ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 97.1-98.4

ตอนที่ 97-1 แปลงสมุนไพร

 

สวนซิ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเยี่ยจิง ซึ่งจวนฉินอ๋องก็ตั้งอยู่ทางทิศเหนือเช่นเดียวกัน


 


 


ตลอดการเดินทาง อวิ๋นหว่านชิ่นมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้าอยู่เป็นระยะ ดูไปแล้ว สวนซิ่งอยู่ไม่ไกลจากจวนฉินอ๋องเท่าไหร่


 


 


จวนฉินอ๋องแม้เงียบสงบ แต่ก็ยังอยู่ข้างถนนใหญ่ ทว่าสวนซิ่งนั้น รถม้าวิ่งไปๆ ก็ยิ่งห่างไกลความเจริญไปเรื่อยๆ พอเลี้ยวตรงถนนสายเล็กๆ ที่ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบ ก็ไม่เห็นแม้เงาคนอีก แต่ยังพอจะเห็นไร่นาและควันไฟอยู่ห่างออกไปรอบนอก โดยในไร่มีชาวนาสวมงอบกำลังก้มๆ เงยๆ ทำนาอยู่


 


 


รถม้าวิ่งไปตามถนนสายเล็กๆ ราวครึ่งชั่วยาม ก็วิ่งช้าลง และจอดในที่สุด


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์ลงจากรถตามหลังคนทั้งสอง เห็นกระท่อมมุงแฝกหลายหลังอยู่ด้านหน้า ดูไปแล้วเหมือนหมู่บ้านขนาดเล็กแถบชานเมืองแห่งหนึ่ง มีลำธารคดเคี้ยวเลี้ยวลด น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา สองฟากฝั่งของลำธาร สตรีชาวบ้านสองสามกลุ่มนั่งซักผ้า ล้างผัก พลางพูดคุยยิ้มหัว ข้างๆ มีเด็กเล็กจำนวนหนึ่ง วิ่งเล่นไปมาอย่างสนุกสนาน


 


 


เป็นภาพที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและสงบสุข


 


 


ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน พอกลุ่มชาวบ้านเห็นเหยากวงเหย้า ก็เดินเข้ามายกมือทักทาย


 


 


“หมอเหยามาสวนซิ่งเหรอ”


 


 


อีกคนอุ้มเด็กทารกเข้ามาขอบคุณ “หมอเหยา ลูกชายข้าดีขึ้นแล้ว ที่ท้องร่วงน่ะ ขอบคุณหมอเหยามาก”


 


 


“พ่อข้าขาหัก มาให้ท่านรักษาเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนี้ลงเดินได้บ้างแล้ว” ชายคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวเข้ามาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม หอบเอาเนื้อแดดเดียวกับปลาตากแห้งที่ทำเองมามัดหนึ่ง ยัดใส่มือของเหยากวงเหย้า


 


 


ซึ่งเหยากวงเหย้าก็มิได้ปฏิเสธ รับเนื้อกับปลาไว้


 


 


“เนื้อนิ่ม ปลาสด อืม ให้ข้าเอามาแกล้มเหล้าได้พอดี”


 


 


จากนั้นก็มีชาวบ้านอัธยาศัยดี ใสซื่อและเรียบง่าย เดินเข้ามาห้อมล้อมเหยากวงเหย้าจากทุกทิศทุกทาง ถ้าไม่ทักทาย ก็นำสุราอาหาร ผักผลไม้ที่บ้านตนปลูกเองทำเองมาให้


 


 


เหยากวงเหย้ายิ้มรับตาหยี ไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด เห็นชัดว่าเขาสนิทสนมกับชาวบ้านมาก ทั้งท่วงท่าและการพูดจาล้วนไม่มีพิธีรีตอง ดุจญาติสนิทมิตรสหายที่คบกันมานานหลายปีอย่างไรอย่างนั้น


 


 


กลุ่มชาวบ้านล้อมเข้ามาพูดคุยกับเขาสักพัก ก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป พอเหยากวงเหย้าหลุดออกจากวงล้อมมาได้ ก็พาคนทั้งสามเข้าไปในหมู่บ้าน ระหว่างทาง เมี่ยวเอ๋อร์ก็ยิ้มพลางพูดเสียงต่ำ


 


 


“คุณหนูใหญ่ หมอหลวงเหยานี่ เป็นขวัญใจของคนในหมู่บ้านเชียวนา”


 


 


ท่าทางสวนซิ่งอยู่คู่หมู่บ้านมานานพอสมควร เป็นโรงหมอแห่งเดียวในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ดูเงียบสงบ ไม่มีใครรู้จัก มิน่าเล่าชาวบ้านถึงได้รักและให้ความสำคัญเช่นนี้


 


 


พอเดินมาถึงท้ายหมู่บ้าน ก็เห็นบ้านก่ออิฐสีส้มชายคาเขียวหลังเล็กตั้งอยู่ตรงหน้า แม้ไม่หรูหรา แต่เก๋ไก๋


 


 


สดใส เรียบง่ายและสง่างาม


 


 


เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็เห็นว่าชานบ้านเก็บกวาดได้อย่างสะอาดสะอ้าน ทั้งซ้ายและขวาปลูกต้นไม้โบราณสูงตระหง่าน ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งมีชุดโต๊ะเก้าอี้หินทรงกลม บนโต๊ะทำเป็นกระดานหมากรุก ใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่งทำเป็นระแนงหลังคา แล้ววางแคร่และเก้าอี้ไม้ไผ่ไว้ ให้นั่งเล่นหย่อนใจ บนประตูบ้าน มีป้ายชื่อจารึกชื่อ ‘สวนซิ่ง’


 


 


ป่าซิ่ง[1] เป็นสัญลักษณ์ของหมอจีน น่าจะเป็นที่มาของชื่อโรงหมอ ฟังดูกระชับ ไม่โฉ่งฉ่าง แต่คมคาย ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังคิด เหยากวงเหย้าก็เรียกทุกคนเข้าไปด้านใน


 


 


ภายในบ้านไม่ต่างจากร้านขายยาทั่วไปในเมือง มีตู้ลิ้นชักไม่แดงสูงราวครึ่งจั้ง (1.65 เมตร) อยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งยาสมุนไพรก็ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักเหล่านี้ ส่วนตู้เก็บของที่อยู่ข้างๆ ใช้เก็บเครื่องมือต่างๆ อย่างตาชั่ง ช้อนตวง ครกบดยา หลอดยาเป็นต้น ตอนค้นคว้าสูตรสมุนไพรอยู่ที่บ้าน อวิ๋นหว่านชิ่นก็มักใช้ของเหล่านี้ จึงคุ้นเคยดี


 


 


ส่วนอีกด้าน วางโต๊ะยาวที่มีเก้าอี้ไว้ทั้งสองด้าน น่าจะเป็นที่ๆ จับชีพจรและตรวจโรคให้กับผู้ป่วย


 


 


หญิงวัยกลางคนสวมชุดยาวสีเขียว โพกผ้าไว้บนศีรษะ กำลังกวาดพื้นอยู่ตรงระเบียง พอเห็นเหยากวงเหย้ามากับคนกลุ่มหนึ่ง ก็วางไม้กวาดลง แล้วเดินตามมา ตอนนี้จึงก้าวออกมายิ้ม แล้วว่า


 


 


“หมอเหยา” พอหันไปเห็นแขกซึ่งเป็นหญิงสาว ก็โค้งศีรษะให้ แล้วแนะนำตัว


 


 


“ข้าแซ่อวี๋ เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเช่นกัน ปกติเวลาที่หมอเหยาไม่อยู่ ข้าจะมาทำความสะอาดสวนซิ่งทุกวัน พวกท่านนั่งพักผ่อนก่อน ข้าจะไปรินน้ำชามาให้”


 


 


น้าอวี๋ครองตัวเป็นโสด ไม่มีลูกไม่มีหลาน ถูกว่าจ้างให้มาทำงานบ้านตั้งแต่สร้างสวนซิ่งเสร็จ ซึ่งงานนี้นอกจากทำให้นางหาเลี้ยงชีพได้แล้ว ก็ยังทำให้นางมีอะไรทำฆ่าเวลาไปวันๆ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นน้าอวี๋แต่งตัวสะอาดสะอ้าน แม้อยู่ในวัยกลางคน แต่หน้าตาก็ยังดูดีมีเสน่ห์ พูดจาฉะฉาน จึงยิ้มตอบ แล้วว่า


 


 


“ทำเลของหมู่บ้านไม่เลว ห่างไกลจากความวุ่นวายในเมือง หนทางเข้าออกก็สะดวกสบาย ขนาดข้าอยู่ในเมือง ยังไม่รู้ว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย หมู่บ้านมีมาแต่เมื่อไหร่ ไม่ทราบว่าชื่อหมู่บ้านอะไร”


 


 


น้าอวี๋อึ้ง อ้าปากน้อยๆ เหลือบมองเหยากวงเหย้า


 


 


เหยากวงเหย้าเพียงยิ้มพลางโบกมือ “เอาล่ะๆ ทำงานบ้านเสร็จ เจ้าก็ไปชั่งยาห่อยาตามที่ข้าบอก พอห่อเสร็จ สักพักคุณหนูอวิ๋นจะได้เอากลับไป” ว่าแล้วก็พูดชื่อยาพร้อมปริมาณยาให้ฟัง


 


 


ปกติน้าอวี๋ได้ช่วยเหยากวงเหย้าดูแลชาวบ้านที่มาหาหมอด้วย จึงคุ้นเคยกับชื่อยาต่างๆ ดี


 


 


พอนางขานรับ เมี่ยวเอ๋อร์จึงพูดขึ้นอย่างคล่องแคล่ว “บ่าวไปช่วยน้าอวี๋อีกแรง” ว่าแล้วก็เดินตาม เข้าหลังบ้าน ไปต้มน้ำชาในห้องครัว


 


 


เหยากวงเหย้าหันมามองอวิ๋นหว่านชิ่น พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเมื่อครู่


 


 


“หมู่บ้านนี้เพิ่งสร้างได้ไม่นาน มีชาวบ้านอาศัยอยู่สิบแปดครัวเรือน โดยเพิ่งมาอยู่รวมกันเมื่อห้าหกปี


 


 


ก่อน จึงยังไม่ได้ตั้งชื่อหมู่บ้าน”


 


 


ยังไม่ได้ตั้งชื่อหมู่บ้าน? อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง


 


 


เยี่ยนอ๋องที่ไม่รู้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดเสียงเบา


 


 


“ชาวบ้านสิบกว่าครัวเรือนที่ว่า ล้วนเป็นผู้ติดเชื้อจากโรคระบาดครั้งใหญ่ในรอบสิบสองปีของรัชศกหนิงซี พอติดเชื้อ พวกเขาก็ถูกคนในบ้านและเพื่อนบ้านไล่ออกจากหมู่บ้านเดิม จึงยอมให้ทางการพามากักไว้แถวชานเมือง โดยแต่ละคนมีอาชีพและสถานะหลากหลาย มีทั้งแม่และเด็ก สามีภรรยา วัยรุ่นที่ติดเชื้อกันทั้งกลุ่ม”


 


 


โรคระบาดครั้งใหญ่นี้ ทั้งรุนแรงและแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ถ้าติดเชื้อก็แทบจะเป็นตายเท่ากัน อีกทั้งยังติดต่อกันได้ง่ายด้วย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เสี่ยงเอามากๆ บ้านสกุลอวิ๋นซื้อข้าวปลาอาหารสำหรับหนึ่งเดือนมาเก็บไว้ในห้องใต้ดิน เตรียมค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ให้พร้อม จากนั้นก็สั่งห้ามไม่ให้บ่าวออกจากบ้านโดยพลการ เพราะกลัวจะติดเชื้อกลับมา ทางการยังมีหมอเฉพาะทางมาตรวจโรคให้ถึงบ้านตามเวลาที่กำหนดอีก ถ้าซ่อนตัวผู้ติดเชื้อไว้ในบ้านโดยไม่แจ้ง คนทั้งบ้านก็จะถูกลงโทษ และผู้ติดเชื้อก็จะถูกนำตัวไป


 


 


ผู้ติดเชื้อที่อยู่ในเมือง ไม่มีโรงหมอที่ไหนรับรักษา พวกเขาจึงถูกเจ้าหน้าที่ทางการไล่ต้อนให้ไปอยู่ชานเมือง แล้วปล่อยให้เสียชีวิตไปเอง ผ่านไปครึ่งเดือน ทางการถึงส่งเจ้าหน้าที่ไปเก็บศพ ได้ยินมาว่า กระทั่งศพ เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่กล้าขนเข้ามา เกรงว่าจะเป็นพาหะ จึงต้องขุดหลุมใหญ่ในที่รกร้าง โยนศพลง แล้วจุดไฟเผา พูดได้ว่าน่าเวทนามาก


 


 


ซึ่งคนในหมู่บ้านนี้ก็คือ ผู้ป่วยโรคระบาดในตอนนั้น ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้?


 


 


 


 


——


 


 


[1] ป่าซิ่ง หรือซิ่งหลิน เป็นถิ่นกำเนิดแพทย์แผนจีนตามตำนาน ต้นซิ่ง คือต้นแอปริคอท เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในจีน ผลเล็กกว่าลูกท้อ ผลกลม มีร่องกลางผลชัดเจน เปลือกบาง มีขนคล้ายกำมะหยี่ปกคลุม ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีเหลือง

 

 

 


ตอนที่ 97-2 แปลงสมุนไพร

 

อวิ๋นหว่านชิ่นตกตะลึง เยี่ยนอ๋องเหลือบมองเหยากวงเหย้า ก่อนพูดต่อ


 


 


“ในตอนนั้น หมอหลวงเหยาก็รีบรุดไปที่ชานเมือง แม้ช่วยคนไว้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็นับว่าช่วยคนทั้งสิบแปดครัวเรือนนี้ไว้ได้ โดยก่อนอื่น ให้คนออกไปหาสถานที่ แล้วพาพวกเขามา สร้างที่พักขึ้น จากนั้นค่อยฝังเข็มและให้ทานยาทุกวัน แต่การติดต่อของโรคระบาดกินวงกว้างจริงๆ ทำให้คนในเมืองพากันหวาดกลัว และคนสิบกว่าครัวเรือนนี้ก็เกรงว่าถ้ากลับเข้าไปในเมือง พวกเขาจะถูกผู้คนมองด้วยสายตาแปลกๆ และเกรงว่าอาจถูกทางการจับไปคุมขัง จึงไม่ยอมกลับไป ยอมตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านไร้ชื่อแห่งนี้ยังดีเสียกว่า และนี่ก็คือสิ่งที่เจ้าเห็นในวันนี้”                  


 


 


เช่นนี้เป็นอันว่า เหยากวงเหย้าใช่เป็นเพียงเจ้าของบ้านสวนซิ่งในหมู่บ้านไร้ชื่อ แต่เขาคือผู้มีพระคุณของหมู่บ้านไร้ชื่อไปแล้ว ถ้าไม่มีเขา ก็ไม่มีทางมีหมู่บ้านแห่งนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านสิบแปดครัวเรือนนี้


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นตกอยู่ในภวังค์สักพัก รู้สึกหวั่นไหวกับอะไรบางอย่าง จึงจ้องมองเยี่ยนอ๋องนิ่ง


 


 


พอเยี่ยนอ๋องเห็นว่านางเหมือนเดาอะไรออก หนังตาก็กระตุก คิดในใจ นางเป็นคนละเอียดอ่อนจริงๆ


 


 


และแล้ว เขาก็เห็นเด็กสาวขยับสายตา เหมือนนึกอะไรได้ ก่อนหันมองเหยากวงเหย้า


 


 


“ผู้ที่มาช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อในตอนนั้น เกรงว่าไม่น่าจะมีหมอหลวงเหยาแค่คนเดียว”


 


 


การหาสถานที่ให้ผู้ป่วยสิบแปดครัวเรือนพักพิง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่เพียงอ้าปากสั่งการ ก็สามารถทำได้สำเร็จ เนื่องจากคนทั้งสิบแปดครัวเรือนล้วนป่วยด้วยโรคติดต่อร้ายแรง ขนาดเดินก็ยังไม่มีแรง การพาไปไหนจำเป็นต้องมีคนกรุยทางให้และนำทางไป กระทั่งต้องใช้รถม้าและเกวียนมาขน และต้องทำกันอย่างลับๆ ไม่สามารถให้เจ้าหน้าที่ทางการหรือคนในราชสำนักพบเห็นเป็นอันขาด…เหล่านี้ล้วนต้องใช้แรงพาหนะและแรงงานคน ลำพังหมอหลวงคนเดียว คงยาก


 


 


หลังจากองค์ชายถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง ก็สามารถควบคุมทหารชุดเกราะในอาณัติได้ราวสามพันคน การลอบย้ายองครักษ์คนสนิทมาแอบดำเนินการให้แล้วเสร็จ ย่อมทำให้ง่ายกว่า


 


 


เหยากวงเหย้าหัวเราะเสียงดัง “ปิดนังหนูอย่างเจ้าไม่ได้จริงๆ”


 


 


ก่อนหันไปกระพริบตาปริบๆ กับเยี่ยนอ๋อง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว รัชศกหนิงซีปีที่สิบสอง เยี่ยนอ๋องยังเด็กอยู่ ยังตั้งให้เป็นอ๋องไม่ได้ และยังไม่มีความสามารถที่จะทำอะไรเช่นนี้…เช่นนั้นก็มีแต่ฉินอ๋องแล้ว


 


 


การช่วยคนทั้งสิบแปดครัวเรือนนี้ ฉินอ๋องเป็นผู้สั่งให้เหยากวงเหย้าดำเนินการ อีกทั้งยังจัดเตรียมสถานที่แห่งนี้ไว้ให้ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า สวนซิ่งแห่งนี้ ฉินอ๋องก็เป็นผู้สั่งให้สร้างขึ้น


 


 


เพราะเหตุใด เขาถึงต้องสร้างโรงหมอแห่งนี้ขึ้นมา นางไม่คิดว่าเขาเป็นคนมีจิตใจเมตตา ที่เกรงว่าชาวบ้านในบริเวณชานเมืองเหล่านี้ เวลาป่วยไข้จะไม่สะดวกในการไปหาหมอ


 


 


ขณะสงสัย เหยากวงเหย้าก็เลิกผ้าม่านขึ้น เดินเข้าไปด้านใน นางจึงดึงสติคืนกลับ แล้วตามเข้าไป


 


 


ห้องด้านในกว้างขวางสว่างไสว ตู้หนังสือหลายตู้เก็บหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ไว้ พอเหยากวงเหย้าส่งสายตาอนุญาติ อวิ๋นหว่านชิ่นก็หยิบหนังสือหลายเล่มขึ้นพลิกดู ในนั้นย่อมมีหนังสือหายากและบันทึกประสบการณ์ของหมอหลวงเหยารวมอยู่ด้วย


 


 


ตรงหน้าต่าง มีกล่องหนังสือไม้แดงกล่องใหญ่วางอยู่ ในนั้นยัดสมุดเล่มเล็กกับอุปกรณ์การเขียนไว้ ยังมีใบสมุนไพรกับชามใบเล็ก คล้ายกำลังทดลองยาตัวใหม่อยู่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบหนังสือ ‘การรักษาโรคควบคู่กับการใช้สมุนไพร’ ที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาพลิกดู


 


 


เป็นหนังสือบันทึกประสบการณ์ในหลายปีที่ผ่านมาของหมอหลวงเหยา เพิ่งเขียนได้กว่าครึ่งเล่ม ล้วน


 


 


แล้วแต่เป็นกรณีของโรคที่ต้องใช้สมุนไพรบางอย่างมาช่วยในการรักษา


 


 


เขาเขียนบรรยายเรื่องยากให้เข้าใจง่าย จนนางอ่านได้อย่างเพลิดเพลิน โดยไม่วางตาไปชั่วขณะ สักพักค่อยเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน


 


 


“สวนซิ่งเงียบสงบ ไม่มีคนมารบกวน มิน่าเล่า หมอหลวงเหยาถึงได้มาที่นี่ ค้นคว้าวิจัยทักษะการรักษา ที่นี่เหมาะกับการศึกษาหาความรู้มากกว่าอยู่ในวังจริงๆ”


 


 


เหยากวงเหย้ามีชีวิตอยู่มาหกสิบกว่าปีแล้ว ไหนเลยจะฟังไม่ออกว่า เด็กสาวกำลังหยั่งเชิงเขา เพราะรู้สึกว่าสวนซิ่งดูแปลกๆ เขาจึงเดินไปที่หน้าต่าง แล้วกวักมือเรียกนาง “นังหนู มานี่”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นวางหนังสือลง เหยากวงเหย้าผลักหน้าต่างออก แล้วชี้ไปยังสวนหลังบ้าน


 


 


ที่ดินในสวนหลังบ้านนอกหน้าต่างถูกแบ่งออกเป็นแปลงๆ มีแปลงเพาะต้นกล้าอยู่ด้านนอก บางแปลงมีกระโจมหนาสีขาวขุ่นคลุมไว้เพื่อรักษาอุณหภูมิ บริเวณใกล้เคียงยังมีป่าอยู่ผืนหนึ่ง


 


 


หลังบ้านก็คือที่ดินที่ต่อจากตัวบ้านสวนซิ่ง ปลูกสมุนไพรหลากชนิดหลายประเภทไว้ ซึ่งก็คือพื้นที่เพาะปลูกสมุนไพรดีๆ นี่เอง


 


 


สมุนไพรจากร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำและสมุนไพรในสี่ฤดูถูกรวบรวมมาปลูกไว้ที่นี่ มีคนคอยดูแลและควบคุมอุณหภูมิ


 


 


ขณะยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ให้ความรู้สึกเหมือนแสงแดดในชนบทสาดต้องร่าง อวิ๋นหว่านชิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ อากาศบริสุทธิ์สดชื่นพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรโชยเข้าจมูก ซึมไปถึงปาก ผ่านลงลำคอ ชะล้างสิ่งสกปรกในร่างกายออกจนหมด ต่อชีวิตให้ยืนยาวไปได้อีกหลายปี


 


 


อากาศดีกว่าในเมืองมากมายก่ายกอง


 


 


สมุนไพรบางชนิดงอกงามเป็นรูปเป็นร่างแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่ามี มะกล่ำตาหนู หญ้าลิ้นงู รากมังกรคราม ผักเบี้ยใหญ่ ชนิดที่ใช้บำรุงร่างกายก็มี กัญชาเทศ ข้าวเย็นใต้ ตั่วเล็กจี้ เป็นต้น ที่ล้ำค่าหน่อยก็มี โสมคน ตู้จ้ง หวงป๋อ ลูกเร่ว มะเดื่อหอม ลูกยอ


 


 


เยี่ยนอ๋องเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยืนทึ่ง ก็หันไปสบตากับเหยากวงเหย้า ก่อนเดินมือไพล่หลังเข้าไปสองก้าว แล้วจึงพูดอย่างอ่อนโยนและแฝงความนัย


 


 


“ตอนนี้ คุณหนูอวิ๋นรู้หรือยังว่า ทำไมเราถึงต้องมาสร้างโรงหมอ และปลูกสมุนไพรที่นี่”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งไปสักพัก สมองสว่างวาบ สวนซิ่ง สร้างขึ้นเพื่อรักษาอาการป่วยของฉินอ๋อง


 


 


ชาติก่อน เหยากวงเหย้าเป็นหมอประจำตัวของเขา หมอประจำตัวของฮ่องเต้จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไรกัน ย่อมต้องเป็นคนสนิท


 


 


ที่แท้ก่อนขึ้นครองบัลลังก์ เหยากวงเหย้าก็ไม่มาหาสู่กับฉินอ๋องอยู่หลายปี


 


 


ปัจจุบัน เหยากวงเหย้าก็คือหมอเฉพาะทางที่รักษาฉินอ๋อง


 


 


สวนซิ่งก็คือที่ๆ เหยากวงเหย้าค้นคว้าวิจัยยาแก้พิษให้ฉินอ๋อง แปลงสมุนไพรที่ถูกเพาะปลูกและดูแลอย่างดีเหล่านี้ ล้วนเป็นสมุนไพรที่ใช้ทดลองกับฉินอ๋อง


 


 


ดังนั้นการสร้างสวนซิ่งในหมู่บ้านนี้ ก็เพื่อเขา เนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่ทางทิศเหนือ และห่างจากจวนฉิน


 


 


อ๋องไม่ไกล ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงม้าเร็วก็มาถึง ถ้าฉินอ๋องอาการกำเริบ หรือต้องการอะไรเพิ่มเติม จะได้มาถึงอย่างสะดวกรวดเร็ว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงพูดออกไปตรงๆ “การใช้งูไม่มีพิษ ดูดพิษในร่างกาย ที่แท้ก็เป็นวิธีที่หมอหลวงเหยาคิดค้นขึ้น”


 


 


เยี่ยนอ๋องมองหน้าเหยากวงเหย้า คิดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องนี้นางยังรู้ แสดงว่านางกับฉินอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งพอสมควร จึงเห็นนางเป็นคนกันเองได้อย่างสนิทใจขึ้น


 


 


เหยากวงเหย้าพยักหน้า ใบหน้าที่อวบอิ่มแสดงความรู้สึกเสียใจออกมาบ้าง


 


 


“การใช้งูไม่มีพิษดูดพิษนั้น เป็นแค่การระงับไม่ให้พิษกำเริบในทุกๆ หนึ่งเดือน รักษาแต่ปลายทาง มิได้รักษาที่ต้นทาง ต้องโทษข้าที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่ยอดเยี่ยมพอ จนถึงตอนนี้ก็ยังหาวิธีรักษาให้หายขาดไม่ได้ ทำให้ป่านนี้ท่านสามก็ยังต้องทุกข์ทรมานอยู่”

 

 

 


ตอนที่ 97-3 แปลงสมุนไพร

 

“จะโทษหมอหลวงเหยาได้อย่างไรกันเล่า” เยี่ยนอ๋องขยับริมฝีปาก ก่อนทอประกายตาของวัยรุ่นที่หยิ่งผยองอย่างเยือกเย็น


 


 


“ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษคนโฉดที่วางยาพี่สามอย่างโหดเ**้ยม กับเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบก็ยังลงมือได้ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะหมอหลวงผ่านมาเห็น ฝังเข็มกรอกยา ช่วยชีวิตได้ทันท่วงที พี่สามยังจะรอดมาจนบัดนี้หรือ”


 


 


พอพูดถึงเรื่องนี้ เยี่ยนอ๋องก็ใส่ไม่ยั้ง โยงไปถึงเรื่องในวังที่ไม่ควรพูด หมอหลวงเหยาจึงส่งสายตาดุๆ มาปรามไม่ให้เขาพูดมาก เยี่ยนอ๋องจึงเงียบเสียงลง


 


 


และในตอนนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา ในมือถือห่อยาที่น้าอวี๋ชั่งและมัดให้เสร็จเรียบร้อยจำนวนหนึ่ง ส่วนน้าอวี๋ก็ถือถาดใส่น้ำชาที่ชงเสร็จตามมา


 


 


เหยากวงเหย้าบอกให้เยี่ยนอ๋องกับอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลง แล้วทั้งสามก็นั่งจิบน้ำชาด้วยกัน โดยไม่พูดถึงเรื่องเมื่อครู่อีก บรรยากาศกลับมาอบอุ่นในพริบตา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพูดถึงหนังสือเกี่ยวกับการรักษาควบคู่ไปกับการใช้ยาสมุนไพรที่นางพลิกดูเมื่อครู่ พร้อมกับขอคำชี้แนะในจุดที่ไม่เข้าใจ เหยากวงเหย้าเห็นนางสนใจวิชาการแพทย์จริงจัง ก็ชอบใจ ไหนเลยจะหวงความรู้ ตอบคำถามทีละคำถามอย่างใจเย็น


 


 


ทั้งสองคุยกันถูกคอ ทิ้งให้เยี่ยนอ๋องนั่งกร่อยอยู่อีกด้าน


 


 


เยี่ยนอ๋องจึงกอดอกอย่างอดไม่ได้ “พวกเจ้าสองคน คนแก่หนึ่ง กับสาวรุ่นหนึ่ง พูดคุยกันจนหูดับตับไหม้ขนาดนี้ ไหว้ฟ้าดินเป็นศิษย์อาจารย์กันเลยดีกว่า” ว่าแล้วก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกับเหยากวงเหย้าจึงหยุดพูด หันมามองเยี่ยนอ๋อง ก่อนพูดขึ้นพร้อมกัน


 


 


“ดีเลย”


 


 


ทำเอาเยี่ยนอ๋องเกือบสำลักน้ำชา พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหยากวงเหย้าตอบรับ ก็ไม่รอช้า ถกกระโปรงขึ้น คุกเข่าลง ประสานมือ แล้วใช้นำชาต่างสุรา คารวะเหยากวงเหย้า


 


 


เหยากวงเหย้าไม่ใช่คนขี้อาย ชอบใครเกลียดใครก็แสดงออกมาตรงๆ จึงยิ้มแก้มแดงจนยิ่งดูคล้ายพระสังกัจจายน์เข้าไปอีก


 


 


หมอหลวงรับลูกศิษย์เป็นเรื่องปกติ ยิ่งหมอหลวงที่เกษียณแล้วยิ่งชอบนักศึกษา ประการแรก ได้ค่าเล่าเรียนมาจุนเจือชีวิตในบั้นปลายให้ดียิ่งๆ ขึ้น ประการที่สอง สามารถเผยแพร่ทักษะการแพทย์ของตนต่อ


 


 


ยิ่งตัวเขาเอง ชีวิตนี้ไม่เคยรับศิษย์อย่างเป็นทางการมาก่อน อย่างมากก็ได้แต่สอนหมอและผู้ช่วยหมออยู่ในสำนักหมอหลวง พูดไปแล้วก็แปลก เมื่อครู่เยี่ยนอ๋องแค่พูดประชดไปเช่นนั้นเอง แต่กลับทำให้เขานึกขึ้นได้ จึงไม่รอช้า คิดว่าตนกับเด็กสาวน่าจะมีวาสนาต่อกัน


 


 


หลังจากยิ้มอยู่สักพัก เหยากวงเหย้าค่อยทำหน้าเคร่งขรึม


 


 


“เสียดายเจ้าเป็นคุณหนูบ้านขุนนาง ไม่มีสิทธิเข้าวัง สมัครเป็นหมอหลวงหญิง ข้าจึงได้แต่สอนวิชา


 


 


บางอย่างให้เป็นการส่วนตัวแล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้า ที่ต้องคิดและทำความเข้าใจด้วย


 


 


ตัวเอง อีกทั้งเราสองคนก็ไม่สามารถเรียกศิษย์อาจารย์กันต่อหน้าผู้อื่น ซึ่งไม่ค่อยเป็นธรรมกับเจ้าสักเท่าไหร่”


 


 


เช่นนี้ ไม่ขอเป็นศิษย์ ย่อมไม่ได้แล้ว


 


 


ออกจากบ้านมาคราวนี้ เมื่อเก็บทองที่ตกอยู่บนพื้นได้ อวิ๋นหว่านชิ่นใยต้องใส่ใจอีกว่าทองมีจำนวนมากน้อยเท่าไร จึงแย้มยิ้ม


 


 


“ไม่มีปัญหา กลัวก็แต่ว่าเมื่อถึงเวลา อาจารย์จะบ่นชิ่นเอ๋อร์ที่โง่เขลาเบาปัญญามากกว่า”


 


 


เหยากวงเหย้าถูกปากหวานๆ ของนางเยินยอเสียจนปลื้มปิติ จึงลุกเดินไปที่ตู้หนังสือ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นนึกว่าเขาจะให้หนังสือเกี่ยวกับการแพทย์กับตน ไม่คิดว่าเหยากวงเหย้าจะหยิบกระดาษที่ใหม่และเรียบซึ่งอยู่บนตู้ออกมาแผ่นหนึ่ง ม้วนแล้วส่งให้อวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“ข้าเห็นว่าเจ้ามีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเรียนรู้ถึงขั้นไหนแล้ว กระดาษแผ่นนี้เป็นบททดสอบก่อนเข้าเรียน เจ้าเอากลับบ้านไปทำให้เสร็จโดยห้ามเปิดดูหนังสือ แล้วส่งมาให้ข้า ข้าค่อยดูอีกที”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หมอหลวงสอนลูกศิษย์ไม่เหมือนใครจริงๆ จึงพยักหน้าตอบรับ แล้วส่งให้เมี่ยวเอ๋อร์เก็บไว้ให้ดี ขณะกำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก น้าอวี๋ยืนอยู่หน้าประตู แม้สีหน้านางเปลี่ยนไปไม่มาก แต่มิได้ยิ้มอบอุ่นเหมือนตอนอยู่ด้านนอกอีก นางโบกมือไหวๆ ก่อนตะโกนเบาๆ


 


 


“หมอเหยา”


 


 


เหยากวงเหย้าเห็นสีหน้าน้าอวี๋ ก็เก็บรอยยิ้มคืนกลับ แล้วก้าวออกไป


 


 


น้าอวี๋กระซิบข้างหูเขาไม่กี่คำ สีหน้าของเหยากวงเหย้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน หันมามองเยี่ยนอ๋อง


 


 


เยี่ยนอ๋องรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงเลิกคิ้วสวย แล้วยกชุดยาวลุกขึ้นยืน ขอตัวกับอวิ๋นหว่านชิ่น ก่อนเดินตามเหยากวงเหย้าออกไป


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าอาจมีคนไข้มา จึงไม่สนใจ เพียงยกน้ำชาขึ้นจิบรอ


 


 


พอเมี่ยวเอ๋อร์เห็นว่าในห้องไม่มีใครอยู่ กลับทำท่าลับๆ ล่อๆ ก่อนเอ่ยปาก


 


 


“คุณหนูใหญ่ คนในหมู่บ้านนี้ คล้ายไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่า เมี่ยวเอ๋อร์กำลังจะบอกตนว่าชาวบ้านล้วนป่วยเป็นโรคระบาดมาก่อน จึงแปลกใจว่าเมื่อครู่เมี่ยวเอ๋อร์ไม่อยู่ เหตุใดจึงรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับได้ยินนางพูดเสียงเบาว่า


 


 


“…เมื่อครู่ตอนบ่าวชงชาอยู่กับน้าอวี๋ ได้ชวนนางคุยเล่นไปพลางๆ ก็รู้สึกว่านางดูสูงสง่า พูดจาไม่มีสำเนียงคนบ้านนอกเลย ไม่เหมือนชาวบ้านที่โตมาในชนบท และพอลองสังเกตดูดีๆ ก็เห็นโดยไม่ตั้งใจว่า ตรงหน้าอกนางมีป้ายหยกห้อยอยู่ ซึ่งป้ายหยกนั้นก็ใช่ว่าชาวบ้านร้านตลาดจะเป็นเจ้าของกันได้ กระทั่งคนในบ้านเราก็ไม่เห็นว่าใครมี…บ่าวแกล้งถามไปไม่กี่คำ น้าอวี๋ก็บอกแต่เพียงว่า นางเคยเป็นบ่าวอยู่ในจวนจิ่งหยางอ๋องเท่านั้น แต่ดูจากท่าทางนาง บ่าวกลับไม่ค่อยเชื่อว่านางเคยเป็นแค่บ่าว จะว่าไป คุณหนูใหญ่เจ้าคะ รู้สึกไหมว่า หมู่บ้านนี้ดูแปลกๆ พิกล ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ดูพิลึกกึกกือ…”


 


 


เยี่ยนอ๋องเพิ่งเล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านสิบแปดครัวเรือนในหมู่บ้านล้วนติดโรคระบาดมา โดยมาจากทั่วทุก


 


 


สารทิศในเมืองหลวง จึงที่มีสถานะและอาชีพที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคติดต่อในตอนนั้น นอกจากชาวบ้าน


 


 


ทั่วไป ก็มีทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นสูงคละเคล้าอยู่ด้วยกัน


 


 


ช่วงที่โรคกำลังระบาดนั้น โรคไม่เลือกว่าท่านเป็นชนชั้นสูงหรือขอทาน เวลาเจ้าหน้าที่ทางการตรวจและคัดกรองคน ก็ไม่สนใจว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ล้วนรีบดึงท่านออกมาแล้วลากตัวไป


 


 


ถ้าบอกว่าน้าอวี๋เป็นลูกผู้ดีมาก่อน พอติดโรคจึงถูกคนที่บ้านทอดทิ้ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หมู่บ้านนี้ ไม่แน่ว่า ยังมีคนที่สถานะสูงส่งกว่านางอีก


 


 


เพียงแต่ พอเมี่ยวเอ๋อร์พูดขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยรู้สึกเอะใจ ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่ว่า เหตุใดฉินอ๋องถึงคิด


 


 


ช่วยชีวิตคนเหล่านี้ไว้ เป็นคนธรรมะธรรมโม เห็นคนเดือดร้อนก็ช่วยหรือ พอเหอะ นางไม่เชื่อว่าเขาจะทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน


 


 


เช่นนี้ ดูไปแล้ว จุดประสงค์ที่เขาช่วยชีวิตคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ อาจเป็นเพราะภูมิหลังของคนเหล่านี้จำนวนหนึ่ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่บ้าง ตั้งแต่เรื่องสถานะสูงส่งของเขา จนถึงคดีเหมืองแร่ที่เขาชิงเหอ ตอนนี้ยังมีหมู่บ้านไร้ชื่อนี้อีก นางไม่รู้จริงๆ ว่าที่ฉินอ๋องป่วยออดๆ แอดๆ ภายนอกดูอ่อนน้อม ไม่สนใจแย่งชิงอำนาจนั้น จริงๆ แล้วคิดก่อการอะไรอยู่


 


 


ซึ่งตอนนี้ ถ้าใครบอกนางว่า ฉินอ๋องไม่สนใจบัลลังก์มังกรตัวนั้นแม้แต่น้อย นางจะเชื่อหรือ


 


 


เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามโดยไม่รู้ตัว เยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้าก็ยังไม่กลับมา อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าสายมากแล้ว จึงไม่คิดรออีก ลากเมี่ยวเอ๋อร์เดินออกไป

 

 

 


ตอนที่ 97-4 แปลงสมุนไพร

 

ห้องโถงด้านนอก ไม่มีใครอยู่สักคน


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากห้องข้างๆ ที่ประตูปิดไม่สนิท


 


 


จึงให้เมี่ยวเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิม ส่วนตนเดินเข้าไปคนเดียว


 


 


ตาไวกว่ามือ ยังไม่ทันเคาะประตู นางก็มองลอดช่องประตูเข้าไปก่อน


 


 


เห็นเยี่ยนอ๋องซื่อหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิงทรงกลมลายดอกฉย๋งฮวา มองดูชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา


 


 


ส่วนเหยากวงเหย้ากำลังตรวจลิ้น และฟังชีพจรของชายผู้นี้อยู่


 


 


ชายผู้นี้อายุไม่น่าจะถึงยี่สิบ สวมชุดผ้าไหมยาวแบบผู้สูงศักดิ์ แต่ผ้ายับยู่ยี่ ไม่เป็นระเบียบ หน้าซีดขาว ไม่มีเลือดฝาดแม้แต่น้อย ราวกับว่าตลอดชีวิตของเขาไม่เคยตากแดดมาก่อน ปากยังมีคราบอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยติดอยู่ ดูสกปรกมอมแมม ตอนนี้เขานั่งวางศอกอยู่บนที่เท้าแขนทั้งสองข้างของเก้าอี้ ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย คล้ายทนไหว จึงขมวดคิ้ว จนตาแทบเหลือกทั้งสองข้าง ก่อนก้มหน้าลงไปในกระโถน ขากอยู่ในลำคอ เหมือนอยากอาเจียน แต่อย่างไรก็อาเจียนไม่ออก


 


 


เหยากวงเหย้าพลันยกสันมือขึ้น อาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัว สับลงไปที่ท้ายทอยของเขา ลำคอจึงคลายตัวทันที เสียงอาเจียนดัง ‘โอ๊กอ๊าก’ ยังไม่ทันไร ก็อาเจียนของเสียออกมาหนึ่งกระโถน


 


 


เยี่ยนอ๋องเป็นคนรักสะอาด จึงยืนขึ้นอย่างรังเกียจ แล้วอุดจมูกไว้


 


 


“สวรรค์ ข้าต้องออกไปล่ะ พะอืดพะอมจริงๆ”


 


 


เหยากวงเหย้ากลับหัวเราะ “ท่านอ๋อง ไม่ต้องไปไหนหรอก ไม่เป็นไรแล้ว สิ่งที่ควรออก ก็ออกมาหมดละ” แล้วจึงหันไปบอกน้าอวี๋ให้เอากระโถนออกไป


 


 


และแล้ว พอชายหนุ่มอาเจียนเสร็จ สีหน้าก็มีเลือดฝาดขึ้นมาหน่อย เขาพิงพนักเก้าอี้ ก่อนบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด แต่ยังไม่ทันหายตกใจ ก็ต้องดื่มยาถอนพิษที่เหยากวงเหย้าส่งมาให้ไปชามหนึ่ง


 


 


เยี่ยนอ๋องขมวดคิ้ว พยายามไม่นึกถึงภาพสิ่งสกปรกเมื่อครู่ กลับไปนั่งที่เดิม แล้วพูดกับชายหนุ่ม


 


 


“…เจ้าดูตัวเจ้าเองก็แล้วกันว่ามีสภาพอย่างกับอะไรดี ถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่ตายใจอีก ข้าจะคอยดูว่าปากเจ้าทนกว่า หรือร่างกายเจ้าทนกว่ากันแน่! ครั้งนี้เขาวางยาเจ้าไม่ตาย นับว่าเจ้าโชคดี ครั้งหน้าถ้าเจ้าห้าใช้วิธีอื่นอีก ดูซิว่าเจ้าจะมีชีวิตมากกว่าแมวหรือไม่! ทำไม ยังปากแข็ง ไม่ยอมพูดความจริงกับไทเฮา!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกลั้นหายใจ เยี่ยนอ๋องอายุยังน้อย เมื่อครู่ก็ยังพูดกับตนด้วยน้ำเสียงสดใสสบายๆ อยู่เลย แต่ตอนนี้น้ำเสียงกลับผิดแผกไปจากเดิม รุนแรงแบบองค์ชายวางอำนาจ


 


 


ชายผู้นั้นหัวเราะขมขื่น ก่อนเงยหน้าขึ้น พลางพูดด้วยเสียงที่อ่อนแรง


 


 


“ท่านอ๋อง ครั้งนี้ข้า ข้าอาจกินของผิดสำแดงไปเอง ไม่แน่ว่าเว่ยอ๋องจะเป็นคนทำ…ต่อไปข้าจะระวังให้มากขึ้น”


 


 


เยี่ยนอ๋องเห็นว่าเขายังคงหลอกผู้อื่นและหลอกตัวเอง ไม่กล้าที่จะเปิดโปงเว่ยอ๋อง จึงหัวเราะอย่างเย็นชา


 


 


จนตัวโยน ก่อนสะบัดแขนเสื้อ


 


 


ขณะชายผู้นั้นก้มศีรษะอาเจียน อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเจน แต่พอเขาเงยหน้าขึ้น ก็ให้ตกใจ คนผู้นี้คือซุนจวิ้นอ๋อง!


 


 


หลังจากเรื่องสุราดอกท้อในงานเลี้ยง ซุนจวิ้นอ๋องก็ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในจวนจวิ้นอ๋อง โดยมีคนจากสำนักพระราชวังคอยเฝ้าดู มิใช่หรือ


 


 


เหตุใดถึงได้ถูกส่งตัวมาถอนพิษที่นี่ได้ล่ะ


 


 


ฟังจากเมื่อครู่ เรื่องของเรื่องก็คือ เว่ยอ๋องกลัวว่าซุนจวิ้นอ๋องจะถูกเค้นสอบ จนเล่าความจริงออกมาหมด จึงตัดสินใจฆ่าคนปิดปาก เพื่อความสบายใจ


 


 


ซึ่งขณะที่ซุนจวิ้นอ๋องถูกกักตัวไว้ในจวนจวิ้นอ๋อง เว่ยอ๋องไม่สามารถส่งนักฆ่าถือดาบบุกเข้าไปฆ่าคนในจวนกลางวันแสกๆ ได้ จึงน่าจะซื้อตัวบ่าวหรือพ่อครัวในจวนไว้ ให้วางยาลงไปในอาหาร


 


 


แต่ชะตาของซุนจวิ้นอ๋องน่าจะยังไม่ถึงฆาต จึงรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้ เยี่ยนอ๋องกำลังเกลี้ยกล่อมให้ซุนจวิ้นอ๋องสารภาพ และทนไม่ไหวที่ซุนจวิ้นอ๋องขี้ขลาด ไม่กล้าพูดความจริงออกมา


 


 


เมื่อคนจากสำนักพระราชวังเฝ้าจับตาดูซุนจวิ้นอ๋องอยู่ในจวนจวิ้นอ๋อง คนของฉินอ๋องก็ทำงานอยู่ในสำนักพระราชวัง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ฉินอ๋องจะรู้ว่าซุนจวิ้นอ๋องถูกพิษก่อนใครเพื่อน แล้วจึงลักลอบใช้แผนสับเปลี่ยนตัว พาซุนจวิ้นอ๋องออกมารักษานอกจวน และเกลี้ยกล่อม แบบนี้ก็มีโอกาสเป็นไปได้เช่นเดียวกัน


 


 


ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังขบคิด น้าอวี๋ก็นำกระโถนออกมาพอดี พอเผชิญหน้ากัน นางก็ตกใจ


 


 


“คุณหนูอวิ๋น…”


 


 


เยี่ยนอ๋องถูกความขี้ขลาดและการวางเฉยของซุนจวิ้นอ๋องทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พอเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังมองดูอยู่ด้านนอก ก็คร้านที่จะหลบเลี่ยง สะบัดแขนเสื้อแล้วว่า


 


 


“ไม่เป็นไร ให้คุณหนูอวิ๋นเข้ามาเถิด คุณหนูอวิ๋นเองก็อยู่ในงานเลี้ยงและรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเดินเข้าไป พลางแอบสำรวจมองซุนจวิ้นอ๋อง แต่ไม่ได้พูดจาอะไร


 


 


เยี่ยนอ๋องยังตักเตือนเขาไปอีกหลายประโยค แต่ซุนจวิ้นอ๋องก็ยังคงตีหน้าเศร้า หลุบตาต่ำ ก้มหน้าก้มตา คล้ายเป็ดที่ถูกหักคออย่างไรอย่างนั้น ยังถอนหายใจเป็นระยะอีก


 


 


เรื่องมีอยู่ว่า วันนี้หลังจากที่ซุนจวิ้นอ๋องทานมื้อเที่ยงเสร็จได้ไม่นาน ก็รู้สึกเจ็บหน้าอก จุกเสียดแน่นท้อง จึงรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งถือว่าไม่โง่ เขารีบเรียกเด็กรับใช้คนสนิทให้นำน้ำเกลือมาหนึ่งกะละมัง แล้วดื่มลงไปจนหมด จากนั้นก็ใช้ตะเกียบล้วงคอตัวเองไม่หยุด จนอาเจียนออกมาบ้าง นับว่ารอดตายได้หวุดหวิด แต่ยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงคิดจะบอกบ่าว ให้ไปเชิญหมอมาตรวจดู แต่เนื่องจากตนอยู่ระหว่างการกักตัว ซึ่งตามกฎแล้ว ต้องแจ้งให้คนของสำนักพระราชวังทราบก่อน


 


 


แต่คนของสำนักพระราชวังที่อยู่ในจวนจวิ้นอ๋องเป็นคนของฉินอ๋องพอดี จึงไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบแจ้งให้ฉินอ๋องทราบทันที


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงครุ่นคิดสักพัก ก็มิได้ให้คนไปตามหมอมา รีบให้คนส่งซุนจวิ้นอ๋องมาที่นี่อย่างลับๆ โดย


 


 


บอกแต่เพียงว่า จำเป็นต้องส่งเขาไปโรงหมอ


 


 


พอซุนจวิ้นอ๋องขึ้นรถม้า ก็ถูกคนใช้ผ้าดำปิดตาไว้ แล้วรถม้าก็บึ่งไปสวนซิ่งทันที


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องคิดว่า ขนาดตนหุบปากเสียสนิทและรับผิดแทนแล้ว เว่ยอ๋องนั่นก็ยังไม่วาย ไม่ปล่อยตนไว้อีก ต้องรีบฆ่าตนให้ตายๆ ไปเสีย แล้วเช่นนี้จะไม่ให้ตนตกใจกลัวได้อย่างไรเล่า แต่ถ้าให้ตนเปิดโปงเว่ยอ๋อง ตนก็ยังลังเลใจอยู่


 


 


ช่างเถอะ อย่างมากต่อไปตนก็แค่ระวังให้มากหน่อย! ก่อนกินข้าวดื่มน้ำ ล้วนต้องทดสอบพิษก่อน


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ ซุนจวิ้นอ๋องจึงไม่ตอบเยี่ยนอ๋อง ยิ่งก้มศีรษะให้ต่ำลงไปอีก ราวกับหัวไก่ผอมๆ ก็ไม่ปาน


 


 


เยี่ยนอ๋องหน้าเปลี่ยนสี หัวสมองของเจ้านี่เต็มไปด้วยอะไรกันแน่ เจ้าห้าก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่ทำให้เจ้าตายไม่ยอมเลิกรา


 


 


“เจ้าต้องตายก่อนใช่ไหม ถึงจะกลัวตาย!”


 


 


ใช่ ต้องตายก่อนสิ ถึงจะรู้สึกว่าไม่อยากตาย อวิ๋นหว่านชิ่นนึกอะไรขึ้นได้ จึงก้าวเข้าหาเยี่ยนอ๋องที่กำลังหัวเสีย ก่อนกระซิบที่ข้างหูเขา


 


 


เยี่ยนอ๋องจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่น พลางขยับคิ้ว สีหน้าผ่อนคลายลง แล้วจึงหันหาซุนจวิ้นอ๋อง ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนลงมาก สะบัดแขนแล้วว่า


 


 


“เอาล่ะๆ ปากของเจ้านี่มัน แข็งยิ่งกว่าแผ่นหินบนหลุมในห้องสุขาเสียอีก! ข้ายอมแพ้แล้วจริงๆ! ให้คนส่งเจ้ากลับจวนจวิ้นอ๋องตอนนี้เลยก็แล้วกัน เจ้ารีบกลับๆ ไปเถิด ถ้าคนในจวนหาเจ้าไม่เจอ จะกล่าวโทษพี่สามได้”

 

 

 


ตอนที่ 98-1 จับปลาในน้ำขุ่น

 

 


 


ซุนจวิ้นอ๋องรู้เรื่องศึกชิงอำนาจระหว่างองค์ชายด้วยกันดี และรู้ว่าวันนี้ตนถูกนำตัวออกมา โดยอ้างว่าพามาหาหมอ จึงเตรียมใจไว้แล้วว่า ต้องถูกเค้นให้เปิดโปงเรื่องเว่ยอ๋องแน่ ตอนนี้พอเห็นเยี่ยนอ๋องคลายความโกรธลง ไม่บีบให้ตนลำบากใจอีก ก็นับว่าโล่งอกขึ้นมาก


 


 


พอเยี่ยนอ๋องพูดจบ ก็ลุกเดินออกจากห้อง กวักมือเรียกสารถีที่มาด้วยกันในวันนี้ แล้วกำชับเสียงต่ำไปสองสามประโยค


 


 


สารถีเติบโตในจวนเยี่ยนอ๋อง แซ่เฉียวชื่อเวย เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ แรงดี ท่าทีน่าเกรงขาม เดิมเป็นหนึ่งในองครักษ์คนสนิทของเยี่ยนอ๋อง แต่วันนี้ออกมาพร้อมนาย ทำหน้าที่คุ้มครองร่วมกับเป็นสารถี เยี่ยนอ๋องพูดกระชับสั้นไม่กี่คำ เฉียวเวยก็เข้าใจ พยักหน้าแล้วไปจัดการทันที


 


 


เยี่ยนอ๋องเก็บรอยยิ้มคืนกลับ ก่อนเลิกผ้าม่านเข้าไปในห้อง แล้วว่า


 


 


“รถม้าพร้อมแล้ว เชิญซุนจวิ้นอ๋องกลับไปเถิด หวังว่าจะไม่ได้เห็นจวิ้นอ๋องถูกวางยาซ้ำอีกครั้งนะ”


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องรู้สึกอับอาย จึงลุกขึ้นคารวะ “วันนี้ลำบากเยี่ยนอ๋องกับหมอหลวงเหยาแล้ว อีกทั้งยังต้องฝากขอบคุณฉินอ๋องแทนข้าด้วย” ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาเดินออกจากห้องไป


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมองผ่านม่านประตู เห็นซุนจวิ้นอ๋องรีบก้าวฉับๆ ออกจากบ้าน โดยมีน้าอวี๋นำทางไปยังประตูใหญ่ และพอนางหันกลับมามองในห้อง ก็เห็นเยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้ากำลังพูดคุยกัน และพอทั้งสองแยกย้ายกันไป เหยากวงเหย้าก็หัวร่องอหาย “วิธีนี้ค่อยง่ายหน่อย!” ว่าแล้วก็ออกไปจัดการเรื่องก่อน


 


 


ส่วนซุนจวิ้นอ๋องก็เดินตามน้าอวี๋ออกจากสวนซิ่ง มาที่รถม้าซึ่งเฉียวเวยนั่งประจำตำแหน่งสารถีรออยู่ก่อนแล้ว พอเฉียวเวยเห็น ก็จับแส้ม้าขึ้น และทักทายเขา


 


 


“นี่ก็สายมากแล้ว จวิ้นอ๋องขึ้นรถเถิด บ่าวจะส่งท่านกลับจวนเอง”


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องจึงกระโดดขึ้นรถ พอนั่งได้มั่นคง ม้าก็หันไปอีกทาง ก่อนวิ่งออกจากสวนซิ่งไป ไม่นานก็วิ่งออกจากหมู่บ้าน


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องรอดชีวิตมาได้ จากการอาเจียนยาพิษออก แล้วดื่มยาแก้พิษของเหยากวงเหย้าลงไป ตอนนี้สติจึงแจ่มใส รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก เป็นความสุขหลังรอดพ้นจากภัยพิบัติอย่างหนึ่ง แม้ลึกๆ แล้วจะรู้สึกเคียดแค้นเว่ยอ๋องที่ใจโหด แต่ก็ยังคงปลอบใจตัวเองว่า ครั้งนี้เว่ยอ๋องทำพลาด แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว ต่อไปก็น่าจะระวังตัวหน่อย อย่างน้อยคงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม ทำร้ายตนพร่ำเพรื่อไปอีกนาน พอคิดได้เช่นนี้ ซุนจวิ้นอ๋องก็เลิกม่านหน้าต่างขึ้นอย่างอดไม่ได้ ก่อนระบายลมหายใจยาวๆ ออกมา


 


 


ทิวทัศน์สวยงามแถบชานเมืองพัดโบกความกลัดกลุ้มใจของซุนจวิ้นอ๋องให้มลายหายไปกว่าครึ่ง ไม่ง่ายเลยที่อารมณ์ความรู้สึกของเขาจะสงบนิ่งลง พอมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ถนนใหญ่ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว


 


 


ทว่าขณะนั้น ล้อรถพลันส่งเสียง ‘เอี๊ยด’ ก่อนบดไปบนทางน้อยอย่างแรง เสียงดังเสียดแก้วหูยิ่ง เนื่องจากสารถีพลันดึงบังเ**ยนให้รถหยุด!


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องไม่คาดคิดมาก่อน ร่างจึงคะมำไปข้างหน้าตามแรงเฉื่อย พอดีชนเข้ากับผนังด้านหน้าของตัวรถเสียงดัง ‘กึก’ หน้าผากโนเป็นลูกซาลาเปา เจ็บจนต้องลูบกะโหลกศีรษะไปมา ก่อนส่งเสียงด่าทอ


 


 


“ขับรถประสาอะไร! ขับเป็นหรือเปล่าหะ…จะขับให้ข้าตายหรือไง…”


 


 


‘ครืด’ เสียงรูดม่านในทีเดียว กลับเห็นคนขับรถม้าที่อยู่ตรงหน้าโยนแส้ม้าทิ้ง หน้าซีด จ้องสิ่งที่อยู่ด้านหน้าเขม็ง


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องเครียด จึงเงียบเสียงลง แล้วมองตามสายตาของเฉียวเวยไป


 


 


ตอนนี้รถม้ากำลังหยุดอยู่บนทางน้อยที่มีต้นไม้เรียงรายอยู่สองข้าง มีนกราวสองตัว ด้านหน้าเป็นทางแคบที่เงียบสงบ แต่ไม่รู้ว่ามีชายวัยกลางคนๆ หนึ่งโผล่มาจากไหน ยืนขวางอยู่กลางทางแคบ


 


 


เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ เปิดอกเสื้อเล็กน้อย เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าอกตึงเปรี๊ยะ ใช้ผ้าดำปิดศีรษะและใบหน้า ไม่ให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง เห็นเพียงดวงตารูปสามเหลี่ยมทั้งสองข้างที่ดุร้ายยิ่ง ตรงขมับยังมีรอยบากเด่นชัด มองไปก็ไม่รู้ว่าควรตอแยหรือไม่ ในมือยังถือดาบยาว จ้องมองพลางเดินเข้าหาอย่างเย็นชา


 


 


พลันได้ยินเสียงคนทั้งสามหายใจอย่างหนักหน่วง


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องกลืนน้ำลาย ไม่สามารถปลอบใจตัวเองแล้วว่า ชายฉกรรจ์รายนี้มาเพื่อทักทายตน!


 


 


พริบตานั้น เฉียวเวยก็ได้สติ หันหลังกลับ พลางกดเสียงพูดให้ต่ำ


 


 


“คนผู้นี้เกรงว่าไม่ได้มาดีกับจวิ้นอ๋อง บ่าวจะรับมือเอง ส่วนท่านก็ฉวยโอกาสนี้หนีไปก่อน”


 


 


มาถึงขั้นนี้แล้ว แม้เฉียวเวยไม่บอก ซุนจวิ้นอ๋องเห็นเฉพาะท่าทางอันดุร้ายของชายผู้นี้ก็เข้าใจแล้วว่า ผู้ที่ขวางรถม้าคือนักฆ่า…


 


 


ถ้ามิใช่คนที่เว่ยอ๋องนั่นส่งมา! ยังจะมีใครอีก ที่นึกอยากจะให้ตนรีบๆ จบชีวิตลงเสีย


 


 


เมื่อวางยาไม่ตาย ก็ต้องซ้ำอีกหนึ่งดาบ เว่ยอ๋องหนอเว่ยอ๋อง เจ้านี่มันโหดจริงๆ…ซุนจวิ้นอ๋องได้สติ รีบกระวีกระวาดลงจากรถ แต่จะไปทางไหนดีล่ะ ทั้งสองข้างทางเป็นป่ารกทึบ มองไม่เห็นทิศทาง ทางข้างหน้าที่จะออกสู่ถนนใหญ่ก็ถูกนักฆ่าขวางเอาไว้ หรือจะหันหลังกลับ…ถ้าคนขับต้านไม่อยู่ แล้วตนวิ่งกลับทางเดิม ก็จะวิ่งกลับไปยังทางน้อยที่ไม่มีแม้แต่เงาคนอีก ใยมิใช่รนหาที่หรอกรึ!


 


 


หรือวันนี้ คือวันตายของตนจริงๆ!


 


 


ขณะซุนจวิ้นอ๋องไม่รู้จะทำอย่างไรดี นักฆ่าผู้นั้นก็พุ่งเข้ามาดุจพยัคฆ์ หมุนดาบ เงื้อขึ้น แล้วฟันลง


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องเพียงรู้สึกว่ามีแสงสีเงินวาวของคมดาบสาดเข้ามา “อ๊ากก” เขาร้อง ปัสสาวะอุ่นๆ ราดออกมา เปียกไปทั้งกางเกง แต่ดาบกลับมิได้ฟันลงตามคาด มองไปอีกที ก็เห็นเฉียวเวยก้าวเข้ามา กอดขานักฆ่าไว้แน่น พลางตะโกนเสียงดัง “จวิ้นอ๋อง ยังไม่หนีไปอีก!”


 


 


นักฆ่าพยายามดิ้นให้หลุด แต่ติดที่เฉียวเวยเป็นคนตัวใหญ่ ดิ้นหลุดไม่ได้ง่ายๆ จึงก็ได้แต่ปล่อยให้เขากอดขาไว้ พลางจ้องมองผู้ที่ทำให้เสียแผนการอย่างเ**้ยมเกรียม


 


 


“ยังไม่หลีกไปให้พ้นทางอีก!”


 


 


“รีบหนีไป! จวิ้นอ๋อง…” ดวงตาเฉียวเวยแดงก่ำ กอดขานักฆ่าอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย


 


 


พอซุนจวิ้นอ๋องได้โอกาสดีเช่นนี้ ไหนเลยยังจะสนใจอีกว่าปัสสาวะเลอะกางเกง ก้มหน้าวิ่งตรงไปข้างหน้าทันที


 


 


โดยได้ยินเสียงต่อสู้พัวพันของคนทั้งสองดังตุ๊บตั๊บไม่หยุดอยู่เบื้องหลัง ซุนจวิ้นอ๋องได้ยินแล้วก็ยิ่งรู้สึกคล้ายวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ตื่นตระหนกจนรู้อยู่แต่ว่าต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดให้ได้ ทันใด เสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้น แม้รู้ว่าไม่สามารถหันหลังกลับ แต่ก็ทนเสียงทำลายล้างดินฟ้านั่นไม่ไหว หันกลับไปมอง และเห็นว่า นักฆ่าได้แทงดาบเข้าไปในทรวงอกของเฉียวเวยอย่างเฉียบขาด รวดเร็ว และไร้ความปรานี!   เพื่อต้องการสลัดหลุดจากพันธนาการของเขา


 


 


โลหิตสดๆ ฉีดพุ่งออกมาดุจเสาน้ำพุอย่างไรอย่างนั้น ยังไม่ทันไร หลุมบ่อบนทางน้อยก็รวมตัวกันเป็นลำห้วยโลหิตเล็กๆ ไปเสียแล้ว ซุนจวิ้นอ๋องถลึงตาจ้องมองผู้ที่ตนเพิ่งพูดคุยยิ้มหัวด้วยเมื่อครู่ คนขับรถม้าที่มีชีวิต  ตอนนี้กลับจับบาดแผล ล้มปวกเปียกลงบนพื้นดิน


 


 


แต่นักฆ่าตัดสินใจไม่ปล่อยเขาไว้เช่นนี้ จิตใจอำมหิตสุดๆ หันกลับไป ดึงอกเสื้อของเฉียวเวยขึ้น โดยหันหลังให้ซุนจวิ้นอ๋อง เงื้อดาบ แล้วฟันฉับลงไปสองครั้ง พอหันกลับมา ก็เห็นซุนจวิ้นอ๋องเข่าอ่อน วิ่งไม่ออกในที่สุด ด้วยเห็นว่านักฆ่าถือของกลมๆ บวมๆ ที่มีผมสีดำอยู่ด้านบนไว้ในมือ แม้เห็นไม่ค่อยชัดเจน แต่…ไม่ใช่ศีรษะของเฉียวเวย ยังจะเป็นอะไรได้อีก

 

 

 


ตอนที่ 98-2 จับปลาในน้ำขุ่น

 

ซุนจวิ้นอ๋องปวดแปลบศีรษะ ปกติเขาอยู่อย่างสุขสบาย ใช้ชีวิตอย่างผู้สูงศักดิ์ที่ไม่แปดเปื้อนมลภาวะ ไหนเลยจะเคยเห็นเหตุการณ์เลือดสาดที่สยดสยองเช่นนี้ จึงตัวสั่งงันงก


 


 


และพอเห็นนักฆ่าก้าวเข้ามาหาตน ก็ตกใจแทบสิ้นสติ เกือบจะทรุดลงตรงนั้น


 


 


“ซย่าโหวซื่อยวน! ไปตายซะบิดาเจ้า!”


 


 


ด้านหนึ่งแผดเสียงด่าว่าราชวงศ์ซย่าโหวเสียๆ หายๆ อีกด้านหนึ่งก็ก้าวเท้าวิ่งไปยังถนนที่อยู่ด้านหน้า คิดว่าถ้าวิ่งไปถึงถนนใหญ่ก็ต้องมีคน นักฆ่าต้องไม่กล้าลงมือพร่ำเพรื่อตอนกลางวันแสกๆ แน่


 


 


อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงแล้ว!


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องได้แต่แค้นใจที่บิดามารดาของตนมิได้ให้ตนเกิดมามีสี่เท้า ตอนนี้ตนจึงต้องวิ่งจนเท้าขวิด รองเท้าหลุดไปข้างหนึ่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องวิ่งต่อ


 


 


นักฆ่าวิ่งตามมาได้ครึ่งทาง พอเห็นร่างเล็กๆ ของซุนจวิ้นอ๋องยืนหยัดวิ่งไปจนถึงถนนใหญ่ ก่อนเลี้ยวจนไม่เห็นเงาคน ก็ดึงผ้าปิดหน้าออก แล้วหัวเราะเสียงดังอยู่สักพัก ค่อยเดินกลับไปที่รถม้า


 


 


ผ่านไปไม่นาน เฉียวเวยที่ไร้ศีรษะก็จับคานรถม้า พยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน แล้วโผล่ศีรษะออกจากคอเสื้อ


 


 


“เกือบทำให้ข้าหายใจไม่ออกแล้วไหมล่ะ!”


 


 


เขาพูดละล่ำละลัก พลางถอดชุดยาวออก พอเปิดเสื้อขึ้น เลือดไก่ที่ยังเหลืออยู่ในถุงที่ถูกแทงขาดก็ไหลพรวดพราดลงบนพื้น ปะปนไปกับเลือดสดๆ ที่ไหลออกมามากมายเมื่อครู่ ดูไปแล้วก็คือภาพโลหิตไหลนองเป็นสายน้ำนี่เอง ซึ่งสามารถทำให้คนเห็นแล้วตกใจ นึกว่าเกิดเหตุฆาตกรรมกันขึ้นจริงๆ


 


 


“เจ้าหายใจไม่ออก? แต่ข้านี่สิ ถูกเจ้าชกจะๆ ไปหลายหมัด จนไส้แทบแตก แค่เล่นละคร ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันรุนแรงขนาดนี้ด้วย” ชายฉกรรจ์ลูบท้องไปมา พลางแยกเขี้ยวใส่


 


 


เฉียวเวยไม่ยอมแพ้ จึงโต้กลับ “ข้าก็เครียดไม่เบานาพี่ใหญ่ ตอนดาบท่านฟันลงมา ข้าก็ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่าผู้สูงอายุจะเล็งถุงเลือดผิดตำแหน่งน่ะ!”


 


 


ทั้งสองพูดไปหัวเราะไป กวนกันไปกวนกันมา แล้วชายฉกรรจ์ก็ยกแตงโมลูกใหญ่หุ้มหนังสัตว์ที่ใช้เป็นศีรษะปลอมขึ้นเตะออกไปไกล จากนั้นทั้งสองค่อยขึ้นรถม้า เงื้อแส้ฟาด บังคับม้ากลับสวนซิ่ง รายงานเหตุการณ์ให้นายฟัง


 


 


ในสวนซิ่ง พอฟังรายงานจากเฉียวเวยกับชายฉกรรจ์จบ เยี่ยนอ๋องซื่อหนิงก็ตบโต๊ะ ก่อนหัวเราะออกมา


 


 


“ดี! คราวนี้จะได้ดูซิว่า เจ้าขี้ขลาดนั่นรู้สึกถึงความกลัวหรือยัง ยังอยากเป็นเต่าหดหัวอยู่หรือไม่!”


 


 


“ครั้งนี้เราบีบให้ซุนจวิ้นอ๋องอับจนหนทาง ทำให้เขาตกใจกลัวจนสติแตก ขอเพียงเขายังอยากมีชีวิตอยู่ อย่าว่าแต่เว่ยอ๋องเลย ถึงเป็นผู้มีบารมีมากที่สุด เขาก็ต้องสู้อย่างสุดใจขาดดิ้น” เหยากวงเหย้าลูบคางขาวเนียนไปมา แล้วจึงหันหาอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ[1]ของชิ่นเอ๋อร์นี่ใช้ได้ทีเดียว”


 


 


ถ้าพูดว่าถอนฟืนใต้กระทะ มิสู้พูดว่าจับปลาในน้ำขุ่น[2]


 


 


เว่ยอ๋องพอดีวางยากับซุนจวิ้นอ๋องก่อน ตอนนี้พอซุนจวิ้นอ๋องตกใจจนขวัญเสีย ย่อมต้องเชื่อว่านักฆ่าเป็นผู้ที่เว่ยอ๋องส่งมา


 


 


“เข็มถ้าไม่ได้แทงถูกเนื้อก็จะไม่รู้สึกเจ็บ” อวิ๋นหว่านชิ่นกลอกตา “จวิ้นอ๋องเป็นคนรักสงบอยู่เป็นทุนเดิม ไม่ชอบทำอะไรให้เป็นเรื่องใหญ่ การถูกพิษในครั้งนี้ โชคดีที่รอดมาได้ โดยไม่ทุกข์ทรมานเท่าไหร่ จึงต้องให้เขาเห็นอะไรดีๆ ด้วยตนเอง จะได้หวาดกลัวขึ้นมา”


 


 


ดวงตาใสๆ ของเยี่ยนอ๋องซื่อหนิงกระพริบ “ครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้คุณหนูอวิ๋นแล้ว ไม่รู้ว่าพี่สามจะตอบแทนอย่างไร”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้วขึ้น “ท่านอ๋องอย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงแต่เห็นแก่หน้าหมอหลวงเหยา คิดตอบแทนที่ท่านหมอรับเป็นศิษย์ จึงลองเสนอดูเท่านั้น”


 


 


นางไม่ได้อยากเข้าร่วมพรรคสามแปดเลย หนี้เสียของที่บ้านเพิ่งสะสางเสร็จ ทำใจให้โล่งขึ้นมาได้หน่อย จึงไม่อยากเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับการแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงความรัก ระหว่างองค์ชายด้วยกัน


 


 


เยี่ยนอ๋องยิ้มค้าง แต่รอยยิ้มที่มุมปากกลับมีความหมายลึกซึ้ง เขาไม่พูดมากอีก เพียงมองดูชายฉกรรจ์ข้างๆ เฉียวเวยที่กำลังลูบท้องไปมา ก่อนยิ้มแล้วว่า


 


 


“เจ้าไม่เป็นไรนะ ลูกน้องข้าคนนี้มีวรยุทธ์ ลงมือทีหนักหน่วงจริงๆ”


 


 


เหยากวงเหย้าหัวเราะ “ถ้ารู้สึกไม่สบาย ก็เข้าไปในห้อง ถอดเสื้อให้ข้าดู อย่าทำเป็นไม่เป็นไรล่ะ”


 


 


ชายฉกรรจ์แม้รูปร่างสูงใหญ่ แต่ตอนนี้กลับหน้าแดง ไม่ยอมให้สบประมาทอยู่บ้าง จึงเลิกลูบท้องทันที


 


 


“แค่ไม่กี่หมัดเอง จะเป็นอะไรได้อย่างไรกัน! หมอหลวงเหยาเห็นว่าข้าไม่ได้ออกรบมานาน มือไม้แข็งไปหมดล่ะสิ บอกกับท่าน ข้ายังฝึกหมัดมือหมัดเท้าอยู่ทุกวันนา”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินคำพูดนี้ ก็มีปฏิกิริยา เหยากวงเหย้าสังเกตเห็น จึงโบกมือให้เฉียวเวยกับชายฉกรรจ์กลับออกไป อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยถามอย่างแปลกใจ


 


 


“ชาวบ้านผู้นี้เคยรบในสนามรบมาก่อนหรือ”


 


 


เหยากวงเหย้ากลับไม่ปกปิด จิบน้ำชาคำหนึ่ง แล้วค่อยๆ เล่าให้ฟัง


 


 


“เขาคือเฉียนจื้อกวง จอหงวนฝ่ายบู๊ในรัชศกหนิงซีที่แปด เคยได้รับแต่งตั้งในท้องพระโรงให้เป็นข้าราชการด้านการทหารชั้นสี่ มีพรสวรรค์เรื่องขี่ม้ายิงธนูและพละกำลัง เคยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองปราบประจำเมืองหลวง รองผู้บัญชาการและผู้บัญชาการกองสรรพาวุธ ตำแหน่งสูงสุดที่ได้รับคือผู้บัญชาการสมรภูมิแนวหน้า อนาคตสดใส มีลูกน้องและแม่ทัพนายกองนับไม่ถ้วนรายล้อม”


 


 


พูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจเล็กน้อย “เสียดาย หลายปีก่อน โชคไม่ดี ป่วยเป็นโรคระบาด”


 


 


และแล้วก็เป็นอย่างที่ตนคิดไว้ หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเร้นมังกรซ่อนพยัคฆ์จริงๆ


 


 


ฉินอ๋องให้พวกเขามาอยู่รวมกัน ก็น่าจะเป็นเพราะเห็นความสำคัญในสถานะของพวกเขา คิดคำนวณได้ลึกล้ำจริง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจิบน้ำชา กลับรู้สึกว่าน่าสนใจอยู่บ้าง ในหมู่บ้านยังมีคนเก่งด้านไหนอีก น้าอวี๋เป็นใครในจวนจิ่งหยางอ๋องกันแน่ เกิดอยากรู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น


 


 


ขณะเดียวกัน ก็มีคนป่วยในหมู่บ้านมาพบหมอตามนัดสองคน เหยากวงเหย้าจึงขอตัวออกไปตรวจดูอาการพวกเขา อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าใกล้เวลาเย็นเต็มที จึงหยิบห่อยาขึ้น เตรียมลากลับ เยี่ยนอ๋องก็จะกลับจวนพอดี จึงนั่งรถม้าออกจากสวนซิ่งไปกับนาง


 


 


 


 


พอกลับถึงจวน อวิ๋นหว่านชิ่นก็คลี่ม้วนกระดาษของเหยากวงเหย้าออก เห็นตัวอักษรถี่ยิบ ส่วนใหญ่เป็นคำถามเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละชนิด จึงยกพู่กันขึ้น เริ่มลงมือทำข้อสอบ


 


 


วันที่สอง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ส่งม้วนข้อสอบที่ทำเสร็จให้เมี่ยวเอ๋อร์ นำไปฝากไว้กับหงเยียนที่ร้านเซียงหยิงซิ่ว ตามที่ได้ตกลงกับเหยากวงเหย้าก่อนกลับบ้านเมื่อวาน โดยเขาจะส่งเด็กรับใช้ให้ไปเอาที่ร้านเอง ซึ่งต่อมาทั้งสองก็ได้ใช้ร้านเซียงหยิงซิ่วเป็นสถานที่รับส่งสิ่งของ


 


 


ด้านถงฮูหยิน หลังจากฝังเข็มและทานยาไปไม่กี่วัน สุขภาพก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พอลงจากเตียงได้ก็เรียกลูกชายมาพบ แล้วกล่าวชมเชยฮุ่ยหลานที่หมู่นี้คอยดูแลนางอยู่ข้างกาย ซึ่งมีหรือที่อวิ๋นเสวียนฉั่งจะฟังความหมายของมารดาไม่ออก หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายในบ้านมาครั้งหนึ่ง เขาไหนเลยจะกล้าขัดเจตนารมณ์ของมารดาอีก คืนนั้นจึงทำตามความต้องการของถงฮูหยิน ทำพิธีรับฮุ่ยหลานเข้าห้อง และอีกไม่กี่วันต่อมา ก็เลื่อนเป็นอนุ โดยให้อยู่ในเรือนฝั่งตรงข้าม เยื้องๆ กับเรือนตะวันตกของถงฮูหยิน


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ถอนฟืนใต้กระทะ บั่นทอนขวัญและกำลังใจของศัตรูให้ลดน้อยถอยลง โดยใช้วิธีอ่อนพิชิตแข็ง


 


 


[2] จับปลาในน้ำขุ่น ฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ขณะเกิดเหตุชุลมุน

 

 

 


ตอนที่ 98-3 จับปลาในน้ำขุ่น

 

ก่อนหน้านี้อวิ๋นเสวียนฉั่งมิได้ประทับใจอะไรมากมายในตัวฮุ่ยหลาน ครั้งนี้ก็เพียงทำไปตามที่มารดาต้องการเท่านั้น แต่พอเห็นว่าฮุ่ยหลานเป็นคนซื่อ พูดจาตรงไปตรงมาจากใจจริง ไม่อ้อมค้อม มีคุณสมบัติอย่างที่สาวๆ ในเมืองไม่มีกัน จึงไม่รังเกียจ เพียงแต่ตอนนี้เขาติดเหลียนเหนียงหนึบดุจป้ายกาว สรุปแล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบ ก็มักรู้สึกว่าฮุ่ยหลานแม้ดี แต่เหมือนท่อนไม้ไปหน่อย ไม่อ่อนโยนน่ารักแบบเหลียนเหนียง และมัดใจตนไม่เก่งเท่าเหลียนเหนียง จึงรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ตนยังคงชื่นชอบเหลียนเหนียงมากกว่า


 


 


ซึ่งฮุ่ยหลานเองก็ดูออกว่า อย่างไรท่านพี่ก็มีแนวโน้มไปทางคนที่เรือนเจี่ยวเยว์ แต่ก็มิได้คิดเล็กคิดน้อย หึงหวงขี้งอน และเที่ยวพูดจาไร้สาระ เพียงตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่ควรทำไป ถ้าท่านพี่มา นางก็ปรนนิบัติอย่างดี ถ้าไม่มา นางก็ไปเยี่ยมเยียนเรือนตะวันตก แล้วกลับมานั่งเงียบๆ เย็บปักถักร้อยฆ่าเวลาไป 


 


 


เนื่องจากอวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกลาโหม ตามหลักที่เคยปฏิบัติกันมานั้น พอทางกรมได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ก็ต้องส่งช่างฝีมือมาต่อเติมจวนเจ้ากรมให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งห้องโถงใหญ่และเรือนหลักของบ้านสกุลอวิ๋นก็ได้ตกแต่งใหม่มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องการแสดงความกตัญญู จึงบอกว่าตอนนี้มารดามาพักอาศัยในจวน อยากจะเชิญช่างฝีมือจากกรมโยธามาซ่อมแซมเรือนตะวันตกก่อน อาทิห้องโถง ห้องปีกข้าง เฉลียง ระเบียง ชานเรือนเป็นต้น เรือนน้อยของฮุ่ยหลานจึงพลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย ทำให้กลายเป็นเรือนอนุหลังบ้านที่ดูเก๋ไก๋มากที่สุดหลังหนึ่ง


 


 


วันที่สองที่ฮุ่ยหลานได้เลื่อนเป็นอนุ เหลียนเหนียงก็พาพี่ตงมายังเรือนตะวันตก ด้วยระหว่างที่หญิงชราป่วย นางไม่อยากพบหน้าตน อีกทั้งตนก็ไม่กล้าเข้ามารองรับอารมณ์และคำด่าจากนาง แต่ตอนนี้ หญิงชราหายป่วยแล้ว ตนก็ต้องเข้ามาเอาอกเอาใจหน่อย


 


 


ซึ่งตอนนี้ ถงฮูหยินกำลังนั่งอยู่ในห้องโถง พอดีฮุ่ยหลานมาเยี่ยม จึงกำลังรินน้ำชาให้หญิงชรา พลางพูดคุยสัพเพเหระกัน


 


 


พอเหลียนเหนียงก้าวเข้ามา ก็ค่อยๆ ย่อตัวลง แล้วเรียกผู้อาวุโส


 


 


ถงฮูหยินที่กำลังยิ้มตาหยีอย่างน่ารักน่าเอ็นดูอยู่กับฮุ่ยหลาน ก็เหมือนมะเขือยาวถูกเผา เย็นชาลงทันที


 


 


ซี่จู สาวใช้ข้างกายฮุ่ยหลาน ก็รีบเขยิบเข้ามาหานายตน ขมวดคิ้วพลางพูดเสียงเบา


 


 


“อนุรองนี่ เวลาที่ควรมาก็ไม่มา ตอนขาดคนดูแลผู้อาวุโส ก็ล้วนเป็นอนุสามที่วิ่งเข้าวิ่งออก ทว่านางกลับหลบอยู่ในเรือนเจี่ยวเยว์ พะเน้าพะนออยู่แต่กับนายท่าน ตอนนี้พอคลื่นลมสงบ ค่อยวิ่งมาร้องห่มร้องไห้ เหมือนคนในใต้หล้าติดค้างนางอย่างไรอย่างนั้น บ่าวว่า อนุสามไม่ได้ด้อยไปกว่าอนุรองเลย เพียงไม่ได้เสแสร้งเก่งแบบนางเท่านั้น ถ้าทำหน้าทำตาแบบนางได้ ไหนเลยจะไม่ชนะนางเล่า!”


 


 


ซี่จูเป็นสาวใช้ในบ้านสกุลอวิ๋นที่ขึ้นชื่อว่าปากจัด ขนาดฮุ่ยหลานที่เป็นนาย ก็ยังพูดได้ไม่เก่งเท่านาง และแม้ฮุ่ยหลานไม่ชอบการกระทำของเหลียนเหนียง แต่ในเมื่อตนเป็นอนุของบ้านสกุลอวิ๋นแล้ว ก็ควรเห็นแก่ความสามัคคีในบ้านเป็นสำคัญ ถึงตนเกลียดชังเหลียนเหนียงแค่ไหน ก็ต้องอดทนอดกลั้น จึงเพียงส่งสายตาให้ซี่จู


 


 


บอกนางว่าอย่าพูดอีก


 


 


พอเหลียนเหนียงเห็นท่าทีเย็นชาของถงฮูหยิน ก็จับมือพี่ตง แล้วโน้มตัวคุกเข่าลง พลางสะอึกสะอื้น


 


 


“หลายวันที่ผ่านมา เหลียนเหนียงเป็นต้นเหตุให้ผู้อาวุโสล้มป่วย ตอนผู้อาวุโสพักรักษาตัว เหลียนเหนียงก็เกรงว่า ถ้ามาให้เห็นหน้า ผู้อาวุโสจะไม่สบอารมณ์ จึงไม่กล้ามา ได้แต่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าเรือนตะวันตกทุกวัน แค้นใจนัก ที่ตัวเองไม่สามารถแบ่งเบาภาระให้คุณหนูใหญ่ สะใภ้ใหญ่ และอนุสามได้ วันนี้พอได้ยินว่าผู้อาวุโสหายป่วย ลุกจากเตียงได้ จึงรีบมาทันที หวังว่าผู้อาวุโสจะให้อภัยเหลียนเหนียง”


 


 


พูดอย่างน้ำไหลไฟดับ พูดจนทำให้นกบนต้นไม้บินลงมาได้ มิน่าเล่า ถึงตอนนี้ลูกชายคนรองก็ยังทิ้งนาง


 


 


ไม่ลง กระทั่งขัดแย้งกับตนเพื่อนางอีก แม้ถงฮูหยินยังโกรธไม่หาย แต่พอได้ยินเสียงน้ำตาของสาวงามหยดแหมะ


 


 


ดุจน้ำฝนหยดลงบนดอกแพร์ สีหน้าก็มิได้ตึงเครียดเช่นก่อนหน้านี้อีก


 


 


มิใช่เพราะถงฮูหยินยอมให้เหลียนเหนียง แต่ในเมื่อลูกชายกำลังชอบพอนาง แล้วจำเป็นด้วยหรือที่ตนต้องเปิดศึกมีเรื่องมีราวกับนาง ทำให้ตนกับลูกชายเสียความรู้สึกต่อกันไปเปล่าๆ


 


 


เพราะอนุตัวกระจ้อยร่อยนางหนึ่ง ถึงกับทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก ได้ไม่คุ้มเสีย


 


 


นางก็เป็นแค่อนุที่เติบโตจากสมาคมม้าผอมเท่านั้น ถงฮูหยินไม่เชื่อว่าเจ้ารองจะชอบนางได้นาน พอคิดได้เช่นนี้ หนังตาก็กระตุก ยกชามกระเบื้องเคลือบลายนกหลากสีขึ้น จิบชาเถี่ยกวนอิน แล้วว่า


 


 


“ลุกขึ้นเถิด คุกเข่าร้องไห้แบบนี้ อยากให้เจ้ารองวิ่งมาเอาเรื่องข้า ชี้หน้าข้า หาว่าข้าตีเจ้าอีกหรือไง”


 


 


พอเหลียนเหนียงได้ยินเช่นนี้ ก็แตกตื่น กระวีกระวาดเช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วลุกขึ้นยืน แต่ยังคงก้มหน้า พลางว่า “วันนั้นท่านพี่ก็ใจร้อนไป ไม่ถามเรื่องราวให้กระจ่างก่อน”


 


 


ว่าแล้วก็หันกาย มองหน้าพี่ตง แล้วรีบเปลี่ยนสีหน้าขณะที่คนในห้องยังไม่ทันตั้งตัว จากนั้นก็ยกมือขาวๆเนียนๆ ขึ้น ‘เพี๊ยะ’ ตบหน้าสาวใช้คนสนิท ก่อนเอ็ด


 


 


“สมควรแล้วที่ผู้อาวุโสลงโทษข้า! ข้าบอกให้เจ้าไปเรียกคนรึ? ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแตกตื่นไปเรียกท่านพี่มา ท่านพี่ก็ไม่ต้องเกือบล่วงเกินผู้อาวุโส ทำให้ผู้อาวุโสเข้าใจข้าผิด! เป็นเพราะบ่าวที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายอย่างพวกเจ้าแท้ๆ ถึงได้ทำให้หลังบ้านเกิดความไม่สงบ!”


 


 


พี่ตงถูกตบจนได้ยินเสียงเวิ้งว้างสะท้อนไปมาในหู จึงรีบคุกเข่าลง แต่กลับไม่พูดร้องขอความเป็นธรรม ใช้มือจับใบหน้าที่บวมมาพลางร้องไห้


 


 


“ตอนนั้นบ่าวเห็นอนุรองบาดเจ็บที่แขน เลยกังวลใจขึ้นมา กลัวว่านายท่านจะโทษว่าบ่าวดูแลได้ไม่ดีพอ ขณะมึนงง จึงผลีผลามวิ่งไปเรียกนายท่านให้มาช่วยดับไฟ มิได้เจตนาทำให้นายท่านกับผู้อาวุโสมีปากเสียงกัน”


 


 


สีหน้าท่าทางของเหลียนเหนียงยังคงมีแววแค้นเคือง แค้นที่ตีเหล็กแล้วไม่กลายเป็นเหล็กกล้า จึงต้องสั่งสอนให้ถึงที่สุด


 


 


“เจ้าจะเรียกก็เรียกได้ แต่ตอนเล่าสถานการณ์ในเรือนตะวันตกให้ท่านพี่ฟัง เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไป!


 


 


บอกว่าผู้อาวุโสตีข้า บอกว่าข้าถูกตีจนบาดเจ็บรึ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าสับสนจนเติมเชื้อฟืนลงไป ท่านพี่จะ


 


 


ขัดแย้งกับผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน! เจ้านะเจ้า…ทำร้ายข้าไม่เบา!”


 


 


พี่ตงหยุดร้องไห้แล้วปาดน้ำตา “เป็นบ่าวเองที่พูดไม่เป็น บ่าวไม่ได้เรียนหนังสือมา จึงพูดจาเงอะๆ งะๆ บ่าวเป็นคนพูดตรงไปตรงมา อ้อมค้อมไม่เป็นมาแต่ไหนแต่ไร ตอนนั้นร้อนใจ หัวก็พลอยร้อนไปด้วย เห็นอะไรก็พูดไปตามนั้น ไม่คิดว่าต้องพูดให้สละสลวยหน่อย และไม่คิดว่าจะทำให้นายท่านเข้าใจผู้อาวุโสผิด ยิ่งคิดไม่ถึงว่าจะทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้!”


 


 


คนหนึ่งก็สั่งสอนอย่างเป็นธรรม อีกคนก็ยอมรับผิดอย่างละอายใจ ถงฮูหยินได้แต่นั่งมองสองนายบ่าวด้วยสายตาเย็นชา ไม่ส่งเสียงใดๆ


 


 


ฮุ่ยเหลานก็เพียงยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังหญิงชรา กลับเป็นซี่จูที่แอบขมวดคิ้วส่ายหน้า พลางคิด อนุรองนี่


 


 


กะโยนเรื่องทั้งหมดให้สาวใช้นี่เอง


 


 


ไม่เสียแรงที่พี่ตงติดตามเหลียนเหนียงมาได้ระยะหนึ่ง เรียนรู้ได้แต่เรื่องผิวๆ ไม่ได้เนื้อหาสาระอะไรเลย เล่นละครประสานเสียงเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เข้าถึงบทบาทมาก ดูท่าก่อนมาที่นี่ ทั้งสองได้คิดคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่แน่ว่าอาจซ้อมมาก่อนด้วยซ้ำ!


 


 


พอพี่ตงร้องไห้โขกศีรษะยอมรับผิดเสร็จ เหลียนเหนียงก็คุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วหันหน้าหาถงฮูหยิน


 


 


“เมื่อบ่าวผิด อย่างไรก็เป็นที่เหลียนเหนียงสั่งสอนได้ไม่ดีพอ เหลียนเหนียงไม่อยากให้ผู้อาวุโสติดค้างในใจ ถ้าพี่ตงคนเดียว ไม่สามารถทำให้ผู้อาวุโสหายโกรธ ก็ขอให้ลงโทษเหลียนเหนียงไปทีเดียวพร้อมกัน!”

 

 

 


ตอนที่ 98-4 จับปลาในน้ำขุ่น

 

ผ่านไปพักหนึ่ง ถงฮูหยินจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาและไม่หนัก


 


 


“ช่างเถอะ เมื่อต้นเหตุของเรื่องทุกอย่างล้วนเป็นเพราะอาตงทำไปโดยพลการ เล่าเรื่องไม่ชัดเจน เช่นนั้นก็ให้คนมาลากอาตงไปโบยที่ห้องบูชาบรรพชนก็แล้วกัน และก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก กว่าเรื่องจะสงบลงได้ ถ้าเอาแต่รื้อฟื้นก็ไม่จบไม่สิ้น คิดว่าบ้านสกุลอวิ๋นยังมีเรื่องน้อยไปหรือไง”


 


 


เหลียนเหนียงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก จึงลุกขึ้นยืน แล้วตะโกนอย่างเฉียบขาด


 


 


“ใครก็ได้ ลากพี่ตงไปห้องบูชาบรรพชนที!”


 


 


มอมอรูปร่างกำยำคนหนึ่งจึงก้าวเข้ามา บอกให้บ่าวผู้ชายสองคนมาหิ้วปีกพี่ตงออกไป พี่ตงแม้หน้าตาตื่น แต่กลับกัดฟันแน่น เหมือนสมควรแล้วที่ตนได้รับโทษในครั้งนี้ จึงปล่อยให้คนมาเอาตัวไปโดยไม่เสียใจและไม่ปริปากบ่นใดๆ            


 


 


เหลียนเหนียงหันไปยังประตู มองตามร่างพี่ตงจนเลี้ยวลับไปกับตา ค่อยหันกลับ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว พลางกัดริมฝีปากอย่างหวาดกลัว ก่อนพูดเสียงเบาประดุจยุงบิน


 


 


“นี่เป็นการลงโทษตามกฎบ้าน ตามที่ผู้อาวุโสเห็นชอบ ข้าจึงไม่กล้าเห็นแก่สาวใช้ตัวเอง ถ้านางถูกโบยจนสิ้นใจตายก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่ถ้าโชคดี รอดชีวิตมาได้ ข้าย่อมต้องสั่งสอนอย่างเคร่งครัด ไม่ให้นางทำผิดอีกเป็นอันขาด ยิ่งไม่ให้นางล่วงเกินผู้อาวุโสด้วย”


 


 


ถงฮูหยินเพิ่งหายป่วย หูจึงมีเสียงเวิ้งๆ ขึ้นมา และตอนนี้ก็รู้สึกล้า จึงโบกมือ ก่อนพูดเสียงเบา


 


 


“แล้วแต่เจ้าจะจัดการอย่างไร นางเป็นคนของเจ้า เจ้าดูแลให้ดีก็พอ”


 


 


เมื่อเหลียนเหนียงเห็นหญิงชรามีท่าทีเฉยๆ กับตน ก็ไม่แน่ใจว่านางคิดอย่างไรกันแน่ กลัวก็แต่ว่านางจะยังคงโกรธแค้นอะไรตนอยู่ ขณะคิดจะก้าวเข้าไป รินน้ำชา บีบนวด แล้วพูดจาดีๆ ด้วย ฮุ่ยหลานที่เงียบมาตลอดก็เห็นว่าหญิงชรามีสีหน้าอ่อนล้า จึงหันไปสบตากับหวงน้าสี่ แล้วทั้งสองก็ช่วยกันพยุงถงฮูหยินทั้งซ้ายและขวา ก่อนหันไปพูดกับซี่จูที่ยืนอยู่ข้างๆ


 


 


“ซี่จู ไปที่ห้องครัวดูซิว่า ยาของผู้อาวุโสตุ๋นเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้ว ก็ใช้พัดๆ ให้เย็นลงหน่อยค่อยยกมา…อ้อจริงสิ อย่าลืมแวะไปเอาผลไม้สดที่คุณหนูใหญ่ให้คนแช่อิ่มมาด้วยล่ะ โถใบที่เพิ่งปิดปากโถเมื่อวันก่อน นั่นน่ะสดใหม่ น่าจะได้ที่ละ”


 


 


ถงฮูหยินก็เหมือนคนส่วนใหญ่ ไม่ชอบทานของขม ทว่าขมเป็นยา และยาที่เหยากวงเหย้าจัดให้ก็ดื่มยากมากๆ หลังจากดื่มไปได้สองวัน กระเพาะของถงฮูหยินก็เหมือนถูกขูดน้ำมันออกไปชั้นหนึ่งก็ไม่ปาน บางครั้งทนรสขมไม่ไหว กรดไหลย้อนและอาเจียนออกมา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงนำผลไม้สดมาราดน้ำผึ้ง โรยน้ำตาลและเกลือ แช่อิ่มไว้ในโถที่ปิดปากสนิท ใช้กลบรสขมของยา ทำให้น้ำลายสอได้ดีกว่าลูกกวาดเพียวๆ อีกทั้งยังช่วยในการย่อยด้วย ทุกครั้งที่ทานยา ก็ให้ฮุ่ยหลานนำออกมาให้ท่านย่าอมไว้ใต้ลิ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถงฮูหยินก็ทานยาได้ง่ายกว่าเดิมมาก


 


 


ตอนนี้พอได้ยินเรื่องที่ฮุ่ยหลานกำชับ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยของถงฮูหยินก็ผ่อนคลายลง มีรอยยิ้มจริงใจขึ้นทันที


 


 


“เจ้ากับชิ่นเอ๋อร์ล้วนเป็นคนละเอียดอ่อน นอกจากน้าสี่แล้ว หลังบ้านก็ไม่มีใครรู้ใจคนแก่อย่างข้าไปกว่าพวกเจ้าอีก”


 


 


ฮุ่ยหลานได้แต่ก้มศีรษะลง ขานรับอย่างอ่อนน้อม


 


 


เหลียนเหนียงถูกฮุ่ยหลานขัดคอโดยไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ อีกทั้งยังได้ยินหญิงชราชมฮุ่ยหลานไม่ขาดปาก ก็รู้สึกแค้นใจจนจุกอก และพอเห็นถงฮูหยินไม่ได้คิดที่จะให้ตนดูแล ก็ได้แต่ถอยไปอยู่ด้านข้าง ก่อนประสานมือไว้ที่เอวข้างหนึ่ง พลางพูดอย่างนิ่มนวล


 


 


“เช่นนั้นเหลียนเหนียงก็ไม่รบกวนเวลาทานยาของผู้อาวุโสแล้ว”


 


 


ถงฮูหยินคร้านที่จะหันมอง เดินตามการพยุงของสองสาว กลับห้องนอนไปก่อน


 


 


เหตุการณ์ที่เรือนตะวันตกในวันนี้ พอเมี่ยวเอ๋อร์กลับถึงเรือนหยิงฝู ก็เล่าให้คุณหนูใหญ่ฟังอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นฟังพลางครุ่นคิดโดยไม่รู้ตัว อนุรองผู้นี้ใจใหญ่ ต้องการเป็นคนโปรดของบุรุษ และต้องการเรียกร้องให้ผู้อาวุโสสงสาร คิดควบคุมทุกอย่างไว้ในมือ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าบิดาจะแต่งอนุที่ร้ายกาจเช่นนี้เข้ามาได้ ซึ่งมีสิทธิที่จะกลายเป็นแบบไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่วันใดก็วันหนึ่ง


 


 


และตั้งแต่เยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้าปลอมตัวเป็นสามัญชนมารักษาโรคให้ถงฮูหยินที่บ้านสกุลอวิ๋น อวิ๋นเสวียนฉั่งไหนเลยยังจะมีจวนกุยเต๋อโหวอยู่ในหัวอกอีก


 


 


หนึ่งอ๋อง หนึ่งโหว ใครใหญ่กว่ากัน ใครสำคัญกว่ากัน คนโง่ก็ยังรู้ดี อวิ๋นเสวียนฉั่งคลุกคลีอยู่ในแวดวงขุนนาง เดิมทีก็เหมือนทำธุรกิจค้าขาย ผู้อุปถัมภ์อย่างเยี่ยนอ๋อง ย่อมใหญ่กว่าคุณชายบ้านท่านโหวเป็นไหนๆ จึงตัดสินใจได้ในทันทีว่า จะเก็บความคิดในการเจรจากับมู่หรงไท่เรื่องสู่ขอลูกสาวไว้ชั่วคราว


 


 


ในเมื่อเยี่ยนอ๋องดูเหมือนสนใจลูกสาว แล้วตนจะรีบร้อนไปใย


 


 


เช่นนี้ กับคนที่มู่หรงไท่ส่งมาสอบถามความคืบหน้าในแต่ละครั้ง อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงต้อนรับพอเป็นพิธี แสร้งทำเป็นใบ้ เลี่ยงที่จะพูดถึง จนมู่หรงไท่เต้นแร้งเต้นกาด้วยความร้อนใจ แต่ก็ไร้ซึ่งประโยชน์


 


 


ไม่ง่ายเลยที่อวิ๋นหว่านชิ่นจะทำให้ไฟที่มู่หรงไท่จุดขึ้น ดับมอดลง จึงรู้สึกตัวเบาขึ้นมาก เพียงแต่บิดายังไม่นิ่งนอนใจ ส่งคนมาสืบเรื่องเยี่ยนอ๋องกับตนอยู่เรื่อยๆ ประเดี๋ยวก็ถามว่าวันที่ไปส่งแขก เยี่ยนอ๋องกับนางคุยอะไรกัน ประเดี๋ยวก็ถามว่า หลังจากวันนั้นแล้ว เยี่ยนอ๋องมาหานางบ้างหรือเปล่า


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้แต่ตอบอ้ำๆ อึ้งๆ ไปทุกครั้ง ด้วยคร้านที่จะอธิบาย เมื่อกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิด ก็ปล่อยให้เรื่องเข้าใจผิดที่สวยงามนี้ดำเนินต่อ ใช้เยี่ยนอ๋องกั้นขวางพวกผีเสื้อบ้าผึ้งบอ แมลงวันชั่วและยุงร้าย ก็ไม่เลวอยู่เหมือนกัน


 


 


ด้านเหยากวงเหย้าก็ไม่มีเวลาพัก มัวแต่เห่อที่เพิ่งได้ลิ้มรสชีวิตของการมีลูกศิษย์เป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก พอได้รับกระดาษคำตอบข้อสอบของศิษย์สาวนอกวัง ก็ประเมินระดับความรู้รอบตัวของนาง ด้วยต้องการดูว่านางมีพื้นฐานแค่ไหน ซึ่งก็โล่งใจมาก จึงจัดเตรียมหนังสือและบันทึกทางการแพทย์หลายเล่ม ให้คนส่งไปที่เซียงหยิงซิ่ว อีกทั้งยังคัดลอกข้อสอบกรณีศึกษาอีกหลายกรณีด้วยตนเอง บอกให้เมี่ยวเอ๋อร์มอบให้อวิ๋นหว่านชิ่น และถ้านางเขียนคำตอบเสร็จในเวลาที่กำหนด ก็ให้ฝากไว้ที่เซียงหยิงซิ่ว ดังนี้ จึงนับเป็นวิธีในการเรียนการสอนทางไกลอย่างหนึ่ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเรียนด้วยตัวเองด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็ฟังรายงานผลประกอบการของร้านเซียงหยิงซิ่วจากหงเยียน เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ใกล้ถึงวันล้อมป่าฮู่หลงล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว


 


 


ช่วงเวลาล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่อวิ๋นหว่านชิ่นนับวันให้มาถึงอย่างใจจดใจจ่อ


 


 


เพราะเป็นช่วงที่พระมาตุลาเจี่ยงต้องตามเสด็จออกนอกวังไปด้วยกัน และไม่กลับเข้าวังอีก โดยจะตรงไปบำเพ็ญเพียรในป่าเขาต่อ ซึ่งหลังจากนี้ตนไหนเลยจะได้พบกับเขาอีก


 


 


แต่ยิ่งใกล้ถึงวัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยิ่งกังวลว่า ทำอย่างไรตนจึงจะได้พบหน้าเจี่ยงยิ่นสักครั้ง!


 


 


ในวันล่าสัตว์ เจี่ยงยิ่นก็ต้องตามขบวนเกียรติยศเดินทางออกจากวังอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีองครักษ์เฝ้าระวังอย่างแน่นหนา กระทั่งแมลงวันยังบินผ่านไม่ได้ นางย่อมไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด นั่นก็ได้แต่ฉวยโอกาสก่อนที่เขาจะออกจากวัง หาช่องทางเข้าพบแล้ว…แต่คิดหน้าคิดหลัง ก็ยังหาวิธีไม่ได้


 


 


สามวันก่อนจะถึงวันล่าสัตว์ วันนี้ หลังอาหารเที่ยง อวิ๋นหว่านชิ่นที่เตรียมรถม้าไว้พร้อม เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเรียบร้อย กำลังจะไปออดอ้อนท่านย่าขอออกนอกจวน ไปบ้านท่านลุง ถ้าไม่ได้ ก็ได้แต่อาศัยบารมีของญาติผู้พี่ ขอร้องรัชทายาทสักครั้ง


 


 


ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่าก้าวออกจากเรือน ยังไม่ทันไปเรือนตะวันตก บ่าวก็เข้ามารายงานว่า


 


 


“คุณหนูใหญ่ นายท่านกลับมาแล้ว กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก เรียกให้คุณหนูเข้าพบขอรับ”


 


 


ข้าราชการในราชสำนักเข้างานช่วงตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า เลิกงานช่วงบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น บิดาเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง ต้องงานยุ่งมาก ตามปกติจะกลับบ้านช่วงห้าโมงถึงเจ็ดโมงเย็นทุกวัน วันนี้ทำไมถึงเลิกงานเช้าล่ะ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกสงสัย จึงหันไปอีกทาง เดินไปห้องรับแขกพร้อมบ่าว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม