ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 94.4-96.4

ตอนที่ 94-4 หญิงชราลมจับ

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งตกใจ ไม่คิดอะไรอีก รีบเดินไปยังเรือนตะวันตกกับพี่ตง


 


 


พอเลิกม่านขึ้น ก้าวเข้าไปในเรือน มองไป ก็เป็นจริงอย่างที่ว่า ใบหน้าของเหลียนเหนียงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มือจับแขน คุกเข่าสะอึกสะอื้นอยู่กับพื้น น่าสงสารจับใจ ส่วนมารดาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บนพื้นมีไม้ทุบหัวเข่าตกอยู่


 


 


“ท่านแม่…นี่มันเรื่องอะไรกัน”


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นเหลียนเหนียงร้องไห้น้ำตาริน ก็จ้องมองมาแบบผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาปวดใจมาก ทว่าก็ได้แต่ก้าวเข้าไปถามถงฮูหยินก่อน


 


 


ถงฮูหยินจะด่าว่าลูกก็ไม่สู้จะดี จึงพูดตีวัวกระทบคราด ฉวยโอกาสระบายความไม่พอใจ แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ก่อนว่า


 


 


“เหลียนเหนียงของเจ้าน่ะ ดูพูดจาอ่อนหวานแบบนี้ แต่กลับร้ายกาจยิ่ง คำก็ว่า สองคำก็ว่า รับใช้คนแก่อย่างข้าด้วยความกตัญญูจากใจจริง แต่จริงๆ แล้วโกหกตลอด เรื่องใหญ่ทำเป็นไม่รู้ เรื่องเล็กก็ไม่รายงาน วันๆ มาคารวะข้าสามครั้ง เรื่องคนสกุลมู่หรงไร้ยางอาย มาขอชิ่นเอ๋อร์ใหม่ นางก็ยังไม่บอกข้า และเมื่อกี๊ข้าก็อุตส่าห์เรียบๆ เคียงๆ ถาม นางก็ยังโกหกข้าอีก บอกว่าไม่รู้เรื่อง! เจ้าว่าควรทำโทษนางไหมล่ะ!”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งรู้ว่ามารดากำลังตำหนิตนที่ไม่บอกเรื่องนี้ให้ฟัง แต่กลับบอกแต่อนุ จะตำหนิตนตรงๆ ก็ไม่ดี จึงระบายเพลิงโกรธลงบนตัวเหลียนเหนียง


 


 


เงียบไปสักพัก ก็เห็นใบหน้าที่บ่งบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมของเหลียนเหนียง และคล้ายกับว่านางปวดแขนมาก จนแทบคุกเข่าไม่ไหว จึงบอกให้นางลุกขึ้นยืน ก่อนหันไปพูดกับถงฮูหยิน


 


 


“ท่านแม่ เป็นเพราะข้าไม่ได้บอกท่านเอง เหลียนเหนียงกลัวว่าข้าจะตำหนินาง จึงไม่อยากพูดมาก ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ยกโทษให้นางเถิด”


 


 


พอถงฮูหยินเห็นลูกชายบอกให้เหลียนเหนียงลุกขึ้นยืนโดยไม่ถามตนสักคำ ก็โมโหจนจุกอก ลุกพรวดขึ้น แต่เข่ารับแรงฉับพลันทันด่วนเช่นนี้ไม่ไหว ร่างจึงโอนเอน เกือบหกล้ม พอเห็นลูกชายจะเข้ามาพยุง ก็ใช้มือปัดออก เมื่อยืนนิ่งได้ ค่อยพูดอย่างขุ่นเคือง


 


 


“ไม่ต้องมาพยุงข้า! ข้าไม่เหมือนใครบางคนที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอ ขอความเห็นใจเก่ง แค่คุกเข่าแป๊บเดียวก็บอกว่ารับความอยุติธรรมเทียมฟ้าเช่นนี้ไม่ไหวแล้ว! ข้ายืนของข้าเองได้! เจ้ารอง นี่เจ้าหมายความว่าอะไร ถ้าข้าไม่ยกโทษให้นาง ข้าจะกลายเป็นคนใจแคบเหมือนไส้ไก่งั้นรึ ใจแคบแล้วไง กะอีแค่ม้าผอมตัวเดียว ข้าสั่งสอนไม่ได้ก็ให้มันรู้กันไป”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งพูดอย่างลำบากใจ “ลูกไม่ได้หมายความเช่นนั้น ทำไมท่านแม่มักคิดออกทะเลไปไกลอยู่เรื่อย…”


 


 


ถงฮูหยินพูดอย่างใจเย็น “เจ้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่เจ้าทำเช่นนี้ ต่อให้นางเป็นหวานใจเจ้าอย่างไร


 


 


ก็เป็นแค่ม้าผอมตัวหนึ่งที่ข้าซื้อมาแบบซื้อของตามตลาด ตอนนี้ข้าลากนางมาสอบถาม ยังไม่ทันทำอะไร เจ้าก็ยื่นมือเข้ามาขวางแล้ว ถ้าข้าตีนางไปจริงๆ เจ้ามิต้องสู้ตายกับข้าหรอกรึ! ดี เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น อย่างนั้นตอนนี้ข้าต้องการให้นางคุกเข่าลง แล้วตีนางสักตั้ง!”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่อยากขัดใจมารดา แต่ก็ทนเห็นเหลียนเหนียงถูกตีไม่ได้จริงๆ อยากเอาใจทั้งสองฝ่าย จึงได้แต่บ่นพึมพำ


 


 


“ท่านแม่มิใช่ใช้ไม้ทุบหัวเข่า ตีแขนนางจนเป็นเช่นนี้แล้วหรือ”


 


 


เขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เพียงฟังคำบอกเล่าจากปากของพี่ตงที่กำลังตื่นตกใจเท่านั้น


 


 


พอคำพูดนี้หลุดจากปาก ถงฮูหยินก็ได้รับความอยุติธรรมเทียมฟ้าทันที ทำเอาอกอีแป้นจะแตกให้ได้ คนอื่นไม่ว่า แต่นี่เป็นลูกชายตนแท้ๆ เพียงเพราะม้าผอมตัวเดียว ถึงกับให้ตนกลืนความความอยุติธรรมเข้าไป เสียแรงที่สู้อุตส่าห์ลำบากลำบนเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แต่กลับเทียบไม่ได้กับอนุคนหนึ่ง อย่าว่าแต่ตนไม่มีเจตนาตีเหลียนเหนียงเลย ต่อให้มี แล้วจะทำไม


 


 


หวงน้าสี่ก็ตกใจเช่นเดียวกัน จึงรีบว่า “น้องเขยอย่าได้เข้าใจท่านแม่ผิด! ท่านแม่ไม่ได้ตีเหลียนเหนียง แต่เป็นเพราะไม่ทันระวัง ทำไม้ทุบหัวเข่าหล่น ไปโดนตัวเหลียนเหนียงเข้า!”


 


 


ถงฮูหยินกลับใจเย็นลง เดินเข้าหาเหลียนเหนียง แล้วหยุดยืนตรงหน้านาง พลันยกมือขึ้น ตบเข้าที่ปากนางซ้ายขวา


 


 


“หาว่าข้าตีเจ้าใช่ไหม ดี ใยข้าต้องยอมให้เจ้าใส่ความด้วย เช่นนั้นก็ตบเจ้าให้สะใจไปเลยก็แล้วกัน!” เสียงเพี๊ยะๆ ดังสะท้อนไปมาในห้อง


 


 


เหลียนเหนียงถูกตบจนหน้าหัน มึนงงไปหมด แย่แล้ว พอเรียกสติคืนกลับได้ ก็ร้องโอดโอย แล้วร้องไห้ขึ้นมา “ท่านพี่…”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นมารดาโหดร้ายรุนแรงเช่นนี้ แล้วเห็นเหลียนเหนียงร้องไห้อย่างน่าเวทนา ก่อกวนจนในเรือนหนวกหูไปหมด จึงคว้ามือมารดาไว้ตามสัญชาติญาณ คิดที่จะแยกคนทั้งสองออก


 


 


ถงฮูหยินเห็นลูกชายถึงกับลงไม้ลงมือกับตน เพื่อปกป้องม้าผอม ก็เดือดดาล ทุ่มแรงสะบัดแขน จนหลุดออกจากมือลูกชาย


 


 


“ดีนี่ไอ้เจ้ารอง! มีเมียแล้วลืมแม่ก็แล้วกันไป แต่ยังมาตีแม่เพราะนังตัวดีนี่อีก ฟ้าจะผ่าเจ้าเอา…” พูดยังไม่ทันจบ ร่างก็ตุปัดตุเป๋ ยืนได้ไม่มั่นคง แขนป่ายซ้ายขวา หงายหลังล้ม หวงน้าสี่ยืนอยู่ไกล ก้าวเข้าพยุงไม่ทัน จึงร้องตะโกน “ท่านแม่…”


 


 


ถงฮูหยินถูกเสาที่อยู่ด้านหลังรองรับไว้ จะดีจะร้ายอย่างไร ร่างทั้งร่างก็ไม่ได้ล้มลงกับพื้น แต่หลังศีรษะชนเข้ากับเสาแทน ไม่รู้ว่าโกรธมากเกินไป หรือชนถูกอะไรเข้าอย่างจัง พลันตาเหลือก สลบเหมือดไป


 


 


ในห้องพลันโกลาหล หวงน้าสี่รุดเข้าข้างกายถงฮูหยิน ตรวจดูลมหายใจที่จมูก แล้วพยายามบีบนวด แต่หญิงชราก็ยังไม่ฟื้นตื่น อารามตกใจ ร้องไห้เสียงดังออกมา


 


 


เหลียนเหนียงสูดอากาศเย็นเข้าปอด หยุดน้ำตา ก่อนหดตัวไปอยู่ด้านหลังท่านพี่อย่างหญิงอ่อนแอ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดไม่ถึงว่าตนจะผลักมารดาล้มลงโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ จึงยืนตะลึงงัน กว่าจะได้สติ แล้วร้องเรียกคน “ใครก็ได้ เข้ามาเร็ว ไปเรียกท่านหมอมา รีบไปเรียกท่านหมอมา!”


 


 


บ่าวที่อยู่นอกเรือนเข้ามาแอบดูกันตั้งแต่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายแล้ว ตอนนี้พอได้ยิน ก็รีบขานรับ และสาวเท้าไปตามหมอ เหลียนเหนียงนึกอะไรขึ้นได้ ก็รีบวิ่งตามออกไป ก่อนเอ็ด


 


 


“ออกไปแล้ว อย่าได้เที่ยวพูดจาซี๊ซั๊วล่ะ! ถ้าท่านหมอถาม ก็บอกว่าผู้อาวุโสไม่ทันระวัง หกล้มไปเอง ถ้าเจ้ากล้าพูดจาเหลวไหล กลับมาโดนไม้แน่!”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งที่อยู่ในห้องได้ยินทุกถ้อยกระทงความ ก็รู้ว่าเหลียนเหนียงคิดอะไรอยู่ เพราะถ้าผู้อื่นรู้ว่าตนปฏิบัติกับมารดาเช่นนี้ ชื่อเสียงย่อมไม่เหลือหรอ! ขณะกระวนกระวายใจ จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเหลียนเหนียงด้วยความพึงพอใจ


 


 


เมื่อเหลียนเหนียงได้รับสายตาชื่นชมจากท่านพี่ ก็แอบยกมุมปากขึ้น แต่ยังไม่ทันหันกายเดินเข้าไปในห้อง ก็รู้สึกว่าด้านหลังมีลมพัดมาวูบหนึ่ง เป็นคุณหนูใหญ่นั่นเองที่พาสาวใช้เดินตรงเข้ามา พร้อมสายตาเย็นชาที่คมวาว ดุจฝนในฤดูใบไม้ร่วงและหิมะในฤดูหนาวก็มิปาน


 


 


ทำให้เหลียนเหนียงรู้สึกเหมือนได้พบเจอดาวพิฆาต รอยยิ้มจึงจางหาย ก้มหน้าลง ถอยไปยืนด้านข้าง

 

 

 


ตอนที่ 95-1 ยึดเงิน

 

ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นสาวเท้าก้าวเข้ามา


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหันมอง ดวงตาลูกสาวแม้สงบนิ่ง แต่แฝงแววเหยียดหยามอย่างบอกไม่ถูก คล้ายตนทำอะไรไม่ถูกต้องอย่างไรอย่างนั้น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดอะไรมาก ก้มศีรษะให้บิดา ก่อนก้าวเข้าหาถงฮูหยิน นั่งยองๆ ลงอีกข้าง แล้วประคองนางไว้ร่วมกับหวงน้าสี่


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์มาแล้ว รีบดูท่านย่าเร็ว โอย ทำไงดีล่ะคราวนี้ พวกเราไม่ทันระวังแป๊บเดียว นางก็ล้มหัวชนเสาไป อายุมากขนาดนี้ ถ้าชนถูกอะไรเข้า กลับบ้านนอกไปลุงเจ้าต้องเอาข้าตายแน่…”


 


 


เดิมทีหวงน้าสี่สะอึกสะอื้นอยู่ พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมา ก็ยิ่งร้องไห้เสียงดัง


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าแดงถึงใบหู รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงพึมพำออกมา


 


 


“ท่านแม่ฟื้นหรือยัง น่าจะยัง…”


 


 


“ป้าสะใภ้ รบกวนยกตัวท่านย่าขึ้นไปไว้บนเตียงพร้อมกันกับข้า”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพูดทีละคำกับหวงน้าสี่ ขัดจังหวะพูดของอวิ๋นเสวียนฉั่ง


 


 


ทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องกลืนคำพูดอีกครึ่งหนึ่งลงไปอย่างกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ คล้ายตนเป็นส่วนเกินก็มิปาน ได้แต่ถอยหลังไปสองก้าว แล้วจ้องมองลูกสาว พี่สะใภ้ กับมอมออีกคนหนึ่ง ร่วมกันยกร่างมารดาขึ้น ให้นอนราบกับเตียง


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งจากไปไม่ได้ แต่ข้างกายมารดาก็มีคนล้อมรอบอยู่เต็ม จะเข้าไปใกล้ก็ไม่สู้จะดี เขาแบมือทั้งสองข้างขึ้น แต่ทำอะไรไม่ได้ และเสียงเรียบๆ ของลูกสาวก็ดังมา


 


 


“ถ้าท่านพ่อว่างอยู่ รบกวนรินน้ำเย็นบนโต๊ะมาหนึ่งถ้วย แล้วหยิบพัดใบตาลในลิ้นชักมาให้หน่อย”


 


 


ดุจได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบกระวีกระวาดรินน้ำหยิบพัดให้ลูกสาว


 


 


เหลียนเหนียงถูกรัศมีของอวิ๋นหว่านชิ่นคุกคามจนหดตัวไปอยู่ที่มุมประตูด้านหนึ่งโดยไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ยิ่งเห็นท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกของท่านพี่ ก็ยิ่งไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา


 


 


ท่านย่าทำไร่ทำนาในชนบทอยู่ทุกวัน ร่างกายจึงแข็งแรงมาก นอกจากโรคข้ออักเสบ ก็ไม่เป็นโรคอะไรที่คนแก่มักจะเป็นกันอย่าง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคเส้นเลือดสมองตีบ อวิ๋นหว่านชิ่นลูบบริเวณหลังศีรษะของท่านย่าอย่างระมัดระวัง ก็ไม่พบว่าเกิดการบวมหรือมีรอยแผล ลองใช้นิ้วอังลมหายใจที่จมูก ลมหายใจเข้าออกก็ถือว่าปกติ พอแนบหูลงบนทรวงอกท่านย่า ก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงและสม่ำเสมอ เกรงว่าน่าจะโกรธจนมึน ถึงได้สลบไป ค่อยวางใจลงได้บ้าง


 


 


“ป้าสะใภ้อย่าเพิ่งร้องไห้ ท่านค่อยๆ ใช้พัดใบตาลพัดเบาๆ เข้าที่ใบหน้ากับลำคอของท่านย่าก่อน”


 


 


ว่าแล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็ปลดกระดุมเสื้อกันหนาวของถงฮูหยินออก เผยให้เห็นลำคอและเนินหน้าอก


 


 


เล็กน้อย ก่อนล้วงยาหม่องสะระแหน่ที่ทำไว้เมื่อวันก่อนออกมา แตะแล้วนวดเข้าที่ขมับทั้งสองข้างของนาง


 


 


 แล้วค่อยเสียบหมอนหนุนหนานุ่มใบหนึ่งเข้าที่หลังศีรษะนาง


 


 


เมื่อถงฮูหยินสูดอากาศบริสุทธ์เข้าปอด สมองสดชื่นขึ้น หนังตาก็ขยับ จึงลืมตาขึ้นเล็กน้อย


 


 


พอหวงน้าสี่เห็นแม่สามีฟื้นตื่น ก็ร้องเสียงดัง “ท่านแม่ แม่เจ้า ท่านฟื้นจนได้…”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบก้าวเข้าไปดูด้วยความดีใจ “ท่านแม่ไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


เมื่อครู่ถงฮูหยินโกรธสุดๆ สมองพลันว่างเปล่า พอศีรษะชนและเจ็บ จึงหมดสติไป ตอนนี้แม้สติฟื้นคืนมาได้กว่าครึ่ง แต่พอได้ยินเสียงลูกชาย ก็โกรธขึ้นมาอีก คิดว่าถ้าแล้วกันไปเช่นนี้ ตนยังจะมีศักดิ์ศรีอะไรในบ้านอีก จึงกัดฟัน หลับตาลง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมือของท่านย่าที่ตนจับอยู่ สั่นเล็กน้อย ก็รู้แล้วว่านางกำลังคิดสั่งสอนบิดา จึงนำก้านสำลีสะอาดที่ท่านย่าใช้เช็ดหู จุ่มน้ำเย็น แล้วปาดไปมาบนริมฝีปากถงฮูหยิน ให้ชุ่มชื้น พลางพูดอย่างสงบนิ่ง


 


 


“ท่านย่าเจ้าคะ ท่านหมอกำลังจะมา ไม่เป็นไรแล้ว ท่านหลับตาพักผ่อนไปก่อน”


 


 


ถงฮูหยินได้ยินแล้ว ก็ยิ่งแกล้งทำเป็นนอนนิ่ง ไม่มองลูกชายแม้หางตา ไม่สนใจใยดีแต่อย่างใด


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งไหนเลยจะกล้าจากไป พอเห็นมารดามีทีท่ากับตนเช่นนี้ ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่ยืนถูมือไปมาอยู่ตรงประตู รอฟังคำสั่งทุกเมื่อ


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นถงฮูหยินไม่เป็นไรแล้ว ก็หันไปบอกหวงน้าสี่ให้คอยดูไว้ ส่วนตนก็ลุกเดินไปที่ประตู แต่ก่อนออกจากห้อง ได้หยุดฝีเท้าลง แล้วหันมองเหลียนเหนียงที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงมุมประตู พลางพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป


 


 


“รบกวนอนุรองตามข้าออกมาหน่อย”


 


 


เหลียนเหนียงตกใจ เสียวสันหลังวาบ ขนลุกซู่ขึ้น สายตาของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ยะเยือกกว่าตอนที่เพิ่งเดินเข้ามาหลายเท่า ทำให้นางต้องหันมองท่านพี่โดยไม่รู้ตัว


 


 


นางไม่อยากออกจากห้องนี้เลย


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังเสียใจไม่หาย จึงจ้องมองแต่ถงฮูหยินที่นอนอยู่บนเตียง จนแทบไม่กล้ากระพริบตา ตนเพิ่งได้นั่งในตำแหน่งท่านเจ้ากรม เก้าอี้ยังไม่มั่นคงดี ไม่รู้ว่ามีสายตามากน้อยเท่าไหร่ที่จ้องตาเป็นมันอยู่ ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตนต้องแย่แน่ๆ


 


 


พริบตานี้ไหนเลยจะสนใจอนุคนโปรดคนใหม่อีก ตอนนี้ถ้ายังปกป้องเหลียนเหนียงต่อหน้าผู้คน มิต้องทำให้มารดาโกรธอีกครั้งหรือ ดังนั้น ต่อให้เหลียนเหนียงหันมามอง มุ่งมั่นที่จะสบตาด้วย อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่เก็บสายตาคืนกลับ ไม่ขัดขวางอะไรลูกสาว


 


 


เหลียนเหนียงไม่มีทางเลือก ได้แต่เดินตามอวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์ออกจากห้องไป ขณะเดินตามอยู่หลังสุด ก็ก้มหน้าตลอด เหมือนเมียน้อยอย่างไรอย่างนั้น ไม่กล้าแม้แต่สูดหายใจเข้า


 


 


เหลียนเหนียงเดินตามทั้งสองออกจากเรือนตะวันตก อ้อมระเบียงทางเดินรอบอาคาร ผู้ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าไม่พูดจาตลอดทาง บรรยากาศตึงเครียดสุดๆ รอจนเงยหน้าขึ้น ค่อยเห็นผนังเขียวกระเบื้องดำของห้องชั้นเดียวอยู่ตรงหน้า ดูหมองหม่นชอบกล ไม่เหมือนที่พักอาศัยคน ลานหน้าห้องยิ่งไม่มีเสียงคน มีเพียงต้นไหวที่


 


 


ใบร่วงเกือบหมดอยู่ต้นหนึ่ง


 


 


เหลียนเหนียงหันมองซ้ายขวา ตั้งแต่มาบ้านสกุลอวิ๋น แม้นางไม่เคยมาที่นี่ ก็พอจะรู้ว่า ที่นี่คือห้องบูชาบรรพชน ซึ่งอยู่ตรงมุมเล็กๆ ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจวน จึงตกใจในทันที


 


 


“คุณหนูใหญ่ เรื่องที่เกิดกับผู้อาวุโสในวันนี้ จะโทษข้าทั้งหมดไม่ได้นา หลายวันที่ผ่านมา ข้ายกน้ำร้อนน้ำชาให้ผู้อาวุโสและปรนนิบัติท่านเป็นอย่างดี…”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ฟังใดๆ ทั้งสิ้น เพียงยกเก้าอี้ทรงกลมในลานมาตัวหนึ่ง ใช้มือปัดฝุ่นและใบไม้บนเก้าอี้ออก ก่อนนั่งลง แล้วค่อยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ คล้ายพูดกับคนนอกก็มิปาน


 


 


“อ้อ แล้วที่เจ้าพูดจามั่วซั่ว ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ยุท่านพ่อเรื่องการแต่งงานของลูกสาวบ้านสกุลอวิ๋น ผิดหรือเปล่าล่ะ”


 


 


เหลียนเหนียงตะลึงงัน ยืนกอดแขนทั้งสองข้างท่ามกลางลมหนาว สั่นไปทั้งตัว


 


 


“คุณหนูใหญ่ ข้า…ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว…” ฟันกระทบกันพลางคร่ำครวญว่าตนเองไม่ผิด


 


 


นางเปรียบดังดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ หนึ่งดอก ที่ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้าง กลายเป็นคนพาลไปหมด


 


 


ลักษณะเช่นนี้ ไหนเลยจะเหมือนนางทำร้ายผู้อื่น กลับเหมือนผู้อื่นทำร้ายนางมากกว่า! มิน่าเล่าเพียงไม่กี่วัน เถาฮวาก็ถูกนางกระทำจนต้องตกต่ำและใช้ชีวิตอยู่อย่างอ้างว้าง

 

 

 


ตอนที่ 95-2 ยึดเงิน

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบตั๋วแลกเงินของสถาบันชางหลงออกจากอกเสื้อ แล้วใช้นิ้วเรียวยาวคีบแกว่งไปมา


 


 


“ลาภลอยหล่นจากฟากฟ้า น่าจะเป็นเพราะข้าโชคดี ไม่ทันระวัง เก็บตั๋วแลกเงินมูลค่าสี่พันตำลึงเงินได้หนึ่งฉบับ ข้าว่า ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดเช่นเดียวกัน” ว่าแล้วก็เก็บกลับเข้าอกเสื้อ


 


 


เหลียนเหนียงมองตาถลน ตนซ่อนตั๋วแลกเงินไว้อย่างมิดชิด ทำไมนางถึงหาพบ! ตนเพิ่งจับเงินจำนวนนี้ได้ไม่ทันไร อวิ๋นหว่านชิ่นก็มาฉกไปต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว เหมือนถูกเฉือนเนื้อไปหนึ่งดาบ ขณะร้อนรน รีบยกมือขึ้นคว้าตามสัญชาติญาณ กลับได้แต่มองนิ่ง แค้นใจที่แย่งคืนมาไม่ได้


 


 


“คุณหนูใหญ่…ตั๋วแลกเงินฉบับนี้…”


 


 


“ทำไม จะบอกว่าตั๋วแลกเงินฉบับนี้เป็นของเจ้า?” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มมุมปาก “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ต้องไปเรียกคนสกุลอวิ๋นทั้งหมดมา เจ้าก็บอกพวกเขาเองแล้วกันว่า เอามาจากไหน ดีไหม”


 


 


พอคำพูดนี้หลุดจากปาก หัวใจของเหลียนเหนียงก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตนได้เงินก้อนใหญ่มาไว้ในครอบครอง แต่ก็ต้องสูญเสียไป เพราะดูเบาอวิ๋นหว่านชิ่น เอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว


 


 


นั่นเป็นเงินสี่พันตำลึงเงินเต็มๆ แท้ๆ เชียวนา เหลียนเหนียงหน้าซีดแล้วก็เขียว ไม่ง่ายเลยที่เสียค่าโง่แล้วต้องกล้ำกลืนความแค้นไว้ ฝืนพูดต่อ


 


 


“ไม่ใช่ของข้า” ทุกคำพูดประดุจคมมีดกรีดเข้าเนื้อ


 


 


สักพัก พอสงบจิตสงบใจลง ค่อยพูดเสียงเบา “ไม่ทราบว่าตอนนี้ ข้าไปได้หรือยัง”


 


 


ไป? คิดว่าใช้เงินสี่พันตำลึงปิดปาก จ่ายแล้วก็จบงั้นหรือ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้นยืน เหลือบมองห้องบูชาบรรพชน แล้วเหลือบมองกระท่อมที่อยู่ด้านหลังห้องบูชาบรรพชน เห็นชายคามุมหนึ่งของกระท่อมรางๆ ให้ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาวิเวกวังเวง ซึ่งก็คือสถานที่ๆ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกกักบริเวณในปัจจุบัน ก่อนหันมามองเหลียนเหนียง


 


 


“ในห้องบูชาบรรพชนเคยขังคนไว้คนหนึ่ง กระท่อมด้านหลังนั่นตอนนี้ก็ขังคนไว้คนหนึ่ง เจ้าเลือกดูได้ว่า…อยากอยู่ห้องไหน”


 


 


เหลียนเหนียงใจเต้นแรง ขณะชำเลืองมองประตูสีดำของห้องบูชาบรรพชนที่ถูกปิดไว้ ขนาดมอมอแซ่เถา คนสนิทที่ติดตามไป๋ฮูหยินมานานหลายปี ยังถูกอวิ๋นหว่านชิ่นโยนใส่ห้องบูชาบรรพชน จนมีสภาพคล้ายคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง คงตกใจกลัวแล้วสติแตก กลายเป็นคนกึ่งบ้ากึ่งบอไป นางแม้เป็นคนใหม่มาทีหลัง แต่ก็เคยได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน ยังมีกระท่อมหลังห้องบูชาบรรพชนที่ตอนนี้กักตัวไป๋ฮูหยินไว้อีก…เม็ดเหงื่อจึงผุดขึ้นบนหน้าผาก


 


 


“คุณหนูใหญ่หมายความว่าอะไร ข้า…ที่ไหนข้าก็ไม่เลือกทั้งสิ้น”


 


 


เพิ่งพูดจบ เมี่ยวเอ๋อร์ก็ก้าวเข้าด้านหลังของเหลียนเหนียง ก่อนพันเชือกอย่างหนาที่เตรียมมาไว้แต่แรกกับรอบเอวและแขนของนางทันที ผูกปมให้แน่น แล้วผลักนางไปยังประตูอันเย็นยะเยียบของห้องบูชาบรรพชน


 


 


“ไม่ ไม่…คุณหนูใหญ่…”


 


 


เหลียนเหนียงเป็นหญิงสาวผิวบางกระดูกอ่อน ถูกเลี้ยงดูในสมาคมม้าผอมให้รักษาผิวพรรณเพื่อปรนนิบัติผู้ชายมาโดยตลอด ไหนเลยจะขัดขืนพละกำลังและความปราดเปรียวของเมี่ยวเอ๋อร์ได้ ต่อให้ดิ้นจนผิวตรงข้อมือถลอกก็ไม่มีทางดิ้นหลุด พอเห็นประตูห้องบูชาบรรพชนจ่ออยู่ตรงหน้า จึงร้องไห้พร้อมร้องขอชีวิต ที่นี่คือที่ๆ ถวายของเซ่นป้ายวิญญาณ เคยขังจนหญิงชรากลายเป็นบ้ามาแล้ว ตนเป็นคนขี้ขลาด ขังวันเดียวก็ไม่ได้!


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหลียนเหนียงกำลังจะถูกผลักเข้าไปอยู่รอมร่อ ค่อยเอ่ยปากขึ้น ด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะอยู่ในที


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ อนุรองเป็นคนโปรดอยู่นา ถ้าเจ้าขังนางไว้ในนี้ เดี๋ยวท่านพ่อมาถามหาคนกับข้าเข้า ข้าจะทำเช่นไรเล่า”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์จึงหยุด พอคลายมือลง เหลียนเหนียงก็รีบสะบัดเชือกสะเปะสะปะ พลางวิ่งหนี เดิมทีคิดวิ่งออกนอกลาน แต่แล้วก็หยุดนิ่ง ตนจะวิ่งไปไหนได้ วิ่งไปฟ้องท่านพี่หรือ ถึงตอนนั้นถ้าถูกถาม เรื่องที่ตนรับส่วยจากผู้ชายนอกบ้านก็จะแดงขึ้นทันที ตนจึงยังคงหนีไปไหนไม่ได้! ทำให้ยิ่งแค้นอวิ๋นหว่านชิ่นทวีคูณ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางนิ่ง พลางก้าวเข้าหา แล้วยื่นมือช้อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของนางขึ้น


 


 


เล็บเย็นๆ ของเด็กสาวไม่มีไออุ่น เมื่อสัมผัสถูกจึงรู้สึกหนาว ขณะแตะเข้าที่แก้มอันนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของเหลียนเหนียง ถ้าข่วนลงไป เกรงว่าผิวหน้าจะถลอกจนเลือดไหลซิบๆ ทำให้เหลียนเหนียงขนลุกขนพอง


 


 


“คุณหนูใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว กรุณาไว้ชีวิตข้าเถิด ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ไม่ชอบคุณชายรองมู่หรงนั่น จึงพูดไปเช่นนั้นเอง ไหนเลยจะรู้ว่าท่านพี่ให้ความสำคัญ คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา…ต่อไปข้าไม่กล้าแล้ว!”


 


 


พูดจบก็ดิ้นไปมา แต่ไม่กล้าดิ้นแรง กลัวว่าจะถูกเล็บของอวิ๋นหว่านชิ่นข่วนจนเป็นแผลเข้า


 


 


“เมื่ออนุรองยอมรับผิดจากใจจริงเช่นนี้ ข้าจะไร้น้ำใจก็กระไรอยู่” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดช้าลง โดยเน้นทีละคำ“แต่ ผู้ที่มาถึงห้องบูชาบรรพชน ล้วนต้องถูกลงโทษ ในเมื่ออนุรองไม่ยอมเลือกสักที่ ก็ต้องจัดการตัวเอง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ คลายมือลง แต่เหลียนเหนียงยังไม่รู้สึกโล่งอกเสียทีเดียว กลับยิ่งกระวนกระวายใจ วันนี้ถ้าคุณหนูใหญ่ไม่ได้ระบายความแค้น ตนคงไม่ไหนไม่ได้ เด็กสาวนางนี้น่ากลัวจริงๆ คิดคำนวณเก่งมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนรับเงินจากมู่หรงไท่มา แต่ก็ไม่ตีฆ้องร้องป่าว ทำเช่นนี้ ถึงจะฮุบเงินจำนวนมหาศาลไว้เป็นของตัวเองได้


 


 


เหลียนเหนียงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนยกมือเล็กๆ ขึ้น ตบหน้าตนเองอย่างไม่แรงและไม่เบาจนเกินไป พร้อมน้ำตาไหลพราก


 


 


“หรือผู้กระทำความผิดไม่ต้องคุกเข่า” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “เมื่อครู่ตอนอนุรองถูกท่านย่าทำโทษ ก็ยังคุกเข่านี่นา”


 


 


รอยยิ้มดุจดอกไม้บาน แต่กลับเป็นดอกฝิ่นพิษ เหลียนเหนียงกัดริมฝีปาก แล้วคุกเข่าลงบนพื้นหินเย็นๆ พอยกมือขึ้น ก็มีเสียงดังลอยมา


 


 


“อย่าให้เบาจนเกินไปล่ะ มิฉะนั้นข้าจะมองความจริงใจของอนุรองไม่ออก” ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างน่ารัก


 


 


น่าชัง


 


 


เหลียนเหนียงคุกเข่าพลางแค้นใจจนแน่นหน้าอก แต่ก็ยกมือขึ้น ตบใบหน้านุ่มนิ่มของตนอย่างแรง เสียง ‘เพียะ’ แก้มแดงไปครึ่งซีก เสียง ‘เพียะ’ อีกครั้ง แก้มอีกครึ่งซีกบวมตาม


 


 


ลานหน้าห้องบูชาบรรพชนเงียบสงัด เสียงตบหน้าจึงดังเป็นพิเศษ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไปนั่งบนเก้าอี้ทรงกลม เอนหลังพิงพนัก วางศอกทั้งสองข้างลงบนที่เท้าแขน แล้วมองดูเงียบๆ


 


 


เหลียนเหนียงสะอึกสะอื้นไห้พลางตบหน้าตัวเองไปเจ็ดแปดครั้ง แล้วจึงยกเปลือกตาขึ้นมอง


 


 


“คุณหนูใหญ่ ได้แล้วหรือยัง…”


 


 


“ทำไม อนุรองจะขอพักครึ่งเวลาหรือ ก็ดี อย่างไรข้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว อนุรองพักก่อนค่อยตบต่อเถิด”


 


 


เด็กสาวนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ทรงกลมในท่าที่สบายสุดๆ เหมือนเจ้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เหลียนเหนียงสูดอากาศเย็นเข้าปอด ไหนเลยจะกล้าพักอีก ยกมือขึ้นตบปากตัวเอง ติดต่อกันสิบกว่าครั้งเห็นจะได้ เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้บอกให้หยุด จะกล้าหยุดได้อย่างไร ถ้าหยุด ก็จะมีข้ออ้างเพิ่มโทษให้ตนอีก


 


 


เสียงตบหน้าเพียะๆ ต่อเนื่องกันราวครึ่งชั่วยาม จนเหลียนเหนียงหน้าอ้วนหัวบวม จนใบหน้าเล็กๆ เท่าฝ่ามือที่งามดุจหยกดุจดอกไม้พองออก แต่นางก็ไม่กล้ายึกเยื้อแต่อย่างใด ตบไปร้องไห้ไป และในตอนนี้เอง เสียงของคุณหนูใหญ่ก็ดังมา


 


 


“…ชีวิตข้าทั้งชีวิตไม่ถึงกับต้องให้อนุรองพูดจาพร่ำเพรื่อ ใส่สีตีไข่เข้าไปหรอก ต่อไปถ้าทำตัวเป็นอนุที่ว่านอนสอนง่าย เก็บเลห์เพทุบายที่มีอยู่เต็มท้องลง ข้าย่อมเว้นสถานะในบ้านสกุลอวิ๋นให้…แต่ถ้าคิดใช้วิธีทำร้ายคนกับข้า ระวังข้าจะ…ฉีกเนื้ออนุรองเป็นชิ้นๆ ก็แล้วกัน”


 


 


พูดจบก็หัวเราะ เสียงหัวเราะดุจระฆังเงิน ทั้งน่ารักทั้งดังกึกก้อง กระทั่งยังมีความไร้เดียงสาตามธรรมชาติอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนดังมาจากขุมนรกก็มิปาน หน้าอกเหลียนเหนียงกระเพื่อมขึ้นลง แต่พอเงยหน้าขึ้น คุณหนูใหญ่ก็พาเมี่ยวเอ๋อร์เดินจากไปแล้ว


 


 


ระหว่างทาง เมี่ยวเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง แล้วถาม


 


 


“เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงไม่เปิดโปงเหลียนเหนียงไปตรงๆ เจ้าคะ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันมากระพริบตาปริบๆ “จากสถานะของนางในตอนนี้ เจ้าว่า ต่อให้ท่านพ่อรู้ว่านางรับสินบนจากคนนอก แล้วจะทำอย่างไร”


 


 


เอ่อ นี่ก็พูดถูกเผง! เมี่ยวเอ๋อร์เข้าใจเจตนาของคุณหนูใหญ่แล้ว ความรักอยู่ในช่วงร้อนแรง ย่อมต้องปกป้องสุดที่รักเข้าไว้ จะขายเหลียนเหนียงทอดตลาดได้อย่างไรกัน อย่างมากก็ด่าว่าสักตั้ง เรื่องก็จบลง


 


 


“ตั๋วแลกเงินอยู่ในมือข้า จะรีบร้อนไปทำไม ถ้าเปิดโปงนาง ก็เท่ากับเปิดเผยทรัพย์สิน ต้องถูกริบเข้ากองกลาง มิเท่ากับให้ท่านพ่อได้เปรียบหรอกหรือ”


 


 


ให้เขาได้ทั้งผู้หญิง ได้ทั้งเงิน ฝันไปเถอะ แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็เปลี่ยนเรื่อง


 


 


“ไป ไปดูท่านย่าที่เรือนตะวันตกกัน”

 

 

 


ตอนที่ 95-3 ยึดเงิน

 

เรือนตะวันตก


 


 


ยังไม่ทันชั่วน้ำเดือด บ่าวบ้านสกุลอวิ๋นก็เชิญท่านหมอประจำโรงหมอหน้าปากซอยมาถึงบ้านแล้ว


 


 


ท่านหมอรีบรุดมายังเรือนตะวันตก หลังจากตรวจชีพจรและถามรายละเอียดเพิ่มเติม ก็บอกว่าคนแก่ถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจจึงโกรธ และพอหัวชนเสาถึงได้สลบไป ตอนนี้เมื่อทำให้ฟื้นขึ้นมาได้ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร พอเขียนใบสั่งยาซึ่งมีส่วนผสมของสมุนไพรที่ทำให้เลือดลมไหลเวียนเสร็จ ก็กำชับว่า หมู่นี้พยายามอย่าทำให้นางโกรธขึ้นมาอีก ให้ตามใจคนแก่ทุกอย่าง จากนั้นก็เรียกบ่าวในบ้านให้ตามตนกลับไปเอายาที่แผนกยา


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินดังนี้ ก็วางใจลง คนแก่หรือมารดาตน ชนถูกศีรษะอย่างแรง ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แล้วรู้ถึงหูคนนอก ตนก็จะมีความผิดฐานอกตัญญู โดยแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าละเลยเจี่ยไทเฮาแม้แต่น้อย  เกรงว่าผู้คนจะหยิบยกเป็นหัวข้อสนทนาขึ้นมา


 


 


รอจนท่านหมอกับบ่าวจากไป อวิ๋นเสวียนฉั่งค่อยมองดูถงฮูหยินที่เอนกายอยู่ในมุ้งบนเตียง พอเห็นสีหน้าที่หมองหม่น ก็รู้ว่ายังโกรธอยู่ จึงรีบก้าวเข้าไป คุกเข่าลง พร้อมสีหน้าขมขื่น พลางว่า


 


 


“ท่านแม่ ครั้งนี้เป็นเพราะลูกไม่ทันระวังเอง ลูกอกตัญญู ขอท่านแม่อย่าถือโทษโกรธลูกเลย จะเสียสุขภาพไปเปล่าๆ”


 


 


ถงฮูหยินหันมอง พลันน้ำตาไหล


 


 


“เลี้ยงลูกชายมีประโยชน์อะไร ข้าเป็นหม้ายตอนอายุสิบเก้า แล้วก็ไม่ได้แต่งงานใหม่อีก ข้าประหยัดมัธยัสถ์ ผู้หญิงตัวคนเดียวทำมาหาเลี้ยงลูกชายสองคนในท้องไร่ท้องนาไม่กี่ผืนที่สามีผู้ล่วงลับทิ้งเอาไว้ให้ ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ชอบอ่านหนังสือ จึงคิดหาวิธีสารพัด ยัดเจ้าให้เข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนเอกชน เนื่องจากต้องจ่ายค่าแป๊ยเจี๊ยะให้อาจารย์ ข้ากับพี่ใหญ่เจ้าจึงยอมอดข้าว ไม่กินมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงสองมื้อเป็นเวลาสองเดือนเต็มๆ…จนในที่สุด เจ้าได้เป็นใหญ่เป็นโต แต่กลับขัดแย้งกับแม่ เพราะอนุเพียงคนเดียว ข้าอยู่ไปยังจะมีความหมายอะไรอีก เจ้าไปหาเชือกปอสักเส้น ให้ข้าแขวนคอไปหาพ่อเจ้าดีกว่า…”


 


 


ว่าแล้วก็สะเทือนอารมณ์ ฮึดฮัดขึ้นมาอีก หวงน้าสี่ตกใจ รีบเข้ามาปรามนางไว้ ก่อนส่งสายตาให้น้องรองระวังคำพูดด้วย


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าถอดสี ตนยังจะพูดอะไรได้อีก มารดาเป็นคนแข็ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คิดอยากตายขึ้นมา และถ้าคิดไม่ตก ตัดช่องน้อยแต่พอตัวในบ้านของตนเข้า ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว จึงตัดสินใจ ออกแรงทั้งหมดที่มี ตบหน้าตัวเองไปสองที ตบจนฟันแทบจะหลุดอยู่รอมร่อ แต่ก็ยังทนเจ็บ พลางว่า


 


 


“ท่านแม่ ล้วนเป็นความผิดของลูก! ล้วนเป็นความผิดของลูก! เป็นลูกเองที่อกตัญญู!”


 


 


พอถงฮูหยินเห็นเขาตบหน้าตัวเองจนเลือดกบปาก อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ใบหน้ายังมาบวมเปล่งอีก ขายหน้าสุดๆ จึงได้แต่ทอดถอนใจ


 


 


“ช่างเถอะ ข้าก็ไม่ได้โทษเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้าตาย พรุ่งนี้ข้าก็แค่กลับบ้าน แล้วแต่นี้เป็นต้นไป เราสอง


 


 


แม่ลูกก็ขาดกัน ไม่ต้องไปมาหาสู่กันอีก! ข้าก็คิดเสียว่า ไม่เคยมีลูกชายอยู่ในเมืองหลวง เจ้าก็คิดเสียว่า ไม่เคยมี


 


 


แม่กับพี่ชายอยู่ที่ไท่โจว!”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเตรียมโขกศีรษะให้มารดาอยู่แล้ว ด้วยสำนึกเสียใจที่ตอนแรกไม่น่ามือไว ขัดใจมารดา เช่นนี้ถ้ามารดากลับไท่โจวไป ต่อให้มารดาไม่พูด เพียงพี่สะใภ้ช่างพูดที่เปรียบดังโทรโข่งเคลื่อนที่ เปรยเรื่องนี้ขึ้นมา ตนมิต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ ช้าเร็วก็ต้องเดือดร้อนอยู่ดี จึงได้แต่โขกศีรษะขอร้อง


 


 


“ท่านแม่ ต่อไปถ้าท่านพูดว่าหนึ่ง ลูกก็ไม่กล้าพูดว่าสองแล้ว เพียงขอให้ท่านอย่าได้พูดถึงเรื่องตายหรือตัดลูกตัดแม่อะไรอีก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ลูกได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านเจ้ากรม ตำแหน่งยังไม่มั่นคงดี มีคนมากมายอยากให้ลูกผิดพลาด…ขอร้องล่ะท่านแม่! ลูกคุกเข่าให้ท่าน โขกศีรษะให้ท่าน ยังไม่พออีกหรือ!”


 


 


เมื่อครู่ถงฮูหยินพูดไปเพราะความโกรธ ด้วยกลัวว่าลูกชายจะไม่เห็นตนอยู่ในสายตาอีก ตอนนี้พอเห็นว่าลูกชายสัญญาว่าต่อไปจะไม่กล้าไม่เชื่อฟัง ก็นับว่าบรรลุจุดประสงค์แล้ว พอเห็นลูกชายพูดเช่นนี้ ก็ขยับริมฝีปาก แต่กลับไม่พูดอะไร


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมาถึงหน้าประตูแต่แรก จึงมองความรู้สึกของถงฮูหยินออก รู้ว่านางให้อภัยบิดาแล้ว แต่เพิ่งพูดจาแข็งกร้าวออกไป จะกลับคำทันทีก็กระไรอยู่ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงก้าวเข้าไป นั่งลงตรงหัวเตียง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนกับอวิ๋นเสวียนฉั่งที่คุกเข่าอยู่แทบเท้าตน


 


 


“ท่านพ่อ ท่านย่าพูดมากมายเสียขนาดนี้ ปากคอแห้งหมดแล้ว”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดลุกไปรินน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆ แต่มารดายังไม่ได้บอกให้ลุก ตนก็ไม่กล้าลุก จึงได้แต่ใช้เข่าคลานไปกับพื้น หวงน้าสี่ทนไม่ไหว จนต้องแอบหัวเราะออกมาขณะเห็นท่าทางตลกๆ ของเขา


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นรับถ้วยน้ำมา และป้อนให้ถงฮูหยินดื่มไปหลายอึก ค่อยพูดเสียงเบา


 


 


“เมื่อรู้ว่าผิดแล้วยอมแก้ไข ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ชิ่นเอ๋อร์จำคำที่ท่านย่าเคยสอนจิ่นจ้งได้ ยิ่งไปกว่านั้น…” เบนสายตาไปมองบิดา “ท่านพ่อมิใช่รับปากท่านย่าแล้วหรือว่า ท่านย่าพูดอะไร ก็จะทำตามทุกอย่าง”


 


 


พอถงฮูหยินเห็นหลานสาวพูดจาประนีประนอม ก็ยิ่งพอใจ แม้ยังโกรธอยู่บ้าง ก็ยอมก้าวลงบันไดแต่โดยดี


 


 


“เจ้าควรจะดีใจนะ ที่มีลูกสาวที่รู้กาลเทศะและละเอียดอ่อนเช่นนี้ ลุกขึ้นเถิด”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงโล่งอก ยกชุดยาวแล้วลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันพูดอะไร มารดาก็พูดขึ้นก่อน ด้วยถงฮูหยินมิใช่คนที่จะยอมใครได้ง่ายๆ นางหลุบตาลงพลางว่า


 


 


“…เจ้าเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ส่วนข้าเป็นเพียงแม่หม้ายในชนบทคนหนึ่ง ข้ามิได้หวังว่าต่อไปถ้าข้าพูดอะไรแล้วเจ้าต้องทำตามเสียทุกอย่างจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้มีอยู่สองเรื่อง ที่อยากให้เจ้ารับฟัง”


 


 


“ขอเพียงท่านแม่บอก ลูกย่อมตั้งใจฟังคำตักเตือน ไม่กล้าไม่ทำตาม” อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบรับปาก


 


 


“เรื่องแรก อย่าหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องกามารมณ์จนลืมว่าเจ้ามีวันนี้ได้อย่างไร เจ้าไม่เห็นคนแก่อย่างข้าอยู่ในสายตาก็แล้วกันไป แต่จิ่นจ้งเล่า เขาเป็นลูกชายเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้เจ้าเอาแต่ตามใจไป๋ฮูหยิน นางจะทะเยอทะยานอยากทำร้ายทายาทสืบสกุลหรือ ชิ่นเอ๋อร์ก็เหมือนกัน การแต่งงานของนางถือเป็นเรื่องใหญ่ อย่าว่าแต่ทำให้นางผิดหวังเรื่องผู้ชายเลย เจ้ายังเอาแต่หารือกับอนุ แล้วพออนุพูดแค่คำสองคำ เจ้าก็คิดที่จะยัดเยียดลูกสาวคนโตที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวให้กับผู้ชายหลายใจนั่นอีก ขนาดถามก็ยังไม่คิดถามลูกสาวเจ้าสักคำ ถ้าไม่เรียกว่าลืมตัวแล้วจะเรียกว่าอะไร ผู้หญิงหลังบ้าน เจ้ารักใครชอบใครเป็นเรื่องของเจ้า ข้าไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวเพียงอยากให้เจ้าสัญญาว่า ถึงรักชอบแค่ไหน ก็ล้ำเส้นสถานะลูกหลานสกุลอวิ๋นไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าใครริอาจทำร้ายลูกหลานสกุลอวิ๋นข้าแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะโบย ขาย หรือไม่ก็ฆ่าคนผู้นั้นทันที จะไม่ยกโทษให้แต่อย่างใด” หญิงชราพูดอย่างเฉียบขาดและลึกซึ้ง


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว แน่นอนอยู่แล้วท่านแม่” อวิ๋นเสวียนฉั่งเหงื่อตก


 


 


“เรื่องที่สอง ฮุ่ยหลานที่รับใช้อยู่นอกเรือนหลัก เจ้าหาฤกษ์ดีสักวัน แต่งเข้าเป็นอนุเถิด”


 


 


ข้อเรียกร้องที่สองของหญิงชรากลับตรงจุด เรียบง่าย ไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย ก่อนเสริมขึ้นอีกประโยค


 


 


“จัดให้สมศักดิ์ศรี ให้สิทธิประโยชน์ตามสถานะ สูงกว่าเหลียนเหนียงได้ แต่ต่ำกว่าเหลียนเหนียงไม่ได้”


 


 


คำพูดนี้พอหลุดจากปาก เหลียนเหนียงที่วิ่งมาแอบฟังข้างเรือนตะวันตกทั้งๆ ที่หน้ายังไม่หายบวม พลันมึนงง ขยำม่านผ้าสำลีตรงหน้า หญิงชราต้องการให้ท่านพี่รับฮุ่ยหลานเป็นอนุ ยังต้องการให้มีสถานะเทียบเคียงเสมอตน?


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกลับยกมุมปากขึ้นยิ้ม ท่านย่านี่ ใช่ว่าจะยอมให้ใครมาตอแยได้ง่ายๆ เหมือนกัน


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งนึกหน้าฮุ่ยหลานไม่ออกในทันที สักพักถึงจะนึกขึ้นได้ แต่ก็ไม่กล้าถามมาก แต่งก็แต่ง ตอนนี้หญิงชราพูดอะไรเขาก็เชื่อฟังหมด จึงตอบอย่างเคารพนบนอบ


 


 


“ขอรับ ท่านแม่”


 


 


เหลียนเหนียงปล่อยผ้าม่านลง แล้วกัดฟันแน่น


 


 


ถงฮูหยินกำชับเสร็จ ก็รู้สึกเพลียเพราะพูดมาก พอเห็นเจ้ารองรับปากรับคำ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอ่อนล้า “เรียบร้อยแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่านย่าหน้าซีดและเหน็ดเหนื่อย ก็รีบเข้าพยุงร่วมกับหวงน้าสี่ให้นอนราบ ห่มผ้านวม แล้วดึงมุ้งลง ก่อนหันกายไปพูดเบาๆ กับบิดา


 


 


“ลูกจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านย่า รอให้บ่าวยกยาที่ตุ๋นเสร็จมา ลูกจะป้อนยาให้ท่านย่าทานแล้วค่อยไป ท่านพ่อวางใจได้”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งในตอนนี้ได้แต่ฝากความหวังในการเอาอกเอาใจมารดาไว้กับลูกสาว จึงพยักหน้าหงึกๆ ก่อนออกจากเรือนตะวันตกไป

 

 

 


ตอนที่ 95-4 ยึดเงิน

 

เนื่องเพราะเหลียนเหนียง อวิ๋นเสวียนฉั่งถึงได้ทำเรื่องเหลวไหลลงไป เขาจึงไม่กล้าไปเรือนเจี่ยวเยว์ในทันที รอจนคืนวันรุ่งขึ้น ค่อยแอบย่องไปหาเหลียนเหนียง


 


 


พอเห็นใบหน้าที่สะสวยน่ารักของนางบวมเป็นภูเขาลูกเล็กๆ ก็ตกใจ เดาว่าน่าจะเป็นลูกสาวที่เรียกนางออกไปสั่งสอน จึงรู้สึกไม่พอใจ เดิมทีคิดจะเดินไปสอบถามลูกสาว แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเพิ่งรับปากมารดาว่า รักชอบใครต้องมีขอบเขต จะล้ำเส้นสถานะของลูกหลานตนเองไม่ได้ จึงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ใจอ่อนลง


 


 


เหลียนเหนียงผ่านโลกมาพอสมควร ก็ยิ่งไม่กล้าฟ้องเรื่องคุณหนูใหญ่ จึงได้แต่ร้องไห้เสียงดังเรียกร้องความเห็นใจอยู่พักหนึ่ง จากนั้นค่อยใช้นิ้วสัมผัสที่มุมปากของเจ้าบ้านเบาๆ พลางว่า


 


 


“แล้วทำไมท่านพี่ถึงได้บาดเจ็บเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ”


 


 


เหงือกและฟันของอวิ๋นเสวียนฉั่งยังบวมไม่หาย ตอนเข้าประชุมท้องพระโรงก็ต้องก้มหน้าก้มตา เกรงว่าฝ่าบาทกับเพื่อนร่วมงานจะพบเห็นเข้า ตอนนี้ก็ยิ่งขายหน้าอนุไม่ได้ จึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้


 


 


ทั้งสองต่างกอดผู้ซึ่งถูกตบจนหน้าบวมเป็นซาลาเปาซึ่งกันและกันอยู่สักพัก โดยต่างไม่คิดเปิดเผยเรื่องนี้ต่อกัน แต่แล้วเหลียนเหนียงก็ร้องไห้ออกมาอีก


 


 


“ท่านพี่จะแต่งฮุ่ยหลานเข้ามาใช่หรือไม่”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งพยักหน้า “น่าจะไม่กี่วันนี้ล่ะ”


 


 


เหลียนเหนียงไม่อยากยินยอม ด้วยตอนนี้ตนเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว อนุฟางนั่นก็แก่เกินแกง ไม่ใช่คู่แข่งอีก แต่ฮุ่ยหลานเป็นวัยรุ่นที่กำลังเบ่งบาน มีนางเพิ่มขึ้นอีกคน อุปสรรคก็เพิ่มมากขึ้น จะยอมได้อย่างไรเล่า ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเกิดเรื่องกับเถาฮวา ฮุ่ยหลานก็ไม่ญาติดีกับตนอีก ทุกครั้งที่พบหน้าตน สายตาที่มองมาล้วนอยากฉีกตนเป็นชิ้นๆ แทบไม่ทัน ตอนเดินสวนกันในเรือนก็เอาแต่สะบัดหน้าหนี ครั้งนี้ถ้านางได้เลื่อนขั้น ย่อมต้องปะฉะดะกับตนแน่


 


 


และแล้ว เหลียนเหนียงก็บีบน้ำตา พลางโอบเอวบุรุษไว้ “ท่านพี่จะมีผู้หญิงคนใหม่อีกแล้ว อย่าลืมเหลียนเหนียงนะเจ้าคะ”


 


 


“จะลืมได้อย่างไรกัน ข้าต้องการปลอบประโลมใจท่านแม่เท่านั้น”


 


 


ความรักของอวิ๋นเสวียนฉั่งที่มีต่อเหลียนเหนียงยังไม่ผ่านช่วงเวลาสุกงอม กับฮุ่ยหลานเขาก็ไม่ค่อยคุ้นเคย ย่อมต้องเอนเอียงมาทางเหลียนเหนียง พูดไปพูดไป เขาก็รู้สึกแต่ว่า มีมือเล็กๆ ไต่มาที่เอว แล้วยังเจ้าเลห์ เที่ยวจับไปเรื่อย พลันโลหิตสูบฉีด ทนไม่ไหว หัวเราะออกมาเบาๆ


 


 


“นางมารน้อย” เพิ่งปลดเข็มขัดออก ก็ได้ยินเสียงพี่ตงดังมาจากด้านนอก


 


 


“นายท่านเจ้าคะ คุณหนูใหญ่มาจากเรือนตะวันตก ถามว่าตอนนี้ท่านจะไปเยี่ยมผู้อาวุโสหรือไม่ ถ้าไม่ไป นางก็จะป้อนยาก่อนนอนให้ผู้อาวุโสทาน”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งถูกลูกสาวขัดจังหวะ แต่กลับโมโหไม่ได้ จึงได้แต่ตอบอย่างตะกุกตะกักไป


 


 


“ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” ว่าแล้วก็ดึงกางเกงขึ้นด้วยหน้าตาเศร้าสลด ก่อนออกจากเรือนเจี่ยวเย่ว์ไป


 


 


 


 


ด้านถงฮูหยิน ที่นอนพักอยู่บนเตียงและทานยาไปสองชุด แต่อาการกลับแย่ลง เดิมทีวันนั้นนางยังแสร้งทำเป็นป่วยอยู่บ้าง เพื่อให้ลูกตกใจ แต่ผ่านไปสองวัน กลับปวดหัวตัวเบา แน่นหน้าอก อยากอาเจียนก็อาเจียนไม่ออก กินข้าวก็กินไม่ลง กระทั่งลุกจากเตียงไม่ได้ในที่สุด


 


 


ด้านอวิ๋นเสวียนฉั่งที่ใช้ให้ม่อไคไหลไปบอกมู่หรงไท่ในวันรุ่งขึ้นว่า ให้มาหารือเรื่องแต่งงานเป็นการส่วนตัวที่บ้าน แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถแบ่งร่างเพื่อทำสองเรื่องพร้อมกัน จึงได้แต่วางเรื่องมู่หรงไท่ไว้ชั่วคราว


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเชิญหมอใหญ่ชื่อดังในเมืองหลวงมาตรวจดูอาการมารดา หมอบอกว่า วันนั้นหญิงชราโมโหจนจุกอก บวกกับอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว พอโดนลม ร่างกายก็ต่อต้านอย่างรุนแรง จึงจัดยาให้ทานสักสองสามชุด แต่อาการของถงฮูหยินก็ยังไม่ดีขึ้น


 


 


เมื่อมารดาป่วยหนัก แม้อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งได้เป็นเจ้ากรมและงานยุ่งอย่างไร ก็ต้องขอลามาดูแลมารดาที่บ้านสองวัน หวงน้าสี่ อวิ๋นหว่านชิ่นกับอวิ๋นจิ่นจ้ง อนุฟางและคนอื่นๆ ก็ผลัดกันมาดูแลถงฮูหยินอยู่ข้างเตียง


 


 


เดิมทีอวิ๋นเสวียนฉั่งคิดบอกให้เหลียนเหนียงมาช่วงดึก เพื่อให้นางผูกพันกับมารดามากขึ้น มารดาจะได้คลายปมในใจลง แต่ลูกสาวกลับพูดเบาๆ ว่า


 


 


“ท่านพ่อคิดว่าท่านย่ายังป่วยไม่หนักพอหรือไง”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงค่อยๆ ยอมแพ้ ล้มเลิกความคิดนี้ไป แต่กลับได้ยินลูกสาวพูดขึ้นอีกว่า


 


 


“ถ้าท่านพ่อต้องการให้อนุคนหนึ่งมาจริงๆ ก็ย้ายฮุ่ยหลานมารับใช้จะดีกว่า”


 


 


เนื่องจากถงฮูหยินป่วยหนัก แม้ฮุ่ยหลานยังไม่ได้ถูกรับเข้าเป็นอนุ แต่ก็ถูกคนในบ้านมองว่าเป็นอนุไปแล้ว นางถูกย้ายจากนอกเรือนให้เข้ามาอยู่ในเรือนหลัก พอฟังคำอธิบายจากคุณหนูใหญ่ นางก็ทำตามแต่โดยดี มาที่เรือนตะวันตก อยู่ในห้องปีกข้างชั่วคราว และปรนนิบัติถงฮูหยินทุกวันทั้งกลางวันและกลางคืน


 


 


ฮุ่ยหลานแม้พูดจาอ่อนหวานไม่เท่าเหลียนเหนียง แต่กลับเป็นคนจริงใจ ทำอะไรไม่หวังผลตอบแทน แย่งคนเขาทำงานไปหมด ไม่กลัวเสียเปรียบ ป้อนยาให้หญิงชราทานทุกวัน เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า เทโถปัสสวะ ทำได้เรียบร้อยทุกอย่าง บางครั้งถงฮูหยินอาเจียน หรือปัสสวะรดที่นอน ฮุ่ยหลานก็ไม่แสดงอาการรังเกียจหรือขมวดคิ้วแม้แต่น้อย


 


 


พอเหลียนเหนียงได้ยินว่าฮุ่ยหลานปรนนิบัติถงฮูหยินเป็นอย่างดี และคนป่วยอย่างถงฮูหยินก็มักชมเชยฮุ่ยหลานเสมอ ในใจก็เกิดเมฆดำปกคลุมแสงอาทิตย์ ทั้งมืดมนและหม่นหมอง จึงพยายามแอบพัวพันกับอวิ๋นเสวียนฉั่งให้แน่นแฟ้นขึ้น ยิ่งเจ้านายคนอื่นๆ ในบ้านไม่เห็น นางก็ยิ่งกระทำการกุมหัวใจชายให้อยู่หมัด ให้เขาดิ้นไม่หลุด


 


 


แม้ผู้หญิงในบ้านสกุลอวิ๋นจะผลัดกันมาดูแลอย่างไร ยาก็ทานไปแล้วหลายชุด อาการของถงฮูหยินก็ยัง


 


 


หมิ่นเหม่ ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น ระหว่างนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งได้บอกให้ม่อไคไหลไปเชิญหมอมีชื่อที่อยู่นอกเมืองมา


 


 


ท่านหนึ่ง พอท่านหมอตรวจดูอาการเสร็จ ก็เขียนใบสั่งยาให้ ซึ่งก็มีผลพอๆ กันกับยาก่อนหน้านี้ ทานแล้วอาการ


 


 


ก็ไม่ได้ดีขึ้นมากมาย


 


 


วันนี้หลังเที่ยง อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนป้อนยาให้ท่านย่าทานตามกำหนด อวิ๋นเสวียนฉั่งก็เดินเข้ามา แล้วนั่งลงข้างโต๊ะกลมนอกมุ้ง


 


 


ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ทำเอาถงฮูหยินผอมลงไปมาก ใจสู้แต่ไม่มีแรง ทานยาไม่กี่คำก็กินแรงไปเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นทีไร ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจ ขณะจะคิดหารือกับบิดาว่า พอจะสามารถไหว้วานให้คนไปหาหมอที่ดีหน่อยมาหรือไม่นั้น นอกธรณีประตูก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมา สักพัก ม่อไคไหลก็พูดเสียงเบาอยู่นอกม่าน


 


 


“นายท่าน มีแขกมาเยี่ยม”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งขมวดคิ้ว “แม่ข้าป่วยขนาดนี้ ข้าไหนเลยจะมีกะใจต้อนรับแขกอีก ใครกันล่ะ”


 


 


เสียงแสดงความสงสัยของม่อไคไหลดังมา


 


 


“หมอหลวงเหยาแห่งสำนักหมอหลวงพาผู้ช่วยหนุ่มแบกกระเป๋ายามาคนหนึ่ง บอกว่า…มาตรวจดูอาการให้ท่านผู้อาวุโส”


 


 


อะไรนะ? หมอหลวงเหยา…เหยากวงเหย้า?


 


 


เหยากวงเหย้าเป็นหมอหลวงประจำวังหลวงที่มีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมท่านหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นสามแห่งสำนักหมอหลวง แต่ไหนแต่ไรมาจะตรวจสุขภาพและตรวจโรคให้กับชนชั้นสูงระดับพระมเหสีขึ้นไปเท่านั้น ทำไมถึงได้มาตรวจดูอาการให้ถงฮูหยินที่จวนสกุลอวิ๋นได้ล่ะ


 


 


อย่าว่าแต่มีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมเลย แม้แต่หมอหลวงธรรมดาในสำนักหมอหลวง คิดจะตรวจสุขภาพให้ขุนนางและคนในจวนขุนนาง ก็จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าสำนักหมอหลวง หรือได้รับพระบรมราชานุญาติจากฝ่าบาทก่อน ตนกับเหยากวงเหย้าก็ไม่สนิทกัน เหตุใดจู่ๆ เขาถึงมาตรวจโรคให้ถงฮูหยินได้เล่า


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งตกตะลึง จึงลุกพรวดขึ้น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นก็สงสัยเช่นเดียวกัน จึงวางชามยาลง แล้วหันหน้าไปที่ประตู


 


 


“พ่อบ้านม่อ ยังไม่รีบเชิญหมอหลวงเหยาเข้ามาอีก!”

 

 

 


ตอนที่ 96-1 ตรวจโรค

 

เหยากวงเหย้าปีนี้อายุหกสิบสอง เดิมทีเหลืออีกไม่กี่ปีเขาก็จะเกษียณ กลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขที่บ้านเกิด แต่เนื่องจากฝีมือทางการแพทย์ที่เยี่ยมยอด ละเอียดอ่อน ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเชื้อพระวงศ์และพระมเหสี หนิงซีฮ่องเต้จึงรั้งตัวไว้ให้อยู่ในสำนักแพทย์ต่อ และพอได้อยู่ ก็กลายเป็นอยู่ยาวไป


 


 


โดยสองสามปีมานี้ เหยากวงเหย้าไม่ได้ออกตรวจรักษาเหล่าเชื้อพระวงศ์และพระมเหสีเป็นหลักอีก เขาใช้เวลากว่าครึ่งไปกับการอยู่ในสำนักหมอหลวงค้นคว้าวิจัยความรู้ที่มีอยู่ทั้งชีวิต จดบันทึกรวบรวมประสบการณ์จากการทำงานด้านการแพทย์มาอย่างโชกโชน สอนหมอรุ่นใหม่ในสำนักหมอหลวง และใช้เวลาที่เหลือตรวจสุขภาพให้กับชนชั้นสูงในวังไม่กี่ท่านเท่านั้น


 


 


ซึ่งในวังหลวง ตั้งแต่เจี่ยไทเฮาจนถึงหนิงซีฮ่องเต้ รวมทั้งเจี่ยงฮองเฮาที่ไม่ชอบแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง มเหสีรองเหวยที่ชอบวางอำนาจและปากร้าย ก็ล้วนแล้วแต่เคารพยกย่องหมอหลวงเหยากันทั้งสิ้น


 


 


ขณะบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นเดินนำเหยากวงเหย้ากับหมอผู้ช่วยเดินเข้ามาในเรือนตะวันตกนั้น อวิ๋นเสวียนฉั่งก็พาลูกสาวกับคนในเรือนออกมายืนต้อนรับอยู่ที่ชานเรือน


 


 


ถ้าพูดถึงสถานะ อวิ๋นเสวียนฉั่งในตอนนี้มีสถานะสูงกว่าเหยากวงเหย้าหนึ่งชั้น แต่เหยากวงเหย้าทำงานอยู่ในวังหลวง ได้รับการยกย่องและใกล้ชิดกับคนในวังมาตลอด จึงเป็นธรรมดาที่อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องให้ความเคารพและคารวะหมอหลวงท่านนี้ ซึ่งพอเห็นคนมา เขาก็รีบเก็บความเศร้าเสียใจที่มีอยู่ แล้วก้าวเท้าเข้าไป ประสานมือพลางยิ้ม


 


 


“รบกวนหมอหลวงเหยาที่อุตส่าห์มาด้วยตนเอง ทำไมถึงไม่บอกล่วงหน้าสักคำ จะได้เตรียมการต้อนรับเสียแต่เนิ่นๆ ข้าเสียมารยาทแล้ว!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ด้านหลังบิดา จึงสำรวจมองหมอหลวงเหยาอย่างเงียบๆ เขาสวมชุดผ้าไหมคอกลมสีเขียว แขนกว้างปลายแขนสอบ ปักลายนกยูงตรงหน้าอก เป็นเครื่องแบบที่หมอหลวงใส่ทำงานตามปกติ แม้เป็นข้าราชการเช่นกัน แต่หมอหลวงก็แตกต่างจากข้าราชการจากกรมกองอื่นๆ โดยไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน ผมขาวโพลนอย่างไร แต่สติยังคงแจ่มใสเสมอ


 


 


เขาเป็นคนผิวขาว ตัวเล็ก รูปร่างท้วม เวลายิ้มคล้ายพระสังกัจจายน์ ท่าทางผ่อนคลายสบายๆ เป็นผู้สูงอายุที่แก้มแดงเหมือนแก้มเด็ก จึงยิ่งทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกประทับใจ


 


 


พอมองถึงตรงนี้ ใบหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นพลันกระตุก ใจเต้นค่อนข้างแรง ร่างโน้มไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว เท้าจึงก้าวตามสองก้าว


 


 


เหยากวงเหย้าเป็นสหายเก่าเมื่อชาติที่แล้ว นางจึงมิได้พบเขาเป็นครั้งแรก


 


 


เมื่อครู่ ตอนอยู่ในห้องป้อนยาให้ท่านย่า และได้ยินชื่อของเขานั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็เบิ่งตาโต วิญญาณคล้ายจะหลุดจากร่าง


 


 


หมอหลวงเหยา…เป็นหมอหลวงเหยา


 


 


เมื่อชาติที่แล้ว หลังจากนางร้องเรียนกับองค์ฮ่องเต้ที่วัดเซียงกั๋ว แล้วกลับถึงจวนกุยเต๋อโหว อาการป่วยก็กำเริบ ได้แต่นอนอยู่บนเตียง ลุกไม่ขึ้น แทบจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ว่าได้


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะทรงตรัสว่า


 


 


“…ให้ฮูหยินน้อยกลับจวนไปพักรักษาตัวก่อน เรื่องมู่หรงไท่ลักลอบสมรู้ร่วมคิดวางแผนดองกับบ้านสกุลอวิ๋นนั้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ค่อยดำเนินการตรวจสอบต่อไป”


 


 


ระหว่างทางกลับจวนโหว ฮูหยินท่านโหวอาวุโส สิงฮูหยินอยากจะสับสะใภ้รองออกเป็นหมื่นๆ ชิ้นแล้วฝังลงดินใจแทบขาด ไหนเลยอยากจะแบกนางกลับจวน


 


 


เพราะต้องการให้ฮ่องเต้เห็นความสำคัญของคนสกุลมู่หรงหรอก จึงไม่กล้าละเมิดพระบัญชาอย่างโจ่งแจ้ง แต่พอกลับถึงจวน ก็ทำการขังสะใภ้ขบถไว้ในห้อง แล้วไล่สาวใช้ออกไปให้หมด กระทั่งชูซย่าก็ถูดจับมัดแล้วขังไว้ในห้องเก็บฟืน ปล่อยให้นางร้องไห้อยู่ทั้งวัน สุดท้ายยังใส่กลอนห้องสะใภ้รอง ไม่ให้บ่าวนำยาเข้าไปให้อีก คิดให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างสะใภ้รองนอนตายไปเองในห้อง


 


 


ซึ่งหลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับถึงจวนได้ไม่นาน องครักษ์เสื้อเหลืองจากในวังก็มาขอคน และมู่หรงไท่ก็ถูกจับเข้าคุกหลวงทันที


 


 


จวนโหวจึงโกลาหลไปหมด สิงฮูหยินร้อนใจดั่งไฟเผา ท่านโหวอาวุโสมู่หรงรีบออกไปวิ่งเต้นเส้นสาย ส่วนบ่าวในเรือนของมู่หรงอันกลับมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น…จับกลุ่มซุบซิบนินทาพัลวัน สาปแช่งด่าทอทั้งคนหน้าบ้านและหลังบ้านของจวนกุยเต๋อโหวอย่างหยาบคาย


 


 


บนเตียง แม้ร่างกายของอวิ๋นหว่านชิ่นทรุดโทรมเต็มที หายใจรวยริน เจ็บปวดไปทั้งร่าง แต่ก็ไม่ปริปากบ่นและไม่เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป


 


 


เมื่อเลือกที่จะร้องเรียนกับเบื้องบน ก็ตัดสินใจแต่แรกแล้วว่า ต้องสู้จนตกตายไปพร้อมกัน นางจึงไม่สนใจอะไรอีก พอได้ยินเสียงคนตื่นตกใจ เสียงคนก่นด่าดังต่อเนื่องอยู่ด้านนอก นางกระทั่งยังยิ้มอย่างอ่อนแรงออกมา หวังเพียงให้ตนรีบตายไปไวๆ เท่านั้น


 


 


จากกลางวันจรดกลางคืน ปากคอนางแห้งไปหมด เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย อย่าว่าแต่อาหารเลย น้ำสักกา สิงฮูหยินก็ไม่เหลือเอาไว้ให้


 


 


เอาเถอะๆ จะกระหายตาย หรือป่วยตาย อย่างไรก็ตายอยู่ดี


 


 


นางพยายามทำจิตใจให้สงบ นอนคนเดียวนิ่งๆ ดั่งปลาที่ใกล้จะถูกตากแห้งในทะเลทราย


 


 


ผ่านไปหนึ่งวัน ขณะกำลังพยายามคงลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ คนในจวนโหวก็เดินเข้ามา พร้อมหมอหลวงเหยาจากสำนักหมอหลวงที่ได้รับพระบัญชาให้มาตรวจดูอาการตน


 


 


เหยากวงเหย้าเป็นหมอหลวงประจำพระองค์ที่ฮ่องเต้ไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด การมาจวนโหวในครั้งนี้ คนในจวนก็รู้ดีว่าเป็นเจตนาของโอรสสวรรค์ ใครจะกล้าขัดขวางเล่า ต่อให้สิงฮูหยินไม่ยอม ก็ได้แต่แค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง แล้วจึงให้บ่าวพาหมอหลวงเหยากับผู้ติดตามไปที่เรือนของอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


เหยากวงเหย้าพาผู้ช่วยคนหนึ่ง กับหมอหญิงคนหนึ่งเข้าไปในห้อง พอเห็นฮูหยินน้อยสลบไสลอยู่บน


 


 


เตียงในสภาพริมฝีปากแห้ง ใบหน้าซีดขาว ก็ตกใจ รีบบอกให้หมอหญิงทำให้ริมฝีปากอวิ๋นหว่านชิ่นชุ่มชื้น ก่อนป้อนน้ำหวานเย็นๆ เข้าปากนางทีละน้อย


 


 


พอเหยากวงเหย้าเห็นนางสะลึมสะลือตื่นขึ้น ค่อยทำการตรวจชีพจรและถามไถ่ ถึงได้รู้ว่าฮูหยินน้อยของจวนโหวถูกวางยามาเป็นเวลานาน ถ้าให้ยากระตุ้นก็น่าจะอยู่ได้ถึงวันมะรืน ด้วยร่างกายและจิตใจบอบช้ำจนเกินจะรับไหว จึงไม่มีทางฟื้นคืนกลับได้อีก


 


 


แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่านี่เป็นคนใกล้ตาย เหยากวงเหย้าก็ยังคงพยายามใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมด ป้อนยาฝังเข็ม ช่วยชีวิตนางอย่างสุดความสามารถ


 


 


เขารักษานางจนถึงยามสอง หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ พอรู้ว่าเริ่มไม่ไหวค่อยหยุดมือ บอกให้ผู้ช่วยนำโสมพันปีเข้ามา สอดเข้าไปในปากนาง ให้นางอมเพื่อเลี้ยงลมหายใจเอาไว้ และบอกให้หมอหญิงนำเตาดินเผาเข้ามา เพื่อฆ่าเชื้อเข็มเงิน แล้วทำการช่วยชีวิตนางต่อ

 

 

 


ตอนที่ 96-2 ตรวจโรค

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพลันมีสติขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาใสๆ เบิกกว้าง ใบหน้าขาวซีดปรากฏรอยยิ้ม


 


 


“ลำบากหมอหลวงเหยาแล้ว ข้ารู้สภาพร่างกายตัวเองดีว่า เหลือเวลาอีกไม่มาก อย่าเสียแรงกับข้าเลย สิ้นเปลืองสมุนไพรล้ำค่าไปเปล่าๆ…ขอหมอหลวงช่วยขอบพระทัยฝ่าบาทในพระมหากรุณาธิคุณแทนข้าด้วย”


 


 


เหยากวงเหย้าหน้ามุ่ย ใบหน้าอ้วนๆ ของเขาคล้ายเด็กน้อยที่รู้สึกไม่พอใจ


 


 


“ฮูหยินน้อยอายุยังน้อย ทำไมไม่มีใจสู้เลยสักนิด หมอแก่ขนาดนี้ยังไม่บ่นว่าเหนื่อยสักคำ แต่เจ้ากลับไม่อดทนเสียนี่! ไหนบอกว่าลำบากหมอแล้ว หรืออยากจะให้หมอเสียแรงเปล่าที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าหมอหลวงเหยาพูดให้กำลังใจตน เพราะอยากให้ตนมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อ น้ำรื้นๆ ขึ้นมาคลอดวงตา สักพัก จึงตัดสินใจต่อลมหายใจ ด้วยการกัดโสมพันปีที่อยู่ในปากแน่น


 


 


แม้ปากพูดให้กำลังใจฮูหยินน้อยที่ตกอยู่ในสภาพอ้างว้างเดียวดาย แต่เหยากวงเหย้าก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า สติแจ่มใสของนางในตอนนี้ เป็นสติของคนใกล้ตาย จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามต่อชีวิตให้นาง


 


 


 


 


พอดึงอารมณ์ความคิดคืนกลับ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยากที่จะสงบจิตสงบใจ นึกถึงแต่วันสุดท้ายในชาติที่แล้วของตน


 


 


วันนั้น เป็นวันที่นางเห็นพระอาทิตย์ตกดินเป็นครั้งสุดท้าย


 


 


เนื่องจากหมอหลวงเหยามาจวนโหวเป็นครั้งแรกและได้เห็นกับตาตัวเองว่าฮูหยินน้อยน่าสงสารจริงๆ ก่อนกลับจึงมองหน้าสิงฮูหยินอย่างขุ่นเคือง พลางพูดกับนางไม่กี่ประโยค ซึ่งสิงฮูหยินก็คิดว่าตาเฒ่าผู้นี้เป็นคนตรงๆ ที่หัวรั้นแค่นั้น ถ้าไม่เห็นแก่หน้าเขา ก็ต้องเห็นแก่หน้าฝ่าบาทที่อยู่เบื้องหลังเขา จึงไม่กล้าดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับสะใภ้รอง ต้องฝืนใจปล่อยชูซย่าให้กลับไปรับใช้ข้างกายนาง


 


 


พลบค่ำของวันนั้น พระอาทิตย์สีทองหลบลงไปในปุยเมฆเหมือนทุกๆ วัน ก่อนค่อยๆ ลับตาไป กลางคืนกำลังจะมาเยือน เงาที่อ่อนแรงของแสงอาทิตย์สะท้อนลงบนหน้าต่างกระดาษ เบาหวิวและวังเวง เหมือนลางบอกเหตุที่ไม่สู้จะดีว่า เจ้าของห้องก็เหมือนพระอาทิตย์ตกดินอย่างไรอย่างนั้น พลังชีวิตค่อยๆ หมดลง จนหายจากโลกไปในที่สุด


 


 


หมอห่วงใยเราเหมือนพ่อแม่เรา นี่คือความรู้สึกของหมอดีๆ ที่มีต่อผู้ป่วย พวกเขาเกิดมาพร้อมความรู้สึกพิเศษเช่นนี้ เหยากวงเหย้าดูแลอวิ๋นหว่านชิ่นระยะหนึ่ง แต่ก็เห็นนางเหมือนหลานสาวในบ้านของตนเอง พอรู้ว่าเส้นตายของหญิงสาวมาถึง ก็เปลี่ยนท่าทีที่ร้อนรนในอดีต เป็นยืนนิ่ง ส่ายศีรษะถอนหายใจอยู่นอกมุ้ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าเหยากวงเหย้าช่วยยืดเวลาให้ตนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้แล้ว จึงปลอบใจเขาไปไม่กี่ประโยค จากนั้น พลังชีพก็หมดลง เข้าสู่ห้วงแห่งการสลบสไลอีกครั้ง


 


 


ขณะยังมีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่ นางเห็นรางๆ ว่ามีคนเข้ามากระซิบข้างหูเหยากวงเหย้า จากนั้นเหยากวงเหย้าก็ก้าวเข้ามาใกล้มุ้ง กระซิบข้างหูตนว่า


 


 


“ฮูหยินน้อยอดทนต่ออีกหน่อย มีคนจะมาเยี่ยม อย่าเพิ่งหลับ อย่าปิดตา มิเช่นนั้นคนๆ นั้นมาแล้วเจ้าจะ


 


 


มองไม่เห็น…” เขาพูดไม่ปะติดปะต่ออีกหลายประโยค แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็ค่อยๆ ไม่ได้ยิน


 


 


ค่ำวันนั้น เป็นครั้งสุดท้ายที่อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหยากวงเหย้า เพราะหลังจากคืนนั้น ตนก็หลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์อย่างสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าผู้ที่เหยากวงเหย้าบอกว่าจะมาเยี่ยมเป็นใคร หรือหมอหลวงเหยาแต่งเรื่องขึ้นเอง เพราะต้องการให้ตนยืนหยัดต่อ


 


 


โดยหลังจากนั้น หมออาวุโสที่มีนิสัยตรงไปตรงมาและซนเหมือนเด็กๆ ก็มักยกเหตุผลต่างๆ นาๆ มาพูดข้างหูตน ให้ตนอดทนกับความเจ็บปวดและพยายามยืนหยัดไว้


 


 


ครั้งหนึ่ง เขาขู่อวิ๋นหว่านชิ่นว่า ตอนนี้ดอกโบตั๋นกำลังบานสะพรั่ง สวยงามยิ่ง ถ้าไม่ยอมหายป่วยไวๆ


 


 


จะอดออกไปกินลม ชมดอกไม้ ยังมีอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริง เขาว่า เขาซื้อน้ำตาลปั้นของคนแซ่จางที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองมาด้วย แต่ต้องหายป่วยก่อนถึงจะกินได้


 


 


ชาตินี้พอพบหมอหลวงเหยาอีกครั้ง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงตื่นเต้นมาก


 


 


ท่านหมออาวุโสผู้นี้ มีลักษณะแบบเดียวกันกับที่นางเคยพบเมื่อชาติที่แล้ว หน้ากลมอารมณ์ดี เข้าหาง่าย


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งพูดจบ นางก็ถกกระโปรงและย่อตัวลง


 


 


“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าเหยา”


 


 


แล้วจึงเงยหน้าขึ้น มองเหยากวงเหย้าต่อหน้าบิดา พลางยิ้มให้อย่างไม่สนใจใดๆ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งอึ้ง รีบว่า “นี่คือลูกสาวข้า หว่านชิ่น หลายวันมานี้นางอยู่ดูแลย่าของนางอยู่ข้างเตียงตลอด พอหมอหลวงเหยามา จึงหลบฉากไปไม่ทัน เสียมารยาทแล้ว”


 


 


เหยากวงเหย้าจ้องมองเด็กสาว เนื่องจากอยู่แต่ในบ้าน นางแต่งตัวเรียบง่ายแต่สง่างาม มวยผมต่ำแบบเด็กสาวอยู่บ้านนิยมมวยกัน สวมชุดผ้าฝ้ายกระโปรงจีบสีม่วงอมชมพูปักลายกุ๊นขอบ น่ารักอ่อนโยน แต่รวมๆ แล้วดูสูงส่งทันสมัย กิริยาท่าทางโดดเด่นจนดูไม่เข้ากับแนวอาคารหลังคากระเบื้องเขียวชายคาแดงที่อยู่ด้านหลัง ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่กลับยิ้มให้ตนจากใจจริง


 


 


ทว่าเหยากวงเหย้าไม่มีเหตุผลที่ต้องสนิทกับนาง


 


 


“อืม เคยได้ยิน! คุณหนูสกุลอวิ๋นที่หลายวันก่อนค้างคืนในตำหนักฉือหนิง หลังงานเลี้ยงสังสรรค์! ตอนข้าไปตรวจชีพจรให้ไทเฮา ทรงตรัสถึงอะไร น้ำเซียงหรู น้ำดอกหอมหมื่นลี้ ยาเม็ดดอกเหมยแตะลิ้น ซึ่งเป็นส่วนผสมของสมุนไพรบำรุงร่างกายทั้งสิ้น ทรงถามข้าว่าดีหรือไม่ ถามไปถามมา ถึงได้รู้ว่า คุณหนูอวิ๋นเคยพูดให้ไทเฮาฟัง”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งดีใจมาก เพียงแต่ยังเกรงใจอยู่ “ลูกสาวไม่ประสา ขอใต้เท้าเหยาอย่าถือเป็นสาระ”


 


 


ความรู้สึกดีที่อวิ๋นหว่านชิ่นมีให้กับเหยากวงเหย้า เป็นไปตามธรรมชาติที่ห้ามไม่อยู่ และนางก็รู้นิสัยของเขาดี จึงไม่เกรงใจ ย่อตัวลงอีกครั้ง พลางยิ้มสดใส


 


 


“ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เป็นสาระเช่นนี้ กลับได้ยินไปถึงสำนักหมอหลวง ข้าน้อยไฉนเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน นี่เป็นการดึงหมวกบนศีรษะของอาจารย์ปู่ลงมาเห็นๆ”


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์” อวิ๋นเสวียนฉั่งเอ็ดเสียงต่ำ


 


 


แต่เหยากวงเหย้ากลับไม่ถือสา รู้สึกว่าเด็กสาวกับตนเข้ากันได้ดี จึงหัวเราะเสียงดังออกมา


 


 


“กุลสตรีที่ตรงไปตรงมา น่ารักดี ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


ถ้าจะพูดถึงคนอย่างเหยากวงเหย้า ก็นับว่าเขาเป็นคนแปลกคนหนึ่งในต้าเซวียนเหมือนกัน เติบโตขึ้นในครอบครัวหมอ แต่เหมือนหมอเทวดาซนๆ ที่มาจากนอกโลก ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับวิชาการแพทย์ ตอนเป็นหนุ่มก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างบันเทิงเริงรมย์เหมือนเพื่องพ้องน้องพี่ทั่วไป มีภรรยาเพียงคนเดียว ต่อมาภรรยาป่วยเสียชีวิต เขาก็ยิ่งค้นคว้าวิจัยทักษะด้านการแพทย์ โดยไม่แต่งงานใหม่อีก ตอนนี้เขาไม่มีลูกสักคน มีวิชาแพทย์เป็นเพื่อน แต่กลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุข


 


 


และในตอนนี้เอง คนข้างกายเขาก็กระแอมไอเบาๆ ออกมาสองครั้ง ก่อนพูด


 


 


“หมอหลวงเหยา ท่านยังจะตรวจดูอาการผู้อาวุโสอยู่หรือไม่”


 


 


เสียงดังจากปากของผู้ช่วยหนุ่ม


 


 


เป็นเสียงที่ใสมาก พอได้ยิน ก็รู้ว่าผู้พูดอายุไม่ถึงสิบห้าสิบหก ซึ่งระหว่างนี้เสียงจะยังไม่แตกหนุ่มดี คำพูดที่ใช้ก็ถือว่าสุภาพและให้ความเคารพ แต่น้ำเสียงเป็นแบบชนชั้นสูงที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก มีลักษณะของคำสั่งอยู่บ้าง…

 

 

 


ตอนที่ 96-3 ตรวจโรค

 

อวิ๋นหว่านชิ่นชำเลืองมองผู้ช่วยหนุ่มซึ่งมือไม้ยาว รูปร่างผอมสูง เมื่อยืนคู่กับใต้เท้าหมอหลวง จะเห็นคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม เปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน ผู้ช่วยหนุ่มสวมชุดยาวสีขาว สวมหมวกทรงสี่เหลี่ยมที่กดลงจนต่ำ แม้ปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังคงดูออกว่า หนุ่มน้อยผิวขาวเนียน หน้าตาหล่อเหลา เอ๊ะ คล้ายคุ้นๆ อยู่บ้าง…เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน


 


 


ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้น แต่กลับนึกชื่อไม่ออกชั่วขณะ…


 


 


“ใต้เท้าเหยา ท่านนี้คือ?” อวิ๋นเสวียนฉั่งยิ้มพลางถามขึ้น


 


 


เหยากวงเหย้ายิ้มค้าง เหลือบมองคนข้างๆ “ผู้ช่วยหมอในสำนักหมอหลวงน่ะ ครั้งนี้มาเป็นเพื่อนหมอออกตรวจนอกสถานที่”


 


 


ผู้ช่วยหมอมีสถานะต่ำต้อย โดยข้าราชการในสำนักหมอหลวงจะเริ่มไต่เต้าจากชั้นเจ็ด แล้วสามารถใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับอาจารย์หมอหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นนึกสงสัยในใจ พลางสำรวจมองท่าทีของเหยากวงเหย้าให้ถ้วนถี่ ขณะเดียวกัน บิดาก็ขมวดคิ้ว แล้วว่า


 


 


“ยังไม่ทันได้ถามเลยว่า เหตุใดหมอหลวงเหยาถึงมาตรวจโรคให้มารดาผู้น้อยถึงจวนได้ ใช่ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นกำชับมาหรือไม่ แต่…แต่จะทำให้หมอหลวงเหยาลำบากใจหรือเปล่า”


 


 


จู่ๆ เหยากวงเหย้าก็หันมองผู้ช่วยข้างกาย แล้วจึงหันมายิ้ม ขณะพูดกับอวิ๋นเสวียนฉั่ง


 


 


“ใต้เท้าเจ้ากรมวางใจเถิด ไม่ลำบากใจหรอก ผู้สูงศักดิ์ได้บอกสำนักหมอหลวงเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหา! ตรวจโรคสำคัญกว่า อย่ามัวชักช้าเสียเวลาอีกเลย”


 


 


แม้อวิ๋นเสวียนฉั่งยังคงสงสัยอยู่บ้าง แต่พอเห็นเหยากวงเหย้าพูดเช่นนี้ จะถามมากก็ไม่สู้จะดี จึงรีบพาคนทั้งสองเข้าไป


 


 


ในห้อง เหยากวงเหย้านั่งลงตรงนอกมุ้ง ข้างเตียงถงฮูหยิน


 


 


สะใภ้ใหญ่พับแขนเสื้อให้ถงฮูหยิน พยุงนางให้นั่งเอนหลังพิงหมอนหนุนใบใหญ่ แล้วหงายข้อมือนางขึ้น วางไว้บนหมอนใบเล็ก


 


 


หลังจากเหยากวงเหย้าตรวจชีพจรเสร็จ ก็นั่งนิ่ง อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบถาม


 


 


“ท่านแม่ข้าเป็นอย่างไรบ้าง ที่ผ่านมามีหมอชื่อดังมาตรวจดูอาการนางอยู่หลายคน ยาอะไรก็ทานมาหมดแล้ว แต่ไม่ดีขึ้นเลย”


 


 


เหยากวงเหย้าไม่ได้ตอบอวิ๋นเสวียนฉั่ง เพียงถามถงฮูหยิน “ตอนนี้ผู้อาวุโสรู้สึกอย่างไรบ้าง”


 


 


ถงฮูหยินตอบอยู่ในมุ้ง “มือเท้าไม่มีแรง อกและคอเหมือนมีเม็ดบ๊วยติดอยู่ ไม่ขึ้นไม่ลง อาเจียนไม่ออก กลืนลงไม่ได้ กินอะไรนิดหน่อย ก็พะอืดพะอม แต่อาเจียนเป็นบางครั้ง สองสามวันมานี้ ยังเจ็บหน้าอกอีก และไอบ้างเป็นครั้งคราว”


 


 


“อ้อ แล้วตอนอาเจียน ส่วนใหญ่อาเจียนตอนไหน ของที่อาเจียนออกมา เป็นของที่กินเข้าไปหรือเปล่า”


 


 


“ล้วนเป็นตอนเช้า แต่ก็ไม่ถึงกับอาเจียนรุนแรง อย่างมากก็มีน้ำย่อยออกมาไม่กี่คำ” หญิงชราถอนหายใจ “ใต้เท้า กระเพาะข้าอักเสบหรือเปล่า ยาที่พวกหมอกว่าครึ่งให้ทาน ล้วนเป็นยารักษาโรคกระเพาะ แต่ทานแล้วก็ไม่เห็นจะได้ผล”


 


 


เหยากวงเหย้านิ่ง ก่อนวิเคราะห์ตามหลักการ


 


 


“ชีพจรของผู้อาวุโสเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เหมือนนกจิก คล้ายยิงหนังยาง ไม่เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะที่ชีพจรจะเต้นแรงและสับสน ถ้ากระเพาะอักเสบ ดูจากอาการผู้อาวุโสแล้ว ต้องอาเจียนและท้องร่วง แต่จากที่เห็น น่าจะเป็นเพราะผู้อาวุโสถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ กลุ้มใจจนจุกอก กลายเป็นของเสียสะสม ทำให้รู้สึกว่ามีเม็ดบ๊วยติดอยู่ในลำคอ ขยอกไม่ออก กลืนไม่ลง พอไม่สบายตัว ก็กินไม่ลงตาม มือเท้าจึงไม่มีแรง ยิ่งสะสมความเครียดไว้ในอกมาก ก็จะยิ่งทำให้เลือดลมไม่หมุนเวียน ส่งผลต่อหัวใจและปอด ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอกและไอ”


 


 


ว่าพลาง เหยากวงเหย้าก็สั่งให้ผู้ช่วยหนุ่มเปิดกระเป๋ายา คลี่ถุงผ้าเก็บเข็มเงินออก หยิบเข็มเงินอังเปลวเทียนเพื่อฆ่าเชื้อ แล้วจึงใช้ผ้าเช็ดให้สะอาด ก่อนฝังลงตรงจุดฝังเข็มกลางทรวงอกและบริเวณใกล้เคียง ในจุดซานจงกับจุดอวิ๋นเหมิน


 


 


การฝังเข็มในสองจุดนี้ ช่วยกระตุ้นเส้นโลหิต ให้โลหิตไหลเวียนสะดวก ขจัดลมเครียดที่สะสมไว้


 


 


ตอนเข็มเงินหมุนลึกเข้าไปในผิวหนังทีละนิด เห็นชัดว่า ขณะจ้องมองเข็มเงินที่ยาวและแวววาว เริ่มแรกถงฮูหยินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่พอรู้ว่าไม่เจ็บปวด ก็วางใจลง


 


 


เหยากวงเหย้าค่อยๆ ถอนเข็มเงินออก แล้วหันไปบอกบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นให้นำผ้าขนหนูร้อนมา จากนั้นก็ทำการประคบอุ่นตามเนื้อตัวถงฮูหยินซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง จนนางรู้สึกว่ามือเท้ามีแรงขึ้นมาบ้าง ข้างในเริ่มร้อน เลือดลมเดินคล่อง ลำคอโล่ง ไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนเมื่อก่อนอีก ตลอดทั้งร่างคล้ายโลหะที่สนิมหลุดออก กลับมาใช้งานได้ดังเดิม จึงดีใจขึ้นมา


 


 


“หมอหลวงจากในวังแตกต่างจริงๆ ข้ารู้สึกสบายตัวขึ้นมาก”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่สงสัยในความสามารถของเหยากวงเหย้าแม้แต่น้อย ชาติก่อน ขนาดนางเป็นดั่งตะเกียงน้ำมันหมดใกล้ตายแบบนั้น เขาก็ยังยืดเวลาให้นางไปอีกระยะ หลอกยมบาลไปได้หลายวัน ตอนนี้นางจึงเพียงถามอย่างนอบน้อม


 


 


“ใต้เท้าเจ้าคะ ท่านย่าเพิ่งมีอาการดีขึ้น เกรงว่าคงทานของมันของทอดไม่ได้ แต่ถ้าทานเพียงข้าวต้มกับผัก ก็ไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูพละกำลังอีก นานวันเข้าอาจทำให้ผู้สูงอายุยิ่งผอมลง สูญเสียพลังปราณ ซึ่งในบ้านก็พอจะมียาเม็ดบำรุงร่างกายอยู่บ้าง โดยในเม็ดยามีส่วนผสมของโสม สูตี้หวง ไป๋ซู่ เฉินผี เป็นต้น สามารถบำรุงลมปราณ บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท รักษาอาการขาดอาหารและอ่อนเพลียได้ ไม่ทราบว่าพอจะให้ท่านย่าทานก่อนอาหารสักเม็ดสองเม็ดได้หรือไม่”


 


 


เด็กสาวมีความละเอียดอ่อน คิดอ่านได้อย่างลึกซึ้ง ฟังจากที่นางพูด คล้ายเป็นคนในแวดวงหมอก็มิปาน ซ้ำยังเข้าใจหลักการรักษาอีก เหยากวงเหย้ารู้สึกทึ่งมาก แต่พอนึกถึงเรื่องที่ไทเฮาเคยพูดให้ฟัง ก็ไม่แปลกใจแล้ว ถ้านางสามารถพูดศัพท์อย่าง น้ำเซียงหรู น้ำดอกหอมหมื่นลี้ ยาเม็ดดอกเหมยแตะลิ้น เหล่านี้ออกมาได้ การเข้าใจหลักการรักษาก็ถือเป็นเรื่องปกติ จึงยิ้มอย่างผ่อนคลายและให้กำลังใจนาง


 


 


“ทำตามที่คุณหนูพูดได้เลย”


 


 


การฝังเข็มจึงสิ้นสุดลง หวงน้าสี่เข้ามาพยุงให้หญิงชรานอนพักผ่อน ส่วนคนอื่นๆ ก็เดินออกจากห้อง มายังห้องโถง


 


 


เหยากวงเหย้ากำชับวิธีดูแลคนป่วยกับอวิ๋นเสวียนฉั่ง โดยมีอวิ๋นหว่านชิ่นยืนฟังหูผึ่งอยู่ด้านข้าง


 


 


และในตอนนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ก็มาถึงเรือนตะวันตก มาเปลี่ยนผลัดดูแลผู้อาวุโสกับคุณหนูใหญ่ตามเคยเหมือนทุกวัน แต่วันนี้นางไม่รู้ว่ามีแขกมา พอเห็นแขกที่ห้องโถง ก็โค้งกายให้อวิ๋นเสวียนฉั่ง เหยากวงเหย้าและคนอื่นๆ ก่อนก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ขณะจะเดินเข้าไปในห้องถงฮูหยิน สายตาที่ไม่ได้ตั้งใจมองของเมี่ยวเอ๋อร์ ก็ไปหยุดอยู่ที่หนุ่มน้อยในชุดขาวข้างกายเหยากวงเหย้า จนต้องหยุดฝีเท้าลง แล้วเพ่งดูอีกที เป็นผู้ที่นางเคยเห็นในงานเลี้ยงสังสรรค์จริงๆ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเมี่ยวเอ๋อร์ยืนตะลึง ก็แอบส่งสายตาให้ ก่อนเรียกเสียงต่ำ “เมี่ยวเอ๋อร์”


 


 


เสียงของอวิ๋นหว่านชิ่นทำให้หนุ่มน้อยสะดุ้ง จึงหันมองตามเสียง พอเมี่ยวเอ๋อร์เห็นดวงตาสวยๆ ใสกระจ่างของเขา ก็แน่ใจได้ว่าตนจำไม่ผิด จึงพูดติดอ่าง


 


 


“ป แปด องค์ชายแปด..” พลันนึกไม่ออกว่าควรทำความเคารพอย่างไร


 


 


องค์ชายแปด..?


 


 


เสียงไม่ดัง แต่ก็ไม่เบา พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินจึงตกใจ องค์ชายแปด? ผู้ช่วยหนุ่มที่มาด้วยกันกับเหยากวงเหย้าคือเยี่ยนอ๋อง ซย่าโหวซื่อหนิง?

 

 

 


ตอนที่ 96-4 ตรวจโรค

 

อวิ๋นหว่านชิ่นตระหนักในทันที มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกคุ้นๆ ชอบกล ที่แท้ก็คือองค์ชายแปด เยี่ยนอ๋อง ที่นั่งอยู่ข้างกายฉินอ๋อง ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับตนในงานเลี้ยงสังสรรค์นั่นเอง วันนั้นตนไม่ได้พูดจากับเขา เพียงกวาดตามองผ่านๆ แล้วประทับใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าเห็นชัดเจนนัก แต่เมี่ยวเอ๋อร์สิ เดินไปพูดจากับฉินอ๋อง ขณะเยี่ยนอ๋องนั่งอยู่ข้างๆ นางจึงเห็นซย่าโหวซื่อหนิงในระยะใกล้!


 


 


พอมีคนจำได้ เยี่ยนอ๋องก็ไม่กระมิดกระเมี้ยนอีก แบมือยักไหล่


 


 


“เรียกชื่อข้าซะดังขนาดนี้ ข้ายังจะไม่ยอมรับได้อีกหรือ”


 


 


พอคำพูดนี้หลุดจากปาก คนอื่นๆ ในบ้านสกุลอวิ๋น ยกเว้นเหยากวงเหย้า ล้วนคุกเข่าลงกับพื้น โดยมีอวิ๋นเสวียนฉั่งเป็นผู้นำ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอย่างวิตกและหวาดกลัว


 


 


“ไม่ทราบว่าเยี่ยนอ๋องเสด็จมา กระหม่อมและคนในบ้านจึงมิได้เตรียมการต้อนรับ…”


 


 


“เอาเถอะๆ คำพูดโบราณคร่ำครึอีกละ” เยี่ยนอ๋องสะบัดแขนเสื้อ “ข้าแต่งตัวเป็นข้าราชการชั้นล่างแบบนี้ ถ้าเจ้ากรมคนใหม่อย่างเจ้าออกมาต้อนรับหน้าบ้านนี่สิ ผู้อื่นเห็นแล้วต้องหาว่าข้าไม่มีสัมมาคารวะแน่”


 


 


เหยากวงเหย้าหัวเราะ “เยี่ยนอ๋องพูดขนาดนี้แล้ว ยังไม่ลุกขึ้นอีก”


 


 


คนในห้องโถงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน อวิ๋นเสวียนฉั่งค่อยตระหนัก จึงถามเหยากวงเหย้า


 


 


“หรือการที่หมอหลวงเหยามาตรวจโรคให้มารดาผู้น้อย เป็นเพราะเยี่ยนอ๋อง…”


 


 


เหยากวงเหย้าเหลือบมองเยี่ยนอ๋อง จะโมเมต่อก็ไม่ค่อยจะดี จึงยิ้ม


 


 


“เป็นเยี่ยนอ๋องไปแจ้งกับสำนักหมอหลวงก่อน แล้วจึงดึงข้าออกมา พามาตรวจโรคให้กับผู้อาวุโสอวิ๋นที่จวนนี่ล่ะ”


 


 


เยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้ามีนิสัยที่เข้ากันได้ดี คนหนึ่งเป็นคนแก่ที่ซนเหมือนเด็ก อีกคนเป็นเด็กโข่ง จึงคบกันได้ เรื่องนี้ คนในราชสำนักกว่าครึ่งต่างรู้กันดี


 


 


“นี่…เช่นนี้กระหม่อมจะพูดอย่างไรดี ขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่เยี่ยนอ๋องทรงห่วงใยและเมตตากระหม่อม” อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบประสานมือให้เยี่ยนอ๋อง


 


 


โดยในใจก็เดาไปด้วยว่า เยี่ยนอ๋องกับตนไม่เคยไปมาหาสู่กัน เรื่องมิตรภาพยิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วเหตุใดจึงให้ความเมตตากรุณากับตนถึงเพียงนี้ได้ ถ้าจะบอกว่าตนเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นท่านเจ้ากรม คิดดึงตนให้เข้าเป็นพวกด้วย ก็ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ มาเยี่ยมเป็นการส่วนตัว แค่บอกล่วงหน้าสักคำก็ได้แล้วนี่นา ไม่เข้าใจจริงๆ


 


 


ส่วนเยี่ยนอ๋องก็ไม่ได้สนใจกับคำขอบคุณของอวิ๋นเสวียนฉั่งสักเท่าใด อืมออกมาคำหนึ่ง แล้วละสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเขา พลางสำรวจมองจากหัวจรดเท้าอย่างสนใจยิ่ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพลันเอะใจ นางไม่รู้จักเยี่ยนอ๋อง แต่ชาติก่อน เหยากวงเหย้าเป็นหมอหลวงประจำตัวของ


 


 


ฉินอ๋อง และตอนนี้ก็เห็นชัดว่าเหยากวงเหย้ากับเยี่ยนอ๋องเป็นมิตรที่ดีต่อกัน จากการนี้ก็รู้ได้โดยไม่ต้องพูดมากว่า


 


 


เยี่ยนกับฉิน อ๋องทั้งสองต้องมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แน่นแฟ้นเอามากๆ ดังนั้นวันนี้ ย่อมเป็นฉินอ๋องที่ไหว้วานให้


 


 


เขามา


 


 


สายตาที่เยี่ยนอ๋องสำรวจมองลูกสาวตนนั้น ชัดเจนจนอวิ๋นเสวียนฉั่งต้องรีบเก็บสายตาคืนกลับ ในใจสว่างวาบขึ้นมา มิน่าเล่า หรือเยี่ยนอ๋องก็เป็นหนึ่งในผู้สูงศักดิ์ที่ชื่นชอบลูกสาวตนด้วย การเข้าวังของลูกสาวในครั้งนี้ ทำให้มีลูกชายเจ้าใหญ่นายโตมาสอบถามตนไม่น้อย หากเยี่ยนอ๋องจะเอ็นดูด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ สมองของอวิ๋นเสวียนฉั่งก็รีบประมวลผล พระมารดาของเยี่ยนอ๋องสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว เยี่ยนอ๋องจึงไม่มีอำนาจบารมีจากญาติฝั่งพระมารดา แต่เมื่อถูกเลี้ยงดูในวังแต่เด็ก ก็ย่อมสนิทสนมกับเจี่ยไทเฮา และค่อนข้างเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท และตอนนี้ก็ยังทำงานจัดการเรื่องต่างแดนอยู่ที่เรือนหลี่ฟาน อนาคตไม่อาจดูเบา โดยเฉพาะเรื่องยังไม่ตกแต่งพระชายา ถ้าลูกสาวสามารถตกให้มาเป็นลูกเขย ก็ถือเป็นเรื่องที่สวรรค์ประทานขนมหวานลงมาให้ทีเดียวเชียว


 


 


ขณะเดียวกัน เหยากวงเหย้าก็รู้สึกว่าสายแล้ว จึงเอ่ยขึ้น


 


 


“ใต้เท้าอวิ๋นจำชื่อยาที่ข้าเพิ่งบอกให้ท่านฟังเมื่อครู่ได้หรือไม่ พอซื้อกลับมา ก็เอามาตุ๋นให้ผู้อาวุโสทาน ติดต่อกันสักวันสองวันก็พอ หลังจากนั้นสามถึงห้าวัน ก็จะหายดีเอง”


 


 


แล้วจึงหันไปพูดกับเยี่ยนอ๋อง “ท่านอ๋อง นี่ก็สายแล้ว ควรเสด็จกลับได้แล้ว”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเปลี่ยนความคิด “เช่นนั้นก็ให้ลูกสาวข้าไปส่งใต้เท้าเหยาจนถึงที่หมายก็แล้วกัน”


 


 


ว่าแล้วก็หันมองลูกสาว “ชิ่นเอ๋อร์คุ้นเคยเรื่องสมุนไพร ไปส่งใต้เท้าเหยาแล้วก็แวะซื้อยามาทีเดียวเลย เจ้าก็ฟังอยู่ข้างๆ พ่อเหมือนกันนี่”


 


 


บอกให้ไปส่งเหยากวงเหยา มิสู้บอกให้ไปส่งเยี่ยนอ๋อง สร้างโอกาสให้ได้ใกล้ชิดกันนิดหน่อย เพื่อเอาใจอีกฝ่าย


 


 


อ๋องอย่างเขาอุตสาห์ลงทุนแต่งตัวเป็นข้าราชการชั้นล่าง เพื่อมาดูลูกสาวตนทั้งที ตนก็ต้องมีน้ำใจช่วยพายเรือตามน้ำให้เขาไป บอกให้ลูกสาวไปส่งถึงที่


 


 


ทำไมอวิ๋นหว่านชิ่นจะดูเรื่องที่บิดาคิดไม่ออก จึงทำปากยื่นปากยาว ทำหน้านิ่ง ไม่พูดจา อย่างว่า สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก นึกถึงตอนแรก ที่ตาเฒ่าอายุเจ็บแปดสิบอย่างฉินลี่ชวนกระพริบตา เขาก็รีบเอาตนเองใส่พานให้แทบไม่ทัน ตอนนี้มาบอกให้ตนไปส่งองค์ชายถึงที่อีก มันก็ไม่ต่างอะไรกันเท่าไหร่!


 


 


เหยากวงเหย้าเพียงรู้สึกว่า ถ้าให้กุลสตรีไปส่งด้วยตนเอง เห็นจะไม่ค่อยดี ขณะจะปฏิเสธ เยี่ยนอ๋องก็อ้าปากอย่างไม่เกรงใจ พลางพูดอย่างไม่ยี่หระ “ดีเลย”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์จึงกลับเรือนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ออกนอกบ้านก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นมวยผมสูง ใส่หมวกแบบมีผ้าปิดโดยรอบ แต่งตัวให้ดูเรียบร้อยและทะมัดทะแมงหน่อย


 


 


ทั้งสี่เดินตามบ่าว ออกนอกประตูบ้าน แล้วขึ้นไปบนรถม้า


 


 


ภายในรถม้ากว้างใหญ่ ที่นั่งแพรไหมบุนวม เยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้านั่งด้วยกัน ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


 


 


เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นคิดบอกสารถีว่า ให้ส่งเยี่ยนอ๋องกลับจวนก่อน แล้วค่อยไปส่งหมอหลวงเหยา แต่ยัง


 


 


ไม่ทันได้พูด เยี่ยนอ๋องก็เหมือนเดาใจผู้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามออก แย่งพูดขึ้นก่อน


 


 


“ไปสวนซิ่ง ให้คุณหนูซื้อยาก่อน”


 


 


สวนซิ่ง? อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย นี่มันสถานที่อะไรกัน ทว่าก็ได้แต่ขานรับ


 


 


“ขอบพระทัยองค์ชายแปด”


 


 


พอเหยากวงเหย้าได้ยินว่าเยี่ยนอ๋องจะพานางไปสวนซิ่ง ก็เอะใจ หันหน้ามองเยี่ยนอ๋อง


 


 


รถม้าเคลื่อนตัวออก เหยียบหินปูถนนดังกุบกับๆ ชั่วพริบตาก็บึ่งมาถึงถนนใหญ่


 


 


พอรถม้าวิ่งได้มั่นคง อวิ๋นหว่านชิ่นก็อดไม่ได้ที่จะถามในที่สุด


 


 


“สวนซิ่งเป็นโรงหมอหรือร้านขายยาเพคะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน”


 


 


เหยากวงเหย้าตอบตรงๆ “สวนซิ่งเป็นโรงหมอที่ข้าเปิดทำการเองเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากสิ่งแวดล้อมเงียบสงบ ทำให้มีสมาธิในการวิจัยค้นคว้าด้านการแพทย์ ถ้าข้าว่าง ก็จะไปที่นั่นเป็นประจำ”


 


 


เช่นนี้นี่เอง หมอหลวงในวังเปิดโรงหมอเป็นการส่วนตัวนอกวัง ผิดกฎระเบียบนี่ ถ้าเบื้องบนรู้เข้า เกรงว่าต้องถูกปรับเงิน จนถึงขั้นลดชั้นลงด้วยซ้ำ มิน่าเล่า ถึงดูลับลมคมในอยู่บ้าง เห็นทีความสัมพันธ์ของเยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้านั้น ไม่เลวจริงๆ


 


 


เพื่อไม่ให้เหยากวงเหย้าเป็นกังวล อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยิ้มบางๆ แล้วว่า


 


 


“หมอหลวงเหยาวางใจ หว่านชิ่นซื้อยาแล้วก็ไป จะไม่บอกใครเป็นอันขาด ส่วนนางเป็นสาวใช้ที่เสมือนพี่น้องกับหว่านชิ่น ก็ไม่พูดมากเช่นเดียวกัน”


 


 


เหยากวงเหย้าเห็นนางเรียกชื่อตัวเองแทนสรรพนาม เพื่อให้รู้สึกสนิทสนม ก็รู้สึกว่านางเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ จึงยิ่งชอบเด็กสาวมากขึ้น


 


 


ส่วนเยี่ยนอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พูดอย่างเสียงดังฟังชัดขึ้นมา


 


 


“คนที่พี่สามให้ความสำคัญ ไม่ผิดเลยจริงๆ ไม่เสียแรงที่ข้ายอมเสียเวลามาดูให้เห็นกับตาสักตั้ง”


 


 


เป็นเขาจริงๆ ด้วย…อวิ๋นหว่านชิ่นขยับเปลือกตาขึ้น


 


 


เหยากวงเหย้าเกรงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงทำเสียงจุ๊ๆ


 


 


“ท่านอ๋อง สำรวมหน่อย”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม