ลิขิตกลกาล 98-104

ตอนที่ 98 รอยเลือด

 

“ฝ่าบาทเพคะ!” หยางอวี้หลิงยื่นมือออกไปคว้าตัวลี่หยวนตี้เอาไว้ “ฝ่าบาท…ฝ่าบาทอย่าไปเลยนะเพคะ…อยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันก่อนได้หรือไม่…” นางใช้คำพูดที่อ่อนโยนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น การร้องขอของหยางอวี้หลิงครั้งนี้ ไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงความรักความโปรดปราณ สิ่งที่นางต้องการในครั้งนี้มีเพียงความรักของลี่หยวนตี้ที่มีให้กับสตรีผู้หนึ่งเท่านั้น


 


 


“ตกลง” ลี่หยวนตี้ประทับลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างเตียงโดยที่มือข้างหนึ่งโอบหยางอวี้หลิง ส่วนมือมืออีกข้างกวักมือเรียกหลี่กงกงเข้ามาแล้วตรัสว่า “มอบหมายคนไปสืบเรื่องนี้ให้ข้า! ว่าวันนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”


 


 


น้ำตา ค่อยๆ ไหลออกจากดวงตาของหยางอวี้หลิงช้าๆ


 


 


“ฝ่าบาท…” หยางอวี้หลิงเอ่ยขึ้นด้วยปากซีดเผือดของนาง “หม่อมฉันไม่ดีเองเพคะ ตอนบ่ายหม่อมฉัน…”


 


 


หัวข้อการสนทนาที่เกี่ยวข้องกับลูกของนางที่อยู่ห่างออกไปแสนไกล


 


 


หยางอวี้หลิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความรักของคนเป็นแม่ของนาง ความรู้สึกของการให้กำเนิด นางยังไม่ทันจะได้ซึมซับความรู้สึกเหล่านี้ ลูกของนางก็จากนางไปเสียแล้ว? อันตรธานหายไป?


 


 


ลี่หยวนตี้ยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาที่กำลังออกมาของหยางอวี้หลิง “อย่าร้องไห้ไปเลย เราสามารถมีลูกกันใหม่ได้ เจ้าพูดถึงตอนบ่าย เกิดอะไรขึ้นตอนบ่ายหรือ? มีเรื่องอะไรหรือ? หลิงเอ๋อร์เจ้ามิต้องกังวล เจ้าบอกกล่าวแก่ข้าได้จะได้ไม่ต้องเก็บเอาไว้ในใจเพียงคนเดียว อีกทั้งจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญไปกว่าทายาทของข้าอีก?”


 


 


“ตอนบ่ายวันนี้ หม่อมฉันสั่งลงโทษสตรีที่มามอบของให้หม่อมฉันคนนั้น นาง…ขัดใจหม่อมฉัน หม่อมฉันทนไม่ไหวจึงอดกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่อยู่ แต่ผลสุดท้ายกลับ…” หยางอวี้หลิงหลับตาทั้งสองข้างของตัวเองลง พยายามที่จะข่มกลั้นไม่ให้ความโกรธแค้นของตนปรากฏออกมาได้


 


 


มุมปากทั้งสองด้านของลี่หยวนตี้หยักขึ้น แต่เพียงชั่วขณะก็หายไปไร้ร่องรอย “ใช่คนของท่านพ่อตาหรือไม่? เหตุใดคนของท่านพ่อตาถึงไม่มีความคิดถึงเพียงนี้? ในเมื่อ…หลิงเอ๋อร์แล้วเช่นนี้เจ้าจะให้ข้าเข้าหน้ากับพ่อของเจ้าได้อย่างไร!”


 


 


“จริงด้วย…” หยางอวี้หลิงหันหน้าเข้ามา “เหตุใดถึงเป็นคนของท่านพ่อได้…”


 


 


“ฝ่าบาท” หลี่กงกงรีบสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากปากประตู แล้วเอ่ยเบาๆ ขึ้นว่า “ฝ่าบาท หยางตาอิ้งขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”


 


 


“หยางตาอิ้ง?” ลี่หยวนตี้ขมวดคิ้ว ราวกับนึกไม่ออกว่าคนผู้นี้คือใคร


 


 


“คนผู้นี้คือ…” หลี่กงกงเอ่ยขึ้น แล้วเตือนอย่างระมัดระวังว่า “คนที่ใต้เท้าหยางส่งตัวให้ท่านเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นน้องสาวไม่แท้ของของหยางกุ้ยเหรินพะย่ะค่ะ…”


 


 


หลี่กงกงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันเบา แต่ในตำหนักที่เงียบสงัดไร้ที่ใดเปรียบเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่เบาเพียงใดก็ถูกขยายขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แน่นอนว่าหยางอวี้หลิงได้ยินการรายงานของหยางกงกงในครั้งนี้ด้วย


 


 


“นางมาด้วยเหตุใดกัน? กลัวว่าที่นี่จะยังไม่วุ่นวายพอหรืออย่างไร?


 


 


“หยางตาอิ้งบอกว่า หยางอวี้หลิงจะอย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกลางดึก ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ควรแวะมาดูสักหน่อย ดังนั้นจึง…”


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ” หยางอวี้หลิงหันหน้ามายิ้มหวานหยดย้อยให้ “ฝ่าบาท ตอนนี้หม่อมฉันก็มิสะดวกที่จะปรณนิบัติพระองค์ ในเมื่อน้องสาวมาถึงที่นี่แล้ว ฝ่าบาททรงออกไปพบนางเถิดเพคะ จะอย่างไรตอนนี้ก็เป็นช่วงกลางดึก หากหนาวจนไม่สบายไปจะทำอย่างไร”


 


 


“แต่…” ลี่หยวนตี้คล้ายยังกังวล “แต่หลิงเอ๋อร์…เฮ้อ เอาล่ะ หมอหลวงหลี่ดูแลหยางกุ้ยเหรินให้ดีด้วย ข้าไปแล้วจะรีบกลับมา”


 


 


“พะย่ะค่ะ น้อมส่งฝ่าบาท”


 


 


“น้อมส่งฝ่าบาท!” ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นทุกคนคุกเข่าลงส่งลี่หยวนตี้


 


 


“พระสนมเพคะ!” ตอนนี้ลี่หยวนตี้ไม่อยู่แล้ว หลิงเซียงจึงไม่จำเป็นต้องรักษากิริยาอีกต่อไป นางรีบเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าเตียง ทำความเคารพแล้วนั่งลงกับพื้น “เป็นเพราะบ่าวไม่ดีเองเจ้าค่ะ บ่าว หากบ่าวสังเกตอาการของพระสนมได้แต่แรก…”


 


 


“เฮอะ” หยางอวี้หลิงแค่นหัวเราะ แล้วพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าผิดที่ไหนกัน คนที่ผิดเป็นข้าต่างหาก”


 


 


ตัวเองกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่โดนโยนทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ตัว อีกทั้งยังมัวแต่มานั่งเสวยสุข ลำพองตนอยู่ตรงนี้อีก!


 


 


ท่านพ่อวางแผนจะตัดหางนางแล้วใช่หรือไม่? หรือว่าเพียงการปฏิบัติตัวไม่รอบคอบของตนในวันงานฉลองวสันตฤดูแค่นั้น อาจจะทำให้เขาไม่พอใจ หรือเรื่องเล็กน้อยเท่านี้จะทำให้ท่านพ่อเมินเฉยต่อนางแล้ว?”


 


 


น่าขันอะไรเช่นนี้! นางมีตำแหน่งอยู่ในวังหลวงแห่งนี้มาตั้งกี่ปีแล้ว คงมิได้จะลองส่งน้องสาว แม่ตาอิ้งอะไรนั่นเข้ามาเพื่อแทนที่ตำแหน่งนางกระมัง?


 


 


หากท่านไม่เมตตาข้า ก็อย่าหาว่าข้าไม่ยุติธรรมก็แล้วกัน!


 


 


“พระสนม…” เมื่อหลิงเซียงเห็นความเคียดแค้นในแววตาของหยางอวี้หลิงดังนั้นใจของนางก็เริ่มเต้นแรง “บางที…ตอนนี้พระสนมอาจจะไม่ควรคิดถึงเรื่องราวหนักใจเหล่านี้อีกแล้ว ตอนนี้การดูแลรักษาร่างกายของตนให้ดีถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า” หลิงเซียงค่อยๆ พยุงหยางอวี้หลิงนอนลงแล้วดึงผ่าห่มขึ้นมาห่มให้


 


 


“ใช่แล้ว ข้าต้องดูแลร่างกายของตนให้ดีก่อน” หากไม่รักษาตัวเองให้หายจะไปจัดการพวกที่เห็นว่าเรื่องของนางเป็นเรื่องตลกได้อย่างไร?


 


 


“พระสนม” เมื่อสบโอกาสหมอหลวงหลี่จึงเอ่ยขึ้น “ตามความเห็นของหม่อมฉัน ตอนนี้พระสนมยังสาว แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับร่างกายมากนัก แต่ก็ต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดี เพื่อแผนการในวันข้างหน้า หม่อมฉันขอแนะนำว่าในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ พระสนมมิควรนอนเตียงเดียวกับฝ่าบาท”


 


 


“หนึ่งเดือนเลยหรือ…” หยางอวี้หลิงทบทวนคำพูดนั้นอีกครั้งหนึ่งเบาๆ “ได้”


 


 


“เช่นนี้แล้ว หม่อมฉันขอตัวไปจัดยาบำรุงให้พระสนมก่อน พระสนมพักผ่อนให้มากๆ หม่อมฉันขอตัวก่อน”


 


 


“ไปเถิด”


 


 


“หม่อมฉันทูลลา”


 


 


พระตำหนักหย่างซิน


 


 


“ฝ่าบาท” นักสืบกำลังคุกเข่ารายงานอยู่ด้านใน


 


 


ลี่หยวนตี้พลิกดูรายงานที่อยู่ในมือของตนพลางอมยิ้มแล้วตรัสว่า “เป็นอย่างไรบ้าง คนผู้นั้นสารภาพออกมาบ้างหรือยัง?”


 


 


“ปากแข็งมากพะย่ะค่ะ แต่จนถึงตอนนี้ก็พอจะสารภาพข้อมูลออกมาบ้างแล้ว”


 


 


“หากปากไม่แข็ง จะถูกส่งตัวเข้ามาในวังได้อย่างไร” ลี่หยวนตี้วางพู่กันในมือลง “นางพูดอะไรบ้าง”


 


 


“ต่างจากที่ฝ่าบาททรงเดาไว้ไม่มาก ตระกูลหยางเริ่มเตรียมการแล้ว”


 


 


“เมื่อใด?”


 


 


“คนผู้นั้นบอกว่าไม่รู้เวลาที่แน่ชัด รู้เพียงว่าภายในสองเดือนนี้”


 


 


“สองเดือนหรือ…” ลี่หยวนตี้ลุกขึ้นยืน เดินเอามือไพล่หลังไปยังหน้าต่าง ผ่านไปเป็นเวลานานจึงตรัสว่า “จำไว้ว่าเตรียมข่าวของหยางอวี้หลิงไว้ให้พร้อม เวลาสองเดือนก็เพียงพอ”


 


 


“พะย่ะค่ะ” นักสืบก้มหน้า “ฝ่าบาท แล้วหยางตาอิ้งเล่า…?”


 


 


“ล้วนเป็นพี่น้องตระกูลหยางด้วยกันทั้งสิ้น ข้าย่อมให้พวกนางไปมาหาสู่กัน มีความเป็นห่วงเป็นใยต่อกันอยู่แล้ว” ลี่หยวนตี้ยิ้ม “อีกทั้งวันนี้ช่วงดึกหยางตาอิ้งยังไม่ลืมที่จะมาเยี่ยมพี่สาว ความมีน้ำใจระหว่างพี่น้องทำให้ข้าตื้นตันใจยิ่ง รับคำสั่งของข้าไปว่าให้มอบรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เพื่อตอบแทนความเป็นห่วงเป็นใยนี้”


 


 


“พะย่ะค่ะ” นักสืบรับคำ


 


 


“ไปได้แล้ว”


 


 


เมื่อนักสืบออกไป ภายในห้องนั้นจึงเหลือแต่ลี่หยวนตี้เพียงผู้เดียว ลี่หยวนตี้ยื่นมือออกไปส่องกับแสงจันทร์ เหม่อลอยอยู่พักหนึ่งจากนั้นจึงดึงมือกลับ


 


 


ในวังหลวงแห่งนี้ สิ่งที่ไม่เคยขาดหายมาก่อนเลยคือมือที่เปื้อนรอยเลือดเช่นนี้ ทุกผู้ทุกคนต่างมิอาจหลีกพ้น


 


 


……


 


 


“หนานกงจวิ้นจู่…” ซูเหลียนอวิ้นมองไปยังผู้ที่กำลังนั่งอยู่ในเรือนของนาง สตรีผู้มีท่าทางเยือกเย็น นางอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ผู้ใดพอจะบอกนางได้บ้างว่าเหตุใดจวิ้นจู่ผู้นี้ถึงได้มาที่เรือนของนางโดยไม่บออกกล่าวนางสักคำ!


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงมีท่าทีกังวลเช่นนั้น?” หนานกงมู่เสวี่ยวางถ้วยน้ำชาในมือลงคล้ายไม่เข้าใจสาเหตุ “ที่นี่มิใช่บ้านของเจ้าหรอกหรือ?”

 

 

 


ตอนที่ 99 ศิษย์พี่ศิษย์น้อง

 

 


 


“ฮ่าๆๆ…” ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้จะพูดอะไรดี ที่นี่คือบ้านของนางและมิผิดนี่คือห้องของนาง! แต่นางมากะทันหันมากเกินไปจนเก็บกวาดข้าวของไม่ทัน ก่อนหน้านั้นซูเหลียนอวิ้นรู้สึกมาตลอดว่าห้องของตนนั้นไม่เลวเลย แต่พอมาดูตอนนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนห้องของนางดูแย่ลงไปหน่อย…


 


 


“ห้องของเจ้าสง่าเรียบง่าย แถมยังไม่มีคนผู้อื่น จึงทำให้ไม่รู้สึกถึงความเอะอะครึกโครม”


 


 


“ใช่แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นนั่งลงตรงกันข้ามกับหนานกงมู่เสวี่ยแล้วก้มหน้าดื่มชาอึกหนึ่ง เพื่อพยายามให้ตัวเองมีอารมณ์ที่สงบลง นี่มันจะเป็นอะไร? ตัวนางยิ่งมีชีวิตอยู่ยิ่งถอยหลังลงคลองเสียแล้ว! เรื่องเล็กๆ แค่นี้ถึงทำให้นางประหม่าได้ถึงขนาดนี้


 


 


“ข้าไม่ชอบให้มีคนมากมายรายล้อม มีคนแค่พอใช้งานก็พอ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมีมากมายอะไร” ซูเหลียนอวิ้นปิดฝาแก้วน้ำชาตัวเองเพื่อหลบเลี่ยงสายตาที่จ้องมาของหนานกงมู่เสวี่ย


 


 


“พูดถูกต้อง” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้ม “ในงานฉลองวสันตฤดูครานั้น ในกลอนของเจ้ากล่าวถึงดอกสาลี่ คงจะเป็นต้นที่อยู่ในลานบ้านของเจ้านี่กระมัง?”


 


 


“ถูกต้อง เป็นต้นนี้เอง ออกดอกไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ?” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ


 


 


“เจ้าเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจมาก” หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยประโยคนี้ขึ้นต่อทันที “ในเมืองหลวงแห่งนี้ สตรีที่ใช้ชีวิตได้เป็นธรรมชาติอย่างเจ้า พบเจอได้น้อยมาก”


 


 


ลูกตาของซูเหลียนอวิ้นกรอกไปมา “ข้าจะถือว่าคูดนี้คือคำชมของเจ้าก็แล้วกัน ฮ่าๆ ในเมื่อยังมีชีวิต อุตส่าห์เกิดมาแล้ว ก็อย่าทำอะไรให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลัง มิเช่นนั้นแล้วตอนตายไปก็คงจะหอบเอาความเสียใจนี้ไปด้วย นั่นน่าเสียดายขนาดไหน”


 


 


ครั้งนี้หนานกงมู่เสวี่ยมิได้ตอบอะไรออกไปแต่เงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ในงานวันฉลองวสันตฤดู ข้าเห็นเจ้าเล่นหมากล้อมได้ไม่เลวเลย เช่นนั้นเจ้ากับข้ามาประลองกันสักกระดานดีหรือไม่?”


 


 


“เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นเกาศีรษะราวกับกำลังรู้สึกละอายใจและประหม่า “อันที่จริง…ฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าไม่ค่อยดีนัก…”


 


 


อย่างน้อยหากเปรียบเทียบกับเจ้าแล้ว จัดได้ว่าน่าอับอายเลยด้วยซ้ำ! ตนไม่อยากต้องขายหน้าอีกแล้ว…


 


 


“เอ๊ะ?” หนานกงมู่เสวี่ยคิดไม่ถึงเลยว่าซูเหลียนอวิ้นจะพูดต่อหน้านางตรงๆ ว่าฝีมือตัวเองไม่ดี ตอนนั้นจึงไม่รู้จะเอ่ยออกไปว่าอะไรดี ในตอนนั้นเองจึงได้แต่หัวเราะออกไปเบาๆ “โธ่เอ๊ย สิ่งที่สำคัญในการเล่นหมากล้อมคือความสนุกสนานเท่านั้น การแพ้ชนะอะไรนั่น ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคน ข้าไม่พูดล้อเรียนเจ้าหรอก”


 


 


“ก็ได้ เช่นนั้นจวิ้นจู่รอสักครู่…ข้าจะไปเอาหมากล้อมมา…” ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกเหมือนว่าเท้าของตนกำลังย่ำไปบนปุยนุ่น นุ่มนิ่มล่องลอย


 


 


ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยยิ้มออกมาจากใจจริง ในอดีตนางเคยเห็นหนานกงมู่เสวี่ยยิ้มอยู่หลายครั้ง ทว่ารอยยิ้มเหล่านั้นเป็นการยิ้มตามมารยาทและห่างเหิน แต่รอยยิ้มที่หนานกงมู่เสวี่ยยิ้มให้นางเมื่อครู่นั้น…สวยงามน่าประทับใจจริงๆ!


 


 


“อ่ะ…จวิ้นจู่…” ซูเหลียนอวิ้นเดินกลับมาอย่างล่องลอย เห็นได้ชัดเจนว่าจิตใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่รอยยิ้มเมื่อครู่นั้น


 


 


“ไม่ต้องเรียกข้าแบบนั้นหรอก” หนานกงมู่เสวี่ยจัดแจงวางหมากให้เรียบร้อย “ตอนนี้มีเพียงข้ากับเจ้าสองคน ดังนั้นพวกเราไม่ต้องไม่สนใจพิธีรีตองว่าใครเป็นจวิ้นจู่หรือไม่”


 


 


“ตกลง!” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอย่างตื่นเต้น หญิงงามอยู่ตรงหน้า อะไรก็ดูจะถูกต้องไปหมด


 


 


ใครให้นางตลอดมามองคนจากใบหน้าแต่อย่างเดียวกันเล่า…เฮ้อ พอนึกถึงต้วนเฉินเซวียน ตอนนั้นก็เป็นเพราะใบหน้าของเขาไม่ใช่หรือที่ทำให้นางลุ่มหลงได้มากถึงขนาดนั้น…


 


 


เดินหมากมาได้ถึงกลางทาง หนานกงมู่เสวี่ยก็เริ่มขมวดคิ้วแน่น


 


 


“ซูเหลียนอวิ้น เจ้ากับต้วนเฉินเซวียนความสัมพันธ์เป็นอย่างไรบ้าง” จู่ๆ หนานกงมู่เสวี่ยก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้น ทำเอาซูเหลียนอวิ้นตกใจเสียจนหมากที่เดินอยู่แทบปลิว


 


 


“อะอะอะไรนะ?” ซูเหลียนอวิ้นกลืนน้ำลาย “พวกเรา พวกเราไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกันเลย…”


 


 


เหตุใดหนานกงมู่เสวี่ยถึงถามนางเช่นนี้! หรือว่าตนแสดงท่าทีอะไรออกไปหรือไม่? เป็นไปไม่ได้กระมัง! ในโลกใบนี้นอกจากท่านอาจารย์แล้ว ยังมีผู้อื่นรู้เรื่องราวของนางด้วยหรือ?


 


 


“ข้าเสียมารยาทเอง” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้มอย่างรู้สึกผิด “บางทีข้าควรจะถามว่าเจ้ากับหรงซู่มีความสัมพันธ์กันเช่นไรมากกว่า”


 


 


ในห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ


 


 


“ข้า…” ซูเหลียนอวิ้นกำหมากในมือเอาไว้ไม่ขยับเขยื้อนราวกับต้องการจะบีบให้แตกคามือ นางจ้องตาทั้งคู่ของหนานกงมู่เสวี่ย นางไม่เข้าใจประโยคนั้น เหตุใดนางถึงพูดอะไรพูดไม่ออก


 


 


“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก็ได้” ผ่านไปเนิ่นนาน หนานกงมู่เสวี่ยจึงเปิดปาก “ตอนนี้หรงซู่อยู่ที่ไหน”


 


 


“เรื่องนี้…” คงต้องกล่าวว่าเมื่อครู่ไม่ว่าหนานกงมู่เสวี่ยจะแสดงออกอย่างเป็นกันเองแค่ไหน แต่ว่าโดยเนื้อแท้แล้วในสายเลือดของนางก็เป็นจวิ้นจู่ที่มีสายเลือดของราชวงศ์ การไม่ยอมให้ผู้อื่นปฏิเสธตนเองถือเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ติดตัวมาของครอบครัวราชวงศ์


 


 


มือทั้งสองข้างของซูเหลียนอวิ้นหดอยู่ใต้โต๊ะ ไม่ใช่ว่านางไม่อยากพูด แต่นางพูดไม่ได้จริงๆ!


 


 


หรงซู่เป็นอาจารย์ของนาง เป็นคนที่นางสนิทมาก ไม่ว่าอย่างไรนางก็มิอาจทรยศเขาได้ อีกทั้ง…ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น ที่ผ่านมาหรงซู่คล้ายกำลังหลบเลี่ยงบางสิ่งมาโดยตลอด แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่นางมั่นใจในเรื่องนี้อย่างแน่นอน บางทีอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับหนานกงมู่เสวี่ยก็เป็นได้?


 


 


“ท่านอาจารย์สบายดี แต่ข้าบอกเจ้าไม่ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นจ้องไปยังดวงตาของหนานกงมู่เสวี่ย


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยไม่คิดเลยว่าซูเหลียนอวิ้นจะปฏิเสธตนเองเสียงแข็งขนาดนี้ ตอนนั้นจึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากต่อว่าอย่างไรดี นิ่งเงียบอยู่นานหนานกงมู่เสวี่ยจึงเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่น่าใกล้ชิดและอบอุ่น “เขาสบายดีหรือ? เช่นนั้นก็ดีแล้ว”


 


 


“เมื่อครู่เจ้าเรียกเขาว่าอย่างไรนะ? ท่านอาจารย์หรือ? เพราะเหตุใด เขารับเจ้าเป็นลูกศิษย์หรือ?”


 


 


“อืม…หรงซู่เป็นอาจารย์ของข้า” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า


 


 


“อย่างนี้เอง” หนานกงมู่เสวี่ยลุกขึ้นแล้วเดินหน้าไปสองสามเก้าราวกับกำลังพยายามจะทำอะไรบางอย่าง ท้ายที่สุดแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ดูแล้วความสัมพันธ์ของพวกเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว เช่นนั้นเขาเคยเอ่ยถึงข้าให้เจ้าฟังหรือไม่…?”


 


 


น้ำเสียงของหนานกงมู่เสวี่ยสั่นไหว นางหันหลังไปเพื่อไม่ให้ซูเหลียนอวิ้นได้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของนาง


 


 


“ไม่เคย…” ซูเหลียนอวิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจเอ่ยความจริงออกไป แต่เมื่อเห็นท่าทางของหนานกงมู่เสวี่ยที่พลันแข็งทื่อก็รีบกล่าวเสริมขึ้นว่า “แต่ว่าท่านอาจารย์ไม่เคยพูดถึงผู้อื่นให้ข้าฟังอยู่แล้ว! หรือจะพูดได้ว่า แม้แต่เรื่องราวของเขา เขาเองก็ไม่ชอบเอ่ยถึงมากนักและก็ไม่ชอบให้ถามด้วย…” เขาไม่ได้พยายามจะปิดบังเรื่องของเจ้า เพราะเรื่องราวของคนอื่นเขาก็ไม่เอ่ยถึง


 


 


“เช่นนี้เองหรือ ข้าเข้าใจแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยหันตัวกลับมาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ นางกลับสู่ท่าทางเช่นเดิมแล้วราวกับว่าท่าทางเปราะบางมิอาจสัมผัสของหนานกงมู่เสวี่ยเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพที่ซูเหลียนอวิ้นตาฝาดไปเองเท่านั้น


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่รู้ความสัมพันธ์ของต้วนเฉินเซวียนและหรงซู่ใช่หรือไม่?”


 


 


“ต้วนเฉินเซวียน?” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เขากับท่านอาจารย์มีความสัมพันธ์ใดข้องเกี่ยวกันด้วยหรือ?” นางไม่เคยได้ยินหรงซู่เอ่ยถึงมาก่อนเลย! ท่านอาจารย์คนทรยศ! มิใช่ว่ามีความสัมพันธ์กับต้วนเฉินเซวียนดีมากแต่มิยอมบอกนางกระมัง?


 


 


“พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน” หนานกงมู่เสวี่ยสำรวจดูความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้น หยุดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อว่า “ข้าเองก็เช่นกัน ข้าเป็นศิษย์น้องของหรงซู่และเป็นศิษย์พี่ของต้วนเฉินเซวียน”


 


 


“ห๊า? เรื่องนี้ข้าไม่เคยรู้เลย…” น่าตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ? คนหนึ่งคือจวิ้นจู่ อีกคนหนึ่งคือคุณชาย และอีกคน…คนที่สันโดษตัดขาดจาดโลกภายนอก? เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน?


 


 


เช่นนี้สามารถอนุมานได้ว่า ฐานะของท่านอาจารย์คงไม่ธรรมดาเลยกระมัง?! เฮ้อ น่าหมั้นไส้ชะมัด คนไม่ธรรมดาเช่นนี้กลับมาคิดเล็กคิดน้อยลูกศิษย์ แม้แต่เงินค่ายาเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ยอม! 

 

 


ตอนที่ 100 นัดพบ

 

“เจ้ามิต้องกังวลจนเกินไป” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้ม “วันนี้ที่ข้ามาก็เพราะพิธีปักปิ่นของเจ้า ส่วนเรื่องของหรงซู่…เป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น ช่างมันเถิด ไม่ต้องพูดถึงแล้ว มา พวกเราคุยเรื่องลำดับในงานพิธีปักปิ่นกันดีกว่า”


 


 


“ตกลง” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแข็งขัน เพราะข่าวเมื่อครู่ทำเอานางประหลาดใจมากทีเดียว ตอนนี้สติของนางยังไม่ได้กลับคืนมาทั้งหมด…ถึงอย่างไรก็พอมีเหตุผลให้เข้าใจได้กระมัง?


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยกับต้วนเฉินเซวียนเป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกัน!


 


 


เอ่อ เช่นนั้นหนานกงมู่เสวี่ยก็จะนับว่าเป็นอาจารย์น้าของตน? เช่นนั้นลำดับของต้วนเฉินเซวียนก็คือ…อาจารย์อา?!


 


 


พระเจ้า! แค่คิดก็ขนลุกแล้ว! เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าชาตินี้ตนกับต้วนเฉินเซวียนจะไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กันอีกแน่นอน ผลสุดท้ายกลายเป็นว่ากลับมีความเกี่ยวข้องกันในโลกลับๆ อีกใบหนึ่ง?


 


 


ไม่ควรมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันแบบนี้เลย!


 


 


ช่างเถิดๆ เรื่องราวที่หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยขึ้นวันนี้ถือว่านางไม่ได้รับรู้ในส่วนนั้นก้แล้วกัน ต้วนเฉินเซวียนเป็นใคร? นางรู้จักด้วยหรือ?


 


 


ถึงอย่างไรวันนี้นางเพียงรับรู้ว่าความสัมพันธ์ของท่านอาจารย์กับหนานกงมู่เสวี่ยนั้นไม่ธรรมดา…ความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา


 


 


ไม่ธรรมดา


 


 


ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นจะถือว่านางไม่รับรู้ก็แล้วกัน


 


 


“โดยรวมแล้วคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เจ้าคล่องแคล่วมากแล้ว ทำได้ดีกว่าข้าในตอนนั้นเสียอีก ในวันงานพิธีจริงขอเพียงเจ้าไม่ตื่นเต้น จะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน” หนานกงมู่เสวี่ยบีบไหล่นางเบาๆ เมื่อครู่นางนั่งโดยเอามือพยุงน้ำหนักไว้จึงทำให้ตอนนี้เกิดอาการปวดเมื่อยไปหมด


 


 


“เอาล่ะ ภาวนาขออย่าให้วันนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก้พอแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม


 


 


ที่นางคล่องแคล่วนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว! เมื่อชาติที่แล้วนางกะว่าจะใช้พิธีปักปิ่นนี้กู้ชื่อเสียงของตัวเองเลยท่องและฝึกฝนทุกอย่างอย่างหนักไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนจำขึ้นใจได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นไม่ว่าจะอยากลืมอย่างไรก็ลืมไม่ลง


 


 


อีกทั้งตอนนี้อันเพ่ยอิงยิ่งเข้มงวดกับนางมากขึ้นเพื่อความสมบูรณ์แบบที่สุด ช่วงนี้ยิ่งลากตัวนางไปไปสอนเกี่ยวกับระเบียบพิธีต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นงานพิธีปักปิ่นน่ะหรือ? สำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้วไม่กระเทือนเลยแม้แต่น้อย


 


 


“เช่นนั้นวันหลังข้าจะมาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าใหม่นะ” หนานกงมู่เสวี่ยลุกขึ้นแล้วจัดกระโปรงของตัวเองจนเรียบร้อย “บางทีครั้งหน้าข้าอาจจะเขียนจดหมายมาถึงเจ้า หรือเจ้ามาที่ตำหนักของข้าก็ได้เหมือนกัน ข้ายินดีต้อนรับเจ้าตลอดเวลา เพราะหากพูดถึงเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกชอบเจ้ามากทีเดียว อีกทั้งเจ้ายัง…” เสียงของหนานกงมู่เสวี่ยค่อยๆ ลดลงราวกับกำลังพูดกับตัวเอง


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วลุกขึ้นเตรียมจะส่งหนานกงมู่เสวี่ย “ได้รับคำชมของจวิ้นจู่เช่นนี้ถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก ข้าย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปฏิเสธ ขอเพียงจวิ้นจู่เชิญข้า ข้าย่อมมิอาจปฏิเสธอย่างแน่นอน”


 


 


“ส่งข้าตรงนี้ก็พอแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยเดินไปถึงด้านหน้าประตูเรือนของซูเหลียนอวิ้นแล้วจึงหยุดลง “อากาศร้อนขนาดนี้ เจ้ารีบกลับเข้าไปพักผ่อนด้านในเถิด ตัวข้าจำทางได้ อีกทั้งข้ามีสาวใช้คอยกางร่มให้ ส่วนตัวเจ้านั้นไม่มี” หนานกงมู่เสวี่ยชี้ไปยังด้านหลังของซูเหลียนอวิ้นพร้อมรอยยิ้ม


 


 


“ตกลง” ซูเหลียนอวิ้นตอบรับด้วยความยินดี เนื่องจากอากาศด้านนอกนั้นร้อนจริงๆ…อยู่ในห้องสบายกว่ามาก ทว่า…ท่าทีเป็นมิตรสนิทสนมของหนานกงมู่เสวี่ยเช่นนี้แถมยังมีท่าทีเป็นห่วงราวกับเป็นพี่สาวที่เป็นห่วงน้องเสียจริงๆ! ช่างเป็นคนที่ทำอะไรก็มิอาจทำใจให้ผู้อื่นปฏิเสธตัวเองได้อย่างแท้จริง


 


 


“จริงด้วย” ขณะที่หนานกงมู่เสวี่ยกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูอยู่นั้น พลันคิดบางสิ่งขึ้นมาได้จึงหันกลับมาแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “หากเจ้าพบหรงซู่อีก…ช่างเถิด ไม่มีอะไร…”


 


 


คำพูดของหนานกงมู่เสวี่ยหยุดลง แม้ว่าเมื่อดูจากท่าทางแล้วนางคล้ายมีอีกหลายสิ่งที่อยากพูดต่อ แต่สุดท้ายเพียงถอนหายใจยาวและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก


 


 


“ข้าจะต้องเอ่ยเรื่องเจ้ากับท่านอาจารย์แน่” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปคว้าปลายเสื้อของหนานกงมู่เสวี่ยไว้ “ข้าจะพูดว่า จวิ้นจู่…อยากจะพบเขา เช่นนี้ได้หรือไม่?”


 


 


น้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เพราะเรื่องราวเช่นนี้ นางเองก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อชาติที่แล้วสิ่งที่นางเคยทำนั้นมากกว่านี้หลายเท่า ดังนั้นความคิดของหนานกงมู่เสวี่ยข้อนี้…นางมองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร!


 


 


มิได้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ หรอกหรือ เพราะถึงอย่างไรในงานพิธีปักปิ่นหนานกงมู่เสวี่ยก็ต้องมาอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นก็เชิญหรงซู่มาร่วมงานด้วยก็จบแล้ว ทุกคนได้เจอหน้ากันก็จบแล้ว?


 


 


กล่าวได้ว่าความคิดของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ง่ายดายมากถึงเพียงนี้!


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยไม่เอ่ยอะไร แต่ก็มิได้ดึงเสื้อของตนคืนจากมือของซูเหลียนอวิ้น


 


 


“เรื่องนั้น อันที่จริงเรื่องนั้นข้าไม่ต้องพูดยังได้! ถึงอย่างไรในวันงานพิธีปักปิ่นวันนั้น ท่านอาจารย์…ก็คงจะมาร่วมด้วย! ถึงเวลานั้นเจ้าอยากพูดอะไรก็ค่อยพูดตอนเจอหน้ากันก็ได้?” คงจะมาร่วมด้วยกระมัง? ซูเหลียนอวิ้นแอบพึมพำในใจ


 


 


อันที่จริงแล้วต้วนเฉินเซวียนกับหรงซู่มีบางส่วนที่คล้ายกันอยู่นั่นก็คือพวกเขาจะทำเรื่องใดๆ ตามแต่ที่ตนปรารถนา ไม่ยอมรับข้อผูกมัดของใคร ไม่แน่ว่าวันนั้นหากอากาศดีเขาอาจจะมา? หรือบางทีวันนั้นลมอาจจะพัดแรงไปหน่อยจนทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น


 


 


“เพราะว่า…ข้าไม่ค่อยเข้าใจ…ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าทั้งสองนัก…พูดไปพูดมาจะกลายเป็นว่าสื่อความผิดไป ถึงตอนนั้นคงวางตัวลำบากทีเดียว!” ดังนั้นเรื่องราวของพวกเจ้าทั้งสองพวกเจ้าก็จัดการเองจะดีกว่า นางอยากเป็นเพียงคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์จากด้านนอก อย่ายื่นมือเข้าไป อย่ายื่นมือเข้าไป


 


 


“แล้วแต่เถิด…” ผ่านไปพักหนึ่ง หนานกงมู่เสวี่ยก็เอ่ยสามคำนี้ออกมาแล้วดึงแขนเสื้อตัวเองกลับจากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินจากไป


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยื่นเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ครุ่นคิดถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดทั้งสามคำนั้นของหนานกงมู่เสวี่ย


 


 


แล้วแต่? นั่นหมายความว่าตกลงแล้วใช่หรือไม่?


 


 


ได้เลย! ดูท่าแล้วช่วงนี้นางเองก็ต้องหมั่นฝึกฝนวิชากระบี่แล้วกระมัง เพราะมีเพียงวิธีนี้ถึงจะมีเหตุผลที่ฟังขึ้นในการไปหาหรงซู่ได้อย่างสบายใจ


 


 


เฮ้อ…จากนั้นก็ต้องมาคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้เขามาที่งานพิธีปักปิ่นของตน


 


 


ณ จวนจิ้งอันโหว


 


 


“หลิวจือ ช่วงนี้คนเฝ้าประตูได้ส่งจดหมายอะไรมาบ้างหรือไม่?” ต้วนเฉินเซวียนกำลังจัดวางกระบี่เล่มนั้นที่ได้มาจากตาเฒ่า แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่ได้ระมัดระวังอะไรมากนัก


 


 


“จดหมายหรือขอรับ?” หลิวจือกระพริบตาปริบๆ “นายท่าน ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยได้อยู่ในจวนเท่าไหร่นัก ข้าไปถามหลินอั้นให้ดีกว่า เพราะเขาทำงานอยู่ที่จวนตลอด ข้าจะไปถามให้ตอนนี้เลย…”


 


 


จดหมาย? หลิวจือเดินไปพลางครุ่นคิดว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้นายท่านถึงได้สนใจเรื่องราวเช่นนี้แล้ว? อีกทั้งหากเป็นเรื่องสำคัญจริง จดหมายจะถูกส่งมาทางคนเฝ้าประตูหรอกหรือ? นั่นจะเป็นการไว้ใจมากเกินไปหน่อยหรือไม่


 


 


“หลินอั้น” หลิวจือตะโกนเรียกด้านหน้าประตูแล้วผลักเข้าไป


 


 


หลินอั้นได้ยินเสียงดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้ววางสมุดบัญชีในมือตัวเองลง เมื่อมองเห็นผู้ที่ผลักประตูเข้ามาจึงเอ่ยว่า “ครั้งหน้าหากท่านจะเข้ามา โปรดเคาะประตูสักหน่อยได้หรือไม่? แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่อย่างน้อยๆ ก็ควรจะเคารพมารยาทพื้นฐานนี้บ้าง ขอบคุณมาก”


 


 


“ข้ามิได้เรียกเจ้าแล้วหรือ เจ้ามิยอมขานรับข้าเอง ข้าเลยผลักประตูเข้ามา” หลิวจือยักไหล่อย่างไม่รู้ไม่ชี้ “อีกอย่างอย่างเจ้าจะไปมีเรื่องอะไรได้ ทำเรื่องไม่ดีอะไรเอาไว้หรือ? ข้าถึงต้องผลักประตูถึงจะเข้ามาได้ คนอย่างเจ้าน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก”


 


 


หลินอั้นเก็บข้าวของบนโต๊ะ ไม่โต้เถียงกับเขาต่อไปอีก มิใช่ว่าเขามิอยากพูดจา แต่เขาขี้เกียจจะเซ้าซี้กับคนตรงหน้าตนมากกว่า 

 

 


ตอนที่ 101 ส่งเทียบเชิญ

 

หลิวจือกลับมิได้สนใจว่าหลินอั้นมีความคิดเห็นอย่างไรกับเขาหรือว่าจะคิดอะไรในใจ เพราะหากมีอะไรในใจก็มาประลองกันสักตั้งไปเลยดีกว่า?


 


 


แต่ถึงอย่างไรหลินอั้นก็เอาชนะเขาไม่ได้อยู่ดีหรือแม้แต่เถียงกันก็เถียงไม่ชนะ


 


 


“เจ้ามาหาข้าถึงที่มีเรื่องอะไรกันแน่? นายท่านมีงานมอบหมายใหม่หรือ?” เมื่อหลินอั้นเก็บของบนโต๊ะเรียบร้อยก็เอ่ยปากถาม


 


 


เพราะหากตอนนี้ไม่เก็บโต๊ะให้เรียบร้อย ยากจะรับประกันได้ว่าผู้อื่นจะไม่ใช้ข้ออ้างที่ทำของของเขาตกว่า ไม่ทันระวังมือตัวเอง แค่หยิบดูผ่านๆ เท่านั้น


 


 


“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร” หลิวจือโบกมือและนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง “นายท่านเพียงต้องการถามว่า ช่วงนี้ที่จวนเรามีจดหมายส่งมาบ้างหรือไม่ หากมีเจ้าก็เอามาให้ข้า เดี๋ยวข้าจะเอาไปให้นายท่าน”


 


 


“จดหมาย? เขียนถึงนายท่านหรือ?” หลินอั้นเลิกคิ้วแล้วย้อนนึกถึงนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงสองสามวันนี้ “เหมือนว่าจะไม่มีจดหมายถึงนายท่านเลยกระมัง? ข้าจำได้ว่าไม่มี อีกอย่างจดหมายถึงนายท่านจะถูกส่งมาทางคนเฝ้าประตูหรือ?”


 


 


หลิวจือพยักหน้า จริงอย่างที่ว่า! หากเป็นเช่นนี้โอกาสที่ความลับจะรั่วไหลมันไม่มากไปหน่อยหรือ?


 


 


ทว่าปัญหาที่นายท่านมอบหมายจะอย่างไรก็ต้องทำให้ถึงที่สุดจึงจะถูก มิฉะนั้นตอนกลับไป เขาไม่รู้ว่าจะรายงานนายท่านว่าอย่างไรดี!


 


 


“เจ้าลองคิดดีๆ” หลิวจือลุกขึ้นยืน สายตาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยการอ้อนวอน “ลองคิดดูอีกทีว่าช่วงนี้มีจดหมายอะไรเข้ามาหรือไม่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีสักฉบับเลยกระมัง? บางทีอาจจะไม่ได้ส่งมาในนามของของนายท่าน แต่อาจจะใช้ชื่อจวนของเราก็เป็นได้!”


 


 


หลินอั้นเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วไปหยุดอยู่ตรงชั้นวางหนังสือ “หากหมายถึงจดหมายอย่างเดียว ช่วงนี้มีเข้ามาไม่น้อยทีเดียว เช่น งานชมดอกไม้แต่งกวี งานชมทะเลสาบอะไรพวกนี้จะค่อนข้างเยอะทีเดียว แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าที่นายท่านให้เจ้ามาหาคือจดหมายเหล่านี้?” หลินอันหยิบกองจดหมายลงมา “เจ้าดูเอาเองเถิด ข้ายังแยกไม่เสร็จหรือว่าเจ้าจะเอาไปหมดเลยก็ได้ แต่จำเอาไว้ว่าอย่าลืมเอาไปส่งให้แต่ละคนด้วยล่ะ”


 


 


หลิวจือเกาหัว เอากลับไปหมดเลยหรือ? ช่างมันก็ได้กระมัง จดหมายเยอะแยะขนาดนี้จะให้แยกแล้วส่งให้แต่ละคนด้วยตัวเองงั้นหรือ? เฮ้อ ทำงานหนักตอนนี้เสียเลยดีกว่า เลือกไปให้นายท่านเลยจะดีกว่า


 


 


“นายท่านไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรหน่อยหรือ?” หลินอั้นรวบชุดแล้วนั่งลงบนโต๊ะหนังสือด้านข้าง จากนั้นก็รินน้ำชาให้ตนเองอย่างพอใจพลางเฝ้ามองดูหลิวจือคุ้ยกองจดหมายด้วยความคับข้องใจจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “เจ้าเอากลับไปหมดเลยเถิด ดีกว่าถึงตอนนั้นมารู้ทีหลังว่าตัวเองหยิบผิดไปหรือไม่ก็ไม่ได้หยิบอะไรไปเลย สุดท้ายก็ต้องกลับมาหาข้าอีก”


 


 


“ไม่ได้บอกอะไรเลย…” เมื่อหลิวจือหันหน้ามามองก็เห็นท่าทางสาแก่ใจของหลินอั้นแถมยังนั่งสั่นขาอย่างสบายอกสบายใจ เขาจึงอยากจะเข้าไปชกหน้าสักสองที แต่ว่าตอนนี้ธุระของตนยังจัดการไม่เสร็จ ดังนั้นจึงต้องพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน


 


 


“นายท่านบอกเพียงให้ข้ามาหาจดหมาย…ส่วนคำพูดอื่นมากกว่านี้ไม่ได้พูดแล้ว!” หลิวจือไม่สบอารมณ์ นายท่านไม่เอาคนอย่างเจ้าไปไหนมาไหนด้วยหรอก! พูดจาครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้!


 


 


หลินอั้นเงียบไป ตอนนี้ในใจของเขากำลังครุ่นคิดว่าการกระทำเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนหมายความว่าอย่างไร ถึงกับให้หลิวจือมาหาจดหมายด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าความสำคัญของเรื่องนี้คงจะไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


ท่าทางกระสับกระส่ายว้าวุ่นของของหลิวจือทำให้หลินอั้นไม่มีสมาธิในการครุ่นคิด หลินอั้นจึงอดไม่ได้เอ่ยปากขึ้นว่า “เอาล่ะ เจ้ากลับไปรายงานนายท่านเถิด บอกว่าไม่มีจดหมายที่เขียนมาถึงนายท่าน เพราะว่าบางทีจดหมายฉบับนั้นอาจจะยังส่งมาไม่ถึง หากมีเบาะแสใดหรือว่ามีจดหมายมาถึง ตอนนั้นข้าจะนำไปให้นายท่านด้วยตัวเอง”


 


 


“อืม เช่นนั้นก็ได้ เรื่องนี้ฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน” หลิวจือพยักหน้า ถึงอย่างไรตัวเขาเองก็มิได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะแม้ว่าหากได้รับจดหมายแล้วจะอย่างไร? ถึงอย่างไรตัวเขาก็ดูไม่ได้อยู่ดี! ทำได้แค่จับซองจดหมายด้านนอกเท่านั้น!


 


 


แต่ตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้ลดลงแล้ว หากเป็นเช่นนี้มิสู้ให้เขาไม่รู้เรื่องใดๆ เลยแต่แรกจะดีกว่า!


 


 


……


 


 


ต้วนเฉินเซวียนยื่นมือออกไปลูบฝักกระบี่เล่มนั้น ฝักกระบี่เย็นยะเยือกคล้ายน้ำแข็ง ความเย็นเฉียบของกระบี่นี้ราวกับเพิ่งถูกนำออกมาจากห้องเก็บน้ำแข็งก็ไม่ปาน แม้ว่าอากาศในห้องตอนนี้จะไม่ได้ร้อนมากนัก แต่ก็ไม่ได้เย็นมากถึงขั้นนั้นกระมัง?


 


 


เมื่อดึงกระบี่ออกมา ที่ด้ามจับมีตัวอักษรสลักเอาไว้สองตัว


 


 


จิ้งหว่าน


 


 


นี่จึงเป็นกระบี่คู่ใจขององค์หญิงจิ้งหว่านอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังเป็นกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่ง ตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความคิดของต้วนเฉินเซวียน เขาถึงเกิดความรู้สึกไม่อยากมอบกระบี่เล่มนี้ให้กับซูเหลียนอวิ้นแล้ว


 


 


เหตุผลกลับมิได้เป็นเพราะว่าทำใจให้ไม่ได้หรืออย่างไร แต่เป็นเพราะว่าเขาเกิดความรู้สึกกลัวกระบี่เล่มนี้ขึ้นมาอย่างยากจะอธิบายได้


 


 


วันแรกที่นำกระบี่เล่มนี้กลับมาเขายังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า กระบี่เล่มนี้ก็ยิ่งเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่ได้เป็นความเย็นโดยเนื้อแท้เพียงเท่านั้น แต่เป็นความเย็นประเภทที่ทำให้คนรู้สึกหนาวสะท้านมาจากข้างใน


 


 


ต้วนเฉินเซวียนสะบัดศีรษะของตนเพื่อพยายามที่จะสลัดความคิดไร้สาระของตนออกไป จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้กระบี่เล่มนั้นอย่างดูแคลน ก็เป็นเพียงกระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้น ช่วงนี้ตนคงคิดมากเกินไป


 


 


“นายท่าน!” ครั้งนี้หลิวจือเคาะประตู “นายท่าน ข้ากำลังจะเข้าไปด้านในแล้วนะขอรับ”


 


 


“จะเข้าก็เข้า จะเคาะประตูทำไมกัน” ต้วนเฉินเซวียนน้ำกระบี่เล่มนั้นเก็บไว้ด้านในตู้ใบหนึ่งและไม่สนใจมันอีก จากนั้นจึงหันไปหาหลิวจือแล้วเอ่ยว่า “เจ้าตะเบ็งเสียงดังขนาดนั้น เจ้าคิดว่ายังต้องเคาะประตูอีกหรือ? อีกอย่างที่ข้าให้เจ้าไปหาของเล่า? หาเจอหรือไม่”


 


 


ตอนแรกหลิวจือยืดตัวตรงพยักหน้างกๆ พลางคิดว่า ความคิดของผู้ยิ่งใหญ่ย่อมคล้ายคลึงกัน ถูกต้องแล้ว ยังคงเป็นนายท่านที่เข้าใจตนมากกว่า มีแต่ชายอายุมากพวกนั้นที่วันๆ ไม่รู้เอาแต่เรียนอะไรพวกนั้นไปทำไม


 


 


ทว่าเพียงเสี้ยวนาทีถัดมากลับค้อมตัวลงอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยเสียงอ่อยว่า “นายท่าน…ข้าหาไม่เจอ…จดหมายที่เขียนมาถึงท่านเลย แต่ช่วงนี้จดหมายที่เขียนมาถึงจวนของเรากลับมีไม่น้อย!”


 


 


“เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่านายท่านต้องการฉบับไหน ก็เลยไม่ได้นำกลับมา”


 


 


“เจ้าบอกว่าไม่มีหรือ?” ต้วนเฉินเซวียนได้ยินเพียงครึ่งประโยคแรกก็หรี่ตาลงอย่างร้ายกาจ “ไม่มีจดหมายมาถึงข้าหรือ?”


 


 


เขาคงไม่ได้จำผิดไปเองกระมัง? พิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้นเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว ในเวลานี้จดหมายเชิญต่างๆ คงจะถูกแจกจ่ายไปตามจวนต่างๆ หมดแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่า ไม่มีจดหมายเชิญมาถึงเขา?


 


 


ดี ดีมาก ต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้เริ่มควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ไม่อยู่


 


 


มันคู่ควรแล้วหรือกับคนที่อุตส่าห์ลงแรงไปเลือกของขวัญสำหรับพิธีปักปิ่นให้ ผลสุดท้ายของเรื่องทั้งหมดกลับกลายเป็นว่านางไม่ได้เชิญเขา? เช่นนั้นสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมด เป็นเรื่องตลกงั้นหรือ?


 


 


“นาย นายท่าน” หลิวจือเริ่มเห็นท่าไม่ดี แต่ยังคงทำใจดีสู้เสือเอ่ยปากออกไปว่า “นายท่านขอรับ แต่หลินอั้นตั้งข้อสังเกตกับข้าไว้ว่า…จดหมายที่นายท่านหาอยู่นั้น นายท่านแน่ใจหรือไม่ว่าเป็นจดหมายที่ระบุชื่อนายท่าน? บางทีอีกฝ่ายอาจจะส่งจดหมายมาในนามของชื่อจวนก็เป็นได้…ดังนั้น…”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเหลือบไปมองหลิวจือ คนรับใช้ที่โง่เขลาเช่นนี้ ตอนนั้นเขาเลือกมาได้อย่างไร? จะพูดให้มันจบๆ ไปทีเดียวเลยไม่ได้หรือ? เขายังนึกว่า…


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปดูจดหมายพวกนั้นอีกครั้งหนึ่งแล้วค่อยกลับมา! หากเจ้าหาจดหมายฉบับที่ข้าต้องการไม่เจอ…หลิวจือ เจ้าคงต้องกลับไปทบทวนความสามารถของเจ้าดูใหม่แล้วล่ะ” 

 

 


ตอนที่ 102 เลื่อนขั้น

 

 


 


“ขอรับ…นายท่าน” หลิวจือลากเท้าหนักๆ ของตัวเองเดินออกจากห้องไป เมื่อเงยหน้ามองฟ้าจึงพบว่าพระอาทิตย์คล้อยต่ำถึงกลางภูเขาแล้ว เห็นดังนั้นน้ำตาของเขาคล้ายจะไหลออกมา


 


 


เมื่อครู่นี้ตนทำอะไรลงไป! เขาทำผิดหรือว่าทำถูกแล้วกันแน่? ผู้ใดช่วยคลายข้อข้องใจนี้ของเขาได้บ้าง!


 


 


เมื่อครู่อารมณ์เดือดดาลของนายท่านคลายไปหมดแล้วมิใช่หรือ แต่ทำไมผู้ที่ได้รับการลงโทษถึงกลายเป็นเขาได้?


 


 


เวลาโมโหก็ตัวเขา เวลาไม่โมโหแต่ได้รับบาดเจ็บมาก็เป็นเขา นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวจือรู้สึกว่าชะตาชีวิตของตัวเองช่างขมขื่นนัก


 


 


……


 


 


ณ จวนตระกูลหยาง


 


 


“หลิ่นอี้ เจ้าว่าอะไรนะ?! เจ้ารายงานให้ข้าฟังอีกสักรอบ?” น้ำเสียงโกรธกริ้วของหยางเกิ่งรั่งสะท้อนออกมาจากด้านในห้อง


 


 


“ใต้เท้า สิ่งที่ข้าน้อยรายงานล้วนเป็นความจริงอย่างแน่นอน” หลิ่นอี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ใต้เท้าจากการรายงานของสายสืบในวัง พระสนมแท้งบุตรแล้วจริงๆ ขอรับ”


 


 


“พวกสวะ!” มือของหยางเกิ่งรั่งกวาดหนังสือที่อยู่บนโต๊ะตกระเนระนาดไปกองอยู่บนพื้น ตอนนี้สีหน้าของเขาถมึงทึง “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”


 


 


อย่าบอกนะว่าเป็นความบังเอิญ! ในสถานที่เช่นวังหลวงทุกเรื่องราวมีโอกาสเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่เรื่องบังเอิญน่ะหรือ? เป็นเรื่องที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้น


 


 


หลิ่นอี้ยิ่งก้มหน้างุดแล้วเอ่ยว่า “จากรายงานระบุว่าผู้ที่ใต้เท้าส่งตัวไปมอบของให้พระสนมในวันนั้นไปขัดใจพระสนมเข้า…ทำให้พระสนมโมโหเป็นอย่างมากจึงกระทบถึงเด็กในครรภ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระสนมแท้งบุตร”


 


 


หยางเกิ่งรั่งสูดหายใจเข้าลึก “นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่?” คนของเขาเองที่ทำให้ลูกสาวของเขาต้องแท้งลูกหรือ? หากพูดเรื่องนี้ออกไปคงทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน! แต่หากไม่มีเหตุผลอื่น ไม่มีผู้มาเป็นแพะแทน ด้วยเหตุผลนี้เขาคงทำได้เพียงกัดฟันและกล้ำกลืนความขมขื่นลงไป


 


 


“ยังหา…ไม่พบ” หลิ่นอี้เอ่ยอย่างลังเล “จากการให้การของสายลับ วันนั้นพระสนมถูกขัดใจจนอารมณ์เดือดดาลพลุ่งพล่านอย่างแน่นอน คนในพระราชวังต่างเป็นพยานได้ ด้วยเหตุนี้จึง…”


 


 


“ไม่ต้องพูดแล้ว” หยางเกิ่งรั่งเอ่ยขัดคำพูดที่หลิ่นอี้กำลังจะรายงานต่ออย่างไม่แยแส “ตอนนี้พระสนมเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


ผู้ที่หมกหมุ่นอยู่กับเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วเป็นผู้ที่ไร้ค่าที่สุด เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เรื่องราวก็เกิดขึ้นไปแล้ว หากยังคงไล่หาความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วจะไปมีประโยชน์อะไร? เด็กผู้นั้นก็ตายไปแล้ว อีกทั้งผ่านมาตั้งหลายวันขนาดนี้ หลักฐานต่างๆ ก็คงจะถูกทำลายทิ้งไปเกือบหมดแล้ว เช่นนั้นแล้วมิสู้คิดหาวิธีใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดจะดีกว่า


 


 


เช่นนี้แล้วหลานของเขาจะได้ไม่ตายไปฟรีๆ


 


 


“พระสนมยังสาว ขอเพียงบำรุงร่างกายสักหน่อยก็หายดี แต่ว่า…”


 


 


“แต่ว่าอะไร?” หยางเกิ่งรั่งก้มลงมองผู้ที่นั่งอยู่กับพื้นตรงหน้าเขา “ยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีกหรือ?”


 


 


“แต่ได้ยินมาว่าด้วยเรื่องนี้ ทำให้เกิดผลกระทบอย่างมาก ร่างกายสามารถรักษาให้หายได้โดยเร็ว แต่จิตใจ…ตามที่หมอหลวงรายงานคือต้องใช้เวลาอีกสักช่วงระยะเวลาหนึ่งถึงจะดีขึ้น”


 


 


เมื่อหยางเกิ่งรั่งได้ยินดังนั้น หว่างคิ้วของเขาก็ปรากฏอาการไม่สบอารมณ์


 


 


จิตใจ? สิ่งนี้คืออะไรหรือ? ลูกสาวโง่ผู้นั้นทำไมถึงไม่คิดใช้โอกาสนี้ทำให้ลี่หยวนตี้สงสารนางและปกป้องนางเพื่อจะได้กุมหัวใจของลี่หยวนตี้มากยิ่งขึ้น แต่นี่กลับมัวแต่นั่งทุกข์ใจอยู่? สภาพจิตใจงั้นหรือ?


 


 


อวัยวะเช่นหัวใจนี้มีประโยชน์อะไรกัน? หากทำได้เพียงโศกเศร้าและตรอมใจ มิสู้รีบจับตัวคนที่แอบทำร้ายตนมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยโศกเศร้าก็ยังไม่สาย เพราะหากรอจนความโศกเศร้าหมดไปแล้ว จิตใจกลับสู้สภาพปกติแล้ว เกรงว่าเวลานั้นความรู้สึกสำนึกผิดของลี่หยวนตี้ที่เดิมก็เกิดขึ้นไม่ง่ายอยู่แล้วนั้น คงจะถูกกลืนจนหายไปหมดจนไม่เหลือกระมัง?


 


 


หยางเกิ่งรั่งยิ้มเยาะ เขาเป็นลูกผู้ชายดังนั้นย่อมเข้าใจดีว่าความคิดของลูกผู้ชายเป็นอย่างไร


 


 


สตรีสามารถอ่อนแอและสามารถออดอ้อนออเซาะได้ แต่ต้องทำอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ส่วนสตรีที่ชอบแสร้งทำว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งกลับเป็นสตรีที่บุรุษไม่โปรดปรานเป็นที่สุด


 


 


ด้วยเหตุนี้พฤติกรรมของหยางอวี้หลิงในตอนนี้ หยางเกิ่งรั่งสามารถเดาออกได้ถึงแปดเก้าส่วนจากสิบส่วน ตอนนี้นางคงแค้นใจที่ลี่หยวนตี้ปกป้องนางได้ไม่ดีมากพอ ทั้งยังโกรธผู้เป็นบิดาคนนี้ด้วยที่ส่งคนให้นำของไปให้นางในวันนั้น


 


 


เพราะหากวันนั้นตนไม่ได้ส่งของที่ไม่จำเป็นเหล่านั้นไปให้ บางทีการแท้งในครั้งนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น?


 


 


ความคิดที่น่าขันสิ้นดี ในวังหลวงแห่งนี้หากมีคนที่มีใจอยากทำร้ายเรา เขาก็สามารถใช้เหตุผลมากมายมาอ้างได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นในครั้งนี้จัดได้ว่าเป็นวิธีการที่ล้ำเลิศมากวิธีหนึ่งก็เท่านั้น


 


 


“นายท่านขอรับ?” หลิ่นอี้นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าหยางเกิ่งรั่งไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับตนต่อจึงเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรจัดการอย่างไร…กับพระสนมดีขอรับ?”


 


 


“มิจำเป็นต้องสืบหาความจริงอะไรต่ออีก” หยางเกิ่งรั่งเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


เขาเป็นบิดาแท้ๆ ของหยางอวี้หลิง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้จักเนื้อแท้ของนางดีเท่าเขาอีกแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน หากมีผู้ใดมาขัดขวางเส้นทางของพวกเขาหรือว่าลงมือทำร้ายพวกเขา ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่มีเจตนา ในใจของพวกเขาล้วนจะอาฆาตแค้นคนผู้นั้นอย่างถึงที่สุด


 


 


ปมปัญหานี้ ถือว่าได้บทสรุปเรียบร้อยแล้ว


 


 


“ให้คนไปส่งข่าวแก่หยางอวี้หลิง บอกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราแม้แต่น้อย ส่วนประเด็นที่ว่านางจะเชื่อหรือไม่นั้น นั่นมิใช่ปัญหาที่พวกเราจะสามารถคาดการณ์ได้” น้ำเสียงของหยางเกิ่งรั่งเย็นยะเยือก ตอนนี้แม้แต่คำว่าพระสนมเขาก็ยังไม่ยอมเรียก เขาเพียงเรียกนางว่าหยางอวี้หลิง คนผู้ที่เขาเอ่ยถึงราวกับไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของตน แต่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น


 


 


“หากนางทำเรื่องโง่ๆ ก็อย่าให้มาเกี่ยวข้องถึงพวกเรา ในเมื่อนางอยากแก้ปัญหาที่ไม่มีค่าอะไรเช่นนี้ก็ปล่อยให้นางหาทางแก้ไปคนเดียว หากนางป่วยใจก็เกิดจากตัวนางเอง แต่ว่าสำหรับเรื่องๆ นี้ เจ้าอย่าให้ผู้อื่นใช้โอกาสนี้สร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเราได้” เพราะไม่ว่าจะอย่างไรหยางอวี้หลิงก็เป็นคนของตระกูลหยาง ต่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนจะหมางเมินห่างเหินกันอย่างไร แต่ในสายตาของคนนอกแล้ว พวกเขายังถือว่าเป็นพวกเดียวกัน


 


 


คนหนึ่งรุ่งทุกคนรุ่งโรจน์ คนหนึ่งร่วงทุกคนล่มสลาย


 


 


ตอนนี้หยางเกิ่งรั่งกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าความคิดของหยางอวี้หลิง เมื่อได้รับการยุยงจากคนบางคนเข้าแล้วจะหันกลับมาโจมตีตนเองเข้าสักวัน


 


 


ครั้งแรกที่หยางเกิ่งรั่งรู้สึกผิดนั้นเป็นเพราะว่าความคิดตื้นเขินของเขาที่เลือกจะส่งหยางอวี้หลิงเข้าวัง หลายปีที่ผ่านมานี้ หากไม่มีหลิงเซียงที่เขาส่งเข้าวังตามไปด้วยคอยเตือนสตินาง หยางอวี้หลิงคงจะสิ้นชีวีจากแผนการโหดเ**้ยมไร้ร่องรอยในวังหลังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว


 


 


ช่างเถิด ต่อให้ไม่มีหยางอวี้หลิง เขาก็ยังมีคนอื่นๆ อีก


 


 


“ตอนนี้ลูกสาวขอท่านน้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ในหัวของหยางเกิ่งรั่งเริ่มนึกไปถึงเด็กสาวผู้นั้นที่เขาเพิ่งส่งเข้าวังไปล่าสุด แม้ว่ารูปลักษณ์จะเทียบหยางอวี้หลิงไม่ติด แต่ว่าสมองของนาง…กลับทิ้งห่างกับของหยางอวี้หลิงไม่รู้กี่ช่วงต่อกี่ช่วงถนน!


 


 


“ตามรายงานคุณหนูผู้นั้นเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่สาวเป็นอย่างมาก ทั้งยังกังวลว่าลี่หยวนตี้จะเสียใจมากจนเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงอยู่เป็นเพื่อนลี่หยวนตี้ตลอดเวลาเพื่อคอยปลอบประโลมจิตใจของลี่หยวนตี้…” คำพูดของหลิ่นอี้ไม่เปิดเผยมากนัก แต่กลับแสดงความหมายออกมาจนหมดสิ้น


 


 


ลูกสาวของท่านน้าผู้นี้ ได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

 


ตอนที่ 103 นุ่น

 

“อวิ้นเอ๋อร์” อันเพ่ยอิงเปิดประตูห้องซูเหลียนอวิ้นเข้ามาในช่วงยามเหม่า “มิต้องตื่นเต้น ทำตัวให้สบายๆ ก็พอ”


 


 


“ท่านแม่ ลูก…ลูกไม่ตื่นเต้นเจ้าค่ะ” ไม่ตื่นเต้นก็แปลกแล้ว! วันนี้เป็นวันงานพิธีปักปิ่นของนาง แต่ทำไมนางถึงรู้สึกว่าหนังตาของตนเต้นตุบๆ อยู่ตลอด?


 


 


คงมิได้กำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีกกระมัง?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมิได้กลัวเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรวันมงคลเช่นนี้ หากโดนพวกหนอนพวกแมลงทำลายบรรยากาศเข้า แค่คิดนางก็เริ่มรู้สึกเข็ดขยาด


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ แม่ให้คนครัวต้มข้าวต้มไว้ให้เจ้าแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าอย่าลืมไปกินด้วยล่ะ แต่อย่ากินมากจนเกินไป” อันเพ่ยอิงยื่นมือออกไปที่คอเสื้อของซูเหลียนอวิ้นแล้วจัดความเรียบร้อยให้ “พิธีปักปิ่นใช้เวลาค่อนข้างนาน เมื่อถึงเวลาเจ้าต้องคอยตามแม่ไปทักทายแขกที่มางาน หากเจ้ากินมากจนเกินไป…แม่เกรงว่าพอถึงเวลานั้น”


 


 


“ท่านแม่ ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขัดอันเพ่ยอิง นางไม่อยากทนฟังต่ออีก หากเมื่อถึงเวลาจริงแล้วเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นล่ะก็ ซูเหลียนอวิ้นคิดว่านางคงต้องสละชีพเพื่อขอขมาเรื่องนี้! ต่อหน้าคนตั้งมากมายขนาดนั้นจะให้คอยเทียวไปเทียวมาเข้าห้องน้ำอยู่ตลอดหรือ?


 


 


ดียิ่ง ตอนนี้นางไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย


 


 


“เดิมลูกก็ไม่ค่อยหิวอยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องกินรองท้องสักหน่อย แค่ข้าวต้มก็พอแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ท่านแม่คอยตามกำกับเช่นนี้ ลูกพลอยเริ่มกังวลขึ้นมาด้วยแล้ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหันตัวไปจ้องมองเงาของดรุณีน้อยที่สะท้อนอยู่ในกระจก นางตั้งใจแต่งหน้าให้ตัวเองบางเบาแบบสตรีวัยเยาว์ เพราะถึงอย่างไรนางก็ต้องสวมใส่ชุดถงจื่อฝู[1]อยู่แล้ว ดังนั้นแต่งให้ดูอ่อนเยาว์หน่อยถึงจะเหมาะสม


 


 


เนื่องจากมีเพียงแต่วิธีนี้เท่านั้นที่พอถึงเวลาสวมชุดจริงในพิธีถึงจะดูโดดเด่นกว่าผู้อื่น


 


 


“เช่นนั้นแม่ก็จะไม่พูดอะไรมากแล้ว อวิ้นเอ๋อร์ ตอนนี้ลูกก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่คงต้องเว้นระยะห่างให้เจ้าบ้างแล้ว” อันเพ่ยอิงมองดูใบหน้างดงามน่าเอ็นดูของซูเหลียนอวิ้นก็ห้ามใจไม่ได้ที่จะยื่นมืออกไปลูบเบาๆ “แม่จะออกไปดูสักหน่อยว่าในงานเลี้ยงยังมีอะไรขาดเหลืออยู่หรือไม่ เมื่อถึงเวลาแม่จะมาเรียกเจ้าเอง”


 


 


“เจ้าค่ะ ท่านแม่ค่อยๆ เดินนะเจ้าคะ”


 


 


เมื่อส่งอันเพ่ยอิงเดินออกไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างเหลืออดแล้วหันไปมองรูปร่างของตัวเองในกระจก “หลีมู่”


 


 


“คุณหนูเรียกบ่าวหรือเจ้าคะ?” หลีมู่ผลักประตูก้าวเข้าไปข้างใน “ชุดของคุณหนูยังมีอะไรขาดเหลืออีกหรือเจ้าคะ?” เมื่อหลีมู่เห็นภาพซูเหลียนอวิ้นยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวล “คุณหนูเจ้าคะ หากมีปัญหาอะไร รีบพูดออกมาตอนนี้เถิดเจ้าค่ะ! หากขืนยังชักช้าอยู่เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์เอานะเจ้าคะ!”


 


 


“ไม่มีอะไร” หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกหลายรอบจึงเอ่ยขึ้น “หลีมู่ เจ้าว่าตอนนี้ข้าต้องใช้นุ่นพวกนั้นแล้วหรือไม่?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกลับลงไปนั่งเท้าคางอยู่บนเก้าอี้พลางครุ่นคิด ไม่ว่าจะใช้วิธีใดล้วนต้องอาศัยเวลาถึงจะเห็นผลทั้งสิ้น ตอนนี้แม้นางจะกินมะละกอทุกวัน แต่ส่วนนั้นของนางก็มิอาจขยายขนาดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว


 


 


ด้วยเหตุนี้นางจำต้องใช้วิธีที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยกระทำ นางต้องคิดหาวิธีอื่น วิธีนั้นก็คือยัดส่วนนั้นให้ใหญ่ขึ้นมา!


 


 


“คุณหนู…แต่คุณหนูบอกเองมิใช่หรือว่า ตอนนี้ต้องสวมชุดถงจื่อฝู หากตอนนี้…นั่นมิเท่ากับเป็นการขัดกับภาพลักษณ์ของชุดถงจื่อฝูหรือ” หลีมู่เอ่ยปากเตือนอย่างระมัดระวัง


 


 


อันที่จริงแล้วตอนนี้ในใจของหลีมู่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หลีมู่เดาว่าเรื่องนี้คงเกิดมาจากการที่นางปากไวเกินไปในวันนั้น ผลสุดท้ายคุณหนูจึงยังจำฝังใจไม่ลืม ในความคิดของหลีมู่นั้นคุณหนูของตนสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ในส่วนของบางจุดนั้น…ไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้!


 


 


อีกอย่างหนึ่งนุ่นสองกองนี้ หลีมู่ยังคิดว่าซูเหลียนอวิ้นเพียงคิดเล่นๆ เท่านั้นคิดไม่ถึงเลยว่าจะอยากใช้จริงๆ! แต่เมื่อใช้แล้ว หากเกอดความผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร…


 


 


อันที่จริงแล้วแม้ว่าโอกาสเกิดจะน้อย แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้


 


 


“หลีมู่ แต่เจ้าลองคิดดูสิ!” ซูเหลียนอวิ้นคลำไปที่หน้าอกตัวเอง แล้วก้มหน้าพลางเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เห็นชัดๆ ว่าตรงนี้มัน…แต่สุดท้ายแล้วพอเปลี่ยนชุดก็จะเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งขึ้นมา ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คงจะดูหลอกตาอยู่ดีมิใช่หรือ”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเกิดความกังวลขึ้นมา สุดท้ายแล้วควรใช้ตอนนี้เลยดีหรือไม่ใช้ดี?


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ เช่นนั้นลองให้บ่าวช่วยคุณหนูรัดให้เลยดีหรือไม่” หลีมู่ตัดสินใจแทนซูเหลียนอวิ้นเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลอื่นใด แต่เป็นเพราะความรู้ใจซูเหลียนอวิ้นดีของหลีมู่ ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นแสดงออกอย่างชัดเจนเพียงนี้แล้ว ต่อให้นางพยายามแนะนำอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์


 


 


อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่าจากการแนะนำของนางจะทำให้ซูเหลียนอวิ้นแอบไปทำจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หากเป็นเช่นนั้นมิสู้ให้ตนช่วยจัดการให้นางให้เรียบร้อยไปเลยไม่ดีกว่าหรือ! ไม่ใช่ว่าพอตนไม่ทันได้สังเกตเห็น พอถึงเวลาก็ต้องคอยมานั่งกังวลอยู่ตลอดเวลา


 


 


กังวลว่านุ่นสองก้อนนั้น จะตกลงมาหรือไม่


 


 


“ดีมากหลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ไม่เสียแรงที่เป็นสาวใช้คนสนิทของข้า เหนือความคาดหมายของข้ามากทีเดียว!”


 


 


หลีมู่ “……”


 


 


คุณหนูจะคิดอย่างไรก็ตามใจเถิด หากคิดจะทำอะไรก็ขอให้อยู่ในสายตาของตนให้ตนได้รับรู้ด้วยก็พอ


 


 


ใช้เวลาไม่นานนัก ซูเหลียนอวิ้นใช้มือของตนจับไปที่ก้อนสองก้อนที่โผล่ออกมาแล้วพยักหน้าอย่างพออกพอใจ “หลีมู่ฝีมือของเจ้าเยี่ยมมาก ดูไม่ออกเลยแถมยังทำได้แน่นหนามากทีเดียว” ความนุ่มนิ่มนี้เวลาใช้มือสัมผัสถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว!


 


 


“คุณหนู!” หลีมู่รีบดึงมือสองข้างนั้นที่กำลังจับเล่นลง “ขืนคุณหนูมัวแต่จับอยู่ หากมันคลายออกมาจะทำอย่างไร! และหากในช่วงงานพิธีมันร่วงลงมาคุณหนูจะทำอย่างไรเล่า!”


 


 


“อ้อ” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ พร้อมก้มหน้ารับความผิด เพราะนี่เป็นปัญหาที่สำคัญมากจริงๆ นางจะไม่จับเล่นอีกแล้ว!


 


 



 


 


“เหลียนอวิ้น!” เสียงหวานๆ ตะโกนเรียกขึ้นจากด้านนอกประตู


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงเรียกจากด้านหน้าประตูก็รีบกลืนข้าวต้มคำนั้นลงไปแล้วตอบรับว่า “เหวินเสี่ยว? ทำไมเจ้ามาเร็วจัง?”


 


 


แม้ว่าวันนี้หลินเหวินเสี่ยวจะเป็นเพื่อนช่วยดำเนินพิธี แต่ก็ยังถือว่ามาเช้ามากอยู่ดี นางมาเช้ากว่าเวลาที่นัดไว้ถึงหนึ่งชั่วยาม


 


 


“ข้าอยู่ที่จวนก็ไม่มีอะไรให้ทำ มิสู้มาอยู่กับเจ้าที่นี่จะดีกว่าจะได้รีบซึมซับบรรยากาศเอาไว้ก่อน เพราะครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของข้าที่เป็นเพื่อนช่วยดำเนินพิธีในงานปักปิ่น ความรู้สึกของข้าก็ต้องตื่นเต้นอยู่บ้าง” หลินเหวินเสี่ยวหัวเราะคิกคัก ทว่าอีกครู่หนึ่งถัดมา นางก็หัวเราะไม่ออก


 


 


หลินเหวินเสี่ยวมองไปยังบริเวณหน้าอกของซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “เหลียนอวิ้น เดือนนี้เจ้ากินอะไรเข้าไปน่ะ! ตรงนี้ของเจ้า…ใหญ่ขึ้นมากไปหน่อยหรือไม่?”


 


 


เมื่อเดือนก่อนยังแบนราบอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงได้นูนขึ้นมามากขนาดนี้!


 


 


หลินเหวินเสี่ยวอดไม่ได้ที่จะใช้มือของตนลองจิ้มสำรวจดู “นี่เป็นของจริงหรือ?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองไปยังมือที่กำลังจิ้มอยู่บริเวณหน้าอกของตัวเอง แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรดี เพราะมันคือของปลอม ความรู้สึกจริงๆ…ร่างกายของนางมิอาจรับรู้ได้ แต่…


 


 


เพื่อให้สมจริงมากที่สุด ซูเหลียนอวิ้นจึงวางชามกระเบื้องในมือของตนลง แล้วนำสองมือกอดหน้าอกตัวเองไว้ จากนั้นจึงเอนกายไปด้านหลังด้วยท่าทางขวยเขิน


 


 


“เหวินเสี่ยว! ทำไมเจ้าถึง!”


 


 


“เอ๊ะ? ขอโทษๆ” หลินเหวินเสี่ยวรีบดึงมือกลับมาไว้ด้านหลัง “ข้าแค่แปลกใจมากไปเท่านั้น เหลียนอวิ้นเจ้าอย่าถือสาข้าเลย…”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ชุดถงจื่อฝู คือชุดจีนโบราณที่ใช้สวมใส่สำหรับเด็ก 

 

 


ตอนที่ 104 หย่วนเนี่ยน

 

 


 


มือทั้งสองข้างของซูเหลียนอวิ้นกอดหน้าอกเอาไว้ และไม่เอ่ยสิ่งใดเป็นเวลาครู่ใหญ่ จากนั้นเสียงอู้อี้ก็ดังขึ้นด้านในห้อง “เหวินเสี่ยว รูปร่างแบบนี้ของข้า…แปลกมากหรือ?”


 


 


หลินเหวินเสี่ยวเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง แต่ยังมีปฏิกิริยาตอบรับกลับมาทันที “ไม่เลย ไม่เลย ดีมากด้วยซ้ำ ถึงอย่างอันนี้ของสตรีใหญ่หน่อยถึงจะดี? เมื่อครู่ข้าแค่แปลกใจมากเกินไปเท่านั้น เจ้าในตอนนี้ดูดีมากแล้ว จริงๆ นะ!” สายตาจริงใจของหลินเหวินเสี่ยวมองไปที่ซูเหลียนอวิ้น แสดงออกถึงความชื่นชมและปลอบประโลมไม่ให้นางเกิดความรู้สึกไม่ดี


 


 


“หรอ” ซูเหลียนอวิ้นตอบรับ


 


 


แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกไม่ดีกับรูปร่างของตัวเองเสียแล้ว นางควรจัดการอย่างไรดี? แม้ว่าเพื่อนสนิทของนางจะบอกว่าดูดีมากแล้ว แต่ซูเหลียนอวิ้นรู้ดีว่า ก้อนสองก้อนนี้ของตนเป็นของปลอม…


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรต่อไปดี เฮ้อ ช่างเถิด ของปลอมก็ของปลอม ผ่านพ้นวันนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน


 


 


“จริงสิ เหลียนอวิ้น อย่ามัวแต่พูดเรื่องนี้เลย มา เจ้ามาดูของที่ข้านำมามอบให้เจ้าสำหรับงานปักปิ่นนี้ดีกว่า ดูว่าเจ้าจะชอบหรือไม่” หลินเหวินเสี่ยวลุกขึ้นยืน หลังจากที่เปิดประตูพาตัวเองเข้ามาก็นำกล่องวางไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง “ข้ารับประกันเลย หากเจ้าเห็นมันแล้วจะต้องชอบมากจนไม่ยอมปล่อยมือเชียวล่ะ!”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม ความคิดของนางในตอนนี้โดนท่าทางน่าเชื่อถือของหลินเหวินเสี่ยวครอบงำไปเสียแล้ว นางจึงอดไม่ได้ที่จะเดาว่าของในกล่องนี้แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่


 


 


สร้อยข้อมือ? กำไล? เครื่องประดับศีรษะ?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพูดในใจกับตัวเอง เพราะว่าเมื่อชาติที่แล้วคนพวกนั้นต่างมอบของเหล่านี้ให้ตน ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพราะในช่วงเวลานี้ของสตรีทุกคนต่างให้ความสำคัญกับการแต่งตัวของตัวเองเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้ของที่นำมามอบในวันพิธีปักปิ่นนี้จึงไม่แตกต่างกันมากนัก


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเปิดฝากล่องออก สิ่งที่อยู่ด้านในคือพัดหยกแบบพับได้อันหนึ่ง


 


 


“พัด?” ซูเหลียนอวิ้นหยิบขึ้นมาพิจารณาดู


 


 


โครงของพัดทำจากหยกเมื่อมือสัมผัสโดนจะรู้สึกเย็น รวมทั้งลวดลายดอกไม้ที่ถูกสลักลงไปก็วิจิตรงดงาม ไม่ว่าจะกล่าวถึงรูปทรงหรือคุณภาพของวัตถุ พัดอันนี้ถือว่าเป็นสิ่งของที่หาได้ยากยิ่ง แต่สำหรับนางแล้วกลับถือว่าเป็นของที่สวยงามแต่ยากจะใช้งานได้จริงมากกว่ากระมัง?


 


 


เนื่องจากสิ่งของจำพวกพัด…แม้ว่าพวกมันจะสวยงาม แต่ก็เป็นสิ่งของที่สามารถใช้ได้ในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวก็คงจะถูกโยนทิ้งไปเช่นเคย


 


 


“เจ้ามีตาหามีแววไม่!” เมื่อหลินเหวินเสี่ยวเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ก็พอเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นจึงใช้สีหน้าต่อว่าว่ามีตาหามีแววและป่วยการที่จะช่วย หลังจากที่มองไปทางซูเหลียนอวิ้นแล้ว นางก็เอามือไปแย่งพัดออกมาจากมือของซูเหลียนอวิ้นแล้วกล่าวว่า “เอามานี่ ข้าจะบอกเจ้าเองว่าพัดอันนี้มีอะไรแตกต่างจากธรรมดา!”


 


 


หลินเหวินเสี่ยวค่อยๆ คลี่พัดออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นำนิ้วโป้งกดไปยังลูกปัดเล็กๆ ที่อยู่ตรงข้อต่อของตัวพัด จากนั้นจึงค่อยๆ ดันมันขึ้นไปด้านหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า


 


 


“ด้านในพัดนี้มีใบมีดซ่อนอยู่ ความคมของมันเหนือกว่าใบมีดธรรมดาทั่วไป หากเจ้าจะหยิบออกมาเล่นต้องระวังหน่อย อย่าให้มันบาดโดนตัวเองเข้า กลไกของพัดอันนี้ไม่ซับซ้อน ขอเพียงแค่คลี่พัดออกมา จากนั้นก็ใช้นิ้วหัวแม่มือกดไว้แล้วดันลูกปัดนี้ก็เท่านั้นเอง แต่ไม่จำเป็นต้องเปิดพัดออกทั้งหมดก็ได้”


 


 


หลินเหวินเสี่ยวปิดพัดดังเดิม จากนั้นก็ขยับลูกปัดที่อยู่ด้านนอกตรงโครงพัด “ดันตรงนี้ก็ได้แล้ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเหม่อมองหลินเหวินเสี่ยวสาธิตถึงวิธีการใช้พัดอันนี้จนจบ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าตนควรมีปฏิกิริยาอย่างไรออกไปดี เนื่องจากหากมองจากมุมนี้ นางรู้สึกชอบพัดอันนี้มากทีเดียว!


 


 


“เฮ้อ ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าพัดอันนี้สวยงามแต่ยากจะใช้งานได้จริงอยู่หรือไม่?” หลินเหวินเสี่ยวปิดพัดเสียงดัง ‘ฟึ่บ’ จากนั้นจึงถอนใจเบาๆ สายตาของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความพออกพอใจและภาคภูมิใจในตัวเอง “พัดเช่นนี้ตัวข้าเองก็มีไว้ใช้หนึ่งอันเช่นกัน แต่ว่าสิ่งที่ไม่เหมือนกับพัดของเจ้าอันนี้ก็คือ สีของพัดข้าค่อนข้างอ่อน แต่ว่าข้าเห็นว่าเจ้าชอบสีสันสดใส ดังนั้นจึงเลือกพัดอันนี้มาให้เจ้า”


 


 


“เหวินเสี่ยว” ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้น้ำตาแทบจะไหลออกมาแล้วจึงเอ่ยว่า “เหวินเสี่ยว ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้นอีกแล้ว ของขวัญงานปักปิ่นของเจ้าเป็นของชิ้นที่ดีที่สุดที่ข้าได้รับเลย!” อย่างน้อยก็ตอนนี้


 


 


เนื่องจากตอนนี้ในใจของซูเหลียนอวิ้นยังคงคิดวนเวียนถึงกระบี่เล่มนั้นที่หรงซู่ได้เอ่ยปากกับนางไว้ แม้ว่าพัดอันนี้จะเป็นของที่ดีมากก็ตาม แต่กระบี่ก็ยังคงมีแรงดึงดูดที่มากกว่า หากได้ใช้กระบี่คงจะดูสง่างามมากกว่า


 


 


“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว! เอาล่ะ ตอนนี้ก็เป็นเวลาพอสมควรแล้ว พวกเราควรออกไปที่เรือนด้านหน้าได้แล้วกระมัง?” หลินเหวินเสี่ยวใช้นิ้วแยกมือของซูเหลียนอวิ้นออกจากพัดเพื่อให้นางวางพัดลง “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบมาก ตอนนี้เลยวางมันไม่ลง แต่ว่าข้ามอบมันให้เจ้าแล้ว ข้าไม่มีทางเอาคืนแน่ รอให้พิธีปักปิ่นเสร็จเรียบร้อย เจ้าจะชื่นชมมันยังไง จะลองเล่นมันยังไงก็ได้ทั้งนั้น ดังนั้นตอนนี้เจ้าต้องรีบวางมันลง จากนั้นพวกเราก็รีบไปกันเถิด!”


 


 


สุดท้ายซูเหลียนอวิ้นก็เอามือลูบที่พัดด้านนี้อย่างทำใจห่างไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง เจ้าพัดอันน้อย เจ้าอยู่คนเดียวไปก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา!


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินให้มาตามคุณหนูไปที่เรือนหน้าเจ้าค่ะ” หลีมู่คารวะพวกนางทั้งสองคน “คุณหนู ตอนนี้เริ่มสายแล้วนะเจ้าคะ”


 


 


“ดี เหวินเสี่ยว ตอนนี้พวกเราไปกันเถิด”


 


 


“ได้ ไปเถอะ!” หลินเหวินเสี่ยวขยับคอแบบเกร็งๆ แล้วพยักหน้า ทำไมจู่ๆ จึงรู้สึกว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีได้เล่า?


 


 


ที่เรือนหน้า อันเพ่ยอิงได้ทำการทักทายแขกเหรื่อที่มาร่วมงานไปจำนวนหนึ่งแล้ว แม้ว่าตอนนี้เริ่มรู้สึกเหนื่อยบ้างแล้ว แต่พอเห็นซูเหลียนอวิ้นเดินออกมาช้าๆ ริมฝีปากของนางก็หยักยิ้มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ


 


 


อวิ้นเอ๋อร์ของนางสวยที่สุดแล้ว ใส่ชุดถงจื่อฝูได้อย่าง…ช้าก่อน คล้ายมีบางอย่างแตกต่างออกไปจากเมื่อครู่นี้?


 


 


สายตาของอันเพ่ยอิงกวาดตามองอย่างรวดเร็ว ตรงไหนกันที่เปลี่ยนไปจากเดิม? ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้กลับทำให้นางมิอาจเสียเวลาไปกับเรื่องอื่นๆ ได้ นางจับมือซูเหลียนอวิ้น จากนั้นก็พาไปรับรองที่ทักทายแขกเหรื่อคนอื่นๆ ที่มาร่วมงาน


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์คือคนนี้เองหรือ เป็นผู้หญิงที่งดงามยิ่ง มิน่าเล่าฮองเฮาถึงได้พูดถึงให้ข้าฟังทั้งวัน เดิมทีข้านึกว่าเป็นคำพูดที่เกินความจริง แต่พอได้เห็นในวันนี้ถึงได้รู้สึกว่าพี่สะใภ้ชมน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้นางรู้สึกราวสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน นุ่มนวลจากสายลมวสันต์ที่แผ่วเบา


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ากลับมา ฮองเฮา พี่สะใภ้? วังหลวง? คนผู้นี้เป็นใครกัน?


 


 


อันเพ่ยอิงที่เดินนำหน้าหันตัวกลับมา แววตาของนางเต็มไปด้วยความยินดีแล้วลากมือของซูเหลียนอวิ้นเข้าไปเอ่ยว่า “เจ้าเด็กนี่ ยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนี้ทำไมกัน รีบออกมาทักทายทุกคนเร็ว ผู้นี้คือองค์หญิงหย่วนเนี่ยน เป็นผู้ที่ยอมสละเวลาชีวิตอันวุ่นวายมาเป็นแขกพิเศษในงานของเจ้า”


 


 


น้ำเสียงของอันเพ่ยอิงควบคุมเสียงสูงต่ำได้อย่างเหมาะสม เพื่อที่จะไม่ทำให้รู้สึกว่านางชอบคุยโวและตะเบงเสียงดัง แต่ยังดังเพียงพอที่จะทำให้ได้ยินเสียงภายใต้สิ่งแวดล้อมอันอึกทึกเช่นนี้ ดังนั้นคำพูดที่พูดออกไปทั้งหมดทุกคนจึงได้ยินอย่างชัดเจน


 


 


แขกเหรื่อต่างลดเสียงคุยลง แล้วใช้สายตาที่ไม่ค่อยจะเชื่อมองไปยังซูเหลียนอวิ้น


 


 


นั่นเป็นเพราะว่องค์หญิงหย่วนเนี่ยน เป็นธิดาองค์น้อยที่ได้รับความโปรดปราณจากมากที่สุดจากอดีตฮ่องเต้เหมิงเฉิง และมีศักดิ์เป็นน้องสาวแม่เดียวกันกับลี่หยวนตี้!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม