จำนนรักชายาตัวร้าย 92.4-94.1

ตอนที่ 92-4 ความรักเบ่งบาน

 

“อื้อ…”


 


 


อวี้เฟยเยียนโดนจูบเสียจนเวียนหัวตาลาย ท้องฟ้าสีครามในสายตานางกลับพร่ามัว กระทั่งต้นไม้ใบหน้าหญ้ารอบกายนางก็กลับกลายเป็นเงียบงัน ราวกับเกรงว่าจะรบกวนความรักของทั้งสองคน


 


 


เมื่อถึงเวลาที่ความรักเบ่งบานอบอวล อวี้เฟยเยียนยื่นมือไปโอบรอบคอซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้าก็ชอบท่านมากเช่นกัน!”


 


 


เมื่อได้ยินประโยคนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนรุ้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง จนลืมการกอดจูบเมื่อครู่ไปเสียสนิท เขามองอวี้เฟยเยียนด้วยอาการตกตะลึง


 


 


“แมวน้อย เจ้าพูดว่าอะไรนะ”


 


 


ชายรูปงามท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เรียกรอยยิ้มจากอวี้เฟยเยียนได้ไม่น้อย


 


 


“ข้าบอกว่า ข้าก็ชอบท่านเช่นกัน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนพูดขึ้นเสียงเบา


 


 


คราวนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนดีใจจนอุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นมายกนางขึ้นกลางอากาศ


 


 


“ดีที่สุดเลย! แมวน้อย พี่ชอบเจ้า พี่ชอบเจ้ามาก พี่อยากอยู่กับเจ้า ไม่แยกจากกันตลอดไป!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนในตอนนี้ไม่มีท่าทีโหดเ**้ยม เย็นชา เย่อหยิ่งใดๆ เฉกเช่นในเวลาปกติแม้แต่น้อย เขาในตอนนี้ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน


 


 


“พี่ดีใจ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนที่กำลังดีใจอย่างหนัก ยกร่างอวี้เฟยเยียนขึ้นนั่งบนบ่าตน แล้วเหินฟ้าขึ้นไปราวกับยอดมนุษย์ ทำเอาอวี้เฟยเยียนตระหนกจนต้องกอดคอเขาไว้แน่น พร้อมกับกรีดร้องออกมา


 


 


“ปล่อยข้าลงนะ!”


 


 


“ไม่ปล่อย พี่จะไม่ปล่อยเจ้าตลอดชีวิต!”


 


 


“โอ้ย เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!”


 


 


หากมีใครที่นี่มาเห็นเข้าละก็ จะต้องคิดว่าสองคนนี้เป็นไอ้บ้าแน่ๆ


 


 


ชายกึ่งเปลือย สวมเพียงแค่กางเกงขายาวสีขาวหิมะเปียกชื้นแนบเนื้อ กับสตรีที่สวมเพียงเอี๊ยมตัวน้อยที่เปียกชื้นเช่นกัน มองดูแล้วชวนให้คิดลึกซึ้งว่ากำลังแอบพลอดรักกันอย่างไรอย่างนั้น!


 


 


เพราะอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอุ้มนางแล้วกระโดดลงในบ่อน้ำพุร้อน


 


 


ทว่าเขากลับมิได้ปล่อยนางเป็นอิสระ กลับกดนางเอาไว้ในอ้อมแขนบริเวณที่น้ำตื้น จรดศีรษะตนแนบกับศีรษะของนาง ทอดถอนใจแผ่วเบา


 


 


“วันนี้คือวันที่พี่มีความสุขที่สุดวันหนึ่งในชีวิต!”


 


 


“แมวน้อย เจ้าอยู่ในใจของพี่ อยู่มาโดยตลอด!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมิใช่คนที่พูดจาหวานหู ดังนั้นคำพูดทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนแต่ออกมาจากใจจริงของเขา


 


 


ส่วนลึกในใจนางรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแท้จริงที่ส่งมาจากเขา มันซื่อตรงจริงใจและซาบซึ้งตรึงใจมากที่สุด


 


 


มองดูเงาตนสะท้อนอยู่ในแววตาลึกซึ้งของชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า อวี้เฟยเยียนจึงยิ้มมีเลศนัยออกมาแล้วยื่นมือไปลูบไล้พวงแก้มของเขาแผ่วเบา


 


 


เป็นบุรุษ แต่ผิวพรรณกลับนุ่มนิ่มนวลเนียนเพียงนี้ น่าอิจฉาเสียจริงๆ เลย!


 


 


“บังอาจ!”


 


 


ถูกอวี้เฟยเยียนล้อเลียน ซย่าโหวฉิงเทียนไหนเลยจะยินยอม


 


 


เขาจับมือน้อยของอวี้เฟยเยียนเอาไว้ แล้วกัดนิ้วของนาง


 


 


แรงกัดที่ไม่แรงไม่เบาเกินไป ให้ความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะเดียวกันก็ชาราวถูกกระแสไฟ ความรู้สึกนี้ถูกส่งเข้าไปที่โสตประสาททำให้อวี้เฟยเยียนถึงกับขนลุก


 


 


“ร้ายกาจ!”


 


 


ปฏิกิริยาของร่างกายทำให้อวี้เฟยเยียนรีบชักมือกลับทันที


 


 


ไม่รู้ว่าไปเรียนสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้มาจากใคร!


 


 


“บอกมาว่าท่านเริ่มชอบข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


 


 


 หลังเปิดเผยความรู้สึกตนออกไปแล้ว อวี้เฟยเยียนก็กล้าหาญชาญชัยขึ้นมาก


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพลิกกายนอนแช่ในบ่อน้ำอุ่น ดึงอวี้เฟยเยียนให้อิงแอบแนบกายตน


 


 


“ได้พบเจ้าที่นี่ ได้เห็นดวงตาปีศาจน้อยที่เปล่งประกายวาววับ พี่ก็ถูกตาต้องใจเจ้าในทันที รู้สึกว่าเจ้ากับพี่คือคนประเภทเดียวกัน พี่อยากเข้าใกล้เจ้าโดยไม่รู้ตัว!”


 


 


อวี้เฟยเยียนอิงแอบแนบชิดอกผายของซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งกว่าเดิม


 


 


“ที่แท้ก็ถูกจับตาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือนี่! เนื้อเข้าปากเสื้อจริงๆ เชียว!”


 


 


ได้ยินคำบรรยายนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกับหัวเราะออกมา


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ!”


 


 


ในวันนั้น เขาก็กัดนางเช่นนี้


 


 


แม้ว่าในตอนนั้นอวี้เฟยเยียนจะสลบไปจึงไม่รู้เรื่องรู้ราว


 


 


แต่ทว่า กลิ่นอายของนางก็จรดลึกอยู่ในหัวใจของเขานับตั้งแต่นั้น ทำให้เขาอยากพบนาง


 


 


“แมวน้อย หากวันนั้นมาถึง วันที่เจ้าพบวิธีกลับบ้าน เจ้าจะต้องบอกพี่ล่วงหน้า พี่จะไปกับเจ้าด้วย!”


 


 


“ได้…”


 


 


อวี้เฟยเยียนได้ยินคำของซย่าโหวฉิงเทียน หัวใจของนางก็เต้นระส่ำ


 


 


“ข้าไม่รู้ว่าจะพาท่านไปด้วยได้หรือไม่ แต่ข้าจะบอกกับท่านอย่างแน่นอน”


 


 


อวี้เฟยเยียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอุปกรณ์จับสัญญาณให้ซย่าโหวฉิงเทียนฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งยังบอกกับเขาอีกว่าวิญญาณของนางทะลุมิติมาที่นี่ ร่างแท้จริงของนางอยู่ที่ประเทศจีน


 


 


ยิ่งได้ฟัง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งรู้สึกว่านางหายากยิ่งนัก


 


 


พหุภพอย่างนั้นหรือ


 


 


นางกำลังจะบอกว่ามีอีกภพที่มีการคงอยู่เฉกเช่นเดียวกับที่นี่


 


 


อวี้เฟยเยียนกลับไปได้ โดยอาศัยอุปกรณ์จับสัญญาณนี้ แต่เขาที่ไม่มีอุปกรณ์นั่น แล้วจะไปกับอวี้เฟยเยียนได้อย่างไรกัน


 


 


ภายหลัง ซย่าโหวฉิงเทียนจงใจมองข้ามคำถามนี้ไป เขาเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง ถามอวี้เฟยเยียนเกี่ยวกับประเทศจีนแทน


 


 


เมื่อเขาได้ฟังนางเล่าว่า เจ้ารถยนต์สี่ล้อเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าจอมเทวาเสียอีก ยังมีเครื่องบินที่มีปีกใหญ่โตสามารถโบยบินในอากาศได้ไกลเป็นพันลี้ ผู้คนในโลกนั้นเท่าเทียมกันทุกคน ที่นั่นเป็นสังคมที่ใช้หลักนิติธรรม ฮ่องเต้ทำผิดโทษเท่าประชาชน ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงไม่น้อย


 


 


มองดูดวงหน้าน้อยแสนน่ารักของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งกุมมือนางแน่นขึ้น


 


 


เห็นที คงมีเพียงสถานที่แปลกประหลาดเช่นนั้นจึงจะสามารถปลูกฝังคนเช่นอวี้เฟยเยียนออกมาได้!


 


 


เขา และเหล่าสหายของนางช่างโชคดียิ่งนักที่ได้พานพบกับนาง!


 


 


ไม่ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร เขาก็จะเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ


 


 


สำหรับนาง เขาจะไม่มีวันปล่อยมือ!


 


 


เวลาผ่านไปนาน อวี้เฟยเยียนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ตอนนั้นซย่าโหวฉิงเทียนเองก็จิตใจสงบลงมาก ใจเขากำลังดื่มด่ำกับความสุขและความหอมหวานจากความรักที่ลึกซึ้ง


 


 


เพียงแต่ ในใจของเขารู้ดีว่า ภายใต้จิตใจที่สงบของตน ลึกๆ แล้วแฝงไว้ด้วยความกังวลใจ


 


 


เห็นทีกลับไปจะต้องไปหาเจ้าไม้เท้าเทพเสียหน่อยแล้ว!


 


 


อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ด้วยกันที่บ่อน้ำพุร้อนสองวันสองคืนเต็มๆ


 


 


หลังจากเปิดเผยความในใจกันในครั้งนี้แล้ว หัวใจทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวใจสื่อถึงใจ เข้าอกเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น มีซย่าโหวฉิงเทียนเป็นคู่ซ้อมให้ ในตอนเช้าตรู่ของวันที่สามอวี้เฟยเยียนก็สามารถทะลุขั้นจอมเทวาจนสำเร็จขั้นปรมาจารย์ในที่สุด


 


 


หลังจากสำเร็จขั้นปรมาจารย์ ลักษณะของอวี้เฟยเยียนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


 


 


ร่างนางเปล่งรัศมีอบอุ่นและอ่อนโยนออกมา ทำให้ผู้คนที่พบเห็นอยากเข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว


 


 


เห็นอวี้เฟยเยียนเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกแปลกประหลาดใจไม่น้อย


 


 


ในปีนั้นเมื่อตอนที่เขาสำเร็จขั้นปรมาจารย์นั้น รัศมีการเข่นฆ่ายิ่งชัดเจนหนักหน่วง นึกไม่ถึงเลยว่าอวี้เฟยเยียนจะเป็นตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง น่าจะเพราะนางเป็นหญิงนั่นเอง!


 


 


ในตอนที่ปรมาจารย์อวี้เฟยเยียนก่อกำเนิดขึ้นนั้น ท้องฟ้ายามราตรีแปรเปลี่ยนเป็นฟ้าใสเฉกเช่นในตอนกลางวัน


 


 


ท้องฟ้าที่เดิมทีมืดสนิท ถูกแสงสว่างอันแรงกล้ามากระทบจนเกิดเป็นทางยาว ต่อมาแสงสว่างก็เข้าแทนที่ความมืดอย่างรวดเร็ว ปลุกให้คนที่หลับฝันให้ตกใจตื่นขึ้น


 


 


นั่นคือ…


 


 


เหลียนจิ่นที่มีผ้าคลุมพาดบ่า ยืนอยู่ที่หน้าประตูของเรือนอ้ายเหลียน เขานับนิ้วพยากรณ์


 


 


นางสำเร็จขั้นปรมาจารย์แล้ว!


 


 


รวดเร็วไม่เบา!


 


 


หากอิงตามความเร็วนี้ละก็ ไม่นานพวกเขาก็สามารถเดินทางไปที่เมืองอู๋โยวแล้ว


 


 


ไปที่อู๋โยว ก็จะใกล้กับที่นั่นมากขึ้น ถึงตอนนั้นมีทุกข์ต้องปลดทุกข์ มีแค้นต้องชำระ!


 


 


จู่ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดนี้ขึ้น ผู้คนบนแผ่นดินหลัวอวี่จึงลุกจากเตียง ใส่เสื้อผ้าคลุมแล้วพากันออกมานอกบ้าน มองดูปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่ร้อยปีจะเจอสักครั้งอย่างตั้งใจ


 


 


จอมยุทธ์ผู้หนึ่งที่มีความรู้ลึกซึ้งร้องขึ้น


 


 


“ปรมาจารย์ ปรมาจารย์ถือกำเนิดแล้ว!”


 


 


นั่นจึงทำให้ใจของทุกคนคลายความสงสัยไปได้


 


 


“ปรมาจารย์!”


 


 


ลำดับขั้นสูงสุดของจอมยุทธ์บนแผ่นดินหลัวอวี่มีเพียงจอมเทวา ซึ่งจอมเทวามีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก


 


 


มาวันนี้ กลับมีปรมาจารย์ถือกำเนิดขึ้น!


 


 


ปาฏิหาริย์โดยแท้!


 


 


ฮ่องเต้แห่งต้าโจวซย่าโหวจวินอวี่กำลังขยี้ตาไปมาแล้วมองดูบนท้องฟ้า ก่อนสบถคำหยาบคายออกมาหนึ่งประโยค


 


 


“โอ้! ใครกันนะ เก่งกาจถึงเพียงนี้ เร็ว รีบไปสืบมา ปรมาจารย์คือใคร ของแคว้นไหนกัน!”


 


 


ในฐานะฮ่องเต้ สิ่งที่ซย่าโหวจวินอวี่สนใจมากที่สุดนั่นก็คือ ปรมาจารย์เป็นคนของแคว้นใดกัน


 


 


“อามิตตาพุทธ พุทธองค์คุ้มครอง ท่านปรมาจารย์จะเป็นของเชียนลั่วเฉิงเจ้าคนเลวนั่นไม่ได้เด็ดขาด!”


 


 


ซย่าโจวจวินอวี่ภาวนา 

 

 


ตอนที่ 92-5 ความรักเบ่งบาน

 

แต่ ณ แคว้นฉินจื้ออันไกลโพ้นฮ่องเต้แห่งฉินจื้อ เชียนลั่วเฉิงก็กำลังจามติดต่อกันหลายครั้ง หลังพระองค์บีบจมูกแก้คัดแล้ว ก็ทรงเริ่มก่นด่า


 


 


“เร็ว รีบไปสืบมา จะต้องสืบให้ได้ว่าปรมาจารย์คือใคร!”


 


 


“จำไว้ ไม่ว่าต้องสูญเสียอะไรมากเท่าไหร่ก็ตาม จะต้องเชิญท่านมาหาข้าให้ได้ เชิญมา เข้าใจหรือไม่ ต่อให้ต้องคุกเข่าขอร้องก็ต้องทำ! หากว่าหาปรมาจารย์ไม่เจอ พวกเจ้าก็ไปตายเสีย!”


 


 


ในขณะเดียวกัน เชียนลั่วเฉิงก็ภาวนา


 


 


“ท่านปรมาจารย์ ท่านห้ามเป็นชาวต้าโจวโดยเด็ดขาด ซย่าโหวจวินอวี่เจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นตะกละมูมมาม ท่านอย่าไปส่งเสริมความชั่วร้ายของมันโดยเด็ดขาดเลย!”


 


 


ข่าวที่ต้าโจวโค่นล้มซีเย่ว์ เชียนลั่วเฉิงก็ได้ยินข่าวมาบ้าง


 


 


ราชบุตรเขยฆ่าบุตรสาว


 


 


ฮองเฮากระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนักจนสติฟั่นเฟือน


 


 


ถุย!


 


 


หากซย่าโหวจวินอวี่อยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้ละก็ เขาจะต้องถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาอย่างแน่นอน


 


 


เอาเหตุผลที่ไร้สาระมาตกแต่งจนสวยหรู ข้ออ้างทั้งเพ!


 


 


ด้วยนิสัยซย่าโหวจวินอวี่แล้ว เขายินยอมสละลูกสาวตนเพื่อใส่ร้ายหลิวเปย นี่ต่างหากที่เรียกว่าใจคอโหดเ**้ยม!


 


 


เสือร้ายไม่กินลูก!


 


 


นี่ถึงขนาดยอมฆ่าลูกของตัวเองยังมิใช่หมาป่าร้ายอีกหรือ!


 


 


เพื่อให้ได้แคว้นซีเย่ว์มาครอบครอง สละแม้กระทั่งชีวิตของลูกสาวตัวเอง ซย่าโหวจวินอวี่ เจ้านี่มันเลวจริงๆ!


 


 


เชียนลั่วเฉิงเริ่มด่าทอ


 


 


ถึงแม้ว่าซย่าโหวจวินอวี่จะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน แต่เชียนลั่วเฉิงก็ลำบากไม่น้อย ยามที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา


 


 


ในสายตาเชียนลั่วเฉิง ซย่าโหวจวินอวี่มากเล่ห์เพทุบาย น้ำมือเ**้ยมโหด เอาแต่ได้โดยที่ไม่ยินยอมสูญเสียอะไรทั้งนั้น เป็นจิ้งจอกเฒ่าร้อยปีเจ้าเล่ห์ น่ารังเกียจที่สุด!


 


 


เขาต่อสู้กับซย่าโหวจวินอวี่มาหลายปี ทุกครั้งก็เป็นเชียนลั่วเฉิงที่พ่ายแพ้ไปเสียทุกครั้ง


 


 


หากมิใช่ข้างกายซย่าโหวจวินอวี่มีซย่าโหวฉิงเทียนสุนัขคลั่งที่ไล่กัดคนไม่เลิกล่ะก็ เชียนลั่วเฉิงคงสั่งการให้หูซาเก็บคู่ต่อสู้เก่าแก่นี่ไปตั้งนานแล้ว


 


 


เมื่อคิดถึงหูซา เชียนลั่วเฉิงก็เริ่มสับสนขึ้นมาอีก


 


 


หูซาตายแล้ว ลำดับขั้นของแคว้นฉินจื้อก็ยิ่งตกต่ำมากยิ่งขึ้น เหล่าแคว้นเล็กแคว้นน้อยที่แต่ก่อนต้องพึ่งพาอาศัยแคว้นฉินจื้อรวมทั้งบรรดาแคว้นอื่น ปีนี้กลับแข็งข้อมิยอมส่งเครื่องบรรณาการมาให้ เริ่มเอนเอียงไปยังฝ่ายที่มีอำนาจ! 


 


 


หากมิใช่เชียนเยี่ยเสวี่ยก่อกวนจนทุกอย่างพังพินาศ ยับยั้งเขาเอาไว้ เชียนลั่วเฉิงก็คงแบ่งทหารไปจัดการไอ้สุนัขที่เนรคุณนั่นไปแล้ว


 


 


แต่เชียนลั่วเฉิงรู้ดีว่านี่มิใช่เวลาที่จะมาโกรธเคือง


 


 


โบราณว่าจัดการเรื่องในบ้านให้ดีก่อนจึงจะบริหารประเทศให้สงบสุขได้ เขาขอจัดการลูกทรพีเชียนเยี่ยเสวี่ยก่อน แล้วค่อยไปต่อสู้กับเจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่น!


 


 


เจ้าลูกเวรนี่ได้ไปร่วมงานประลองโอสถเพียงครั้งเดียว กลับมาก็กลายเป็นขั้นราชันจักรพรรดิ หยิ่งยโสโอหังยิ่งนัก เขาปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างหนัก!


 


 


หากมิใช่หูซาตายแล้ว และแคว้นฉินจื้อในตอนนี้ต้องการเชียนเยี่ยเสวี่ยค้ำจุนเอาไว้ เชียนลั่วเฉิงคงจัดการเก็บกวาดเจ้าลูกทรพีนี่นานแล้ว!


 


 


ท่านปรมาจารย์ โปรดมาที่ฉินจื้อเถิด!


 


 


ในตอนนี้ฉินจื้อต้องการท่านเป็นอย่างมาก!


 


 


สุดท้าย เชียนลั่วเฉิงได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ


 


 


หากว่าท่านปรมาจารย์มาเข้าพวกกับแคว้นฉินจื้อจริง เขาไม่เพียงแต่จะกำจัดเจ้าลูกชั่วนั่น ทั้งยังจะจัดการสั่งสอนเหล่าชนเผ่าและแคว้นเล็กแคว้นน้อยที่ทรยศความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาด้วย อีกอย่างยังสามารถประกาศศักดาข่มขู่ต้าโจวได้อีกด้วย


 


 


“เฮอะ! อวี้เฟยเยียนคือจอมเทวา แน่นักหรือ ข้ามีปรมาจารย์!


 


 


เชียนลั่วเฉิงจินตนาการว่าตนแสดงอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าซย่าโหวจวินอวี่ได้ ก็สบายอกสบายใจเป็นอย่างมาก


 


 


แต่ว่า มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องตามหาปรมาจารย์ให้เจอก่อนเจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่น!


 


 


ส่วนตัวอวี้เฟยเยียนกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ รอจนกระทั่งนางและซย่าโหวฉิงเทียนกลับถึงเมืองหลวง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถูกซย่าโหวจวินอวี่ตามตัวเข้าเฝ้าทันที


 


 


“เป็นเด็กดี รอพี่กลับมา!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนโอบกอดอวี้เฟยเยียน จรดปลายคางเขาแนบชิดกับหน้าผากนาง ใช้หนวดเขาทิ่มนางเบาๆ


 


 


“บ้า คันจะตายอยู่แล้ว!”


 


 


อวี้เฟยเยียนยกมือขึ้นฟาดซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


แน่นอนว่าแรงอันน้อยนิดของนางในสายตาของซย่าโหวฉิงเทียนราวกับแมวน้อยกำลังเกาให้เขาเท่านั้น


 


 


“สบายจังเลย เกาให้พี่อีกสิ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหยอกเย้า


 


 


“ท่านรีบไปเถอะ! ฝ่าบาทถามหาท่านจะต้องมีอันใดเป็นแน่!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มซย่าโหวฉิงเทียนแผ่วเบา


 


 


“ข้าจะรอท่านกลับมา!”


 


 


ประโยค ‘ข้าจะรอท่านกลับมา’ เพียงประโยคเดียวทำให้หัวใจซย่าโหวฉิงเทียนหวานฉ่ำราวกับฉาบไว้ด้วยน้ำผึ้งก็ไม่ปาน


 


 


มีคนกำลังรอคอยเขาอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าบ้าน นับเป็นเรื่องที่ซย่าโหวฉิงเทียนมิเคยคาดหวังมาก่อน


 


 


แต่ทว่าในที่สุดมันก็กลายเป็นความจริงขึ้นมา แล้วเขาจะไม่รู้สึกโชคดี ไม่รู้สึกซาบซึ้งได้อย่างไรเล่า!


 


 


ที่ด้านข้างบ่อน้ำพุร้อน เขาและนางยืนยันชัดเจนว่าอยู่ในสถานะของคนรัก


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่พูดถึงเรื่องที่จะจากไป ส่วนอวี้เฟยเยียนก็ไม่ไปคิดเรื่องพวกนั้นอีก


 


 


เครื่องส่งสัญญาณหล่นหายไปที่ใด นางก็ไม่รู้


 


 


บางทีพรุ่งนี้อาจจะเจอเครื่องส่งสัญญาณ หรือบางทีอาจต้องรอสิบปียี่สิบปีถึงจะเจอ บางทีนางอาจจะหามันไม่เจอตลอดชีวิต กลับประเทศจีนไม่ได้อีก


 


 


ในเมื่อเรามิอาจล่วงรู้อนาคตได้ แล้วเหตุใดเราถึงไม่ทะนุถนอมปัจจุบันเล่า!


 


 


มีคนที่รักเราอยู่เคียงข้างกาย สัมผัสความรักของกันและกันอย่างเต็มหัวใจ นับเป็นวิธีที่ดีที่สุดกับทั้งอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“แมวน้อย พี่ไม่อยากไปแล้ว!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนที่กำลังตกอยู่ในสภาวะรักสุกงอม อยู่ในห้วงความรัก


 


 


ยิ่งเห็นอวี้เฟยเยียนเชิญชวนเขาเช่นนี้ เขาแทบไม่อยากแยกจากนางเลยแม้แต่ก้าวเดียว!


 


 


“ไปเถอะ นะเด็กดี ท่านไปเข้าเฝ้าก่อน เดี๋ยวข้าจะไปทำกับข้าว พอท่านกลับมาพวกเราจะได้ฉลองด้วยกันอย่างไรเล่า!”


 


 


อวี้เฟยเยียนรู้รสความสามารถในการเกาะติดของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว มันช่างเข้ากับวิธีการที่เขาใช้ฆ่าคนอย่างคาดไม่ถึง ราวกับว่าคนทั้งสองได้รวมร่างเป็นหนึ่งเดียวก็ไม่ปาน ไม่ยอมแยกจากกันแม้เพียงนิดเดียวเฉกเช่นเดียวกับแสงและเงาที่เคียงคู่กันเสมอ


 


 


แม้แต่อวี้เฟยเยียนไปเข้าห้องน้ำ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังตามไปเฝ้าที่หน้าห้องน้ำ เกรงว่าหากกะพริบตา อวี้เฟยเยียนก็จะอันตรธานหายไป


 


 


อาจเพราะเขารู้สถานะที่แท้จริงของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนจึงกลายเป็นโรคกลัวว่าจะต้องสูญเสียนางไป จึงเข้มงวดเช่นนี้


 


 


เมื่ออวี้เฟยเยียนยืนยันหนักแน่นอีกครั้ง ทั้งยังปลอบโยนเขาอยู่นานซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้ยอมเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้


 


 


จนกระทั่งซย่าโหวจวินอวี่ได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียน เห็นเขาเพียงแค่แวบเดียวหัวใจของฝ่าบาทก็พอโต!


 


 


“ดีนี่นา ไม่เลว!”


 


 


เห็นทีสองสามวันนี้ ความสัมพันธ์ของลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาคงจะพัฒนาคืบหน้าไปมากทีเดียว


 


 


ดีจริงๆ เลย!


 


 


ความดีใจทำเอาซย่าโหวจวินอวี่ลืมเลือนเรื่องปรมาจารย์ไปชั่วขณะ


 


 


เปรียบเทียบกันแล้ว เขาจะต้องเป็นห่วงเป็นใยความสุขชั่วชีวิตของบุตรชายมากกว่าอยู่แล้ว นี่มันเรื่องของชีวิตทั้งชีวิตเลยนะ แล้วจะละเลยได้อย่างไรกัน!


 


 


“เป็นอย่างไร คำแนะนำของข้าไม่เลวใช่หรือไม่ละ!”


 


 


ถึงแม้จะรู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนมิได้เดินทางไปหลบร้อนที่สวนบนเขา แต่เขาก็หายตัวไปตั้งสองสามวัน คงจะต้องไปสำเริงสำราญใจที่อื่นเป็นแน่


 


 


เจ้าหนุ่มนี่มีความลับหรือนี่!


 


 


“อืม”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้าน้อยๆ โดยไม่ปิดบังสีหน้าที่มีความสุขของตัวเองสักนิด


 


 


“นางชอบข้ามากเช่นกัน ซึ่งข้าดีใจมาก”


 


 


“ต้องอย่างนี้สิ!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับตบหน้าขาตนเองอย่างแรง


 


 


“เชื่อข้านะไม่ผิดแน่ ชอบเขาก็พูดออกไปเลย เจ้าไม่พูด นางจะรู้ได้อย่างไรกันเล่า ลูกผู้ชายไม่ควรให้ฝ่ายหญิงคาดเดาความรู้สึกของเรานะ!”


 


 


“ขอบคุณ…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวขอบพระทัยฮ่องเต้อย่างจริงใจ


 


 


จริงสิ ก่อนที่เขาจะไป ซย่าโหวจวินอวี่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ของตนเองให้กับเขามากมาย


 


 


หากมิใช่พระองค์ทรงให้กำลังใจสนับสนุนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ไม่มีความคิดเรื่องที่จะสารภาพรักมาก่อน


 


 


“เกรงใจไปทำไมกัน! ใครใช้ให้ข้าเป็นพ่อของเจ้ากันเล่า!”


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นซย่าโหวจวินอวี่ก็มองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา


 


 


“อะไร…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกขนลุกไปทั่วร่างเมื่อถูกสายตาเช่นนั้นของซย่าโหวฉิงเทียนมองมา


 


 


“ฉิงเทียน เจ้าเคยอ่าน ‘ชุนกงถู’ หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าเรื่องของหญิงชาย มันเป็นอย่างไรกัน”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวออกมา พร้อมทั้งแสดงอาการสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง 

 

 


ตอนที่ 93-1 คนรักที่ชิดใกล้ เขาที่แสน...

 

คำตรัสของฮ่องเต้ ทำให้เซี่ยงจิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ตื่นเต้นจนกัดลิ้นตนเอง


 


 


ฝ่าบาท ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นบิดา เอาแต่เน้นย้ำเรื่องนี้มันมิเกินไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ


 


 


นั่นเป็นความสามารถพื้นฐานของบุรุษอยู่แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ


 


 


จำเป็นต้องชี้แนะที่ไหนกัน!


 


 


ทว่าหลังจากที่แอบเหลือบมองใบหน้าที่สูงส่งของซย่าโหวฉิงเทียนที่แสดงอากัปกิริยาไม่คุ้นชินออกมาแล้ว จู่ๆ เซี่ยงจิ้นก็รู้สึกเลื่อมใสในสายพระเนตรของฝ่าบาทยิ่งนัก


 


 


ฝ่าบาท ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งนัก! บ่าวนับถือด้วยใจจริง!


 


 


ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะแสดงอาการสงบราบเรียบ แต่ความเงียบของเขาก็ตอบได้เป็นอย่างดี


 


 


“แค่กๆ!”


 


 


คราวนี้ถึงคราวของฮ่องเต้ทรงเจ็บปวดพระทัยบ้าง


 


 


ยังจำได้เมื่อครั้งที่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงประทานนางกำนัลสองสามคนให้แก่เขาเพื่อเป็นการแนะแนวทาง ทว่าจุดจบของพวกนางนั่นก็คือถูกซย่าโหวฉิงเทียนจับหักคอจนหมด


 


 


นิสัยโหดเ**้ยมดุดันเขาก็ถูกเปิดเผยออกมาในตอนนั้น


 


 


ในวันนี้มีลูกสะใภ้แล้ว พื้นเพความรักก็มีแล้ว แผนการทำลูกก็น่าจะขยับมาล่วงหน้าด้วยสิ!


 


 


แต่เจ้าลูกชายกลับทำสีหน้าสับสน ไม่รู้อะไรเลย!


 


 


นั่นทำให้ฝ่าบาททรงทั้งสงสารและเจ็บปวดพระทัย


 


 


“เจ้ารอที่นี่ก่อน ข้ามีบางสิ่งจะให้!”


 


 


เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสุขทั้งชีวิตของซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวจวินอวี่ไม่ร้อนใจเห็นจะไม่ได้


 


 


ฮ่องเต้ทรงก้าวยาวๆ ไปที่คลังสมบัติส่วนพระองค์ ค้นหาซ้ายทีขวาทีโดยมีเซี่ยงจิ้นคอยช่วยเหลือ จนในที่สุดก็หากองหนังสือ ’ชุนกงถู’ จนเจอ ซึ่งลักษณะหนังสือนั่นแปลกประหลาดยิ่งนัก


 


 


หากเป็นฉบับดั้งเดิมละก็ จะวาดอยู่บนกระดาษ


 


 


แต่หนังสือนี้มีการเผยแพร่เนื้อหาทั้งในรูปแบบการปักลงบนผ้าแพร มีทั้งวาดลงบนเครื่องลายคราม บนเครื่องปั้นดินเผา เสมือนจริงราวกับมีชีวิต


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่พลิกอ่านหนังสือนั้นโดยละเอียด จึงพบว่าภาพวาดด้านในดูน่าเกลียดไม่สวยงาม ด้วยนิสัยเลือกมากของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ภาพที่น่าเกลียดเช่นนี้ เขาต้องไม่ชอบเป็นแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาจะศึกษาหนังสือนี่โดยละเอียดและเอาไปปฏิบัติตาม


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่จึงตัดสินใจให้เชิญอาจารย์ศิลปะ เหอหม่านเฉิงเข้าวัง แล้วให้วัดสัดส่วนของซย่าโหวฉิงเทียนเพื่อวาดให้กับเขาโดยเฉพาะ


 


 


เงื่อนไขของฝ่าบาทก็ไม่มาก


 


 


อันดับแรก ภาพคนที่วาดออกมาต้องสวยงามให้ความรู้สึกเสมือนจริง เมื่อคนได้อ่านแล้วจะต้องเกิดความรู้สึกต้องการจากส่วนลึกในใจ!


 


 


ข้อสองจะต้องมีขั้นตอนเรื่องราวของความรักหวานชื่น สิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนขาดก็คือความหวานชื่น! เรื่องนี้มันแตกต่างกับการเด็ดหัวศัตรูในสนามรบที่พุ่งโจมตีโดยตรงได้เลยนะ!


 


 


ข้อสาม ต้องมีรายละเอียดครบถ้วน ในทุกขั้นตอนจะต้องอธิบายโดยละเอียด


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่รู้จักบุตรชายของตนเองดี มองภายนอกคล้ายกับคนผ่านเรื่องราวมากมายมาอย่างโชกโชน แต่แท้ที่จริงแล้วสะอาดสะอ้านราวกระดาษเปล่าใบหนึ่งก็ไม่ปาน


 


 


และเขาก็แน่ใจเต็มร้อยว่า ซย่าโหวฉิงเทียนอายุปูนนี้ ยังเป็นชายบริสุทธิ์ไม่เคยมองหญิงใด!


 


 


หากเรื่องแพร่ออกไป ผู้คนจะต้องหัวเราะเยาะจนฟันหลุดเป็นแน่!


 


 


ดังนั้นซย่าโหวจวินอวี่ถึงได้ร้อนใจอย่างไรเล่า!


 


 


ความสัมพันธ์ครั้งแรกของสามีภรรยาสำคัญยิ่งนัก หากทำให้ทั้งลูกชายและลูกสะใภ้เกิดความขยาดกลัวละก็ จะทำลูกกันอย่างไรเล่า! ยิ่งมิต้องพูดถึงมีลูกสะใภ้เป็นจอมเทวาเลย นางเก่งกาจถึงเพียงนั้น หากรู้สึกเจ็บขึ้นมา ฟาดทีเดียวซย่าโหวฉิงเทียนกระเด็นออกไปไกลจะทำอย่างไรกัน!


 


 


เมื่อได้ฟังเงื่อนไขของฝ่าบาทเกี่ยวกับ ’ชุนกงถู’ ที่ทรงตรัสมา เหอหม่นเฉิงแทบอยากตายขึ้นมาทันที


 


 


เขาอายุปูนนี้แล้ว หนวดเคราขาวยาวจนถึงอก ถูกรีบร้อนเรียกตัวเข้าเฝ้า เพียงเพราะเรื่องการวาดหนังสือ ‘ชุนกงถู’ นี่!


 


 


เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า!


 


 


ฝ่าบาท พระองค์มีความต้องการมากเพียงใดกันพ่ะย่ะค่ะ!


 


 


ในวังหลวงก็มีอยู่หลายฉบับที่เก็บซ่อนเอาไว้ ยังมิเพียงพอสนองความต้องการของพระองค์อีกหรือ


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันเชี่ยวชาญการวาดภาพขุนเขาสายน้ำ!”


 


 


ใบหน้าเหอหม่านเฉิงแดงก่ำราวลูกตำลึงสุก


 


 


“ภาพขุนเขาสายน้ำ…”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ลูบนวดหนวดเคราเบาๆ ใบหน้าครุ่นคิดตาม


 


 


“จริงด้วยสิ! เหตุใดข้าถึงไม่คิดถึงจุดนี้กันนะ พรรณนาเรื่องความรักท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ หยินหยางประสาน นับเป็นเรื่องสวยงามที่สุดเรื่องหนึ่ง ขุนนางที่รัก เจ้านี่ช่างรังสรรค์ยิ่งนัก ข้าจะตกรางวัลเจ้า!”


 


 


สุดท้าย เหอหม่านเฉิงก็อุ้มเงินรางวัลเต็มอ้อมแขนร้องไห้กลับไป


 


 


อายุปูนนี้แล้วยังไม่ลดละเรื่องเช่นนี้อีก!


 


 


วาดภาพขุนเขาสายน้ำมาทั้งชีวิต ในตอนที่ใกล้จะเกษียณกลับต้องถูกบังคับให้วาดภาพ ‘ชุนกงถูท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ’ หน้าตาของสกุลเหอสูญสิ้นก็คราวนี้…


 


 


เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับไปหาบุตรชายที่ห้องทรงอักษร


 


 


ระหว่างทาง ซย่าโหวจวินอวี่อารมณ์ดีเป็นที่สุด เดินไปฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ฮัมเพลงไปเรื่อยโดยไม่ได้ใส่ใจ แต่เซี่ยงจิ้นที่เดินอยู่ใกล้ๆ กลับได้ยินชัดถนัดถนี่


 


 


เนื้อเพลงก็ง่ายแสนง่าย นั่นก็คือ ทำลูกเอยทำลูก! เจ้าตัวน้อยแสนจ่ำม้ำ! ซาลาเปาน้อย ซาลาเปาน้อย!


 


 


ซาลาเปา


 


 


เซี่ยงจิ้นใส่ใจด้วยการจดคำนั้นเอาไว้


 


 


กลับไปจะต้องไปกำชับห้องเครื่องสักหน่อย ว่าสองสามวันนี้ฝ่าบาททรงอยากเสวยซาลาเปา และจะต้องเป็นซาลาเปาเครื่องแน่นแป้งบางด้วย!


 


 


เซี่ยงจิ้นปาดเหงื่อแล้วเดินตามซย่าโหวจวินอวี่ต่อไป มือทั้งสองข้างของเขาอุ้มภาพวาดแผ่นหนึ่งด้วยความระมัดระวัง นี่เป็นภาพวาดที่ฝ่าบาทตั้งใจเลือกอย่างเต็มที่ เป็นภาพวาดที่คิดว่าสวยที่สุด


 


 


เหอหม่านเฉิงต้องการเวลาในการวาดภาพ ซย่าโหวจวินอวี่ร้อนใจ ดังนั้นจึงตั้งใจเลือกภาพวาดมาภาพหนึ่งส่งไปให้กับซย่าโหวฉิงเทียนเพื่อให้ใช้เป็นแนวทางไปก่อน


 


 


“นี่ภาพอะไรกัน”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนรับภาพนั้นเอาไว้แล้วเตรียมจะเปิดดู แต่ซย่าโหวจวินอวี่กลับรีบห้ามเขาเอาไว้


 


 


“กลับไปค่อยดู กลับไปให้เจ้าเปิดดูอย่างละเอียด ศึกษาให้แจ่มแจ้ง!”


 


 


สอดมือเข้ามายุ่มย่ามเรื่องความสุขของเจ้า ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกเคอะเขินไม่น้อย


 


 


หากว่าซย่าโหวฉิงเทียนเปิดดูต่อหน้าเขาละก็ ซย่าโหวจวินอวี่เกรงว่าเขาจะอึดอัด


 


 


ก็ใช่นะสิ ชายหนุ่มที่อายุขนาดนี้แล้ว แม้แต่เรื่องในบ้านของตัวเองยังต้องให้เขาผู้เป็นพ่อเป็นธุระให้ เจ็บปวดจริงๆ เลย!


 


 


ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็ว่าง่ายเก็บภาพวาดนั้นลงไป


 


 


“เสด็จพี่ ท่านหาข้า มีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


จนกระทั่งถึงตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้คิดถึงเรื่องงานขึ้นมาได้


 


 


ก่อนหน้านี้เขาดีใจมากเกินไปหน่อย แล้วจะมาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกัน หากมิใช่ซย่าโหวฉิงเทียนถามขึ้น ซย่าโหวจวินอวี่คงลืมจุดประสงค์ในการเรียกเขาเข้ามาแล้ว


 


 


“ปรมาจารย์ปรากฏขึ้นแล้วบนแผ่นดินใหญ่ เจ้ารู้แล้วสินะ!”


 


 


“รู้แล้ว!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า เขาไม่แค่รู้นะ ยังเห็นปรมาจารย์สำเร็จขั้นต่อหน้าอีกด้วย


 


 


“ไม่รู้ว่าปรมาจารย์เป็นคนแคว้นไหนกัน! ข้าให้คนออกตามหา ถึงตอนนี้ยังไม่พบเบาะแสอะไรเลย ข้าเกรงว่า ปรมาจารย์จะเป็นคนของฉินจื้อหรือไม่…”


 


 


“ไม่ใช่”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนตอบอย่างมั่นใจ


 


 


“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น แต่หากว่า…”


 


 


“ไม่มีหากว่า แมวน้อยคือปรมาจารย์!”


 


 


ได้ยินดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็เซถลาไปด้านหลัง จนเซี่ยงจิ้นต้องรีบประคองเขาจากทางด้านหลัง


 


 


“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เชิญหมอหลวงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ไม่ๆ ไม่เป็นไร…”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่พร่ำบอกเบาๆ ชี้ไม้ชี้มือไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”


 


 


“พูดอีกครั้งซิ!”


 


 


“แมวน้อยคือปรมาจารย์ เสด็จพี่มิต้องกังวล”


 


 


เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาไม่ได้ฟังผิด ซย่าโหวจวินอวี่ตาเหลือก หงายหลังเท้าชี้ฟ้าเป็นลมไปทันที


 


 


กระทั่งหมอหลวงหวังยังถูกซย่าโหวฉิงเทียนหิ้วเข้ามาที่ห้องทรงอักษร ขณะนั้นหมอหลวงหวังเหงื่อแตกพลั่กทั่วทั้งร่าง ราวกับถูกตกขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“ท่านอ๋อง ทรงปล่อยข้าน้อยลงเถอะ!”


 


 


จนซย่าโหวฉิงเทียนวางเขาลง หมอหลวงหวังยังคงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น


 


 


ขณะที่หมอหลวงหวังกำลังศึกษาตำราแพทย์อยู่นั้น จู่ๆ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ปรากฏตัวขึ้น หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นมาแล้วเหาะทะยานมาที่นี่


 


 


เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ท่านอ๋องจึงเลือกใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุด ทะยานขึ้นฟ้าเหาะเหินเดินหลังคามาอย่างรวดเร็ว! ทำเอาหมอหลวงหวังตื่นตระหนกจนกอดกระเป๋ายาเอาไว้แน่น ร้องตะโกนดังลั่นวังหลวงว่า


 


 


“หม่อมฉันกลัวความสูงพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เป็นหมอมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกใช้วิธีการเดินทางน่าระทึกที่สุด!


 


 


“ท่านอ๋อง คราวหน้าท่านอ๋องเลือกวิธีที่อ่อนโยนหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หมอหลวงหวังปาดเหงื่อ ขาอันสั่นเทาทั้งสองข้างของเขาค่อยๆ พาร่างเข้าไปหาซย่าโหวจวินอวี่


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวถามขึ้น


 


 


“ไม่เป็นไรมากพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเพียงแค่ตกพระทัยมากไปหน่อยเท่านั้น!”


 


 


จนกระทั่งหมอหลวงหวังฝังเข็มให้กับซย่าโหวจวินอวี่แล้ว เขาจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติขึ้น


 


 


เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ตรงหน้า ฝ่าบาทก็ทรงเงยหน้ามองฟ้าพร้อมกับหัวเราะออกมา


 


 


“ฮ่าๆ เชียนลั่วเฉิงไอ้คนเฮงซวย คราวนี้เจ้าตายแน่!”


 


 


หลังจากหมอหลวงหวังยืนยันหนักแน่นอีกครั้งว่า เพราะซย่าโหวจวินอวี่ดีใจเกินขนาด จึงเป็นลมล้มพับไปเท่านั้นไม่มีอันตรายใดๆ แล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงปล่อยหมอหลวงหวังกลับไป


 


 


“ฉิงเทียน ทำได้ดี! ทำได้ดีมาก!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ดีใจอย่างยิ่ง


 


 


ก่อนหน้านี้เขายังเป็นกังวลอยู่เลยว่าปรมาจารย์คนแรกในประวัติศาสตร์นี้หากว่าเป็นฝ่ายศัตรูขึ้นมา เกรงว่าจะนำหายนะมาสู่ต้าโจว


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่า ปรมาจารย์จะเป็นลูกสะใภ้ของเขาเอง!


 


 


สวรรค์มีตาโดยแท้ เรื่องมงคลมากมายเช่นนี้ ทั่วทั้งแผ่นดินควรจะเฉลิมฉลอง!


 


 


ยิ่งคิด ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ่งดีใจ


 


 


ลูกชายเขาช่างเก่งกาจยิ่งนัก! ลูกสะใภ้ที่หามาแต่ละคนล้วนเก่งกาจทั้งสิ้น! จอมเทวาสองคน ปรมาจารย์หนึ่งคน สวรรค์ เทพยดา ลูกหลานสกุลซย่าโหวจะโด่งดังแล้วคราวนี้!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่คิดๆ ไปก็เวียนหัว เห็นดังนั้นเซี่ยงจิ้นก็รีบไปรินน้ำมาให้กับซย่าโหวจวินอวี่ทันที


 


 


“ฝ่าบาท ทรงดื่มน้ำหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ไม่ดื่ม…”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ได้เริ่มเข้าสู่ภาวะดีใจอย่างเต็มตัว แล้วไหนเลยน้ำแก้วเดียวจะดับมันลงได้!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กวักมือเรียกซย่าโหวฉิงเทียนเข้ามานั่งข้างๆ ตน


 


 


“เร็ว รีบมาเล่าให้ข้าฟังที แมวน้อยของเจ้า อายุอานามเท่าไหร่กัน หน้าตาเป็นอย่างไร ลูกเต้าเหล่าใคร พวกเจ้าวางแผนจะแต่งงานกันเมื่อไหร่”


 


 


คำถามมากมายรัวขึ้นราวกับกระสุนปืนก็ไม่ปานยิงรัวมาที่ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ก่อนหน้านี้ท่านยังเจอนางอยู่เลย”


 


 


“ข้าเคยพบนางหรือ” 

 

 


ตอนที่ 93-2 คนรักที่ชิดใกล้ เขาที่แสน...

 

คราวนี้ ฝ่าบาทถึงกับงงงวยไปทีเดียว


 


 


พระองค์เคยพบกับอวี้หลัวช่าและอวี้เฟยเยียน แต่แมวน้อยนั่น เคยพบนางเมื่อไหร่กัน


 


 


“ท่านรู้จักแมวน้อย”


 


 


“รู้จัก”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่สับสนอย่างที่สุด


 


 


ในระยะนี้เขาไม่เคยพบหญิงสาวคนไหนเลยนี่นา!


 


 


ในระยะนี้ก็มี งานเลี้ยงต้อนรับหลิวเปยครั้งนั้น ราชนิกุลสตรีก็มีมากมาย ซึ่งเขาก็มิได้ใส่ใจดูใครเป็นพิเศษเสียด้วย!


 


 


ตกลงแล้ว ใครกันแน่นะ


 


 


เมื่อมองออกถึงความสับสนข้องใจของซย่าโหวจวินอวี่ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงใจดีบอกคำตอบออกไป


 


 


“แมวน้อยก็คืออวี้เฟยเยียน นางยังมีอีกชื่อหนึ่งนั่นก็คืออวี้หลัวช่า!”


 


 


คำตอบนี้สำหรับซย่าโหวจวินอวี่แล้วเป็นดั่งระเบิดยักษ์ก็ไม่ปาน เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ล้มตึงเป็นลมสลบไปในทันที


 


 


ลูกสะใภ้ทั้งสามจู่ๆ ก็กลายเป็นคนเดียวกัน!


 


 


ฝ่าบาทแทบจะรับไม่ไหว!


 


 


เดิมทีพระองค์ทรงคิดว่า ลูกสะใภ้คนหนึ่งมีหลานสักสามคน ทั้งหมดก็รวมเป็นเจ้าตัวอ้วนจ้ำม่ำเก้าคน จะดีสักเพียงไหนกัน ใครจะคาดคิด ความฝันอันสวยงามของพระองค์จะสูญสลายไปจนหมดสิ้น


 


 


แค่พริบตาเดียว ซาลาเปาน้อยทั้งหกก็หายไปในพริบตา หลานตัวอ้วนทั้งหกคนหายวับไปกับตา!


 


 


ใจพระองค์ เจ็บปวดยิ่งนักแล…


 


 


“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไป พระองค์อย่าทรงทำให้บ่าวตกใจสิพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เห็นท่าอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตาของซย่าโหวจวินอวี่ ทำเซี่ยงจิ้นตกอกตกใจเป็นอย่างมาก ในตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงสวรรคต ไม่เห็นพระองค์โศกเศร้าเสียใจถึงเพียงนี้เลย!


 


 


“น่าโมโหยิ่งนัก!”


 


 


“เจ้าไสหัวไป เซี่ยงจิ้นอย่ามาห้ามข้า ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าหมอนี่ให้รู้สำนึก!”


 


 


ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียนทำให้ซย่าโหวจวินอวี่อารมณ์ขึ้นจนถึงขีดสุด เขาเที่ยวควานหาไปทั่ว แต่ก็ไม่เจอของที่ถนัดมือ สุดท้ายจึงคว้าเอาแส้ในมือเซี่ยงจิ้น ขว้างใส่ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


คืนหลานสาวหลานชายของข้ามา!


 


 


ซาลาเปาน้อยทั้งหก!


 


 


ด้วยวรยุทธ์ซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว แน่นอนว่าแส้นั่นทำอะไรเขาไม่ได้


 


 


เขาใช้เพียงมือเดียวรับแส้เอาไว้ แล้วค่อยๆ เดินเอาแส้มาคืนให้กับซย่าโหวจวินอวี่ด้วยตัวเอง แฝงความนัยว่าขว้างอีกสิถ้าต้องการ จนในที่สุดฮ่องเต้ที่หดหู่อย่างที่สุดก็ถึงกับหมดคำพูด


 


 


ไม่นาน ซย่าโหวจวินอวี่ก็เรียกสติคืนกลับมาได้


 


 


ช่างเถอะ เอาตามนี้แล้วกัน!


 


 


ก่อนหน้านี้เขายังเป็นกังวลใจอยู่เลยว่า หากลูกสะใภ้ที่เก่งกาจทั้งสามคนหึงหวงกันขึ้นมา แล้วซย่าโหวฉิงเทียนรับมือไม่ไหวจะทำอย่างไรกัน ตอนนี้ปัญหาทั้งหมดก็ตกไป


 


 


อย่างมากก็ให้อวี้เฟยเยียนมีลูกสักสองสามคน!


 


 


ดูจากรูปร่างหน้าตาของนางแล้ว ก็น่าจะขุนได้ไม่ยาก


 


 


อีกอย่างอวี้เฟยเยียนเป็นถึงปรมาจารย์ ร่างกายย่อมต้องแข็งแรง มีลูกสักแปดคนสิบคนน่าจะไม่มีปัญหาอะไร!


 


 


เมื่อคิดได้ดังนั้นความอึดอัดไม่สบายใจของซย่าโหวจวินอวี่ก็คลายลงไปมาก


 


 


แต่เมื่อมองดูสีหน้า ‘ไม่รับผิด’ ของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ฝ่าบาทก็ทรง ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่ง


 


 


“เก็บความลับได้ดีนักนะ! แม้แต่ข้าก็ปิดบัง! เฮอะ!”


 


 


สามคนกลายเป็นคนคนเดียว เช่นนั้นสินสอดก็มิต้องตระเตรียมถึงสามชุดแล้ว แต่อวี้เฟยเยียนนอกจากจะมีสถานะเป็นปรมาจารย์แล้ว ยังเป็นจักรพรรดิโอสถอีกด้วย แต่งสะใภ้ที่เก่งกาจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ทั้งที สินสอดจะน้อยหน้าได้อย่างไรกัน!


 


 


เกรงก็แต่ว่า…ต่อให้สินสอดของจอมเทวาสามคนรวมกันก็ยังไม่มากเท่าแต่งปรมาจารย์เลยด้วยซ้ำ


 


 


คิดแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ปวดหัวขึ้นมาอีก


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไร จะต้องเอาแผ่นดินฉินจื้อมาให้ได้


 


 


เพื่อลูกสะใภ้ และเพื่อล้างอายในปีนั้น!


 


 


หากมิใช่ฉินจื้อบีบบังคับกันเกินไป ซย่าโหวฉิงเทียนที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกจะต้องถูกส่งไปเป็นตัวประกันในต่างแดนที่ไกลแสนไกลเช่นนั้นหรือ


 


 


ลูกชายของเขาดีๆ ถูกกลั่นแกล้งจนมีนิสัยเช่นนี้ เรื่องเลวทรามเช่นนี้จะขาดเชียนลั่วเฉิงไปได้อย่างไรกัน เพราะฉะนั้นจะต้องกำจัดมันให้จงได้!


 


 


“เสด็จพี่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอประทานอนุญาตกลับก่อน แมวน้อยรอข้ากินข้าวอยู่!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่สันทัดเรื่องการปลอบใจคนเสียด้วย


 


 


อีกทั้งเขารู้ดีว่าซย่าโหวจวินอวี่มิได้โกรธเคืองอะไรจริงๆ เพียงแต่ตอนแรกรับความจริงไม่ไหวเท่านั้น


 


 


แค่ให้เวลาเขา ทำใจยอมรับก็พอแล้ว!


 


 


“ไม่มีหัวใจ!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่บ่นไล่หลังซย่าโหวฉิงเทียนที่เดินหลังตรงแน่วออกไป


 


 


ได้เมียแล้วลืมพ่อ ยังไม่ทันแต่งเข้าบ้านด้วยซ้ำ…


 


 


แต่เมื่อคิดถึงด่านอวี้จิงเหลยเข้า ซย่าโหวจวินอวี่ก็แอบกังวลใจไม่น้อย


 


 


อวี้จิงเหลยมีชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งนักในเรื่องของความหัวแข็งดื้อรั้น จะให้เขายอมรับซย่าโหวฉิงเทียน เกรงว่าจะยากเสียหน่อย!


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไร อวี้เฟยเยียนและอวี้หลัวช่าคือคนเดียวกัน นางไม่เพียงเป็นจักรพรรดิโอสถ ตอนนี้ยังเป็นถึงปรมาจารย์ ข่าวนี้ทำให้ฝ่าบาททรงดีพระทัยยิ่งนัก


 


 


ถึงแม้ว่าต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวจวินอวี่จะตีหน้ายักษ์ถมึงทึงโกรธเคือง


 


 


ทว่าเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนจากไป ซย่าโหวจวินอวี่ก็เริ่มคุยโม้ให้เซี่ยงจิ้นฟังทันที


 


 


“สมแล้วที่เป็นลูกชายข้า สายตาเฉียบคมยิ่งนัก ลูกสะใภ้คนนี้ข้าพึงพอใจมากถึงมากที่สุด ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ข้าจะได้ดื่มชาจากลูกสะใภ้!”


 


 


“ฝ่าบาท เช่นนั้นเหตุใดพระองค์ถึงมิเชิญคุณชายเหลียนมาพยากรณ์ละพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เซี่ยงจิ้นเสนอความคิดเห็น


 


 


“ความคิดนี้ไม่เลว แต่รออีกเดี๋ยวจะดีกว่า! ตอนนี้เหลียนจิ่นล้มป่วย รอเขาหายดีเสียก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


ทว่าในใจของซย่าโหวจวินอวี่จินตนาการไปไกล


 


 


ลูกสะใภ้ก็มีแล้ว แล้วเจ้าซาลาเปาน้อยจะไปไหนเสีย


 


 


อวี้เฟยเยียนรูปร่างหน้าตางดงาม หากหลอมรวมกับซย่าโหวฉิงเทียนละก็ พื้นฐานหน้าตาพ่อแม่ดีถึงขนาดนี้ ลูกที่เกิดมาจะต้องน่ารัก น่าเอ็นดูมากเป็นแน่


 


 


คืนนั้น เครื่องเสวยในตอนเย็นเต็มไปด้วยซาลาเปานับสิบชนิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นซาลาเปาไส้เนื้อ ซย่าโหวจวินอวี่ยิ่งอารมณ์แช่มชื่นเปรมปรีดิ์เข้าไปใหญ่


 


 


ตอนนี้ขอเพียงแต่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับซาลาเปา เขาล้วนแต่ชอบทั้งสิ้น!


 


 


“เซี่ยงจิ้น เจ้าไปบอกกับห้องเครื่องนะ ซาลาเปาวันนี้ข้าชอบมาก จะตกรางวัลให้อย่างงาม!”


 


 


หลังจากที่ห้องเครื่องได้รับรางวัลแล้ว พากันดีอกดีใจเป็นอย่างมาก โชคดีที่หัวหน้าเซี่ยงแจ้งมา ให้พวกเขาตระเตรียมซาลาเปาให้มาก หัวหน้าเซี่ยงช่างเป็นคนดีจริงๆ เลย!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนถือภาพวาดที่ได้รับประทานจากซย่าโหวจวินอวี่กลับออกจากวังหลวงแล้วตรงไปที่บ้านสกุลอวี้ทันที ไม่ได้แวะไปที่จวนหลินเจียงอ๋องก่อนแต่อย่างใด


 


 


ตอนนี้อวี้จิงเหลย อวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีมิได้อยู่ที่จวน ดังนั้นซย่าโหวฉิงเทียนจึงมิต้องลักลอบปีนป่ายกำแพงจวนเข้าไป


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมาถึงก็ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาแตะจมูก ตั้งแต่ยังไม่ถึงหอซงเฮ่อด้วยซ้ำ กระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนเดินอ้อมไปถึงห้องครัวเล็กๆ ของหอซงเฮ่อ ก็เห็นอวี้เฟยเยียนที่สภาพที่พับแขนเสื้อขึ้น มีผ้ากันเปื้อนคาดอยู่ที่เอวกำลังง่วนอยู่หน้าเตา


 


 


“ทำไมถึงได้กลับมาช้านักละ!”


 


 


เงยหน้าขึ้นมาเจอซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็กล่าวขึ้นมาอย่างงอนๆ


 


 


“ช่างเถอะ ท่านมาได้เวลาพอดีเลย มาเร็ว ช่วยข้ายกอาหารเร็วเข้า!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนนึกไม่ถึงเลยว่าอวี้เฟยเยียนจะทำกับข้าวเป็น ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาเข้าวังนั้น นางสามารถออกไปซื้อกับข้าว ล้างผัก หั่นผัก ทำกับข้าว ทั้งหมดนี่นางทำเพียงคนเดียว รวดเร็วราวกับบันดาลมา!


 


 


“พี่ทำเอง เจ้าพักเถอะ!”


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผมมากมาย ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบวางภาพในมือลงแล้วเข้าไปช่วยนางยกอาหารทันที


 


 


“นี่คืออะไร ข้าดูได้หรือไม่”


 


 


อวี้เฟยเยียนเหลือบไปเห็นภาพวาดของเข้าก็สนอกสนใจขึ้นมา


 


 


“เสด็จพี่ประทานให้พี่มา ให้พี่ตั้งใจเอาไปศึกษาโดยละเอียด เจ้าเอาไปเถอะ ของพี่ก็คือของเจ้า!”


 


 


ได้ยินดังนั้นอวี้เฟยเยียนก็หยิบภาพวาดนั้นขึ้นมาแล้วเปิดออก


 


 


เมื่อเห็นภาพวาดด้านใน อวี้เฟยเยียนก็ร้อง ‘ไอ้หยา’ ขึ้นมาทันที จากนั้นก็ทิ้งภาพวาดลงบนพื้น แล้วยกมือขึ้นกุมแก้มทั้งสองข้าง ทั้งโกรธทั้งอาย ตาก็จ้องเขม็งไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“คนลามก!”


 


 


ถูกด่าโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทำซย่าโหวฉิงเทียนงงงวยเป็นอย่างมาก


 


 


กระทั่งเขาเก็บภาพวาดที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาเปิดดู ก็พอเดาออกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


 


ด้านในคือภาพรูปมนุษย์สองคน กำลังระเริงรักกันอย่างสุขสมร่างกายตวัดเกี่ยวรัดพันกัน ซึ่งภาพนั้นสมจริงสวยงามราวกับมีชีวิต


 


 


“นี่เขาเรียกว่า ‘หลอมรวม’ ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวออกมาด้วยความมั่นอกมั่นใจ


 


 


“หลอมรวมคือขั้นหนึ่งของวรยุทธ์ เหมาะสำหรับชายหญิงร่วมกันฝึก แต่มีเงื่อนไขว่าขั้นวรยุทธ์ของคนทั้งสองจะต้องไล่เลี่ยในระดับเดียวกัน ตอนนี้เจ้ายังอ่อนหัดเกินไป ยังมิอาจฝึกหลอมรวมกับพี่ได้!”


 


 


“หลอมรวมกับผีน่ะสิ!” 

 

 


ตอนที่ 93-3 คนรักที่ชิดใกล้ เขาที่แสน...

 

อวี้เฟยเยียนกำหมัดเกือบจะชกหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว


 


 


หมอนี่ไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งว่าอ่อนต่อโลกกันแน่นะ!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวี้เฟยเยียนจะต้องโกรธ


 


 


หรือเป็นเพราะว่าระดับของนางยังต่ำเกินไป มิอาจฝึกหลอมรวมกับเขาได้ จึงโกรธเคือง


 


 


เมื่อคิดได้ดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ปลอบโยนอวี้เฟยเยียนต่ออีกว่า


 


 


“เหนือจากปรมาจารย์ขึ้นไปยังมีวีรชนอาวุโส จักรพรรดิอาวุโส ราชาจักรพรรดิอาวุโส เทพจักรพรรดิ โดยในแต่ละขั้นจะยากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการชี้แนะของพี่ เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป! อย่างมากพี่ก็ฝึกให้ช้าลง รอเจ้าให้มากหน่อยเท่านั้นเอง!”


 


 


ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เข้าใจแล้วว่า ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี้ ในเรื่องหญิงชาย เขาเป็นดั่งเด็กน้อยที่ยังไม่เคยเปิดโลกทัศน์มาก่อนเท่านั้นเอง


 


 


ดูท่าแล้วเขาจะไม่รู้เรื่องจริงๆ เสียด้วย!


 


 


ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เข้าใจในความหวังดีของฝ่าบาท


 


 


ฝ่าบาท หากพระองค์ทรงทราบว่าซย่าโหวฉิงเทียนคิดว่า ‘ชุนกงถู’ คือวรยุทธ์ที่ฝึกร่วมกันของหญิงชายละก็ พระองค์จะทรงกระอักเลือดหรือไม่นะ


 


 


ไม่น่าพลาด


 


 


ในพระราชวัง


 


 


ขณะที่ซย่าโหวจวินอวี่กำลังกินซาลาเปาอยู่นั่นเอง จู่ๆ เขาก็จามขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง


 


 


ใครเอ่ยถึงข้ากันนะ


 


 


นวดจมูกอยู่ครู่หนึ่ง ซย่าโหวจวินอวี่ก็ครุ่นคิดว่า ต้องเป็นเจ้าลูกชายจอมบื้อของเขา เมื่อได้อ่าน’ชุนกงถู’ แล้วคิดได้เป็นแน่!


 


 


ลูกเอ๋ย รุกเลยสิ โถมเข้าหาแม่นางอวี้ ทำหลานชายหลานสาวให้พ่อหลายๆ คน สามปีอุ้มสองคน สี่ปีอุ้มสามคน…ฮ่าๆ!


 


 


ยิ่งคิดซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ่งมีความสุข ว่าแล้วก็เสวยซาลาเปาเข้าไปอีกอัน


 


 


จวนจงอี้กง


 


 


“ภาพนี้ข้าจะเก็บไว้แล้วกัน!”


 


 


เห็นซย่าโหวฉิงเทียนพิจารณา ‘ชุนกงถู’ อย่างจริงจัง ทั้งยังเลียนแบบท่าทางในภาพอีก อวี้เฟยเยียนใบหน้าแดงก่ำ เอื้อมมือไปคว้าภาพวาดนั้นมาม้วนเก็บแล้วขึ้นไปเก็บบนหอ


 


 


ฝ่าบาท จะใส่ใจไปแล้วนะเพคะ!


 


 


จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนเดินลงมา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ตระเตรียมตะเกียบถ้วยชามเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารคอยนาง


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนดึงให้อวี้เฟยเยียนนั่งลงข้างตนเอง


 


 


“พี่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าทำกับข้าวได้!”


 


 


“เหอะ! เรื่องที่ท่านไม่รู้ยังมีอีกมากทีเดียว!”


 


 


อวี้เฟยเยียนยิ้มจนตาหยีแล้วคีบเนื้อใส่ในชามซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ลองชิมดูสิ เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่”


 


 


ไม่ทันรอให้ซย่าโหวฉิงเทียนหยิบตะเกียบขึ้นมา เสียงกล่าวโทษก็ดังขึ้นเสียก่อน


 


 


“ดีนี่ พวกเจ้ากินกันเพียงลำพัง!”


 


 


ตามมาด้วย ลมพัดวูบ แล้วหมอเทวดาฮั่วก็มานั่งลงที่โต๊ะอาหาร จ้องมองอาหารบนโต๊ะตาละห้อย


 


 


“ดีนะที่ข้ามาที่นี่วันนี้ มิเช่นนั้น อาหารรสเลิศเหล่านี้คงจะถูกพวกเจ้ากินจนหมดเป็นแน่ พวกเจ้าสองคนมีของอร่อยก็ไม่เรียกข้า ไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่เอาเสียเลย ข้าชักจะโกรธแล้วนะ!”


 


 


ตั้งแต่ที่หมอเทวดาฮั่วกลับมาที่เมืองหลวง อวี้เฟยเยียนก็เปิดเผยสถานะที่แท้จริงให้เขาได้รู้


 


 


ตอนนั้น ทำเอาหมอเทวดาฮั่วตกใจจนลมแทบจับทีเดียว


 


 


หอราชาโอสถสร้างขึ้นบนผืนดินต้าโจว ทว่าพวกเขาเป็นเอกเทศ มิได้เป็นของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้หมอเทวดาฮั่วและเหล่าเจ้าสำนักหลินยังเคยคาดเดากันว่าอวี้เฟยเยียนเป็นชาวแคว้นใดกันแน่


 


 


นึกไม่ถึงว่านางเป็นถึงคุณหนูของจวนจงอี้กง


 


 


แต่ทว่า หมอเทวดาฮั่วจัดว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางนิสัยเปิดเผยคนหนึ่ง ฉะนั้นอวี้เฟยเยียนจะเป็นใคร มีฐานะอะไรก็ตามก็หาได้กระทบต่อมิตรภาพระหว่างกันไม่


 


 


โลกอันแสนหวานของคนทั้งคู่ ถูกหมอเทวดาฮั่วขัดคอ ทำให้สีหน้าซย่าโหวฉิงเทียนเข้มขึ้น ใครจะคาดคิด หมอเทวดาฮั่วแย่งตะเกียบของซย่าโหวฉิงเทียน แล้วคีบซี่โครงหมูเขาปากทันที


 


 


“โอ้ อร่อยนี่นา จานนี้ชื่อว่าอะไร ทำอย่างไร แม่นางน้อยอวี้ เจ้าจะเก็บสูตรลับเอาไว้คนเดียวมิได้นะ เร็ว รีบเขียนสูตรให้แก่ข้า!”


 


 


ซี่โครงหมูที่กำลังร้อนๆ ลวกปากหมอเทวดาฮั่วจนเขาต้องพัดปากเพื่อระบายความร้อน


 


 


ภาพตรงหน้า ช่างน่าตลกขบขันยิ่งนัก


 


 


“เสี่ยวเหลียนจิ่น เสี่ยวมั่วมั่ว เจ้าหนุ่มเซวีย หากพวกเจ้ายังไม่เข้ามา ของอร่อยพวกนี้ก็จะถูกสองคนนี้กินหมดแล้วนา!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วตะโกนออกไปด้านนอก


 


 


คราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้เข้าใจ ที่แท้แล้วไม่ใช่เพียงแค่หมอเทวดาฮั่วที่มา เหลียนจิ่น มั่วซาง เซวียเฉียงล้วนมาด้วย


 


 


เราสองคนกำลังใช้เวลาแสนหวานร่วมกัน พวกเจ้ามาขัดคอทำไมกัน!


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของซย่าโหวฉิงเทียนบูดบึ้ง


 


 


“ขออภัยด้วย รบกวนแล้ว!”


 


 


เหลียนจิ่นยังคงสวมชุดขาวแสนสะอาดเช่นเดิม มาพร้อมกับใบหน้าที่คมคายไม่เปลี่ยนแปลง


 


 


“ดี!”


 


 


มั่วซางมาในชุดสีดำตลอดกาล กับใบหน้าที่เรียบเฉยเย็นชา “อื้อ” มาหนึ่งคำก็ถือว่าได้ทักทาย


 


 


“มาเร็วไหนเลยจะสู้มาโดยบังเอิญได้เล่า!”


 


 


คนที่เข้ามาคนสุดท้ายนั่นก็คือเซวียเฉียง เขาสวมชุดสีฟ้าคราม รูปร่างของเขาสูงขึ้นมากทีเดียว


 


 


คนทั้งคณะต่างพากันนั่งที่โต๊ะอาหารโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย อวี้เฟยเยียนหยิกเบาๆ ที่มือซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเชิงปลอบ ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบชามและตะเกียบเข้ามา


 


 


“แม่นางน้อยอวี้ เร็วเข้า รีบแนะนำทีอาหารพวกนี้คืออะไรบ้าง! เพราะข้าในฐานะที่เป็นนักชิมอาหารรสเลิศมามากมาย แต่กลับไม่เคยเห็นอาหารที่เจ้าทำเหล่านี้มาก่อนเลย!”


 


 


เมื่อเห็นท่าทีรีบร้อนของหมอเทวดาฮั่ว อวี้เฟยเยียนก็ยิ้มแล้วแนะนำอาหารทั้งเก้าอย่างกับน้ำแกงบนโต๊ะทันที


 


 


“กุ้งนึ่งซีอิ๊ว ไก่ย่ำธารา ปลากะพงสามรส ราชสีห์เอวอ่อน ไข่คู่รัก ราวนมเป็ดพริกสด ซี่โครงหมูตุ๋นข้าวเหนียว มือพุทธองค์ น้ำแกงเผือกใส”


 


 


“เจ้าจานนี้ที่แท้แล้วก็ชื่อว่าข้าวเหนียวอบซี่โครง ข้าวเหนียวยังมีวิธีกินเช่นนี้อีกด้วย ข้าได้เรียนรู้แล้ว!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วกล่าวจบ ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วทำท่าเตรียมพร้อมกล่าวว่า


 


 


“บอกเอาไว้ก่อน ข้าอาวุโสกว่าพวกเจ้า เช่นนั้นจะต้องยอมลงให้กับข้าบ้าง! มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อนแล้วกันนะ!”


 


 


กล่าวจบหมอเทวดาฮั่วที่ถือตะเกียบทั้งมือซ้ายและมือขวา ก็คีบอาหารใส่ชามตนเองอย่างรวดเร็ว


 


 


ไม่นาน ในชามของเขาก็เต็มไปด้วยอาหารกองพะเนิน ราวกับภูเขาก็ไม่ปาน


 


 


“อร่อย ฮิฮิ อร่อยจริงๆ!”


 


 


กล่าวจบหมอเทวดาฮั่วก็คีบปลากะพงเข้าปาก เขาหลับตาพริ้มสีหน้ามีความสุข อวี้เฟยเยียนไม่เคยพบใครที่มุ่งแต่กินโดยไม่ห่วงชีวิตมาก่อน หมอเทวดาฮั่วนับเป็นหนึ่งในนั้น


 


 


เมื่อหมอเทวดาฮั่วเริ่มลงมือ คนอื่นๆ ก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป


 


 


ท่าทางการกินของเหลียนจิ่นสง่างามยิ่งนัก ทว่ากลับรวดเร็วไม่น้อย ส่วนมั่วซางเป็นพวกเน้นปฏิบัติอยู่แล้ว จึงลงมือกินรวดเร็วยิ่งกว่าชักกระบี่เสียอีก เซวียเฉียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาแทบจะกินลิ้นตัวเองเข้าไปเลยด้วยซ้ำ


 


 


มองดูแขกไม่ได้รับเชิญมาแย่งอาหารที่แมวน้อยทำกับตนเองแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา


 


 


พวกเขากินราวกับไม่เคยกินของอร่อยเช่นนี้มาก่อน คราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนไม่รอช้ากระทำเช่นเดียวกันพวกเขาทันที


 


 


“พวกท่านค่อยๆ กินก็ได้ เคี้ยวให้ละเอียดแล้วค่อยกลืนถึงจะดีต่อสุขภาพนะ!”


 


 


เห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตากินราวกับหมาป่าหิวโซ อวี้เฟยเยียนก็หมดคำพูด


 


 


นักกินคนเดียว สามารถนำพาคนกลุ่มใหญ่ไปกินด้วยได้


 


 


เหลียนจิ่นคีบกุ้งเข้าปาก ค่อยๆ ดื่มด่ำกับรสชาติ แต่แววตาเขาแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย


 


 


นางทำกับข้าวกับปลาเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


 


 


สาวน้อยแสนเย่อหยิ่ง ที่มีแต่คนมารุมรักเอาใจมาตลอดชีวิต วันหนึ่งกลับสามารถทำกับข้าวกับปลาได้ เฉกเช่นสาวชาวบ้านธรรมดา นี่เป็นสิ่งที่เหลียนจิ่นมิเคยคิดถึงมาก่อน


 


 


เจ้ากุ้งนี่อร่อยเลิศล้ำ คนทำจะต้องเชี่ยวชาญ ต้องทำมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว!


 


 


ยิ่งคิดใจเหลียนจิ่นก็ยิ่งเจ็บปวด


 


 


นางมีฐานะสูงส่ง ไม่ควรจะเคยแตะต้องงานบ้านงานเรือนมาก่อน มือทั้งสองข้างของนางมีไว้เพื่อดีดพิณเป่าขลุ่ย ปรุงยา ศึกษาโคลงฉันท์กาพย์กลอน ตอนนี้กลับมาต้องจับหม้อจับกระทะลงมือทำงานแรงงานเช่นนี้


 


 


หากมิใช่ถูกคนให้ร้าย นางก็คงมิต้องเป็นเช่นนี้…


 


 


มาวันนี้ นางสำเร็จปรมาจารย์ หากยึดความเร็วในการทะลวงขั้น อีกไม่นาน พวกเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับคนพวกนั้นได้


 


 


สักวันหนึ่ง นางจะต้องกลับไปที่นั่น ทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาติดค้างนางเอาไว้กลับคืนมา!


 


 


เชื่อว่าวันนั้นคงจะมาถึงเร็วๆ นี้!


 


 


หลังกินเสร็จเรียบร้อย หมอเทวดาฮั่วที่อิ่มตื้อลูบท้องที่แน่นขนัดไปด้วยอาหารของตนเองเบาๆ ทั้งยังเรอออกมาสองสามครั้ง


 


 


“อา มีความสุขจังเลย!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วกล่าวความในใจแทนทุกคน แม้แต่มั่วซางที่พูดน้อยมาโดยตลอดก็ยังหน้าแดงก่ำ เพราะหนังท้องตึงจากการกินจนอิ่ม


 


 


“แม่นางน้อยอวี้…”


 


 


ไม่ต้องรอให้หมอเทวดาฮั่วกล่าวประโยคถัดไป ซย่าโหวฉิงเทียนก็ทำหน้านิ่งเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง


 


 


“ไม่ได้!”


 


 


“เฮอะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียน ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า


 


 


“ท่านจะมากินดื่ม ให้แมวน้อยเป็นแม่ครัวให้ท่านเปล่าๆ ฝันไปเถอะ!”


 


 


ถูกซย่าโหวฉิงเทียนแบไต๋เข้าให้ หมอเทวดาฮั่วถึงกับขยี้จมูกตนเองแก้ขัดเขิน แต่ถึงกระนั้น หมอเทวดาฮั่วก็ยังคงมิยอมละทิ้งความต้องการอาหารรสเลิศไป


 


 


“ข้าพูดกับแม่นางน้อย แล้วเหตุใดท่านถึงได้ตัดสินใจแทนนางเสียเล่า!”


 


 


“เพราะอะไรน่ะหรือ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนดึงอวี้เฟยเยียนเข้ามาใกล้แล้วโอบเอวคอดของนางเอาไว้


 


 


“เพราะนางเป็นคนของข้า พวกเราเป็นคนรักกัน!”


 


 


คำพูดเฉียบขาดของซย่าโหวฉิงเทียน ทำคนสี่ห้าคนที่เพิ่งกินจนอิ่มแปล้ ตกตะลึงไปตามๆ กัน


 


 


“อะไรนะ!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วแทบเต้น


 


 


“เจ้าหนุ่มนี่มากเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก อาศัยตอนที่ข้าไม่อยู่ ชักนำแม่นางน้อยไป เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก แม่นางน้อยอวี้ ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้นะ เจ้าหมอนี่ไม่น่าเชื่อถือเท่าเสี่ยวเหลียนจิ่นเลย จริงๆ นะ!”


 


 


วาจาหมอเทวดาฮั่ว ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนตวัดสายตาคมกริบไปทันที


 


 


เจ้าไม้เท้าเทพไม่แย่งแมวน้อยกับข้าหรอกน่า!


 


 


ถึงแม้ว่าจะรู้มานานแล้วว่าซย่าโหวฉิงเทียนชอบพออวี้เฟยเยียน ซึ่งอวี้เฟยเยียนเองก็มิได้ปฏิเสธเขา แต่เมื่อได้ยินว่าคนทั้งสองคบหากันขึ้นมาจริงๆ ในใจเหลียนจิ่นก็อดเจ็บปวดขมขื่นมิได้


 


 


ทว่า เขาจะทำอะไรได้เล่า!


 


 


ร่างกายอ่อนแอ มีวันนี้ไม่แน่ว่าจะมีพรุ่งนี้ของเขา มิสามารถทำอะไรเพื่อนางได้เลย เดิมทีก็มิควรคาดหวัง…


 


 


ยิ่งกว่านั้นชีวิตและนามของเขา นางเป็นผู้มอบให้


 


 


นางเป็นนาย เขาเป็นบ่าว


 


 


เขามิเคยกล้า และจะไม่กล้า คาดหวังอะไรเช่นนั้นอีกด้วย


 


 


เซวียเฉียงมองดูคนทั้งสองอิงแอบแนบชิดกัน แววตาเขาก็สั่นระริก


 


 


เอาเถอะ!


 


 


เขายอมรับว่าเขามาช้าไปจริงๆ!


 


 


หากว่า เขาสามารถล่วงรู้อนาคต ว่าวันเดือนปีใดจะได้พานพบกันอวี้เฟยเยียนละก็ เขาก็จะทุ่มเทฝ่าฟันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ตนเองมีความสามารถและคุณสมบัติเพียงพอที่จะเคียงข้างนางมาล่วงหน้าก่อนเป็นแน่


 


 


โอกาส มีไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมเท่านั้น


 


 


มาวันนี้ต่อให้พยายามฝ่าฟันมากเพียงใด มันก็สายไปเสียแล้ว


 


 


แต่ว่า ได้ติดตามนางเป็นสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนางเช่นนี้ ก็ไม่เลว! 

 

 


ตอนที่ 93-4 คนรักที่ชิดใกล้ เขาที่แสน...

 

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่หมอเทวดาฮั่วจึงยอมรับความจริงนี้ได้ ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วเขาแอบสนับสนุนอวี้เฟยเยียนและเหลียนจิ่นมากกว่า


 


 


อย่างไรเสียเหลียนจิ่นก็เป็นชายที่ทั้งสง่างามอ่อนโยน เป็นหลักพึ่งพิงให้แก่หญิงสาวไปได้ตลอดชีวิต


 


 


รอบกายซย่าโหวฉิงเทียนมีรัศมีการเข่นฆ่าที่รุนแรง


 


 


แต่ทว่านี่เป็นสิ่งที่อวี้เฟยเยียนเลือกเอง เขาก็เคารพการตัดสินใจของนาง ไม่แน่นะว่า พวกเขาทั้งสองที่มีความแตกต่างมากมายเพียงนี้ อาจจะเติมเต็มช่วยเหลือซึ่งกันและกันจนกลายเป็นผนึกรวมเข้าหากัน สุดท้ายกลายเป็นคู่รักขั้นเทพก็เป็นได้!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนได้รับคำอวยพรมากมาย สุดท้ายหมอเทวดาฮั่วก็ตบไหล่ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวว่า


 


 


“เจ้าหนุ่ม เจ้าโชคดีจริงๆ น่าเสียดาย ข้าอายุมากแล้ว มิเช่นนั้นละก็…”


 


 


หมอเทวดาฮั่วจ้องมองไปที่อวี้เฟยเยียน แววตาแสนเสียดาย


 


 


หากเมื่อครั้งที่เขาอายุสิบห้าปี แล้วได้พบกับหญิงสาวที่รสมือเยี่ยมถึงเพียงนี้ละก็ เขาจะต้องแย่งกลับบ้านมาเป็นเมียให้จงได้ เช่นนั้นแล้วก็จะได้ลิ้มรสอาหารรสเลิศทุกวัน จะมีความสุขมากขนาดไหนเชียว!


 


 


เวลาไม่คอยท่าจริงๆ!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพอจะคาดเดาความหมายของหมอเทวดาฮั่วออก จึงจับคอเสื้อหมอเทวดาฮั่วขึ้นมาแล้วเหวี่ยงเขาจนกระเด็นออกไป


 


 


“อ๊ากก! แม่นางน้อยอวี้ เขารังแกข้า!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วถูกเหวี่ยงกลิ้งลุ่นๆ ออกไปไกล สุดท้ายกลายเป็นอะไรสักอย่างทั้งดำและสกปรกแล้วหายไปจากสายตาของทุกคน


 


 


เยี่ยม!


 


 


ใช้สายตาประมาณการดู เซวียเฉียงก็คิดว่าหมอเทวดาฮั่วคงจะกระเด็นออกไปนอกเมืองแล้วกระมัง


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนแน่จริงๆ!


 


 


เสร็จสิ้นจากอาหารรสเลิศ ขณะที่กำลังบอกลาเหลียนจิ่น มั่วซางและเซวียเฉียงนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็เรียกเหลียนจิ่นเอาไว้


 


 


หารู้ไม่ เขายังมิทันเอ่ยปากเหลียนจิ่นก็แจ้งคำตอบกับเขาทันทีว่า


 


 


“ข้ารู้ว่าท่านต้องการจะถามอะไร คำตอบคือข้าก็ไม่รู้เช่นกัน! ข้าพยากรณ์ไม่ได้!”


 


 


แม้แต่เจ้าไม้เท้าเทพก็พยากรณ์ไม่เห็นอย่างนั้นหรือ…


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกัดริมฝีปากแน่น ท่าทางผิดหวัง


 


 


เห็นดังนั้นเหลียนจิ่นก็ก้าวเดินไปเบื้องหน้า กล่าวเตือนสติเขาว่า


 


 


“ทะนุถนอมสิ่งตรงหน้า มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน หากท่านต้องจะรั้งนางเอาไว้จริง มีอยู่วิธีหนึ่งท่านจะลองดูก็ได้!”


 


 


“วิธีอะไร”


 


 


ได้ยินดังนั้นดวงตาหงส์ที่กำลังหรี่ลงของซย่าโหวฉิงเทียนก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง


 


 


“กลายเป็นเทพ! กลายเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างท่านจะเป็นผู้ลิขิต บางทีอาจจะมีทางเป็นไปได้”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่สนใจประโยคหลังของเหลียนจิ่นที่ว่า ‘อาจจะมีความเป็นไปได้’ ไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าสุดท้ายมันจะสำเร็จหรือไม่ เขาก็จะต้องลองฟันฝ่าเพื่อเป้าหมายนี้ดู


 


 


กลายเป็นเทพ!


 


 


เป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง!


 


 


ถึงตอนนั้นเขาจะต้องรู้วิธีการเป็นแน่!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกำหนัดแน่น แววตาแน่วแน่


 


 


เมื่อเดินไปถึงที่ประตู เหลียนจิ่นได้หันกลับไปมองใบหน้าที่ดึงดื้อของชายชุดสีม่วงอีกครั้ง


 


 


ขอโทษด้วย!


 


 


มีเพียงวิธีนี้จึงจะกระตุ้นให้ท่านรีบกล้าแข็งขึ้น


 


 


หวังว่าท่านจะไม่ลืมคำสาบานที่ท่านให้ไว้!


 


 


หนทางที่จะสำเร็จเป็นเทพยากลำบากยิ่งนัก มันยาวไกลไร้จุดสิ้นสุด


 


 


แต่ทว่าให้ความหวังแก่ท่าน ท่านถึงจะมีความเชื่อ จึงจะมีเป้าหมายที่จะพยายามฟันฝ่าไปให้ได้ โปรดอย่าตำหนิที่ข้าหลอกใช้ท่านเลย!


 


 


หากท่านต้องการจะอยู่เคียงข้างนางตลอดไป


 


 


ทว่ากลับไม่มีความสามารถที่จะปกป้องนางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เพียรพยายามมาก่อนหน้านี้ก็จะกลายเป็นสิ่งว่างเปล่า ไม่มีประโยชน์ใดๆ


 


 


หากท่านรักนางจริง ท่านจะต้องดำรงอยู่อย่างแข็งแกร่งที่สุด!


 


 


เมื่อมีคำบอกกล่าวจากเหลียนจิ่น เมฆดำที่วนเวียนก่อกวนอยู่ในใจซย่าโหวฉิงเทียนก็มลายหายไป รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็เพิ่มขึ้นมา จุดมุ่งหมายเขาก็ชัดเจนยิ่งขึ้น สติสัมปชัญญะเขาหนักแน่นมากขึ้น


 


 


หลังจากจุมพิตบอกลาอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็มิได้หวานแหววกับนางอีกแต่อย่างใด เขากลับรีบตรงกลับจวนหลินเจียงอ๋องทันที


 


 


คืนนั้น เขาก็เริ่มมุ่งมานะฝึกวิชาอย่างเข้มข้น


 


 


เมื่อเห็นว่านายท่านเพียรพยายามเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ ชิงหงและเสวี่ยเยี่ยนก็รู้สึกกดดันขึ้นมาทันที


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมุ่งมั่นฝึกวิชาไม่ลดละอย่างไม่คิดชีวิต พวกเขาเองก็ไม่อาจย่อหย่อนได้! มิเช่นนั้นอาจไม่ถูกใจนายท่านแล้วเป็นเฉกเช่นหลิวเซิ่งถูกทิ้งเอาไว้ที่เมืองอู๋โยว


 


 


คิดได้ดังนั้นชิงหงและเสวี่ยเยี่ยนก็สบสายตากัน แล้วต่างพากันฝึกวิชาอย่างหนักหน่วงเช่นกัน


 


 


หลังจากที่ฝ่าบาททรงรู้ว่าปรมาจารย์คืออวี้เฟยเยียน ทั้งยังเป็นว่าที่สะใภ้ของตนแน่นอนแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงกินอิ่มบรรทมสบาย พระทัยสงบสุขเป็นอันมาก บวกกับได้รับสาสน์จากอวี้จิงเหลยที่ส่งมาจากซีเย่ว์ยิ่งทำให้ซย่าโหวจวินอวี่สุขใจเป็นเท่าทวีคูณ


 


 


ความสุขสงบเช่นนี้ดำเนินไปไม่กี่วัน แคว้นฉินจื้อก็มาทิ้งระเบิดลูกใหญ่เข้าให้อีกแล้ว


 


 


“เหลวไหลทั้งเพ! พวกมันกำลังทำเป็นยโสโอหัง!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่เชิดหน้าขึ้น ด่ากราดเนื้อความในจดหมาย


 


 


ที่แท้แล้วเป็นสาสน์จากฉินจื้อที่จู่ๆ ก็ออกมาประกาศว่าปรมาจารย์คือคนของแคว้นฉินจื้อ ซึ่งเป็นข่าวที่ต้องประกาศแก่สาธารณชนให้รับรู้


 


 


เชียนลั่วเฉิงยังบอกอีกว่า ปรมาจารย์คนนี้ยังเป็นถึงราชาโอสถ ซึ่งเก่งกาจกว่าอวี้หลัวช่าที่เป็นจักรพรรดิโอสถเสียอีก!


 


 


“เชียนลั่วเฉิงไอ้คนโกหก มันจะต้องกำลังเล่นลิ้นอะไรเป็นแน่! ปรมาจารย์ ปรมาจารย์หนึ่งเดียวในตอนนี้คือคนของต้าโจว แล้วมันไปเอาปรมาจารย์มาจากที่ไหนกันอีก! ฝันไปเถอะ!”


 


 


เมื่อกล่าวถึงเชียนลั่วเฉิง ซย่าโหวฉิงเทียนก็อารมณ์ขึ้น


 


 


ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉินจื้อ เขาก็จะพาลไม่สบอารมณ์ไปเสียทุกอย่าง


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกลับมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากได้ฟังรายงานจากสายของต้าโจวที่แฝงตัวอยู่ที่ฉินจื้อแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


เชียนลั่วเฉิงกระทำเช่นนี้ เพื่ออะไรกันนะ


 


 


ในรายงานเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน จอมเทวาเยี่ยหงแสดงแสนยานุภาพของตนเองในวังหลวง ทำให้แคว้นฉินจื้อที่เดิมที เนื่องด้วยสูญเสียจอมเทวาทำให้แคว้นที่ระส่ำระสาย กลับกลายเป็นมั่นคงขึ้นมา


 


 


จู่ๆ เชียนลั่วเฉิงก็ประกาศข่าวนี้ออกมา


 


 


เพราะต้องการโจมตีต้าโจวโดยไม่ทันได้ตัว ให้สั่นสะเทือนเลือนลั่นทั่วแผ่นดินอย่างนั้นหรือ


 


 


เยี่ยหง เยี่ยหง…


 


 


เป็นสตรี


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนก้มหน้าครุ่นคิด


 


 


คนผู้นี้มีอยู่จริง และก็เป็นปรมาจารย์จริงๆ เสียด้วย


 


 


แต่ว่า ในระยะนี้มีเพียงอวี้เฟยเยียนที่สำเร็จขั้นเป็นปรมาจารย์นี่นา นอกเสียจากว่า คนผู้นี้จะไม่ใช่คนของแผ่นดินหลัวอวี่


 


 


นางจะต้องมาจากอู๋โยวเป็นแน่!


 


 


แผ่นดินใหญ่ของเรามีกฎว่า คนจากแผ่นดินอู๋โยวไม่มีสิทธิก้าวก่ายราชกิจของแผ่นดินหลัวอวี่ แต่จู่ๆ ก็มีเยี่ยหงโผล่ขึ้นมา ดูแล้วจะต้องมีแผนร้ายซุกซ่อนอยู่ภายในเป็นแน่


 


 


ทว่าเรื่องที่ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่และซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกไม่ชอบมาพากลกลับเป็นอีกเรื่อง


 


 


นั่นก็คือ ที่หอคืนชีพ อวี้เฟยเยียนได้รับ ‘สาสน์ท้ารบ’ จากเยี่ยหง


 


 


ในสาสน์เชิญอวี้เฟยเยียนไปที่ฉินจื้อ เพื่อประลองวิชาแพทย์กับเยี่ยหงซึ่งเป็นราชาโอสถ


 


 


“ใต้เท้าเยี่ยหงของเรากล่าวไว้ หากว่าใต้เท้าอวี้ไม่กล้าไปก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียใต้เท้าอวี้อายุยังน้อย ไม่เคยเปิดโลกทัศน์ ขี้ขลาดหวาดกลัวบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ยอมรับว่าพ่ายแพ้ก็พอ!”


 


 


ทูตที่เยี่ยหงส่งมาเป็นชายที่หน้าตาน่าเกลียดร่างกายซูบซีดคนหนึ่ง


 


 


ได้ยินดังนั้นไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือคนป่วยที่เข้ามารับการรักษาต่างก็โมโหโกรธาทั้งสิ้น


 


 


“หุบปาก ใครให้เจ้าลบหลู่ใต้เท้าอวี้!”


 


 


“ไสหัวไป มิเช่นนั้นจะอัดเจ้าให้ตาย!”


 


 


เห็นสถานการณ์เช่นนั้น แต่ชายผอมแห้งก็ยังไม่ยอมล่าถอย


 


 


“ใต้เท้าอวี้ ท่านยังไม่ตอบกลับเลย ว่าท่านจะรบ หรือจะยอมแพ้กัน”


 


 


คงจะเป็นเพราะมีเยี่ยหงให้ท้าย ชายผู้นี้ถึงได้ปากกล้าจองหองยิ่งนัก คงจะมิเห็นใครอยู่ในสายตาเลยกระมัง


 


 


“เยี่ยหงช่างหน้าไม่อาย ระดับขั้นของตนรึสูงกว่าใต้เท้าอวี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรม ยังมีหน้ามาบอกว่าสมเหตุสมผลทุกประการ นี่มันใช้อำนาจรังแกคนอื่นต่างหาก!”


 


 


“จริงด้วย ได้ยินว่าเยี่ยหงเป็นสาวแก่วัยกลางคนแล้ว แต่ใต้เท้าอวี้เพิ่งจะอายุสิบห้าปีเท่านั้น รอให้ใต้เท้าอวี้อายุเท่านางก่อนเถอะ จะต้องเก่งกาจกว่านางเป็นแน่!”


 


 


“ใต้เท้าอวี้ พวกเราสนับสนุนท่าน!”


 


 


เสียงสนับสนุนดังมาจากรอบทิศทาง อวี้เฟยเยียนจึงยิ้มออกมาเป็นเชิงให้ทุกคนอยู่ในความสงบ


 


 


เยี่ยหง


 


 


ราชาโอสถ


 


 


ได้ยินว่านางคือปรมาจารย์แห่งฉินจื้อ หึ เรื่องทั้งหมดนี่มันบังเอิญเกินไป!


 


 


“กลับไปบอกนายของเจ้าว่า ให้นางล้างคอให้สะอาดแล้วรอข้าอยู่ที่ฉินจื้อ!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วไม่เข้าใจความหมายของอวี้เฟยเยียน จึงรีบกล่าวถามขึ้น


 


 


“แม่นางน้อยอวี้ เหตุใดต้องล้างคอด้วยหรือ”


 


 


“ล้างให้สะอาดรอข้าไปบั่นนะสิ!”


 


 


อารมณ์ขันของอวี้เฟยเยียน เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ดี ความกังวลใจกลัดกลุ้มที่เดิมทีวนเวียนอยู่ในใจของทุกคนเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอวี้เฟยเยียนก็สูญสลายไปในทันที


 


 


“ใต้เท้าอวี้เป็นคนดีที่สุด!”


 


 


“ท่านจะต้องมีวิธีกำจัดเยี่ยหง ยัยแก่นั่นอย่างแน่นอน!”


 


 


ชายผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าอวี้เฟยเยียนจะกล้ารับปากจริงๆ


 


 


“หึ! ไม่รู้จักเจียมตัว!”


 


 


เป็นแค่จักรพรรดิโอสถ ยังริอ่านกล้าจะมาแข่งกับราชันจักรพรรดิโอสถ


 


 


“จริงสิ ข้ามาที่นี่ยังมีอีกข่าวมาแจ้งกับใต้เท้าอวี้ด้วย”


 


 


พูดแค่นั้น ชายผู้นั้นก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย


 


 


“รู้มาว่าใต้เท้ามีความสัมพันธ์อันดีกับเยี่ยนอ๋องของเรา ดังนั้นใต้เท้าเยี่ยให้ข้ามาแจ้งกับท่านว่าเยี่ยนอ๋อง…ตายแล้ว”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยตายแล้ว


 


 


ได้ยินข่าวนี้ อวี้เฟยเยียนก็ผลุนผลันมายืนที่เบื้องหน้าของชายผู้นั้นอย่างรวดเร็วราวกับสายลม นางยื่นมือออกไปบีบคอหอยเขาไว้แน่น


 


 


“ไหนเจ้าลองพูดประโยคเมื่อครู่อีกครั้งสิ!”


 


 


คอหอยเจ็บปวดเป็นอย่างมาก จนชายผู้นั้นรีบละล่ำละลักกล่าวซ้ำว่า


 


 


“เยี่ยนอ๋องลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท ถูกใต้เท้าเยี่ยหงสังหารจนตาย นำศพไปทิ้งที่แม่น้ำชางหลวน ศพหายไปไร้ร่องรอย เสียชีวิตไปแล้ว!”


 


 


กร๊อบ!


 


 


อวี้เฟยเยียนออกแรงบีบอย่างแรง จนกระดูกคอชายผู้นั้นแหลกคามือ ร่างเขาอ่อนปวกเปียกร่วงลงที่พื้น


 


 


เป็นไปไม่ได้!


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยมักจะบอกว่าตนเองเป็นแมวเก้าชีวิต แล้วจะตายได้อย่างไร!


 


 


ช่าช่า เจ้ารอข้ากลับมา!


 


 


ช่าช่า หากข้าเป็นชายล่ะก็จะต้องติดตามเจ้าตลอดชีวิต !


 


 


ช่าช่า รอให้ข้าจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จเรียบร้อย เราพี่น้องจะไปท่องยุทธภพด้วยกัน !


 


 


เสียงเชียนเยี่ยเสวี่ยดังก้องขึ้นข้างหูอวี้เฟยเยียน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของเชียนเยี่ยเสวี่ย ชุดสีแดงเพลิงของนาง รวมถึงคนที่เป็นดั่งดอกเหมยสีแดงสดท่ามกลางหิมะขาวโพลน ยืนหยัดตั้งตระหง่าน


 


 


คนอย่างเชียนเยี่ยเสวี่ย จะตายได้อย่างไรกัน!


 


 


หมอเทวดาฮั่วก็สนิทสนมกับเชียนเยี่ยเสวี่ยไม่น้อย ได้ยินข่าวนี้ เขาถึงกับตกตะลึง


 


 


“แม่นางน้อยอวี้ ที่เขาพูดมาจริงหรือ”


 


 


หมอเทวดาฮั่วเอ่ยออกมาแผ่วเบา เสียงเขาสั่นเทา เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นหญิง เด็กที่น่าสงสาร…


 


 


“ไม่จริง!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


 


 


“นอกเสียจากข้าจะได้เห็นศพนางด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นข้าไม่มีวันเชื่อเรื่องนี้โดยเด็ดขาด!”


 


 


ในขณะเดียวกัน ที่ใกล้ๆ ละแวกแม่น้ำชางหลวน แคว้นฉินจื้อ ทหารกำลังออกลาดตระเวนยามค่ำคืน เพื่อตามหาร่างเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


“จะต้องตามหาซากศพของมันให้ได้ อยู่ต้องพบคน ตายต้องพบศพ มิเช่นนั้นข้าไม่วางใจ!”


 


 


เชียนลั่วเฉิงสั่งการจากท้องพระโรงเสียงเ**้ยม 

 

 


ตอนที่ 94-1 ชายผู้นี้จะกำบังแดดฝนให้น...

 

“ฝ่าบาท พระทัยเย็นไว้เพคะ!”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยยกชามถั่วเขียวต้มดอกไป๋เหอเข้ามา


 


 


“อากาศร้อน พระองค์อย่าได้ทรงกริ้วจนทำร้ายพระวรกายเลยนะเพคะ!”


 


 


เมื่อเห็นหน้าหญิงอันเป็นที่รัก อารมณ์โกรธเชียนลั่วเฉิงก็พลันเบาบางลง


 


 


“ข้ายังไม่พบศพเจ้าลูกไม่รักดีนั่น เลยไม่ค่อยวางใจ!”


 


 


“ฝ่าบาท พระองค์ควรจะทรงเชื่อใจใต้เท้าหงเยี่ยนะเพคะ!”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยยื่นมือออกไปลูบปลอบเบาๆ ที่อกเชียนลั่วเฉิง เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ให้กับเขา


 


 


“เจ้าลูกนอกคอกนั่นจะต้องตายแล้วอย่างแน่นอนเพคะ!”


 


 


“ได้ ข้าเชื่อเจ้า!”


 


 


ทั้งสองพูดคุยกะหนุงกะหนิงอยู่อีกครู่ใหญ่ หลิวกุ้ยเฟยหยอกล้อจนอารมณ์เชียนลั่วเฉิงดีขึ้นแล้วค่อยถอยออกมา


 


 


เมื่อออกมาพ้นประตู สีหน้าหลิวกุ้ยเฟยก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดัน


 


 


“ไปตำหนักเย็น!”


 


 


เมื่อมาถึงตำหนักเย็น เมื่อประตูตำหนักถูกเปิดออกกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายลอยออกมาปะทะ จนหลิวกุ้ยเฟยต้องถอยร่นไปสองสามก้าว


 


 


ภายใต้แสงตะวัน ร่างหญิงผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าพลัน ราวกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง นางหันขวับมามองเห็นหลิวกุ้ยเฟย


 


 


“ฮองเฮา ท่านคงจะว่างมากกระมังเพคะ!”


 


 


เมื่อเห็นใบหน้างามของฮองเฮา หลิวกุ้ยเฟยก็กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น


 


 


หญิงผู้นี้ ใช้วิชามารอะไรกันแน่


 


 


อายุอานามก็ประมาณหนึ่งแล้ว เหตุใดใบหน้าถึงยังอ่อนเยาว์ราวสาวแรกแย้มวัยยี่สิบกว่าได้ แทบคาดเดาอายุไม่ถูกเลย


 


 


โชคดีที่ฝ่าบาทมิทรงโปรดปรานฉู่ฮองเฮา มิเช่นนั้นนางคงจะไม่มีโอกาสได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเป็นแน่!


 


 


“หากว่าหลิวกุ้ยเฟยต้องการความสุขสงบ ก็สามารถมาอยู่เป็นเพื่อนข้าได้นะ!”


 


 


ฉู่ฮองเฮากล่าวตอบเสียงเรียบ


 


 


“เฮอะ! ข้าคงไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนั้นหรอก!”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยยิ้มเยือกเย็นออกมา นางเดินเข้าไปใกล้ จนเมื่อฉู่ฮองเฮาหมุนกายกลับมา หลิวกุ้ยเฟยยิ้มเยาะที่มุมปาก


 


 


“ในเมื่อฮองเฮาประทับอยู่ที่นี่แล้วมีความสุข เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะไปกราบทูลฝ่าบาท ให้ท่านอยู่ที่นี่ระยะยาวไปเลย!”


 


 


“ขอบคุณ!”


 


 


ฉู่ฮองเฮายังมีท่าทีสงบเยือกเย็นไม่ร้อนรนใดๆ เช่นเดิม รัศมีความสง่างามที่อยู่เหนือกว่านาง ทำให้หลิวกุ้ยเฟยโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก


 


 


นางเกลียดท่าทีสงบเยือกเย็นไม่เดือดไม่ร้อนของฉู่ฮองเฮาเช่นนี้ที่สุด จากสถานการณ์ในตอนนี้ นางไม่เชื่อหรอกว่าฮองเฮาจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย


 


 


“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะมาแจ้งข่าวแก่ฮองเฮา”


 


 


“เยี่ยนอ๋องกำเริบเสิบสาน กล้าปองร้ายฝ่าบาทในงานเลี้ยงพระราชทาน โชคดีที่ใต้เท้าเยี่ยหงอยู่ที่นั่น ด้วยเยี่ยนอ๋องจึงถูกสำเร็จโทษกลางงาน สำหรับตระกูลฉู่ที่วางแผนการชั่วช้า คิดคดทรยศเป็นกบฏต่อราชบัลลังก์ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้จับกุมตัวไว้ทั้งหมดแล้ว”


 


 


คำพูดแต่ละประโยคของหลิวกุ้ยเฟย ราวกับมีดแหลมชั้นดีทิ่มแทงลงกลางใจของฉู่ฮองเฮาให้เจ็บปวดเหลือแสน


 


 


“เยี่ยนอ๋องไม่มีวันทำเรื่องเลวทรามผิดต่อฟ้าดินเช่นนั้น ตระกูลฉู่ยิ่งไม่มีทางคิดกบฏ!”


 


 


ถึงแม้ว่าสีพระพักตร์ฮองเฮาจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่น้ำเสียงพระนางที่กำลังสั่นเล็กน้อย นั่นทำให้หลิวกุ้ยเฟยอารมณ์ดียิ่งนัก


 


 


“ฮองเฮา พระองค์ช่างใสซื่อเสียจริงนะเพคะ!”


 


 


“ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ฝ่าบาทก็ทรงตัดสินโทษเยี่ยนอ๋องไปแล้ว สำหรับตระกูลฉู่น่ะหรือ โอ้ ข้าลืมกราบทูลท่านไป ผู้ที่ทำการสอบสวนตระกูลฉู่ก็คือพี่ชายของข้าเอง…”


 


 


“เจ้ามันต่ำช้า…”


 


 


มองดูรอยยิ้มเยาะของหลิวกุ้ยเฟย ฉู่ฮองเฮาก็ส่ายศีรษะพร้อมกับถอยร่นไปด้านหลังสองสามก้าว


 


 


พี่ชายหลิวกุ้ยเฟย เป็นเศษคนที่ชั่วช้าสามานย์


 


 


ตระกูลฉู่ตกอยู่ในมือของเขา เกรงว่าจะไม่มีทางรอดเสียแล้ว…


 


 


“ฮองเฮามิต้องทรงขอบใจหม่อมฉันหรอกเพคะ ฝ่าบาททรงสัญญากับหม่อมฉันแล้วว่าจะป่าวประกาศโทษของตระกูลฉู่ให้คนทั้งแผ่นดินได้รับรู้ ถึงตอนนั้นฮองเฮาที่มีโทษเช่นท่านก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”


 


 


เป็นสามีภรรยากันมายี่สิบปี เขากลับตอบแทนนางเช่นนี้ เขาช่างโหดเ**้ยมนัก!


 


 


“จริงสิ พระองค์คงจะมิทรงทราบ เหตุที่เยี่ยนอ๋องปองร้ายฝ่าบาท เป็นเพราะเยี่ยนอ๋องดึงดันจะพบฮองเฮาให้ได้ จะว่าไปแล้วก็เพราะมีฮองเฮาที่ไม่เอาไหนเป็นตัวถ่วง ท่านทรงใส่ร้ายลูกชายแท้ๆ ของท่านเอง!”


 


 


“น่าเสียดาย เยี่ยนอ๋องผู้เก่งกาจ ทว่าเขากลับมิใช่ลูกของข้า!”


 


 


“ดูท่าแล้ว จะมาเกิดเป็นลูกใครก็ถือเป็นหนทางการเอาชีวิตรอดอย่างหนึ่ง!”


 


 


“ฮ่าๆ!”


 


 


ท่าทีอ่อนแอน่าสงสารของฉู่ฮองเฮากับท่าทีลำพองใจของหลิวกุ้ยเฟย เป็นภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง


 


 


จนกระทั่งประตูตำหนักเย็นปิดลง ทว่าเสียงหัวเราะหลิวกุ้ยเฟยยังดังก้องอยู่ในหูฉู่ฮองเฮาไม่สร่าง


 


 


ฉู่ฮองเฮาแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง นางยืนหยัดจนกระทั่งหลิวกุ้ยเฟยกลับออกไป ถึงได้ทรุดกายลงบนพื้นอย่างคนหมดเรี่ยวแรง


 


 


“เสวี่ยเอ๋อร์ เพราะแม่ทำร้ายเจ้า!”


 


 


ยิ่งเมื่อนึกถึงเชียนเยี่ยเสวี่ยที่ต้องอดทนอดกลั้นกับฮ่องเต้และหลิวกุ้ยเฟยมากเพียงใดเพื่อนาง หัวใจของฉู่ฮองเฮาก็ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าว


 


 


“แม่ไร้สามารถ แม่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน!”


 


 


ฉู่ฮองเฮาน้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย หยาดน้ำตาของนางหยดลงบนพื้นปรอยๆ


 


 


เพราะความอ่อนแอของนาง ทำร้ายลูกสาวของตัวเอง ตระกูลฉู่ต้องเดือดร้อนเพราะฮองเฮาที่ไร้ประโยชน์เช่นนางอยู่ร่ำไป


 


 


นางผิดไปแล้ว!


 


 


ฝ่าบาทมิทรงยอมปล่อยตระกูลฉู่ ครานี้คงยากที่หลีกหนีเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้พ้น!


 


 


หากมิใช่เพราะนางละโมบเพราะคาดหวังความรักความอบอุ่นเพียงน้อยนิดจากเชียนลั่วเฉิง ละทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นคน ไหนเลยจะถลำลึกลงไปทีละก้าวทีละก้าว จนท้ายที่สุดต้องมามีจุดจบที่น่าอดสูเช่นนี้เล่า!


 


 


เพราะนาง บุตรสาวถึงต้องตาย ตระกูลฉู่ต้องสูญสิ้น เรื่องมาถึงขั้นนี้ นางยังจะมีหน้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไรกัน!


 


 


นางต่างหากที่สมควรตายสักหมื่นครั้ง…


 


 


ตกกลางคืน ฉู่ฮองเฮาใช้ผ้าแพรสีขาวแขวนคอตนเองที่หน้าประตูตำหนักเย็น


 


 


กระทั่งเชียนลั่วเฉิงไปถึง ตาเหลือบไปเห็นที่หน้าประตูของตำหนักเย็น ที่ฉู่ฮองเฮาใช้เลือดของตนเองเขียนเป็นอักษรเลือดว่า ‘ใส่ร้าย’


 


 


เดิมทีฉู่ฮองเฮาคิดจะเขียนว่า ‘แค้น’


 


 


นางแค้นที่ตนเองไร้สามารถ แค้นเชียนลั่วเฉิงที่ใจร้าย สิ่งที่ฉู่ฮองเฮาเจ็บแค้นในชาตินี้นั้นมากมายเหลือคณา


 


 


ซึ่งสิ่งแค้นเคืองมากที่สุดนั่นก็คือตนเอง นางมองคนผิดไป นางชักศึกเข้าบ้าน!


 


 


แต่ ฉู่ฮองเฮามิอาจเขียนเช่นนั้นได้ เพราะญาติพี่น้องของนางยังอยู่ในคุก


 


 


หากนางเขียนว่า ‘แค้น’ เชียนลั่วเฉิงจะต้องพิโรธจนหันไปลงกับคนตระกูลฉู่เป็นแน่ ต่อให้ตระกูลฉู่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องตาย แต่ก็มิอาจตายเพราะถูกลบหลู่ดูหมิ่น!


 


 


ดังนั้นก่อนตาย ฉู่ฮองเฮาจึงใช้เลือดของตนเองเขียนว่า ‘ใส่ร้าย’


 


 


ใส่ร้าย…


 


 


เชียนลั่วเฉิงมองดูร่างของฉู่ฮองเฮาที่นอนราบอยู่บนพื้นหลังจากที่ให้คนยกนางลงมา


 


 


หากพูดถึงฐานะชาติกำเนิดและรูปโฉมแล้ว ฉู่ฮองเฮาอยู่เหนือกว่าหลิวกุ้ยเฟยอยู่มากนัก


 


 


เชียนลั่วเฉิงยังจำได้ดีว่า ในตอนนั้นที่ฉู่ฮองเฮายังไม่ได้หมั้นหมายกับใครนั้น ความงามและคุณธรรมของนางเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวง


 


 


ตอนนั้นคุณชายมากมายต่างพากันไปสู่ขอนางที่ตระกูลฉู่อย่างไม่ขาดสาย ชนิดหัวกระไดไม่แห้ง


 


 


หากมิใช่เขาใช้วิธีการบางอย่าง เพื่อที่จะได้พบนางในงานเลี้ยงงานหนึ่งละก็ บางที ฉู่ฮองเฮาอาจจะไม่รู้จักเชียนลั่วเฉิงคนๆ นี้ด้วยซ้ำไปและก็คงไม่แต่งงานกับเขา


 


 


หากไม่มีนางและตระกูลฉู่ ตำแหน่งฮ่องเต้และแผ่นดินนี้คงไม่มีทางตกเป็นของเชียนลั่วเฉิงเป็นแน่!


 


 


คงเพราะฉู่ฮองเฮาได้พบเห็นเชียนลั่วเฉิงในขณะที่ท้อแท้ที่สุด ตกต่ำที่สุด อเนจอนาถที่สุด


 


 


ดังนั้นไม่ว่านางจะอ่อนโยนเพียงใด งดงามเพียงไหน หรือเป็นคนดีมีคุณธรรมมากเพียงใด ส่วนลึกในหัวใจของเชียนลั่วเฉิงก็ยังคงรังเกียจฉู่ฮองเฮาอยู่ดี


 


 


ไม่มีใครหรอกที่จะยินยอมเผชิญหน้ากับอดีตที่น่าอัปยศของตน ยิ่งกว่านั้นเมื่อเขาคือประมุขแคว้น


 


 


ภายหลังจากที่เชียนลั่วเฉิงขึ้นครองราชย์ ทุกครั้งที่เขาเห็นฉู่ฮองเฮา เขาก็จะคิดถึงความบัดซบของตนเองในอดีตทุกครั้งไป


 


 


ถึงขนาดที่ว่า ฉู่ฮองเฮาที่งดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องกับเขาที่มืดดำชั่วร้ายกลายเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนเด่นชัด ทำให้เชียนลั่วเฉิงยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไปกันใหญ่


 


 


ใบหน้าฉู่ฮองเฮาดั่งกระจกสะท้อนให้เชียนลั่วเฉิงเห็นความอัปยศของตนเอง


 


 


ความกดดันที่ออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ ทำให้เชียนลั่วเฉิงเลือกที่จะหลบหลีกฉู่ฮองเฮา ขณะเดียวกันก็ตามหาคนประเภทเดียวกับตนเองอย่างหลิวกุ้ยเฟยมาแทนที่


 


 


อยู่กับหลิวกุ้ยเฟย ทำให้เชียนลั่วเฉิงรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


 


เขาและหลิวกุ้ยเฟยที่เห็นแก่ตัว ต่ำช้า จิตใจคับแคบ ขี้อิจฉาริษยาเช่นเดียวกัน ทั้งเคยเผชิญกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน นิสัยเหมือนกัน ทำให้เชียนลั่วเฉิงเห็นหลิวกุ้ยเฟยเป็นดั่งสหายที่รู้ใจของตนเอง


 


 


อยู่กับหลิวกุ้ยเฟย เขาไร้ซึ่งความกดดันใดๆ


 


 


ผู้คนที่กล่าวว่าเขาว่าอาศัยบารมีตระกูลฉู่จนได้ขึ้นครองราชย์เหล่านั้น เขาก็หาโอกาสกำจัดไปทีละคน


 


 


ภายหลัง เขาก็มักจะให้ท้ายตระกูลหลิวเพื่อใช้ข่มตระกูลฉู่


 


 


เมื่อเห็นตระกูลฉู่ที่กล้าๆ กลัวๆ เช่นนั้น เชียนลั่วเฉิงปลดระวางความกดดันที่สั่งสมมานานลงได้


 


 


ในตอนนี้ สตรีที่เขาเคยใช้ความพยายามมากมายเพื่อให้ได้แต่งงานกับนาง กำลังนอนอยู่บนพื้นที่เย็นยะเยือก ฉับพลันหัวใจเชียนลั่วเฉิงก็บีบรัดอย่างแรง มันเจ็บปวดและอึดอัด


 


 


นางจะมาจากไปอย่างนี้ได้อย่างไร


 


 


ไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา นางกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม