จารใจรัก 95.2-99.2

ตอนที่ 95-2 ความปรองดองของฉินเซี่ย

 

การต้มยาและนำไปแจกจ่ายมีขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ บทสนทนาส่วนตัวของฉินอวี้กับเซี่ยอวิ๋นจี้จึงมิได้ถูกแพร่งพรายออกไปถึงหูคนที่สาม 


 


 


           เซี่ยม่อหานมาถึงหน้าห้องเซี่ยฟงหวา พวกซื่อฮว่าออกมาต้อนรับแล้วทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน “ท่านโหว” 


 


 


           “น้องยังไม่ฟื้นหรือ” เซี่ยม่อหานถาม 


 


 


           “คุณหนูยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเลยเจ้าค่ะ เมื่อคืนเราป้อนยาให้สองครั้ง น้ำอีกสองสามครั้ง ล้วนดื่มเข้าไปทั้งหมด” ซื่อฮว่าตอบ 


 


 


           “ข้าจะเข้าไปดูหน่อย” เซี่ยม่อหานกล่าว 


 


 


           พวกซื่อฮว่าหลีกทางให้ 


 


 


           เซี่ยม่อหานเข้ามาข้างใน กลิ่นยาลอยคลุ้งทั่วทั้งห้อง เซี่ยฟางหวานอนอยู่บนเตียงโดยปิดม่านเอาไว้ เขาเดินมาที่หน้าเตียงแล้วเลิกม่านออก พบเพียงใบหน้าขาวซีดของเซี่ยฟางหวา ลมปราณอ่อนแออย่างยิ่ง หมดสติหลับลึก เขามองพักหนึ่งก็ปล่อยม่านลง กล่าวบอกซื่อฮว่า “ดูแลให้ดี อย่าเอาแต่ป้อนยากับน้ำ ตอนนี้ยามเฉินแล้ว ต้มพวกข้าวต้มเหลวหรือน้ำข้าวต้มมาป้อนนางด้วย” 


 


 


           “เจ้าค่ะ” พวกซื่อฮว่ารับคำ 


 


 


           “ข้ากลับไปพักผ่อนที่ห้อง ถ้าน้องฟื้นแล้วเรียกข้าด้วย” เซี่ยม่อหานกล่าวอีก  


 


 


           “ท่านโหวพักผ่อนอย่างวางใจเถิด หากคุณหนูตื่นแล้ว บ่าวจะรีบไปเรียกท่าน” ผิ่นจู๋รีบกล่าว 


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้า หันหลังเดินออกจากห้อง กลับไปพักผ่อนที่ห้องตนเอง 


 


 


           ตกบ่าย ประชาชน ทหาร และขุนนางในเมืองหลินอัน กระทั่งสัตว์เลี้ยงจำพวกไก่ สุนัข และแกะล้วนได้ดื่มยารักษาโรคห่าที่ถูกนำไปแจกจ่ายหมดแล้ว กลิ่นอายความตายที่ปกคลุมเหนือเมืองหลินอันคลายลง ร้านรวงในเมืองกลับมาเปิดกิจการ บรรดาพ่อค้าหาบเร่บนถนนก็ออกมาตั้งแผงขายของแล้วเช่นกัน เสียงผู้คนจอแจคึกคัก เปี่ยมไปด้วยความลิงโลด มีชีวิตชีวายิ่ง 


 


 


           ฉินอวี้เหนื่อยมากแล้ว เมื่อเห็นโรคห่าระบาดคลี่คลายลงอย่างราบรื่นจึงออกคำสั่งคุมตัวขุนนางทั้งหมดในเมืองหลินอันมารอการไต่สวน ทั้งแวะไปเยี่ยมเซี่ยฟางหวาครู่หนึ่ง เห็นว่านางยังไม่ฟื้นจึงแวะไปเยี่ยม 


 


 


ฉินเหลียนที่ถูกทำร้ายด้วยเช่นกัน ฉินเหลียนก็ยังไม่ฟื้นเช่นกัน เขาจึงกลับไปพักผ่อน 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้แม้นอนหลับไปหลายชั่วยาม แต่ก็ยังรู้สึกไม่พออยู่ดี จึงกลับไปนอนชดเชยอีกครั้ง 


 


 


           ตลอดทั้งวันนี้ ความคึกคักในเมืองหลินอันยืดเยื้อไปจนถึงกลางดึก 


 


 


           กลางดึก เซี่ยอวิ๋นจี้ถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งจิกให้ตื่นขึ้นมา เขาลืมตาลุกขึ้นนั่ง จับเหยี่ยวเอาไว้พร้อมทั้งแกะกระดาษจดหมายจากขามันออกมา อ่านดูครู่หนึ่งก็ย่นหัวคิ้ว จากนั้นก็ลุกไปแต่งตัว เดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ 


 


 


           เซี่ยม่อหานเหนื่อยยิ่ง นอนหลับตั้งแต่เช้ากระทั่งกลางดึก บังเอิญว่าเพิ่งตื่นมาดื่มน้ำ ได้ยินเสียงคนเคาะประตูพอดีจึงเอ่ยถาม “ผู้ใด” 


 


 


           “ข้าเอง” เซี่ยอวิ๋นจี้ตอบ 


 


 


           “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว มีเรื่องใดรึ” เซี่ยม่อหานรีบเปิดประตู 


 


 


           “พรมแดนม่อเป่ยมีการเคลื่อนไหว ทัพเป่ยฉีคล้ายมีการโยกย้ายทหาร” เซี่ยอวิ๋นจี้ยื่นกระดาษให้อีกฝ่าย 


 


 


           เซี่ยม่อหานอ่านครู่หนึ่งแล้วเผยสีหน้านิ่งขรึม “เป็นดังที่คาดการณ์ เรื่องนี้สำคัญมาก ไปปรึกษา 


 


 


รัชทายาทก่อนดีกว่า” 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้ารับโดยไม่โต้แย้ง 


 


 


           เซี่ยม่อหานแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนไปยังเรือนพำนักของฉินอวี้พร้อมเซี่ยอวิ๋นจี้ 


 


 


           ในห้องของฉินอวี้จุดตะเกียงสว่าง เซี่ยม่อหานก้าวขึ้นมาเคาะประตู 


 


 


           “ประตูมิได้ลงกลอน เข้ามา” ฉินอวี้เอ่ยขึ้นจากในห้อง 


 


 


           เซี่ยม่อหานผลักประตูเดินเข้าไป พบว่าฉินอวี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะ ถือกระดาษจดหมายในมือฉบับหนึ่ง เขาชะงักไป “เหตุใดดึกดื่นป่านนี้รัชทายาทถึงยังไม่เข้านอน หรือท่านเองก็…” 


 


 


           “พวกเจ้ามาด้วยเรื่องพรมแดนม่อเป่ย” ฉินอวี้มองเซี่ยอวิ๋นจี้แล้วเอ่ยถาม 


 


 


           เซี่ยม่อหานผงศีรษะ “อวิ๋นจี้เพิ่งได้รับข่าวเมื่อครู่ บอกว่าที่พรมแดนม่อเป่ย ทัพเป่ยฉีมีการโยกย้ายทหาร ข่าวเมืองหลินอันคลี่คลายโรคห่าระบาดได้แล้วไม่น่าแพร่ไปถึงม่อเป่ยเร็วถึงเพียงนั้น ถึงแม้ข่าวไปถึงแล้ว แต่เมืองหลินอันนับว่าเพิ่งพ้นเคราะห์ ครั้งนี้ได้รับผลกระทบหนัก ยังมีหลายสิ่งต้องฟื้นฟู ในระหว่างนี้ประจวบเหมาะที่พวกเรากำลังเหนื่อยล้า หากเป่ยฉีมีเจตนาก่อสงคราม เวลานี้นับว่าเป็นโอกาสดีในการระดมกำลัง อีกอย่างตอนนี้ที่ม่อเป่ยยังไม่มีผู้บัญชาการ หากเกิดการระดมกำลัง น่ากลัวว่าเป็นศัตรูที่เป่ยฉีเตรียมการไว้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “วันก่อนตอนที่อวิ๋นจี้มาถึง เขาบอกข้าว่าท่านป้ามอบสายลับกองหนึ่งให้เขา เขาวางกำลังไว้ที่พรมแดนม่อเป่ยเพื่อจับตามองการเคลื่อนไหวของทัพเป่ยฉี ยามนี้ส่งข่าวกลับมา เป็นไปได้ว่าเป่ยฉีมีการระดมกำลังจริง” 


 


 


           “องค์รัชทายาทร้ายกาจดังคาด หัวใจอยู่ในกระท่อมหากแต่รอบรู้สถานการณ์ใต้หล้า ข่าวในเป่ยฉีเพิ่งมาถึงข้าเมื่อครู่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าเองก็ทราบข่าวแล้วเช่นกัน” หาได้ยากที่เซี่ยอวิ๋นจี้จะเลื่อมใสในตัวฉินอวี้ 


 


 


           “ข้าอยู่ม่อเป่ยมาครึ่งปี ย่อมมิได้ไปเฉยๆ ม่อเป่ยมีสายสอดแนมของข้าอยู่ พรมแดนเป็นการป้องกันของดินแดนตลอดมา ต้องจับตามองการเคลื่อนไหวเป็นพิเศษ” ใบหน้าฉินอวี้แฝงไปด้วยความเคร่งขรึมบ้างเช่นกัน  


 


 


           “รัชทายาทคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร” เซี่ยม่อหานถาม 


 


 


           “พี่อวิ๋นจึ้กลับมาจากวังหลวงเป่ยฉี ฮ่องเต้กับฮองเฮามีความคิดจะระดมกำลังก่อสงครามหรือไม่”  


 


 


ฉินอวี้มองไปยังเซี่ยอวิ๋นจี้  


 


 


           “บ้านเกิดท่านแม่คือหนานฉิน ย่อมไม่อยากเห็นสงครามระหว่างสองดินแดน ท่านพ่อแก่แล้วและรักท่านแม่มาก หลังช่วยนางจากด่านประตูผีมาได้ เพราะเกือบสูญเสียแต่ได้กลับคืนมาก็ยิ่งรับฟังมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีความคิดระดมกำลังอันใดแล้วเช่นกัน แต่ว่า…” เซี่ยอวิ๋นจี้เปลี่ยนน้ำเสียง “ข้าไม่ยอมกลับไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้นที่เป่ยฉี ตำแห่งจักรพรรดิคนต่อไปย่อมเป็นของฉีเหยียนชิง ด้วยความทะเยอทะยานของเขาจะยอมพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร” 


 


 


           “กล่าวเช่นนี้ ที่เป่ยฉีมีการโยกย้ายทหาร เป็นคำสั่งของฉีเหยียนชิง” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           “ใครจะรู้เล่า” เซี่ยอวิ๋นจี้แสดงท่าทีไม่อยากคลุกคลีด้วย “ตระกูลอวี้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในเป่ยฉี สนับสนุนฉีเหยียนชิงตลอดมา ในสายตาของราชสำนักและประชาชนเห็นองค์ชายฉีเหยียนชิงคนนี้เป็น 


 


 


รัชทายาท อีกอย่างที่ผ่านมาเขาก็วางตัวเป็น ไม่อวดดี นิ่งสุขุม ดำเนินการอย่างเป็นระเบียบ มีแต่ชื่อเสียงในด้านดี เทียบกับอวี้กุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาที่รู้จักเพียงความขัดแย้งนั้นต่างกันมากนัก” หยุดชั่วครู่แล้วแค่นหัวเราะ “แต่เพราะเขาได้รับการสั่งสอนจากแม่ข้าในหลายสิ่งมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน ตอนนี้เขาปีกกล้าขาแข็งแล้ว อยากฉวยโอกาสนี้ระดมกำลัง จะตัดสินใจเอาเองก็มิใช่เรื่อแปลกอันใด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนดูแลการบริหารราชสำนักเป็นส่วนใหญ่” 


 


 


           “หมายความว่าทัพเป่ยฉี เขามีอำนาจควบคุมด้วย” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           “กับอำนาจการทหารที่ม่อเป่ย องค์รัชทายาทเองก็มิใช่ว่ามีอำนาจควบคุมด้วยเช่นกันหรือ หากเจ้าสั่งโยกย้ายทหารก็ไม่จำเป็นต้องรายงานฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกระมัง ฉีเหยียนชิงมีพรสวรรค์โดดเด่นหลายด้านมาตั้งแต่เด็ก ทั้งอยากได้ตำแหน่งนั้น มีหรือจะไม่มีอำนาจควบคุม” เซี่ยอวิ๋นจี้ไม่ตอบแต่ย้อนถาม  


 


 


           “เป็นเหตุผลนี้” ฉินอวี้ผงกศีรษะ 


 


 


           “ข้าเดินทางไปม่อเป่ยเสียตอนนี้ดีกว่า หากมีการระดมกำลังจริง รัชทายาทมีแผนการรับมือหรือไม่” เซี่ยม่อหานถาม 


 


 


           “จื่อกุยเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง เช่นนี้แล้วกัน เจ้าอยู่จัดการงานต่อเนื่องในเมืองหลินอัน ส่วนข้าจะไปม่อเป่ยด้วยตัวเอง” ฉินอวี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


           “ม่อเป่ยอยู่ห่างจากตรงนี้ค่อนข้างไกล เป็นระยะทางพันลี้ ตอนนี้รัชทายาทต้องรับผิดชอบดูแลราชสำนัก ไหนเลยจะไปม่อเป่ยได้ง่ายๆ หากมีคนฉวยโอกาสก่อเหตุในหนานฉิน ไม่มีผู้ใดควบคุมสถานการณ์ได้จะทำเช่นไร ข้าได้พักร่างกายหนึ่งวันก็ดีขึ้นแล้ว ข้าไปม่อเป่ยเองดีกว่า เดิมราชสำนักมีคำสั่งให้ข้าไปรับช่วงต่อกองทัพที่ม่อเป่ย ข้าไม่รับปากว่าจะขับไล่กำลังคนของฉีเหยียนชิงได้ แต่ต้องควบคุมสถานการณ์ในกองทัพม่อเป่ยได้แน่นอน” เซี่ยม่อหานรีบส่ายหน้า  


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ “ดูท่าทำได้เพียงต้องรบกวนพี่จื่อกุยแล้ว” พูดจบ เขาก็เอ่ยขึ้นอีก  


 


 


“เหยียนเฉินเป็นพระมาตุลาน้อยแห่งเป่ยฉี เท่าที่ข้าทราบ อำนาจในตระกูลอวี้ส่วนใหญ่ถูกเขาช่วงชิงมาอย่างลับๆ ไม่รู้ว่าหากเขาทราบเรื่องนี้จะคิดเช่นไร” 


 


 


           “ข้าจะไปตามเหยียนเฉิน” เซี่ยม่อหานลุกขึ้น 


 


 


           เวลานี้หน้าประตูพลันเกิดการเคลื่อนไหว มีคนเดินมา 


 


 


           “จื่อกุยไม่ต้องไปแล้ว เหยียนเฉินมาแล้ว” ฉินอวี้กล่าว “น่าจะทราบข่าวแล้วเช่นกัน” 


 


 


           เซี่ยม่อหานรีบเดินไปเปิดประตูให้เอง ผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกคือเหยียนเฉินดังคาด 


 


 


           เหยียนเฉินประสานมือคำนับเซี่ยม่อหาน เซี่ยม่อหานรีบหลีกทางให้ “ข้ากับรัชทายาทและอวิ๋นจี้กำลังคุยกันเรื่องกองทัพม่อเป่ยกับเป่ยฉี ทั้งการเคลื่อนไหวโยกย้ายทหารและการระดมกำลัง กำลังคิดจะไปตามเจ้าอยู่พอดี มาได้ตรงจังหวะนัก” 


 


 


           “ข้าก็มาด้วยเรื่องนี้เช่นกัน” เหยียนเฉินพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง  

 

 


ตอนที่ 96 ขอทัพเมืองเสวี่ยเฉิง

 

         ฉินอวี้เห็นเหยียนเฉินก็ประสานมือคำนับ 


 


 


           เหยียนเฉินประสานมือคำนับตอบ 


 


 


           ฉินอวี้รอเหยียนเฉินนั่งลง มองหน้าเขาพลางถามขึ้น “ในเมื่อพระมาตุลาก็ทราบข่าวความเคลื่อนไหวระดมกำลังในพรมแดนเป่ยฉีแล้ว มิทราบว่ามีความคิดเห็นเช่นไร” 


 


 


           “แม้ข้ามีฐานะเป็นพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี แต่มิใช่ตัวแทนตระกูลอวี้ มิใช่ตัวแทนราชสำนักเป่ยฉี และมิใช่ตัวแทนองค์ชายฉีเหยียนชิง” เหยียนเฉินมองฉินอวี้กลับ ตอบเสียงเรียบ  


 


 


           “โอ้” ฉินอวี้มองเขา “เจ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าจะไม่สอดคำกับเรื่องนี้” 


 


 


           “ข้าทราบว่าเมื่อได้รับข่าวว่ากองทัพเป่ยฉีมีการเคลื่อนไหว รัชทายาทกับท่านโหวคงอยากพบข้าเป็นแน่ ข้าจึงมาเองโดยมิต้องไปเชิญ ข้ามาเพื่อบอกรัชทายาทว่าระหว่างนี้ข้าไม่มีแผนจะกลับเป่ยฉีแล้ว”  


 


 


เหยียนเฉินผงกศีรษะ  


 


 


           “ความหมายเจ้าคือยังอยู่ที่หนานฉิน” ฉินอวี้มองเขา 


 


 


           “ก่อนหน้านี้ข้ามีแผนจะกลับเป่ยฉี ดังนั้นจึงเดินทางไปม่อเป่ยพร้อมท่านโหวเซี่ย ไม่อยากถูกขังอยู่ที่เมืองหลินอันแล้ว ตอนนี้ที่ร่างกายฟางหวาทรุดหนักเช่นนี้ เป็นเพราะแผนการที่ข้าล่อผู้อยู่เบื้องหลังไปยังช่องแคบนั่น หลังท่านโหวได้ข่าวความเคลื่อนไหวของทัพเป่ยฉีย่อมต้องไปม่อเป่ยแน่นอน ข้าถือโอกาสไม่ติดตามไปด้วยแล้ว อยู่ที่นี่ดูแลฟางหวาแทน” เหยียนเฉินผงกศีรษะ 


 


 


           “ฟางหวาแม้มีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม แต่มิอาจรักษาตัวเองได้ พี่เหยียนเฉินอยู่ดูแลนางก็ดีเหมือนกัน”  


 


 


ฉินอวี้กล่าว 


 


 


           “นางไม่เห็นสุขภาพตนเองเป็นเรื่องสำคัญ เจ้าอยู่ด้วยก็ดีมาก” เซี่ยม่อหานเองก็พยักหน้าเห็นด้วย  


 


 


           “กล่าวเช่นนี้ เรื่องฉีเหยียนชิงระดมกำลังในพรมแดน เจ้าก็จะไม่ก้าวก่ายหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้ถามเหยียนเฉิน 


 


 


           “ข้าไม่อยู่เป่ยฉีหลายปี อำนาจครึ่งหนึ่งของตระกูลอวี้แม้อยู่ในกำมือข้า แต่ก็มิได้รวมถึงกองทัพด้วย ไม่ได้มีอำนาจยับยั้งกองทัพเป่ยฉีระดมกำลังออกรบมากนัก ถึงอยากยุ่งก็ทำมิได้” เหยียนเฉินพยักหน้า  


 


 


           “ข้ายิ่งไม่อยากยุ่งด้วย เพียงช่วยพี่ชายถ่วงเวลาออกไปเท่านั้น” เซี่ยอวิ๋นจี้ผายมือ กล่าวกับฉินอวี้ “พวกเจ้าเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์เหมือนกัน รัชทายาทตัดสินใจเองเถอะ” 


 


 


           “หากข้าไปม่อเป่ยด้วยตัวเองย่อมไม่กลัวฉีเหยียนชิง เพียงแต่จื่อกุยต้องไปรับช่วงต่อค่ายทหารม่อเป่ย หลายวันนี้เดิมทีทำงานหนักจนเหนื่อยล้า มิหนำซ้ำร่างกายเจ้าไม่แข็งแรงดี เกรงว่าเจ้าจะรับไม่ไหว” ฉินอวี้มองเซี่ยม่อหาน 


 


 


           “ก่อนเดินทางรัชทายาทได้มอบชูฉือให้ติดตามข้า เช่นนั้นให้เขาติดตามข้าต่อไปก็พอแล้ว ร่างกายข้ารับไหว รัชทายาทโปรดวางใจเถอะ” เซี่ยม่อหานกล่าว “องค์ชายฉีระดมกำลัง ข้าเองก็มิได้กลัวเขาเช่นกัน” 


 


 


           “ขอข้าคิดหน่อย หนานฉินมีทหารสามแสนนายตั้งมั่นที่ม่อเปย เป่ยฉีเองก็มีทหารสามแสนนายตั้งมั่นที่ม่อเป่ยเช่นกัน ทัพเป่ยฉีมีการเคลื่อนไหว เช่นนั้นส่วนที่เรายังไม่ได้รับรายงาน กองทัพส่วนอื่นที่อยู่ใกล้กับเป่ยฉีก็มีการเคลื่อนไหวด้วยหรือไม่” ฉินอวี้ไตร่ตรองพักหนึ่ง เม้มปากเอ่ยขึ้น “ข้าไปอยู่ม่อเป่ยครึ่งปี ได้มาแค่อำนาจการทหารสามแสนนายในม่อเป่ย แต่ส่วนอื่นในหนานฉินนั้น…” 


 


 


           เขาพูดถึงตรงนี้ก็ราวกับคิดบางอย่างได้ ทันใดนั้นก็หยุดชะงักลง 


 


 


           “มีอันใดหรือ เราเองก็โยกย้ายทหารในส่วนอื่นได้ด้วยหรือไม่” เซี่ยม่อหานถาม 


 


 


           “ระบบทหารในหนานฉินกับเป่ยฉีแตกต่างกัน เป่ยฉีแค่ขยับเพียงฝ่ายเดียวก็เคลื่อนไหวได้แปดฝ่าย ภายในรัศมีสองร้อยลี้ ผู้บัญชาการพรมแดนมีอำนาจระดมกำลังโยกย้ายตำแหน่งเข้ากองทัพได้เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายยากแก้ไข แต่ผู้บัญชาการที่พรมแดนหนานฉินไม่มีอำนาจนี้” ฉินอวี้ถอนหายใจ 


 


 


           เซี่ยม่อหานกระจ่างแจ้ง ถอนหายใจตามเช่นกัน 


 


 


           “หากนำตระกูลอวี้ในเป่ยฉีกับฮ่องเต้เป่ยฉีมาเทียบกับตระกูลเซี่ยในหนานฉินและราชสำนักหนานฉิน ความคิดของฮ่องเต้เป่ยฉีคืออยากควบคุมตระกูลอวี้ แต่มิได้อยากกำจัด หลายปีนี้ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิขุนนางและครอบครัวฝ่ายภรรยามีการยืดหยุ่นอย่างเหมาะสม แต่หนานฉินนั้นไม่เหมือนกัน เสด็จพ่อทรงระวังป้องกันตระกูลเซี่ยมาตลอดชีวิต ควบคุมกดดันทุกวิถีทาง และมีความคิดอยากกำจัดทิ้ง เพื่อควบคุมอำนาจการทหารในม่อเป่ยและอำนาจนายพล จึงมีการแบ่งเขตการปกครองโจว จวิ้น และเซี่ยนเพื่อบริหารปกครองกันเอง ไม่รับคำสั่งทางการทหารจากม่อเป่ย แม้ข้าส่งจดหมายให้เสด็จพ่อแล้วพระองค์ทรงมีพระราชโองการให้เพื่อนบ้านเข้าช่วยเหลือ แต่ก็เกรงว่าจะไม่ทันกาล ถึงทันก็แยกกันปกครองนานเกินไปแล้ว มิได้เป็นหนึ่งเดียวกันอีก” ฉินอวี้เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา  


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นหัวเราะ “มิน่าฉีเหยียนชิงถึงคว้าโอกาสนี้ระดมกำลัง ที่แท้นอกจากความวุ่นวายในหนานฉินทำให้มีโอกาสลงมือได้แล้ว ยังมีระบบทหารแบบนี้ในพรมแดนม่อเป่ยควบคุมอยู่” พูดจบ เขาก็มองไปยังเซี่ยม่อหาน “ข้าขอแนะนำ เจ้าขอลาออกจากราชการกับรัชทายาทเสียตอนนี้ดีกว่า ดูจากสถานการณ์แล้ว ถึงเจ้าไปก็ต้านฉีเหยียนชิงไม่ได้ เท่าที่ข้าทราบมา ในรัศมีเป่ยฉีสองร้อยลี้ หากรวมกำลังเข้าด้วยกันก็จะมีทหารอย่างน้อยสองแสนนาย รวมเป่ยฉีเข้าไปด้วยเป็นห้าแสนนาย ยังไม่รวมแผนการนอกเหนือจากนี้ของฉีเหยียนชิงอีก” 


 


 


           “อวิ๋นจี้ อย่าพูดจาไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ ตระกูลเซี่ยได้ปฐมจักรพรรดิฉินเชื้อเชิญเข้ามามีบทบาทในสังคม ต้องจงรักภักดีเป็นการตอบแทนบ้านเมือง ขอเพียงราชวงศ์ใช้ประโยชน์จากตระกูลเซี่ยได้ ตระกูลเซี่ยย่อมมิอาจปฏิเสธ หากบ้านเมืองวุ่นวาย ที่ใดจะเรียกว่าบ้านได้อีก” เซี่ยม่อหานมองเซี่ยอวิ๋นจี้แล้วส่ายหน้า  


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก มองไปยังฉินอวี้ “เมื่อครู่เจ้าคิดอันใดขึ้นได้ หาวิธีการได้แล้วหรือ ในเมื่อระบบทหารในหนานฉินมีช่องโหว่เช่นนี้ เจ้ามีฐานะเป็นรัชทายาท เหตุใดถึงไม่อุดช่องโหว่นั้น” 


 


 


           “ข้าเป็นรัชทายาท มิใช่ฮ่องเต้” ฉินอวี้ขมวดคิ้วตอบ 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ 


 


 


           “หากจะแก้ไขวิกฤตในม่อเป่ยได้ มีวิธีหนึ่งที่ได้ผลยิ่งหากแต่ทำยาก” ฉินอวี้มองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ  


 


 


           “วิธีใด” เซี่ยม่อหานรีบถาม 


 


 


           “ขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงนำกองกำลังแสนนายมาช่วย” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “เมืองเสวี่ยเฉิง” เซี่ยม่อหานแปลกใจ 


 


 


           “มิผิด เป็นเมืองเสวี่ยเฉิง เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างหนานฉินกับเป่ยฉี อยู่ภายใต้พรมแดนติดต่อระหว่างสองดินแดน แต่สองดินแดนไม่สนใจเรื่องอาณาเขต หนานฉินกับเป่ยฉีตั้งป้อมประจันหน้ากันมาเกือบสามร้อยปีแล้ว ทว่ากึ่งกลางดันเกิดเมืองเสวี่ยเฉิงขึ้น” ฉินอวี้กล่าว “เมืองเสวี่ยเฉิงสร้างกองกำลังแสนนายขึ้น หากขอยืมกองทัพจากที่นั่น ฉีเหยียนชิงต้องไม่กล้าระดมกำลังในเป่ยฉีอีกเป็นแน่” 


 


 


           “เจ้าพูดได้น่าฟังนัก แต่ทหารเมืองเสวี่ยเฉิงหยิบยืมได้ง่ายถึงเพียงนั้นหรือ แค่เจ้าเอ่ยปากก็ขอยืมกองทัพได้แล้วรึ ผู้คนใต้หล้าต่างปิดปากเงียบเมื่อเอ่ยถึงเมืองเสวี่ยเฉิง คนที่นั่นมิใช่คน แต่เป็นคนเสียสติ เจ้าเมืองเองก็เป็นคนเสียสติเช่นกัน ผู้คนที่อาศัยในเมืองถ้ามิใช่คนชั่วช้าสามานย์ก็เป็นโจรสลัด มีแต่คนเลวเต็มไปหมด” เซี่ยอวิ๋นจี้กลอกตา  


 


 


           “ข้าก็มิได้บอกว่าง่าย” ฉินอวี้กล่าว “ข้าแค่บอกว่าเป็นวิธีการที่ได้ผล แต่ยากกระทำได้” 


 


 


           “หากจะขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงช่วยเหลือได้สำเร็จนั้นยากมาก หนานฉินกับเป่ยฉีปกครองราชสำนักมานานถึงเพียงนี้แล้ว พรมแดนเกิดการปะทะขัดแย้งเป็นบางครั้ง แต่ทั้งสองดินแดนก็ไม่กล้าทำอันใดเมืองเสวี่ยเฉิงง่ายๆ ทหารแสนนายในเมืองเสวี่ยเฉิงสามารถต่อต้านทหารสามแสนนายได้ หนึ่งเมืองต้านเขตชายแดนของหนึ่งดินแดนได้ หิมะโปรยตลอดปี ตกลงมาดั่งทองคำ” เซี่ยม่อหานกล่าว “ถึงแม้ยากลำบาก แต่ไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องเชิญมาให้ได้” 


 


 


           ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           “รัชทายาท เช่นนี้เถิด ข้ารีบออกเดินทางไปม่อเป่ย หลังไปถึงม่อเป่ยและปลอบขวัญทหารให้มั่นคงได้แล้ว จะรีบไปขอกองทัพช่วยเหลือที่เมืองเสวี่ยเฉิงด้วยตัวเอง” เซี่ยม่อหานประสานมือกล่าว 


 


 


           “ฟังว่าเจ้าเมืองแม้เป็นคนไม่ปกติ ออกไพ่โดยขัดกับหลักความถูกต้อง แต่เทิดทูนตระกูลเซี่ยมาโดยตลอด เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะเขียนจดหมายส่วนตัวฉบับหนึ่งให้จื่ยกุยนำติดตัวไปด้วย หากมีเจ้าไปด้วยตัวเอง ผนวกกับมีจดหมายลายมือของข้า หากโน้มน้าวใจเจ้าเมืองได้ก็ดียิ่ง แต่หากไม่เป็นผลก็พอถ่วงเวลาได้สองวัน ข้าจะรีบส่งจดหมายลับให้เสด็จพ่อว่าพรมแดนขอความช่วยเหลือเร่งด่วน ขอให้พระองค์มีพระราชโองการแก้ไขระบบทหาร ขณะเดียวกันก็จะโยกย้ายทหารจากในราชสำนักไปสมทบกับเจ้าที่ม่อเป่ย เพียงแต่ในระหว่างที่กองกำลังสนับสนุนยังไปไม่ถึง ได้แต่ต้องลำบากเจ้าแล้ว” ฉินอวี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น  


 


 


           “ขอเพียงปกป้องบ้านเมืองได้ ถึงลำบากหน่อยก็ไม่ปฏิเสธ” เซี่ยม่อหานผงกศีรษะ “ข้าได้ยินว่าเจ้าเมืองกับรัชทายาทเคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งที่ม่อเป่ย เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน” 


 


 


           “หวังก็แต่เจ้าเมืองจะยอมออกทัพเพราะเห็นแก่การพบหน้ากันครั้งหนึ่ง” ฉินอวี้กล่าว 


 


 


           “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้ากลับไปเก็บสัมภาระก่อน ออกเดินทางคืนนี้” เซี่ยม่อหานลุกขึ้นยืน  


 


 


           ฉินอวี้ผงกศีรษะ 


 


 


           เซี่ยม่อหานออกไปจากห้อง 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้หาวหวอด “ข้ากลับไปนอนต่อแล้ว” พูดจบก็ลุกตามหลังเซี่ยม่อหานออกไป 


 


 


           ภายในห้องเหลือเพียงเหยียนเฉินกับฉินอวี้ 


 


 


           “หอเทียนจีเก๋อที่พระมาตุลาสร้างขึ้นคล้ายว่าไปมาหาสู่กับเมืองเสวี่ยเฉิงบ่อยครั้งในช่วงนี้ เจ้าดำเนินการลับๆ ตลอดเวลา คงมีไมตรีกับเจ้าเมืองเสวี่ยเฉิงบ้างกระมัง มิทราบว่าเจ้าคิดว่าม่อหานเดินทางไปขอร้องครั้งนี้ เมืองเสวี่ยเฉิงจะยอมออกทัพช่วยเหลือหรือไม่” ฉินอวี้มองไปยังเหยียนเฉิน  


 


 


           “ในอดีตเจ้าเมืองเสวี่ยเฉิงให้ความเคารพตระกูลเซี่ยมากนั้นย่อมมีสาเหตุ สมัยนั้นเมืองเสวี่ยเฉิงประสบภัยพิบัติจากหนอนแมลงชนิดหนึ่งที่เกิดจากหิมะ หนอนหิมะชนิดนั้นกินธัญพืชเป็นอาหารโดยเฉพาะ หลังเจ้าเมืองทราบก็นำคนไปช่วยกันจับหนอน ละลายหิมะในเมืองเสวี่ยเฉิงทั้งหมด หลังถอนรากถอนโคลนหนอนหิมะได้แล้วถึงพบว่าเมืองเสวี่ยเฉิงขาดแคลนธัญพืช ตอนนั้นยังไม่มีการแบ่งจวนแหล่งธัญพืชและจวนโรงเก็บเกลือ ตระกูลเซี่ยรวมกันเป็นหนึ่ง เกลือและธัญพืชใต้หล้าเกิดจากตระกูลเซี่ย ดังนั้นเจ้าเมืองจึงเดินทางไปพบตระกูลเซี่ยด้วยตัวเอง เพื่อขอให้ผู้นำตระกูลเซี่ยช่วยเหลือ ท่านผู้นำมอบธัญพืชหนึ่งล้านตันให้เมืองเสวี่ยเฉิง เมืองเสวี่ยเฉิงจึงผ่านพ้นวิกฤตการณ์นั้นมาได้” เหยียนเฉินกล่าว “ท่านโหวเซี่ยไปขอให้เจ้าเมืองเสวี่ยเฉิง 


 


 


ออกทัพเอง เนื่องจากเขาเป็นทายาทจวนจงหย่งโหวแห่งตระกูลเซี่ย มีความสัมพันธ์นี้อยู่ น่าจะมีโอกาสสำเร็จห้าส่วน” 


 


 


           “ข้าก็เห็นว่าจวนจงหย่งโหวแห่งตระกูลเซี่ยกับเมืองเสวี่ยเฉิงมีความเป็นมาเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงขอให้พี่จื่อกุยเดินทางไปเอง แต่ข้าก็ยังไม่สบายใจนัก ถึงอย่างไรก็มีอุปสรรคตรงความขัดแย้งระหว่างสองดินแดน เมืองเสวี่ยเฉิงไม่เคยมีส่วนร่วมในกฎการบริหารกองทัพระหว่างสองดินแดนเลย ไม่น่าจะโน้มน้าวใจได้ง่ายขนาดนั้น” ฉินอวี้พยักหน้า  


 


 


           “ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความมุมานะของคน บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์ลิขิต” เหยียนเฉินยิ้ม 


 


 


           “ข้าคิดว่าพระมาตุลาเกิดมาในตระกูลอวี้ ฉีเหยียนชิงนับว่าเป็นหลานชายแท้ๆ ของพระมาตุลา ข้านึกว่าพระมาตุลาจะเข้าข้างตระกูลอวี้เสียอีก” ฉินอวี้มองเหยียนเฉิน  


 


 


           “ข้าเกิดมาในตระกูลอวี้ก็จริง ฉีเหยียนชิงเป็นหลานชายข้าก็มิผิด แต่หลายปีมานี้ในใจข้ามีเพียงหอเทียนจีเก๋อเท่านั้นที่เป็นบ้าน” เหยียนเฉินลุกขึ้น “ใต้หล้าสงบสุขเกินไปมาสามร้อยปี บางคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมานานแล้ว ถ้าคิดระดมกำลังก่อสงคราม ผู้ที่จะประสบความทุกข์ยากมีแต่ประชาชน” พูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกไป 


 


 


           ฉินอวี้มองส่งเหยียนเฉินออกไปจากห้องจนลับตา เขานั่งบนเก้าอี้เพียงลำพัง เม้มปากเล็กน้อย ใบหน้านิ่งขรึม 


 


 


           หลังเซี่ยม่อหานกลับมาที่ห้องก็สั่งงานทิงเหยียนเก็บข้าวของ ส่วนตนเองไปหาเซี่ยฟางหวาที่ห้อง 


 


 


           “ท่านโหว ไฉนถึงมาหาดึกดื่นป่านนี้ มีเรื่องใดหรือเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ฟื้นเลย” พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นเซี่ยม่อหานมาก็รีบทำความเคารพ  


 


 


           “ทัพเป่ยฉีมีการระดมกำลัง ข้าต้องรีบเดินทางไปม่อเป่ยจึงมาหานางก่อน” เซี่ยม่อหานกล่าว 


 


 


           “แล้วร่างกายท่าน…” พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อตกใจ  


 


 


           “ไม่มีปัญหา” เซี่ยม่อหานพูดพลางก็เดินเข้าไปข้างใน 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบจุดตะเกียง 


 


 


           เซี่ยฟางหวายังคงนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดบ้างแล้ว แต่ยังคงหลับลึก 


 


 


           “ดูจากตอนนี้ พรุ่งนี้นางคงยังไม่ฟื้น” เซี่ยม่อหานยืนถอนหายใจหน้าเตียง  


 


 


           “เมื่อพลบค่ำคุณชายเหยียนเฉินมาดูอาการ บอกว่าคุณหนูน่าจะฟื้นเย็นพรุ่งนี้เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ามองเขา “ท่านโหว ท่านจะรีบเดินทางไปทั้งแบบนี้เลยหรือ คุณหนูยังมิได้พบท่านเลย” 


 


 


           “ข้าเห็นนางปลอดภัยก็สบายใจแล้ว เหยียนเฉินไม่ไปม่อเป่ยกับข้าด้วยแต่จะอยู่ที่นี่ มีเขาอยู่ดูแลนาง ข้าก็เบาใจขึ้นมาก” เซี่ยม่อหานกล่าว 


 


 


           “แล้วท่านเล่า ร่างกายท่านก็ต้องพักฟื้นเช่นกัน” ซื่อฮว่ารีบกล่าว 


 


 


           “ชูฉือจะไปม่อเป่ยกับข้าด้วย” เซี่ยม่อหานตอบ 


 


 


           ผิ่นจู๋ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นหัวเราะในลำคอแผ่วเบา “ชูฉือนอกจากไม่ชอบคุณหนูของเราแล้วยังมีประโยชน์ใดอีก หากไม่มีคุณชายเหยียนเฉิน วิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันคงยังไม่คลี่คลายเลย แม้แต่เทียบยาเขายังทำมิได้” 


 


 


           “วิชาแพทย์ของชูฉือเทียบเหยียนเฉินไม่ได้ก็จริง แต่เรื่องสมุนไพรก็ไม่ได้ด้อย อีกอย่างเขายังมีฐานะและความสามารถอื่น นำสิ่งต่างกันมาเทียบกันไม่ได้หรอก มีเขาไปกับข้าด้วย ร่างกายข้าไม่เป็นปัญหาแน่นอน” เซี่ยม่อหานมองผิ่นจู๋แวบหนึ่ง  


 


 


           ผิ่นจู๋ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบลง 


 


 


           “พอนางฟื้นแล้วพวกเจ้าช่วยบอกนางแทนข้าด้วย ห้ามนางทำตามอำเภอใจอีก ต้องพักรักษาตัวให้หายดี” เซี่ยม่อหานพูดจบ ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นอีก “และบอกนางไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าดูแลตัวเองได้ หากนางทำให้ร่างกายทรุดลงอีก ข้ากับท่านปู่จะยิ่งเป็นห่วงนาง” 


 


 


           “เจ้าค่ะ” พวกซื่อฮว่าผงกศีรษะรับคำ 


 


 


           เซี่ยม่อหานอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง ก่อนออกมาจากเรือนของเซี่ยฟางหวา 


 


 


           ทิงเหยียนเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เซี่ยม่อหานตรวจสอบผู้คุ้มกันที่นำมาจากจวนจงหย่งโหวอีกครั้ง ก่อนเดินทางออกจากเมืองกลางดึก 


 


 


           ฉินอวี้มาส่งเซี่ยม่อหานออกเดินทางด้วยตัวเอง ก่อนจากได้บอกเขาว่า “พี่จื่อกุย ยังมีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้คุยกับเจ้า ตอนนี้ขอพูดเพียงคร่าวๆ แล้วกัน” 


 


 


           “รัชทายาทเชิญพูดมา” เซี่ยม่อหานรีบกล่าว 


 


 


           “ฟางหวาตอบตกลงกับข้าแล้ว เมื่อข้าถอนหมั้นกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ข้าจะไปสู่ขอนางด้วยพิธีการของชายารัชทายาท” ฉินอวี้มองเขาแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


           เซี่ยม่อหานตกใจ มองฉินอวี้อย่างไม่อยากเชื่อ 


 


 


           “เจ้าฟังไม่ผิด ข้ามิได้โกหก มีเรื่องนี้จริง ดังนั้นเจ้าไปค่ายทหารม่อเป่ยครั้งนี้โปรดทำใจให้สบาย ขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงออกทัพได้ก็ดีมาก แต่หากไม่เป็นผล ข้าจะคิดหาวิธีการถอนกำลังของฉีเหยียนชิงออกไปให้ได้ ไม่ยอมให้ทหารเป่ยฉีย่างกรายเข้ามาในค่ายทหารม่อเป่ยเป็นอันขาด เจ้าไปครั้งนี้ขอให้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องถือเคร่งหรือพะว้าพะวงเรื่องระบอบปกครองและกฎวินัย” ฉินอวี้พยักหน้ายืนยันกับเขา  


 


 


           เซี่ยม่อหานตกตะลึงไปพักหนึ่ง อ้าปากค้าง ทว่าเอ่ยคำใดไม่ออก 


 


 


           “นี่เป็นป้ายคำสั่งของข้า เห็นป้ายก็เหมือนได้พบข้า หากมีทหารคนใดไม่ฟังคำสั่งเจ้าก็จัดการได้เต็มที่” ฉินอวี้ยื่นป้ายคำสั่งให้เซี่ยม่อหาน 


 


 


           เซี่ยม่อหานอยากกล่าวบางอย่าง ทว่าเห็นสีหน้าของฉินอวี้แล้วก็เงียบเสียงลง พยักหน้าเชื่องช้าแล้วรับป้ายคำสั่งมา “ในเมื่อนางตอบตกลงแล้วข้าก็ไม่สอดปากอีก ที่ผ่านมานางมีความคิดเป็นของตัวเอง หวังว่า 


 


 


รัชทายาทจะดูแลนางให้ดี” 


 


 


           “แน่นอน” ฉินอวี้ผงกศีรษะ 


 


 


           เซี่ยม่อหานประสานมือลา ไม่พูดมากความก็พลิกกายขึ้นม้า 


 


 


           ฉินอวี้เรียกชูฉือมากำชับ “ดูแลสุขภาพจื่อกุยให้ดี ไม่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ใดต้องคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยก่อน” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยเสริม “เรื่องที่รับปากเจ้าไว้ข้ายังจำได้ เจ้าวางใจเถอะ” 


 


 


           “รัชทายาทเองก็วางใจได้เช่นกัน” ชูฉือผงกศีรษะก่อนพลิกกายขึ้นม้าด้วย 


 


 


           ฉินอวี้โบกมือลา เซี่ยม่อหานกับชูฉือนำคนเดินทางออกจากเมืองหลินอัน  

 

 


ตอนที่ 97-1 ถูกขังในอาณาเขตลับ

 

           หลังเซี่ยม่อหานออกเดินทางในช่วงกลางคืน ฉินอวี้ก็เรียบเรียงจดหมายฉบับหนึ่งโดยด่วน สั่งคนขี่ม้าเร็วนำจดหมายมาส่งที่เมืองหลวงด้วยความเร็วสูงสุด


 


 


           วันที่สอง กระแสข่าวเซี่ยฟางหวาได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากการตามหาสมุนไพรดำม่วง รวมถึงวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันคลี่คลายลงแล้วก็แพร่กลับมาถึงเมืองหลวงหนานฉิน


 


 


           ภาคราชสำนักและประชาชนต่างดีอกดีใจเกรียวกราว


 


 


           วิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันคลี่คลายลงแล้ว รัชทายาทปลอดภัย ผู้ที่ดีใจที่สุดย่อมเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายโดยไม่ต้องสงสัย เขาเข้าวังไปทูลรายงานข่าวดีต่อฮ่องเต้ตั้งแต่เช้าตรู่


 


 


           ฮ่องเต้ทรงได้ยินว่ารักษาโรคห่าในเมืองหลินอันได้แล้ว วิกฤตการณ์คลี่คลายลงก็เกิดความสุขเกษมเช่นกัน ทว่าเมื่อทรงทราบว่าสมุนไพรดำม่วงได้เซี่ยฟางหวาเป็นคนหาพบก็อดย่นพระขนงมิได้ ตรัสถามเสนาบดีฝ่ายซ้าย “ข่าวได้รับการยืนยันแล้วหรือ สมุนไพรดำม่วงได้เซี่ยฟางหวาเป็นคนหาพบจริงรึ”


 


 


           “ทูลฝ่าบาท คุณหนูฟางหวาเป็นคนหาพบพ่ะย่ะค่ะ ฟังว่าคุณหนูฟางหวากับรัชทายาทร่วมมือกัน กำจัดผู้อยู่เบื้องหลังก่อเหตุวุ่นวายในเมืองหลินอันที่ภูผาวกวน สมุนไพรดำม่วงถูกขนส่งไปที่เมืองหลินอันทางน้ำผ่านธาราคดเคี้ยวก่อนแล้ว แผนการหลอกล่อแยบยล กล้าหาญดีเดือด รัชทายาทมิได้รับบาดเจ็บ ปลอดภัยไร้กังวล ฟังว่าคุณหนูฟางหวาได้รับบาดเจ็บสาหัส จนถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้นพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว


 


 


           ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ก่อนแค่นหัวเราะแผ่วเบา “เห็นแก่เซี่ยฟางหวาช่วยเหลือเมืองหลินอัน ความผิดที่ผ่านมาเราก็จะไม่สืบสาวเอาความแล้วกัน”


 


 


           “ทำถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายดีใจจนไม่เป็นตัวเอง


 


 


           “รัชทายาทไม่ทำให้เราผิดหวัง” ฮ่องเต้ทรงเดินรอบตำหนักสองรอบ ทันใดนั้นก็ตรัสถามขึ้น “ไม่ถูกต้อง ฉินเจิงกับชุยอี้จือเล่า พวกเขาออกไปตามหาสมุนไพรดำม่วง ตอนนี้มีข่าวคราวบ้างหรือไม่“


 


 


           “ทูลฝ่าบาท ยังไม่มีข่าวคราวของท่านอ๋องน้อยเจิงกับรองราชเลขาชุยพ่ะย่ะค่ะ ทั้งสองคล้ายกับว่ามิได้ไปเมืองหลินอัน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้า


 


 


           “แล้วสองคนนั้นไปที่ใด” ฮ่องเต้มีพระพักตร์เคร่งขรึม


 


 


           “คนของกระหม่อมลอบติดตามทั้งสองออกเดินไปอย่างลับๆ พบว่าร่องรอยหายไปในผาไน่เหอ


 


 


พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว “ด้วยเหตุนี้จึงไร้ซึ่งข่าวคราว”


 


 


           “ผาไน่เหอ” ฮ่องเต้ทรงมองเสนาบดีฝ่ายซ้าย


 


 


           “เป็นผาไน่เหอ ผาไน่เหอที่ตกจากตรงนี้ก็ทำอันใดมิได้แล้ว วิญญาณดับสู่สรวงสวรรค์ชั้นเก้า มีความสูงหมื่นจั้ง ขนาดนกยังบินผ่านลำบาก พวกสัตว์ล้วนมิกล้าอาศัยตรงนั้น ไม่ว่าคนหรือสัตว์หากตกลงไปใน


 


 


ผาไน่เหอ ตายหมื่นครั้งก็มิอาจรอดชีวิต” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว


 


 


           “ฉินเจิงกับชุยอี้จือไปทำอันใดที่นั่น หากพวกเขาไปเมืองหลินอัน ไม่จำเป็นต้องผ่านผาไน่เหอกระมัง” ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็มีพระพักตร์เคร่งขรึมเล็กน้อย


 


 


           “หากจะไปเมืองหลินอันมิจำเป็นต้องผ่านผาไน่เหอ แต่จุดมุ่งหมายที่พวกเขาออกเดินทางก็เพื่อสมุนไพรดำม่วง ทั้งหนานฉินมีเพียงเซี่ยอวิ๋นหลานแห่งจวนแหล่งธัญพืชเท่านั้นที่มีสมุนไพรดำม่วงอยู่ในมือ พวกเขาต้องหาตัวเซี่ยอวิ๋นหลานและจ้าวเคอซึ่งเป็นคนติดตาม” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็สงสัย “แต่กระหม่อมเดามิออกว่าเหตุใดถึงไปผาไน่เหอ หรือว่าเซี่ยอวิ๋นหลานอยู่ที่นั่น แต่คุณหนูฟางหวากับรัชทายาทได้สมุนไพรดำม่วงมาจากที่ใด”


 


 


           “ผาไน่เหอมีคนอาศัยอยู่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถาม


 


 


           “เมื่อครู่กระหม่อมบอกไปแล้ว อย่าว่าแต่คนเลย รัศมีหลายลี้โดยรอบผาไน่เหอไม่มีแม้แต่สัตว์สักตัวเลยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้า


 


 


           “แล้วพวกเขาไปทำอันใดที่ผาไน่เหอ เซี่ยอวิ๋นหลานจะไปอยู่ที่ผาไน่เหอได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงฉงนใจ


 


 


           “นี่ต้องรอจนกว่าจะติดต่อกับท่านอ๋องน้อยเจิงได้ หลังเขากลับมาถึงจะทราบพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเช่นกัน


 


 


           “ท่านพี่เล่า เขาได้ข่าวคราวบ้างหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามอีก


 


 


           “ท่านก็ทราบว่ากระหม่อมเป็นห่วงรัชทายาท หลังท่านอ๋องน้อยเจิงกับรองราชเลขาชุยออกเดินทาง สองวันนี้กระหม่อมก็อยู่กับท่านอ๋องตลอดเวลา ท่านอ๋องน้อยเจิงมิได้ส่งข่าวกลับมาหาท่านอ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตอบ


 


 


           “ช่างเถอะ ในเมื่อวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันคลี่คลายแล้ว รัชทายาทเองก็ปลอดภัยดี เท่านี้เราก็สบายใจแล้ว ส่วนฉินเจิงกับชุยอี้จือถ้ายังติดต่อไม่ได้ก็ไม่ต้องสนใจก่อน” ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็โบกพระหัตถ์


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้า สำหรับเขาแล้วขอเพียงรัชทายาทปลอดภัยก็อามิตาพุทธแล้ว


 


 


           จักรพรรดิกับขุนนางสนทนากันต่ออีกพักหนึ่ง เมื่อเวลาว่าราชการยามเช้ามาถึง เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไปยังตำหนักจินหลวนพร้อมกับฮ่องเต้


 


 


           บรรดาขุนนางเองก็ทราบข่าววิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันคลี่คลายได้แล้วเช่นกัน ต่างส่งเสียงอวยพรด้วยความดีใจว่าขอฝ่าบาทกับรัชทายาททรงเกษมล้ำยิ่งฟ้า


 


 


           ความอึดอัดกลัดกลุ้มที่ทรงเก็บไว้ในพระราชหฤทัยของผู้เป็นฮ่องเต้ที่สุดแล้วก็คลายลง ตรัสว่าเมื่อ


 


 


รัชทายาทเสด็จกลับเมืองแล้วจะจัดงานเลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จรางวัลให้ ทั้งชื่นชมองค์ชายแปดว่าดูแลราชสำนักได้อย่างมั่นคงในหลายวันนี้ การทำงานมีความพัฒนา ทำได้มิเลว ควรประกาศยกย่องสรรเสริญ


 


 


           องค์ชายแปดฉินชิงซับเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก สองวันนี้เขาอกสั่นขวัญแขวนตลอดเวลา กลัวว่าทั้งในและนอกเมืองหลวงจะเกิดเหตุร้ายขึ้นอีก โชคดีที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา อิงชินอ๋อง และหย่งคังโหวกับทุกคนคอยช่วยเหลือ ประคับประคองไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีก ยามนี้วิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันคลี่คลายลงแล้วเขาก็เบาใจลง ก้าวออกมาเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อ ลูกมิกล้ารับคำชมเชยหรอก หากไม่มีขุนนางทุกท่านคอยช่วยเหลือลูกอย่างเต็มที่ ลูกยังเด็กอ่อนประสบการณ์ ยังไม่เหมาะที่จะรับผิดชอบดูแลการบริหารราชสำนัก”


 


 


           ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็พยักพระพักตร์ “องค์ชายแปดไม่ถือว่าเป็นความดีความชอบของตน เราปลื้มใจมาก เจ้ายังเด็กอ่อนประสบการณ์ก็จริง ยังต้องฝึกฝนการบริหารราชสำนักมากกว่านี้” ตรัสจบก็ปรายพระเนตรมองบรรดาขุนนาง “หลายวันนี้เราร่างกายไม่แข็งแรงพอ ลำบากขุนนางทุกท่านช่วยบริหารราชสำนักแล้ว วันนี้วิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอันคลี่คลายลง ยามอู่*เราจะจัดงานเลี้ยงที่อุทยานหลวง ขอเชิญขุนนางทุกท่านด้วย”


 


 


           “ขอบพระทัยฝ่าบาท” บรรดาขุนนางค้อมศีรษะแสดงความขอบคุณ


 


 


           หลังว่าราชการยามเช้าจบลง ข่าวว่าฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงที่อุทยานหลวงก็แพร่ออกไป ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักล้วนอยู่รอในวังหลวง มุ่งหน้าไปยังอุทยานหลวงเพื่อรอให้ยามอู่มาถึง


 


 


           กระทั่งถึงยามอู่ งานเลี้ยงเพิ่งเริ่มต้นขึ้น นางรำเพิ่งเริ่มทำการแสดง พลันมีคนก็ถวายการรายงาน


 


 


“ฝ่าบาท จดหมายเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เสียงนี้ดังอย่างยิ่ง ขุนนางทั้งหมดผงะตกใจ


 


 


           ฮ่องเต้ทรงนั่งบนตำแหน่งสูงสุด สิ้นเสียงก็เผยพระพักตร์เคร่งขรึม “นำขึ้นมา”


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นนำจดหมายราชการด่วนถวายต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้


 


 


           อู๋เหยียนพักรักษาตัวหลายวันจนขยับตัวได้บ้างแล้ว เขาเดินกะเผลกลงบันได รับจดหมายราชการด่วนมาถวายให้ฮ่องเต้


 


 


           ฮ่องเต้ทรงเปิดจดหมายอ่าน พระพักตร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


 


           บรรดาขุนนางมองฮ่องเต้ นางรำหยุดร่ายรำ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงขึ้นในอุทยานหลวง


 


 


           พักใหญ่ถัดมาฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม “รัชทายาทส่งรายงานด่วนมาว่า กองทัพเป่ยฉีมีการโยกย้ายทหาร” ตรัสจบพระองค์ก็ทรงยื่นจดหมายกลับไปให้อู๋เฉวียน “นำลงไป ส่งให้ท่านพี่กับขุนนางทุกท่านอ่าน”


 


 


           อู๋เฉวียนรับคำ นำจดหมายยื่นไปให้อิงชินอ๋อง เมื่ออิงชินอ๋องอ่านจบก็ส่งให้เสนาบดีฝ่ายขวา เมื่อเสนาบดีฝ่ายขวาอ่านจบก็ส่งให้เสนาบดีฝ่ายซ้าย เมื่อเสนาบดีฝ่ายซ้ายอ่านจบก็ส่งให้หย่งคังโหว เมื่อหย่งคังโหวอ่านจบแล้วก็ส่งต่อไปตามลำดับ


 


 


           บรรดาขุนนางพากันเงียบกริบ บรรยากาศที่เคยรื่นเริงอันตรธานหายไปโดยพลัน อุทยานหลวงตกอยู่ในความเงียบสงัด

 

 

 


ตอนที่ 97-2 ถูกขังในอาณาเขตลับ

 

“ออกไปให้หมด” ฮ่องเต้ไม่มีกระจิตกระใจจะชมนางรำแล้วเช่นกัน ยกพระหัตถ์ไล่


 


 


           เหล่านางรำรีบกลับออกไป


 


 


           “เนื้อความในจดหมายของรัชทายาท ขุนนางทุกท่านคงได้อ่านกันหมดแล้ว ท่านโหวเซี่ยออกเดินทางไปยังม่อเป่ยตั้งแต่กลางดึกที่ผ่านมา แต่ถึงขี่ม้าเร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาถึงห้าวันกว่าจะไปถึง ห้าวันนี้ม่อเป่ยไร้ผู้บัญชาการ แต่ผู้บัญชาการของเป่ยฉีเป็นไปได้สูงว่าคือองค์ชายฉีเหยียนชิง ฟังว่าโอรสคนนี้มีกลยุทธ์การทหารเป็นเลิศ เข้าใจประชาชนและขวัญทหารดี เขานั่งบัญชาการกองทัพเป่ยฉี ตอนนี้มีการเคลื่อนไหวระดมกำลัง ดูท่าคงฉวยโอกาสที่หนานฉินเกิดเหตุวุ่นวายคิดอยากยกทัพรุกราน” ฮ่องเต้ทรงมองขุนนางทั้งหมดแล้วตรัสขึ้น “รัชทายาททราบข่าวเมื่อคืน เหยี่ยวที่บินไวที่สุด จากม่อเป่ยถึงหลินอันต้องใช้เวลาหนึ่งวัน หมายความว่ารอจนท่านโหวเซี่ยไปถึงม่อเป่ยก็อีกเจ็ดวันข้างหน้า”


 


 


           ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน


 


 


           “เจ็ดวันข้างหน้ามีผลลัพธ์อย่างไร ขุนนางทุกท่านคงนึกออกใช่ไหม” ฮ่องเต้ทรงยกพระหัตถ์ทุบโต๊ะ “เจตนาของเป่ยฉีมิอาจคาดคะเนได้ ตอนนี้เริ่มระดมกำลัง ใช่อธิบายได้ว่าเหตุความวุ่นวายในหนานฉิน ล้วนเป็นฝีมือของเป่ยฉียุยงปลุกปั่นเบื้องหลังหรือไม่”


 


 


           ทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงขึ้น           


 


 


           “เสด็จพี่ ท่านคิดเห็นเช่นไร” ฮ่องเต้ทรงมองอิงชินอ๋อง


 


 


           “ความวุ่นวายทั้งในและนอกหนานฉินช่วงที่ผ่านมาใช่ฝีมือของเป่ยฉีหรือไม่ยังต้องรอการตรวจสอบให้กระจ่าง กองทัพเป่ยฉีมีการโยกย้ายทหารและมีแนวโน้มว่าระดมกำลังยังมิเป็นรูปธรรม ในเมื่อท่านโหวเซี่ยเดินทางไปแล้ว รัชทายาทขอให้ฝ่าบาทแก้ไขระบบทหาร โยกย้ายทหารและอาวุธในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบม่อเป่ยเพื่อสนับสนุนท่านโหวเซี่ย ตามความเห็นของกระหม่อม รัชทายาททำถูกแล้ว ฝ่าบาทรีบออกพระราชโองการเถิด” อิงชินอ๋องลุกขึ้นด้วยสีหน้ากังวล ประสานมือคารวะฮ่องเต้


 


 


           “แก้ไขระบบทหารเป็นเรื่องใหญ่ ไหนเลยจะแก้ไขง่ายๆ” ฮ่องเต้ทรงย่นพระขนง มองไปยังคนอื่นๆ


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ยินเช่นนั้นก็ก้าวออกจากแถว “ฝ่าบาท หากความวุ่นวายต่อเนื่องกันในหนานฉินเป็นฝีมือของเป่ยฉีจริง เช่นนั้นเป่นฉีฉวยโอกาสระดมกำลัง แผนรับมือของหนานฉินเองก็มิควรล่าช้า กระหม่อมเห็นด้วยกับท่านอ๋อง คิดว่ารัชทายาทกล่าวมีเหตุผลแล้ว ระบบทหารของเป่ยฉีกับหนานฉินแตกต่างกัน หาก


 


 


ฉีเหยียนชิงโยกย้ายกำลังทหารทั่วเป่ยฉี พรมแดนม่อเป่ยของเรามีทหารเพียงสามแสนนาย ระหว่างที่ยังไร้ผู้บัญชาการย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ด้วย หากพรมแดนถูกยึด เป่ยฉีคว้าชัยแล้วบุกประชิดเข้ามาได้อย่างราบรื่น ขี่ม้าย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตหนานฉิน ผลลัพธ์มิอาจจินตนาการได้เลยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


 


 


           “กระหม่อมเองก็คิดว่าที่รัชทายาทเสนอให้มีการแก้ไขระบบทหารมีเหตุผล” เสนาบดีฝ่ายขวาก้าวออกมาเช่นกัน


 


 


           “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หย่งคังโหวมองซ้ายแลขวา ก่อนก้าวออกจากแถว


 


 


           “กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนอื่นทยอยกันลุกขึ้นยืน


 


 


           “พวกเจ้าล้วนเห็นด้วยกับคำขอของรัชทายาท แต่พวกเจ้าพิจารณาแล้วหรือยัง ตอนนี้จวนจงหย่งโหวเหลือเพียงจวนเปล่า จวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือล้วนปิดประตูขัดดาลเหมือนกัน ยามนี้ตระกูลเซี่ยทั้งหมดเหลือเพียงผู้อาวุโสกับคนอ่อนแอมีโรคภัยในครอบครัวหกเท่านั้น ตระกูลเซี่ยมีเจตนาใดกันแน่ ผู้ใดกล้ารับรองได้บ้าง อีกอย่างอย่าลืมว่าบุตรีแห่งจวนจงหย่งโหว เซี่ยเฟิ่งป้าของเซี่ยฟางหวาเป็นฮองเฮาแห่งเป่ยฉี หากตระกูลเซี่ยยอมสวามิภักดิ์ต่อเป่ยฉี เซี่ยม่อหานเดินทางไปครั้งนี้พร้อมอำนาจการทหาร หากร่วมมือกับเป่ยฉี คอยประสานจากภายในร่วมมือกับภายนอก หนานฉินของข้าจะยังมีทางรอดอีกหรือไม่” ฮ่องเต้ทรงมองทุกคนพลางตรัสด้วยโทสะ


 


 


           ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็แสดงความกลัดกลุ้ม


 


 


           “ฝ่าบาท ตระกูลเซี่ยจงรักภักดีมายาวนาน วิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอันก็ได้เซี่ยฟางหวาหาสมุนไพรดำม่วงมาช่วยเหลือจนตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส ข่าวนี้คงเผยแพร่ไปทั่วใต้หล้าแล้ว มิใช่เรื่องหลอกลวง อีกอย่างท่านโหวเซี่ยก็ยืนหยัดรักษาเมืองหลินอันร่วมกับรัชทายาทมาโดยตลอด ร่วมแรงร่วมใจกันถึงคลี่คลายวิกฤตการณ์ที่ประชาชนต้องประสบในเมืองหลินอันได้ ผู้เฒ่าโหวแห่งจวนจงหย่งโหวแค่อยู่ในเมืองมานานมากแล้วจึงออกไปทัศนาจรเพื่อผ่อนคลายจิตใจ จวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือออกไปตามหาคุณชาย


 


 


อวิ๋นหลานกับคุณชายอวิ๋นจี้ เท่าที่กระหม่อมทราบ ตอนนี้คุณชายอวิ๋นจี้อยู่ที่เมืองหลินอัน ฉินเหลียนถูกลอบทำร้ายบนกำแพงในประตูเมืองทิศใต้ โชคดีที่คุณชายอวิ๋นจี้รับตัวไว้ทันจึงรอดชีวิตมาได้ กระหม่อมคิดว่า ตระกูลเซี่ยจงรักภักดีเสมอมา มิจำเป็นต้องสงสัยหรือระแวดระวังอีก” อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนี้ก็ก้าวออกมา


 


 


           “ฝ่าบาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา “ในเมื่อรัชทายาทเขียนจดหมายมาด้วยตัวเอง ถึงแม้ฝ่าบาททรงมิเชื่อใจตระกูลเซี่ย แต่ก็ควรเชื่อใจรัชทายาท”


 


 


           “รัชทายาท” ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะ “รัชทายาทเห็นเซี่ยฟางหวาก็ไม่…”


 


 


           “ฝ่าบาท” อิงชินอ๋องพลันเอ่ยเรียกยั้งวาจาของฮ่องเต้


 


 


           ฮ่องเต้ได้สติกลับคืนมา คิดว่ามิควรวิจารณ์อย่างไม่เหมาะสมต่อหน้าขุนนางเช่นกันจึงเงียบลง


 


 


           บรรดาขุนนางกลับตระหนักขึ้นได้โดยพร้อมกัน คิดในใจว่าฝ่าบาททรงมีพระราชโองการหย่าร้าง


 


 


เซี่ยฟางหวา เซี่ยฟางหวามิได้สนใจพระชายาอิงชินอ๋องที่ไล่ตามไป ยืนกรานจะจากไปเพื่อประสานกับเมืองหลินอันและรัชทายาท ยามนี้ร่วมมือกันจนแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอันได้ หรือว่าระหว่างนั้นนางกับ


 


 


รัชทายาทมี…รัชทายาทถึงเชื่อใจเซี่ยม่อหาน เพราะการระดมกำลังในเป่ยฉีถึงตัดสินใจแก้ไขระบบทหาร


 


 


           ทุกคนในห้องโถงกลั้นหายใจ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงขึ้น


 


 


           อิงชินอ๋องทั้งไม่พอใจทั้งโมโห ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ “กระหม่อมรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมากะทันหัน ขอตัวกลับจวนก่อน” พูดจบ เป็นครั้งแรกที่ไม่รอการอนุญาตจากฝ่าบาท ออกจากอุทยานหลวงทันที


 


 


           เครื่องแบบขุนนางดุจสายลม ลายงูใหญ่คล้ายเต็มไปด้วยโทสะ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


           ขุนนางทุกคนเงียบกริบ ลอบสังเกตพระพักตร์ของฮ่องเต้


 


 


           พระพักตร์ฮ่องเต้มิน่ามองอย่างยิ่ง ทว่ามิได้แสดงความเดือดดาลที่อิงชินอ๋องกลับไป หากแต่สะกดกลั้นโทสะแล้วตรัสขึ้น “ระบบทหารเป็นสิ่งที่อดีตฮ่องเต้กำหนดขึ้นก่อนสวรรคต ย่อมแก้ไขมิได้โดยง่าย แต่เราออกพระราชโองการได้ เมื่อใดที่เป่ยฉียกทัพเข้ามารุกราน ทหารโดยรอบม่อเป่ยต้องรีบเข้าช่วยเหลือเป็นทัพเสริม ส่งจดหมายด่วนไปยังเขตการปกครองรอบม่อเป่ยประเดี๋ยวนี้”


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวามองหน้ากัน ทราบดีว่าฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว แม้มิได้แก้ไขระบบทหาร แต่มีพระราชโองการนี้ก็เป็นผลเช่นเดียวกัน ต่างรีบก้าวขึ้นมา “ขอฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี”


 


 


           ฮ่องเต้ทรงสะบัดแขนเสื้อ เสด็จออกจากอุทยานหลวงเช่นกัน


 


 


           หลังฮ่องเต้กับอิงชินอ๋องกลับไป บรรดาขุนนางก็ไม่มีกระจิตกระใจอยากที่จะทานอาหารล้ำค่าในจานตรงหน้าอีกแล้ว ล้วนก้มหน้าเดินออกจากวังหลวงด้วยความหดหู่


 


 


           ช่วงนี้หนานฉินดวงไม่ดี เกิดเรื่องขึ้นต่อเนื่องกัน ไม่มีวันใดที่รู้สึกมั่นคงสงบสุขอย่างแท้จริงเลย พวกเขาในฐานะขุนนางต้องวางศีรษะไว้บนเข็มขัดแล้วดำเนินชีวิตต่อไป มิได้ง่ายดายนัก


 


 


           อิงชินอ๋องกลับมาถึงจวนอิงชินอ๋องด้วยความโกรธเคือง


 


 


           พระชายาทราบเรื่องที่อุทยานหลวงแล้วจึงออกมารับอิงชินอ๋อง ก่อนเอ่ยถามเขาอย่างละเอียด “ไฉนถึงโกรธจัดถึงเพียงนี้”


 


 


           “คิดถึงสมัยก่อนตอนที่น้องเจ็ดยังมิได้ตำแหน่งจักรพรรดิ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ใจกว้างต่อผู้อื่นเสมอมา ทั้งมีคุณธรรมและเมตตาธรรม แต่ฝ่าบาทในตอนนี้ช่างต่างกับเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว หากเป็นเมื่อก่อน พระองค์คงไม่มีทางตรัสเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นเป็นแน่ ถึงแม้หวาเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกสะใภ้ของจวนอิงชินอ๋องอีกแล้ว แต่ก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของรัชทายาท พระองค์ตรัสตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน หรือการนั่งตำแหน่งจักรพรรดินานเกินไปจะเปลี่ยนคนผู้หนึ่งได้จริง” อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา


 


 


           “ฝ่าบาทมิใช่ฝ่าบาทเช่นในอดีตแล้ว ข้ากระจ่างแจ้งมาตั้งแต่เนิ่นๆ มีแต่ท่านที่ยังฝากความหวังไว้ที่พระองค์” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขาด้วยแววตาไม่พอใจ ก่อนเดินอ้อมหลังมาทุบไหล่ให้ “ช่างเถอะ ท่านอย่าโกรธเลย โกรธแล้วจะมีประโยชน์อันใด จนถึงป่านนี้ยังไม่มีข่าวคราวของเจิงเอ๋อร์กับอี้จือเลย ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก วิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันคลี่คลายลงแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินข่าวคราวของพวกเขา ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด”


 


 


           “เฮ้อ ไม่ให้สบายใจได้เลยจริงๆ” อิงชินอ๋องนวดศีรษะ


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องเองก็กลุ้มใจ ขณะจะกล่าวขึ้นอีก สี่ซุ่นก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอกด้วยความรีบร้อน “พระชายา มีจดหมายถึงท่านขอรับ”


 


 


           “จดหมาย” พระชายาอิงชินอ๋องชะงัก “ผู้ใดส่งมา”


 


 


           “เป็นจดหมายจากคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา” สี่ซุ่นตอบ


 


 


           “รีบนำเข้ามา” พระชายาอิงชินอ๋องดีใจ


 


 


           สี่ซุ่นรับคำแล้วรีบวิ่งมาที่ประตู ชุนหลานออกไปรับแล้วนำจดหมายกลับมายื่นให้พระชายาอิงชินอ๋อง


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องรีบเปิดจดหมายอ่าน พบว่าเป็นจดหมายจากหลี่มู่ชิงจริงๆ


 


 


           “มีเรื่องใด” อิงชินอ๋องรีบถาม


 


 


           เนื้อความในจดหมายสั้นมาก พระชายาอิงชินอ๋องอ่านจบก็กล่าวขึ้นด้วยความดีใจระคนกังวล “เจ้าหลี่จากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาบอกว่าเขาได้พบหวาเอ๋อร์เมื่อวันก่อน หวาเอ๋อร์ทิ้งเขาแล้วเดินทางไปเพียงลำพัง เขาค้นหาอยู่พักหนึ่งก็หาร่องรอยของหวาเอ๋อร์ไม่เจอ กลับพบที่อยู่ของเจิงเอ๋อร์โดยไม่ได้ตั้งใจ”


 


 


           “ตอนนี้ฉินเจิงอยู่ที่ใด” อิงชินอ๋องรับจดหมายมารีบอ่าน


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “ถูกขังในอาณาเขตลับของเผ่าภูตผี” 

 

 


ตอนที่ 98 ถอนหมั้นแสดงความจริงใจ

 

      อาณาเขตลับเผ่าภูตผี


 


 


           “อาณาเขตลับเผ่าภูตผีอันใด” อิงชินอ๋องมองพระชายาด้วยความไม่เข้าใจ


 


 


           “ในจดหมายเขียนไว้เช่นนี้ แต่มิได้อธิบายชัดเจน เจ้าลองอ่านดูสิ” พระชายายื่นจดหมายให้อิงชินอ๋อง


 


 


           อิงชินอ๋องรับจดหมายมาอ่าน พบว่าเนื้อความข้างในสั้นมาก อธิบายคร่าวๆ แค่หลี่มู่ชิงไล่ตามเซี่ยฟางหวาไปจนทัน แต่ก็ถูกนางทิ้งไว้แล้วเดินทางไปเพียงลำพังอีก ภายใต้การค้นหาก็พบร่องรอยของฉินเจิงอยู่ที่อาณาเขตลับของเผ่าภูตผี เพียงแต่เขาไม่มีความรู้เรื่องเผ่าภูตผีอย่างลึกซึ้ง มิอาจไขปริศนาอาณาเขตลับเพื่อเข้าไปข้างในได้ เท่าที่เขาคาดการณ์ ฉินเจิงถูกขังเอาไว้ในอาณาเขตลับ ตอนนี้เขากำลังคิดหาวิธีเข้าไปข้างใน


 


 


           “บนจดหมายมิได้บอกว่าอาณาเขตเผ่าภูตผีอยู่ที่ใด” หลังอิงชินอ๋องอ่านจดหมายจบก็ย่นหัวคิ้ว


 


 


           “เจ้าหลี่คงกลัวว่าจดหมายนี้จะตกอยู่ในมือผู้อื่น เพื่อมิให้เรื่องนี้หลุดแพร่งพรายออกไป นำมาซึ่งถ้อยคำหยาบคายจากผู้ไม่ประสงค์ดี” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา “ข้ารู้ความสามารถของลูกชายข้าดีกว่าใคร ยิ่งไปกว่านั้นคนดีฟ้าคุ้มครอง”


 


 


           อิงชินอ๋องวางจดหมายลง ถอนหายใจแล้วเอ่ยถามข้างนอก “สี่ซุ่น คนส่งจดหมายไปแล้วหรือ”


 


 


           “คนส่งจดหมายไปแล้วขอรับ บ่าวบอกว่ารอพระชายาตอบจดหมายก่อน แต่คนผู้นั้นบอกว่าคุณชายของเขากำชับไว้ว่าขอแค่พระชายาได้รับจดหมายก็พอ มิจำเป็นต้องตอบกลับขอรับ” สี่ซุ่นตอบจากนอกประตู


 


 


           “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ากลับไปได้แล้ว” อิงชินอ๋องพยักหน้า


 


 


           สี่ซุ่นกลับออกไป


 


 


           “ฟังว่าหวาเอ๋อร์บาดเจ็บสาหัสเพื่อสมุนไพรดำม่วง ตอนนี้ยังมิฟื้นเลย” พระชายาหันมามองอิงชินอ๋อง


 


 


           “ข่าวบอกเช่นนี้ ตอนนี้อยู่ที่เมืองหลินอัน” อิงชินอ๋องพยักหน้า


 


 


           “เหลียนเอ๋อร์โชคดีได้เซี่ยอวิ๋นจี้ช่วยไว้ มีวาสนาดีชะตาแข็ง ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง” พระชายากัดริมฝีปาก ก่อนกล่าวกับอิงชินอ๋อง “ท่านอ๋อง ข้าอยากไปเมืองหลินอัน”


 


 


           “หืม” อิงชินอ๋องมองนาง


 


 


           “ข้าเป็นห่วงเด็กสองคนนี้ อยากไปเยี่ยมหวาเอ๋อร์กับเหลียนเอ๋อร์” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ


 


 


           “มิได้” อิงชินอ๋องส่ายหน้า “เมืองหลินอันห่างจากเมืองหลวงมิใช่น้อยๆ ระยะทางแปดร้อยลี้ ระหว่างทางหากเกิดอันใดขึ้นมา เจ้าจะให้ข้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร”


 


 


           “อายุเท่าใดแล้ว ท่านอ๋องยังพูดจาเช่นนี้อีก ข้านำผู้คุ้มกันไปด้วย แปดร้อยลี้จะนับประสาอันใด เดินทางทั้งวันทั้งคืน แค่สองคืนก็ไปถึงแล้ว” พระชายามองค้อนอิงชินอ๋อง


 


 


           “เช่นนั้นก็มิได้ ข้าไม่สบายใจ” อิงชินอ๋องส่ายหน้า


 


 


           “น้องสะใภ้อวี้เชียนอ๋องเดินทางจากหลิ่งหนานมาเมืองหลวง มิใช่เดินทางเช่นนี้หรือ” พระชายาอิงชินอ๋องไม่พอใจ “นางยังมาได้ แล้วไฉนข้าถึงไปมิได้ เมืองหลินอันเทียบกับหลิ่งหนานแล้ว ไกลไม่ถึงสามส่วน”


 


 


           “มาถึงแล้วก็แล้วไป แต่มิใช่ว่าทำเด็กหายหรือ” อิงชินอ๋องถลึงตา


 


 


           “เด็กหายไปจริงรึ” พระชายามองอิงชินอ๋อง “ท่านใช่ว่ามิทราบ วันก่อนข้าไปจวนอวี้เชียนอ๋อง น้องสะใภ้กำลังทำสิ่งใดอยู่ หากเด็กหายไปจริงๆ นางจะยังมีกะจิตกะใจทำสิ่งอื่นอีกหรือ มีหรือจะไม่เอาแต่ร้องไห้ทุกวี่ทุกวัน น้องอ๋องมีหรือจะอภัยนาง ตอนนี้ท่านดูจวนอวี้เชียนอ๋องสิ ยังหาตัวเด็กไม่เจอเลยมิใช่หรือ มิใช่ว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นตั้งแต่แรกหรือ”


 


 


           อิงชินอ๋องชะงักไป “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้”


 


 


           “ท่านออกไปหาเด็กๆ ไม่ได้ ข้ายังออกไปไม่ได้ด้วยหรือ ถูกขังอยู่ในเมืองหลวงทุกวัน กังวลจนกินมิได้นอนไม่หลับ ทุกข์ใจจะแย่อยู่แล้ว” พระชายาเริ่มจะโมโหขึ้นมา


 


 


           “ตอนนี้ในหนานฉินทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังมีแต่ความวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้น พรมแดนม่อเป่ยยังมีการระดมกำลัง ฉินเจิงอยู่ในอาณาเขตลับเผ่าภูตผีซึ่งมิทราบว่าอยู่ที่ใด เหลียนเอ๋อร์บาดเจ็บไม่เบา เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ระหว่างที่บ้านเมืองปั่นป่วนข้าก็หัวหมุนพอแล้ว ข้าก้าวก่ายเด็กสองคนนี้มิได้ เจ้าอย่าทำให้ข้าเป็นห่วงไปอีกคนเลย” อิงชินอ๋องลูบหลังมือพระชายา


 


 


           พระชายาเดิมทียังอยากดึงดันต่อ ทว่าเห็นผมขาวบริเวณจอนของอิงชินอ๋องจึงได้แต่ยอมเลิกรา “ก็ได้ ข้าเชื่อท่าน ไม่ไปก็ได้”


 


 


           “เจ้าฟังข้าย่อมดีที่สุด” อิงชินอ๋องแย้มยิ้มด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจด้วยความกังวล “ตอนนี้รัชทายาทอยู่ที่เมืองหลินอัน ฟางหวาก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่เจิงเอ๋อร์ไม่อยู่ เซี่ยม่อหานก็ไปม่อเป่ยแล้ว ข้ากลัวว่า…”


 


 


           “เจ้ากลัวรัชทายาทกับหวาเอ๋อร์” อิงชินอ๋องหุบรอยยิ้มลง


 


 


           “ใช่แล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า “รัชทายาทเดิมทีเลื่อมใสหวาเอ๋อร์ หากมิใช่ว่าเจิงเอ๋อร์พยายามอย่างเต็มที่ ตอนนั้นคงมิได้แต่งอย่างแน่นอน ตอนนี้ยิ่งมิใช่สามีภรรยากันแล้ว ยากรับรองได้ว่ารัชทายาทจะไม่…”


 


 


           “เป็นไปได้อย่างไร ถึงอย่างไรหวาเอ๋อร์ก็เคยออกเรือนแล้ว รัชทายาทจะแต่งกับสตรีที่ถูกหย่าร้างมาเป็นชายารัชทายาทได้อย่างไร ภรรยาของมกุฎราชกุมาร อนาคตคือพระมารดาของแผ่นดิน” อิงชินอ๋องส่ายหน้า “เจ้าคิดมากไปแล้ว”


 


 


           “เราเห็นรัชทายาทเติบโตมา นิสัยของเขาดูภายนอกประพฤติตามกฎเกณฑ์ แต่เนื้อแท้แล้วเหมือน


 


 


เจิงเอ๋อร์ไม่ผิด ไม่สนใจประเพณี ทุกสิ่งล้วนอาศัยแค่ความพึงพอใจ หากเขามีเจตนาอยากแต่ง ผู้ใดจะห้ามเขาได้” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว


 


 


           “ในเมื่อเป็นมกุฎราชกุมารก็ควรรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับดี ไหนเลยจะทำตามอำเภอใจได้” อิงชินอ๋องเริ่มโมโหขึ้นมา “ยิ่งไปกว่านั้น ภรรยาของลูกพี่ลูกน้อง ไหนเลยจะแต่งซ้ำได้”


 


 


           “นับแต่อดีตก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี บุตรชายสืบทอดตำแหน่งของบิดา บิดารับภรรยาของบุตรมาเป็นสนม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ได้ นับประสาอะไรกับการแต่งภรรยาของลูกพี่ลูกน้องซ้ำ” พระชายาอิงชินอ๋องเริ่มหมดคำจะกล่าว


 


 


           “เจ้า…” ครั้งนี้ถึงคราวอิงชินอ๋องพูดไม่ออก มองพระชายาด้วยความขุ่นเคือง


 


 


           “ข้ามิได้พูดผิด” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา


 


 


           อิงชินอ๋องจนใจ “เจ้ามิได้พูดผิด เพียงแต่…” เขาหันกลับมา กล่าวอย่างทำอันใดมิได้ “หากเป็นจริงดังที่เจ้าว่า ถึงแม้เจ้าไปเมืองหลินอันแล้วจะหยุดยั้งอันใดได้”


 


 


           “ข้าจะก่อกวนให้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “ไม่เชื่อว่าจะหยุดมิได้”


 


 


           “เมืองหลินอันเพิ่งผ่านเคราะห์มา เจ้าอย่าไปก่อความวุ่นวายอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้า ยังเอาแน่เอานอนมิได้” อิงชินอ๋องคิด “ถึงแม้รัชทายาทมีเจตนาเช่นนี้ ยังต้องดูว่าหวาเอ๋อร์ตกลงหรือไม่ ถึงแม้หวาเอ๋อร์…ตกลง ก็ยังต้องมีหนังสือจากพ่อสื่อแม่สื่อ สามหนังสือหกพิธีการ รัชทายาทจำต้องถอนหมั้นกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาก่อน ถึงแม้ไม่ถอนหมั้น ก็แต่งในฐานะสนม…”


 


 


           “หวาเอ๋อร์มีหรือจะยอมเป็นสนม” พระชายาขัดอิงชินอ๋อง


 


 


           “ก็จริง” อิงชินอ๋องเงียบไป


 


 


           “ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว และอย่าคิดมากอีกเลย ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งร้อนใจ อย่าไปคิดจะดีกว่า”


 


 


พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้ม


 


 


           “ใช่แล้ว เรื่องของเด็กๆ ให้จัดการกันเองเถิด ถึงเจ้ากับข้าร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์” อิงชินอ๋องนวดคลึงหว่างคิ้ว


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องไม่เอ่ยคำใดอีก


 


 


           ระหว่างที่จวนอิงชินอ๋องกลุ้มใจในเรื่องนี้ ตำหนักเฟิ่งหลวนของฮองเฮาก็กำลังเอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกัน


 


 


           “ฟังว่าตอนที่ประชาชนในเมืองหลินอันคำนับขอบคุณรัชทายาทที่ช่วยเหลือเมือง นึกไม่ถึงว่ารัชทายาทจะไม่ถือว่าเป็นความดีความชอบของตนเอง แต่ยกความดีความชอบให้เซี่ยฟางหวา อวี้เอ๋อร์คิดจะทำสิ่งใดกันแน่” ฮองเฮามีพระพักตร์กลุ้มใจ ตรัสถามหรูอี้


 


 


           “เหนียงเหนียง ฟังว่าสมุนไพรดำม่วงเดิมทีคุณหนูฟางหวาเป็นคนหาพบ เพราะการตามหาสมุนไพรดำม่วงทำให้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส คนที่ทราบความจริงมีมาก รัชทายาทจึงมิอาจรับคำสรรเสริญไว้เองเพคะ” หรูอี้ตอบ


 


 


           “ข้าว่ามิใช่เพียงเท่านั้น” ฮองเฮาส่ายพระพักตร์ “เกรงว่ารัชทายาทมีเจตนาอื่นกับเซี่ยฟางหวา”


 


 


           “เหนียงเหนียงจะบอกว่ารัชทายาทเขาคิดจะ…” หรูอี้ตกใจ


 


 


           ฮองเฮาพยักพระพักตร์


 


 


           “แต่ถึงอย่างไรคุณหนูฟางหวาเคยออกเรือนกับท่านอ๋องน้อยเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋องมาแล้ว ไฉนเลย


 


 


รัชทายาทของเราจะ…” หรูอี้กล่าวอย่างระวัง


 


 


           “การช่วยแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ หากรัชทายาทมีเจตนาอย่างแต่งด้วย ถึงแม้นางเคยออกเรือนกับจวนอิงชินอ๋องมาแล้ว เป็นคนที่ถูกหย่าร้าง ผู้อื่นก็มิอาจค้านอันใดได้ เทียบกับลาภยศส่วนบุคคลแล้ว บ้านเมืองต่างหากที่สำคัญ” ฮองเฮาถอนหายใจ


 


 


           “เช่นนั้นทำอย่างไรดี ท่านมิชอบคุณหนูฟางหวามิใช่หรือเพคะ” หรูอี้พยักหน้า


 


 


           “เมื่อก่อนข้าไม่ชอบ แต่ในเมื่อลูกชายข้าชอบ ข้ายังต้องสนเรื่องชอบไม่ชอบอีกหรือ” ฮองเฮาส่าย


 


 


พระพักตร์ “ตอนนี้มีเรื่องน่ากังวลมากมาย หนานฉินสั่นคลอนทั้งในและนอก ขอเพียงเขายังครองตำแหน่งจักรพรรดิองค์ต่อไปอย่างมั่นคง ข้าก็ไม่ขอสิ่งใดแล้ว”


 


 


           หรูอี้ก้มหน้าลง ไม่เอ่ยคำใดขึ้นอีก


 


 


           ในเวลาเดียวกันนั้นเอง จวนเสนาบดีฝ่ายขวาก็กำลังเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน


 


 


           แต่ไหนแต่ไรฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาชอบสวดมนต์ไหว้พระ เพียบพร้อมสง่างาม วางตัวสุขุม ดูแลจวนเสนาบดีฝ่ายขวาได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รักษากฎเกณฑ์อย่างยิ่ง ไม่เคยนำเรื่องสกปรกออกมาเปิดเผย และไม่เคยนำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในจวนไปรบกวนเสนาบดีฝ่ายขวา ดังนั้นหลายปีมานี้ สามีภรรยาปรองดองกัน เคารพซึ่งกันและกันเหมือนแขกที่มาเยือน


 


 


           ยามนี้รัชทายาทไปขุดลอกคูคลองและช่วยแก้ไขโรคห่าระบาดที่เมืองหลินอัน ระหว่างที่ประชาชนในเมืองตกทุกข์ได้ยาก เซี่ยฟางหวาก็หาสมุนไพรดำม่วงจนพบ กลายเป็นพระโพธิสัตว์ที่ลงมาโปรดช่วยเหลือราษฎรในเมืองหลินอัน ได้รับคำสรรเสริญจากประชาชนในเมืองหลินอันและราษฎรใต้หล้า ใต้หล้ารู้จักเพียง


 


 


รัชทายาทกับคุณหนูฟางหวาแห่งจวนจงหย่งโหว ต่างพากันวิจารณ์รัชทายาทกับคุณหนูฟางหวาเข้าด้วยกัน ราวกับไม่เคยทราบมาก่อนว่าคุณหนูหลี่หรูปี้แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นคู่หมั้นของรัชทายาท และราวกับลืมประกาศที่เซี่ยฟางหวาถูกหย่าร้างอันถูกเผยแพร่ทั่วหนานฉินไปแล้ว


 


 


           การกระทำเช่นนี้ ทำให้ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาที่สวดมนต์ด้วยความสงบมาตลอดนั่งไม่ติดในที่สุด


 


 


           รอจนเสนาบดีฝ่ายขวาเลิกว่าราชการยามเช้ากลับมายังห้องหนังสือที่จวน นางก็รีบไปยังห้องหนังสือ


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวากำลังหารือราชการกับกุนซือในจวน ได้ยินว่าฮูหยินมาหาก็โบกมือไล่กุนซือออกไปก่อน กุนซือหลบไปรอข้างหลังเรือน พลางเชิญฮูหยินเข้าไปในห้อง


 


 


           “รบกวนนายท่านหารือราชการหรือไม่” หลังฮูหยินเข้ามาก็กล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา


 


 


           “ไม่เป็นไร” เสนาบดีฝ่ายขวายกมือปัด “เจ้ารีบร้อนมาหา มีเรื่องใดหรือ”


 


 


           “เรื่องรัชทายาทกับเซี่ยฟางหวาที่เมืองหลินอันท่านน่าจะทราบแล้ว ข้ากลัวว่า…” ฮูหยินลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากกล่าว


 


 


           “ที่แท้เป็นเรื่องนี้” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ปี้เอ๋อร์ไร้เยื่อใยต่อรัชทายาท


 


 


รัชทายาทเองก็ไร้เยื่อใยต่อปี้เอ๋อร์เช่นกัน หลังฝ่าบาททรงมีสมรสพระราชทาน รัชทายาทก็ได้คุยกับข้าเป็นการส่วนตัวแล้วว่าจะไม่แต่งกับนาง ดังนั้นเรื่องงานสมรสระหว่างปี้เอ๋อร์กับรัชทายาท เจ้าอย่าคิดถึงอีกเลย”


 


 


           “ถึงรัชทายาทไม่แต่งกับปี้เอ๋อร์ แต่ตอนนี้ข่าวที่เมืองหลินอันแพร่ออกมาแล้ว ข้างนอกคงฮือฮากันเป็นแน่ คนอื่นจะมองปี้เอ๋อร์ของข้าอย่างไร ถึงรัชทายาทมิสนใจธรรมเนียมประเพณี ก็มิควรถ่วงบุตรสาวของเรา” ฮูหยินโกรธเคือง “ในเมื่อไร้เยื่อใย เหตุใดตอนนั้นรัชทายาทถึงยอมรับการสมรส เหตุใดถึงไม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดกับฝ่าบาท”


 


 


           “ตอนนั้นฝ่าบาทตัดสินพระทัยเองโดยมิฟังคำทักท้วง รัชทายาทถูกบังคับ ทำได้เพียงยอมรับการสมรส แต่ตอนนี้…” เสนาบดีฝ่ายขวาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา “ข้ามิใช่ได้รับจดหมายถอนหมั้นของ


 


 


รัชทายาทแล้วหรือ”


 


 


           “จดหมายถอนหมั้น?” ฮูหยินมึนงง


 


 


           “เป็นจดหมายถอนหมั้น รัชทายาทส่งมาพร้อมกับจดหมายราชการด่วน ฉบับหนึ่งส่งให้ฝ่าบาท อีกฉบับหนึ่งส่งมาที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวา” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “เจ้าอ่านดูเองเถอะ ไม่ต้องรอให้เจ้ากับข้าโมโห


 


 


รัชทายาทย่อมถอนหมั้นเอง”


 


 


           ฮูหยินรับจดหมายไปเปิดอ่าน


 


 


           หลังอ่านจบ ความโกรธบนใบหน้านางก็อันตรธานหายไป แทนที่ด้วยความปลื้มปีติ “รัชทายาทรับปากในจดหมายว่า เรื่องนี้สร้างไม่เป็นธรรมกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวา จึงแสดงความขอโทษต่อจวนเสนาบดีฝ่ายขวาด้วยตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็รับปากนายท่านด้วย จวนเสนาบดีฝ่ายขวาในอีกสามรุ่นข้างหน้า วงศ์ตระกูลจะมิล่มสลาย ใช่หรือไม่ หมายความว่าอนาคตชิงเอ๋อร์จะแทนที่ท่าน เป็นเสนาบดีในราชสำนัก ลูกหลานของชิงเอ๋อร์ทั้งสามรุ่นก็ยังได้เป็นขุนนางเสนาบดี”


 


 


           “หมายความเช่นนี้” เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ


 


 


           “หากหมายความเช่นนี้ เช่นนั้นจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเรานับแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นวงศ์ตระกูลบริสุทธิ์สูงส่งอย่างแท้จริง ไร้ความกังวลไปอีกอย่างน้อยร้อยปี” ฮูหยินดีใจใหญ่


 


 


           “มิผิด” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า


 


 


           “นายท่านเสนาบดี นี่ใช้การสมรสของปี้เอ๋อร์แลกกับอนาคตจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเราให้หมดความกังวล นับว่ารัชทายาทแสดงความจริงใจแล้ว” ฮูหยินกล่าว


 


 


           “ใช่แล้ว การชดเชยยิ่งใหญ่เช่นนี้ รัชทายาทย่อมแสดงความจริงใจอย่างยิ่ง จวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเรายังไม่พอใจอันใดอีก อีกอย่างเดิมทีปี้เอ๋อร์ก็ไม่อยากเข้าวัง” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ


 


 


           “เพราะเหตุนี้ เดิมทีข้าไม่พอใจในตัวรัชทายาทนัก แต่จดหมายในวันนี้กล่าวเช่นนี้ ข้าก็มิได้ไม่พอใจแล้ว” ฮูหยินกล่าว “เพียงแต่การถอนหมั้นครั้งนี้ รัชทายาทบอกว่ายังรบกวนท่านไปขอถอนหมั้นกับฝ่าบาทที่วังหลวง หนึ่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นฝ่ายถอนหมั้นเอง เป็นการรักษาหน้าตาของจวนเรา สองตัวเขาอยู่ไกลถึงเมืองหลินอัน หากจะจัดการเองคงต้องรอสะสางโรคห่าระบาดจบลงก่อน สามกองทัพในพรมแดนม่อเป่ยยังต้องมีเขาคอยสังเกตการณ์ที่เมืองหลินอันช่วงหนึ่ง หากไม่มีทางเลือกก็ต้องไปม่อเป่ยด้วยตัวเอง เรื่องพวกนี้มีเหตุผล แต่นี่คือสมรสพระราชทาน หากท่านไปถอนหมั้นเอง ฝ่าบาทจะทรงยินยอมหรือ”


 


 


           “รัชทายาทยังมีจดหมายให้ฝ่าบาทเป็นการส่วนตัวอีกฉบับหนึ่ง บอกว่าตอนข้าไปถอนหมั้น ให้ถวายจดหมายต่อฝ่าบาทพร้อมกัน ฝ่าบาทจะทรงทราบเอง” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว


 


 


           “จดหมายเล่า” ฮูหยินรีบถาม


 


 


           “อยู่นี่” เสนาบดีฝ่ายขวาหยิบจดหมายลับอีกฉบับหนึ่งที่สอดอยู่ใต้กองเอกสารบนโต๊ะ


 


 


           “ข้างในเขียนว่าอย่างไร” ฮูหยินถามต่อ


 


 


           “ในเมื่อเป็นจดหมายลับที่รัชทายาทให้ฝ่าบาท ไหนเลยจะเปิดอ่านเองได้” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า


 


 


           “ก็จริง” ฮูหยินพยักหน้า “เช่นนั้นท่านจะเข้าวังเมื่อไรเล่า”


 


 


           “อีกประเดี๋ยวก็เข้าวังแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรล่าช้า ยิ่งจัดการเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีต่อปี้เอ๋อร์ของเราไวเท่านั้น เด็กคนนี้นับวันยิ่งคิดมากจนผอมซูบไปหมดแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว


 


 


           “ใช่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รบกวนนายท่านแล้ว” ฮูหยินพยักหน้าแล้วขอตัวลา


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาโบกมือ ฮูหยินออกจากห้องหนังสือเดินไปยังเรือนด้านหลัง ฝีเท้าค่อนข้างผ่อนคลายกว่าตอนมามาก


 


 


           กุนซือเดินออกมาจากข้างหลัง ประสานมือกล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา “นายท่านเสนาบดี แม้อาการประชวรของฝ่าบาทกำเริบบ่อยครั้ง ความคิดไหวพริบไม่เหมือนก่อน แต่ท่านเข้าวังไปแล้วยังต้องระมัดระวัง ตราบใดที่รัชทายาทยังมิได้สืบทอดราชบัลลังก์ ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ยังเป็นฝ่าบาท จดหมายที่รัชทายาทรับปากท่านว่าจะคงตำแหน่งเสนาบดีในสามรุ่น ท่านนำไปถวายให้ฝ่าบาททรงอ่านพร้อมกันด้วยเถิด”


 


 


           “ข้าเองก็คิดเช่นนี้” เสนาบดีฝ่ายขวาผงศีรษะ


 


 


           ทั้งสองพูดจบ เสนาบดีฝ่ายขวาก็แต่งตัวใหม่ ก่อนรีบออกจากจวนไปยังวังหลวง 

 

 


ตอนที่ 99-1 ตะวันใกล้ลาลับ

 

       หลังฮ่องเต้เสด็จกลับมาที่ตำหนักบรรทมได้มินานก็มีคนมาถวายรายงาน เสนาบดีฝ่ายขวาขอเข้าเฝ้า 


 


 


           หลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับจากอุทยานหลวงก็ยังทรงกริ้วไม่หาย ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดพระขนง “เสนาบดีฝ่ายขวามาทำไม” 


 


 


           “ให้กระหม่อมออกไปถามดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนทูลถามเสียงเบา 


 


 


           “ไม่ต้องถามแล้ว ให้เขาเข้ามาเถอะ” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ ตรัสเสียงเข้ม 


 


 


           อู๋เฉวียนรับคำก่อนรีบออกไปเชิญเสนาบดีฝ่ายขวา เมื่อมาถึงนอกตำหนัก พบเสนาบดีฝ่ายขวาก็กระซิบกล่าวข้างหู “เพราะเรื่องรัชทายาทกับขุนนางในราชสำนักเห็นดีเห็นงามให้แก้ไขระบบทหาร ตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จกลับจากอุทยานหลวงก็ยังมิคลายโทสะลง ท่านเสนาบดีจะพูดจาอันใดก็ระวังด้วย” 


 


 


           “ขอบคุณกงกงมาก” เสนาบดีฝ่ายขวาลอบถอนหายใจ 


 


 


           เมื่อเข้ามาในตำหนัก พบว่าฮ่องเต้มีพระพักตร์ย่ำแย่อย่างยิ่ง มิรอให้เสนาบดีฝ่ายขวาถวายบังคมก็ตรัสถาม “เราเห็นเหงื่อเต็มหน้าเจ้า มีเรื่องด่วนหรือ” 


 


 


           “ทูลฝ่าบาท กระหม่อม…มีเรื่องเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวามองฮ่องเต้ด้วยความลำบากใจ ใบหน้าฉายแววกังวล  


 


 


           ฮ่องเต้ทรงมองเขาพลางส่งเสียง “หืม” ขึ้น 


 


 


           “ฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งได้รับจดหมายที่รัชทายาทให้คนนำมาส่งที่จวนของกระหม่อม หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายให้กระหม่อม อีกฉบับหนึ่งได้ระบุไว้ในจดหมายกระหม่อมว่าให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หลังกระหม่อมอ่านจบก็ไม่กล้าปล่อยยืดเยื้อ จึงรีบเข้าวังมาทันที” เสนาบดีฝ่ายขวาคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนถวายจดหมายสองฉบับในมือให้ฮ่องเต้ไปพร้อมกัน  


 


 


           “จดหมายอันใด” ฮ่องเต้ตรัสถามเสียงเข้ม 


 


 


           “ทรงอ่านดูก็ทราบแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาถวายจดหมายให้ด้วยความเคารพ 


 


 


           “อู๋เฉวียน นำมาให้เรา” ฮ่องเต้ตรัสเสียงดัง 


 


 


           อู๋เฉวียนรีบก้าวขึ้นมารับจดหมายให้มือของเสนาบดีฝ่ายขวา ถวายต่อให้ฮ่องเต้ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงอ่านจดหมายที่ฉินอวี้เขียนถึงเสนาบดีฝ่ายขวาก่อน เพิ่งอ่านได้ไม่กี่บรรทัดก็มีพระพักตร์มิน่ามองทันที หลังอ่านจบก็มีพระพักตร์เคร่งขรึม มิได้ตรัสคำใด ก่อนเปิดจดหมายลับอีกฉบับหนึ่งอ่าน 


 


 


           หลังอ่านจดหมายลับปิดผนึกจบ พระพักตร์ก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้นราวกับจะมีฝนตกลงมา 


 


 


           อู๋เฉวียนลอบสังเกตสีพระพักตร์ฝ่าบาท ก่อนถอยห่างสองก้าวเงียบๆ 


 


 


           ตั้งแต่เสนาบดีฝ่ายขวาถวายจดหมายให้ฮ่องเต้ก็มิได้เงยหน้าขึ้น เอาแต่ก้มหน้าจนแทบจะติดกับพื้น 


 


 


           บรรยากาศแห่งความพิโรธดั่งพายุฝนกำลังจะโหมกระหน่ำแผ่ออกมาจากพระวรกายฮ่องเต้ 


 


 


           ผ่านไปพักใหญ่ พระองค์ก็ทรงโยนจดหมายทิ้งลงบนพื้นแล้วตรัสขึ้น “มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!” 


 


 


           อู๋เฉวียนมิกล้าแม้แต่จะหายใจแรง เสนาบดีฝ่ายขวายิ่งมิกล้าส่งเสียง 


 


 


           ฮ่องเต้ลุกขึ้น ทรงเดินไปเดินมารอบตำหนักหลายก้าว จากนั้นก็หยุดลงหน้าเสนาบดีฝ่ายขวา มองอีกฝ่ายแล้วตรัสถามด้วยโทสะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในจดหมายลับที่รัชทายาทให้เราเขียนไว้ว่าอย่างไร” 


 


 


           “ทูลฝ่าบาท หลังกระหม่อมได้รับจดหมายก็มิกล้าเปิดอ่าน มิทราบหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวารีบส่ายหน้า 


 


 


           “เขาจะแต่งกับเซี่ยฟางหวา!” ฮ่องเต้ตรัสด้วยความพิโรธ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาเดาได้แต่เนิ่นๆ แล้ว ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ 


 


 


           “นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะขู่เราในจดหมายลับ บอกว่าหากเราไม่ยินยอม เขาก็จะไม่ดำรงตำแหน่ง 


 


 


รัชทายาทแล้ว ให้เราเลือกองค์ชายแปดฉินชิงมาสืบทอดตำแหน่งแทน” พระวรกายของฮ่องเต้สั่นสะท้านเล็กน้อยราวกับถูกความโกรธครอบงำ  


 


 


           ครั้งนี้เสนาบดีฝ่ายขวาตกใจจริงๆ มองฮ่องเต้อย่างไม่อยากเชื่อ 


 


 


           “แม้แต่เจ้าก็ไม่เชื่อใช่หรือไม่” ตรงหว่างคิ้วของฮ่องเต้เต้นตุบ “แต่เขาบอกเช่นนี้ ช่างกล้าพูดนัก นึกไม่ถึงว่าอยากแต่งกับเซี่ยฟางหวา เพื่อเซี่ยฟางหวา หากเราไม่ยินยอมก็จะไม่เป็นรัชทายาทแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะนำสตรีคนหนึ่งมาเทียบกับบ้านเมืองของเรา เขาเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวไม่ออกเวลาหนึ่ง ทว่าไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว รัชทายาทแม้ดูภายนอกอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วมีนิสัยยากคาดเดา หากเอ่ยถึงเรื่องไม่สนใจประเพณีนิยม เขามิต่างอันใดกับท่านอ๋องน้อยเจิงเลย 


 


 


           “เซี่ยฟางหวาเป็นสตรีที่ถูกหย่าร้าง มีสิทธิ์ใดนำมาเทียบกับหนานฉินอันยิ่งใหญ่ของเรา” ฮ่องเต้ตรัสด้วยโทสะอีกครั้ง “นางมีสิทธิ์ใด!” 


 


 


           อู๋เฉวียนเงยหน้ามองฮ่องเต้แวบหนึ่งแล้วก้มหน้าลงใหม่ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวายังคงเงียบ 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายขวา เจ้าว่ารัชทายาทเสียสติไปแล้วหรือไม่ เขาคิดอยากทำสิ่งใดกันแน่ นับแต่โบราณการสืบทอดราชบัลลังก์ ไม่เคยได้ยินว่าสตรีอาจเทียบกับบ้านเมืองได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสตรีที่เคยออกเรือนแล้วอีก” ฮ่องเต้จ้องเสนาบดีฝ่ายขวาเขม็ง 


 


 


           “นี่…สตรีย่อมมิอาจเทียบบ้านเมืองได้” เสนาบดีฝ่ายขวามองฮ่องเต้ 


 


 


           “เช่นนั้นเจ้าบอกมาสิ ไฉนฉินอวี้ถึงกล้าพูดแบบนี้กับเรา” ฮ่องเต้ตรัสถาม 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาคล้ายไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนทูลกล่าวคาดการณ์หยั่งเชิง “กระหม่อมคิดว่า รัชทายาทน่าจะชอบคุณหนูฟางหวา แต่กลัวว่าฝ่าบาทมิทรงโปรดคุณหนูฟางหวา มิยอมรับเรื่องนี้จึงพูดเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “เราต้องไม่ชอบเซี่ยฟางหวาอยู่แล้ว” ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะด้วยความโกรธ 


 


 


           “ฝ่าบาท หากให้กระหม่อมพูดตรงๆ รัชทายาทคงชอบคุณหนูฟางหวา ก่อนหน้าที่คุณหนูฟางหวากับท่านอ๋องน้อยเจิงยังมิได้สมรสกันก็เลื่อมใสในตัวคุณหนูฟางหวาอยู่แล้ว วันสมรสก็มิได้ขัดขวางงานสมรสของทั้งสอง หลังจากนั้นคงทุกข์ใจมาหลายวัน กระหม่อมคิดเองว่า บ้านเมืองใต้หล้ากับความรักของชายหญิง ผู้เป็นจักรพรรดิมิเคยได้สองสิ่งนี้ควบคู่กันไปเลย” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจออกมา  


 


 


           “หืม” ฮ่องเต้เลิกพระขนงตั้งตรง ถลึงพระเนตรใส่เสนาบดีฝ่ายขวา 


 


 


           “โรคห่าระบาดในเมืองหลินอัน หากไม่มียารักษา เช่นนั้นเบาสุดคือเมืองทั้งเมืองต้องล่มสลายลง ร้ายแรงสุดคือหนานฉินมีภัย โชคดีที่คุณหนูฟางหวาหาสมุนไพรดำม่วงจำนวนมากมาได้ จึงแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันลงได้ด้วยดี ช่วยเหลือประชาชนแสนกว่าชีวิตในเมือง ตอนนี้ชื่อเสียงของคุณหนูฟางหวาแพร่ไปทั่วหล้า มีคุณธรรมและพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ ได้รับการเทิดทูนจากประชาชน หากรัชทายาทมีใจและนางยินยอม สวรรค์ได้ประทานให้เป็นคู่สมรส นับว่าเป็นวาสนาของหนานฉินในภายภาคหน้า” เสนาบดีฝ่ายขวารีบกล่าวต่อ  


 


 


           “รัชทายาทมีใจ นางยินยอม” ฮ่องเต้เผยพระพักตร์นิ่งขรึม “นางจะทำเช่นนั้นหรือ” 


 


 


           “กระหม่อมคิดว่า จากสิ่งที่รัชทายาทบอกในจดหมายทั้งสองฉบับนี้ เดาได้ลางๆ ว่าคุณหนูฟางหวาอาจจะตอบตกลงกับรัชทายาทแล้ว หรือไม่รัชทายาทก็มั่นใจว่าหลังฝ่าบาททรงยินยอม จะสามารถสู่ขอคุณหนูฟางหวาได้” เสนาบดีฝ่ายขวาทูลตอบ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงมองเสนาบดีฝ่ายขวา 


 


 


           “ฝ่าบาท ทรงลองคิดดูสิพ่ะย่ะค่ะ เป่ยฉีระดมกำลัง ยามนี้รัชทายาทยังเอ่ยถึงเรื่องนี้ได้ ระหว่างที่หนานฉินกำลังปั่นป่วนทั้งภายในจะถูกรุกรานจากภายนอก รัชทายาทบอกแล้วว่าหากพระองค์มิยินยอมก็จะไม่เป็น 


 


 


รัชทายาทแล้ว ให้ทรงเลือกองค์ชายแปดแทน แต่องค์ชายแปดยังเด็กอ่อนประสบการณ์ มีหรือจะสามารถ…” เสนาบดีฝ่ายขวามองฮ่องเต้ เอ่ยได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดลง ก่อนกล่าวต่อ “นี่อธิบายได้ว่าตัดสินใจแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสู่ขอสำเร็จพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “แล้วฉินเจิงเล่า เขาสู่ขอเซี่ยฟางหวา ฉินเจิงจะยอมรึ” ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ยังไม่คลายโทสะลง  


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวากลอกตา “ถึงแม้ท่านอ๋องน้อยเจิงไม่ยอมแล้วจะทำอันใดได้พ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยเจิงต่อสู้กันมาตั้งแต่เล็กจนโต ต่างมีแพ้มีชนะ” พูดจบ ก็กล่าวปลอบใจ “ไยฝ่าบาทต้องทรงกริ้วด้วยเล่า เฝ้ามองอยู่ข้างๆ ก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยเจิงล้วนเป็นคนรู้จักขอบเขต ย่อมไม่กระทำถึงขั้นทำลายรากฐานบ้านเมืองแน่นอน” 


 


 


           “เซี่ยฟางหวาคือโฉมสะคราญที่ป็นบ่อเกิดหายนะ” ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ตรัสเสียงเย็น 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงเดินไปมาอีกสองก้าว “ความหมายเจ้าคือให้เราตอบตกลงรัชทายาท ปล่อยให้เขากระทำตามใจชอบ หากเขาสู่ขอเซี่ยฟางหวาได้จริง เราก็ต้องยอมให้เขาแต่งรึ” 


 


 


           “หากกล่าวตามตรง หนานฉินในตอนนี้มิอาจไร้รัชทายาทได้พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า 


 


 


           “ช่างเถอะ” ฮ่องเต้ดูชรามากขึ้นในชั่วพริบตา โบกพระหัตถ์ด้วยความอ่อนล้า “เจ้าลุกขึ้นเถิด” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาคุกเข่าบนพื้น มิได้รีบลุกขึ้นในทันที “เช่นนั้นเรื่องงานสมรสของบุตรสาวคนเล็กกระหม่อม…” 


 


 


           “ดูท่าทางเจ้าก็อยากถอนหมั้นเช่นกัน เจ้าช่วยเหลือเรามาหลายปี สร้างคุณูปการและทำงานหนักมาโดยตลอด แม้เราพึงพอใจในตัวบุตรสาวของเจ้า และยินดีอย่างยิ่งที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลเจ้า แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงได้แต่ต้องยอมปล่อยวาง” ฮ่องเต้ตวัดพระหัตถ์ “อู๋เฉวียน ประคองเสนาบดีฝ่ายขวาลุกขึ้นมา” 


 


 


           อู๋เฉวียนรีบก้าวออกมาประคองเสนาบดีฝ่ายขวา 


 


 


           ขาของเสนาบดีฝ่ายขวาชาไปแล้ว หลังถูกประคองขึ้นมาก็ต้องนวดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะยืนทรงตัวเองได้ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงมองจากด้านข้าง ถอนหายใจยาวเหยียด แสดงท่าทางแก่ชราคล้ายตะวันใกล้ลาลับ  


 


 


“หลี่เหยียน เราทั้งป่วยและแก่แล้ว เจ้าเองก็แก่แล้วเช่นกัน” 


 


 


           “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมก็แก่แล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาฝืนยิ้ม “พริบตาเดียวสิบปีก็ผ่านไปแล้ว” 


 


 


           “ใช่แล้ว หลายสิบปีผ่านไปไวเพียงแค่ดีดนิ้ว” ฮ่องเต้ทรงนวดหว่างคิ้ว ตรัสด้วยความห่อเ**่ยว “เรายิ่งรู้สึกสังขารไม่อำนวยขึ้นทุกวัน ถ้าเราไม่ยินดีก็ยากจะควบคุมรัชทายาทและราชสำนักด้วย” 


 


 


           “ฝ่าบาททรงอย่ากังวลมากเกินไปเลย รักษาพระวรกายให้ดีเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาทูลกล่าว 


 


 


           “อาการป่วยของเราเรารู้ดีกว่าใคร รักษาตัวเช่นไรก็ไม่ดีขึ้น” ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวามองฮ่องเต้ กล่าวไม่ออกชั่วขณะ 


 


 


           “เรื่องที่รัชทายาทรับปากเจ้าว่าจะคงตำแหน่งขุนนางเสนาบดีในสามรุ่น เราไม่ก้าวก่ายแล้ว เราไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร ถ้าดวงตาคู่นี้ปิดลงก็อยากสบายใจให้มากที่สุด” ฮ่องเต้ทรงมองเขาแล้วตรัสขึ้นอีก  


 


 


           “รัชทายาทแม้รับปากกระหม่อมแล้ว แต่กระหม่อมขอสาบานกับฝ่าบาท ตระกูลของกระหม่อมหากไร้คนมีแววเป็นเสนาบดีก็จะมิให้เป็นเสนาบดีโดยเด็ดขาด เพื่อมิให้ทำลายระบอบการปกครอง” เสนาบดีฝ่ายขวาขยับมุมปาก ฝืนยิ้มทูลกล่าว  


 


 


           “เจ้าหลี่ของตระกูลเจ้าเพียบพร้อมด้วยบุ๋นบู๊ บุ๋นจะทำให้บ้านเมืองสงบสุข บู๊จะทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ นับว่ามีพรสวรรค์คนหนึ่ง หากเขาเป็นเสนาบดีย่อมมีแวว รัชทายาทฉลาดเลือกใช้คน และฉลาดเลือกคบคน บ้านเมืองนี้หากมอบให้เขา เราก็วางใจแล้วเช่นกัน” ฮ่องเต้ตรัสจบก็โบกพระหัตถ์ “เราเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” 


 


 


           “ฝ่าบาทพักผ่อนให้สบายใจเถิด อย่าได้ทรงงานหนัก เรื่องในราชสำนักมีพวกกระหม่อมช่วยดูแลอยู่ กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวารีบลุกขึ้น 


 


 


           ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาถอยหลังมาจนถึงประตู ทันทีที่ข้ามธรณีประตูตำหนักก็ได้ยินเสียงฝ่าบาทตรัสขึ้นอีกครั้ง “ราชโองการถอนหมั้น เราจะให้อู๋เฉวียนนำไปส่งที่จวนเสนาบดีทีหลัง” 


 


 


           “ขอบพระทัยฝ่าบาท” เสนาบดีฝ่ายขวาค้อมคำนับ ก่อนออกไปนอกตำหนัก  

 

 


ตอนที่ 99-2 ตะวันใกล้ลาลับ

 

เมื่อออกจากตำหนักบรรทมแล้ว เสนาบดีฝ่ายขวาก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา ก่อนเอื้อมมือลูบแผ่นหลัง บริเวณหลังเปียกโชก สายลมเย็นพัดผ่านชวนให้หนาวถึงขั้วกระดูก 


 


 


           เมื่อออกจากประตูวังก็บังเอิญพบเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบร้อนมา เสนาบดีฝ่ายขวาตะโกนเรียกอีกฝ่าย “รีบร้อนเช่นนี้ เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” 


 


 


           “ท่าน…เพิ่งออกจากวังหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงัก 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า 


 


 


           “ฝ่าบาทเล่า ทรงดีขึ้นหรือยัง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบถาม 


 


 


           “ฝ่าบาททรงเหนื่อยและล้ามาก เรื่องที่อุทยานหลวงวันนี้ ฝ่าบาทยังมิคลายโทสะลง ระบบทหารเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงดำเนินการอย่างเต็มที่หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต ความปรารถนาตลอดชีวิตของพระองค์คือการกำจัดตระกูลเซี่ยซึ่งเป็นดั่งเสือร้ายนอนหมอบซุ่มข้างเตียงในหนานฉิน กลัวว่าวันหนึ่งเสือจะกลายเป็นมังกรคะนองน้ำ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ทำมิได้ กลับกันในระหว่างที่บ้านเมืองปั่นป่วนและภายนอกถูกรุกรานจำต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ย” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “จากสถานการณ์ในตอนนี้ หนานฉินภายในมี 


 


 


เซี่ยฟางหวาย่อมเรียกขวัญจากประชาชน พรมแดนมีเซี่ยม่อหานรับช่วงต่ออำนาจการทหาร หากรัชทายาทขึ้นเครื่องราชย์ ตระกูลเซี่ยต้องเจริญรุ่งเรืองอีกร้อยปี ไม่มีทางพลาดจากนี้” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายเดิมฉลาดปลิ้นปล้อน ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจยกใหญ่ คว้าแขนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ “กล่าวเช่นนี้ ฝ่าบาทได้รับผลกระทบจากการที่รัชทายาทขอให้แก้ไขระบบทหารวันนี้ ไม่ค่อยดีนัก” 


 


 


           “ลับหลังที่ระบบทหารถูกแก้ไข คือฝ่าบาทมิอาจควบคุมตระกูลเซี่ยได้แล้ว และมิอาจควบคุมสถานการณ์ในหนานฉินได้แล้วด้วย” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “บ้านเมืองย่อมมีอัจฉริยะบุคคลกำเนิดขึ้นทุกรุ่น คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า ฝ่าบาททรงชราแล้ว พวกเราเองก็แก่แล้วเช่นกัน หากรัชทายาทราชาภิเษกเมื่อไร ช้าเร็วก็ต้องแก้ไขระบบทหารอยู่ดี ยามนี้แค่รอรุ่นใหม่มาแทนที่เท่านั้น” 


 


 


           “ท่านกลัวว่าฝ่าบาทจะ…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า เผยความชราเคร่งขรึมบนใบหน้า 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวไม่ออกพักหนึ่ง มองไปยังวังหลวง ประตูวังอันสูงตระหง่านคล้ายกับสิงโตเพศผู้ที่แก่ตัวลง มิอาจทรงพลังน่าเกรงขามเหมือนวันวานอีก ตะวันใกล้ลาลับ บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง เขาวิ่งมาด้วยเหงื่อโทรมกาย ถูกสายลมเย็นพัดผ่านหนาวสะท้าน หัวใจเริ่มจะหนาวเหน็บขึ้นบ้างแล้วเช่นกัน “เดิมข้าอยากไปโน้มน้าวให้ฝ่าบาททรงแก้ไขระบบทหารอีกครั้ง แค่พระราชโองการเกรงว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อกองทัพม่อเป่ยเท่าไรนัก ถ้าเป่ยฉีรุกรานเข้ามา หนานฉินของเราจะมีภัย แต่ได้ยินท่านพูดเยี่ยงนี้ ข้าก็มิกล้าเข้าไปอีกแล้ว” 


 


 


           “อย่าไปเลย ถึงไปก็เปล่าประโยชน์” เสนาบดีฝ่ายขวาโบกมือห้าม 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้า ผละตัวออกจากประตูวังกลับไปพร้อมเสนาบดีฝ่ายขวา 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวากลับมาถึงจวนได้มินาน อู๋เฉวียนก็นำพระราชโองการมายังจวนเสนาบดีฝ่ายขวา 


 


 


           ทุกคนในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาออกมารับพระราชโองการ 


 


 


           พระราชโองการถอนหมั้นเป็นไปตามคำขอร้องของเสนาบดีฝ่ายขวา ให้ดำเนินการถอนหมั้นการสมรสระหว่างคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับรัชทายาท นับจากนี้ต่างฝ่ายต่างหาคู่ครองใหม่ได้ 


 


 


           ทุกคนในจวนเสนาบดีฝ่ายขวากล่าวขอบพระทัย 


 


 


           อู๋เฉวียนส่งพระราชโองการให้เสนาบดีฝ่ายขวาพร้อมกล่าวเสียงเบา “ท่านเสนาบดี วันนี้เป็นเพราะท่านกระมัง หากเป็นคนอื่น คงมิได้เดินออกมาอย่างปลอดภัยแน่นอน” 


 


 


           ถ้อยคำนี้แฝงความหมายชัดเจน 


 


 


           “ขอบคุณกงกงที่พูดจาแก้ต่างให้ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท” เสนาบดีฝ่ายขวารับพระราชโองการ 


 


 


           “ข้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ ไหนเลยจะก้าวก่ายเรื่องมากมายเหล่านั้นได้ และไหนเลยจะมีอิทธิพลต่อพระประสงค์ ฝ่าบาททรงเห็นแก่ท่านเสนาบดีที่ช่วยปกครองบ้านเมืองด้วยความจงรักภักดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา และอาวรณ์ท่าน ฝ่าบาทนั้นแท้จริงแล้วเป็นคนเห็นแก่ความสัมพันธ์ เพียงแต่ฐานะจักรพรรดิบดบังอยู่เท่านั้นเอง” อู๋เฉวียนโบกมือปัด  


 


 


           “ใช่แล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า ก่อนผายมือเชิญ “กงกงเข้าไปดื่มชาในจวนก่อนเถิด” 


 


 


           “ข้ายังต้องกลับไปรายงานที่วังหลวง ไว้วันหน้าแล้วกัน” อู๋เฉวียนขอตัวลา ขึ้นรถม้าย้อนกลับไปวังหลวง 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวามองส่งอู๋เฉวียนจากไปไกล ก่อนหันกลับมามองหลี่หรูปี้ที่ยืนอยู่ข้างฮูหยินตน 


 


 


           หลี่หรูปี้ผอมลงไปเยอะมาก ดูแล้วราวกับเพียงถูกลมพัดก็จะล้มลง เพราะหลายวันนี้เอาแต่อุดอู้อยู่ในจวนจึงใบหน้าซีดเพราะมิได้พบเจอแสงแดด 


 


 


           “ปี้เอ๋อร์ ชีวิตคนยาวนานมาก มีวาสนากับผู้ใดเพราะชะตาลิขิตไว้แล้ว หากไร้วาสนาก็บังคับมามิได้เช่นกัน ไฉนเจ้าถึงต้องทรมานตัวเองด้วย” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจออกมา  


 


 


           “ลูกทราบดี” หลี่หรูปี้ย่อเข่าทำความเคารพ 


 


 


           “ถ้าเจ้าเข้าใจจริงๆ ก็ดี” เสนาบดีฝ่ายขวามองนาง “เจ้าเป็นเด็กฉลาด อย่าได้มุ่งเข้าหาทางตันเลย ตอนนี้เจ้าถอนหมั้นกับรัชทายาทแล้ว จวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเราเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นเองจึงไม่ส่งผลกระทบต่องานสมรสของเจ้าในอนาคต เจ้าลองทบทวนให้ดีเถอะ ต่อไปข้ากับแม่เจ้าจะหาคู่ครองให้เจ้าเอง” 


 


 


           หลี่หรูปี้เม้มปาก ไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           “นายท่านมีธุระใดก็ไปทำเถิด ข้าจะคุยกับปี้เอ๋อร์เอง” ฮูหยินมองหลี่หรูปี้แวบหนึ่งแล้วกล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา  


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้าแล้วเดินไปยังห้องหนังสือ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาเดินจากไป ฮูหยินก็คว้ามือหลี่หรูปี้เดินเข้าไปข้างใน ระหว่างเดินก็พูดเสียงต่ำ “วันนี้หลังพ่อเจ้าเข้าวัง ข้าก็ว่างไม่มีธุระใดจึงให้คนไปสืบข่าวดู ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ก่อนหน้านี้หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ของเรือนใหญ่ตระกูลเซี่ย แต่เพราะเรือนใหญ่ประสบเคราะห์ ทั้งตระกูลถูกเนรเทศไปยังหลิ่งหนาน ดังนั้นการสมรสจึงล่มลง ตอนนี้ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางยังไม่หาคู่ครองใหม่” 


 


 


           “ท่านแม่อยากให้ข้าออกเรือนกับทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางหรือ” หลี่หรูปี้ชะงัก 


 


 


           “ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางได้รับการสั่งสอนจากในตระกูลมาตั้งแต่เด็ก มีพรสวรรค์ ข้าเคยเห็นหน้าค่าตาที่จวนเรือนใหญ่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นฮูหยินหมิ่นอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้นกับตระกูลชุยแห่งชิงเหอ และจวนอิงชินอ๋องคิดหาวิธีการเพื่อเร่งงานสมรสระหว่างบุตรีของตนกับทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางให้เร็วที่สุด ทว่ากลับกลายเป็นคว้าน้ำเหลว” ฮูหยินพยักหน้า  


 


 


           “ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแม้ดีนักหนา แต่ท่านแม่เคยคิดบ้างหรือไม่ หากสมรสกับเขา ข้าต้องออกเรือนไปไกล หรือว่าท่านแม่อยากให้ข้าออกเรือนไปไกล” หลี่หรูปี้ถามเสียงต่ำ 


 


 


           ฮูหยินถอนหายใจ “แม่ก็ไม่อยาก แต่ฉินเจิงลั่นวาจาไว้แบบนั้นว่าหากพบเจ้าจะสังหาร ตอนนี้รัชทายาทถอนหมั้นแล้ว ในเมืองแห่งนี้แม้มีบุตรชายที่ยังไม่แต่งภรรยามากมาย วงศ์ตระกูลสูงส่งที่เหมาะสมกับเจ้าก็มีอยู่ ทั้งบุตรชายของสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน บุตรชายของผู้ตรวจการ แต่ว่า…” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอย่างจนใจ “แต่คนเหล่านี้ต่างทราบเบื้องหลังดี เกรงว่าจะไม่ยินยอม ออกเรือนด้วยไม่ได้” 


 


 


           นัยน์ตาของหลี่หรูปี้ค่อยๆ แดงก่ำ คว้าชายเสื้อของฮูหยิน “ท่านแม่ หรือว่านี่เป็นความผิดของลูกหรือ” 


 


 


           “ย่อมไม่ใช่ความผิดของลูก แต่สวรรค์ก็ลิขิตไว้แล้ว ใครจะรู้เล่าว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปจนมาถึงขั้นนี้ เหตุใดท่านอ๋องน้อยเจิงถึงอยากสังหารเจ้า จนป่านนี้แม่ยังไม่ทราบ พ่อเจ้าลองถามอิงชินอ๋องเป็นการส่วนตัวแล้ว ท่านอ๋องก็มิทราบเช่นกัน แม้แต่พระชายาเองยังสับสนเลย นี่มีแต่ต้องถามท่านอ๋องน้อยเจิงเองเท่านั้น ไม่รู้ว่าเจ้าไปล่วงเกินอันใดเขาไว้” ฮูหยินเห็นหลี่หรูปี้เช่นนี้ก็เศร้าใจตาม  


 


 


           “ข้าชื่นชมเขา ทว่าหลังจากเรื่องพิษกามารมณ์ในวังหลวง ข้าก็มิกล้าคิดเช่นนั้นอีกแล้ว ต่อมาเขากับเซี่ยฟางหวาสมรสกัน ฮองเฮากับรัชทายาทรับข้าเข้าวัง ข้าเป็นเพียงแค่ธงปักหน้าร้านเหมือนที่พวกเขาผลักไสหลูเสวี่ยเหยียนเข้าจวนอิงชินอ๋อง เรื่องพวกนี้เกี่ยวกับลูกตรงไหน” หลี่หรูปี้พูดพลางก็ร้องไห้ออกมา “ท่านแม่ เกี่ยวกับลูกตรงไหนหรือ การชื่นชมเขาเป็นความผิดอย่างนั้นหรือ แม้แต่จะอยู่เมืองหลวงแห่งนี้ เขายังไม่อนุญาตเลยใช่หรือไม่” 


 


 


           “ใช่ ท่านอ๋องน้อยเจิงรังแกผู้อื่นอย่างยิ่ง” ฮูหยินถูกหลี่หรูปี้พูดเช่นนี้ใส่ก็โกรธขึ้นมา  


 


 


           หลี่หรูปี้ร้องไห้ต่อพักหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นมา มองฮูหยินพลางกล่าวอย่างแน่วแน่ “ท่านแม่ ต่อให้ทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางดีเพียงใด ข้าก็จะไม่ออกเรือนไปไกลโดยเด็ดขาด ข้าจะอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ หากฉินเจิงจะสังหารข้าก็ปล่อยให้เขาสังหารข้าเถิด ถึงอย่างไรก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ลูกเองก็ไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม