ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 91.3-92.4

ตอนที่ 91-3 เขากวางอ่อนลดปวดรอบเดือน...

 

 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นใช้สายตาส่งท่านย่าออกจากห้องโถงก่อน แล้วค่อยย่องตามไป


 


 


เห็นเพียงหวงน้าสี่พยุงถงฮูหยินเดินเลี้ยวตรงมุมนอกชาน แล้วก็หยุดยืน พูดกับหัวหน้าบ่าวคนเก่าแก่เมื่อครู่ คล้ายกำลังตำหนิติเตียน


 


 


“มีอย่างที่ไหน กลางวันแสกๆ ก็ยัง…แม้แต่ข้าวก็ไม่มากิน เมื่อกี๊พอเจ้าพูดให้ฟัง ข้ายังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เกรงว่าลูกหลานที่นั่งกินข้าวอยู่บนโต๊ะได้ยินแล้ว เจ้ารองจะขายหน้า พวกเจ้าเป็นบ่าวทั้งที และเป็นบ่าวข้างกายเจ้ารองมานานหลายปี ต้องเตือนสตินายหน่อยว่า ต่อไปอย่าทำตามอารมณ์เช่นนี้อีก นายเจ้าเป็นถึงขุนนางแล้ว ไม่ใช่หนุ่มน้อยอายุสิบยี่สิบที่ร่างกายแข็งแรงอีก”


 


 


บ่าวอาวุโสมีสีหน้าอึดอัดใจ คอตกพลางว่า “ผู้อาวุโส เรื่องแบบนี้ เราเป็นบ่าว พูดไปก็ไม่ดี”


 


 


ถงฮูหยินคิดๆ ดูก็ใช่ จึงไม่ตำหนิเขาอีก สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ซับซ้อนเหลือคณา สักพักค่อยถอนหายใจออกมา “แล้วตอนนี้นายเจ้าดีขึ้นหรือยัง”


 


 


“ดีขึ้นบ้างแล้วขอรับ ไม่เป็นไรแล้ว ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วง” หัวหน้าบ่าวตอบ


 


 


แต่ถงฮูหยินยังคงขมวดคิ้วแน่น พลางโบกมือ


 


 


“เอาล่ะๆ ไปดูแลนายเจ้าเถิด ไว้ข้าว่างค่อยไปพูดกับเขาเอง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันหลังออก รีบเดินกลับเรือนหยิงฝู ระหว่างทางก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และก็เป็นไปตามคาด พอกลับถึงเรือนได้ไม่นาน ชูซย่าก็กลับจากการไปสอบถามพวกบ่าวมา จึงเล่าเรื่องในวันนี้ที่อนุฟางทะเลาะกับคนฆ่าหมู ไปจนถึงเรื่องหลังจากที่นายท่านกลับเรือนให้ฟัง โดยแม้แต่สาวใช้ที่ยังไม่ได้ออกเรือน พอพูดถึงช่วงท้ายๆ ก็ยิ่งหน้าแดง


 


 


“…ได้ยินว่า พอนายท่านถูกอนุฟางทำให้โกรธจนเดินหน้าบูดกลับเรือนได้ไม่นาน ก็ปิดประตูห้อง อยู่กับเหลียนเหนียง แต่ยังไม่จบ ตลอดช่วงเย็นนายท่านไม่ได้ออกจากห้อง พอฟ้ามืดหัวหน้าบ่าวไปเรียก นายท่านก็บอกแต่เพียงว่าปวดเอว ลุกจากเตียงไม่ได้…และมีเหลียนเหนียงคอยปรนนิบัติอยู่ บ่าวในเรือนหลักแต่ละคนก็ปิดปากเงียบไม่พูด วุ่นอยู่กับการเตรียมผ้าขนหนูร้อนๆ กับไปเอากอเอี๊ยะมาแปะให้ เหตุนี้นายท่านจึงไม่ได้ไปทานข้าวด้วย! เฮอะ เหลียนเหนียงนั่นก็ไร้ยางอายซะจริง คุณหนูใหญ่ตาแหลมมากเจ้าค่ะ คนดูจากภายนอกไม่ได้ นิสัยชอบยั่วยวนทั้งกลางวันแสกๆ จนนายท่าน…ได้ยินว่าตอนอนุฟางมีปากเสียงกับคนฆ่าหมู เหลียนเหนียงก็ยืนดูอยู่ด้วย น่าจะเป็นนางนี่ล่ะที่บอกให้นายท่านออกไปดู เสแสร้งเก่งแบบนี้ จิตใจก็ชั่วพอควรทีเดียว!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่า ช้าเร็วอย่างไรเหลียนเหนียงก็ต้องมีอะไรกับอวิ๋นเสวียนฉั่ง เพียงแต่ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ และยังเป็นตอนกลางวันอีก เกิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ มิน่าเล่า ท่านย่าถึงได้หน้าเสียแบบนั้น ที่แท้ก็พูดไม่ออกนี่เอง


 


 


เมื่อชาติที่แล้ว เหลียนเหนียงเคยเป็นคนโปรดอยู่ระยะหนึ่ง ถือว่าฉลาด สุขุม อยู่เงียบๆ ไม่แย่งชิงกับใคร


 


 


แต่ชาตินี้ นางออกตัวแรงมาก อยู่ด้วยกันกับนายกลางวันแสกๆ ก็สามารถทำให้นายปวดเอวแล้ว ยังทำให้เรื่องนี้


 


 


รู้กันไปทั้งบ้านอีก ท่านย่าก็ไม่ชอบใจ กลับไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่พูดอะไรมาก แต่พอพูดถึงคนฆ่าหมู ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามเมี่ยวเอ๋อร์


 


 


“เนื้อสัตว์สี่ชนิดสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านเตรียมครบแล้วหรือยัง”


 


 


“ครบแล้วเจ้าค่ะ” สองสามวันมานี้ เมี่ยวเอ๋อร์วิ่งวุ่นช่วยเตรียมงานเลี้ยงอยู่นอกบ้าน จึงรายงานคุณหนูใหญ่ต่อ “เช้านี้นายจางคนฆ่าหมูเอาเนื้อหมูมาแล้ว ส่วนเนื้อแพะทั้งหมด ร้านเต๋อซิ่งก็เพิ่งส่งมา”


 


 


ร้านเต๋อซิ่งเป็นร้านอาหารเปิบพิศดารที่ใหญ่สุดในเมืองหลวง มีทั้งอาหารทะเล อาหารป่า อาหารพื้นบ้าน มีทุกอย่าง ร้านสั่งเนื้อวัวและเนื้อแพะมาจากทางเหนือ เอามาแล่เนื้อเถือหนังเป็นชิ้นๆ ปรุงเป็นกับข้าวขายในร้านและส่งไปตามที่ต่างๆ อย่างธุรกิจครบวงจร ซึ่งลูกค้าประจำที่ไปมาหาสู่กันเสมอ นอกจากคนในเมืองหลวงแล้ว ก็ยังมีคนต่างถิ่นและคนในวังอีก ชื่อเสียงจึงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า แต่เมี่ยวเอ๋อร์ยังพูดไม่จบ กลับก้มหน้า ทำท่าลับๆ ล่อๆ


 


 


“นอกจากเนื้อแพะแล้ว บ่าวยังนำของบางอย่างมาจากร้านเต๋อซิ่งด้วย” ว่าแล้วก็นำโถกระเบื้องเคลือบเก็บความร้อนลายดอกไม้สีน้ำเงินออกมา


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ขยับหมวก ก่อนเปิดฝาโถ ไอร้อนสีขาวลอยอ้อยอิ่ง เป็นน้ำแกงชามหนึ่ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นได้กลิ่นเผ็ดร้อนสามส่วน กลิ่นหอมๆ เค็มๆ อีกเจ็ดส่วน มีกลิ่นยาจีนนิดหน่อย ไม่ฉุนมาก รวมแล้วหอมหวาน พอใช้ช้อนคน น้ำแกงก็ยิ่งเข้มข้นกลมกล่อม เห็นพุทราแดง โสมขนาดเล็ก พริกไทย และม้าน้ำ ลอยอยู่ด้านบน อีกทั้งยังมีเขากวางอ่อนที่หั่นบางๆ จำนวนหนึ่งด้วย


 


 


เขากวางอ่อน? เขาอ่อนบนหัวของกวางซีกาที่ยังไม่ทันยาว เป็นยาจีนบำรุงร่างกายที่ได้ผลชะงัดสุด ทว่าแม้ได้ผลดี แต่ราคาย่อมแพงตาม โดยเฉพาะกวางซีกามีแหล่งกำเนิดอยู่ในป่าเขาลึก ชานเมืองหลวงจึงมีกวางซีกาเพียงไม่กี่ตัว


 


 


เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ ผู้ที่ทานได้จึงมีไม่มากนัก ต่อให้ฮ่องเต้อยากเสวยแบบสดๆ ก็ต้องขนส่งมาจากชานเมือง ร้านเต๋อซิ่งเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบหายากที่ใช้สำหรับงานเลี้ยงหรูหรา แต่เนื่องจากเขากวางอ่อนราคาแพง เป็นของหายาก ในแต่ละปีเมืองหลวงนำเข้าไม่มาก อย่างน้อยต้องสั่งจองล่วงหน้าก่อนหนึ่งเดือน หลังจากได้รับเขากวางอ่อนสดๆ แล้ว ร้านเต๋อซิ่งก็จะทำการล้าง ตากให้แห้ง และนำมาปรุงอาหาร


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าเอามาจากที่ไหน” อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึง


 


 


“ผู้จัดการร้านเต๋อซิ่งให้บ่าวมา บอกว่ามีคนสั่งไว้นานแล้ว ให้ทำเป็นน้ำแกงเขากวางม้าน้ำ และทางร้านก็เพิ่งทำเสร็จสดๆ ร้อนๆ วันนี้บ่าวไปพอดี เขาจึงตักมาให้”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก และพูดอย่างไม่เกรงใจอีก


 


 


“คนสั่งทำฝากผู้จัดการบอกคุณหนูใหญ่ด้วยว่า เข้าหน้าหนาวแล้วต้องบำรุงร่างกายหน่อย และเป็นช่วงที่ทานแล้วได้ผลดีที่สุด เขากวางอ่อนช่วยลดปวดประจำเดือนของผู้หญิง ช่วงนี้ถ้าดื่มอย่างต่อเนื่องตามสูตรยา ปีหน้าอาการเดิมๆ ก็จะไม่กำเริบอีก โถนี้ดื่มได้ราวสามวัน รอให้คุณหนูใหญ่ดื่มหมดแล้ว บ่าวค่อยไปเอามาให้ใหม่ แต่ บ่าวกลับแปลกใจว่า ใครกันหนอ ที่รู้กระทั่งอาการเดิมๆ ของคุณหนูใหญ่…”


 


 


ว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจ เห็นชัดว่าแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้


 


 


พอชูซย่าได้ยิน ก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร ทีแรกนางมักรู้สึกว่าบุรุษในราชวงศ์ไม่มีใครไม่เจ้าชู้ และพอเห็นคุณหนูใหญ่ไปมาหาสู่กับฉินอ๋องแบบไม่เปิดเผย ตั้งแต่งานเลี้ยงที่จวนโหว นางก็พยายามห้ามปราม คืนที่ฉินอ๋องนำรถม้ามารับคุณหนูใหญ่ไปฉลองเทศกาลเริ่มฤดูหนาว นางก็กระวนกระวายใจอยู่ครึ่งค่อนคืน กลัวว่าคุณหนูใหญ่จะถูกหลอก ถูกคนอื่นหลอกยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าถูกอ๋องหลอกฟัน เกรงว่าคงไม่มีแม้โอกาสเรียกร้องความเป็นธรรม ทว่าตอนนี้ พอเห็นฉินอ๋องเอาใจใส่คุณหนูใหญ่ นางก็เริ่มใจอ่อน คลายใจลงได้บ้าง


 


 


กลัวก็แต่คุณหนูใหญ่จะอึดอัดใจ จึงชายตามองไปหลายตลบ เมี่ยวเอ๋อร์ค่อยเก็บรอยยิ้ม หัวเราะหึๆ ก่อนเทน้ำแกงใส่ชาม ยื่นให้อวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าคิดเห็นไม่เหมือนกัน ชูซย่าเคยเห็นฉินอ๋องจากระยะไกลในงานเลี้ยงที่จวนโหวแค่ครั้งเดียว ต่อมาก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีก ฉินอ๋องสำหรับนางจึงเป็นเพียงจินตนาการส่วนตัว แต่เมี่ยวเอ๋อร์ติดตามอยู่ข้างกายคุณหนูใหญ่ เคยเห็นฉินอ๋องหลายครั้งแล้ว แถมยังเคยพูดคุยกับเขาด้วย พอจะรู้บ้างว่าเขาเป็นคนอย่างไร จึงมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิด เช่นนี้อย่างน้อยเขาก็ต้องไปสั่งจองที่ร้านเต๋อซิ่งก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน คำนวณดูคร่าวๆ ก็น่าจะเป็นช่วงหลังกลับจากหมู่บ้านสกุลเกา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นใช้ช้อนตักน้ำแกงร้อนๆ ขึ้น โดยหันข้างให้ทั้งสอง จะได้มองไม่เห็นสายตาที่ชูซย่ามองเมี่ยวเอ๋อร์ จากนั้นก็ค่อยๆ ทานลงท้องไป


 


 


ตอนนี้นางไม่สนใจว่าคนจะคิดอย่างไร ด้วยน้ำแกงตุ๋นได้อร่อยมาก…ถ้าไม่ทานก็เสียของเปล่า!


 


 


 


 


ด้านเหลียนเหนียง พอเปิดตัวได้ไม่กี่วัน ก็ถูกอวิ๋นเสวียนฉั่งรับเข้าห้อง จัดให้อยู่ที่เรือนหลังเล็ก แล้วเลื่อนให้เป็นอนุ จัดสาวใช้ให้คอยรับใช้ข้างกายคนหนึ่งชื่อพี่ตง เรือนหลังเล็กอยู่หลังเรือนหลัก ซึ่งเดิมทีก็คือห้องหนังสือของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ส่วนชื่อเรือนเจี่ยวเย่ว์ที่สลักไว้บนประตู เขาก็คนตั้งให้เอง ต่อมาพอย้ายหนังสือมาที่เรือนหลักจนหมด เรือนเล็กก็ถูกต่อเติมให้กว้างขวางขึ้น


 


 


ตอนเหลียนเหนียงย้ายเข้าเรือนหลังเล็ก บ่าวในบ้านก็ล้วนประหลาดใจ ด้วยก่อนหน้านี้ต่างเห็นว่านางเป็นคนเงียบๆ หงิมๆ ไหนเลยจะรู้ว่านายท่านชอบแบบนี้ โดยถึงกับข้ามขั้นนางบำเรอ เลื่อนเป็นอนุโดยตรง


 


 


และพอเหลียนเหนียงเข้ามาอยู่ในเรือนเจี่ยวเย่ว์ บ่าวหลายคนก็เข้ามาประจบประแจง เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีด้วย ซึ่งเหลียนเหนียงก็ไม่มีท่าทีเย่อหยิ่งแต่อย่างใด เพียงยิ้มพลาง…ตอบรับ เห็นใครดีใจ นางยังให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือไปด้วย ไม่เหมือนอนุฟางที่พอมีบารมีหน่อย ก็ลืมตัว


 


 


ส่วนถงฮูหยิน มีอคติกับเหลียนเหนียงนิดหน่อย ที่วันแรกทำให้ลูกชายเสียท่า ด้วยกังวลว่าการหลงไหลผู้หญิงอาจทำให้เสียผู้เสียคน แต่พอคิดว่าหลังบ้านมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง โอกาสที่จะมีทายาทก็เพิ่มตาม สุดท้ายนางจึงชอบใจ กลับเป็นอนุฟาง ที่พอได้ยินว่านายท่านยอมรับเหลียนเหนียงอย่างเปิดเผย ก็โอดครวญ


 


 


อย่างโกรธแค้น ต่อมาพอได้ยินอีกว่า เหลียนเหนียงได้เลื่อนเป็นอนุ ได้อยู่ในเรือนเจี่ยวเย่ว์ คิดเสียใจก็ไม่ทันการ


 


 


แล้ว จึงเดินไปเดินมาในห้องพลางถอนหายใจไม่หยุด เสียดายที่วันนั้นถ้าตนตรงไปหาท่านพี่ นางไหนเลยจะมีโอกาสยั่วยวนท่านพี่! 


 


 


พอสาวใช้เห็นอนุฟางเดือดดาล ก็อดไม่ได้ที่จะคิดในใจ เป็นเพราะเหลียนเหนียงซุ่มอยู่ข้างกายนายท่านคอยหาโอกาสตลอด บวกกับนิสัยของตัวท่านเองนั่นล่ะ ที่มักปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ จะช้าจะเร็ว นายท่านก็ต้องรับนางไว้อยู่ดี

 

 

 


ตอนที่ 91-4 เขากวางอ่อนลดปวดรอบเดือน...

 

วันแรกที่เหลียนเหนียงได้เลื่อนเป็นอนุ ก็เข้าคารวะถงฮูหยินแต่เช้าตรู่ แล้วค่อยย้อนกลับไปคารวะอนุฟางที่เรือนชุนจี้


 


 


อนุฟางนั่งเบื่อๆ อยู่ในเรือน จึงนำงานเย็บปักถักร้อยมาทำ ขณะปักไปได้ครึ่งหนึ่งและเงยหน้าขึ้น ก็ตกใจ ไม่คิดว่าเหลียนเหนียงจะมา


 


 


พอเห็นว่าหมู่นี้ความสดชื่นทำให้เหลียนเหนียงดูอวบอิ่ม เย้ายวนดุจดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น บุคลิกของเด็กสาวจางหาย มีท่าทีค่อนไปทางหญิงสาวมากกว่า จึงรู้สึกริษยาและคับแค้นใจ อนุฟางอยากตบนางในพริบตา แต่ก็ทำไม่ได้ ทว่าถ้าไม่ตบ ก็ไม่สบายใจ จึงได้แต่ถือเข็มปักผ้านั่งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ครึ่งค่อนวัน


 


 


เหลียนเหนียงกลอกตาไปมา กลับก้าวเข้าหา เรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านพี่” แล้วจึงหยิบผ้าปักขึงสะดึงที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพิจารณา ยิ้มพลางว่า


 


 


“โอ้ ท่านพี่ปักเสร็จแล้วนี่ ปักดอกอะไรน๊า สวยจริงๆ เลย ฝีมือของท่านพี่ปราณีตมาก ไม่ทราบว่าพอจะมอบให้น้องได้ไหม”


 


 


อย่าตีคนกำลังยิ้ม เหลียนเหนียงแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ คำก็ท่านพี่ สองคำก็ท่านพี่ ต่อให้อนุฟางไม่พอใจแค่ไหน ก็ตบนางไม่ลง อย่าว่าแต่นางยังสดใหม่ เป็นสุดที่รักของท่านพี่ จึงได้แต่ตอบอย่างเกียจคร้าน


 


 


“ฝีมือปราณีตจะมีประโยชน์อะไร เจ้าสิ ตอนนี้ไม่ว่าจะปักอะไร ท่านพี่ก็ชอบอย่างสุดหัวใจ ส่วนข้าซีซั๊วปักดอกไม้ใบหญ้า ก็เข้าตาเจ้าเนี่ยนะ ถ้าชอบก็เอาไปเถิด”


 


 


เหลียนเหนียงจึงส่งสะดึงให้พี่ตง บอกให้นางเก็บไว้ให้ดี ก่อนหันมายิ้ม แล้วว่า


 


 


“ท่านพี่มอบของขวัญให้น้อง น้องก็ต้องตอบแทนท่านพี่” นางสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมผืนงามออกมาผืนหนึ่ง จับผ้าไว้สองมือแล้วยื่นให้


 


 


“ตอนเหลียนเหนียงอยู่ที่หอหย่าจื้อช่วยป้าหลิวทำงานพิเศษ ได้ค่าแรงเป็นสิ่งของมา ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมผืนนี้เนื้อดีมาก มอบให้ท่านพี่เหมาะสมยิ่ง โดยเฉพาะลวดลายบนผ้า เหลียนเหนียงรู้สึกว่าแทนใจตัวเองที่มีต่อท่านพี่ได้เป็นอย่างดี วันนี้จึงนำมามอบให้”


 


 


อนุฟางมองดูผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมพิมพ์ลายดอกไม้พี่น้องที่มีก้านดอกติดต่อกัน ดอกไม้สองดอกงอกขึ้นจากรากเหง้าที่แข็งแรงเดียวกัน เหลียนเหนียงกำลังประจบประแจงว่า เราสองคนมาจากก้านเดียวกัน เติบโตขึ้นจากรากเดียวกัน ต่อไปก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน


 


 


อนุฟางหัวเราะเบาๆ โดยไม่รู้ตัว อย่างไรตนก็เป็นผู้อาวุโสของบ้านสกุลอวิ๋น เป็นสาวใช้ข้างกายของฮูหยินใหญ่ สวี่ฮูหยินเป็นผู้มอบตนให้กับท่านพี่ด้วยตัวนางเอง ซึ่งต่างจากอนุที่ซื้อเข้ามา ต่อให้เหลียนเหนียงเป็นคนโปรด อย่างไรก็คือคนใหม่ ที่มาจากสมาคมม้าผอม จะข้ามหัวตนไปได้อย่างไร นับว่ารู้จักดูตาม้าตาเรือ รู้จักมารยาทอยู่บ้าง กลัวว่าจะล่วงเกินตนเอง


 


 


อนุฟางเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ จิตใจที่คิดตั้งตนเป็นศัตรูกับเหลียนเหนียงลดลงไปกว่าครึ่ง จึงพูดช้าๆ


 


 


“เอาล่ะ น้ำใจของเจ้าเข้ารู้แล้ว”


 


 


เหลียนเหนียงแสดงความดีใจออกมา น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้น “ดีจังท่านพี่”


 


 


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินมาว่า เหลียนเหนียงอยู่เป็น นางสามารถทำให้ไฟแค้นในใจของอนุฟางดับมอดลง โดยอนุฟางไม่เพียงไม่เล่นงานนาง ยังรับของขวัญจากนางไว้อีก ปกติเวลาเจอหน้ากันทั้งสองก็จะเรียกพี่เรียกน้อง หัวร่อต่อกระซิกกัน


 


 


เหลียนเหนียง ร้ายกาจกว่าที่ตนคิดหลายเท่า ส่วนอนุฟาง ลูกสาวได้เป็นถึงชายารอง แต่กลับทำตัวเป็นคนโง่งมเสียนี่? ไม่รู้ว่านี่เป็นการเร่งเชื้อไฟให้ยิ่งลุกลามหรือเปล่า


 


 


ส่วนอวิ๋นเสวียนฉั่ง พอได้ยินว่าเหลียนเหนียงไปเยี่ยมคารวะอนุฟาง อีกทั้งยังมอบผ้าเช็ดหน้าดอกไม้คู่จากรากเดียวกันให้ แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพที่ดีต่อกัน ก็ยิ่งชอบอนุคนใหม่คนนี้มากขึ้น ชอบที่นางเข้าใจคน ใจกว้างและรู้จักมารยาท โดยไม่ต้องบอก


 


 


หลังจากมีอนุคนใหม่ เรือนเจี่ยวเย่ว์ก็กลายเป็นเรือนหลักของอวิ๋นเสวียนฉั่งไป เขาค้างคืนที่นี่ทุกคืน ต่อให้งานยุ่งอย่างไร กลับมาก็ไม่ลืมว่าต้องมาหาเหลียนเหนียงก่อน


 


 


เวลาผันผ่าน วันที่อวิ๋นหว่านถงกลับบ้านก็มาถึง


 


 


เนื่องจากเว่ยอ๋องถูกกักบริเวณ การกลับบ้านในครั้งนี้ จึงให้ชายารองอวิ๋นกลับมาคนเดียว


 


 


วันรับกลับบ้าน พอฟ้าสว่าง บ่าวในบ้านสกุลอวิ๋นก็ทำการกวาดพื้นล้างพื้น เปิดประตูต้อนรับแขก


 


 


ราวเจ็ดโมงเช้า อวิ๋นหว่านถงก็นั่งรถม้าของจวนอ๋อง พาขบวนมาที่บ้านสกุลอวิ๋น โดยนอกจากไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องพระแล้ว คนในบ้านทุกคนล้วนยืนรออยู่บนบันไดหน้าประตู


 


 


บ่าวแต่ละคนต่างยืนอยู่ด้านหลังนายของตนอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส บ้างก็หันไปสุมหัวซุบซิบ เดาว่าวันนี้คุณหนูสามจะเริ่ดแค่ไหน ใส่ชุดอะไร แต่งหน้าอย่างไร หรือจะมีท่าทีแบบชายาไปแล้วจริงๆ


 


 


ถงฮูหยินก็ตื่นเต้นมากเช่นเดียวกัน ด้วยบ้านสกุลอวิ๋นยังไม่เคยมีลูกหลานที่ได้ดิบได้ดีขนาดนี้ ได้เป็นถึงชายารอง สะใภ้สกุลซย่าโหวเชียว จึงดีใจจนใจเต้นตึกตัก ฟ้ายังไม่ทันสางก็เด้งตัวตื่น มายืนรออยู่หน้าประตูพร้อมสะใภ้ใหญ่และหลานๆ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องลางานที่กรมกลาโหมครึ่งวัน เพื่อมาต้อนรับชายารองของเว่ยอ๋อง โดยนำอนุฟางกับเหลียนเหนียง และพวกอวิ๋นจิ่นจ้งมายืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู


 


 


ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่น เนื่องจากต้องรับผิดชอบงานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้าน จึงง่วนอยู่ด้านในกับเมี่ยวเอ๋อร์และชูซย่า ยังออกมาไม่ได้ชั่วคราว


 


 


พอได้เวลา ขันทีน้อยก็ขี่ม้ามาแจ้งว่า “ใต้เท้าอวิ๋น ขบวนรถม้าของชายารองมาถึงหัวถนนแล้ว!”


 


 


อีกสักพัก ก็มีคนมาแจ้งว่า “ขบวนรถเข้ามาในถนนแล้ว!”


 


 


จวบจนขบวนรถม้าของจวนเว่ยอ๋องปรากฏ ค่อยๆ เคลื่อนตัวเหยียบพื้นถนนเข้ามา ค่อยเห็นว่าเป็นรถม้า


 


 


บังเ**ยนคู่ขนาดใหญ่ หลังคาสีม่วงห้อยพู่ หน้าขบวนมีผู้ที่แต่งกายคล้ายขันทีของจวนอ๋องสี่นายขี่ม้านำทางให้


 


 


ขบวนรถด้านหลังเคลื่อนตัวตาม


 


 


หรูหราอลังการยิ่ง


 


 


ใบหน้าที่โปะแป้งหนาหลายชั้นของอนุฟางเขียนแต่คำว่า “ผู้ที่นั่งอยู่ในนั้นน่ะ ลูกสาวข้า” พลางกำผ้าเช็ดหน้าแน่นอย่างตื่นเต้น เชิดหน้ายืดอก พูดเสียงดัง


 


 


“โอ้โห ท่านพี่ ท่านแม่ พวกท่านดูสิ รถม้าของถงเอ๋อร์เรา สวยงามแค่ไหน! กลับมาแล้ว นางกลับมาแล้ว!”


 


 


ถงฮูหยินยิ้มจนใบหน้าย่นต่อเนื่อง จับมืออวิ๋นจิ่นจ้งพลางว่า


 


 


“ดูสิ จิ่นจ้ง นั่นพี่รองของเจ้านา! ตอนนี้เป็นถึงชายารองแล้ว!”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งกระพริบตาปริบๆ ทำปากยื่นปากยาว คิดถึงพี่พ่อบ้านของพี่ใหญ่ ที่บารมีไม่เท่าเว่ยอ๋อง ต่อไปแม้พี่ใหญ่เป็นชายารองไม่ได้ ได้เป็นฮูหยินพ่อบ้านจวนอ๋อง ก็ไม่เลวนัก


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งตะโกนสั่งเสียงสูง “ไปรับชายารองเร็ว!”


 


 


บ่าวหลายคนที่ถูกฝึกมา ทยอยลงจากบันได คุกเข่าเรียงแถวสองข้าง พลางเปล่งเสียงถวายพระพร


 


 


รถม้าจากจวนอ๋องจอดนิ่ง ยวนยางพยุงอวิ๋นหว่านถงก้าวลง แล้วเดินขึ้นบันไดบ้าน


 


 


นางสวมชุดกระโปรงสีชมพูม่วงประดับมุก หน้าอกห้อยป้ายทองประดับอัญมณีและหยก คลุมเสื้อคลุมขนมิงค์สีขาวราคาแพง ตลอดทั้งร่างหรูหรามีระดับ ประหนึ่งนางฟ้าก็มิปาน ไหนเลยยังจะมีภาพคุณหนูขี้อายเมื่อวานซืนให้เห็นอีก อีกทั้งยังมีบ่าวมากมายติดตามทั้งซ้ายและขวา ซึ่งทั้งหมดก็แต่งกายหรูหราเช่นกัน


 


 


คนสกุลอวิ๋นทั้งตื่นเต้นและดีใจ แต่พอดูให้ดีๆ ก็เห็นอวิ๋นหว่านถงสวมหมวกใบใหญ่ ปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ปิดศีรษะเสียมิดชิด ต่างก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง


 


 


การกลับมาเยี่ยมบ้านของชายารอง เป็นเรื่องสมเหตุสมผลและชอบด้วยกฎหมาย เป็นเรื่องที่สง่าผ่าเผย ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด แล้วจะสวมหมวกไปทำไม! วันนี้อากาศก็ดีเป็นพิเศษ แสงแดดกำลังดี เช่นนี้ ไม่ทำให้ผู้ที่เฝ้ารอดูไม่สบอารมณ์หรอกหรือ


 


 


กลุ่มคนโค้งกาย เพิ่งถวายพระพร อวิ๋นหว่านถงก็รีบยกมือขึ้น


 


 


“ตามสบาย ด้านนอกลมแรง เข้าบ้านก่อนค่อยว่ากัน” แล้วรีบก้าวยาวๆ ตรงเข้าไปในบ้าน ยวนยางที่อยู่ด้านข้างก็รีบก้าวตาม


 


 


พอคนบ้านสกุลอวิ๋นเห็นชายารองรีบร้อนคล้ายจะรีบไปไหน ก็หันมองหน้ากัน ก่อนเดินตามไป


 


 


ถงฮูหยินอายุมาก หูไม่ค่อยดี จึงไม่รู้เรื่อง ตั้งใจก้าวเข้าหา พลางยิ้มตาหยี


 


 


“ชายารองอวิ๋นแต่งตัวหรู ดูดีมีระดับ ราศีคนของจวนเว่ยอ๋องจับจริงๆ…”


 


 


ใครจะคิดเล่าว่า อวิ๋นหว่านถงกลับไม่หยุดเดิน พอเห็นท่านย่าก้าวเข้ามา คล้ายกำลังจะเข้ามาพยุงตน ด้วยเกรงว่าหมวกจะหล่น จึงใช้มือข้างหนึ่งจับหมวกไว้ อีกข้างหนึ่งกั้นท่านย่าไว้ตามสัญชาติญาณ


 


 


พอถงฮูหยินเห็นนางใช้มือกั้นตน ก็หน้าเปลี่ยนสี นี่หมายความว่าอะไร เป็นชายารองแล้ว จำคนที่บ้าน


 


 


ไม่ได้งั้นหรือ ถึงได้เสียมารยาทกับผู้อาวุโสของบ้านแบบนี้!


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งก็อึ้งเช่นกัน ส่วนอนุฟางนั้น ทำอะไรไม่ถูกก


 


 


พอเห็นท่านย่าถูกข่มเหง หลานผู้กตัญญูอย่างอาเม่าจึงโกรธ เด็กน้อยมือไวตาไว พลันดึงหมวกของอวิ๋นหว่านถงลงมา


 


 


แล้วกลุ่มคนก็ต้องตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าบนหน้าผากของอวิ๋นหว่านถงมีผ้าพันแผลพันอยู่ บนผ้ามีคราบโลหิต ริมหน้าผากก็มีรอยฟกช้ำดำเขียว น่าตกใจยิ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นแผลที่เกิดจากการกระแทกกับของแข็ง!


 


 


อวิ๋นหว่านถงจ้องอาเม่าเขม็ง “เจ้าเด็กเหลือขอ!” ก่อนสวมหมวกกลับ แล้วเดินเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันกลับมามอง


 


 


ยวนยางมองคนสกุลอวิ๋นที่อยู่รอบๆ แต่พูดอะไรไม่ได้ จึงรีบเดินตามนายหญิงของตนไปก่อน 

 

 


ตอนที่ 92-1 การกลับบ้านที่ยุ่งวุ่นวาย

 

ห้องโถงใหญ่บ้านสกุลอวิ๋น บรรยากาศเหมือนตกอยู่ในหลุมน้ำแข็ง


 


 


ป้ายผ้าเขียนคำสรรเสริญอวยพรต้อนรับชายารองกลับบ้านตามเสาและคาน กลายเป็นคำเย้ยหยันที่เด่นชัด เมื่อเทียบกับสีหน้าของชายารองเว่ยอ๋อง


 


 


อวิ๋นหว่านถงนั่งอยู่ในห้องโถง บอกให้ขันทีจวนอ๋องนำของขวัญที่นำมาให้คนในบ้านไปวางไว้ตรงชานบ้าน แล้วบอกให้ยวนยางอ่านรายการของขวัญ ส่วนตัวเองไม่ส่งเสียงสักคำ ใบหน้าเสมือนหนึ่งก้อนหินตกลงไปในอาจม ทั้งเย็นชาทั้งบูดบึ้ง


 


 


อนุฟางยืนอยู่หลังเจ้าบ้าน พริบตาที่เห็นเหตุการณ์หน้าบ้าน หัวใจก็แทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ลูกสาวเป็นอะไรไปแล้ว แต่ไหนเลยจะกล้าถาม


 


 


คนอื่นๆ ในบ้านก็แอบจ้องมองบาดแผลบนใบหน้าของอวิ๋นหว่านถง พลางคิดกันไปต่างๆ นาๆ


 


 


รอจนแจกแจงรายการของขวัญเสร็จ นอกจากสาวใช้คนสนิทอย่างยวนยางแล้ว คนอื่นๆ จากจวนอ๋องล้วนถอยออกนอกห้องโถง


 


 


สักพัก พอสายตาจากนายหญิงบอกอนุญาต ยวนยางจึงเอ่ยขึ้น


 


 


“เมื่อไม่กี่วันก่อน ชายารองอวิ๋นไม่ทันระวัง หกล้มกระแทกถูกศีรษะ ตอนนี้ยังไม่หายดี ขอใต้เท้าอวิ๋นและผู้อาวุโสอวิ๋นวางใจ”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งสงสัย หกล้ม? ถงเอ๋อร์เป็นชายารอง ไม่ว่าจะเดินไปไหน ล้วนมีบ่าวล้อมหน้าล้อมหลัง ดูแลอย่างทั่วถึง แล้วจะหกล้มจนเป็นแผลฉกรรจ์ได้ง่ายๆ หรือ และการหกล้มเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ แล้วเหตุใดวันนั้นถึงไม่ส่งจดหมายมาบอกที่บ้านสักคำ ปกปิดจนมารู้เอาในวันกลับบ้าน


 


 


คนอื่นๆ ก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าแค่หกล้มจริงๆ เหตุใดจึงมีรอยช้ำที่ปากและใบหน้า


 


 


กลุ่มบ่าวที่ยืนอยู่ล่างบันไดนอกห้องโถง ยิ่งพากันหันหน้าป้องปาก ซุบซิบไปทั่ว


 


 


อวิ๋นหว่านถงไหนเลยจะคิดว่า การกลับบ้านครั้งแรก จะมีสภาพที่น่าสลดใจเช่นนี้ จำต้องมาบาดเจ็บบนใบหน้า ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด พอเห็นปฏิกิริยากลุ่มคน ถ้าไม่มองตนเองอย่างสงสัย ก็หันไปซุบซิบกัน จึงรู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนมองคนในบ้านไปรอบๆ พลางพูดเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


 


 


“ลำบากท่านพ่อแล้ว ที่ต้องเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับลูก”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งมองออกว่า บาดแผลของลูกสาวมีเลศนัย แต่ยากที่จะเอ่ยปาก จึงตอบนางไปตามน้ำ


 


 


“พ่อน่ะไม่ลำบากหรอก คนที่ลำบากจริงๆ ของงานนี้เป็นท่านย่ากับพี่ใหญ่เจ้าต่างหาก”


 


 


อวิ๋นหว่านถงแย้มยิ้ม แต่สีหน้าไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องคอยเคารพและเกรงกลัวอีก หันมาหาท่านย่า พลางพูดเสียงเบา “ลำบากท่านย่าแล้ว”


 


 


ถงฮูหยินยังไม่ลืมเรื่องหน้าบ้าน ที่อวิ๋นหว่านถงทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยังรู้สึกขุ่นเคืองในใจ จึงพูดอย่างเฉยชา


 


 


“ชายารองเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ารับไม่ไหว งานเลี้ยงกลับบ้านมีเรื่องจุกจิกมากมาย คนแก่อย่างข้าคนเดียวไหนเลยจะจัดการได้ หมู่นี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เข่าข้าก็เจ็บอีก เดินไปไหนไกลๆ ไม่ได้ ถ้าจะบอกว่าคนแก่จัดการ ก็ล้วนแล้วแต่อาศัยพี่ใหญ่ของชายารองช่วยเหลือ! ไม่สิ ชิ่นเอ๋อร์ยังอยู่หลังบ้าน ง่วนกับการสั่งการบ่าว ยังออกมาไม่ได้ ข้าว่า คนที่รู้งานที่สุดในบ้านสกุลอวิ๋น จัดการทุกอย่างได้ในยามคับขัน ยังคงเป็นชิ่นเอ๋อร์”


 


 


อวิ๋นหว่านถงหัวเราะเบาๆ ยังนึกว่าเป็นเมื่อก่อนอยู่อีกหรือ เมื่อก่อนตนทำอย่างไรก็สู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ทำอย่างไรก็เป็นลูกรักไม่ได้ ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ตนมีหน้ามีตาแล้ว แต่หญิงชรากลับตาบอด เพชรเม็ดงามอยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับมองไม่เห็น ยังคงคิดว่าพี่ใหญ่เป็นเพชรอยู่


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จึงยิ้มพลางพูดต่อจากมารดา


 


 


“ใช่ๆ ครั้งนี้พี่ใหญ่เจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย นอกจากต้องดูแลประตูใหญ่ที่ใช้เข้าออกแล้ว ยังมีห้องโถงใหญ่ที่ใช้จัดเลี้ยง ห้องรับแขกที่ใช้จิบน้ำชาพูดคุย แล้วห้องพักผ่อนที่อีกสักครู่ชายารองจะใช้ก็ถูกตกแต่งใหม่ ไปจนถึงสุรากับแกล้ม น้ำชาและของหวาน ชิ่นเอ๋อร์ล้วนเป็นคนจัดการทั้งหมด…”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นอวิ๋นหว่านถงวางถ้วยกระเบื้องเคลือบลายนกมงคลลง ก่อนอ้าแล้วก็หุบริมฝีปาก


 


 


ยวนยางรีบนำชามบ้วนน้ำลายใบเล็ก มารองใต้ปากชายารอง


 


 


อวิ๋นหว่านถง ‘ถุย’ เสียงดัง บ้วนใบชาออกมา แล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม แต่ไม่ได้กลืน ล้างปากกลั้วไปมา ก่อนก้ม บ้วนลงในชาม


 


 


“ไม่มีอะไร” อวิ๋นหว่านถงพูดเสียงเบา “ใบชาแก่ไปหน่อย โดนเหงือกและฟันแล้วเฝื่อน ต้องใช้น้ำชาล้างปาก เชิญท่านพ่อพูดต่อ”


 


 


บิดาเพิ่งพูดว่าพี่ใหญ่เป็นคนจัดการงานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านทั้งหมด นางก็ติว่าใบชาแก่ น้ำชาเหมาะที่จะให้นางบ้วนปากมากกว่า นี่มันจงใจชัดๆ อวิ๋นจิ่นจ้งยังมีนิสัยแบบเด็กๆ จึงเริ่มจะอดรนทนไม่ไหว


 


 


อวิ๋นหว่านถงจับมือยวนยางแล้วลุกขึ้นยืนเชิดหน้า เดินสำรวจดูรอบๆ ห้อง ก่อนพูดเสียงเรียบอย่างไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป


 


 


“ตอนที่เพิ่งมาถึง ข้าก็กวาดตาดูอยู่พักหนึ่ง แม้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็นับว่าใช้ได้อยู่ แต่ดีนะที่ท่านอ๋องห้าไม่ได้มาด้วย”


 


 


คำพูดนี้มิใช่กำลังแดกดันอวิ๋นหว่านชิ่นที่จัดการงานไม่ดี จนต้องขายหน้าแน่ถ้าท่านอ๋องมาเห็นหรอกหรือ แต่กลุ่มคนก็ไม่กล้าพูดอะไร กลับเป็นอวิ๋นจิ่นจ้งที่เอ่ยปากปกป้องพี่สาว ขณะเห็นอวิ๋นหว่านถงกำลังทำลายน้ำใจพี่สาว


 


 


“พี่ใหญ่ตั้งใจกับงานนี้มาก คนในบ้านก็ล้วนบอกว่าจัดการได้ดี อย่างบ่าวที่ทำความเคารพหน้าบ้าน พี่ใหญ่ก็ต้องไปเสาะหา กว่าจะเจอมอมอที่เคยอยู่ในวัง มาช่วยฝึกมารยาทโดยเฉพาะ พี่ใหญ่ละเอียดรอบคอบขนาดนี้ ชายารองมองเพียงเผินๆ ก็บอกว่าว่าไม่ดีแล้ว นี่ไม่เป็นการรวบรัดตัดความไปหน่อยหรือ”


 


 


อวิ๋นหว่านถงหัวเราะเบาๆ


 


 


“การที่จิ่นจ้งปกป้องพี่ใหญ่น่ะ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เจ้ายังเด็กนัก ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน ถ้าเจ้าได้เข้าจวนอ๋อง ได้เห็นการตกแต่งบ้านของชนชั้นสูง ก็จะรู้เองว่า ข้าไม่ได้จงใจจับผิด อย่างผ้าม่านนั่น สีก็ไม่สมกับคนในราชวงศ์แล้ว ผ้าก็เป็นผ้าที่พบเห็นทั่วไปตามท้องถนน ไม่ประณีตพอ แสดงให้เห็นว่าผู้จัดใจไม่ป้ำพอ หันมาดูเรื่องบ่าวรับใช้หน้าบ้านบ้าง จะบอกว่าคุกเข่าตามมารยาทอย่างไม่ผิดเพี้ยนก็ได้ แต่พอมีลมพัดใบไม้ไหวก็เงยหน้าขึ้นแล้ว นั่นเรียกว่าสอนให้ผิดมารยาทมากกว่า ไม่รู้ว่าคนที่เชิญมาสอน เป็นชาววังจริงหรือเปล่า มิใช่ถูกเขาหลอกเอาล่ะ! ถ้าทำกิริยาเช่นนี้ออกมา ในจวนอ๋องน่ะ ถูกตีตายโทษฐานหมิ่นพระบารมีไปนานแล้ว”


 


 


จัดเต็ม ไม่มีคำไหนไม่ทิ่มแทงผู้จัด นำเรื่องที่พี่ใหญ่ทำ มาฆ่าพี่ใหญ่ให้ตาย อวิ๋นจิ่นจ้งยืดตัวตรง กำลังจะเถียง แต่ถงฮูหยินรีบจับมือหลานไว้ แล้วเรียก


 


 


“เด็กๆ ไปเชิญคุณหนูใหญ่ออกมาหน่อย บอกว่าชายารองมาถึงแล้ว บอกนางว่าไม่ต้องเอาใจใส่ขนาดนั้น เรื่องอื่นๆ ให้พวกบ่าวทำกันไป” เอาใจใส่ไปก็เท่านั้น อย่างไรก็ถูกคนติโน่นติงนี่อยู่ดี


 


 


อวิ๋นหว่านถงกลับไปนั่งข้างกายบิดา ค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงหันมองอนุฟาง “หมู่นี้สุขภาพของท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ขอบพระทัยชายารองที่เป็นห่วง แม่แข็งแรงดี” อนุฟางเห็นลูกสาวระบายอารมณ์แทนตนออกไปได้บ้าง จิตใจก็ผ่อนคลายลง พอเห็นท่านพี่ส่งสายตามา จึงรีบตอบ


 


 


อวิ๋นหว่านถงเห็นสีหน้ามารดา ก็หันมองร่างที่อยู่ด้านหลังท่านย่า ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ในบ้านก็มีคนใหม่เพิ่มเข้ามา พอเหลียนเหนียงเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของอวิ๋นหว่านถงมองมา ผู้ที่ทำอะไรราบรื่นมาตลอดอย่างนาง โดยแม้แต่อนุฟางยังโดนนางป้ายยา นับประสาอะไรกับคุณหนูสามซึ่งเป็นชายารอง จึงถอนสายบัวพลางแย้มยิ้ม


 


 


“ชายารองวางพระทัย ท่านพี่สุขภาพแข็งแรงมาก หม่อมฉันยังเยาว์วัย ต้องให้ท่านพี่ชี้แนะทุกอย่าง ย่อมต้องคอยรับใช้ดูแลท่านพี่เสมอ”


 


 


อวิ๋นหว่านถงไม่ได้พูดจาดีเหมือนอนุฟาง นางยิ้มเจ้าเลห์ จนรอยฟกช้ำบิดเบี้ยวและดำคล้ำ น้ำเสียงฟังดูสบายๆ คล้ายกำลังหยอกเย้าอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“คิดไม่ถึงว่าคนใหม่ก็ร้ายกาจไม่เบาทีเดียว ท่านแม่เป็นคนซื่อและจิตใจดี จุดนี้ท่านแม่เทียบอนุคนใหม่ไม่ได้หรอก”


 


 


นี่มิใช่กำลังกระแนะกระแหนว่าตนเป็นนางจิ้งจอกยั่วยวนนายหรอกหรือ เหลียนเหนียงอึ้ง 

 

 


ตอนที่ 92-2 การกลับบ้านที่ยุ่งวุ่นวาย

 

เมื่อเห็นท่าทีของเหลียนเหนียง อวิ๋นหว่านถงก็รู้ว่ามารดาตนไหนเลยจะรู้ทันเลห์เหลี่ยมของนาง ดีไม่ดีวันหนึ่งอาจโดนบ่าวนางนี้เหยียบย่ำจนมิด จากวิธีการและสีหน้าของนาง ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้ตนรู้สึกว่า คล้ายกับนังจิ้งจอกเยี่ยหนานเฟิงที่ชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงนั่นนัก จึงพูดกระทบกระเทียบอีก


 


 


“จะว่าไป ได้ยินว่าตอนอยู่ที่สมาคมม้าผอม อนุรองเคยร่ำเรียนศิลปะการชงชามาก่อน หมู่นี้รับใช้อยู่ข้างกายท่านพ่อ ก็ชงชาร้อนให้ท่านพ่อจิบทุกวัน เป็นที่ถูกใจท่านพ่อยิ่ง แถมยังแบ่งเวลาไปรับใช้ท่านแม่ได้อีก ดูๆ ไป บ้านสกุลอวิ๋นทั้งขึ้นทั้งล่อง คงไม่มีใครเอาอกเอาใจคนได้เท่าอนุรองแล้วกระมัง”


 


 


แก้มเหลียนเหนียงขยับ ได้แต่ก้มหน้าหดตัวเหมือนคนถูกข่มเหง พลางหันมองเจ้าบ้าน


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นดังนี้ ก็เอ่ยปากถามบ่าว


 


 


“ทำไมคุณหนูใหญ่ยังไม่ออกมาอีก ให้คนไปดูอีกทีซิ”


 


 


เหลียนเหนียงย่อมรู้ว่า ท่านพี่จงใจขัดจังหวะเพื่อปกป้องตน เกรงว่าตนจะถูกชายารองข่มเหงน้ำใจอีก จึงรีบหยิบยืมความได้เปรียบ ถอยฉากไปหลบหลังเจ้าบ้านอย่างหญิงอ่อนแอ


 


 


พออวิ๋นหว่านถงเห็นบิดาปกป้องเหลียนเหนียงเช่นนี้ ถึงอยากพูดก็ไม่สะดวกที่จะพูดออกมา จึงขมวดคิ้วแทน


 


 


ด้านอวิ๋นหว่านชิ่น แม้เช้าตรู่จะอยู่หลังเรือนคอยสั่งการบ่าวเรื่องสุราอาหาร จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับหน้าประตู แต่ก็ไม่ถึงกับไม่รู้อะไรเลย ยังคงหูผึ่งตาไวเสมอ และบอกให้เมี่ยวเอ๋อร์มารายงานสถานการณ์เป็นระยะ


 


 


พอได้ยินว่าชายารองคนใหม่ของบ้านใส่หมวกใบใหญ่กลับเข้าบ้าน และยังถูกอาเม่าดึงหมวกออกตรงหน้าบ้านอีก ที่แท้ใบหน้านางมีแผลฉกรรจ์นั่นเอง อีกทั้งหลังจากเข้ามานั่งในห้องโถง นางก็เริ่มติโน่นติงนี่


 


 


ตอนนี้พอเห็นบ่าวมาเรียกให้ตนออกไป จึงได้แต่ถอดปลอกแขนเสื้อกันเลอะออก กลับเรือนหยิงฝู ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีท่าทีอนาทรร้อนใจแต่อย่างใด อารมณ์ก็ขึ้นอย่างอดไม่ได้ เมื่อนึกถึงท่าทีของคุณหนูสามเมื่อครู่


 


 


“คุณหนูใหญ่ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ที่ชายารองนั่นพอกลับมาก็เย็นชากับผู้อาวุโส จนถึงตอนนี้ผู้อาวุโสก็ยังไม่หายโกรธ แล้วยังเล่นงานเหลียนเหนียงต่อ แดกดันสามส่วนข่มเหงเจ็ดส่วนแบบเดิม แสดงท่าทีหยิ่งยโส ราวกับคนทั้งบ้านติดค้างนางอย่างไรอย่างนั้น งานเลี้ยงครั้งนี้ ใช่งานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านที่ไหนกัน เป็นงานเลี้ยงแก้แค้นเห็นๆ ส่วนท่าน ยังไม่ทันพบหน้านาง นางก็พูดต่อว่าท่านบกพร่องโน่นนั่นนี่ ท่านออกไปอาจไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี บ่าวดูออกนะว่า นางน่ะเป็นคางคกขึ้นวอ หรือไม่ก็เป็นไก่ที่เพิ่งมีปีกงอกออกมา จึงอดไม่ได้ที่จะร้องกระโตกกระตาก ร้องให้คนเขารู้กันไปทั่ว! ท่านก็อย่าลืมเชียวว่า ท่านทำให้นางถูกเถามอมอกรีดหน้า ทำให้นางต้องเล่นเป็นนางจิ้งจอกที่โรงละครว่านไฉ่ อีกทั้งหลายปีมานี้นางยังอยู่ในสถานะลูกเมียน้อยที่เก็บกด หาทางระบายออกไม่ได้ ครั้งนี้จึงต้องฉวยโอกาสระบายทุกอย่างใส่ท่านแน่”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันมาหัวเราะ พลางตีเข้าที่ศีรษะเมี่ยวเอ๋อร์เบาๆ


 


 


“ผู้มาเป็นแค่ชายารอง เจ้ายังตื่นเต้นขนาดนี้ ถ้าให้เจ้าไปพบมเหสีฮองเฮา มิต้องพูดไม่ออกหรอกหรือ ข้าอุตส่าห์พาเจ้าเข้าวังไปดูลาดเลาแล้วครั้งหนึ่ง เสียแรงเปล่า มิสู้พาชูซย่าไปเปิดโลกยังจะดีเสียกว่า”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์จึงได้สติ ก็จริง ตนถูกคุณหนูสามนั่นทำให้โกรธจนเลอะเลือนไปจริงๆ คุณหนูใหญ่ของตนก็เคยเข้าวัง เคยพบคนจากโลกภายนอกมาแล้ว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า มวยผมใหม่ แล้วค่อยไปที่ห้องโถงใหญ่


 


 


อวิ๋นหว่านถงกำลังค่อยๆ ปิดฝาถ้วยน้ำชา นางพยายามหาเรื่องมาคุยกับบิดาและท่านย่า ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการพูดคุยตามมารยาท ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่างานบ้านทั่วไป น้ำเสียงจึงเป็นไปอย่างไม่ยี่หระ พูดคุยพอเป็นพิธี นางในวันนี้กับนางในอดีต จึงเป็นคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


 


ฟังไปๆ ถงฮูหยินก็ยิ่งมีอารมณ์ แม้ตนไม่เคยเห็นท่าทีของสะใภ้จ้าวในวันต้อนรับกลับบ้านมาก่อน ก็รู้ดีว่า ไม่ควรเป็นอย่างที่นังหนูสามแสดงออกแน่ นี่เขาเรียกว่าบินขึ้นฟ้าแล้ว เห็นคนในบ้านเป็นเบี้ยล่างไปหมด


 


 


และในตอนนี้เอง หน้าประตูก็มีเสียงบ่าวรายงาน “คุณหนูใหญ่มา”


 


 


อวิ๋นหว่านถงพลันหรี่ตา แล้วหันมอง ไม่สนใจว่ากำลังคุยครึ่งๆ กลางๆ อยู่กับถงฮูหยิน นางเห็นพี่ใหญ่ปรากฏตัวตรงประตูในชุดเรียบง่าย อาจเป็นเพราะช่วงเช้าต้องอยู่หลังเรือนเดินไปเดินมาสั่งการบ่าว ตอนนี้จึงได้แต่ปัดแก้มด้วยสีชมพูอ่อนๆ ให้ดูดีกว่าช่วงเช้าเล็กน้อย พอเดินเข้ามาพร้อมสาวใช้สองคนซ้ายขวา ค่อยเห็นว่านางสวมเสื้อกระโปรงจีบผ้าไหมสีบานเย็น สวมรองเท้าบูทสั้นหนังแกะสีแดงลายเมฆดิ้นทอง มวยผมหนึ่งมวย ปักปิ่นหนึ่งอัน ไม่มีเครื่องประดับอื่นใดอีก พอก้าวเข้ามา ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดุจหยก


 


 


“น้องสามกลับมาแล้ว!”


 


 


คำๆ นี้พอหลุดออกจากปาก คนในห้องก็อึ้งกันเป็นแถบ แม้บอกว่าคนในห้องกว่าครึ่งเป็นคนในบ้าน แต่เมื่อแรกเจอ ก็มักเรียกตามมารยาทว่าชายารอง แต่คุณหนูใหญ่กลับไม่เกรงใจ เรียกน้องสามออกมาตรงๆ ผลักความเย่อหยิ่งของอวิ๋นหว่านถงคืนกลับ จนนางหน้าเครียด ไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ


 


 


อนุฟางแอบยิ้มเยาะ เรียกอย่างกับสนิทกันนักหนา ใครเขาอยากสนิทกับเจ้า เห็นชายารองเว่ยอ๋องแล้วไร้มารยาทแบบนี้ เดี๋ยวเหอะ ได้เห็นดีกันแน่


 


 


และแล้ว พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นชายารองไม่พอใจ ก็พลอยไม่ชอบไปด้วย จึงเตือนเสียงต่ำ


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ ควรคารวะก่อน”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บรอยยิ้ม แล้วพูดเสียงนุ่ม “ลูกนึกว่าพอหลุดรอดจากสายตาฝูงชน อยู่ต่อหน้าคนในบ้านจะสามารถเรียกพี่เรียกน้องกันเหมือนเดิม ไม่ได้คิดว่ากฏเกณฑ์ในจวนอ๋อง จะเข้มงวดขนาดนี้”


 


 


อวิ๋นหว่านถงแค่นเสียงออกมาเบาๆ ก่อนค่อยๆ พูดอย่างหยิ่งยโส


 


 


“พี่ใหญ่ไม่เคยแต่งเข้าจวนอ๋อง ย่อมไม่รู้ว่ากฏเกณฑ์ในจวนอ๋องนั้น เข้มงวดเพียงใด จ้าวกับขุนนาง นายกับบ่าว แบ่งแยกชัดเจน ไหนเลยจะเรียกมั่วซั่วเหมือนที่อื่น การกลับบ้านของข้าในครั้งนี้ สถานะแรกเป็นชายารองเว่ยอ๋อง รองลงมาถึงจะเป็นลูกสาวสกุลอวิ๋น นึกว่าพี่ใหญ่เป็นลูกสาวคนโต ต้องวางตัวได้อย่างสง่างามและ


 


 


รู้จักมารยาทเสียอีก ที่แท้เหตุผลตื้นๆ แค่นี้ ก็ยังต้องให้ข้าสอน”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ฟังแล้วก็เดือด แต่กลับเห็นคุณหนูใหญ่เพียงยิ้มบางๆ


 


 


“เมื่อวันก่อนข้าคุยกับเพื่อนรักจื่อหลิง รู้แค่ว่า พระสนมเฉินของจวนแม่ทัพได้รับพระเมตตา ให้กลับบ้าน


 


 


ในสองเดือนแรกแบบน้องสามนี่ล่ะ และพอกลับถึงบ้าน ก็นั่งรวมกลุ่มกับจื่อหลิงและน้องชาย แล้วก็เรียกชื่อเล่นกัน ข้าจึงคิดในใจ ขนาดพระสนมที่อยู่ในวังยังวางตัวอย่างเป็นกันเอง ใจกว้าง ไม่ถือกฎกติกามารยาท ต่อให้จวนอ๋องเข้มงวดแค่ไหน ก็ไม่น่าจะเข้มงวดกว่าในวังนะ คิดไม่ถึงว่าน้องสามจะวางตัวโอ่อ่ายิ่งกว่าพระสนมเฉินเสียอีก ผิดไปจากที่พี่คาดคิดไว้ แต่ไม่เป็นไร พี่คารวะได้”


 


 


ว่าแล้วก็ไม่รอให้อวิ๋นหว่านถงโต้ตอบ ประสานมือไว้ที่ข้างเอว ยิ้มหวานแล้วย่อตัวลงทันที


 


 


คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นหว่านถงหน้าแดงไปถึงใบหู นี่นางกำลังชี้หน้าว่าคนที่ไม่รู้จักมารยาทคือตน ที่ริอาจทำตัวข้ามหน้าข้ามตาพระสนม รวมทั้งตำหนิว่าตนเย่อหยิ่งและใจแคบต่อหน้าผู้คน แต่นางก็เข้าใจขัดคอนะ พูดกันถึงเรื่องมารยาทขั้นพื้นฐานในการพบหน้าระหว่างกุลสตรีด้วยกันแท้ๆ ยังจับโน่นผสมนี่ไปได้? คิดว่าแน่นักหรือ วันนี้ถ้าไม่เล่นนางให้หนัก ไหนเลยจะสาแก่ใจที่ตนอัดอัดตันใจกับความไม่เป็นธรรมในบ้านมานานหลายปี


 


 


อวิ๋นหว่านถงไม่ยอมรามือเช่นนี้ จึงส่งสายตา ยวนยางเห็นก็ก้าวขึ้นมา แล้วพูดอย่างเย็นชา


 


 


“คุณหนูใหญ่ ตามกฎแล้ว พอเห็นชายารอง ควรคารวะอย่างเป็นทางการเจ้าค่ะ”


 


 


ทางการ? คุกเข่าโขกศีรษะสามครั้ง?


 


 


ดูซิว่า นางจะรับไหวหรือไม่! 

 

 


ตอนที่ 92-3 การกลับบ้านที่ยุ่งวุ่นวาย

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ใช่คนที่ไม่อดทนอดกลั้น จะว่าไปการคารวะอย่างเป็นทางการ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ถกกระโปรง แล้วก้มลงกราบไหว้ คิดเสียว่าอวิ๋นหว่านถงเป็นป้ายบูชาอันหนึ่งก็ได้แล้ว ไม่เป็นไร ไม่เสียหายอะไรนี่ แต่คนบางคน เกิดมาก็ไม่มีทางทำดีกับท่านหรอก ท่านถอยก้าวหนึ่ง นางก็ยิ่งเดินเข้าหาท่าน คิดบีบท่านให้จนมุม ครั้งนี้โขกศีรษะ ครั้งหน้าจะเป็นอะไร ไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น


 


 


ถงฮูหยินได้ยินอวิ๋นหว่านถงบีบบังคับคนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งไม่ชอบใจ คารวะอย่างเป็นทางการ? นี่มันมากเกินไปแล้ว พี่สาวตนเอง อยู่ในบ้านตนเองแท้ๆ ยังจะให้คุกเข่าโขกศีรษะอีก เช่นนี้คนสกุลอวิ๋นอยู่นอกบ้านมิต้องเลียรองเท้าให้ชายารองคนนี้หรอกรึ! น้ำใจควรมาก่อนมารยาท นังหนูสามนี่ ไม่มีความรักให้กับพี่น้องจริงๆ จิตใจคับแคบ อิจฉาริษยา! ถงฮูหยินเหลือบมองลูกชาย พอเห็นเขาเงียบไม่ส่งเสียง ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง


 


 


ขณะกำลังจะพูด กลับนึกไม่ถึงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะจ้องมองชายารองที่นั่งอยู่ด้านบน แล้วยิ้ม


 


 


“เกรงว่าวันนี้จะคารวะอย่างเป็นทางการไม่ได้หรอก น้องสาม”


 


 


“คารวะอย่างเป็นทางการไม่ได้?”


 


 


อวิ๋นหว่านถงกลับนึกขัน นึกว่าพี่ใหญ่คนนี้จะมียันต์ป้องกันตัวอะไร ที่แท้ก็แข็งนอกอ่อนในนี่เอง ไม้ตายหรือ ที่ทำปากกล้าขาแข็งเช่นนี้น่ะ


 


 


“พี่ใหญ่ไม่ได้พิการ ไม่ได้บาดเจ็บสักหน่อย มือเท้าครบถ้วนแข็งแรงดี ทำไมถึงคารวะอย่างเป็นทางการไม่ได้ล่ะ น้องก็เห็นอยู่ว่าตอนอยู่ในวัง พี่ใหญ่ยังคารวะไทเฮากับเจ้านายท่านต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วดีนี่นา!”


 


 


ว่าแล้วก็ปรายตามอง ยวนยางจึงก้าวเข้าหาคุณหนูอวิ๋น ก่อนยกมือไปที่ไหล่ของนาง ดูท่า คิดจะกดอวิ๋นหว่านชิ่นลงไป


 


 


แต่เมี่ยวเอ๋อร์ยืนจ้องอยู่ด้านข้างแต่แรก จึงไม่รอให้ยวนยางก้าวเข้าใกล้ ยื่นเท้าออก แอบขัดขายวนยางที่สวมกระโปรงยาวลากพื้น


 


 


พอช่วงร่างสะดุด ยวนยางก็เสียการทรงตัว ยืนนิ่งไม่ได้ ซวนเซเกือบล้มคะมำ หน้าฟกช้ำแบบนายหญิง เมี่ยวเอ๋อร์จึงรีบยื่นมือออก พยุงนางไว้ แล้วเหลือบมองอวิ๋นหว่านถงแบบผ่านๆ หัวเราะคิกคัก แล้วว่า


 


 


“ก็บอกแล้วไงว่าวันนี้คุณหนูใหญ่คุกเข่าไม่ได้! เป็นพระประสงค์ของฟ้าน่ะ!”


 


 


“ใช้ไม่ได้เรื่อง! ยังไม่ยืนให้ดีๆ อีก!” อวิ๋นหว่านถงทั้งอายทั้งโกรธ


 


 


ยวนยางยังตกใจไม่หาย ก็ต้องรีบยืดตัวให้ตรง แต่ก็ไม่ได้ว่องไวแบบเมื่อครู่อีก แถมตอนล้มลงไปใกล้อวิ๋นหว่านชิ่น ได้กวาดตามองไป แล้วดวงตาก็ลุกวาว พอมองให้ถ้วนถี่อีกครั้ง ก็หายใจเข้าลึกๆ หันหน้าไป พูดอ้ำๆ อึ้งๆ “ชายารอง ท่านดู ดู…”


 


 


เห็นผีหรือไง! หรือร่างพี่ใหญ่มีไอปีศาจ ที่สามารถทำให้คนต้องคำสาปอย่างไรอย่างนั้น?


 


 


หรือยวนยางสะดุดล้ม แล้วตกใจจนงุนงงไป?!


 


 


มันยากนักหรือ ที่จะทำให้นางคุกเข่าลง? ตลกละ!


 


 


อวิ๋นหว่านถงลุกพรวดขึ้น ก้าวฉับๆ เข้าไป แล้วมองตามสายตาของสาวใช้คนสนิท ตอนแรกยังไม่ทันได้สังเกตว่ามีอะไร แต่พอดูให้ดีๆ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน


 


 


บนศีรษะพี่ใหญ่ ไม่มีเครื่องประดับใดๆ ปิ่นปักผมที่ปักไว้บนมวยผมดำสลวยจึงเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ…เป็น…ปิ่นหยกแท้สลักลวดลายหงส์สีแดงสยายปีกทั้งสองด้าน


 


 


ลวดลายหงส์ ชาวบ้านร้านตลาดผู้ใดกล้าใช้บ้าง? ปิ่นอันนี้ก็คือของขวัญที่ไทเฮามอบให้คุณหนูใหญ่ขณะอยู่ในงานเลี้ยงสังสรรค์นั่นเอง


 


 


แม้บอกว่าปิ่นปักผมของไทเฮาไม่ใช่กระบี่อาญาสิทธิ์ หรือป้ายทองไว้ชีวิตที่ฮ่องเต้มอบให้ แต่อวิ๋นหว่านถงในตอนนี้คือสะใภ้ราชวงศ์ ซึ่งมีไทเฮาเป็นเจ้านายสูงสุด ถ้าทรงคิดเล่นงานตน ย่อมลงมือได้ทุกเมื่อ จึงไม่อาจไม่ใส่ใจ


 


 


บนตัวพี่ใหญ่มีเครื่องประดับที่ไทเฮาประทานให้ แต่ตนกลับบีบบังคับนางคุกเข่าให้กับตน นี่เป็นการไม่ให้เกียรติกันเห็นๆ ถ้าได้ยินไปถึงหูไทเฮา จะทรงไม่ระแวงสงสัยตนหรือ


 


 


ไทเฮาเป็นคนอย่างไร มีแค้นต้องชำระ กระทั่งหลานก็ไม่ละเว้น


 


 


ผ่านเรื่องของเว่ยอ๋องมา นับว่าอวิ๋นหว่านถงได้เรียนรู้แล้วจริงๆ


 


 


หัวหมุนไปหนึ่งรอบ อวิ๋นหว่านถงเสียวสันหลังวาบ นิ่งงันไปชั่วขณะ กลับเป็นอวิ๋นหว่านชิ่นที่เอ่ยปากขึ้นก่อน พร้อมแววตาอมยิ้มไม่เลิก ขณะจ้องมองตน


 


 


“น้องสามเป็นอะไรไป ยังต้องการให้พี่คารวะอย่างเป็นทางการอีกหรือเปล่า”


 


 


อวิ๋นหว่านถงกัดกรามกรอด เนื้อแก้มยุบเข้ายุบออก หน้าแดงก่ำ เนิ่นนานถึงจะส่งเสียงที่ฝืนใจเป็นอย่างยิ่งออกจากลำคอ


 


 


“เมื่อท่านพี่พูดเช่นนี้ วันนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป”


 


 


ถงฮูหยินไม่พอใจและทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของอวิ๋นหว่านถงอยู่แต่แรก ติดที่นางเป็นชายารองของอ๋อง ด่าว่าไปจะไม่ดี ตอนนี้จึงระบายใส่อนุฟาง ด้วยการกระแทกถ้วยชาลงไปบนโต๊ะแรงๆ จนน้ำชากระฉอกใส่ใบหน้าและศีรษะของอนุฟาง ก่อนสะบัดแขนเสื้อ พูดตีวัวกระทบคราด


 


 


“กว่าจะกลับบ้านได้สักครั้ง ยังต้องให้พี่สาวคนเดียวในบ้านคุกเข่ากราบไหว้อีก! คนในบ้านถูกข่มเหงยังไม่เท่าไหร่ ถ้าคนนอกได้ยินเข้า จะพูดว่าเราเลี้ยงลูกอกตัญญู คนทั้งบ้านไม่มีน้ำใจต่อกัน! ไม่รู้ว่าปกติ สอนลูกอีท่าไหนกันแน่!”


 


 


อนุฟางไหนเลยจะกล้าแข็งขืนกับผู้อาวุโส ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา โมโหก็โมโห แต่ไม่กล้าแสดงออก แอบส่งสายตาให้อวิ๋นหว่านถง บอกให้นางรามือ อย่าดึงตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย


 


 


อวิ๋นหว่านถงเพียงเกรงว่ามารดาอยู่ในบ้านจะถูกลงโทษ จึงได้แต่แค่นเสียงเย็นชาออกมา กลับไปนั่งที่เดิม แล้วชำเลืองมองปิ่นปักผมบนศีรษะพี่ใหญ่อีกครั้ง ที่สุดแล้วก็ยอมเลิกรา หันไปสั่ง


 


 


“นำเก้าอี้ให้พี่ใหญ่นั่ง”


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าสงครามใต้ดินของลูกสาวทั้งสองสงบลง จึงพูดไกล่เกลี่ยไปสองสามคำ ดึงให้


 


 


บรรยากาศกลับมาเป็นดังเดิม


 


 


เที่ยงตรง สุราอาหารที่บ่าวในบ้านเตรียมเอาไว้ ก็ถูกยกออกมา คนในห้องต่างแยกย้ายกันนั่งรับประทานอาหารกลางวันตามใจชอบ


 


 


ส่วนอวิ๋นหว่านถงที่วันนี้ไม่ทำอะไรพี่ใหญ่ไม่ได้ ย่อมไม่สบายใจ ทานไปได้ไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง แล้วนำผ้าเช็ดปากที่ยวนยางส่งมาให้ เช็ดปากอย่างเซ็งๆ แล้วว่า


 


 


“กับข้าวแบบนี้ไม่ถูกปากข้า อย่างไรท่านพ่อกับท่านย่าค่อยๆ ทานกันไปก่อนก็แล้วกัน”


 


 


เดิมทีถงฮูหยินยังนึกอยากจะใกล้ชิดกับอวิ๋นหว่านถงให้มากขึ้น แต่ตอนนี้ดูๆ ไป ชายารองอย่างนาง ไม่รู้จักคนในบ้านไปแล้ว ผ่านไปแค่ไม่กี่วันนางก็กลายเป็นคนไร้ความรู้สึก ไร้หัวใจ ไม่นับคนในบ้านเป็นครอบครัว  นานวันเข้าจะดีหรือ  จึงไม่คิดหวังในตัวนางอีก พอเห็นนางจะออกจากห้อง ก็ดีเหมือนกัน อาจทำให้ทุกคนกินได้มากขึ้น จึงไม่รั้งนางไว้ ไม่แม้แต่จะมองเสียด้วยซ้ำ คีบผักพลางพูดอย่างรวดเร็ว


 


 


“ชายารองอยากพัก ก็ไปพักเถิด”


 


 


อวิ๋นหว่านถงนึกว่าจะถูกขอให้อยู่ต่อ พอได้ยินเช่นนี้ ก็โมโห เขวี้ยงตะเกียบทิ้ง เวลากลับบ้านมีจำกัด ก่อนบ่ายสามครึ่งก็ต้องกลับจวนอ๋องแล้ว จึงเรียกมารดาให้กลับเรือนไปด้วยกัน สองแม่ลูกอยากคุยกันเป็นการส่วนตัว


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นชายารองออกจากห้อง ก็กวักมือเรียกเมี่ยวเอ๋อร์ ก่อนพูดเสียงเบา


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ ไปดูซิว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์รู้ดีว่าคุณหนูใหญ่คิดสืบเรื่องอะไร ก็ต้องเรื่องความเป็นมาเป็นไปของรอยแผลบนใบหน้าชายารองนั่นล่ะ จึงหัวเราะคิกคัก แล้วก้าวเท้าออกไปทันที


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นทานข้าวเสร็จ และกลับไปที่เรือน ก็เห็นเมี่ยวเอ๋อร์รออยู่ก่อนแล้ว หลังจากปิดม่านประตู นางก็ถ่ายทอดคำพูดที่ได้ยินขณะหลบอยู่มุมกำแพง ให้คุณหนูใหญ่ฟังโดยไม่ตกหล่นแม้สักคำเดียว 

 

 


ตอนที่ 92-4 การกลับบ้านที่ยุ่งวุ่นวาย

 

เมื่อก่อนเมี่ยวเอ๋อร์ไปไหนมาไหนในบ้านสกุลอวิ๋นได้อย่างอิสระ การดักฟังตามมุมกำแพงจึงเป็นเรื่องที่นางถนัด อีกทั้งยังถ่ายทอดเรื่องที่ได้ยินมาได้อย่างออกรสออกชาติ ฟังจนอวิ๋นหว่านชิ่นต้องสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอด


 


 


หลังจากออกเรือนได้ไม่กี่วัน อวิ๋นหว่านถงนั้น นอกจากต้องเผชิญกับอารมณ์รุนแรงของเว่ยอ๋องแล้ว ตัวเว่ยอ๋องเองยังมีรสนิยมรักเพศเดียวกันอีก โดยชายคนรักของเขาก็คือสาเหตุที่ทำให้อวิ๋นหว่านถงถูกตบ ซึ่งอีกไม่กี่วันต่อมา หลังบ้านของเว่ยอ๋องก็ชุลมุนวุ่นวาย แย่งชิงตำแหน่งคนโปรดกันไม่หยุดหย่อน


 


 


จะว่าไป การรักเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร โดยเฉพาะในเมืองหลวงซึ่งมีกลุ่มคนไม่น้อยที่มีรสนิยมทางเพศหลากหลาย ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ชายสูงศักดิ์ที่ชุบเลี้ยงเด็กหนุ่มอย่างเปิดเผยก็มีมากขึ้น จนเป็นที่นิยมในระยะหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ถ้าอ๋องรักเพศเดียวกัน แต่ยังคิดชิงอำนาจอยู่ ก็ต้องปกปิดผู้คน ได้ยินว่าจวนเว่ยอ๋องมีสาวงามจำนวนมาก ที่แท้ก็มีไว้ตบตาผู้คนนี่เอง


 


 


และเคยได้ยินอีกว่า ชายรักชายที่แน่ใจในตัวเองจริงๆ แล้วนั้น จะไม่แตะต้องผู้หญิง


 


 


จึงกลายเป็นว่า แม่หม้ายทำศึกกับผู้ชายเพื่อแย่งผู้ชาย มิน่าเล่า วันนี้พอกลับมาที่บ้าน หน้าตาของอวิ๋นหว่านถงถึงได้บูดบึ้งอย่างกับอะไรดี


 


 


 


 


มาดูที่เรือนชุนจี้กันบ้าง อวิ๋นหว่านถงใช่ว่าจะกลับมาที่บ้านได้ง่ายๆ จึงร้องไห้ฟูมฟายกับมารดาดุจเทเมล็ดถั่วลงในกระบอกไม่ไผ่ บอกว่าแท้จริงแล้วเว่ยอ๋องชอบผู้ชาย และในจวนก็ซ่อนชายคนรักไว้ไม่น้อย ตอนนี้กระทั่งผู้ชายคนหนึ่งก็ยังมีอำนาจเหนือตนเอง พอหยุดร้อง ก็เตือนมารดาว่า อย่าเที่ยวพูดออกไป หาไม่แล้วเว่ยอ๋องต้องฆ่าตนแน่


 


 


อนุฟางไหนเลยจะคิดว่าอ๋องห้าจะเป็นคนประเภทนี้ กลัวก็แต่ลูกสาวจะยิ่งถลำลึก พลอยเปิดศึกกับท่านอ๋องไปด้วย จึงปลอบประโลมชุดใหญ่ แล้วว่า


 


 


“ชอบผู้ชายแล้วไง ผู้ชายก็เป็นนังจิ้งจอกได้เหมือนกัน ที่ควรข่ม เราก็ต้องข่ม ที่ควรทำลาย เราก็ต้องทำลาย! แสดงอำนาจของชายารองให้เต็มที่! อย่างไรการสืบทอดวงศ์ตระกูลก็ยังต้องพึ่งผู้หญิงอยู่ดี ต่อให้จิ้งจอกชายเป็นที่รักใคร่เพียงใด มีความสามารถแค่ไหน ก็บอกไปเลยว่า แน่จริงมีทายาทให้เว่ยอ๋องสักคนสิ ทำได้ไหม สุดท้ายก็ต้องพึ่งเจ้านั่นล่ะ”


 


 


พออวิ๋นหว่านถงได้ยินคำชี้แนะเช่นนี้ ก็กัดฟันกรอดๆ โดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่คืนที่นางถูกท่านอ๋องตบ เยี่ยหนานเฟิงนั่นก็ยิ่งได้ใจ หลายวันมานี้ ตอนเดินสวนกันหลังจวน ก็เดินกรีดกรายโดยไม่แม้แต่จะทำความเคารพ เหลือบมองตนแล้วเชิดหน้าเดิน ตอนนี้พอได้ยินมารดาเตือนสติและให้กำลังใจ ก็พลันมีความหวังขึ้นมา คณิกาชายคนหนึ่ง คิดจะสู้กับตนงั้นรึ


 


 


ขณะแม่ลูกกำลังพูดคุยกันนั้น ยวนยางก็กุลีกุจอเข้ามา หน้าตาตื่นเล็กน้อย ก่อนกระซิบข้างหูชายารอง


 


 


พออวิ๋นหว่านถงได้ยิน ก็ลุกพรวดขึ้น กำมือแน่น


 


 


“ให้มันได้อย่างนี้สิ! พวกชั้นต่ำไร้ยางอาย…”


 


 


อนุฟางเห็นลูกสาวโกรธจนทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลง ก็รีบดึงนางให้นั่งลง “เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ”


 


 


สีหน้าอวิ๋นหว่านถงกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอยู่รอมร่อ นางโกรธจนพูดไม่ออก ยวนยางจึงได้แต่เล่าเสียงเบาให้อนุฟางฟัง


 


 


“…วันนี้ตอนที่ชายารองกลับมาเยี่ยมบ้าน เยี่ยหนานเฟิงเดินเล่นอยู่ในสวนกับท่านอ๋อง ก็บ่นกับท่านอ๋องว่า อากาศเย็นทำให้ดอกไม้ในสวนร่วงโรยไปหมด บรรยากาศจึงดูเงียบเหงา แต่พอเห็นสวนดอกไม้ในเรือนของชายารองเราเบ่งบาน ก็หันไปพูดกับท่านอ๋องสองสามคำ ท่านอ๋องฟังแล้ว ก็บอกให้คนสวนขนย้ายต้นไม้ที่อยู่ในเรือนของชายารองทั้งหมดออกมา อาทินาร์ซิสซัส ล่าเหมย โป๊ยเซียน แล้วเอาไปปลูกที่สวนกลาง…”


 


 


อนุฟางฟังจบ ยังไม่ทันพูดอะไร อวิ๋นหว่านถงก็โมโหจนแทบกระอักโลหิต


 


 


“ตอนนี้ท่านแม่ก็เห็นแล้ว! พอข้าไม่อยู่ นังแพศยานั่นก็เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ! เอาเถอะ ข้ากลับไปนั่งเฝ้าดีกว่า ไม่อยากให้นึกว่าข่มเหงกันได้ง่ายๆ เผื่อขนของออกจากเรือนข้าไปหมด!”


 


 


ว่าแล้วก็สั่งยวนยางไปบอกคนในจวนอ๋องให้เตรียมรถม้า


 


 


อนุฟางก็พลอยถูกชายคนโปรดของเว่ยอ๋องทำให้โมโหจนแทบสำลักไปด้วย จึงได้แต่เดินออกไปเป็นเพื่อนลูกสาวก่อน


 


 


 


 


ไม่ไกลจากเรือนชุนจี้ อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นแม่ลูกแซ่ฟางเดินหัวเสียออกมา สีหน้าอวิ๋นหว่านถงบัดเดี๋ยวม่วง บัดเดี๋ยวแดง คล้ายกำลังจะกลับจวน จึงพอจะเดาอะไรบางอย่างได้ว่า ชีวิตหลังแต่งงานของน้องสาม ไม่น่าจะสงบสุข จากนิสัยของอนุฟาง ต้องสอนวิธีจับสามีให้กับนางแน่ แต่ไม่รู้ว่าได้สอนเคล็ดลับการทำลายจิ้งจอกชายหรือเปล่า จึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าแล้วยิ้ม ได้แต่หันมองเมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่า


 


 


“ไปเหอะ ไปหน้าประตูใหญ่ น้อมส่งชายารอง”


 


 


คนบ้านสกุลอวิ๋นเห็นอวิ๋นหว่านถงรีบจากไป แม้แปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าถามอะไร อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่เดินนำทุกคน ไปยืนส่งลูกสาวคนเล็กออกจากบ้านไปด้วยสายตา


 


 


หลังงานเลี้ยงรับกลับบ้านผ่านพ้น เวลาสองสามวันก็ผ่านตาม


 


 


น้ำแกงเขากวางอ่อนถูกดื่มจนหมดเกลี้ยง ซึ่งก็เป็นไปตามที่ใครบางคนกะเกณฑ์ไว้ บังคับให้นางดื่มตามสูตรยา วันนี้เมี่ยวเอ๋อร์จึงฉวยโอกาสตอนออกไปซื้อของ แวะนำน้ำแกงโถใหม่จากร้านเต๋อซิ่งกลับมาเต็มโถ  


 


 


เมื่อพูดถึงเขากวางอ่อน แม้บำรุงร่างกายได้ดี แต่อย่างไรก็เป็นสมุนไพรโบราณ ต่อให้ทำออกมาในรูปแบบอาหารเสริม ก็กำจัดกลิ่นคาวได้ไม่หมด ทานแค่โถเดียวยังดี พอถึงโถที่สอง ก็ชักจะทานไม่ลง มักรู้สึกคลื่นไส้ เหมือนน้ำย่อยในกระเพราะถูกขับออกไปด้วย


 


 


พอเห็นน้ำแกงเต็มโถ อวิ๋นหว่านชิ่นก็อยากจะอาเจียนไปโดยปริยาย จึงเรอออกมาเต็มๆ วันนี้ถ้านึกถึงคนสั่งน้ำแกง บนศีรษะก็คงมีเขากวางงอกออกมาทันที


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นผลักออก ก็รีบว่า “คนเขากำชับนักกำชับหนาว่า ให้บ่าวเฝ้าดูจนคุณหนูใหญ่ทานจนหมด จะยอมแพ้กลางคันไม่ได้”


 


 


ว่าแล้วก็ตักออกมาเต็มชาม จ่อเข้าที่ปากอวิ๋นหว่านชิ่น จนเกือบจะเปิดปาก เทเข้าไปได้อยู่แล้ว


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์นี่ รับสินน้ำใจจากเขามาเท่าไหร่กันแน่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นแก่ที่ว่า พอทานลงไปชามหนึ่ง มือเท้าก็ร้อนขึ้นมาจริงๆ ได้ผลอยู่ จึงรับช้อนตักน้ำแกงมา ฝืนใจทานส่วนของวันนี้ลงไป


 


 


เพิ่งเช็ดปากเรียบร้อย เสียงฝีเท้ารีบร้อนของชูซย่าก็ดังขึ้น นางเลิกผ้าม่านก้าวเข้ามา ขมวดคิ้วพลางว่า


 


 


“คุณหนูใหญ่ คุณชายรองมู่หรงมา ตอนนี้กำลังนั่งคุยกับนายท่านอยู่ในห้องรับแขกเจ้าค่ะ”


 


 


เดิมทีกลิ่นคาวของน้ำแกงเขากวางอ่อนที่อยู่ในกระเพาะและยังไม่ได้ย่อย ก็ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกคลื่นไส้ จนต้องลูบท้องไปมาแล้ว พอได้ยินประโยคนี้ นางจึงเกือบจะอาเจียนออกมา


 


 


“เขามาทำอะไร”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม