เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 97-103

ตอนที่ 97 ต่อไปเราน่าจะนอนด้วยกันนะ

 

หลินเช่อส่ายหน้า “นี่…ถือว่าเป็นเงินของฉันในฐานะคุณผู้หญิงตระกูลกู้ก็แล้วกันค่ะ ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้ม “ถ้าพวกเขาสามารถห้ามพ่อฉันไม่ให้เข้าบ่อนได้จริงละก็ บางทีอนาคตข้างหน้าก็น่าจะสดใสแล้วละมั้ง ยิ่งเธอกำลังโด่งดังแบบนี้ด้วย เงินเดือนฉันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น บางทีฉันอาจจะใช้เงินเธอได้ครบเร็วๆ นี้ก็ได้นะ”


 


 


แต่แล้วอวี๋หมินหมิ่นก็เลิกคิ้วและหันมาพูดกับหลินเช่อว่า “ว่าแต่ ท่าทางกู้จิ้งเจ๋อจะดีกับเธอมากๆ เลยนะเนี่ย”


 


 


หลินเช่อชะงัก กู้จิ้งเจ๋อนั้นเป็นคนดีก็จริง แต่บางครั้งเขาก็เย็นชาเหลือเกิน และบางครั้งเขาก็ดูเหมือนจะเย็นชาแต่เพียงภายนอก แต่ลึกๆ ข้างในนั้นกลับอบอุ่นเหลือเกิน


 


 


หลินเช่อตอบไปเพียงว่า “แต่เขา…ผู้ชายคนนั้นเอาใจยากออกค่ะ เขามีแต่ปัญหาเต็มไปหมด ฉันไม่ขอกวนใจพี่ด้วยเรื่องนี้ก็แล้วกันนะคะ ฉันต้องกลับแล้วล่ะ มีงานเลี้ยงวันเกิดต้องเตรียมตัวน่ะค่ะ”


 


 


เมื่อหลินเช่อกลับมาจากโรงแรม เธอยืนนิ่งอยู่ที่ประตูบ้านและเฝ้าดูเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่คอยระแวดระวังภัยอยู่โดยรอบตัวบ้านตระกูลกู้ แล้วอยู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกตัวว่าเธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ สิ่งนี้ทำให้หลินเช่ออดรู้สึกอายขึ้นมาหน่อยๆ ไม่ได้


 


 


ก็เธอเป็นผู้หญิงเจ้าปัญหาจอมก่อเรื่องนี่นะ


 


 


เมื่อได้เวลาเข้านอน กู้จิ้งเจ๋อก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาเห็นหลินเช่อกำลังมองหน้าเขาด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน


 


 


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เธอมามองหน้าฉันทำไม”


 


 


หลินเช่อยิ่งกระดากหนักเมื่อมองหน้าเขา “ฉันคิดว่า…นับตั้งแต่วันนี้ไป เรามาเปลี่ยนกันดีกว่าค่ะ คุณมานอนบนเตียงนี่แทนแล้วเดี๋ยวฉันจะไปนอนโซฟาเอง”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองด้วยสายตาประหลาดใจ “ทำไมล่ะ”


 


 


หลินเช่อให้เหตุผลว่า “ก็คุณน่ะตัวสูงออก นอนบนโซฟามันไม่สบายสำหรับคุณ ฉันตัวเล็กกว่า นอนตรงนี้ได้สบาย หรืออย่างน้อยเราก็น่าจะผลัดกันนะคะ คุณนอนเตียงคืนหนึ่ง แล้วก็ให้ฉันนอนเตียงคืนหนึ่งสลับกัน ให้คุณนอนตรงนี้ไปตลอดก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้หย่ากัน มันไม่ยุติธรรมกับคุณเลยค่ะ”


 


 


ดวงตาของกู้จิ้งเจ๋อเป็นประกาย เขายิ้มให้เธอและเลิกคิ้วถามต่อไปว่า “งั้นเธอกำลังจะบอกว่า เธอทนเห็นฉันต้องนอนแบบนี้ต่อไม่ได้สินะ”


 


 


“…” นี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นเลยสักนิด!


 


 


หลินเช่อตอบ “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ ฉันแค่จะบอกว่า…ช่างเถอะ ถ้าคุณชอบนอนโซฟานักก็นอนไปแล้วกัน”


 


 


หลินเช่อชักใจคอไม่ดี เธอเชื่อว่าที่ตัวเองพูดแบบนี้ไม่ใช่เพราะเธอทนเห็นเขาต้องลำบากนอนบนโซฟาไม่ได้แน่ๆ


 


 


ถ้าอย่างนั้นเธอจะพูดทำไมกันล่ะ หรือเป็นเพราะเธอมักจะคอยหาเรื่องให้ตัวเองแบบนี้อยู่เรื่อยกันแน่นะ หญิงสาวนึกตำหนิตัวเอง


 


 


เธอรู้สึกแย่จัง


 


 


เธอทำตาขวางใส่คนตัวใหญ่กว่าแล้วหันกลับไปที่เตียงนอน แต่กู้จิ้งเจ๋อเดินตามหลังมาติดๆ และนั่งลงบนเตียงข้างๆ เธอ


 


 


เธอมองเขา “คุณเปลี่ยนใจแล้วเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “อันที่จริง เตียงนี่ใหญ่พอนะ เราสองคนนอนด้วยกันได้สบายมาก”


 


 


“อะไรนะคะ” หลินเช่อคิดว่าเธอหูฝาดไป


 


 


แต่ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็รวบเธอไว้ในอ้อมกอดแล้วทั้งคู่ก็หงายหลังล้มลงบนเตียงนอน


 


 


มันเป็นเตียงคู่ขนาดมหึมาและแน่นอนว่ามีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับสองคน แต่ไอ้ที่บอกว่านอนด้วยกันได้นี่หมายความว่ายังไงน่ะ


 


 


หญิงสาวดิ้นขลุกขลักพยายามจะยันตัวลุกขึ้น “ไม่ ไม่นะ กู้จิ้งเจ๋อ เราจะนอนเตียงเดียวกันแบบนี้ไม่ได้!”


 


 


เขาคว้าเอวเธอไว้แล้วรั้งกลับลงมา แม้จะพยายามฝืนตัวอย่างไร แต่เธอก็กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างง่ายดายอยู่ดี


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงถามว่า “ทำไมล่ะ เธอกลัวอะไรหรือไง หรือกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้”


 


 


หน้าหลินเช่อเริ่มร้อนผะผ่าว “หมายความว่ายังไงที่บอกฉันควบคุมตัวเองไม่ได้น่ะ!”


 


 


“เธอกลัวห้ามใจตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นมาจัดการฉันไม่ได้น่ะสิ” เขาบอก


 


 


หลินเช่อทำตาเขียวปั้ด “ไร้สาระ! ทำไมฉันจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ผู้ชายต่างหากล่ะที่น่ากลัว!”


 


 


“อ้อ ถ้าเธอกลัวว่าฉันจะควบคุมตัวเองไม่ได้ละก็ เธอคิดมากเกินไปแล้วล่ะ ฉันอยู่ห้องเดียวกับเธอมาตั้งนานแต่ยังไม่เคยแตะต้องเธอด้วยซ้ำ รับรองได้ว่าฉันไม่ได้จะเป็นคนที่ขาดสติตอนอยู่บนเตียงแน่นอน เชื่อใจได้เลย! ”


 


 


“…” ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากนอนเตียงเดียวกับเขาอยู่ดีนั่นแหละ


 


 


“ไม่ค่ะ ไม่ ฉันทำไม่ได้จริงๆ ” เธอบอกอย่างยุ่งยากใจ


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อไม่สนใจ เขากดร่างเธอให้ล้มลงนอนแล้วขยับเบียดเข้ามาจนใกล้ ตระกองกอดเธอไว้


 


 


“เลิกยุกยิกได้แล้ว นอนซะ!”


 


 


“ฉัน…” ทำอย่างกับว่าเธอจะหลับลงอย่างนั้นแหละ


 


 


“มัวแต่คิดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่อีกล่ะ นอนสักที!” กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้นจากด้านหลัง


 


 


หลินเช่อไม่อาจตอบโต้อะไรได้ เธอไม่กล้าขยับตัวและทำได้แค่เพียงนอนหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่อย่างนั้น หญิงสาวรู้สึกได้ว่าผู้ชายที่นอนอยู่ข้างหลังเธอเริ่มที่จะผ่อนคลายลง แม้ดวงตาของเขาจะยังเบิกกว้าง จ้องเธอแทบไม่กะพริบก็ตาม จนกระทั่งเวลาผ่านไป ความเหนื่อยล้าก็เริ่มคืบคลานเข้ามา


 


 


น่าแปลกที่เขาหลับไปได้ทั้งแบบนั้น


 


 


เธอเองก็ชักจะเริ่มเพลียเหมือนกัน และในไม่ช้าหญิงสาวก็หลับไปทั้งที่ยังอยู่ในสภาพนั้นเช่นกัน


 


 


 


 


วันต่อมา กู้จิ้งเจ๋อตื่นนอนด้วยความสดชื่นตามปกติ


 


 


หลินเช่อชักสังหรณ์ใจว่าเขาคงจะไม่ยอมย้ายกลับไปนอนที่โซฟาอีกต่อไปแล้ว…


 


 


บางทีโซฟานั่นคงจะนอนไม่สบายจริงๆ และเขาก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว เพราะฉะนั้นต่อให้เธอนอนดิ้นยังไงก็คงไม่อาจขัดขวางเขาไม่ให้กลับมานอนบนเตียงได้อีก


 


 


มาคิดๆ ดูแล้ว บางทีการยอมให้เขามานอนบนเตียงอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกแล้วก็ได้


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น ตอนแรกหลินเช่อก็ตั้งใจว่าเธอจะย้ายไปนอนโซฟาเสียเอง แต่กลับกลายเป็นว่าเธอกับเขากลับมานอนร่วมเตียงเดียวกันเสียแบบนี้…


 


 


งานเทศกาลประกาศผลรางวัลแพนด้ากำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่นาน


 


 


และเพราะหลินเช่อได้รับการเสนอชื่อข้าวของรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ ทางบริษัทจึงทุ่มเทความสำคัญให้กับเรื่องนี้ พวกเขาถึงขั้นลงทุนจ้างมืออาชีพมาช่วยเทรนเธอสำหรับการเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลเลยทีเดียว


 


 


หญิงสาวแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่ที่บ้าน เธอมองดูชุดกระโปรงยาวที่ผ่าสูงขึ้นมาถึงหน้าขา ซึ่งไม่ใช่การแต่งกายที่เธอคุ้นเคยสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นชุดที่ทางบริษัทจัดหามาให้ พวกเขาบอกเธอว่าในงานนี้เป็นโอกาสสำคัญ ถ้าเธออยากจะเป็นที่สนใจ เธอก็ต้องยอมทำหลายอย่างที่ไม่เคยทำ และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงจัดแจงเลือกชุดที่สะดุดตาอย่างที่สุดนี้มาให้เธอสวม หลินเช่อนั้นไม่ได้อยากจะเป็นจุดสนใจสักเท่าไหร่ เพียงแค่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานใหญ่ๆ แบบนี้ เธอก็พอใจมากแล้ว


 


 


หญิงสาวมองดูตัวเองในกระจกและรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยจะลงตัวนัก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาเห็นเธอกำลังยืนจับโน่นขยับนี่อยู่ที่หน้ากระจกพอดี รูปร่างผอมบางของเธอในชุดเข้ารูปแบบนี้ ช่วยขับให้หลินเช่อดูสวยสง่าและเซ็กซี่ไม่น้อยทีเดียว


 


 


ชายหนุ่มหรี่ตาแล้วเดินเข้ามาหาพลางถามว่า “เธอกำลังทำอะไรอยู่”


 


 


หลินเช่อหันมาหาเขา “คุณคิดว่าฉันดูแปลกมั้ยคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพินิจดูโดยละเอียดอีกครั้ง ชุดกำมะหยี่สีดำนั้นผ่าสูงขึ้นไปจนเผยให้เห็นหน้าขาขาวผ่องทั้งสองข้างอย่างน่ามอง ก่อนจะบอกว่า “แปลกยังไงล่ะ เธอก็ดูดีนี่”


 


 


“คุณคิดว่าฉันดูดีเหรอคะ” หลินเช่อถามอีก


 


 


ชายหนุ่มยิ้มแล้วเคลื่อนตัวเข้ามาประชิด เสียงของเขาทุ้มนุ่มละมุนละไมเมื่อพูดขึ้นว่า “ฉันคิดว่าเธอจะยิ่งดูดีกว่านี้ถ้าไม่ได้สวมอะไรเลย…”


 


 


“…” หลินเช่อหน้าแดง “ไปให้พ้นเลยนะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะ “ก็เธอถามฉันเองนะ”


 


 


หน้าเธอแดงแล้วแดงอีก “ใครจะไปคิดล่ะว่าคุณจะเป็นพวกทำตัวเกกมะเหรกเกเรแบบนี้! ”


 


 


เขายิ้มแล้วพิศดูเธออีกครั้ง รอยผ่าสูงที่ชุดนั่นก็ไม่เลวหรอกนะ ดูเหมือนชุดนี้น่าจะฉีกออกจากตัวได้ง่ายดายทีเดียว…


 


 


หัวใจเขาเริ่มเต้นถี่จนชายหนุ่มต้องรีบหมุนตัวและตั้งท่าจะเดินออกไป เขานึกสงสัยว่าช่วงนี้เขาดูพยายามที่จะสะกดความรู้สึกตัวเองมากเกินไปหรือเปล่านะ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะหาวิธีอธิบายได้อย่างไรว่าทำไมความคิดของเขาถึงได้วนเวียนอยู่กับเรื่องซุกซนทุกครั้งที่เขามองดูเธอแบบนี้


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะอายุของเขาก็ได้ ร่างกายของเขาโหยหาผู้หญิงโดยสัญชาตญาณงั้นหรือ


 


 


หลินเช่อหันไปหากู้จิ้งเจ๋อ “อ้อ จริงด้วยสิ เรายังมีบัตรเข้างานสำหรับวันนี้เหลืออีกใบหนึ่งน่ะค่ะ ถ้าคุณสนใจก็แวะไปได้นะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหลุดจากภวังค์กลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง เขามองดูบัตรเข้างานที่เธอยื่นให้ ชายหนุ่มรับไว้และพูดว่า “ตกลง ถ้ามีเวลาฉันจะแวะไปดู” 

 

 


ตอนที่ 98 กู้จิ้งอวี่ไม่ยอมเล่นตามกฎอีกแล้ว

 

หลินเช่อมองชายหนุ่มเดินออกไปเงียบๆ คิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงออกจากบ้านไปเองหลังจากที่ล้อเธอเล่นจนพอใจแล้ว จากนั้นหญิงสาวก็เริ่มลากชุดยาวด้วยความทุลักทุเลเพื่อเดินทางไปร่วมงาน


 


 


ที่ด้านนอกพื้นที่จัดงานประกาศผลรางวัล บรรยากาศนั้นแตกต่างออกไปอย่างมาก


 


 


หลินเช่อยกชายกระโปรงขึ้นและเดินเข้างานไปพร้อมกับอวี๋หมินหมิ่น


 


 


ผู้จัดการสาวหันมาบอกเธอว่า “เธอน่าจะได้โอกาสดีๆ บ้างเหมือนกันนะ ต่อให้ไม่ได้รางวัลก็เถอะ แต่อย่างน้อยเราก็ได้มางานใหญ่แบบนี้”


 


 


“ฉันไม่คิดว่าฉันจะได้โอกาสสักเท่าไหร่หรอกค่ะ มีรายการดังๆ ตั้งหลายรายการในปีนี้ แล้วก็มีอีกตั้งหลายบทบาทที่เด่นกว่าของฉันตั้งเยอะ โดยเฉพาะบทตัวร้ายทั้งหลาย ใครๆ ก็เชื่อกันนี่คะ ว่าผู้หญิงที่เล่น บทร้ายน่ะเป็นพวกมีฝีมือการแสดง”


 


 


“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกน่า บทของเธอเองก็เด่นไม่น้อยเหมือนกัน” อวี๋หมินหมิ่นยิ้มและลูบแขนหลินเช่ออย่างปลอบประโลม


 


 


หลินเช่อมองออกไปด้านนอกและได้เห็นนักแสดงหน้าใหม่จากรายการยอดนิยมอีกรายการหนึ่งกำลังเดินอยู่บนพรมแดง พิธีกรของงานแนะนำเธออย่างกระตือรือร้นว่า “การแสดงของหวังฉิงฉู่ในซีรีส์โทรทัศน์เรื่องผู้หญิงสยบโลกนั้นโดดเด่นเป็นที่น่าจดจำทีเดียวครับ การรับบทนำในเรื่องนี้ของเธอกลายเป็นที่จดจำของทุกคน เธออายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น นับว่าอายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเลยทีเดียวละครับ”


 


 


หลินเช่อเห็นทุกคนต่างพากันหันไปมองหวังฉิงฉู่ที่กำลังเดินเข้างานมาอย่างสวยสง่า แสงแฟลชสาดพรึ่บพรั่บขึ้นไม่ขาดสาย หญิงสาวยักไหล่แล้วหันไปหาอวี๋หมินหมิ่น


 


 


อย่างที่หลินเช่อบอกนั่นแหละ นี่คือคู่แข่งของเธอ


 


 


แม้จะอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น แต่หวังฉิงฉู่ก็ดูส่องประกายอย่างมาก


 


 


อวี๋หมินหมิ่นได้ยินคนที่ยืนข้างเธอพูดขึ้นอย่างเปิดเผยว่า “ท่าทางหล่อนน่าจะชนะรางวัลในคืนนี้นะ ท่าทางหล่อนดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกินอย่างกับว่าได้รางวัลแล้วอย่างงั้นแหละ”


 


 


“ใช่ อีกอย่างหนึ่ง ได้ข่าวว่าเมื่อเร็วๆ นี้เธอไปมีอะไรๆ กับหลิวข่ายอีกต่างหาก กลายเป็นประเด็นร้อนอยู่หลายครั้งเลยล่ะ ฉันว่าคืนนี้หล่อนไม่พ้นต้องคว้ารางวัลใหญ่แน่นอน”


 


 


ทุกคนหันมามองหลินเช่อด้วยแววตากึ่งสมเพช


 


 


หญิงสาวหันไปหาอวี๋หมินหมิ่นที่พูดขึ้นเบาๆ ว่า “อย่าไปสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงเลย ในวงการนี้น่ะ เวลาไม่มีอะไรให้พูดถึง ผู้คนก็พากันมโนเรื่องไร้สาระขึ้นมา เราก็ใช้ชีวิตของเราไป แล้วก็ปล่อยเขาใช้ชีวิตของเขาไปเถอะ”


 


 


หลินเช่อพยักหน้า “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่อวี๋ ฉันรู้ค่ะ”


 


 


แต่แล้วใครบางคนก็เดินเข้ามาตบศีรษะเธอเบาๆ จากทางด้านหลัง


 


 


“โอ๊ะ ใครน่ะ”


 


 


หญิงสาวหันไปแล้วก็เห็นว่าเป็นกู้จิ้งอวี่นั่นเอง เธอไม่ได้พบเขามานานทีเดียว แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาเดินตามเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


“มองอะไรเล่า” เขาถาม


 


 


หลินเช่อถามขึ้นว่า “กู้จิ้งอวี่ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละคะ”


 


 


“ก็ฉันเห็นเธอยืนบื้ออยู่ตรงนี้น่ะสิ ก็เลยต้องเข้ามาดูเสียหน่อย”


 


 


“ฉันจะยืนบื้อได้ยังไง…” หลินเช่อลูบหัวตัวเองเบาๆ


 


 


กู้จิ้งอวี่บอกว่า “ยัยโง่ มาเถอะ! อย่ามัวรีรออีกเลย เดินมากับฉันนี่”


 


 


“หา คุณต้องตามมาทีหลังไม่ใช่เหรอคะ ตามคิววันนี้ฉันไม่ต้องเดินพรมแดงคู่กับใครนี่นา”


 


 


“ก็คู่กับฉันอยู่นี่ไงเล่า”


 


 


“แต่…” หลินเช่อถูกลากจนหน้าคะมำ


 


 


“แต่อะไรอีก ไปเถอะ ฉันจะเดินกับเธอเอง”


 


 


จะทำแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า


 


 


แม้ว่าพอจะรู้อยู่ว่าคนอย่างกู้จิ้งอวี่เป็นพวกไม่ชอบเล่นตามกฎ เพราะว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเขา แต่หลินเช่อเป็นคนทำตามกฎทุกอย่างในวงการบันเทิงชนิดไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง


 


 


กู้จิ้งอวี่ควรจะเดินเป็นคิวสุดท้ายสำหรับการเข้างาน แต่ขณะที่เขาลากหลินเช่อถูลู่ถูกังไปด้วยนั้น ใครต่อใครก็พากันหันมองด้วยความอิจฉา เมื่อถึงเวลาต้องเริ่มเดินบนพรมแดง เขาก็จับมือเธอให้คล้องแขนเขาและออกเดินไปพร้อมกัน


 


 


พิธีกรที่อยู่ภายในงานตกใจไม่น้อยที่ได้เห็น แต่ก็รู้ดีว่าคนอย่างกู้จิ้งอวี่ไม่เคยทำอะไรตามคำสั่งอยู่แล้ว พิธีกรหัวใสจึงรีบรับลูกอย่างรวดเร็ว


 


 


ทุกคนหันมองสองหนุ่มสาวที่เดินเคียงกันอย่างนึกริษยา แสงแฟลชสว่างพรึ่บเป็นจังหวะ แล้วพิธีกรก็ออกปากแซวว่ากู้จิ้งอวี่นั้นทอดทิ้งดารานำหญิงของเรื่อง หันมาเดินพรมแดงกับดาราสมทบแทนเสียแล้ว


 


 


เหตุการณ์นี้ยิ่งเติมเชื้อไฟให้กับข่าวลือที่หลายคนพากันพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเฝ้ามองเหตุการณ์จากด้านหลังแล้วส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรได้


 


 


ทั้งสองเดินไปจนสุดผืนพรมและเดินเข้าไปยังที่นั่งของตัวเอง


 


 


หวังฉิงฉู่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าอยู่ๆ ก็หันมาหาหลินเช่อ เธอยิ้มให้พลางพูดว่า “เราได้รับการเสนอชื่อพร้อมกันนะคะคราวนี้”


 


 


หลินเช่อยิ้มตอบ “ใช่แล้วค่ะ”


 


 


“ฉันคิดว่าซีรีส์ของคุณท่าทางจะโด่งดังไม่น้อยเลยนะคะ ก็มีทั้งกู้จิ้งอวี่ทั้งมู่เฝ่ยหรานเชียวนี่นา แม้แต่บทสมทบก็ยังได้ดาราดังอย่างหลินลี่มาเล่นด้วยซ้ำ ดาราหน้าใหม่อย่างพวกเราจะไปสู้อะไรได้นะคะ เพิ่งจะอายุแค่นี้กันเท่านั้นเอง แค่ได้มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ใครจะรู้ว่าเราจะกลายเป็นม้ามืดหรือเปล่านะคะ”


 


 


ถึงแม้ถ้อยคำที่ใช้จะดูถ่อมตัว แต่น้ำเสียงยามที่พูดนั้นกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิไม่น้อยทีเดียว


 


 


หล่อนกำลังจะบอกเป็นนัยๆ ว่า ซีรีส์ของหลินเช่อนั้นที่โด่งดังขึ้นมาได้ก็เพราะนักแสดงนำดังๆ ในเรื่อง ในขณะที่ซีรีส์ของหล่อนเองไม่ได้มีดาราใหญ่ร่วมแสดง เป็นการบอกใบ้กลายๆ ว่าหล่อนมาอยู่ตรงนี้ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง


 


 


หลินเช่อยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “งั้นเหรอคะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่มีดาราดังๆ อยากจะรับเล่นซีรีส์ของคุณ ทั้งที่ดูเหมือนว่าบทก็น่าจะดีนี่คะ”


 


 


ที่เธอหมายถึงจริงๆ ก็คือ บทบาทในซีรีส์เรื่องนั้นดูไร้ค่าและไม่น่าสนใจ เพราะถ้าหากมันเป็นบทที่ดีจริงละก็ ทำไมดาราใหญ่ๆ ทั้งหลายถึงจะไม่รับเล่นล่ะ


 


 


สีหน้าของหวังฉิงฉู่เปลี่ยนไปในฉับพลัน เธอตวัดสายตามองหลินเช่อและได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจเพราะเห็นว่ามีกู้จิ้งอวี่คอยนั่งกันท่าอยู่


 


 


จากนั้นก็มีผู้คนมากมายพากันเดินเข้ามาทักทายหลินเช่อเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นเธอ


 


 


หญิงสาวรู้จักบางคนเพราะเคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ก็มีอีกหลายคนที่เธอไม่เคยเจอะเจอมาก่อนเลยเช่นกัน


 


 


แม้ว่าหลินเช่อจะทำงานมานาน แต่เธอก็ไม่เคยเข้าไปพบปะเสวนากับผู้คนในวงการสักเท่าไหร่ และงานประกาศผลรางวัลครั้งนี้ก็เป็นเหมือนการรวมตัวกันครั้งใหญ่ของคนในแวดวงนี้ นักแสดงดังทุกคนที่คนพอจะนึกออกต่างก็มาร่วมงานกันทั้งนั้น ทุกคนล้วนมีผลงานออกฉายในปีนี้ และนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนได้รู้ว่าหลินเช่อเป็นใคร มีคนอีกมากมายที่อยากจะเข้ามาทำความรู้จักกับเธอ


 


 


หลังจากวุ่นวายกับสีสันต่างๆ ในงานมาพักใหญ่ ในที่สุดพิธีประกาศรางวัลก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างพากันเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง


 


 


หลินเช่อผ่อนลมหายใจยาวและพูดกับอวี๋หมินหมิ่นว่า “ฉันได้แลกเบอร์วีแชทกับคนตั้งเยอะเลยละค่ะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอกว่า “ก็แน่ละสิ เธอกำลังเป็นดาวรุ่งนี่นา! ต้องมีคนมากมายอยากรู้จักเธออยู่แล้ว”


 


 


“ทำไมพวกเขาถึงได้อยากรู้จักฉันละคะ” หลินเช่อถามอย่างอยากรู้


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ “คอนเนกชันเป็นสิ่งสำคัญในวงการนี้ ใครจะรู้ว่าเราจะต้องการความช่วยเหลืออะไรในอนาคตบ้างล่ะ ตอนนี้เธอมีชื่อเสียงก็จริง แต่อนาคตก็ไม่ใช่สิ่งแน่นอน แต่แน่ล่ะว่าพวกเขาอยากจะรู้จักเธอเสียตั้งแต่เนิ่นๆ แบบนี้”


 


 


“โอเคค่ะ” หลินเช่อไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีค่าสำหรับคนอื่นขึ้นมาแล้วในตอนนี้ “ฉันคิดว่าฉันเป็นแค่ดาราหน้าใหม่เท่านั้น”


 


 


“ปีนี้เธอเป็นดาราหน้าใหม่ แต่อีกหน่อยเธอจะยิ่งดังขึ้นและดังขึ้นกว่านี้! ” ผู้จัดการสาวยิ้มให้


 


 


“ใครจะรู้ละคะ เดี๋ยวก็มีดาราหน้าเกิดขึ้นมาอีกเยอะแยะ ฉันไม่รู้ว่าอีกหน่อยจะมีคนตามแอบถ่ายภาพฉันเวลาไปเที่ยวทะเลหรือเปล่า”


 


 


จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต ทำให้หลินเช่อไม่ค่อยจะมองโลกในแง่ดีสักเท่าไหร่


 


 


ที่ด้านหน้า หวังฉิงฉู่ทำหน้าเยาะหยัน เธอหันหลังกลับมามองและได้พบว่า คนที่ห้อมล้อมเธอนั้นมีน้อยกว่าหลินเช่อมาก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกู้จิ้งอวี่แท้ๆ หญิงสาวก่นด่าอยู่ในใจ ฮึ แล้วยังไงล่ะ เธอไม่เชื่อหรอกว่าหลินเช่อจะอาศัยเขาไปได้ตลอดน่ะ


 


 


การประกาศรางวัลเริ่มต้นขึ้นแล้ว


 


 


หวังฉิงฉู่เดินออกไปเงียบๆ


 


 


 


 


 


 


ในห้องด้านนอก ใครบางคนกำลังหอบหายใจ


 


 


หวังฉิงฉู่กำลังหอบแรงด้วยท่าทีเย้ายวนยิ่ง “ประธานเฉินคะ คุณสัญญาแล้วนะคะ ว่ารางวัลนักแสดงหน้าใหม่ปีนี้จะต้องเป็นของฉันน่ะ”


 


 


“อืมม ของเธอ ของเธอแน่นอนจ้ะ”


 


 


“คุณน่าจะได้เห็นนะคะว่ายัยหลินเช่อนั่นทำท่ายโสแค่ไหน! หล่อนอาศัยความสนใจที่กู้จิ้งอวี่มีให้ ขโมยซีนพาดหัวข่าวของวันพรุ่งนี้ไปหมดเลย คุณจะยกรางวัลให้แม่นั่นไม่ได้นะคะ! ”


 


 


“ตกลงๆ ฉันจะไม่ให้หล่อน ที่รัก มาต่อกันเถอะจ้ะ…”


 


 


 


 


 


 


หวังฉิงฉู่จัดแจงสำรวจดูเครื่องสำอางบนใบหน้าให้เป็นที่เรียบร้อยก่อนจะกลับเข้ามาในงาน หล่อนมองหลินเช่อด้วยสายตาเหยียดหยาม ยิ่งได้ยินอวี๋หมินหมิ่นคอยบอกบทว่าเธอควรจะต้องพูดอะไรเมื่อขึ้นไปรับรางวัลด้วยแล้ว หญิงสาวก็ยิ่งยิ้มเยาะมากขึ้นไปอีก “อย่าเสียเวลาเลยจ้ะ หลินเช่อ ฉันรู้ว่าการแสดงของเธอก็ไม่ได้แย่หรอกนะ แล้วเธอก็พยายามอย่างหนักด้วย แต่รางวัลนี้ต้องเป็นของฉันอย่างแน่นอนจ้ะ” เมื่อพูดจบก็หมุนตัว ก่อนจะหันมาพูดทิ้งท้ายอีกครั้งว่า “ต่อให้เธอมีกู้จิ้งอวี่ก็เถอะ ยังไงก็ไร้ประโยชน์ ฉันบอกได้เลยว่า…เธอไม่รู้หรอกว่าคนคอยหนุนหลังฉันน่ะใหญ่ขนาดไหน” 

 

 


ตอนที่ 99 เธอต้องเลี้ยงข้าวฉันสิ

 

หวังฉิงฉู่เดินฉับๆ กลับไปยังที่นั่ง หลินเช่อกัดริมฝีปากแล้วจ้องมองด้านหลังของอีกฝ่าย มือกำหมัดแน่น


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าหวังฉิงฉู่จะยโสได้ถึงขนาดนี้


 


 


บางทีหล่อนอาจจะอายุน้อยเกินกว่าจะสามารถควบคุมกิริยามารยาทได้


 


 


หลินเช่อยิ้มเย็น “ถามจริงๆ เถอะว่าตกลงรางวัลนี้เขาดูกันที่ฝีมือในจอหรือนอกจอกันแน่คะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นกดมือหลินเช่อไว้ “อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง”


 


 


ผู้จัดการสาวลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ทิ้งหลินเช่อเอาไว้เพียงคนเดียว ทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้ยินใครบางคนพูดขึ้นจากทางด้านหลังว่า


 


 


“ดูเหมือนว่ารางวัลนักแสดงหน้าใหม่จะเป็นของหวังฉิงฉู่เสียละมั้ง”


 


 


“แต่หลินเช่อก็แสดงได้ไม่เลวนะ”


 


 


“อันที่จริงฉันรู้มานานแล้วละว่ายัยหวังฉิงฉู่น่ะเป็นคนได้รางวัลนักแสดงหน้าใหม่ ฉันเห็นรายชื่อมาก่อนแล้วก่อนหน้านี้”


 


 


“ให้ตายเถอะ งั้นก็เป็นหล่อนจริงๆ น่ะสิ มิน่าหล่อนถึงได้ดูมั่นหน้านัก เดินพรมแดงคนเดียวแบบเชิดสุดอะไรสุดทีเดียว นี่เดาว่าคงจะเป็นผลตัดสินภายในสินะ น่าสงสารหลินเช่อจัง”


 


 


“ก็จะให้ทำยังไงได้ล่ะ”


 


 


แม้หลินเช่อจะไม่ได้ตั้งความหวังอะไรไว้สูงมากมายว่าตัวเองจะได้รางวัล แต่เธอก็ยังไม่สบอารมณ์นักที่จะได้ฟังคำพูดเช่นนี้ ถ้าหากตัดสินกันที่ความสามารถจริงๆ เธอก็ยังเต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่การใช้วิธีตุกติกเพื่อเขี่ยเธอให้พ้นทางแบบนี้เป็นเรื่องที่หญิงสาวไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่นัก


 


 


โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม ยิ่งในวงการนี้ด้วยแล้ว หลินเช่อไม่ชอบเลยที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอ


 


 


ทำไมถึงไม่สู้กันด้วยความสามารถและชื่อเสียงแบบแฟร์ๆ ล่ะ


 


 


หวังฉิงฉู่หันมาหาหลินเช่อ หล่อนเลิกคิ้วแล้วยิ้มเยาะ ทำท่าราวกับเป็นผู้ชนะ


 


 


หลินเช่อมองตรงไปข้างหน้าและสูดลมหายใจเข้าอย่างเงียบงัน


 


 


เหล่าดาราชื่อดังหลายคนเริ่มทยอยขึ้นไปบนเวทีเมื่อเริ่มมีการประกาศรางวัลดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หลินเช่อมองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ และเมื่อถึงเวลาประกาศรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ เธอก็ขยับนั่งยืดตัวขึ้นตรง


 


 


หวังฉิงฉู่หันกลับมาอีกครั้ง ส่งยิ้มน้อยๆ ให้หลินเช่อ “ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกน่ะ ยังไงรางวัลก็เป็นของฉันอยู่แล้ว โชคร้ายหน่อยนะจ๊ะที่ต้องมาแข่งกับฉันปีนี้ ขอให้คราวหน้าเธอโชคดีกว่านี้ก็แล้วกัน” หวังฉิงฉู่ยกมือขึ้นปิดปากแล้วทำท่าราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ “โอ๊ะ เพิ่งนึกออก เธอมีโอกาสที่จะเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้แค่ครั้งเดียวในชีวิตนี่นา ปีหน้าก็ไม่ได้เป็นดาราหน้าใหม่แล้วนะจ๊ะ”


 


 


หลินเช่อจ้องหน้าอีกฝ่าย “อย่างน้อยฉันก็มาถึงตรงนี้ได้ด้วยความพยายามและความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่อะไรก็ตามที่อยู่หลังเวทีก็แล้วกัน”


 


 


“ฮ้า หลังเวทีก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของเราเช่นกันจ้ะ โดยเฉพาะในวงการนี้ แต่ถึงยังไงเธอก็คงไม่มีปัญญาชนะฉันได้อยู่ดีนั่นแหละ”


 


 


คนทั้งฮอลล์อยู่ในความเงียบเมื่อผู้ดำเนินรายการเริ่มพูด “นักแสดงหน้าใหม่ในปีนี้นับว่าเป็นคนรุ่นใหม่กันทั้งนั้นเลยนะครับ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีที่มีละครดังต่อกันหลายต่อหลายเรื่องทีเดียว ส่วนครึ่งหลังของปีก็เต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจเช่นกัน มีผลงานดีๆ ที่ทั้งมีชื่อและได้รับเรตติ้งถล่มทลายออกมาอยู่หลายเรื่อง…


 


 


“เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราจะมาประกาศรางวัลนักแสดงหน้าใหม่สำหรับปีนี้กันนะครับ”


 


 


หลังจากฉายภาพวิดีโอของบรรดาผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นที่เรียบร้อย พิธีกรก็ยิ้มและพูดต่อไปว่า “ใครจะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปีกันแน่ จะเป็นหวังฉิงฉู่ หรือจะเป็นกู้หนิงหนิง หรือจะเป็นซือตู้ซิง หรือหลินเช่อ”


 


 


ในชั่วขณะนั้นเอง พิธีกรรับเชิญอีกคนก็เดินฝ่าบรรดาผู้ชมขึ้นไปยังเวที กล้องทุกตัวผลัดกันจับภาพผู้ได้รับการเสนอชื่อ หลินเช่อนั่งนิ่งสีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ หญิงสาวยังไม่คุ้นกับการต้องถูกจับจ้องแบบนี้ ในขณะที่ทางด้านหวังฉิงฉู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและมองตรงเข้าใส่กล้องอย่างภาคภูมิใจ


 


 


จากนั้นพิธีกรรับเชิญก็ยิ้มและประกาศผล “รางวัลนักแสดงหน้าใหม่ปีนี้เป็นของหลินเช่อค่ะ! ”


 


 


บริเวณด้านล่าง หลินเช่อซึ่งได้ยินชื่อตัวเองกำลังอยู่ในอาการช็อกสนิท


 


 


เธอนั่งนิ่งไม่อาจขยับตัวจนกระทั่งคนที่อยู่ข้างๆ เริ่มรุนหลังนั่นแหละ หญิงสาวจึงรีบลุกขึ้น


 


 


ด้วยความงงไม่หาย เธอแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงสปอตไลต์ที่สาดลงมาบนหน้า เธอก้าวขึ้นไปบนเวทีและรับรางวัลจากมือของพิธีกรรับเชิญ


 


 


ที่ด้านล่างเวที หวังฉิงฉู่นั้นลุกขึ้นยืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อหล่อนได้ยินชื่อหลินเช่อ สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ


 


 


หลินเช่อถือรางวัลของเธอและก้าวเข้าไปยืนที่หน้าแท่น มือจับไมโครโฟนด้วยท่าทีประหม่าอาย ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณผู้สร้างซีรีส์กระบี่ยอดดวงใจด้วยนะคะ ขอบคุณผู้กำกับที่ให้โอกาสฉันได้แสดงบทสำคัญในเรื่องนี้ และขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ช่วยสอนอะไรให้ฉันมากมายเหลือเกิน ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยค่ะ…”


 


 


หวังฉิงฉู่ไม่อยากทนฟังอีกต่อไป หล่อนไม่แยแสสายตาที่พากันจ้องมองมาและเดินปึงปังออกไปอย่างโกรธจัด


 


 


 


 


 


 


ด้านนอก หล่อนเดินพล่านไปทั่วทุกที่จนกระทั่งพบตัวประธานเฉินที่ด้านหลังของงาน


 


 


นักแสดงสาวตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดใส่ว่า “คุณเป็นบ้าอะไร ไหนคุณบอกว่าจะให้รางวัลนั่นกับฉันไงล่ะ แล้วทำไมถึง…ทำไมคุณถึงกล้าโกหกฉันแบบนี้! นี่คุณเห็นฉันเป็นของเล่นหรือยังไง”


 


 


เธอขายหน้าจะแย่อยู่แล้ว อุตส่าห์ไปพูดจาวางโตซะมากมายขนาดนั้น แต่สุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลว


 


 


“ฉัน…ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นหรอก ฉันเขียนชื่อเธอลงไปแล้วจริงๆ นะ ถึงแม้ว่าทุกคนจะเห็นว่าหลินเช่อแสดงได้ดีกว่าก็เถอะ แต่ฉันก็ยังเชื่อในตัวเธอ แต่ว่าวันนี้…” ประธานเฉินอุบอิบ “ฉันบอกได้แค่ว่าคนหนุนหลังหลินเช่อน่ะใหญ่โตกว่าของเธอมากนัก ฉันไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้น่ะ”


 


 


“อะไรนะ”


 


 


“บอกตามตรงว่าไม่มีทางเลย ฉันเองก็ไม่คิดว่าแบ็คของหลินเช่อจะเป็นคนระดับนั้นเหมือนกัน เขาใหญ่ขนาดที่ฉันไม่มีปัญญาแตะต้องได้ ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก ต่อให้อยากจะช่วยก็เถอะ”


 


 


หวังฉิงฉู่ถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหล่อนยับยู่ด้วยโทสะ


 


 


ในไม่ช้า หลินเช่อก็เดินลงมาจากเวทีและได้เห็นอวี๋หมินหมิ่น เธอพูดกับอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “บอกตามตรงนะคะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่ารางวัลนี้จะเป็นของฉันน่ะ พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้มและบอกว่า “ดูเหมือนว่าโลกนี้จะยังมีความยุติธรรมอยู่น่ะสิ”


 


 


หลินเช่อผงกหัวโดยแรง


 


 


เธอไม่อาจซ่อนความยินดีในสีหน้าเอาไว้ได้


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพูดต่อไปว่า “อย่าลืมเลี้ยงพวกเราด้วยล่ะ”


 


 


“แน่นอนค่ะ ฉันจะเลี้ยงทุกคนเลย ฮ่าๆ ”


 


 


งานประกาศผลรางวัลสิ้นสุดลงแล้ว และในขณะที่หลินเช่อกำลังเดินออกจากงาน โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น


 


 


เธอล้วงมันออกมาและได้เห็นว่าเป็นกู้จิ้งเจ๋อนั่นเอง


 


 


เธอรีบรับสายโดยไว “กู้จิ้งเจ๋อคะ”


 


 


เมื่อได้ยินความดีใจในน้ำเสียงของเธอ ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ [งานเลิกแล้วเหรอ]


 


 


“เลิกแล้วค่ะ เพิ่งเลิกเดี๋ยวนี้เอง”


 


 


[ฉันรอเธออยู่ข้างนอกนะ ออกมาสิ]


 


 


“อา จริงเหรอคะ”


 


 


[จริงสิ เธอชนะรางวัลนี่นา เธอควรต้องเลี้ยงข้าวฉันไม่ใช่เหรอ] เขาถาม


 


 


“โอเคๆ ได้เลยค่ะ ฉันจะพาคุณไปเลี้ยงข้าวเอง”


 


 


หลินเช่อวางสายแล้ววิ่งออกไป เธอเห็นรถของเขาจอดรออยู่ข้างนอก


 


 


หลินเช่อกระโดดขึ้นรถแล้วยื่นถ้วยรางวัลอวดเขาด้วยความตื่นเต้น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วบอก “ยินดีด้วยนะ”


 


 


เธอพูดด้วยท่าทีเนื้อเต้นทีเดียว “ฉันยังคิดอยู่เลยนะคะว่ามันแปลกจังที่ใครต่อใครก็พากันพูดว่าหวังฉิงฉู่น่ะรู้จักคนมีอิทธิพลในวงการ เพราะฉะนั้นรางวัลนี้จะต้องเป็นของเธออย่างแน่นอน แต่มันก็ยังกลายเป็นของฉันแบบนี้”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มให้ “นั่นพิสูจน์ให้เห็นแล้วไงล่ะ ว่ามีคนที่มีอิทธิพลมากยิ่งกว่า”


 


 


“อะไรนะคะ”


 


 


ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เริ่มออกรถ “ไปกันเถอะ เธอติดเลี้ยงข้าวฉันอยู่นะ” 

 

 


ตอนที่ 100 ฉันชอบแบ่งปันทุกอย่างร่วมกับเธอ

 

ที่บ้านตระกูลหลิน


 


 


หลินลี่นั่งดูเทปรายการในช่วงที่หลินเช่อขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับรางวัลแล้วก็โกรธจนหน้าเขียว


 


 


แสงสปอตไลต์คอยตามติดขณะที่หลินเช่อก้าวลงจากเวที หล่อนถูกแวดล้อมด้วยผู้คนมากมายที่เข้ามาแสดงความยินดี นักข่าวมะรุมมะตุ้มกันเข้ามาสัมภาษณ์จนหญิงสาวดูเปล่งประกายอย่างน่าภาคภูมิ


 


 


หลินลี่หงุดหงิดเสียจนต้องกระแทกถ้วยชาในมือลง


 


 


“นังหลินเช่อมันได้รางวัลจริงๆ ด้วย! ”


 


 


หันไฉ่อิงเฝ้าดูพลางพยายามปลอบใจหลินลี่ “เอาเถอะ ตอนนี้มันมีกู้จิ้งเจ๋อคอยอยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่าอะไรๆ ก็ต้องไม่เหมือนเดิมแล้ว รอจนกว่าลูกจะได้แต่งงานเข้าตระกูลฉินก่อนน่า แล้วลูกก็จะได้อะไรแบบนี้เหมือนกัน”


 


 


หลินลี่กัดฟันแน่น พยายามที่จะเชื่อในสิ่งที่มารดาพูด แต่ถึงกระนั้นระหว่างตระกูลฉินและตระกูลกู้นั้นก็ยังมีบางอย่างที่แตกต่างกันอย่างลิบลับ ยิ่งคิดหลินลี่ก็ยิ่งโมโหหนักขึ้นไปอีก


 


 


ในขณะเดียวกัน…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพาหลินเช่อมาที่ภัตตาคารหรูจนหญิงสาวต้องร้องเสียงหลง “ว้าว! ดูท่าทางจะเป็นร้านแพงทีเดียวนะคะ นี่คุณจะให้ฉันเลี้ยงจริงๆ น่ะเหรอ”


 


 


ชายหนุ่มมองหน้า “วันนี้เธออุตส่าห์ชนะรางวัลนี่ เพราะงั้นเธอก็ควรเป็นฝ่ายเลี้ยงฉันไม่ใช่รึ”


 


 


หลินเช่อทำปากยื่น “ก็ฉันไม่คิดว่าคุณจะเลือกร้านแพงขนาดนี้นี่นา”


 


 


ที่นี่เป็นภัตตาคารอาหารจีนที่ไม่ว่าใครที่ได้เห็นจากด้านนอกต่างก็เชื่อกันว่านี่เป็นภัตตาคารระดับสุดหรูอย่างแน่นอน


 


 


ทางเข้านั้นได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม แลเห็นลูกค้าเพียงไม่กี่คนที่อยู่ภายใน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีห้องรับประทานอาหารส่วนตัวเสียด้วยสิ แต่ละห้องมีชื่อที่สลักด้วยตัวอักษรงดงามเอาไว้ เมื่อพนักงานเห็นสองหนุ่มสาวเดินเข้ามา พวกเขาก็รีบโค้งคำนับเพื่อทักทายอย่างสุภาพ รอยยิ้มของพวกเธอดูเป็นธรรมชาติ ใบหน้าก็ได้รับการตกแต่งเอาไว้ให้ดูสวยสบายตา แน่ใจได้เลยว่าทุกคนจะต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มข้น


 


 


“คุณกู้ครับ เอาเป็นห้องเดิมใช่ไหมครับ เราเก็บห้องนี้ไว้ให้คุณเสมอ”


 


 


“ได้เลย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพาหลินเช่อเข้าไปด้านใน ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้นเขาก็อธิบายว่า “อาหารที่นี่อร่อยมาก ขอแค่เธอได้ลองสักครั้งก็จะรู้เอง พวกเขาปรุงได้เหมือนอาหารโฮมเมดมากๆ ”


 


 


หลินเช่อย้อนว่า “ถ้าคุณอยากกินอาหารที่เหมือนกับกินที่บ้านขนาดนั้นแล้วเราจะมาที่แพงๆ แบบนี้ทำไมกันละคะ ทำไมเราไม่กลับบ้านกัน แล้วฉันจะได้ทำอาหารให้คุณกิน”


 


 


คนฟังทำหน้าเหยียดหยาม “ถ้าปล่อยให้คนซื่อบื้ออย่างเธอทำอาหารให้ฉันกิน เราคงลงเอยด้วยการนั่งกินเศษอาหารแน่ๆ ”


 


 


“ไม่มีทาง…ครั้งล่าสุดนั่นมันเป็นอุบัติเหตุต่างหากละคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่ยอมเชื่อ เขาอุตส่าห์พาเธอมาถึงที่พิเศษขนาดนี้แต่เธอกลับดูไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่อินังขังขอบกับอะไรเอาซะเลย


 


 


“ฉันมาที่นี่บ่อยมาก อาหารเขาอร่อย เดี๋ยวเธอลองกินก็รู้เองนั่นแหละ”


 


 


เขาอยากให้เธอชอบที่นี่ด้วย ในใจแล้ว เขาอยากจะให้เธอชอบทุกอย่างที่เขาทำ


 


 


ในตอนแรกเขาคิดถึงอาหารอร่อยของที่นี่และก็อยากจะให้เธอลองได้กินบ้าง แต่เธอกลับเอาแต่บ่นเรื่องความแพงของภัตตาคารอยู่นั่น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรับผิดชอบในการเลือกสั่งอาหารเพราะเขาคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าและรู้ดีว่าอะไรเป็นจานเด็ด


 


 


เขาสั่งอาหารขึ้นชื่อมาแทบทั้งหมด หลินเช่อแทบจะได้ยินเสียงกระเป๋าสตางค์เธอร่ำไห้และหัวใจที่กำลังหลั่งเลือด เพราะมันน่าจะแพงระยับเลยทีเดียว


 


 


เพียงครู่เดียวอาหารก็มาถึง


 


 


หลินเช่อก้มลงดู มันดูน่ากินเป็นที่สุด


 


 


“ลองสิ” กู้จิ้งเจ๋อขยับตัวแช่มช้าด้วยท่าทางละเอียดงดงามราวกับแมวเปอร์เซีย


 


 


แต่ฝ่ายหลินเช่อนั้นไม่ได้สนใจมารยาทบนโต๊ะอาหารใดๆ เธอตักมาและส่งอาหารเข้าปากในทันที


 


 


มันอร่อยสุดยอดไปเลยจริงๆ


 


 


เธอเริ่มกินคำใหญ่ขึ้น กระดกเครื่องดื่มลงคอ รับประทานอาหารอย่างสุขสำราญใจ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถึงกับต้องเตือนเบาๆ “กินช้าๆ หน่อยก็ได้”


 


 


หลินเช่อตอบ “ก็กินคำใหญ่ๆ มันอร่อยกว่านี่คะ”


 


 


ชายหนุ่มส่ายหัว “กินแบบนี้ไม่ดีกับกระเพาะนะ”


 


 


หลินเช่อว่า “เรากินเพื่อรสชาติอาหารค่ะ ถ้าจะให้กินเพื่อถนอมกระเพาะ เห็นทีเราคงต้องกินแค่โจ๊กกันทุกวันแน่ๆ ”


 


 


“นี่เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรไร้สาระออกมาน่ะ” กู้จิ้งเจ๋อจ้องหน้าอีกฝ่าย


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้เห็นเธอรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยแบบนี้ กู้จิ้งเจ๋อก็รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จทีเดียว ราวกับว่าเขาได้รับการอนุมัติเห็นชอบแล้วในสิ่งที่เขาเห็นว่าดี


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงนั่งมองเธอกินด้วยความรื่นรมย์


 


 


“ช้าๆ สิ เห็นมั้ย ตอนนี้อาหารเลอะปากไปหมดแล้ว” เขาเอื้อมมือออกไปเช็ดมุมปากให้เธอ


 


 


“เดี๋ยวฉันกินเสร็จก็ไปล้างเองแหละน่า เอ้า คุณก็กินด้วยสิคะ ฉันยังไม่เห็นคุณขยับเลย” หลินเช่อพูดทั้งที่อาหารเต็มปากนั่นเอง


 


 


ขณะเดียวกันที่ด้านนอกนั้นเอง


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเดินเข้ามาในภัตตาคารพร้อมกับบรรดาเพื่อนสนิท


 


 


ผู้คนรอบตัวโม่ฮุ่ยหลิงต่างก็พากันอิจฉาเธอ เธอสนิทสนมใกล้ชิดกับตระกูลกู้มาตั้งแต่เด็ก และทุกคนก็รู้ดีว่ากู้จิ้งเจ๋อคือคนรักของเธอมาโดยตลอด


 


 


พวกเธอมักได้ยินโม่ฮุ่ยหลิงโอ้อวดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้ ทำได้แต่เพียงคอยอิจฉาเธอต่อไปเท่านั้น โม่ฮุ่ยหลิงจึงเป็นศูนย์กลางความสนใจตั้งแต่เด็ก และในฐานะหวานใจวัยเด็กของกู้จิ้งเจ๋อ ทำให้ไม่เคยมีใครที่จะสามารถแทนที่เธอในตำแหน่งนี้ได้


 


 


แม้กระทั่งตอนนี้ที่ถึงแม้กู้จิ้งเจ๋อจะแต่งงานไปแล้ว แต่ก็เป็นเพียงการแต่งงานแบบลับๆ เท่านั้น มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้จัดพิธีแต่งงานอะไรด้วย จึงไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ากู้จิ้งเจ๋อมีผู้หญิงอีกคนอยู่ข้างกาย


 


 


“ฮุ่ยหลิง ที่นี่แพงออกจะตาย เรามากินที่นี่ทีไรเธอก็เลี้ยงพวกเราทุกที ฉันรู้สึกไม่ดีเลยจ้ะ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงไม่อาจปกปิดความภาคภูมิในน้ำเสียงเอาไว้ได้ เธอพูดอย่างใจกว้างว่า “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ที่นี่มีห้องประจำของกู้จิ้งเจ๋อที่ร้านสำรองเอาไว้ให้เขาเสมอ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดกู้จิ้งเจ๋อเขาเป็นคนจ่ายให้เองน่ะ”


 


 


“จริงเหรอ กู้จิ้งเจ๋อใจดีถึงขนาดที่ยอมให้เธอใช้ห้องส่วนตัวของเขาเชียวเหรอจ๊ะนี่”


 


 


“แค่นี้สำหรับเขาน่ะเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเองจ้ะ” โม่ฮุ่ยหลิงพูดพลางเดินไปบนรองเท้าส้นสูงของเธอ


 


 


คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังพากันผสมโรงแสดงความเห็น “ก็จริงนะ สำหรับตระกูลกู้แล้ว เงินแค่นี้ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็หาคืนมาได้แล้วละ ฮุ่ยหลิง ฉันละอิจฉาเธอจริงจริ๊ง”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเชิดหน้าอย่างภูมิใจ


 


 


พนักงานจำโม่ฮุ่ยหลิงได้ในทันที เธอมาที่บ่อยเสียจนทุกคนจำได้


 


 


เมื่อเห็นหญิงสาวเข้า พนักงานก็รีบทักทาย “คุณหนูโม่”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงออกคำสั่งทันที “ห้องเดิมนะ วันนี้มากันสี่คน”


 


 


เธอพูดพลางทำท่าจะออกเดินไปที่ห้องดังกล่าว


 


 


ทว่าพนักงานสาวรีบรั้งเธอไว้เสียก่อน พลางมองเข้าไปในห้องอย่างเป็นกังวลและหันมาบอกอายๆ ว่า “ขอโทษทีนะคะคุณหนูโม่ แต่…คุณกู้กำลังใช้ห้องนี้อยู่ในคืนนี้น่ะค่ะ”


 


 


“อะไรนะ” โม่ฮุ่ยหลิงถาม “จิ้งเจ๋ออยู่ที่นี่เหรอ งั้นฉันจะเข้าไปหาเขา”


 


 


พนักงานสาวรีบห้ามอีก “แต่…คุณกู้มีแขกนะคะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงหน้าเสีย


 


 


บรรดาเพื่อนสาวรู้สึกได้โม่ฮุ่ยหลิงกำลังเสียหน้าจึงพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น “งั้นเราก็ไปใช้ห้องอื่นกันเถอะนะ จะห้องไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ บางทีพวกเขาอาจจะมาคุยธุรกิจกันก็ได้นะจ๊ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมาอย่างแห้งแล้งและยอมตามเพื่อนๆ ไปที่ห้องรับประทานอาหารอีกห้อง


 


 


แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังอดจ้องมองเข้าไปในห้องดังกล่าวด้วยสายตาใคร่รู้ไม่ได้ 

 

 


ตอนที่ 101 พวกเขากำลังกินข้าวด้วยกัน

 

ในห้องรับประทานอาหาร 


 


 


หลินเช่อกินอาหารเสร็จแล้ว หญิงสาวรู้สึกประทับใจเป็นที่สุด 


 


 


“อร่อยจังเลยค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นบอกกับกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


ชายหนุ่มยิ้มแล้วพูดราวกับผู้ชนะ “ฉันบอกแล้วไงว่าอร่อย ไม่ได้โกหก เห็นมั้ยล่ะ” 


 


 


หลินเช่อว่า “ค่ะๆ อร่อยจริงๆ นั่นแหละ” 


 


 


ริมฝีปากของเธอเลอะคราบมัน แต่น่าแปลกตรงแทนที่มันจะดูสกปรก ปากเธอกลับดูอวบอิ่มน่าจูบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก 


 


 


เขาไม่อาจทนมองได้อีกต่อไปจึงเปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงเศษขนมปังที่ติดอยู่บนหน้าเธอแทน “ยัยบ๊อง ดูกินเข้าสิ อาหารติดเต็มปากไปหมดแล้ว” 


 


 


เธอเอียงหน้าเพื่อให้เขาปัดออกให้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วเอื้อมมือออกไปหยิบเศษขนมปังออกก่อนจะส่งมันเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย 


 


 


หลินเช่อตาโตด้วยความตกใจแล้วพึมพำเบาๆ ว่า “ตาบ้า นี่เป็นบ้าไปแล้วหรือไงคะ” 


 


 


เขายิ้มแล้วตอบเธอเสียงอ่อน “อร่อยดีออก” 


 


 


“…” หลินเช่อหน้าแดงก่ำ ตวัดสายตามองคนทำตัวพิเรนทร์อย่างหมั่นไส้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถาม “มีอะไรรึ ฉันก็แค่บอกว่าขนมปังก็อร่อยดีเท่านั้นเอง” 


 


 


“ฉะ…ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” หลินเช่ออึกอัก “ถ้าอร่อยนัก นี่ก็มีอีกตั้งเยอะ กินจากในจานสิคะ” 


 


 


ทำไมจะต้องมากินที่มันติดอยู่บนปากเธอด้วย! 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วขยับเข้ามาใกล้ “ก็ของเธออร่อยกว่านี้นา” 


 


 


“…” 


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ คุณจะบ้าเหรอ” หลินเช่อร้องขึ้นอีกครั้ง 


 


 


ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง เสียงหัวเราะนั้นดูจะดังออกมาจากใจเพราะฟังแล้วช่างเต็มไปด้วยความเบิกบานในอารมณ์โดยแท้ 


 


 


หลินเช่อไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก ได้แต่กัดขนมปังเต็มแรงแก้โมโหโดยคิดซะว่าเป็นหัวของผู้ชายที่นั่งข้างๆ นั่นแหละ 


 


 


ทว่าสองหนุ่มสาวไม่ได้ล่วงรู้เลยสักนิดว่าบริเวณข้างนอกห้องนั้น โม่ฮุ่ยหลิงที่กำลังจะเดินไปยังห้องรับประทานอาหารของเธอกับเพื่อนๆ กลับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องที่กู้จิ้งเจ๋อและหลินเช่อกำลังกินอาหารกันอยู่ได้อย่างไรก็ไม่ทราบ 


 


 


เงี่ยหูฟังจากภายนอก เธอก็ได้ยินเสียงกู้จิ้งเจ๋อหัวเราะ 


 


 


นี่เขาหัวเราะเสียงดังแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ 


 


 


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าเขาพอใจหรือมีความสุข อย่างเก่งกู้จิ้งเจ๋อก็จะทำแค่เพียงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ เท่านั้น เขาเป็นคนที่ระมัดระวังกิริยามารยาทอยู่เสมอ แต่ตอนนี้กลับ… 


 


 


พวกเขาต้องไม่ได้พูดคุยเรื่องธุรกิจกันอยู่แน่! 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงมั่นใจ 


 


 


เธอเพ่งเข้าไปในห้องอย่างหัวเสีย ทำท่าจะเดินปึงปังเข้าไปทันที 


 


 


แต่พนักงานของร้านมาเห็นเข้าเสียก่อนจึงรีบปราดเข้ามาขวางไว้ 


 


 


ทว่าหล่อนจึงไม่กล้ายื้อยุดอีกฝ่ายมากนักด้วยก็รู้ดีว่าโม่ฮุ่ยหลิงเป็นใคร ทำได้แค่เพียงถามออกไปว่า “คุณโม่คะ คุณจะทำอะไรเหรอคะ” 


 


 


เมื่อถูกห้าม โม่ฮุ่ยหลิงก็ยิ่งหงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว 


 


 


“แกคิดว่าแกเป็นใครกันถึงกล้ามาห้ามฉันแบบนี้น่ะ ปล่อยนะ ฉันจะเข้าไป! ฉันรู้ว่ากู้จิ้งเจ๋ออยู่ในนั้น ลองเข้าไปถามดูสิว่าเขาจะยอมให้คนอย่างพวกแกมาขวางฉันไว้แบบนี้หรือเปล่า! แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร” 


 


 


พนักงานทำหน้าจนใจไร้หนทางเมื่อหญิงสาวดึงดันจะเข้าไปให้ได้ อากัปกิริยาของโม่ฮุ่ยหลิงดูราวกับจะลืมวางตัวให้ดูสวยสง่างดงามตามปกติ เสื้อผ้าของเธอตอนนี้เองก็เริ่มหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยังตะโกนต่อไปอีกว่า “เร็วเข้าสิยะ ให้ฉันเข้าไป ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกกู้จิ้งเจ๋อให้เฉดหัวพวกแกออกให้หมดทุกคน!” 


 


 


หญิงสาวระเบิดโทสะหนักขึ้นชนิดที่เรียกว่าหน้ามืดตามัวไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว 


 


 


ภายในห้อง สองหนุ่มสาวกำลังเพลิดเพลินอยู่กับของหวาน จนกระทั่งอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งดังขึ้นข้างนอก 


 


 


หลินเช่อตกใจเล็กน้อย “มีคนทะเลาะกันข้างนอกเหรอคะ เสียงดังเชียว” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่นึกอยากจะสนใจอะไรทั้งสิ้น วันนี้เขาต้องการอยู่กับหลินเช่อเพื่อฉลองชัยชนะให้กับเธอเท่านั้น เขาหันมองหญิงสาว ยังคงพึงใจกับการกินอย่างเอร็ดอร่อยของเธอเมื่อครู่นี้ แต่เมื่อเสียงดังจากภายนอกเริ่มรบกวนบรรยากาศอันรื่นรมย์ บวกกับเห็นหลินเช่อเริ่มลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มจึงยืนขึ้นแล้วบอกว่า “ฉันจะไปดูเอง” 


 


 


หลินเช่ออดเดินตามหลังไปด้วยไม่ได้ 


 


 


เมื่อเขาเปิดประตูห้องออกมา เขาก็ได้ยินเสียงโม่ฮุ่ยหลิงที่กำลังตวาดลั่นว่า “พวกแกทั้งหมดทุกคนเลยนะ รอเดี๋ยวก่อนเถอะ! ไอ้พวกสารเลวทุกคนที่นี่เลย…คอยดูนะว่าฉันจะจัดการกับพวกแกยังไง!” 


 


 


แต่แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่าประตูห้องเปิดออก รวมถึงเห็นว่ากู้จิ้งเจ๋อกำลังยืนมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา โม่ฮุ่ยหลิงตกใจแทบสิ้นสติ 


 


 


ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจถอนคำพูดกลับคืนได้อีกแล้ว จึงได้แต่เพียงยืนขยับปากไปมา นึกหาถ้อยคำแก้ตัว 


 


 


รู้ทั้งรู้ว่ากู้จิ้งเจ๋ออยู่ในห้อง แต่เธอก็ยังพูดจาแย่ๆ แบบนี้ออกมา 


 


 


เพราะความโกรธทำให้เธอไม่ทันได้ยั้งคิด 


 


 


ท่าทีของเธอพลันอ่อนลงทันทีเมื่อเธอเห็นกู้จิ้งเจ๋อออกจากห้อง ทว่าเมื่อเธอเห็นหลินเช่อค่อยๆ โผล่ตามหลังมา ดวงตาของเธอก็เบิกโพลงแล้วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างชิงชัง 


 


 


สรุปแล้วกู้จิ้งเจ๋อมากินข้าวกับนังหลินเช่องั้นเหรอ 


 


 


กลายเป็นว่ากู้จิ้งเจ๋อพานังหลินเช่อมาดินเนอร์กันสินะ 


 


 


เธอหันไปมองเขาอย่างโกรธจัด “จิ้งเจ๋อคะ คุณ…ทำไมคุณถึงมากินอาหารที่นี่กับหล่อนได้ล่ะ แล้วทำไมคุณถึงนั่งในห้องนั้น คุณ…คุณทำแบบนี้ได้ยังไงคะ” 


 


 


ชายหนุ่มมองมาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเธอสติหลุดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ 


 


 


ซ้ำยังบริภาษคนอื่นด้วยถ้อยคำหยาบคายแบบนั้นอีก 


 


 


ถ้าเป็นหลินเช่อที่ใช้คำพูดแบบนี้ เขายังพอจะเข้าใจได้เพราะหลินเช่อไม่เคยเสแสร้งหรือมีจริต เธอเป็นเพียงผู้หญิงบ้านๆ ที่คิดอะไรก็พูดออกไปแบบนั้น 


 


 


แต่สำหรับกู้จิ้งเจ๋อแล้ว โม่ฮุ่ยหลิงคือหญิงสาวผู้เรียบร้อยและแสนดี แม้บางครั้งเธอจะดื้อรั้นไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำท่าทีอย่างคนไร้กิริยา 


 


 


ทว่าในตอนนี้เธอกลับไม่มีอะไรเหมือนหญิงสาวแสนดีที่ว่านั่นเลยสักนิด โม่ฮุ่ยหลิงทำตัวเหมือนผู้หญิงปากร้าย เธอจิกตามองหลินเช่อด้วยสีหน้าแทบจะกินเลือดกินเนื้อ 


 


 


เขาขยับเท้าเข้าไปหาเธอสองสามก้าว เหล่าพนักงานรีบพากันถอยกรูดและเฝ้าดูคนทั้งสาม 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงฉวยโอกาสนี้โผเข้าไปหาเขา เธอกอดชายหนุ่มและอิงแอบชนิดแนบแน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนจะพูดว่า “จิ้งเจ๋อคะ พวกเขาใจร้ายมากเลยค่ะ ฉันได้ยินเสียงคุณดังมาจากในห้องแต่พวกเขาไม่ยอมให้ฉันเข้าไปหา พวกเขาบอกว่าคุณพาผู้หญิงอื่นมาออกเดตด้วยและกลัวว่าฉันจะไปรบกวนคุณเข้า ฉันไม่มีสิทธิ์เข้าไปหาคุณข้างใน ฉะ…ฉันก็เลยโมโหมาก” 


 


 


พนักงานทั้งหลายมีท่าทีหัวเสีย ทำไมคุณโม่ถึงพูดจาโกหกหน้าตายแบบนี้ล่ะ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกได้ว่าหลินเช่อยังคงยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาจึงขมวดคิ้วแล้วผลักโม่ฮุ่ยหลิงให้ออกห่างจากตัว จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองเธอแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นน่ะ พูดช้าๆ หน่อยสิ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเงยหน้าน้ำตาคลอ “ยังไงก็ช่างเถอะ ทำไมคุณถึงพาหล่อนมาที่นี่ละคะ” 


 


 


ทว่าเขากลับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบยิ่งว่า “ก็อาหารที่นี่อร่อยดี ฉันก็เลยพาเขามากินที่นี่ มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ” 


 


 


“อะไรนะคะ แต่ที่นี่เป็นที่ของเรานะคะ คุณพาฉันมากินที่นี่เสมอ แล้วนี่คุณจะมาพาผู้หญิงอื่นมาที่นี่ด้วยได้ยังไงกันคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนใจยาว “ที่นี่เป็นที่ของเราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” 


 


 


“คุณ…” โม่ฮุ่ยหลิงหน้าถอดสี 


 


 


หลินเช่อไม่อยากจะก้าวก่ายเรื่องของทั้งสอง เธอมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อที โม่ฮุ่ยหลิงที แล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมพวกคุณสองคนไม่คุยกันสักหน่อยละคะ แล้วเดี๋ยวฉันกลับก่อน” 


 


 


“รอเดี๋ยว” เขารั้งตัวเธอไว้ เมื่อได้เห็นว่าเธอยังไม่ได้สวมเสื้อโค้ต เขาก็เดินเข้าไปในห้องเพื่อหยิบมันมาสวมให้เธอ “ไปรอฉันในรถนะ” 


 


 


เขาบอกเธออย่างอ่อนโยน 


 


 


หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายและนึกสงสัยว่าสถานการณ์ตรงหน้านี้จะคลี่คลายลงในเวลาอันสั้นได้อย่างไร 


 


 


แต่ในเมื่อมีหลายคนกำลังเฝ้ามองอยู่ เธอจึงทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับ “โอเคค่ะ” 


 


 


ขณะมองหลินเช่อเดินจากไป สีหน้าของโม่ฮุ่ยหลิงก็ดุดันราวกับอยากฆ่าใครสักคนให้ตายคามือ  

 

 


ตอนที่ 102 ถ้าฉันไม่หย่าล่ะ

 

กู้จิ้งเจ๋อมองดูโม่ฮุ่ยหลิงด้วยสีหน้ารังเกียจ “นี่เธอเป็นอะไรกันแน่ ฮุ่ยหลิง ทำไมถึงได้ก่อความวุ่นวายขึ้นที่นี่”


 


 


วุ่นวายเหรอ เธอเป็นคนก่อความวุ่นวายงั้นเหรอ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงมองเขาอย่างเกรี้ยวกราด “กู้จิ้งเจ๋อ ฉันขอถามคุณนะคะ ว่าผู้หญิงคนนั้นนี่ยังไงกันแน่ ทำไมคุณถึงพาหล่อนมาที่ห้องอาหารของเรา”


 


 


ชายหนุ่มหันไปมองข้างในห้อง “มันเป็นห้องของเราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


 


 


“ฉัน…” โม่ฮุ่ยหลิงมองเขาด้วยสีหน้าชวนให้ตกใจอย่างที่สุด “มันต้องเป็นห้องของเราสิคะ ก็เรามาที่นี่กันเป็นประจำนี่นา”


 


 


เขาตอบเรียบๆ ว่า “ร้านนี้เป็นร้านโปรดของฉัน นอกจากเธอแล้ว พี่ชาย น้องชาย และครอบครัวของฉันทุกคนก็มาที่นี่กันทั้งนั้น เพื่อนๆ ของฉันก็เหมือนกัน”


 


 


“แต่…” เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะตอบแบบนี้ เธอคิดมาตลอดว่านี่เป็นห้องของเธอและเขาเท่านั้น


 


 


เธอมาที่นี่กับเขาเสมอ และเวลาที่เธอมาที่นี่ตามลำพัง พวกเขาก็ให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันเป็นห้องสำหรับเธอและเขาเท่านั้น แล้วเมื่อได้รู้ว่าเขาพานังผู้หญิงแพศยานั่นมาที่นี่ด้วย จะให้เธอทนยอมรับได้ยังไงกันล่ะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าโม่ฮุ่ยหลิง “เธอดูสิว่าเธอรบกวนคนอื่นเขาแค่ไหน รีบกลับไปซะเถอะ”


 


 


แต่หญิงสาวไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ เธอยังไม่ยอมกลับหรอก


 


 


“ไม่ค่ะ ตอนที่คุณกินอาหารกับเธอ คุณถึงกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเสียขนาดนั้น ฉันรู้สึกไม่ดีเลยนะคะ”


 


 


ชายหนุ่มสูดหายใจยาว พยายามที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่ ทั้งที่ลึกๆ แล้วเขากำลังเดือดปุด “ฉันมากินอาหารกับเขา อย่าบอกนะว่าจะยอมให้ฉันกินข้าวไม่ได้น่ะ”


 


 


“แต่…” โม่ฮุ่ยหลิงกัดฟันกรอด ไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร


 


 


แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มมีท่าทีไม่พอใจ เธอก็เริ่มเสียงอ่อนลง “จิ้งเจ๋อคะ วันนี้ฉันพาเพื่อนๆ มากินอาหารด้วย แต่ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอคุณกับหล่อนอยู่ด้วยกันแบบนี้ ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าเราเป็นคู่รักกัน พอพวกเขาเห็นคุณมากับหล่อนอย่างนี้แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนละคะ ในสายตาคนอื่น ฉันอาจจะกลายเป็นผู้หญิงที่ถูกคุณทิ้งไปแล้วก็ได้…จะให้ฉันเจอกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกันคะ”


 


 


เขามองหน้าเธอ “ฮุ่ยหลิง…อย่าไปสนใจเลยว่าใครจะคิดยังไงน่ะ”


 


 


“ใช่สิคะ ก็คุณไม่ได้เป็นคนโดนนี่ คุณจะมาสนใจอะไรล่ะ!” โม่ฮุ่ยหลิงขึ้นเสียงใส่


 


 


เขามองหน้าเธอ “เธอก็น่าจะบอกพวกเพื่อนๆ ตั้งนานแล้วนะว่าฉันแต่งงานแล้ว และเราก็ไม่ใช่คู่รักกันอีกต่อไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะได้ไม่มีใครต้องตกใจ แล้วเหตุการณ์วันนี้ก็จะไม่ได้กลายเป็นเรื่องตลกในสายตาใคร”


 


 


“คุณ…” โม่ฮุ่ยหลิงปั่นป่วนใจไปหมด “คุณบอกว่าเราไม่ใช่คนรักกันอีกแล้วงั้นเหรอคะ จิ้งเจ๋อ เรายังเป็นแฟนกันอยู่นะคะ คุณยังเป็นของฉัน ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวคุณก็ต้องหย่ากับหล่อน ฉันบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วนี่ว่าฉันจะรอคุณ!”


 


 


“ใช่ ไม่ช้าก็เร็วเราจะหย่ากัน แต่สำหรับตอนนี้เรายังไม่ได้หย่า เราใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และเราจะพูดคุยกันอีกครั้งเมื่อเวลานั้นมาถึง ฉันบอกเธอไปแล้วไงล่ะ ว่าให้หาผู้ชายคนอื่นเถอะ เธอต้องมองไปที่อนาคตข้างหน้า ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ฉันแต่งงาน ฉันเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่า…”


 


 


เขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ใช้วันเวลาเช่นนี้กับหลินเช่อ


 


 


ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า ‘หย่า’ เขาก็รู้สึกปั่นป่วนหัวใจไปหมด


 


 


เขาไม่อยากคอยเตือนตัวเองว่าวันหนึ่งข้างหน้าเขาจะต้องหย่า เขากำลังเคยชินกับการใช้ชีวิตร่วมกับหลินเช่อมากขึ้นทุกที


 


 


“คุณไม่คิดเหมือนกันว่าอะไรคะ” โม่ฮุ่ยหลิงถามขึ้น หวาดกลัวในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปเหลือเกิน


 


 


แต่แทนที่จะตอบ ชายหนุ่มกลับสูดลมหายใจยาวและพูดว่า “ฉันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเราจะหย่ากันหรือเปล่า และต่อให้หย่า ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะหย่าเมื่อไหร่”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงกัดฟันแน่น “ฉันไม่สนใจว่ามันจะนานแค่ไหน ฉันจะรอ!”


 


 


“ฮุ่ยหลิง!” เขาจ้องหน้าเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วถ้าฉันไม่หย่าล่ะ”


 


 


“คุณ…” เธอโถมกายเข้าใส่เขา “ถ้าคุณไม่หย่า งั้นฉันก็ขอตายดีกว่ายอมเสียคุณไปค่ะ ฉันยอมตายซะดีกว่าที่จะต้องไปจากคุณ จิ้งเจ๋อคะ คุณจะต้องหย่า คุณต้องหย่าค่ะ! ทำไมคุณถึงจะไม่หย่าล่ะคะ”


 


 


น้ำตาของเธอไหลพรากจนเปียกเสื้อผ้า ทำเอาเขาเริ่มรู้สึกอึดอัด ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงยืนดูเธอสะอึกสะอื้นโดยไม่ผลักไสออกไป


 


 


เขาไม่ได้พูดอะไรอีกด้วยรู้นิสัยของเธอดี กู้จิ้งเจ๋อไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้ใจของเขากำลังวุ่นวายปั่นป่วนอย่างหนักจนต้องโพล่งคำพูดเหล่านั้นออกไป


 


 


ทว่าเมื่อได้เห็นโม่ฮุ่ยหลิงร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดแบบนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกเสียใจ เพราะสถานการณ์วุ่นวาย เขาเลยพูดออกไปโดยไม่ทันได้ยั้งคิด


 


 


ในชั่วขณะนั้นเองที่คำว่า ‘ไม่หย่า’ เริ่มอันตรธานหายไปจากความคิด


 


 


“เอาล่ะ หยุดร้องไห้เถอะ ฮุ่ยหลิง”


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเขาเริ่มอ่อนลง โม่ฮุ่ยหลิงก็รู้ได้ว่าเธอยังคงเป็นคนพิเศษสำหรับเขา หญิงสาวจึงค่อยๆ ถอนสะอื้นและหยุดร้องไห้ในที่สุด


 


 


เธอกับเขาชอบพอกันมาตั้งหลายปี ความรู้สึกนี้จะหมดไปเฉยๆ เพียงเพราะการปรากฏตัวของหลินเช่อได้อย่างไรกัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดว่า “เอาล่ะ เธอไปกินข้าวเถอะ ฉันต้องกลับแล้ว”


 


 


เธอฟังและยอมพยักหน้าแต่โดยดี “อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลชีซี [1] แล้ว ฉันอยากอยู่กับคุณในวันนั้นนะคะ”


 


 


“อีกไม่กี่วันจะถึงเทศกาลชีซีแล้วเหรอ”


 


 


“ใช่ค่ะ”


 


 


“แต่ว่าฮุ่ยหลิง ช่วงเทศกาลชีซีตระกูลกู้มักจะเดินทางไปพักผ่อนกันทุกปี ฉันคงอยู่กับเธอด้วยไม่ได้”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงคิดแล้วก็หัวเสีย ตระกูลกู้บ้านี่ก็…ทำเสียเรื่องซะจริงเชียว


 


 


“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นคุณต้องชดเชยให้ฉันคราวหน้านะคะ”


 


 


เมื่อชายหนุ่มกลับไปแล้ว เพื่อนๆ ของโม่ฮุ่ยหลิงก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาทีละคนสองคน


 


 


ทุกคนต่างตกตะลึงที่ได้เห็นผู้หญิงอีกคนยืนอยู่เคียงข้างกู้จิ้งเจ๋อ


 


 


หลังจากที่คอยตามกู้จิ้งเจ๋อชนิดเป็นเงาตามตัวมาหลายปี พวกเธอไม่คิดเลยว่าโม่ฮุ่ยหลิงจะยังฝ่าด่านเข้าสู่ตระกูลกู้ไม่ได้เช่นนี้ ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่โม่ฮุ่ยหลิงทุ่มเทลงไปจะกลายเป็นเรื่องสูญเปล่าไปเสียแล้วสิ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงหันมามองบรรดาเพื่อนสาวแล้วก็วีนใส่อย่างมีอารมณ์ “พวกเธอมองอะไรกันน่ะ แม่นั่นเป็นแค่ผู้หญิงแพศยาที่ทางครอบครัวเขาจัดหามาให้เท่านั้น เขายังรักฉัน รักฉันคนเดียวเท่านั้นด้วย ไม่ช้าก็เร็ว ฉันจะหาทางกำจัดนังมารนั่นเอง ฮึ นังนั่นมันก็แค่ของไร้ค่าน่ะ”


 


 


ชายหนุ่มเดินออกไปนอกร้านและเห็นหลินเช่อกำลังรออยู่ในรถด้วยความร้อนใจ


 


 


เมื่อเธอเห็นเขาก็รีบถามขึ้นทันทีว่า “คุณช่วยปลอบเธอให้สงบได้หรือยังคะ”


 


 


เขาก้าวเข้ามาในรถ “เขาเข้าใจผิดน่ะ เขาคิดว่าห้องนั้นเป็นของฉันกับเขาเท่านั้น ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้มีอะไรพิเศษถึงขนาดนั้นเลย ฉันเองก็พาครอบครัวมากินข้าวที่นี่อยู่บ่อยๆ”


 


 


หลินเช่อรีบพูดขึ้นว่า “คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายกับฉันหรอกค่ะ ฉันไม่สนใจหรอก แต่วิธีที่คุณพูดกับเธอน่ะคงทำให้เธอโกรธมากเลยทีเดียว เธอคิดว่ามันเห็นที่ของเธอ แต่คุณกลับบอกว่าไม่ใช่”


 


 


“ก็มันไม่ใช่นี่ แล้วจะให้ฉันพูดว่าอะไรล่ะ”


 


 


“…” หลินเช่อคิด อีตานี่ฉลาดเป็นกรดได้ทุกเรื่องแต่พอเป็นเรื่องแบบนี้กลับรู้น้อยไปเสียอย่างนั้น ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์เอาซะเลยนะ


 


 


สำหรับโม่ฮุ่ยหลิงที่คบหากับเขามาตลอดระยะเวลาหลายปีแบบนี้ ความอดทนของเธอจะต้องสูงมากๆ เลยทีเดียว


 


 


หลินเช่อพูดว่า “ช่างมันเถอะค่ะ เสียเวลาเปล่าๆ ที่จะต้องมาอธิบายเรื่องความสัมพันธ์กับคนซื่อบื้ออย่างคุณ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันที่เขาจะต้องรีบอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เธอฟังโดยเร็วแบบนี้


 


 


แต่เขาก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้ เขาร้อนใจอยากรีบบอกเธอให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นที่พิเศษของเขาและโม่ฮุ่ยหลิงเลยสักนิดเดียว


 


 


และแล้วผู้จัดการภัตตาคารก็เดินออกมาและพูดขึ้นว่า “คุณกู้ครับ ผมอยากจะขอพูดอะไรด้วยสักหน่อย”


 


 


“อะไรรึ”


 


 


“มีบิลค่าอาหารจำนวนมากของคุณผู้หญิงโม่ที่สั่งให้จ่ายภายใต้ชื่อของคุณครับ” ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้จัดการเชื่อมั่นหนักหนาว่าคุณผู้หญิงโม่คือว่าที่คุณนายกู้อย่างแน่นอน เขาจึงไม่เคยพูดอะไรขึ้นมา


 


 


แต่เมื่อได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อพาผู้หญิงคนอื่นมาที่นี่เช่นนี้ เขาเองก็ชักไม่แน่ใจและเกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ จึงต้องรีบนำบิลค่าอาหารทั้งหมดออกมาแสดงให้ชายหนุ่มได้รู้


 


 


 


 


——


 


 


[1] วันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ของประเทศจีน ตามตำนานแล้วหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าจะโคจรมาพบกันในวันนี้ 

 

 


ตอนที่ 103 โรคเก่าที่ต้องไปหาหมอ

 

กู้จิ้งเจ๋อนึกแปลกใจ เขารับบิลค่าอาหารทั้งหมดมาดูแล้วก็ต้องสะดุ้ง


 


 


ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนคิดมากเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วก็ไม่เคยใส่ใจจะมาคำนวณด้วยว่าโม่ฮุ่ยหลิงใช้เงินไปมากแค่ไหน


 


 


แต่กระนั้นบิลค่าอาหารนี้ก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง


 


 


หล่อนใช้เงินไปเกือบสิบล้านกับการมารับประทานอาหารที่นี่หลายต่อหลายครั้งโดยที่เขาไม่เคยล่วงรู้เลย


 


 


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น “คราวหน้าที่คุณโม่มาทานอาหารที่นี่อีก อย่าให้เธอลงบิลเป็นชื่อฉันอีกก็แล้วกัน”


 


 


ผู้จัดการรีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน “ได้ครับๆ คุณกู้ แล้วบิลค่าอาหารพวกนี้…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมองบิลก่อนจะตอบว่า “ในเมื่อมันเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ งั้นก็ให้เป็นแบบนั้นนั่นแหละ”


 


 


เขารู้สึกโกรธเล็กน้อย โม่ฮุ่ยหลิงใช้จ่ายเงินมากเกินไปแล้ว


 


 


ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเธอไม่เคยบอกเขาเลยสักนิดและแอบลงบิลพวกนี้เป็นชื่อเขาโดยที่เขาไม่รู้


 


 


เขาไม่ได้โกรธที่เธอใช้เงิน เพียงแต่รู้สึกว่าเธอเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย อาหารที่นี่ราคาสูงก็จริง แต่ราคาต่อมื้ออย่างมากที่สุดก็ราวหมื่นหยวนเท่านั้น ไม่ใช่เป็นแสนแบบที่โม่ฮุ่ยหลิงสั่งแบบนี้


 


 


ที่สำคัญเขาไม่ชอบการโดนทำอะไรลับหลัง


 


 


ชายหนุ่มครุ่นคิด นี่น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญให้เธอ คราวหน้าเธอจะได้ไม่ทำตัวไม่ซื่อสัตย์แบบนี้อีก


 


 


หลินเช่อถามขึ้น “มีอะไรเหรอคะ เธอใช้เงินไปเยอะเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มหน้านิ่ง เป็นการยอมรับอย่างเงียบๆ


 


 


หลินเช่อพยายามปลอบใจว่า “เธอเป็นจุดสนใจมาโดยตลอด…เธออาจจะเคยชินกับการใช้จ่ายมากๆ ก็ได้นะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันมามอง “ฮุ่ยหลิงน่ะเป็นคนหัวดื้อ”


 


 


“ใช่แล้วค่ะ คนรวยๆ อย่างพวกคุณน่ะไม่เหมือนคนจนๆ อย่างเราหรอก สำหรับพวกเราน่ะ เงินหมื่นหยวนก็มากมายมหาศาลแล้ว บางทีเงินก็อาจจะเป็นแค่ตัวเลขจำนวนหนึ่งสำหรับคนอย่างพวกคุณ เธอก็เลยใช้จ่ายโดยไม่สนใจไงละคะ”


 


 


เขาหันไปมองเธออย่างพูดอะไรไม่ออก แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า


 


 


ทว่าเมื่อลองนึกถึงจุดที่ว่าหลินเช่อเป็นคนหน้าเงิน แต่เธอก็มองว่าเงินแค่หมื่นเหรียญเป็นเงินจำนวนมากแล้ว เขาก็อดรู้สึกว่ามันน่ารักดีขึ้นมาไม่ได้


 


 


“ฉันรู้ แต่เธอก็ยังใช้เงินมากเกินไปอยู่ดี ไม่ว่าจะยังไงมันก็ไม่ถูกต้องที่เธอจะใช้จ่ายเงินของฉันมากมายขนาดนี้ ฉันไม่ได้สนใจหรอกว่าเธอใช้ไปเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเธอก็ควรจะบอกฉัน การที่เธอแอบทำลับหลังแบบนี้มันทำให้ฉัน…”


 


 


“บางทีเธออาจจะคิดว่ามันไม่สำคัญว่าจะบอกหรือไม่บอกก็ได้นะคะ เมื่อดูจากความสัมพันธ์ของพวกคุณแล้ว ของของเธอก็เป็นของของคุณ และของของคุณก็เป็นของของเธอ…” หลินเช่อไม่รู้สึกตัวเลยว่าน้ำเสียงของเธอเริ่มมีความหมั่นไส้ชิงชังขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหน้าตึง “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง ของฉันต่างหากที่เป็นของเธอ เพราะงั้น…ถ้าเป็นเธอใช้ก็ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


หัวใจหลินเช่อกระตุกเล็กน้อย เธอมองหน้าเขา “แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละค่ะ หลังจากเราหย่ากัน ฉันก็ทำแบบนั้นไม่ได้แล้วละ เพราะงั้นฉันควรจะรีบใช้เงินของคุณให้มากกว่านี้ในตอนที่ยังมีโอกาสจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะมีผู้หญิงคนอื่นมาใช้ซะหมดแทน”


 


 


“ก็ได้…งั้นกลับไปแล้วฉันจะยกเงินทั้งหมดให้เธอจัดการ ต่อไปในอนาคต เธอจะต้องเป็นคนดูแลเรื่องการเงินในบ้าน ตกลงมั้ย”


 


 


“จริงเหรอคะ เยี่ยมเลย คุณไม่กลัวเหรอคะว่าฉันจะเอาไปใช้จนหมดน่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอ หลินเช่อเอียงคออย่างน่าเอ็นดู


 


 


เขาตอบว่า “เงินมันมากทีเดียวนะ ถ้าจะใช้หมดก็คงต้องเก่งมากทีเดียวละ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นและส่งสัญญาณบอกคนขับรถให้ออกรถได้


 


 


แต่แล้วชายหนุ่มก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ปกติบนฝ่ามือของตัวเอง


 


 


หลินเช่อเองก็สังเกตเห็นว่าเขาเริ่มเกามันแรงขึ้นทุกทีและดูเหมือนว่าจะมีอาการเจ็บเสียด้วย เธอพยายามมองดู


 


 


เขาสูดหายใจ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต แล้วก็ได้เห็นผื่นแดงที่กำลังขึ้นกระจายไปทั่วใบหน้าด้วย


 


 


โรคเก่าของเขากำลังกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่โม่ฮุ่ยหลิงเข้ามากอดนั้น น้ำตาของเธอหยดเลอะเสื้อที่เขาสวม คงจะเป็นเพราะเหตุนั้นนั่นเอง


 


 


“ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกันคะ” หลินเช่อตกใจเมื่อมองเห็นจุดแดงๆ ขึ้นเป็นพืดไปทั่วหน้า มันดูแย่มากจริงๆ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกคนขับรถ “เปลี่ยนแผน ตรงไปที่บ้านหมอเฉินอวี่เฉิง”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเช่อได้เห็นอาการของเขากำเริบขึ้นมาแบบนี้ เธอกลัวมากเสียจนหน้าตาพลอยแดงก่ำไปหมด


 


 


“นี่คืออะไรกันคะ มันเจ็บหรือเปล่า ปวดมากมั้ย ไม่สบายมากหรือเปล่าคะ”


 


 


เขาส่ายหัวแล้วยกมือปิดหน้า ก่อนจะพูดว่า “อย่าดูอีกเลย มันน่าเกลียดน่ะ”


 


 


หญิงสาวรีบบอกทันที “ก็ได้ค่ะ แล้วคุณจะยกมือปิดมันทำไมล่ะคะ เปิดให้โดนอากาศน่าจะดีกว่า อย่าปิดอีกเลยค่ะ จะน่าเกลียดแล้วยังไงล่ะคะ ก็มันเป็นผื่นนี่นา จะให้ดูดีน่ามองได้ยังไงกัน”


 


 


ถึงจะเป็นคำพูดทื่อๆ แต่ก็เกือบทำให้เขาหัวเราะออกมาได้


 


 


แล้วพวกเขาก็มาถึงบ้านหมอเฉินอวี่เฉิง เมื่อก้าวเข้าไปก็เห็นว่านายแพทย์กำลังรออยู่แล้ว เขาได้รับแจ้งก่อนหน้านี้ว่ากู้จิ้งเจ๋ออาการกำเริบและกำลังเดินทางมาที่นี่ เขาตรวจดูอาการและมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อเงียบๆ ก่อนหันไปมองหลินเช่อ “นี่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคุณผู้หญิงใช่มั้ยครับ”


 


 


หลินเช่อรีบตอบโดยเร็ว “ไม่ใช่ค่ะ กับฉันมันไม่เคยเป็นแบบนี้เลย…”


 


 


เฉินอวี่เฉิงยิ้ม “ก่อนหน้านั้น…คุณโดนสัมผัสบริเวณหน้าอกใช่มั้ยครับ”


 


 


“…” ไอ้หมอนี่ชักจะพูดมากไปหน่อยแล้ว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถลึงตามองเขา


 


 


เฉินอวี่เฉิงยังถามต่อไป “ใครเป็นคนที่สัมผัสโดนบริเวณนี้ครับ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังทำตาเขียวใส่ เป็นการเตือนว่าอย่าพูดอะไรที่เป็นการสร้างปัญหา


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของอีกฝ่าย นายแพทย์จึงเป็นอ้อว่าตัวเองเผลอพูดสิ่งไม่เข้าท่าออกไป


 


 


เนื่องจากเป็นเวลาดึกมากแล้ว


 


 


หลินเช่อจึงตอบด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้แทนขึ้นว่า “ไม่ต้องถามหรอกค่ะ เราเพิ่งพบคุณหนูโม่มาน่ะ”


 


 


เฉินอวี่เฉิงยิ้มกว้าง มองกู้จิ้งเจ๋อด้วยสายตารู้ทัน


 


 


แต่ฝ่ายชายหนุ่มกลับรีบละล่ำละลักอธิบายทันทีว่า “อยู่ๆ เธอก็โผเข้ามาหาฉันแล้วก็เอาแต่ร้องไห้ จะให้ฉันผลักเธอออกไปก็ยังไงอยู่”


 


 


เขาพยายามจะบอกว่าเขาไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งกับโม่ฮุ่ยหลิง และไม่ต้องการให้เจ้าหมอปากสว่างนี่พูดอะไรที่จะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่


 


 


เฉินอวี่เฉิงยิ้มแล้วมองสองหนุ่มสาวสลับกันไปมา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกินยา แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มเป็นไข้


 


 


หลินเช่อทำได้เพียงเฝ้าดู เมื่อเห็นเขามีสีหน้าไม่ดีนัก เธอก็เดินเข้ามาหา “เกิดอะไรขึ้นคะ มันรู้สึกแย่มากเลยเหรอ”


 


 


เขาเงยหน้ามองเธอ แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็พยักหน้ารับเงียบๆ


 


 


เมื่อได้เห็นเขาเป็นแบบนี้ หัวใจเธอก็อดเจ็บแปลบขึ้นมาไม่ได้


 


 


เธอเดินเข้าไปหาเขา “ทำไมคุณถึงเป็นไข้หลังกินยาเข้าไปแบบนี้ละคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “มันเป็นผลข้างเคียงจากยาที่ทำให้มีไข้น่ะ เพราะแบบนั้นฉันถึงไม่ค่อยกินยา”


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขา “แล้วทำไมเวลาที่คุณหนูโม่โดนตัวคุณมันจะต้องกลายเป็นแบบนี้ด้วยละคะ”


 


 


เขาตอบ “จากผลการค้นคว้าของเฉินอวี่เฉิงพบว่ามันเกี่ยวข้องกับเอนไซม์ที่สร้างขึ้นในร่างกาย ทุกคนจะมีกรุ๊ปเลือดและฮอร์โมนของตัวเอง กรุ๊ปเลือดและฮอร์โมนนี้จะส่งผลต่อการผลิตเอนไซม์ในร่างกาย เพราะฉะนั้นเวลาที่มีใครมาแตะตัวฉัน อาการก็จะกำเริบแบบนี้”


 


 


“อา แล้วทำไมเวลาฉันโดนตัวคุณมันถึงไม่เป็นอะไรละคะ”


 


 


เขาหรี่ตามองเธอ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน คงเป็นโชคชะตาละมั้ง”


 


 


เขาอธิบายต่อไปว่า “แต่เราเองก็ยังไม่เคยใกล้ชิดกันมากๆ เหมือนกัน ใครจะรู้ล่ะ อาการอาจจะกำเริบขึ้นมาตอนไหนก็ได้”


 


 


“เรายังไม่เคยใกล้ชิดกันมากๆ เหรอ” หลินเช่อหน้าแดงเมื่อนึกถึงตลอดช่วงเวลาที่เขาสัมผัสเธอ


 


 


แถมเมื่อตอนที่พบกันครั้งแรกในโรงแรม เธอและเขาก็สัมผัสกันไปถึงไหนต่อไหนแทบทุกซอกมุมเสียด้วยซ้ำ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกว่า “ครั้งแรกของเราน่ะมันเป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันคาดคิด ฉันก็เลยไม่ได้ใส่ใจว่าเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายหรือเปล่า”


 


 


ขณะที่พูดเขาก็ขยับเข้ามาใกล้เธอ สายตาคู่นั้นกวาดมองขึ้นลงไปทั่วตัวเธอราวประหนึ่งแสงโคม ราวกับว่าเขาพยายามจะมองเข้ามาให้ถึงจุดที่ลึกที่สุดในร่างกายเธออย่างไรอย่างนั้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม