สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย 95.1-96.3
บทที่ 95 พลิกกระดานหมาก (1)
โดย
Ink Stone_Romance
“กระหม่อมมิบังอาจ!” เหยาก่วงไท่กล่าว “กระหม่อมว่าไปตามสถานการณ์เท่านั้น ในเมื่อหวงจ่างซุนไม่รู้สึกละอายใจ แล้วเหตุใดจึงโมโหเช่นนี้เล่า? รั้งแต่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้ง่ายๆ!”
ฉู่ฉีฮุยโกรธหน้าดำหน้าแดง เมื่อได้สติแล้วจึงรีบรักษาท่าทีตามเดิม แต่ก็กลับถูกเขาตอบกลับด้วยความเงียบ
เหยาก่วงไท่เวลานี้จึงเบนสายตาไปหาฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษรกล่าวว่า “ฝ่าบาท คนเลวอย่างไรก็หนีไม่พ้นบาปกรรม สักวันหนึ่งก็ต้องถูกสวรรค์ลงโทษ แต่ไหนแต่ไรองค์รัชทายาทก็จัดการเรื่องราวด้วยความรอบคอบถ้วนถี่ กระหม่อมเชื่อมั่นเป็นที่สุด เพียงแต่ที่ท่านอ๋องหนานเหอพูดมาก็ไม่ผิด ในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นบังเอิญถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนล่วงหน้ามาก่อนแล้ว หลายวันมานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด กระหม่อมคิดว่า…ถ้าไม่ใช่คนทั้งด้านนอกด้านในร่วมมือกัน พวกขององค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยก็คงอยากจะถอนตัวออกจากเรื่องนี้อย่างเงียบๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้วแน่น หลังจากได้ฟังจึงอดกลั้นความโกรธไม่ไหวเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าท่านนี้ ระวังคำพูดด้วย ข้าบอกไปแล้วว่าพี่ห้าของข้าไม่ใช่นักโทษในราชสำนักของพวกท่าน คนด้านนอกด้านในร่วมมือกัน? มีการวางแผนล่วงหน้ามาก่อนอย่างนั้นรึ?”
ในขณะที่พูดก็เบนสายตาไปยังฮ่องเต้ ยืดหลังตรงกล่าว “ฝ่าบาท อวิ๋นจีขอถามพระองค์หนึ่งประโยค เรื่องที่พวกท่านขุนนางกำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องอันใดกันแน่? พี่ห้าฝ่าฝืนกฎของแคว้นท่านหรือ? หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น…ก็ขอฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย เห็นแก่ความสัมพันธ์ของสองแคว้น”
ฮ่องเต้อยากจะกักตัวทั่วป๋าไหวอันไว้เป็นเพียงความคิดส่วนตัวเท่านั้น แต่หลังจากปล่อยให้ทั่วป๋าไหวอันหลุดรอดไปได้ในครั้งนี้กลับจะเป็นปัญหาที่ยากจะจบลงด้วยดีในอนาคต
ฮ่องเต้เผยท่าทีเงียบงัน ไม่ปริปากพูดใดๆ
เหยาก่วงไท่เตรียมจะอ้าปาก เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น[1] ทั้งยังขลุกอยู่ในราชสำนักมาเกือบสิบปีแล้ว ฝีปากคารมที่จะหักล้างกับทั่วป๋าอวิ๋นจีนั้นย่อมมี แต่พูดไปก็เท่านั้น ทว่าเมื่อกวาดสายตาไปมองหน้าของฮ่องเต้ ท่าทีของฝ่าบาทกลับไม่ชัดเจน เช่นนั้นเขาก็ยิ่งไม่ควรจะพูดพร่ำเพรื่อ แม้จะอ้าปากแล้ว แต่สุดท้ายก็ฝืนเงียบเอาไว้
บรรยากาศในตำหนักเงียบเชียบจนรู้สึกเย็นยะเยือกไปชั่วขณะ
แววตาที่ล่องลอยของฉู่ฉีเฟิงค่อยๆ กวาดตามองไปที่ผู้คน จากนั้นจึงค่อยกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “มือสังหารยังไม่ปรากฏเบาะเสาะใดๆ และเมื่อลองวิเคราะห์จากเรื่องราวครั้งที่แล้ว เรื่องนั้นเห็นได้ชัดว่าโจมตีไปที่องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ย เกรงว่าองค์หญิงอวิ๋นจีจะเข้าใจผิดแล้ว ที่เสด็จปู่คอยติดตามความเป็นมาเป็นไปขององค์ชายห้าก็เพียงเป็นห่วงความปลอดภัยเขาเท่านั้น”
ข้ออ้างเช่นนี้อีกแล้ว!
ทั่วป๋าอวิ๋นจีชะงักไป ก่อนจะกัดริมฝีปาก ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด เพียงส่งเสียงในลำคอ หันไปมองด้านข้างแทน
ฮ่องเต้นั้นยังคงไม่ต่อบทสนทนาใดๆ
ฉู่ฉีเหยียนเมื่อได้ฟังคำกล่าวนั้นก็ละสายตาจากถ้วยชาในมือ เหลือบไปทางทั่วป๋าอวิ๋นจี “องค์หญิงหก ข้าไม่แน่ใจว่าพวกท่านชาวโม่เป่ยมีกฏขนบธรรมเนียมแบบไหน แต่ในแคว้นข้านั้นให้ความสำคัญกับเรื่องแต่งงานเป็นอย่างมาก ท่านเพิ่งเข้ามาดังนั้นจึงมีเรื่องไม่ทราบอยู่บ้าง ผู้นำตระกูลที่ล่วงลับไปแล้วของจวนอ๋องฉางซุ่นเป็นขุนนางที่มีคุณูปการในการช่วยฝ่าบาทรวบรวมอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสหายที่เป็นพี่น้องเดียวกับฝ่าบาท สกุลซูนับว่าเป็นสกุลสูงส่งไม่เป็นสองรองใครในราชวงศ์ เวลานี้ฝ่าบาทให้สมรสพระราชทานระหว่างองค์ชายห้าและท่านหญิงจวนอ๋องฉางซุ่น เป็นเกียรติยศที่ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่ากระไร ต่อให้องค์ชายห้ามีเรื่องใหญ่อันใด แต่ถึงกับหลบหนีพิธีแต่งงานออกจากเมืองหลวงในวันนั้น นี่ยังไม่ชัดว่าเป็นการหักหน้าจวนอ๋องฉางซุ่นหรอกหรือ? ”
ถึงแม้ฉู่ฉีฮุยจะถูกลากไปพัวพัน แต่กลับเป็นฉู่ฉีเฟิงที่ละอายใจ ดังนั้นเรื่องก็ค่อยๆ คลี่คลาย เพราะการประนีประนอม
แต่ฉู่ฉีเหยียนกลับ…
การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามวิกฤตก็ได้พาจุดยืนของตนมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับทั่วป๋าไหวอัน สบโอกาสมอบโทษให้เขา
มองผิวเผินทั้งสองคนอาจมีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่ก็กลับมีอะไรที่คล้ายคลึงเช่นกัน ล้วนแต่ปูบันไดให้กับฮ่องเต้ ในความเป็นจริงนั้น…
ดูจากในใจของฮ่องเต้ขณะนี้ เหมือนว่าการกระทำของฉู่ฉีเหยียนจะทำให้เขาพึงพอใจมากกว่า
ใบหน้าของฉู่ฉีเหยียนปรากฏรอยยิ้ม มองไปที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีแล้วจึงกล่าวว่า “องค์หญิงหก ผู้นำตระกูลจวนอ๋องฉางซุ่นตายก่อนเวลาอันควร ฝ่าบาทนั้นแต่ไหนแต่ไรก็คอยดูแลลูกหลานของเขาราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เวลานี้ก็ดำเนินพิธีแต่งงานให้ท่านหญิงจวนอ๋องฉางซุ่น กลับถูกราชวงศ์โม่เป่ยของพวกท่านมอบความอัปยศอดสูให้เช่นนี้ ฝ่าบาทอาจจะเห็นแก่หน้าอ๋องโม่เป่ย จึงไม่สืบสาวราวเรื่องจากพวกท่าน แต่ในขณะเดียวกันฝ่าบาทก็ต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้กับสหายเก่า ข้าชาวซีเยว่ยึดมั่นในคุณธรรมเป็นที่สุด องค์ชายห้าล่วงเกินฝ่าบาทเช่นนี้ ฝ่าบาทจึงโกรธเกรี้ยว สืบเสาะตามหาเขาเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
ทอดทิ้งสหายเก่า ละศีลธรรมโยนความผิดให้ กลับเป็นการหาคำอธิบายอย่างสมเหตุสมผลมาให้ฮ่องเต้
ฮ่องเต้เพียงเผยใบหน้าเรียบนิ่งคล้ายผิวน้ำที่เงียบสงบเหม่อมอง ไม่ได้ยอมรับอย่างต่อหน้า แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยเช่นกัน
มุมปากของทั่วป๋าอวิ๋นจีกระตุกสั่น คิ้วขมวดมุ่นเผชิญหน้ากับรอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่ฉีเหยียน ท้ายที่สุดก็ยังรู้สึกยากที่จะจัดการ ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะโต้ตอบไปอย่างไรดี
เหยาก่วงไท่เวลานี้ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง กล่าวเสริมว่า “การกระทำของทั่วป๋าไหวอันนับเป็นเรื่องที่จองหอง หากเป็นเวลาอื่นก็แล้วไป แต่พิธีแต่งงานใหญ่เช่นนี้กลับไม่พบแม้แต่เงา องค์หญิงหก…ข้าไม่ทราบว่าจะกล่าวได้หรือไม่ว่าเขานั้นไม่พอใจต่อพระราชโองการของฝ่าบาท? หรือว่า…ที่เกิดเรื่องเช่นนี้เพราะมีใจให้ผู้อื่น? มิฉะนั้น มีเหตุใดจึงไม่สามารถพูดคุยตรงๆ กับฝ่าบาทได้? ถึงกับแอบหนีออกจากเมืองลับๆ โดยพลการ?”
พูดได้ครึ่งเดียว น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบในฉับพลัน “องค์หญิงหก เขาเป็นพี่ชายของท่าน พวกท่านมาจากโม่เป่ยด้วยกัน การหลบหนีของเขาตอนนี้ท่านคงมิอาจมิรู้ได้กระมัง? ฝ่าบาทไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น ข้าแนะนำท่านให้บอกเบาะแสขององค์ชายห้าให้แน่ชัด พาตัวเขากลับมาชี้แจงแถลงไขจะเป็นการดีกว่า มิฉะนั้นหากเรื่องมีท่าทีเลวร้ายขึ้น ทำลายความสัมพันธ์ของสองแคว้นลง เวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกแล้ว”
ภายใต้การกดดันซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเขาและฉู่ฉีเหยียน ทั่วป๋าอวิ๋นจีจึงเริ่มสับสนขึ้นมาบ้างแล้ว
นางประเดี๋ยวก้มหัวประเดี๋ยวเงยหน้า ก่อนจะรีบปกปิดความรู้สึกที่อยู่ในใจ เพียงแต่กล่าวว่า “ข้าพูดไปแล้ว เมื่อวานทั้งวันข้าล้วนยุ่งอยู่กับการรับแขก ตอนเย็นพี่ห้าก็กลับไปเรือนรับรองของเขา เขาไปตั้งแต่เมื่อใดข้าก็ไม่อาจรู้ได้ พวกเจ้าจะให้ข้าพูดแทนเขาได้อย่างไร?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” เหยาก่วงไท่แสยะยิ้ม “พวกท่านเป็นพี่น้องกัน เขาคงไม่อาจจะละทิ้งท่านไว้ได้หรอกกระมัง?”
“หึ!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีนั้นถูกพวกเขากระตุ้นความโกรธแล้ว จึงจ้องตาต่อตาฟันต่อฟัน ก่อนจะกล่าวอย่างเยาะเย้ย “พี่น้องแล้วอย่างไร? ข้าบอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้ ข้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าไม่เข้าใจว่าพวกท่านพูดถึงคุณธรรมอะไรหรือการวางแผนอะไร หากว่าตอนนี้หาพี่ห้าไม่เจอ พวกท่านก็จะกล่าวหาโทษข้าให้จงได้…ถ้าอย่างนั้นในทางกลับกัน ฝ่าบาทก็จะพาน้องแปดของหม่อมฉันมาเค้นถามด้วยใช่หรือไม่เพคะ? ข้าอยู่ที่นี่ไม่มีผู้ใดให้พักพิง แต่น้องแปดกลับได้รับความรักจากฝ่าบาท เป็นพี่น้องก็ต้องตกเป็นผู้สงสัยด้วยกันใช่ไหมเพคะ? ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นน้องแปดก็ได้ที่อาศัยฐานะของตนใช้ผู้ใดสักคนช่วยพี่ห้าหนีออกจากเมือง!”
“ท่านพูดจาเหลวไหล!” เหยาก่วงไท่อึ้งไปเล็กน้อย รีบร้อนกล่าวแก้ตัวกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้คิดสงสัยหรงเฟยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่…เพียงแค่ว่าไปตามสถานการณ์!”
“ข้าก็ว่าไปตามสถานการณ์เช่นกัน!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีกล่าวราวกับเป็นสตรีไร้เหตุผลที่มาจากต่างเผ่า ท่าทีนั้นทั้งไม่พอใจทั้งยังโมโหผสมปนเปกันอยู่ด้วย “พวกท่านจะว่าอย่างไรก็ว่าไปเถอะ การหายตัวไปของพี่ห้า ข้าบอกไม่รู้ก็คือไม่รู้ ข้าเองก็ต้องการหาเขาเช่นกัน อยากถามไถ่ว่าเหตุใดจึงหนีออกไปไม่กล่าวอะไรสักคำ เลือกทิ้งให้ข้าโดนเค้นถามแทนเขาที่นี่!”
พอทั่วป๋าไหวอันจากไป ฮ่องเต้ก็สืบสาวราวเรื่องทันที การกล่าวหาทั้งหมดจำต้องตกมาที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีแทนเขาอย่างไม่ต้องสงสัย หากฮ่องเต้จะเกิดโทสะ ชีวิตของนางก็ยากจะรักษาอย่างไม่ต้องพูดถึง
ทั่วป๋าอวิ๋นจีอยู่ที่เมืองหลวงหลายเดือนมานี้ก็ล้วนแต่เก็บตัวเงียบๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าใครจะมอง นางก็ดูไม่เหมือนคนที่มีความกล้าหาญเสียสละตัวเองเพื่อช่วยให้ทั่วป๋าไหวอันหลบหนีได้ เพราะว่านิสัยของมนุษย์ล้วนมีแต่ความเห็นแก่ตัว ทุกคนที่นี่ต่างก็เข้าอกเข้าใจดี ความสามารถเช่นนี้แม้แต่พวกเขาที่เป็นชายกล้าก็ยังไม่สามารถทำได้ ส่วนผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ลึกลับซับซ้อนเช่นนี้…
ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นเมื่อมองกลับมาในตอนนี้กลายเป็นทั่วป๋าอวิ๋นจีที่ถูกผู้คนรุมโจมตี ทว่าก็มีคนไม่น้อยที่ถอนหายใจด้วยความเห็นอกเห็นใจ…
องค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยท่านนี้ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดก็ถูกพี่น้องร่วมสายเลือดกับตนทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
การทะเลาะกันอย่างรุนแรงที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลนี้ ฮ่องเต้ที่เงียบอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวที่จะปะทุความโกรธออกมา ตบโต๊ะอย่างรุนแรง ตะเบ็งกล่าว “หุบปาก!”
การทะเลาะที่ดุเดือดนี้จึงหยุดลงกะทันหัน ทุกคนต่างก็พากันหุบปากด้วยความเกรงกลัว
ใบหน้าของฮ่องเต้นั้นบิดเบี้ยว สายตาแหลมคมกวาดไปมองหน้าของผู้คนที่อยู่ด้านล่างหนึ่งรอบ ท้ายที่สุดมุมปากจึงค่อยฉีกยิ้มเย็นอย่างเหน็บแนม “สถานที่สำคัญเช่นห้องทรงอักษรนี้ พวกเจ้าทะเลาะโหวกเหวกต่อหน้าข้าโดยไม่หยุดพัก ยังรู้ธรรมเนียมและกฎหมายของแคว้นหรือไม่?”
“ฝ่าบาทได้โปรดลงโทษ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เหยาก่วงไท่รีบร้อนก้มหัวรับผิด
ฉู่ฉีเหยียนและฉู่ฉีเฟิงที่พูดไปก่อนหน้านี้ก็รีบวางถ้วยชาลุกขึ้น กล่าวรับผิดเช่นกัน “กระหม่อมน้อมรับความผิด!”
ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองไปที่สองคน ทว่าแววตากลับนิ่งสนิท โบกมือไปทางฉู่ฉีฮุยที่ถูกลืมอยู่ด้านข้าง “เจ้าพูดมา…เมื่อวานตอนค่ำเจ้าออกจากเมืองไปทำอะไร?”
ฉู่ฉีฮุยตกตะลึงจนเบิกตาค้าง
นี่ฝ่าบาท…
ต้องการจะคาดโทษเขาใช่หรือไม่?
………………………………………………….
[1]ขุนนางฝ่ายบุ๋น ขุนนางในจีนจะมีสองสาย คือบุ๋นและบู๊ ขุนนางฝ่ายบุ๋นคือฝ่ายปกครอง ส่วนขุนนางฝ่ายบู๊คือฝ่ายทหาร
บทที่ 95 พลิกกระดานหมาก (2)
โดย
Ink Stone_Romance
“เสด็จปู่!” ในใจสั่นไหว ฉู่ฉีฮุยรีบร้อนคุกเข่าลง กล่าวว่า “เรื่องของทั่วป๋าไหวอันไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลานนะพ่ะย่ะค่ะ หลานกับเขาแม้แต่การคุยส่วนตัวเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี จะไปร่วมมือกับเขาทำเรื่องที่ผิดเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ได้ข้องเกี่ยวอย่างนั้นรึ?” ฉู่อี้หมินเหลือบตามอง ราวกับหลับตาพินิจอย่างใช้ความคิด จากนั้นจึงกล่าวว่า “ก่อนหน้าที่ทั่วป๋าไหวอันจะมาถึงเมืองหลวง เสด็จพ่อรับสั่งให้เจ้าและฉีเหยียนไปต้อนรับเขาเที่ยวราชนิเวศน์นอกเมืองตั้งหลายวัน เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าช่วงเวลานั้นเจ้ายังดื่มกับเขาทั้งคืนโดยไม่พักด้วย? ในตอนนั้น…ก็คุยกันถูกคอใช่หรือไม่?”
ฉู่ฉีฮุยหัวใจเย็นวาบ รู้สึกเสียใจขึ้นมาชั่วขณะ…
ในตอนนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะไม่เจอทั่วป๋าหรงเหยาที่ราชนิเวศน์นอกเมือง จึงคาดว่าจุดหมายสุดท้ายของนางอาจจะอยู่ที่วังบูรพา ดังนั้นจึงหยิบยืมโอกาสตอนที่ฉู่สวินหยางและซูหว่านขัดแย้งกันนัดกับทั่วป๋าไหวอัน เพื่อผูกความสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้า
ใครจะรู้ว่าท้ายที่สุดหลังจากทั่วป๋าไหวอันเข้าวังแล้ว เขากลับไม่ได้ทำเรื่องอันใดเลย จนมาถึงตอนนี้…
กลับกลายมาเป็นจุดอ่อนในมือคนอื่นอีก
“นั่นเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เวลานั้นข้าก็ทำตามคำสั่งที่ได้รับจึงคอยต้อนรับดูแลเขา งานเลี้ยงรับรองก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ท่านอาโปรดอย่าได้ยกเรื่องนี้มาแสดงความคิดเห็นเลยขอรับ!” เขาตั้งสติอย่างแน่วแน่ จ้องตาฉู่อี้หมินเขม็ง หลังจากนั้นจึงค่อยหันไปกล่าวกับฮ่องเต้ที่อยู่หลังโต๊ะทรงอักษรอย่างอ่อนน้อมอีกครั้ง “เสด็จปู่ ขอพระองค์โปรดพิจารณาให้ถ้วนถี่ กระหม่อมและทั่วป๋าไหวอันรู้จักกันเพียงผิวเผิน ท่านอาเขาคิดไปเองทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“เสด็จพ่…”ฉู่อี้หมินมีโอกาสที่จะโจมตีวังบูรพาทั้งทีจะทิ้งไปได้อย่างไร จึงรีบเปิดปากพูดทันที
ทว่าฮ่องเต้กลับกล่าวเสียงเย็นออกมา “ไม่มีใครพูดว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับการหลบหนีของทั่วป๋าไหวอัน ข้าเพียงถามเจ้าว่า เหตุใดเมื่อวานจึงไม่ฟังคำสั่งของพ่อเจ้าดึงดันออกไปนอกเมือง”
“คือ…” ฉู่ฉีฮุยมีท่าทีลังเลไปชั่วครู่
ฉู่ฉีเฟิงค่อยๆ ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานท่านพ่อภารกิจเร่งรัด ไม่ใช่ว่าท่านพี่ไปเข้าร่วมงานแต่งขององค์ชายห้าแทนท่านพ่อมิใช่หรอกหรือ? อย่างไรก็คงจะแยกร่างไปสองที่ไม่ได้ เหตุใดจึงออกไปนอกเมืองได้อีกล่ะ?”
เรื่องของทั่วป๋าไหวอัน เหยาก่วงไท่ไม่ได้เตรียมการที่จะรับเผือกร้อน[1]เช่นนี้ รีบกล่าวขึ้นทันที “หากคังจวิ้นอ๋องมีข้อสงสัย สามารถถามใต้เท้าเหลียงได้ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ซื่อสัตย์ยุติธรรมมาโดยตลอด อย่างน้อยก็ไม่กล่าวหาใครแบบผิดๆ เป็นแน่!”
เวลานี้กองกำลังรักษาพระนครอยู่ภายใต้อำนาจของฉู่อี้อัน เหลียงอวี่นั้นหน้าชา ถึงแม้จะรู้สึกลำบากใจ แต่ก็ยังตอบไปตามจริง “กระหม่อมได้รับการยืนยันจากผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ในช่วงเย็นหวงจ่างซุนเป็นคนพาคนออกไปนอกเมือง ทั้งยังใช้ตราสัญลักษณ์ของวังบูรพาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เหยาก่วงไท่ทำท่าทางราวกับยกภูเขาออกจากอก ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากบางๆ
ที่อื่นๆ ล้วนไม่ผิดพลาด มีเพียงแต่เรื่องของฉู่ฉีฮุยเท่านั้นที่ไม่ชัดเจน เรื่องนี้คาดว่าแปดส่วนก็คงจะตกไปที่ฉู่ฉีฮุยแน่นอน
แววตาของฮ่องเต้ดุดันขึ้นมา ใช้สายตาเย็นเหยียบมองไปที่ฉู่ฉีฮุย
ฉู่ฉีฮุยราวกับน้ำท่วมปาก แต่เมื่อฮ่องเต้บังคับทางสายตาเช่นนี้ จำต้องฝืนใจเอ่ยขึ้น “ข้าเพียงออกไปจวนนอกเมืองเพื่อเยี่ยมเยียนท่านแม่และน้องสาวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“นี่นับว่าแปลกแล้ว…” ฉู่อี้หมินหัวเราะก่อนจะกล่าว “เจ้าต้องการไปเยี่ยมแม่จะไปเมื่อใดก็ย่อมได้ แต่กลับเลือกที่จะไปเมื่อวาน? ทั้งยังรีบเร่งออกจากงานแต่งทั่วป๋าไหวอันไป?”
ในเวลานี้เรื่องที่บังเอิญทั้งหมดทำให้ฉีฮุยพูดกลบเกลื่อนเรื่องโกหกของตนไม่ได้อีกแล้ว เขากระวนกระวายจนเหงื่อเต็มหน้า ทำได้เพียงบอกกล่าวไปอีกครั้งหนึ่ง “เพราะว่าที่จวนเกิดเรื่องด่วนขึ้น ข้าถึงได้รีบออกไป!”
ขณะที่พูดก็ทำท่าราวกับกลัวฮ่องเต้ไม่เชื่อมิปาน รีบกล่าวเสริม “ในตอนนั้นข้ายังพาองค์รักษ์ไปด้วยสิบหกนายล้วนแต่เป็นองค์รักษ์ที่คุ้นหน้าค่าตาอยู่ข้างกายมาหลายปี ตอนหลังก็มีคนติดตามข้ากลับมาไม่น้อย หากเสด็จปู่ไม่เชื่อ ก็สามารถเรียกตัวพวกเขามายืนยันได้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านก็พูดมาแล้วว่าพวกเขาต่างก็เป็นคนของท่าน เช่นนั้นอย่างไรพวกเขาก็ต้องว่าตามท่าน เกรงว่าถ้าเรียกมา ก็คงเสียเวลาเปล่าขอรับ” เหยาก่วงไท่กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ กลอกตามองบน กล่าวด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม “นอกจากนี้ตามที่ข้ารู้มา ระยะทางจากประตูเมืองด้านตะวันออกถึงจวนที่อยู่นอกวังบูรพา ขี่ม้าไปกลับหนึ่งชั่วยาม[2]ก็เพียงพอแล้ว แต่ว่าท่านออกไปในช่วงเย็น ผ่านไปจนยามสองเกิง[3]ถึงกลับมา ในระยะเวลานี้ยังเหลืออยู่กว่าหนึ่งชั่วยาม…ท่านไปที่ใด สามารถชี้แจงให้พวกเราฟังได้หรือไม่?”
ฉู่ฉีฮุยถูกเค้นจนวุ่นวายใจ หันกลับไปส่งสายตาแค้นเคืองไปให้เขา “ชี้แจง? ข้าเป็นนักโทษศาลต้าหลี่ของท่านหรืออย่างไร? กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่เจ้าดึงตัวข้าออกมาเค้นถามอย่างเปิดเผยเช่นนี้?”
“ข้ามิบังอาจ!” เหยาก่วงไท่กล่าว แต่กลับไม่แสดงท่าทีนอบน้อมแต่อย่างใด
“ปากเจ้าก็บอกว่าไม่กล้า ความเป็นจริงกลับกล่าวหาข้าไม่หยุด เหยาก่วงไท่ ข้าไปทำผิดอันใดต่อเจ้ากันแน่ เจ้าถึงได้ยุให้เสด็จปู่กับข้าบาดหมางใจที่ห้องทรงอักษรเช่นนี้?” ฉู่ฉีฮุยกล่าวด้วยความโมโห
“ยุให้บาดหมางกันหรือไม่นั้น ก็ต้องรอฝ่าบาทฟังหลังจากที่ท่านชายจ่างซุ่นอธิบายจึงจะตัดสินได้!” เหยาก่วงไท่กล่าวอย่างเยือกเย็น ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ในอกของฉู่ฉีฮุยบีบรัดอย่างแรง หากไม่ใช่เพราะว่าอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้จึงไม่สามารถลงมือได้ ไม่เช่นนั้นก็คงอดไม่ไหวปล่อยออกไปหนึ่งหมัดแล้ว
เหตุการณ์นั้นล้วนตกอยู่ในสายตาของฉู่อี้หมินที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขาค่อนข้างที่จะยินดี แต่ก็ยังพยายามรักษาความเงียบสงบและความมั่นใจเอาไว้บนใบหน้ากล่าวว่า “ฉีฮุย เจ้าไม่จำเป็นต้องโมโหร้อนรนไป คำพูดนี้ของใต้เท้าเหยาก็มิใช่มิมีเหตุผล เจ้าอธิบายมาให้ชัดเจนก็พอแล้ว หรือยังกลัวว่าอาอย่างข้าจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับเจ้า? เวลาชั่วยามกว่านั้นเจ้าไปทำอันใดกันแน่?”
“ข้า…” ฉู่ฉีฮุยชะงักไปชั่วครู่ คล้อยหลังจึงค่อยบังคับตัวเองให้สงบลง “ท่านแม่ไม่สบาย ข้าจึงอยู่ที่จวนนานหน่อย พูดคุยเป็นเพื่อนนาง!”
“โอ้?” ฉู่อี้หมินคอยมองดูท่าทีของเขา เห็นได้ชัดถึงความรู้สึกที่เขาหลบซ่อนในดวงตา
เข้าใจแล้วอย่างแจ่มชัด แต่กลับตีหน้าตายกล่าวกับฮ่องเต้ “เสด็จพ่อว่า…ยังต้องไปพิสูจน์เรื่องนี้ที่จวนหรือไม่?”
ในหัวของฉู่ฉีฮุยมึนงงไปพักใหญ่ แต่เพื่อที่จะไม่หลุดพิรุธออกมา จึงทำราวกับไม่มีผู้ใดพูดถึงตนอยู่
ใบหน้าของฮ่องเต้ยังคงไร้อารมณ์ชั่งน้ำหนักครุ่นคิด ในตอนที่กำลังลังเลจะตัดสินใจ ก็เห็นเย่าสุ่ยเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเร่งรีบ
ฮ่องเต้ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด เย่าสุ่ยจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วคุกเข่าลงไปก่อนกล่าว “ฝ่าบาท ฮองเฮาเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ กล่าวว่า มีเรื่องเร่งด่วนมาก อยากจะขอเข้าเฝ้าตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
อุปนิสัยของหลัวฮองเฮาถึงแม้จะเอาแต่ใจอยู่บ้าง ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องทั่วไปออก หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฮองเฮาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในตอนที่พระองค์กำลังว่างานราชการกับขุนนาง
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นไปอีก
หลี่รุ่ยเสียงที่เห็นเหตุการณ์ ไม่จำเป็นต้องรอให้เขาสั่งก็รีบก้าวออกไปดู พอมองก็ไม่พบเรื่องเร่งรีบอันใด แต่หลัวฮองเฮาในตอนนั้นกลับรอไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเห็นเขาออกมาสอบถาม ก็ผลักบานประตูผลุนผลันเข้าไปทันที
ฉู่หลิงอวิ้นและแม่นมเหลียงต่างก็ประคองมือนางคนละข้าง ด้านหลังยังมีฉู่สวินหยางและหลัวอวี่ก่วนติดตามมา คนพวกนี้ล้วนแต่แต่งกายอย่างสง่างาม ยามที่เดินก็ราวกลับมีสายลมพัดตามเข้ามาระลอกหนึ่งก็มิปาน
ใบหน้าของหลัวฮองเฮาดูไม่ดีสักเท่าไร ในความกังวลนั้นทั้งยังแฝงความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“ถวายพระพรฮองเฮา!” ขุนนางใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ตำหนักต่างก็เร่งรีบคุกเข่าน้อมทักทาย
หลัวฮองเฮากลับไม่สนใจใครทั้งนั้นเดินตรงไปทางด้านในที่ใกล้กับโต๊ะทรงอักษรฮ่องเต้ที่สุด ท่าทีเต็มไปด้วยความตระหนก “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพระองค์ ขอพระองค์เชิญผู้อื่นออกไปก่อนได้ไหมเพคะ!”
เดิมทีใบหน้าของฮ่องเต้ก็บิดเบี้ยวอยู่แล้ว เวลานี้กลับดำทะมึนราวกับเขม่าที่ก้นหม้อ มองไปที่นางก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเยียบเย็น “เหลวไหล! สถานที่สำคัญอย่างห้องทรงอักษรนี้ ข้ากำลังว่าราชการกับขุนนาง แต่เจ้ากลับบุกเข้ามาอย่างมิเกรงกลัว?”
ขณะที่พูดก็ตะเบ็งเสียงไปยังด้านนอกตำหนัก “หลี่รุ่ยเสียง นำตัวฮองเฮากลับไปวังโซ่วคัง!”
หลี่รุ่ยเสียงเพิ่งกลับเข้ามาจากด้านนอกพอดี เมื่อได้รับคำสั่งก็เข้าไปประคองมือหลัวฮองเฮา “ฮองเฮา กระหม่อมจะไปส่งพระองค์กลับไปเองพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ นะเพคะ!” หลัวฮองเฮาสะบัดมือเขาออก มองไปยังฮ่องเต้ที่อยู่หลังโต๊ะทรงอักษรด้วยท่าทีที่อ้อนวอน
หากเป็นเวลาปกติก็แล้วไป แต่ขณะนี้ในตำหนักกลับเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูงที่อยู่แทบจะพร้อมหน้าพร้อมตากัน ฮ่องเต้ถูกทำให้ขายหน้า จึงไม่ยอมผ่อนปรนให้แต่น้อย น้ำเสียงไร้อารมณ์นั้นให้ความรู้สึกเยือกเย็นมากขึ้นไปอีก “ยังยืนงงอะไรอยู่อีก? ส่งตัวฮองเฮากลับไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ท่าทีของเขาดุดันขึ้นมา หลี่รุ่ยเสียงจึงไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ใช้แรงบังคับประคองมือข้างหนึ่งของหลัวฮองเฮา
“ฝ่าบาท…” หลัวฮองเฮาพยายามจะสลัดเขาออกแต่ก็ไร้ผล เมื่อเห็นว่าถูกบีบบังคับให้ออกไป ในใจพอรีบร้อนก็มีแต่เสียงร้องดังกึกก้องอยู่ข้างใน
หลังจากนั้นต่อมา…
ร่างก็ค่อยๆ โอนเอน หงายตัวไปด้านหลัง!
“ฮองเฮาเพคะ!” แม่นมเหลียงร้องอย่างตกใจ ร่ำไห้ก่อนจะโวยวายออกมา “ฮองเฮาหมดสติไปแล้ว ตามหมอหลวง รีบตามหมอหลวงเร็วเข้า!”
“เสด็จย่า? เสด็จย่าเพคะ?” พวกฉู่หลิงอวิ้นและฉู่สวินหยางค่อยๆ เข้าไปล้อมรอบ ต่างก็ช่วยกันประคองร่างของนางไว้
สุขภาพของหลัวฮองเฮานับว่าแข็งแรงมาโดยตลอด ฮ่องเต้คาดไม่ถึงว่านางจู่ๆ จะล้มพับไปเช่นนี้ จึงรีบเด้งตัวลุกจากเก้าอี้ขึ้นมามองด้วยความกังวลอยู่ตลอด
พวกขุนนางค่อยๆ หลีกทางให้ ขยับไปยืนอยู่ริมสุด
ฉู่ฉีเฟิงเผยใบหน้ากังวลมองไปที่ฮ่องเต้ “เสด็จย่าอาจจะมีเรื่องร้อนใจ พยุงนางขึ้นไปพักที่เตียงด้านในจะเป็นการดีกว่าไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ด้านหลังของห้องทรงอักษรฮ่องเต้เป็นห้องโถงเล็กๆ ด้านในมีเตียงโต๊ะตั่งต่างๆ เพียบพร้อม
“เร็วเข้า! พยุงเข้าไป!” ฮ่องเต้ที่ตกตะลึงเล็กน้อยนั้น พยักหน้าอย่างทันที
แม่นมเหลียงที่อยู่ในอาการตกใจโวยวายนั้นคอยจัดแจงย้ายหลัวฮองเฮามายังตำหนักด้านหลัง
ฮ่องเต้ที่มองอยู่ ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว ได้แต่ยกมือขึ้นนวดเหนือคิ้ว ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้
หลี่รุ่ยเสียงออกมาจากด้านใน ออกคำสั่งกับเย่าสุ่ยให้เชิญตัวหมอหลวงมาก่อน จากนั้นจึงค่อยบอกกล่าวกับพวกขุนนางให้รออยู่ด้านนอก
เมื่อจัดการพื้นที่แล้ว ในตำหนักจึงเหลือเพียงรุ่ยชินอ๋อง ฉู่อี้หมิน ฉู่ฉีเฟิง และคนในราชวงศ์…
[1] เผือกร้อน หมายถึง เรื่องราวหรือปัญหาที่ยากจะรับมือ
[2] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับสองชั่วโมง
[3] ยามสองเกิง เกิง คือการบอกเวลาช่วงกลางคืนของจีน แบ่งออกเป็น 5 เกิง หนึ่งเกิงมี 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มนับจาก 19.00น. เป็นต้นไป ดังนั้น ยามสองเกิง คือประมาณ 21.00-23.00น.
บทที่ 95 พลิกกระดานหมาก (3)
โดย
Ink Stone_Romance
หลัวฮองเฮาหมดสติอย่างฉับพลันนี้ นอกจากรุ่ยชินอ๋องแล้ว เหล่าหนุ่มสาวคนอื่นๆ ล้วนแต่แสดงความเป็นห่วงอยู่ด้านหน้าเตียงบรรทม
“เสด็จพี่ อย่าเพิ่งคิดอันใดมากนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมองดูพี่สะใภ้แล้วใบหน้ายังนับว่ามีเลือดฝาดอยู่ น่าจะเป็นเพราะกังวลเกินไปจึงเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” รุ่ยชินอ๋องเอ่ยปลอบ
ฮ่องเต้นั้นที่ถูกเรื่องราวถาโถมเข้ามานั้น เวลานี้จึงมีอาการเวียนหัวอยู่บ้าง เมื่อได้ฟังเช่นนี้ก็ยกมือโบกอย่างอ่อนเพลีย บอกเป็นนัยแก่เขาว่าไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใด
เมื่อประคองหลัวฮองเฮามานอนที่เตียงดีแล้ว พวกฉู่สวินหยางและฉู่หลิงอวิ้นก็ออกมาจากห้องด้านหลังนั้น เหลือเพียงแม่นมเหลียงและหลัวอวี่ก่วนดูแลนางอยู่ด้านใน
ในตำหนักขณะนี้จึงเกิดแต่ความเงียบงัน ทุกคนต่างก็หลับตาครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ในใจของตนเอง
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิดอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนด้านนอกจึงค่อยเกิดเสียงก้าวเท้าดังขึ้น เป็นเย่าสุ่ยที่พาหมอหลวงเคราสีดอกเลาคนหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก
“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท!” หมอหลวงเจียงแบกกล่องยาคุกเข่าทำความเคารพ
“อืม!” ฮ่องเต้ไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจ จึงโบกมือกล่าว “ฮองเฮาเพิ่งจะหมดสติไป เจ้าไปตรวจดูหน่อยเถอะ!”
ผู้ที่มาไม่ใช่เหยียนหลิงจวิน?
ฉู่ฉีเหยียนที่กำลังเคลื่อนนิ้วไปมาอย่างเงียบๆ นั้นชะงักกึก
เวลาต่อมา…
จึงทำไปตามสัญชาตญาณ เขาเงยหน้าขึ้นมองฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
ฉู่สวินหยางคล้ายกับคาดเดาได้ก่อนแล้วว่าเขาจะมีปฎิกิริยาเช่นนี้ จึงค่อยๆ ยิ้มตอบสายตาของเขาไปอย่างเยือกเย็น
หัวใจของฉู่ฉีเหยียนเต้นแรงขึ้นมาอย่างกะทันทัน สัญชาตญาณที่ตอบกลับมานั้นราวกับจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
หลังจากนั้นยังไม่ทันที่จะรอให้ลางสังหรณ์ในใจดีขึ้น ก็เป็นดังที่คาด ฮ่องเต้ที่เดิมทีหลับตาอยู่ที่หลังโต๊ะทรงอักษรนั้นจู่ๆ ก็เปิดเปลือกตาขึ้นมา
สายตาของเขายังพร่ามัวอยู่บ้าง คิ้วบิดเบี้ยวเล็กน้อย มองตามเงาหลังที่งกๆ เงิ่นๆ ของหมอหลวงเจียง จนเงาของชายชรานั้นเลี้ยวเข้ามายังตำหนัก จึงค่อยได้ยินเสียงเขา “หือ” ขึ้นมาอย่างสงสัย “ใต้เท้าเหยียนหลิงล่ะ? เหตุใดเขาถึงไม่มาด้วย?”
หมอหลวงเจียงหยุดก้าวเดิน ก้มหน้าผินตาตอบด้วยความนอบน้อม “กราบทูลฝ่าบาท วันนี้ใต้เท้าเหยียนหลิงลาหยุดพ่ะย่ะค่ะ กล่าวว่ามีเรื่องด่วนที่ต้องออกไปนอกเมือง อาจจะกลับเข้ามาประจำในวังช่วงเย็นพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อเชื่อใจเขาจึงส่งมอบสำนักหมอหลวงให้เขาดูแล นี่เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วัน เขากลับต้องมาเสียเวลาเพราะเรื่องส่วนตัว?” ฉู่อี้หมินกดเสียงต่ำกล่าว “วันนี้ท่านแม่ไม่ค่อยสบายเขากลับไม่อยู่ ช่างไม่มีระเบียบเสียจริง”
ฉู่ฉีเหยียนเดิมทีจิตใจล่องลอย ตอนที่นึกขึ้นได้เขาก็พูดจบไปเสียแล้ว
หมอหลวงเจียงที่คำนับเสร็จก็เดินอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเข้าไปในตำหนักด้านหลัง
รุ่ยชินอ๋องเผยใบหน้าเย็นเยียบ กล่าวด้วยเสียงเย็นว่า “ธรรมชาติของมนุษย์ ใครจะสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น? หมอหลวงที่มีประสบการณ์ในสำนักหมอหลวงก็ใช่ว่าจะไม่มี อี้หมิน เจ้าอย่าได้เพ็งเล็งคนหนุ่มสาวมากนักเลย”
เหยียนหลิงจวินเป็นแขกที่มีเกียรติของจวนอ๋องรุ่ยชิน เขาออกหน้าให้จึงนับว่าสมเหตุสมผล
แต่ไม่ใช่กับฉู่อี้หมินที่ยังอาฆาตเหยียนหลิงจวินกับวังบูรพาที่ร่วมมือกัน กล่าวโต้ตอบไป “ในเมื่อรู้ว่าประสบการณ์ตนเองไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะรู้หนักรู้เบาในการรับหน้าที่นี้ พระวรกายของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ จะพึ่งพาความชักช้าของพวกเขาได้หรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนเวลานี้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ รีบเร่งลุกขึ้นมาไกล่เกลี่ย กล่าวรับผิดต่อรุ่ยชินอ๋อง “ท่านพ่อนั้นมุทะลุเช่นนี้ ก็เพราะเป็นห่วงเสด็จปู่กับเสด็จย่าจึงพลั้งปากออกไป ขอท่านลุงอย่าได้ใส่ใจ!”
ขณะพูดก็แอบดึงชายเสื้อฉู่อี้หมินอย่างเงียบๆ ส่งสายตาเป็นนัยให้แก่เขา กล่าวอย่างยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงมีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ได้ดูแลสำนักหมอหลวงจึงเป็นเรื่องที่คู่ควรแล้ว ท่านพ่อ ไม่กี่วันมานี้ไม่ใช่ว่าท่านยังชมเขาว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยมิใช่หรือ?”
คำพูดพวกนี้ เขาพูดตั้งแต่เมื่อไร?
ฉู่อี้หมินคิดวุ่นวายใจ ในตอนที่อยู่ในภวังค์ ฉู่ฉีเฟิงก็ก้าวออกมา เผยใบหน้าละอายกล่าวรับผิดกับฮ่องเต้ที่หลังโต๊ะทรงอักษร “ขอเสด็จปู่โปรดลงโทษ แต่อย่าได้ตำหนิใต้เท้าเหยียนหลิงเลย แท้จริงแล้วหลานเป็นคนมอบหมายงานให้ใต้เท้าเหยียนหลิง จึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าเสด็จปู่จะโทษก็ต้องโทษที่กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ที่ยังใจลอย ไม่ทันได้คิดอะไรมากก็กล่าวถามออกไป “หื้ม?”
เขาเพิ่งคืนสติจึงสะลึมสะลืออยู่บ้าง ดังนั้นจึงยังไม่ได้คิดจริงจังอะไร
ทว่ากลับทำให้ฉู่ฉีเฟิงยิ่งเผยหน้าลำบากใจขึ้นมา กล่าวด้วยเสียงอ่อน “เมื่อครู่ขุนนางทุกคนล้วนแต่อยู่ที่นี่ ด้วยหน้าตาของราชวงศ์ฉีเฟิงจึงไม่กล้ามากความ แท้จริงแล้ว…เกิดเรื่องขึ้นกับเยว่เหยียนนิดหน่อย หมอที่จวนนั้นอับจนหนทาง ข้าจำต้องทำได้เพียงรบกวนใต้เท้าเหยียนหลิงไปตรวจดูพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดออกไปเช่นนี้ แม้แต่ฉู่ฉีฮุยที่อยู่ท่ามกลางผู้คนนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะเบิกตาค้าง นิ่งอึ้งไปพักใหญ่
ฮ่องเต้เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา ถึงแม้สติยังไม่เข้าที่เข้าทาง แต่ก็ยังรวบรวมสติถามกลับไป “อะไรนะ?”
ฉู่ฉีเฟิงยิ้มขมขื่น หันกลับไปมองหน้าฉู่ฉีฮุยที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ จากนั้นจึงค่อยถอนหายใจ กล่าวอย่างไม่เต็มใจเท่าไร “ขอเสด็จปู่ลงโทษ เมื่อครู่พี่ใหญ่ไม่สะดวกที่จะมากความ แท้จริงแล้ว เมื่อวานตอนเย็นที่เขาเร่งรีบออกไปจากวังนั้นยังมีเรื่องอื่นปิดบังอีก เป็นเพียงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน้าตาของราชวงศ์ เมื่อครู่เพราะขุนนางมากหน้าหลายตาจึงไม่สะดวกที่จะเอ่ยปาก เมื่อวาน…นอกเมืองส่งข่าวที่เร่งด่วนเข้ามา กล่าวว่าน้องห้าหายตัวไปอย่างไม่มีสาเหตุ หลังจากตอนบ่ายค้นหาทั่วจวนแต่ก็ยังไม่พบ เสด็จปู่คงทราบ น้องห้ายังไม่ได้ออกเรือน หากข่าวนี้แพร่ออกไปก็คงยากที่จะรักษาเกียรติของราชวงศ์ ในตอนนั้นพี่ใหญ่กังวลมากไป ไม่สะดวกที่จะบอกเรื่องนี้ให้ทหารประจำประตูเมืองให้เข้าใจ ก็รีบเร่งออกจากเมืองไป ”
ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ใบหน้านั้นแฝงท่าทีเย็นชามากขึ้น กล่าวเสียงต่ำว่า “พูดมา!”
“พี่ใหญ่อยู่นอกเมืองชั่วคราว แท้จริงก็เพื่อช่วยหาร่องรอยของน้องห้า” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบ เพียงแต่แฝงด้วยความลำบากใจอยู่บ้าง กล่าว “ที่ไปที่มาของเรื่องราวพี่ใหญ่ยังคงสืบหาอยู่ เมื่อวานตอนที่เจอน้องห้าพบว่าถูกโจรชั่วดักปล้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงสลบไม่ได้สติ เรื่องราวเป็นมาอย่างไรไม่แน่ชัด ได้แต่หวังว่าการไปเยือนของใต้เท้าเหยียนหลิงครั้งนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาได้”
“อยู่ดีๆ เหตุใดโจรถึงดักปล้นได้?” รุ่ยชินอ๋องกล่าว สีหน้าไม่ค่อยดี “เป็นผู้ใดที่เหิมเกริมกล้าดักปล้นอย่างเปิดเผยกับคนของเรา? องค์รักษ์พวกนั้นเป็นคนตายหรืออย่างไร?”
“ท่าน…” ฉู่ฉีเฟิงถอนหายใจ สีหน้าลำบากใจ “องค์รักษ์บอกว่าเวลานั้นน้องห้าออกไปข้างนอกกับหญิงชราข้างกาย พูดว่า แค่ไปเดินเล่นใกล้ๆ นี้ ผลปรากฏว่า ไปแต่ไม่กลับมา หญิงชราคนนั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน ตอนนี้พี่ใหญ่ออกคำสั่งกับคนในจวนให้ไปค้นหานางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนฉลาด พูดถึงนี่ก็รู้แล้วว่า…
ต้องเป็นหญิงชราคนนั้นที่หลอกล่อฉู่เยว่เหยียนออกไปจากจวน หลังจากนั้นจึงทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากเช่นนี้
ฉู่ฉีเหยียนแววตาดิ่งลึก เข้าใจชัดเจนอย่างทันที
พลิกแพลงสถานการณ์ได้ไม่เลว!
ฉู่เยว่เหยียนนั้นคงจะไม่ได้มีเรื่องราวอันใด ถึงนางไม่เต็มใจถูกส่งออกไป แต่ทั้งวันจะโวยวายแทบเป็นแทบตายอย่างไร ชายารองเหลยก็คงจะตามน้ำไป ทุกวันก็คอยวางแผนว่าจะกลับมาอย่างไร
ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีนี้ ใช้เงินก้อนโตติดสินบนองครักษ์ในจวน รีบให้ชายารองเหลยเขียนจดหมายบังคับให้ฉู่ฉีฮุยออกจากเมือง
ผู้หญิงอย่างชายารองเหลยนั้นคงไม่มีแผนการซับซ้อนอันใด เพียงแค่เผื่อเวลาทำสักหน่อย อาศัยนางที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ มาช่วยดึงเวลาฉู่ฉีฮุยยิ่งสบายมาก
เมื่อเรื่องของทั่วป๋าไหวอันได้แดงออกมา ฉู่ฉีฮุยจะแก้ตัวอย่างไรก็คงไม่พ้นข้อกล่าวหา ในเมื่อไม่มีหลักฐานใดๆสามารถพิสูจน์ได้ เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยในใจของฮ่องเต้แล้วอย่างไรก็คงจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สำหรับวังบูรพาแล้วนับว่าไม่ได้เป็นการโจมตีเล็กๆ เลย
แต่ไม่คาดคิดว่า…
ความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของฉู่ฉีเฟิงนั้นเมื่อเทียบกับเขายังนับว่ามากกว่า แสดงละครอย่างยอดเยี่ยมต่อหน้าฮ่องเต้เช่นนี้
กล่าวว่าฉู่เยว่เหยียนถูกคนล่อลวงออกจากจวน?
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา ฉู่เยว่เหยียนที่โดนปล้นจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว ประเด็นสำคัญคือ…
มีทั้งคนนอกและคนในจวนร่วมมือกันล่อลวงฉู่เยว่เหยียนออกไป ยิ่งกว่านั้นยังคอยช่วยให้ฉู่ฉีฮุยออกจากเมืองไปค่อนคืนและพักข้างนอกอยู่ชั่วครู่…
แล้วเหตุใดอีกฝ่ายจึงต้องทำเช่นนี้?
ไม่ต้องพูดมากก็เห็นได้ชัด ถ้าไม่ใช่เพื่อยัดเยียดความผิดให้วังบูรพา หยิบยกเรื่องของทั่วป๋าไหวอันมาทำให้วังบูรพารับมือไม่ทัน?
เรื่องราวเรียบเรียงขึ้นเช่นนี้ ช่างเหมาะพอดีทีเดียว
ฉู่อี้หมินหน้าเปลี่ยนสี ตอนที่กำลังจะพูด ฉู่ฉีเหยียนก็ชิงกล่าวเสียก่อน “เมื่อเป็นเช่นนี้ การหายตัวไปของฉู่เยว่เหยียนก็คงไม่ได้เป็นอุบัติเหตุธรรมดาเสียแล้ว เหตุใดเรื่องจึงข้องเกี่ยวกันได้อย่างบังเอิญขนาดนี้? เห็นที…คงมีคนเจตนาทำเพื่อบางสิ่งบางอย่างเป็นแน่!”
“ใช่แล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ก่อนจะถอนหายใจ
ฉู่ฉีเหยียนนั้นยกมือตบไหล่เขา กล่าวปลอบว่า “ทักษะการแพทย์ของใต้เท้าเหยียนหลิงเป็นที่กล่าวขานยกย่อง เมื่อวานตอนที่ร่วมทานอาหารกับเขาที่เรือนมีสุขยังได้ยินเขาพูดว่า เขาคุ้นเคยกับโรคที่รักษายากและยาสมุนไพรต่างๆ เป็นอย่างมาก เจ้าวางใจเถอะ รอข่าวดีก็พอแล้ว!”
เมื่อเขาแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ก็ได้ขจัดข้อสงสัยเรื่องที่ตนวางแผนเรื่องนี้ออกไปโดยสิ้นเชิง
สายตาของฮ่องเต้กวาดไปยังรอบกายของหลานทั้งสองที่เขาพึงพอใจ ท่าทีในแววตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกลับ เป็นเวลานานโดยไม่ปริปากพูดใดๆสักคำ…
เพียงแต่มองท่าทีของของเขาทั้งสอง ไม่ว่าใครก็ไม่เหมือนกำลังแสดงละครอยู่
ท้ายที่สุด เขาจึงโบกมือ ออกคำสั่งกับหลี่รุ่ยเสียงว่า “ให้คนไปที่ศาลาว่าการพระนคร ให้กู้ฉางเฟิงนำคนไปดูที่จวนนอกเมืองด้วยตนเอง เรื่องเกี่ยวกับชื่อเสียงของเยว่เหยียนเด็กคนนี้ กำชับให้ตรวจสอบอย่างลับๆ อย่าแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงตอบรับ ก่อนจะออกไปจัดการ
แววตาของฉู่สวินหยางมองผ่านไปที่ใบหน้าฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว ทว่ากลับยิ้มเย็นอยู่ในใจ…
ตรวจสอบอย่างลับๆ อันใดกัน เห็นได้ชัดว่าเขาส่งกู้ฉางเฟิงไปพิสูจน์ว่าคำพูดของฉู่ฉีเฟิงนั้นจริงหรือเท็จกันแน่
……………………………………
บทที่ 95 พลิกกระดานหมาก (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ทางด้านฮ่องเต้ได้พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนไม่พูดถึง เพียงแต่มองพินิจไปยัง ‘มิตรภาพพี่น้อง’ ที่จริงใจของฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนที่ยืนอยู่ตรงหน้า กล่าวว่า “เช่นนั้นเกี่ยวกับการหายตัวไปของทั่วป๋าไหวอันเมื่อคืนวาน พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร? ตอนนี้ที่นี่ไม่มีคนนอกแล้ว พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงอะไร อยากจะพูดสิ่งใดก็พูดออกมา ถ้าออกไปจากห้องนี้แล้วข้าก็จะลืมให้หมดไม่ยกขึ้นมาพูดอีก”
หากไม่เกี่ยวกับฉู่ฉีฮุย ถ้าเช่นนั้นใครเป็นคนทำ?
ฮ่องเต้เชื่อมั่นอย่างสูงว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนในคอยช่วยทั่วป๋าไหวอันอยู่แน่นอน
ฉู่ฉีเหยียนเม้มปากจมดิ่งกับความคิด ทางฉู่ฉีเฟิงจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน “เมื่อคืนวานข้าและน้องสาวสองคนอยู่ส่งตัวเจ้าสาวแทนพี่หญิงอันเล่อที่จวนอ๋องหนานเหอด้วยกัน เรื่องทั่วป๋าไหวอันด้านนั้นจึงไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี!”
“หึ…” ฮ่องเต้หัวเราะบางๆ พลางส่ายหน้า
แววตาของฉู่ฉีเหยียนประกายวาบเล็กน้อย เผยใบหน้าละอายใจก่อนจะประสานมือเคารพกล่าวว่า “ช่วงนี้ท่านแม่ของข้าสุขภาพไม่ค่อยดี เมื่อวานข้าจึงได้นัดใต้เท้าเหยียนหลิงให้ช่วยสอนความรู้ทางการแพทย์เสียหน่อย เดิมทีเพียงจะนัดพูดคุยเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป ทว่าต่อมากลับได้พบน้องหญิงสวินหยางที่เมืองทางใต้ ทั้งสามคนจึงไปเล่นหมากรุกด้วยกัน ทั้งยังคุยกันถูกคอและดื่มไปหลายแก้ว ช่วงเย็นกลับจวนก็มึนเมาไม่ได้สนใจเรื่องผู้ใด เรื่องของทั่วป๋าไหวอันนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้เขาจำต้องยอมรับความยอดเยี่ยมของฉู่สวินหยาง…
ฮ่องเต้ไม่ปล่อยเรื่องทั่วป๋าไหวอันทิ้งไปง่ายๆ แน่นอน พวกเขาสองฝ่ายไม่ว่าเป็นใครที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ต่างก็จำต้องคิดหาทางรอดอย่างไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด จนมาถึงเวลานี้ต่างก็ปัดแข้งปัดขากัน ยากที่จะมีเบาะแสร่องรอยเหลือไว้ หากถูกฮ่องเต้พบว่าทั้งสองสกุลนั้นแอบสู้กันในที่ลับใช้ทุกวิถีทางทั้งไม่เอาเล่ห์ก็เอาด้วยกล เกรงว่าไม่ว่าฝ่ายใดเขาก็ต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน
ดังนั้นเกมนี้ ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ ก็ล้วนต้องเหลือกับดักแฝงเอาไว้
ไม่ใช่ว่าวิธีการของเขาไม่ยอดเยี่ยม แต่เพราะโอกาสครั้งนี้ก็คือโยนเผือกร้อน ใครที่ไปโดนก็ต้องไม่สบายตัว
เนื่องจากฉู่ฉีเหยียนและฉู่ฉีเฟิงต่างก็หลบหลีกไม่คายความจริงออกมา ฉากนี้จึงเริ่มมีเค้าลางว่าจะจนมุม
ฉู่สวินหยางที่นั่งก้มหน้าตาหลบต่ำอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด เวลานี้จึงเบ้ปากออกไปด้วยไม่เจตนากล่าวว่า “เมื่อวานฤกษ์คำนับของบ่าวสาวอยู่ในช่วงเย็น รอทั่วป๋าไหวอันสบโอกาสหลบหนีก็เข้าสู่กลางคืนแล้ว หากเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและการแต่งหน้า ทหารเฝ้าประตูเมืองพวกนั้นก็จำเขาไม่ได้อยู่แล้ว คงจะให้เขาออกไปนอกเมือง ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากอันใด แท้จริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีคนในคอยช่วยเขาก็ได้? อย่างมากก็ให้ลูกน้องพวกนั้นปลอมตัวหลังจากนั้นก็แยกย้ายกันออกไป พอถึงด้านนอกแล้วจึงค่อยนัดรวมกันกันใหม่เท่านั้นเอง!”
“เสด็จปู่กำลังถามเรื่องสำคัญ อย่าได้พูดจาเหลวไหล!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวอย่างไม่ยินดี
ฉู่สวินหยางจึงเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไรออกมาแล้ว
คำพูดที่นางกล่าวเมื่อครู่ฟังแล้วเหมือนกับเด็กอยู่บ้าง ทว่าฮ่องเต้เมื่อได้ฟังกลับทนไม่ไหวหัวเราะในลำคอ “เจ้าเด็กคนนี้ เป็นเจ้าที่ฉลาด!”
“หลานล่วงเกินแล้ว เรื่องตลกไม่กี่คำ ขอเสด็จปู่อย่าถือสาหม่อมฉันเลยนะเพคะ!” ฉู่สวินหยางกล่าวด้วยความอายก่อนจะหลุบตามองต่ำอีกครั้ง
ในขณะนั้นรุ่ยชินอ๋องที่จิบชาอู่หลงในมืออย่างเอื่อยเฉื่อยด้านข้าง เวลานี้จึงมีท่าทีค่อยๆ ช้าลง หลังจากนั้นท่าทางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง วางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างแรง กล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ถูก!”
ท่าทีของทุกคนล้วนคล้ายกัน ต่างก็เงยหน้ามองไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
รุ่ยชินอ๋องครุ่นคิดพลางยืนขึ้น คำนับฮ่องเต้ กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่น “ฝ่าบาท ถ้าหากกระหม่อมคาดไม่ผิด เวลาที่ทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองน่าจะไม่ใช่ช่วงเย็น เป็นไปได้ว่า ตั้งแต่เช้าเขาก็ฉวยโอกาสหนีไปแล้ว!”
ในใจของฮ่องเต้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คิดออกอย่างฉับพลัน เพียงแต่ในเวลานั้นยังไม่พูดใดๆ
ฉู่ฉีฮุยกลับออกอาการดีใจขึ้นมา รีบเร่งก้าวออกมาถามด้านหน้า “ท่านปู่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หากทั่วป๋าไหวอันไม่ได้หายตัวไปในช่วงเย็น เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว
“ก็เหมือนกับที่ฉู่สวินหยางพูดมาสักครู่นี้ ค่ำมืดดึกดื่น หากมีคนใช้โอกาสแกล้งโง่มองไม่เห็นนั่นก็อาจเป็นไปได้” รุ่ยชินอ๋องกล่าว จัดระเบียบความคิดเร็วในใจอีกครั้ง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาด
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวกับฮ่องเต้อีกครั้ง “เสด็จพี่ได้โปรดถ่ายทอดคำสั่ง เชิญตัวท่านหญิงสกุลซูและทั่วป๋าอวิ๋นจีเข้ามา กระหม่อมมีเรื่องที่ต้องการยืนยันต่อหน้า! ”
ฮ่องเต้ชั่งน้ำหนักขบคิดในใจสักครู่ ก่อนจะพยักหน้าให้หลี่รุ่ยเสียง
หลี่รุ่ยเสียงหมุนกายออกไป คล้อยหลังก็พาทั้วป๋าอวิ๋นจีและซูหว่านที่มีท่าทีกระวนกระวายใจเข้ามา
“ถวายพระพรฝ่าบาท!” ทั้งสองคนเมื่อเข้าประตูมาแล้วก็คุกเข่าทำความเคารพทันที
ฮ่องเต้นั้นนิ่งเงียบไม่พูดใดๆ เป็นรุ่ยชินอ๋องที่เอ่ยปากกับทั่วป๋าอวิ๋นจี “องค์หญิงอวิ๋นจี เมื่อวานท่านพบองค์ชายห้าทั้งหมดกี่ครั้ง? ระหว่างนั้นได้เห็นท่าทีแปลกๆของเขาหรือไม่?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจทั้งยังลังเล “ท่านอ๋องอยากจะถามอันใดกันแน่? เมื่อวานเป็นงานแต่งของพี่ห้า ยึดตามขนบธรรมเนียมของชาวซีเยว่พวกท่านแล้ว ข้าก็ออกไปต้อนรับแขกด้านหน้าตั้งแต่เช้า พี่ห้านั้นเตรียมตัวอยู่ในจวน จากนั้นก็เข้าไปตรวจดูการตกแต่งห้องเจ้าบ่าวอีกครั้ง ล้วนแต่งานเต็มมือ พอตอนเที่ยงเดินผ่านสวนดอกไม้ด้านหลังมองเข้าไปในห้องของเขาอยู่ไกลๆ เห็นเขากำลังแต่งตัวอยู่ก็เดินจากมาแล้ว จนมาถึงสุดท้าย ช่วงเย็นก็ส่งเขาออกไปรับเจ้าสาว และหลังจากนั้นข้าก็ไปเข้าร่วมพิธีแต่งงาน”
รุ่ยชินอ๋องที่ลูบเคราอยู่นั้นยิ้มขึ้นมาอย่างเข้าใจ ถามกลับไปในทันที “ท่านแน่ใจหรือว่าคนที่อยู่ในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับท่านหญิงสกุลซูเป็นทั่วป๋าไหวอันจริงๆ?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีมึนงงไปชั่วขณะ เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ
ซูหว่านยิ่งเงยหน้าหันไปมองเขาอย่างเข้าใจทันที
รุ่ยชินอ๋องเวลานี้ได้มั่นใจในการคาดเดาของตัวเองเป็นอย่างมาก ประสานมือเคารพฮ่องเต้ “เสด็จพี่ หากกระหม่อมคาดไม่ผิด เมื่อวานช่วงเย็นผู้ที่ไปรับตัวเจ้าสาวที่จวนสกุลซูและทั้งตอนที่กราบไหว้ฟ้าดินกับท่านหญิงสกุลซูนั้นบางทีอาจจะไม่ใช่ทั่วป๋าไหวอัน แต่เป็นผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับทั่วป๋าไหวอันที่เขาได้วางแผนล่วงหน้าให้มาแทนที่ตนเอง เพื่อที่จะตบตาคน ให้เขาได้ใช้โอกาสแอบหลบหนีไปอย่างแยบยล เพราะที่จริงแล้วทุกคนก็ต่างมุ่งความสนใจไปที่พิธีแต่งงาน ใครจะรู้ว่าตั้งแต่ก่อนพิธีจะเริ่ม เจ้าบ่าวก็ได้แอบออกจากเมืองไปอย่างลับๆ แล้วล่ะ? ฤกษ์ของเมื่อวานคือช่วงเย็น ทั่วป๋าไหวอันเดิมทีก็เป็นคนต่างแดน ไม่ใช่คนที่คุ้นเคย ใครจะคิดว่าเขาจะกล้าสับเปลี่ยนตัวในงานแต่งเช่นนี้?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีสั่นสะท้านไปทั้งตัว ใบหน้าซีดเผือด แววตาล่องลอยไปคนละทิศละทาง นานมากก็ยังหาเหตุผลที่เหมาะสมมากล่าวไม่ได้
ซูหว่านเวลานี้ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงสิ่งใด ทันใดนั้นนางก็หันกลับไปคว้าแขนของทั่วป๋าอวิ๋นจี ย้อนถามเสียงดังว่า “ถ้าอย่างนั้นคนที่สกุลซูแต่งไปเมื่อวานแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ทั่วป๋าไหวอัน?”
ถ้าหากไม่ใช่ เช่นนั้นการแต่งงานของนางครั้งนี้ก็ถือว่าไม่นับ?
ทั่วป๋าอวิ๋นจีดูแคลนอยู่ในใจ ใบหน้ากลับเผยอาการตกตะลึงอย่างสุดขีด ยังรวบรวมสติกลับมาไม่ได้
รุ่ยชินอ๋องที่มองดูอยู่ กล่าวว่า “ท่านกำลังนึกอะไรบางอย่างออกใช่หรือไม่…”
“ข้า…” ทั่วป๋าอวิ๋นจีอ้าปากค้าง คล้อยหลังกลับลังเลที่จะพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาว่า “ข้างกายของพี่ห้านั้น มีองค์รักษ์ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายเขาอยู่ถึงหกส่วนจริงๆ แต่ว่า…แต่ว่า…”
ในขณะที่พูดนางก็มีสีหน้าสับสน กัดมุมปากอย่างยากที่จะเข้าใจ กล่าวว่า “ไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ นี่…จะเป็นไปได้อย่างไร?”
“ข้าก็ว่าทั่วป๋าไหวอันคนนั้นเหตุใดจึงดื่มได้นิดเดียวก็เมาล้มพับไปเสียแล้ว! เกรงว่าเขาจะหยิบยืมโอกาสนี้ออกจากงานเลี้ยง คงกลัวว่าถ้าพบปะผู้คนแล้วจะถูกเผยพิรุธออกมาน่ะสิ!” รุ่ยชินอ๋องขมวดคิ้ว ถอนหายใจออกมา เหลือบตามองไปยังฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ในเรื่องนี้เกรงว่าจะมีจุดเล็กๆ ที่มองข้ามอีกเยอะเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เลวเลยจริงๆ ทั่วป๋าไหวอัน!” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น พูดแต่ละคำด้วยการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้มานานแล้ว ในตำหนักต่างก็พากันสูดลมหายใจเป็นเสียงเดียวกัน ครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงแม่นมเหลียงร้องอย่างดีใจขึ้นมาจากในตำหนักด้านหลัง “ฮองเฮา! ฮองเฮาฟื้นแล้ว!”
ฮ่องเต้จิตใจสั่นไหว เมื่อกำลังจะกล่าว ประตูด้านนอกตำหนักก็ถูกเปิดขึ้นมาทันที เป็นฉู่อี้อันที่เผยใบหน้าเย็นเยียบเดินก้าวใหญ่เข้ามา
ฉู่อี้อันนั้นสามารถเข้ามาในห้องทรงอักษรได้ทุกเวลา นี่เป็นเกียรติขององค์รัชทายาทและกรณีพิเศษที่ฮ่องเต้ให้ไว้ แต่ฉู่อี้อันกลับเลือกปฏิบัติตามกฎมาโดยตลอด ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็จะรายงานก่อน ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้จึงค่อยเข้ามา ผลุนผลันเข้ามาเช่นนี้จึงนับเป็นครั้งแรก
แค่มองสีหน้าของเขาก็พอจะเดาได้แล้วว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
ฮ่องเต้ปรากฏท่าทีสงสัยขึ้นมาทันใด ลืมสนใจเรื่องของหลัวฮองเฮาไปชั่วขณะ ส่งสายตามองไปยังเขาโดยตรง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“วันนี้ทางแคว้นฉู่เพิ่งจะส่งรายงานผลการรบฉบับใหม่มาถึงเมืองหลวงอย่างด่วนที่สุด!” ฉู่ฉีอันกล่าว และถวายรายงานลับในมือ
ผู้คนทั้งหมดล้วนแต่กลั้นหายใจมองไปที่เขา
หลี่รุ่ยเสียงรับซองจดหมายนั้นไปส่งให้เบื้องหน้าฮ่องเต้ ในขณะที่ฮ่องเต้อ่าน ฉู่อี้อันก็เอ่ยปากรายงานต่อ ออกเสียงทุกคำด้วยท่าทีจริงจัง “แคว้นฉู่พ่ายสงคราม แม่ทัพใหญ่ถูกไล่ต้อนเข้าไปในเมือง เวลานี้จึงเกิดความสูญเสียอย่างหนัก!”
……………………………………
บทที่ 96 ยุให้แตกคอกัน? นับว่าเจ้ายอดเยี่ยม! (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสีทันทีราวกับมีฟ้าผ่าลงกลางใบหน้า
ฉู่อี้อันเผยใบหน้าเย็นยะเยือกและหนักแน่น กล่าวทุกคำอย่างชัดเจน “คืนวันปีใหม่ ฮั่วกังนำกำลังพลล้อมโจมตีค่ายใหญ่หนานฮวา เผาเสบียงของอีกฝ่าย ตัดหัวปัจจามิตรนับหมื่น ทว่าตอนที่เตรียมจะถอนกำลังได้เกิดขัดแย้งกันกับผู้บัญชาการหลัว ภายใต้การถกเถียงนี้ ฮั่วกังออกคำสั่งถอนกำลังเพื่อกลับไปวางแผนที่ค่ายหลักอีกครั้ง ส่วนผู้บัญชาการหลัวนั้นได้ทีขี่แพะไล่ แอบนำกำลังทหารที่ฝ่าบาทมอบให้กว่าสามพันนายออกจากค่ายไปกลางดึก ตั้งใจจะฉวยโอกาสที่วุ่นวายโจมตีสังหารแม่ทัพใหญ่ของศัตรู ไม่คาดคิดว่าจะเผชิญกับชาวหนานฮวาที่ซุ่มอยู่ไล่โจมตี จึงพ่ายแพ้อย่างยับเยินพ่ะย่ะค่ะ!”
คืนขึ้นปีใหม่ เสบียงถูกเผาทิ้ง ทั้งยังสูญเสียอีกนับหมื่น ก็พอจะเดาได้ว่าจิตใจของชาวหนานฮวานั้นเป็นแบบไหน จำต้องตามอาฆาตแค้นไล่ฆ่าอย่างไม่สนใจสิ่งใด
ถึงแม้ทหารธรรมดาพวกนั้นความเหี้ยมหาญอาจจะไม่สามารถเทียบเคียงกับทหารค่ายได้ กระนั้นใครจะสามารถต้านทานความโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้นอย่างบ้าคลั่งของชาวหนานฮวาได้? ทั้งอีกฝ่ายก็มีกำลังคนเยอะ ทหารสามพันนายนั้นลงทุนแรงเสียเปล่าแต่กลับไม่ได้อะไรคืนมาก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
สีหน้าของฮ่องเต้เย็นเยียบ ราวกับน้ำแข็งค้างขึ้นมาทันที ในความมืดมนนั้นบิดเบี้ยวจนเกือบจะเป็นความบ้าคลั่ง
“เป็นลูกเองที่ดูแลได้ไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้อันคุกเข่ารับผิดด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ “หลังจากนั้นฮั่วกังก็รีบตามกำลังเสริมไปช่วยเหลือผู้บัญชาการหลัวที่ถูกคุมขัง ทว่า กลับถูกฝ่ายศัตรูฉวยโอกาสตอนที่เขาออกจากค่ายไป โอบล้อมจากด้านหลังโจมตีค่ายทหารที่เมืองฉู่ของกระหม่อม ในเวลานี้…ฮั่วกังถอนทัพใหญ่เข้าไปในเมืองฉู่ แต่ว่าชาวหนานฮวาก็กลับปิดผนึกประตูด้านนอกเมือง พร้อมจ้องตะครุบดุจพญาเสือ มีโอกาสที่จะโจมตีได้ตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ!”
สงครามของทั้งสองแคว้นระหว่างซีเยว่และหนานฮวานั้นยืดเยื้อมาหลายปี การรบนั้นมักจะเกิดขึ้นที่พื้นที่เนินเขาตะเข็บชายแดนของสองแคว้น
วันนี้กองทัพซีเยว่ถูกต้อนเข้าไปในเมือง ทั้งยังทำให้ฝ่ายศัตรูประชิดเมือง หากจุดไฟสงครามขึ้น จำต้องกระทบถึงชาวบ้านในเมืองเป็นแน่
“พวกสารเลว!” ฮ่องเต้ด่าออกมาด้วยความโมโห ใช้แขนกวาดฎีกาที่กองพะเนินราวกับภูเขาบนโต๊ะลงไปกับพื้น
ผู้คนในตำหนักรวมถึงรุ่ยชินอ๋องล้วนแต่รีบเร่งก้มหน้าก้มตาคุกเข่า ไม่กล้าแม้แต่จะสูดลมหายใจ
“พ่ะย่ะค่ะ เป็นลูกที่ควบคุมคนไม่ได้ ลูกยินดีรับโทษ ขอเสด็จพ่อได้โปรดลงโทษด้วย!” ฉู่อี้อันกล่าว
อำนาจทางทหารถึงแม้การควบคุมจะอยู่ในมือของฮ่องเต้ แต่เมื่อขณะนี้ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ในการจัดการกับงานราชการจึงนับว่าเหนือบ่ากว่าแรงอยู่บ้าง ดังนั้นงานทั่วไปล้วนแต่ต้องผ่านมือฉู่อี้อันก่อน โดยให้เขาคัดเลือกเรื่องสำคัญเร่งด่วนแล้วจึงค่อยเสนอให้ฮ่องเต้อนุมัติ
เรื่องสงครามของด้านเมืองฉู่ เดิมทีฮ่องเต้ก็จัดการดูแลเองไม่ได้ตกถึงมือฉู่อี้อัน เพราะไม่กี่เดือนก่อนฉู่อี้อันได้เป็นผู้นำทัพไปเมืองฉู่ หลังจากกลับมาฮ่องเต้จึงอนุญาตให้เขามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ เพื่อที่จะสะดวกต่อการให้คำแนะนำตามสถานการณ์จริงของสนามรบ
“มาพูดในเวลาเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด?” ฮ่องเต้กล่าวอย่างโมโห ปวดขมับขึ้นมา
หลี่รุ่ยเสียงรีบส่งชาให้เขา มือของเขาที่จับถ้วยชานั้นสั่นเล็กน้อย ยกจับถ้วยชาอยู่ชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็มิวายโยนถ้วยชาลงไปบนพื้นด้านหน้าโต๊ะทรงอักษร
กระเบื้องลายครามแตกกระจัดกระจาย น้ำชากระเด็นกระดอนไปทั่วทิศทาง
คนด้านล่างล้วนแต่ถูกน้ำชากระเด็นเปื้อนกาย ทว่า กลับไม่กล้าขยับหนี ล้วนแต่ก้มหน้าหลับตา รองรับความโกรธราวกับสายฟ้าฟาดของฮ่องเต้ในเวลานี้
“เสด็จพี่ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว ตอนนี้มาถามหาความรับผิดชอบจากใครก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” รุ่ยชินอ๋องที่ถือว่าเป็นผู้อาวุโสอยู่บ้าง เวลานี้จึงฝืนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ขณะนี้สถานการณ์คับขัน หาวิธีจัดการกับเรื่องนี้จึงจะเป็นเรื่องที่เหมาะสม ข้าศึกที่ประชิดเมือง หากใช้โอกาสนี้โจมตีขึ้นมา เกรงว่าผู้คนในเมืองจะเดือดร้อนไปด้วย ถึงเวลานั้น…อย่าให้ผู้คนสูญเสียศรัทธาจะเป็นการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดสักครู่ก็กล่าวกับหลี่รุ่ยเสียง “หลี่รุ่ยเสียง ถ่ายทอดคำสั่งไปยังเมืองฉู่ให้เร็วที่สุด ให้ฮั่วกังรีบเตรียมการ ภายในหนึ่งเดือนนี้จะไม่มีการรบอย่างเด็ดขาด หาวิธีอพยพชาวบ้านในเมืองออกจากทางชายแดน จากนั้นให้แยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในแคว้นใกล้เคียง”
ในขณะที่พูดก็กล่าวกับฉู่อี้อันและฉู่อี้หมิน “พวกเจ้าทั้งสองคน สองวันนี้ไปร่างข้อตกลงมาให้ข้าอย่างละเอียด เพื่อจะได้แจ้งให้แว่นแคว้นใกล้เคียงช่วยเหลือกันในเรื่องนี้ จะต้องทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นใจ อย่าให้เกิดปัญหา”
แคว้นซีเยว่นั้นรวบรวมเป็นปึกแผ่นมาได้นานนับสิบกว่าปีแล้ว เทียบกันแล้ว รากฐานยังไม่มั่นคง หากชาวบ้านเกิดรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา จะต้องเกิดปัญหาในภายภาคหน้าตามมาเป็นแน่
“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” ทั้งสองคนรีบตอบรับ
ผ่านไปชั่วครู่ ฉู่อี้อันจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “การพ่ายสงครามครั้งนี้ อยู่ในความรับผิดชอบของฮั่วกังและหลัวอี้ เสด็จพ่อจะจัดการกับทั้งสองคนอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วขึ้นราวกับหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ครู่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นท่าทีไร้อารมณ์ กล่าวว่า “เจ้ามีความคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“กฎบ้านเมืองมิอาจละเมิดได้ ตามความผิดของพวกเขาครั้งนี้ ต้องคุมตัวกลับเมืองหลวง ฟังคำตัดสินโทษจากเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่อี้อันกล่าว
ฮ่องเต้ใช้มือข้างหนึ่งนวดเหนือคิ้ว ไม่ปริปากพูดใดๆ
รุ่ยชินอ๋องชั่งน้ำหนักในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะประสานมือกล่าวกับฮ่องเต้ “เสด็จพี่ กฎบ้านเมืองหรือจะสู้มนุษยธรรม ทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องคุณธรรมของคนคนเดียวที่ง่ายดายขนาดนั้น หลังจากศึกนี้ผ่านไป ศึกระหว่างเราและหนานฮวาก็ต้องตึงเครียดมากยิ่งขึ้น แม่ทัพฮั่วประจำการที่เมืองฉู่มาแปดปีแล้ว คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างดี เวลานี้ทัพของเราเพิ่งจะพ่ายแพ้ ปลดเขาออกจากตำแหน่งย่อมได้ แต่ว่าคนที่มาแทนเขานั้นแน่นอนว่าต้องไม่คุ้นชินกับสถานการณ์ หากเกิดควบคุมการรบไม่ได้ ผลที่จะตามมานั้นไม่กล้าจะนึกถึงเลย ในความคิดของน้อง เวลานี้ให้เขาอยู่ดูแลเมืองฉู่ แบกรับความผิดสร้างคุณูปการไปก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จอาพูดมิผิดพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้หมินกล่าว “ช่วงเวลานี้เสด็จพ่ออาจจะจัดหาแม่ทัพคนใหม่ส่งไปให้แม่ทัพฮั่วช่วยสอนเขาให้คุ้นเคยกับการศึกทางเมืองฉู่ ผ่านไปสองเดือนค่อยส่งมอบหน้าที่ก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ!”
เปลี่ยนตัวแม่ทัพเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะยังเป็นตอนที่สถานการณ์ของศึกทั้งสองแคว้นตึงเครียดเช่นนี้
ในใจของฮ่องเต้ราวกับฉุกคิดอยู่ ลังเลไปสักครู่แต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนออกมา
ฉู่อี้อันหลับตาลงอย่างเยือกเย็น กลับกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “ตามความเห็นของลูก…ควรนำตัวแม่ทัพฮั่วกลับเมืองหลวงอย่างเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง แม้แต่ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงก็ยังยากที่จะไม่ชะงักกึกในใจไปชั่วครู่เช่นกัน เกิดลางสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที
สายตาของฮ่องเต้พลันเข้มขึ้น เบิกตากว้างมองไปทางเขาอย่างทันใด “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
ฉู่อี้อันยังไม่ทันได้พูด ด้านในแม่นมเหลียงและหลัวอวี่ก่วนก็พยุงหลัวฮองเฮาที่หน้าซีดขาวออกมาจากตำหนักด้านหลัง
หลัวฮองเฮาเพิ่งจะฟื้นคืนสติจึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เดินมาตามทางทั้งที่ร่างกายก็ยังสั่นอยู่
ฮ่องเต้เหลือบมองหน้านาง กล่าวอย่างไม่ไยดี “ร่างกายของเจ้ายังไม่ค่อยแข็งแรงก็นอนพักด้านหลังก่อน เหตุใดจึงรีบออกมา? ข้ายังมีราชกิจที่จะต้องทำที่นี่”
ขณะที่พูดก็ออกคำสั่งให้คนพานางกลับเข้าไป
หลัวฮองเฮาเผยหน้าเศร้าโศกมองไปยังเขา น้ำตาไหลลงมาอย่างทันที “ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา ออกราชโองการเรียกตัวผู้บัญชาการหลัวกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุดด้วยเถิดเพคะ!”
พูดไม่ทันจบ ก็ไม่สนใจฐานะของตนแม้แต่น้อย คุกเข่าลงไปต่อหน้าฮ่องเต้ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ฮ่องเต้ตกตะลึงไป ในใจบังเกิดความรู้สึกเห็นท่าไม่ดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ฉู่อี้อันลอบเก็บลมหายใจกดไว้ภายในใจ กล่าวว่า “คืนนั้นที่ผู้บัญชาการหลัวถูกซุ่มโจมตี ถูกธนูอาบพิษได้รับบาดเจ็บ สถานการณ์ปางตาย เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้ ลูกจึงตัดสินใจส่งหมอหลวงไปรักษา เพียงแต่เส้นทางยาวไกล เกรงว่าจะมีเหตุร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของหลัวฮองเฮาเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก
แต่หลัวอวี่ก่วนนั้นน้ำตารินไหลเปรอะเปื้อนใบหน้าอยู่นานแล้ว
ในใจของฉู่สวินหยางสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงเรื่องบางอย่างที่อยู่เหนือการคาดการณ์ของพวกเขา
ฉู่อี้อันที่ยังพูดค้างไว้ก่อนหน้านั้น บัดนี้เขาจึงอาศัยช่วงที่ตำหนักเต็มไปด้วยความเงียบสงบกล่าวออกมา “ศรพิษที่โดนผู้บัญชาการหลัวนั้น ผ่านการตรวจสอบแล้ว ได้รับการยืนยันเบื้องต้นว่าถูกยิงมาจากในกองทัพซีเยว่ของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ทุกคนก็พากันตื่นตะลึง หัวใจของฉู่สวินหยางจมดิ่งลึกลงไปด้านล่างชั่วขณะ
หลัวฮองเฮาที่อดกลั้นความดุดันในดวงตาไว้มานาน ในที่สุดก็อดไม่ไหวที่จะปะทุมันออกมา
นางเงยหน้ามองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษรทันที เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดอย่างเสียงดัง “ฝ่าบาท เกลือเป็นหนอนเช่นนี้ หม่อมฉันได้ยินมานานแล้วว่ามีคนไม่พอใจที่หลัวอี้ได้เป็นผู้คุมทัพไปเมืองฉู่เพราะเป็นเครือญาติของหม่อมฉัน เวลานี้เพราะความเห็นแก่ตัว จึงใช้วิธีการเช่นนี้ ไม่สนสถานการณ์อันตรายในสงคราม ไม่คำนึงถึงชาวบ้านที่จะตกทุกข์ได้ยากไปด้วย พวกเขาทำร้ายหลัวอี้ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่เพื่อเรื่องส่วนตัวของตนเองกลับก่อผลกระทบแก่สงคราม คนที่บ้าคลั่งสติฟั่นเฟืองเช่นนี้ ฝ่าบาททนปล่อยเขาไปได้หรือเพคะ? หรืออยากให้เขาพาประชาชนของเราชาวซีเยว่ไปเกลือกกลิ้งน้ำมันร้อนบนกระทะด้วยล่ะเพคะ?”
สีหน้าของฮ่องเต้ดำทะมึนจนแทบดูไม่ได้ แววตามืดมนกวาดมองไปยังผู้คนที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง
ฉู่อี้อันถอนหายใจออกมา เผินตามองไปยังหลัวฮองเฮา “เกิดเรื่องกับผู้บัญชาการหลัว ใครก็ไม่ปรารถนาให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จแม่โปรดรักษาพระวรกาย ลุกขึ้นยืนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของหลัวฮองเฮานั้นเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมฟัง
รุ่ยชินอ๋องสูดอากาศเย็นเข้าไปหลายเฮือก เวลานี้จำต้องออกหน้าไกล่เกลี่ยให้ “ในสนามรบอาวุธต่างๆ ล้วนไม่มีตา ชาวหนานฮวานั้นเป็นที่รู้ดีว่าเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก แม้ว่าศรที่ถูกยิงไปยังผู้บัญชาการหลัวจะมีสัญลักษณ์ของเราชาวซีเยว่ ก็ไม่แน่ว่าจะมาจากกองทัพของเราชาวซีเยว่ พี่สะใภ้ท่านเจ็บปวดแทนหลานเป็นเรื่องที่ถูก แต่ว่าเรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติม อย่าติดกับแผนการยุให้แตกกันของชาวหนานฮวาเพราะความโกรธเพียงชั่วครู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลัวฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงหึขึ้นในจมูก ไม่ยอมกล่าวคำใดออกมา
…………………………………
บทที่ 96 ยุให้แตกคอกัน? นับว่าเจ้ายอดเยี่ยม! (2)
โดย
Ink Stone_Romance
ฮ่องเต้ในตอนนี้ไม่ชอบใจหลัวอี้อีกต่อไปแล้ว แต่อย่างไรก็เป็นแค่ฉากหน้า ทว่าทหารสามพันนายที่เขาเสียไปก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เช่นกัน เขากับหลัวฮองเฮา ต่างก็ลอบถอนหายใจ
ฉู่อี้อันสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “สถานการณ์สงครามในเมืองฉู่ขณะนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก จะผิดพลาดนิดเดียวก็ไม่ได้ เพื่อที่จะป้องกัน ขอเสด็จพ่อออกราชโองการเปลี่ยนตัวแม่ทัพและรีบนำตัวแม่ทัพฮั่วและผู้บัญชาการหลัวกลับเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าผิดถูกอย่างไรก็ต้องฟังความของพวกเขาทั้งสองฝ่ายต่อหน้าจึงจะสามารถตัดสินใจได้พ่ะย่ะค่ะ!”
เกิดเรื่องในกองทัพ จะต้องจัดการเรื่องอย่างระมัดระวังที่สุด
หากในทัพซีเยว่มีหนอนบ่อนไส้อยู่จริงๆ แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาก็น่ากังวล
ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ได้คิดว่าฮั่วกังเป็นฝ่ายลงมือกับหลัวอี้ แต่ก็กลับไม่กล้าจะชะล่าใจ
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ให้ฮั่วกังและหลัวอี้กลับเมืองหลวงโดยด่วน” ฮ่องเต้กล่าว คิ้วขมวดมุ่น ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความกังวล “แม่ทัพใหม่ของเมืองฉู่ พวกเจ้ามีคนที่เหมาะสมจะแนะนำหรือไม่?”
เรื่องของอำนาจทางทหาร ใครๆ ก็อยากเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ ทว่าโอกาสในขณะนี้…
กลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงอันตราย กลัวว่าจะหลีกหนีไม่ทันเสียด้วยซ้ำไป
หากตรวจสอบแล้วพบว่าการบาดเจ็บของหลัวอี้มาจากคนภายใน เรื่องหลังจากนั้นห้ามไม่ให้ฮ่องเต้คิดมากก็เป็นเรื่องยากแล้ว ถึงเวลานั้นอาจกลายเป็นว่ามีคนต้องการยึดอำนาจจึงตั้งใจวางแผนเพื่อให้ฮ่องเต้หาแม่ทัพมาแทนฮั่วกัง
ดังนั้น…
ตำแหน่งแม่ทัพของเมืองฉู่นี้จึงกลายเป็นดั่งเผือกร้อนที่ใครได้รับไปก็รั้งแต่จะเจอความยุ่งยาก
“ด้านเมืองฉู่นั้นเป็นสถานการณ์พิเศษ การเปลี่ยนตัวแม่ทัพอย่างกะทันหัน จะต้องเป็นผู้ที่มีเกียรติและฐานะน่าเคารพยำเกรงและสามารถควบคุมคนใต้บังคับบัญชาได้พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว “กระนั้นเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือต้องไม่ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคิดแตกแยกจึงจะเป็นการดีพ่ะย่ะค่ะ”
จากก้นบึ้งในจิตใจ ฉู่อี้หมินยินดีอย่างยิ่งที่จะฉกฉวยโอกาสนี้ดันฉู่ฉีเหยียนให้รับตำแหน่ง แต่ถึงแม้เขาเป็นคนโง่ก็ยังรู้ว่า….
เนื้อติดมันชิ้นนี้เคี้ยวยากยิ่งนัก
ภายใต้เส้นทางมืดมนในใจ ฉู่อี้หมินเลิกคิ้วขึ้น กล่าวว่า “ที่ฉีเหยียนกล่าวมาก็มิผิด เสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้เสด็จพี่ก็เคยเป็นผู้นำทัพของค่ายทหารที่เมืองฉู่ เทียบกับคนธรรมดาแล้วนับว่าคุ้นเคยกับสถานการณ์ที่นั่นมากกว่าอยู่บ้าง เกียรติฐานะของเขาก็เป็นที่เคารพยำเกรง หากว่าส่งตัวเขาไป…มีรัชทายาทออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตนเอง ก็จะสามารถเรียกคืนกำลังใจของทหารและชาวบ้านที่อยู่ทางชายแดนได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้กวาดสายตามองใบหน้าเขา ไม่พูดว่าดีหรือไม่ดี กลับมองจนฉู่อี้หมินรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจจนก้มหน้าลงไป
ฉู่อี้อันไม่ได้คิดจะต่อปากกับเขา กล่าวเพียงว่า “ก่อนหน้านี้ที่ลูกไปเมืองฉู่ก็เพียงลงพื้นที่เท่านั้น พักอยู่ที่นั่นไม่กี่วัน จึงไม่กล้ารับปากส่งเดชรับหน้าที่ที่สำคัญเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองหลวงเวลานี้ก็อยู่ในสถานการณ์ที่มีเรื่องมากมาย ลูกจึงไม่อยากห่างจากเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่เขาพูดก็ขบคิดไปพลางก่อนจะเบนไปทางรุ่ยชินอ๋องที่กำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ด้านข้าง “ท่านอา มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ความคิดการตัดสินใจหรือก็มีอยู่เหนือกว่าข้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านอาจะเหนื่อยหรือไม่หากจะรับตำแหน่งนี้?”
รุ่ยชินอ๋องนั้นอายุห่างจากฮ่องเต้เพียงหนึ่งปี ตอนนี้ก็ใกล้หกสิบปีแล้ว เขาแค่ฝันก็ยังไม่กล้าคิดว่าเรื่องนี้จะตกมาอยู่ที่ตนเอง กลับตกตะลึงขึ้นมาทันที
ฉู่อี้อันกล่าวอีกครั้งว่า “ท่านอาอายุมากแล้ว หลานเองก็รู้ว่าไม่ควรจะให้ท่านต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องเช่นนี้ ทว่าเรื่องครั้งนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ เมื่อคิดกลับไปกลับมาก็มีแต่ท่านอาเท่านั้นที่จะรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้”
ขณะพูดก็หันไปยังฮ่องเต้ “ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อมีความเห็นอย่างไร?”
ฮ่องเต้หรี่ตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด แต่ว่าท่าทีนั้นกลับเหมือนลึกมากจนยากที่จะหยั่งถึง
ครู่ต่อมาเขาก็ยอมรับข้อคิดเห็นนี้ ในที่สุดก็พยักหน้า กล่าวกับรุ่ยชินอ๋องว่า “เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร? ยินดีที่จะไปเมืองฉู่แทนข้าหรือไม่?”
“เสด็จพี่เชื่อใจ กระหม่อมก็พร้อมบุกน้ำลุยไฟพ่ะย่ะค่ะ!” รุ่ยชินอ๋องกล่าว เวลาเดียวกันก็ยิ้มในใจอย่างขมขื่น กลับไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรบนใบหน้าแม้แต่น้อย “เพียงแต่อย่างไรน้องก็อายุมากแล้ว คงจะรับตำแหน่งที่เมืองฉู่ได้สักชั่วครู่ ไม่ได้นานขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ น้องสามารถไปประจำการได้เพียงช่วงหนึ่ง ส่วนเรื่องทางนี้…”
“อืม เจ้ารีบไปให้เร็วที่สุดก็พอแล้ว” ฮ่องเต้กล่าวทั้งยกมือตัดบทเขา “ทางด้านนี้ข้าก็จะรีบหาตัวแม่ทัพคนใหม่ไปรับช่วงต่อจากเจ้า!”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชา!” รุ่ยชินอ๋องก้มหัวรับราชโองการ
ฮ่องเต้โบกมือพลางกล่าว “เจ้าไปเตรียมตัวเสียเถิด”
จากนั้นค่อยกล่าวต่อ “ชายใหญ่ เจ้าออกไปส่งท่านอาของเจ้า ดูว่าทางด้านของเมืองฉู่มีเรื่องอันใดบ้างที่ต้องมอบงานให้เขา แล้วก็ชี้แจงอธิบายให้เขาเข้าใจด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้อันรับคำสั่ง คำนับก่อนจะถอยออกไปพร้อมกับรุ่ยชินอ๋อง
เมื่อออกมาจากห้องทรงอักษร ทั้งสองคนก็เดินไปยังด้านหน้า ฉู่อี้อันยามปกตินั้นก็มักจะไปจัดการราชกิจที่กระท่อมยาอู ไม่ได้เรียกคนให้ตามไป จึงเดินเคียงกันไปเพียงสองคน
รอจนไม่มีคน รุ่ยชินอ๋องจึงค่อยถอนหายใจ หันหน้าเหลือบมองไปทางเขา กล่าวด้วยท่าทีซับซ้อน “เจ้าไม่ต้องไปส่งหรอก ข้าอย่างเร็วที่สุดก็สองวันถึงจะออกเดินทางได้ มีอะไรที่ต้องการจะส่งมอบเจ้าก็กลับไปจัดการให้ดี เสร็จแล้วส่งคนไปบอกที่จวนของข้าก็พอแล้ว ตอนนี้กลับไปก่อนเถิด!”
ขณะที่พูดก็ส่งสายตาครุ่นคิดอย่างมีนัยไปทางห้องทรงอักษรด้านหลัง
ฉู่อี้อันเผยใบหน้านิ่งเงียบ รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยจึงยิ้มให้เขาทั้งขมขื่น “เรื่องครั้งนี้ เพิ่มความลำบากให้ท่านแล้ว ทำให้ท่านที่อายุปูนนี้ต้องมาวิ่งเต้น”
“ช่างเถิด!” รุ่ยชินอ๋องส่ายหน้า ยกมือตบไหล่เขา ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ หมุนตัวกลับออกไป
ฉู่อี้อันยืนบนเฉลียงเพียงคนเดียว ใบหน้านั้นเผยท่าทีราวกับอยากจะออกไปจากที่นี่ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปยังห้องทรงอักษรอย่างทันที ยืนอย่างเงียบๆ สักครู่ก็พบกับลู่หยวนที่เดินเร็วๆ จากทางกระท่อมยาอูมาอยู่ตรงหน้า
ฉู่อี้อันรวบรวมสติกลับคืนมา เหลือบตามองไป
“องค์ชาย!” ลู่หยวนประสานมือคำนับ กวาดสายตาเฉียบแหลมนั้นไปทั่ว เมื่อพบว่ารอบด้านไม่มีผู้ใด ก็รีบกล่าวรายงานอย่างทันที “จดหมายตอบกลับให้แม่ทัพฮั่ว ข้าให้คนส่งม้าเร็วออกไปแล้วขอรับ ให้เขาได้มีเวลาเตรียมใจสักหน่อย”
“อืม!” ฉู่อี้อันพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เพียงแต่โบกมือเป็นนัยให้เขาออกไป ก่อนจะหมุนกายกลับไปยังห้องทรงอักษร
เวลานี้ในห้องทรงอักษร หลัวฮองเฮายังคงคร่ำครวญอยู่ ท่าทีที่โมโหนั้น พิรี้พิไรไม่จบไม่สิ้น นำความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดโจมตีไปที่ฮั่วกัง
ฮ่องเต้นั้นฟังอย่างไร้อารมณ์ ผู้คนด้านล่างยิ่งไม่สนใจต่างก็พากันครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ
ฉู่อี้อันเดินเข้ามาจากด้านนอก คำนับให้ทั้งสองคน “เสด็จพ่อ เสด็จแม่!”
“อืม!” ฮ่องเต้รวบรวมสติก่อนจะเงยหน้ามอง “มอบงานเรียบร้อยหมดแล้วหรือ?”
“ท่านอารีบกลับจวนไปเก็บข้าวของ เดี๋ยวลูกจะจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยส่งไปให้ท่านอาภายหลังพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่อี้อันกล่าว มองผู้คนที่คุกเข่าภายในตำหนัก “เสด็จพ่อเหน็ดเหนื่อยมาค่อนวันแล้ว ขุนนางที่รออยู่ด้านนอก ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เรื่องสงครามทางเมืองฉู่จู่ๆ ก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เรื่องที่ค้างไว้ก็คือเรื่องของฮ่องเต้ที่จะจัดการกับเรื่องของทั่วป๋าไหวอัน
ฮ่องเต้ประกายสายตาวาบ ราวกับลืมไปว่าปล่อยเรื่องของทั่วป๋าไหวอันผ่านไป ครู่นั้นจึงเปลี่ยนท่าทีขึ้นมาอย่างฉับพลัน “อืม องค์รัชทายาทและอ๋องหนานเหออยู่ก่อน ส่วนคนที่เหลือ…แยกย้ายก่อนเถิด!”
ฮ่องเต้เพียงออกคำสั่งให้นำตัวฮั่วกังกลับเมืองหลวง แต่กลับไม่ได้พูดว่าจะลงโทษ ในใจของหลัวฮองเฮาทนปล่อยไปไม่ได้ เดิมทียังอยากจะถกเถียง แต่พอเห็นท่าทีของเขาที่เห็นได้ชัดว่าอดทนอย่างถึงที่สุดแล้ว ท้ายที่สุดจึงได้แต่ปิดปากอย่างรู้ความ ยอมถูกแม่นมเหลียงและหลัวอวี่ก่วนพยุงไปด้านนอกอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
ในใจของหลัวอวี่ก่วนนั้นเคียดแค้นยิ่งกว่านาง ตอนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้อดทนไว้ไม่พูดออกมา พอออกจากประตูตำหนักก็กล่าวอย่างทนไม่ไหว “ฮองเฮาเพคะ เรื่องก็จบแค่นี้หรือเพคะ?”
“แค่นี้?” หลัวฮองเฮายิ้มเย็น ท่าทีดุดันขึ้นมาทันที “ตบหน้าข้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ คิดว่าคนสกุลหลัวของข้ารังแกง่ายขนาดนั้นเชียวรึ?”
“ถ้าอย่างนั้น…” หลัวอวี่ก่วนถอนใจด้วยความโล่งอก ในตอนที่กำลังคิดจะพูดอะไรต่อหลัวฮองเฮาก็ใช้สายตาเย็นเยียบมองนางด้วยความหงุดหงิด “กลับไปค่อยว่ากัน!”
แม่นมเหลียงประคองนางขึ้นเกี้ยวไป ผู้คนที่ยืนอยู่ตรงเฉลียงมองตามหลังเกี้ยวนั้นลับไปจึงค่อยพากันแยกย้าย
ฉู่ฉีเฟิงยังคงมีธุระจึงไปที่กระท่อมยาอู
ฉู่หลิงอวิ้นและฉู่ฉีเหยียนสองพี่น้องก็พากันออกวังตามขุนนางคนอื่นๆ ไป
ฉู่สวินหยางเดินอย่างช้าๆ รั้งอยู่ด้านหลังสุด
ทั่วป๋าอวิ๋นจีที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนหันกลับมา ใช้ท่าทีที่แฝงความกังวลมองไปที่นางนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายเพราะรู้สึกอึดอัดกับคนด้านหน้า จึงออกตามกลุ่มผู้คนนั้นไปอย่างเงียบๆ
บทที่ 96 ยุให้แตกคอกัน? นับว่าเจ้ายอดเยี่ยม! (3)
โดย
Ink Stone_Romance
รอจนคนออกไปจำนวนหนึ่งแล้ว ด้านหลังคือฉู่ฉีฮุยที่ใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่พูดจาอะไรมาค่อนวัน เวลานี้จึงคว้าข้อมือฉู่สวินหยางดึงนางไปหยุดอยู่ไม่ไกลจากสวนดอกไม้
ชิงหลัวตั้งใจจะลงมือขัดขวาง กลับถูกฉู่สวินหยางห้ามด้วยสายตา
ฉู่ฉีฮุยนั้นโกรธเกรี้ยว ลากนางมาถึงที่ไม่มีผู้คน ค่อยเอ่ยถามด้วยความโกรธ “เมื่อครู่ข้ออ้างที่ฉู่ฉีเฟิงกล่าวในตำหนักเป็นเจ้าและเขาร่วมมือกันคิดขึ้นมาใช่หรือไม่?”
เขาคล้ายกับกระหืดกระหอบ แววตาที่โมโหนั้นจ้องมองฉู่สวินหยางราวกับเป็นศัตรูก็มิปาน
มุมปากของฉู่สวินหยางปรากฏรอยยิ้มเย็นมองไปยังเขา ทว่ากลับถามแทนที่จะตอบ “ยังต้องถามอีกหรือ? หวงจ่างซุนเมื่อคืนวานเจ้าออกจากเมืองไปทำอะไรในใจเจ้าไม่รู้ดีกว่าหรือ?”
“เจ้า…” ฉู่ฉีฮุยถูกนางยั่วโมโหจนลมตีกลับหายใจไม่ทัน ใบหน้ากลายเป็นสีตับหมูอย่างรวดเร็ว เดิมทีก็ต้องการกระฟัดกระเฟียดออกไป ทว่าเมื่อกวาดดวงตาไปรอบๆ ก็ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของที่นี่ ท้ายที่สุดจึงทำได้แค่กดเสียงต่ำลงอย่างสุดความสามารถ “พวกเจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? พูดเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ก็ยังจะกล้าเอามาพูดต่อหน้าฝ่าบาท? กลับไปอย่างไรเขาก็ต้องให้กู้ฉางเฟิงสืบหาความออกมา นี่อาจจะโดนโทษเพ็ดทูลเบื้องสูงได้!”
“แล้วอย่างไรเล่า?” ฉู่สวินหยางเลิกคิ้วมองเขาอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าควรจะขอบคุณข้ามิใช่หรอกหรือ? หากก่อนหน้านี้ในตำหนักไม่มีคำพูดเรื่อยเปื่อยของพี่รองล่ะก็ เวลานี้เจ้าจะยืนไร้รอยขีดข่วนอยู่เช่นนี้ได้หรือ?”
ฉู่ฉีฮุยหน้าเปลี่ยนสี ทว่าที่ฉู่สวินหยางพูดคือความจริง เขาไร้ทางโต้ตอบจริงๆ อดทนนานมากจึงเพิ่งส่งเสียงเหอะในลำคอออกมา “พูดแก้ต่างให้ข้าอย่างนั้นรึ คำพูดหลอกลวงที่เจ้าปรุงแต่งขึ้นมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า เอาชื่อเสียงของน้องห้ามาเล่นละครเสียแล้ว สวินหยางคงเป็นเพราะว่าเจ้ายังแค้นเคืองเรื่องที่จวนอ๋องหนานเหอก่อนหน้านี้ ยอมรับมาก็จบแล้ว เหตุใดจึงต้องวางมาดดูมีศีลธรรมส่งน้ำใจพวกนี้ให้แก่ข้า? เจ้าบีบท่านแม่และน้องห้าของข้าจนไร้หนทางเดินแล้ว เจ้าต้องการจะบีบพวกนางจนตายจึงจะพอใจใช่หรือไม่?”
“เจ้าอยากจะพูดอย่างไรก็พูดไป!” ฉู่สวินหยางเบ้ปาก แทบไม่สนใจเรื่องที่เขาต่อว่ากลับมาสักนิด เพียงแต่ใช้สายตาเหน็บแนมมองดูเขา “เจ้าให้ความสำคัญกับศีลธรรม จึงรับไม่ได้ที่ชื่อเสียงของน้องสาวแสนดีของเจ้าเสียหายใช่หรือไม่? อย่างนั้นก็ดี ประตูห้องทรงอักษรก็อยู่นั่นไง ตอนนี้เจ้าก็สามารถกลับไปกล่าวต่อหน้าฝ่าบาทได้แล้ว เปิดโปงคำพูดที่ไม่มีมูลของข้าและพี่รอง แก้ไขความจริงให้แก่น้องห้าของเจ้า”
หากไม่มีคำพูดนั้นของฉู่ฉีเฟิง เขาในตอนนี้ก็คงจะยังถอนตัวออกมาจากเรื่องของทั่วป๋าไหวอันไม่ได้ ยากที่จะหลุดออกมาเช่นนี้ ฉู่ฉีเฟิงถึงแม้จะบ้าก็ยังไม่กล้าจะไปเท้าความพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
ฉู่สวินหยางเห็นเขาลังเลก็ยิ้มอย่างเสียดสี “พูดว่าข้าต้องการจะให้ร้ายพวกเจ้า ใช้สิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงของฉู่เยว่เหยียนแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยของเจ้าเอง เจ้าไม่รู้สึกว่าได้กำไรหรอกหรือ?”
ความในใจของฉู่ฉีฮุยถูกเปิดเผยออกมา เพียงทำได้แค่มองนางทั้งยังเต็มไปด้วยความโกรธ
ฉู่สวินหยางก็ไม่สนใจเขา เพียงกล่าวต่อไปว่า “ถ้าไม่ใช่ว่ากลัวท่านพ่อและวังบูรพาของพวกเราถูกหางเลขกับเรื่องนี้ไปด้วย ข้าก็คร้านที่จะยุ่งเรื่องไร้สาระพวกนี้ของเจ้า เรื่องไม่มีสายปลายเหตุที่บังเอิญขนาดนั้น คงมีคนอยากจะเอาเรื่องเจ้าจากงานแต่งของทั่วป๋าไหวอัน แค่เจ้าระวังสักหน่อย ก็ไม่ต้องทำให้พวกเราทั้งหมดเหนื่อยไปกับเรื่องแบบนี้ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าให้พี่รองออกหน้าช่วยเจ้าแก้ต่างเรื่องนี้ หากมีครั้งต่อไป…เจ้าก็ช่วยเหลือตัวเองเอาก็แล้วกัน!”
“เจ้า…” ฉู่ฉีฮุยยอมรับน้ำใจครั้งนี้ของนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาจ้องตานางอย่างดุดัน ท้ายที่สุดก็มิวายเตือน “เจ้าควรจะเตรียมหาวิธีจัดการกับคำโกหกพวกนั้นดีกว่า หากถึงเวลาที่โทษหลอกลวงฝ่าบาทออกมา ก็ไม่แน่ว่าเป็นใครในพวกเรากันแน่ที่ต้องโดนหางเลข”
พูดจบก็สะบัดชายเสื้ออย่างโมโห ก้าวเท้ายาวๆ จากไป
“พวกจอมปลอม!” ฉู่สวินหยางทำเสียงเยาะเย้ยไล่ตามหลังเขาไป “เห็นได้ชัดว่าเขาก็แค้นที่ไม่สามารถนำฉู่เยว่เหยียนมารับเคราะห์แทนตัวเองได้ เวลานี้ยังจะมาเสแสร้งเรื่องคุณธรรม!”
ชิงหลัวที่เต็มไปด้วยความกังวลใจเดินออกมาจากด้านหลัง “มองดูท่าทีของหวงจ่างซุนแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ยอมวางมือยุติเรื่องนี้แน่ หากเขาต้องการจะเป็นปฏิปักษ์ต่อท่านหญิงจริงๆ ล่ะก็…”
“นั่นก็เพราะเขาโง่!” ฉู่สวินหยางเวลานี้ก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ตัดบทชิงหลัวด้วยความเยือกเย็น “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เอาแต่คิดกอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเอง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยนึกถึงสถานการณ์ของวังบูรพาและท่านพ่อ หลักการรังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก[1]แม้แต่เด็กที่เพิ่งอ่านหนังสือได้ไม่กี่วันยังเข้าใจ แล้วเขาเล่า…”
ตอนที่นางพูดก็ยิ่งโมโหขึ้นมาอีกจึงไม่อยากยกขึ้นมาพูดอีกแล้ว
รังที่พลิกคว่ำอย่างไรไข่ก็ต้องแตก!
หลักการง่ายๆ เช่นนี้มีเพียงคนโง่อย่างฉู่ฉีฮุยเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ ผู้คนทั้งวังบูรพาเดิมทีก็หนึ่งร่วง ทุกคนล่ม หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่งผูกติดกันอยู่เช่นนี้
ชาติที่แล้วเขาก่อไฟเผาร่างตัวเอง คิดว่าการขายพ่อและพี่น้องจะสามารถขจัดความแคลงใจของฮ่องเต้ได้ กลับไม่รู้ว่า ฮ่องเต้นั้นมีเล่ห์เหลี่ยมมาก เดิมทีก็ไม่คิดจะปล่อยให้เขารอดจากการสังหารทั้งสกุลของวังบูรพาไปได้
พวกเขารู้ว่าฉู่สวินหยางมีความผูกพันลึกซึ้งกับพ่อและพี่ชายเป็นอย่างมาก จึงให้ฉู่ฉีฮุยดูแลเรื่องการประหาร แท้ที่จริงก็คาดเดาอยู่แล้วว่านางจะต้องพานักโทษประหารหลบหนี แถมยังยืมมือนางกำจัดเขาอีก
หากไม่ใช่ว่าฮ่องเต้มีส่วนรู้เห็น ก็เป็นเพราะนางอาศัยกำลังของตัวเองอย่างนั้นหรือ? นางสามารถบุกจากนอกเมืองฝ่าไปยังลานประหารอย่างราบรื่นโดยไม่ติดขัดอะไรแม้แต่น้อย? เรื่องนั้น เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากฉู่ฉีฮุยทรยศพ่อของตนเองจึงถูกน้องสาวสังหารล้างแค้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็จะต้องคิดว่ารัชทายาทสมควรจะได้รับกรรม ส่วนฮ่องเต้ก็เป็นผู้ที่ใจกว้างมีเมตตา เขาก็ไม่ได้สูญเสียศรัทธาจากผู้คน ความตายของฉู่ฉีฮุยแทบจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา
แผนที่ตัดหญ้าถอนโคนด้วยการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ ฉู่ฉีฮุยย่อมไม่เข้าใจ ทว่าฉู่สวินหยางกลับรู้แจ้งอยู่นานแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นนางไม่สามารถจะอภัยให้กับการทรยศของฉู่ฉีฮุยได้จริงๆ สุดท้ายจึงพายเรือตามน้ำตอบสนองความต้องการของฮ่องเต้ กำจัดภัยร้ายที่เหลืออยู่แทนเขา
ชาติที่แล้วสร้างเรื่องเช่นนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว คิดไม่ถึงว่าฉู่ฉีฮุยในชาตินี้ก็ยังคงโง่งมอยู่แบบนี้อีก
ชิงหลัวเพียงรำคาญการกระทำของแม่ลูกแซ่เหลยครั้งแล้วครั้งเล่า เวลานี้จึงแอบกังวลแทนฉู่สวินหยางไม่ได้ “บ่าวเพียงกลัวว่าท่านจะลำบากเพราะพวกเขา!”
“เขาสงบเสงี่ยมอยู่เช่นนี้ก็แล้วไป มิเช่นนั้นหากยังทำผิดมาถึงข้า…” ฉู่สวินหยางประกายตาวาบ ฉีกยิ้มเย็นที่มุมปาก “หากเขาคิดจะรบรากับพี่น้องตัวเอง ข้าก็จะไม่เมตตาเขาอีกต่อไป!”
นางไม่ได้เริ่มเข้าไปแตะต้องฉู่ฉีฮุย นั่นก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าของฉู่อี้อัน หากจะให้มองจริงๆ…
ฉู่ฉีฮุยนับว่าเป็นสิ่งใดเล่า?
เป็นแค่คนแปลกหน้าในนามของพี่ชายก็เท่านั้น
ฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงเข้าไปข้องเกี่ยวกับเขาจึงสูญเสียชื่อเสียงเล็กน้อย นางและผู้นั้นก็ไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกันเสียหน่อย หากครั้งหน้าได้ลงมือฆ่าแล้วจะอย่างไรเล่า?
ชิงหลัวนั้นสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่พุ่งพวยออกมาจากนางจึงตกใจไป มุมปากกระตุกสั่น สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ฉู่สวินหยางจัดแจงคอเสื้อให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเลี้ยวออกจากสวนดอกไม้ไป ก้าวเดินไปทางประตูวัง
สองตำหนักที่เยื้องกัน ทันทีที่เงยหน้าก็พบเข้าคนผู้หนึ่งที่ยืนมือไขว่หลังอยู่ทางด้านหน้าวัง
ชิงหลัวเตรียมขมวดคิ้ว ลอบมองดูปฏิกิริยาของฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางกลับยิ้มเล็กน้อยราวกับรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก้าวเดินออกไป
“ที่กล่าวว่าเหยียนหลิงจวินออกจากเมืองเพื่อไปรักษาฉู่เยว่เหยียนคงเป็นเรื่องโกหก ความจริงแล้วเขากลับตบตา ออกจากเมืองไปจัดการคำโกหกพวกนั้นแทนเจ้ากับฉู่ฉีเฟิงแล้วล่ะสิ?” ฉู่ฉีเหยียนยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นบนฟ้าก่อนจะหลับตา แสงแดดกล้าของช่วงบ่ายที่ส่องลงมากระทบใบหน้าของเขาแม้จะดูเหมือนเงียบสงบ ทว่าระหว่างคิ้วกลับมีความขมุกขมัวแผ่ส่าน
เมื่อได้ฟังเสียงก้าวเท้าอย่างสบายๆ และพูดกับเขาเช่นนี้มาจากด้านหลัง
ไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็พอจะรู้แล้วว่าคนที่มาด้านหลังคือฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่ช่วงที่กำลังเดินผ่านเขานั้นก็ชำเลืองมองเขาไปด้วย
ฉู่ฉีเหยียนระงับคำที่กล่าวออกมา เมื่อเห็นว่านางไม่สนใจก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ เวลาที่กระชั้นชิดนี้จึงรีบเดินไปด้านหน้า ยื่นมือเพื่อต้องการจะคว้าข้อมือของนาง
ฉู่สวินหยางที่สังเกตเห็น จึงเบี่ยงไหล่ไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อหลบหลีก ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางส่งสายตาเป็นคำถามไปให้
นิ้วของฉู่ฉีเหยียนคลาดชายเสื้อของนางไป พอพบกับสายตาของนางจึงได้รู้ว่าตัวเองเสียอาการไป
“อะแฮ่ม…” เขาปิดบังความเขินอายด้วยเสียงกระแอมไอเล็กน้อย หลังจากนั้นเมื่อเงยหน้าประจันกับฉู่สวินหยางก็ฟื้นคืนท่าทีมาเป็นปกติเช่นเดิม “เจ้าอย่าได้ประมาทกู้ฉางเฟิง เจ้าส่งคนไปสอดแนมฝ่าบาทคิดว่าจะสำเร็จอย่างนั้นหรือ? ทำตัวตามอำเภอใจไม่เกรงกลัวผู้ใดเช่นนี้ หรือเจ้าไม่กลัวว่ากลับไปแล้วแผนร้ายจะแดงออก…”
“อย่ามาพูดกับข้าว่าทำตัวตามอำเภอใจไม่เกรงกลัวผู้ใด เทียบกับเจ้าแล้ว พวกข้าก็เป็นแค่พวกที่มีฝีมือต่ำต้อย!”
คิ้วของฉู่ฉีเหยียนขมวดขึ้นเล็กน้อย ใช้ดวงตาที่ลึกล้ำนั้นมองนาง
………………………………
[1] หลักการรังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก อุปมาว่า หากคนหนึ่งคนใดประสบปัญหา คนในครอบครัวก็ยากจะเป็นสุข
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น