ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 93.1-94.3

ตอนที่ 93-1 หยุดลมปากคนข้างหมอน

 

ชูซย่ากัดกรามแน่น จนเห็นอารมณ์โกรธบนใบหน้ารูปไข่


 


 


“บ่าวอยู่หน้าประตูได้ยินสองสามคำ คล้ายคุณชายรองนั่นกำลังพูดเรื่องขอหมั้นหมายใหม่ คืนความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล อะไรทำนองนี้…”


 


 


ผู้หญิงในบ้านตอนนี้เหลืออวิ๋นหว่านชิ่นเพียงคนเดียว จะหมั้นหมายกับใครได้อีก


 


 


“ถุย! มู่หรงไท่นี่ไร้ยางอายจริงๆ!” เมี่ยวเอ๋อร์ด่าออกมาตรงๆ “ต้องเป็นเพราะเห็นคุณหนูเข้าวังไปครั้งหนึ่ง แล้วเป็นที่ชื่นชอบของไทเฮา จนโด่งดังขึ้นมา อีกทั้งนายท่านก็กำลังจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้ากรมกลาโหม!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไม่ถึงว่ามู่หรงไท่จะรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วยังตามตื้อมาถึงบ้านอีก การแต่งงานก็ถูกยกเลิกไปแล้ว บ้านสกุลอวิ๋นก็ให้ลูกสาวคนหนึ่งไปแล้ว ยังจะทะเยอทะยานอยากไม่เลิก เมื่อกล้าคิดอุกอาจขนาดนี้ นางจึงถกกระโปรงขึ้น พาสาวใช้ทั้งสองตรงไปยังห้องรับแขก


 


 


หน้าประตูห้องรับแขก เมี่ยวเอ๋อร์ไล่บ่าวเฝ้าประตูไป ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นยืนหันข้างอยู่ริมหน้าต่างบานหนึ่ง แอบดูความเคลื่อนไหวด้านใน


 


 


กลางห้องมีลังไม้แดงสองลังวางเปิดอ้าซ่าอยู่ ลังหนึ่งเหมือนจะเป็นม้วนภาพเขียนที่มัดไว้อย่างแน่นหนา อีกลังเป็นเครื่องประดับหยก


 


 


มู่หรงไท่ไม่ทำอะไรที่เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด มาคราวนี้ ยอมลงทุนลงแรงไม่น้อย


 


 


หลังงานเลี้ยงสังสรรค์ในวัง เรื่องของเว่ยอ๋องแดง แต่กลับทำร้ายฉินอ๋องไม่ได้ ซุนจวิ้นอ๋องก็ถูกกักบริเวณอยู่ในจวน โดยมีคนของสำนักพระราชวังคอยเฝ้าดู มู่หรงไท่กลัวว่าเว่ยอ๋องจะส่งคนมาหาตน แล้วถูกคนของสำนักพระราชวังจับได้ จึงอ้างว่าตนกินดื่มในงานเลี้ยงสังสรรค์มากจนท้องเสีย นอนซมอยู่แต่ในห้อง ไม่มีแรงออกจากบ้าน โดยให้แต่ฮว่าซั่นคอยรับใช้อยู่ข้างกาย รอจนพายุลูกนี้ผ่านพ้นไป ค่อยวางใจลง


 


 


ไม่มีใครรู้ว่า วันเวลาที่อยู่ในบ้านนั้น ในหัวสมองของเขามีแต่อากัปกิริยาท่าทางของอวิ๋นหว่านชิ่นขณะอยู่ในงานเลี้ยง รวมทั้งภาพเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้สูงศักดิ์ที่รายล้อมเข้ามา หยอกเย้าเขาอย่างสนุกสนานว่า เขายังไม่ทันวางเดิมพัน ก็ทิ้งหมากเด็ดไปก่อน เหลือแต่หมากที่ไร้ประโยชน์เอาไว้


 


 


นึกถึงทีไร มู่หรงไท่ก็แค้นใจจนต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทุกที


 


 


เคราะห์ซ้ำกรรมซัด พี่ชายของเขามู่หรงอัน กลับจากชายแดนทางตอนเหนือ ครั้งนี้พี่ชายสามารถปกป้องเมืองจากการรุกรานของชนเผ่าเหมิงหนู สร้างผลงานให้กับกองทัพ จึงได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองในวัง และได้รับคำชมจากหนิงซีฮ่องเต้ พร้อมพระราชทานกล่องผลไม้เก้าเก้าให้


 


 


ตำแหน่งผู้สืบทอดหรือซื่อจื่อที่สกุลมู่หรงว่างเว้นไว้เพราะยังตัดสินใจไม่ได้ ถือเป็นกรณีพิเศษที่ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องจากทายาทรุ่นที่สองของสกุลมู่หรงได้เสียชีวิตลงพร้อมกัน บวกกับสิงฮูหยินลำเอียงไปทางฝั่งของสะใภ้รอง ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับราชวงศ์ จึงถ่วงเวลาไว้ เพราะอยากให้มู่หรงไท่ได้รับโอกาสนี้


 


 


แต่พอมู่หรงอันมีผลงาน และได้รับคำชมจากฮ่องเต้ ตำแหน่งผู้สืบทอดจึงเปลี่ยนขั้วทันที มู่หรงไท่คิด


 


 


หน้าคิดหลัง ก็ไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน จึงรีบไปหาท่านย่าสิง เสนอขอหมั้นกับสกุลอวิ๋นใหม่ แต่งคนสกุลอวิ๋นเป็นภรรยา แต่สิงฮูหยินกลับไม่เห็นด้วย เพราะการหมั้นปากเปล่าก่อนหน้านี้ถูกยกเลิกไปแล้ว ถ้าไปขอหมั้นใหม่ มิเป็นการตบปากตัวเองหรอกรึ ท่านโหวอาวุโสไม่มีทางรับปากแน่ พูดก็พูด เหตุใดต้องผูกติดอยู่แต่กับลูกสาวสกุลอวิ๋นด้วย


 


 


มู่หรงไท่เพียงตอบว่า ลูกสาวคนโตของสกุลอวิ๋นตอนนี้กำลังเป็นกุลสตรีที่โด่งดังในเมืองหลวง ครั้งแรกที่เข้าวัง ก็เป็นที่ชื่นชอบของไทเฮาแล้ว ถึงขนาดให้ค้างในวังด้วยหนึ่งคืน ดึงดูดให้ลูกท่านหลานเธอตามจีบกันเป็นพรวน ซึ่งสกุลมู่หรงอาจอาศัยรัศมีของนาง สร้างชื่อเสียงให้กลับคืนมา


 


 


และเนื่องจากสิงฮูหยินลำเอียงจนหน้ามืดตามัว เอ็นดูมู่หรงไท่มาตลอด จึงทนการรบเร้าไม่ไหว อีกทั้งลูกสาวคนโตของสกุลอวิ๋นในตอนนี้ก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วจริงๆ ฮ่องเต้ได้ชื่อว่ากตัญญูต่อพระมารดาเป็นที่หนึ่ง เมื่อนังหนูคนนี้ทำให้ไทเฮาชื่นชอบได้ ก็น่าจะสามารถพูดกับไทเฮาคำสองคำ คิดว่าน่าจะมีน้ำหนักพอที่จะทำให้มู่หรงไท่ได้ตำแหน่งซื่อจื่อไป เพื่ออนาตคของหลานรัก นางจึงรีบไปหารือกับสามี


 


 


ท่านโหวอาวุโสมู่หรงเคยมีประสบการณ์ถูกบีบให้รับอวิ๋นหว่านเฟยเข้าจวนโหวมาก่อน จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับอวิ๋นเสวียนฉั่งอีก แม้มีปฏิสัมพันธ์กันบ้างระหว่างทำงานในราชสำนัก ก็เป็นการพูดคุยแบบผ่านๆ ตอนนี้พอได้ยินฮูหยินบอกว่าอาไท่ยังตัดใจจากลูกสาวคนโตของบ้านอวิ๋นไม่ได้ อยากจะขอนางแต่งงานอีกครั้ง ก็ปฏิเสธทันทีที่ได้ยิน


 


 


ดีที่สองย่าหลานมีความสามารถในการเจรจาพาที เกลี้ยกล่อมจนท่านโหวอาวุโสจนปัญญา ด้วยเห็นว่า ในราชสำนักนั้น แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงผลประโยชน์ที่คงอยู่ตลอดกาล ไม่มีศัตรูถาวร และพอคิดว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ลูกสาวคนโตก็มีความสามารถ ส่วนอวิ๋นหว่านเฟยก็ถูกทิ้งให้อยู่นอกจวน ซึ่งตนหายโกรธไปนานแล้ว จึงไม่ขัดขวางอีก เพียงบอกให้มู่หรงไท่ไปดูลาดเลาก่อนค่อยว่ากัน


 


 


มู่หรงไท่ดีใจมากที่ท่านปู่โอนอ่อนผ่อนตามและไม่ว่าอะไร บวกกับมีท่านย่าคอยหนุนหลัง วันนี้จึงให้บ่าวในบ้านแบกของขวัญชิ้นใหญ่มาที่บ้านสกุลอวิ๋น


 


 


ตอนนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งอยู่ด้านบน เหลือบมองของขวัญสองลังใหญ่ พลางคิด ตั้งแต่เฟยเอ๋อร์แต่งเข้าจวนโหว และถูกทิ้งให้อยู่นอกจวนโหว เขาก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับคนสกุลมู่หรงอีก


 


 


ซึ่งจริงๆ แล้ว ปากของอวิ๋นเสวียนฉั่งด่าทอคนสกุลมู่หรงอย่างสาดเสียเทเสียไปเช่นนั้นเอง ไฉนจะไม่หวังคืนดีกับจวนกุยเต๋อโหวอีกครั้งเล่า เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นตระกูลที่หยั่งรากลึกพอสมควร


 


 


เฟยเอ๋อร์ไม่เอาไหนเอง อนาคตจึงถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้น ส่วนตน เพราะลูกสาวเพียงคนเดียว ถึงได้บาดหมางกับจวนโหว คิดแล้วก็ไม่คุ้ม วันนี้พอเห็นมู่หรงไท่ส่งเทียบมาบอก และมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน แม้ในใจอวิ๋นเสวียนฉั่งยังโกรธอยู่บ้าง แต่ก็บอกให้บ่าวในบ้านไปเชิญเขาเข้ามา และยิ่งเห็นเขานำของขวัญชิ้นใหญ่มาฝาก อีกทั้งยังเอ่ยปากขอโทษขอโพยเรื่องเฟยเอ๋อร์เป็นอันดับแรก สีหน้าก็ดีขึ้นมาก กลับมองออกว่า คุณชายรองนี่ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ถึงได้มาหาตนถึงบ้าน


 


 


ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มู่หรงไท่ก็บอกจุดประสงค์การมาว่า จะมาขอดองกับบ้านสกุลอวิ๋นใหม่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแนบหูเข้ากับหน้าต่าง จึงได้ยินเสียงแดกดันของอวิ๋นเสวียนฉั่งลอยมา


 


 


“ดอง? ทำไม ครั้งนี้จะให้ลูกสาวข้าไปเป็นอนุคนโปรดหรืออนุคนรองอีกล่ะ”


 


 


“ท่านลุงอวิ๋นก็พูดไป”


 


 


มู่หรงไท่กลับมาเรียกขานแบบเดิม ก่อนยกมือขึ้นคารวะ ตาสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


“เรื่องของเฟยเอ๋อร์ ข้าเพียงทำตามความต้องการของท่านปู่ ความต้องการของผู้อาวุโส ข้าในฐานะหลาน ขัดขืนไม่ได้หรอก! ท่านลุงเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใจกว้าง ขออย่าได้ถือสาเรื่องที่ผ่านมา! อย่างไรท่านก็เห็นแล้วว่า การมาของข้าในวันนี้ เพียงพอที่จะแสดงความจริงใจต่อบ้านสกุลอวิ๋น ข้าไม่ลืมชิ่นเอ๋อร์เสมอมา ถ้าวันนี้ท่านตอบรับ จวนโหวก็จะรีบเตรียมดำเนินเรื่องขอแต่งงานทันที ให้การแต่งงานครั้งนี้ เป็นการฟื้นสัมพันธ์อันดีของสกุลมู่หรงกับสกุลอวิ๋นให้กลับคืนมาอีกครั้ง ต่อไปสองตระกูลจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก้าวไกลไปด้วยกัน มีความสุขกันถ้วนหน้า!”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าที่มู่หรงไท่มีท่าทีนอบน้อมเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านโหวอาวุโสเปิดทางสะดวกให้ เจ้าหมอนี่ไม่มีทางมาขอลูกสาวตนที่บ้านหรอก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกทะนงตน ตอนนี้เป็นจวนโหวที่เป็นฝ่ายมาขอร้อง เขาจะรีบร้อนไปทำไม จึงขมวดคิ้ว พลางว่า


 


 


“ไม่ปิดบังคุณชายรอง หลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ในวังเป็นต้นมา ลูกชายของเพื่อนๆ ขุนนางที่ยังไม่ได้แต่งฮูหยินหลายคน ก็มาถามแต่เรื่องของชิ่นเอ๋อร์ จึงไม่ค่อยจะดีนัก ถ้าข้าด่วนตัดสินใจ แล้วเกิดไปล่วงเกินใครเขาเข้า ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”


 


 


ความหมายก็คือให้ตนเองต่อแถว? มู่หรงไท่รู้ว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังปั่นค่าสินสอด ในเมื่อลูกสาวมีสถานะสูงขึ้นมา ราคาก็ย่อมไม่เหมือนเมื่อก่อนอีก จึงกัดฟัน แต่ยังไม่ทันได้พูด หน้าประตูห้องรับแขกก็มีเสียงละมุนละไมดังมา


 


 


“ท่านพี่” 

 

 


ตอนที่ 93-2 หยุดลมปากคนข้างหมอน

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นเหลียนเหนียงยกน้ำชามาด้วยตนเอง แม้แปลกใจ แต่ก็ไม่คิดจะตำหนิอะไร น้ำเสียงกลับอ่อนโยนขึ้น เต็มไปด้วยความรักและทนุถนอม


 


 


“ทำไมเป็นเจ้าไปได้ล่ะ”


 


 


นอกหน้าต่าง อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไม่ถึงว่าเหลียนเหนียงจะโผล่มาในเวลาเช่นนี้ เห็นชัดว่าบิดามิได้บอกนางก่อนว่าให้มารับใช้ จึงนึกสงสัย อนุรองผู้นี้ ตั้งแต่เข้าบ้านอวิ๋นจนได้เลื่อนเป็นอนุ กระทำการใดๆ ล้วนอยู่ในกรอบ ไม่นอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย แต่วันนี้กลับล้ำเส้นอยู่บ้าง จึงจ้องมองนางนิ่ง


 


 


เหลียนเหนียงสวมชุดผ้าไหม เป็นเสื้อสีชมพูอมเทา ทับด้วยเสื้อกั๊กสีเขียว กระโปรงสีฟ้าอมเขียว แล้วใช้ปิ่นฝังอัญมณีฝีมือปราณีตเสียบไว้กับมวยผม มือถือถาดไม้แดง ก้มหน้านำกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาเข้ามา แล้วเดินเข้าไปที่โต๊ะ รินน้ำชาให้ทั้งสองคน เสร็จแล้วจึงว่า


 


 


“ตอนที่ได้ยินว่าท่านพี่คุยกับแขกอยู่ในห้องรับแขกนั้น ข้ากำลังใช้กาใบเล็กต้มชาอู่หลงอยู่พอดี จึงรีบยกมาให้ท่านพี่กับแขก อากาศเย็น ท่านพี่กระเพาะไม่ค่อยดี เหมาะกับการดื่มชาชนิดนี้”


 


 


แล้วจึงชำเลืองมองมู่หรงไท่ที่นั่งอยู่ด้านข้าง


 


 


“คุณชายรองมู่หรงก็ค่อยๆ ดื่มนะเจ้าคะ ข้าไม่รบกวนท่านทั้งสองแล้ว”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งมองนางด้วยสายตารักใคร่เอ็นดูยิ่ง ก่อนยิ้มพลางพยักหน้า


 


 


“วันนี้ลมแรง เจ้าก็ไม่ต้องวิ่งไปมาคอยรับใช้หรอก เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”


 


 


เหลียนเหนียงยิ้มน่ารัก “ขอบคุณท่านพี่ที่เป็นห่วง เช่นนั้นข้าก็ต้องขอตัวกลับเรือนเจี่ยวเย่ว์ก่อน แล้วท่านพี่ยังจะไปทำงานที่ห้องหนังสือต่อหรือเปล่า อย่าทำงานหนักจนเกินไปนะเจ้าคะ ไว้ช่วงเย็นข้าค่อยนำน้ำชาไปให้”


 


 


ขณะพูดก็เจตนากวาดตามองมู่หรงไท่แบบไม่ได้ตั้งใจ


 


 


“ดี” อวิ๋นเสวียนฉั่งพยักหน้าด้วยความพอใจ


 


 


เหลียนเหนียงจึงไม่พูดมากอีก บิดเอวอ้อนแอ้นเดินจากไป


 


 


มู่หรงไท่เห็นอวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งตาเยิ้ม จ้องมองตามนางไป จวบจนนางก้าวข้ามธรณีประตูแล้วเลี้ยวออก ไม่เห็นเงาอีก ค่อยเก็บสายตาคืนกลับ


 


 


เช่นนี้ก็ทำให้มู่หรงไท่ดีใจขึ้นมา เขามีโอกาสแล้ว


 


 


สตรีที่น่ารักน่าชังนางนี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นอนุในบ้านสกุลอวิ๋น เพียงดูจากการแต่งกายของนาง กับการที่นางออกมาต้อนรับแขกเช่นนี้ ย่อมเป็นคนที่เอาอกเอาใจเจ้าของบ้านเก่ง และเป็นคนโปรดหลังบ้านในตอนนี้ พอมาดูการพูดคุยของคนทั้งสอง กับความละเอียดอ่อนเอาใจใส่ที่อวิ๋นเสวียนฉั่งมีให้นาง ช่างอ่อนโยนเสียนี่กระไร ต้องเป็นช่วงที่เขามีความรู้สึกลึกซึ้งมากที่สุดแน่


 


 


ช่วงที่ชายหญิงหวานใส่กันจนน้ำผึ้งเรียกพี่นั้น ผู้หญิงก็คือสมบัติในดวงใจของผู้ชาย


 


 


คำพูดเป่าหูข้างหมอนนี่ล่ะ ชนะอาวุธวิเศษทุกชนิด ร้ายกาจยิ่ง


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ มู่หรงไท่ก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบโดยไม่รู้ตัว แล้วยิ้ม


 


 


“ชาดี ท่านลุงอวิ๋นสายตาแหลมคมมาก”


 


 


ล้วนเป็นผู้ชายเหมือนกัน อวิ๋นเสวียนฉั่งใยไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังพูดถึงอะไร จึงเหลือบตามองไปยังประตูที่ไร้เงาคน คล้ายกับว่าตรงนั้นยังมีเงาร่างของอนุอยู่ พลางรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมา


 


 


มู่หรงไท่กระพริบตาปริบๆ ก่อนพูดถึงเรื่องอวิ๋นหว่านชิ่นอีก ซึ่งอวิ๋นเสวียนฉั่งในตอนนี้ จัดให้จวนโหวอยู่ในสถานะรอดูสถานการณ์ โดยไม่คิดที่จะบาดหมางด้วย แต่ก็ไม่อยากรับปากอย่างรีบร้อนเช่นกัน อย่างไรมีทางเลือกอีกทางก็ไม่เลว จึงยกมือปราม


 


 


“เชิญนำของขวัญกลับไปก่อน ให้ข้าคิดพิจารณาสักระยะเถิด”


 


 


มู่หรงไท่เห็นเขายังคงยืนกระต่ายขาเดียว จึงไม่ขอร้องต่อ ประสานมืออำลา


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งก็รีบเรียกบ่าวให้เดินไปส่งคุณชายรองมู่หรงด้วยความเกรงอกเกรงใจ


 


 


นอกหน้าต่าง อวิ๋นหว่านชิ่นยืดตัวตรง นางไหนเลยจะไม่รู้จักนิสัยของมู่หรงไท่ ถ้าแม้แต่ท่านโหวอาวุโสและฮูหยิน เขายังเกลี้ยกล่อมสำเร็จ การมาในครั้งนี้ ให้ตายอย่างไรเขาก็ต้องพูดจาโน้มน้าวจิตใจบิดาตนให้ได้ จึงไม่มีทางจากไปง่ายๆ เช่นนี้แน่


 


 


ด้านมู่หรงไท่ ขณะบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นเดินนำเขากับเด็กรับใช้ออกมาได้ครึ่งทาง เขาก็พลันตบศีรษะตนเองเบาๆ “จริงสิ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมพูดกับนายเจ้า รอก่อนนะ ข้าขอกลับไปพูดหน่อย”


 


 


ว่าแล้วก็ส่งสายตาให้เด็กรับใช้ บอกให้เขาอยู่พัวพันบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นไปพลางๆ ก่อน


 


 


ซึ่งบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นนี้ก็มิได้สงสัยอะไรเขา ยืนรอเขาอยู่กับเด็กรับใช้ของจวนโหว


 


 


มู่หรงไท่เดินกลับไปทางห้องรับแขก แต่พอรอดพ้นสายตาคน และแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ก็หันกาย เดินมองหาคลำทางไปเรื่อย เพราะดูแล้วจวนรองเจ้ากรมไม่นับว่าใหญ่โต ซึ่งไม่นานเขาก็เจอเรือนเจี่ยวเย่ว์ที่เหลียนเหนียงอาศัยอยู่จนได้


 


 


ซึ่งเหลียนเหนียงเองก็ได้ไล่บ่าวในเรือนออกไปจนหมดแต่แรกแล้ว โดยเหลือเพียงพี่ตงยืนเฝ้าอยู่นอกเรือน และถูกสั่งว่าอย่าให้ใครเข้ามาเป็นอันขาด


 


 


ตอนนี้พอได้ยินเสียงฝีเท้า ก็รู้ว่าคุณชายรองมู่หรงมา จึงรีบออกไปรับ


 


 


พอมู่หรงไท่เห็นว่ารอบๆ เรือนไม่มีคนอยู่ ก็ตระหนักรู้ในทันทีว่า อนุผู้นี้คล้ายรอตนอยู่ก่อนแล้ว การที่นางดอดไปรับใช้ที่ห้องรับแขก ที่แท้เพราะต้องการบอกใบ้ให้ตนมาที่นี่! มิน่าเล่า ตอนนางรินน้ำชาเสร็จ ถึงได้พูดแปลกๆ ออกมาว่า ตนอาศัยอยู่ที่ไหน แถมยังแอบบอกใบ้อีกว่า สักพักอวิ๋นเสวียนฉั่งจะไปทำงานที่ห้องหนังสือ ยังไม่มาเรือนเจี่ยวเย่ว์! ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจงใจ! อนุผู้นี้ จริงๆ แล้วคิดจะทำอะไรกันแน่


 


 


ทว่า ไม่ว่าอย่างไร เขาแน่ใจได้ว่า นางคิดจะช่วยเขา เช่นนั้นก็ดี


 


 


ในเรือน ทั้งสองเลือกยืนในที่ๆ ลับตาคน โดยเหลียนเหนียงเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อนอย่างนุ่มนวล


 


 


“คุณชายรองเป็นผู้ที่มีความสามารถ หล่อเหลาและชาญฉลาด ลูกเขยที่ดีพร้อมเช่นนี้ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดท่านพี่ข้าถึงต้องคิดพิจารณาอีก”


 


 


มู่หรงไท่ยิ้มอย่างรู้ทัน “ทั้งหมดเป็นเพราะว่า เมื่อก่อนบ้านสกุลมู่หรงข้ากับบ้านสกุลอวิ๋นมีเรื่องบางเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ตอนนี้จึงต้องพึ่งพาท่านให้ช่วยพูดจาหว่านล้อมท่านพี่ของท่านให้หน่อย”


 


 


ว่าแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ ก่อนพูดเสียงเบา


 


 


“ถ้าอนุรองช่วยข้า ข้าย่อมตอบแทนอนุรองอย่างแน่นอน ของขวัญที่นำมาในวันนี้ อีกสักครู่ข้าจะบอกให้คนแยกออกมาลังหนึ่ง แล้วนำไปไว้บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเฝิงหยวนที่อยู่หน้าปากซอยจวนสกุลอวิ๋น ซึ่งอนุรองสามารถให้สาวใช้คนสนิทไปเอาได้ทุกเมื่อ…”


 


 


ตอนเหลียนเหนียงก้าวเข้าไปในห้องรับแขก ก็เหลือบมองของขวัญสองลังใหญ่นั่นเหมือนกัน ซึ่งแต่ละลังล้วนมีของล้ำค่าบรรจุอยู่ ถ้านำไปเปลี่ยนเป็นเงิน ก็จะได้เงินเก็บส่วนตัวจำนวนมหาศาล จึงอดไม่ได้ที่จะยินดีปรีดา แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า


 


 


“คุณชายรองไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเช่นนี้ ทำอย่างกับว่าข้าเป็นคนเห็นแก่เงิน”


 


 


ก่อนไป ที่สุดแล้วมู่หรงไท่ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “ทำไมอนุรองถึงอยากจะช่วยข้านัก”


 


 


ทำไมน่ะหรือ เหลียนเหนียงสะดุดกึก ถ้าคุณหนูใหญ่นั่นอยู่ในบ้านหนึ่งวัน นางเดินไปไหนมาไหนก็เหมือนถูกตีตรวนหนึ่งวัน ด้านหลังก็มักคล้ายมีสายตาคู่หนึ่งจับตามองราวกับคู่อาฆาตแต่ชาติปางก่อน! เมื่อเห็นมู่หรงไท่มาขอเจ้าสาวถึงบ้าน คล้ายกระตือรือร้นยิ่ง แล้วทำไมนางจะไม่ช่วยผลักคุณหนูใหญ่นั่นออกไปเสียโดยเร็วเล่า


 


 


สมองคิดเช่นนี้ แต่ปากของเหลียนเหนียงกลับพูดพอเป็นพิธี


 


 


“คุณหนูใหญ่กับคุณชายรองก็เหมือนกิ่งทองใบหยก คู่รักที่เหมาะสมกันเช่นนี้ เมื่อข้าเป็นคนบ้านสกุลอวิ๋น ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลใจอยู่บ้าง”


 


 


มู่หรงไท่ไหนเลยจะเชื่อว่า เมียน้อยอย่างนางจะกังวลใจเรื่องการแต่งงานของลูกสาวเมียหลวง แต่ก็ไม่ได้ถามมากความอีก หัวเราะหึๆ แล้วไปจากเรือนเจี่ยวเยว์


 


 


พอมู่หรงไท่ติดสินบนเหลียนเหนียงเรียบร้อย มาคิดดูอีกที ก็รู้สึกว่าวันนี้อวิ๋นเสวียนฉั่งมีท่าทีกลิ้งกลอกอยู่บ้าง ตนจึงต้องใจกว้างเข้าไว้ ขณะรีบสาวเท้ากลับไปหาเด็กรับใช้ เพิ่งเดินอ้อมระเบียงทางเดิน ก็เห็นว่าด้านหน้ามีคนขวางทางอยู่ จึงชะงักฝีเท้า 

 

 


ตอนที่ 93-3 หยุดลมปากคนข้างหมอน

 

หญิงสาวยืนอยู่ข้างเสาระเบียงต้นหนึ่ง ดวงตาสวยใสทอประกายเย็นชา พุ่งมองมาที่มู่หรงไท่โดยไม่หลบเลี่ยงแต่อย่างใด


 


 


มู่หรงไท่ยิ้ม เมื่อเห็นว่ารอบบริเวณไร้ผู้คน ก็หรี่ตา เดินมือไพล่หลังเข้าหา แล้วจงใจพูด


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนมาหาข้าเอง…ตอนนี้เรายังไม่ได้แต่งงานกัน มาพบกันเป็นการส่วนตัวในบ้านเจ้าดูจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่เจ้าวางใจ อีกไม่กี่วัน เราสองคนก็จะเป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว คราวนี้จะได้เห็นหน้ากันทุกวันเลย” พูดถึงตรงนี้ ก็ทำเสียงต่ำ แล้วหยิกแกมหยอก “เห็นหน้ากันทุกคืนด้วย”


 


 


มุ่งมั่นมากจริงๆ เอาความมั่นใจมาจากไหนกัน อวิ๋นหว่านชิ่นได้แต่จ้องมองเขา พลางพูดอย่างตรงไปตรงมา ช้าๆ และชัดๆ


 


 


“มู่หรงไท่ ข้าไม่สนหรอกว่า เหตุใดเจ้าถึงต้องแต่งกับข้าให้ได้ แต่ชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อๆ ไป ข้าไม่มีวันแต่งกับเจ้าแน่ ส่วนชาตินี้ที่เจ้ามุ่งมั่นขนาดนี้ มิใช่เป็นเพราะต้องการเป็นซื่อจื่อ เป็นท่านโหว เอาชนะพี่ชายเจ้าหรอกหรือ ซึ่งถ้าเจ้ายังยืนกรานที่จะทำให้ข้าเดือดร้อน ข้าก็สามารถทำให้เจ้าอยู่อย่างไม่เป็นสุขได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นเราสองคนควรรักษาระยะห่างไว้ เป็นดีที่สุด”


 


 


มู่หรงไท่รู้ว่านางมาครั้งนี้ เพียงต้องการหยั่งเชิงความคิด และทำลายความเชื่อมั่นของตน จึงย่นจมูกโดยไม่รู้ตัว ตนแค้นท่าทางเย็นชาที่ไม่มีหัวจิตหัวใจของนาง ชาติก่อนหลังจากที่ตนนอกใจนาง นางก็เป็นเช่นนี้ ต่อหน้าไม่เอะอะโวยวาย แต่ลับหลังกลับใช้มีดแทงตน ชาตินี้พอรู้ว่าตนกับอวิ๋นหว่านเฟยแอบมีอะไรกัน ก็ยิ่งเย็นชากับตนดุจน้ำแข็ง แล้วยังเหยียบซ้ำอีก!


 


 


ทำไม ทำไมหญิงสาวนางนี้ถึงไม่ทำตัวเหมือนหญิงสาวทั่วไป ร้องไห้ร้องห่ม แล้วกอดตนไว้ ขอร้องให้ตนอย่าจากไป? ท่าทางที่นิ่งเฉยของนาง ทำให้ตนรู้สึกถึงความพ่ายแพ้!


 


 


เกิดแสงวาบขึ้นในหัวมู่หรงไท่ เขาไม่สนใจใดๆ อีก ก้าวเข้าหาแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้สาวน้อยหน้าหยก


 


 


“เจ้านึกว่า เป็นเพราะตอนนี้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา ข้าจึงมาขอเจ้า? หรือเป็นเพราะพ่อเจ้ากำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้ากรมกลาโหม ข้าจึงนั่งไม่ติด? เจ้านึกว่าข้าไม่เคยเห็นโลกงั้นสิ? เจ้านึกว่าจวนกุยเต๋อโหวตกต่ำจนต้องเกาะบ้านสกุลอวิ๋นกินหรือไง ข้าบอกเจ้า อวิ๋นหว่านชิ่น ถ้าก่อนหน้านี้ เจ้านึกว่าข้ามาตีสนิทกับเจ้าเพราะต้องการแก้แค้นล่ะก็ เลิกคิดได้เลย ตอนนี้ที่ข้ามาขอเจ้า ก็เพราะเจ้าเป็นเจ้า จำไว้นะว่า ข้ากับเจ้าต้องคู่กัน! เมื่อก่อนเจ้าแต่งกับข้า ตอนนี้ก็ถูกกำหนดให้แต่งกับข้า ถ้ามีชาติหน้า และชาติต่อๆ ไป เจ้าก็ยังคงแต่งกับข้าเหมือนเดิม! ได้ยินหรือยัง! ไม่ว่าชาติไหนเจ้าก็เป็นคนของข้า! เว้นเสียแต่ว่าเจ้าสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน! แก้ไขประวัติศาสตร์ ขัดมติสวรรค์!”


 


 


พูดไปๆ อารมณ์ของมู่หรงไท่ก็พลุ่งพล่านขึ้นมา พอเห็นนางเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ ก็ใช้มือบีบ


 


 


คางนาง คิดกระชากเข้ามา


 


 


พอได้ยินคำพูดท่อนหลังๆ ของเขา อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง อะไรคือแก้แค้นตน…แก้แค้นอะไรตน? ยังมี เมื่อก่อนแต่งกับเขา ตอนนี้ก็ถูกกำหนดให้แต่งกับเขา…บ้าบออะไรอีก!


 


 


ยังไม่ทันขบคิด ก็เห็นเขาลงไม้ลงมือ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงอ้าปากตามสัญชาติญาณ แล้วงับลงไปโดยไม่แม้กระทั่งคิด


 


 


พอมู่หรงไท่โดนกัด ก็ได้สติ สะบัดมือแรงๆ แล้วก้าวอาดๆ จากไป


 


 


และในตอนนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ก็วิ่งตึงตังเข้ามา ด้วยไม่ไว้ใจที่คุณหนูใหญ่มาคนเดียว เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมีสีหน้างุนงงอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนคืนสู่ปกติ ก็คิดถาม แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับเอ่ยขึ้นก่อน


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ สองวันนี้เจ้าคอยตามดูมู่หรงไท่ให้หน่อย”


 


 


 


 


ด้านอวิ๋นเสวียนฉั่ง ตกเย็น พอทำงานเสร็จ ก็ตรงไปยังรังรักปัจจุบันเหมือนทุกๆ วัน


 


 


ในเรือนเจี่ยวเย่ว์ เหลียนเหนียงถอดเสื้อคลุมและปัดฝุ่นตามตัวให้เจ้าบ้าน ยื่นชาร้อนให้จิบ จากนั้นก็พาไปนั่งบนตั่งนุ่มนิ่ม แล้วลงมือทุบหลัง บีบนวดคลายกล้ามเนื้อให้ สุดท้ายก็เช่นเคย เดินไปนั่งข้างกู่เจิง เล่นเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ ให้ท่านพี่ฟังคลายเครียด


 


 


วิธีปรนนิบัติสามีที่สมาคมม้าผอมสอนให้กับคนอยากเป็นอนุนั้น ทั้งยอดเยี่ยมและมืออาชีพ มีขั้นมีตอน ค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ชายตกอยู่ในภวังค์ความอ่อนโยนละมุนละไม จนไม่อยากตื่น


 


 


รอจนอวิ๋นเสวียนฉั่งรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีแล้ว เหลียนเหนียงค่อยหาจังหวะ เอ่ยปากถึงเรื่องในห้องรับแขก


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งในตอนนี้เห็นนางเป็นดอกไม้พูดได้ กับสมบัติในดวงใจไปแล้ว จึงมองว่านางบังเอิญได้ยินตอนไปรินน้ำชา ถึงได้ถามขึ้น จึงดึงมือนางมา ยิ้มพลางว่า


 


 


“ทำไมล่ะ เจ้ารู้สึกว่าคุณชายรองมู่หรงนั่นไม่เลวหรือ”


 


 


เหลียนเหนียงเพียงซบลงกับอ้อมอกผู้ชาย ลูบไล้เนื้อผ้าตรงหน้าอกเขาไปมา พลางพูดเสียงหวาน


 


 


“เรื่องการแต่งงานของคุณหนูใหญ่ ข้าไหนเลยจะกล้าพูดพร่ำเพรื่อ เพียงพูดจากสายตาของคนที่มองจากด้านข้าง คุณหนูใหญ่กับคุณชายรองผู้นั้นดูเหมาะสมกันดี คิดไปคิดมา ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่า จะมีลูกเขยที่เหมาะสมเป็นคนที่สองให้เลือกอีก”  


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งลูบคลำมือของอนุคนโปรดพลางสั่นศีรษะ


 


 


“เดิมทีข้าก็ไม่รู้หรอกว่าชิ่นเอ๋อร์มีความสามารถเช่นนี้ เจ้าน่ะยังไม่รู้ว่าตอนนี้นางโด่งดังมากในหมู่ลูกชายเจ้าใหญ่นายโต พวกเขาล้วนพูดกันว่านางเป็นที่โปรดปรานของไทเฮา อีกทั้งได้ทำการช่วยเหลือลูกสาวนายทหารผู้ล่วงลับเอาไว้ ค่อนข้างมีความห้าวหาญและจิตใจแบบสตรียุคบุกเบิกบ้านเมืองเลยทีเดียว ผู้ร่วมงานไม่น้อยทั้งผลักทั้งดันลูกชายหลานชายของพวกเขากับข้า ในจำนวนนี้ สถานะก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณชายจากจวนกุยเต๋อโหวเลย แล้วจำเป็นด้วยหรือที่ข้าต้องถอยหลังกลับไปฝืนใจปรองดองด้วย ตอนแรกตาเฒ่าของจวนโหวนั่นมิได้โกรธข้าหรอกหรือ ครั้งนี้ข้าจึงต้องเลือกให้ดีๆ สักหน่อย!”


 


 


เหลียนเหนียงคลึงหน้าอกเขาเบาๆ คล้ายช่วยให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก พลางพูดด้วยโทนเสียงที่ราบเรียบ “ข้าขอพูดในสิ่งที่ไม่ควรจะพูดเล็กน้อย ท่านพี่ฟังแล้วอย่าเพิ่งโกรธข้าล่ะ”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งอยากกลืนกินนางลงไปทั้งตัวแทบไม่ทัน ไหนเลยจะโกรธนางลง “ว่ามาสิ”


 


 


เหลียนเหนียงจึงค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงสูงต่ำอย่างมีจังหวะจะโคน


 


 


“ชื่อเสียงนี้หนอ มีทั้งของจริงและของปลอม คุณหนูใหญ่โดดเด่นในชั่วพริบตา จึงถูกกล่าวขวัญขึ้นมา ความโด่งดังเช่นนี้ อาจเป็นเพียงภาพลวงตา คุณชายของบ้านเจ้าใหญ่นายโตเหล่านั้นแค่เห่อกันไปชั่วขณะ เหมือนร้านข้างถนน ที่พอคนเห็นว่าคึกคักก็กรูกันเข้าไปดู ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาขายอะไรกัน จะมีสักกี่คนเชียวที่คิดจะซื้อของอย่างจริงจัง ท่านพี่ลองคิดดู คุณชายเหล่านั้นก็แค่มาแอบสืบข่าวคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ทำอะไรจริงจัง แต่คุณชายรองมู่หรงนี่สิ มีความจริงใจ เข้ามาขอลูกสาวเขาถึงบ้าน แสดงว่าจวนโหวมีใจจริง อีกอย่าง บ้านสกุลอวิ๋นกับจวนโหวก็มีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอด พูดแบบบ้านๆ ก็คือ กินของสด มิสู้กินของสุก! หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องถอนหมั้นกันมา ความสัมพันธ์ของจวนโหวกับบ้านอวิ๋นก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น คุณชายรองย่อมไม่กล้าเหลวไหลอีก กลับยิ่งทนุถนอมคุณหนูใหญ่ และให้ความสำคัญกับสกุลอวิ๋นเพิ่มมากขึ้น ท่านว่าจริงไหมเจ้าคะ ท่านพี่…”


 


 


ทุกถ้อยกระทงความล้วนสอดคล้องกับความคิดของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ราวกับแทงถูกใจดำอย่างไรอย่างนั้น นางพูดในสิ่งที่เขาไม่มั่นใจอยู่เป็นทุนเดิมออกมาจนหมด ทำให้เขาครุ่นคิดขึ้นมา


 


 


เหลียนเหนียงก็ไม่รีบ เปลี่ยนเป็นสนทนาเรื่องอื่นแทน จวบจนตกดึกค่อยหาโอกาสตีเหล็กเมื่อยังร้อน พูดกล่อมอีกรอบ เมื่อถูกผู้ร่วมเรียงเคียงหมอนเป่าหูติดต่อกันวันสองวัน ไฟก็ถูกจุดจนติดจนได้ ด้วยอวิ๋นเสวียนมักคล้อยตามเสมอ เขาจึงกำชับม่อไคไหลว่า รุ่งขึ้น ให้ไปจวนกุยเต๋อโหว นัดคุณชายรองมู่หรงให้มาคุยกันที่บ้าน


 


 


พอเมี่ยวเอ๋อร์รู้เรื่องนี้จากม่อไคไหล ก็รีบวิ่งไปบอกคุณหนูใหญ่


 


 


ชูซย่าโมโหจนกำหมัดแน่น “ไปๆ มาๆ หรือจะส่งคุณหนูกลับบ้านมู่หรงอีก ของขวัญก็ขนออกหมดแล้วนี่ นึกว่าปฏิเสธไปแล้ว ทำไมถึงเปลี่ยนความคิดได้ล่ะ นายท่านคิดอย่างไรกันแน่!”


 


 


“คิดอย่างไรน่ะหรือ” เมี่ยวเอ๋อร์เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย “ก็มีคนเป่าหู ใส่ไฟอยู่ข้างหมอนทุกวันน่ะสิ!”


 


 


ก่อนเดินเข้าใกล้ แล้วพูดเสียงต่ำ “วันนั้นบ่าวตามมู่หรงไท่ออกนอกจวน เห็นเขาสั่งเด็กรับใช้ให้ขนของขวัญไปยังโรงเตี๊ยมเฝิงหยวน เปิดห้องๆ หนึ่งบนชั้นสอง แล้วยกของขวัญลังหนึ่งเข้าไปวาง ค่อยจากไป บ่าวรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมมู่หรงไท่ไม่ขนกลับบ้าน แต่นำไปวางไว้ในโรงเตี๊ยม จึงจ้างเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งให้ช่วยเฝ้าดู วันนี้พอไปถาม ท่านเดาสิว่าเป็นเช่นไร!”


 


 


“เป็นเช่นไร” ชูซย่ารีบถาม


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์จึงว่า “พี่ตงมาโรงเตี๊ยมเฝิงหยวน พร้อมแรงงานแบกหามสองคน มาแบกลังๆ นั้นออกไป ไม่ต้องพูดแล้ว มู่หรงไท่ติดสินบนเหลียนเหนียงให้ช่วยเป่าหูนายท่านแน่ๆ! เสียดาย! บ่าวมิได้เฝ้าดูด้วยตัวเอง หาไม่แล้วต้องสะกดรอยตามไปดูให้แน่ชัดว่า ของขวัญถูกนำไปซ่อนไว้ที่ไหน จะได้มีหลักฐานไปหานายท่าน ฉีกหน้ากากอนุรองนั่น!”


 


 


ดวงตาอวิ๋นหว่านชิ่นทอประกายบางๆ “ท่านพ่อยังไม่ได้บอกท่านย่านะ”


 


 


“น่าจะยัง เพราะเพิ่งบอกพี่ข้าว่า พรุ่งนี้เช้าให้ไปเชิญมู่หรงไท่มา” เมี่ยวเอ๋อร์ว่า


 


 


“ไปเรือนตะวันตก” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดอย่างมั่นใจ


 


 


ลมปากของผู้ร่วมเรียงเคียงหมอน? ต้องฉวยโอกาสตอนที่ยังพัดไม่รุนแรง ดับเสีย! 

 

 


ตอนที่ 93-4 หยุดลมปากคนข้างหมอน

 

เรือนตะวันตก


 


 


เนื่องจากหมู่นี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ทำให้อาการปวดเข่าของถงฮูหยินกำเริบ เวลาส่วนใหญ่ของนางจึงหมดไปกับการนั่งพักอยู่บนเตียง โดยเฉพาะหลังจากงานเลี้ยงรับกลับบ้าน นางก็ไม่ค่อยได้ออกจากเรือน วันนี้ก็นั่งอยู่ในห้อง แช่เท้ากับสูตรยาสมุนไพรจากตำรายาฝูโซ่วที่อวิ๋นหว่านชิ่นให้ไว้ก่อนหน้านี้


 


 


ครั้งแรกที่ใช้ยาแช่เท้า ถงฮูหยินยังนึกขำว่า ดอกเทียนบ้านไหนเลยจะใช้รักษาโรคข้ออักเสบได้ แต่ไปๆ มาๆ พอลองใช้ดูระยะหนึ่ง กลับได้ผลจริงๆ ตอนอาการปวดกำเริบและปวดสุดๆ นั้น กล้ามเนื้อที่เข่าและเท้าจะขึงจนแน่นตึง คล้ายขนมหมาฮวา (ปาท่องโก๋ทอดกรอบบิดเป็นเกลียว) อย่างไรอย่างนั้น กลัวก็แต่ไม่ทันระวัง จะได้ยินเสียงเส้นเอ็นขาดดัง ’ผึง’ เข้า แต่พอแช่เท้าไม่กี่ครั้ง ก็รู้สึกว่าเส้นเอ็นคลายตัวลง และรู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ต้นฤดูหนาว ก็ยิ่งรู้สึกสบายขึ้นมาก


 


 


ขณะผู้อาวุโสกำลังนั่งแช่เท้าจนหน้าแดงไปหมด เพราะเลือดลมไหลเวียนดีนั้น สาวใช้ก็เลิกผ้าม่านขึ้น บอกว่าคุณหนูใหญ่มา แต่พอได้ยินว่าผู้อาวุโสแช่เท้าอยู่ ก็ยืนรออยู่นอกหน้าต่าง ไม่ได้เข้ามา


 


 


ถงฮูหยินจึงยิ้มหน้าบาน “ยังไม่เรียกชิ่นเอ๋อร์เข้ามาอีก! ข้างนอกหนาวจะแย่ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี!”


 


 


รอจนหลานสาวเดินเข้ามา ถงฮูหยินก็กวักมือเรียก


 


 


“เมื่อก่อนใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยล้างเท้าให้ย่า ตอนนี้ทำไมถึงขี้อายขึ้นมาล่ะ! ย่าชอบมือเล็กๆ นุ่มนิ่มของเจ้ายิ่งนัก นวดแล้วรู้สึกสบายเป็นที่สุด…”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดอะไร กลับดูเคร่งขรึมกว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง นางค่อยๆ ย่อตัวลง นั่งยองๆ ล้างเท้าให้ท่านย่า ซึ่งถงฮูหยินรู้สึกว่าวันนี้ท่าทางนางไม่เหมือนเช่นเคย ดูแปลกออกไป พอดูอีกที ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ไหล่บางๆ ของหลานสาวขยับขึ้นลง เสียงสะอื้นลอยมาเป็นพักๆ จึงค่อยๆ ดึงนางขึ้น แล้วก็ต้องตกใจ ดวงตาหลานสาวแดงระเรื่อ!


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์เป็นอะไรไป อย่าทำให้ย่าตกใจสิ!”


 


 


เป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นร้องไห้ จึงใจเต้นตูมตาม ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงที่ปกติทำอะไรไม่เป็น แล้วชอบร้องไห้ก็ว่าไปอย่าง แต่หลานสาวคนนี้มีสติแบบผู้ใหญ่มาตลอดนี่นา


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์กำลังคิดว่า ไม่รู้จะมีโอกาสล้างเท้าให้ท่านย่าอีกกี่ครั้ง จึงรู้สึกเศร้าใจ” เสียงร้องไห้ฮือๆ สะอึกสะอื้นไม่หยุด


 


 


ผู้อาวุโสไม่แช่เท้าแล้ว รีบเช็ดเท้า แล้วใส่รองเท้าผ้าสำลีที่สาวใช้ส่งมาให้ จากนั้นก็ลากหลานสาวมานั่งข้างๆ ค่อยๆ ถามเรื่องราว ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังสะอื้นไห้ไม่หยุด หยดน้ำตาใสๆ ติดอยู่บนขนตา แต่ไม่เลอะเทอะ คล้ายนางถูกปั้นขึ้นจากน้ำก็มิปาน ริมฝีปากดุจกลีบดอกไม้ อ้าแล้วก็หุบลง


 


 


ถงฮูหยินเห็นแล้วก็เจ็บปวดใจยิ่ง กลับเป็นเมี่ยวเอ๋อร์ที่ตามมาด้วย ส่งเสียงพึมพำขึ้น


 


 


“…ผู้อาวุโส นายท่านเหมือนอยากให้คุณหนูใหญ่ออกเรือนแล้ว ดูรีบร้อนมาก”


 


 


ถงฮูหยินอึ้ง นี่เป็นเรื่องดีนี่นา! แต่…เจ้ารองไม่เห็นมาบอกตนเลย! คิดๆ ดูก็รู้สึกไม่ถูกต้อง จึงรีบถามพลางขมวดคิ้ว “บ้านไหนกันที่มาขอ นายท่านพอใจหรือ”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ทำปากยื่น “เป็นคุณชายสกุลมู่หรงจากจวนกุยเต๋อโหว”


 


 


“นั่น…นั่นมันไม่ใช่บ้านสามีน้องรองเจ้าหรอกหรือ! แต่งกับใคร อย่าบอกนะว่าเป็นคุณชายรองนั่น?” หญิงชราพลันตกใจ


 


 


“ผู้อาวุโส จวนกุยเต๋อโหวมีคุณชายสองท่าน ผู้มาย่อมเป็นคุณชายรอง” เมี่ยวเอ๋อร์ตอบเสียงเบา


 


 


เมื่อเห็นชะตากรรมของอวิ๋นหว่านเฟย ถงฮูหยินจะรู้สึกดีกับจวนกุยเต๋อโหวได้อย่างไรกัน ยิ่งความประทับใจในตัวมู่หรงไท่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หมอนี่หลอกล่อนังหนูรองให้ผิดประเวณีก่อนแต่ง งามหน้าจนต้องมาขอนางเป็นอนุอย่างไม่มีทางเลือก ทำให้นางหมดอนาคต ต่อมายังทำเป็นไม่รู้จัก ให้นางไปอยู่นอกบ้านอีก


 


 


ตอนนี้เจ้ารองเหลือชิ่นเอ๋อร์เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นลูกสาวคนโตและลูกสาวคนโปรดอีก ย่อมต้องเลือกให้รอบคอบ แล้วทำไมต้องยัดให้กากเดนพรรณนั้นด้วย?!


 


 


หรือลูกสาวทั้งสองของเจ้ารอง ล้วนเสียเปรียบคุณชายรองนั่นแล้ว เขาถึงได้นั่งกระดิกเท้ารอรับคนเพียงอย่างเดียว


 


 


แม้จวนกุยเต๋อโหวนั่นสูงศักดิ์ คุ้มค่าที่จะดองด้วย แต่เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ ลูกท่านหลานเธอก็มีอยู่มากมาย ทำไมต้องเป็นคนสกุลมู่หรงคนนี้คนเดียว


 


 


ถงฮูหยินสูดหายใจเข้า “ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า ในบ้านก็ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย พ่อเจ้าก็ไม่เคยเปรยกับข้าสักคำ”


 


 


หึ รอให้คนพูดถึงก็สายเสียแล้ว! อวิ๋นหว่านชิ่นปาดน้ำตา ก่อนพูดเสียงเบา “ท่านย่า ท่านพ่อไม่ได้เปรยให้ท่านฟัง แต่เปรยให้ผู้อื่นฟังไปแล้ว…กระทั่งบ่าวที่เรือนเจี่ยวเยว์ก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว”


 


 


คำๆ นี้ สะกิดใจถงฮูหยินพอสมควร จนรู้สึกเครียด จึงบอกกับตัวเอง ดีนี่เจ้ารองของเจ้า


 


 


โดยยังไม่พูดถึงเรื่องที่ว่า ควรหรือไม่ควรแต่งกับมู่หรงไท่ พูดถึงเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ ลูกสาวคนโตจะออกเรือนทั้งที กลับไม่มาบอกนางสักคำ จวนสกุลอวิ๋นก็แค่นี้ มิน่าเล่า นางถึงไม่ได้ข่าว ที่แท้ก็หารืออยู่แต่กับอนุรองนี่เอง! เหลียนเหนียงนั่นดูเหมือนประพฤติตัวตามกรอบประเพณี มาคารวะทุกสามเวลา และทุกครั้งที่มาก็สงบเสงี่ยม เคารพนบนอบ แต่ก็ไม่ได้พูดให้ฟังสักคำเหมือนกัน!


 


 


เรื่องนี้ท้าทายอำนาจของหญิงชรามาก เดิมทีพอแช่เท้าเสร็จ หน้าของนางจะแดง แต่ตอนนี้โกรธจนเหวี่ยงไปหมด หันไปสั่งมอมอ


 


 


“ไปเรียกเหลียนเหนียงมาหน่อย!”


 


 


นางไม่เพียงทำเพื่อหลานสาว แต่ทำเพื่อเรียกร้องศักดิ์ศรีให้ตนเองด้วย


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เข้าใจแล้ว จึงเผยอริมฝีปากเล็กน้อย คุณหนูใหญ่นี่…ภายนอกเหมือนมาบ่นให้ฟัง แต่จริงๆ แล้วมาฟ้องต่างหาก


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรีบดึงแขนเสื้อถงฮูหยินไว้


 


 


“ท่านย่า อย่าหงุดหงิดไปเลย ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายเปล่าๆ…ช่างเถิด คงเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของ


 


 


หลานตอนล้างเท้าให้ท่านย่าเท่านั้น ถ้าขืนเรื่องลุกลามใหญ่โต ท่านพ่ออาจตำหนิหลานว่า ไม่ควรปากมาก ทำลายความสัมพันธ์ของอนุคนใหม่กับผู้อาวุโสในบ้าน!”


 


 


แล้วจึงก้มศีรษะลง แต่ใบหน้ากลับเขียนคำว่า ‘ทำเลย ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเลย กลัวก็แต่จะไม่ใหญ่’


 


 


“เขากล้ารึ!” ถงฮูหยินพูดอย่างมีเหตุมีผล “ข้ารู้ของข้าเองไม่ได้รึไง ดูซิใครจะกล้าปากมากอีก เรื่องที่เหลือเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด”


 


 


ว่าแล้วก็หันมอง มอมอกับบ่าวที่อยู่ในห้องจึงรีบก้มหน้า


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นวางใจลง จึงไม่พูดมากอีก พาเมี่ยวเอ๋อร์ออกจากเรือนไปก่อน


 


 


 


 


ด้านเหลียนเหนียง วันนี้ก็รีบบอกให้พี่ตงหาแรงงานแบกหามตามข้างถนนไปแบกลังของขวัญ เพราะเกรงว่านานวันเข้า อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยให้นำลังเครื่องประดับล้ำค่าไปจำนำไว้ที่โรงรับจำนำ ตอนนี้นางจึงนั่งอยู่ในเรือนเจี่ยวเย่ว์ ถือตั๋วแลกเงินจำนวนมหาศาลไว้ในมือ มองแล้วมองอีก พลางคิดหาที่เก็บซ่อนให้มิดชิด ตู้เก็บสมบัติในห้องก็เด่นสะดุดตาจนเกินไป กล่องเก็บเครื่องสำอางก็ไม่ปลอดภัยพอ ใต้เตียงก็กลัวว่าพวกบ่าวอาจมือเท้าไม่สะอาด ขโมยไปตอนมาปัดกวาดเช็ดถูห้อง


 


 


เหลียนเหนียงหาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังหาที่เก็บไม่ได้ แต่แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่า ในเรือนหลังเล็กมีที่ๆ ปลอดภัยอยู่ที่หนึ่ง เป็นที่ๆ ท่านพี่เคยพูดถึง จึงรีบนำตั๋วแลกเงินไปเก็บไว้


 


 


ขณะเพิ่งกลับถึงห้องนอน มอมอจากเรือนตะวันตกก็มาหา บอกว่าถงฮูหยินเรียกพบ เหลียนเหนียงจึงรีบตอบรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ ข้าขอแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะรีบไปทันที”


 


 


เรือนเจี่ยวเย่ว์ถูกกั้นไว้ด้วยรั้วไม้เตี้ยๆ พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหลียนเหนียงพาพี่ตงเดินออกมา ก็หันไปกระซิบข้างหูเมี่ยวเอ๋อร์


 


 


“ด้านนอกไม่มีคน เจ้าอยู่ดูไว้ ข้าจะเข้าไปหาด้านใน”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์อึ้ง “คุณหนูใหญ่จะหาอะไร”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเพียงยิ้ม “มู่หรงไท่ให้ของนางมาหนึ่งลังใหญ่ ข้ารู้สึกว่านางจะมีที่เก็บหรือ เป้าสายตาใหญ่ขนาดนั้น วางไว้ที่ไหนก็ไว้ใจไม่ได้หรอก! มิสู้เปลี่ยนเป็นเงินหรือตั๋วแลกเงินดีกว่า!”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เข้าใจในทันที


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปในเรือนหลังเล็ก แล้วตรงเข้าไปที่ห้องนอนของเหลียนเหนียง นางเองก็มีเงินทองอยู่เล็กน้อย ย่อมรู้ว่าควรเก็บไว้ที่ไหนจึงจะปลอดภัยสุด แต่หาอยู่หลายที่ก็ยังหาไม่เจอ ลังเลสักพัก หรือเหลียนเหนียงยังไม่ทันได้เปลี่ยนเป็นตั๋วแลกเงิน


 


 


ขณะคิดจะออกไป สมองก็วาบขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงที่ๆ หนึ่งในเรือนเจี่ยวเย่ว์ 

 

 


ตอนที่ 94-1 หญิงชราลมจับ

 

หลังจากคนสกุลอวิ๋นสร้างจวน ตั้งรกรากในเยี่ยจิงสำเร็จ เรือนเจี่ยวเย่ว์ก็เป็นเรือนหลังแรกที่ช่างทำการตกแต่งแล้วเสร็จ และถูกใช้เป็นห้องหนังสือของอวิ๋นเสวียนฉั่งมาสิบกว่าปี แม้ตอนนี้อวิ๋นเสวียนฉั่งบอกให้บ่าวในบ้านซ่อมแซมต่อเติม เพื่อให้เหลียนเหนียงย้ายเข้ามาอยู่ แต่นอกจากห้องนอนและห้องปีกข้างแล้ว ระเบียงและกำแพงบางส่วนยังมีคราบเหลืองเป็นจุดๆ บ่งบอกร่องรอยทางประวัติศาสตร์ให้เห็น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ตอนที่ตนยังเล็กมากๆ นั้น บิดามารดาก็เริ่มระหองระแหงกันแล้ว และพอไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้เป็นเมียน้อย บิดาก็อยู่แต่กับเมียน้อย เย็นชากับเมียหลวง น้อยครั้งนักที่จะไปเรือนมารดา สวี่ฮูหยินก็ค่อยๆ ทำใจได้ และมักฉวยโอกาสตอนที่สามีไม่ใช้ห้องหนังสือ พาลูกสาวมาที่เรือนเจี่ยวเย่ว์ หาหนังสือมาอ่าน ฆ่าเวลาไปวันๆ สองแม่ลูกช่วยกันนำโต๊ะไม้แดงสี่เหลี่ยมตัวเตี้ย มาวางไว้ข้างหน้าต่าง บนพื้นที่ยกสูงไว้นั่งเล่น เพื่อใช้อ่านหนังสือ ฟังเสียงฝน ชมพระอาทิตย์ ท่องบทกวี เขียนอักษรพู่กัน


 


 


สวี่ฮูหยินเศร้าเสียใจที่สามีห่างเหินและนอกใจ จึงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้กับลูกสาว โดยใช้ห้องหนังสือแห่งนี้ สอนหนังสือลูกสาวอย่างจริงจัง ทั้งอ่านและเขียนหนังสือ วาดภาพ ดีดพิณ ด้วยต้องการบ่มเพาะให้ลูกสาวเป็นกุลสตรีที่รอบรู้และรู้จักมารยาท สวยสง่าอย่างมีคุณค่า


 


 


นับเป็นความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกได้ถึงการปลอบประโลมและให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกันระหว่างแม่ลูก ในโมงยามที่ต่างไม่ได้รับการเอาใจใส่และอยู่ในสภาวะกึ่งถูกทอดทิ้ง


 


 


ห้องนอนของเหลียนเหนียงในตอนนี้ เมื่อก่อนมีหนังสือสารพัดสารพันเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะก้าวออกจากห้อง ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ผุดขึ้น แม้เลือนราง ก็ยังสามารถเห็นร่างที่ยังสาวของมารดานั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างหน้าต่าง ใบหน้าสดใสมีน้ำมีนวลอมยิ้ม ปรากฏลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างแบบเดียวกับตน กำลังอ้าและหุบปาก คล้ายกำลังสอนเด็กเล็กอย่างตนให้อ่านหนังสือสารานุกรม ประวัติศาสตร์ ศีลธรรม วัฒนธรรมประเพณี นิทานยี่สิบสี่ยอดกตัญญู หรือแม้แต่ปรัชญาสำหรับเด็ก


 


 


หนังสือคล้ายสามารถชำระล้างจิตใจคน ทำให้คนลืมโลกที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าตน ตนจะไม่เห็นความเศร้าเสียใจและความอึดอัดใจในชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลวบนใบหน้าของมารดา


 


 


“ท่านแม่…”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นชะงักฝีเท้าพลางร้องเรียกในใจ ขณะอยู่ตรงหน้าความว่างเปล่าข้างหน้าต่างอันไร้ซึ่งผู้คน


 


 


เพราะเหตุนี้ หลังจากสวี่ฮูหยินจากโลกนี้ไป อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ได้เข้ามาเหยียบเรือนเจี่ยวเย่ว์อีก ที่นี่ เงาร่างของมารดายังคงเด่นชัดเสมอ ภาพที่เห็นง่ายต่อการทำร้ายจิตใจ แม้นางได้เกิดใหม่ ก็ยังไม่คิดจะมา


 


 


หลังจากสวี่ฮูหยินเสียชีวิต ร่างก็ถูกบรรจุไว้ในโลงศพ วางไว้ในจวนอยู่หลายวัน ถึงจะเคลื่อนกลับไปฝังยังสุสานสกุลอวิ๋นที่ไท่โจว ระหว่างนี้ สำหรับเด็กอายุแปดขวบอย่างอวิ๋นหว่านชิ่น ราวกับเป็นความฝันที่สับสนและมึนงง ตอนนี้พอนึกถึงก็รู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ชาติก่อนตนอ่อนแอมาก ตอนนั้นตนไม่อยากจะเชื่อว่าไม่มีมารดาแล้ว ตอนที่ร่างของมารดาถูกวางไว้ในห้องโถง ยังไม่บรรจุลงในโลงศพนั้น นางไม่กล้าเข้าไปดูแม้แต่น้อย และวัน


 


 


เคลื่อนศพมารดากลับบ้านเกิด นางก็อยู่แต่ในห้อง ดูแลอวิ๋นจิ่นจ้งที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ไม่ได้ออกมาส่งศพ


 


 


ถ้าย้อนกลับไปในวันส่งศพมารดาได้ นางต้องอยู่เฝ้าศพและมองดูมารดาเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน!


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บอารมณ์เศร้าโศก แล้วรีบก้าวเดินต่อ ยังไม่ลืมจุดประสงค์ของการมาเรือนเจี่ยวเย่ว์


 


 


พอออกจากห้องนอน ก็เลี้ยวไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องปีกข้าง


 


 


เป็นไปตามคาด สลักประตูห้องถูกลงกลอนโลหะไว้อย่างแน่หนา


 


 


ห้องๆ นี้ตอนนี้ถูกใช้เป็นห้องเก็บของในเรือนเจี่ยวเย่ว์ แต่เมื่อครั้งสวี่ฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ ห้องๆ นี้ถูกใช้เป็นห้องพักผ่อน สำหรับผู้ที่อ่านหนังสือหรือทำงานในห้องหนังสือจนเมื่อยล้า ก็สามารถมาพักผ่อนในห้องได้


 


 


ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นยังเล็ก คัดลอกตัวหนังสือจนง่วงและสัปหงกติดต่อกัน สวี่ฮูหยินก็จะยิ้มอย่างเอ็นดู วางตำราในมือลง แล้วอุ้มลูกสาว เดินเข้าไปในห้องข้างๆ พร้อมสาวใช้ ให้ลูกสาวนอนพักในห้อง


 


 


แม้เวลาล่วงเลยมานาน แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังจดจำห้องนี้ได้ทุกซอกทุกมุม ชนิดหลับตาก็คลำหาเจอ!


 


 


เมื่อก่อนห้องนี้ไม่เคยใส่กลอน ตอนนี้เมื่อเป็นเพียงห้องเก็บของเบ็ดเตล็ด จำเป็นด้วยหรือที่ต้องใส่กลอน


 


 


กลอนโลหะมีความแวววาว เป็นกลอนใหม่ที่เพิ่งถูกคล้องเข้าไปอย่างเห็นได้ชัด


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยิ่งมั่นใจ เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนวิ่งไปยังลานหน้าห้อง


 


 


ปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว ใบของต้นมะยมหินที่ตั้งตระหง่านร่วงจวนจะหมดต้นอยู่รอมร่อ ใต้ต้นจึงมีกิ่งไม้เล็กๆ ที่กวาดไม่หมดอยู่จำนวนหนึ่ง


 


 


นางหยิบกิ่งที่ดูตรงแต่หยาบขึ้นมาหนึ่งกิ่ง ออกแรงหักเต็มที่ พอเห็นว่ากิ่งแข็งแรงมาก ไม่หัก ก็รีบถือกิ่งวิ่งกลับไป นำปลายแหลมของกิ่งแยงเข้าไปในรูกลอนโลหะ หมุนซ้ายเสียงดังกึก ไม่ได้ จึงหมุนขวาครึ่งรอบ หมุนซ้ายหมุนขวาอย่างคล่องแคล่วอยู่หลายรอบ จนได้ยินเสียงดัง ‘แคร๊ง’ เบาๆ ประตูเปิดออกได้ในที่สุด


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วปิดประตู


 


 


ห้องปีกข้างยังมีสภาพเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนพอสมควร ทั้งตั่งไม้แดงสำหรับเอนหลัง และแจกันดอกเหมย เพียงมีของเบ็ดเตล็ดที่ไม่ได้ใช้ชั่วคราวอย่างที่นอนหมอนมุ้ง เป็นต้น วางกองเพิ่มเข้ามาจำนวนหนึ่ง


 


 


มุมห้องปีกข้างยังคงเหมือนเดิม มีตู้เสื้อผ้าธรรมดาๆ สูงราวครึ่งตัวคนตั้งอยู่


 


 


นางก้าวเข้าไป ดันตู้เสื้อผ้าออกอย่างสงบนิ่ง เห็นผนังสีขาวด้านหลังตู้ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าดูให้ดีๆ จะเห็นเส้นบางๆ สี่เส้นบรรจบกัน คล้ายผนังสลักลายเป็นรูปกรอบสี่เหลี่ยม พอใช้มือค่อยๆ ลูบไปตามเส้น ก็จะรู้สึกว่าผนังในกรอบสี่เหลี่ยมคล้ายช่องเล็กๆ ที่ยุบเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกับผนัง ราวกับลิ้นชักที่ฝังอยู่ในผนังอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ทว่า ‘ลิ้นชัก’ นี้ ไม่มีกุญแจไข และไม่มีเครื่องมือใดๆ สามารถงัดมันออกมา นอกเสียจากทุบผนังให้แตก มิฉะนั้นแล้วก็ทำอะไรไม่ได้


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันมอง และเห็นว่าผนังด้านทิศตะวันตกมีภาพเขียนสีพู่กันรูปสิงโตลงจากภูเขาแขวนอยู่ แม้เหลืองลงไปบ้าง และมีฝุ่นเกาะตามกาลเวลา แต่ลายเส้นและสีสันยังคงชัดเจน ท่าทางของสิงโตเหมือนจริงมาก ทั้งดวงตาที่ทรงพลัง เขี้ยวสีขาวที่ทำให้สัตว์ต่างๆ เกรงขาม รวมทั้งกรงเล็บที่กางออก ดูเหมือนกำลังจ้องมอง


 


 


ผู้มาที่อยู่นอกภาพอย่างดุดันและจริงจัง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหรี่ตามอง แล้วยกมือเรียวยาวขึ้น ใช้ปลายนิ้วกดลงไปที่ตาข้างซ้ายของสิงโต ค่อยรู้สึกว่าปลายนิ้วมีปุ่มนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่ด้านหลัง


 


 


พอหันมอง ผนังกรอบสี่เหลี่ยมคล้ายลิ้นชักที่อยู่หลังตู้เสื้อผ้าก็ค่อยๆ ยื่นออกมาเอง แล้วหยุด


 


 


ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ้านขุนนางจะมีการออกแบบช่องลับเล็กๆ ที่แยบยลเช่นนี้ไว้ ขุนนางบางคนยังสร้างกระทั่งห้องลับไว้ในจวนเพื่อใช้หลบหนีในยามจำเป็นอีกด้วย


 


 


ช่องลับแบบนี้ ก็เหมือนตู้นิรภัยเล็กๆ เอาไว้เก็บซ่อนข้าวของที่เป็นความลับหรือไม่สะดวกให้ใครพบเห็น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าวของหรูหรา ที่กลัวว่าถ้ามีใครมาเห็นเข้า จะปากมาก หรือวันใดวันหนึ่งไม่ทันระวัง ถูกคนในราชสำนักตรวจสอบ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง แล้วเก็บทรัพย์สินไม่ทัน ก็ยังมีข้าวของในลิ้นชักลับ ให้ใช้เป็นทางหนีทีไล่


 


 


บ้านสกุลอวิ๋นก็ไม่มีข้อยกเว้น 

 

 


ตอนที่ 94-2 หญิงชราลมจับ

 

อวิ๋นหว่านชิ่นในวัยเยาว์ มานอนพักในห้องปีกข้างอยู่หลายปี วิ่งเล่นเข้านอกออกใน ปีนป่ายขึ้นลง ไหนเลยจะไม่รู้ว่าตรงนี้มีช่องลับอยู่ พอเจอ นางก็คลำหากลไกไปทั่ว จนเปิดช่องลับได้ แถมยังบอกมารดาอีกด้วย


 


 


ทว่าสวี่ฮูหยินคล้ายรู้อยู่แต่แรกแล้ว แม้ตอนนั้นช่องลับในห้องปีกข้างจะไม่มีอะไรเก็บซ่อนไว้ แต่นางก็ยังจุ๊ปาก ห้ามตนพูดมาก ด้วยเกรงว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งจะไม่พอใจและตำหนิที่ลูกสาวรื้อข้าวรื้อของในห้อง


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งมีช่องลับเล็กๆ เช่นนี้อยู่ในจวนไม่น้อย ข้าวของล้ำค่าย่อมวางไว้ในช่องลับที่เรือนหลัก ส่วนช่องลับในเรือนเจี่ยวเย่ว์ เป็นช่องลับสำรองเท่านั้น จึงว่างเปล่ามาตลอด ต่อมาพอย้ายห้องหนังสือไปอยู่ที่เรือนหลัก ห้องปีกข้างถูกทิ้งร้าง ช่องลับก็แทบจะถูกลืมไปด้วย


 


 


เมื่อชาติที่แล้ว ก่อนลาโลก ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังค้นหาหลักฐานเพื่อเอาผิดกับคนในบ้าน ก็นึกถึงหลักฐานที่มีน้ำหนักมากสุด จึงเขียนหนังสือร้องเรียนฝ่าบาทว่า บ้านสกุลอวิ๋นได้สร้างช่องลับไว้เก็บสมบัติส่วนตัว พร้อมทั้งบอกวิธีการเปิดแนบท้าย โดยบรรยายไว้อย่างละเอียด ทำให้องครักษ์กับเหล่าขุนนางค้นเจอได้ไม่ยาก


 


 


สำหรับขุนนางที่แอบสะสมทรัพย์สินไว้ โอรสสวรรค์ทุกยุคทุกสมัยล้วนไม่อาจยอมรับ จึงลงโทษประหารคนบ้านสกุลอวิ๋น


 


 


ตอนนี้อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมาอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง ช่องลับในผนังไม่ได้ต่างจากที่นางเคยเห็นในวัยเยาว์มากนัก ผนังที่อวิ๋นเสวียนฉั่งออกแบบให้สร้างเป็นช่องลับ ล้วนเป็นผนังที่หนาเป็นอย่างมาก ช่องลับนี้ดูแล้วไม่เด่นสะดุดตาเท่าไหร่…แต่พอดึงออกมา กลับลึกราวสองศอก สูงราวสามศอก แบ่งเป็นช่องเล็กๆ หลายช่อง โดยถ้าเอาเงินทองมาเก็บ ก็เก็บได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ที่เห็นตรงหน้า มีเพียงสองช่องเท่านั้นที่มีของวางเอาไว้


 


 


ช่องหนึ่ง เห็นชัดว่าเป็นตั๋วแลกเงินฉบับหนึ่ง


 


 


จำนวนสี่พันตำลึงเงิน ของสถาบันการเงินชางหลง 


 


 


วันออกตั๋วคือเมื่อวาน คนรับตั๋วไม่ได้ชื่อเหลียนเหนียง เหมือนเป็นชื่อที่อุปโลกน์ลอยๆ ขึ้นมา นับว่าอนุรองผู้นี้ฉลาดไม่เบา ที่พยายามอุดช่องโหว่ทุกอย่าง


 


 


สถาบันการเงินชางหลง ไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้ว่าเป็นสถาบันการเงินใต้ดิน ที่ดำเนินการฟอกเงิน ฟอกของผิดกฎหมาย


 


 


เมื่อเป็นทรัพย์สินที่มู่หรงไท่แอบมอบให้ เหลียนเหนียงไหนเลยจะกล้าใช้ให้บ่าวในบ้านไปดำเนินการอย่างโจ่งแจ้งเล่า


 


 


มุมปากอวิ๋นหว่านชิ่นปรากฏรอยยิ้มเย็นชา พับตั๋วแลกเงิน เก็บไว้ในอกเสื้อ แล้วจึงหันไปมองอีกช่องหนึ่ง เป็นช่องในสุด เมื่อเทียบกับตั๋วแลกเงินใบนั้นแล้ว ของในช่องนี้โดดเดี่ยวมาก แทบจะไม่รู้สึกว่ามีอยู่ด้วยซ้ำ คล้ายเป็นของอะไรชิ้นหนึ่งที่มีผ้าเก่าๆ ห่อไว้


 


 


นางหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นของนิ่มๆ ที่มีผ้าเนื้อดีที่ห่อไว้ด้านนอก เห็นเชื้อราขึ้นเป็นจุดๆ จึงไม่ใช่ของที่


 


 


เพิ่งเอามาเก็บอย่างแน่นอน


 


 


และไม่น่าใช่เหลียนเหนียงที่เอามาเก็บ แต่เป็นของที่วางไว้นานแล้ว ตอนที่นางพบเจอช่องลับนี้ขณะยังเล็กนั้น ไม่เห็นมีอะไรอยู่ด้านใน นั่นก็หมายความว่า ของชิ้นนี้ น่าจะถูกนำมาวางไว้ตอนนางโตพอควรแล้ว


 


 


รู้สึกว่า เดิมทีของชิ้นนี้ถูกคนใช้ผ้าเนื้อดีห่อไว้ในเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ตอนนี้ผิดรูปไปเล็กน้อยและมีรอยย่น น่าจะเป็นเหลียนเหนียงที่นำตั๋วแลกเงินมาเก็บแล้วพบเห็นเข้า จึงเปิดออกดู พอเห็นว่าไม่ใช่ของดีอะไร ก็ห่อลวกๆ แล้ววางไว้ที่เดิม


 


 


ขณะสูดหายใจเข้า จมูกรับกลิ่นของอวิ๋นหว่านชิ่นพลันทำงาน หัวใจจึงเต้นขึ้นมา รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนย่องเข้าไปหาของในห้องนอนเหลียนเหนียงเสียอีก


 


 


นางเปิดห่อผ้าที่ทั้งเก่าทั้งเหลืองออกทีละชั้น จนปรากฏผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งตรงหน้า


 


 


ลายปักบนผืนผ้าเป็นฝีมือการปักแบบทางใต้ ฝีเข็มละเอียด สีสันสดใส วิธีการปักเสมือนจริง เส้นด้ายที่ใช้มีผิวสัมผัสแบบเส้นไหมที่หนอนไหมคายออกมา


 


 


ตามที่อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ เส้นไหมที่หนอนไหมคายออกมา ทั้งเรียบและเหนียว มีความแวววาวตามธรรมชาติ คงทน เก็บไว้นานแค่ไหนก็จะดูใหม่เสมอ ทว่าหนอนไหมชนิดนี้มีวงจรชีวิตสั้น พอโตเต็มวัย ก็จะคายเส้นไหมออกมาตามกำหนดเวลาเพียงน้อยนิดจนหมด แล้วตายไป


 


 


ผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีผืนนี้ ถือได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่เหล่าคุณหนูหาซื้อไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน โดยต่อให้เป็นที่นิยมในเมืองหลวง ก็ใช่ว่าลูกหลานในตระกูลใหญ่ๆ จะใช้กันได้ ถึงมีเงิน ก็ต้องต่อแถวรอหนอนไหมคายเส้นไหม หลายครั้งที่พบเจออวี้โหรงจวง ก็จะเห็นผ้าเช็ดหน้าแบบนี้ในมือนาง ได้ยินว่าไทเฮาทรงมอบให้นางเมื่อปีกลาย


 


 


ลายปักบนผ้าเช็ดหน้าเหมือนจริงมาก ปักอยู่บนผ้าสีเหลืองทองอ่อนๆ เป็นรูปดอกเหมยหนึ่งดอกเบ่งบานอย่างงามสง่าบนกิ่งเหมย พร้อมบทกวีลายมือกำกับอยู่มุมล่าง หมายความดังนี้


 


 


ดอกเหมยที่ปลายกิ่งทระนงในหิมะ ผู้ซึ่งอยู่ใต้ต้นเหมยชุ่มชื่นใจ


 


 


ใจดุจพระพุทธรูปในวิหาร วิญญาณล่องลอยออกนอกผลึกใส


 


 


ลายมือล้ำเลิศ ตัวอักษรทุกตัวตั้งตรงดุจไม้ไผ่ ไหลลื่นดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ


 


 


จุดที่สำคัญสุดคือ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไม่ใช่แบบที่สตรีใช้ แต่เป็นแบบที่บุรุษใช้


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ต่อให้มีฝีมือการปักที่ยอดเยี่ยมเพียงใด ราคาแพงแค่ไหน อย่างไรก็เป็นเพียงผ้าเช็ดหน้า ไม่น่าถึงกับต้องมาเก็บรักษาไว้อย่างมิดชิด เห็นชัดว่า คุณค่าทางใจของผ้าเช็ดหน้า สำคัญกว่าราคา


 


 


และผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ย่อมไม่ใช่ของบิดา เพราะบิดาใจจดใจจ่ออยู่แต่กับความคิดที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะได้เลื่อนตำแหน่ง น้อยนักที่จะปล่อยอารมณ์ได้งามสง่าได้เช่นนี้ ผู้ที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ เห็นชัดว่าเป็นคนอ่อนไหว สง่างาม และใส่ใจรายละเอียดในชีวิตมาก อีกอย่าง ลายมือบนผ้าเช็ดหน้า ก็ไม่ใช่ของบิดา


 


 


เมื่อไม่ใช่ของบิดา และเหลียนเหนียงไม่ได้เอามาเก็บไว้ ช่องลับนี้มีแต่ตนกับมารดาเท่านั้นที่รู้ เกรงว่า


 


 


แปดถึงเก้าในสิบส่วน น่าจะเป็นมารดาที่เอามาเก็บ


 


 


เป็นของๆ มารดา…และเป็นผ้าเช็ดหน้าแบบบุรุษ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเอะใจขึ้นทันที จึงดูบทกวีบนผ้าเช็ดหน้าให้ดีๆ อีกรอบ บทกวีสั้นๆ เพียงยี่สิบตัวอักษร ไหนเลยจะบอกอะไรได้


 


 


และในตอนนี้เอง ห้องปีกข้างด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังตึงตัง เมี่ยวเอ๋อร์มาตามนาง ด้วยการกดเสียงให้ทุ้มต่ำ ก่อนเรียก


 


 


“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่…”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีเวลาคิดมากอีก ได้แต่เก็บผ้าเช็ดหน้าสีทองอ่อนลงไปในอกเสื้อ ก่อนหันไปกดตาซ้ายของสิงโตในภาพเขียน ลิ้นชักที่ยื่นออกจึงค่อยๆ หดกลับคืน เป็นหนึ่งเดียวกับผนังสีขาวตามเดิม นางค่อยดันตู้เสื้อผ้ากลับไปปิดช่องลับไว้ รีบออกจากห้อง แล้วลากเมี่ยวเอ๋อร์ให้ออกมาจากเรือนเจี่ยวเย่ว์ก่อน


 


 


พอออกมาได้ไกลพอสมควร เมี่ยวเอ๋อร์ก็หอบแฮ่กๆ ก่อนพูดหน้าตาตื่น


 


 


“คุณหนูใหญ่ แย่แล้ว เกิดเรื่องที่เรือนตะวันตก เมื่อกี๊ชูซย่าวิ่งมาบอกว่า ผู้อาวุโสเป็นลม!” 

 

 


ตอนที่ 94-3 หญิงชราลมจับ

 

“อะไรนะ?” อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ ทำไมถึงเป็นลมไปได้ล่ะ ว่าแล้วก็ดึงมือเมี่ยวเอ๋อร์ วิ่งไปหาท่านย่า


 


 


ต้องบอกว่า ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นสืบหาเบาะแสในห้องหนังสือเดิมของบ้านนั้น เรือนตะวันตกก็มีละครที่น่าดูชมฉากหนึ่ง


 


 


พอเหลียนเหนียงกับพี่ตงมาถึง แล้วก้าวเข้าไปในเรือนตะวันตก ก็เห็นหญิงชรานั่งไขว่ห้างหน้าเครียดอยู่บนตั่ง


 


 


ได้ยินว่า ขนาดฮูหยินรองอย่างไป๋เสวี่ยฮุ่ย หญิงชรายังกล้าด่าว่าตบตี แล้วตอนนี้ยังมีคนหัวไวอย่างหวงน้าสี่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังเหล่ตาเล็กๆ มองมาที่ตนอีก


 


 


เหลียนเหนียงจึงขนลุกไปทั้งตัว กลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด


 


 


การคารวะช่วงเที่ยงผ่านพ้นมาแล้ว ช่วงเย็นยังมาไม่ถึง แล้วหญิงชราเรียกตนมาทำไมกัน จึงกลอกตาไปมา ก่อนก้าวไปข้างหน้าตรงๆ ย่อตัวลงอย่างนิ่มนวล แล้วยิ้มน่ารัก


 


 


“คารวะฮูหยินอาวุโส เหลียนเหนียงกำลังเตรียมตัวมาคารวะ ไม่คิดว่าฮูหยินอาวุโสจะส่งคนไปเรียก เหลียนเหนียงทำอะไรชักช้า หวังว่าท่านจะให้อภัย”


 


 


แม้ถงฮูหยินโกรธที่ม้าผอมตัวนี้ริอาจปิดบังเรื่องสำคัญกับตน แต่ก็ไม่ได้คิดจะเริ่มต้นด้วยการต่อว่านาง เพียงยิ้มเย็นชาส่งสัญญาณ ให้โอกาสนางสารภาพ เผื่อจะลดโทษให้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน


 


 


“เจ้ามาคารวะข้าทุกวัน วันละสามเวลาเช้า กลางวัน เย็น แต่ละครั้งไม่เคยขาดตกบกพร่อง มาถึงก็รินน้ำชาและทำตามขนบธรรมเนียม รายงานเรื่องราวประจำวันไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ให้ฟัง เจ้ากตัญญูกับคนแก่จากใจจริงเช่นนี้ ยังจะมีความผิดอะไรที่ข้าต้องให้อภัยอีก”


 


 


เหลียนเหนียงไหนเลยจะรู้ว่า ในใจของถงฮูหยินมีเปลวไฟที่ก่อขึ้นจากตนและกำลังรอที่จะปะทุออกมา พอได้ยินคำเยินยอ จึงวางใจลง ตนคงคิดมากไปเอง น้ำเสียงจึงยิ่งเจียมเนื้อเจียมตัว ขณะก้มศีรษะให้ต่ำลงไปอีก


 


 


“ฮูหยินอาวุโสชมเกินไป การกตัญญูจากใจจริงเป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้ว…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบ ถงฮูหยินก็เดือด นี่นางยังคงเสแสร้งแกล้งทำ บ้าเยอไปตามน้ำ หน้าด้านมาก ให้โอกาสแล้ว ยังไม่รับ เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าตนไม่เกรงใจก็แล้วกัน


 


 


จึงหยิบไม้ทุบหัวเข่าที่อยู่ใกล้มือขึ้น เขวี้ยงลงกับพื้นอย่างแรง


 


 


เดิมทีถงฮูหยินคิดเขวี้ยงลงกับพื้นข้างเท้า เพื่อแสดงฤทธิเดชให้เห็นเท่านั้น โดยไม่คิดว่าหมู่นี้โรคข้ออักเสบของตนกำเริบ ทำให้ปวดไปทั้งตัว กระดูกมือและเท้าเคลื่อนไหวไม่คล่องอยู่เป็นทุนเดิม คนแก่พลันทำไม้ทุบหัวเข่าหลุดจากมือ ด้วยควบคุมแรงไม่อยู่


 


 


เหลียนเหนียงที่ยืนอยู่ตรงหน้า พอเห็นไม้ทุบหัวเข่ายาวราวหนึ่งศอก ทำจากไม้ไผ่ที่ทั้งแข็งทั้งเย็นลอยผิดทิศทางมา ก็กรีดร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนที่ไม้ทุบหัวเข่าจะทุบถูกแขนเล็กๆ ของนาง


 


 


ลูกหลงครั้งนี้ไม่เบา! พริบตาที่ไม้ทุบหัวเข่าตกลงบนพื้น เหลียนเหนียงก็จับแขนบางๆ ของตนไว้ แล้ว


 


 


ถลึงตามอง พลางกัดริมฝีปาก น้ำตาหยดแหมะ คุกเข่าลงทันที


 


 


“ข้าทำผิดอะไร ขอฮูหยินอาวุโสโปรดชี้แจงให้ทราบด้วย”


 


 


พี่ตงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็สะดุ้งตกใจ ด้วยนายหญิงเป็นคนโปรดของนายท่าน และนายท่านก็มักบอกให้ตนคอยอยู่ข้างกาย ดูแลนางให้ดีๆ ถ้าขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ตนต้องรับผิดชอบ จึงรีบก้าวเข้าไป เลิกแขนเสื้อของเหลียนเนียงขึ้นไปครึ่งแขน พลางพูดเสียงเย็นชาเล็กน้อย


 


 


“อนุรอง แขนของท่านบวมแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ถงฮูหยินเห็นดังนี้ก็ยิ่งโมโห เหลียนเหนียงคิดว่าตนเป็นคนโปรดที่ว่าไม่ได้ แตะต้องไม่ได้แล้วจริงๆ? ตั้งแต่ตนเป็นย่าคนมา ขนาดสะใภ้ใหญ่ตนยังมีสิทธิด่าว่าตบตี นับประสาอะไรกับม้าผอมที่ตนซื้อมาให้ลูกชาย เรื่องที่นางทำให้ลูกชายควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนเอวเคล็ด จนเกือบต้องอับอายขายหน้าบ่าวในบ้านนั้น ถงฮูหยินยังจำขึ้นใจ แต่ไม่มีโอกาสจะพูด วันนี้จึงรวบบัญชีเก่าใหม่ไว้ด้วยกัน แล้วตั้งกฏสั่งสอนในคราวเดียวพอดี


 


 


พอเห็นสีหน้าถงฮูหยินไม่สู้จะดี เหลียนเหนียงก็กลัวว่าตนจะถูกด่าถูกตีอีก จึงส่งสายตาให้พี่ตงออกไป เพื่อแอบไปดูว่าท่านพี่กลับจากที่ทำงานแล้วหรือยัง ถ้ากลับมาแล้ว ก็ให้รีบบอกให้ท่านพี่มาช่วยตนด้วย


 


 


พี่ตงก็รู้โดยไม่ต้องบอก ค่อยๆ ถอยตัวเองออกไป พอขยับเท้าถึงริมม่าน และย่องออกไปได้ ก็วิ่งฉิว


 


 


ในเรือน


 


 


หวงน้าสี่มองดูสีหน้าของแม่สามี จากนั้นก็เปล่งเสียงจุ๊ๆๆ ก่อนว่า


 


 


“เหลียนเหนียง เจ้ายังกล้าพูดอีกหรือว่าเจ้ากตัญญูจากใจจริง! อะไรคือจริงใจกับท่านแม่ ตอนข้าอยู่บ้านนอก ตักข้าวมาหุงเพิ่มช้อนนึง ซื้อเสื้อใหม่มาเพิ่มตัวนึง ก็ต้องรายงานให้ท่านแม่ทราบ นี่ถึงจะเรียกว่าจริงใจ เรียกว่ากตัญญู ส่วนเจ้าน่ะ คุณชายรองบ้านมู่หรงมาขอเจ้าสาวอีกครั้ง คิดที่จะแต่งกับคุณหนูใหญ่ใหม่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้าก็ยังไม่บอกท่านแม่สักคำ จึงกลายเป็นว่า การที่เจ้ามาวันละสามเวลา คำพูดที่เจ้าพูดทุกครั้ง ล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ สิ่งที่ควรพูดกลับไม่พูด ไม่มีคำพูดใดเลยที่ออกจากใจจริง แบบนี้จะไม่ให้ท่านแม่ไม่โกรธได้อย่างไรเล่า กล้าคิดนะว่าท่านแม่อยู่ที่นี่ในฐานะแขก เจ้าเห็นว่าท่านแม่จะช้าจะเร็วก็ต้องไป จึงไม่สนใจใยดีอย่างนั้นรึ”


 


 


ใจเหลียนเหนียงเต้นโครมคราม ตื่นตกใจชั่วขณะ ที่ตนไม่บอกฮูหยินอาวุโสนั้น เป็นเพราะข้อแรก แม้แต่ท่านพี่เองก็ยังไม่บอก แล้วช้างเท้าหลังอย่างตน จะบอกก่อนได้อย่างไร ข้อสอง แม้ตนมาอยู่ในบ้านสกุลอวิ๋นได้ไม่นาน แต่ก็ดูออกว่า คุณหนูใหญ่เอาอกเอาใจหญิงชราที่มาจากบ้านนอกนางนี้เป็นอย่างดี ถ้าบอกนางไป นางก็ต้องบอกคุณหนูใหญ่ และถ้าคุณหนูใหญ่ไม่ยอม นางก็ต้องช่วยขอร้องท่านพี่ให้คุณหนูใหญ่ แล้วถ้าท่านพี่โอนอ่อนผ่อนตามแม่หม้ายนางนี้ เรื่องก็เป็นหมันกันพอดี


 


 


แต่ถ้ารอให้ท่านพี่กับคุณชายรองมู่หรงนั่นแอบตกลงกันเรียบร้อยก่อน นางก็จะแผลงฤทธิ์ไม่ได้อีก


 


 


พอรู้ว่าที่แท้ถงฮูหยินโกรธตนเพราะเรื่องนี้ ใบหน้าเล็กๆ ของเหลียนเหนียงจึงซีดขาว จับแขนตัวเองไว้ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ


 


 


“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว นี่ เรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่รู้เรื่อง ท่านพี่ไม่ได้บอกข้าเลย!”


 


 


อย่างไรก็ตาม ท่านพี่ก็ต้องยืนข้างตน ช่วยตนโกหกถงฮูหยินอยู่แล้ว เลี่ยงสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!


 


 


“หึ! เจ้าไม่รู้เรื่อง!”


 


 


ถงฮูหยินเห็นนางยังคงพูดปดต่อหน้าตน เห็นว่าตนเป็นเด็กสามขวบชัดๆ จึงยิ้มเย็นชา


 


 


“เจ้ารองจะเคยบอกเจ้าหรือไม่นั้น ข้าไม่รู้ แต่ข้าเพิ่งให้คนไปสอบถามดู ถึงได้รู้ว่าวันที่คุณชายรองมู่หรงมา เจ้าเข้าไปรินน้ำชาในห้องรับแขก!”


 


 


เหลียนเหนียงคิดไม่ถึงว่าหญิงชราจะล่วงหน้าไปก่อนตนหนึ่งก้าว จึงหน้าซีด พึมพำออกมาสองสามคำ แต่พูดเป็นประโยคไม่ออก พอเห็นสายตาถงฮูหยินทอประกายระยิบ คมกริบดุจเคียว คล้ายสามารถลงมือถอนรากถอนโคนวัชพืชอย่างตนได้ทุกเมื่อ ไฉนตนยังกล้าพูดอีก จึงกัดริมฝีปากแน่นอยู่อย่างนั้น รอท่านพี่มาช่วยอย่างเดียว


 


 


นับว่านางโชคดี ที่เวลานี้เป็นเวลาที่อวิ๋นเสวียนฉั่งเลิกงานกลับถึงจวนพอดี ขณะกำลังนั่งคุยอยู่กับม่อไคไหลที่ห้องโถงด้านหน้า ก็เห็นพี่ตงวิ่งหอบแฮ่กๆ เข้ามา


 


 


“นายท่าน กลับมาได้พอดีเลย…”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งพลันขมวดคิ้ว “วิ่งหน้าตาตื่นมา มีเรื่องอะไรอีกล่ะ”


 


 


พี่ตงพูดไปหอบไป “อนุรองถูกผู้อาวุโสเรียกตัวไปเรือนตะวันตก ยังไม่ทันถามอะไรก็หยิบไม้ทุบหัวเข่ามาตีอนุรอง จนแขนของอนุรองบวมไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม