จำนนรักชายาตัวร้าย 96.1-97.3
ตอนที่ 96-1 ฉิงเทียนแสดงอำนาจ สังหารค...
“อวี้หลัวช่าตายได้ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องจับกลับมาเป็นๆ ”
เมื่อคิดถึงซย่าโหวฉิงเทียน ในใจตี้อู่หงเยี่ยก็เกิดความสับสนอลหม่าน
ชายผู้นี้โหดเ**้ยมจริงๆ!
ทำเช่นนี้กับนางได้
หรือเขาตาบอด มองไม่เห็นความงามของนางหรืออย่างไรกัน
อย่างน้อยนางก็ดีกว่าสาวน้อยที่เอาแต่เขินอายข้างกายเขาละน่า นางต่างหากที่ทั้งทรงเสน่ห์และมีอำนาจที่สุด!
ความสวยในสายตาเขาแปลกประหลาดไม่น้อย!
คงเพราะเขาไม่เคยเจอหญิงสาวคนอื่น ไม่เคยลองลิ้มชิมรสหญิงสาว ดังนั้นถึงได้รู้สึกแปลกใหม่
ตี้อู่หงเยี่ยปลอบใจตัวเอง
เผ่าตานเป็นชนเผ่าที่วิเศษยิ่งนัก
ผู้ชายในชนเผ่าหน้าตาธรรมดา ทว่าหญิงสาวกลับหน้าตางดงามเลื่องลือ นี่กเหตุผลว่าเพราะเหตุใด ชนเผ่าอื่นๆ ถึงได้อยากแต่งงานกับหญิงสาวชนเผ่าตานนัก
ที่น่าแปลกกว่าคือ หญิงสาวเผ่าตานที่สูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมีกลิ่นหอมพิเศษกำจายออกมาไปชั่วชีวิต ซึ่งกลิ่นหอมของหญิงแต่ละคนแตกต่างกัน และต่อให้เป็นกลิ่นดอกไม้ชนิดเดียวกัน ก็จะมีระดับความเข้มหรือเบาบางของกลิ่นที่ต่างกันชัดเจน
เพราะเหตุนี้ หญิงสาวเผ่าตานจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘หญิงหอม’
กลิ่นหอมดอกขจรที่เข้มข้นรัญจวนจากร่างตี้อู่หงเยี่ยคือเสน่ห์ที่น่าดึงดูดที่สุด ทำให้นางมั่นอกมั่นใจหนักหนาว่าไม่มีชายใดจะต้านทานความหอมนี้ได้
นึกไม่ถึงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะเป็นพวกหัวแข็งเคี้ยวยากเช่นนี้
เขาแทบไม่สนใจความรักหนุ่มสาวเลยก็ว่าได้ ทั้งยังทำลายเกียรติที่นางภูมิใจหนักหนา ด้วยการทำลายส่วนที่น่าภูมิใจที่สุดของสตรี
น่าแค้นใจที่สุด!
ถึงแม้ว่าในใจนางจะด่าทอเขาอย่างหนักหน่วง แต่ในแววตาตี้อู่หงเยี่ยก็ยังปรากฏเงาซย่าโหวฉิงเทียนที่วูบไหวอยู่
หากนางเดาไม่ผิดละก็ เขายังเป็นหนุ่มบริสุทธิ์อยู่!
ในยุคนี้ ชายที่ร่างกายบริสุทธิ์นับเป็นสิ่งมีค่าที่หายากยิ่งนัก! นับประสาอะไรกับชายบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยพลังหยางเช่นเขา นับเป็นของบำรุงล้ำค่าให้กับร่างกายยิ่งนัก
ดังนั้น นางจะต้องครอบครองซย่าโหวฉิงเทียนให้จงได้!
ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะจัดการยาก แต่ตี้อู่หงเยี่ยก็มีวิธีการของนาง
นางพกพาเครื่องหอมนานาชนิดมาด้วย เครื่องหอมนี้แม้ใช้เพียงเล็กน้อยเท่าขนาดข้าวสาร ก็จะทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นหมาป่าร้าย รอให้นางจับซย่าโหวฉิงเทียนมาได้ก่อนเถอะ นางมีวิธีการมากมายที่จะทำให้เขามาสยบอยู่แทบเท้านาง
นานทีปีหนนางจะออกมาข้างนอกสักครั้ง จะไม่หาความสุขเลยได้อย่างไรกันเล่า!
ขยะที่ไร้ค่าที่บ้านนางนั้น ไม่นับเป็นชายด้วยซ้ำไป
ในตอนนั้นหากมิใช่เห็นแก่อิทธิพลของตระกูลหนานกง นางจะยอมแต่งงานกับเจ้าขยะนั่นได้อย่างไร! นางไหนเลยจะยอมมอบความสุขทั้งชีวิตให้กับเขา!
เรื่องซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน ตี้อู่หงเยี่ยและอู่เม่ยได้ข้อสรุปที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย นั่นก็คือ ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นของตี้อู่หงเยี่ย ส่วนอวี้เฟยเยียนเป็นของอู่เม่ย
คนหนึ่งต้องการพลังหยางมาบำรุงร่างกาย อีกคนต้องการตุ๊กตาหนังมนุษย์
แต่ทว่า ภารกิจที่ทั้งสองต้องรีบทำในตอนนี้นั่นก็คือตามหาที่พำนักคนทั้งสองให้เจอเสียก่อน
ก่อนหน้านี้อู่เม่ยเคยสะกดรอยตามรถม้าของพวกเขา แต่สุดท้ายก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนสลัดทิ้งอย่างง่ายดาย
ดังนั้น ไม่ว่าจะคิดไว้สวยงามอย่างไร หากหาที่พำนักพวกเขาไม่พบ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่ากับว่างเปล่า
อวี้เฟยเยียนลงมือต้มโจ๊กบำรุงร่างกายด้วยตัวเอง แล้วป้อนให้กับเชียนเยี่ยเสวี่ยทีละคำคำ นางใส่ยาบำรุงร่างกายลงในโจ๊กมากมาย ครั้งนี้ลมปราณเชียนเยี่ยเสวี่ยได้รับบาดเจ็บหนักจึงต้องบำรุงให้ดี
“ช่าช่า รสมือเจ้ายอดเยี่ยมปานนี้ เป็นบุญของหมอนั่นยิ่งนัก!”
เมื่อเชียนเยี่ยเสวี่ยได้รับรู้เรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจากปากของอวี้เฟยเยียน นางก็มีสีหน้าเสียดายอย่างที่สุด
“ข้าน่าจะเป็นผู้ชาย!”
“ฝันไปเถอะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมาลอยๆ และกล่าวต่ออีกว่า
“หากเจ้าเป็นผู้ชายละก็ คงจะตายนานแล้ว…”
คำพูดเขาทำให้ผู้ที่ได้ยินโมโหในทันที
ทว่าสิ่งที่เขาพูดกลับเป็นเรื่องจริงเสียนี่ หากเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นผู้ชาย แล้วมาแย่งชิงอวี้เฟยเยียนกับเขาละก็ ซย่าโหวฉิงเทียนก็คงจะเชือดเขาไปตั้งนานแล้ว
“จะว่าไปก็ต้องขอบพระทัยเสด็จแม่ของข้า ที่ให้ข้าเกิดเป็นหญิง มิเช่นนั้นป่านนี้ข้าคงไปพบยมบาลแล้วกระมัง”
“นั่นสิ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
ถึงแม้ตานางจะมองไม่เห็น แต่เชียนเยี่ยเสวี่ยก็จับทิศทางที่มาของเสียงได้
เจ้าหมอนี่ น่ารังเกียจแม้กระทั่งคำพูดคำจา!
ด้วยเรื่องเชียนเยี่ยเสวี่ยทำให้ทุกคนยุ่งเหยิงอยู่นาน และเพื่อเป็นแสดงความขอบคุณและซาบซึ้งในบุญคุณตี้อู่เฮ่ออีและหนานกงจื่อหลิง อวี้เฟยเยียนลงครัวทำอาหารด้วยตัวเอง เพื่อฉลองที่ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้า
ถึงแม้เชียนเยี่ยเสวี่ยจะยังกินเนื้อปลาไม่ได้ ดื่มสุราก็ดื่มไม่ได้ แต่ได้ฟังจากเสียงชื่นชมจากหนานกงจื่อ หลิงรวมทั้งเสียงร้องมีความสุขของตี้อู่เฮ่ออีแล้ว นางก็พอจะเดาออกได้ว่ารสมืออวี้เฟยเยียนยอดเยี่ยมสักเพียงไหน ในใจนางยิ่งรู้สึกว่าซย่าโหวฉิงเทียนช่างมีวาสนายิ่งนัก
ขณะที่กินข้าวกัน ซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่นิ่งเงียบ สายตาก็คอยลอบมองหนานกงจื่อหลิงโดยตลอด เขาไม่เคยลืมเลือน เหตุการณ์ร้ายที่ตนเองต้องเผชิญในอดีต
หากกล่าวถึงความอบอุ่นหนึ่งเดียวจากตระกูลหนานกงละก็ ความอบอุ่นนั้นก็มาจากน้องสาวต่างบิดานี่เอง
ถึงแม้มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลหนานกง แต่น้องสาวคนเล็กคนนี้ตั้งแต่เล็กจนโตก็น่ารักสดใสบริสุทธิ์นางไม่เคยหลีกหนีหรือหลบหลีกเขา เพียงเพราะเขาเติบโตมาผิดแผกจากผู้อื่นเลยสักครั้ง ตรงกันข้ามเขาและน้องสาวสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก และนี่คือเหตุผลที่ซย่าโหวฉิงเทียนต้องเดินทางไปที่ตระกูลหนานกงในเทศกาลปีใหม่ของทุกปี
แรกเริ่มเดิมที เขาไปเพื่อตามหามารดา ร้องขอความรักจากมารดา ตามหาความรักของแม่ที่มีต่อลูกเช่นเขา
แต่ท่าทีของซย่าจื่ออวี้ที่เย็นชาขึ้นในทุกครั้ง
คำพูดเหล่านั้นของนาง ทำร้ายศักดิ์ศรีและหัวใจซย่าโหวฉิงเทียน
ในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนเจ็บปวดท้อแท้ใจอย่างที่สุด ต้องการจะยอมแพ้ราบคาบนั้น บังเอิญได้ช่วยเหลือหนานกงจื่อหลิงที่ตกน้ำเอาไว้
ในตอนนั้น ตุ๊กตาน้อยที่ร่างเปียกโชกจับชายเสื้อเขาเอาไว้แน่นและเอ่ยปากขอร้อง
“พี่ใหญ่ ท่านมาเยี่ยมหลิงเอ๋อร์ทุกปีได้ไหม ในใจท่านพ่อและท่านแม่มีแต่พี่รอง หลิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ตัวคนเดียว หลิงเอ๋อร์กลัว!”
วินาทีนั้น ความรู้สึกที่เรียกว่าญาติสนิทบังเกิดขึ้นในใจเขา และมันกำลังถูกหลอมละลายโดยเด็กหญิงตัวน้อยที่แสนบอบบางคนนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้รับปาก
นับตั้งแต่นั้น ทุกปีซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องไปที่บ้านตระกูลหนานกงแล้วพักอยู่สองสามวัน ไม่ใช่เพื่อ ซย่าจื่ออวี้ แต่เป็นการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับหนานกงจื่อหลิงต่างหาก
ซึ่งหนานกงจื่อหลิงเข้ามาเติมเต็มความปรารถนาที่เรียกว่าพี่น้องในใจซย่าโหวฉิงเทียน
นางมักจะเก็บสิ่งดีๆ เอาไว้แบ่งปันร่วมกันกับซย่าโหวฉิงเทียนเสมอ
ถึงแม้ว่าหนานกงจื่อหลิงกับหนานกงเช่อต่างหากที่เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ความสัมพันธ์ของนางกับพี่ใหญ่กลับดียิ่งกว่า
ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็รักน้องสาวคนเดียวนี้ยิ่งนัก
แต่ทว่า คนพวกนั้นกลับยืมมือนางมาทำร้ายเขา นี่เป็นสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนคาดไม่ถึง
คงเป็นเพราะเขาที่อยากจะได้รับความรักจากพี่น้องเฉกเช่นคนทั่วไปมากเกินไป ดังนั้นหนานกงจื่อหลิงจึงกลายเป็นจุดอ่อนให้คนอื่นได้หลอกใช้
ถึงแม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะผ่านไปแล้ว และเขาได้รับการช่วยเหลือจากอวี้เฟยเยียนจนฟื้นคืนกลับเป็นปกติ และซย่าโหวฉิงเทียนเองก็รู้ดีว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหนานกงจื่อหลิงเลยแม้แต่น้อย ทว่า ซย่าโหวฉิงเทียนและตระกูลหนานกงได้สร้างความแค้นต่อกัน เขากับซย่าจื่ออวี้ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กันเด็ดขาดแล้ว
ทั้งสองฝ่ายจะต้องตายกันไปข้างหนึ่งมิเช่นนั้นคงมิเลิกรา นี่เป็นจุดจบกรรมที่พวกเขาร่วมสร้างกันมา จะโทษที่เขาน้ำมือเ**้ยมโหดมิได้!
สิ่งเดียวที่ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนมิอาจวางใจได้นั่นก็คือ หนานกงจื่อหลิง
นางเป็นผู้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างพ่อแม่พี่น้องของนางและซย่าโหวฉิงเทียน สถานการณ์นางมิเพียงอึดอัดทั้งยังลำบากใจมากอีกด้วย
เพราะไม่ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายย่อยยับ นางก็เจ็บปวดเสียใจทั้งสิ้น
ควรจะทำอย่างไรดี ถึงจะป้องกันมิให้น้องสาวของเขาต้องได้รับความเจ็บปวดนั้น
ตอนที่ 96-2 ฉิงเทียนแสดงอำนาจ สังหารค...
เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่จ้องมองหนานกงจื่อหลิงตาไม่กะพริบ อวี้เฟยเยียนจึงคีบเนื้อใส่ในชามข้าวของเขา กล่าวว่า
“กินเยอะๆ นะ!”
ถึงแม้ว่าใบหน้านางจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงนางก็นุ่มนวล แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็รับรู้ได้ถึงไอเย็นที่เจืออยู่ในน้ำเสียงที่นุ่มนวลนั้น
จริงดั่งที่คาดเอาไว้ หลังจากที่กินข้าวเสร็จ อวี้เฟยเยียนก็หายเข้าไปในห้องเชียนเยี่ยเสวี่ยโดยไม่ยอมโผล่หน้าออกมาพบซย่าโหวฉิงเทียนอีกเลย
“แมวน้อย แมวน้อย—”
ซย่าฉิงเทียนเคาะประตู ปากก็ร้องเรียกชื่ออวี้เฟยเยียนเบาๆ
ใครจะคาดคิด อวี้เฟยเยียนตอบกลับมาเพียงประโยคเดียวเป็นการไล่ซย่าฉิงเทียนทางอ้อมว่า
“ข้ากับเสวี่ยไม่ได้เจอกันนาน ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนนาง”
เล่นเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับเดาท่าทีของอวี้เฟยเยียนไม่ถูก หลังจากที่พวกเขาตกลงเรื่องความสัมพันธ์กันแล้ว ก็รักใคร่กันเป็นอย่างดี ไม่เคยเกิดเรื่องแบบวันนี้มาก่อน
หรือเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาลงมือเบาเกินไป มิได้จัดการกับตี้อู่หงเยี่ยขั้นเด็ดขาด
ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นประเภทเน้นปฏิบัติเสียด้วย
หลังจากที่รู้สาเหตุที่อวี้เฟยเยียนโกรธเคืองแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงผลุนผลันออกจากเรือนไปทันที
เมื่อกลางวันที่บนถนน รอบกายพวกเขารายล้อมไปด้วยทหารและชาวบ้านตาดำๆ เขาไม่อยากทำร้ายคนบริสุทธิ์ ตอนที่ออกมา เขาตั้งใจป้ายกลิ่นบางอย่างเอาไว้ที่ตัวตี้อู่หงเยี่ย เพื่อที่จะติดตามที่อยู่ของพวกเขาได้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะไปเก็บกวาดพวกมันได้แล้ว
เนื่องด้วยตี้อู่หงเยี่ยบาดเจ็บสาหัส นางจึงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง ฉะนั้นหน้าที่ตามหาที่อยู่ของพวกซย่าโหวฉิงเทียนจึงตกเป็นของอู่เม่ย
อู่เม่ยเพิ่งจะเดินออกจากประตูกำลังจะเดินเข้าเรือน พลันก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
“ใคร”
มืออู่เม่ยกุมดาบที่คาดอยู่บริเวณเอวแน่น ใจเต้นตึกตัก ในตอนนั้นเอง ร่างของชายนัยน์ตาสีม่วงผมสีเงินเดินออกมาจากมุมมืด
เพียงแค่เห็นว่าเป็นซย่าโหวฉิงเทียน อู่เม่ยก็แสยะยิ้มน่าเกลียดออกมา
“ย่ำจนรองเท้าจนเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่ต้องเปลืองแรงเลย! เจ้าปีศาจน้อย ที่แท้แล้วเจ้าก็มุดหัวอยู่ที่ฉินจื้อนี่เอง! ดีจริงๆ!”
อู่เม่ยชักดาบออกมาชี้ไปทางซย่าโหวฉิงเทียน
“นายท่านมีคำสั่ง ขอเพียงแต่เจ้าวางอาวุธยินยอมให้จับโดยดีแล้วกลับไปที่ตระกูลหนานกงกับข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ตอนนั้นเองซย่าโหวฉิงเทียนจึงเข้าใจเหตุผลที่ตี้อู่หงเยี่ยมายังแผ่นดินหลัวอวี่ในทันที
“หนานกงเอ๋าหาข้าเพื่ออะไรกัน”
“คงจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่!”
“ถ้าไม่ละ”
ซย่าโหวฉิงเทียนย่างสามขุนเข้าไปหาอู่เม่ยช้าๆ ปิ่นปักผมสีเงินของเขาสะท้อนแสงจนเกิดเป็นแสงสว่างวาบ ราวกับแสงระยิบระยับบนทางช้างเผือกสาดส่องลงมาบนบ่าของเขาก็ไม่ปาน
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย เช่นนั้นข้าจะส่งเสริมเจ้า!”
กล่าวจบอู่เม่ยก็พุ่งตัวเข้าหาซย่าโหวฉิงเทียนทันที
เขาดูถูกเจ้าปีศาจที่รูปร่างหน้าตาผิดแผกไปจากมนุษย์ทั่วไปตรงหน้าเป็นอย่างมาก!
ก้อนเนื้อที่เกิดจากบิดาอัปมงคล นายท่านต้องการหัวใจเจ้า ยกยอมันมากไปหน่อยแล้วกระมัง!
หลายปีก่อน เมื่อครั้งที่ซย่าโหวฉิงเทียนอาศัยอยู่ในจวนหนานกงก็ถูกกลั่นแกล้งไม่น้อย
หนานกงเอ๋าถือเป็นคนที่ละโมบในชื่อเสียงลาภยศเป็นอันมากคนหนึ่ง
ทำให้ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนมิใช่ลูกแท้ๆ ของเขา จะชั่วดีอย่างไรก็มีสัมพันธ์ทางสายเลือดกับซย่าจื่อ อวี้ ดังนั้นเขาจึงมิอาจทรมานซย่าโหวฉิงเทียนอย่างออกหน้าออกตาได้ ทำได้เพียงให้ลูกน้องไปหาเรื่องหาราวเขาเท่านั้น
แต่ทุกปีซย่าโหวฉิงเทียนกลับมาพักอยู่ที่บ้านตระกูลหนานกงเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
เหตุเพราะหนานกงจื่อหลิง เขาจึงหลีกเลี่ยงความวุ่นวายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดังนั้นพวกที่จ้องมาหาเรื่องก็มักจะต้องมือเปล่ากลับไป โดยมิได้ชักดาบหยิบมีดขึ้นห้ำหั่นต่อสู้กับซย่าโหวฉิงเทียนจริงๆ สักที จึงไม่รู้พลังที่แท้จริงของเขาด้วย
ในสายตาทุกคน คนที่เติบโตอยู่ในสถานที่ที่คนชั้นต่ำดำรงชีวิตอยู่นั้นไม่มีวันได้ดีไปได้!
นอกเสียจากความสามารถในการหลบหนีที่ดีเยี่ยม นอกนั้นก็เหลวไหลทั้งเพ!
อู่เม่ย ก็มีความคิดอย่างนั้นเช่นกัน
เขาดูถูกซย่าโหวฉิงเทียน ในใจของเขายิ่งดูถูกเจ้าปีศาจนี่ด้วย
หากมิใช่ก่อนหน้านี้หนานกงเอ๋าต้องการจับเป็น เพราะมีเพียงหัวใจทั้งเป็นของซย่าโหวฉิงเทียนเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์ต่อหนานกงเช่อ อู่เม่ยคงจะฆ่าซย่าโหวฉิงเทียนไปแล้ว
แต่ทว่า อู่เม่ยจองหองได้ไม่นานก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนโจมตีจนเละ
อู่เม่ยตวัดดาบมุ่งไปที่บ่าซย่าโหวฉิงเทียน วินาทีที่ดาบห่างจากบ่าซย่าโหวฉิงเทียนราวนิ้วหนึ่งนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือออกมาใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบดาบเอาไว้
“เคร้ง…”
อู่เม่ยมองดูดาบของตนที่ถูกซย่าโหวฉิงเทียนใช้เพียงสองนิ้วหักมันเป็นสองท่อน
เป็นไปไม่ได้!
ดาบเขาตีจากช่างทำดาบมือดี ถึงแม้จะไม่ถึงกับเป็นยอดฝีมือตีดาบแต่ก็นับว่ามีคุณภาพสูง
มาตอนนี้ อาวุธที่อู่เม่ยภาคภูมิใจหนักหนาถูกซย่าโหวฉิงเทียนทำลายลงอย่างง่ายดาย ลบภาพลักษณ์ของปีศาจอ่อนแอในหัวของอู่เม่ยจนสิ้น
“หนานกงเอ๋าต้องการพบข้าทำไม”
ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนยังคงสูงส่งรูปงามเช่นเดิม เขาถามพร้อมกับจ้องมองอู่เม่ยด้วยสายตาเย็นชา
สายตาเขาราวกับมีดแหลมก็ไม่ปาน ทิ่มแทงอู่เม่ยจนตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
หรือเขาคือปีศาจจริงๆ
“พูดมา!”
“ข้าไม่มีวันบอกเจ้า!”
ถึงแม้ว่าในใจอู่เม่ยจะหวาดกลัวตื่นตระหนกอย่างที่สุด แต่ไม่นานเขาก็สงบใจลงได้
ปีศาจน้อยทำลายอาวุธเขาได้อย่างง่ายดาย วรยุทธ์ของมันจะต้องอยู่เหนือกว่าขั้นราชันอาวุโสขึ้นไป หากอยู่ที่เมืองอู๋โยว วันนี้เขาคงไม่อาจรอดพ้นจากความตายไปได้เสียแล้ว
แต่ที่นี่คือแผ่นดินหลัวอวี่ แผ่นดินที่มีกฎแห่งฟ้าดินจำกัดเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าปีศาจน้อยที่จะสำเร็จถึงขั้นไหน พลังวิเศษของเขาก็จะถูกจำกัดถึงเพียงแค่ขั้นปรมาจารย์ ซึ่งกฎข้อนี้พวกเขาทั้งสองล้วนต้องปฏิบัติตาม
ด้วยเหตุนี้ คนทั้งสองต่างก็เป็นปรมาจารย์เช่นเดียวกัน
ปรมาจารย์ปะทะปรมาจารย์ ใครแพ้ใครชนะยังไม่แน่เลย!
“เจ้าปีศาจน้อย ไปตายเสียเถอะ!”
อู่เมยกำมือทั้งสองข้างให้เป็นหมัด แล้วออกอาวุธหมัดโดยพุ่งเป้าไปที่หน้าอกของซย่าโหวฉิงเทียน
ถึงแม้ว่านายท่านจะมีบัญชา จะต้องใช้หัวใจซย่าโหวฉิงเทียนเป็นๆ แต่อีกฝ่ายบังคับขู่เข็ญกันถึงเพียงนี้ อู่เม่ยจึงมิอาจคิดมากได้อีก
“ไม่รู้จักเจียมตัว!”
ซย่าโหวฉิงเทียนแบมือทั้งสองข้างออก ราวกับปากใหญ่ของพญาเสือที่อ้ารอเตรียมตะครุบเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น มันจับหมัดทั้งสองข้างของอู่เม่ยเอาไว้แน่น จากนั้นก็เกิดเสียง ‘กร๊อบ’ ขึ้น เสียงนั้นราวกับเสียงเครื่องบดเนื้อก็ไม่ปาน บดตั้งแต่ข้อมือลงไปของอู่เม่ยจนแหลกเหลวทั้งหมด
“อ๊าก…”
มือทั้งสองข้างที่เคยดีแปรสภาพเป็นเฉกเช่นท่อนไม้กุดที่โชกไปด้วยเลือด ทำอู่เม่ยถอยร่นไปด้านหลัง ดวงตาทั้งสองข้างฉาบเอาไว้ด้วยความกลัว
นี่กฎแห่งฟ้าดินไม่มีผลอะไรกับปีศาจน้อยนี่เลยหรือ
วิชามารที่โหดเ**้ยมเช่นนี้หาใช่วิชาที่ปรมาจารย์พึงมีไม่!
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง หนานกงเอ๋าคิดจะทำเรื่องชั่วช้าอะไรกันแน่”
ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนถาม เท้าขวาเขาไม่ได้อยู่กับที่ มันก้าวขึ้นมาเหยียบที่หน้าขาของอู่เม่ยเอาไว้
‘กร๊อบ’ เสียงนั้นดังขึ้น
ขาข้างนั้นรวมทั้งหัวเข่าถูกหักกระดูกแล้วแตะจนลอยละลิ่วกระเด็นออกไปไกล อู่เม่ยร่างโชกเลือดอยู่ที่พื้น ร่างเขาสั่นระริก
“อย่าฆ่าข้า! ขอจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วย อย่าฆ่าข้า!”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่มีความอดทนพอที่จะมาฟังเสียงร้องของอู่เม่ย เขาวาดฝ่ามือไปกุมหัวอู่เม่ยเอาไว้
ลำแสงสีม่วงครอบหัวทั้งหัวของอู่เม่ย เพียงไม่นาน อู่เม่ยก็ร่างอ่อนปวกเปียกร่วงลงบนพื้น
ตุ๊กตาหนังมนุษย์
เมื่อเห็นความทรงจำเหล่านั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็เพิ่มแรงมากยิ่งขึ้น
สุนัขบังอาจ!
จิตใจโสมมสกปรกเลวทราม มันกล้ามีความคิดที่จะเอาแมวน้อยไปทำเป็นตุ๊กตาหนังมนุษย์ของมัน!
โดยเฉพาะเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรู้ถึงการกระทำอันชั่วช้าสามานย์ของอู่เม่ยที่กระทำต่อผู้คน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งคั่งแค้นโกรธเคืองมากยิ่งขึ้น คนวิปลาสเช่นนี้ริอ่านเอื้อมมาแตะแมวน้อยที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา สมควรตายหมื่นครั้ง!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตายเสียเถอะ!”
สายฟ้าสีม่วงฟาดลงมา พลันก็มีกลิ่นเหม็นไหม้เนื้อมนุษย์ลอยขึ้นสู่อากาศแต่ไร้ควัน ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งนัก
ส่วนตี้อู่หงเยี่ยที่รักษาตัวอยู่ในห้องและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ทำเอานางตกใจจนแทบตัวหดเหลือครึ่งนิ้ว
“ปีศาจน้อยเก่งกาจถึงเพียงนี้”
หากมิใช่เหตุการณ์ทุกอย่างบังเกิดขึ้นต่อหน้า และนางเห็นการตายอย่างน่าอนาถของอู่เม่ยด้วยตาตนแล้วละก็ เกรงว่าตี้อู่หงเยี่ยคงจะยังดูถูกปีศาจน้อยนั่นอยู่เช่นเดิม นางคงจะยังคิดว่าเจ้าปีศาจน้อยนี่ไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ!
ตอนนี้จะทำเช่นไรดี
ตอนที่ 96-3 ฉิงเทียนแสดงอำนาจ สังหารค...
เมื่อเห็นบุรุษผมสีเงินก้าวมายังทิศที่ตนอยู่ ตี้อู่หงเยี่ยก็ยิ่งเจ็บปวดบาดแผลบริเวณหน้าอกอย่างหนัก
ต้องโทษซย่าโหวฉิงเทียนที่สมควรตายนั่น!
หากมิใช่หมอนั่นทำร้ายนางจนบาดเจ็บ นางเจอเจ้าปีศาจน้อยในตอนนี้ อย่างน้อยนางอาจจะยังมีโอกาสหลบหนีไปได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ตี้อู่หงเยี่ยคิดได้ว่าความกระหายในผู้ชายจะทำร้ายตนเองถึงชีวิต หรือวันนี้นางจะต้องตายอยู่ที่นี่กันนะ
ไม่ได้!
นางไม่ยอม!
ตี้อู่หงเยี่ยตะเกียกตะกายขึ้นมาราวกับกำลังหาทางหลบหนีเอาชีวิตรอด
เพียงแต่ว่า ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เปิดทางให้นางมีโอกาสได้หลบหนีด้วยซ้ำ เพราะยังมิทันที่นางจะลงจากเตียงสำเร็จ เงาใครบางคนก็ขวางที่เบื้องหน้าของนาง
“แหะๆ ท่านมาแล้วเหรอ…”
ตี้อู่หงเยี่ยแค่นยิ้มฝืนๆ ออกมา
หลายปีที่ผ่านมา นางใช้คำเรียก ‘ปีศาจน้อย’ เรียกขานคนคนนี้มาโดยตลอด โดยที่ไม่เคยรู้ว่าชื่อจริงของเขาคืออะไร ราวกับเขาไม่มีชื่อจริงก็ไม่ปาน
แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้าของเขาก็ยังใช้สรรพนาม ‘ปีศาจน้อย’ เรียกขานเขาด้วยเช่นกัน
“เอ่อ…แม่เจ้าเป็นห่วงเจ้ามากนะ เจ้ากลับไปให้ท่านป้ารองเห็นหน้าหน่อยเพื่อให้ท่านรับรู้ว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างก็ดี! ที่จริงแล้ว หลังจากเจ้าจากไปท่านป้ารองก็เสียอกเสียใจเป็นอย่างมาก วันๆ เอาแต่โทษตัวเองอยู่ร่ำไป นางรู้ว่าทำผิดต่อท่าน!”
หากไม่มีเรื่องไข่มุกวารีปีศาจนั่น บางทีซย่าโหวฉิงเทียนอาจจะเชื่อคำโกหกที่ตี้อู่หงเยี่ยแต่งขึ้นแล้วคิดว่าซย่าจื่ออวี้เกิดกลับตัวกลับใจเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง
แต่ท่านแม่ต้องการให้เขาตาย ทั้งยังคิดจะควักหัวใจของเขาไปเปลี่ยนกับหัวใจหนานกงเช่อ…
เมื่อเรื่องทั้งหมดเมื่อปะติดปะต่อรวมกัน มันได้ทำลายความเมตตาส่วนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ของ ซย่าโหวฉิงเทียนจนหมดสิ้น
เมื่อเห็นตี้อู่หงเยี่ยหน้าตาซีดขาว หน้าอกมีเลือดซึมออกมา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงลากเก้าอี้มานั่งแล้วค่อยๆ ฟังเรื่องโกหกของตี้อู่หงเยี่ยไปเรื่อยๆ
การกระทำของซย่าโหวฉิงเทียนทำให้ตี้อู่หงเยี่ยหลงคิดไปว่าเขาเชื่อถือในคำพูดของนาง
แน่นะสิ!
ในโลกนี้ไม่นี้ลูกคนไหนที่ไม่คิดถึงคะนึงหามารดา และไม่มีลูกคนไหนที่ไม่ปรารถนาความรักจากมารดา!
ปีศาจน้อยนี่ได้รับความลำบากทรมานไม่น้อยเมื่อครั้งอยู่ที่จวนตระกูลหนานกง แต่ก็ยังคงหน้าด้านหน้าทนไปเฉลิมฉลองปีใหม่ที่นั่นทุกปี ชัดเจนแล้วว่าในใจมันยังเห็นซย่าจื่ออวี้เป็นแม่น่ะสิ!
เห็นทีว่าวันนี้นางจะรอดพ้นจากความตายได้หรือไม่ คงต้องอาศัยปากนี่แหละ!
“เด็กดี เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองแม่เจ้าเลย นางก็ใช้ชีวิตยากลำบาก แต่มีอย่างหนึ่งที่เจ้าต้องพึงระลึกไว้เสมอ นั่นก็คือในโลกนี้ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูก แม่เจ้าปฏิบัติกับเจ้าเช่นนั้น นางก็มีความลำบากของนางเช่นกัน!”
เพื่อเป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์จริงใจ ตี้อู่หงเยี่ยถึงกับไม่สนใจว่าแผลที่หน้าอกของนางกำลังหลั่งเลือด ยังคงตั้งอกตั้งใจแต่งเรื่องโกหกต่อไป
มองตี้อู่หงเยี่ยที่น่าอเนจอนาถตรงหน้าแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย็นออกมา ในใจครุ่นคิด
เมื่อกลางวัน นางทำราวกับตนเองกินดีหมีเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น เอาแต่ยักย้ายส่ายสะโพกส่งสายตาให้ท่าเขาตลอดเวลา
ครานี้ เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ทำตัวเองจนมีสภาพน่าอนาถ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ เห็นเขาเป็นไอ้โง่ไปแล้วหรืออย่างไรกัน
ตี้อู่หงเยี่ย เจ้านี่ช่างเกิดมาเพื่อแสดงละครโดยแท้!
“ข้ามาคราวนี้ก็เพราะได้รับการไหว้วานจากแม่เจ้าให้มาพาเจ้ากลับบ้าน นางมีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า ท่านป้าบอกว่า หลายปีมานี้เย็นชากับเจ้า ไม่ได้ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเจ้าบ้างเลย นางผิดไปแล้ว นางผิดต่อเจ้า!”
“ตอนนี้ท่านโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางได้ให้คนไปสืบเสาะถามข่าวคราวว่ามีบ้านไหนมีลูกสาวถึงอายุที่เหมาะสมที่ยังไม่แต่งงานบ้างหรือไม่ เพื่อจะตระเตรียมภรรยาที่งดงาม สูงส่งและใจกว้างเอาไว้ให้กับท่าน”
ตี้อู่หงยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าเค้า
เจ้าปีศาจนี่เติบโตอยู่ที่หลัวอวี่ ทุกปีเมื่อเทศกาลปีใหม่เขาจะกลับบ้านที่ตระกูลหนานกง คงคิดจะใช้ตระกูลหนานกงเป็นสะพาน หาทางสร้างเนื้อสร้างตัวที่เมืองอู๋โยวนี่นะสิ
เพราะอย่างไรเสีย อยู่ที่แผ่นดินหลัวอวี่ต่อไปก็ไม่มีทางได้เกิด!
ความจริงข้อนี้ เจ้าปีศาจย่อมต้องรู้อยู่แล้ว!
คนชั้นต่ำที่แผ่นดินหลัวอวี่ทุกคน ล้วนแต่คิดจนหัวแทบแตกก็เพื่อหาลู่ทางที่จะได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองอู๋โยว
ปีศาจน้อยก็คงคิดอย่างนี้เช่นกัน!
“ก่อนที่ข้าจะออกมา แม่เจ้ายังบอกอีกว่า นางจะปรึกษาหารือเรื่องเจ้ากับประมุขหนานกง ขอเพียงแค่ตระกูลหนานกงส่งเทียบเชิญให้กับเจ้า ต่อไปเจ้าก็คือคนของเมืองอู๋โยว…”
“พอแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าตัวเองใกล้จะตายอยู่แล้ว แต่ตี้อู่หงเยี่ยก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังคงปั้นน้ำเป็นตัวอย่างไม่ลดละ ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็หมดความอดทน
“ทำไมหรือ”
ตี้อู่หงเยี่ยถูกซย่าโหวฉิงเทียนตวาดจนขวัญหนีดีฝ่อ
เหตุใดเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘เทียบเชิญ’ อารมณ์เขาก็แปรปรวนอย่างรุนแรงเช่นนี้นะ หรือเขากำลังโทษว่าเป็นความผิดของนางที่ไม่นำเทียบเชิญมาด้วยในครั้งนี้
แต่เรื่องทั้งหมดนี่นางแต่งขึ้นเองทั้งสิ้น หากตอนนี้เจ้าปีศาจต้องการเทียบเชิญเล่า นางจะตอบว่าอย่างไรดี
ในขณะที่ตี้อู่หงเยี่ยกำลังพูดพล่ามต่อไม่หยุดนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ขยับเอ่ยปากกล่าวในสิ่งที่นางเคยกล่าวเอาไว้อีกครั้ง
“หนุ่มน้อย ในรถเจ้ามีใครอยู่กันแน่ พวกเราต้องการตรวจค้น!”
เมื่อได้ยินข้อความเมื่อครู่เข้าไป ตี้อู่หงเยี่ยถึงกับหน้าถอดสี
เรื่องเมื่อกลางวันเจ้าปีศาจน้อยนี่รู้ได้อย่างไรกัน
หรือเขาต้องการใช้เรื่องนี้มาข่มขู่นาง
ถึงแม้สามีตี้อู่หงเยี่ยเองจะเป็นเช่นขยะที่ไร้ประโยชน์ แต่อารมณ์ขี้หึงขี้หวงของเขาหนักหนายิ่งนัก
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจับตาดูนางทุกฝีก้าว แทบจะตัวติดกับนางยี่สิบสี่ชั่วโมง
หากมิใช่คราวนี้นางรับคำสั่งของตระกูลหนานกงให้ติดตามหนานกงจื่อหลิงละก็ เกรงว่าสามีของนางคงจะมิให้นางออกจากบ้านด้วยซ้ำ
ตอนนี้ เจ้าปีศาจน้อยนี่กล่าวเช่นนี้ ต้องการอะไรกันแน่
เขาคิดจะป่าวประกาศเรื่องที่นางออกนอกบ้านให้ก็เที่ยวให้ท่าผู้ชาย เมื่อกลับตระกูลหนานกงอย่างนั้นหรือ
ไม่ได้นะ!
นางจะต้องทำให้เขาปิดปากให้สนิท!
ตี้อู่หงเยี่ยขยับนิ้วแอบเอาผงยาพิษสีชมพูที่ซุกซ่อนอยู่ในเล็บสีม่วงเข้มของตนเองออกมา หากเจ้าปีศาจน้อยนี่ไม่รู้จักน้อมรับเจตนาอันดีของนางละก็ ต้องวางยาเขาให้ตายไปเลย!
ตี้อู่หงเยี่ยยังมั่นใจในวิชาพิษของตนเองเป็นอย่างมาก
นางนึกว่าตนเองซ่อนเร้นทุกอย่างเอาไว้ได้ดี จึงยังดิ้นรนครั้งสุดท้ายก่อนตาย
ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นดังนั้นก็ ‘เหอะ’ ออกมาคำหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็กลายร่าง ซย่าโหวฉิงเทียนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“หา เจ้านี่เอง!”
ตี้อู่หงเยี่ยถลึงตาอ้าปากจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยอาการตกตะลึง
เขาคนเมื่อครู่ดวงตาสีม่วงปิ่นปักผมสีเงิน ตอนนี้นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ที่หว่างคิ้วของเขามีไฝเม็ดสีแดง นี่มันซย่าโหวฉิงเทียนอ๋องแห่งต้าโจวคนที่เจอริมถนนเมื่อตอนกลางวันนี่นา!
เขาเป็นอะไรกับเจ้าปีศาจน้อยนั่น
หรือ…เขาก็คือปีศาจน้อย!
“โง่เง่าจริงๆ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มเยาะ
ยิ่งเขาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำในสิ่งที่ตี้อู่หงเยี่ยคิดว่าถูกต้อง
ที่แท้แล้วเมื่อครู่เขาอดกลั้นมาตลอด เขากำลังดูละครฉากใหญ่ที่นางร้องเองแต่งเองนั่น!
ไอ้ปีศาจน้อยนี่น่ารังเกียจสิ้นดี!
ตอนที่ 96-4 ฉิงเทียนแสดงอำนาจ สังหารค...
ตี้อู่หงเยี่ยตวัดสายตาจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความแค้นเคือง นางยกมือขึ้นเป็นกรงเล็บมุ่งไปทางซย่าโหวฉิงเทียน
ขอเพียงแต่ขูดโดนเขาแม้เพียงน้อยนิด เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
แต่ทว่าตี้อู่หงเยี่ยยังมิทันเข้าใกล้ซย่าโหวฉิงเทียนเลยด้วยซ้ำ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใช้เท้าตวัดเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามาใกล้แล้ว ตวัดเก้าอี้ตัวนั้นไปกระแทกทับมือทั้งสองข้างของตี้อู่หงเยี่ยอย่างจัง
“ปึก…”
กระดูกมือทั้งสองข้างของนางแตกละเอียดในทันที อีกทั้งเศษเก้าอี้ไม้ที่กระแทกกับมืออย่างแรงจนแตกกระเด็นฝังเข้าในมือนาง นำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างหนักจนตี้อู่หงเยี่ยแทบเป็นลมสิ้นสติ
“อย่าฆ่าข้าเลย! ท่านต้องการรู้อะไร ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง!”
ถึงแม้ว่าในใจจะโกรธแค้นซย่าโหวฉิงเทียนมากมายเพียงใด แต่ตี้อู่หงเยี่ยก็มิกล้าเป็นปรปักษ์กับเขาในตอนนี้ นางกลัวตายที่สุด
เจ้าปีศาจนี้โหดเ**้ยมยิ่งนัก!
คิดจะรอดพ้นจากเงื้อมมือเขาในครั้งนี้ มีเพียงแต่ทำตัวให้ต่ำต้อยให้เล็กเข้าไว้เท่านั้น!
การตายของอู่เม่ยเมื่อครู่ป็นวิธีที่ตี้อู่หงเยี่ยไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งนางก็ไม่อยากเป็นเช่นอู่เม่ยอีกด้วย!
“สายไปแล้ว!”
ซย่าโหวฉิงเทียนขี้เกียจพูดมากอีกต่อไป เขาวางมือลงบนหัวของตี้อู่หงเยี่ยอย่างไม่ลังเล
ในขณะที่ตี้อู่หงเยี่ยกำลังดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดปากก็กรีดร้องขอชีวิตนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ดูดความทรงจำของนางออกมา หลังจากนั้นจุดจบนางก็เป็นดั่งเช่นอู่เม่ยไม่มีผิดเพี้ยน วิญญาณแตกสลายถูกแผดเผากลายเป็นควันสีเขียว
เมื่อทำภารกิจเสร็จสิ้น ซย่าโหวฉิงเทียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตี้อู่หงเยี่ยและอวี้เฟยเยียนยังต้องประลองวิชาแพทย์กันอีกนี่นา!
การประลองนี้ป่าวประกาศไปทั่วยุทธภพแล้วเสียด้วย ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไหร่ที่รอคอยการประลองระหว่างจักรพรรดิโอสถและราชันจักรพรรดิโอสถนี้อยู่ ในตอนนี้เขาสังหารตี้อู่หงเยี่ยจนตายแล้ว นับเป็นการช่วยลดภาระอวี้เฟยเยียนไปอีกเรื่อง
ตี้อู่หงเยี่ยขาดการประลอง เท่ากับอวี้เฟยเยียนกำชัยชนะโดยมิต้องรบ!
นับว่าเขาได้สร้างผลงานหนึ่งเรื่อง!
ซย่าโหวฉิงเทียนคิดไว้อย่างสวยงาม
เมื่อกลับถึงเรือน ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนเตรียมที่จะรายงานผลงานของตนเองให้อวี้เฟยเยียนได้ฟังนั้น ตี้อู่เฮ่ออีก็เดินเข้ามาพอดี
“กลิ่นอะไร”
เขาเดินเข้าใกล้กับซย่าโหวฉิงเทียน แล้วทำจมูกฟุตๆ ฟิตๆ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“ท่านสังหารตี้อู่หงเยี่ย”
“ใช่!”
เรื่องที่ว่าตี้อู่เฮ่ออีคาดเดาได้ถูกต้องได้อย่างไรนั้น แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเยี่ยหงคือตี้อู่หงเยี่ย ทั้งสองจุดนี้กลายเป็นความเคลือบแคลงสงสัยที่บังเกิดขึ้นในใจของซย่าโหวฉิงเทียน
แต่ไม่ต้องรอให้ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวถาม ตี้อู่เฮ่ออีก็ดึงทึ้งผมของตนเองปากก็พร่ำว่า
“ไอ้หยา ก่อนที่ท่านสังหารนางน่าจะซักถามข้าสักคำ! คราวนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่…”
ตี้อู่เฮ่ออีถึงกับหมดคำพูดในการกระทำโดยพลการของซย่าโหวฉิงเทียน
แต่หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากเขา ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้เข้าใจมูลเหตุทั้งหมด
ตี้อู่หงเยี่ยเป็นชาวชนเผ่าตาน หญิงชนเผ่าตานจะมีกลิ่นหอมประหลาดติดตัว
ตี้อู่หงเยี่ยมีกลิ่นหอมดอกขจรติดกาย ขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนสังหารนางนั้นกลิ่นดอกขจรก็จะแพร่และซึมเข้าสู่ร่างของเขา ขอเพียงแต่เป็นคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับตี้อู่หงเยี่ย ได้กลิ่นนี้เข้า ก็จะรู้ได้ทันทีว่าซย่าโหวฉิงเทียนคือฆาตกรที่สังหารตี้อู่หงเยี่ยนั่นเอง
ในอดีต วิธีการเช่นนี้มีชื่อเรียกที่แสนไพเราะสวยงามว่า ‘คำสาปแช่งแห่งดอกไม้’
นี่เป็นการร้องป่าวประกาศเพื่อแก้แค้นของหญิงสาวชาวเผ่าตาน
ชาวเผ่าตานขึ้นชื่อเรื่องรักพวกพ้อง หากหญิงเผ่าตานต้องพบกับเหตุการณ์ร้ายเข้านางก็จะสาดกลิ่นหอมของตนเองบนร่างศัตรู เพราะพวกนางเชื่อว่าคนในเผ่าจะต้องช่วยนางแก้แค้นเป็นแน่
ตอนนี้ บนร่างซย่าโหวฉิงเทียนมีกลิ่นของดอกขจรอยู่
ซึ่งถึงแม้ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะไม่ได้กลิ่น แต่หากเป็นคนเผ่าตานละก็ โดยเฉพาะคนเผ่าตานฝ่ายขวาที่สนิทสนมคุ้นเคยกับตี้อู่หงเยี่ยจะต้องได้กลิ่นอย่างแน่นอน
“หากท่านบอกกล่าวข้าล่วงหน้าสักคำ ข้าจะปรุงยาให้ท่านซึ่งมันสามารถหลบเลี่ยงกลิ่นหอมของดอกไม้นั่นได้แน่นอน ตอนนี้จะพูดอะไรไปก็สายไปเสียแล้ว จะทำอย่างไรดีละทีนี้!”
ตี้อู่เฮ่ออีเดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นด้วยความเป็นกังวล แต่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับตอบรับเพียงประโยคเดียวว่าา
“ข้าไม่กลัว” ทำเอาตี้อู่เฮ่ออีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“พี่ซย่าโหว ท่านคงไม่รู้อะไร!”
“คนเผ่าตานฝ่ายขวาถนัดที่สุดก็คือเรื่องชั่วร้าย อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการใช้พิษ พวกเขาจะไม่ต่อสู้ห้ำหั่นกับท่านซึ่งหน้า แต่ชอบที่จะเล่นสกปรกกับท่านมากกว่า ทำให้คนจะป้องกันก็ป้องกันมิได้!”
“หากท่านไม่ไปเมืองอู๋โยว ไม่แน่ว่าท่านอาจจะหลบหลีกพวกเขาได้”
ความร้อนอกร้อนใจของตี้อู่เฮ่ออีไม่มีผลใดๆ ต่อซย่าโหวฉิงเทียนแม้แต่น้อย
ต่อให้เขาเดินทางไปเมืองอู่โยวแล้วอย่างไรเล่า
สนใจทำไมกันว่าเขามันจะเป็นตานฝ่ายซ้ายหรือขวา เผ่าตานฝ่ายขวาหากไม่ดูตาม้าตาเรือมาหาเรื่องเขาละก็ เขาก็จะพร้อมสนองมาหนึ่งคนเขาก็ฆ่าหนึ่งคน มาสองคนเขาก็ฆ่าทั้งสองคน!
เขาไม่เชื่อหรอกว่ายาพิษของพวกมันเร็วกว่าดาบเขาได้!
สิ่งเดียวที่ซย่าโหวฉิงเทียนกังวลใจนั่นก็คือบนร่างเขามีกลิ่นหญิงอื่น จะทำให้แมวน้อยโมโหจนพาลงอนเขาหรือไม่
“สกปรกจริงๆ!”
เห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนต้องการไปอาบน้ำ ตี้อู่เฮ่ออีก็สำทับอีกประโยคว่า
“ไม่มีประโยชน์มันล้างไม่ออกหรอก!”
คราวนี้กวนอารมณ์ของซย่าโหวฉิงเทียนขึ้นมาจนได้
เขาเคลื่อนร่างมาที่เบื้องหน้าของตี้อู่เฮ่ออีอย่างรวดเร็วดั่งสายลม แล้วจับคอเสื้อของตี้อู่เฮ่ออียกขึ้น
“ทำอย่างไรจึงจะกำจัดกลิ่นที่น่าขยะแขยงนี่ออกไปได้”
ถึงแม้ว่าตี้อู่เฮ่ออีจะมีส่วนสูงหนึ่งเจ็ดสิบเก้า แต่เทียบกับซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว เขายังเตี้ยกว่าหลายขุม
“ท่านพี่ซย่าโหว ข้าไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ!”
ตี้อู่เฮ่ออีส่ายหัวพร้อมกับทอดถอนใจออกมา
เสียงที่ดังออกมาจากด้านนอก เรียกความสนใจจากอวี้เฟยเยียนได้ดี
เมื่อเปิดประตูออกมา ภาพที่อวี้เฟยเยียนพบเห็นนั่นก็คือก็พบซย่าโหวฉิงเทียนกำลังหิ้วคอเสื้อตี้อู่เฮ่ออีอยู่เขาทำราวกับกำลังหิ้วนกน้อยอยู่อย่างไรอย่างนั้น เขาหยิบตี้อู่เฮ่ออีขึ้นมา
“เรื่องอะไรกัน…”
ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนเดินเข้ามาถึงตัว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ปล่อยมือจากคอเสื้อตี้อู่เฮ่ออี ร่างตี้อู่เฮ่ออีร่วงลงกันพื้นก้นเขากระแทกกับพื้นอย่างจัง ซย่าโหวฉิงเทียนกลับทำท่าทางราวกับหนูเห็นแมวอย่างไรอย่างนั้นเผ่นแน่บหายไปไปทันที
ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นอะไรกันแน่
ส่วนอวี้เฟยเยียนกำลังเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก
รอจนตี้อู่เฮ่ออีลูบก้นที่เจ็บปวดจากแรงกระแทกเมื่อครู่ คลานขึ้นมาจากพื้นแล้วอธิบายสาเหตุให้กับอวี้เฟยเยียนได้ฟัง
“เขาสังหารเยี่ยหง ยังมีอีก หญิงผู้นั้นชื่อจริงว่าตี้อู่หงเยี่ย เป็นคนของเผ่าตาน!”
เดิมทีอวี้เฟยเยียนคิดที่จะกำจัดหญิงชั้นต่ำผู้นี้ด้วยมือนางเอง นึกไม่ถึงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะลงมือเอง ไม่เพียงเท่านั้นยังแถมความวุ่นวายมาให้อีกด้วย
เผ่าตาน…
คำคำนี้สำหรับอวี้เฟยเยียนแล้วนางรู้สึกคุ้นเคยไปเสียแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่า ตี้อู่หงเยี่ยจะเกี่ยวข้องกับเผ่าตาน
คนเผ่าตานมายังฉินจื้อทำไมกันนะ เกี่ยวข้องอะไรกับท่านป้ารองหรือเปล่า
ในเวลานั้นคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจของอวี้เฟยเยียน
“เฮ่ออี ท่านบอกว่ากลิ่นหอมนั่นกำจัดไม่ออกจริงหรือ”
เมื่อได้ฟังตี้อู่เฮ่ออีอธิบายเรื่องกลิ่นหอมของหญิงชาวเผ่าตานแล้ว อวี้เฟยเยียนจึงยิ่งเข้าใจเกี่ยวกับชนเผ่าตานมากยิ่งขึ้น
มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ที่ซย่าโหวฉิงเทียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับเผ่าตานให้นางฟังนั้น ก็เคยกล่าวถึงว่าชนเผ่าตานขึ้นชื่อเรื่องรักพวกพ้อง
วิธีการแก้แค้นของหญิงชาวเผ่าตานนี้ พิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ!
“ถึงตอนนี้ข้ายังไม่มีวิธีกำจัดกลิ่นหอมนั้นก็ตาม แต่ว่า ข้าบังเอิญค้นพบสูตรยาที่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะเกิดเป็นชั้นผิวบางๆ ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากที่จะตามมานี้ได้!”
เมื่อกล่าวถึงสูตรยาของตนเอง สีหน้าตี้อู่เฮ่ออีก็กระหยิ่มยิ้มย่อง
เขาถึงกับควักยาเม็ดนั้นออกมาให้อวี้เฟยเยียนได้ดูแล้วกินมันลงไปให้ดูอีกด้วย
“แม่นางอวี้ เจ้ารีบมาดูนี่สิ!”
จริงดังนี้เขากล่าวเอาไว้ ทั่วร่างของตี้อู่เฮ่ออีเกิดเป็นชั้นผิวบางๆ สีดำเคลือบผิวของเขาเอาไว้
“เมื่อมีชั้นบางๆ นี่ปกป้องเอาไว้ ต่อให้สังหารหญิงชาวเผ่าตาน แล้วถูกกลิ่นหอมบนร่างของนางเข้า เพียงแค่ไปอาบน้ำ ขัดเอาชั้นบางๆ นี่ออกไปก็หมดเรื่องแล้ว!”
อวี้เฟยเยียนถึงกับเอ่ยออกมาว่า ‘น่าสนใจเป็นพิเศษ’ สำหรับการค้นพบของตี้อู่เฮ่ออี
แพทย์ที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเช่นเขา มีวิธีการศึกษาค้นคว้าที่พิสดารร้อยแปดจริงๆ!
นี่เป็นวิธีการสำหรับรับมือหญิงชาวเผ่าตานโดยเฉพาะใช่หรือไม่
หรือ ตระกูลเขามีความแค้นกับเผ่าตาน
ทว่าดูท่าทางเรียบร้อยเช่นนี้ของตี้อูเฮ่ออี วรยุทธ์ก็ไม่สูงเท่าไหร่นักไม่เกินราชันโอสถด้วยซ้ำ หากพบกับคนเผ่าตานขึ้นมาจริงๆ จะสู้พวกเขาได้หรือ
มันยังเป็นปัญหาใหญ่อยู่จริงๆ!
“เฮ่ออี ฟังจากน้ำเสียงเจ้า ดูเจ้าจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าตานไม่น้อยทีเดียว เจ้าจะเล่าเรื่องเผ่าตานให้ข้าฟังบ้างได้หรือไม่”
อวี้เฟยเยียนกล่าวถาม
เพราะเรื่องตี้อู่เยียนเอ๋อร์ ทำให้นางสนใจใคร่รู้ในเรื่องเผ่าตานมากยิ่งขึ้น
แต่ก็มิพบเผ่าตานสักคน นางจึงไม่รู้เรื่องเผ่าตานสักที
ตอนนี้ได้ฟังตี้อู่เฮ่ออีกล่าวเช่นนี้ ความสนใจใคร่รู้ของอวี้เฟยเยียนก็ถูกกระตุกขึ้นมาทันที
“เรื่องนี้…”
เดิมทีแล้วตี้อู่เฮ่ออีต้องการปกปิดฐานะของตนไว้เป็นความลับ
เพราะอย่างไรเสียตอนที่เขาจากมาก็ทิ้งจดหมายเอาไว้เพียงฉบับเดียวแล้ว แอบออกจากเผ่ามาทันที หากว่าฐานะเขาถูกผู้คนล่วงรู้เข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าตานฝ่ายขวาแล้วละก็ เขาต้องพบกับปัญหาใหญ่แน่!
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขากลับรู้สึกว่ามีกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากอวี้เฟยเยียน มันทำให้เขารู้สึกสนิทสนมกับนางเป็นพิเศษอย่างบอกไม่ถูก
ตอนที่ 97-1 แมวน้อย พี่ที่เป็นเช่นนี้...
ซึ่งตี้อู่เฮ่ออีเข้าใจไปว่ากลิ่นอายเช่นนี้เป็นกลิ่นอายเฉพาะตัวของแพทย์นั่นเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาและนางสนทนากันส่วนใหญ่ก็มักจะเกี่ยวกับแพทย์และการรักษา ทำให้ตี้อู่เฮ่ออีรู้สึกราวกับได้พบสหายเก่าแก่ ความรู้สึกดั่งเช่นว่าแค้นเคืองที่ได้พบพาน ‘สหายที่รู้ใจ’ ช้าเกินไปเสียนี่นั่นเอง
โดยที่ตี้อู่เฮ่ออีกลับมิได้ล่วงรู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วสาวน้อยตรงหน้านี้มีชาติกำเนิดที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเขาอย่างลึกซึ้ง
“เผ่าตานหรือ จะเริ่มอย่างไรดี…”
ตี้อู่เฮ่ออีไม่รู้จะบรรยายลักษณะสถานที่ที่ตนเติบโตมาได้อย่างไร บางทีในสายตาคนนอก เผ่าตานลึกลับยิ่งนัก ทว่าตัวเขากลับไม่คิดเช่นนั้น ในใจตี้อู่เฮ่ออี เผ่าตานเป็นเพียงชนเผ่าที่หลงใหลในวิชาแพทย์อีกทั้งมีวาสนาต่อการแพทย์และยาต่างๆ เท่านั้นเอง
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเติบโตขึ้นมาในเผ่าตาน จึงเห็นความวิริยะอุตสาหะและความหลงใหลในวิชาแพทย์ของเผ่าตานจนเคยชิน หากไม่มีเหตุการณ์แตกหักกันเมื่อสิบห้าปีก่อนละก็ เผ่าตานก็คงไม่ร่วงลงมาจนรั้งอันดับสุดท้ายจากบรรดาชนเผ่าทั้งแปดได้
“ความหมายเจ้าคือ เผ่าตานในตอนนี้แบ่งเป็นเผ่าตานฝ่ายซ้ายและเผ่าตานฝ่ายขวา ตี้อู่หงเยี่ยเป็นตันฝ่ายขวา ส่วนเจ้าเป็นชาวตันฝ่ายซ้ายอย่างนั้นหรือ”
อวี้เฟยเยียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่าตานไม่มากนัก
ซึ่งมันไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากสิ่งเลวร้ายที่ท่านลุงรองและท่าป้ารองพบเจอ รวมทั้งยาพิษและระเบิดที่เจ้อซย่าอวิ๋นใช้ในภายหลังนั้น ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับชนเผ่าตานทั้งสิ้น
ได้ฟังตี้อู่เฮ่ออีเล่าเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนพลันเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา แท้จริงแล้วชนเผ่าตานก็ไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด
จากการบอกเล่าของตี้อู่เฮ่ออี ทำให้อวี้เฟยเยียนเข้าใจที่มาที่ไปของเผ่าตานมากยิ่งขึ้น
เผ่าตานฝ่ายซ้าย ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องที่สืบสายเลือดสายตรง พวกเขารักสันติชื่นชอบศึกษาวิชาการแพทย์ ไม่สนใจในชื่อเสียงลาภยศผลประโยชน์ หากจะพูดด้วยภาษาทันสมัยก็คือ พวกนักเรียน พวกหนอนหนังสือนั่นเอง
ชนเผ่าตานฝ่ายขวาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มิได้สืบสายเลือดสายตรง พวกเขาฝักใฝ่ในชื่อเสียงอำนาจและเงินทอง หวังว่าจะได้ครอบครองอำนาจและผลประโยชน์จากวิชาแพทย์ที่มี แตกต่างจากเผ่าตานฝ่ายซ้ายที่มีจุดยืนเพื่อรักษาช่วยชีวิตคนอย่างสิ้นเชิง
สิบหกปีก่อน เทพธิดาแห่งเผ่าตานหายสาบสูญไป จึงมีผู้อาวุโสแห่งเผ่าตานที่มิได้สืบสายเลือดสายตรงหรือชาวตันฝ่ายขวาใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผล สมคบกับคนนอก บีบบังคับให้หัวหน้าเผ่าในตอนนั้นมอบอำนาจและบันทึกยาโบราณที่บรรพชนอุทิศทั้งชีวิตบันทึกเอาไว้ออกมา ซึ่งเหตุการณ์นี้นำมาซึ่งความวุ่นวายภายในยาวนานแรมปี
สุดท้ายชนเผ่าตานแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย เหล่าเผ่าตานลูกหลานสายตรง ภายใต้การนำพาของหัวหน้าเผ่า ถอยร่นไปหลบซ่อนตัวในป่าลึก
“เผ่าตานที่เมืองอู๋โยวในตอนนี้ แท้ที่จริงแล้วคือเผ่าตานฝ่ายขวาสินะ”
ตี้อู่เฮ่ออีเกาหัวแกรกๆ ด้วยความเขินอาย
“ข้าออกจากชนเผ่ามาครานี้ บังเอิญพบ ‘ผงหอมหมื่นลี้’ แห่งเผ่าตานฝ่ายขวาจากร่างหนานกงจื่อหลิงเมื่อติดตามมา นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับตี้อู่หงเยี่ย เดิมทีข้าคิดที่จะสะกดรอยตามตี้อู่หงเยี่ยเพื่อค้นหารังพวกตันฝ่ายขวา แต่สุดท้าย…”
ตี้อู่เฮ่ออียังมิทันกล่าวจบ อวี้เฟยเยียนก็เข้าใจในความหมายเขาทันที
สุดท้ายผลก็คือตี้อู่หงเยี่ยถูกซย่าโหวฉิงเทียนกำจัดทิ้งเรียบร้อย ความหวังที่ตี้อู่เฮ่ออีต้องการค้นหาเผ่าตานฝ่ายขวาเจอก็ดับมอดลงไปด้วย
“แต่ข้ามิได้มีเจตนาตำหนิท่านพี่ซย่าโหวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามข้ากลับรู้สึกว่าเขาเก่งกาจยิ่งนัก!”
เผ่าตานที่เป็นลูกหลานสายตรง ส่วนใหญ่เป็นหลงใหลในวิชาแพทย์ หลายคนใช้เวลาทั้งชีวิตในการจดจ่อสืบค้นเกี่ยวกับการแพทย์และสมุนไพร จึงไม่เก่งกาจด้านวรยุทธ์สักเท่าไหร่นัก ตี้อู่เฮ่ออีก็เป็นตัวอย่างชั้นดี
“หากข้ามีวรยุทธ์ที่สูงส่งเช่นท่านพี่ซย่าโหวก็คงจะดีจะได้ปกป้องคนในเผ่าได้ พวกเราเผ่าตานฝ่ายซ้ายก็คงมิต้องหลบซ่อนอยู่ในป่าลึกเช่นนี้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ตี้อู่เฮ่ออีก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก
แม้ในเรื่องความรู้ทางการแพทย์ชาวเผ่าตานฝ่ายขวาอาจสู้ชาวเผ่าตานฝ่ายซ้ายไม่ได้
แต่ในเรื่องวรยุทธ์ ชาวตันฝ่ายขวาแข็งแกร่งกว่าชาวตันฝ่ายซ้ายมากนัก หลายปีมานี้ ชาวตันฝ่ายขวาอาศัยอยู่ที่เมืองอู๋โยวซื้อม้าสั่งสมกำลังทหาร รวบรวมยอดฝีมือที่วรยุทธ์สูงส่งเป็นพวกจำนวนมาก หากเมื่อถึงเวลาต้องปะทะกันจริง เหล่าแพทย์หนอนหนังสือชาวตันฝ่ายซ้ายไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของชาวตันฝ่ายขวาได้
“เฮ่ออี เทพธิดาเผ่า สำหรับชาวเผ่ามีความหมายอย่างไรกัน”
อวี้เฟยเยียนกล่าวถามในสิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจของนางมาแสนนานออกมา
“เทพธิดา หรือแท้จริงแล้วคือธิดาเทพนั่นเอง ปกติเป็นหญิงสาวที่สืบสายเลือดจากเลือดบริสุทธิ์โดยตรงมารับหน้าที่ ซึ่งหน้าที่สำคัญที่สุดของเทพธิดานั่นก็คือเซ่นไหว้จักรพรรดิเทพโอสถ และเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างชนเผ่ากับจักรพรรดิเทพโอสถ”
“ทุกปีเมื่อถึงวันกำเนิดจักรพรรดิเทพโอสถ เผ่าตานจะต้องเซ่นไหว้โดยมีเทพธิดาเป็นผู้นำ การเซ่นไหว้นี้เกี่ยวกับคุณภาพยาของเผ่าตานทั้งหมดภายในปีนั้นว่าจะดีหรือร้ายเลยทีเดียว!”
คราวนี้ ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เข้าใจความหมายของการดำรงอยู่เทพธิดาเสียที
ชนเผ่าในสมัยโบราณต่างก็มีสัญลักษณ์ชนเผ่าเป็นของตัวเอง ‘จักรพรรดิเทพโอสถ’ ก็คือสัญลักษณ์แห่งเผ่าตานนั่นเอง และงานเทพธิดานั้นก็คล้ายกับทูตหญิงที่เป็นสื่อกลางในการเซ่นไหว้จักรพรรดิเทพโอสถนั่นเอง
“หากการเซ่นไหว้มีปัญหา มันจะกระทบกับการแพทย์และยาทั้งหมดของเผ่าตานจริงหรือ”
อวี้เฟยเยียนสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก
“แน่นอนสิ! ไม่มีพรจากจักรพรรดิเทพโอสถประทานมา จะทำให้เรามิสามารถปรุงยาชั้นดีออกมาได้!”
ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อเห็นว่าในขณะที่ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวถึงจักรพรรดิเทพโอสถนั้นสีหน้าเขาเปี่ยมด้วยความเคารพสดุดีอย่างที่สุดมิได้ อวี้เฟยเยียนจึงรีบปิดปากให้สนิททันที
เหมือนกับว่าเป็นสาสน์ของลัทธิหนึ่งหรือเปล่านะ
เพียงแต่พูดให้น่าฟังหน่อยเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วนี่เป็นศาสนาของพวกเขานั่นเอง!
“แล้วตอนนี้เผ่าตานฝ่ายซ้ายของพวกเจ้ามีเทพธิดาหรือไม่”
อวี้เฟยเยียนถามขึ้นอีก
“ไม่มี” ตี้อู่เฮ่ออีส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ท่าทางผิดหวัง
“เทพธิดานอกจากจะเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่สืบสายเลือดโดยตรงแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านยาและการแพทย์ สิบห้าปีมานี้ เผ่าตานฝ่ายซ้ายของเราไม่ปรากฏหญิงสาวที่มีวิชาแพทย์สูงส่งเหนือธรรมดาเลยสักคน จะหาใครที่เก่งกาจเท่าท่านอาน้อยของข้านั้น เกรงว่าจะยากที่จะพบเจออีก!”
‘ท่าอาน้อย’ ของตี้อู่เฮ่ออี ทำให้สมองของอวี้เฟยเยียนเริ่มทำงาน
ท่านอาน้อยที่เขาว่า คงมิใช่ ตี้อู่เยียนเอ๋อร์กระมัง!
พูดวนไปวนมาตั้งนาน ที่แท้ก็ญาติกันนี่เองหรือเนี่ย!
ในตอนที่อวี้เฟยเยียนคิดจะสืบข่าวคราวของตี้อู่เยียนเอ๋อร์ต่อนั่นเอง ร่างคนผู้หนึ่งก็ผลุบออกจากห้องข้างๆ แล้วพุ่งตัวทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า มุ่งหน้าไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว และเมื่อมองดูให้ดีอีกครั้ง ก็พบว่าคนผู้นั้นคือซย่าโหวฉิงเทียน
“เขาเป็นอะไรไป”
มองตามเผ่นหลังซย่าโหวฉิงเทียน ตี้อู่เฮ่ออีก็ลูบคางตนแผ่วเบาอย่างใช้ความคิดแล้วกล่าวว่า
“คงไม่ใช่เพราะล้างกลิ่นนั่นไม่ออกแล้วคิดไม่ตกใช่หรือไม่!”
ตี้อู่เฮ่ออีเพียงแค่กล่าวขึ้นลอยๆ แต่อวี้เฟยเยียนกลับคิดว่าการเดาของเขามีความเป็นไปได้มากทีเดียว
เงานั้นทะยานออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ อวี้เฟยเยียนเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวกับตี้อู่เฮ่ออีเพียงว่า ‘ขออภัย’ แล้วผลุนผลันตามซย่าโหวฉิงเทียนไปทันที
จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนมาถึงแม่น้ำชางหลวน นางเห็นคนผู้หนึ่งจากระยะไกล เขายืนอยู่ริมแม่น้ำกำลังวักน้ำใส่ตนเองอย่างแรง
ซย่าโหวฉิงเทียน!
คราวนี้อวี้เฟยเยียนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว นางพุ่งเข้าไปหาซย่าโหวฉิงเทียนทันที
ใครจะคาดคิด อวี้เฟยเยียนยังมิทันเข้าถึงตัว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถอยร่นไปอีกด้านแล้วตะโกนว่า
“แมวน้อย อย่าเข้ามา ตัวพี่มีกลิ่นเหม็น!”
ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะไม่ได้กลิ่นหอมดอกไม้ของตี้อู่หงเยี่ยที่ตี้อูเฮ่ออีกล่าวมา แต่เมื่อนึกได้ว่าก่อนตายหญิงเฒ่าคนนั้นมาแตะที่ตัวเขา เขาก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที
เห็นสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ของซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็รู้ทันทีว่า โรครักความสะอาดของท่านอ๋องกำเริบอีกแล้ว
“มานี่ ให้ข้าดมสิว่ามีกลิ่นหรือไม่!”
อวี้เฟยเยียนใช้ความอ่อนโยนปลุกปลอบซย่าโหวฉิงเทียน ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับตอบปฏิเสธความหวังดีของอวี้เฟยเยียนด้วยประโยคเพียงประโยคเดียวคือ
“ไม่นะ…”
เขาจะไม่ยอมให้แมวน้อยรังเกียจเขาเด็ดขาด!
มีกลิ่นหญิงอื่นจากตัวเขา แมวน้อยจะต้องรังเกียจเป็นแน่!
“เสี่ยวฉิงฉิง เด็กดี กลิ่นนี้มันกลิ่นอะไรกัน!”
ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวเอาไว้ กลิ่นหอมนี้จะนำมาซึ่งการตามล่าของเผ่าตาน ซึ่งอวี้เฟยเยียนเป็นกังวลในข้อนี้เป็นอย่างมาก
หากซย่าโหวฉิงเทียนมีกลิ่นหอมนั้นติดตัวจริงๆ ละก็ นางจะต้องหาวิธีกำจัดมันออกไปให้ได้!
เพราะถึงแม้ซย่าโหวฉิงเทียนจะแข็งแกร่งเพียงไหน ก็คงจะต้านศัตรูที่มีทั้งอำนาจและจำนวนมกไม่อยู่เป็นแน่
อีกอย่างหนึ่ง ตี้อู่เฮ่ออียังบอกอีกว่า เผ่าตานฝ่ายขวามักจะเล่นสกปรก แล้วซย่าโหวฉิงเทียนที่เป็นคนที่แสนจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ จะมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ไปรับมือต่อกรกับคนชั่วพวกนั้นได้เล่า!
แต่ทว่าไม่ว่าอวี้เฟยเยียนจะใช้ลูกเล่นอะไร ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่ยอมหลงกลเสียที
เพราะจนแล้วจนรอดเขาก็ยังเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า ตนมีกลิ่นเหม็นติดตัว จะต้องอยู่ให้ห่างจากอวี้เฟยเยียนจะได้ไม่ทำให้นางพลอยเหม็นไปด้วย
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนดึงดันที่จะปลีกตัวออกห่างจากนางไปมากขึ้น ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เริ่มโมโห
ตอนที่ 97-2 แมวน้อย พี่ที่เป็นเช่นนี้...
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านฟังข้าให้ดี! ข้านับถึงสาม หากท่านไม่เดินมา ได้เห็นดีกันแน่ คอยดูก็แล้วกัน!”
ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะพยายามทำสีหน้าเคร่งขรึมดุดัน ทั้งแววตาตำหนิกล่าวโทษ
แต่น้ำเสียงที่นุ่มนวลของนางทำให้ไม่ว่าจะตะเบ็งอย่างไร ก็มิได้ดูมีอำนาจน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
แต่การกระทำนี้ของนางใช้ได้ผลกับซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก ไม่ต้องรอให้อวี้เฟยเยียนนับ ซย่าโหวฉิงเทียนที่เปียกโชกไปทั้งร่างก็มายืนอยู่เบื้องหน้านางแล้ว
ซย่าโหวฉิงเทียนในสภาพถอดเสื้อ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสวยงามสมบูรณ์แบบของเขา เดิมซย่าโหวฉิงเทียนมีผิวที่ขาวใสราวหยกขาวก็ไม่ปาน ทำให้กล้ามเนื้ออันสวยงามบัดนี้กลายเป็นสีแดงเถือก บางที่ถูกขัดจนถลอกปอกเปิก อวี้เฟยเยียนเห็นแล้วเจ็บปวดใจยิ่งนัก
“คนโง่ โง่จริงๆ!”
ในใจอวี้เฟยเยียนก่นด่าเขาถึงขนาดว่า ‘นี่เขากะจะลอกคราบผิวหรืออย่างไรกัน’
“แมวน้อย เจ้าอย่ารังเกียจที่พี่เหม็นเลย!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเทียนกระอ้อมกระแอ้ม
“อีกเดี๋ยวข้าค่อยคิดบัญชีกับท่าน!”
อวี้เฟยเยียนถลึงตามองซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเชิงคาดโทษเอาไว้ก่อน แล้วจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาเพื่อสูดดมว่ามีกลิ่นอะไรติดตัวเขาหรือไม่
จริงดั่งที่คาด มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกขจรจริงๆ
ตี้อู่หงเยี่ยคนนั้นทำร้ายคนไม่น้อยทีเดียว หรือนางตั้งใจให้ชาวตันฝ่ายขวามาจัดการซย่าโหวฉิงเทียน เพื่อแก้แค้นให้กับนางจริงๆ
ซย่าโหวฉิงเทียนมองดูท่าทางของอวี้เฟยเยียนก็รู้ได้ทันทีว่านางคงจะได้กลิ่นเป็นแน่
น่าแปลกจริงๆ!
ตัวเขาเองพยายามดมอยู่ตั้งนานกลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลยทั้งสิ้น เหตุใดแมวน้อยถึงได้กลิ่นง่ายๆ เช่นนี้ นอกเสียจากว่านางมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหมอยานั่น ดังนั้นจมูกถึงได้ไวเพียงนี้
“เหม็นใช่หรือไม่”
ซย่าโหวฉิงเทียนทำราวกับเด็กน้อยที่ทำความผิดก็ไม่ปาน มองมาที่อวี้เฟยเยียนด้วยสายตาระแวดระวัง
“พี่ไม่รู้ว่าหญิงผู้นั้นจะวุ่นวายเช่นนี้…”
เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนเงียบไป ซย่าโหวฉิงเทียนก็ร้อนใจขึ้นมาทันที
“แมวน้อย เจ้าอย่ารังเกียจพี่นะ พี่จะต้องหาวิธีกำจัดกลิ่นเน่าๆ นี่ไปให้ได้ บนตัวพี่มีจะมีแต่กลิ่นกายของเจ้าเท่านั้น จริงๆ นะ!”
“ล้อเล่นน่า!”
อวี้เฟยเยียนที่กำลังทายาให้กับซย่าโหวฉิงเทียนในจุดที่เป็นรอยแดงถลอกด้วยความระมัดระวัง ถูกเขาหยอกจนหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นท่านว่ามาซิ ข้ามีกลิ่นอะไร”
อวี้เฟยเยียนเชิดหน้าขึ้น จ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนอย่างเป็นต่อ
“ท่านพูดสิ!”
“เอ่อ…”
ซย่าโหวฉิงเทียนนึกไม่ถึงว่าอวี้เฟยเยียนจะกล่าวถามเช่นนี้ออกมา จึงพูดไม่ออกชั่วคราว
กลิ่นของแมวน้อยคืออะไรนะ
ซย่าโหวฉิงเทียนครุ่นคิดอย่างหนัก กลิ่นหอมดอกไม้ หรือกลิ่นผลไม้
เขาแยกไม่ออกจริงๆ!
สรุปก็คือกลิ่นแมวน้อยนั่นมันสดชื่น หวานล้ำ หอมอบอวลทำให้คนสูดดมแล้วรู้สึกสบาย เป็นกลิ่นที่หอมที่สุดในโลก
แท้จริงแล้วอวี้เฟยเยียนเจตนาให้ซย่าโหวฉิงเทียนเลิกเอาแต่คิดถึงเรื่องกลิ่นของตี้อู่หงเยี่ยนั่น เมื่อเห็นเขาเริ่มครุ่นคิดสิ่งที่นางถามอย่างจริงจัง อวี้เฟยเยียนก็เริ่มคิดหาวิธีกำจัดกลิ่นดอกขจรนั่นทันที
ตี้อู่เฮ่ออีเป็นชาวเผ่าตานยังไร้ซึ่งหนทาง แล้วนางจะมีวิธีได้อย่างไร
อวี้เฟยเยียนนั่งเท้าคางอยู่บนโขดหินขนาดใหญ่ริมแม่น้ำ
ณ เวลานั้นความมืดค่อยๆ เข้าปกคลุม
สายน้ำแห่งแม่น้ำชางหรวนสุขขีเปรมปรีดิ์นัก ที่โพรงหญ้าริมแม่น้ำสองฝั่งนั้น จิ้งหรีด กบต่างกำลังร้องรำทำเพลง หิ่งห้อยป่าที่ให้แสงสว่างรำไรราวกับตะเกียงบินไปบินมา บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวพราวแสงระยิบระยับ
นางอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์สวยงามเช่นนี้ แต่อวี้เฟยเยียนกลับไม่มีใจไปชื่นชมดื่มด่ำกับราตรีแสนสวยนั้น
นางได้เปิดหูเปิดตากับนิสัยรักความสะอาดของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว หากนางไม่ช่วยเขาหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ละก็ เขาอาจถลกหนังตัวเองออกมาก็เป็นได้
เพื่อป้องกันไม่ให้ซย่าโหวฉิงเทียนกระโดดพุ่งตัวลงไปในแม่น้ำอีก อวี้เฟยเยียนจึงปักหลักในอ้อมอกของเขาเสียเลย จะได้ป้องกันไม่ให้เขาตกน้ำกลางทางด้วย
ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะรู้สึกจะขัดๆ อยู่ในตอนแรก
เพราะใช้กลิ่นคนอื่นมาโอบกอดแมวน้อย มันจะมิทำให้แมวน้อยสกปรกไปด้วยหรือ!
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมสยบให้กับ ‘อำนาจมืด’ ของอวี้เฟยเยียนจนได้
เหตุผลก็ง่ายนิดเดียวนั่นก็คือ อวี้เฟยเยียนประกาศว่าหากเขาไม่เชื่อฟังละก็ นางจะเลิกกับเขาเสีย!
ถึงแม้ว่าฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายบอกเลิกราก่อนจะเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นในสมัยนั้น ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีว่า อวี้เฟยเยียนทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน!
“ยังเจ็บอยู่หรือไม่”
อวี้เฟยเยียนลูบไล้แผลถลอกที่แขนซย่าโหวฉิงเทียนแผ่วเบา พร้อมกับถาม
“ไม่เจ็บเลย จริงๆ นะ!”
บาดแผลเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ซย่าโหวฉิงเทียนมิเคยนำมาใส่ใจ
“หากท่านยังไม่รักตัวเองอีกละก็ ข้าจะไม่สนใจท่านอีกแล้ว!”
แล้วอวี้เฟยเยียน ‘เฮอะ’ อย่างเง้างอนเบาๆ
อวี้เฟยเยียนที่กำลังโกรธเคืองเง้างอนเช่นนี้ น่ารักน่าเอ็นดูที่สุด ซย่าโหวฉิงเทียนก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ริมฝีปากของนาง ทว่าครั้นเมื่อเขาเข้าใกล้ริมฝีปากของนางนั้น เขาพลันนึกถึงกลิ่นเหม็นที่ติดตัวตนขึ้นมา จึงหยุดการกระทำนั้นเสียดื้อๆ
ตี้อู่หงเยี่ยสมควรตายนัก!
เผ่าตานฝ่ายขวาสมควรตาย!
ข้ากับพวกเจ้าไม่จบกันเพียงเท่านี้แน่!
เดิมอวี้เฟยเยียนเตรียมตัวพร้อมรับจุมพิตจากซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว นางหลับตาลงด้วยความเขินอาย
แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียที
อวี้เฟยเยียนจึงลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นก็คือใบหน้าที่กำลังสับสนของซย่าโหวฉิงเทียน นางจึงนึกรู้ในทันทีว่าเหตุใดเขาถึงได้ยอม ‘ปล่อยนาง’ ได้
ไอ้อาการรังเกียจความไม่สะอาดที่เป็นหนักเช่นนี้ นับเป็นโรคชนิดหนึ่งหรือไม่นะ
เพื่อแสดงว่าตนมิได้รังเกียจซย่าโหวฉิงเทียนแม้แต่น้อย อวี้เฟยเยียนเอื้อมมือไปโน้มคอเขาลงมาแล้วยื่นหน้าไปงับริมฝีปากเขาเอาไว้
ที่ผ่านมาอวี้เฟยเยียนถูกซย่าโหวฉิงเทียนตอดเล็กตอดน้อยมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่นางฝ่ายรุกก่อน
และเพื่อลงโทษที่เมื่อครู่ซย่าโหวฉิงเทียนรีรอๆ อวี้เฟยเยียนจึงคิดจะสั่งสอนเขาเสียบ้าง
ริมฝีปากบางของนางกัดริมฝีปากเขา แล้วใช้ลิ้นเล็กวาดไล้ไปตามกลีบปากเขาไปเรื่อยๆ อ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมรุกล้ำเข้าไปในจุดยุทธศาสตร์เสียที
ถึงแม้ซย่าโหวฉิงเทียนจะพยายามควบคุมตนเองให้นิ่งเข้าไว้ แข็งใจมิยอมให้นารีมามัวเมาได้ แต่สุดท้ายอวี้เฟยเยียนก็เอาชนะเขาได้อยู่ดี
ไฟปรารถนาในใจเขาลุก ‘ซู่’ ขึ้นเมื่อถูกอวี้เฟยเยียนปลุกเร้าเข้าให้
นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อนางเป็นฝ่ายเริ่ม มันจะสวยงามถึงเพียงนี้!
ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังดื่มด่ำอยู่นั่นเอง จู่ๆ อวี้เฟยเยียนก็หยุดชะงักไปเสียดื้อๆ นางถอยร่นไปด้านข้างยืนอมยิ้มล้อเลียนพร้อมกับมองดูเขาไปด้วย
มารน้อยของเขา!
นี่นางจงใจนี่นา!
ครั้นเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนเป็นฝ่ายจู่โจมจุมพิตนางบ้าง นางกลับกลายร่างเป็นจิ้งจอกน้อย หลบซ้ายทีขวาทีไม่ยอมให้เขาทำตามใจปรารถนาได้
ตัวแสบ จะหนีไปไหน!
ซย่าโหวฉิงเทียนคิดมาโดยตลอดว่าตนคือนักล่าที่ยอดเยี่ยมที่สุด แล้วจะยอมปล่อยเจ้ามารน้อยที่เอาแต่ทรมานคนลอยนวลไปได้อย่างไรกันเล่า!
ว่าแล้วซย่าโหวฉิงเทียนก็ใช้มือใหญ่ของตนคว้าเอวบางอวี้เฟยเยียนเอาไว้แล้วรั้งนาง มากักขังเอาไว้ในอ้อมกอดตน ราวกับพญาเหยี่ยวคว้าเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น ก่อนก้มหน้าลงไปครอบครองกลีบปากสีแดงสดไว้ด้วยริมฝีปากตน
คงเพราะถูกปลุกเร้ามากเข้า ไฟปรารถนาที่ซย่าโหวฉิงเทียนอดกลั้นเอาไว้มากมาย ก็ถูกปลดปล่อยออกมาในคราวเดียว เขากัดนางตามอำเภอใจด้วยแรงที่ไม่เบา เจ็บจนนางต้องร้องออกมา
“เบาหน่อย…”
หากเป็นในปกติ ซย่าโหวฉิงเทียนคงจะว่านอนสอนง่าย
แต่เมื่อครู่ที่อวี้เฟยเยียนแกล้งทรมานเขา ไม่เห็นนางจะคิดถึงความรู้สึกของเขาบ้างเลย!
ดังนั้นครั้งนี้ซย่าโหวฉิงเทียนจึงตัดสินใจให้รางวัลตัวเองบ้าง ดื่มด่ำตักตวงความหอมหวานให้เต็มที่
แน่นอนว่า ผลการตักตวงอย่างเอาแต่ใจของซย่าโหวฉิงเทียนนั่นก็คือ ริมฝีปากแดงสดน้อยๆ ของอวี้เฟยเยียนบวมเจ่อราวกับไส้กรอกก็ไม่ปาน
เห็นผลงานตัวเองแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่สุด
ผิดกับอวี้เฟยเยียนที่หน้าตาราวกับจะร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตาออกมา
หากรู้ตั้งแต่แรกว่าชายหนุ่มสูงอายุรับไม่ไหวกับการหยอกเย้าละก็ คราวหน้านางมิกล้าอีกต่อไปแล้ว
เมื่อครู่นางถูกจูบจนเกือบจะขาดใจ ทว่าในตอนนี้สัตว์ร้ายที่อยู่ตรงหน้านางก็กำลังเริ่มมายุ่มย่ามที่เอี๊ยมตัวน้อยของนางเสียแล้ว
แม่จ๋า เขาช่างน่ากลัวจริงๆ เลย
ตอนที่ 97-3 แมวน้อย พี่ที่เป็นเช่นนี้...
หากมิใช่ซย่าโหวฉิงเทียนมีความยับยั้งชั่งใจที่แข็งแกร่งละก็ ไม่แน่ว่าค่ำคืนแรกของนางคงจะเกิดขึ้นที่โขดหินริมแม่น้ำชางหลวนเป็นแน่
ชายสูงอายุดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่าเสียอีก!
ไม่ควรไปหาเรื่องจริงๆ ด้วย!
ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็พอจะรู้ว่าตนเกือบจะห้ามใจไว้ไม่อยู่ เขาจุมพิตเบาบางที่หน้าผากอวี้เฟยเยียน แล้วพุ่งตัวลงไปในแม่น้ำทันที
สถานการณ์เช่นนี้มีคงมีเพียงสายน้ำในแม่น้ำอันเย็นฉ่ำเท่านั้น จึงเพียงพอที่จะดับความร้อนรุ่มในกายของเขาได้
จนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนควบคุมความร้อนรุ่มในร่างเขาเอาไว้ได้แล้ว เขาจึงค่อยคลานขึ้นมาบนฝั่ง
“แมวน้อย พี่สังหารตี้อู่หงเยี่ยแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่”
ในตอนนั้นเองซย่าโหวฉิงเทียนเพิ่งจะคิดถึงความดีความชอบของตนเองขึ้นมาได้
“ตอนที่กินข้าว พี่เห็นเจ้าสีหน้ามิสู้ดีเท่าไหร่นัก จึงไปสังหารตี้อู่หงเยี่ยระบายความโกรธให้กับเจ้า ตอนนี้เจ้าสบายใจหรือยัง”
คราวนี้ อวี้เฟยเยียนถึงบางอ้อเสียทีว่าเพราะอะไร หลังกินข้าวเสร็จแล้วซย่าโหวฉิงเทียนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านคิดว่าข้าโกรธเพราะเรื่องของตี้อู่หงเยี่ยอย่างนั้นหรือ”
อวี้เฟยเยียนนึกไม่ออกจริงๆ ว่าในหัวสมองชายคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่
หรือชายผู้นี้มาจากนอกโลกหรืออย่างไรกัน
ความคิดความอ่านถึงได้สวนทางกับความคิดของสตรีราวกับคลื่นความถี่ไม่ตรงกันเสียอย่างนั้น
“หรือไม่ใช่”
“เมื่อกลางวันพี่ไม่ได้สังหารตี้อู่หงเยี่ยทันที เจ้าก็แลดูเบื่อหน่ายไม่มีความสุขเอาเสียเลย หลังจากกินข้าวก็ยังไม่สนใจพี่อีกด้วย…”
นี่ถือว่า ผิดที่ผิดทางใช่หรือไม่
อวี้เฟยเยียนทำหน้าราวกับจะร้องไห้
คุณพี่ ต่อให้ไม่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่ท่านก็มิควรตีความอาการหึงหวงของสตรีเป็นความหมายเช่นนี้นี่นา!
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้สักหน่อย”
ยิ่งเมื่อนึกถึงว่าตนหึงหวงอยู่ตั้งนาน แต่คนบางคนกลับไม่รู้สึกตัว ทั้งยังตีความไปผิดๆ อีก
อวี้เฟยเยียนก็ยิ่งหดหู่กว่าเดิม
นางหันหลังให้ซย่าโหวฉิงเทียน ไม่อยากจะสนใจเขาอีกต่อไป
อวี้เฟยเยียนหันหลังให้เช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก งงเป็นไก่ตาแตกไปใหญ่
ตี้อู่หงเยี่ยก็ตายไปแล้ว แล้วเหตุใดนางยังไม่พอใจอีก
นางไม่ได้โกรธเขาเพราะเรื่องตี้อู่หงเยี่ยหรือ เช่นนั้นมันเพราะอะไรกันนะ
ปริศนาในใจนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องถามให้กระจ่างให้ได้
เขาบากหน้าหันไปเผชิญหน้ากับอวี้เฟยเยียน
“แมวน้อย แล้วเจ้าโกรธพี่เพราะอะไร เจ้าไม่พูด พี่จะรู้ได้อย่างไร”
ชายที่อยู่เบื้องหน้านางนี้ ช่างไม่ใส่ใจรายละเอียดในเรื่องเล็กน้อยบ้างเลย
อวี้เฟยเยียนมองดูเขาที่มีสีหน้าทั้งร้อนใจทั้งงงงวยในเวลาเดียวกัน ก็น้ำตาไหลพราก
หรือมีแต่นางที่โกรธแต่ทำอะไรไม่ได้จนเบื่อหน่ายอยู่คนเดียวนะ!
มีความรักกับทึ่มเช่นนี้ มิควรเล่นปริศนาทายใจเลยจริงๆ!
“เสด็จพี่ทรงตรัสไว้ ชายหญิงหากมีเรื่องเข้าใจผิดกันจะต้องรีบพูดคุยทำความเข้าใจกันให้ชัดเจน มิเช่นนั้นจะกระทบกับความรู้สึก! พี่ไม่ใช่พยาธิในท้องของเจ้า มิอาจคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของเจ้าได้ เจ้าก็บอกพี่มาตรงๆ เถิด ว่าใครรังแกเจ้ากันแน่”
“คนที่รังแกข้าก็คือท่านไง!”
อวี้เฟยเยียนเบ้ปากน้อยๆ แล้วมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ
“ตอนที่กินข้าว ท่านเอาแต่จ้องมองหลิงเอ๋อร์ไม่วางตา! ข้าต่างหากที่เป็นคนรักของท่าน แล้วท่านทำเรื่องเช่นนั้นต่อหน้าต่อตาข้าได้อย่างไรกัน ต่อให้ไม่ใช่ต่อหน้าข้า ลับหลังข้า ท่านก็ต้องรักษาร่างกายที่บริสุทธิ์เอาไว้ให้ข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ท่านเอาแต่จ้องมองหญิงอื่นต่อหน้าต่อตาข้าขนาดนี้”
“นี่ท่านได้ใหม่ลืมเก่า หรือพยายามเสนอตัวให้นางกันแน่หา”
ปากน้อยๆ ของอวี้เฟยเยียนราวกับปืนกลก็ไม่ปาน รัวสิ่งที่อึดอัดอยู่ในใจออกมาจนหมด
ตอนนี้ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็เข้าใจเสียที นี่นางกำลังเข้าใจผิดในความสัมพันธ์เขากับหนานกงจื่อ หลิงนี่เอง
“แมวน้อย นี่เจ้ากำลัง…หึงหวงหรือนี่”
ซย่าโหวฉิงเทียนจ้องมองอวี้เฟยเยียนด้วยอาการคาดไม่ถึง รู้สึกอบอุ่นในใจยิ่งนัก
ที่แท้แล้ว อวี้เฟยเยียนกำลังหึงหวงหรือนี่!
“เหลวไหล! ท่านยังไม่รีบอธิบายอีก ว่าตกลงแล้วมันเรื่องอะไรกันแน่!”
เห็นซย่าโหวฉิงเทียนทำหน้าตามีความสุขเสียเหลือเกิน อวี้เฟยเยียนก็เริ่มใช้นิ้วเรียวยาวของนางไปทิ่มที่อกซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความไม่สบอารมณ์
“เมื่อครู่ข้าลืมไป เรื่องนี้หากท่านไม่อธิบายให้ชัดเจนละก็ คืนนี้ห้ามนอน ข้ามีวิธีลงทัณฑ์เจ็ดสิบสองบท เค้นจนกว่าจะสารภาพ!”
ยิ่งอวี้เฟยเยียนเป็นเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งเอ็นดูนางมากขึ้น
เหตุใดเวลาโกรธถึงได้แลดูน่าเอ็นดูเพียงนี้นะ!
“เด็กโง่เอ้ย!”
“แมวน้อยจอมโง่!”
นิ้วเรียวยาวของอวี้เฟยเยียนถูกซย่าโหวฉิงเทียนงับเข้าให้ตรงบริเวณข้อนิ้ว
“ที่แท้แมวน้อยข้าก็เป็นแมวน้อยขี้หึงนี่เอง เห็นทีต่อไปบ้านเราคงไม่ต้องซื้อน้ำส้มสายชูเสียแล้ว!”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องนะ!”
ถูกซย่าโหวฉิงเทียนหัวเราะเยาะล้อเลียน อวี้เฟยเยียนรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก หากเขาไม่อธิบายให้ชัดเจนละก็ นางจะไม่ละเว้นเขาง่ายๆ เป็นแน่
นี่เพิ่งจะเริ่มช่วงแรกที่คนสองคนคบหากันในฐานะคนรักเท่านั้นเอง ขนาดรักกำลังหวานขนาดนี้ เขาก็มองสาวอื่นตาไม่กะพริบเสียแล้ว หากคบหากันจนถึงอาถรรพ์รักห้าปีหรือเจ็ดปีละก็ มันจะเป็นอย่างไรนะ!
อวี้เฟยเยียนไม่รู้สึกตัวเลยว่า นางได้คิดเรื่องอนาคตของเขาและนางอยู่เป็นนาน
“อย่าโกรธพี่เลยนะ พี่จะบอกเจ้าทุกอย่าง!”
เดิมทีซย่าโหวฉิงเทียนคิดว่าจะหาโอกาสที่เหมาะสม บอกสถานะที่แท้จริงของตนเองออกไปให้กับอวี้เฟยเยียนได้รู้
เพราะอย่างไรเสียเขาและนางก็เป็นคนรักที่ต้องเกี่ยวดองกัน เขาเป็นใคร มาจากไหน จึงมิควรปิดบังอวี้เฟยเยียนควรจะบอกกับนางทุกอย่าง
“แมวน้อย เจ้ายังจำตอนที่อยู่เมืองกุยอวี๋ ที่พี่ถามเจ้าได้หรือไม่”
ซย่าโหวฉิงเทียนรั้งอวี้เฟยเยียนเข้ามาในอ้อมอก
“ไม่ว่าพี่จะเป็นอย่างไร เจ้าก็จะยอมรับได้ ใช่หรือไม่”
ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวออกมานั้น อวี้เฟยเยียนรู้สึกได้ชัดเจนว่ากล้ามเนื้อทั่วร่างของเขาขัดเกร็งสั่นไหวน้อยๆ
เหตุใดเขาจึงต้องตื่นเต้นด้วย
“ซย่าโหวฉิงเทียนก่อนหน้านี้ท่านคือเพื่อนของข้า ข้าเคยพูดเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม ข้าก็จะยังอยู่เคียงข้างท่านโดยมิลังเล มาตอนนี้ ข้าเป็นคนรักท่าน ท่านเป็นคนรักข้า ประโยคนี้ก็ยังคงเดิม”
“สำหรับเรื่องที่ท่านบอกว่า ‘ท่านที่เป็นเช่นนี้’ มันทำให้ข้าแปลกใจยิ่งนัก”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านเคยเผชิญเรื่องอะไรมาบ้าง แต่ข้าสามารถบอกกับท่านได้เต็มปากว่า คนที่ข้าชอบก็คือท่านคนนี้!”
คำพูดอวี้เฟยเยียนทำให้ความสงสัยในใจของซย่าโหวฉิงเทียนถูกขจัดไปจนหมดสิ้น
“เจ้ารอเดี๋ยวนะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนปล่อยมือจากอวี้เฟยเยียน แล้วลุกขึ้นไปยืนเบื้องหน้านาง
แมวน้อย เจ้าดูสิ นี่ต่างหากคือพี่ที่แท้จริง!
ในตอนนั้นดวงจันทร์ลอยถึงกลางฟากฟ้าพอดิบพอดี
แสงสีเงินของดวงจันทร์ตกกระทบลงมายังพื้น ในขณะที่ทุกสรรพสิ่งถูกโอบล้อมด้วยแสงสว่างวาวโรจน์
อวี้เฟยเยียนจ้องมองบุรุษผมสีเงินดวงตาสีม่วงตรงหน้านิ่งเป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกตัว
แม่เจ้า ทำไมถึงได้ดูดีถึงขนาดนี้นะ!
นัยน์ตานางฉายแววตื่นตะลึง
นี่คอสเพลย์หรือเปล่าเนี่ย
“แมวน้อย แมวน้อย…”
ซย่าโหวฉิงเทียนก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ตอนนี้เขายืนห่างจากอวี้เฟยเยียนราวหนึ่งเมตร
“ทำให้เจ้าตกใจหรือเปล่า”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงซย่าโหวฉิงเทียนจะราบเรียบ แต่ในใจเขากลับกำลังเจ็บปวด
เขามิได้กำลังเจ็บปวดเพราะสงสารตัวเอง แต่เขากำลังสงสารอวี้เฟยเยียน เรื่องราวที่เขาปิดบังนางนั้นมากมายเหลือเกิน แล้วจู่ๆ ก็มาเปิดเผยรูปโฉมที่ผิดแผกไปจากผู้อื่นเช่นนี้ ทำให้นางตกใจจริงๆ ด้วย
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านเป็นใครกันแน่”
อวี้เฟยเยียนเดินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าซย่าโหวฉิงเทียน แล้วใช้มือเลิกผมสีเงินเขาขึ้นเพื่อตรวจสอบ
โอ้ว ผมจริงเสียด้วย!
ผมธรรมชาติมิได้มีการย้อมหรือกัดสีแต่อย่างใด!
ผมสีเงินวาววับเช่นนี้ สวยจริงๆ เลย!
“สวยดีต่างหากเล่า!”
อวี้เฟยเยียนเอ่ยชื่นชมแผ่วเบา
คำพูดนี้ ทำให้หัวใจดวงน้อยของซย่าโหวฉิงเทียนที่เดิมทีเต้นระรัวด้วยวิตกกังวลอย่างหนัก ในที่สุดก็เต้นอย่างมั่นคง นางไม่หวาดกลัวเขาหรือ ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นปีศาจ
“แมวน้อย …”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น