วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 9.8-10.3

ตอนที่ 9-8

 

ไม่มีอะไรจะน่าดูไปมากกว่านี้ ถึงจะออกมาจากพระราชวังด้วยชุดธรรมดาแต่อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ดูสะดุดตา ทุกคนที่อยู่ในร้านเหล้าเหลือบมองพวกเขาอยู่บ่อยๆ ยิ่งมีเสียงกระซิบกระซาบยิ่งทำให้มินอาไม่สะดวกใจ 


 


 


“ดูเหมือนว่าคงต้องกลับกันแล้วขอรับ” 


 


 


จูฮวันพูดกับมินอาที่กำลังขมวดคิ้ว เดิมทีหากไม่ใช่ขันทีหรือพระสนมเอกเขาจะพูดไม่มีหางเสียง แต่ไม่รู้ทำไมกับสาวใช้ที่พระชายาพามาด้วยถึงไม่เป็นเช่นนั้น สำหรับจูฮวันที่ต้องพึ่งพาวังหลวงนั้น ต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนเหมือนมีพลังอันน่าประหลาดใจที่ทำให้ตัวเขาเล็กลง  


 


 


“นั้นสิเจ้าคะ พานายท่านของแต่ละคนไปกันเถอะเจ้าค่ะ” 


 


 


มินอาไปจัดการจ่ายเงินค่าอาหารกับเจ้าของร้านเหล้าแล้วกลับมาพร้อมพึมพำว่ากินเยอะ ขันทีเหงื่อออกมือจับฮอนที่ดื้อดึงบอกว่าน่าเสียดายที่ทั้งคู่ต้องไปจากที่นี่แล้ว  


 


 


“คุณหนู ลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ” 


 


 


“มินอา มินอาของฉัน คุณหนูอะไรกัน! เรียกท่านพี่สิ! ดื่มไหม” 


 


 


“ไม่ได้ค่ะ ต้องกลับแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“อะไร ไม่เอา ขออีกแก้วเดียวนะ นี่เป็นคำสั่ง! คำสั่ง” 


 


 


คำสั่งอะไรกัน ข้าคงไม่ได้ตายตามอายุขัยแล้วสินะ มินอาบ่นพึมพำในใจแล้วแตะที่หลังคอของรยูฮาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ หากเป็นปกติรยูฮาก็คงจะไม่พลาดท่าอย่างเด็ดขาด แต่ร่างที่เมามายเต็มที่สุดท้ายก็ร่วงลงในอ้อมแขนของมินอาอย่างปลอดภัยโดยที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ 


 


 


“ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้ว ข้าจะให้ขี่หลังไปเจ้าค่ะ” 


 


 


“หา? ฮูหยิน! ไม่ได้นะ เดี๋ยวข้าจะให้ขี่หลังไปเอง!” 


 


 


ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นรยูฮาที่หลับตาพริ้มและถูกแบกอยู่บนหลังมินอา ฮอนจึงลุกพรวดขึ้นและเดินโซซัดโซเซตามมา แต่มินอาก็แบกรยูฮาไปได้อย่างสบายๆ และออกมาจากร้านเหล้า ไร้วี่แววของผู้คนที่เคยรวมตัวกันอย่างพลุกพล่าน และมีเพียงโคมไฟที่ผู้คนห้อยไว้เท่านั้นที่ส่องแสงระยิบระยับผ่านถนนที่ดูอันตราย ดวงตาของมินอาที่เดินอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่ารยูฮาจะตื่นขึ้นมาวุ่นวายมองทะลุเข้าไปในความมืดมิดอย่างแหลมคม กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาตามลมกระจายไปตามด้านล่างโคมไฟอย่างรุนแรง 


 


 


“ท่านขันที” 


 


 


“ขอรับ?” 


 


 


“ตามหลังข้ามานะเจ้าคะ” 


 


 


เมื่อสะเดาะกลอนประตูที่ปิดอยู่ของร้านค้าที่อยู่ใกล้ออกก็เห็นกองลังที่ซ้อนกันอยู่สูง หลังจากที่มินอาวางรยูฮาลงด้านหลังนั้น จูฮวันที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ ก็พาฮอนตามมาเช่นกัน 


 


 


“ฮูหยิน!” 


 


 


หลังจากแน่ใจแล้วว่าฮอนที่ยังคงตั้งสติไม่ได้ตามรยูฮาเข้าไปแล้ว มินอาจึงปิดประตู เมื่อต้นขาเต่งตึงภายใต้กระโปรงของมินอาซึ่งถูกถกขึ้นปรากฏออกมาอวดโฉม จูฮวันจึงรีบเบือนหน้าหนีด้วยความตกใจ แต่มินอาไม่ได้สนใจและเอามีดสั้นที่อยู่ในนั้นออกมา พร้อมกับสังเกตมองบริเวณโดยรอบ 


 


 


ตอนที่ออกมาจากบ้านมหาเสนาบดี นางสัมผัสได้ว่ามีคนห้าคนตามมาอย่างแน่นอน แต่พอออกมาจากร้านเหล้า จำนวนก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบคนและสัมผัสได้ถึงความอำมหิตที่แปลกประหลาดอีกด้วย คงจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นแน่ๆ ในขณะที่อยู่ในร้านเหล้า ให้ตายเถอะ มินอาพึมพำเบาๆ แล้วกัดปาก 


 


 


ทางฝั่งนั้นคือนักฆ่าที่มีความสามารถพอที่จะเอาชนะทหารคุ้มกันขององค์รัชทายาทได้ แต่ทางฝั่งเรามีตั้งสองคนที่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะสู้ได้ มินอาคงจะต้านทานไว้คนเดียวได้ไม่นานนัก ต่อมานางจึงตัดสินใจพลางกระซิบกับจูฮวันซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง 


 


 


“วิ่งไปที่บ้านมหาเสนาบดีและไปตามคนมา ข้าจะทำทุกทางเพื่อปกป้องทั้งสองคนเองเจ้าค่ะ” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


เสียงฝีเท้าของขันทีเริ่มไกลออกไป หลังจากเงี่ยหูฟังว่ามีใครทำร้ายเขาไหม แต่จำนวนคนที่สัมผัสได้ไม่ลดน้อยลง นางจึงกลั้นใจเดินตรงไปหาพวกเขา อดทนเพียงไม่นานเดี๋ยวท่านมหาเสนาบดีกับลูกน้องก็คงจะมา คมดาบอันแหลมคมแวววับท่ามกลางความมืดมิดและค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ 


 


 


“อะไรกัน นังผู้หญิงคนนี้…” 


 


 


คำพูดของผู้ลอบสังหารซึ่งปรากฏตัวออกมาเป็นคนแรกสุดถูกขัดด้วยลูกธนูอันแหลมคมและหายไปกลางอากาศ ลูกธนูขนาดเล็กบินที่ออกมาจากช่องตรงประตูที่ถูกแง้มอยู่และทะลุเข้าไปที่คอของเขานั้นดูคุ้นตา หากมีการยิงคุ้มกัน ความสามารถในการป้องกันก็จะเพิ่มสูงขึ้น มินอารู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับปลุกประสาทสัมผัสทั่วทั้งตัว 


 


 


หลังจากรู้ว่าทางฝั่งนี้มีอาวุธ พวกผู้ลอบสังหารจึงไม่เปิดเผยตัวออกมาอีก อดทนไว้อีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น แต่แล้วก็มีหินก้อนหนึ่งร่วงและกลิ้งลงมาจากที่ไหนสักแห่ง และในขณะเดียวกันมินอาก็แย่งดาบมาจากมือของผู้ลอบสังหารซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ ดาบทั้งเก้าเล่มพุ่งตรงมาทางนาง แต่มีดสั้นที่ถือในมือก็ถูกสะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเสียบเข้าไปในคอของผู้ลอบสังหาร ตอนนี้ก็เหลือแปด 


 


 


ลูกธนูที่บินมาอีกครั้งทะลุกะโหลกศีรษะของอีกคนหนึ่ง เหลือเจ็ด นางต้องคมดาบบ้างท่ามกลางสายฝนแห่งคมดาบที่โปรยปรายลงมาอย่างบ้าคลั่ง สีข้างของผู้ลอบสังหารถูกเฉือนยาวเหยียดด้วยดาบที่กวัดแกว่งแล้วกลิ้งกลับไปด้านหลัง จากนั้นผู้ลอบสังหารจึงใช้มือกำเครื่องในที่ไหลทะลักออกมาก่อนจะสิ้นสติไป หก พวกผู้ลอบสังหารต่างตกใจกับความสามารถของผู้หญิงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ จึงเริ่มลังเลและล้อมรอบนาง 


 


 


“ใครส่งพวกเจ้ามา” 


 


 


คำถามของมินอาได้เสียงหัวเราะเยาะกลับมาแทน แต่นางไม่ได้คิดที่จะถามเพื่อให้ได้รู้ตัวเบื้องหลังอยู่แล้วจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แค่เพียงขอเวลาหยุดพักหายใจหายคอสักหน่อยเท่านั้น 


 


 


“เจ้ารู้ไปแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ สุดท้ายก็ต้องตายเหมือนหมาข้างถนนตรงนี้ ช่างน่าเสียดายความสามารถจริงๆ” 


 


 


“คงต้องได้เงินเพิ่มแล้วแหละ ไม่เห็นบอกเลยว่าหญิงรับใช้จะใช้ดาบเป็นด้วย แม่งเอ๊ย” 


 


 


หนึ่งในนั้นบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงน่าขนลุกราวกับเค้นออกมาจากข้างใน นางถือว่าประโยคนั้นเป็นการส่งสัญญาณก่อนที่จะยกดาบขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยแรงที่น้อยกว่าเมื่อสักครู่เพราะเลือดที่ไหลออกมาจากแขนซึ่งใช้กันพวกเขา ระหว่างที่ผู้ลอบสังหารหลบลูกธนูที่ยิงเฉียดผ่านเส้นผมมินอา ดาบของมินอาก็เสียบเข้าที่ท้องของเขา จากนั้นดึงมันออกมาและแกว่งดาบในทันที ทำให้แขนของผู้ลอบสังหารที่อยู่ข้างๆ หลุดลอยออกไป ตอนนี้ก็เหลือแค่สี่ 


 


 


มินอาเองก็รู้สึกปวดราวกับแขนถูกตัดออกไปพร้อมกับส่งเสียงโอดครวญออกมาอย่างทรมานเช่นกัน เลือดสีเข้มไหลลงมาตามมือข้างขวาจึงเปลี่ยนไปถือดาบด้วยมือซ้าย ผู้ลอบสังหารไม่ยอมพลาดโอกาสนั้นจึงรีบแทงดาบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ส่วนผู้ลอบสังหารอีกคนก็เข้าไปใกล้ตรงประตูที่เห็นว่าแง้มอยู่ 


 


 


ลูกธนูที่ยิงคุ้มกันมินอาจากทางด้านหลังไม่ยิงออกมาอีกเหมือนกับว่ายิงออกไปหมดแล้ว ถ้าพุ่งตัวออกไปกันดาบ รยูฮาก็จะอันตราย ถ้ากันผู้ลอบสังหาร นางเองก็จะถูกแทงหลัง ทว่าไม่มีเวลาให้ตัดสินใจแล้ว ในขณะที่ดาบของมินอาเล็งไปยังผู้ลอบสังหารซึ่งพุ่งไปหารยูฮานั้นเอง คอที่ร่วงหล่นลงก็กลิ้งลงบนพื้นพร้อมกับเลือดที่พุ่งขึ้นด้านบนไหลทะลักออกมาจนปกคลุมแสงจันทร์ 


 


 


“กันได้ดีนี่” 


 


 


เงาของชายร่างใหญ่ซึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงที่ฟังดูสบายๆ ไม่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างยิ่งแทงและฟันพวกผู้ลอบสังหารอย่างว่องไว เลือดสาดไปทั่วราวกับกลีบดอกไม้ พร้อมกันกับที่พวกผู้ลอบสังหารที่เหลือทรุดลงกับพื้น เมื่อคนสุดท้ายถูกเฉือนตั้งแต่หน้าอกจนถึงท้องแล้วล้มลงไป การต่อสู้ก็สิ้นสุดลง 


 


 


ชายหนุ่มเช็ดเลือดที่ติดอยู่บนดาบกับศพของผู้ลอบสังหารแล้วจึงหันหน้ามา ที่ปลายสายตานั้นเห็นมินอาทรุดลงไปกับพื้นและกดบาดแผลที่ถูกฟันลึกไว้แน่น แม้ว่าใบหน้าของเขาจะถูกบดบังด้วยหน้ากากและเผยให้เห็นเพียงแค่ตา แต่มินอาก็รู้ว่าเขาคือใครตั้งแต่ตอนที่เขาปรากฏตัว 


 


 


“ลำบากแย่เลย ข้ามาช้าสินะ” 


 


 


ชายหนุ่มยิ้มพลางดึงหน้ากากลงข้างล่าง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“อะไรนะ ล้มเหลว?” 


 


 


เคราหนาของจูเยฮึงสั่นระริก แก้วเหล้าที่อยู่ในมือของเขาพุ่งไปที่หน้าผากของผู้ชายซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ล่างขั้นบันไดทันที แต่เขาก็ไม่หลบ เลือดไหลรินออกมาจากหน้าผากที่แตกจนทำให้เกิดแอ่งน้ำเล็กๆ บนพื้นดิน 


 


 


“ขออภัยขอรับ ข้าคิดว่าเกือบจะสำเร็จแล้ว แต่หญิงรับใช้ที่ตามอยู่ด้านหลังเป็นคนที่เก่งพอสมควรขอรับ” 


 


 


“นักฆ่าก็มีตั้งหลายคน แต่จัดการผู้หญิงคนเดียวไม่ได้เนี่ยนะ!” 


 


 


ช่างเป็นข้อแก้ตัวที่น่าอับอายเสียจริง เยฮึงผู้โกรธเกรี้ยวขว้างปาสิ่งของทุกอย่างที่มือหยิบจับได้ออกไปแบบส่งๆ บ้างก็กระแทกกับพื้นจนพัง บ้างก็ทำให้ผู้ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่เป็นแผล 


 


 


“ข้าให้เงินทองพวกเจ้าตั้งเท่าไหร่! ได้เงินไปแล้วแต่ก็ยังจัดการผู้หญิงแค่คนเดียวไม่ได้ ไปตายกันให้หมด!” 


 


 


ใบหน้าที่เคยมีความเมตตาบูดเบี้ยวราวกับปีศาจและเสียงขบฟันกรอดก็ดังขึ้นอย่างน่าขนลุก เขาคิดไว้ว่าจะลักพาตัวพระชายา เอาสมุดบัญชีคืนมาแล้วฆ่าทิ้งซะ และค่ำคืนนี้ที่พวกเขาออกมาจากพระราชวังซึ่งมือของเขาเอื้อมไม่ถึงแล้วมายังบ้านตระกูลซอก็เป็นโอกาสทอง แต่มันก็หลุดลอยไปอย่างเปล่าประโยชน์ นอกจากนั้นหลังจากที่ได้เผชิญกับสถานการณ์ที่อันตราย ตอนนี้พระชายาก็คงจะเพิ่มการคุ้มกันให้แน่นหนาขึ้นและไม่ออกมาข้างนอกอีกเป็นแน่  

 

 


ตอนที่ 9-9

 

สิ่งที่เยฮึงหวั่นวิตกในตอนนี้ไม่ใช่การลงโทษของพระราชา แต่ที่เขากลัวคือต้องไม่ให้พระมเหสีล่วงรู้ว่าเขาได้รับสินบนจากพวกเจ้าเมืองที่เขตชายแดน หากเรื่องนี้ถึงหูพระมเหสี คงจะถูกตัดขาดอย่างไร้ความเมตตาแน่นอน แม้ว่าจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันก็ตาม เยฮึงผู้ซึ่งมีสายเลือดเดียวกันกับนางรู้ความจริงเรื่องนั้นดียิ่งกว่าใคร 


 


 


“ยังมีอีกขอรับใต้เท้า คนผู้นั้นไม่ใช่พวกทหารคุ้มกันที่เคยแจ้งไว้ล่วงหน้า แต่เป็นผู้ที่มีความสามารถเก่งกาจอีกหนึ่งคนขอรับ แต่เนื่องจากว่าเขาแทรกเข้ามาระหว่างการต่อสู้ จึงมีความเป็นไปได้ที่เขาน่าจะเป็นแค่คนที่ผ่านไปมาเฉยๆ ขอรับ อันที่จริงหากเขาไม่ปรากฏตัวออกมา ตอนนี้ข้าก็คงจะลากตัวพระชายามาอยู่ตรงหน้าใต้เท้าได้แล้วขอรับ” 


 


 


“ข้ออ้างเยอะเหลือเกินนะ” 


 


 


ชายหนุ่มจึงปิดปากสนิทและไม่พูดอะไรอีก ความจริงแล้วเขาเองก็เจ็บแค้นใจเหมือนกัน การกำจัดเงาทั้งห้าทำให้ลูกน้องกว่ายี่สิบคนไม่เสียชีวิตก็ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงลูกน้องอีกสิบคนที่ถูกจัดการโดยหญิงรับใช้ซึ่งคอยปกป้องพระชายา ลูกธนูที่ไม่รู้ที่มา และผู้มีความสามารถที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา 


 


 


ให้ไปลักพาตัวพระชายางั้นหรือ ภารกิจนี้อันตรายตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว หากเป็นคนอื่นจ้างวาน เขาก็คงจะไม่รับเด็ดขาด ไม่ว่าจะให้เงินทองมากแค่ไหนก็ตาม แต่เพราะผู้จ้างวานคือพี่ชายของพระมเหสีไม่ใช่ใครอื่น ซึ่งค่าตอบแทนอันมหาศาลที่จะตามมาหากทำสำเร็จไม่ใช่แค่เพียงเงินทองอย่างแน่นอน 


 


 


ในตอนนั้นเขาคิดว่ามันคือการเดิมพันเพื่ออนาคตจึงยอมตกปากรับคำ แต่พอมาตอนนี้จึงตระหนักได้ว่ามันไม่ต่างอะไรกับผีเสื้อกลางคืนที่โง่เขลาที่โดดเข้าไปในกองเพลิงเลย ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างพังพินาศหมดแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในใจมีเพียงแค่ความเสียดายเท่านั้น 


 


 


“ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ไสหัวออกไปได้แล้ว และจงใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ จนกว่าข้าจะเรียกอีกที” 


 


 


แม้จะอยากยึดเงินที่ให้ไปแล้วคืน แต่กลุ่มนักฆ่าที่พอจะมาแทนที่พวกนี้ได้นั้นไม่ได้หาง่ายๆ เยฮึงกัดฟันกรอดแล้วโยนถุงเงินค่าชีวิตของพวกที่ตายไปตรงหน้าเขา ก่อนจะเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูดังปัง 


 


 


ต้องเอาสมุดบัญชีกลับคืนมาให้ได้ พระชายาคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ไม่เอามันไปถวายให้พระราชาเสียที ทว่าหากองค์รัชทายาทเปิดเผยสมุดบัญชีให้โลกได้เห็น พวกนักลอบสังหารที่พระมเหสีส่งมาก็คงจะมาปาดคอเยฮึงและแขวนมันไว้ตรงหน้าประตูพระราชวังแน่ๆ 


 


 


สำหรับนางแล้ว ใช้ทรัพย์สมบัตินั้นเพื่อใครไม่ใช่เรื่องสำคัญสักนิด เพราะน้องสาวของเยฮึงคือผู้หญิงน่ากลัวซึ่งเต็มไปด้วยความโลภในเรื่องอำนาจโดยไร้ซึ่งความปราณี 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“อึ่ก” 


 


 


มินอาลืมตาขึ้นพลางโอดครวญด้วยความเจ็บปวด แม้เตียงจะนุ่มจนทำให้รู้สึกว่าเรื่องเมื่อคืนคือความฝัน แต่บาดแผลที่ปรากฏเต็มไปทั่วร่างกายอธิบายอย่างชัดเจนและแต่ละแผลก็มีอาการเจ็บแสบไปหมด 


 


 


“มินอา!” 


 


 


รยูฮาลุกพรวดขึ้นมาเพราะเสียงนั้นหลังจากฟุบหลับไปบนเตียงสักพัก แล้วจึงตรวจดูมินอา ริมฝีปากที่ซีดเผือดเพราะเลือดไหลเยอะก็กลับมาเป็นสีเดิมแล้ว รยูฮาถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเอาขันน้ำไปแตะตรงริมฝีปากที่แห้งผาก เอื๊อก แม้แต่เสียงน้ำไหลผ่านหลอดอาหารก็ยังน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


“ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมเพคะ” 


 


 


หลังจากดื่มน้ำจนหมด มินอาก็หายใจออกดังฟู่วแล้วเอ่ยถาม 


 


 


“บาดเจ็บอะไรกัน เจ้าต่างหากที่บาดเจ็บ ขอโทษนะ ที่เมาเหล้าขนาดนั้นจนลุกขึ้นมาไม่ได้…” 


 


 


รยูฮาบ่นอย่างหดหู่ใจพร้อมกับลูบเส้นผมของมินอาที่ปรกลงมาขึ้นไป ก่อนที่จะมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและหญิงรับใช้ก็เคยทั้งกินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกัน ฝึนฝนด้วยกัน ร้องไห้และยิ้มด้วยกัน รวมถึงเป็นน้องสาวที่เติบโตมาด้วยกันอีก ตอนที่เห็นมินอามีแผลเต็มตัวและนอนนิ่งราวกับตายไปแล้ว หัวใจของนางก็ตกไปที่ตาตุ่มจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ 


 


 


“ไม่เป็นไรเพคะ แค่เห็นว่าพระชายาทรงปลอดภัยดี เท่านั้นก็เพียงพอแล้วเพคะ” 


 


 


ความจริงแล้ว นางรู้ดีกว่าใครว่าเหตุผลที่ทำให้รยูฮาลุกขึ้นมาไม่ได้นั้นไม่ใช่เพราะเหล้า แต่เป็นเพราะจุดที่ตนเองเป็นคนแตะต่างหาก แต่ถ้าหากทิ้งความรู้สึกผิดเล็กน้อยไว้ให้กับเจ้านาย ต่อไปนางก็คงจะดื่มเหล้าแบบหักห้ามใจตัวเองขึ้นมาหน่อย บางครั้งการไม่รู้ก็ย่อมดีกว่า 


 


 


“นี่ไม่ใช่เวลามาทำแบบนี้ ฝ่าบาทคงจะทรงเป็นห่วงข้ามากแน่ แล้วก็…” 


 


 


ประตูถูกเปิดออกพรวดก่อนที่รยูฮาจะพูดจบ พร้อมกันกับที่ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง 


 


 


“โอ๊ะ เจ้าฟื้นแล้วหรือ เลือดไหลเยอะขนาดนั้นแต่ก็ฟื้นขึ้นมาได้ สมกับเป็นมินอาจริงๆ” 


 


 


“ท่านอาจารย์!” 


 


 


มินอาที่ถูกพันด้วยผ้าฝ้ายทั้งตัวและกึ่งเปลือยท่อนบนตะโกนออกมา โฮจินจึงเดินเข้ามานั่งข้างๆ รยูฮาโดยที่ยังคงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นเอาไว้ 


 


 


“เมื่อวานข้าเท่ไม่เบาเลยใช่หรือไม่ ถ้าตอนนั้นข้าไม่ออกไปพอดีล่ะก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ”  


 


 


“…เฮอะ” 


 


 


คำพูดนั้นถูกต้อง มินอาจึงไม่พูดอะไรและเอนตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่จะดึงผ้าห่มขึ้นมา 


 


 


“ช่วยออกไปข้างนอกสักครู่ก่อนเจ้าค่ะ ข้าขอใส่เสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยคุยกัน” 


 


 


“แต่ข้าชอบตอนนี้มากกว่านะ” 


 


 


“โอ๊ย ท่านอาจารย์!” 


 


 


หลังจากที่มินอาแผดเสียงขึ้นอีกครั้งและมือของรยูฮาที่เงื้อขึ้นกลางอากาศฟาดลงมาที่หลังอย่างแรง โฮจินจึงลุกขึ้นพลางบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง และพอออกมาข้างนอกได้สักสามสี่ก้าวก็พบกับใบหน้าที่ไม่รับแขกโดยบังเอิญที่อยู่ตรงหน้าพอดี เขาจึงก้มหัวให้ 


 


 


“เดี๋ยว” 


 


 


ฮอนรั้งเท้าของโฮจินที่ทักทายอย่างขอไปทีและกำลังจะเดินผ่านไปเอาไว้ 


 


 


“ดื่มชาด้วยกันสักถ้วยดีไหม” 


 


 


“กระหม่อมเป็นเพียงนักดาบผู้โง่เขลา ไม่รู้เรื่องรสชาติของช้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


สายตาของชายหนุ่มทั้งสองที่ไม่ใช่เล่นๆ ปะทะกันกลางอากาศจนประกายไฟปะทุขึ้นมา หากมีกระดาษสักแผ่นมาคั่นกลาง มันคงจะหายไปแบบไม่เหลือซากเลยทีเดียว 


 


 


“ถ้างั้นข้าจะดื่มชา ส่วนเจ้าก็เอาเหล้ามาสักขวดแล้วกัน” 


 


 


โฮจินไม่คิดจะปกปิดสีหน้าไม่พอใจใดๆ แล้วจึงเดินนำหน้าไปยังเรือนอีกหลังหนึ่ง ดื่มชาสักถ้วยอย่างสบายใจกับองค์รัชทายาทที่เคยจ้องหาโอกาสจะฆ่าข้าเนี่ยนะ แม้ว่าอยากจะทำเป็นไม่ใส่ใจและเลี่ยงทั้งองค์รัชทายาทและพระราชา แต่เขาก็ไม่อยากทำให้ซอดูผู้เป็นอาจารย์อารมณ์เสีย 


 


 


“ฝ่าบาท ทรงพักผ่อนสบายไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท” 


 


 


มหาเสนาบดีและลูกชายทั้งสามที่เข้ามาในเรือนพอดีมองพวกเขาทั้งสองและโค้งถวายการคำนับ สีหน้าไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง จนทำให้คิดว่าในเส้นเลือดของพวกเขาคงจะมีน้ำแข็งไหลเวียนอยู่อย่างแน่นอน ทุกครั้งที่ได้เจอพี่ชายทั้งสามของรยูฮา ฮอนก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วเลยว่ารยูฮาโตมามีนิสัยแบบนี้ได้อย่างไร 


 


 


“ต้องขอบใจพวกท่านมาก ข้าจึงพักผ่อนได้อย่างไร้ความกังวล ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเขาสักหน่อย ท่านช่วยจัดชากับเหล้าหนึ่งขวดมาให้หน่อยได้หรือไม่” 


 


 


“ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


แววตาของมหาเสนาบดีที่โค้งคำนับและเงยหน้าขึ้นมานั้นส่งคำเตือนมาให้โฮจินแบบไร้สุ่มเสียง สายตานั้นสื่อว่าหากทำอะไรให้ฝ่าบาททรงไม่สบายพระทัยล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ โฮจินพยายามทำเป็นมองไม่เห็นและจ้องมองนกกระจอกที่ร้องจิ๊บๆ อยู่ตรงสวนหน้าบ้าน จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย หลังจากแน่ใจแล้ว มหาเสนาบดีจึงพาลูกชายทั้งสามหายวับไป 


 


 


“ชิ” 


 


 


โฮจินซึ่งเดินดุ่มๆ นำหน้าเปิดห้องที่มหาเสนาบดีเพิ่งออกมาเมื่อสักครู่แล้วเข้าไป จากนั้นจึงเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา ส่วนฮอนก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม พวกเขาเอาแต่จ้องหน้ากันไปกันมา ไม่พูดอะไรกันและปล่อยให้ความเงียบคงอยู่ต่อไปเช่นนั้น จนกระทั่งสาวใช้สองคนนำโต๊ะเหล้าและโต๊ะชามาถวาย 


 


 


ไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นอย่างไร แต่ภาพของชายหนุ่มรูปงามทั้งสองนั่งอยู่เงียบๆ ด้วยกันแบบนี้ช่างเป็นภาพที่น่าดูเสียจริง สาวใช้ที่เข้ามาต่างหน้าแดงและพยายามแอบมองดูพวกเขา 


 


 


“ฝ่าบาท โต๊ะชามาแล้วเพคะ” 


 


 


“เข้ามาสิ” 


 


 


เหล่าสาวใช้วางชาและเหล้าลงตรงหน้าของแต่ละคนด้วยความประหม่า แล้วจึงเดินถอยหลังกลับไป โฮจินจับเหมือนกระชากขวดเหล้ามาและกรอกเข้าปากไปทั้งขวด เสียงขวดเหล้าที่เบาหวิวกระทบกับโต๊ะดังขึ้นอย่างแรง 


 


 


“ตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แชยอนสบายดีหรือไม่” 


 


 


ฮอนพูดเรื่องแชยอนขึ้นมาหลังจากที่จิบชาด้วยท่าทางสุขุมซึ่งตรงกันข้ามกับเขา โฮจินจึงมองขึ้นไปที่เพดานพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา พลางบ่นอยู่ในใจว่า ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ล่ะก็คงจะหวดไปแล้ว  


 


 


“ฝ่าบาทตรัสถามถึงนางทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แม้ว่าเขาจะมีท่าทางอวดดีตลอดเวลา แต่ฮอนก็ไม่ได้คิดโกรธเคืองอะไร แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะใจดี แต่เพราะเมื่อคืนเขาได้ช่วยรยูฮาเอาไว้ จึงจำเป็นต้องแยกบุญคุณและความเป็นศัตรูไว้ก่อน 


 


 


“เพราะสงสัยอย่างไรเล่า” 


 


 


“ตอนนี้นางคือผู้หญิงของข้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แล้วใครว่าอะไรหรือยัง เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นไม่เคยเป็นผู้หญิงของข้าจริงๆ ก็แค่…”  

 

 


ตอนที่ 9-10

 

ฮอนพูดค้างไว้และจิบชาหนึ่งอึก ดูเหมือนว่านิสัยการเลือกคำอย่างรอบคอบของรยูฮาจะติดมาสู่ฮอนด้วย เมื่อรู้อย่างนั้นโฮจินจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย 


 


 


“ข้าก็แค่สงสัยว่าเด็กผอมแห้งที่เคยอยู่ในวังตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สดใสขึ้นบ้างไหมเท่านั้นเอง” 


 


 


“…สบายดี กินเก่งแถมยังยิ้มเก่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไม่ได้ใส่ชุดผ้าไหมใหม่ๆ และเครื่องประดับหลายสิบชิ้นทุกวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้กำลังตั้งใจเรียนหนังสืออยู่ อีกไม่นานก็คงจะสามารถอ่านเขียนได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ส่วนสุดท้ายจากในบรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับแชยอนที่โฮจินเล่าให้ฟังเหมือนไม่เต็มใจนักทำให้ฮอนเอียงคอสงสัย 


 


 


“แชยอนไม่รู้หนังสือหรือ” 


 


 


“ทรงไม่ทราบเรื่องนั้นด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


คำถามที่โฮจินถามกลับอย่างประหลาดใจทำให้ฮอนหลบสายตาประหนึ่งอับอาย พอมาคิดๆ ดูแล้ว นอกจากดื่มเหล้า ไปเดินเล่นบ้างเป็นครั้งคราวและมีอะไรกันก็ไม่เคยทำอะไรร่วมกับแชยอนอีกเลย ก็ถูกแล้วที่ว่าไม่มีความคิดที่จะทำอย่างอื่นด้วยกันเลย ช่างเป็นความสัมพันธ์ซึ่งต่างกับที่ไปยิงธนูล่าสัตว์ ออกไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ และอ่านหนังสือด้วยกันจนมืดค่ำกับรยูฮาโดยสิ้นเชิง 


 


 


“เจ้าไม่ชอบข้าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” 


 


 


“ก็ชัดเจนอยู่แล้ว” 


 


 


“แต่ข้าชอบเจ้านะ” 


 


 


“อึ่ก” 


 


 


โฮจินขมวดคิ้ว ตัวสั่นเทา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นท่าทางของคนที่ได้ยินในสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน 


 


 


“สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในโลกนี้คือผู้ชายพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าบาท” 


 


 


“ข้าขอขอบใจเจ้ามาก ทั้งที่ช่วยแชยอนและที่ช่วยรยูฮาด้วย” 


 


 


“อ้า ขอร้องหยุดเถอะ! ข้าเข้าใจแล้ว!” 


 


 


โฮจินขนลุกไปทั้งตัวพร้อมกับยกขวดเหล้าขึ้นมาดื่มอึกๆ มันไม่ใช่อะไรที่ฟังได้ตอนที่มีสติครบถ้วนจริงๆ แต่ถึงแม้จะไม่เมาขนาดนั้น อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าสิ่งที่ได้ยินตอนนี้ 


 


 


“แล้วต้องการจะพูดอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ รีบ ๆบอกแล้วปล่อยกระหม่อมไปเสียที” 


 


 


แม้การพูดจาของโฮจินจะเริ่มเกรี้ยวกราดแต่ก็ไม่ถือสา เพราะถ้าเทียบกับมินอาที่พูดจาสุภาพแต่กลับให้ความรู้สึกไม่เคารพแล้วนั้น แบบนี้ยังรู้สึกดีกว่าเยอะ 


 


 


“จัดพิธีแต่งงานแล้วหรือยัง” 


 


 


“ใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ จะไปมีได้อย่างไรกันล่ะ พิธีแต่งงาน” 


 


 


“เห็นว่าท่านมหาเสนาบดีส่งไปอยู่กลุ่มการค้า ก็กินดีอยู่ดีมิใช่หรือ” 


 


 


“ชิ” 


 


 


ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะบอกรายละเอียดยิบย่อยหมดเลยสินะ หลังจากจัดการโฮจินที่ปีนข้ามรั้วมากลางดึกโดยเจตนาเรียบร้อยแล้ว มหาเสนาบดีก็ส่งเขาไปที่ฮเยกุกซึ่งอยู่ติดกับแทซากุกและสั่งให้ไปรับหน้าที่หัวหน้ากลุ่มการค้าเสีย เพราะเหตุนี้ตอนนี้เขาจึงใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุขกว่าที่แทซากุก 


 


 


“แล้วกลับมาที่นี่ทำไม” 


 


 


“พระชายาทรงเรียกมาพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่าบรรยากาศในพระราชวังดูยุ่งเหยิงจึงสั่งให้มาคอยช่วยอยู่ข้างๆ” 


 


 


“เจ้าคือนักดาบมือหนึ่งใช่หรือไม่” 


 


 


“ก็ต้องเคยถูกเรียกแบบนั้นอยู่แล้วสิพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“การพูดการจาช่างหมิ่นเบื้องสูงเหลือเกินนะ” 


 


 


“พอดีกระหม่อมเรียนมาแค่ความสามารถในการฆ่าคนเพียงอย่างเดียว” 


 


 


ฮอนยักไหล่ก่อนจะดึงแก้วเหล้าที่โฮจินไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อยมา 


 


 


“รินให้ข้าสักแก้วสิ” 


 


 


มันคือเหล้าที่เขากระดกดื่มไปแล้ว คำพูดของฮอนที่บอกว่าจะดื่มมันอย่างไม่ขัดเขินจึงทำให้โฮจินหันไปมองเขาสักพัก ถึงตอนเจอกันเมื่อก่อนจะดูไม่เอาไหน แต่ก็พัฒนาขึ้นพอสมควร โฮจินยิ้มออกมาพลางรินเหล้าลงในแก้วเปล่าจนล้น 


 


 


“แม้จะไม่มีเรื่องให้ต้องเจอหน้าค่าตากันบ่อยๆ แต่เราอยู่ด้วยกันอย่างดีกันดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากนั่นทำให้เจ้าทำหน้าที่ที่พระชายามอบหมายไว้เสร็จเรียบร้อยเป็นอย่างดีก็ย่อมได้” 


 


 


ขวดเหล้าและแก้วเหล้ากระทบกันพร้อมกับส่งเสียงดังแกร็งกลางอากาศ ฮอนดื่มเหล้าในแก้วหมดรวดเดียว และวางมันลงตรงหน้าโฮจินอีกรอบ 


 


 


“หลังจากได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ ข้าจะยกเลิกการออกหมายจับเจ้าและแชยอนเป็นอย่างแรก และให้พวกเจ้ากลับมาที่แทซากุก จัดพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับเชิญแม่ของนางมาด้วย” 


 


 


ถึงแม้ว่าจะไม่พูด แต่โฮจินก็รู้ว่าแชยอนคิดถึงแม่อยู่เสมอ ดังนั้นข้อเสนอที่ฮอนยื่นให้จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะอึดอัดใจ แต่ก็เริ่มรู้สึกชอบไอ้บ้านี่ขึ้นทีละนิดพลางวางขวดเหล้าลง 


 


 


เขารู้สึกถูกใจกับความไม่มากเรื่องและใจกว้างของหัวขโมยที่จู่ๆ ก็พาตัวนางสนมที่เขาเคยมีอะไรด้วยมาตั้งหลายปี ถึงจะไม่ใช่ผู้หญิงที่เขารักจากใจจริงก็ตามไปภายในพริบตา ถูกใจแววตาที่สดใสขึ้นผิดกับเมื่อก่อน และถูกใจนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่คล้ายกับรยูฮาจนเหมือนกับว่ากำลังมองนางอยู่ตรงหน้า ฮอนเริ่มมีลักษณะท่าทางที่สมกับเป็นผู้สืบทอดของแทซากุกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว 


 


 


อีกด้านหนึ่งในขณะที่ทั้งสองคนกำลังทำสงครามประสาทกันอยู่นั้น ณ ห้องนอนอันเงียบสงบ มหาเสนาบดีและนายหญิงตระกูลจองนั่งหันหน้าเข้าหากันและกำลังจ้องมองกันและกันอยู่ 


 


 


“คิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ” 


 


 


“ผู้หญิงที่เย็บแต่ผ้าอยู่ในเรือนจะไปรู้อะไรเล่าเจ้าคะ” 


 


 


“ข้ารู้นะว่า…เจ้าเย็บผ้าไม่เก่ง…” 


 


 


มหาเสนาบดีค่อยๆ แสดงความคิดเห็นตรงกันข้ามอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาและปิดปากเงียบอีกครั้งเพราะรอยยิ้มของภรรยาที่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน มหาเสนาบดีเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในนามของนักดาบมือหนึ่งเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม อีกทั้งยังครองตำแหน่งมือขวาของพระราชาด้วยความสามารถในการมองอย่างทะลุปรุโปร่งและอุปนิสัยที่เถรตรง แต่ต่อหน้าฮูหยินของเขาแล้ว เขาก็ไม่ต่างอะไรกับแกะเชื่องๆ ตัวหนึ่งเลย 


 


 


“ครั้งนี้ฮูหยินก็ไม่เห็นใช่หรือไม่ อย่างนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าเขาทำ เพราะฉะนั้นเราไปทูลเรื่องทั้งหมดให้องค์รัชทายาททรงทราบและเตรียมการล่วงหน้าไว้ไม่ดีกว่าหรือ” 


 


 


เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดอะไรไม่ออก เขามักจะมาปรึกษาฮูหยินของเขา ส่วนนางก็ไม่เคยให้คำตอบที่ชัดเจนเลย ทว่าเพียงแค่ได้สบตากับสายตาที่จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ สมองของเขาก็โล่งและดวงตาที่มืดมนราวกับมีหมอกปกคลุมก็สว่างทันที 


 


 


“นั่นสิเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเองก็อายุเยอะแล้ว แต่ยังรู้สึกเหมือนว่าองค์รัชทายาทที่โตเป็นหนุ่มแล้วเป็นเด็กน้อยเจ็ดขวบอยู่เลย” 


 


 


แม้จะหาคราบของผู้หญิงเย็นชาซึ่งเคยใช้มือเดียวในการควงดาบสีนิลและควบคุมธนูราวกับเป็นร่างกายของตนเองด้วยสีหน้าสุขุมและเสียงที่พูดอย่างนุ่มนวลไม่เจอแล้ว แต่มหาเสนาบดีก็รู้ดีกว่าฮูหยินของเขายังคงไม่พอใจกับการจับเข็มแทนการจับดาบ นางสนุกกับการใช้เข็มนั้นแทงแมลงวันหรือผึ้งที่โชคร้ายเข้ากับกำแพงมากกว่าการเย็บปักถักร้อยเสียอีก การวางดอกไม้ที่นางเองไม่ได้ชอบไว้ตรงหน้าต่างที่จงใจเปิดออกกว้างไว้คือหลักฐาน 


 


 


“อ๊ะ พูดถึงก็เสด็จมาพอดี” 


 


 


เสียงฝีเท้าของคนสองคนดังขึ้นจากข้างนอกจนนายหญิงตระกูลจองไม่กล้าพูดจนจบ เสียงฝีเท้าอีกหนึ่งที่ไม่ใช่ของรยูฮาน่าจะเป็นของฮอน คู่สามีภรรยาจึงลุกขึ้นจากที่นั่งและไปเปิดประตูต้อนรับพวกเขา 


 


 


“จะเสด็จกลับพระราชวังแล้วสินะเพคะ หม่อมฉันคงเหงาแน่เพคะ” 


 


 


“อีกไม่นานข้าจะพาท่านทั้งสองมาที่พระราชวังสักครั้ง ไว้ตอนนั้นเรามาใช้เวลาดีๆ ร่วมกันอีกเถิด” 


 


 


ฮอนยิ้มกว้างพลางตอบอย่างอัธยาศัยดี เผลอแป๊บเดียวเขาก็กลายเป็นชายหนุ่มที่เชื่อถือได้เสียแล้ว หากสนมยอนยังคงมีชีวิตอยู่จะคุยโม้โอ้อวดขนาดไหนกันนะ นายหญิงตระกูลจองยิ้มพลางคิดถึงเรื่องที่เพ้อเจ้อที่สุดในโลก 


 


 


“งานนี้ ห้ามแพร่งพรายไปสู่ภายนอกเป็นอันขาดจนกว่าข้าจะบอก รบกวนด้วย” 


 


 


ฮอนที่นั่งอยู่ขอร้องพร้อมกับโค้งศีรษะลงเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางหายใจจนดูจริงจัง 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“หลังจากที่มินอาอาการดีขึ้นแล้ว ข้าจะส่งคนในวังมารับ นางคืออคนที่ท่านทั้งสองรักเหมือนกับลูกแท้ๆ เพราะฉะนั้นข้าขอฝากนางด้วย” 


 


 


“ขอบพระทัยอย่างยิ่งที่ตรัสเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากมีคนที่ข้าเชื่อใจและพึ่งพายิ่งกว่าพระราชา คนคนนั้นก็คือพระชายา ซึ่งคนที่ข้าไว้ใจมีเพียงท่านทั้งสองเท่านั้น แม้จะเกรงใจ แต่เพื่อพระชายาแล้ว ได้โปรดช่วยข้าด้วย แล้วข้าจะตอบแทนให้อย่างแน่นอน” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองกับรยูฮามีความคล้ายคลึงกันมากในตอนที่ยิ้มอย่างเดียวและไม่ได้พูดอะไร มีบางอย่างที่ชัดเจนถูกวาดขึ้นในหัวของฮอนซึ่งกำลังจ้องมองใบหน้าของแม่ยายอีกครั้ง ซึ่งภาพนั้นคือนายหญิงตระกูลจองซึ่งดูมีอายุมากกว่ารยูฮาในตอนนี้นิดหน่อย ด้านข้างของนางมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่ เสียงที่แข็งกร้าวแต่ก็สั่นเครือเล็กน้อยพูดอะไรบางอย่าง 


 


 


‘ทรงทำได้ดีแล้วเพคะ องค์ชาย…’ 


 


 


“ฝ่าบาท?” 


 


 


จู่ๆ ฮอนก็ขมวดคิ้วและจับจ้องไปที่นายหญิงตระกูลของ รยูฮาตกใจ จับมือพร้อมกับเรียกเขา 


 


 


“มะ ไม่มีอะไร ข้าขอไปรับลมเสียหน่อย แล้วค่อยไปเตรียมตัวกลับวัง” 


 


 


ฮอนลุกขึ้นจากที่นั่งโดยจับจุดไม่ถูกเลยว่ามันคือความทรงจำหรือภาพปลอมที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นกันแน่ หลังจากออกมาข้างนอก สายลมที่พัดโชยผ่านแก้มของเขาไปทำให้สติของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น ฮอนจมอยู่กับความคิดและก้าวออกไปช้าๆ โดยไม่ดูทางข้างหน้า รยูฮาเองก็เดินไปพร้อมๆ กับเขาเช่นกัน และแล้วเท้าของทั้งคู่ก็เดินอ้อมเรือนและเข้าไปยังลานด้านหลังโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“ฝ่าบาท ทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะ” 


 


 


เสียงของรยูฮาเรียกฮอนซึ่งจมอยู่ในห้วงความคิด 


 


 


“ก็แค่ ข้าเห็นภาพแปลกๆ อยู่เรื่อยเลยน่ะ” 


 


 


“แบบไหน…?” 


 


 


สายตาของฮอนซึ่งกำลังจะเอ่ยปากพูด กวาดตามองลานหลังบ้านหนึ่งรอบก่อนจะหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ที่ว่างอันกว้างขวาง ห้องเก็บของที่ตั้งอยู่ตรงมุมนู้น นั่นคือสถานที่ที่นายหญิงตระกูลจองหมอบซึ่งเห็นอยู่ในหัวเมื่อสักครู่ 


 


 


 


 


 


* * *  

 

 


ตอนที่ 9-11

 

“หม่อมฉันน่าจะทูลให้ทราบก่อนหน้านี้” 


 


 


เป็นเสียงที่สงบนิ่ง แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความเห็นใจ ความทุกข์และความคิดถึงซึ่งสั่นไหวมาทีละนิดผ่านสายลมอ่อนๆ 


 


 


“หมายความว่าท่านรู้เรื่องสมัยเด็กของข้าอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ” 


 


 


ทั้งพระพันปี พระราชา พระมเหสี และแม้แต่พี่ต่างมารดาต่างก็หลบสายตาและหลีกเลี่ยงทุกครั้งที่เขาถามถึง จึงทำให้เขาไม่อยากรู้เรื่องความทรงจำของผู้เป็นแม่แท้ๆ อีกต่อไป ฮอนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแม่ของรยูฮาจะรู้เรื่องนี้ด้วย น้ำเสียงของเขาจึงสูญเสียความสุขุมไปจนหมดสิ้น 


 


 


“รู้ตั้งแต่ตอนที่ฝ่าบาทยังทรงไม่ลืมตาดูโลก ไปจนถึงสมัยที่ฝ่าบาทยังทรงเยาว์วัยเพคะ” 


 


 


สายตาที่เต็มไปด้วยความฉงนและความสับสนหันไปมองรยูฮาซึ่งจ้องมองแม่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และนั่งอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งเฉย 


 


 


“พระชายาก็ด้วย…?” 


 


 


แววตาของภรรยาที่ไร้การสั่นไหวมองมาที่เขาแล้วพยักหน้า 


 


 


“ตอนที่หม่อมฉันเจอฝ่าบาทเป็นครั้งแรก ฝ่าบาทมีอายุได้สี่ชันษาเพคะ” 


 


 


“แล้วทำไมถึงไม่บอกอะไรข้าเลยล่ะ” 


 


 


ฮอนเอ่ยถามราวกับเสียใจ น้ำเสียงที่ยังคงสงบนิ่งของนายหญิงตระกูลจองรับคำพูดของเขาที่เจือความขุ่นเคืองเล็กน้อยเอาไว้ 


 


 


“หม่อมฉันสั่งไว้เช่นนั้นเองเพคะ เพราะคิดว่าการรื้อฟื้นความทรงจำของพระสนมยอนไม่ได้มีอะไรดีต่อฝ่าบาท แต่ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะคิดผิดเพคะ เพราะในตอนนี้ฝ่าบาททรงเติบโตกลายเป็นองค์รัชทายาทที่แข็งแกร่งไม่ใช่เด็กน้อยในสมัยนั้นอีกต่อไป” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองลูบหลังมือของลูกเขยซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเบาๆ เผลอแป๊บเดียวมือขาวที่เล็กกระจุ๋มกระจิ๋มเหมือนกับใบต้นเมเปิ้ลได้เติบโตกลายเป็นมือของชายหนุ่มซึ่งมีเส้นเลือดนูนขึ้นมาบนหลังมือและนิ้วที่เรียวยาวเสียแล้ว นายหญิงตระกูลจองจ้องมองมือนั้นสักพักแล้วจึงชักมือออก ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากพูดในขณะที่รินน้ำจากกาน้ำชาที่สาวใช้นำเข้ามาพอดี 


 


 


“หม่อมฉันเคยเป็นลูกสาวนอกสมรสเพคะ ซึ่งก็คือลูกสาวที่เกิดนอกครอบครัวพ่อของหม่อมฉันเพคะ” 


 


 


เรื่องนั้นรยูฮาก็รู้อยู่แล้วเช่นกัน แต่เพราะว่านางไม่เคยต้องเศร้าเพราะเรื่องนั้นจึงไม่ได้คิดมากนัก 


 


 


“มันลำบากมากเพคะ ทั้งยังไม่สามารถแต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์ได้ และเพราะสายเลือดของตระกูลผู้สถาปนาชาติจึงไม่สามารถไปเป็นภรรยาคนที่สองหรืออนุภรรยาได้ด้วยเพคะ ดังนั้นท่านพ่อจึงให้หม่อมฉันจับดาบแทนสะดึง และหลังจากวันนั้นท่านก็กล่าวว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมมาก จนในปีที่อายุได้สิบแปดปี หม่อมฉันจึงได้เข้ามาในวังหลวงเพคะ” 


 


 


“วังหลวงงั้นหรือ…อย่าบอกนะว่า?” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองยิ้มให้กับคำถามของฮอนซึ่งเอียงคอด้วยความสงสัย มันคือช่วงเวลาที่ทั้งมืดมนและเปล่งประกาย ช่วงเวลาเหล่านั้นที่คิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่งดงามที่สุดในชีวิตของนาง เมื่อลองนึกย้อนกลับไปราวกับเรื่องเหล่านั้นได้เกิดขึ้นอีกครั้งตรงหน้าโอรสของพระราชา 


 


 


“หน่วยทหารคุ้มกันของพระราชา ฝ่าบาทเองก็น่าจะทรงทราบนะเพคะ พวกที่ถูกเรียกว่าเงา ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ผู้ชาย แต่นานๆ ครั้งมากๆ ที่จะมีผู้หญิงสักคนในหน่วย ซึ่งผู้ที่รู้ว่ามีผู้หญิงอยู่เพียงคนเดียวในตอนนั้นมีเพียงแค่สองคนเท่านั้นคือพระราชาและท่านรองเสนาบดีแห่งกรมกลาโหมซึ่งมีหน้าที่ดูและฝึกฝนหน่วยทหารคุ้มกันเพคะ” 


 


 


“ท่านรองเสนาบดีแห่งกรมกลาโหมคนนั้น…คือท่านพ่อใช่ไหมเจ้าคะ” 


 


 


ที่พระราชาเคยตรัสว่าท่านพ่อท่านแม่เป็นข้าหลวงที่ซื่อสัตย์คงเป็นเรื่องนี้สินะ การที่ไม่นางสังเกตเห็นแม้จะเคยได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ตามไม่ใช่เพราะว่ารยูฮาไม่มีไหวพริบ แต่ว่าเงาของพระราชาอย่างนั้นหรือ ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงเช่นนั้นจะเป็นภรรยาของมหาเสนาบดี 


 


 


“เพคะ พระชายา เดิมทีแล้วมันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถมีได้ แต่ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการช่วยให้สามารถจัดพิธีสมรสอย่างยิ่งใหญ่กับท่านรองเสนาบดีแห่งกรมกลาโหมซึ่งเป็นข้าราชบริพารของตนเองได้เพคะ และในวันหนึ่งซึ่งใกล้จะถึงวันพิธีในอีกไม่กี่วัน หม่อมฉันก็ได้พบกับนางในคนหนึ่งที่วังโดยบังเอิญ นางชื่อว่าอาจินซึ่งเคยเป็นสหายสมัยเด็กคนเดียวของหม่อมฉัน จำได้ว่าในตอนนั้นครอบครัวของนางพังพินาศ พ่อกับแม่ก็เสียชีวิต ท่านพ่อของหม่อมฉันสงสารเด็กที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งคนนั้นจึงส่งนางมาที่วังหลวงเพคะ” 


 


 


อาจิน คือชื่อเก่าก่อนที่นายหญิงตระกูลจองจะแต่งงานและถูกเรียกว่าฮูหยินท่านใต้เท้าหรือไม่ก็ฮูหยินท่านเสนาบดี ฮอนมีสีหน้าเช่นเดียวกับรยูฮาที่เอียงคอด้วยความสงสัยอยู่ข้างๆ 


 


 


“แม้จะมีนามเช่นเดียวกับแม่คนนี้ แต่นามสกุลของเด็กคนนั้นคือยอนเพคะ เพราะอย่างนั้นจึงเริ่มสนิทกันเพคะ จองอาจิน ยอนอาจิน” 


 


 


ยอนอาจิน แม้จะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่เคยได้ยินใครเรียก รวมถึงไม่เคยเรียกจากปากตัวเองเช่นกัน เพราะอย่างนั้นแม้ว่าฮอนจะถามซ้ำอีกรอบก็ยังยากที่จะเชื่ออยู่ดี 


 


 


“ท่านบอกว่าเคยเป็นสหายสมัยเด็กของเสด็จแม่แท้ๆ ของข้าอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“เพคะ พระสนมยอนซึ่งทรงเป็นพระมารดาแท้ของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงทราบความจริงเรื่องนั้นอยู่แล้วจึงส่งให้อาจินไปข้างนอกพระราชวังสักพักหนึ่งในวันที่จัดพิธีสมรสของพวกเรา หม่อมฉันไม่มีทางที่จะตอบแทนบุญคุณนั้นได้เลยเพคะ ผ่านไปได้ไม่นาน อาจินก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณและถูกแต่งตั้งเป็นพระสนม ส่วนครอบครัวของเราก็ให้กำเนิดบุตรชายสามคนและธิดาอีกหนึ่งคนเพคะ และในตอนที่ธิดาเริ่มเดินเตาะแตะ หม่อมฉันก็ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากฝ่าบาทเพคะ” 


 


 


ฮอนกับรยูฮาจับมือกันและจมลึกเข้าไปในเรื่องราวของนายหญิงตระกูลจองโดยไม่รู้ตัว โดยที่จ้องมองที่ริมฝีปากของนางไม่หยุด ส่วนกาน้ำชาที่เย็นชืดได้ถูกลืมไปนานแล้ว 


 


 


“ทรงขอให้หม่อมฉันปกป้องพระสนมยอนกับบุตรในท้อง ทั้งสองพระองค์ก็น่าจะทรงทราบ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลซึ่งคอยดูแลหลังให้อยู่เสมอจะสามารถให้คำยืนยันได้ว่าบุตรคนที่สามจากนางสนมที่ไม่มีอำนาจใดๆ เป็นคนอุ้มท้องจะเกิดมาได้โดยปลอดภัย หม่อมฉันจึงต้องฝากพระชายาให้แม่นมดูแลและเฝ้าอยู่ด้านบนหลังคาของวังซออันทั้งคืนจนกระทั่งพระโอรสทรงลืมตาดูโลกได้โดยปลอดภัยเพคะ หากรวบรวมหัวของผู้ลอบสังหารที่หม่อมฉันฆ่าในตอนนั้นก็น่าจะประมาณหนึ่งลังไม้เพคะ สามารถบอกได้เลยว่าฝ่าบาททรงฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่งเพคะ” 


 


 


การที่นางทำสีหน้าใจดีและพูดเรื่องที่รุนแรงแบบนั้นเหมือนกับไม่ใช่เรื่องแปลกช่างเหมือนกับรยูฮาเสียจริง ฮอนคิดพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย 


 


 


“หลังจากพระโอรสประสูติโดยปลอดภัย พระองค์ก็ทรงได้รับพระนามว่าฮอน ในตอนนั้นหม่อมฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเด็กคนนั้นจะเติบใหญ่และกลายมาเป็นพระสวามีของบุตรสาวตัวน้อยของหม่อมฉัน จำได้แค่ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเพคะ พระสนมมักจะเคาะกำแพงเรียกหม่อมฉันในตอนกลางดึก จากนั้นจึงบอกว่าองค์ชายทรงถีบแรงมากจนนอนไม่หลับ แล้วทรงอวดกึ่งขอร้องให้หม่อมฉันลองจับท้องดูเพคะ สีหน้าของนางในตอนนั้น หม่อมฉันยังคงจำได้ชัดเจน” 


 


 


“เสด็จแม่ทรงรักข้ามากเลยหรือ” 


 


 


“ใช่แล้วเพคะ อย่างในวันที่แดดดี พระสนมผู้ซึ่งเป็นคนเงียบและไม่ค่อยพูดมักจะไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านเพียงลำพังพร้อมกับลูบท้องไปและพูดไปว่า ลูก อันนี้คือผีเสื้อ ส่วนอันนี้คือดอกไม้ ลูก ลูก…เพคะ” 


 


 


ท้ายประโยคของนายหญิงตระกูลจองมีน้ำตาซึมออกมา อาจินซึ่งเป็นสหายเพียงคนเดียวในชีวิตที่ลำเค็ญของนางซึ่งไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วยเนื่องจากเป็นลูกนอกสมรส นักดาบและเป็นเด็กที่ถูกซ่อนเอาไว้ ภาพที่นางอมยิ้มบนใบหน้าสวยและลูบท้องที่นูนขึ้นมาราวกับพระจันทร์เต็มดวงนั้นยังคงติดตาอยู่อย่างชัดเจน นายหญิงตระกูลจองจิบชาที่เย็นไปแล้ว จากนั้นจึงหยุดน้ำตาแล้วพูดต่ออีกครั้ง 


 


 


“หลังจากองค์ชายทรงมีอายุเกินร้อยวันอย่างปลอดภัย หม่อมฉันจึงได้กลับมาที่บ้านอีกครั้ง เลี้ยงดูพระชายาและลูกชายที่ไม่สามารถดูแลได้ในตอนนั้น รวมถึงเด็กผู้หญิงผู้น่าสงสารที่มาขอข้าวกินด้วยตัวเอง และรับเด็กคนนั้นมาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของครอบครัวเราเพคะ ซึ่งนางก็คือเด็กที่เสี่ยงชีวิตไปช่วยพระองค์ทั้งสองในครั้งนี้เพคะ ทั้งยังเป็นลูกสาวที่หม่อมฉันให้กำเนิดด้วยหัวใจอีกด้วย” 


 


 


“มินอาหรือเพคะท่านแม่ จริงหรือ?” 


 


 


“แน่นอนเพคะพระชายา” 


 


 


เมื่อเกิดรอยยิ้มบนริมฝีปากของรยูฮา ฮอนเองก็มองนางพร้อมกับยิ้มเช่นกัน แต่รอยยิ้มเหล่านั้นกลับเลือนหายไปอีกครั้งด้วยคำพูดต่อมาของนายหญิงตระกูลจอง 


 


 


“หลังจากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาได้หลายปี หม่อมฉันก็ได้รับจดหมายลับจากพระราชาอีกครั้งหนึ่งเพคะ ว่าพระสนมทรงดื่มยาพิษที่ไม่ทราบชื่อและหมดสติไป หม่อมฉันจึงรีบเข้าไปที่พระราชวังและได้พบกับผู้ลอบสังหารโดยบังเอิญ ถึงแม้ว่าจะดื่มยาพิษเข้าไปแต่พระสนมไม่สามารถทิ้งโอรสที่ยังเล็กไว้และตายไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมาเพื่อตัดลมหายใจสุดท้ายของพระสนมซึ่งอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ทว่าในคืนนั้นหม่อมฉันไม่สามารถปกป้องพระสนมไว้ได้เพคะ เพราะในตอนที่หม่อมฉันชักดาบออกมา องค์ชายที่จะแอบออกมาหาพระมารดาเปิดประตูออกมาพอดีเพคะ หม่อมฉันจึงไม่สามารถหยุดยั้งดาบที่แทงลงไปในหน้าอกของพระสนมได้ และอุ้มองค์ชายวิ่งไปที่วังกอนชองเพคะ หลังจากนั้นองค์ชายก็ประชวรหนัก ต่อจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทรงทราบเพคะ พระมเหสีทรงนำตัวองค์ชายที่เสียแม่แท้ๆ ไปเลี้ยงดูจนถึงตอนนี้เพคะ” 


 


 


น้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าของนายหญิงตระกูลจองซึ่งเล่าเรื่องราวที่อยู่ในใจออกมาจนหมด นางทำตามคำสั่งของพระราชาที่ขอให้ปกป้องพระสนมไม่สำเร็จ และวันนั้นคือวันที่นางชักดาบเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอได้เห็นองค์ชายที่นางเคยปกป้องเติบโตอย่างสง่างามและจับมือของลูกสาวอยู่ตรงหน้า หากย้อนกลับไปได้นายหญิงตระกูลจองก็คงจะเลือกเหมือนเดิม เพราะอาจินอีกคนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราก็คงจะต้องการอย่างนั้นเช่นกัน  

 

 


ตอนที่ 10-1

 

“เจ้าบอกว่าจะไม่พูดโกหก ต่อให้เอามีดมาจ่อคอไม่ใช่รึ” 


 


 


ภายในห้องบรรทม ณ วังซึงกอนที่เปลวไฟในเตาไฟลุกโชนทวีคูณขึ้น ฮอนห่มผ้าห่มด้วยกันกับรยูฮาและกระซิบกระซาบข้างใบหูของนาง 


 


 


“หม่อมฉันจะไม่พูดโกหกเพคะ หม่อมฉันจะไม่พูดอะไรเลย” 


 


 


“เจ้าพูดได้ดีเสมอเลยนะ” 


 


 


ฮอนโอบไหล่ของรยูฮาให้เข้ามาในอ้อมกอดและจุมพิตลงบนหน้าผาก ภายใต้ผ้าห่มที่อุ่นสบาย ความรักและความผูกผันที่ถูกโอบกอดอยู่ในอ้อมอก และอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมรวยรินซึ่งส่งกลิ่นออกมาจากตัวของนาง มันคือช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิตของฮอนที่ได้มีชีวิตมา 


 


 


“ไม่ทรงเกลียดหม่อมฉันหรือเพคะ” 


 


 


“แม้ว่าเจ้าจะเชือดคอข้าด้วยดาบสีนิลนั้น ข้าก็ไม่เกลียดเจ้าหรอก” 


 


 


“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะเพคะ” 


 


 


รยูฮาเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยจากอ้อมอกที่ถูกกอดอยู่และขบเม้มริมฝีปากของเขาอย่างเจ้าเล่ห์ ฮอนเปล่งเสียงครางดังอื้อเพราะความเจ็บแสบพร้อมทั้งหัวเราะไปด้วย 


 


 


“ข้าชักไม่ชอบใจขึ้นมานิดหน่อยบ้างแล้ว ที่เจ้าไม่ทำต่อน่ะ” 


 


 


รับเสียงหัวเราะที่ไหลผ่านระหว่างริมฝีปากทั้งสองที่ประกบกันเข้ามาต่างเหล้า และรับก้อนเนื้อหยุ่นที่ขบเม้มเข้ามาต่างกับแกล้ม ถึงจะไม่เมาแต่ก็ไม่สามารถทนไหวได้ เสียงอ่อนระทวยสอดแทรกเข้าไประหว่างทั้งสองที่ค่อยๆ ร้อนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


“องค์รัชทายาท องค์ชายสองขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“…อ้า” 


 


 


ฮอนประทับจูบบนลงบนปลายจมูกโด่งและริมฝีปากของรยูฮาเป็นการส่งท้ายพร้อมกันกับส่งเสียงครางด้วยความเสียดาย ก่อนจะยกตัวขึ้น 


 


 


“หมู่นี้องค์ชายเสด็จมาหาฝ่าบาทบ่อยนะเพคะ” 


 


 


“ก่อนที่เจ้าจะเข้ามา พวกเราดื่มเหล้าด้วยกันบ่อยๆ และออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกวังบ้างบางครั้งน่ะ พออากาศหนาวขึ้น เสด็จพี่ก็คงจะเหงาน่าดู” 


 


 


ข้อมือของฮอนที่เยื้องกายเข้าใกล้ประตูหลังจากจัดชุดที่หลุดลุ่ยอย่างลวกๆ ถูกฉกฉวยไปอย่างแรง รยูฮาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของเขาที่กลับหลังหันตามธรรมชาติ เมื่อใบหน้าถูกระดมจูบอย่างหนักต่อเนื่องและไร้สติ ฮอนจึงระเบิดหัวเราะออกมาพลางสวมกอดรยูฮาและกระซิบอย่างหวานหยดข้างใบหู 


 


 


“ข้าจะกลับมาทันทีที่ตะวันขึ้น พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ” 


 


 


“จะเข้ามากวนอีกตอนที่หม่อมฉันนอนอยู่หรือเพคะ” 


 


 


“หากไม่ใช่ตอนนั้น ก็แทบจะไม่มีตอนไหนที่กวนใจเจ้าได้อย่างเต็มที่แล้วนะ” 


 


 


ประตูถูกเปิดออกราวกับตัดบทการร่ำลาอันน่าเสียดายที่ดำเนินต่อไปไม่จบไม่สิ้น แววตาของคนรักทั้งสองโอบกอดกันและกันจนกระทั่งประตูถูกปิดลงอย่างช้าๆ ฮอนใช้ปลายนิ้วไล้ริมฝีปากที่รยูฮาระดมจูบเมื่อครู่แล้วออกไปยังโถงทางเดินหนาวเหน็บ ชานกำลังรอฮอนอยู่ตรงสุดทางนั้น พี่น้องต่างท้องที่ต่างกับเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด คอยเฝ้าดูแลและหวงแหนฮอนเสมอมา 


 


 


“เสด็จพี่” 


 


 


“ดูเหมือนว่าข้าไม่ควรจะมาหาสินะ สีหน้าถึงดูไม่ดีเลย” 


 


 


“ไม่หรอก พระชายาก็เพิ่งจะหลับไปน่ะ อย่าได้เป็นกังวลเลย” 


 


 


แม้ความสัมพันธ์จะห่างไกลกัน แต่ความชื่นชอบของฮอนที่มีต่อชานก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และยิ่งเป็นเช่นนั้นมากขึ้นเมื่อไม่มีรยูฮามาคั่นกลาง ฮอนตีแขนชานเบาๆ อย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะเดินขนาบข้างผ่านพระราชวังที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างยามค่ำคืนไปด้วยกัน การอยู่ด้วยกันกับรยูฮาเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็คิดว่าการได้เดินเล่นกับเสด็จพี่สองคนแบบนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน 


 


 


“จำได้หรือไม่ ในฤดูนี่แหละ ที่พวกเราแอบขโมยถ่านในเตาไฟที่ยังคุอยู่ออกมาเล่นจนเกือบเผาพระราชวังเสียแล้ว” 


 


 


“…อ้า อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมลืมไปเสียสนิท” 


 


 


เปล่าหรอก ความจริงแล้วยังไม่ลืม วันนั้นน่าจะเป็นฮอนที่แอบขโมยถ่านที่ยังคุอยู่ใส่ในขันน้ำว่างเปล่าออกมา แต่เพราะว่าชานถูกพระราชาเรียกไปตำหนิอย่างรุนแรงแทนที่จะเป็นฮอนซึ่งเป็นองค์รัชทายาท พระสนมเอกมุนที่รีบวิ่งมาหลังจากได้ยินข่าวนั้นจึงนั่งคุกเข่าลงข้างๆ ชาน แล้วขอประทานอภัยโทษให้แก่ชาน ทันทีที่ได้ออกมาข้างนอก ชานก็ถูกมารดาตบหน้าต่อหน้านางในทั้งหลายที่กำลังจับจ้องและล้มลงไปกับพื้นเย็บเฉียบ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้ ไม่เป็นไร เขาคิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ในตอนนั้น 


 


 


“หากเสด็จพี่ไม่รีบถอดเสื้อเพื่อดับไฟ ข้าก็คงจะไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้” 


 


 


“โชคดีน่ะพ่ะย่ะค่ะ เพราะถ้าหากลมพัดแรงถึงขนาดนี้ เปลวไฟก็คงจะลุกลามอย่างเร็วเป็นแน่” 


 


 


หากในตอนนั้นไฟไม่ดับ ถ้าหาก ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น พระชายาก็คงจะเป็นผู้หญิงของข้าหรือเปล่านะ ถ้าหากไม่มีเจ้า พระชายาจะสามารถเป็นผู้หญิงของข้าได้ใช่ไหม ในขณะที่คำว่า ‘ถ้าหาก’ ถูกบิดเบือนในหัวของชานนับครั้งไม่ถ้วน รู้ตัวอีกทีพวกเขาทั้งสองก็เดินผ่านสวนด้านหลังมาจนถึงวังจงซูแล้ว 


 


 


“นำเหล้าที่ดีที่สุดมาและเตรียมโต๊ะเหล้าด้วย” 


 


 


ชานเข้าขวางคำพูดของฮอนที่สั่งนางในซึ่งยืนโค้งศีรษะอยู่ 


 


 


“อ๋อ ข้าเตรียมเหล้ามาแล้ว เป็นเหล้าที่ได้รับพระราชทานมาจากฝ่าบาทในตอนที่เดินทางไปแถบชายแดนมาครั้งที่แล้วน่ะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ให้ข้าดื่มสุราล้ำค่าขนาดนั้นเชียวหรือ” 


 


 


“ก็เพราะสุรานั้นล้ำค่า กระหม่อมจึงนำมาให้องค์รัชทายาทอย่างไรเล่า” 


 


 


ชานยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเขย่าขวดเหล้าสีเขียวหยกที่รับมาจากมือของขันทีซึ่งเดินตามมาจากด้านหลังให้ดู เนื่องจากกลับมาโดยไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงได้ เสด็จพ่อจึงเลื่อนการแต่งตั้งยศออกไปพร้อมกับพระราชทานเหล้าขวดนี้ให้ด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งตั้งเขาให้เป็นชินวัง แต่ชานก็อ่านออกว่าในใจของพระราชาได้ยอมรับฮอนให้เป็นองค์รัชทายาทเรียบร้อยแล้วได้จากแววตานั้น 


 


 


“รสชาติของเหล้าช่างดีเสียจริง สงสัยคงเป็นเพราะเสด็จพี่มอบให้กระมัง” 


 


 


เหล้าหนึ่งแก้วหมดไปก่อนที่กับแกล้มจะถูกนำเข้ามาถวาย 


 


 


“ดื่มช้าๆ หน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เหล้าที่เลิศล้ำแบบนี้มันแรงนัก” 


 


 


จ๊อก เหล้าใสไหลลงมาในแก้วเหล้าว่างเปล่าอีกครั้ง ฮอนมองดูแสงไฟตะเกียงที่กระเพื่อมอยู่ในนั้นก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ในค่ำคืนนั้นที่นำเหล้าไปหารยูฮา แสงไฟตะเกียงก็เต้นระบำอยู่ในแก้วเหล้าอย่างวันนี้เช่นกัน 


 


 


“ฝ่าบาท โต๊ะเหล้าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เข้ามาสิ” 


 


 


ขณะที่สายตาของฮอนมองตรงไปยังประตูสักครู่ ชานก็นำยาเม็ดออกมาใส่ปากอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบแล้วจึงยกแก้วเหล้าขึ้นมา ฮอนหันหน้ากลับมามองชาน ก่อนจะยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นมาชนแก้วกันกลางอากาศ 


 


 


“บอกแล้วไงให้ดื่มช้าๆ” 


 


 


บนใบหน้าของน้องชายที่กระดกเหล้าแล้ววางลง มีภาพของพระสนมยอนผู้ซึ่งเป็นแม่ให้เขาเมื่อครั้งยังเด็กซ้อนทับอยู่ ชานทอดสายตามองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเสวยทีละอย่างเพื่อเก็บซ่อนนัยน์ตาที่สั่นไหว 


 


 


“แรงใช้ได้เลย รู้สึกเริ่มร้อนข้างในแล้ว” 


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นฮอนก็ยกขวดเหล้าขึ้นมาแล้วเติมแก้วที่ว่างเปล่าอีกครั้ง ช่างเป็นวันที่ดีอย่างประหลาด ได้ใช้เวลาร่วมกันกับรยูฮวาทั้งวัน แถมชานยังนำเหล้าอันล้ำค่าที่มีเพียงขวดเดียวบนโลกมาให้อีก หากทุกวันเป็นเหมือนอย่างวันนี้ก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว 


 


 


“เสด็จพี่มอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่ข้า ทั้งยังแบ่งปันเหล้าอันล้ำค่านี้ให้อีก แต่ข้ากลับไม่เคยมอบสิ่งใดให้แก่เสด็จพี่เลย” 


 


 


“กระหม่อมไม่รู้ว่าฝ่าบาทกำลังพูดเรื่องอะไร กระหม่อมมีอำนาจอันใดถึงขนาดมอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่ฝ่าบาทได้อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮอนยิ้มแย้มพลางกระดกเหล้าดื่ม รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้ที่เห็นยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว จริงๆ แล้วฮอนมีความคล้ายคลึงกับแม่บังเกิดเกล้าของเขาอย่างยิ่ง 


 


 


“ข้ารู้หมดแล้ว ข้าเองก็มีหูมีตาเหมือนกันนะ อันที่จริงแล้วข้าก็ตั้งใจจะมอบตำแหน่งนั้นคืนให้ แต่ข้าไม่สามารถทำได้” 


 


 


“เพราะเช่นนั้นจึงทำตัวเสเพลไปทั่วงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เพื่อที่จะยกตำแหน่งนั้นคืนให้กระหม่อม?” 


 


 


ฮอนไม่ได้รับรู้เลยว่าน้ำเสียงของชานนั้นสั่นไหว ช่างเป็นเหล้าที่แรงจริงๆ ความร้อนระอุที่แผ่กระจายไปทั่วท้องทำให้สติเริ่มเลือนราง ฮอนคิดว่าควรจะหยุดดื่ม แล้วจึงพูดข้อความสุดท้ายออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะข้ามีเหตุผลที่จะต้องรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ให้ได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เสด็จพี่ต้องการ ข้า…” 


 


 


‘จะอยู่ตรงนี้เสมอ’ ตุ้บ แก้วเหล้าร่วงหล่นไปจากมือแทนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกไป ชานรับร่างกายของน้องชายที่ดิ่งลงสู่พื้นไว้ไม่ได้ ทัศวิสัยของเขาเลือนรางและร่างกายของเขาก็ไม่มีแรงเช่นกัน ปลายนิ้วของชานที่ยื่นออกไปอย่างยากเย็นสัมผัสกับฮอน เสียงกรีดร้องของเหล่านางในที่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนดังก้องไปทั่วพระราชวัง 


 


 


 


 


 


* * *  

 

 


ตอนที่ 10-2

 

พระราชวังและทั่วทั้งประเทศอลหม่านวุ่นวายกันไปหมด เนื่องจากพบยาพิษที่ไม่รู้จักภายในเหล้าที่องค์รัชทายาทกับองค์ชายสองดื่มร่วมกัน ซึ่งนั่นคือเหล้าที่พระราชาเป็นผู้พระราชทานให้ด้วยตนเอง มีเพียงแค่นางในที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีตายไปตามกันๆ โดยที่หาเบาะแสไม่เจอแม้แต่อย่างเดียว 


 


 


พระมเหสีกับพระสนมเอกนั่งอยู่ข้างเตียงโอรสของตนทั้งคืน ส่วนพระพันปีก็ประชวรหนัก ลมหายใจของทั้งคู่ยังคงแผ่วเบาพร้อมกับจับเชือกชีวิตเส้นสุดท้ายไว้อย่างเหนียวแน่น ร่างกายที่เคยแข็งแรงและแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครกลับผ่ายผอมราวใบไม้แห้ง 


 


 


“องค์ชาย ได้โปรดลืมตาขึ้นมา องค์ชาย…” 


 


 


แม้แต่พระสนมเอกมุนที่เลื่องลือกันว่าเย็นชาและร้ายกาจก็ยังเป็นแม่ที่ทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าบุตรชายที่ความตายมารออยู่ตรงหน้า ภาพอันน่าเศร้าสร้อยที่จับตัวชานเอาไว้พร้อมกระซิบกระซาบ ทำให้แม้แต่เหล่าข้าราชบริพารถึงกับเบือนหน้าพลางกลั้นน้ำตา 


 


 


“พระสนมเอก ยาสมุนไพรพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เอามาให้ข้า ข้าจะป้อนให้เอง” 


 


 


ริมฝีปากของบุตรชายที่เคยพรวดพราดเข้ามาหานางและสาดคำพูดที่ทิ่มแทงใจใส่ บัดนี้กลายเป็นไร้สีสันและถูกปิดสนิทราวกับดื่มน้ำในแม่น้ำแห่งความตายเข้าไป พระสนมเอกมุนใช้ปลายนิ้วเปิดปากเขาและใช้เวลายาวนานในการป้อนยาสมุนไพรลงในช่องว่างเล็กๆ นั้นทีละหยดอย่างระมัดระวังตลอดช่วงเวลาสิบเก้าวันโดยไม่ว่างเว้นแม้เพียงวันเดียว และในวันที่ยี่สิบ ชานก็ลืมตาขึ้น ซึ่งเป็นยามเช้าที่มีสายฝนฤดูหนาวตกลงมาเปาะแปะเพิ่มความว้าเหว่ 


 


 


 


 


 


“องค์ชาย องค์ชาย! รีบไปตามหมอหลวงมา! องค์ชายลืมตาแล้ว!” 


 


 


หยดน้ำตาขนาดใหญ่หยดลงมาจากดวงตาของพระสนมเอกมุนที่ร้องตะโกนด้วยความตื้นตันใจ 


 


 


“…พระสนมเอก” 


 


 


น้ำตาของมารดาที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่น้ำเสียงของชานที่เรียกนางกลับไม่มีความอบอุ่นอยู่เลย 


 


 


“ฮอนล่ะ…” 


 


 


“ได้ยินมาว่ายังไม่ลืมตาเลย องค์ชาย องค์ชายก็ต้องเข้มแข็งไว้เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าเพิ่งกังวลเรื่องคนอื่นและพักฟื้นพระวรกายให้ดีเสียก่อน” 


 


 


พระสนมเอกมุนพูดเช่นนั้นพร้อมกับนำยาเม็ดขนาดเท่าเล็บมือออกมาจากใต้แขนเสื้อและยัดใส่ปากของชาน ทันทีที่ชานกลืนสิ่งนั้นลงคอไป หมอหลวงที่ใต้ตากลายเป็นสีดำก็วิ่งเข้ามาพอดีและตรวจวัดชีพจรอย่างรีบร้อน 


 


 


“กระหม่อมขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ตอนนี้ชีพจรคงที่แล้ว เพราะฉะนั้นเสวยยาสมุนไพรอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ พระองค์ทรงผ่านพ้นวิกฤตอันตรายมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


คำพูดที่หมอหลวงกราบทูลให้ทรงทราบ ทำให้มุมปากของชานบิดเบี้ยวขึ้น ไม่มีความคิดที่จะตาย แต่ถึงกระนั้นเขาได้ตายไปแล้ว ชานที่เคยรักและหวงแหนน้องชายยิ่งกว่าใครในโลก ไม่หลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้อีกแล้วนับตั้งแต่วินาทีที่ส่งขวดเหล้าไปในมือของน้องชาย 


 


 


ข่าวที่ว่าชานได้ลืมตาขึ้นแล้วบินไปถึงวังจงซูซึ่งจมอยู่ในความระทมทุกข์ สีหน้าของพระมเหสีซีดเซียวเฉกเช่นวันนั้นที่ได้เห็นฮอนหมดสติเป็นครั้งแรก รยูฮาที่นั่งอยู่ข้างๆ กันก็ลูบฝ่ามือที่อยู่นอกผ้าห่มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อย่างนิ่งเงียบ 


 


 


“หากดื่มยาพิษแบบเดียวกันเข้าไปแล้วหมดสติ ทำไมถึงมีเพียงแค่องค์ชายสองที่ฟื้นขึ้นมาล่ะ!” 


 


 


“เดิมทีองค์ชายสองทรงมีพระวรกายแข็งแรงกว่าองค์รัชทายาทอยู่แล้วและ… ปริมาณเหล้าที่เสวยร่วมกัน ดูเหมือนองค์ชายสองจะเสวยน้อยกว่าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ความโกรธเกรี้ยวของพระมเหสีพุ่งเข้าใส่ขันทีที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง หากฮอนไม่ฟื้นขึ้นมาแบบนี้ ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็จะตกไปเป็นของชาน และพระสนมเอกมุนก็จะได้อำนาจครองตำแหน่งพระพันปี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่จะโดนกำจัดแรกสุดจะเป็นใครไปได้ นอกเสียจากคนที่คอยดูแลองค์ชายหนึ่งและนางที่ไม่สามารถได้รับทั้งความรักใคร่เป็นพิเศษจากพระราชา รวมถึงวงศ์ตระกูลที่มีอำนาจ 


 


 


“จริงสิ องค์ชายฟื้นแล้ว ข้าคงจะต้องไปเยี่ยมด้วยตัวเองเสียหน่อย พระชายาช่วยอยู่เฝ้าองค์รัชทายาทด้วยนะ อย่าให้ใครเข้ามาใกล้โดยเด็ดขาด” 


 


 


หากละสายตาไปเพียงชั่วครู่ อาจมีใครบางคนมาตัดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของฮอนก็เป็นได้ เหมือนเช่นวันนั้นที่พระสนมยอนถูกตัดเชือกชีวิตที่จับไว้แน่นทิ้ง ความรู้สึกพะวักพะวนนั้นทำให้พระมเหสีกินไม่ได้นอนไม่หลับ หากไม่จำเป็นจริงๆ นางจะไม่ยอมขยับเขยื้อนไปที่ไหน และถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคงต้องฝากฝังไว้กับพระชายา ผู้ที่นางสามารถไว้ใจได้เพียงหนึ่งเดียว 


 


 


“…ฝ่าบาท” 


 


 


หลังจากที่พระมเหสีออกไป ภายในห้องจึงเหลือแค่เพียงแค่ความเงียบสงบอันเยือกเย็นและคนสองคนเท่านั้น รยูฮาที่เอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ได้พูดอะไร จับมือของคนรักแนบลงที่ใบหน้าของตนเอง 


 


 


“ได้โปรดกลับมาทันทีทีที่ตะวันขึ้นนะเพคะ ไปที่วังจางชุนแล้วเดินเล่นด้วยกันที่สวน และหากข้างนอกหนาว ฝ่าบาทได้โปรดกอดหม่อมฉันไว้ด้วยเพคะ หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา หม่อมฉันจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝ่าบาททรงขอเลยเพคะ โปรดอดทนไว้อีกนิดนะเพคะฝ่าบาท…” 


 


 


ฮอนไม่ได้ยินเสียงที่พึมพำเงียบๆ ซึ่งคล้ายกับร้องเพลงและยังคงนอนอยู่อย่างนั้น ดวงตาที่มีแต่รยูฮาซ่อนตัวอยู่หลังเปลือกตาที่ปิดสนิทไม่ยอมเผยตัวออกมา มีเพียงเสียงฝนที่ตกลงมาสู่พื้นดินเท่านั้นที่ส่งคำตอบที่ไม่รู้ความหมายให้นาง 


 


 


ไร้เรี่ยวแรง รยูฮาสูญเสียแสงสว่างและจมอยู่กับภาวะไร้เรี่ยวแรงที่ไม่สามารถทำอะไรได้ โดยที่ยังคงจับมือของคนรักที่ราวกับจะจากไปได้ทุกเมื่อ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“พระชายา องค์ชายสองขอเข้าเฝ้าเพคะ” 


 


 


“ทูลองค์ชายว่าตอนนี้ข้าไม่สามารถไปพบได้” 


 


 


ชานได้สติหลายวันแล้ว เขาที่ลุกขึ้นมาได้ก่อนฟื้นฟูสุขภาพร่างกายอย่างรวดเร็ว จนสามารถเดินเหินได้ในเวลาไม่นาน แต่ฮอนที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาก็ยังคงจับเชือกชีวิตที่สั่นไหวอย่างน่าเป็นห่วงราวกับแสงเทียนที่อยู่ตรงหน้าลมไว้อย่างยากลำบากต่อไป ส่วนรยูฮาก็ยืนขวางหน้าลมนั้นพร้อมกับโอบกอดฮอนด้วยความอดทน 


 


 


“พระชายา กระหม่อมขอเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เมื่อชานดึงดันจะเข้ามา มือของมินอาจึงกำด้ามจับดาบเอาไว้ทันที แม้จะไม่ได้ชักดาบออกมาเพราะที่แห่งนี้คือพระราชวัง ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็เป็นองค์ชาย แต่ก็เป็นอากัปกิริยาที่แสดงให้เห็นถึงการป้องกันและการปฏิเสธพอตัว 


 


 


“พระชายาทรงไม่ประสงค์เช่นนั้น โปรดเสด็จมาใหม่คราวหลังเถอะเพคะ” 


 


 


“บาดเจ็บสินะ” 


 


 


เห็นได้ชัดว่ามินอาซึ่งถนัดมือขวาจับดาบด้วยมือซ้าย นอกจากนั้นแล้วหน้าอกที่ควรจะต้องนูนออกมาเล็กน้อยจากใต้ร่มผ้าก็ราบเรียบ นั่นหมายความว่าตัวของนางถูกพันด้วยผ้า หลังจากรู้เช่นนั้น แทนที่จะถอยหลังกลับไป ชานกลับขมวดคิ้วหนานิดๆ พร้อมกับถกแขนเสื้อข้างขวาของนางขึ้นเล็กน้อย มินอาผงะนิดหน่อยและกำด้ามจับดาบแรงขึ้น 


 


 


“โปรดนำมือของพระองค์ออกไปด้วยเพคะ” 


 


 


รู้ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถฟันได้ ชานจึงไม่สนใจและปล่อยมือหลังจากตรวจสอบผ้าฝ้ายสีขาวที่ถูกซ่อนใต้แขนเสื้อ 


 


 


“ไปทำอะไรมาถึงได้บาดเจ็บ” 


 


 


“มีการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ เพคะ ท่านทั้งสองควรจะต้องพักผ่อน ดังนั้นโปรดเสด็จกลับไปเถอะเพคะ” 


 


 


ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน เพราะอย่างไรก็ตามฮอนที่ไม่ได้รับยาถอนพิษจะค่อยๆ นอนตายไปอย่างช้าๆ และพระชายาก็จะกลายเป็นผู้หญิงของตน ชานพยายามสงบจิตใจที่วู่วามเพราะความคิดนั้นก่อนจะหันเท้ากลับไป 


 


 


“ข้าจะมาอีกในวันพรุ่งนี้” 


 


 


วันต่อมาและวันต่อต่อมา ชานก็ยังคงมาขอเข้าเฝ้าเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักเหนื่อย แต่รยูฮวาก็ไม่ย่างกรายออกมาข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียว และมินอาก็ไม่มีทีท่าที่จะยอมแพ้อย่างแน่นอน เมื่อใดที่มินอาซึ่งเป็นคนเดียวที่รยูฮาไว้วางใจไม่อยู่ ประตูของวังจงซูก็จะถูกลงกลอนไม่ให้ใครเข้าออกได้ จดหมายที่เขาส่งมอบให้ก็ถูกโยนเข้าไปในกองไฟทั้งที่ยังปิดผนึกอยู่เช่นกัน อันที่จริงรยูฮาก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรพิเศษ เพียงแค่ไม่ต้องการเห็นใบหน้าของเขาที่คล้ายคลึงกับฮอนอย่างประหลาดเท่านั้น 


 


 


ในอีกด้านหนึ่ง เหล่าเสนาบดีที่มั่นใจแล้วว่าองค์รัชทายาทคงจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้วต่างมารวมตัวกับเจ้ากรมการคลัง ซึ่งมีทั้งพวกที่เป็นกังวลเรื่องความมั่นคงของราชวงศ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ รวมถึงพวกที่คำนวณผลประโยชน์ของตนเองอย่างว่องไว แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังคงลงมติกันอย่างเปิดเผยว่าควรที่จะแต่งตั้งองค์รัชทายาทองค์ใหม่ทุกครั้งที่มีการประชุม 


 


 


“ฝ่าบาท โปรดทรงแต่งตั้งมูยองวัง องค์ชายสองให้ทรงเป็นองค์รัชทายาทเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ได้โปรดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


น้ำเสียงของข้าราชบริพารต่างฟังดูไม่พอใจ พระราชารู้ดีอยู่แล้วว่าชานมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้สืบทอด และครั้งหนึ่งก็เคยเลือกเขาให้เป็นองค์รัชทายาทเช่นกัน แต่ทว่านอกจากฮอนจะได้รับการสนับสนุนในฐานะองค์รัชทายาทจากราษฎรอย่างแท้จริงแล้วนั้น ก็คงจะมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าองค์ชายสองวางยาพิษองค์รัชทายาทเพื่อแย่งตำแหน่งนั้นมาอีกด้วย  

 

 


ตอนที่ 10-3

 

ถ้าหากแต่งตั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่เขาในตอนนี้ ข่าวลือที่รุนแรงนั่นก็จะติดตัวเขาไปตลอดหลังจากที่ชานได้สืบราชบัลลังก์ นอกจากนั้นแล้วในการตัดสินใจ พระราชาไม่สามารถลบภาพของชานในตอนนี้ที่หมองหม่นและอ่อนกำลังลงต่างจากสมัยก่อนที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศไปได้ 


 


 


“ข้ารู้ว่าพวกท่านพูดด้วยความจริงใจ แต่ว่าองค์รัชทายาทยังคงมีลมหายใจอยู่ ซึ่งพระมเหสีและพระชายาก็คอยดูแลเขาอยู่ด้วยความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ดังนั้นให้เวลาอีกสักพักก็คงจะดีขึ้นมิใช่รึ” 


 


 


“ฝ่าบาท เงื่อนไขลำดับแรกสำหรับองค์รัชทายาท นั่นคือพระวรกายที่แข็งแรงสมบูรณ์นะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งความมั่นคงขององค์รัชทายาทก็คือความผาสุกของราชวงศ์ หากราชวงศ์ไร้ความผาสุก ประเทศชาติก็จะพลอยไม่มั่นคงไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เจ้ากรมการคลังคือคนที่กระตือรือร้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ พระราชามองจำนวนเหล่าเสนาบดีที่หมอบกราบตรงหน้าและยืนกรานให้แต่งตั้งชานเป็นองค์รัชทายาอย่างคร่าวๆ ด้วยพระพักตร์ที่เคร่งเครียด คำนวณแล้วมีจำนวนมากกว่าครึ่ง หากมีจำนวนคนที่ยืนกรานเช่นนี้เพิ่มขึ้นอีกเพียงไม่กี่คน พระราชาก็คงไม่สามารถเพิกเฉยความคิดเห็นนั้นไปได้ มหาเสนาบดีที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาทั้งหมดยังคงปิดปากสนิทและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา 


 


 


“แม้ว่าองค์รัชทายาทจะยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ แต่ข้าก็ยังคงครองบัลลังก์นี้อย่างแข็งแรงอยู่มิใช่หรือ พวกเจ้ามองว่าข้าเป็นชายแก่ใกล้ลงโลงแล้วอย่างนั้นหรือ!” 


 


 


“มิบังอาจหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 


 


 


“ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น แล้วเจ้าบังอาจพูดจาพล่อยๆ เรื่องที่ตำแหน่งองค์รัชทายาทสั่นคลอนได้อย่างไร! ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกเจ้าแล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้!” 


 


 


เสียงตวาดแข็งกร้าวของพระราชาที่ปกติแล้วจะไม่ตะโกนทำให้เหล่าเสนาบดีม้วนหางถอยกลับออกไป แต่ก็ถอยไปได้สักพักเท่านั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เข้ามาโวยวายขอให้เปลี่ยนองค์รัชทายาทอีกเหมือนเดิม พระราชามองดูแผ่นหลังของพวกเขาอย่างขมขื่น พลางตรัสกับขุนนางที่โค้งคำนับและออกไปข้างนอกเป็นคนสุดท้ายอย่างแผ่วเบา 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดีมาที่ห้องทำงานของข้า” 


 


 


ขณะที่พระราชากำลังเล่นสงครามประสาทที่ตึงเครียดกับเหล่าเสนาบดีอยู่นั้น มินอาลงกลอนประตูทางเข้าของวังจงซู จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังที่พัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก นางรู้ว่าตนเองคือคนเดียวที่รยูฮาไว้วางใจจึงไม่ไปไหนเว้นเสียแต่งีบหลับช่วงครึ่งวันเช้า แม้แต่ตอนกินข้าวก็ยืนกินข้าวปั้นอย่างง่ายๆ หรือไม่ก็กินสำรับอาหารที่ถูกนำมาถวายให้รยูฮาเล็กๆ น้อยๆ บาดแผลที่ดีขึ้นมาแล้วจึงค่อยๆ ปริออกจนตอนนี้มีเลือดไหลออกมา หากไม่รักษาในตอนนี้อาจจะเป็นตนเองนี่แหละที่ทรุดลงไปก่อน เมื่อรู้เช่นนี้แล้วนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมุ่งตรงไปยังที่พัก 


 


 


“เฮ้อ” 


 


 


ผ้าฝ้ายเปื้อนเลือดปรากฏออกมาทันทีหลังจากที่มินอาถอดเสื้อออกพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ แขนข้างขวาแทบจะหายสนิทแล้วเพราะการระมัดระวังอย่างมากที่สุด แต่รอยแทงที่ลึกลงไปถึงแนวกระดูกสันหลังซึ่งเกร็งอยู่ตลอดในระหว่างที่ยืนกลับไม่มีทีท่าที่จะสมานกันเลย หลังจากผ่อนคลายได้สักพัก จู่ๆ นางก็กำดาบที่ชักออกมาและจ้องมองไปทางประตู เพราะสัญญาณที่ไม่คุ้นเคยซึ่งรู้สึกได้จากด้านนอก 


 


 


“ใครน่ะ” 


 


 


“ข้าเอง” 


 


 


เป็นเสียงที่คุ้นหู แต่จากที่มินอารู้ เสียงนั้นไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้และไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ด้วย 


 


 


“…องค์ชาย?” 


 


 


“ข้าจะเข้าไปนะ” 


 


 


ชานเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไร มินอาจึงรีบดึงเสื้อผ้ามาบังตัวไว้ แต่ยังคงไม่ปล่อยดาบที่ถืออยู่ในมือซ้าย 


 


 


“บาดเจ็บหนักเลยสินะ” 


 


 


“โปรดออกไปเพคะ” 


 


 


“ดูเหมือนว่าตรงหลังมีเลือกออกด้วยนี่” 


 


 


มีรอยเลือดชัดเจนบนเสื้อผ้าที่ปิดบังหน้าอกอยู่ คนที่ความสามารถเก่งกาจอย่างมินอาบาดเจ็บที่หลังอย่างนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ใช่การต่อสู้ของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ภาพสถานการณ์เข้าตาจนถูกวาดขึ้นในหัวไปพร้อมกับรู้สึกสงสารหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มินอาที่กุมบาดแผลที่มีเลือดไหลเพียงลำพังในตอนสุดท้ายของการต่อสู้อันโดดเดี่ยว เพราะนางกำลังจะประสบกับความเจ็บปวดที่มหาศาลยิ่งกว่าบาดแผลนั้นจากสิ่งที่ชานกำลังจะทำต่อไปนี้ 


 


 


“คงจะต้องทายาแล้วค่อยพันแผลใหม่ ทำเองคนเดียวได้ไหม” 


 


 


“ไม่ต้องสนพระทัยหม่อมฉันหรอกเพคะ” 


 


 


ชานเมินเฉยคำตอบของมินอาที่เชือดเฉือนราวกับดาบและเดินดุ่มเข้ามาจับไหล่ที่มีบาดแผลให้หันกลับไปนั่ง ผ้าฝ้ายสีขาวเต็มไปด้วยเลือดอย่างที่คาดไว้ ทั้งยังเห็นรอยเลือดที่เปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลเหมือนกับว่าไม่ได้ทำแผลเป็นเวลานานแล้ว ชานจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะดึงปมออก 


 


 


“อยู่นิ่งๆ นะ” 


 


 


รอยแผลถูกแทงบนแผ่นหลังของมินอาที่มีกล้ามเนื้อมัดเล็กๆ นูนขึ้นมาถูกลากยาวตั้งแต่บนลงล่าง บาดแผลที่ไม่ใช่เล็กๆ นั้นปริออกทั้งสองข้างจนมีเลือดซึมออกมา พอชานนำผ้าเช็ดหน้าที่เอาออกมาจากอกไปชุบน้ำและซับแผ่นหลังอย่างระมัดระวัง เอวที่แข็งแกร่งจึงสะดุ้งเบาๆ และพยายามอดทนกับความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเอาไว้ 


 


 


“เจ็บรึ” 


 


 


“ไม่เพคะ” 


 


 


“ยาล่ะ” 


 


 


“…อยู่บนโต๊ะเพคะ” 


 


 


มินอากัดฟันแน่นทุกครั้งที่ชานปาดยาไว้ที่ปลายนิ้วและป้ายลงบนแผลอย่างระมัดระวัง แยกไม่ออกเลยว่าเจ็บแผลหรือเจ็บหัวใจกันแน่ แต่ก็รู้เป็นอย่างดีว่าความมีน้ำใจและไมตรีที่องค์ชายแสดงให้เห็นในตอนนี้ไม่ใช่ส่วนของตนอย่างแน่นอน 


 


 


หากผ่าหัวใจออกครึ่งหนึ่ง หัวใจดวงนี้จะถูกผ่าไปด้วยไหมนะ ขณะที่ความคิดและความต้องการไร้สาระกำลังปลุกปั่นอยู่ภายในหัวของมินอานั้นเอง ชานก็กางผ้าฝ้ายผืนใหม่ออกหลังจากเช็ดนิ้วมืออย่างลวกๆ 


 


 


“ข้าขอเสียมารยาทสักครู่หนึ่งนะ” 


 


 


“อันนี้ เดี๋ยวหม่อมฉันทำเองเพคะ” 


 


 


“ถ้าขยับแขน แผลมันจะปริยิ่งกว่าเดิม” 


 


 


มือที่ถือผ้าฝ้ายขยับเข้ามาตรงด้านล่างแขนของมินอา เฉียดผ่านผิวเปลือยและถูกดึงไปด้านหลังอีกรอบ ลมหายใจที่หายใจเข้าหายใจออกอย่างเงียบๆ จั๊กจี้รอบๆ ใบหูก่อนจะห่างออกไป หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ชานพันผ้าฝ้ายตั้งแต่หน้าอกลงไปจนถึงด้านบนของเอวและผูกปมให้แน่น และในตอนที่มินอากำลังจะลุกขึ้นหลังจากโค้งขอบคุณนั้นเอง 


 


 


“โปรดปล่อยหม่อมฉันด้วยเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


ควรจะต้องพูดอย่างเย็นชา แต่ปลายประโยคกลับสูญเสียความสุขุมเยือกเย็นไปและสั่นเครือเบาๆ แขนที่โอบรอบไหล่จากด้านหลังกลับดึงเข้ามาในอ้อมอกแรงยิ่งขึ้นแทนที่จะปล่อยมินอาไป ต้นคอที่ได้รับสัมผัสแปลกใหม่และร้อนระอุทำให้ขนลุกซู่ 


 


 


“ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าเป็นเพียงแค่หญิงรับใช้หรือนางในนะ” 


 


 


เสียงของชานยังคงลึกและทุ้มต่ำเหมือนเช่นเคย เสียงนั้นที่ทำให้ใจของมินอาแอบสั่นไหวทุกครั้งที่เขาเปิดปากพูด การสั่นไหวเริ่มตั้งแต่ต้นคอที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสไปจนถึงหัวใจ ทำให้ชีพจรเต้นตึกตัก มินอากัดฟันแน่นและใช้มือควานหาดาบ 


 


 


“จะแทงข้าด้วยสิ่งนั้นหรือ” 


 


 


“หม่อมฉันฟันคอตัวเองน่าจะดีกว่าไหมเพคะ” 


 


 


มือใหญ่ลูบลงมาตามผิวเปลือยของแขนข้างซ้ายที่ไม่ถูกพันผ้า ก่อนจะวางไว้บนฝ่ามือที่ถือดาบอยู่ จากนั้นจึงออกแรงสอดเข้าไประหว่างนิ้ว บังคับให้ปล่อยดาบ 


 


 


“มองข้าสิ แค่ครู่เดียว” 


 


 


“ไม่เพคะ” 


 


 


มินอามองตรงไปข้างหน้าและขมวดคิ้ว ริมฝีปากที่ประทับลงมาอย่างแผ่วเบาดูดเม้มต้นคออย่างรุนแรงพร้อมกับขบกัดผิวบอบบาง 


 


 


“ถ้าไม่มอง ข้าจะคิดว่าเจ้าปล่อยให้ข้าทำอะไรก็ได้ตามใจชอบนะ” 


 


 


“หากกำลังหาสตรีที่ทำให้เตียงอุ่นอยู่ล่ะก็ โปรดไปหาที่อื่นเถอะเพคะ พูดเพียงคำเดียวพวกนางก็ถอดเสื้อผ้าวิ่งเข้าหาเองแล้ว” 


 


 


มือที่ดึงไหล่เข้ามาเลื่อนขึ้นมายังใบหน้าของมินอาอย่างช้าๆ จับแก้มและให้หันไปทางชาน มินอามีสีหน้าไร้อารมณ์ที่ไม่ต่างอะไรกับตอนปกติ แต่ชานสังเกตเห็นว่าดวงตาที่จ้องมองเขาอยู่นั้นพยายามซ่อนอาการสั่นไหวไว้ข้างใน เคยคิดว่านางช่างเหมือนกับพระชายาเป็นอย่างมาก แต่พอได้เห็นอย่างละเอียดจึงพบว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เหมือนไฟกับน้ำแข็ง 


 


 


“แค่มองก็ถอดเสื้อผ้าวิ่งเข้าใส่งั้นหรือ แต่ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ขอให้ข้ากอดล่ะ” 


 


 


“ทำไมหม่อมฉันต้องทำเช่นนั้นด้วยเพคะ” 


 


 


“เพราะว่าหัวใจของเจ้าต้องการเช่นนั้นอย่างไรเล่า” 


 


 


“ทรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ” 


 


 


“เพราะว่าใจสั่น ลูกธนูก็เลยเฉียงออกไป ซึ่งถ้าหากลูกธนูของเทพธนูเฉียงออกไป หัวใจจะต้องสั่นถึงขนาดไหนกันนะถึงจะเป็นเช่นนั้นได้” 


 


 


ริมฝีปากของชานประกบบนริมฝีปากที่ปิดสนิท สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยซึ่งสอดแทรกเข้ามาในปากทำให้เปลือกตาของมินอาปิดลงและเก็บซ่อนดวงตาที่สูญเสียความเด็ดขาดเอาไว้ แต่ไม่สามารถซ่อนแพขนตาที่สั่นไหวได้ 


 


 


ลิ้นเล็กที่ไม่รู้จะไปทางใดถูกดูดและเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นร้อนที่กวัดแกว่งไปตามใจชอบแทนที่จะพูดคำที่เยือกเย็นออกมา ต่อมาชานจึงผละริมฝีปากออกอย่างช้าๆ ในตอนที่ลมหายใจของทั้งคู่เริ่มหอบ และหยิบเสื้อผ้าของมินอาซึ่งวางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาคลุมไว้บนหัวไหล่ที่โผล่ออกมา 


 


 


“พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก เวลาเดิม” 


 


 


 


 


 


* * * 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม