สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย 92.2-93.1

 บทที่ 92 ล้วนแต่เป็นหมาก (2)

โดย

Ink Stone_Romance

นางท้าวมือทั้งสองไว้บนราวข้างๆ สายตามองไปยังห้องโถง โรงเหล้าที่เงียบสงัดและค่อยๆ เอ่ย “ขอโทษซื่อจื่อด้วย ข้ารู้ท่านมองการณ์ไกล แต่วันนี้หากมีคนในวังบูรพาของข้าเกี่ยวพันเข้าไปในเรื่องนี้ ท่านคงยากจะปัดความรับผิดชอบได้”


              สีหน้าของฉู่ฉีเหยียนหนักหน่วงดั่งวารี มองนางไม่พูดไม่จา


              ฉู่สวินหยางเมินสายตาเยือกเย็นของเขา ยิ้มและเอ่ยต่อ “เมื่อครู่ท่านกับข้าเดินเข้าประตูเรือนมีสุขมาด้วยกัน เถ้าแก่และบ่าวที่นี่ต่างเป็นพยาน หากกลับลำเอาตอนนี้คงสายไปเสียแล้ว ท่านจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่ปิดบังเรื่องเลว ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย เชิญท่านด้านในเสียจะดีกว่า!”


              นางพูดพลางหันตัวไปดันประตูห้องพักด้านหลังออก


              เมื่อประตูใหญ่เปิดออก เหยียนหลิงจวินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างก็เหลือบตามอง แต่ก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนใดๆ และยังมองหนีไปนอกหน้าต่าง


              เขาว่าแล้ว จู่ๆ นางนัดเขามาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่


              และก็จริงตามคาด โดนรู้ทันเสียแล้ว


              ฉู่ฉีเหยียนยืนกวาดตามองร่างของสองคนนั้นอยู่หน้าประตู ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วก็ยังไม่ขยับ


              ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ใต้เท้าเหยียนหลิงรสมือปรุงชาเลิศล้ำนัก ซื่อจื่อมาลองคงไม่เสียหายอะไร อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ดื่มชาร้อนๆ ไป ชมทิวทัศน์ท้องถนนไป นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว!”


              ทั้งเหยียนหลิงจวินและฉู่ฉีเหยียนก็ไม่มีใครค้าน มีนางเท่านั้นที่พูดเจื้อยแจ้วยิ้มแย้มอยู่คนเดียว ไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย


              ชาข้างๆ มือของเหยียนหลิงจวินเพิ่งจะต้มเสร็จ นางจึงหยิบมาซดจนหมด


              เหยียนหลิงจวินถึงกับขมวดคิ้วแน่น


              ฉู่ฉีเหยียนยังคงยืนลังเลว่าจะเข้าดีหรือจะถอยดีอยู่หน้าประตู


              ช่วงที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้น ม่านฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ เปิดออก ขอบฟ้าด้านตะวันออกเริ่มเผยแสงสีขาวท้องปลา[1]มาให้เห็น


              และในยามนี้ จู่ๆ ด้านนอกก็เกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมา


              ที่ตั้งของเรือนมีสุขอาณาเขตติดกับประตูเมืองเฉิงหนาน หน้าต่างห้องนี้ก็ตั้งตรงเหมาะเจาะกับประตูเมืองพอดี ระยะทางห่างกันไม่ถึงสิบจั้ง


              ฉู่สวินหยางได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปใกล้อย่างสนใจ เปิดหน้าต่างออกไปด้านนอกให้กว้างกว่าเดิมพลางเอ่ยกับฉู่ฉีเหยียน “ประตูเมืองเหมือนจะคึกคักขึ้นมาแล้ว ซื่อจื่อไม่อยากดูหน่อยหรือ?”


              ฉู่ฉีเหยียนหลบตา…


              คำพูดนี้ของนางแฝงด้วยนัยที่เขาเองก็พอแยกแยะได้ไม่ยาก


              ยามนี้ราวกับว่าไร้ที่ให้เขาถอยกลับแล้ว…


              เมื่อลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายฉู่ฉีเหยียนจึงตัดสินใจเดินหน้าตายเข้าไป


              ในยามเดียวกัน ทางฝั่งประตูเมืองกำลังวุ่นกันยกใหญ่ เนื่องด้วยระยะห่างจึงไม่ได้ยินว่าทะเลาะเรื่องอะไร เพียงแต่พอแยกได้ว่ากองทัพขนศพขัดแย้งกับนายทหาร กอปรกับยามนี้ประตูเมืองเพิ่งจะเปิด ผู้คนทั้งในและนอกต่างคอยจะเดินทางจึงทำให้คนอัดแน่นไปหมด วุ่นวายเป็นหม้อโจ๊ก


              ฉู่สวินหยางชมอย่างอรรถรสถึงกับหัวเราะเอิ้กอ้ากและวิจารณ์เป็นระยะ


              ฉู่ฉีเหยียนนั่งเงียบบนเก้าอี้ตัวข้างๆ


              เหยียนหลิงจวินผู้ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นั่งจิบชาเงียบๆ อยู่ตลอด จู่ๆ ยามนี้ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “นับแต่เรื่องนักฆ่าคืนสิ้นปียังไม่สรุปจบ ฮ่องเต้ก็อ้างเรื่องสืบนักฆ่าเรียกทหารรักษาการณ์ทั้งสามประตูกลับไปหมด และเนื่องด้วยทหารราบประตูหยาทำงานไม่ดีจึงโดนสั่งให้กลับเมือง ปิดประตูหยาสำนึกผิด ประตูเมืองต่างๆ จึงยกสิทธิ์ให้ทหารม้าเมืองเก้าในท่านรัชทายาทรับผิดชอบ ฤกษ์งามยามดีเฉกเช่นวันนี้ต่างก็ต้องครึกครื้นมากเป็นธรรมดา เทียบได้กับสายไหมเติมน้ำตาล คุ้มกับที่ท่านโหรคำนวณฤกษ์ออกมาเสียจริง”


              สีหน้าของฉู่ฉีเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาหลักแหลมเหลือบมองไปทางเขาและเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ใต้เท้าเหยียนหลิงสนใจเรื่องเล็กน้อยเสียจริง ท่านนี่ช่างว่างนัก ตั้งแต่ท่านมาซีเยว่อะไรๆ ก็ต้องมีท่านแทรกเข้าไปตลอด!”


              “เป็นเกียรตินักที่ได้รับคำชมจากซื่อจื่อ ข้าน้อยน้อมรับ!” เหยียนหลิงจวินทำเหมือนฟังคำประชดที่เขาแฝงมาไม่ออก ยิ้มตอบกลับไป


              “ยามนี้ก็ดูเรื่องครึกครื้นเสร็จแล้ว สวินหยางหากท่านไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าขอตัวก่อน” ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่ถือสาอะไรกับเขา เอ่ยจบก็ยืดตัวขึ้น


              ฉู่สวินหยางหันออกจากหน้าต่าง และเดินเฉียดไปด้านหน้า หยุดการกระทำของเขา พลางยิ้ม “พวกท่านดื่มชากันเถิด โอกาสจะมีงานครึกครื้นทีช่างหายากนัก ข้าขอไปดูก่อน”


              นางพูดโดยไม่หันกลับ ก่อนวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว


              ฉู่ฉีเหยียนจ้องเขม็งด้วยความสงสัย…


              เวลานี้ นางไม่หลบหลีก แล้วยังจะเข้าไปร่วมด้วยมันหมายความว่าอย่างไรกัน?


              หญิงสาวผู้นี้ นางคิดอะไรกันแน่?


              เมื่อได้สติ ฉู่ฉีเหยียนก็ลุกขึ้นตามอย่างรวดเร็ว


              เหยียนหลิงจวินที่อยู่โต๊ะข้างๆ หัวเราะเสียงด้าน “ธนูที่ยิงออกไปมิอาจหวนคืนกลับได้[2]  จื่อซื่อไม่คิดว่ายามนี้อยู่กับข้าน้อยแล้วเหมาะสมกว่าหรือ? อย่างน้อยรอจนเรื่องหน้าต่างตะวันออกวันนี้เกิด เราทั้งคู่ล้วนจะได้เห็นประจักษ์มิใช่หรือ?”


              ฉู่ฉีเหยียนยืนได้ครึ่งหนึ่งก็ชะงัก ขมวดคิ้วมองไปทางเขา


              สายตาของเหยียนหลิงจวินมองเขายิ้มๆ ไม่ยอมลดละ “เรื่องนี้ไม่มีที่ให้ถอยกลับแล้ว ยิ่งทำมากก็ยิ่งผิดมาก ซื่อจื่ออยู่เงียบๆ นิ่งๆ จะดีกว่า!”


              คำพูดนี้เจตนารมณ์ยิ่งใหญ่ ทว่าความนัยกล่าวเตือนไว้ด้วย


              ฉู่ฉีเหยียนมองเขา นิ้วมือค่อยๆ กำแน่นเป็นหมัดซ่อนอยู่ใต้เสื้อ ในใจรีบคำนวณชั่งใจอย่างรวดเร็ว เหยียนหลิงจวินก็ลุกเดินเข้ามาวางถ้วยชาไว้ตรงหน้าเขาถ้วยหนึ่ง “รสมือการต้มชาของข้าน้อยนับว่าไม่เลว ซื่อจื่อลองดื่มหน่อยคงมิเสียหาย!”


              ฉู่สวินหยางทิ้งเหยียนหลิงจวินไว้ที่นี่เพื่อรั้งเขาไว้!


              ฉู่ฉีเหยียนเข้าใจจุดนี้ดี แต่หญิงสาวเหมือนกับมองเจตนาของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อเผยจุดอ่อนเช่นนี้ออกมา ยามนี้คล้ายกับไม่มีที่เหลือให้เขาปฏิเสธแล้ว


              ครุ่นคิดอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายฉู่ฉีเหยียนก็ใจเย็นลง ยกน้ำชาแก้วนั้นขึ้นมาและเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ใต้เท้าไมตรีเปี่ยมล้น หากปฏิเสธคงจะมิได้ ต้องเคารพดั่งคำบัญชาอยู่แล้ว!”


              เหยียนหลิงจวินยิ้มเล็กน้อย และหันกลับไปนั่งโต๊ะเช่นเดิม


              ฉู่ฉีเหยียนมองเขาแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะเอ่ย “นั่งนิ่งคงน่าเบื่อแย่ หลี่หลิน เจ้าลงไปบอกเถ้าแก่ให้ยกจานหมากล้อมมา”


              พูดจบก็กันกลับไปทางเหยียนหลิงจวินและถามต่อ “ใต้เท้าเหยียนหลิงอารมณ์สุนทรีย์นัก ประลองกับข้าสักตาได้หรือไม่?”


              “แน่นอน!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้ามองลึกไปทางเขา…


              คนสุขุมยามมีภัยเช่นนี้จะดูถูกไม่ได้เลยเชียว


              ระยะเผาขนเช่นนี้แล้ว หลี่หลินไม่รู้ว่าเจ้านายตนจู่ๆ ทำไมถึงมีกะจิตกะใจมาประลองกับเหยียนหลิงจวิน แต่ในเมื่อเป็นการตัดสินใจของฉู่ฉีเหยียนเขาก็เชื่อมาตลอด ได้ยินเช่นนั้นจึงลงไปยืมหมากล้อมตามสั่ง


              กลิ่นชาหอมตลบอบอวลไปทั่วห้อง ชายหนุ่มทั้งสองนั่งลงหมากกัน


              คนหนึ่งเป็นสายลมไร้พันธนาการ ท่าทางหล่อเหลา อีกคนหนึ่งผิวหน้าราวหิมะ สายตาเป็นประกาย มองไปแวบแรกก็รู้สึกอิ่มหนำ ช่างละเอียดงดงามนัก


              ทางหมากของเหยียนหลิงจวินลงตามสบายตลอด ทว่าฉู่ฉีเหยียนกลับคิดซ่อนเงื่อน ลงหมากทุกตัวอย่างมั่นคง


              ทางหมากต่างกันเช่นนี้ ลงไปลงมาทั้งสองต่างไม่มีใครกล้าอ่อนข้อ แต่ก็นับว่ารู้ผลแพ้ชนะแล้ว


              หลังลงหมากไปได้ไม่กี่ตา เป็นเหยียนหลิงจวินที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “เห็นซื่อจื่อใจจดจ่อเช่นนี้ ราวกับว่ากุมชัยชนะไว้ในอกแล้ว”


              “เทียบใต้เท้าเหยียนหลิงไม่ได้หรอก ยังไม่ทันลงหมากท่านก็ลงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมาก่อนแล้ว” ฉู่ฉีเหยียนเสียงเรียบด้วยน้ำเสียงประชด


              เหยียนหลิงจวินหัวเราะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจ


              ฉู่ฉีเหยียนถือหมากอยู่นานนม สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองขึ้นมาทางเขาและเอ่ย “มีคำถามหนึ่งที่ข้าไม่มีโอกาสได้ถามท่านสักที วันนี้บังเอิญนัก ขอคลายข้อสงสัยนี้ต่อหน้าท่านแล้วกัน ในราชวงศ์สถานการณ์วุ่นวายกระจายทั่วไปหมด ข้าดูออก ที่ท่านยอมร่วมเกมเป็นเพราะฉู่สวินหยางทั้งหมด แต่ท่านทุ่มสุดตัวเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าเสี่ยงไปหน่อยหรือ?”


              “ซื่อจื่อก็อยู่ในตา แต่กลับมาสอนข้า ไม่รู้สึกน่าขันบ้างหรือ?” เหยียนหลิงจวินถามกลับ ยกมือขึ้นมาชี้กระดานหมาก แสดงสัญลักษณ์ว่าเขาควรลงหมากแล้ว


              ฉู่ฉีเหยียนวางหมากลงในที่ที่คิดคำนวณไว้แล้ว และยังเอ่ยต่ออย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าเป็นคนเล่นหมาก ฉะนั้นคนนอกหมากอย่างท่านข้าเข้าใจชัดเจนดี นั่งเป็นตาอยู่กินพุงปลามัน[3]อย่างนั้นหรือ?”


              จู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็เย็นลง ยกแขนขวางเหยียนหลิงจวินที่กำลังจะลงหมาก


              ข้อมือของทั้งสองต้านกันไว้ ต่างคนต่างไม่ยอม


              บรรยากาศในห้องจู่ๆ ก็เย็นเยียบขึ้นมา เหมือนมีเค้าลางว่าจะเกิดการฆ่าฟันอันดุเดือดแผ่ซ่านไปทั่วห้อง


              เหยียนหลิงจวินหลุบตาลงต่ำ ขนตาเงายาวปิดแววตาที่แท้จริงไว้ ฉู่ฉีเหยียนแม้นั่งอยู่ตรงข้าม แต่กลับไม่สามารถสังเกตแววตาของเขาได้ชัดเจนเลย


              “หึ…” นิ่งเงียบไปสักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากในลำคอส่วนลึก


——————————————————————


[1] สีขาวท้องปลา คือสีโบราณของจีน เป็นสีขาวอมชมพูระเรือ


[2] ธนูที่ยิงออกไปมิอาจหวนคืนกลับได้ มาจากสำนวน ธนูที่ยิงออกไปมิอาจหวนคืนกลับได้ฉันใด วาจาที่กล่าวออกไปก็มิอาจหวนคืนกลับได้ฉันนั้น


[3] นั่งเป็นตาอยู่กินพุงปลามัน เป็นสำนวน หมายถึง นั่งเสวยผลประโยชน์จากการต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย


บทที่ 92 ล้วนแต่เป็นหมาก (3)

โดย

Ink Stone_Romance

เหยียนหลิงจวินค่อยๆ เงยหน้ามามองฉู่ฉีเหยียน แฝงด้วยรอยยิ้มไร้พันธนาการสง่างามเช่นเดิม “ท่านมิต้องมาลองใจข้า แต่ไหนแต่ไรข้ามิเคยปฏิเสธว่าข้ายังมีไพ่ที่ยังไม่เปิด ส่วนที่ว่าจะเปิดได้หรือไม่ หรือว่าเปิดได้เท่าไหร่นั้น คงต้องพึ่งความสามารถของแต่ละคน ลองใจไปลองใจมาเช่นนี้ ต่อไปขออย่าทำเช่นนี้อีก!”


สีหน้าของเขาราบเรียบ ท่าทีมั่นใจเกินไปเช่นนั้นของเขาทำให้ในใจฉู่ฉีเหยียนเตรียมป้องกันไว้มากกว่าเดิม


สองคนสี่ตาจ้องกัน


บรรยากาศรบราฆ่าฟันมลายหายไปจากห้อง คืนกลิ่นหอมอบอวลของชากลับมาอีกครั้ง


ฉู่ฉีเหยียนจับจ้องทุกการกระทำของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ทว่าสังเกตได้เพียงแค่ชายหนุ่มเหมือนใส่หน้ากากงดงามไร้ที่ติไว้บนหน้าตลอด     ไม่มีใครอาจคาดเดาสิ่งลี้ลับภายในได้


เมื่อผ่านไปได้พักใหญ่ เขาจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไพ่ที่ยังไม่เปิดของท่าน นางรู้แล้วหรือ?”


เจ้าฉู่สวินหยางนั่นปัญญาเฉียบแหลมนัก นางเองก็ออกจะใกล้ชิดกับเหยียนหลิงจวิน หากไม่สอบเหยียนหลิงจวินให้ถ่องแท้จะมั่นใจได้อย่างไร? ยังอยากจะให้เขามีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างวังบูรพาและจวนอ๋องหนานเหออีกอย่างนั้นหรือ?


ฉู่ฉีเหยียนมักจะคะเนความคิดของฉู่สวินหยางอย่างมีเหตุผลที่สุด ตามจริงแล้วแม้เหลียนหลิงจวินยังยากที่จะคะเนความคิดของนาง…


จากความคิดการกระทำของนางแล้ว ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่ไม่เตรียมป้องกันอะไรกับคนนอกที่มีความคิดไม่บริสุทธิ์กับตนเช่นนี้ เป็นเพราะไว้ใจหรือ?


แต่ความไว้ใจแบบไร้หลักฐานเช่นนี้ ขนาดเขายังไม่กล้าหลอกตัวเองให้เชื่อ


จู่ๆ ในใจเหยียนหลิงจวินก็หมดอาลัยตายอยากไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาอย่างอารมณ์ดีและเอ่ยเสียงราบเรียบ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน!”


เมื่อพูดเช่นนี้ก็ไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ทำได้เพียงแต่นั่งลงหมากเงียบๆ ไป


ฉู่ฉีเหยียนหัวเราะในใจ เมื่อรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์จึงไม่ตามถามเรื่องนี้อีก…


ถึงฉู่สวินหยางจะรู้แผนการทั้งหมดของเขาแล้วจะทำไม? จุดอ่อนเขาไม่ได้จับจุดได้ง่ายขนาดนั้น!


ทางด้านฉู่สวินหยางถือโอกาสหลบเถ้าแก่กับสมุนออกไปทางประตูหลังเรือนมีสุขตอนที่พวกเขากำลังนอนพักอยู่ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกสังเกต นางจึงทิ้งชิงหลัวและชิงเถิงเฝ้าเหยียนหลิงจวินและฉู่ฉีเหยียนอยู่ชั้นบน แต่ตอนออกมาอิ้งจื่อกลับตามนางออกมาอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง


เนื่องด้วยหลายวันนี้นางกับเหยียนหลิงจวินต่างฝ่ายต่างไม่อ่อนข้อต่อกัน เมื่ออิ้งจื่อตามออกมาจึงแอบกังวลเล็กน้อย เมื่อเห็นฉู่สวินหยางหันมามองนางจึงหลุบตาลงต่ำอย่างรวดเร็ว “ท่านหญิง!”


ฉู่สวินหยางมองนางแวบหนึ่ง แต่นางกลับไม่ถามอะไรสักประโยคเหมือนที่คาด เอ่ยเพียง “ตามข้ามา!”


อิ้งจื่อถอนหายใจโล่ง แต่เมื่อเห็นท่าทีของนางผันแปรเปลี่ยนไวเช่นนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงไม่กล้าวางใจแม้แต่น้อย และควบม้าตามนางไปทางประตูเมือง


ยามนี้กองทัพขนศพยังทะเลาะกับทหารรักษาการณ์คาอยู่หน้าประตูเมืองไม่หยุด


“ผู้ตายเป็นใหญ่ ผู้เฒ่าของพวกข้าเลือกฤกษ์ฝังศพไว้หมดแล้ว ภิกษุศักดิ์สิทธิ์นอกเมืองล้วนเชิญมารอก่อนแล้ว พวกเจ้าดักไม่ให้ออกเมืองเช่นนี้มีเหตุอันใด?” ผู้เฒ่าที่สวมชุดไว้อาลัยเถียงจนหน้าแดงควันออกหู


“องค์รัชทายาทมีรับสั่ง ในเมืองเพิ่งเกิดเรื่องนักฆ่าไม่สงบ วันนี้จวนอ๋องทั้งสองตระกูลจัดงานมงคลพร้อมกันอีก เพื่อความปลอดภัย พวกโลงไม้ รถม้าพวกนี้จึงห้ามไม่ให้เข้าออกเมือง” ทหารรักษาการณ์เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีอารมณ์หยอกล้อแม้แต่น้อย เมื่อพูดจบก็ผลักชายเฒ่าออกไปอย่างรำคาญ “ไปเสีย กลับไปให้หมด ข้าพูดชัดเจนแล้ว รถม้าหยุดขบวนให้หมด หากอยากเดินเข้าออกเมืองให้ไปทางนั้น ต่อแถวรอตรวจ อย่าคิดจะตามก่อกวนอีก!”


วันนี้เหล่าพ่อค้าเข้าออกเมืองหนาตาจริงๆ ทุกคนล้วนแต่ต้องค้นตัวจนทั่วแล้วจึงจะปล่อยเข้าออกไปได้ สิ่งใหญ่ๆที่ใส่อาวุธได้ล้วนห้ามไม่ให้นำติดตัวไปทั้งหมด ถ้าไม่ยอมสละทิ้งก็กลับออกไปเสีย


ชายเฒ่าต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขาอยู่นานนมแต่ไร้ผล ก็รีบรนจนเหงื่อท่วมตัว พอโดนทหารรักษาการณ์ผลักก็อารมณ์ร้อนเหลือบมองเล็กน้อย แต่ด้วยแรงผลักทำให้เขากำลังจะล้มลงไปกองกับพื้น


ยังไม่ทันจะล้มลงไป กลางหลังก็เหมือนสัมผัสกับของบางสิ่งทำให้ร่างล่นไปแค่ครึ่งหนึ่งก็ไม่ล่นต่อแล้ว


ชายเฒ่าตะลึงงันจนตัวแข็งทื่อ


หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะจากที่สูงด้านหลัง “ท่านผู้เฒ่าอายุมากเช่นนี้แล้ว ระวังหน่อย หากล้มลงไปคงจะเรื่องใหญ่!”


ชายเฒ่ารีบลุกขึ้นมา


ผู้คนมองไปตามเสียง ก็เห็นหญิงสาวสวมเสื้อสีแดงเพลิงตัวใหญ่นั่งอมยิ้มอยู่บนหลังม้าท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่ทอลงมาในยามเช้า


นางเอียงร่างมาด้านหน้า แขนวางทับกันอยู่บนอานม้า ใบหน้ารูปไข่เฉิดฉายยิ้มตาหยี แส้ม้าสีทองในมือรองรับกลางแผ่นหลังของชายเฒ่าพอดี รอยยิ้มนั้นเต็มปริ่มไปด้วยความอบอุ่น


สองวันนี้ทหารรักษาการณ์เปลี่ยนเป็นคนของฉู่อี้อันทั้งหมด ทหารพวกนั้นสายตาหลักแหลม เห็นว่าเป็นฉู่สวินหยางจึงทำความเคารพอย่างยิ้มแย้ม “ข้าน้อยคารวะท่านหญิงสวินหยาง ไม่ทันได้มองทาง เลยชนท่านหญิง ขอท่านหญิงโปรดอภัยด้วยเถิด!”


ชายเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ได้สติ


หนุ่มน้อยที่ก้มหน้าก้มตาสะอึกสะอื้นยืนจับรถอยู่นั้นก็เดินก้มออกมาพยุงชายเฒ่าไปอีกด้าน และรีบดึงเขาให้คุกเข่าลงเอ่ยความผิด “ท่านผู้เฒ่าไม่รู้ความ มิได้ตั้งใจไม่ให้เกียรติท่านหญิง ขอท่านหญิงอภัย อย่าลงโทษผู้แก่ผู้เฒ่าเลย!”


สีหน้าชายเฒ่าแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สั่น รีบเอ่ยรับผิดในทันใด “ใช่ขอรับ ข้าน้อยไม่ดูตาม้าตาเรือ เมื่อครู่ยังต้องขอบคุณท่านหญิงที่ช่วยพยุงอีกด้วย”


ฉู่สวินหยางก้มมองสองคนนั้นแวบหนึ่งก็เคลื่อนสายตาไปเอ่ยกับทหารรักษาการณ์ “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”


“ตอบท่านหญิง ไม่กี่วันก่อนนักฆ่าอาละวาด องค์รัชทายาทมีรับส่งให้ตรวจสอบพ่อค้าให้ถี่ถ้วนกว่าเดิม เพื่อมิให้นักฆ่าหลุดลอดออกไป” ทหารรักษาเมืองกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม “ชายผู้นี้จะขนศพออกเมือง แต่โลงไม้และรถพวกนี้เป็นของต้องห้ามที่ใต้เท้าออกกฎ”


“เป็นคำสั่งของท่านพ่อของข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางเอ่ยพลางก้มมองแส้ม้าในมือ


ทหารรักษาการณ์กำลังจะตอบกลับ แต่ชายเฒ่าผู้นั้นอดใจรอไม่ได้เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ท่านหญิง พวกข้าคือตระกูลหลิวแห่งตรอกหกเมืองตะวันตก ท่านปู่บ้านข้าป่วยล้มตาย ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ก็วุ่นอยู่กับวันปีใหม่ จึงเก็บศพไว้ในบ้านตลอด เห็นว่าไม่อาจผลัดต่อไปได้จึงรีบจะไปฝังศพในวันมงคลวันนี้ ขอท่านหญิงพิจารณา ผู้ตายยิ่งใหญ่ จะผลัดต่อมิได้แล้ว!”


ฉู่สวินหยางก็เป็นแค่เด็กหญิงอายุสิบกว่าปี และยังโดนองค์รัชทายาทตามใจจนเคยตัว ทหารรักษาการณ์เห็นท่าทีของนางกับชายเฒ่าอ่อนโยนเช่นนั้น ก็เกรงว่านางจะใจอ่อนปล่อยไป รีบเอ่ย “ท่านหญิง…”


ฉู่สวินหยางกลับไม่รอให้เขาเอ่ยก็ยกมือหยุด ก่อนจะหันไปเอ่ยกับชายสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ “ข้าเองก็รู้ว่าผู้ตายยิ่งใหญ่ แต่ช่วงนี้ในพระนครไม่สงบก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน และวันนี้จวนอ๋องสองตระกูลยังจัดงานมงคลพร้อมกันอีก เรื่องเล็กน้อยของพวกเจ้า…หากเกิดเป็นเรื่องใหญ่คงไม่ดีแน่ เอาเป็นว่าเห็นแก่หน้าของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อนจะเป็นพระคุณกับข้ามาก รอผ่านงานมงคลของจวนอ๋องสองตระกูลวันนี้ก่อน วันรุ่งค่อยออกเมืองจากตรงนี้ไป ว่าอย่างไร?”


“แต่ว่า…” ชายเฒ่ายังจะเถียงต่อ ชายหนุ่มที่คุกเข่าข้างๆเขาก็แอบดึงเขา และเอ่ยขึ้นก่อน “ขอรับ! ขอบพระคุณท่านหญิงที่ชี้แจง เป็นเพราะพวกข้าคิดไม่รอบคอบ มิกล้าลบหลู่งานมงคลของชนชั้นสูงสองตระกูล”


พูดจบก็ไม่รอให้ชายเฒ่าปฏิเสธและเอ่ยต่อเสียงเรียบ “ทำตามที่ท่านหญิงบอก กลับจวนรออีกวันหนึ่งเถิด!”


“ขอรับ!” พวกคนใช้ตอบรับเสร็จก็รีบยกโลงไม้กลับจวนไปอย่างรวดเร็ว


ชายเฒ่าพยุงชายหนุ่มลุกยืน ก่อนหันไปก็เหลือบมองฉู่สวินหยางด้วยสายตากังวล


คงจะมีเหตุจากที่เสียใจมากเกิน สีหน้าของชายหนุ่มจึงซีดเผือด ดูไม่ปกติเท่าไหร่ ร่างกายก็อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด


ไม่รู้ว่าจงใจหรืออย่างไร เขาก้มหน้าลงต่ำอยู่ตลอด คงกลัวจะเป็นการลบหลู่ฉู่สวินหยางกระมัง ยามนี้เขาก็หันมาขอบคุณสู่สวินหยางอยู่ไกลๆ และแบกโลงไม้เดินกลับเข้าไปในตัวเมือง


ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้สนใจคนพวกนั้นมากมาย หันกลับมากำชับทหารรักษาการณ์ “วันรุ่งเช้าตรู่หากคนตระกูลหลิวมาก็ปล่อยพวกเขาออกเมืองไปเถิด หากเกิดเรื่องอะไร ข้าจะรับโทษจากท่านพ่อแทนเจ้าเอง!”


“ขอรับ!” ทหารรักษาการณ์รีบตอบรับ เมื่อเห็นท่าทีของนางก็เอ่ยต่อ “ท่านหญิงท่านนี่…จะออกเมืองหรือ?”


———————————————————————


บทที่ 92 ล้วนแต่เป็นหมาก (4)

โดย

Ink Stone_Romance

“ข้ายังดีๆ จะออกเมืองไปทำอะไร?” ฉู่สวินหยางเอ่ยพลางกวาดตามองรอบๆ อย่างไม่รีบไม่ร้อน “หลายวันนี้ทุกที่ล้วนแต่ประดับด้วยงานเลี้ยงดื่มเหล้าดั่งน้ำหลาก ข้าเห็นจนเอียนแล้วเลยออกมาเดินเล่นในเมือง! เอาเถิด ทำภารกิจของพวกเจ้าไปเถิด!”


พอเอ่ยจบก็ควบม้ากลับเข้าไปทางตัวเมือง


ในยามนี้ท้องฟ้าก็สว่างขึ้นมากแล้ว โลงไม้ของตระกูลหลิวขนผ่านถนนหลักไม่ค่อยสะดวก จึงเลือกย้ายไปขนในตรอกที่ลับตาคนข้างๆ แทน เหล่าคนใช้ขนโลงไปทางตรอกหกเมืองตะวันตกอย่างเป็นระเบียบ ส่วนชายหนุ่มที่พยุงศพก่อนหน้านี้ก็เดินตามชายเฒ่าไป แต่เมื่อเลี้ยวเปลี่ยนถนนเขาก็ค่อยๆ ถอยออกมาอย่างเงียบๆ


เมื่อแน่ชัดว่ารอบๆ ไม่มีคน ชายเฒ่าก็เอ่ยด้วยสีหน้าร้อนรน “องค์หญิง ที่นี่จะทำอย่างไรดี? หากท่านไม่ไปตอนนี้ รอจนความลับถูกเผย คงยากนักจะปลีกตัวออกได้!”


ชายหนุ่มผิวขาวถอดชุดไว้อาลัยตัวใหญ่ออก เผยให้เห็นชุดสีเรียบกระชับกับตัว เอวคอด แม้จะแต่งเป็นชาย แต่กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นร่างอ้อนแอ้นของหญิงสาว


ที่น่าตกใจคือ…


คนนั้นคือทั่วป๋าอวิ๋นจีองค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยที่ปลอมตัวมา


คิ้วงามดกของนางขมวดชนกันเล็กน้อย ไม่ได้ใส่ใจฟังชายเฒ่าพูดพล่าม แต่อารมณ์ก็สับสนลนลานบ้างเล็กน้อยและหันกลับไปมองด้านหลังเป็นพักๆ


ไม่นาน ทางนั้นก็มีเสียงกีบเท้าม้าวิ่งเข้ามาใกล้และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


ชายเฒ่ายกมือคลำหามีดสั้นในกางเกงเพื่อเตรียมป้องกัน


“เหล่าเฮ่อ!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีลดมือเขาลงและเดินขึ้นไปข้างหน้าพลางเอ่ยสั่ง “เจ้าออกไปก่อน!”


ฉู่สวินหยางและอิ้งจื่อควบม้าตามมาจากในตรอกด้านหลัง


องครักษ์นามเหล่าเฮ่อไม่ค่อยวางใจนัก แต่เห็นท่าทีเด็ดขาดของทั่วป๋าอวิ๋นจีจึงมิได้ขัด หันตัววิ่งไปเฝ้าถนนอีกฝั่งของตรอกอย่างรวดเร็ว เพื่อกันไม่ให้คนนอกเข้าใกล้


อิ้งจื่อก็อยู่เตรียมป้องกันอีกด้านของตรอกเองโดยไม่ต้องให้ฉู่สวินหยางเอ่ยสั่ง


“ท่านหญิงสวินหยาง!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีเข้าไปทักทายด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความอึดอัด


ฉู่สวินหยางพลิกตัวลงจากม้า สายมองการแต่งกายของนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะยิ้มและเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ยามนี้เจ้าอยากออกนอกเมืองก็แค่เอ่ยบอกข้าก็พอ ข้ารับรองว่ามิใช่เรื่องใหญ่ไม่ได้วุ่นวายอะไรแน่ ครั้งก่อนหากมิได้เจ้าบอกข่าวข้าก่อน เหยียนหลิงจวินอยากถอนตัวจากงานเลี้ยงรับรองก็มิใช่เรื่องง่าย บุญคุณครั้งนี้เป็นข้าที่ติดหนี้เจ้า แต่แค่…เจ้าแน่ใจหรือว่าจะออกไปยามนี้?”


ทั่วป๋าอวิ๋นจีวางตัวไม่ถูกไปเล็กน้อยเมื่อโดนนางรู้แผน เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ประหลาดใจตะลึงไป ในใจสงสัย ในยามเดียวกันก็ยิ้มเจื่อนๆ “ในเมื่อท่านหญิงรู้แผนของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องปิดท่านต่อ สภาพของข้าตอนนี้ท่านเองก็น่าจะรู้ดี หากข้าไม่คิดวิธีหลีกหนีไปตอนนี้ ต่อไปเห็นทีคงจะไม่ได้โอกาสแล้ว! สภาพของข้ายามนี้ไม่มีตัวเลือกใดๆ ให้เลือก ข้าไม่สามารถนั่งรอเป็นหมากที่ผู้อื่นใช้เสร็จแล้วทิ้งได้”


 “เจ้าไม่อยากเป็นหมากของผู้อื่น” ฉู่สวินหยางผู้ย้อนคำของนาง สายตามองไปยังสุดขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ไม่นานก็เอ่ยถามขึ้นมา “เจ้ารู้ไหมว่าคนเช่นไรจึงจะหลุดพ้นจากชะตาเป็นหมากของผู้อื่นหรือไม่?”


ทั่วป๋าอวิ๋นจีคิดไม่ถึงว่านางจะถามเช่นนี้ เมื่อได้สติก็กลั้นหายใจทำหน้าสงสัย


ฉู่สวินหยางหันมามอง ริมฝีปากก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าและเอ่ย “เจ้าเป็นคนฉลาด ในใจคงจะเข้าใจอย่างดี ข้าช่วยเจ้าครั้งนี้ ครั้งหน้าอาจมิได้มีชะตาเช่นนี้อีก ในโลกานี้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการแย่งชิงกันเป็นใหญ่ ใครกันที่ไม่ได้มีชะตาเป็นหมากตัวหนึ่งของผู้อื่น ไม่เพียงแค่เจ้า ข้าเองก็เช่นนั้น หากเจ้าอยากหลุดพ้นจากชะตาการเป็นหมากของผู้อื่นนั้นมีเพียงทางเดียว นั่นก็คือขึ้นตำแหน่งสูงๆ มองผู้คนจากด้านบน ไปเป็นผู้เดินมากที่กำหนดทางเดินหมากของตานั้น นอกจากนี้แล้ว มิมีทางเลือกอื่น!”


ทั่วป๋าอวิ๋นจีตะลึงไม่น้อย คำพูดพวกนี้ของฉู่สวินหยางตามจริงนางก็เข้าใจทั้งหมด แต่แค่ไม่กล้าคิด และไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น


ในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนโดนฉู่สวินหยางจับต้นชนปลายได้หมด จู่ๆ ทั่วป๋าอวิ๋นจีก็ลนขึ้นมา


อารมณ์ในใจผันแปรไปอย่างรวดเร็ว สุดท้าย นางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับฉู่สวินหยาง “เรื่องแบบนี้ พอทำจริงใช่เป็นเรื่องง่าย ท่านหญิงมีความมั่นใจและปณิธานอันยิ่งใหญ่เช่นนี้จะไปเป็นหมากให้คนอื่นใช้งานหรือ?”


“ข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางคลี่ยิ้มเป็นประกาย


นางส่ายหัว ทิ้งใบหญ้าในมือที่ถือมาเล่นลงและปัดมือ “ข้าไม่ต้องการไปเป็นคนคุมหมาก เรื่องนี้มีท่านพ่อและพี่ชายของข้าทำอยู่แล้ว อีกอย่าง ขอเพียงมีพวกเขาอยู่ ข้ากลับรู้สึกสุขใจนักที่มีชะตาเป็นหมากของผู้อื่น”


ทั่วป๋าอวิ๋นจีสะเทือนใจเป็นอย่างมาก


ฉู่สวินหยางจะต้องเชื่อใจฉู่อี้อันกับฉู่ฉีเฟิงมากเท่าใด นางถึงได้ยอมก้มอยู่ภายใต้การแก่งแย่งชิงอำนาจของกษัตริย์จอมปลอมเช่นนี้อย่างเป็นสุข?


“ตระกูลกษัตริย์ไร้คำว่าครอบครัว ท่านเชื่อใจว่าพวกเขาจะปกป้องท่านทั้งชีวิต ถ้าหาก…” ทั่วป๋าอวิ๋นจีหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ย


“ไม่มีถ้าหาก!” ฉู่สวินหยางแทรกหยุดคำพูดของนางด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด


ตระกูลกษัตริย์ไร้คำว่าครอบครัว แต่ท่านพ่อและพี่ชายของนางเป็นข้อยกเว้น ชาติที่แล้วพวกเขาชดใช้ให้นางราวคีรีทั้งลูก ยอมตายแทนนาง หากมีการหักหลังจริงๆ ท้ายสุดของชาติก่อน ทุกคนคงจะไม่จุดจบเช่นนั้น


ทั่วป๋าอวิ๋นจีกลั้นหายใจ มองนางอย่างคาดไม่ถึง สุดท้ายก็ยิ้มออกมาแห้งๆ “เสียดายที่ข้าไม่มีชะตาเช่นนั้นเหมือนท่าน”


“องค์ชายห้าก็นับว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า!” ฉู่สวินหยางเอ่ย และมองนางให้ลึกลงไป “ในเมื่อเจ้าคิดว่าครอบครัวไม่น่าพึ่ง แต่ความสัมพันธ์ใหญ่หลวงเช่นนี้ยังนับว่าเป็นประโยชน์ แค่ต้องเปลี่ยนวิธีเท่านั้น ข้ามาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าไม่ได้มีความหมายอื่น เพียงอยากตักเตือนเจ้า และแน่นอน ตอนนี้เจ้าอยากไปก็มิใช่ไม่ได้ องค์ชายก็ไม่ได้มีเวลาว่างไปสะกดรอยตามเจ้า แต่ถึงเจ้าจะกลับไปถึงโม่เป่ยอย่างราบรื่น เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าทางที่เหลือจะเดินอย่างไร? หรือจะเฉกเช่นตอนนี้ที่เป็นหมากตัวหนึ่งในมือพี่ชายที่จะใช้เมื่อใดก็ใช้ จะทิ้งเมื่อใดก็ทิ้งอย่างนั้นหรือ?”


ทั่วป๋าอวิ๋นจีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่กัดปากไม่เอ่ยอะไร


ฉู่สวินหยางมองนางและค่อยๆ คลี่ยิ้มเล็กน้อยเช่นเดิม “องค์หญิงหก วันนี้วันมงคลขององค์ชายห้า ท่านในฐานะที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา ในยามนี้ก็ควรจะไปช่วยเขารับแขกในจวนจะมิเหมาะกว่าหรือ?”


ทั่วป๋าอวิ๋นจีขมวดคิ้วอยู่ตลอด ในใจที่ตะเกียกตะกายมาช้านาน ผ่านไปครึ่งวันจึงยอมตัดสินใจและกัดฟันพูด “ใช่ งานมงคลพี่ห้าของข้า ทางนั้นข้ายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ไม่อยู่คุยกับท่านหญิงต่อแล้ว”


ฉู่สวินหยางคลี่ยิ้ม พยักหน้าให้นางเล็กน้อย


ทั่วป๋าอวิ๋นจีเม้มปาก หันตัวไปทางอีกด้านของตรอกและเดินออกไป ทุกย่างก้าวของนางเชื่องช้า เชื่องช้าแต่เด็ดเดี่ยวแปลกๆ


องครักษ์นามเหล่าเฮ่อรีบวิ่งขึ้นมาอย่างร้อนรน และเอ่ยอย่างเป็นกังวล “องค์หญิง!”


“เรากลับไปเถิด!” ทั่วป๋าอวิ๋นจีเอ่ย


เหล่าเฮ่อตกตะลึง ไม่นานก็ได้สติ รีบเดินตามไป


อิ้งจื่อเดินจากด้านหลังมายืนหลังฉู่สวินหยางและเอ่ยเสียงเบา “แม้จะเสี่ยง แต่กลับเป็นโอกาสดีที่นางจะได้รับความพึ่งพาและไว้วางใจจากทั่วป๋าไหวอัน ในภายภาคหน้าหากทั่วป๋าไหวอันได้รับช่วงต่ออย่างราบรื่น มีนางอยู่ข้างๆ ท่านหญิงจะทำอะไรจะได้สะดวกขึ้น”


ตามที่ฉู่สวินหยางพูดก่อนหน้านี้ เด็กหญิงผู้หนึ่ง นางยังจะมีเป้าหมายอะไร? นางอยากตั้งมั่นอยู่ครอบครัวโม่เป่ยก็ต้องขอพึ่งพิงทั่วป๋าไหวอันได้เท่านั้น ครั้งนี้…


เป็นโอกาสดีที่จะให้นางแสดงความจริงใจ


เมื่อใช้สายตาส่งทั่วป๋าอวิ๋นจีออกไปจนลับตา ฉู่สวินหยางก็ไม่อยู่ตรงนี้ต่อ หันตัวพาอิ้งจื่อกลับไปทันที


วันนี้ทั้งวัน จวนอ๋องหนานเอ๋อ จวนซูและทั่วป๋าไหวอันต่างก็โกลาหลชุลมุนไปหมด ไม่มีใครสังเกตเห็นร่องรอยของฉู่สวินหยาง แต่ทางฟากจวนอ๋องหนานเหอนั้นกลับพลิกแผ่นดินหาฉู่ฉีเหยียนตลอดทั้งวัน


แค่ซื่อจื่อท่านนี้ที่จะทำอะไรเป็นเหตุเป็นผลมาแต่ไหนแต่ไรกลับมีท่าทีผิดแปลกไป ไม่โผล่หน้ามาตลอดวัน กระทั้งยามสองเกิงหลี่หลินจึงพยุงกลับจวนอ๋องด้วยสภาพมอมเมา เมื่อเข้าประตูก็ล้มหัวลงนอนอย่างไร้สติ


ประตูเรือนมีสุขค่อยๆ ปิดลงอยู่ด้านหลัง ฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวินยืนเคียงไหล่กันชั่วครู่ ก่อนจะหันไปจูงม้าเดินทอดน่องเลี้ยงเข้าไปในตรอกถนนข้างๆ


พวกอิ้งจื่อและชิงหลัวไหวพริบดีจึงไม่ตามมา


เมื่อเดินไปได้พักหนึ่ง เหยียนหลิงจวินก็หยุดฝีเท้า ยกมือวางบนไหล่ของฉู่สวินหยางและออกแรงดึงมาหาตัว อีกมือก็ดึงเอวนางให้เข้ามาในอ้อมกอด


——————————————————————–


บทที่ 93 แย่งของที่เขารัก ยึดครองทั้งแผ่นดิน (1)

โดย

Ink Stone_Romance

เหยียนหลิงจวินท่าทางกระฉับกระเฉง เผด็จการ เขาใช้แรงมากเสียจนยากที่จะขัดขืน เหมือนกำลังกลัวว่าระหว่างที่เขาดึงนางมากอดจะช้าจะเร็วก็ต้องโดนฉู่สวินหยางผลักออกเสียอย่างนั้น


เมื่อออกแรง ไม่นานหญิงสาวก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด


ฉู่สวินหยางยืนเงียบกริบอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าก็แทบจะแนบติดกับหน้าอกของเขาอยู่แล้ว


เหยียนหลิงจวินใจกระวนกระวาย ทำใจเตรียมจะโดนนางขัดขืนผลักออกอยู่ตลอด แม้ท่าทีจะมั่นคง แต่ในอกกลับเต้นรัวขึ้นอย่างน่าประหลาด


เมื่อเขาลองหยั่งเชิงไปได้สักพัก ฉู่สวินหยางกลับไม่มีท่าทีโต้ตอบใดๆ


เนื่องด้วยไม่รู้ว่านางนึกคิดอย่างไร เหยียนหลิงจวินจึงยังไม่กล้าจะวางใจ เลยกระแอมคอถามหยั่งเชิงดู “ซินเป่า หลายวันนี้ เจ้ายังโกรธข้าอีกหรือ?”


คำพูดของเขาทั้งกดดันและตื่นเต้น


ในยามเดียวกับที่เอ่ยพูด ในใจเขาก็รีบคำนวณว่าต่อไปควรจะเผชิญหน้ากับคำถามและอารมณ์ของนางอย่างไร


“โกรธพอแล้ว!” ฉู่สวินหยางเอ่ยสารภาพและเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ในอ้อมอกของเขา


เหยียนหลิงจวินมองต่ำอย่างตกใจ


ทั้งสองคนสบตากัน


ฉู่สวินหยางสบสายตาของเขา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ตอนนี้…ไม่โกรธแล้ว”


ก้อนหินในใจเหมือนตกลงสู่พื้น แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความหนักหน่วงจนหมดอยู่ดี ในใจเหยียนหลิงจวินยังคงกลัดกลุ้ม…


บทที่เขาคิดเตรียมจะพูดกับนางจนปวดสมองนับครั้งไม่ถ้วนในหลายวันนี้เหมือนกับกลับไปอัดแน่นอยู่ในใจ เกือบจะกลายเป็นแผลช้ำในของเขาแล้ว


ชั่วพริบตานั้น จู่ๆเขาเหมือนได้ปลดปล่อย ยิ้มทั้งน้ำตา


ฉู่สวินหยางก้มตาลงต่ำยืนอยู่ตรงหน้าเขา ไม่มีท่าทีว่าจะหลบหลีกหรือผลักเขาออกแต่อย่างใด


ดวงตาของนางก้มต่ำลงไปอีกครั้ง นิ้วมือคลำเล่นผ้าต่วนตรงคอเสื้อคลุมของตน ท่าทีสบายอกสบายใจ ไม่มีร่องรอยครึ้มฟ้าครึ้มฝนแต่อย่างใด…


ในที่สุดเหยียนหลินจวินก็ปักใจเชื่อว่านี่คือฟ้าหลังฝนไปแล้ว


อารมณ์ของนางเกรี้ยวกราดมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้กลับสงบลงอย่างคาดไม่ถึงกว่าเดิม แต่เมื่อเห็นหญิงสาวมีอารมณ์ไม่เหมือนเดิมก็ใช่ว่าจะมิใช่เรื่องดี


ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เหยียนหลิงจวินก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก


เงียบได้พักใหญ่ สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องพูดให้รู้เรื่อง จึงหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “เรื่องซูอี้ ข้ามิได้มีเจตนาร้าย และก็ไม่ได้จงใจปิดบังเจ้า เพียงแค่…ตอนนั้นสถานการณ์ของเขาพิเศษเล็กน้อย ข้าจำต้องถามความเห็นจากเขาก่อนจึงจะสารภาพเรื่องนี้กับเจ้าได้”


เหยียนหลิงจวินพูดอย่างรีบร้อน ราวกับกลัวว่าหากเขาช้ากว่านี้จะทำให้นางสงสัยและไม่มีความสุข


แต่ฉู่สวินหยางกลับให้ความร่วมมือดี ยืนฟังอย่างเงียบๆ ตลอด รอจนเขาเอ่ยจบจึงค่อยๆ เหลือบไปจ้องตาเขา “แล้วอย่างไร?”


“ความสัมพันธ์ของซูอี้กับคนตระกูลซูไม่ดีนัก แต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาคนเดียว ข้ารับรองได้ ต่อไปไม่ว่าเขาทำอะไร จะไม่เป็นศัตรูกับเจ้าแน่นอน” เหยียนหลิงจวินเอ่ยพลางยกมือปัดปอยผมบนหน้าและจ้องตานาง ก่อนจะเอ่ยด้วยถ้อยคำชัดเจน “ซินเป่า เจ้าเชื่อข้า อย่างน้อยข้าก็ไม่มีวันทำร้ายเจ้า และไม่ยอมให้เรื่องที่เป็นภัยกับเจ้าเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”


ในตอนข้างขึ้น สีดวงจันทร์บนท้องฟ้ามีแค่เสี้ยวโค้งเล็กๆ ไม่น่ามองเท่าไหร่นัก


ตรอกนี้เป็นถนนกว้างโล่ง คับแคบและเหยียดยาว


สองคนหนึ่งม้ายืนอยู่ที่นี่ก็พอที่จะปิดตายถนนทั้งเส้นแล้ว


ในระยะห่างเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ ลมปราณของทั้งสองใกล้เพียงเอื้อม บรรยากาศเงียบสนิท เสียงเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ ได้ยินชัดเจนขึ้น


ในสถานการณ์เช่นนี้ หากจะแต่งเรื่องเท็จขึ้นมาก็คงหลอกเสียงเต้นของหัวใจตนเองมิได้


เวลาที่ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันนับว่าไม่มาก ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเจอกันนับครั้งได้ แต่ก็ยังมีความจริงใจที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างน่าประหลาด กลายเป็นฉากป้องกันอ่อนๆ ที่รัดเร้าอยู่ในใจ


ไม่ว่าปัดอย่างไรก็ปัดไม่ออก เหมือนกับยอมโดนรัดพันหายไปในกลีบเมฆจนตายเสียอย่างนั้น


“เหยียนหลิง…” หลังเงียบไปได้สักพัก ฉู่สวินหยางจึงเอ่ยเสียงต่ำ สายตาของนางค่อยๆ เคลื่อนไปทีละน้อย และหยุดอยู่ที่หน้าของเหยียนหลิงจวิน สายตาที่นางมองเขาเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน “พูดตามตรง ข้า…ไม่ไว้ใจเจ้า!”


หากเป็นจริงอย่างที่เหยียนหลิงจวินเอ่ยเมื่อครู่ ซูอี้ก็แค่ไม่ถูกชะตากับตระกูลของตัวเอง เช่นนั้นเขาก็ยึดอำนาจทหารเรือของตระกูลซูก็พอแล้ว หาต้องคิดวิธีเอาชนะเมืองฉู่ซ้ำแล้วซ้ำแล้วไม่


ตราบจนยามนี้มีเพียงข้ออธิบายเดียวเท่านั้น…


ยามนั้น…


เขาทำเพราะเหยียนหลิงจวินจริงๆ!


หาใช่เพราะซูอี้อยากได้กำลังทหารของเมืองฉู่เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนไม่ แต่เป็นเพราะเหยียนหลิงจวินต้องการควบคุมจุดเชื่อมเพียงจุดเดียวระหว่างเมืองซีเยว่และเมืองหนานฮวา!


เขาเป็นคนหนานฮวา แผนการเช่นนี้แค่คิดก็น่าขนลุกแล้ว


ถ้าคิดขึ้นมาจริงๆ ในใจฉู่สวินหยางก็รู้ดี ค่ำวันนั้นยามที่จู่ๆ นางก็รู้ความสัมพันธ์ของเหยียนหลิงจวินและซูอี้ ที่นางโกรธหาใช่เขาไม่ และก็ไม่ใช่เพราะเขาปิดบังตัวตนของซูอี้ แต่นางโกรธการรู้ที่กะทันหันของนาง รวมถึง…


ความจริงที่ปิดไม่ให้ใครรู้!


ในโลกใบนี้ทุกคนล้วนแต่มีความอึดอัดใจและความลับ นางไม่มีเหตุผลจะไปดุด่าที่เหยียนหลิงจวินปิดบัง อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้รับรู้ทุกเรื่องของเขาอยู่แล้ว แต่ว่า…


เรื่องราวต่างๆ นานาเมื่อชาติปางก่อน สิ่งที่เขากระทำได้กลายเป็นหนามทิ่มแทงอยู่ในใจนาง


ฉู่สวินหยางตระหนักเรื่องชาติกำเนิดของเขาขึ้นใจ เหยียนหลิงจวินก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนี่เป็นปัญหาที่เด่นชัดระหว่างทั้งสองมาก เขาเองก็เตรียมตัวไว้บ้างแล้วว่าสักวันหนึ่ง นางจะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาคุยต่อหน้า


“ความจริงช่วงก่อนหน้านี้ข้าก็อยากหาโอกาสคุยกับเจ้า เดิมข้าก็อยากบอกเจ้า ขอเพียงเจ้ายินยอม ข้าจะอยู่ในฐานะนี้กับเจ้าที่นี่ตลอดไป” น้ำเสียงของเหยียนหลิงจวินราบเรียบ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงต่ำสูง


สายตาสับสนของฉู่สวินหยางสังเกตเห็นเด่นชัด…


เห็นชัดว่านางเหมือนไม่ค่อยอยากจะพูดถึงประเด็นนี้เท่าไหร่


สิ่งนี้ทำให้เหยียนหลิงจวินสบายใจขึ้นบ้าง


“ในเมื่อเจ้าอยากจะรู้จริงๆ ข้าก็จะบอกเจ้า” เหยียนหลิงจวินเอ่ย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกลัดกลุ้มและจนปัญญาปนๆ กันไป แต่เมื่อพูดเช่นนี้ออกไปก็ไม่ลังเลอีก “หลายวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อและพี่ชายของเจ้า หรือว่าฝ่าบาทที่อยู่เบื้องบนกับพวกฉู่ฉีเหยียนนั่น พวกเขาแอบสืบประวัติของข้าตลอดอย่างไม่ยอมลดละ หากเป็นผู้อื่นก็ช่างเถิด คนในวังบูรพาของเจ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ใช่…เหตุการณ์ทหารหนานฮวานั้นเกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ และในยามที่เจ้าพบข้าที่ลานต้นกกนั้นข้าเพิ่งได้ข่าวมาพอดี…”


เช่นนี้นี่เอง เหยียนหลิงจวินเป็นตัวการสำคัญที่เปลี่ยนเรื่องราวของทหารหนานฮวาทั้งสองภพสองชาติ!


แม้จะรู้แต่แรกแล้วว่าผลจะเป็นเช่นนี้ แต่ยามที่ได้ยินเขาพูดออกจากปากของเขาเอง ฉู่สวินหยางก็ยังอดไม่ได้ที่จะขวัญผวาอยู่ดี


“ช่างเถิด!” เหมือนว่าออกมาจากสัญชาตญาณ จู่ๆ นางก็แนบกายไปด้านหน้า ยกมือปิดปากเขาไว้


ราตรีที่หนาวเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาอยู่ในฝ่ามือของนาง


เสียงของเหยียนหลิงจวินหยุดลงในทันที และเหลือบตามองนางอย่างไม่เข้าใจ


“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” ฉู่สวินหยางยิ้มและเคลื่อนสายตาไปทางข้างๆ ก่อนจะเอ่ยกลบเกลื่อนว่า “ยามนี้ศึกทั้งสองเมืองยังไม่สงบ สิ่งที่เจ้าคิดก่อนหน้านั้นถูกต้องทั้งหมด การรู้มากเกินไปสำหรับข้าไม่แน่อาจจะกลายเป็นภาระ ฉะนั้นวันนี้เจ้าก็คิดว่าข้าไม่ได้ถามอะไรเถิด ดังที่เจ้าปรารถนา ข้ารู้จักเพียงใต้เท้าเหยียนหลิง หัวหน้าสำนักหมอหลวงที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าในเวลานี้ เจ้าอยากใช้ฐานะนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร”


ฉู่สวินหยางเอ่ยจบก็ถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย ก่อนจะหันตัวจะกลับไป


“ซินเป่า…” ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับไม่ปล่อยแขนที่ทาบทับอยู่ตรงเอวนาง ขมวดคิ้วและมองใบหน้าของนางอย่างลุ่มลึก


“คำที่เจ้าพูด ข้าเชื่อทั้งหมด!” ฉู่สวินหยางเงยหน้าอย่างเสียมิได้ ไม่รอให้เขาปริปากก็เอ่ยพูดขึ้นมา แต่พูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เคลื่อนสายตาออกจากใบหน้าเขาอีกครั้ง มองไปยังสีท้องฟ้าที่มืดเทา “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจน ข้าไม่กลัวว่าเจ้าจะโกหกข้า และก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะมีใจคิดวางแผนทำร้ายข้าหรือหลอกข้าแต่อย่างใด แต่เรื่องทั้งหมดนี้ต้องมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง…นั่นก็คือ ไม่ว่าใคร และไม่ว่าจะวางแผนทำร้ายแบบใด ก็ขอจงอย่าได้ทำอันตรายไปถึงท่านพ่อและพี่ชายของข้า นี่เป็นเส้นตายของข้า เหยียนหลิง ตอนนี้ เจ้ารับรองกับข้าได้หรือไม่ หากมีวันหนึ่ง…”


ที่พูดปาวๆ ว่าไว้ใจนั้น มันขัดแย้งกันตั้งแต่ต้นแล้ว


เขาไม่เคยคิดอยากจะแทนที่ท่านพ่อและพี่ชายในใจของนาง แต่ยามนี้เมื่อได้ยินนางป่าวประกาศคุณค่าของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อนาง เหยียนหลิงจวินก็ยังรู้สึกว่าใจร่วงหล่นลงไปทันใด ราวกับตกลงไปในหุบเขาลึกก็มิปาน ความอึดอัดเดือนพล่านไปทั่วอณูหัวใจ


“ซินเป่า…” เขาเอ่ยพลางใช้นิ้วลูบเค้าหน้าของนาง แต่แม้ความอดทนจะถึงจุดสูงสุดแล้ว น้ำเสียงก็ยังแฝงด้วยเจ็บปวดอยู่ดี “แม้เรื่องเช่นนี้จะไม่มีทางเกิด แต่เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าพูดเช่นนี้โหดร้ายกับข้าเกินไปหรือ?”


เขาทุ่มเทความรักให้นางตลอด แม้จะไม่เคยหวังให้นางตอบแทนใดๆ แต่ยังไงนางก็ไม่ควรระแวดระวังเขาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้หรอกกระมัง?

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม