จำนนรักชายาตัวร้าย 97.4-99.2

ตอนที่ 97-4 แมวน้อย พี่ที่เป็นเช่นนี้...

 

“อย่าขยับ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนใช้มือปัดผมเขาขึ้น แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ลึกซึ้งของเขา


 


 


ไม่ใช่คอนแทคเลนส์!


 


 


นี่เป็นดวงตาสีม่วงพวงองุ่นแต่กำเนิดหรือนี่!


 


 


สีม่วงที่ใสแจ๋วบริสุทธิ์ สวยงามจริงๆ!


 


 


เจ๋งชะมัดเลย!


 


 


“รวยแล้ว มีทางรวยแล้ว”


 


 


อวี้เฟยเยียนกระโดดเข้ากอดซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความดีใจสุดขีด ทั้งยังหอมแก้มเขาซ้ายทีขวาที


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านหล่อปานนี้ ทำไมไม่บอกข้าตั้งแต่แรก!”


 


 


ปฏิกิริยาของอวี้เฟยเยียนเหนือความคาดหมายของซย่าโหวฉิงเทียนไปมาก


 


 


ไม่ถูกสิ!


 


 


ไม่ถูกเอามากๆ เสียด้วย!


 


 


นางควรจะกรีดร้องเสียงดังว่า ‘ปีศาจ’ หลังจากนั้นก็ตกใจแล้ววิ่งหนีไปหรือว่าร้องแรกแหกกะเชิงเสียงดังสนั่นพร้อมกับร้องไห้หรือไม่ก็หวาดกลัวจนตัวสั่นงันงกมิใช่หรือ


 


 


เฉกเช่นเดียวกับหนานกงจื่อหลิงที่เมื่อได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรก ก็ตกใจหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดจา


 


 


เห็นอวี้เฟยเยียนที่ไม่เพียงไม่หวาดกลัว ตรงกันข้ามกลับทำท่ารักเขาสุดชีวิตเสียนี่


 


 


รสนิยมของนางนี้ ปกติจริงๆ ใช่หรือไม่


 


 


“เจ้าไม่กลัวพี่ ไม่รู้สึกว่าพี่เป็นปีศาจหรอกหรือ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวถามขึ้น


 


 


“ใครว่าเล่า ท่านหล่อเหลาเสียขนาดนี้ ขนาดบนสวรรค์ยังมีน้อยเลยนะ ฉะนั้นบนโลกมนุษย์นี่ถึงหาได้ยากยิ่งอย่างไรเล่า ใครรสนิยมแย่ บอกมาเลย เดี๋ยวข้าไปช่วยจัดการเอง!”


 


 


ได้เห็นรูปลักษณ์ซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็พอจะรู้แล้วว่าเสียงละเมอมาที่ว่า ‘ปีศาจ’ในขณะที่เขากำลังฝันร้ายนนั้น หมายความว่าอย่างไร


 


 


คนในยุคสมัยนี้ผู้คนล้วนแต่ตาดำผมดำ


 


 


แล้วรูปลักษณ์ของซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมถูกเข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นปีศาจ!


 


 


มิน่าเล่ามารดาเขาถึงได้ปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น!


 


 


อวี้เฟยเยียนแสดงออกเช่นนี้ ด้านหนึ่งก็เพราะว่านางชื่นชอบในเส้นผมสีเงินกับดวงตาสีม่วงของซย่าโหวฉิงเทียนจริงๆ ซึ่งมันเป็นตัวแทนของหนุ่มหล่อขั้นเทพในอนิเมะที่นางจินตนาการเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว อีกด้านหนึ่งเพราะนางต้องการใช้โอกาสนี้แก้ปมที่อยู่ในใจเขาให้คลายออก


 


 


“แมวน้อย เจ้าไม่รังเกียจ ไม่หวาดกลัวพี่”


 


 


“คนโง่!”


 


 


อวี้เฟยเยียนใช้การกระทำแสดงถึงความจริงใจของตนเอง


 


 


นางโอบกอดซย่าโหวฉิงเทียน แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นงับที่ปลายคางของเขา


 


 


“ห้ามท่านพูดถึงตัวเองเช่นนี้อีก ข้าชอบที่ท่านเป็นแบบนี้ ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านหล่อขั้นเทพโดยแท้!”


 


 


ถูกเรียกว่าเป็น ‘ปีศาจ’ มาตั้งหลายปี จู่ๆ ก็ถูกคนรักเรียกว่าเป็น ‘เทพ’ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตกใจอยู่ไม่น้อย


 


 


ขอเพียงแต่ นางชอบก็พอแล้ว!


 


 


ข้ามผ่านด่านในใจที่ยากที่สุดมาได้ ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ปลอดโปร่งโล่งใจแล้วเริ่มเล่าถึงเรื่องราวของตนเอง


 


 


บิดาอัปมงคล มารดาแต่งงานซ้ำสอง


 


 


เพราะรูปโฉมที่แปลกประหลาดแตกต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าปีศาจน้อย ทั้งยังถูกแม่บังเกิดเกล้ารังเกียจเดียดฉันท์ ถึงขั้นที่ว่าสั่งคนไปสังหารให้ตายขณะมีอายุเพียงสามขวบ…


 


 


น้ำเสียงซย่าโหวฉิงเทียนราบเรียบเย็นชา แต่ทว่าหัวใจอวี้เฟยเยียนกลับบีบรัดแน่น


 


 


“ต่อมา พี่มาต้องมาอยู่ที่อาณาจักรฉินจื้อ ในฐานะตัวประกันของต้าโจว นับตั้งแต่นั้นพี่ก็คือซย่าโหวฉิงเทียน!”


 


 


คราวนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนบอกเล่าทุกอย่างให้นางได้รู้โดยไม่มีปิดบัง


 


 


ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลหนานกง หรือว่าความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกของเขากับซย่าโหวจวินอวี่ ล้วนแต่เล่าให้อวี้เฟยเยียนฟังทั้งหมด


 


 


“ท่านบอกว่าหนานกงจื่อหลิงคือน้องสาวแม่เดียวกันแต่คนละพ่อกับท่าน”


 


 


“ใช่!”


 


 


ทันใดนั้นอวี้เฟยเยียนก็มุดหน้าลงในอ้อมอกของซย่าโหวฉิงเทียน โดยที่แก้มทั้งสองข้างของนางแดงก่ำ


 


 


เมื่อครู่นางกำลังหึงหวงแม้กระทั่งน้องสาวของเขา


 


 


มองออกว่าอวี้เฟยเยียนกำลังขัดเขินเป็นอย่างมาก ซย่าโหวฉิงเทียนก็อมยิ้มแล้วกล่าวปลอบว่า


 


 


“ไม่เป็นไร! หลิงเอ๋อร์ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือพี่ใหญ่ของนาง!”


 


 


สำหรับเหตุผลที่หนานกงจื่อหลิงมายังอาณาจักรฉินจื้อนี่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็บอกกับอวี้เฟยเยียนเช่นกัน


 


 


“อะไรนะ”


 


 


เพียงแค่ได้ยินว่าซย่าจื่ออวี้เพื่อที่จะช่วยเหลือลูกชายของนางกับหนานกงอ๋าวแล้ว ต้องการควักหัวใจของซย่าโหวฉิงเทียนนั้น อวี้เฟยเยียนก็ถึงกับระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่


 


 


“คนเช่นนี้ไม่คู่ควรเป็นแม่ ซย่าโหวฉิงเทียนหากท่านรับนางเป็นแม่ละก็ ข้าเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยท่านเอาไว้แน่!”


 


 


นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!


 


 


เอาความโกรธเคืองมาลงที่ลูกโดยไร้ซึ่งเหตุผล ไม่เพียงแต่เย็นชาใช้กำลัง ทั้งยังให้คนไปตามฆ่าซย่าโหวฉิงเทียนทั้งที่เขายังเยาว์วัย นางไม่ใช่คนแล้ว!


 


 


โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่า เมื่อครั้งที่ซย่าโหวฉิงเทียนล้มป่วยขณะอยู่ที่หอราชาโอสถ ก็เพราะน้ำมือซย่าจื่ออวี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนยิ่งอารมณ์คุกรุ่น


 


 


จึงมิต้องพูดถึงเรื่องที่ซย่าจื่ออวี้ต้องการหัวใจของซย่าโหวฉิงเทียนเพื่อไปเปลี่ยนให้กับหนานกงเช่อเลย!


 


 


“ในเมื่อนางเย็นชาใจร้ายไร้คุณธรรมไร้ความเป็นคนถึงเพียงนี้ ระหว่างท่านกับนางก็ควรจะตัดขาดกันตั้งนานแล้ว คราวหน้าได้พบนาง ท่านอย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาดนะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนได้ถือว่าซย่าจื่ออวี้ หนานกงเช่อและหนานกงเอ๋าเป็นศัตรูของนางไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน


 


 


พวกเขาใจร้ายกับซย่าโหวฉิงเทียนถึงเพียงนี้ สมควรตายจริงๆ!


 


 


หากภายหน้าได้มีโอกาสไปที่เมืองอู๋โยวละก็ นางจะต้องไปพบครอบครัวเลวๆ นี่เสียหน่อย!


 


 


“รับบัญชา!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเชยคางน้อยของอวี้เฟยเยียนอย่างมันเขี้ยว


 


 


นี่นางกำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้เขาอยู่นะ!


 


 


“มีคนคอยห่วงใยเช่นนี้ ดีจริงๆ!”


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ขอให้ท่านจงเชื่อเสมอว่าท่านไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว!”


 


 


“ถึงแม้ว่าท่านจะแอบอ้างฐานะเป็นตัวประกัน แต่ในพระทัยฝ่าบาท ท่านก็คือลูกชายของพระองค์ พระองค์ทรงดีกับท่านมากมาย ท่านเองคงจะรับรู้ได้”


 


 


“แม้ว่าท่านจะไม่รู้ว่าบิดาบังเกิดเกล้าของท่านเป็นใคร แต่สวรรค์ก็ประทานพ่อดีๆ ให้กับท่านคนหนึ่ง ถือว่าเป็นการชดเชยจากสวรรค์ และการมีอยู่ของท่านถือเป็นการชดเชยความผิดที่มีต่อบุตรชายในพระทัยของฝ่าบาทอีกด้วย นี่จึงนับเป็นวาสนาต่อกันของท่านสองคน!”


 


 


เมื่อนึกถึงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของซย่าโหวจวินอวี่ที่มีต่อซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกว่าฮ่องเต้อ้วนก็น่าสงสารหน่อยๆ


 


 


ถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าบุตรชายเขาป่วยตายตั้งแต่อยู่ที่ฉินจื้อแล้ว…


 


 


บางทีอาจเพราะสวรรค์สงสารเห็นใจซย่าโหวจวินอวี่ จึงลิขิตให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้มาอยู่ข้างกายเขากระมัง!


 


 


“เสด็จพี่ดีกับพี่มาก! บุญคุณยิ่งใหญ่ของเขา พี่จะไม่ลืมตลอดชีวิต พี่จะคุ้มครองต้าโจว คุ้มครองเสด็จพี่ ตราบที่พี่ยังมีลมหายใจอยู่!”


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ในหัวของซย่าโหวฉิงเทียนก็ปรากฏภาพที่ซย่าโหวจวินอวี่จ้องมองมาที่เขาและรอคอยให้เขาเรียกพระองค์ว่า ‘เสด็จพ่อ’ ตาละห้อยขึ้นมา


 


 


อวี้เฟยเยียนพูดถูก ถึงแม้ว่าพวกเขาใช่พ่อลูกโดยสายเลือด ทว่ากลับเป็นพ่อลูกในความรู้สึกตั้งนานแล้ว


 


 


ได้มาพานพบในฐานะพ่อลูก นับเป็นวาสนาโดยแท้!


 


 


ไหนเลยจะร้องขอให้ยืนยาวอีกเล่า!


 


 


ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดแล้วอย่างไร เขาเห็นซย่าโหวจวินอวี่เป็นพ่อตั้งนานแล้ว!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนตัดสินใจเด็ดขาดอย่างลับๆ กลับไปต้าโจวคราวนี้ จะต้องหาโอกาสเรียกเขาว่า พ่อ สักครั้งให้เขาดีใจ!


 


 


เมื่อได้เปิดอกสารภาพเรื่องราวทุกอย่างออกไปแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก


 


 


ต่อหน้าอวี้เฟยเยียนเขาเป็นผู้ที่โปร่งใส ไร้ซึ่งสิ่งปกปิดใดๆ


 


 


ทำให้ในใจของเขารู้สึกสบายอย่างที่สุด


 


 


ขณะเดียวกันซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกเป็นปลื้มกับท่าทีของอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างมาก


 


 


เฉกเช่นที่นางเคยกล่าวเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะอะไร เป็นใคร จะผ่านอะไรมาก็ตามแต่ นางก็ยังคงยืนหยัดในความรู้สึกนี้ไม่มีเสื่อมคลาย


 


 


“แมวน้อย ได้พบกับเจ้า นับเป็นวาสนาของพี่ยิ่งนัก!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนก้มหน้าลงจุมพิตลงที่หน้าผากของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา หากไม่ใช่นาง เขาก็คงไม่รู้ว่าชีวิตช่างสวยงามและน่าอัศจรรย์เช่นนี้ ชีวิตที่เปี่ยมล้นด้วยความเจริญและสวยงาม เปี่ยมล้นด้วยความสุขและความหวัง! 

 

 


ตอนที่ 98-1 เดินกร่างทั่วปฐพี

 

“ข้าก็เช่นกัน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเงยหน้าขึ้น จุมพิตตอบซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


วิญญาณนางทะลุมิติมาที่นี่และได้มาพบกับเขา นับเป็นการเดินทางที่แสนวิเศษ! นางได้แต่หวังว่า เวลาจะเดินช้าลงสักหน่อย หวังว่านางจะได้อยู่กับเขานานขึ้นอีกนิด…


 


 


“อย่าขยับ…”


 


 


แก้มซย่าโหวฉิงเทียนแดงก่ำ มือทั้งสองโอบเอวคอดของอวี้เฟยเยียนเอาไว้ เมื่อครู่เขาเพิ่งจะระงับความปรารถนาของตนเอาไว้ได้ ทว่าเมื่อถูกหยอกเย้าจากอวี้เฟยเยียนเข้า ความปรารถนานั้นก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


แสงจันทร์ทอดยาวราวสายน้ำ


 


 


มองดูรอยแดงจางๆ บนใบหน้าอันหล่อเหลาของบุรุษผมสีเทาตรงหน้า ทำให้อวี้เฟยเยียนอดนึกถึงภาพเหมือนที่ฮ่องเต้ทรงมอบให้กับซย่าโหวฉิงเทียนขึ้นมาไม่ได้


 


 


พระองค์ทรงเข้าพระทัยซย่าโหวฉิงเทียนดียิ่งนัก จึงมอบภาพนั้นให้เขาเป็นตัวอย่าง อวี้เฟยเยียนยิ่งคิด ดวงหน้าน้อยก็ยิ่งร้อนฉ่า


 


 


หากมองจากรูปร่างภายนอก นางที่อายุเพียงสิบห้าปีจึงยังเด็กไปสักหน่อย!


 


 


เมื่อเทียบกับซย่าโหวฉิงเทียนเป็นชายโสดที่อายุอานามปาเข้าไปยี่สิบสองปีแล้ว อีกทั้งในทุกครั้งเขามักจะกดความต้องการเอาไว้เรื่อยมา มันจะก่อให้เกิดโรคอะไรตามมาหรือไม่นะ แล้วในเวลาปกติเมื่อเขาพบเจอกับปัญหาเช่นนี้ เขาแก้ไขด้วยตนเองมาโดยตลอดหรือ


 


 


คิดไปคิดมา อวี้เฟยเยียนก็เริ่มคิดเลยเถิด


 


 


ในหัวนางปรากฏภาพๆ หนึ่งขึ้นมา หนุ่มหล่อขั้นเทพผมสีเงินนัยน์ตาสีม่วงสุดในการ์ตูนอนิเมะ ที่มีแสงประกายทั่วทั้งร่าง กำลังช่วยตัวเองภายใต้แสงจันทร์


 


 


ชายรูปงาม กับทิวทัศน์ที่สวยงาม…


 


 


ถึงแม้ว่าเนื้อหาจะไม่ดีต่อเด็กและเยาวชน แต่ภาพที่เกิดขึ้นสวยงามเป็นอย่างมากทีเดียว!


 


 


หน้าแดงๆ ของอวี้เฟยเยียน หนีไม่พ้นสายตาซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


ถึงแม้ไม่รู้ว่าอวี้เฟยเยียนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ แต่ดูจากดวงตาที่สื่ออารมณ์ทั้งยังหวานหยาดเยิ้มหยดย้อย ซย่าโหวฉิงเทียนก็มั่นใจได้เลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องดี


 


 


รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มล้อเลียนของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็เริ่มเป็นวัวสันหลังหวะขึ้นมา นางแสร้งทำชี้นิ้วไปที่แม่น้ำชางหลวนชวนคุยเพื่อคลายความอึดอัด


 


 


“เอ่อ ท่านอยากจะไปลดอุณหภูมิสักหน่อยหรือไม่”


 


 


สัตว์ร้ายกำลังจะกลายร่างเป็นมังกรโหดแล้ว หากไม่ระงับเอาไว้ล่ะก็ เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่!


 


 


มองดูดวงตาเป็นประกายสุกใสราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่างของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ้มออกมาน้อยๆ


 


 


เจ้าแมวจอมหื่น!


 


 


เมื่อรู้ว่าอวี้เฟยเยียนไม่มีแรงต้านทานต่อชายรูปงามเลยแม้แต่นิด ซย่าโหวฉิงเทียนก็ตัดสินใจใช้ข้อเด่นของตัวเองให้เป็นประโยชน์ เขาจะทำให้แมวน้อยผูกติดอยู่กับเขาตลอดไปให้ได้


 


 


พูดได้ทำได้


 


 


ว่าแล้วซย่าโหวฉิงเทียนก็กระโดดลงจากโขดหิน ถอดกางเกงตนออกแล้วหันหน้ามายิ้มให้กับนาง จากนั้นก็พุ่งตัวลงไปในแม่น้ำชางหลวนทันที


 


 


อย่ายั่วยวนกันเช่นนี้ได้หรือไม่


 


 


พี่ชายท่านนี้ หากท่านยังอบอุ่นและใจกว้างเช่นนี้ ข้าชักจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ!


 


 


ถึงแม้นางจะระงับอาการไม่อยู่ก็ตาม แต่อวี้เฟยเยียนก็ยังคงทำเวลาได้ดี นางชื่นชมภาพสวยงามเบื้องหน้าโดยละเอียด


 


 


เพื่อจะเลี่ยงเหตุการณ์เลือดกำเดาไหลที่น่าอึดอัดไม่ให้เกิดขึ้น อวี้เฟยเยียนจึงใช้นิ้วมือซ้ายและขวาอย่างละหนึ่งนิ้วอุดจมูกตนเอาไว้ ในขณะเดียวกัน ตาทั้งสองของนางก็จดจ้องไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนไม่วางตา


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังใช้แขนอันยาวเหยียดของเขาแหวกว่ายทวนกระแสน้ำอยู่ในแม่น้ำชางหลวน หยาดน้ำที่สาดกระเซ็นออกมา บวกกับผิวขาวราวหยกใสและเส้นผมสีเงินของเขาดูราวกับพญามังกรสีเงินกำลังเล่นน้ำก็ไม่ปาน


 


 


มัน…สวยงามจนนางตกตะลึง!


 


 


นี่คือบุรุษของนาง!


 


 


อวี้เฟยเยียนชื่นชมความงามตรงหน้าไปพลาง ขณะเดียวกันก็ภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก บุรุษที่สมบูรณ์พร้อมเช่นนี้ ยอมมาสยบแทบเท้านาง เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวให้กับนาง


 


 


จู่ๆ ก็มีของดีหล่นลงมาจากฟ้าโดยแท้!


 


 


สุดท้ายซย่าโหวฉิงเทียนก็หยุดว่ายน้ำ แล้วยืนอยู่ที่กลางสระ หยดน้ำเกาะพราวบนใบหน้าเขา บางหยดก็ไหลมผ่านหน้าอกที่กำยำของเขาก่อนไหลลงสู่แม่น้ำ


 


 


ผมสีเทาพลิ้วไหวไปตามการเคลื่อนไหวของน้ำ ราวกับพืชน้ำสีเงินกำลังรายล้อมอยู่แถวท้องน้อยของเขา บดบังทัศนียภาพนั้นเอาไว้


 


 


“แมวน้อย มา เล่นน้ำกับพี่!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยื่นมือออกมา สายตาที่ทอดมองกับแววตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เหลือล้นของเขามันกำลังยั่วยวนอวี้เฟยเยียนอยู่


 


 


ภายใต้แสงจันทร์ ชายรูปงาม ความเย้ายวนเช่นนี้ ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็อดรนทนไม่ไหว เริ่มคันยิบๆ ที่จมูกและเลือดอุ่นๆ ก็ไหลออกมาจากจมูกทั้งสองข้างของนาง


 


 


ได้ยินเสียงหัวเราะที่แสนมีความสุขแว่วเข้ามาในหู ทำให้อวี้เฟยเยียนเริ่มอึดอัด


 


 


ครั้งนี้ขายหน้าเขาอีกแล้ว!


 


 


อากัปกิริยาของอวี้เฟยเยียนทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนพึงพอใจเป็นอย่างมาก


 


 


เห็นทีสำหรับแมวน้อยแล้ว ตัวเขามีเสน่ห์ไม่น้อยเลย เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเจตนาแกล้งอวี้เฟยเยียนมากขึ้นไปอีก ว่าแล้วเขาก็หันไปทิศทางที่นางอยู่แล้วเดินอาดๆ จากน้ำขึ้นฝั่งด้วยเรือนร่างเปลือยเปล่า


 


 


ห้ามเสียมารยาท!


 


 


ห้ามเสียมารยาท!


 


 


อวี้เฟยเยียนท่องเอาไว้ในใจ ส่วนมือทั้งสองข้างถึงขนาดต้องยกขึ้นปิดตาเอาไว้


 


 


เพียงแต่ มือน้อยๆ ทั้งสองข้างของนางกลับคลายออกเพียงเล็กน้อย ดวงตาแสนสวยคู่หนึ่งที่หลบซ่อนอยู่หลังมือนั้นกำลังลอบมองมา


 


 


อย่างไรเขาก็เป็นบุรุษของนาง ช้าเร็วนางก็ต้องเห็นอยู่ดี!


 


 


อวี้เฟยเยียนปลอบโยนตัวเองในใจ


 


 


ใครจะคาดคิด สิ่งที่อวี้เฟยเยียนมองเห็นกลับมิใช่ภาพอันสวยงามอย่างที่นางคาดหวังเอาไว้ เพราะเส้นผมสีเงินที่ยาวเกือบถึงหน้าขาของเขาบังเอาไว้พอดิบพอดี


 


 


แต่ภาพงดงามที่เลือนรางเช่นนี้ ทำให้คนยิ่งปวดหัวหน้าร้อนเห่อเข้าไปอีกน่ะสิ


 


 


“งามหรือไม่”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเดินเข้ามาหยุดที่เบื้องหน้าอวี้เฟยเยียน แล้วเป่าลมร้อนเข้าไปที่ช่องว่างระหว่างนิ้วมือของนาง


 


 


“งดงาม…”


 


 


จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนได้สติขึ้นมา ดวงหน้าน้อยๆ ของนางแดงก่ำราวกับลูกท้อน้ำผึ้งก็ไม่ปาน ท่าทางคล้ายเด็กน้อยทำความผิดกลัวถูกจับได้อย่างชัดเจน ดวงตาทั้งสองข้างเอาแต่มองขึ้นไปบนฟากฟ้าด้านบน


 


 


“เหอะๆ ท่านหมายถึงดวงจันทร์ใช่หรือไม่! คืนนี้พระจันทร์สวยจริงๆ เลย”


 


 


“แมวจอมหื่น!”


 


 


เห็นอวี้เฟยเยียนแสร้งทำขึงขัง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ้มน้อยๆ แล้วดึงกางเกงมาสวมใส่ ขณะเดียวกันก็รอให้หยดน้ำที่เกาะอยู่บนร่างแห้งไป จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนโขดหินนั่งเคียงข้างอวี้เฟยเยียนโดยใช้มือเพียงข้างเดียวยันเอาไว้


 


 


“ดวงจันทร์หรือพี่สิ่งไหนงดงามกว่ากัน”


 


 


“ท่านงามกว่า!”


 


 


อวี้เฟยเยียนสารภาพออกไปตรงๆ


 


 


ท่าที่แสนซื่อของนางทำให้จิตใจซย่าโหวฉิงเทียนที่เดิมทีถูกตี้อู่หงเยี่ยก่อกวนจนขุ่นหมองแปรเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมา


 


 


“แมวน้อย เจ้าเห็นพี่ทั้งเนื้อทั้งตัวแล้ว เพื่อความเสมอภาค เมื่อไหร่กัน เจ้าจะให้พี่ได้มองเจ้าบ้าง…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจ้องอวี้เฟยเยียนตาไม่กะพริบ มุมปากเขาหยักยกขึ้นยิ้มแฝงความชั่วร้ายออกมา


 


 


“เอ่อ…”


 


 


ได้ยินข้อเสนอที่ออกจะ ‘เกินไป’ จากปากซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วคราวทีเดียว


 


 


“เราสองคนพบหน้ากันครั้งแรก ท่านก็เห็นทั้งหมดแล้วมิใช่หรือ”


 


 


“มันไม่เหมือนกันสักหน่อย! ตอนนั้นเจ้ายังเด็กนัก!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนแสดงออกชัดเจนว่าไม่พึงพอใจในคำตอบของอวี้เฟยเยียน


 


 


พบหน้ากันครั้งแรก


 


 


ตอนนั้นอวี้เฟยเยียนยังเป็นเด็กน้อยอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น ราวกับลูกอ๊อดน้อยที่แสนบอบบางก็ไม่ปาน เอียงอาย เยาว์วัยเกินไป!


 


 


ในขณะที่พูดสายตาซย่าโหวฉิงเทียนก็ทอดมองสำรวจไปที่เนินอกน้อยๆ ของอวี้เฟยเยียนอย่างถ้วนทั่ว


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวฉิงเทียนไม่รู้จักหนักเบา ไร้ซึ่งอาการสำรวม อวี้เฟยเยียนจึงรีบยกมือทั้งสองข้างปกปิดเนินอกตนจากสายตาเขาเอาไว้ทันที


 


 


“พวกเรามาช่วยกันคิดดีกว่า ว่าจะกำจัดกลิ่นดอกขจรออกไปจากท่านได้อย่างไร!”


 


 


บรรยากาศกำลังดีๆ จู่ๆ ทักเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมกัน…


 


 


“แมวน้อย เจ้าอย่าคิดว่าพี่จะปล่อยเจ้าไปนะ!” 

 

 


ตอนที่ 98-2 เดินกร่างทั่วปฐพี

 

 


 


ส่วนอวี้เฟยเยียนเอาแต่ขอโทษซย่าโหวฉิงเทียนในใจ


 


 


แม้นางจะเป็นหญิงสาวสมัยใหม่ ในยุคสมัยนางอวี้เฟยเยียนก็เคยสวมใส่บีกินีที่แสนเผ็ดร้อนเช่นกัน แต่ทว่ามาที่นี่ นางอายุเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้น หากเป็นสมัยนางเทียบเท่ากับโลลิต้าน้อยระดับประถมเท่านั้นเอง


 


 


โลลิต้าน้อยที่แสนน่ารักสวมบิกีนี่เดินไปเดินมาต่อหน้าพี่ชายตัวสูงใหญ่ มันจะปลอดภัยหรือ


 


 


ปลอดภัยหรือ!


 


 


อวี้เฟยเยียนแสดงอาการสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก


 


 


ไม่แน่ว่าหากพี่ชายมีความชื่นชอบส่วนตัวที่แปลกประหลาดพิสดารขึ้นมา เพียงวินาทีเดียวจากพี่ชายเปลี่ยนเป็นตัวร้าย สถานการณ์เช่นนั้นช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน!


 


 


หลังจากเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเบี่ยงเบนความสนใจได้แล้ว อวี้เฟยเยียนก็เริ่มครุ่นคิดหาวิธีจัดการกลิ่นหอมนั่นอย่างจริงจัง


 


 


กลิ่นหอมนั่นมันรับมือยากจริงเชียว!


 


 


จะใช้กลิ่นอื่นกลบเกลื่อนเอาไว้


 


 


หรือว่าคิดค้นปรุงยาที่สามารถระงับกลิ่นหอมได้


 


 


วิธีพวกนี้ล้วนไม่ใช่วิธีที่กำจัดหอมนั้นได้อย่างถาวร หากต้องการกำจัดกลิ่นหอมนี้จากต้นตอ ควรจะทำอย่างไรนะ


 


 


อวี้เฟยเยียนดูออกว่า เพราะเรื่องกลิ่นหอมที่ติดตัวเขานั้นทำให้อารมณ์ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ นางจึงรีบหาหัวข้อสนทนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจซย่าโหวฉิงเทียนทันที


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านเล่าเรื่องของเมืองอู๋โยวให้ข้าฟังบ้างสิ!”


 


 


เมื่อครู่ตอนที่ตี้อู่เฮ่ออีเล่าเรื่องเผ่าตานฝ่ายซ้ายและตานฝ่ายขวาให้นางฟัง ได้กล่าวถึงเมืองอู๋โยว


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เฟยเยียนได้ยินชื่อเมืองอู๋โยว นอกเหนือจากชื่อแผ่นดินหลัวอวี่ ยังมีสถานที่แห่งนี้อยู่ด้วยหรือเนี่ย!


 


 


“เมืองอู๋โยว”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลูบไล้เส้นผมของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา


 


 


“มันคือเมืองเมืองหนึ่ง ที่ใหญ่กว่าต้าโจวมากทีเดียว และถูกควบคุมโดยชนเผ่าทั้งแปด”


 


 


หลังจากได้ฟังซย่าโหวฉิงเทียนเล่า อวี้เฟยเยียนจึงได้รู้เรื่องราวคร่าวๆ เกี่ยวกับเมืองอู๋โยวมากขึ้น


 


 


พูดง่ายๆ ก็คือ อู่โยวคือประเทศขนาดเล็กที่ออกแนวสังคมชั้นสูงหน่อยๆ


 


 


เพียงแต่ว่าเมืองอู๋โยวไร้ซึ่งจักรพรรดิ ควบคุมดูแลโดยชนเผ่าทั้งแปดแบ่งแยกอาณาเขตโดยยึดจากอำนาจเผ่าทั้งแปดเป็นผู้กุมอำนาจแท้จริงของเมืองอู๋โยว


 


 


ยุทธภูมิเมืองอู๋โยวตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ เพราะตั้งอยู่ทางเหนือเยื้องไปทิศตะวันออกของแผ่นดินหลัวอวี่ เมืองอู๋โยวมีพื้นที่กว้างใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านและเป็นเอกเทศ


 


 


ผู้ที่ก่อตั้งเมืองอู๋โยวคือวีรชนอาวุโสท่านหนึ่ง


 


 


เดิมท่านเป็นชาวเมืองหลัวอวี่ วีรชนอาวุโสผู้นี้ไม่ยินยอมให้ราชสำนักและราชวงศ์กดขี่ ดังนั้นจึงรวมไพร่พลจอมยุทธ์ที่เก่งกาจที่สุดบนแผ่นดินเอาไว้แล้วแยกตัวออกจากแผ่นดินหลัวอวี่ไปตั้งเป็นเมืองอู๋โยว กลายเป็นการดำรงอยู่ที่แสนพิเศษ


 


 


ในตอนแรก บุคคลที่ร่วมกับวีรชนอาวุโสท่านนี้ก่อตั้งเมืองอู๋โยวมีอีกเจ็ดคน พวกเขาทั้งแปดล้วนแต่เป็นบรรพบุรุษตระกูลทั้งแปดชนเผ่าแห่งเมืองอู๋โยวนั่นเอง


 


 


ทั้งแปดตระกูลประกอบไปด้วย ตระกูลเสิ่นถู ตระกูลกงอวี้ ตระกูลหนานกง เผ่าตาน ตระกูลเหวิน ตระกูลหลิว ตระกูลสุ่ย และตระกูลอวิ๋น


 


 


“ตระกูลหนานกงที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้ เป็นหนึ่งในตระกูลทั้งแปดอย่างนั้นสิ”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้น


 


 


“อืม!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้าเบาๆ


 


 


ดูท่าตระกูลหนานกงก็มีพื้นเพที่แข็งแกร่งนี่นา!


 


 


แต่ก็ไม่เป็นไร บัญชีที่พวกเขาเคยรังแกซย่าโหวฉิงเทียนไว้ อวี้เฟยเยียนจดเอาไว้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องคิดบัญชีนี้กับหนานกงเอ๋าและซย่าจื่ออวี้อย่างแน่นอน


 


 


รังแกผู้ชายของข้า ก็เท่ากับรังแกข้า!


 


 


“ประชาชนชาวอู๋โยวทุกคนร่ำเรียนวรยุทธ์ ในหมู่ประชาชนลำดับขั้นของจอมยุทธ์ที่ต่ำที่สุดนั่นก็คือขั้นหลอมรวม นอกจากเผ่าตานที่ค่อนข้างอ่อนหัดในเรื่องของวรยุทธ์แล้ว ตระกูลอื่นๆ ล้วนแต่วรยุทธ์สูงส่งทั้งสิ้น”


 


 


“ในสายตาทุกคน จอมเทวา ปรมาจารย์ไม่ถือว่าสลักสำคัญแต่อย่างใด”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนอธิบายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เขาอธิบายเรื่องราวเมืองอู๋โยวให้อวี้เฟยเยียนได้ฟังอย่างละเอียด เพื่อให้นางเตรียมใจเอาไว้ให้พร้อม


 


 


เพราะอย่างไรเสียเมืองอู๋โยวก็ไม่เหมือนกับแผ่นดินหลัวอวี่


 


 


ที่นั่นไม่มีกฎหมาย มีเพียงกำลัง


 


 


วาจาของคนที่แข็งแกร่งถูกต้องเสมอ เพียงแค่เอื้อนเอ่ยย่อมมีคนขานรับ


 


 


ตรงกันข้ามหากเป็นผู้อ่อนแอ ก็ถูกกำหนดให้ต้องถูกรังแก ถูกสังหารอย่างเ**้ยมโหด


 


 


เมืองอู๋โยวต่างหากเป็นจึงเป็นสังคมที่โหดร้ายอย่างแท้จริง!


 


 


อวี้เฟยเยียนถึงแม้จะเป็นจอมเทวา อยู่ที่แผ่นดินหลัวอวี่เป็นยอดคนที่เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถ แต่หากไปอยู่ที่เมืองอู๋โยวละก็ ไม่ได้สลักสำคัญเลยแม้แต่น้อย


 


 


“ชาวอู๋โยวเก่งกาจจริงหรือ”


 


 


นี่นับเป็นครั้งแรกที่อวี้เฟยเยียนรู้สึกว่า ที่นี่คือโลกที่แปลกประหลาดยิ่งนัก


 


 


นี่ชาวเมืองอู๋โยวคิดว่าแผ่นดินหลัวอวี่เป็นสังคมต่ำต้อย คนที่นี่ล้วนแต่เป็นคนชั้นต่ำอย่างนั้นหรือ


 


 


พวกเขานี่ช่างจองหองเสียจริงๆ เลย!


 


 


“จอมยุทธ์แห่งเมืองอู๋โยวที่เก่งกาจที่สุด สำเร็จขั้นใดกัน”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้น


 


 


อวี้เฟยเยียนเป็นปรมาจารย์แถวหน้าของหลัวอวี่ ทว่าเมื่อไปที่เมืองอู๋โยว นางจะตัวเล็กจนแทบมองไม่เห็น นั่นทำให้อวี้เฟยเยียนสนอกสนใจในความพิศวงอย่างที่สุดของเมืองอู๋โยวขึ้นมา


 


 


พวกที่เป็นใหญ่เป็นโตแห่งเมืองอู๋โยวเก่งกาจสักเพียงไหนกัน


 


 


“ตระกูลและชนเผ่าทั้งแปดมีหัวหน้าเผ่าเป็นผู้นำ แต่ผู้ที่น่ากลัวที่สุดคือบรรพชนของตระกูลทั้งแปดต่างหาก!”


 


 


“พวกเขาล้วนแต่เป็นปีศาจเฒ่าที่มีอายุนับร้อยปี ปกติแล้วพวกเขามักจะไม่ยุ่งเรื่องทั่วไปสักเท่าไหร่ มีเพียงพบเรื่องใหญ่ๆ เท่านั้นพวกเขาจึงจะออกหน้า”


 


 


“ได้ยินว่าอาวุโสแห่งตระกูลเสิ่นถูคือวีรชนจอมปราชญ์ขั้นสูงสุด ฮูหยินแห่งตระกูลอวิ๋นก็เป็นวีรชนจอมปราชญ์เช่นกัน…แต่ทว่าไม่เคยที่ใครเคยเห็นฝีมือที่แท้จริงของพวกเขาเลยสักครั้ง จริงหรือเท็จ จึงมิอาจล่วงรู้ได้”


 


 


“แล้วท่านล่ะ”


 


 


อวี้เฟยเยียนคิดอยากจะรู้ลำดับขึ้นของซย่าโหวฉิงเทียนมาโดยตลอด


 


 


ก่อนหน้านี้ซย่าโหวฉิงเทียนเคยสัญญาไว้กับนางว่า หากนางสำเร็จปรมาจารย์ได้ เขาจะบอกระดับขั้นวรยุทธ์ของตนกับนาง ตอนนี้จึงสามารถถามเขาได้แล้ว


 


 


“เรื่องนี้…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียน แตะที่ปลายจมูกของตนเองด้วยมาดอันหล่อเหลา สีหน้าเป็นต่อ


 


 


“ตอนนี้พี่อยู่ขั้นราวๆ เทพจักรพรรดิแล้ว!”


 


 


เทพจักรพรรดิ!


 


 


อวี้เฟยเยียนถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง


 


 


วีรชนอาวุโส จักรพรรดิอาวุโส ราชันจักรพรรดิอาวุโส เทพจักรพรรดิ


 


 


เช่นนั้นก็เท่ากับว่าในขั้นจอมอาวุโส ซย่าโหวฉิงเทียนเจ๋งที่สุดนะสิ


 


 


เหตุใดสวรรค์ถึงไร้ความยุติธรรมเช่นนี้!


 


 


หน้าตาหล่อเหลาก็ว่าดีแล้ว แต่นั่นยังเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน แต่นี่ หมอนี่วรยุทธ์ยังสูงส่งอีกด้วย สมบูรณ์แบบขนาดนี้จะดีหรือ


 


 


มันจะทำให้ผู้คนพากันอิจฉาริษยาน่ะสิ!


 


 


“หากว่าท่านไปที่เมืองอู๋โยว มันจะเป็นอย่างไรนะ”


 


 


อวี้เฟยเยียนมองดูซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาชื่นชมนับถือ


 


 


“จะเป็นอย่างไรกัน!”


 


 


“อือ…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็มีความสุขยิ่งนักกับสายตาชื่นชมนับถือจากคนรัก เขาแสร้งกระแอมในลำคอเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวตอบ


 


 


“ก็ฝืนนับว่าเก่งที่สุดก็ว่าได้ ขอเพียงแต่ไม่ต้องเจอปีศาจเฒ่าพวกนั้นก็พอ!”


 


 


“เยี่ยมไปเลย!”


 


 


อวี้เฟยเยียนถึงกับยกนิ้วให้


 


 


นอกเหนือจากดีใจ อวี้เฟยเยียนก็ยังมีเรื่องคิดมากอยู่อีกเรื่องหนึ่ง


 


 


นางเป็นเพียงปรมาจารย์ตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง เทียบกับซย่าโหวฉิงเทียนแล้วนางเป็นแค่ตัวอะไรตัวหนึ่งเท่านั้นเอง


 


 


นางกับคนรักหนุ่มวรยุทธ์ห่างไกลกันถึงเพียงนี้ เจ็บปวดถึงศักดิ์ศรี!


 


 


เมื่อไหร่กันนะที่นางเก่งกาจเท่ากับซย่าโหวฉิงเทียน!


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไร นางจะไม่เป็นตัวถ่วงเขาเด็ดขาด!


 


 


นี่ไม่ใช่วิถีทางของนาง!


 


 


พอจะเดาความคิดอวี้เฟยเยียนได้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงยื่นมือออกไปดีดที่หน้าผากของนางเบาๆ


 


 


“แมวน้อย เจ้าทำได้ดีแล้ว! ต่อให้อยู่ที่เมืองอู๋โยว ระดับความก้าวหน้าของเจ้าก็จัดว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ เพียงแต่เจ้าเริ่มต้นสายไปสักหน่อยเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร มีพี่อยู่ เจ้าเชื่อใจพี่เถอะ!”


 


 


คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนทำให้อวี้เฟยเยียนอบอุ่นใจเป็นที่สุด


 


 


“พี่จะโอบเจ้าไว้ เจ้าเดินกร่างไปพร้อมกับพี่ได้เลย!”


 


 


“อืม!”


 


 


อวี้เฟยเยียนยิ้มจนตาหยีมือเกาะแขนซย่าโหวฉิงเทียนไว้แน่น


 


 


“หากว่าต้องไปที่เมืองอู๋โยวจริง เราสองคนจะเดินกร่างไปด้วยกัน!”


 


 


“ไปทั่วปฐพี!’


 


 


เห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็งับที่หน้าของนางแผ่วเบา


 


 


“พี่จะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงของพี่ต้องถูกรังแกเป็นแน่! เจ้าอยู่กับพี่ พี่จะทำให้เจ้าเดินกร่างไปทั่วปฐพี!”


 


 


ทั่วปฐพี!


 


 


ได้ยินคำคำนี้ตาอวี้เฟยเยียนเปล่งประกายระยิบระยับ ความฝันที่ทั้งสูงส่งยิ่งใหญ่ ปณิธานที่แสนเกรียงไกร!


 


 


ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน!


 


 


ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า คู่รักที่เ**้ยมโหดที่สุดได้ถือกำเนิด ณ ค่ำคืนที่เงียบเหงานี้แล้ว! 

 

 


ตอนที่ 98-3 เดินกร่างทั่วปฐพี

 

อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนแสดงความรักต่อกันอย่างมากมาย เดี๋ยวกอดเดี๋ยวจูบ


 


 


ทว่าเชียนลั่วเฉิงที่อยู่ในวังหลวงกลับกำลังอมทุกข์หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างหนัก เพราะเพิ่งได้รับรายงานข่าวด่วนที่เหนือความคาดหมายมาหมาดๆ มันโจมตีเขาจนแทบกระอักเลือด


 


 


“อะไรนะ เจ้าบอกว่าตี้อู่หงเยี่ยจากไปโดยไม่ลา”


 


 


หลังจากรู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนมาถึงที่ฉินจื้อนี่ เชียนลั่วเฉิงก็เอาแต่คิดใคร่ครวญว่าจะรับมือกับเหตุการณ์ที่ผกผันเช่นนี้อย่างไรดี


 


 


แต่ไม่ว่าเสนาบดีหวังจะห้ามปรามอย่างไร เชียนลั่วเฉิงก็ยังคงคิดว่าลงมือก่อนได้เปรียบอยู่ดี


 


 


บัดนี้ต้าโจวได้กลายเป็นหนามยอกอกของเชียนลั่วเฉิงไปเสียแล้ว


 


 


มีอวี้เฟยเยียนเป็นจอมเทวาแล้วคนหนึ่ง มาตอนนี้ยังมีอวี้หลัวช่าที่เป็นจอมเทวาพ่วงด้วยจักรพรรดิโอสถมาอีกคน ซย่าโหวฉิงเทียนก็เก่งกาจปานนั้น อำนาจและพลังของต้าโจวทำให้เชียนลั่วเฉิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่น้อย


 


 


เชียนลั่วเฉิงรู้จักซย่าโหวจวินอวี่มาหลายปี รู้ดีว่าซย่าโหวจวินอวี่เป็นคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงมากคนหนึ่ง


 


 


บัดนี้ ต้าโจวมีพร้อมสรรพทุกด้านทั้งยุทธภูมิที่ได้เปรียบเวลาที่เหมาะสม ทรัพยากรบุคคลที่เก่งกาจ


 


 


แล้วซย่าโหวจวินอวี่จะปล่อยฉินจื้อไปได้อย่างไรกัน!


 


 


ซีเย่ว์ ก็เป็นตัวอย่างชั้นดีมิใช่หรือ!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่แต่งเรื่องโกหกขึ้นมา คำโกหกคำโตของเขากลายเป็นจุดชักนำกองทหารแห่งต้าโจวได้ แล้วนับประสาอะไรกับฉินจื้อที่มีความแค้นกับต้าโจวมาช้านาน


 


 


ต้าโจวกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยความยากลำบาก จะต้องกัดฉินจื้อไม่ปล่อยเป็นแน่


 


 


เขาจะนั่งรอความตายไม่ได้!


 


 


เชียนลั่วเฉิงรู้ดีว่า ด้วยกำลังของฉินจื้อในตอนนี้มิอาจปะทะกับต้าโจวตรงๆ ได้


 


 


เพราะฉินจื้อไม่มีจอมเทวา แต่ต้าโจวจู่ๆ ก็จอมเทวาพร้อมกันถึงสองคนทั้งอวี้เฟยเยียนและอวี้หลัวช่า ถึงแม้ว่าเขายังไม่รู้วรยุทธ์ของซย่าโหวฉิงเทียน แต่สามารถเตะตี้อู่หงเยี่ยจนกระเด็นออกไปได้ เขาต้องสำเร็จขั้นจอมราชาเป็นอย่างน้อย


 


 


ในเมื่อปะทะกันซึ่งหน้า เชียนลั่วเฉิงมิอาจต้านทานซย่าโหวจวินอวี่ได้


 


 


เช่นนั้นก็มีเพียงแต่เล่นสกปรกแล้ว!


 


 


เดิมทีเชียนลั่วเฉิงคิดจะให้เยี่ยหงเข้าช่วย เพื่อเบิกทางให้กับยอดฝีมือข้างกายของนาง


 


 


ก่อนหน้านี้ในขณะที่เชียนลั่วเฉิงและตี้อู่หงเยี่ยตกลงเงื่อนไขกันนั้น ยอดฝีมือท่านนั้นเคยปรากฏโฉมหน้าครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นที่เยี่ยหงแนะนำคนผู้นั้นให้เชียนลั่วเฉิงรู้จัก นางบอกว่าเขาคือวีรชนอาวุโส


 


 


วีรชนอาวุโสหนึ่งคน จะขยี้จอมเทวาให้แหลกคามือนับเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก


 


 


เวลานี้ฉินจื้อกำลังตกที่นั่งลำบาก ทางเดียวที่เชียนลั่วเฉิงิคิดได้นั่นก็คือ จะต้องเชิญยอดฝีมือผู้นั้นออกหน้า กำจัดอวี้หลัวช่า อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนให้จงได้


 


 


เมื่อไม่มีจอมเทวาให้พึ่งพา ซย่าโหวจวินอวี่ก็ต้องหมดแรง ต้าโจวก็จะทำอะไรฉินจื้อไม่ได้!


 


 


ถึงตอนนั้น ใครจะอยู่ใครจะไป ก็ยังไม่แน่!


 


 


เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของแคว้นฉินจื้อ เชียนลั่วเฉิงจึงมิอาจลังเลอะไรได้อีก


 


 


ขอเพียงยอดฝีมือท่านนั้นยอมออกหน้าช่วยเหลือ แม้เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าไหร่เขาก็ยินยอม!


 


 


เมื่อคิดตกแล้ว เชียนลั่วเฉิงจึงให้คนไปที่ที่พำนักของตี้อู่หงเยี่ยเพื่อเชิญนางและยอดฝีมือท่านนั้นเข้าวังเพื่อหารือการใหญ่


 


 


ทว่าเขาให้คนไปค้นทั่วทั้งที่พำนักตี้อู่หงเยี่ยแล้ว ก็ไม่พบนางยิ่งมิต้องพูดถึงยอดฝีมือลึกลับคนนั้นเลย


 


 


“เป็นไม่ได้!”


 


 


เชียนลั่วเฉิงบีบหัวมังกรบนพระที่นั่งแน่น


 


 


เยี่ยหงยังหาหนานกงจื่อหลิงไม่เจอ แล้วจะจากไปได้อย่างไรกัน!


 


 


“หาต่อไป! จะต้องหาใต้เท้าเยี่ยให้เจอให้จงได้!”


 


 


เชียนลั่วเฉิงจิตใจร้อนรุ่มทั้งคืน หากว่าความปรารถนาข้อนี้ของเขาสำเร็จ จะให้ถือศีลกินเจตลอดชีวิตเขาก็ยอม


 


 


แต่ทว่า ข่าวที่ได้รับรายงานมาอย่างต่อเนื่องมันยิ่งเป็นการโจมตีเชียนลั่วเฉิงให้แพ้อย่างราบคาบ


 


 


หาเยี่ยหงไม่เจอ บุคคลที่เขาเรียกว่ายอดฝีมือนั่นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!


 


 


เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!


 


 


เชียนลั่วเฉิงโมโหจนคำรามออกมาเสียงดังสนั่น หลังจากนั้นก็เป็นลมล้มไป เสมหะติดที่ลำคอ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเหลือก พูดไม่ออก


 


 


“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เมื่อได้รับแจ้งข่าว หลิวกุ้ยเฟยก็ร้องห่มร้องไห้ข้ามวันข้ามคืน


 


 


จนกระทั่งหมอหลวงมาตรวจอาการให้กับเชียนลั่วเฉิง ผลที่ออกมานั่นก็คือ เชียนลั่วเฉิงธาตุไฟเข้าแทรกถึงหัวใจจนกลายเป็นอัมพาต ต่อไปจะต้องรักษาตัวให้ดี ไม่อาจเหน็ดเหนื่อยหรือกังวลใจใดๆ ได้อีก คราวนี้ หลิวกุ้ยเฟยยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก


 


 


“พระนาง ใต้เท้าเยี่ยคือราชันจักรพรรดิโอสถ พระองค์สามารถเชิญท่านมารักษาได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


หมอหลวงทูลขึ้น


 


 


ทว่าเขากลับมิได้รู้ข่าวคราวที่ว่าเยี่ยหงหายสาบสูญไปเลยแม้แต่น้อย


 


 


จวบจนกระทั่งหลิวกุ้ยเฟยเรียกขันทีที่เข้าเวรวันนั้นมาถามสาเหตุที่ทำให้เชียนลั่วเฉิงล้มป่วย ก็ได้ความว่าเหตุเพราะเยี่ยหงหายไปอย่างไร้ร่องรอย คราวนี้ทำเอาหมอหลวงถึงกับหมดหนทาง


 


 


“ในเมื่อใต้เท้าเยี่ยไม่อยู่ พระนาง ยังมีใต้เท้าอวี้หลัวช่านะพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นถึงจักรพรรดิโอสถ…”


 


 


“ไม่ได้!”


 


 


ข้อเสนอแนะของหมอหลวง ถูกเยี่ยอ๋องที่ประทับอยู่ที่วังหลวงมาตลอดหลายคืนปฏิเสธทันทีทันใด


 


 


“อวี้หลัวช่าเป็นคนรักซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ใช่คนดี!”


 


 


เยี่ยอ๋องประคองหลิวกุ้ยเฟย จ้องมองหมอหลวงหลี่ด้วยสีหน้าดุดัน


 


 


“ปีนั้น ก่อนซย่าโหวฉิงเทียนจะไปจากฉินจื้อนั่นก็ลั่นวาจาเอาไว้ว่า สักวันหนึ่งเขาจะกลับมา จิตใจที่โหดเ**้ยมของมันไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้ ครั้งนี้หมอนั่นมายังแคว้นฉินจื้อพร้อมกับอวี้หลัวช่า เห็นได้ชัดว่ามาหาเรื่องถึงที”


 


 


“หมอหลวงหลี่ ท่านเสนอให้อวี้หลัวช่ามารักษาเสด็จพ่อ ท่านมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ นี่ท่านต้องการจะทำร้ายเสด็จพ่อใช่หรือไม่!”


 


 


เป็นหมอหลวงมาช้านาน เหตุใดหมอหลวงหลี่จะมองเจตนาเยี่ยอ๋องไม่ออก


 


 


ฝ่าบาททรงเป็นอัมพาต แล้วเยี่ยอ๋องไหนเลยจะยอมหาวิธีทำการรักษาพระองค์ได้เล่า!


 


 


แม่ลูกคู่นี้อยากที่จะครอบครองบัลลังก์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร!


 


 


ครั้งนี้ เชียนลั่วเฉิงล้มป่วยลง ประจวบเหมาะให้พวกเขาหาเหตุผลที่เหมาะสมได้พอดิบพอดี!


 


 


เรื่องส่วนพระองค์ของฝ่าบาท หมอหลวงหลี่ฐานะต่ำต้อย มิอาจเอื้อมเข้าไปยุ่มย่าม จึงทำได้เพียงโขกศีรษะคารวะเยี่ยอ๋องสามครั้งเพื่อให้ทรงอภัย ทั้งยังบอกอีกว่าตนเองแก่ชรามากแล้วจึงเลอะเลือน คิดการณ์ไม่รอบคอบ ยังดีที่เยี่ยอ๋องตักเตือน เขาจึงไม่ได้กระทำผิดครั้งใหญ่ลงไป


 


 


เมื่อเห็นว่าหมอหลวงรู้ความ เยี่ยอ๋องก็หัวเราะออกมา


 


 


“หมอหลวงหลี่ ท่านคือหมอเก่าแก่แห่งสำนักหมอหลวง แน่นอนว่าวิชาแพทย์ของท่านเชื่อถือได้ พระวรกายของเสด็จพ่อ ข้ามอบให้เป็นหน้าที่ท่านก็แล้วกัน! ท่านจะต้องรักษาเสด็จพ่อให้หายให้จงได้!”


 


 


รักษาให้หาย


 


 


หมอหลวงหวังถ่มน้ำลายใส่เยี่ยอ๋องอยู่ในใจ


 


 


เกรงว่าท่านจะคาดหวังให้ฝ่าบาททรงมีอันเป็นไปในเร็ววันน่ะสิ!


 


 


แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น แล้วเขาจะทำอะไรได้เล่า!


 


 


เชียนลั่วเฉิงมีลูกหลานไม่มาก นอกจากเยี่ยอ๋องและเยี่ยนอ๋องที่อยู่ทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ยังมีองค์หญิงอีกสามพระองค์ ที่ยังทรงพระเยาว์นัก จึงมิมีเสาหลักให้เลือกสรรเลยแม้แต่คนเดียว


 


 


แน่นอนว่า การที่เหล่าพระสนมไม่มีพระสูติกาล ส่วนองค์ชายองค์หญิงก็ด่วนสิ้นไปนั้น เป็นผลงานของหลิวกุ้ยเฟยโดยแท้


 


 


ถึงแม้ว่าจะรู้แน่ชัดอยู่ในใจ แต่หมอหลวงหลี่ก็ยังต้องรับบัญชาเยี่ยอ๋องแต่โดยดี


 


 


เพราะเขาไม่มีทางเลือก ที่บ้านยังมีคนแก่และเด็ก จึงมิอาจมิทำตามรับสั่งของเยี่ยอ๋องได้


 


 


เชียนลั่วเฉิงเองก็มิอาจดีขึ้นได้ในเร็ววัน เยี่ยอ๋องและหลิวกุ้ยเฟยติดต่อตระกูลหลิว ทั้งยังเชื้อเชิญแม่ทัพใหญ่ ซึ่งก็คือบุตรชายหูซา หูจื้อเหนิงมา


 


 


แล้วกลุ่มคนพวกนั้นก็ปรึกษาหารือกันครู่ใหญ่ จากนั้นก็มีเสียงระฆังจากหอระฆังหลวงดังขึ้น


 


 


“นี่เสียงอะไร”


 


 


หลังจากที่ได้ยินเสียงอันดังและยาวนานนั้น อวี้เฟยเยียนก็ชันกายลุกขึ้นนั่ง


 


 


“เสียงระฆังหลวง! เห็นที ฉินจื้อคงเกิดเรื่องใหญ่เสียแล้ว!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ในเวลาเช่นนี้ จะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นได้


 


 


“ไม่อย่างนั้น พวกเราไปแอบดูดีกว่าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยคือเพื่อนรักของอวี้เฟยเยียน ฉินจื้อเกิดเรื่องขึ้นนางย่อมต้องสนใจ


 


 


อวี้เฟยเยียนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดของซย่าโหวฉิงเทียนถึงขั้นยกมือสนับสนุนเห็นด้วยทั้งสองมือ


 


 


เวลาแบบนี้ จะไม่ไปร่วมแจมความสนุกสนานกับเขาได้อย่างไรกันเล่า!


 


 


“กอดพี่เอาไว้!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนสั่งการ


 


 


เขาคุ้นเคยเสียแล้วกับกลิ่นหอมกรุ่นจากเรือนกายอันนุ่มนิ่มของอวี้เฟยเยียน เขาจับมือของนางวางที่เอวตนเสร็จสรรพก็อุ้มนางขึ้นแล้วพานางพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าออกเดินทางไปทันที


 


 


เนื่องจากเสียงเคาะระฆังหลวงที่ดังขึ้น ทำให้เมืองหลวงที่กำลังหลับใหลถูกปลุกขึ้นมาในทันทีทันใด


 


 


เหล่าขุนนางที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น แต่ละคนสีหน้าหนักอกหนักใจ รีบสวมใส่ชุดว่าราชการแล้วมุ่งหน้าเข้าวังทันที


 


 


ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว วังหลวงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ


 


 


ในใจของใครหลายคนกำลังคาดเดาไปต่างๆ นานา คงมิใช่ต้าโจวยกทัพมาหรอกนะ


 


 


เพราะอย่างไรเสียเรื่องที่ว่ากองทัพสามแสนของต้าโจวตั้งค่ายอยู่ที่ชายแดนทั้งสองแคว้น มิใช่ความลับอีกต่อไป


 


 


มันเป็นไปได้มากทีเดียว!


 


 


โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า หลินเจียงอ๋องโอหังเตะปรมาจารย์เยี่ยหงจนกระเด็นเมื่อตอนกลางวัน ลือกันไปทั่วทุกหัวระแหง


 


 


อยู่ที่แคว้นฉินจื้อซย่าโหวฉิงเทียนยังยโสโอหังถึงเพียงนี้ หากไม่มีใครหนุนหลังล่ะก็ เขาคงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาไม่ได้


 


 


ครานี้เขามาที่นี่ก็เพื่อทดสอบทัพหน้าของแคว้นฉินจื้ออย่างแน่นอน!


 


 


ตอนนี้ระฆังหลวงก็ดังขึ้นแล้วด้วย เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับต้าโจวเป็นแน่!


 


 


กระทั่งขุนนางน้อยใหญ่ทั้งบุ๋นและบู๊เดินเหงื่อไหลไคลย้อยมายังตำหนักจันทราจนครบ แต่ทว่าคนที่พวกเขาพบกลับไม่ใช่เชียนลั่วเฉิงแต่เป็นเยี่ยอ๋องและหลิวกุ้ยเฟย


 


 


“ฝ่าบาทเล่า”


 


 


เสนาบดีหวังที่ได้ชื่อว่าเป็นขุนนางเก่าแก่ที่สุด จึงกล่าวถามคำถามนี้แทนทุกคน


 


 


“ฝ่าบาททรงไม่ไหวแล้ว!” 

 

 


ตอนที่ 98-4 เดินกร่างทั่วปฐพี

 

รอจนกระทั่งเสนาบดีหวังเอ่ยปาก หลิวกุ้ยเฟยถึงกับร้องไห้ออกมา แต่ทว่าสาเหตุที่เชียนลั่วเฉิงเป็นอัมพาตก็ถูกหลิวกุ้ยเฟยแต่งเรื่องว่าเป็นเพราะพระองค์ทรงห่วงใยราษฎร เพราะเรื่องต้าโจวพระองค์ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ 


 


 


ภายหลังเมื่อได้ยินว่าหลินเจียงอ๋องทำร้ายปรมาจารย์เยี่ยหง เชียนลั่วเฉิงทั้งร้อนใจและโกรธแค้น สุดท้ายถึงได้ล้มลงไป 


 


 


หลิวกุ้ยเฟยไม่ได้โง่ นางรู้ดีว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้นางจะไม่หลุดปากเรื่องเยี่ยหงหายสาบสูญไปออกมาเด็ดขาด  


 


 


เมื่อกลางวันที่ ‘ซย่าโหวฉิงเทียนลงมือ’ ก็ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยแล้ว 


 


 


ชาวบ้านกำลังเล่าลือกันว่าไม่แน่ว่าซย่าโหวฉิงเทียนอาจจะเป็นปรมาจารย์เช่นกัน ต้าโจวมีจอมเทวาแล้ว ตอนนี้ยังมีปรมาจารย์เพิ่มมาอีก ฉินจื้อจะทำอย่างไรกัน 


 


 


ในเวลาเช่นนี้ หากหลิวกุ้ยเฟยบอกความจริงออกไป จิตใจทุกคนจะต้องหลุดจากควบคุมโดยสิ้นเชิง 


 


 


นางยังรอคอยที่จะได้เห็นบุตรชายนางครองราชย์ รอคอยที่จะได้เสพสุขตำแหน่งไทเฮาอยู่! 


 


 


แล้วนางจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า! 


 


 


เสนาบดีหวังไม่เชื่อในคำพูดของหลิวกุ้ยเฟยเลยแม้แต่น้อย! 


 


 


ช่วงเช้าเสนาบดีหลังยังปรึกษาหารือกับเชียนลั่วเฉิงเรื่องจุดประสงค์การมาที่นี่ของซย่าโหวฉิงเทียนอยู่เลย ในตอนนั้นฝ่าบาทยังทรงปกติทุกอย่าง มีเพียงแต่พระอารมณ์ที่เคร่งเครียดอยู่บ้างแต่ก็มิได้เป็นปัญหาใดๆ  


 


 


เพียงแค่สองสามชั่วโมงให้หลัง ฝ่าบาทกลับทรงเป็นอัมพาตไปได้อย่างไรกัน! 


 


 


จะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่! 


 


 


“พระนาง ขอกระหม่อมพบฝ่าบาทสักครั้งได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เสนาบดีหวังก้าวขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว 


 


 


“เชิญท่านเสนาบดี!” 


 


 


หลิวกุ้ยเฟยรู้ดีว่าหากจะกำราบขุนนางเฒ่าผู้นี้ให้อยู่หมัด จะต้องมีหลักฐานพร้อมมูล 


 


 


ในตอนนั้นเองหลิวกุ้ยเฟยจึงได้เชิญขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักอีกสองสามคนไปที่ตำหนักด้วย  เพื่อให้พวกเขาเห็นเชียนลั่วเฉิงในสภาพที่หางตาชักเกร็ง น้ำลายไหลออกมาจากมุมปากโดยมิอาจควบคุมได้ เหล่าขุนนางพวกนั้นถึงยอมเชื่อว่าคำพูดของหลิวกุ้ยเฟยนั้นเป็นความจริง 


 


 


แต่ทว่า เพียงเท่านี้ยังมิบรรลุจุดประสงค์ของหลิวกุ้ยเฟย 


 


 


นางจะต้องใช้โอกาสนี้ บีบให้พวกเขาสนับสนุนให้แต่งตั้งเยี่ยอ๋องขึ้นครองราชย์แทนต่างหากจึงจะสำคัญที่สุด! 


 


 


“ข้าจะพูดกับพวกท่านตรงๆ แล้วกัน เหตุที่ฝ่าบาททรงกริ้วจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพราะว่าใต้เท้าเยี่ยหงหายสาบสูญไป” 


 


 


คำกล่าวนี้ของหลิวกุ้ยเฟย เสนาบดีหวังเชื่อถึงแปดเก้าส่วน 


 


 


เมื่อช่วงเช้าพูดจนปากเปียกปากแฉะน้ำลายแห้งเหือด ก็มิอาจโน้มน้าวเชียนลั่วเฉิงได้ 


 


 


ฝ่าบาททรงพลิกแผ่นดินตามหาเยี่ยหงเพื่อจะให้นางไปรับมือกับพวกต้าโจว รับมือกับซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้หลัวช่า ดังนั้นสิ่งที่หลิวกุ้ยเฟยกล่าวมาจึงมิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ 


 


 


เพราะเขาติดตามเชียนลั่วเฉิงมาตั้งหลายปี เสนาบดีหวังรู้ดีว่า เชียนลั่วเฉิงมีนิสัยดื้อดึงและเอาแต่ใจ เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง 


 


 


ดูจากสถานการณ์แล้ว คงเป็นเพราะฝ่าบาททรงพระทัยร้อนและเป็นกังวลเรื่องของเยี่ยหงมากเกินไปจนทำให้ล้มป่วยลงเช่นนี้ 


 


 


เพียงแต่ว่า เยี่ยหงหายสาบสูญไป มันมิใช่ลางดีเลย! 


 


 


เสนาบดีหวังเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา 


 


 


เดิมทีต้าโจวก็จ้องจะเล่นงานฉินจื้ออยู่แล้ว มาตอนนี้ฝ่าบาทก็ทรงมาเป็นเช่นนี้อีก ปรมาจารย์เยี่ยหงที่จะสามารถต่อกรกับต้าโจวได้ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไป หัวใจชาวฉินจื้อจะต้องสั่นคลอนเป็นแน่ 


 


 


“ท่านทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนแต่เป็นเสาหลักของบ้านเมือง ขุนนางสำคัญของราชสำนัก” 


 


 


“ฝ่าบาทในตอนนี้ ข้าเองที่เป็นหญิงก็อกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก ไร้ซึ่งทิศทาง ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดีพวกท่านว่าในตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไร” 


 


 


ถึงแม้ปากหลิวกุ้ยเฟยจะพูดเช่นนี้ แต่ขุนนางที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ทั้งสิ้น แล้วจะไม่รู้ความในใจหลิวกุ้ยเฟยและเยี่ยอ๋องสองแม่ลูกนี่ได้อย่างไรกันเล่า 


 


 


ความคิดของแม่ลูกคู่นี้น่ากลัวยิ่งนัก! 


 


 


ฝ่าบาททรงเกิดเรื่อง พวกเขาก็รีบขึ้นแทนที่จนแทบรอไม่ไหว  


 


 


หากฉู่ฮองเฮายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ก็คงดี พระนางจะต้องโผเข้าไปเคียงข้างฝ่าบาทแล้วถามหายา ตามหาหมอเพื่อมารักษาฝ่าบาทไป แต่ทว่า หญิงที่จิตใจดีงามฝ่าบาทมิทรงโปรด พระองค์ทรงโปรดปรานหญิงที่จิตใจเ**้ยมโหดราวกับงูพิษเช่นนี้ แล้วจะโทษใครได้เล่า! 


 


 


“พระนาง ในเมื่อท่านหมอหลวงหวังก็ได้บอกแล้วว่าฝ่าบาทจะต้องทรงรักษาพระวรกายสักพัก หม่อมฉันจึงคิดว่า เรื่องราชกิจแคว้นมิควรให้ฝ่าบาทต้องทรงเหน็ดเหนื่อยอีก เช่นนั้นให้เยี่ยอ๋องทรงดูแลจัดการราชกิจเป็นเวลาชั่วคราว รอจนฝ่าบาททรงมีพระพลานมัยดีขึ้นแล้ว ค่อยว่ากันพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


เสนาบดีหวังจะไม่สนับสนุนเยี่ยอ๋องขึ้นครองราชย์โดยตรงเป็นแน่ 


 


 


เพราะอย่างไรเสีย ฝ่าบาทต่างหากจึงทรงเป็นเจ้านายที่ใหญ่ที่สุด พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ต่อให้เพียงเฮือกสุดท้ายก็ตาม ก็ยังไม่ใช่หน้าที่ที่ขุนนางจะมาตัดสินใจได้ 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น เกิดพระองค์หายดีขึ้นมาเล่าแล้วพระองค์จะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ 


 


 


พระองค์จะมาคิดบัญชีทีหลังหรือไม่ก็ไม่รู้ 


 


 


ตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไรโดยเด็ดขาด เท่ากับเป็นการให้ความหวังทั้งสองฝ่าย ภายหน้าไม่ว่าเชียนลั่วเฉิงจะหายดีหรือเยี่ยอ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้ ก็ยังสามารถพูดจากันได้ 


 


 


หลิวกุ้ยเฟยและเยี่ยอ๋องไหนเลยจะไม่รู้ว่าพวกขุนนางเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้ พูดในเชิงกลางๆ เช่นนี้ ก็เพราะเกรงว่าภายหน้าจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงนั่นเอง 


 


 


ทว่าพวกเขาก็ถือว่ารู้ความ จึงไม่มีสักคนที่ออกหน้าเพื่อทำหน้าที่ขุนนางผู้จงรักภักดีให้กับเชียนลั่วเฉิง 


 


 


หลังขุนนางเก่าแก่สองสามคนออกมา นำเรื่องที่เชียนลั่วเฉิงเป็นอัมพาตมาบอกกล่าวแก่ขุนนางคนอื่นๆ แล้ว ทั้งยังแจ้งเรื่องที่ว่าเยี่ยอ๋องจะบริหารราชกิจหน้าที่แทนฝ่าบาทชั่วคราวแล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครคัดค้าน 


 


 


สำหรับพวกที่หัวแข็งไม่ยอมปฏิบัติตามรวมทั้งพวกขุนนางเก่าแก่ที่ยังยืนยันว่าจะพบกับเชียนลั่วเฉิงให้จงได้ก็จะถูกแม่ทัพหูลากออกมาสำเร็จโทษ ณ ที่นั้นเลย 


 


 


เมื่อมีตัวอย่างที่เปื้อนเลือด ไม่นานทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ทั้งหมด 


 


 


“น่าสงสารเสียจริง!” 


 


 


อวี้เฟยเยียนดึงแผ่นหลังคาวังหลวงออก เพื่อมองดูเหตุการณ์ความเป็นไปด้านในกล่าวขึ้น 


 


 


“เชียนลั่วเฉิงผู้นี้จะต้องเลวสักเพียงไหนกันนะ! ถึงทำให้ลูกเมียของเขาหวังให้เขาตายมากขนาดนี้ ส่วนขุนนางเขาก็มีเพียงไม่กี่คนที่จงรักภักดีต่อเขา คนผู้หนึ่งอยู่ไปวันๆ ได้จนมาถึงเพียงนี้ ล้มเหลวอย่างราบคาบจริงๆ ” 


 


 


“ใช่ ล้มเหลว!” 


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นด้วยกับคำพูดอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างมาก 


 


 


นี่เท่ากับล้มเหลวในความเป็นคน! 


 


 


ทำจนตัวเองมีสภาพเช่นนี้ ขนาดลูกหน่ายหนีไปกันหมด! 


 


 


แต่ทว่า เมื่ออวี้เฟยเยียนได้เห็นสภาพอันน่าอนาถของเชียนลั่วเฉิง นางกลับดีอกดีใจเป็นอย่างมาก! 


 


 


ใครใช้ให้เขาเป็นคนเลว ทรยศต่อบุญคุณคน ท่านหลงใหลเมียน้อยละเลยเมียเอก ยังลงมือเ**้ยมโหดกับบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง…เป็นอย่างไรเล่า ตอนนี้เวรกรรมตามสนองท่านแล้ว! 


 


 


คนเลวมันจะถูกทรมานโดยคนเลวจริงๆ! 


 


 


“พวกเราไปดูเชียนลั่วเฉิงกันเถอะ!” 


 


 


เมื่อคิดถึงว่าเชียนลั่วเฉิงทำร้ายเชียนเยี่ยเสวี่ยจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็อยากจะโผล่หน้าไปให้เขาเห็น ให้เขาเจ็บใจเล่นๆ สักหน่อย 


 


 


ใครใช้ให้ท่านไม่ดูตาม้าตาเรือเล่า! 


 


 


สมน้ำหน้า 


 


 


ถึงแม้ว่าในตอนนี้ร่างกายเชียนเยี่ยเสวี่ยจะยังไม่หายดีทั้งหมด ยังมิสามารถมาแก้แค้นได้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าอวี้เฟยเยียนจะทำอะไรเล็กๆ น้อยกับเชียนลั่วเฉิงไม่ได้ 


 


 


เมื่อคนทั้งสองถึงตำหนักบรรทมของเชียนลั่วเฉิง พอดีกับที่หมอหลวงหลี่กำลังต้มยาเพื่อป้อนให้กับเชียนลั่วเฉิงพอดิบพอดี 


 


 


“ให้ข้าทำเอง!” 


 


 


            เมื่อได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว เยี่ยอ๋องก็อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เขาเดินด้วยท่าทางองอาจเข้าไปรับถ้วยยาจากหมอหลวงหลี่ 


 


 


“เสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อทรงวางพระทัย ลูกจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี!” 


 


 


เยี่ยอ๋องยิ้มร้าย ว่าแล้วเขาก็แสร้งมือไม่มีแรง ยาที่กำลังร้อนระอุหกรดลงที่อกเชียนลั่วเฉิงทั้งหมด 


 


 


ตอนนี้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว อากาศจึงร้อนเป็นอย่างมาก เชียนลั่วเฉิงสวมเพียงแค่ชุดบรรทมสีขาวที่บางเบาเพียงชั้นเดียว ถูกยาร้อนๆ หกรดทั้งชามทำให้มิเพียงแต่ชุดเขาเลอะเทอะ ส่วนลำคอทั้งหมดก็ถูกยาร้อนๆ ลวกจนแดงเถือก 


 


 


“อ๊าก…” 


 


 


เชียนลั่วเฉิงถึงแม้ว่าจะเป็นอัมพาตแต่สมองของเขายังชัดเจนดีทุกอย่าง 


 


 


เมื่อมองดูบุตรชายที่เขาสู้รักและทะนุถนอมกเลี้ยงมาสิบกว่าปี พลันเขาก็รู้สึกราวกับว่าบุตรชายเป็นคนแปลกหน้าที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก เขาถลึงตาโตด้วยอารมณ์โกรธแค้นจ้องมองไปที่เยี่ยอ๋อง 


 


 


“ไอ้หยา เสด็จพ่อ ลูกต้องขออภัยพ่ะย่ะค่ะ จู่ๆ มือมันก็ไม่มีแรงไม่ถือชามยาให้ดี ทำให้เสด็จพ่อตกพระทัยแล้ว! หมอหลวงหลี่ ไปยกมาอีกชาม จำไว้จะต้องร้อนๆ นะ!” 


 


 


           เห็นฝ่าบาททรงถูกกลั่นแกล้งด้วยตาตนเอง หมอหลวงหลี่ถึงกับหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก 


 


 


           ดูท่าในตอนนี้ เรื่องเยี่ยอ๋องจะขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัยเสียแล้ว 


 


 


           แม้ว่าในใจหมอหลวงหลี่จะเข้าข้างเชียนลั่วเฉิง แต่ก็มีใจไร้สามารถ ทำได้เพียงทำตามคำสั่งของเยี่ยอ๋อง ไปยกยาร้อนถ้วยใหม่เข้ามา 


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกป้อนยาเสด็จพ่อนะพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


เยี่ยอ๋องแสยะยิ้มน่ารังเกียจออกมา เขาบีบปากเชียนลั่วเฉิง แล้วกรอกยาทั้งชามลงไป 


 


 


“แค่กๆ!…” 


 


 


ยาชามนี้ร้อนกว่าชามที่แล้วมากนัก 


 


 


เยี่ยอ๋องบีบปากเชียนลั่วเฉิงอยู่อย่างนั้นมิยอมให้เขาหุบปาก ยาร้อนระอุไหลลงไป ลวกปาก ลวกลำคอของเชียนลั่วเฉิงจนกลายเป็นแผลพุพองแดงก่ำไปทั่ว 


 


 


“อ๊าก…” 


 


 


เชียนลั่วเฉิงทั้งเจ็บตัวทั้งโกรธแค้นและเจ็บปวดใจ น่าเสียดายที่เขาไม่มีแม้เรี่ยวแรงแม้แต่จะพูด 


 


 


เนื่องจากอาการอึดอัดใจตื่นตระหนกอย่างหนัก ทำให้ปากแผลพุพองในปากเชียนลั่วเฉิงปริแตก เขาจึงกระอักเลือดสีแดงสดออกมา 


 


 


“หมอหลวงหวัง มาดูเร็ว เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้กระอักเลือดออกมา นี่มันเรื่องอะไรกัน” 


 


 


เยี่ยอ๋องแสร้งประคองเชียนลั่วเฉิงขึ้นมา มือใหญ่เขาตบเข้าที่หลังเชียนลั่วเฉิงอย่างแรง 


 


 


หมอหลวงหลี่รีบเข้ามาจับชีพจรตรวจอาการของฝ่าบาททันที 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


เชียนลั่วเฉิงจ้องเขม็งไปที่หมอหลวงหลี่สายตาเจ็บแค้น ทว่าในตอนนี้สายตาเชียนลั่วเฉิงหาได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป เพราะหมอหลวงหลี่ตัดสินใจมองข้ามสายตาของเชียนลั่วเฉิงไปเสียแล้ว 


 


 


เขายังมีบรรพชน มีครอบครัว… 


 


 


เขายังมีห่วงอีกมากนัก เพื่อครอบครัวเพื่อคนรักแล้ว เขาได้แต่เชื่อฟังคำสั่ง 


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง หมอหลวงหลี่ เมื่อไหร่เสด็จพ่อถึงจะดีขึ้น” 


 


 


เยี่ยอ๋องหยิบเชียนลั่วเฉิงขึ้นมา แล้วทิ้งร่างของเขาลงบนเตียง 


 


 


“ทูลท่านอ๋อง เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงไม่ดีขึ้นมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ท่านว่าอะไรนะ” 


 


 


เยี่ยอ๋องจับคอเสื้อหมอหลวงหวังขึ้นมาด้วยมือเดียว เมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวตื่นตระหนกของเขาแล้วจึงยอมปล่อมมือ 


 


 


จากนั้นเยี่ยอ๋องก็ยกมือขึ้นจัดเสื้อผ้าให้กับหมอหลวงหลี่ แล้วตบที่บ่าของหมอหลวงอย่างแรงสองครั้งกล่าวว่า 


 


 


“หมอหลวงหลี่ ความหมายของข้าก็คือ ให้เสด็จพ่อทรงพักผ่อนอย่างสงบตลอดไป ท่านเข้าใจหรือยัง ข้านั้นเป็นลูกกตัญญู ตอนนี้ยังอาลัยอาวรณ์เสด็จพ่ออยู่!” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ! คำสั่งการของท่านอ๋องผู้น้อยเข้าใจแล้ว! ผู้น้อยจะปฏิบัติตามแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ฉลาดจริงๆ! ข้าชอบพูดคุยกับคนที่ฉลาดเยี่ยงเจ้านี่แหละ!” 


 


 


เยี่ยอ๋องตบที่แก้มหมอหลวง แล้วหัวเราะออกมา 


 


 


“โอ้โห นี่ยังต้องการให้พ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองให้ตายให้ได้เลยหรือนี่!” 


 


 


อวี้เฟยเยียนที่นอนราบอยู่บนหลังคา มองดูฉากคนที่ไม่ใช่คนฉากนั้นตาโต 


 


 


เยี่ยอ๋องผู้นี้ จิตใจเ**้ยมโหดยิ่งนัก! 


 


 


สมกับเป็นทายาทของเชียนลั่วเฉิงจริงๆ สืบทอดความชั่วร้ายเลวทรามของเขามาเต็มๆ ! 


 


 


ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ เลย! 


 


 


เชียนลั่วเฉิง ในที่สุดท่านก็ได้เห็นโฉมหน้าของลูกชายสุดที่รักเสียทีนะ!  

 

 


ตอนที่ 99-1 ทำชั่วได้ชั่ว สมน้ำหน้าเจ...

 

มองดูอวี้เฟยเยียนชมละครฉากเด็ดด้วยความบันเทิงเริงใจ ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบเอื้อมมือไปโอบเอวนางเอาไว้แน่น ด้วยเกรงว่านางจะสนุกสนานเกินจนร่วงลงไป


 


 


“ฉิงเทียน ข้าเปลี่ยนใจแล้ว! ข้าจะไปยกเก้าอี้น้อยมานั่งสังเกตการณ์ที่นี่ สำหรับการทรมานเชียนลั่วเฉิงก็มอบให้เยี่ยอ๋องเป็นผู้จัดการหน้าที่นี้แทน—”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวจบ ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำมือแน่นด้วยความตื่นเต้น


 


 


“เมื่อครู่เจ้าเรียกพี่ว่าอะไรนะ”


 


 


“ฉิงเทียนน่ะสิ…”


 


 


อวี้เฟยเยียนหันหน้ากลับมาร้องตอบ และก็พบว่าริมฝีปากน้อยๆ ของนางแนบชิดจนเกือบสนิทกับแก้มซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


คนร้ายกาจ!


 


 


เห็นรอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนถึงกับหน้าแดง


 


 


จู่ๆ ขยับมาใกล้ถึงเพียงนี้ทำไมกัน!


 


 


เขาต้องเจตนาแน่ๆ !


 


 


“เด็กดี เรียกชื่อพี่อีกครั้งสิ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนขมวดคิ้วอมยิ้ม


 


 


เมื่อก่อนอวี้เฟยเยียนเอ่ยปากทีไรก็ ‘ซย่าโหวฉิงเทียน’ เรียกชื่อเต็มทุกครั้ง จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงนุ่มนวลทั้งเรียกเพียงชื่อ ‘ฉิงเทียน’ ให้ความรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสนิทชิดเชื้อมากขึ้นไปอีกขั้น ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนยินดีปรีดายิ่งนัก


 


 


“แมวน้อย เรียกอีกครั้งสิ พี่ชอบนัก!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหลอกล่ออวี้เฟยเยียน


 


 


“ฉิง…เทียน”


 


 


เห็นใบหน้าดื่มด่ำมีความสุขของเขา อวี้เฟยเยียนจึงเรียกขานชื่อเขาอีกครั้งช้าๆ ชัดๆ แผ่วเบา


 


 


“ไพเราะจริงๆ !”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเชยคางนางขึ้น จ้องมองด้วยสายตาลึกซึ้ง


 


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่พี่รู้สึกว่าชื่อตัวเองไพเราะถึงเพียงนี้!”


 


 


ผู้คนต่างก็บอกว่า ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก สติปัญญาจะเป็นศูนย์


 


 


การแสดงออกของซย่าโหวฉิงเทียนพิสูจน์ความจริงนี้ได้เป็นอย่างดี


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนในตอนนี้ก็เป็นไอ้หนุ่มจอมทึ่มที่กำลังตกบ่วงแห่งความรักเข้าอย่างจัง!


 


 


เมื่อก่อนอาจเห็นว่าเขาเย็นชาไร้หัวใจ แต่ตอนนี้กลับพูดภาษารักเป็นชุด จนอวี้เฟยเยียนชักจะสงสัยแล้วว่าเขาเป็นยอดฝีมือเรื่องความรักหรือเปล่า!


 


 


แต่เรื่องความหลงตัวเองของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็นับว่าให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี


 


 


“ชื่อท่านไพเราะจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อข้าเป็นผู้เรียกขาน ยิ่งไพเราะขึ้นอีกเป็นพิเศษ”


 


 


ในเมื่อคบหากับชายคนรักที่หลงตัวเอง นางในฐานะที่เป็นคนรักของเขาก็จะต้องให้ความร่วมมือให้ดีที่สุด จึงถือเป็นคนรักที่สมบูรณ์แบบ


 


 


“แมวน้อย วันนี้เจ้ากินน้ำผึ้งเข้าไปหรือไร เหตุใดปากถึงได้หวานล้ำเพียงนี้”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบก็ประกบริมฝีปากจูบอวี้เฟยเยียนทันที


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนคบหาเป็นคนรักกันแล้ว แต่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับรู้สึกว่าเขายังไกลจากนางอยู่มากนัก รู้สึกว่ามีช่องว่างบางอย่างที่ยังเติมไม่เต็มอยู่ในใจ เพราะอะไรกันแน่นะ


 


 


คนทั้งสองจุมพิตมอบความหวานให้กันอย่างเร่าร้อนอยู่บนหลังคา แต่เชียนลั่วเฉิงที่อยู่ในห้องบรรทมกลับกำลังเจ็บปวดเจียนตาย


 


 


เมื่อทรมานเชียนลั่วเฉิงครั้งใหญ่จนสาแก่ใจแล้ว เยี่ยอ๋องจึงจากไป ทิ้งไว้เพียงหมอหลวงหลี่อยู่กับเชียนลั่วเฉิง


 


 


เมื่อตรวจสอบบาดแผลแล้ว หมอหลวงหลี่ถึงกับอกสั่นขวัญแขวน


 


 


เยี่ยอ๋องน้ำมือเ**้ยมโหดยิ่งนัก!


 


 


บาดแผลพุพองทั้งในปากและลำคอของเชียนลั่วเฉิง ล้วนมีขนาดใหญ่ประมาณเม็ดถั่วเขียวเห็นจะได้


 


 


ซึ่งบาดแผลเหล่านั้นส่วนใหญ่ปริแตกออกมา


 


 


น้ำเหลืองจากบาดแผลและเลือดสดๆ ไหลรวมกัน ทรมานจนแทบทนดูไม่ได้เลยทีเดียว!


 


 


หลายปีที่ผ่าน เชียนลั่วเฉิงรักเยี่ยอ๋องยิ่งนัก เอาอกเอาใจทุกอย่างสารพัด มีของกินอะไรดีๆ หรือของเล่นอะไรดีๆ มันจะส่งไปที่จวนเยี่ยอ๋องเป็นที่แรก


 


 


เทียบกันแล้ว เยี่ยนอ๋องกลับกลายเป็นอ๋องที่ไม่มีใครรักจึงเทียบอะไรกับเยี่ยอ๋องไม่ได้เลย


 


 


ตอนนี้ เชียนลั่วเฉิงถูกเยี่ยอ๋องทรมานจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หมอหลวงหลี่จึงได้แต่ทอดถอนใจขณะเดียวกันก็พยายามช่วยให้เชียนลั่วเฉิงสบายขึ้นให้มากที่สุด


 


 


“ฝ่าบาท ทรงอดทนไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เหงื่อเม็ดโตมากมายผุดออกมาตามหน้าผากและไรผมของหมอหลวงหลี่


 


 


เขาพยายามเจาะตุ่มพองให้แตกอย่างระมัดระวัง แล้วทายาลงไปอย่างเบามือ


 


 


แต่ทว่าถึงแม้ว่าหมอหลวงหลี่พยายามระมัดระวังอย่างเต็มที่ แรงที่ใช้ก็พยายามควบคุมไปเบาที่สุด แต่ทว่าเมื่อผงยาสีขาวโดนบริเวณตุ่มน้ำพองในปาก เชียนลั่วเฉิงก็ยังเจ็บปวดจนตัวสั่น ดวงตาทั้งสองข้างเหลือกโปน จ้องมองมาที่หมอหลวงหลี่เขม็ง


 


 


“อ๊าก…”


 


 


เขาพูดจาไม่ได้ จึงได้ใช้เสียงร้องออกมา เพื่อแสดงออกถึงความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ว่าทรงเจ็บปวดยิ่งนัก!”


 


 


“แต่หากไม่ทายาละก็ อากาศที่ร้อนเพียงนี้ ไม่นานบาดแผลจะเน่าเละ ถึงตอนนั้นพระองค์ก็จะยิ่งเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่านี้นะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เมื่อเห็นเชียนลั่วเฉิงปิดปากสนิท ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับตนเองหมอหลวงหลี่ก็ตื่นตระหนก


 


 


“ฝ่าบาท ทรงอดทนหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ โปรดฟังคำที่หม่อมฉันเตือนเถอะนะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ถึงแม้เชียนลั่วเฉิงจะโกรธแค้นกับท่าทีเมื่อครู่ของหมอหลวงหลี่ยิ่งนัก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาการป่วย ความเจ็บปวด การทรยศหักหลังของบุตรชายรวมทั้งความเจ็บปวดจากบาดแผลที่บนร่างกายแล้ว เขาก็พยายามอดทนมากขึ้นไม่น้อย


 


 


อย่างน้อยที่สุด หมอหลวงหลี่ก็ยังตั้งใจให้การรักษาเขา


 


 


เทียบกันแล้วยังดีกว่าเชียนเจิ้นหยาง (เยี่ยอ๋อง) เจ้าลูกทรพีนั่นมากกว่าอีก!


 


 


อีกอย่าง เขายังตายตอนนี้ไม่ได้!


 


 


หากเขาตายอยู่ในวังหลังแห่งนี้ มิเพียงแต่คนชั่วจะได้สมใจ ยังจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คนทั่วหล้า!


 


 


เชียนลั่วเฉิงจินตนาการออกเลยว่า ซย่าโหวจวินอวี่เมื่อได้ยินข่าวนี้เข้าจะหัวเราะด้วยความเปรมปรีดิ์สักเพียงใด!


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้เชียนลั่วเฉิงก็ยิ่งแค้นเคืองเชียนเจิ้นหยางและหลิวกุ้ยเฟยมากขึ้นเป็นทวีคูณ


 


 


ศัตรูภายใน เป็นสิ่งที่เขามิได้คาดคิดมาก่อน…


 


 


หญิงที่เขาโปรดปรานที่สุด ลูกชายที่เขารักที่สุด ในช่วงเวลาสำคัญพวกเขากลับใช้มีดแทงเขา มันเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป


 


 


ในตอนนั้นเองจู่ๆ เชียนลั่วเฉิงก็นึกถึงฉู่ฮองเฮาขึ้นมา


 


 


ในตอนที่ถูกส่งไปอยู่ตำหนักเย็น จิตใจนางคงเจ็บปวดจนด้านชาเช่นนี้หรือไม่…


 


 


อีอี ข้า…รู้สึกผิดขึ้นมาแล้วจริงๆ


 


 


จิตใต้สำนึกอันแข็งกล้าที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อทำให้เชียนลั่วเฉิงพยายามอ้าปากให้ความร่วมมือกับหมอหลวงหลี่ เขายังไม่อยากตายและยังตายไม่ได้ ดังนั้นเขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!


 


 


เมื่อได้รับความร่วมมือจากเชียนลั่วเฉิง งานต่อจากนั้นของหมอหลวงหลี่ก็ง่ายขึ้นมาก


 


 


“ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรขอพระองค์อย่าได้ทรงคั่งแค้นโกรธเคืองเป็นเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ โทสะส่งผลเสียต่อร่างกาย!”


 


 


ด้วยไม่รู้ว่าในห้องนี้มีหูตาของเชียนเจิ้นหยางอยู่เท่าไหร่ หมอหลวงหลี่จึงมิกล้าพูดอะไรมาก ทำได้เพียงปลอบใจเชียนลั่วเฉิงเสียงเบา


 


 


ข้าเข้าใจแล้ว!


 


 


เชียนลั่วเฉิงหลับตาลง เวลาเพียงแค่คืนเดียว เขาแก่ชราลงไปมาก


 


 


“หึๆ คราวนี้มีละครดีๆ ให้ดูแล้ว!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเอาแผ่นหลังคาปิดลงไปดังเดิม ยิ้มเยาะราวกับดีใจที่ได้เห็นภาพนั้น


 


 


ดูแล้วเชียนลั่วเฉิงคงจะมิยอมแพ้ง่ายๆ สุนัขอย่างพวกเขากัดกันเอง ละครฉากเด็ดเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!


 


 


“ฉิงเทียน เจ้าว่า ข้าจะใจดีช่วยเชียนลั่วเฉิงสักครั้งเป็นอย่างไร”


 


 


หากปราศจากร่างกายที่แข็งแรง เห็นทีเขาคงยากที่จะชนะได้!


 


 


ระหว่างฝ่าบาทและเยี่ยอ๋องย่อมต้องเกิดศึกที่โหดร้ายขึ้นสักวัน แต่ตอนนี้เชียนลั่วเฉิงเป็นอัมพาตอยู่ แล้วมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า!


 


 


ขอเพียงแต่ให้ทั้งสองฝ่ายมีพลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน กัดกันเองจนบาดเจ็บหนักทั้งสองฝ่ายจึงจะดีที่สุด!


 


 


นกกระยางสู้กับหอยกาบ คนตกปลาต่างหากที่ได้ประโยชน์ หลักการก็ง่ายๆ แค่นี้เอง!


 


 


“เจ้านี่นะ…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหยิกแก้มอวี้เฟยเยียนอย่างแสนรัก


 


 


“หากเจ้าต้องการเล่น เจ้าก็ตั้งใจลงเล่นให้เต็มที่เสียเถิด อย่างไรเสียตรงนี้ก็มีพี่อยู่!”


 


 


ดูเขาพูดเข้าสิ พูดเสียสวยงามเชียว!


 


 


ในสายตาซย่าโหวฉิงเทียน เชียนลั่วเฉิงและเชียนเจิ้นหยางเป็นเพียงคนที่ใกล้ตายเท่านั้น


 


 


ให้โอกาสพวกเขาแสดงความสามารถที่ยังเหลืออยู่ก่อนตาย ให้แมวน้อยได้สนุกสนาน นับเป็นเรื่องที่ไม่เลวเหมือนกัน!


 


 


“ท่านช่างดีจริงๆ เลย!”


 


 


อวี้เฟยเยียนแก้มชนแก้มซย่าโหวฉิงเทียนตรงๆ แล้วค่อยดึงเขาไปสังเกตการณ์ต่อที่ตำหนักหลิวกุ้ยเฟย


 


 


หลังจากที่คราวก่อนนางและซย่าโหวฉิงเทียนบุกเข้ามาก่อกวนที่ตำหนักหลิวกุ้ยเฟยแห่งฉินจื้อแล้ว กลับกลายเป็นว่านางคุ้นเคยกับตำหนักอันหรูหรานี่ราวกับเป็นบ้านตัวเองก็ไม่ปาน


 


 


ในเมื่อแอบมาดูความสนุกตื่นเต้นของเชียนลั่วเฉิงแล้ว จะไม่แวะมาดูหลิวกุ้ยเฟยจะได้อย่างไรกัน!


 


 


รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!


 


 


เมื่ออวี้เฟยเยียนไปถึง ก็พบเข้ากับความลับอันยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเข้าให้ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องเริ่มเล่าจากหลังคาแห่งตำหนักหลิวกุ้ยเฟย 

 

 


ตอนที่ 99-2 ทำชั่วได้ชั่ว สมน้ำหน้าเจ...

 

 


 


เมื่อยกแผ่นหลังคาขึ้น อวี้เฟยเยียนก็มองเห็นเชียนเจิ้นหยาง


 


 


นี่มันดึกดื่นครึ่งค่อนคืนแล้ว ลูกชายยังอยู่ที่ตำหนักเสด็จแม่แท้ๆ ของตนเอง มันเรื่องอะไรกัน


 


 


หรือพวกเขาแม่ลูกกำลังปรึกษาว่าจะทำอย่างไรจึงจะรับช่วงต่อแผ่นดินฉินจื้อได้อย่างราบรื่น


 


 


อวี้เฟยเยียนที่พกความอยากรู้อยากเห็นเข้ามาเต็มเปี่ยม นางนอนราบลงบนหลังคา จับตาดูทุกรายละเอียดโดยมิให้คลาดสายตา


 


 


อดกล่าวไม่ได้ว่า การที่หลิวกุ้ยเฟยได้รับการโปรดปรานมาตั้งหลายปี มันก็มีเหตุผลอยู่


 


 


ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้งามหยาดฟ้ามาดิน แต่ก็อยู่เหนือผู้อื่นเพราะผิวพรรณของนาง


 


 


ผิวพรรณทั่วเรือนร่างนางขาวสว่างจ้าราวหิมะ ทั้งยังเนียนละเอียด ถึงแม้ว่าอายุอานามนางจะล่วงเลยเกินวัยกลางคนมาแล้ว แต่ทว่าผิวพรรณนางยังเต่งตึงดั่งเก่า ไม่มีร่องรอยเ**่ยวย่นใดๆ เลยแม้แต่น้อย


 


 


เวลานี้ย่างเข้าเดือนหก อากาศร้อนอบอ้าว


 


 


หลิวกุ้ยเฟยอยู่ในตำหนักบรรทมของตน สวมใส่เพียงแค่ชุดกระโปรงปล่อยชายสีฟ้าครามบางๆ ยิ่งขับให้ผิวพรรณของนางขาวใสขึ้นไปอีก


 


 


ภายในชุดกระโปรงบางเบานางสวมใส่เสื้อเอี๊ยมสีฟ้าชมพู สายตาอวี้เฟยเยียนดีนัก นางยังมองเห็นอีกว่าบนเสื้อเอี๊ยมนั้นปักลายดอกบัวสีฟ้าคู่ที่กำลังจะเบ่งบานเอาไว้


 


 


ช่างเป็นหญิงที่เปี่ยมด้วยความปรารถนาเร่าร้อนยิ่งนัก!


 


 


อวี้เฟยเยียนคิดอยู่ในใจ


 


 


ในตำหนักบรรทม มีเพียงเชียนเจิ้นหยางเท่านั้น ส่วนเหล่านางกำนัลถูกไล่ให้ออกไปทั้งหมดแล้ว


 


 


นี่พวกเขาจะพูดคุยเรื่องความลับอะไรกันหรือ


 


 


“เสด็จแม่…”


 


 


เชียนเจิ้นหยางยื่นมือออกไปจับจูงมือหลิวกุ้ยเฟยเดินมาที่ข้างเตียง ร่างเขาเอนเอียงซบไปที่ร่างนาง จ้องมองด้วยสายตาเร่าร้อน


 


 


“เสด็จแม่ ครั้งนี้เป็นผลดีกับเรา ในที่สุดเจ้าเฒ่านั่นก็เป็นอัมพาต ต่อไปข้าก็สามารถอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ได้ทุกวัน!”


 


 


ได้ยินประโยคเมื่อครู่ อวี้เฟยเยียนเกือบจะกระอักเลือดออกมา


 


 


ทว่า ภาพที่จะปรากฏต่อจากนี้ ยิ่งทำให้อวี้เฟยเยียนตกตะลึงหนักขึ้นไปอีก


 


 


หลิวกุ้ยเฟยยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของเชียนเจิ้นหยาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเง้างอน


 


 


“เจ้านะ โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวติดกับแม่อีก รอให้เจ้าเป็นฮ่องเต้ แต่งฮองเฮาแล้ว จะทำอย่างไรเล่า…”


 


 


“ข้าจะไม่แต่งฮองเฮาคนอื่น หากว่าจะต้องแต่งตั้งฮองเฮาจริง ข้าจะแต่งตั้งเสด็จแม่เป็นฮองเฮา!”


 


 


“พูดอะไรโง่ๆ อย่างนั้นเล่า!”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยผลักเชียนเจิ้นหยางไปอีกทาง


 


 


“รอให้ถึงเวลาคัดเลือกนางในเสียก่อนเถอะ เมื่อเจ้าเห็นสาวสวยแรกแย้มมากมาย เจ้าก็จะลืมแม่!”


 


 


ได้ฟังหลิวกุ้ยเฟยกล่าวเช่นนั้น เชียนเจิ้นหยางก็รีบจับมือของนางเอาไว้แน่น


 


 


“เสด็จแม่ หัวใจหม่อมฉันเต้นก็เพื่อพระองค์ ข้าเป็นลูกของเสด็จแม่ ในใจมีเพียงเสด็จแม่เท่านั้น!”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนเช่นนั้นของเชียนเจิ้นหยาง หลิวกุ้ยเฟยก็รั้งศีรษะของเขาเข้ามาในอ้อมอกทันที


 


 


“แม่รู้ดี แม่ก็แค่กังวล! กระดาษห่อไฟไม่ได้ พวกเราทำเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้…”


 


 


“กลัวอะไรกันเล่า!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางได้ยินเช่นนั้น ก็เป็นฝ่ายโอบกอดหลิวกุ้ยเฟยเสียเอง


 


 


“ข้าคิดเอาไว้แล้ว รอให้เจ้าเฒ่านั่นตาย ข้าจะประกาศว่าเสด็จแม่ทรงตรอมพระทัยสิ้นพระชนม์ตามไปด้วยอีกคน! จากนั้นข้าจะส่งท่านไปที่บ้านท่านลุง รอจนการเลือกนางในเริ่มต้นขึ้น ให้ท่านเข้าวังมาใหม่ในฐานะลูกสาวของท่านลุง ถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถอยู่ด้วยกันตลอดไป!”


 


 


“ทำเช่นนั้นได้จริงหรือ”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยจับที่ปกเสื้อเชียนเจิ้นหยางแน่น


 


 


“จะไม่มีใครพบเข้าหรือ “


 


 


“ไม่หรอก เสด็จแม่ ทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของข้า…”


 


 


พูดไปพูดมา เชียนเจิ้นหยางก็เริ่มปลดกระโปรงของหลิวกุ้ยเฟย ยื่นนิ้วมือเข้าไปเตรียมปลดมันออกจากร่างของนาง


 


 


“อย่า…”


 


 


เชียนเจิ้นหยางกระทำเช่นนี้ หลิวกุ้ยเฟยอยากที่จะปัดป้อง ผลก็คือถูกเขากดลงบนเตียงขยับเขยื้อนไม่ได้


 


 


“เสด็จแม่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าคิดถึงท่านจนแทบบ้า ทรงให้หม่อมฉันเถิด!”


 


 


ปากก็ร้องขอในสิ่งที่ต้องการ มือเชียนเจิ้นหยางก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ไม่นานร่างกายของหลิวกุ้ยเฟยก็ตอบรับ


 


 


แต่ว่าทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ สีหน้าที่เคียดแค้นน่าเกลียดน่ากลัวของเชียนลั่วเฉิงก็ปรากฏขึ้นมาในหัวนาง หลิวกุ้ยเฟยขัดขืนสุดแรงเกิด ผลักเชียนเจิ้นหยางออกไปอีกทาง ตนเองชันกายลุกขึ้นนั่ง


 


 


“ไม่ได้ ข้าทำเช่นนี้ผิดศีลธรรม จะต้องตกนรก!”


 


 


“ศีลธรรม”


 


 


ได้ยินคำนั้นเข้า เชียนเจิ้นหยางถึงกับหัวเราะออกมา


 


 


“เสด็จแม่ ในเวลานี้มาพูดถึงเรื่องศีลธรรม ไม่สายไปหน่อยหรือ”


 


 


มองดูเชียนเจิ้นหยางในตอนนี้ หลิวกุ้ยเฟยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


 


 


เขาเป็นอะไรไป วันนี้แลดูผิดแผกไม่เหมือนเดิม!


 


 


“หลิวซื่อ ท่านเป็นแม่บังเกิดเกล้าของข้าจริงหรือ…”


 


 


คำพูดเชียนเจิ้นหยางทำเอาหลิวกุ้ยเฟยถึงกับหน้าถอดสี


 


 


เหตุใดจู่ๆ เขาจึงกล่าวเช่นนี้


 


 


เชียนเจิ้นหยางรู้อะไรเข้าแล้วหรือ


 


 


เห็นสีหน้าท่าทีของหลิวกุ้ยเฟยแล้ว เชียนเจิ้นหยางก็หัวเราะขึ้นมา


 


 


“เสด็จแม่ทรงคิดว่าหม่อมฉันเป็นไอ้โง่หรืออย่างไร ในปีนั้นเพื่อที่จะคงไว้ซึ่งรูปร่างที่งดงาม เสด็จแม่ทรงเสวยหญ้าฝรั่น จึงมิอาจมีลูกได้ ดังนั้นสกุลหลิวจึงส่งหลานสาวจากบ้านนอกมาเป็นนางกำนัลข้างกายเสด็จแม่ จุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อช่วยเสด็จแม่ให้กำเนิดทายาทเพื่อฐานะที่มั่นคง…เรื่องราวเหล่านี้ ยังต้องให้หม่อมฉันย้ำเตือนเสด็จแม่ด้วยหรือ”


 


 


“ผ่าง” เรื่องที่หลิวกุ้ยเฟยเป็นกังวลมาโดยตลอดในที่สุดก็เกิดขึ้น


 


 


เจ้ารู้เรื่องนี้เมื่อไหร่กัน


 


 


หลิวกุ้ยเฟยเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว


 


 


“ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มอยากครอบครองเสด็จแม่นั้น ข้าก็เริ่มสืบเรื่องราวทุกอย่าง! จะว่าไป เสด็จแม่ยังติดค้างชีวิตแม่บังเกิดเกล้าของหม่อมฉันหนึ่งชีวิต รวมทั้งสกุลหลิวด้วยที่ติดค้างหนี้ชีวิตแม่บังเกิดเกล้าของหม่อมฉัน!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางปากก็พร่ำไป มือก็ปลดเอี๊ยมตัวน้อยของหลิวกุ้ยเฟยไปด้วย


 


 


ดังนั้นเสด็จแม่อย่าได้พูดเรื่องศีลธรรมกับหม่อมฉัน ท่านไม่ได้เป็นแม่บังเกิดเกล้าของหม่อมฉัน ศีลธรรมจำกัดพวกเราเอาไว้ไม่ได้!”


 


 


“ไม่ ไม่…”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยถอยร่นไปด้านหลัง


 


 


“เจ้าเรียกข้าว่าแม่ เจ้าและข้าอย่างไรก็เป็นแม่ลูกกัน…”


 


 


“เหลวไหลทั้งเพ!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางเป็นดั่งธนูที่วางบนคันศรแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้หลิวกุ้ยเฟยหนีไปได้


 


 


อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย มีเรี่ยวแรงมากกว่าหลิวกุ้ยเฟยอยู่แล้ว ไม่นานเขาก็ ‘สยบ’ หลิวกุ้ยเฟยเอาไว้ได้


 


 


“หากว่าเสด็จแม่กลัวบาปกรรม ก็ควรจะปฏิเสธข้าตั้งแต่แรก! มาพูดเอาตอนนี้ สายไปเสียแล้ว ข้าเกิดในนรกมาตั้งแต่ต้น แต่เสด็จแม่มิต้องกลัวนะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ต้องลงนรก ข้างกายของเสด็จแม่ก็ยังมีหม่อมฉัน!”


 


 


ประโยคเดียวว่า ‘สายไป’ ของเชียนเจิ้นหยาง ทำให้หลิวกุ้ยเฟยเลิกขัดขืนโดยสิ้นเชิง


 


 


พวกเขาทำเรื่องเช่นนี้ สวรรค์ไม่ต้องการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!


 


 


“เสด็จแม่ ทรงสิริโฉมงดงามเหลือเกิน…”


 


 


เชียนเจิ้นหยางจูบซับน้ำตาที่ปลายหางตาของหลิวกุ้ยเฟย แล้วยื่นมือที่เปื้อนสายธารหล่อลื่นที่เหนียวข้นไปตรงหน้าของนาง


 


 


“ท่านดูสิ เปียกชื้นไปหมดแล้ว เสด็จแม่ ร่างกายท่านนั้นซื่อสัตย์ที่สุด!”


 


 


“อย่ามอง…”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยยื่นมือออกไปเพื่อจะปิดตาเชียนเจิ้นหยาง ทว่าถูกมือใหญ่ของเขาพันธนาการมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ


 


 


“น่าเสียดายจริงๆ ที่ท่านมิใช่แม่บังเกิดเกล้าของข้า! หากท่านเป็น ท่านคงให้ชีวิตข้าโดยให้กำเนิดออกมาจากตรงนี้ วันนี้ข้ากลับไปทักทายอีกครั้ง นี่ถือว่าลูกกตัญญูต่อเสด็จแม่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางเอวตั้งตรงขึ้น ตามมาด้วยเสียงครางของหลิวกุ้ยเฟย ทั้งที่นางกัดริมฝีปากตนเอาไว้แน่น


 


 


“สวรรค์ นี่เยี่ยอ๋องเป็นลูกทรพีทรยศบิดานี่นา!”


 


 


สมภารยังไม่กินไก่วัดเลยด้วยซ้ำ!


 


 


เชียนเจิ้นหยางสวมเขาให้กับพ่อบังเกิดเกล้าของตนเอง ช่างอาจหาญเสียจริงๆ …


 


 


คืนนี้เพียงคืนเดียวเกิดเรื่องราวมากมายในวังหลวงแห่งฉินจื้อ ในสายตาอวี้เฟยเยียน เปรียบดั่งละครน้ำเน่าก็ไม่ปาน แต่มันน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าละครน้ำเน่าเป็นไหนๆ !


 


 


นี่มันคู่รักวิปริตนี่นา!


 


 


ต่อให้ไม่มีสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่แย่งผู้หญิงของพ่อตัวเอง น่าสนุกนักหรือ


 


 


ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์หลงใหลในตัวหญิงวัยเกือบวัยทอง รสนิยมเขาช่างพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ !


 


 


จริงอย่างที่เขาว่าไว้ เรื่องราวคาวๆ กำเนิดมาจากวังหลวงทั้งสิ้น พูดไว้ไม่ผิดจริงๆ !

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม