิ่งเฉย รู้สึกรำคาญที่นางเอาแต่พูดไร้สาระแบบนี้ เมื่อคิดว่าได้เวลาพอสมควรแล้วก็หันไปมองท้องฟ้าด้านนอก แล้วกล่าวว่า “ฉีเหยียนไม่สบายหรือเจ้าคะ? ตอนนี้ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหารกลางวัน เดี๋ยวข้าไปหาเขาก่อนนะเจ้าคะ”
“ก็ดีนะ!” คนแซ่เจิ้งผงกหัว ยิ้มออกมาราวกับไม่มีความสามารถที่จะช่วยนางได้ พลางกุมมือของนางเอาไว้แน่น
ฉู่หลิงอวิ้นลุกขึ้นออกไปพร้อมกับสาวใช้อีกสองคน คนแซ่เจิ้งมองแผ่นหลังของนางเดินจากไป แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พระชายาเอกกังวลว่าท่านหญิงจะคิดไม่ได้สักทีหรือเจ้าคะ? ดูท่าทางนางตอนนี้ ท่านเองก็น่าจะวางใจได้แล้วนะเจ้าคะ!” แม่นมกู้ยื่นน้ำชามาให้พลางพูดปลอบ
คนแซ่เจิ้งรับน้ำชามาจิบหนึ่งคำ แต่ก็พูดออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าไม่เข้าใจหรอก! แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ข้าจะสบายใจกว่านี้หากนางร้องไห้โวยวายเหมือนที่ผ่านมา ตอนนี้เห็นนางไม่สนใจตัวเองแบบนี้ ข้ากลับยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ”
เมื่อคิดถึงนิสัยและอารมณ์ของลูกสาวตนตั้งแต่เล็กจนโตแล้ว ใจของคนแซ่เจิ้งก็เต้นแรงยิ่งกว่าเดิม ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ จนสุดท้ายอดไม่ได้ที่จะไปจับมือของแม่นมกู้ แล้วพูดขึ้นอย่างหวาดกลัวว่า “แม่นมกู้ เจ้าว่ามันคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกใช่ไหม?”
เมื่อแม่นมกู้ได้ยินดังนั้น ใจของนางก็เต้นตึกตักไม่หยุด…
ท่านหญิงของตนเองท่านนี้เป็นคนที่มีความคิดมากที่สุด มาในวันนี้นางไม่มีความสุขกับการแต่งงานของตน แต่นางกลับยอมรับอย่างไม่สนใจ ไม่แน่…นางอาจจะวางแผนทำอะไรอยู่ก็เป็นได้
นางคิดแบบนั้น แต่เรื่องนี้แม่นมกู้ไม่กล้าพูดกับคนแซ่เจิ้งต่อหน้า นางเพียงยิ้มปลอบโยน “พระชายาเอกเจ้าคะ ท่านเป็นกังวลมากไปแล้วจึงได้คิดแบบนั้น เรื่องใหญ่แบบนี้ ท่านหญิงของเรารู้จักแยกแยะดี ท่านไม่ต้องคิดมากนะเจ้าคะ”
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้นแล้วกัน!” คนแซ่เจิ้งพึมพำ ถึงแม้จะพูดแบบนั้นก็ตามที แต่อย่างไรก็ยังวางใจไม่ได้
ฉู่หลิงอวิ้นมุ่งตรงไปยังเรือนของฉู่ฉีเหยียน
ก่อนวันที่สิบห้า ฮ่องเต้หยุดออกว่าราชการ ช่วงเวลานั้นแต่ละครัวเรือนต่างฉลองปีใหม่กันอย่างสนุกสนานครึกครื้น ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่จำเป็นต้องเข้าวัง จึงเลื่อนนัดของวันนี้ทั้งหมดโดยอ้างว่าป่วยเลยนอนอยู่บ้าน
ฉู่หลิงอวิ้นเดินก้าวเข้าไปในเรือน
ภายในตัวเรือนนั้นสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่าข้ารับใช้ถูกไล่ออกไปทั้งหมด ไม่เห็นแม้แต่เงาคน
เรือนใหญ่กว้างขวาง มองแล้วรู้สึกเคร่งขรึมสง่างามและวังเวงยิ่งนัก
หลี่หลินที่เฝ้ายามอยู่เห็นนางแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ “ท่านหญิง!”
“อืม!” ฉู่หลิงอวิ้นพยักหน้าให้ หันมองไปรอบด้านด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ “ฉีเหยียนเล่า? คนในเรือนนี้หายไปไหนกันหมด?”
“ซื่อจื่ออยู่ในห้องหนังสือขอรับ” หลี่หลินตอบ แล้วพานางไป “เขาบอกว่าจะคัดหนังสือ ไม่อยากให้พวกข้ารับใช้มารบกวน เลยสั่งข้าให้ไล่คนพวกนั้นกลับไป”
ฉู่หลิงอวิ้นเลิกคิ้วขึ้นสูง สัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างชัดเจน
นางหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองหลี่หลิน “เขาเป็นอะไร?”
“ไม่ได้เป็นอะไรขอรับ!” หลี่หลินตอบพลางก้มหน้าลง เขาหลบสายตาอย่างเห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ยินยอมที่จะพูดถึงเรื่องนี้
ฉู่หลิงอวิ้นไม่ทนถามต่อ นางเปิดประตูห้องหนังสือของฉู่ฉีเหยียนเข้าไปทันที
ภายในห้องหนังสืออบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหมึก หลังโต๊ะด้านในสุดของห้องหนังสือนั้น เห็นฉู่ฉีเหยียนกำลังคัดหนังสืออยู่อย่างเคร่งครัดตามที่คาดไว้ ส่วนบนพื้นก็มีแต่ก้อนกระดาษที่ถูกขยำไว้เต็มไปหมด
เมื่อเท้าของฉู่หลิงอวิ้นก้าวข้ามประตูมาข้างหนึ่ง พลันเห็นเขาขมวดคิ้วแน่นเป็นปม แววตาของนางขยับเล็กน้อย แล้วก้าวเดินเข้ามาต่อ พลางเอื้อมมือไปด้านหลังปิดประตูลง
เดิมทีฉู่ฉีเหยียนกำลังทำสมาธิจรดพู่กันลงไป เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดรบกวน จู่ๆ มือก็ไม่นิ่งทันที
ถึงแม้ตัวอักษรนั้นจะมองไม่เห็นเลยว่ามีตำหนิ แต่เขากลับรู้สึกไม่พึงพอใจ หงุดหงิดจนขยำเป็นก้อนแล้วโยนทิ้ง หยิบกระดาษแผ่นใหม่มาจรดพู่กันลงอีกครั้ง
ก้อนกระดาษลอยไปตกลงบนปลายรองเท้าของฉู่หลิงอวิ้นพอดี
น้องชายของนางคนนี้ นิสัยหนักแน่นเคร่งขรึมมาแต่ไหนแต่ไร เป็นคนที่มีสมาธิใจเย็นที่สุดภายใต้สถานการณ์วุ่นวาย แต่ฉู่ฉีเหยียนผู้ที่หงุดหงิดอารมณ์เสียแบบนี้ ฉู่หลิงอวิ้นก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเหมือนกัน
นางขมวดคิ้วเดินเข้าไปหา แล้วจับข้อมือของเขาไว้ รั้งไม่ให้เขาเขียนต่อ แล้วถามขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้อารมณ์เสียเยี่ยงนี้?”
ฉู่ฉีเหยียนโดนนางห้ามไว้ แต่เขาก็ไม่คิดจะสลัดมือนางออก
แขนเสื้อสะบัดไปโดนแท่นหมึกพอดี ทำให้เลอะน้ำหมึกมาเล็กน้อย
เขาเงยหน้ามองฉู่หลิงอวิ้น จากนั้นยิ้มขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยเหมือนอย่างปกติ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ สะบัดแขนเสื้อ แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่อักษรตัวเดียวยังเขียนให้ดีไม่ได้ ก็เลยรู้สึกหงุดหงิดน่ะ แล้วท่านพี่มาถึงเมื่อไร?”
“มาได้สักพักหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้คุยกับท่านแม่อยู่น่ะ!” ฉู่หลิงอวิ้นตอบ จ้องไปที่เขาด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง แล้วถามเขาว่า “ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าเจ้าไม่สบาย?”
แต่สภาพฉู่ฉีเหยียนตอนนี้ไม่เหมือนเลยสักนิด
“ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เมื่อคืนข้านอนดึก วันนี้เลยรู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็เลยเลื่อนนัดออกไปน่ะ” ฉู่ฉีเหยียนตอบอย่างไม่สนใจ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูแขนเสื้อที่เลอะน้ำหมึกอยู่
ฉู่หลิงอวิ้นมองเขาอย่างสงสัย พูดโพล่งออกไปตรงๆ ว่า “เจ้าคงได้ยินเรื่องของซูหว่านแล้วใช่ไหม?”
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้าอย่างนิ่งเฉย ไม่เผยอารมณ์ใดให้เห็น
ฉู่หลิงอวิ้นสังเกตพฤติกรรมของเขาตลอดเวลา เห็นเขาเป็นแบบนี้ มากน้อยอย่างไรก็รู้สึกโมโหอยู่ดี แล้วจู่ๆ ก็ถามเขาด้วยสีหน้าเย็นชาขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า ตอนที่ซูหว่านเกิดเรื่องตอนนั้น มีคนเห็นเจ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เรื่องซูหว่านนั่น คงไม่ใช่…”
“ท่านพี่คิดไปไกลถึงไหน?” ในที่สุดฉู่ฉีเหยียนก็เงยหน้ามองนาง พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “นางผู้หญิงคนนั้นไม่ควรค่าแก่การที่ข้าลงมือหรอก ข้าไม่ได้ว่างขนาดไปทำเรื่องไร้สาระพวกนั้น”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้าก็ดีแล้ว!” ฉู่หลิงอวิ้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
——————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น