สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย 93.2-94.4
บทที่ 93 แย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน (2)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่สวินหยางหลุบตาลงต่ำ แสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาเจ็บปวดหดหู่ของเขา ต่างฝ่ายต่างเงียบสนิท
การกระทำนี้ของนางเท่ากับว่ายอมรับแล้ว
เหยียนหลิงจวินเห็นอยู่กับตา ประกายในตาลอยเคว้งคว้าง เผยให้เห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใน
“ท้ายสุดแล้ว เจ้าก็ยังไม่ยอมเชื่อข้าอยู่ดี!” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงนัยประชดไว้ด้วย “รับรองไปมีประโยชน์หรือ? หากเจ้ามิเชื่อข้า แม้นข้ารับรองกับเจ้าเช่นนี้ อย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อข้าอยู่ดี…”
“ไม่! ข้าเชื่อเจ้า!” ฉู่สวินหยางเอ่ยขัดคำพูดของเขา นางเงยหน้ามองไปทางเขา ทว่าชั่วนาทีที่ทั้งสองสบตากันอีกครั้ง นางกลับเคลื่อนสายตาหลบไปทางอื่น ก่อนเอ่ยด้วยความสลด “ข้าเชื่อเจ้า! แต่อย่าใช้ชีวิตของท่านพ่อกับท่านพี่ของข้าเป็นเดิมพัน ถึงความเป็นไปได้จะมีเพียงแค่หนึ่งในล้านเท่านั้น…การพนันเช่นนี้ ข้าขอยอมแพ้แต่แรก หากเจ้าบีบบังคับให้ข้าตัดสินใจระหว่างพวกเขา เช่นนั้นข้าก็ขอถอนตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้เถิด!”
สำหรับฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิง ชาติก่อนนางเป็นหนี้พวกเขามากแล้ว ชาตินี้พวกเขาก็อาจจะถูกดึงเข้ามาในคมมีดของนางเมื่อใดก็ได้ ตั้งแต่ที่นางกลับมาเกิดวินาทีนั้นนางก็สาบานกับตนไว้…
ชาตินี้ นางจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำร้อย ไม่ว่าเป็นเช่นไร นางก็จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายพ่อและพี่ชายของนางแม้แต่ปลายเล็บ
เพราะเช่นนี้นางจึงคิดวางแผนต่อหน้าฉู่อี้อัน เพียงแค่ยุยงให้ชายารองสามเป็นศัตรูกับนางอีกครั้ง และทำให้ฉู่อี้อันมีความคิดที่จะเปลี่ยนผู้สืบทอดอย่างไม่มีทางเลือก ความอดทนของฉู่อี้อันมีเท่าใดนางรู้ดี แค่เพียงตัดสินใจให้ฉู่ฉีเฟิงเป็นผู้สืบทอด เขาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ทุกสิ่งราบรื่นไม่มีข้อผิดพลาด และสิ่งเหล่านี้ทำให้เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อฮ่องเต้ เช่นนี้แล้ว จะได้เตรียมป้องกันฮ่องเต้ไว้ก่อนด้วย
ถึงยังไงฮ่องเต้และฉู่อี้อันก็เป็นพ่อลูกกัน นางก็คงจะยุยงฉู่อี้อันให้ไปลงมือกับพ่อของตัวเองเพราะตนไม่ได้หรอกกระมัง?
จนถึงวันนี้ทุกย่างก้าวของนาง ณ ที่นี้ล้วนหนักอึ้งราวกับเคลือบด้วยน้ำแข็งชั้นบางๆ ฉะนั้นนางจะสร้างความวุ่นวายเพียงเพราะเจตนาส่วนตัวของตนไม่ได้
ยามที่ฉู่สวินหยางเอ่ยคำเหล่านั้น น้ำเสียงของนางสงบเรียบ ไม่มีความล้อเล่นแฝงแม้แต่น้อย
เหยียนหลิงจวินใจสะท้านไหวสั่น ท่าทีเหมือนจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เขารู้ นางพูดได้ทำได้ แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงมีความคิดยึดติดกับฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงเช่นนี้ แต่ที่รู้อย่างแน่ชัดก็คือ…
หากเขายังจะยืนหยัดก็จะต้องผลักนางไปให้ไกลกว่าเดิม
“ช่างเถิด!” สุดท้ายเหยียนหลิงจวินก็ต้องยอมประนีประนอม ยกมือหยุดไม่ให้นางพูด ก่อนจะเอ่ยนัยทิ่มแทงเล็กน้อย “หาต้องพูดเสียหนักหนาเช่นนั้นไม่ เจ้าพูดเช่นไรก็เอาเช่นนั้นเถิด พวกเขาเป็นพ่อ เป็นพี่ชายของเจ้า คือญาติของเจ้า ข้าเองก็มิเคยคิดจะแย่งตำแหน่งอะไรกับพวกเขา ต่อไปขอจงอย่าพูดเช่นนี้อีก!”
เขาหยุดเว้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “อีกอย่างเรื่องของข้า ตอนที่ข้าจะพูดกับเจ้า เจ้าก็เปลี่ยนใจไปแล้ว ต่อไปอย่าเอาเหตุผลนี้มาแกล้งทำหน้าบูดหน้าบึ้งกับข้าอีก”
ฉู่สวินหยางที่เดิมกำลังนึกถึงเรื่องอดีตที่แสนบั่นทอนจิตใจอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ใจอ่อนยวบ ฟังเขาบ่นไปอีกมากมาย ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ข้าไปแกล้งทำหน้าบูดหน้าบึ้งกับเจ้าตอนไหน”
“ไม่ใช่เหรอ?” เหยียนหลิงจวินเอ่ยโดยไร้อารมณ์โกรธ พลางใช้แรงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด “ทั้งๆ ที่ไม่โกรธแล้ว ยังจะวางท่าเมินข้าไปเสียหลายวัน ข้าก็คิดว่าทำผิดต่อเจ้าร้ายแรงจริงๆ น่ะสิ!”
เขากระวนกระวายไปหลายวันก็นับได้ว่าเป็นเพราะเขาคิดแผนรับมือว่าควรทำอย่างไรให้นางหายโกรธจนปวดสมอง สุดท้ายจึงได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่กังวลมาหลายวันนั้นช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี จะมีอะไรน่าโกรธไปมากกว่านี้อีก
ฉู่สวินหยางคลี่ยิ้มซุกอยู่ในอ้อมอกเขา “นั่นเป็นเพราะเจ้าคิดไม่ตก ข้าเป็นคนขี้น้อยใจเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ใช่ ทั้งหมดเป็นเพราะข้าคิดมากไปเอง!” เหยียนหลิงจวินก็ไม่มีแรงจะไปเถียงกับนาง เพราะไม่ว่าจะเถียงอย่างไร เมื่อถึงจุดสำคัญที่ต้องเลือกจริงๆ เขาก็ต้องยอมอยู่ดี นิสัยของหญิงสาวผู้นี้ไม่ยอมคนแม้แต่น้อย
“เหยียนหลิง” ฉู่สวินหยางยิ้มแย้ม ลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็เอ่ย “ข้า…ถามอะไรเจ้าสักข้อได้หรือไม่?”
“อืม!” เหยียนหลิงจวินโอบเอวนางไว้ วางคางบนเส้นผมที่มีความหอมละมุนของนาง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตอบรับอย่างไม่คิดอะไร
“หากตอนนั้นข้าไม่ได้พบเจ้าที่ลานต้นกก หากทหารในกองทัพหนานฮวากำเริบจนมิอาจควบคุมได้ เจ้าจะทำอย่างไร” ฉู่สวินหยางเอ่ยโดยพยายามเลือกใช้ศัพท์ที่สุด เพื่อให้น้ำเสียงของนางราบเรียบที่สุด ด้วยกลัวจะยั่วโมโหเขา
“อยู่ต่อ!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย
คำตอบนั้นฟังดูมั่นใจเกินกว่าที่คาดการณ์ ไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อย
“หืม?” ฉู่สวินหยางตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งตัวไม่ทัน
“อยู่ต่อ!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยย้ำ “และใช้กำลังทั้งหมดของข้าชำระสะสางทุกสิ่งให้หมดอย่างไม่คำนึงถึงผล ไม่เลือกวิธี ทวงทุกอย่างคืนกลับมา!”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ เหมือนคลุมลงมาจากส่วนหัวของนาง ไร้ซึ่งกลิ่นอายการฆ่าอย่างดุเดือด แต่ทุกถ้อยคำล้วนหนักแน่นชัดเจน ผู้ใดได้ฟังล้วนแต่ต้องใจสั่น
เลือดของในอกของฉู่สวินหยางเดือดพล่าน ราวกับก่อเป็นคลื่นใหญ่ทะยานสู่ฟากฟ้า
นางขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยถามนัยหยั่งเชิง “อย่างนั้นหรือ? แล้วจะทวงคืนไม่เลือกวิธีอย่างไร?”
“เจ้าทำให้พ่อกับพี่เจ้าได้เท่าใด กลับกัน ข้าจะทำให้มากกว่าเจ้าอีก!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยเหมือนไม่ได้คิดมาก “หากมีคนวางแผนฆ่าท่านพ่อและท่านพี่ของเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มร้าย “กล้าทำร้ายญาติที่รักของข้า ข้าจะฆ่ายกตระกูลก็ไม่นับว่าเกินไป!”
เหยียนหลิงจวินคลี่ยิ้มมุมปาก ระหว่างที่ยิ้มนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ ในสายตาเหมือนมีประกายโหดเหี้ยมอำมหิตแฝงไว้อยู่
“ข้าจะแย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน!” สิบกว่าคำที่เขาเอ่ยนี้ ทุกคำล้วนเด็ดขาด ชัดเจนทุกคำ
ฉู่สวินหยางแม้ไม่ได้มองสีหน้าของเขา ในใจยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่น!
ยึดครองทั้งแผ่นดินหรือ? ช่างเป็นปณิธานที่ใหญ่หลวงนัก!
เขาจะต้องมีความโกรธเกลียดมากแค่ไหนถึงมีคำมั่นได้อย่างไม่เลือกสรรคำเช่นนี้
แม้คำพูดของทั้งสองในวันนั้นจะฟังดูเหมือนล้อเล่น แต่เมื่อชาติที่แล้ว…
เขาคงจะไม่แบกเอาปณิธานเช่นนี้ไปจริงๆ หรอกใช่ไหม?
เป็นเพราะความยึดมั่นและความโกรธแค้นในใจก้อนนี้ ฉะนั้นยามนั้นเมื่อแผลของเขาหายจึงยอมสละฐานันดรแต่ก่อนของตน อาศัยความสะดวกที่ฉู่หลิงอวิ๋นจัดเตรียมไว้ปีนขึ้นไปอย่างเร็วที่สุด อีกทั้งยังกุมอำนาจในระยะเวลาอันสั้น ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปทีละก้าวๆ สะสมกำลังของตน จนกระทั่งมีวันหนึ่งที่มีกำลังพอจะแก้แค้น ระเบิดความโกรธเคืองนี้
จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว…
ยามนั้นนางจัดกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งเพื่อรักษาตำแหน่งในราชวงศ์ของท่านพ่อและพี่ชายของนาง ฉะนั้นนางจึงไม่ยอมให้สิทธิคุมกำลังทหารที่ชายแดนหนานฮวากับผู้อื่น
หากไม่ใช่เพราะนางกุมอำนาจทางการทหารที่นั่นไม่ปล่อย บางทีเหยียนหลิงจวินอาจไม่ได้เลือกเดินทางนั้น และไม่จำเป็นต้องยืมมือซูอี้มาแย่งอำนาจ เขาคงจะต้องหาวิธีแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกองทหารเพื่อกุมอำนาจในการควบคุมกำลังทหารกองนั้น ก่อนจะหาโอกาสเริ่มแผนการ!
เอาเข้าจริงคือนางจับผลัดจับพลูมาขวางทางของเขาอย่างนั้นหรือ?
แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของชาติที่แล้ว ยามนี้มาคิดเล็กคิดน้อยก็คงไร้ประโยชน์ เพราะหลังจากเกิดเรื่องที่ลานต้นกก ภพก่อนและภพหลังนี้ก็กลายเป็นสองภพที่ต่างกันแล้ว
ในที่สุดฉู่สวินหยางก็จับต้นชนปลายได้ จะทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามหยั่งเชิงต่อ “เช่นนั้น…หากยามนั้นคนที่พบเจ้ามิใช่ข้า แต่เป็นฉู่หลิงอวิ้นหรือว่าคนอื่นล่ะ?”
นางอยากถามคำถามนี้ ตั้งแต่ก่อนที่เหยียนหลิงจวินสารภาพรักกับนางแล้ว
ชาตินี้ของเหยียนหลิงจวินไร้ความรู้สึกอันดีใดๆ กับฉู่หลิงอวิ้น เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยแล้ว และนางเองก็คงไม่น่าจะเบื่อถึงขั้นมายึดมั่นอยู่กับเรื่องในอดีตของชาติที่แล้วไม่หยุดหรอก แต่นางก็แค่แปลกใจ นึกถึงยามใดก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อนั้น
ฉู่สวินหยางถามตามอำเภอใจ แต่ครู่ต่อมาก็รู้สึกว่าเหยียนหลิงจวินเกร็งตัวขึ้นมา
“ทำไมจึงถามเช่นนี้?” เขาดึงนางออกมาจากอ้อมกอดเล็กน้อย ขมวดคิ้วจนเป็นรอยย่น และมองนางอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ทำไม คำถามนี้ตอบยากมากนักหรือ?” ฉู่สวินหยางเงยหน้าสบสายตาเขา และรอคอยคำตอบนี้อย่างใจจดใจจ่อ
ท่าทีของนางจริงจังมาก และไม่มีเจตนาหยอกล้อใดๆ ทั้งสิ้น สีหน้าของเหยียนหลิงจวินดูลำบากใจ ท่าทีเหมือนกับเพิ่งฝ่าฝนออกมาเสียอย่างนั้น แต่ก็ยังเอ่ยตอบอย่างอดทน “ซินเป่า สำหรับข้าแล้ว เจ้าไม่เหมือนใคร สตรีใดในโลกนี้ก็ไม่อาจเทียบกับเจ้าได้ ตอนนี้ที่ข้าได้ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการได้หรือเสียผลประโยชน์แม้แต่น้อย ไม่ว่าอย่างไร ในข้อนี้ ขอเจ้าอย่าสงสัยข้าได้หรือไม่?”
………………………………
บทที่ 93 แย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน (3)
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนแรกนั้นเขาแปลกใจกับนางมาก ที่นัดเจอที่หุบเขาเพลิงอัคคีเพียงเพราะบุญคุณที่ช่วยชีวิต แต่ความรู้สึกนั้นกลับเริ่มอย่างเป็นทางการตั้งแต่เขาเห็นนางครั้งแรกและก็เกิดการเปลี่ยนแปลง…
เขารู้ว่าตัวเองชอบนางจริงๆ ชอบนิสัยเข้มแข็งซื่อตรง กล้ารักกล้าเกลียดเช่นนี้ของนาง ยามที่รักนางเหมือนเป็นความบ้าคลั่งที่ใต้หล้าไม่มีใครเปรียบ และยิ่งรักเมื่อนางแกล้งโง่เป็นบางครั้ง ชอบมองท่าทีขบคิดจินตนาการของนาง
ความชอบเช่นนี้เหมือนกับทำให้ตาบอด กระทั่งก่อนหน้าที่เขาเจอนาง ตัวเขายังไม่เคยเจอใครที่ทำให้ตนอยากเข้าใกล้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้เท่านี้มาก่อน เขาอยากรักนาง ตามใจนาง ให้ทุกสิ่งที่นางอยากได้ทั้งใจ แม้จะเป็นความคิดหรือแผนการที่เห็นแก่ตัวก็ตาม
บางทีก็เคยรู้สึกอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่านางคือเคราะห์กรรมในชีวิตของเขา
แต่ถึงเป็นกรรมที่เลี่ยงไม่ได้อย่างไร เขาก็ยอมรับกรรมแต่โดยดี!
ท่าทีของเหยียนหลิงจวินเริ่มร้อนรน สายตาที่มองนางจึงแฝงความร้อนใจเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางค่อยๆ เงยหน้ามองหว่างคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมของเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปนวดคลายออก
ท่าทีที่โน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อยทำให้ระยะห่างระหว่างเขาทั้งสองใกล้ขึ้นมาอีก
ปอยผมของเขาหล่นลงมาอยู่ตรงบ่านาง พันรวมกับเส้นผมของนางจนยากจะแยกออกว่าเส้นใดเป็นของใคร ท่ามกลางม่านราตรีที่ทอเป็นแสงวารีตกกระทบ
สายตาของเหยียนหลิงจวินขยับขึ้นเล็กน้อย ขยับไปมองใบหน้าของนางที่ใกล้ไม่ถึงคืบ
ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ตินี้ แม้ตอนนี้จะยังอ่อนวัยอยู่บ้าง แต่เขาก็ค้นพบความงามนั้นแล้ว ดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้นอมยิ้มเล็กน้อยด้วยความฉงน
“เช่นนั้นข้าจะถามแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ในเมื่อเจ้าบอกแล้ว ข้าก็จะเชื่อเจ้า” ฉู่สวินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงแจ่มใส
ระหว่างที่นางพูด ความร่างเริงแจ่มใสของนางเหมือนย้อมบรรยากาศให้สดใสไปด้วย
เหยียนหลิงจวินแค่รู้สึกว่าพูดไม่ออก สัญชาตญาณสั่งให้มือที่รองอยู่ที่หลังนางออกแรงดึงกลับมา
ระหว่างที่ดึงกลับมานั้นก็รั้งร่างของนางให้เข้ามาใกล้ขึ้นจนแนบชิดติดกับร่างของเขา
ฉู่สวินหยางตะลึงเล็กน้อย รีบเคลื่อนสายตาออกจากหว่างคิ้วของเขาที่ไม่ว่าจะนวดอย่างไรก็ไม่ยอมคลายสักที เมื่อชายหนุ่มออกแรง ร่างของหญิงสาวก็ขยับเข้าไปใกล้ๆ ตามแรง ทำให้ใบหน้าของทั้งสองชิดกันมากจนหายใจรดกัน เสียงหายใจของอีกฝ่ายค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ
“ซินเป่า…” ลูกกระเดือกของเหยียนหลิงจวินขยับขึ้นลง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง รู้สึกเหมือนโดนเสียงลมยามราตรีย้อมจนแอบสั่นเล็กน้อย
ระหว่างที่พูด ริมฝีปากแดงสง่าของเขาก็เหมือนสัมผัสมาที่ปลายจมูกของนาง
ฉู่สวินหยางแค่รู้สึกว่าจั๊กจี้ปลายจมูก พอตั้งสติได้จะยกมือขึ้นไปคลำเล่น แต่กลับขี้เกียจจะขยับ ครู่หนึ่งสายตาก็จับจ้องไปที่ริมฝีปากแดงนั้น ความคิดแวบขึ้นมาในใจนับไม่ถ้วน สุดท้ายเหลือเพียงความรู้สึกเดียวที่ลอยอยู่ในความทรงจำ…
เขาชอบแสดงละครต่อหน้าผู้อื่นอยู่เรื่อย เมื่อยามที่เขายิ้มอย่างไร้พันธนาการ สีปากของเขาช่างสดใสงดงามเป็นพิเศษนัก งามเสียจนเกือบทำให้คนหยุดหายใจ
และก็ไม่รู้ว่าในหัวคิดอะไรอยู่ ชั่ววินาทีนั้นจู่ๆ ฉู่สวินหยางก็เกิดอารมณ์ดื้อซนขึ้นมา เกิดความรู้สึกอยากจะลิ้มรสริมฝีปากที่งามยั่วยวนนั้นว่ามีรสชาติเช่นใด
แต่นางก็เป็นคนใจกล้ามาแต่ไหนแต่ไร ของงามอยู่ตรงหน้าอย่างนี้แล้ว เมื่อนางคิดได้เช่นนั้นก็เตรียมจะทำตามที่คิด กระทั่งลืมสนิทว่า ‘อาหารเลิศรส’ ที่อยู่ด้านหน้านางเป็นคนเป็นๆ มิใช่สิ่งอื่นใด นางค่อยๆ เขย่งเท้าโน้มไปด้านหน้า ใช้ริมฝีปากของตนค่อยๆ แนบไปที่ริมฝีปากของผู้นั้นจนประกบกัน
สัมผัสอ่อนโยน ระหว่างที่ผิวสัมผัสแนบชิดก็ก่อเป็นความร้อนผ่าว ร้อนจนหน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาอย่างประหลาด
ในยามเดียวกัน เหยียนหลิงจวินถึงกับนิ่งแข็งทื่อ
ไม่ แทนที่จะพูดว่าแข็งทื่อ เรียกว่าแข็งกลายเป็นหินอนุสรณ์สถานเลยจะดีกว่า เขายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น ลมหายใจถูกกลบเกลื่อน ขนาดเสียงเต้นของหัวใจยังคล้ายว่าจะเงียบไป
กลิ่นหอมกรุ่นนั้นยังล่องลอยอยู่ในจมูกของเขาไม่ไปไหน
ทั้งเบา ทั้งนุ่มและ…
ทั้งหอมหวาน
เขายืนนิ่งแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหมือนประกายไฟก่อขึ้นมาเปาะแปะในหัวเขานับไม่ถ้วน นำพาสติสัมปชัญญะของเขาลอยขึ้นไประเบิดกระจายกลายเป็นพลุอยู่บนฟากฟ้าอย่างต่อเนื่อง จนเหลือเพียงเศษซากที่ตกลงสู่พื้นดิน ไม่อาจหาปฏิกิริยาตอบสนองที่เหมาะต่อสิ่งนี้ได้
เมื่อเห็นดวงตาของสาวน้อยเป็นประกายวาววับอยู่ภายใน ไร้ซึ่งอารมณ์เคว้งคว้างใดๆ แค่รู้สึกป่วนจิตแปลกๆ แฝงไปด้วยความดีใจและความอยากรู้อยากเห็น
ใช่ ดีใจ!
ในยามเดียวกันนัยน์ตาของนางก็สว่างขึ้นมา เหมือนไม่รู้สึกอายหรืออึดอัดต่อการกระทำฉวยโอกาสไร้ยางอายของตนเลย นัยน์ตาทั้งสองข้างแวววาว เปล่งประกายประหลาดๆ และยังกวาดตามองหน้าเขาไปมาอย่างไม่ร้อนรนใดๆ ราวกับกำลังรอดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อโดนคนเย้าหยอกอย่างนั้น
สายตาของเหยียนหลิงจวินจ้องไปในตาของนาง สติค่อยๆ กลับมาและยังนำความหดหู่และเครียดตามมาด้วย…
เขารู้ตลอดว่านิสัยของหญิงสาวใจกล้าบ้าบิ่นมาก แต่ก็ไม่เคยคิดว่านางจะกล้าหาญได้ถึงขั้นนี้
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดว่ายามที่ดึงนางเข้ามาในอ้อมอกนั้นควรจะลองลิ้มรสริมฝีปากนางอย่างไรดี แต่ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดในยามนี้ตอนนี้
เขาโดนนางเล่นงานเสียแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายยังจ้องตาเขาด้วยสายตาบริสุทธิ์เหมือนพยายามทดสอบเขาอย่างนั้น
ดวงจันทร์มืดหม่น ลมพัดขึ้นสู่ที่สูง ราตรีเงียบสงัด แม้บรรยากาศจะได้ที่กำลังพอดี แต่มุมได้เปลี่ยนไปแล้ว…
แม้ผิวสัมผัสนั้นจะรู้สึกดีมากเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อหล่นมาอยู่ในใจทำไมกลับอยู่สึกว่าไม่ค่อยเข้าท่าแปลกๆ
ใบหน้าของเหยียนหลิงจวินแข็งทื่อ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เรื่องราวดีๆ เหมือนพรั่งพรูออกมา
ก่อนที่เขาจะไตร่ตรองรวบรวมสติได้ เขาก็อ้าปากเตรียมจะรุกไปแนบริมฝีปากของนาง
ฉู่สวินหยางเห็นเขาทำท่าแข็งทื่อเหมือนกับโลงศพเช่นนี้ครั้งแรก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเป็นเพราะการกระทำฉวยโอกาสของตนทำให้เขาโกรธ จึงรีบถอนตัวเตรียมจะหนีไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ
ตรอกนี้เดิมก็แคบอยู่แล้ว ม้าตัวนั้นของเหยียนหลิงจวินรู้นิสัยคนแต่กลับไม่รู้ความรู้สึกคน ผ่านไปครู่ใหญ่ ถ้าไม่ใช่เขาสั่งให้ออกไป ถึงจะทิ้งบังเหียนไปอย่างไรมันก็ยังเดินตามอยู่ดี ฉะนั้นตอนนี้ม้านิลที่นามว่า ‘เปินเหลย’ จึงยืนอยู่ด้านหลังนางตลอดอย่างพอดิบพอดีโดยไม่รู้ใจแม้แต่นิดเดียว
สองคนหนึ่งอาชา ทำให้ตรอกนี้แน่นขนัด ในยามเดียวกันก็ปิดทางที่ฉู่สวินหยางเตรียมจะหนีไปด้วย
ฉู่สวินหยางถอยไปก้าวหนึ่ง หลังก็ชนกับตัวแข็งๆ ของเปินเหลยที่อยู่ด้านหลังแล้ว
ส่วนเหยียนหลิงจวินแม้จะความรู้สึกช้าอย่างไร แต่ตอนนี้ก็พอให้เขารู้สึกตัวดึงสติกลับมาแล้ว
เขารีบก้าวมาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เท้าแขนไปที่หลังม้า หนึ่งคนกับอีกหนึ่งอัศวยิ่งทำให้พื้นที่ว่างระหว่างนั้นเหลือน้อยลงไปอีก ส่วนนางก็โดนขังอยู่ในนั้น
เหยียนหลิงจวินมองลงมา นัยน์ตาสีเข้มนั้นจ้องเขม็งมาที่ใบหน้าของนาง
ฉู่สวินหยางรู้สึกว่าสีหน้าของเขาแดงมากเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขินหรือเพราะโกรธ แต่ที่แน่ๆคือระยะห่างที่แสนใกล้และสายตาของเขาจ้องมาเช่นนี้ทำเอาฉู่สวินหยางใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ม้าข้างหลังตัวนั้นโดนคนใช้เป็นที่วางมือก็ไม่รู้จักหลบ ได้แค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและยังร้องเสียงม้าอีก
ฉู่สวินหยางออกแรงดันตัวเองไปข้างหลัง จงใจคลี่ยิ้มมุมปากออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน “ก็แค่โดนนิดหน่อยเอง…”
ไม่บ่อยนักที่นางจะรู้สึกว่าตนเองไม่มีเหตุผล จึงไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด
นางรีบก้มหน้าก้มตาลงอย่างรวดเร็ว กะพริบตาปริบๆ ไม่เหลือท่าทีเข้มงวดจริงจังเหมือนแต่ก่อนแล้ว เหลือเพียงแค่แม่หญิงคนหนึ่งที่กัดปากอย่างขัดเคืองไม่ต่อต้านใดๆ
ความคับแค้นใจของเหยียนหลิงจวินก็มลายหายไปเงียบๆ นานแล้ว กอปรกับเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าว้าวุ่นใจอยู่ตรงหน้า ในใจก็รู้สึกราวกับโดนขนตางอนยาวของนางกวาดผ่าน จู่ๆ ความรู้สึกสั่นสะท้านอันร้อนแรงของรสสัมผัสก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง
ลำคอแห้งขึ้นมาแปลกๆ มุมปากของเขาคลี่ยิ้มร้ายออกมาในทันใด ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงไปอย่างช้าๆ
เมื่อรู้สึกเหมือนมีเงามืดปกคลุมมาบนศีรษะ ฉู่สวินหยางก็คิดจะหลบ ขมวดคิ้วพลางคิดอยากจะด่าม้าตัวข้างหลังที่ช่างมีตาหามีแววไม่
สติของนางหลุดไปเพียงชั่วครู่ ริมฝีปากของเหยียนหลิงจวินก็สัมผัสลงมาเสียแล้ว
ฉู่สวินหยางลนลานไปหมด นางจึงรีบหันศีรษะไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของเขาจึงสัมผัสมาที่ปลายจมูกของนางเบาๆ
“เจ้า…” ฉู่สวินหยางอารมณ์ร้อนขึ้นมาและเอ่ยตะคอกถามไป “เจ้าทำอะไร?”
นี่นางป้องกันไว้แน่นหนา เตรียมใจไว้ดีแล้วจริงๆ หรือ
“หึ…” จู่ๆ เหยียนหลิงจวินก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ออกมาจากในส่วนลึกของลำคอ
ริมฝีปากของเขาแนบอยู่กับปลายจมูกของนางและไล้ไปมา แต่ไม่มีท่าทีว่าจะถอยกลับไปแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหยอกล้อ “ก็แค่โดนนิดหน่อยเอง…”
————————————-
บทที่ 93 แย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่สวินหยางเบ้ปาก ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไปชั่วครู่
และก็ฉวยโอกาสตอนที่นางสติล่องลอย ริมฝีปากของเหยียนหลิงจวินค่อยๆ เลื่อนลงมาด้านล่าง ถูไปมาที่มุมปากของนาง ก่อนจะใช้ฟันงับกลีบปากของนางเข้าไปในปากของตน
ฉู่สวินหยางตะลึงจนไม่อาจควบคุมร่างกายได้ ในหัวมึนไปหมด ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรไปชั่วขณะ
“เมื่อครู่ไม่นับ ข้าสอนเจ้าเอง!” เมื่อสัมผัสได้ถึงร่างกายที่สั่นคลอนของนาง เหยียนหลิงจวินจึงจับแขนดึงร่างนุ่มนิ่มของนางเข้ามาในอ้อมอกและกอดจนแน่น
เขางับกลีบปากของนางไว้ในปาก ริมฝีปากของหญิงสาวอ่อนนุ่มบางเบา แทรกด้วยกลิ่นหอมเย็นๆ ชุ่มชื้น สัมผัสนั้นเหมือนผ่านผิวทะลุแผ่ซาบซ่านไปถึงหัวใจ ทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่านขึ้นมา
เดิมเหยียนหลิงจวินแค่อยากจะหยอกนางเล่น เพื่อตักเตือนว่าการกระทำของนางนั้นไม่เหมาะไม่ควร แต่รสสัมผัสอันหวานฉ่ำนี้ฝังลึกลงไปในกระดูก ไม่อาจถอนออกได้แม้แต่น้อย
ดังนั้นเขาจึงละเลงจูบอย่างลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ จนสติเริ่มเลอะเลือน ด้านหนึ่งก็อยากจูบกลีบปากนางให้อ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากกลืนเอารสจูบของนางไปให้ได้ให้มากที่สุด ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อีกด้านหนึ่งในหัวก็กำลังคิดวิธีว่าควรทำอย่างไรให้นางเลิกกัดฟัน เพื่อจะได้ทำต่อในขั้นถัดไป…
เนื่องด้วยหากบีบบังคับคงจะไม่ได้การ นิสัยของหญิงสาวไม่ว่าใครก็คุมไม่อยู่
ชายหนุ่มครุ่นคิดวุ่นวายไปหมด พอเขาเริ่มจะลองใช้ลิ้นดันฟันหวังจะล้วงเข้าไปลึกกว่าเดิมนั้นเอง…
ฉู่สวินหยางที่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบไปนาน จู่ๆ ก็ได้สติกลับมา และสัมผัสได้ถึงรสชาติหอมหวานของกลิ่นอายที่สัมผัสอยู่ตรงกลีบปาก จู่ๆ นางก็งับกลีบปากชายหนุ่มตอบตามนิสัยหยั่งเชิงของตน
สอนสดเรียนสดเช่นนี้ ช่างช่วยให้แสดงศักยภาพออกมาอย่างเหลือล้ำ
เหยียนหลิงจวินถึงกับหายใจไม่ทัน กลั้นลมจนหน้าเขียวไปทั้งหน้า
ไม่ว่าในใจจะคิดอะไรร้อยแปดพันเรื่องก็ล้วนโดนล้างจนสะอาดเอี่ยมไปหมด เขาเบิกตาโพลงในทันใด และก็เห็นใบหน้างามงอน ดวงตาทอแสงเป็นประกาย ในนัยน์ตาคู่นั้นเผยให้เห็นความไม่ซื่ออย่างชัดเจน ไม่ได้มีความเขินอายหรืออ่อนโยนอย่างที่ผู้หญิงปกติควรจะมีแม้แต่น้อย
เหยียนหลิงจวินราวกับโดนนางเทน้ำเย็นทั้งถังราดบนหัว เขาจึงเริ่มหัวเสียขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่รู้ตัว เหมือนโดนยั่วให้สนใจจริงๆ เข้าแล้ว นางออกแรงเยอะกว่าเขาเสียอีก อีกทั้งยังอ้าปากคิดจะกัดเขา!
เหยียนหลิงจวินหน้าแข็งทื่อ รีบถอยหลังไปทีละก้าวๆ พลางผลักนางออก และเอ่ยเสียงต่ำ “อย่าสร้างเรื่อง!”
ฉู่สวินหยางกะพริบตาปริบๆ เมื่อสังเกตเห็นริมฝีปากแดงก่ำเปียกชื้นของเขาจึงได้สติว่าเมื่อครู่ตนทำอะไรลงไป นางจึงตะลึงงันไปชั่วครู่ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉ่าขึ้นมาในพริบตา
เหยียนหลิงจวินมองนาง จะด่าก็ไม่ใช่ จะชมก็ไม่ได้ ในใจสับสนพัวพันไปหมด สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นสีดำเหมือนสีก้นหม้อ
ทั้งสองต่างคนต่างเงียบ คนหนึ่งสีหน้าสับสน ส่วนอีกคนหนึ่งสีหน้าอึดอัด
ผ่านไปชั่วครู่ สุดท้ายก็เป็นฉู่สวินหยางที่ทนไม่ได้ก่อน กลอกตามอง “เจ้าบอกเองว่าจะสอน…”
พูดจบก็ผลักเหยียนหลิงจวินออกอย่างไม่สะทกสะท้าน และหมุนตัวออกไปด้านข้าง
เหยียนหลิงจวินก็ยิ่งไม่พอใจกว่าเดิม แต่ไม่อาจคิดถ้อยคำระบายออกมาได้ อึดอัดอยู่นาน สุดท้ายก็กัดฟันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฉู่สวินหยาง เราหารือกันสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่? นิสัยนี้ของเจ้าต่อไป…”
เหยียนหลิงจวินพูดได้ครึ่งหนึ่ง แต่จู่ๆ ก็หยุดชะงัก เพราะฉู่สวินหยางยังคงมองรอเขาสอนอยู่อย่างนั้น
เขาจะพูดอะไรได้? ให้นางแก้นิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้ของนางอย่างนั้นหรือ? สิ่งที่เขาชอบที่สุด จริงๆ ก็คงเป็นนิสัยตรงไปตรงมาของนางแล้วกระมัง?
แต่เรื่องอื่นก็ยังว่าไป หากเป็นเรื่องหญิงๆ ชายๆ และนางรุกก่อนคงจะ…
ครั้งสองครั้งยังพอได้ แต่ถ้าทำเช่นนี้บ่อยๆ
นักเผด็จศึกผู้มั่นคงดั่งภูเขาไท่ซานอย่างใต้เท้าเหยียนหลิง ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันหนึ่งที่โดนหญิงสาวทรมานจนต้องร้องขอชีวิต นี่มันช่าง…
ช่างรู้สึกพ่ายแพ้นัก!
ลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเหยียนหลิงจวินก็คิดแผนอะไรไม่ออกอยู่ดี
เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะออกแรงดึงมือนางมาจับไว้ในฝ่ามือ สุดท้ายก็ถอนหายใจเอ่ย “ช่างเถิด ตอนนี้เย็นแล้ว เดี๋ยวข้าส่งเจ้ากลับไป”
เขาพูดเหมือนไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับนางต่อเสียอย่างนั้น พอพูดจบก็กระโดดขึ้นหลังม้า ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งไปตรงหน้านาง
ฉู่สวินหยางวางมือลงในฝ่ามือเขา และใช้แรงนั้นพลิกตัวขึ้นหลังม้า
เหยียนหลิงจวินคลุมเสื้อนอกให้นาง และยกมือขึ้นกลางอากาศส่งสัญญาณให้พวกอิ้งจื่อไม่ต้องตามไปอีก ก่อนจะหันหัวม้าพาฉู่สวินหยางเข้าไปในตรอกลึกๆ
เขาอึดอัดไม่ส่งเสียงใดๆ เหมือนโดนโจมตีอยู่ตลอดทาง
ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ใช่คนโง่ แม้เขาไม่พูดก็รู้ว่าเขาโกรธอะไรอยู่ พอเคลื่อนไปด้านหน้าสักพัก นางก็หัวเราะเบาๆ และเงยหน้ามองเขา “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครบอกข้าเสียหน่อย….”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง นางก็หยุดเว้น
ภพที่แล้วนางอยู่จนอายุยี่สิบ ก็ได้แต่นั่งบัญชาการ แกว่งดาบไปมาตลอด ฉลองเทศกาลประจำปีทีหนึ่งจึงจะได้กลับพระนคร แต่ก็แค่งานเลี้ยงส่วนตัวเท่านั้น
ยามนั้น เนื่องด้วยฉู่ฉีเฟิงขาพิการทั้งสองข้าง ฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยพอใจฉู่ฉีฮุยอีก ท่านจึงให้ความหวังไปที่ฉู่ฉีเหยียนค่อนข้างมาก ฉู่ฉีเหยียนอ่อนน้อมถ่อมตน อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ ปราดเปรื่องในเรื่องการปกครอง ตอนนั้นนางเองก็มิได้หวาดหวั่นอะไรต่อเขา และเขายังเคยได้รับคำสั่งให้ไปคุมทหารที่เมืองฉู่อีก ไปๆ มาๆ อยู่พักหนึ่ง ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ แน่นแฟ้นขึ้น ตอนนั้นนางยังสัมผัสได้ว่าสายตาที่ฉู่ฉีเหยียนมองนางพิเศษกว่าคนอื่น แต่เพราะว่าทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน นางจึงไม่คิดอะไรมาก แค่มองเขาว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น จนสุดท้าย…
เขาพยายามวางแผนให้นางยอมอยู่ข้างกายเขาแม้จะขัดกับพระราชโองการ แม้นางจะความรู้สึกช้ามากเพียงใด นางก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่
แต่ทว่า…
นางไม่เคยคิดกับฉู่ฉีเหยียนเป็นอย่างอื่นไปมากกว่านั้นเลย
ภพนี้ได้พบกับเหยียนหลิงจวิน เขารู้ใจนางไปเสียหมด และที่บังเอิญก็คือเขาไม่รู้สึกรังเกียจนางแม้แต่น้อย ซ้ำไปกว่านั้นเขายังใช้เหตุผลนี้พัฒนาความสัมพันธ์จนมาถึงขั้นนี้ด้วย
ระหว่างเขากับนาง ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกัน และก็ไม่ค่อยขัดใจอะไรกันมาก แต่ก็รักษาความสัมพันธ์ได้มั่นคงเรื่อยมา
เรื่องแบบนี้ ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักเหมือนกัน แต่นอกจากเรื่องของฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิง เรื่องอื่นนางก็เคารพการตัดสินใจของตนตลอด ในเมื่อไม่รังเกียจก็ปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอแล้ว
จิตใจของฉู่สวินหยางล่องลอยไปไกล เมื่อรู้สึกตัวก็รีบดึงสติกลับมาทันที “ข้าใช่ว่าจะดีแบบนี้กับทุกคน”
เหยียนหลิงจวินตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างอารมณ์ดี “งั้นทำไม? เจ้าจึงบอกว่าเจ้าไม่ไว้ใจข้า!”
“คงจะ…” ฉู่สวินหยางเอามือแตะปาก ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้ายิ้มตอบ “คงเป็นเพราะถูกชะตากับเจ้ากระมัง ไม่ก็เป็นเพราะระหว่างเจ้ากับข้ายังไม่เคยขัดผลประโยชน์กัน ข้าเลยไม่ต้องเหนื่อยคอยคิดวางแผนแสดงละครต่อหน้าเจ้าตลอดเวลา”
คำพูดนี้ของนางครึ่งจริงครึ่งเท็จ มีเพียงฉู่สวินหยางเท่านั้นที่เข้าใจดี ตั้งแต่แรกเริ่มนางถูกชะตากับเขาจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นภพที่แล้วหรือว่าภพนี้ การที่เขาอยู่ที่นี่ ในสายตานางนั้นก็ต่างจากผู้อื่นตลอด ส่วนนาง…..
ก็เป็นเช่นนี้!
อยู่ในที่ที่ตนไม่ควรอยู่ เวลาเจอกับใครต่างก็ต้องใส่หน้ากากเข้าหา เหตุการณ์เช่นนี้ หากไม่ได้ประสบพบเจอกับตัวก็ไม่มีใครเข้าใจได้หรอก
ฉะนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เขาตัดสินใจสารภาพชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนกับนาง นางถึงได้ปฏิเสธไปโดยไม่รู้ตัว
นางไม่อยากรู้ชาติกำเนิดของเขา เพราะเพียงแค่เขาเป็นคนที่ตัวตนและเบื้องหลังไม่ชัดเจน เขากับนางถึงได้เป็นคนแบบเดียวกันจริงๆ ล้วนแต่…
เร่ร่อน
ใช่ เร่ร่อน!
แม้ฉู่อี้อันจะรักนางเท่าใด ฉู่ฉีเฟิงจะเอ็นดูนางเท่าใด ตั้งแต่รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตน ฉู่สวินหยางก็รู้สึกได้ว่าจิตใจนางเหมือนได้เปลี่ยนไปแล้ว
นางไม่อาจรับการให้โดยเสน่ห์หาใดๆ ได้อีก และก็ไม่อาจหลอมรวมกับคนในวังบูรพาได้ มักคิดว่าตนเป็นคนนอกที่เข้ากับคนในไม่ได้อยู่อย่างนั้น
ในจุดๆ นี้ ผู้ที่มาจากหนานฮวาและตัวตนคลุมเครืออย่างเหยียนหลิงจวินก็เหมือนกับนาง
ตอนแรกที่นางเข้าหาเขาก็เพราะเหตุผลนี้
ทว่าตอนนี้…
ความรู้สึกหนึ่งในนั้น เหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว
ส่วนที่ว่าเปลี่ยนไปอย่างไรนั้น นางยังไม่อยากขบคิดตอนนี้
เหยียนหลิงจวินฟังออกว่าคำพูดของนางคลุมเครือเหมือนแฝงอะไรไว้ เขาจึงยิ้มเล็กน้อยและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ทั้งสองเดินทางอย่างปลอดภัยตลอดทาง พอถึงตรอกข้างๆ วังบูรพา ฉู่สวินหยางจึงหยุดรอชิงหลัวและชิงเถิงอยู่ที่นั่นเพื่อกลับเข้าวังไปพร้อมกัน
พิธีสมรสวันนั้นจัดฤกษ์มงคลไว้ช่วงเย็น ฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีฮุยเลยกลับจวนช้ากว่านาง ยามนี้แต่ละคนก็ไม่มีใครสนใจใคร ต่างคนต่างจัดการตนเองและเข้านอนทันที
รุ่งเช้าวันต่อมา ฉู่สวินหยางก็ตื่นนอนเวลาเดิม ขณะชิงเถิงกำลังดูแลนางล้างหน้าล้างตาอยู่ ก็เห็นชิงหลัววิ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างตระหนก “ท่านหญิง เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
——————————–
บทที่ 94 เจ้าบ่าวไปไหนแล้ว? (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ตักน้ำล้างหน้าพลางเอ่ยถาม “แผนร้ายแดงออกมาแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ!” ชิงหลัวพยักหน้า ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ก็ก้มหน้าก้มตาอย่างหวาดระแวงเล็กน้อย “เช้าตรู่วันนี้องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยมิได้พาเจ้าสาวเข้าวังไปไหว้บุพการี หัวหน้าขันทีหลี่ส่งคนไปถาม สุดท้าย…เขาไม่อยู่ในจวนแล้วเจ้าค่ะ”
เนื่องด้วยว่าจะจัดงานมงคล ฮ่องเต้จึงสั่งรุ่ยชินอ๋องให้จัดคฤหาสน์หลังหนึ่งในพระนครให้กับทั่วป๋าไหวอันชั่วคราว
“ส่งคนไปหาแล้วหรือ?” ฉู่สวินหยางถามอย่างไม่ร้อนรน
เรื่องนี้ นางเองก็คิดไว้อยู่แล้ว ยามนี้ตระกูลโม่เป่ยกำลังวุ่นวาย คนทะเยอทะยานป่าเถื่อนอย่างทั่วป๋าไหวอันจะยอมให้ฮ่องเต้คุมตัวไว้ที่นี่? เขาจะต้องคิดหาวิธีหนีออกไปอย่างแน่นอน
และคืนวานก็จัดงานมงคลอีก นับเป็นโอกาสดีที่หายากนัก
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ปิดเมืองทั้งเมือง ยามนี้กองกำลังรักษาพระนคร กองพลทหารราบรวมถึงกองทหารองครักษ์ต่างก็ออกไปล้อมรอบคฤหาสน์เมืองเฉิงตงและค้นทั่วเมืองแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวเอ่ย
ฉู่สวินหยางมีท่าทีเงียบสงบต่อเรื่องนี้มาโดยตลอด ราวกับไม่ค่อยจะสนใจ
ชิงหลัวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างอดไม่ได้ “ท่านชายจ่างซุน…โดนเรียกเข้าวังไปตั้งแต่รุ่งเช้าแล้วเจ้าค่ะ!”
“หืม?” ฉู่สวินหยางชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไร รอจนจัดการตัวเองเสร็จจึงเอ่ย “หมายความว่าอย่างไร?”
ชิงหลัวยิ้มแห้งๆ เอ่ย “เย็นวานนี้ท่านชายจ่างซุนนำกำลังทหารออกจากเมืองไปชุดหนึ่ง อยู่นอกเมืองราวสองชั่วยามถึงกลับมาเจ้าค่ะ!”
ฉู่สวินหยางหรี่ตาเล็กน้อย ในดวงตาคู่นั้นเคลือบด้วยความเย็นชาในทันใด ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ฉู่ฉีฮุยช่างใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ได้ดีเสียจริง!”
นางเอ่ยพลางโยนผ้าเช็ดหน้าผืนเปียกในมือกลับไปในอ่างล้างหน้าอย่างโมโห
อยากลวงให้วังบูรพาของนางทำความผิดไปด้วย? ฉู่ฉีฮุยก็เป็นจุดอ่อนที่โจมตีได้ง่ายที่สุดไม่ใช่หรือ?
“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อได้สติกลับมา ฉู่สวินหยางก็เอ่ยถามพลางเดินกลับเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบ
ชิงหลัวบอกเรื่องทั้งหมดไปคร่าวๆ แล้ว ส่วนชิงเถิงก็ถือชุดเข้ามา เป็นชุดสีเขียวมรกตเรียบๆ ตัวหนึ่ง
ฉู่สวินหยางเหลือบมองแวบหนึ่งก็ออกแรงผลักออก “ไปเปลี่ยนมา! ชิงหลัวเจ้าไปบอกท่านพี่ที่เรือนจิ่นโม่ที อีกครู่ข้าจะไปหา”
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!” ชิงหลัวรับคำเสร็จก็หันหลังเดินออกไป ไม่ได้ถามอะไรมาก
ฉู่สวินหยางไม่ชอบความวุ่นวาย ปกติอยู่ในจวนก็ใส่ชุดง่ายๆ สบายๆ ลายของเสื้อผ้าก็เรียบที่สุดเท่าที่จะเรียบได้ ชิงเถิงอยู่กับนางมานานแล้ว จึงเข้าใจดี และหันกลับไปหยิบชุดปกติที่ออกเยี่ยมแขกมา
ฉู่สวินหยางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ไปเรือนจิ่นโม่
พอเดินเข้าประตูไปก็เห็นข้ารับใช้ที่แต่งตัวเป็นขันทีอยู่ในห้องโถงเพิ่มขึ้นอีกสามคน
และคนที่เป็นหัวหน้าก็คือศิษย์ของหลี่รุ่ยเสียง เย่าสุ่ย
ยามนี้เย่าสุ่ยกำลังคุยอะไรบางอย่างกับฉู่ฉีเฟิง สีหน้าดูเคร่งเครียดมาก
“ท่านพี่!” ฉู่สวินหยางยิ้มเดินเข้าไป สายตาค่อยๆ ทอดมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ “อะไรกัน ท่านมีแขกแต่เช้าตรู่เลยหรือ?”
ฉู่ฉีเฟิงสวมชุดสีขาวลายดวงจันทร์กำลังนั่งดื่มชาอยู่ภายในโถง พลางขมวดคิ้ว เหมือนกับอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
“ข้าน้อยคารวะท่านหญิงสวินหยาง” เย่าสุ่ยรีบนำอีกสองคนทำความเคารพ ก่อนจะหันกลับไปมองฉู่ฉีเฟิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม “ข้าน้อยมาเชิญท่านจวิ้นอ๋องไปในวัง แต่ท่านจวิ้นอ๋องบอกว่าท่านไม่ว่าง”
เขาพูดพลางมองไปทางฉู่สวินหยาง หวังจะให้นางช่วยพูดให้
เขาแค่บอกว่ามาเชิญ ไม่ได้บอกว่าเป็นคำบัญชาของฮ่องเต้
ฉู่สวินหยางตาเป็นประกาย ก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ย “ท่านมีอะไรก็พูดที่นี่เถิด เกรงว่าวันนี้ท่านพี่จะไม่ว่างจริงๆ เขาเพิ่งตอบตกลงไปเยี่ยมเสด็จย่าเป็นเพื่อนข้านี่เอง!”
นางพูดพลางเอื้อมไปสะกิดแขนเสื้อของฉู่ฉีเฟิงเอ่ย “ครั้งก่อนเสด็จย่าตบรางวัลให้มากมาย ควรไปขอบพระทัยต่อหน้าจึงจะถูก สองวันนี้เสด็จย่าคงจะว่างแล้ว ท่านพี่ไปกับข้าเถิด!”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า ก่อนจะวางถ้วยชาและลุกยืน
สองพี่น้องเดินเคียงข้างกันออกไป
เย่าสุ่ยรีบจะไปดัก แต่ตอนฉู่ฉีเฟิงเดินเฉียดบ่าไปก็เอ่ยขึ้นก่อน “คนในวังบูรพาของข้าทำอะไรเปิดเผย ข้าไม่มีอะไรอยากพูด ตอนนี้ข้าต้องรีบเข้าวังไปพบเสด็จย่า ความหวังดีของหัวหน้าขันทีหลี่ รบกวนท่านขอบใจเขาแทนข้าด้วย”
เอ่ยจบก็เดินจ้ำๆ ออกไป
“ไอยา!” เย่าสุ่ยร้อนรนขึ้นมา จะอ้าปากพูดกับแผ่นหลังของเขา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
รอจนฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางออกจากจวนไป ขันทีน้อยข้างๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา “คังจวิ้นอ๋องกับองค์รัชทายาทของเรา พ่อลูกคู่นี้นิสัยละม้ายคล้ายกันจริงๆ ช่วงเวลาน่าสิ่วน่าขวานเช่นนี้ยังไม่รู้จักรีบร้อนอีก”
เย่าสุ่ยทำงานไม่สำเร็จ อารมณ์ก็ไม่ค่อยดีนัก เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็จ้องเชิงกล่าวเตือน ก่อนจะเอ่ยตำหนิ “คุมปากของตัวเองให้ดีเถอะ เรื่องของพวกเจ้านาย บ่าวอย่างเจ้าอยากจะนินทาก็นินทาอย่างนั้นหรือ?”
“ขอรับ! ข้าน้อยผิดไปแล้ว ไม่กล้าทำอีกแล้ว!” ขันทีน้อยผู้นั้นเมื่อรู้ว่าตนพลั้งปากก็ทำหน้ามุ่ย พลางตบตัวเองไปสองที
เย่าสุ่ยมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ไป กลับวัง!”
และทั้งหมดก็กลับวังไป
ตอนนี้หน้าห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ก็คุ้มกันด้วยทหารเพิ่มขึ้นอีกชั้น เพิ่มความรู้สึกหนาวเย็นให้กับผู้คน
ในใจของเย่าสุ่ยตอนนี้เป็นกังวลมาก เขาจัดระเบียบเครื่องแต่งกายอย่างหวาดกลัวอยู่หน้าประตู ก่อนจะเดินย่องไปถึงนอกตำหนัก แล้วเข้าไปหลบและชะโงกหน้าออกมามองจากหลังเสา
ในยามนี้ข้างในมีคนมารวมกันแน่นเต็มตำหนัก ระดับบนมีฮ่องเต้ รุ่ยชินอ๋อง และพวกฉู่อี้หมินอ๋องหนานเหอ ระดับล่างมีเน่ยเก๋อ[1] ขุนนางต่างๆ ไปถึงขั้นพวกต้าหลี่ซื่อชิง[2] บรรยากาศในตำหนักตึงเครียด กดดันและเยือกเย็น
เย่าสุ่ยไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป ตอนที่ใจร้อนรนจนจะลุกเป็นไฟนั้น หลี่รุ่ยเสียงที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ก็มองมายังเขา
เย่าสุ่ยดีใจ รีบทำปากส่งสัญญาณบอกเขา
ขันทีที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้บ่อยๆ อย่างพวกเขามักจะมีความสามารถในด้านการอ่านปากเช่นนี้
เย่าสุ่ยพูดไปได้สองสามประโยคก็เกรงว่าจะทำให้พวกฮ่องเต้ด้านในแตกตื่น จึงรีบหันตัวกลับออกไปยืนรอตรงทางเดินข้างนอก
ไม่นานหลี่รุ่ยเสียงก็ถือถ้วยชาสีทองอร่ามออกมาจากด้านใน
ขันทีน้อยก็สายตาแหลมคม รีบเดินหน้าออกมา ยื่นสองมือรับถ้วยชานั้นและวิ่งออกไปเปลี่ยนชา
“ท่านอาจารย์!” เย่าสุ่ยเอ่ย พลางลุกลี้ลุกลนมายืนข้างเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เมื่อครู่ข้าเพิ่งกลับจากวังบูรพา คังจวิ้นอ๋องก็บอกปัดว่าตนเองไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ยอมยุ่งเรื่องนี้แม้แต่น้อย ท่านว่า…”
สถานการณ์ของทั้งวังบูรพายามนี้พิสดารอย่างมาก โอรสทั้งสองคนขององค์รัชทายาทล้วนเกิดจากนางสนม ฉู่ฉีฮุยเป็นโอรสคนโตจึงได้เปรียบ ส่วนฉู่ฉีเฟิงเป็นผู้ที่ฮ่องเต้รักใคร่ แต่ถ้าชั่งน้ำหนักกันจริงๆ ทั้งสองล้วนมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่มีใครด้อยกว่าใคร แม้เย่าสุ่ยไม่กล้าพูดออกไปอย่างชัดเจน แต่ก็แอบคิดในใจ…
องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยวางแผนหนีเป็นอิสระในวันสมรส หวงจ่างซุนก็พัวพันกับคดี ส่วนคังจวิ้นอ๋องกลับนั่งชมอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีเย็นชา เป็นไปได้มากว่าจะเป็นข้อพิพาทในวังบูรพาของพวกเขา
แต่เมื่อพูดถึงเรื่ององค์รัชทายาท เขาเองก็ไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ได้เพียงแต่มองสีหน้าของหลี่รุ่ยเสียงและเอ่ย “ท่านอาจารย์ เรื่องนี้ขนาดองค์รัชทายาทและคังจวิ้นอ๋องยังไม่ยุ่ง เหตุใดท่านต้องเปลืองแรงด้วยเล่า? ทำที่ทำได้ก็พอแล้วมิใช่หรือ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็สาวไม่ถึงตัวท่านหรอก”
“เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงถามเรื่องนี้กัน?” หลี่รุ่ยเสียงหันมองเขา หว่างคิ้วยังคงราบเรียบดั่งสายน้ำ “แม้องค์รัชทายาทจะเป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียว ปกติไม่มีศัตรูอะไรก็ไม่อะไรกับเราอยู่แล้ว แต่เมื่อเหตุการณ์คับขันเช่นนี้ คนในวังบูรพาของเขากลับไม่มีใครยุ่งกับเรื่องนี้ เจ้าไม่เคยคิดว่าเพราะอะไรหรือ?”
ฉู่ฉีฮุยเป็นโอรสคนโตขององค์รัชยายาท อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของวังบูรพาทั้งวัง ฉู่อี้อันจะนั่งดูเฉยๆอย่างนั้นหรือ?
เกรงว่าจะมีเหตุผลเดียว….
องค์รัชทายาทผู้นี้ได้เตรียมการในใจแล้ว เรื่องนี้จะไม่เกิดผลกระทบใดๆ กับวังบูรพาของเขา
เช่นนี้แล้ว โอกาสจะส่งมอบน้ำใจก็อยู่ตรงหน้า…..
ในเมื่อดีเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ทำ?
อย่างไรเสียเย่าสุ่ยก็ยังนับว่าอายุน้อย มองเรื่องไม่ค่อยขาด จึงทำหน้ากลัดกลุ้ม “แล้วยามนี้้ควรทำอย่างไร? นิสัยของพวกเจ้านาย ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ คนที่พูดจามีน้ำหนักน้อยนิดเท่าเม็ดถั่วเขียวงาดำอย่างข้าพูดไปก็ไม่มีใครฟัง ท่านอาจารย์…ข้าหมดหนทางแล้วจริงๆ!”
……………………………………..
[1] เน่ยเก๋อ เป็นองค์กรในระบบราชการของจักรวรรดิจีนช่วงราชวงศ์หมิง ซึ่งโดยนิตินัยแล้วเป็นหน่วยประสานงาน
[2] ต้าหลี่ซื่อชิง ตำแหน่งขุนนางผู้บัญชาการในศาลยุติธรรมในสมัยอดีตของจีน
บทที่ 94 เจ้าบ่าวไปไหนแล้ว? (2)
โดย
Ink Stone_Romance
หลี่รุ่ยเสียงครุ่นคิดครู่หนึ่งและเอ่ย “คังจวิ้นอ๋องเล่า?”
“เข้าวังไปแล้วขอรับ!” เย่าสุ่ยเอ่ย “ไปเยี่ยมฮองเฮาที่วังโซ่วคังกับท่านหญิงสวินหยางแล้วขอรับ!”
“เข้าวังมาแล้วหรือ?” หลี่รุ่ยเสียงได้ยินเช่นนั้นจู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา…
นั่งดูเฉยๆ อะไรกัน นี่เขาเจตนาเข้าร่วมชัดๆ เพียงแต่หากฉู่ฉีเฟิงเป็นฝ่ายมาขอพบฮ่องเต้เพียงเพราะฉู่ฉีฮุยคงจะชัดเจนเกินไป ต่อไปหากฮ่องเต้เป็นฝ่ายเรียกพบคงจะไม่ต้องพูดแล้ว
เย่าสุ่ยร้อนรนไปหมด กุมขมับแล้วเอ่ย “ท่านอาจารย์…”
“ไปทำงานของเจ้าเถอะ!” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ยอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เนื่องด้วยฉู่ฉีฮุยพัวพันเข้ามาในคดี ทำให้ฮ่องเต้โกรธมาก รีบสั่งให้ไปเรียกฉู่อี้อันทันทีเพื่อพาตัวเขามา โดยสั่งให้หลี่รุ่ยเสียงไปตามด้วยตัวเอง สุดท้ายองค์รัชทายาทที่จัดการข้อราชการอยู่นั้นก็เอ่ยตอบโดยไม่แม้แต่มองว่าเขามีงานของทหารที่สำคัญต้องรีบจัดการ พอพูดจบก็ส่งแขกทันที
ทำอย่างไรได้ หลี่รุ่ยเสียงจึงต้องเรียกให้เย่าสุ่ยไปวังบูรพา…
หวังจะให้เชิญฉู่ฉีเฟิงมา ที่นี่ก็จะไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งแล้ว และก็นับว่าเป็นการแสดงน้ำใจต่อวังบูรพาด้วย
แต่พอสุดท้าย…
ฉู่ฉีเฟิงกลับผลักโอกาสครั้งนี้ไปอย่างไม่คิด!
หลี่รุ่ยเสียงคิดๆ แล้วก็ขำ ก่อนจะโบกมือให้เย่าสุ่ย
เย่าสุ่ยเก็บคำพูดไว้ในใจและถอยออกไป ส่วนขันทีน้อยที่ไปเปลี่ยนชาใหม่ก็เดินถือถ้วยชากลับมาส่งให้เขา
หลี่รุ่ยเสียงจึงยกชาเข้าตำหนักไป
พอก้าวเข้าวังไปก็ได้ยินเสียงฮ่องเต้เอ่ยอาละวาด “ขยะ! ล้วนแต่เป็นขยะ! ก็แค่หาคน ไม่รู้จริงๆ ว่าเลี้ยงพวกเจ้าไว้ทำอะไรกินได้!”
ยังพูดไม่ทันจบ เหลียงอวี่ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร ใต้เท้าเหยาแห่งกองพลทหารราบ แม้แต่หัวหน้ากองทหารองครักษ์ก็รีบคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงด้วยความตื่นตระหนก
เรื่องของทั่วป๋าไหวอันทำให้ฮ่องเต้อาละวาดอย่างหนัก ถึงกับปาที่ทับกระดาษหยกขาวข้างๆ มือลงมาที่พื้นด้วยความโกรธ
ดีที่ที่ทับกระดาษนั้นขัดเงาไว้แล้ว แต่มุมทุกมุมที่ถูกขัดจนเงาก็ยังทำให้มุมแก้มของใต้เท้าเยาห้อเลือดขึ้นมา
ฮ่องเต้ยังไม่หายโกรธ เมื่อเห็นหลี่รุ่ยเสียงเดินเข้ามา ก็ชี้ไปทางนอกตำหนักและเอ่ย “ไป! ไปเรียกองค์รัชทายาทมาพบข้า! กองกำลังรักษาพระนครดูแลเมืองไม่ดี ข้าจะถามสักหน่อย ว่าผู้บัญชาอย่างเขาควบคุมอย่างไรกัน!”
“ฝ่าบาทลืมแล้วหรือ องค์รัชทายาททรงตอบว่ายังต้องจัดการเรื่องทหารของแคว้นฉู่ เรื่องนี้เร่งด่วนมาก ไม่อาจชักช้าได้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเดินเข้าไปด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้ตื่นตระหนกกับสีหน้าของฮ่องเต้แต่อย่างใด ได้แต่ตอบอย่างนอบน้อม “กระหม่อมได้ส่งถ่ายทอดคำสั่งของฝ่าบาทไปแล้ว องค์รัชทายาทตอบว่ารอให้จัดการเรื่องทหารเรียบร้อยก่อน แล้วจะรีบมาเข้าเฝ้าในทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านแคว้นฉู่และเมืองหนานฮวาทำศึกติดต่อกันมาหลายปี ฮ่องเต้เองก็คิดหนักโดยตลอด อีกทั้งเรื่องนี้เขาเองก็ตั้งใจมาก แต่เป็นทางโม่เป่ยทำเสียแผนเช่นนี้ เขาก็ต้องโกรธจัดเป็นธรรมดา
หลี่รุ่ยเสียงสังเกตสีหน้าของเขาก่อนจะเหลือบไปมองฉู่ฉีฮุยที่คุกเขาก้มหน้าก้มตาอยู่กับพื้น และเอ่ยเตือน “ฝ่าบาท ข้าได้ยินว่าคังจวิ้นอ๋องและท่านหญิงสวินหยางกำลังคุยกับฮองเฮาอยู่พอดี เราควร…”
สายตาของฮ่องเต้เป็นประกาย และดับลงอย่างรวดเร็ว
ฉู่ฉีเหยียนเห็นอยู่กับตา จึงเอ่ยเสียงเรียบ “ได้ยินว่าเมื่อวานฉีเฟิงดื่มเหล้าอยู่ที่จวนพวกเราทั้งวัน เขาเองก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ เหตุใดต้องเรียกเขามาให้วุ่นวายด้วย?”
หลี่รุ่ยเสียงได้แต่ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้แย้งอะไร
ฮ่องเต้ยังคงนั่งไตร่ตรองสักพัก ก่อนเอ่ย “เจ้าไปเถอะ ไปเรียกฉีเฟิงมาให้ข้า!”
ระหว่างที่พูดนั้น น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
หลี่รุ่ยเสียงรับคำเสร็จก็หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก สวนทางกับขันทีคนหนึ่งที่เดินคอตกเข้ามา
หลี่รุ่ยเสียงหยุดฝีก้าวและเอ่ยถาม “ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งให้เจ้าไปเชิญองค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยกับพระชายาขององค์ชายห้ามาไม่ใช่หรือ?”
“ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ด้วย!” ขันทีคนนั้นรีบคุกเขาลง “กระหม่อมไปที่คฤหาสน์ขององค์ชายห้าแล้ว แต่พระชายาขององค์ชายห้าอ้างว่าป่วย ส่วนองค์หญิงหก…บอกว่าไปเยี่ยมฮ่องเฮาแต่เช้า ยามนี้ยังไม่กลับกระหม่อม!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีเข้าไปเยี่ยมฮองเฮาหลัวในวังอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงมาบังเอิญเป็นวันนี้?
ทุกคนล้วนแต่ครุ่นคิด…
องค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยนี้นับว่าเป็นคนที่เดายากคนหนึ่ง
ในขณะที่แต่ละคนยังมีอารมณ์ดูเรื่องตลกอยู่นั้น ซูหลินกลับนั่งไม่ติดอีกแล้ว
เขาเลิกชายเสื้อคลุมและลุกขึ้น แล้วคุกเข่าลงไปทางโต๊ะทรงงานของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท น้องสาวของกระหม่อมร่างกายมิค่อยดีตั้งแต่เกิดเรื่องนักฆ่าแล้ว นางมิได้ขัดรับสั่งของฝ่าบาทแน่นอน!”
แต่กลับแอบด่าซูหว่านในใจ จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีก
ฮ่องเต้เดิมทีก็โมโหทั่วป๋าไหวอันอยู่แล้ว ยังจะไว้หน้ากับเขาอีกหรือ? ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนสีไปในทันใด ก่อนเอ่ยเสียงแข็ง “ขอแค่นางไม่ตาย ต่อให้ต้องหามก็ไปหามนางมาให้ข้า!”
ทั่วป๋าไหวอันหนีไปในยามค่ำคืน และคืนนั้นก็เป็นคืนวิวาห์ ไม่มีเหตุผลใดที่ซูหว่านผู้มีฐานะเป็นภรรยาจะไม่รู้เรื่อง
ซูหลินเหงื่อตกไปทั่วตัว ในใจไม่รู้จักหลาบจำ ยังคงเอ่ยต่อ “ฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ หว่านเอ๋อเป็นหญิงอ่อนแอ คืนวานเพิ่งจะโดนแบกเข้ามาในจวนของทั่วป๋าไหวอัน นางไม่รู้อันใดเกี่ยวกับสิ่งที่ทั่วป๋าไหวอันกระทำแม้แต่น้อย ขอฝ่าบาททรงเข้าพระทัย!”
“จะถูกจะผิด ข้าตัดสินใจเองได้ ไม่ต้องให้เจ้ามาสอนข้าเรื่องพวกนี้!” ฮ่องเต้เอ่ยด้วยท่าทีแข็งกร้าว “ไปจัดการตามข้าที่สั่ง!”
ซูหลินเห็นเขากำลังโกรธเป็นฟืนไฟ จึงไม่กล้าพูดต่อ
ขันทีรับคำสั่งแล้วก็เดินออกไป
สักพักหลี่รุ่ยเสียงก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ทางฮองเฮา…”
“เบิกตัวทั่วป๋าอวิ๋นจี!” ฮ่องเต้เอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรับคำสั่งและรีบเดินออกไปด้านนอก
คนในตำหนักเหมือนถูกสะกดลมหายใจไม่กล้าพูด แต่ละคนล้วนแต่ฉงนกันทั้งนั้น…
หัวหน้าขันทีข้างกายฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าผู้อื่น แต่ที่ประหลาดก็คือ เวลาอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้กลับไม่มีข้อขาดตกบกพร่อง อีกทั้งยังคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้อย่างรอบคอบ และคนอื่นก็ไม่มีใครตามทัน
เมื่อตอนที่หลี่รุ่ยเสียงไปถึงวังโซ่วคัง พวกฉู่ฉีเฟิงกำลังนั่งคุยกับฮองเฮาหลัวอยู่ในห้องอุ่น
จางอวิ๋นเจี่ยนตอนนี้ก็นับว่าไร้ประโยชน์แล้ว เลยไม่มีใครเรียกเขาเข้าวังมาเป็นการลบหลู่ฮองเฮา แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับพาฮูหยินจางเข้าวังมาขอบพระคุณด้วยกัน นางมาเร็วไปก้าวหนึ่ง ยามนั้นยังไม่มีใครรู้เรื่องทั่วป๋าไหวอัน พอเคารพฮ่องเต้เสร็จก็มาหาหลัวฮองเฮาทันที
ต่อมาทั่วป๋าอวิ๋นจีก็มาสมทบอีก
สักพักหนึ่งฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางก็มา
ฉะนั้นวันนี้วังของหลัวฮองเฮาจึงคึกคักเป็นพิเศษ
ฮูหยินจางคิดไปเองว่าอาศัยหน้าตาของลูกสะใภ้อย่างฉู่หลิงอวิ้น นางจึงได้โอกาสเข้าใกล้ฮองเฮา พอฮองเฮาเริ่มหายโกรธก็ยิ่งพูดดีใส่ ประจบประแจงอย่างดี
ฉู่หลิงอวิ้นรู้จักนิสัยของหลัวฮองเฮาดี จึงช่วยพูดทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งสองจึงเข้ากันได้ดี อารมณ์ของหลัวฮองเฮาก็พลอยดีไปด้วยมาก
ทั่วป๋าอวิ๋นจีและพวกฉู่สวินหยางต่างนั่งรออยู่ด้านล่าง ความอดทนไม่มีใครเป็นรองใคร ไม่มีใครมีแววว่าจะขอลาไปก่อนแม้แต่น้อย บรรยากาศตอนนี้ช่างอบอุ่นกลมเกลียวเป็นเนื้อเดียวกัน
นางในเดินเข้ามากระซิบแม่นมเหลียงไม่กี่ประโยค แม่นมเหลียงได้ยินดังนั้นก็ถอยออกไปอย่างช้าๆ ไม่นานก็กลับมาเอ่ยเตือนหลัวฮองเฮา “ฮองเฮา หัวหน้าขันทีหลี่ขอเข้าเฝ้าเพคะ!”
หลัวฮองเฮาประหลาดใจเล็กน้อย ค่อยๆ หุบยิ้ม “หลี่รุ่ยเสียงหรือ? เขามีเรื่องอะไร?”
“บอกว่าเป็นบัญชาของฝ่าบาท พระองค์ต้องการพบท่านจวิ้นอ๋องและใต้เท้าองค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยเพคะ!” แม่นมเหลียงเอ่ยอย่างระวัง
รอบยิ้มบนหน้าของหลัวฮองเฮาแข็งทื่อ คนอื่นๆ ก็เงียบลงในทันที
แม่นมเหลียงเห็นดังนั้นจึงหันไปนำหลี่รุ่ยเสียงเข้ามา
หลี่รุ่ยเสียงคำนับทุกคนแล้วก็คารวะหลัวฮองเฮาอีกครั้งเอ่ย “กระหม่อมรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของฝ่าบาท ขอฝ่าบาทประทานอภัย กระหม่อมได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ว่าพระองค์งต้องการเบิกตัวคังจวิ้นอ๋องและองค์หญิงอวิ๋นจีไปพบ ขอฮองเฮาโปรดอนุญาต”
ในเมื่อเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ ใครก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
“อืม!” ฮองเฮาหลัวพยักหน้าก่อนจะเหลือบตาเป่าน้ำชาในมือและเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ในเมื่อฝ่าบาทเรียก พวกเจ้าก็ไปเถิด!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทีดูลังเล
ฉู่ฉีเฟิงจัดชุดให้เรียบเสร็จก็ลุกยืนและยิ้มเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นหลานทูลลาก่อน ไว้วันหลังจะมาเยี่ยมเสด็จย่าใหม่!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีก็ลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ก่อนจะทำความเคารพ “อวิ๋นจีทูลลาเพคะ!”
“ไปเถิด!” ฮองเฮาหลัวโบกมือ
……………………………………………..
บทที่ 94 เจ้าบ่าวไปไหนแล้ว? (3)
โดย
Ink Stone_Romance
หลี่รุ่ยเสียงเดินนำทั้งสองออกไป สายตาของหลัวฮองเฮาสงบราบเรียบ แต่ฉู่สวินหยางสังเกตเห็นว่าสายตาของฮองเฮาเหลือบมองแผ่นหลังของหลี่รุ่ยเสียง และสายตาแหลมเฉียบนั้นเหมือนปกปิดอะไรไว้
เมื่อแม่นมเหลียงเห็นก็เอ่ยปนยิ้ม “หม่อมฉันไปส่งหัวหน้าขันทีหลี่แทนฮองเฮาเองเพคะ!”
คนกลุ่มนั้นออกตามๆ กันไป เมื่อสังเกตเห็นว่าหลัวฮองเฮาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฮูหยินจางจึงเอ่ยด้วยความเก้อเขิน “พวกหม่อมฉันรบกวนฮองเฮามาครู่หนึ่งแล้ว พลอยให้ฮองเฮาเสียเวลาจัดการงานในวังไปด้วย หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ!”
หลัวฮองเฮาคิดแต่เรื่องทางฝั่งฮ่องเต้ ไม่มีกะจิตกะใจจะใส่ใจพวกนี้
ฉู่หลิงอวิ้นก็เตรียมจะลุกขึ้นตามออกไป
ฉู่สวินหยางเหลือบไปเห็นจึงหันไปเอ่ยกับนาง “ท่านพี่อันเล่อยากนักจะมีโอกาสเข้าวังสักครั้ง ท่านไม่คุยเป็นเพื่อนเสด็จย่าอีกหน่อยเล่า วันนี้ไม่เหมือนวันอื่น ต่อไปท่านพี่ก็ต้องไปดูแลบ้านสามี โอกาสจะได้มาเยี่ยมเยือนเสด็จย่าก็น้อยลงแล้ว”
ฉู่หลิงอวิ้นที่ทำท่าจะลุกขึ้นก็ชะงักทันที และค่อยๆ มองมา
“มิกล้าๆ!” ฮูหยินจางรีบเอ่ย “ท่านหญิงได้เข้าวังมาเยี่ยมฮองเฮานับว่าเป็นวาสนาของท่านหญิง ข้าจะให้ท่านหญิงมาลำบากเพราะข้าได้อย่างไร”
ฐานันดรนี้ของฉู่หลิงอวิ้น แม้จะเป็นสะใภ้ของตระกูลจาง แต่ก็ต้องถูกเลี้ยงดูอย่างดี ที่ว่าดูแลบ้านสามีก็แค่พูดให้เป็นทางการเท่านั้น ตระกูลจางของพวกเขาไม่กล้าดีขนาดนั้นหรอก
ฉู่สวินหยางยิ้ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลัวฮองเฮา “เสด็จย่าดูสิเพคะ ฮูหยินจางใจกว้าง เป็นแม่สะใภ้ที่ดีกับท่านพี่เช่นนี้ พระองค์วางใจได้เต็มที่เลยเพคะ”
ฉู่หลิงอวิ้นเป็นราชนิกุล หลัวฮองเฮาก็ไม่ได้เป็นห่วงว่าคนตระกูลจางจะทำอะไรนางอยู่แล้ว แต่ก็พูดไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สะใภ้ที่ออกเรือนก็ควรรักษาข้อปฏิบัติของการเป็นภรรยา พวกเจ้าเองก็โดนเลี้ยงแบบประคบประหงมมาเหมือนกัน ไม่เพียงแต่อันเล่อ สวินหยางกับอวี่ก่วนก็เช่นกัน ต่อไปออกเรือนก็ควรรู้ข้อปฏิบัติ หากทำฝ่าบาทกับข้าขายหน้า ข้าจะไม่ลดโทษให้แน่”
แม้จะเป็นคำพูดกึ่งล้อเล่น แต่ใครได้ยินเข้าก็ไม่มีใครคิดเล่นๆ กันทั้งนั้น
“เพคะ เสด็จย่า/ฮองเฮา!” ทุกคนตอบรับโดยพร้อมเพรียง
หลัวฮองเฮายังมีเรื่องให้คิด เลยไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรกับพวกนางนัก จึงโบกมือขึ้น “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ อวี่ก่วนก็ออกไปด้วย ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักครู่หนึ่ง!”
“เพคะ!” ทุกคนทำความเคารพ ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก
ฉู่สวินหยางเป็นคนไม่ชอบออกหน้าออกตามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงเดินปิดอยู่ท้ายสุด
ส่วนฉู่หลิงอวิ้นเป็นคนชอบเอาหน้า แต่ตอนนี้กลับเดินทิ้งท้ายมาหลายก้าวจนรั้งท้ายคู่กับฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางหันมองไปเล็กน้อย และก็คลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเดิม “ท่านหญิงอันเล่อช่างอดทนดีเสียจริง ละครในวังออกจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ ไม่ไปดูหน่อย ไม่คิดว่าน่าเสียดายหรือ?”
ฉู่หลิงอวิ้นมีจุดเด่นก็คือสิ่งนี้ แม้จะทะเยอทะยาน แต่กลับอดทนต่ออารมณ์ต่างๆได้ดี หากเป็นคนอื่น รู้ว่ามีเรื่องน่าสนใจเช่นนี้อยู่ตรงหน้า และตนยังมีสิทธิ์อยู่ในมือ จะอย่างไรก็ต้องคิดวิธีอยู่ดูกับตัวถึงจะได้อรรถรส แต่นางกลับไม่ทำ…
นางสามารถใช้ฝีมือวางแผนได้หลากหลาย แต่นางกลับรู้แต่หาวิธีเลี่ยงสงคราม ไม่อยากยุ่งเกี่ยวเท่านั้น
สีหน้าของฉู่สวินหยางเหมือนปกติ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆ เสียงที่เอ่ยก็ต่ำทุ้ม ได้ยินกันแค่สองคน
ฉู่หลิงอวิ้นก็เช่นกัน นางเลิกคิ้วแล้วเอ่ย “ระหว่างเจ้ากับข้าอย่าพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้จะดีกว่า จะอย่างไรครั้งก่อนเจ้าก็ทำเรื่องข้าพัง จะชี้ตัวตอนนี้คงไม่จบสิ้น กวางตายใครคือผู้ฆ่า ดูๆ ไปก็คงรู้”
ฉู่สวินหยางหัวเราะอย่างไม่ได้สนใจนัก เว้นครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นมา “ข้าได้ยินว่าเสด็จย่าเหมือนคิดจะเปลี่ยนจวนเดิมของเสด็จป้าหนานคังให้เป็นจวนของท่านหญิงอันเล่อ เช่นนี้ก็นับว่าเป็นของประดับบารมีชิ้นแรกตั้งแต่เปิดเมืองซีเยว่แล้ว”
ตามประวัติ องค์หญิงที่เป็นราชนิกุลออกเรือนก็อาศัยอยู่บ้านฝ่ายหญิง ปกติแล้วกรมวังจะเป็นผู้คุมการสร้างจวนส่วนตัวที่อยู่ข้างนอกขององค์หญิงตลอด แม้จะเป็นท่านหญิงที่ได้รับความรักใคร่จากฮ่องเต้ก็ได้รับสิทธิ์พิเศษนี้เช่นกัน แต่ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองซีเยว่ขึ้นมาไม่เคยมีกรณีนี้มาก่อน
อีกทั้งองค์หญิงหนานคังก็เป็นลูกสาวที่ฮองเฮาหลัวรักใคร่เอ็นดูที่สุด เพียงแต่นางเกิดในปีที่เกิดสงคราม ร่างกายก็อ่อนแออย่างมาก ฮองเฮาสงสารนางจึงได้สร้างจวนองค์หญิงที่แสนหรูหรางดงามนี้ให้นางไว้นานแล้ว แต่องค์หญิงน้อยเคราะห์ซ้ำกรรมซัดนัก ยังไม่ทันโตเป็นสาว ไม่ทันได้ย้ายไปอยู่ ก็จากไปเสียแล้ว
ต่อมาฉู่หลิงอวิ้นก็เข้าตาหลัวฮองเฮา ว่ากันว่าเป็นเพราะหน้าตาของนางละม้ายคล้ายกับองค์หญิงหนานคังตอนนั้นอย่างมาก กอปรกับที่นางมัดใจคนเก่ง นานเข้าก็กลายเป็นคนพิเศษของหลัวฮองเฮา
หลัวฮองเฮาเก็บรักษาคฤหาสน์ขององค์หญิงหนานคังมาโดยตลอด ต่อมาตอนที่ฉู่หลิงอวิ้นถูกหมั้นหมายให้แต่งงานกับซูหลิน ฮองเฮาก็ไม่ได้บอกว่าจะตกรางวัลให้นาง ครั้งนี้…
คิดๆ แล้วคงเป็นการชดเชยให้กับฉู่หลิงอวิ้นเพราะเรื่องสมรสของตระกูลจางด้วย
ฉู่หลิงอวิ้นหรี่ตาเล็กน้อย ท่าทีของนางก็เคร่งขรึมขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “เจ้านี่สืบข่าวเร็วเสียจริง!”
“แต่ก็ไม่เร็วเท่าท่านหญิงอันเล่อหรอกเจ้าค่ะ!” ฉู่สวินหยางโต้อย่างไม่ยอม
ฉู่หลิงอวิ้นสายตาเย็นเยือก เริ่มโกรธขึ้นมา แต่ก็นึกได้ว่าตนอยู่ภายในวังจะอาละวาดไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แค่จ้องฉู่สวินหยางและเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
คนกลุ่มนั้นเดินออกมาจากในตำหนัก พอถึงทางแยกก็เห็นนางกำนัลนางหนึ่งถือกระโปรงวิ่งหน้าตั้งมาจากทางเดินด้านข้างด้วยสีหน้ารีบร้อน มาสะกิดหลัวอวี่ก่วนและกระซิบอะไรบางอย่างข้างๆ หู
เนื่องด้วยท่าทีของนางกำนัลผิดแปลกไป ทุกคนจึงพลอยหยุดฝีเท้ามองไปด้วย แม้ไม่ได้ยินว่านางพูดอะไรกับหลัวอวี่ก่วน แต่ก็เห็นสีหน้าของหลัวอวี่ก่วนซีดเผือดจนร่างเกือบจะทรุดลงตกมาจากบันได
“คุณหนูหลัวอวี่ก่วน!” นางกำนัลนางนั้นรีบเข้าไปพยุง
หลัวอวี่ก่วนส่ายหน้าอย่างตกใจทันที แล้วหันหน้าวิ่งกลับเข้าไปในตำหนักและล้มลงแทบเท้าของหลัวฮองเฮาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว
ทางฟากห้องทรงอักษร ฉู่ฉีเฟิงและทั่วป๋าอวิ๋นจีก็เพิ่งไปถึง ทั้งสองทำความเคารพฮองเต้เรียงกัน ยังไม่ทันได้ไต่ถามเหตุผลที่ฮ่องเต้เรียกพบด่วนครั้งนี้ ขันทีด้านนอกก็นำซูหว่านที่สวมชุดกระโปรงสวยสง่าเข้ามา
คงเป็นพราะสีของชุดที่สว่างเกินไป กอปรกับผิวพรรณของนางที่ขาวซีดอยู่แล้ว ทำให้เห็นได้ชัดว่านางป่วยได้อย่างชัดเจน
คนภายในตำหนักถ้าไม่ใช่ราชนิกุลก็เป็นขุนนางผู้คุมอำนาจ พอมารวมตัวกันอยู่ในห้องทรงอักษร ซูหว่านจึงเดินเข้ามาด้วยความไม่สบายใจ ก่อนจะก้มหน้าคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้ “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”
ในเวลาเดียวกันก็ขมวดคิ้วและเหลือบมองซูหลินด้วยความกังวล
ซูหลินร้อนใจกระวนกระวาย แต่อยู่ต่อหน้าผู้คนจึงพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งเหมือนโดนตอกหมุด
ฮ่องเต้มองคนพวกนั้นด้วยสายตาเย็นชา และชิงพูดขึ้นก่อน “เอาล่ะ พวกเจ้าก็มาครบกันแล้ว ลองพูดมาสิ พวกเจ้าร่วมมือกันโจมตีพร้อมกันทั้งในวังและนอกวังเช่นนี้ คิดจะเล่นอะไรกับข้ากัน!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีรู้ดีอยู่แก่ใจ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา
แต่ซูหว่านกลับตะลึงนั่งแข็งทื่อไปทั้งตัว ก่อนจะเงยหน้ามองฮ่องเต้และเอ่ยอธิบาย “หม่อมฉันช่างเขลานัก ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเหตุใดจึงถามเช่นนี้เพคะ?”
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้หรือ? เรื่องถึงยามนี้แล้วเจ้ายังแกล้งโง่กับข้าอีกหรือ?” ฮ่องเต้มองชุดแดงตระการตาของนาง จึงคิดถึงทั่วป๋าไหวอันที่ฉวยโอกาสหนีไปในคืนสมรสก็เกิดโทสะขึ้นมาอีกรอบ และเอ่ยด้วยความโกรธเคือง “เจ้าบ่าวของตัวเองไปที่ไหน? อยู่ที่ใด? พวกเจ้าใช้โอกาสคืนสมรสทำอะไรลงไป? เจ้ายังอยากให้ข้าถามทีละประโยคอย่างนั้นหรือ?”
ซูหว่านตะลึง เมื่อได้ครุ่นคิดดู จึงพบว่าตนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของทั่วป๋าไหวอัน
“เออ…” นางงงงวยไปชั่วขณะ ทำได้เพียงเงยหน้าไปมองซูหลินอย่างไร้ที่พึ่ง
ซูหลินแข็งใจไปคุกเข่าข้างๆ นาง และเอ่ยด้วยความซื่อสัตย์ “ฝ่าบาท หว่านเอ๋อวานนี้เพิ่งแต่งเข้าไป ทั่วป๋าไหวอันหลบหนีไม่ทิ้งร่องรอยเช่นนี้ เห็นทีคงวางแผนไว้นานแล้ว หว่านเอ๋อนางไม่รู้เรื่องอะไร นางเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอฝ่าบาทไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“หลบ…หลบหนีหรือ?” ซูหว่านเบิกตาโพลง และร้องอุทานอย่างคาดไม่ถึง สีหน้าซีดเผือด
“เช่นนั้น นางก็คงหนีโทษรู้เหตุการณ์แต่ไม่รายงานไม่พ้น” ฉู่อี้หมินที่อยู่ข้างๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงประชด “คืนวานเป็นวันสมรสของท่านหญิงซูหว่าน ตกดึกเจ้าบ่าวหายตัวไป หากไม่มีเจตนาปกปิด เหตุใดนางจึงไม่มารายงาน? หากนางบริสุทธิ์ใจจริง คืนวานก็ควรปล่อยข่าวออกมา หาต้องลำบากผู้อื่นไม่”
เรื่องนี้ซูหลินก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทำได้เพียงแอบดึงชายเสื้อของซูหว่าน
ในยามเดียวกัน ซูหว่านก็ตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว…
………………………………..
บทที่ 94 เจ้าบ่าวไปไหนแล้ว? (4)
โดย
Ink Stone_Romance
คืนก่อนเป็นคืนสมรสของนางกับทั่วป๋าไหวอัน ตัวนางเองก็ต่อต้านงานสมรสครั้งนี้ ทุกข์ใจกับการที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่นั่งรอทุรนทุรายจนถึงเที่ยงคืน สุดท้ายก็ได้ข่าวว่าองค์ชายห้าเมามายไม่ได้สติ ถูกส่งไปพักผ่อนในห้องพัก ให้นางพักผ่อนตามอัธยาศัย
ตอนนั้นนางเอาแต่ดีอกดีใจ เลยไม่ได้ไปสนใจว่าทั่วป๋าไหวอันจะเมาจริงๆ หรือไม่ แค่รู้สึกว่าเหมือนตนได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว
พอตื่นมาตอนเช้า นางก็เตรียมแต่งหน้าแต่งตาเตรียมจะเข้าวังไปแสดงความขอบคุณพร้อมกับทั่วป๋าไหวอัน แต่สุดท้ายก็ได้ข่าวว่าทั่วป๋าไหวอันติดธุระ เข้าวังไปกับนางไม่ได้ แม้นางจะรู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสม แต่เห็นว่าทั่วป๋าไหวอันคอยแบกหน้าในทุกๆ เรื่องตลอด จึงปล่อยเลยตามเลย
นางไม่เคยคิดฝันด้วยซ้ำ เพียงชั่วข้ามคืนสามีของนางกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยในวันแต่งงานของนาง และไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แถมยังทิ้งภาระก้อนใหญ่ไว้ให้นางอีก
ซูหว่านอกสั่นขวัญผวาไปหมด แต่เมื่อเห็นสีหน้าฮ่องเต้ที่สืบคดีอยู่ตรงหน้าก็กลัวจนไม่กล้าร้องไห้ รีบแก้ต่าง “ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ! หม่อมฉันไม่ทราบ หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ คืนวานคนในจวนมารายงานว่าสามีของหม่อมฉันเมาหัวราน้ำจึงพักผ่อนอยู่ที่ห้องพัก หม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่ทราบว่าเขาไม่อยู่ในจวน ยิ่งไม่รู้ว่า…เขา…”
นางคิดไปก็กลุ้มไป ก่อนจะหันรีขวางไปทางทั่วป๋าอวิ๋นจีที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง เอ่ยถามด้วยความฉงน “เกิดอะไรขึ้น? พวกเจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่กัน?”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้วแน่น และหันไปพูดกับฮ่องเต้ด้วยหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ “ฝ่าบาท อวิ๋นจีก็ไม่ทราบเช่นกันว่าคืนวานเกิดอะไรขึ้นเพคะ ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบ หม่อมฉันกับพี่ห้าเดินทางมาไกลจากโม่เป่ย เมื่อวานเป็นงานสมรสของพี่ห้า เรื่องนอกเรื่องในไม่มีใครมาช่วย ยามเช้าตรู่หม่อมฉันก็ต้อนรับใต้เท้าและฮูหยินทั้งหลายในห้องโถง แต่เรื่องในเรือนหอคืนนั้นของพี่ห้า…”
นางเอ่ยด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ และก้มหน้าก้มตาเอ่ยต่อ “เรื่องเรือนหอของท่านพี่ ไม่ว่ายามใดหม่อมฉันก็ไม่มีสิทธิเข้าไปสืบข่าว!”
หลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วมองไปทางซูหว่าน “พี่สะใภ้ห้าคืนวานก็ไม่เห็นพี่ห้าของข้าแล้วหรือ? เหตุใดไม่รีบบอกข้าตั้งแต่เช้าตรู่? เพราะข้าก็ไม่รู้อีโน่อีเหน่ถึงได้เข้าวังไปคารวะฮองเฮา!”
ทั่วป๋าไหวอันกับนางไม่มีญาติสนิทมิตรสหายที่นี่ ฉะนั้นงานสมรสของทั่วป๋าไหวอัน เขาก็ต้องยุ่งมือไม้พันเตรียมการไม่ทันและให้น้องสาวอย่างทั่วป๋าอวิ๋นจีมาช่วยรับผิดชอบเป็นธรรมดา ทั่วป๋าอวิ๋นจีจะบอกว่าตนวุ่นอยู่ทั้งวัน ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องในเรือนหอของทั่วป๋าไหวอันกับซูหว่าน ไม่ว่าใครก็เอาผิดนางไม่ได้!
แต่นางตัวติดกับทั่วป๋าไหวอันเป็นตังเม ยามนี้พี่ชายหนีไปจากเมืองหลวง สภาพตอนนี้ของนางจึงพลอยอึดอัดเสียเหลือล้น
ทั่วป๋าอวิ๋นจีพูดไปก็เศร้าไป นั่งคอตกอยู่ตรงนั้น
ฮ่องเต้กวาดตามองหญิงสาวทั้งสองคนละรอบ…
แต่ก็ไม่พบว่าทั้งสองจะส่งสายตาอะไรแก่กันใดๆ ดูๆ ไปก็เหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่รู้ความจริงๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เขาจึงไม่กล้าเมินเฉยเช่นกัน
ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งขรึม เม้มปากแน่นไม่พูดไม่จา
ซูหว่านเคยเจอเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? นี่เป็นโทษฐานลวงฮ่องเต้เชียว!
นางร้อนรนขึ้นมา จึงหันไปดึงชายเสื้อของซูหลินและเอ่ยวิงวอน “พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าพูดสักสองประโยคสิ ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!”
เหตุใดทั่วป๋าไหวอันถึงหนีไวไปเร็วเช่นนี้? นี่มันคืออะไรกันแน่?
ตอนนี้อารมณ์มากมายผุดขึ้นมาในใจ แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
ซูหลินก็อกสั่นขวัญผวาเช่นกัน เขามองสีหน้าของฮ่องเต้ก่อนจะเอ่ยหยั่งเชิง “ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้มาตามถามที่นี่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นมา กระหม่อมเพียงแต่ไม่เข้าใจเหตุใดองค์ชายห้าจึงลอบหนีออกจากเมืองหลวง? แต่สิ่งที่ต้องรีบเร่งตอนนี้มิใช่หาตัวเขากลับมา แล้วค่อยตัดสินคิดบัญชีหรอกหรือ? เช่นนั้นความจริงของเรื่องนี้ก็คงกระจ่างแล้ว!”
เหตุใดทั่วป๋าไหวอันจึงหนีออกจากเมืองหลวงไป? คนอื่นไม่รู้ แต่ในใจฮ่องเต้กลับรู้ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากไม่ได้เป็นเช่นนี้ เขาคงไม่ถึงกับรีบหูดับตับไหม้ออกจากเมืองหลวงไปเช่นนี้
หากให้ทั่วป๋าไหวอันกลับถึงโม่เป่ย ชายาอ๋องโม่เป่ยผู้ไร้สมองอย่างนางจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นได้อย่างไร? ถึงตอนนั้นโม่เป่ยก็ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว!
หากเป็นแต่ก่อนคงจะไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ผ่านเรื่องยัดของกลางและนักฆ่าก่อนหน้านี้มาแล้ว…
คนผู้นี้ ได้กลายมาเป็นปมในใจของเขาไปแล้ว!
ไฟโกรธในใจของฮ่องเต้ลุกโชนขึ้นมาเรื่อยๆ สีหน้าเต็มไปด้วยบันดาลโทสะ พลางชี้พวกต้าหลี่ซื่อชิงที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า “พวกเจ้าว่ามาสิ! แค่เมืองหลวงเมืองเดียว กองทหารของพวกเจ้ารวมๆ กันมีถึงแสนกว่าคน เหตุใดจึงปล่อยให้คนเล็ดลอดบินโฉบออกไปได้เช่นนี้? พวกเจ้านี่มันไร้ฝีมือ!”
ก็แค่ทั่วป๋าไหวอันคนเดียว แต่ฮ่องเต้กลับโกรธดั่งอัสนีพิโรธเช่นนี้ เห็นที เขาจะตัดสินให้คนพวกนั้นปลดยศจำคุกก็คงไม่น้อยเกินไป
คนพวกนั้นจึงคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง
“ฝ่าบาท วานนี้สองตระกูลในเมืองหลวงจัดงานมงคลพร้อมกัน แล้วทางฟากคฤหาสน์ขององค์ชายห้าก็มีแขกมาเยือนมากอีก เขาจึงฉวยโอกาสที่ผู้คนดื่มด่ำสังสรรค์ไม่ทันสังเกตหนีออกไป แม้จะเดาได้ว่าเขาจะหนีออกไปท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ในวันมงคลได้ลงคอ” ต้าหลี่ซื่อชิงเหยาก่วงไท่รีบอธิบาย “ฝ่าบาทเป็นผู้มีพระคุณ แต่ทั่วป๋าไหวอันนี่ช่างไม่เห็นคุณค่า!”
ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้ว และเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ใต้เท้าผู้นี้โปรดระมัดระวังคำพูดด้วย พี่ห้าของข้าฉวยโอกาสที่วุ่นวายหนีออกไปหรือ? พวกข้าสองพี่น้องมาเป็นแขกเมืองซีเยว่ของพวกเจ้า ถึงพี่ห้าจะออกจากจวนไม่อยู่เมืองหลวงแล้วจะทำไม? พวกข้าสองพี่สองเป็นนักโทษของซีเยว่ของเจ้างั้นหรือ?”
ฮ่องเต้คุมทั่วป๋าไหวอันเข้มเช่นนี้ ทว่าไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจน ฮ่องเต้จึงทำได้เพิ่งกระแอมในลำคอ ไม่พูดไม่จาใดๆ
“ไร้เหตุผล หากมิได้วางแผนมิดีมิร้าย เช่นนั้นองค์หญิงลองพูดมาสิว่าทั่วป๋าไหวอันอยู่ที่ใด แล้วไปที่นั่นทำไม” เหยาก่วงไท่ย้อนกลับ เพื่อผลักภาระของตนเขาจึงยอมกัดฟันฮึดสู้ และเหลือบมองเหลียงอวี่ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนครที่คุกเข่านั่งหน้านิ่งอยู่ข้างๆ “เรื่องนี้ ใต้เท้าเหลียงไม่ควรอธิบายเสียหน่อยหรือ? หลังเรื่องนักฆ่าอาละวาด ประตูเมืองทั้งสามแห่งก็อยู่ในความรับผิดชอบของกองกำลังรักษาพระนครของท่าน ไหนว่าหว่านแหไว้ทั่วฟ้าทั่วปฐพีรอนักฆ่ามาติดกับแล้วมิใช่หรือ? วางกับดักไว้ใหญ่โตเช่นนี้ ทว่าทั่วป๋าไหวอันกลับหนีรอดออกเมืองไปได้ เรื่องนี้…ไม่รู้สึกว่าแปลกไปหน่อยหรือ?”
สายตาของฮ่องเต้มืดมน เมื่อเขาพูดขึ้นมาเช่นนี้ จู่ๆ ก็หรี่ตาใช้ความคิด ก่อนจะมองไปยังฉู่ฉีฮุยที่นั่งอยู่ไม่สุขข้างๆ มาได้พักใหญ่
ฉู่ฉีฮุยเหมือนโดนสายตานั้นสะกด ขนที่ต้นคอก็พลางลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
และก็ได้ยินผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนครเหลียงอวี่เอ่ยอย่างหนักแน่น “กองกำลังรักษาพระนครของกระหม่อมล้วนแต่ฟังบัญชาจากองค์รัชทายาท มิกล้าเกียจคร้านแต่ประการใด โดยเฉพาะวานนี้ ทุกคนที่เข้าออกเมืองล้วนแต่ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนกันทั้งนั้น กระหม่อมกล้าเอาหัวเป็นประกัน ในความดูแลของกระหม่อม ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยเล็ดลอดออกจากเมืองไปแม้แต่ผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาพูดพลางมองตาขวาง และจ้องเหยาก่วงไท่ตาเขียวปัด
เหยาก่วงไท่ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา และเอ่ยอย่างสบายๆ “องค์รัชทายาทเป็นคนเข้มงวด กระหม่อมก็พอได้ยินมาบ้างเรื่องกฎเกณฑ์ในการสอบสวน นับว่าไม่มีขาดตกบกพร่องจริงๆ แต่ถึงจะเข้มงวดไม่สนใครอย่างไร ก็ต้องมีเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมิใช่หรือ?”
เมื่อเอ่ยจบก็ประสานมือโค้งคำนับไปทางฮ่องเต้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมทราบ วานนี้ตอนหัวค่ำ ท่านชายหวงจ่างซุนรีบร้อนพากองทหารกลุ่มหนึ่งออกไปทางประตูเมืองตะวันออก กระทั่งยามสองเกิงจึงกลับมา มิทราบว่ากองทหารส่วนนี้ของท่านชายจ่างซุน ใต้เท้าเหลียงได้ตรวจสอบถี่ถ้วนตามมาตรฐานขององค์รัชทายาทหรือไม่?” สีหน้าของเหลียงอวี่เปลี่ยนไป กัดฟันกรอดไม่พูดไม่จา
ยามเย็นวานนี้ ฉู่ฉีฮุยพากองทหารกลุ่มหนึ่งเร่งร้อนดั่งไฟรนจะออกจากเมือง เดิมทหารเฝ้าประตูก็ไม่ยอมให้ผ่าน แต่ยังไม่ทันจะรายงานข่าวไปถึงเหลียงอวี่ ฉู่ฉีฮุยกลับฝ่าด่านประตูเมืองไปเสียแล้ว
ทหารเฝ้าประตูเกรงในฐานันดรของเขา จึงไม่กล้าใช้อาวุธขัดขวาง ได้แต่ยืนมองเขาจากไป
รุ่งเช้าตอนที่ฉู่ฉีฮุยโดนเรียกเข้าวังแต่เช้าเขาก็รู้สึกผิดปกติ พอได้รู้ว่าทั่วป๋าไหวอันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก็รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว กังวลอยู่นานมาก ทีแรกก็คิดจะอาศัยโชคช่วย พอตอนนี้โดนคนชี้ถามเช่นนี้ เขาก็เริ่มนั่งไม่ติดพื้น ได้ยินเช่นนี้ก็ลุกผลึงออกมาจากเก้าอี้ พลางชี้หน้าเหยาก่วงไท่เอ่ยด้วยความโมโห “เหยาก่วงไท่ เจ้าหมายความว่ายังไง? นี่หาว่าข้าปล่อยทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองไปโดยพลการอย่างนั้นหรือ?”
ยังพูดไม่ทันจบ ในฝ่ามือของเขาก็เหงื่ออกจนเปียกชุ่มไปหมดแล้ว
…………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น