จำนนรักชายาตัวร้าย 91.2-92.3

ตอนที่ 91-2 ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านก็มีห...

 

 


 


ในตอนที่นางถูกซย่าโหวจวินอวี่กักขังนั้น เซี่ยงจิ้นไม่เพียงจับนางมัดเท่านั้น ทั้งอุดปากนางอีกด้วย ทำให้นางไม่มีแม้โอกาสที่จะชี้แจงตนเองได้


 


 


ฮองเฮาแห่งแคว้น ถูกขันทีสองคนหามออกไป ทั้งยังในสภาพเช่นนั้น นางต้องกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะของคนทั้งวังหลวง


 


 


หลิวฮองเฮารักษาภาพพจน์ที่สูงส่งมาตั้งนาน แล้วก็มาถูกเซี่ยงจิ้นทำลายจนหมดสิ้นในวันนั้น


 


 


น่าแค้นใจนัก!


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น สองสามวันก่อนนางขอร้องอ้อนวอนเซี่ยงจิ้น เพื่อที่จะสอบถามว่าว่าที่สามีซย่าโหวเสวี่ยคือใคร แต่เขาก็ไม่อำนวยความสะดวกเลยแม้แต่น้อย


 


 


แค่บ่าวชั้นต่ำคนหนึ่ง ที่ติดตามอยู่ข้างกายฝ่าบาท ได้เห็นอะไรมากมายจนลืมกำพืดของตัวเองกระมัง!


 


 


“พระนาง บ่าวมีเรื่องเร่งด่วนจะทูลรายงานฝ่าบาท!”


 


 


“ฝ่าบาททรงเข้าบรรทมแล้ว มีเรื่องใหญ่อะไรพรุ่งนี้ค่อยทูลรายงาน!”


 


 


เซี่ยงจิ้นเคยกลั่นแกล้งนางอย่างไร นางก็จะตอบแทนคืนไปเช่นนั้น สนองคืนกลับให้เขาอย่างสาสม


 


 


เพราะอย่างไรเสีย นางและฝ่าบาทก็คืนดีกันแล้ว


 


 


ดังนั้นสำหรับฮองเฮาแล้ว อำนาจในการจัดการนางกำนัลขันทีทั้งวังหลวงนางยังมีอยู่เต็มที่


 


 


“พระนาง บ่าวมีเรื่องด่วนจะทูลรายงานฝ่าบาทจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เห็นเซี่ยงจิ้นร้อนใจจนเหงื่อไหลไคลย้อย หลิวฮองเฮาจึงเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา


 


 


“มีเรื่องอะไรบอกข้าเอาไว้ ข้าจะทูลฝ่าบาทแทนเจ้าเอง!”


 


 


บอกฮองเฮาไว้


 


 


บทละครมิได้เขียนไว้เช่นนี้นี่นา!


 


 


เซี่ยงจิ้นให้ตายก็ไม่ยอมพูด ท่าทางเช่นนี้ ยิ่งทำให้หลิวฮองเฮารู้สึกว่าเซี่ยงจิ้นเหิมเกริม


 


 


ไม่แน่นะว่า นังจิ้งจอกคนไหนเห็นว่าฮองเฮาถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว คิดแผนการชั่วร้ายอะไรออกมาได้อีกเพื่อที่จะดึงดูดฝ่าบาทไปหาพวกนาง


 


 


คนชั้นต่ำพวกนี้สมควรตาย!


 


 


ต่อให้ไม่ใช่นังจิ้งจอกมาหาเรื่อง แต่เซี่ยงจิ้นแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเช่นนี้ เห็นเพียงฝ่าบาทเป็นเจ้านาย มีเรื่องมีราวกลับปิดบังนางผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งฮองเฮา เพียงแค่ข้อนี้เขาก็สมควรตายแล้ว!


 


 


“ฮองเฮา บ่าว…”


 


 


เซี่ยงจิ้นยังมิทันกล่าวจบ หลิวฮองเฮาก็ยกมือขึ้นตวัดลงบนใบหน้าเซี่ยงจิ้นอย่างจัง


 


 


“บังอาจ! ฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อยกว่าจะบรรทมหลบได้ เจ้ากลับเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมารบกวนพระองค์ ใครก็ได้ ลากมันออกไปอุดปากแล้วโบยสิบไม้ให้หนัก”


 


 


เซี่ยงจิ้นยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ก็ถูกอุดปาก กดลงที่พื้นแล้วโบยทันที


 


 


โอ้!


 


 


ฮองเฮา ทรงเสียสติไปแล้วหรือ!


 


 


เซี่ยงจิ้นกัดฟันอดทนเมื่อนึกถึงสิ่งที่ซย่าโหวจวินอวี่กำชับเอาไว้ ละครฉากนี้จะออกมาดีหรือไม่จุดสำคัญอยู่ที่เขา ไม่ทันไร เซี่ยงจิ้นที่เพิ่งถูกโบยไปเจ็ดแปดไม้ก็ตาเหลือกสลบไปทันที


 


 


โบยเซี่ยงจิ้นได้ หลิวฮองเฮาสบายอกสบายใจอย่างที่สุด


 


 


ยากนักที่จะสบโอกาสจิกหัวอีกฝ่าย หากไม่สั่งสอนให้รู้ถึงอำนาจฮองเฮาเสียหน่อย ได้อย่างไรกันเล่า!


 


 


เซี่ยงจิ้นที่สลบไปถูกน้ำสาดปลุกให้ตื่น หลังจากฟื้นขึ้นมาก็ถูกโบยอีกสามไม้จนครบ สุดท้ายจึงค่อยๆ พาร่างอันสั่นเทาคลานไปขอบพระทัยฮองเฮา


 


 


“เฮอะ! พึงระลึกถึงสถานะของตนเองเอาไว้ให้ดี! เจ้ามันก็แค่บ่าวรับใช้…”


 


 


เห็นเซี่ยงจิ้นสะบักสะบอมและอดกลั้น ในที่สุดหลิวฮองเฮาก็กลับเข้าไปในตำหนักด้วยความพึงพอใจ


 


 


นางหารู้ไม่ว่า นี่แหละคือผลลัพธ์ที่ฮ่องเต้ทรงต้องการ


 


 


รอจนกระทั่งฮองเฮาเอนกายนอนลง ซย่าโหวจวินอวี่จึงทำทีเป็นลืมตาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ


 


 


“เกิดอะไรขึ้นหรือ”


 


 


“ไม่มีอะไรเพคะ! เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง พระองค์ทรงบรรทมต่อเถอะเพคะ!”


 


 


หลิวฮองเฮาใช้น้ำเสียงราวกับกำลังกล่อมเด็กน้อยกับฝ่าบาท ไม่นานซย่าโหวจวินอวี่ก็หลับไปอีกครั้ง


 


 


เดิมทีหลิวฮองเฮาคิดว่าเรื่องราวในคืนนี้คงจะจบลงเพียงเท่านี้ ที่ไหนได้ เมื่อถึงกลางดึกซย่าโหวฉิงเทียนมาด้วยตัวเอง


 


 


“ผ่าง…”


 


 


เขาใช้เท้าถีบประตูเข้ามา ประตูสองบานพับที่มีน้ำหนักมากล้มลงที่พื้นเสียงดังสนั่น ทำเอาหลิวฮองเฮาสะดุ้งตื่นด้วยอาการตกใจอย่างที่สุด หัวใจนางแทบกระเด็นออกมาด้านนอกเลยทีเดียว


 


 


“น้องสิบสี่ เจ้า เจ้ามาได้อย่างไรกัน!”


 


 


หลิวฮองเฮารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของซย่าโหวจวินอวี่และซย่าโหวฉิงเทียนแน่นแฟ้นยิ่งนัก


 


 


แต่ว่า น้องสามีบุกเข้ามาที่ตำหนักบรรทมพี่สะใภ้กลางดึก นี่มันเรื่องอะไรกันนะ!


 


 


“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าคงข่มตาหลับไม่ลง คงจะมีแต่พี่เสด็จพี่เท่านั้นกระมังที่ข่มตาหลับลงได้”


 


 


เบื้องหลังของซย่าโหวฉิงเทียนคือเซี่ยงจิ้นที่ค่อยๆ โผลหัวออกมา


 


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า หลิวฮองเฮาจึงคิดว่าเป็นเซี่ยงจิ้นที่ไปฟ้องหลินเจียงอ๋อง ทำให้นางโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก


 


 


แต่ทว่า ไม่รอให้หลิวฮองเฮาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยืนขึ้นมาเสียแล้ว


 


 


“ฉิงเทียน เป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”


 


 


“เสด็จพี่ ซย่าโหวเสวี่ยตายแล้ว ถูกหลิวเปยฆ่าตาย!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น ปฏิกิริยาแรกของหลิวฮองเฮานั่นก็คือ ซย่าโหวฉิงเทียนพูดจาเหลวไหล จะเป็นไปได้อย่างไร หลิวเปยเด็กดีขนาดนั้น! เหตุใดต้องฆ่าเสวี่ยเอ๋อร์ด้วย


 


 


“น้องสิบสี่ เจ้าในฐานะที่เป็นลุง จะมาสาปแช่งเสวี่ยเอ๋อร์เช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


ท่ามกลางความวุ่นวาย ทำให้หลิวฮองเฮาพลั้งปากออกไป


 


 


สาปแช่ง


 


 


เมื่อเห็นว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้แล้วหลิวฮองเฮาก็ยังไม่ได้สติอีก ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชามากขึ้น


 


 


“เสด็จพี่ หญิงที่โง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ ท่านเลือกมาเป็นฮองเฮาได้อย่างไรกัน ลูกสาวตัวเองเกิดเรื่องแล้ว นางไม่เพียงแต่ไม่ห่วงใย ทั้งยังโบยเซี่ยงจิ้นจนน่วม ขัดขวางมิให้เซี่ยงจิ้นเข้ามากราบทูล ช่างเป็นฮองเฮาที่ทรงอำนาจเสียจริงๆ เลย!”


 


 


ได้ยินดังนั้น ซย่าโหวจวินอวี่จึงเรียกเซี่ยงจิ้นมาเข้าเฝ้าทันที


 


 


จนกระทั่งเซี่ยงจิ้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง หลิวฮองเฮาจึงได้รับรู้แล้วว่า ซย่าโหวเสวี่ยโชคร้ายพบกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันจริงๆ


 


 


สำหรับหลิวฮองเฮาแล้ว ความสุขนางเพิ่งจะผ่านเข้ามายังมิทันข้ามวัน ความสุขนั้นก็เป็นดั่งฟองอากาศแตกกระจายสูญสลายไปในพริบตา


 


 


“ไม่ เป็นไปไม่ได้!”


 


 


หลิวฮองเฮาเข่าอ่อน ทรุดลงบนพื้น


 


 


เมื่อรู้จากซย่าโหวฉิงเทียนว่าหลิวเปยได้หลบหนีไป ส่วนองครักษ์จวนองค์หญิงก็บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ซย่าโหวจวินอวี่ก็พิโรธจนควันออกหู


 


 


“ฮองเฮา เจ้าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”


 


 


หากมิใช่หลิวฮองเฮาขัดขวาง ซย่าโหวจวินอวี่ก็คงรู้ความจริงนานแล้ว คงให้คนไปจับตัวหลิวเปยมาได้


 


 


ที่ข้างหูก็มีเสียงของซย่าโหวจวินอวี่ที่กำลังกล่าวโทษดังก้อง หลิวฮองเฮาโซซัดโซเซลุกยืนขึ้น ออกเดินมุ่งหน้าออกไปด้านนอก


 


 


“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าจะไปหาเสวี่ยเอ๋อร์ ข้าจะไปหาเสวี่ยเอ๋อร์! “


 


 


“ข้าพานางกลับมาแล้ว!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเพียงแค่กวักมือ คนสองคนก็หามร่างไร้วิญญาณของซย่าโหวเสวี่ยเข้ามา วางลงตรงเบื้องหน้าหลิวฮองเฮา


 


 


หลิวฮองเฮาใช้มืออันสั่นเทาของนางเลิกผ้าขาวที่คลุมร่างซย่าโหวเสวี่ย เผยให้เห็นร่างที่แลดูน่ากลัว เพราะร่างทั้งร่างของนางเปลี่ยนเป็นสีดำ มีร่องรอยการถูกพิษชัดเจน


 


 


“ราชบุตรเขยกับองค์หญิงไม่รู้ว่าทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร ราชบุตรเขยชักดาบแทงองค์หญิง เมื่อบ่าวได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดขององค์หญิง บ่าวก็รีบร้องให้คนช่วย กระทั่งเมื่อบ่าวบุกเข้าไป ราชบุตรเขยก็ป้อนยาพิษให้องค์หญิงแล้วเพคะ”


 


 


“ก่อนองค์หญิงจะสิ้นพระชนม์ยังทรงร้องตะโกนว่าเสด็จพ่อช่วยลูกด้วยอยู่เลย!”


 


 


ดวงตาทั้งสองข้างของหมัวมัวแดงก่ำทั้งยังบวมเป่ง น้ำเสียงตะกุกตะกัก หลายครั้งที่น้ำเสียงขาดห้วงจนพูดต่อไปไม่ได้เพราะสภาพอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว


 


 


รอจนกระทั่งนางเล่าเรื่องทั้งหมดจบลง หลิวฮองเฮาทนรับการกระทบกระเทือนจิตใจนี้ต่อไปไม่ไหว เป็นลมล้มลงไป


 


 


ฮ่องเต้ให้คนกดที่บริเวณจุดหยินจง เพื่อปลุกให้นางได้สติ


 


 


กระทั่งหลิวฮองเฮาลืมตาขึ้น เบื้องหน้านางคือสายตาพิฆาตของฮ่องเต้


 


 


“ฮองเฮา ถึงตอนนี้เจ้าพอใจหรือยัง เสวี่ยเอ๋อร์ตายแล้ว ฆาตกรก็หนีไปแล้ว ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเจ้าเป็นมารดาที่ให้กำเนิดเสวี่ยเอ๋อร์จริงหรือเปล่า เจ้าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”


 


 


สุดท้ายฮ่องเต้ก็มิได้ทรงตัดสินพระทัยว่าจะจัดการอย่างไรกับหลิวฮองเฮา เพียงเหลือร่างไร้วิญญาณของซย่าโหวเสวี่ยไว้เป็นเพื่อนกับนาง จากนั้นจึงให้ลงกลอนตำหนักของฮองเฮา


 


 


หลังจากที่คณะของซย่าโหวจวินอวี่จากไป ในที่สุดหลิวฮองเฮาก็ทนไม่ไหวกระอักเลือดออกมา เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปโดนใบหน้าซย่าโหวเสวี่ย


 


 


ความรู้สึกผิดในใจของหลิวฮองเฮาถาโถมกระหน่ำเข้ามา


 


 


สุดท้ายหลิวฮองเฮาก็นอนลงที่พื้น นางหายใจหอบสลับกับไอออกมาเป็นเลือด


 


 


“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกลัว แม่อยู่ข้างๆ เจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัว!”


 


 


เห็นว่าใบหน้าของบุตรสาวเลอะเปื้อน หลิวฮองเฮาจึงค่อยๆ คลานเข้าไปข้างกายนาง แล้วยื่นมือไปเช็ดรอยเลือดที่เลอะเปื้อนใบหน้านางออก


 


 


“เสวี่ยเอ๋อร์ แม่อยู่นี่! แม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้า!”

 

 

 


ตอนที่ 91-3 ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านก็มีห...

 

 


 


ไม่นาน หมอหลวงก็มากราบทูลเรื่องที่หลิวฮองเฮาเสียสติให้ซย่าโหวจวินอวี่รับรู้ สีหน้าเขาเข้มขึ้น แล้วกำชับให้คนดูแลหลิวฮองเฮาให้ดี


 


 


สาส์นท้ารบของซย่าโหวจวินอวี่ส่งไปถึงซีเย่ว์ เพิ่มเรื่องราวโศกนาฏกรรมของหลิวฮองเฮาเข้าไปอีกเรื่อง


 


 


“เสด็จพี่ ให้ข้าไปตามล่าหลิวเปยเถอะ ข้ารับรองว่าภายในหนึ่งวันจะจับตัวมันกลับมาได้แน่นอน!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหารู้ไม่ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบนั่นก็คือซย่าโหวจวินอวี่นั่นเอง


 


 


เขากำลังครุ่นคิดว่า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบซย่าโหวเสวี่ย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะมารังแกคนในตระกูลซย่าโหวได้


 


 


ในมุมซย่าโหวฉิงเทียน หากเป็นเรื่องภายในเราคนในจะจัดการแก้ไข รังแกกันอย่างไรก็ได้ ถือเป็นเรื่องภายในครอบครัว แต่เมื่อออกไปข้างนอก ใครก็ตามที่กล้ารังแกตระกูลซย่าโหว ก็เท่ากับเป็นศัตรูเขา ซึ่งมันสมควรตาย!


 


 


“ไม่ต้อง!”


 


 


ข้อเสนอของซย่าโหวฉิงเทียน แน่นอนว่าซย่าโหวจวินอวี่ไม่เห็นด้วย


 


 


“เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า…”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่นะหรือจะให้ซย่าโหวฉิงเทียนไปไล่ล่าหลิวเปย


 


 


ไม่เพียงแต่ไม่ต้องไปไล่ล่าตามจับหลิวเปย เขายังให้คนแอบจัดการอะไรบางอย่างๆ ลับๆ ในจุดที่สำคัญ เพื่ออำนวยความสะดวกให้หลิวเปยหลบหนีไปได้


 


 


เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ แล้วจะยกทัพไปโค่นล้มซีเย่ว์อย่างสะดวกโยธินได้อย่างไรกันเล่า!


 


 


เวลาผ่านไปเพียงแค่คืนเดียว ซย่าโหวจวินอวี่กลับแลดูแก่ชราลงไปมาก เมื่อมองดูใบหน้าที่แก่ชราร่วงโรยของซย่าโหวจวินอวี่แล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่ดึงดันอีกต่อไป เขานั่งเป็นเพื่อนเคียงข้างซย่าโหวจวินอวี่เท่านั้น


 


 


เห็นแผ่นหลังที่ตรงแน่วของซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ้มออกมา


 


 


ยังดี ที่มีบุตรชายที่แสนซื่ออยู่ข้างกายเขา!


 


 


ลูกเอ๋ย เรื่องการวางแผนซ้อนกล ให้พ่อทำก็เพียงพอแล้ว เจ้ารอคอยแค่ได้อุ้มคนงามกลับบ้าน แล้วมีหลานตัวอ้วนให้พ่อสักสองสามคนก็พอ!


 


 


ลูกสะใภ้ทั้งสามคนล้วนเก่งกาจทั้งสิ้น แล้วสินสอดทองหมั้นจะน้อยไปได้อย่างไรกัน!


 


 


แผนการในใจที่ฮ่องเต้ทรงตระเตรียมไว้คือ ลูกสะใภ้หนึ่งคน หนึ่งแคว้น เช่นนี้จึงจะนับว่ายุติธรรม


 


 


ถึงแม้ว่าซีเย่ว์จะยากจนไปสักหน่อย แต่นั่นเป็นเพราะฮ่องเต้แห่งซีเย่ว์เลอะเลือนไร้สามารถ แท้ที่จริงแล้วซีเย่ว์เป็นแคว้นที่มีทรัพยากรมาก อากาศดี ประชาชนขยันขันแข็งเรียบง่าย จึงนับเป็นพื้นที่ที่ดีอยู่ไม่น้อย


 


 


ครั้งนี้ที่ลงมือ ถึงแม้ว่าวิธีการจะเลวทรามไปบ้าง แต่เพื่อชีวิตในภายภาคหน้าที่สวยงามของบุตรชาย เขาจึงยอมทุ่มเททุกอย่าง!


 


 


สุดท้าย ซย่าโหวจวินอวี่ก็ผล็อยหลับไปเคียงข้างซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมองดูเส้นผมบางส่วนของซย่าโหวจวินอวี่เริ่มที่จะขาวโพลนอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ชันกายลุกขึ้นหยิบผ้าห่มมาห่มให้กับเขา


 


 


รอจนกระท่งซย่าโหวฉิงเทียนเดินออกไปอย่างเงียบๆ แล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาฉายแววจนปัญญา ทั้งยังฉายแววแห่งความซาบซึ้งใจ


 


 


เมื่อไหร่กันที่เจ้าจะยอมเรียกข้าว่าเสด็จพ่อ…


 


 


ข่าวที่ว่าองค์ชายแห่งซีเย่ว์วางยาพิษสังหารองค์หญิงเสวี่ยจนสิ้นพระชนม์ ต่อสู้ทำร้ายองครักษ์จนบาดเจ็บล้มตายนับสิบ แพร่ไปทั่วเมืองหลวงภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน


 


 


เหล่าชาวบ้านได้ฟังข่าวนี้ก็รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก จนแทบอยากที่จะจับกุมหลิวเปย แล้วสับด้วยมือของพวกเขาเอง!


 


 


ขณะเดียวกันประกาศจับของหลิวเปยถูกส่งไปทั่ว


 


 


ฝ่าบาทต้องทรงทำศพส่งพระธิดา คนผมขาวส่งคนผมดำ เมื่อได้ยินข่าวนี้ เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างก็โกรธเคืองจนแทบกระอักเลือด หลิวฮองเฮาเสียพระทัยที่สูญเสียองค์หญิงจนสติฟั่นเฟือน อารมณ์คั่งแค้นโกรธเคืองปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวง…


 


 


หลากหลายเรื่องราวถูกเผยแพร่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ล้วนกระทบจิตใจประชาชน ทำให้หัวใจที่รักชาติของพวกเขาคุกกรุ่น


 


 


ประชาชนตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือทางการไล่ล่าหลิวเปยไอ้คนเนรคุณ ขณะเดียวกระแสให้โค่นล้มซีเย่ว์ก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นทุกวัน


 


 


ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก็ยื่นหนังสือถึงฮ่องเต้ ให้ทรงมีพระบัญชาเคลื่อนพล


 


 


เพียงแต่พระองค์เสียพระทัยอย่างหนักจนประชวร เมื่อได้ยินข่าวคราวเหล่านี้ ในใจอวี้เฟยเยียนก็เกิดความเคลือบแคลงสงสัยเล็กน้อย จนมากเข้า สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง


 


 


ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง……


 


 


ฝ่าบาททรงคือยอดฝีมือที่เ**้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์จริงๆ นับถือ นับถือ!


 


 


ข้างกายอวี้เฟยเยียน คืออวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยที่กำลังหารือเรื่องราวในราชสำนัก ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดี ซึ่งก็ได้ถวายฎีกาเพื่อให้ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาเคลื่อนพลโจมตีซีเย่ว์


 


 


เมื่อเห็นอวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยถกเถียงกันอย่างหนัก อวี้เฟยเยียนก็หมดคำพูด


 


 


ส่วนในเรื่องนำทหารไปออกรบ ทั้งคู่ต่างไม่มีใครยอมใคร


 


 


คนหนึ่งก็บอกว่า ท่านพ่อท่านอายุมากแล้ว มิควรที่จะต้องไปต่อสู้ฆ่าฟันเด็ดหัวพวกศัตรูลูกสุนัขในสนามรบอีก หน้าที่นี้ก็ให้ลูกไปทำเถอะ ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากอายุมากแล้วคงไม่ค่อยสะดวก เดี๋ยวจะพลาดท่าทำตัวเองบาดเจ็บเข้า ลูกต้องมาสงสารท่านอีก


 


 


ส่วนอีกคนก็บอกอีกว่า ไอ้ลูกชาย อาศัยเจ้าน่ะหรือ เจ้าเป็นแค่ขั้นราชัน ยังกล้าคุยโว เจ้านะอยู่ที่นี่! เรื่องนี้ให้พ่อจัดการเอง เจ้ารออยู่ที่นี่เป็นเด็กดีรีบทำลูกเข้า! อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว ควรจะเป็นพ่อคนได้แล้ว!


 


 


ชายต่างวัยสองคนแห่งตระกูลอวี้ ถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง ส่วนอวี้เฟยเยียนก็นั่งแทะเมล็ดแตงไปพลางพูดคุยกับมู่เหนี่ยนซีเรื่องของเสื้อผ้าที่เป็นที่นิยมที่สุดในตอนนี้ไปด้วย


 


 


อย่างไรเสีย นางก็ไม่ชอบซย่าโหวเสวี่ยอยู่แล้ว!


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยตายไป นับเป็นเรื่องน่ายินดีปรีดา แล้วเหตุใดเล่าถึงจะต้องมานั่งเป็นเดือดเป็นร้อนโกรธแค้นแทนด้วย!


 


 


ยิ่งกว่านั้น ฮ่องเต้ทรงเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์สิ่งที่ทรงต้องการนั่นก็คือการลุกฮือของประชาชนผู้รักชาติยิ่งชีพ ยิ่งหนักหน่วงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จนสุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองแคว้น ถึงตอนนั้นพระองค์จะได้ทำตามสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง ยกทัพไปโค่นล้มซีเย่ว์ได้อย่างสะดวกโยธินนะสิ


 


 


พูดตามความจริงละก็ ซย่าโหวจวินอวี่ต่างหากที่เป็นนายใหญ่ สุดยอดไปเลย!


 


 


ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเริ่มคิดแผนการนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


 


 


หรือตั้งแต่ที่รู้ว่าซย่าโหวเสวี่ยสูญเสียความบริสุทธิ์ จึงเริ่มวางแผนการนี้ จัดฉากเรื่องราวทั้งหมด


 


 


น่ากลัวจริงๆ เลย!


 


 


“เสี่ยวอวี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิดเดียวละ!”


 


 


เมื่อเห็นพ่อสามีและสามีต่างกำลังถกเถียงเรื่องของการทำศึกสงครามกันชนิดหน้าดำหน้าแดง มู่เหนี่ยนซีก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะห้ามปรามพวกเขาอย่างไร


 


 


การทำศึกสงครามถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องมีการบาดเจ็บล้มตาย ถึงแม้ว่าจะเป็นอวี้จิงเหลยหรืออวี้เชียนเสวี่ยที่เก่งกาจก็ตาม แต่มู่เหนี่ยนซีในฐานะที่เป็นครอบครัวของพวกเขา นางก็อดที่จะกังวลใจไม่ได้


 


 


ไม่ว่าจะเป็นพ่อสามีลงสู่สนามรบ หรือเป็นสามีลงสู่สนามรบ มู่เหนี่ยนซีล้วนแต่เป็นห่วงพวกเขาทั้งนั้น


 


 


“ท่านป้าสาม สงบใจเถอะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนสีหน้าราบเรียบ มีจักรพรรดิโอสถอยู่ทั้งคน ท่านปู่และท่านลุงสามจะเป็นอะไรได้อย่างไรเล่า!


 


 


“ทุกสิ่งทุกอย่างในใต้หล้านี้ล้วนแต่ไม่เที่ยง มีหลอมรวมก็มีแบ่งแยก นับเป็นเรื่องธรรมดา ซีเย่ว์ล่มสลาย ช้าเร็วก็ต้องเกิด! ท่านปู่และท่านลุงสามเป็นลูกหลานต้าโจว ยิ่งกว่านั้นพวกเขาเป็นทหาร หน้าที่ของทหารนั่นคือปฏิบัติตามคำสั่ง”


 


 


“ไม่ว่าพวกเขาจะถกเถียงกันอย่างไร สุดท้ายคนที่เป็นผู้ตัดสินก็คือฝ่าบาท!”


 


 


คำพูดของอวี้เฟยเยียน ทำให้อวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยเปลี่ยนมุมมองความคิดที่มีต่อนาง


 


 


“ดี พูดได้ดี!”


 


 


ไม่ต้องรอให้อวี้จิงเหลยเอ่ยปาก ก็มีเสียงขึ้นจากด้านนอก ซย่าโหวจวินอวี่ในชุดลำลองเดินเข้ามา ติดตามมาด้วยซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ฝ่าบาท…”


 


 


ฝ่าบาทเสด็จมาเยี่ยมเป็นการส่วนพระองค์ ทำให้อวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยตกใจไม่น้อย


 


 


ฝ่าบาททรงเสด็จมาเช่นนี้ ได้พาองครักษ์มาด้วยหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ


 


 


ราวกับอ่านความกังวลใจของประมุขแห่งตระกูลอวี้ออก ซย่าโหวฉิงเทียนกระแอมออกมาเบาๆ แล้วกล่าวว่า


 


 


“มีข้าอยู่ ยังจะมีใครบังอาจ!”


 


 


คำพูดยโสโอหังของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ต้องออกปากปรามเขา


 


 


ลูกเอ๋ย เจ้านี่ตรงเกินไปแล้วกระมัง!


 


 


อยู่ต่อหน้าประมุขแห่งตระกูลอวี้ เจ้ากับอวี้เฟยเยียนจะได้ลงเอยกันหรือไม่ ยังต้องให้ผู้เป็นปู่ของนางยินยอมถึงจะได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่รู้จักกล่าวอ้อมๆ บ้างเลยหรืออย่างไร อ้อมค้อมบ้าง เข้าใจหรือไม่!


 


 


“ฉิงเทียน เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านแม่ทัพเป็นผู้อาวุโสกว่าเจ้า ผู้อาวุโสเข้าใจหรือไม่!”


 


 


กล่าวจบ ฝ่าบาทก็ขอโทษอวี้จิงเหลยอย่างสุภาพ ยังกล่าวอีกว่าลูกชายเขา เสียมารยาท ขออภัยด้วย


 


 


ทรงตรัสคำพูดแปลกประหลาดมีนัยเช่นนี้ อวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยแน่ใจมากว่าฝ่าบาทจะต้องทรงรู้เรื่องที่ว่า ซย่าโหวฉิงเทียนชอบพออวี้เฟยเยียนอย่างแน่นอน ทั้งยังทรงสนับสนุนเต็มกำลังอีกด้วย!


 


 


ฝ่าบาทลดพระองค์ลงมาเช่นนี้ แน่นอนว่าอวี้จิงเหลยรับไว้ไม่ไหว เขารีบกล่าวตอบรับว่าซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเด็กที่มีนิสัยเถียรตรง ซึ่งลูกผู้ชายพึงมี ไม่ควรอ้อมค้อมจนเกินไป ทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยยิ่งนัก


 


 


บุตรชายของข้า ย่อมต้องดีที่สุดแน่นอน!


 


 


“ฝ่าบาท ทรงเสด็จมาในวันนี้ ทรงตัดสินพระทัยแล้วว่าจะให้ใครเป็นผู้นำทัพใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 91-4 ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านก็มีห...

 

 


 


นั่งลงได้ไม่นาน อวี้จิงเหลยก็อดรนทนไม่ไหวเอ่ยถามคำถามที่ค้างคาใจตนเองมานานขึ้น


 


 


“ใช่!”


 


 


เมื่อมองเห็นสีหน้าท่าทางพร้อมรบของอวี้จิงเหลย ก็พานคิดถึงอวี้เชียนสวิน อวี้เชียนหาน ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ละอายแก่ใจยิ่งนัก


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนสายตาเฉียบคมจริงๆ !


 


 


ตระกูลที่ดี ทั้งยังเป็นขุนนางที่จงรักภักดีเช่นนี้ หากแต่งงานกับอวี้เฟยเยียนได้ละก็ ก็เท่ากับได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอวี้ นับเป็นวาสนาของซย่าโหวฉิงเทียนโดยแท้!


 


 


 “ข้ามาคราวนี้ จะขอเชิญท่านแม่ทัพออกโรง!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวเจตนาของตนออกไปตรงๆ


 


 


ในตอนนั้น อวี้จิงเหลยกรำศึกกลับถึงเมืองหลวง ก็มอบอำนาจทางการทหารคืน ถึงแม้ว่าจะรักษาตำแหน่งตระกูลชั้นสูงเอาไว้ได้ แต่ในความเป็นจริงเขากลับมีเพียงตำแหน่ง แต่ไร้ซึ่งอำนาจ


 


 


ครานี้ถึงเวลาแล้วที่จะเรียกคืนอำนาจให้กับตระกูลอวี้อีกครั้ง


 


 


ใช้ตระกูลอวี้ เป็นสิ่งที่ซย่าโหวจวินอวี่ไตร่ตรองหลายต่อหลายครั้ง


 


 


ด้านหนึ่ง อวี้เชียนเสวี่ยฟื้นฟูพลังวัตรกลับมาแล้ว ตระกูลอวี้มีผู้สืบทอด ดังนั้นจึงสมควรให้อวี้เชียนเสวี่ยฝึกฝนให้มาก ให้เขาแบกธงรบของตระกูลอวี้ ต่อไปจะได้รับช่วงต่อตำแหน่งบิดา


 


 


อีกด้าน ตระกูลอวี้ตั้งค่ายปกป้องผืนมหาสมุทร ความสามารถในการทำศึกสูงส่ง ประสบการณ์โชกโชน หากให้พวกเขาว่างเว้นไม่ได้ทำอะไร ก็นับว่าน่าเสียดาย


 


 


แต่ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ซย่าโหวจวินอวี่ทำเช่นนี้ก็เพื่อซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


มีเพียงแต่ให้ตระกูลอวี้ได้กุมอำนาจอย่างแท้จริง ซึ่งต้องเป็นอำนาจทางการทหารอย่างมั่นคง ภายหน้าหากยกตำแหน่งฮ่องเต้ให้กับซย่าโหวฉิงเทียน พวกขุนนางน้อยใหญ่จะได้ไม่กล้าต่อต้าน


 


 


ถึงแม้ว่าการใช้กำลังมิใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ในบางครั้ง มีกำลังที่กล้าแข็ง จึงจะรวบรวมจิตใจคนเอาไว้ได้


 


 


ตระกูลอวี้ เป็นตระกูลที่ประชาชนนับหน้าถือตาให้ความเคารพเป็นที่สุด อวี้เฟยเยียนเองก็มีอิทธิพลและชื่อเสียง บางทีชื่อเสียงในด้านดีของพวกเขาจะสามารถลดทอนชื่อเสียงในด้านไม่ดีของซย่าโหวฉิงเทียนไปได้บ้าง


 


 


อดพูดไม่ได้ว่า ซย่าโหวจวินอวี่ก็เป็นพ่อที่ดีคนหนึ่งทีเดียว!


 


 


“ฝ่าบาท…”


 


 


คำพูดของซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้เลือดนักรบในกายของอวี้จิงเหลยเดือดพล่าน


 


 


“หม่อมฉันจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


นอกจากซาบซึ้ง ก็คือซาบซึ้ง


 


 


อวี้จิงเหลยยอมตายในสนามรบ ดีกว่าว่างเว้นอยู่แต่ในจวน


 


 


ตอนนี้เป็นโอกาสดี ที่ตระกูลอวี้จะได้รับใช้ประเทศชาติอีกครั้ง แล้วอวี้จิงเหลยจะไม่ดีใจได้อย่างไรเล่า!


 


 


“ฝ่าบาท แล้วหม่อมฉันล่ะ”


 


 


เมื่อเห็นว่าฝ่าบาททรงใช้สอยผู้เป็นบิดาโดยไม่สนใจบุตรชายเช่นเขา อวี้เชียนเสวี่ยก็ร้อนใจขึ้นมา


 


 


“ไม่เช่นนั้น พระองค์ให้หม่อมไปเป็นขุนพลทัพหน้าเถอะ พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


สีหน้าร้อนใจของอวี้เชียนเสวี่ย ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ชอบใจยิ่งนัก


 


 


“ท่านแม่ทัพน้อยเพิ่งจะแต่งงานเข้าหอ ต้องจากเมียรักไปไกล คงไม่ค่อยดีกระมัง”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่หยอกล้ออย่างอารมณ์ดี


 


 


ใครจะคาดคิด มู่เหนี่ยนซีกลับเดินขึ้นมาหยุดที่ข้างกายอวี้เชียนเสวี่ยกล่าวว่า


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันยินดีร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสามี เด็ดหัวศัตรู ตอบแทนประเทศชาติเพคะ!”


 


 


ความกล้าหาญของมู่เหนี่ยนซี ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ชื่นชมไม่หยุด


 


 


“ดี เป็นหญิงก็มิได้ด้อยไปกว่าชาย ข้าอนุญาต!”


 


 


“จริงหรือ พระองค์มิได้หลอกหม่อมฉันนะเพคะ!”


 


 


มู่เหนี่ยนซีจ้องมองฮ่องเต้ด้วยสายตาตื่นตะลึง รู้สึกแทบไม่เชื่อหู


 


 


เดิมทีนางก็เตรียมตัวเอาไว้พร้อมอยู่แล้ว หากว่าอวี้เชียนเสวี่ยต้องไปที่ซีเย่ว์ นางก็จะติดตามไปด้วย นางไม่ยอมแยกจากเขาเด็ดขาด!


 


 


คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่นางเสนอไปซย่าโหวจวินอวี่กลับอนุญาต


 


 


“คำพูดข้าศักดิ์สิทธิ์ แล้วข้าจะโกหกเจ้าได้อย่างไรกัน!”


 


 


“เยี่ยมไปเลย ขอให้ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี! พระองค์คือฮ่องเต้ที่ดีที่สุดเลยเพคะ!”


 


 


มู่เหนี่ยนซีดีใจจนกระโดดโลดเต้น นางโอบรอบคอของอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้แล้วกล่าว


 


 


“เสวี่ย พวกเราไปด้วยกัน ข้าจะไปกับเจ้า!”


 


 


“แค่กๆ ยังมีคนอยู่ตรงนี้นะ!”


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวเสียงเบา ใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าที่เปี่ยมสุขของมู่เนียนซี ซย่าโหวจวินอวี่ก็อิจฉายิ่งนัก


 


 


ในชีวิตหนึ่ง สามารถได้พบกับคนที่ชอบ ทั้งอีกฝ่ายก็ชอบเราเช่นกัน เดิมทีก็ไม่ง่าย


 


 


คนทั้งสองที่ชอบพอซึ่งกันและกัน สุดท้ายสามารถอยู่ด้วยกัน แต่งงานกันเป็นสามีภรรยา อยู่กินกันจนแก่เฒ่า นั่นยิ่งไม่ง่ายใหญ่


 


 


ทำบุญร่วมกันมาเป็นร้อยปีถึงได้มาเจอกัน แต่ทำบุญร่วมกันเป็นพันปีกว่าจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอน!


 


 


“พี่เยียน ชาติก่อนเราสองคนคงจะขี้เกียจเกินไปใช่หรือไม่ ทำบุญร่วมกันมาน้อยใช่หรือเปล่า ดังนั้นข้าถึงได้คลาดกับท่าน…แต่ขอให้ท่านโปรดวางใจ ข้าจะไม่ให้ลูกของเรา ต้องคลาดจากสตรีที่เขารักเป็นแน่!”


 


 


คิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวจวินอวี่จึงเหลือบมองไปที่อวี้เฟยเยียนที่นั่งเงียบกริบอยู่ข้างๆ


 


 


นางกำลังมองสำรวจซย่าโหวจวินอวี่ สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


 


ช่างเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดจริงๆ !


 


 


เพียงแค่มองเห็นดวงตาคู่สวยที่ฉายแววความเฉลียวฉลาดออกมาชัดเจน ซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้ได้ในทันที


 


 


พูดคุยกับคนฉลาด ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใดๆ


 


 


เขามาหาถึงที่บ้านด้วยตนเอง คิดว่าอวี้เฟยเยียนคงเกิดความสงสัยแล้วละ!


 


 


ทุกสิ่งทุกอย่างในใต้หล้านี้ล้วนแต่ไม่เที่ยง มีหลอมรวมก็มีแบ่งแยก มีแบ่งแยกย่อมต้องมีหลอมรวม พูดได้ดีจริงๆ


 


 


ว่าที่ลูกสะใภ้ของข้า ไม่ต้องสงสัยหรอก ที่ข้าทำลงไปก็เพื่อเป็นสินสอดให้ลูกชายไปขอเจ้ามาเป็นลูกสะใภ้อย่างไรเล่า สินสอดสำหรับสะใภ้จอมเทวาทั้งคน น้อยหน้าได้อย่างไรกัน ไม่รู้ว่าแคว้นซีเย่ว์ทั้งแคว้นจะเพียงพอหรือเปล่า!


 


 


เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีอวี้หลัวช่า แล้วก็แมวน้อยที่ยังไม่รู้ชื่อแซ่อีก ฝ่าบาทก็ทรงปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา


 


 


ต้าโจว ซีเย่ว์ มีสองแคว้นแล้ว!


 


 


แต่เขามีสะใภ้ถึงสามคน!


 


 


เห็นที เรื่องแคว้นฉินจื้อจะชักช้าไม่ได้ ต้องรีบวางแผนเสียแล้ว!


 


 


ลูกเอ๋ย เจ้านี่ช่างว่างสรรหาลูกสะใภ้เด็ดๆ มาทั้งนั้นเลย เจ้าจะให้พ่อทุบหม้อข้าว ยกแคว้นยกบ้านเมืองเข้าแลกเลยหรือ เห็นทีปีนี้ คงจะไปขอลูกสะใภ้ไม่ไหวแล้วกระมัง!


 


 


รอจนกระทั่งซย่าโหวจวินอวี่และซย่าโหวฉิงเทียนกลับไป อวี้จิงเหลยจึงค่อยเรียกอวี้เฟยเยียนเอาไว้เพื่อพูดคุยกับนางลำพัง


 


 


“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าก็โตแล้วเป็นสาวแล้ว เจ้าวางแผนอนาคตไว้ว่าอย่างไรกัน”


 


 


เดิมทีอวี้จิงเหลยคิดจะถามหลานสาวว่าคิดอย่างไรกับซย่าโหวฉิงเทียน แต่เขาเกรงว่าแม่นางน้อยเช่นนางจะเขินอายหน้าบาง ดังนั้นจึงเปลี่ยนวิธีการ ถามถึงความคิดและแผนการในอนาคตแทน


 


 


“ข้าอยากที่จะตามหาพี่ใหญ่ให้เจอ ยังมีท่านลุงรองและท่านป้ารองให้กลับมา ถึงตอนนั้นครอบครัวของเราจะได้อยู่พร้อมหน้า ครื้นเครงมีความสุข!”


 


 


อวี้จิงเหลยนึกไม่ถึงเลยว่าอวี้เฟยเยียนจะพูดถึงอวี้เชียนหานและตี้อู่เยียนเอ๋อร์ขึ้นมา


 


 


หรือว่า…นี่คือสายเลือดที่ตัดอย่างไรก็ไม่ขาดอย่างนั้นหรือ


 


 


ทำให้อวี้จิงเหลยคิดทบทวนและเสียใจในเวลาเดียวกัน


 


 


อวี้เฟยเยียนอายุสิบห้าปีแล้ว ซึ่งอวี้เชียนหานและตี้อู่เยียนเอ๋อร์หายสาบสูญไปสิบหกปีเต็มแล้ว!


 


 


สิบหกปีเชียวนะ!


 


 


เด็กหญิงตัวน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ในตอนนั้น เติบโตขึ้นแล้ว ทั้งยังเป็นถึงจอมเทวาและจักรพรรดิโอสถ


 


 


นางสืบทอดสายเลือดแห่งความแข็งแกร่งและยอดเยี่ยมมาจากพวกเจ้า เจ้าเห็นหรือยัง

 

 

 


ตอนที่ 91-5 ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านก็มีห...

 

ความเจ็บปวดของอวี้จิงเหลยอวี้เฟยเยียนรับรู้ได้


 


 


นางเดินเข้าไปหาผู้เป็นปู่ แล้วจับต้นแขนของเขากล่าวว่า


 


 


“ท่านปู่ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะต้องตามหาพี่ใหญ่ ท่านลุงรอง ท่านป้ารองกลับมาให้ได้ ครอบครัวเรา จะต้องกลับมาพร้อมหน้าอีกครั้ง!”


 


 


“ดี! เด็กดี!”


 


 


อวี้จิงเหลยตบที่มือของอวี้เฟยเยียนเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ


 


 


“ปู่รู้ว่าเจ้าเป็นเด็กกตัญญู น้ำใจเจ้าปู่รับรู้แล้ว! เช่นนั้นความหวังตระกูลอวี้ ฝากไว้ที่เจ้าแล้ว!”


 


 


เมื่ออวี้เฟยเยียนออกไป อวี้เชียนก็เดินเข้ามา


 


 


“ท่านพ่อ ท่านคิดจะบอกความจริงกับเสี่ยวเยียนเมื่อไหร่กัน”


 


 


หากมิใช่แอบฟังในสิ่งที่อวี้จิงเหลยและอวี้เฟยเยียนพูดคุยกัน อวี้เชียนเสวี่ยก็คงคิดไปว่าอวี้เฟยเยียนรู้เรื่องที่ว่าพ่อแม่บังเกิดเกล้าของนางคืออวี้เชียนหานและตี้อู่เยียนเอ๋อร์ตั้งนานแล้ว


 


 


“ไม่รีบร้อน…”


 


 


อวี้จิงเหลยทอดมองไปที่กลุ่มก้อนเมฆที่กำลังล่องลอยอยู่บนฟากฟ้า


 


 


“หากข้าคาดการณ์ไม่ผิดละก็ เชียนหานและตี้อู่เยียนเอ๋อร์น่าจะอยู่ที่เมืองอู๋โยว ที่นั่นเป็นสถานที่อะไร เจ้าเองก็รู้ดี”


 


 


“ถึงแม้ว่าเยียนเอ๋อร์อยู่ที่หลัวอวี่จะเป็นจอมเทวาที่แสนเก่งกาจ แต่ในสายตาคนพวกนั้นที่เมืองอู๋โยว คนเช่นพวกเรานั้นต่ำต้อยราวกับมดตัวเล็กๆ ก็ไม่ปาน!”


 


 


“เยียนเอ๋อร์ยังต้องเติบโตอีกมาก! เพราะศัตรูนางแข็งแกร่งเกินไป ซึ่งข้าและเจ้ามิอาจช่วยเหลืออะไรนางได้เลย”


 


 


คำพูดของอวี้จิงเหลย กระแทกใจของอวี้เชียนเสวี่ยอย่างแรง


 


 


ใช่นะสิ ตอนนี้เขาสำเร็จเพียงขั้นราชันเท่านั้น หากพบเจออันตรายจริงๆ ไม่แน่ว่าเขาเองนี่แหละที่จะเป็นตัวถ่วงอวี้เฟยเยียน


 


 


“ท่านพ่อ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะต่อสู้อย่างเต็มที่!”


 


 


เมื่อคิดถึงได้เช่นนี้ อวี้เชียนเสวี่ยก็กำหมัดแน่น


 


 


“ข้าจะช่วยเยี่ยนเอ๋อร์ ข้าคอยช่วยเหลือสนับสนุนและเป็นเกราะกำบังให้กับนาง!”


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าที่แน่วแน่ของอวี้เชียนเสวี่ย อวี้จิงเหลยก็พยักหน้าเบาๆ


 


 


“ใช่! พวกเราจะต้องฝึกฝนเพิ่มพูนพลังให้กับตนเอง เราไม่จะไม่นิ่งดูดายรอคอยโดยที่ไม่ทำอะไรเลย พวกเราจะต้องช่วยนาง!”


 


 


สองพ่อลูกความคิดเห็นตรงกัน และผลจากความคิดเห็นนี้นำมาซึ่งการร่วมกันปฏิบัติจริงนั่นก็คือ สองพ่อลูกไปที่สนามฝึก แล้วเพิ่มความเข้มข้นในการฝึกให้กับกองทัพตระกูลอวี้อีกเท่าตัว


 


 


หลังจากใช้วิธีฝึกปรือของอวี้เฟยเยียน ร่วมกับยาบำรุงที่อวี้เฟยเยียนปรุงขึ้นเพื่อบำรุงกำลังให้กับทุกคนโดยอิงตามโครงสร้างร่างกายของแต่ละคน เพื่อเป็นตัวช่วยอีกแรง เดิมกองทัพตระกูลอวี้ที่มีเพียงขั้นธรรมดาก็กลายเป็นขั้นวีรชนกันไปหมด


 


 


ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยยกดดันเป็นอย่างมาก!


 


 


เจ้าทหารหนุ่มเหล่านั้น ส่วนใหญ่เคยเป็นลูกน้องของเขาทั้งสิ้น มาตอนนี้มีบางคนวรยุทธ์เหนือกว่าอวี้เชียนเสวี่ยด้วยซ้ำ ทำให้เขามีแรงกดดันพยายามฝึกฝนตนเองให้หนักขึ้น


 


 


ไม่นาน ซย่าโหวจวินอวี่ก็ประกาศว่าต้าโจวจะยกทัพไปสำเร็จโทษซีเย่ว์


 


 


แม่ทัพที่จะนำทัพในครั้งนี้นั่นก็คืออวี้จิงเหลย โดยมีแม่ทัพกองหน้าคืออวี้เชียนเสวี่ย


 


 


เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ทำให้ประชาชนดีอกดีใจเป็นอย่างมาก


 


 


ในขณะเดียวกันที่ซีเย่ว์ก็ได้รับหนังสือจากต้าโจว เมื่อเห็นคำว่า ‘รบ’ ฮ่องเต้แห่งซีเย่ว์หลิวปี้ก็ทรุดลงบัลลังก์


 


 


สู้รบกับอีกแล้ว เพราะเหตุใดกัน!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเพิ่งจะแสดงแสนยานุภาพไปมิใช่หรือ


 


 


หลิวปี้รู้ข่าวตั้งแต่แรกแล้ว จึงรู้สาเหตุที่ต้าโจวยกทัพมา


 


 


งานมงคลกลายเป็นโศกนาฏกรรม ให้เป็นใครก็คงของขึ้น!


 


 


ยิ่งกว่านั้นต้าโจวคอยจ้องหาโอกาสโจมตีซีเย่ว์มาโดยตลอด ตอนนี้สบโอกาส ที่ลูกชายของเขาเลอะเลือนกระทำการโง่เขลาเช่นนี้ออกมา นี่มิเท่ากับลากซีเย่ว์มาถึงทางตันหรอกหรือ!


 


 


จนกระทั่งถึงตอนนี้หลิวปี้ก็ยังไม่รู้ว่าหลิวเปยไปอยู่เสียที่ไหน ส่วนคณะทูตแห่งซีเย่ว์ต่างก็ถูกต้าโจวจับกุมเอาไว้ทั้งหมดและสังหารไปแล้ว


 


 


ลูกเอย เจ้าไปอยู่ที่ไหนกันแน่


 


 


หลังจากเกิดเรื่อง ทุกวันฮองเฮาก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าพระพักตร์ให้ฮ่องเต้แห่งซีเย่ว์หลิวปี้หาทางช่วยชีวิตหลิวเปย ฮ่องเต้ได้ฟังก็พลอยจิตใจหดหู่ไปด้วย


 


 


จะชั่วดีอย่างไรนี่ก็เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่โอบอุ้มมาสิบกว่าปี หลิวปี้จึงคิดที่ปกป้องหลิวเปยเช่นกัน


 


 


เพียงแต่ว่า แผนการเขายังไม่ทันข้ามวันก็ต้องพังทลายโดยสิ้นเชิง


 


 


องค์ชายใหญ่แห่งซีเย่ว์หลิวเฉิง ถือศีรษะของหลิวเปยบุกเข้ามาในวัง แคว้นซีเย่ว์เปลี่ยนแปลงเหนือหัวภายในชั่วข้ามคืน หลิวเฉิงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ ทั้งยังประกาศให้ประชาชนหลอมรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อต่อสู้กับศัตรูภายนอก


 


 


แต่สิ่งที่น่าสงสัยนั่นก็คือ หลิวเฉิงครองราชย์ได้ไม่ถึงสองวัน ก็ถูกคนลอบสังหารเสียแล้ว


 


 


ราชนิกุลสายตระกูลหลิวทั้งหมดถูกฆ่าตัดศีรษะไม่มีเหลือ


 


 


คนผู้นั้นยังเอาศีรษะของราชนิกุลทั้งหมดแขวนไว้ที่ประตูเมือง เขียนด้วยอักษรเลือดที่หน้าประตูวัง ผู้ใดกล้าต่อกร ฆ่าไม่เว้น!


 


 


ประโยคที่เด็ดขาดเพียงประโยคเดียวทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน


 


 


ดังนั้นเมื่ออวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยยกทัพไปถึงซีเย่ว์ ผู้คนส่วนใหญ่จึงวางอาวุธยอมแพ้ แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า


 


 


สำหรับคดีนองเลือดที่เกิดขึ้นที่ซีเย่ว์ อวี้เฟยเยียนอดคิดไม่ได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


หลังจากกองทัพต้าโจวเดินทัพออกไปไม่กี่วัน สองสามวันให้หลังที่จู่ๆ ซย่าโหวฉิงเทียนก็หายตัวไป อวี้เฟยเยียนจึงไม่มีทางเลือกทำได้แต่เพียงสวมชุดและเกล้าผมอย่างเรียบง่ายเท่านั้น


 


 


ภายหลัง ข่าวคราวเรื่องคดีนองเลือดที่ซีเย่ว์ก็แพร่สะพัด เวลามันช่างประจวบเหมาะกันเหลือเกิน!


 


 


เมื่อได้พบซย่าโหวฉิงเทียนอวี้เฟยเยียนจึงสอบถามเขาซึ่งหน้า ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่ได้ปฏิเสธทั้งยังพยักหน้ายอมรับออกมาตรงๆ อีกด้วย


 


 


“เพราะอะไร”


 


 


อวี้เฟยเยียนอยากรู้เหตุผลที่เขาลงมือ


 


 


หรือว่าเขาต้องการแก้แค้นให้กับซย่าโหวเสวี่ยอย่างนั้นหรือ


 


 


เป็นไปไม่ได้!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ชอบหน้าซย่าโหวเสวี่ยด้วยซ้ำ!


 


 


ไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ แล้วเพราะอะไรกัน


 


 


“ขุนนางสำคัญมากมายแห่งแคว้นซีเย่ว์เคารพเชื่อถือในตัวหลิวเฉิง หากเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ รวมใจประชาชนเป็นหนึ่ง ซีเย่ว์จะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งจนมิอาจล้มได้ เช่นนั้น…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง


 


 


“ท่านปู่และท่านลุงสามต้องต่อสู้กับศัตรูมากมาย ศึกที่เดิมจัดการเผด็จศึกได้ง่ายและรวดเร็วก็จะกลายเป็นยืดเยื้อยาวนาน ถึงตอนนั้นทั้งสองฝ่ายจะบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ต้องสูญเสียทหารเป็นจำนวนมาก อีกทั้งศึกที่ยาวนานไม่เป็นผลดีต่อต้าโจวอย่างมาก”


 


 


แท้ที่จริงแล้วซย่าโหวฉิงเทียนต้องการจะบอกว่า พี่ไปกรุยทางเก็บกวาดให้ก่อน เมื่อท่านปู่และท่านลุงสามเดินทางไปถึงจะได้สบายขึ้นมาก!


 


 


เพียงแค่จัดการกำจัดหัวหอกของพวกเขา เมื่อฝูงแกะไร้ซึ่งผู้นำ ก็จัดการได้โดยง่าย เจ้าจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลท่านปู่ ท่านลุงสามและท่านป้าสามจะได้รับบาดเจ็บอย่างไรเล่า!


 


 


แต่การเรียกร้องความดีความชอบเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยปากไม่ออกจริงๆ


 


 


หากกล่าวออกไปตรงๆ ก็ไม่รู้ว่าแมวน้อยจะคิดอย่างไรด้วย!


 


 


ก่อนหน้านี้ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เคยมีความคิดเช่นนี้มาก่อน เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนอดหลับอดนอนปรุงยาบำรุงต่างๆ ซย่าโหวฉิงเทียนก็เข้าใจในทันที


 


 


ถึงแม้ว่าภายนอกอวี้เฟยเยียนจะไม่แสดงท่าทีเป็นกังวลใดๆ เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังนิ่งเงียบเป็นปกติทุกอย่าง แต่แท้ที่จริงแล้วในใจของนางเป็นห่วงคนในครอบครัวที่รักเป็นอย่างมาก


 


 


ดังนั้นอวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ย รวมทั้งมู่เหนี่ยนซีจะเกิดเรื่องไม่ได้


 


 


 มิเช่นนั้นแมวน้อยก็ต้องเสียใจ เขาก็คงเสียใจไปด้วย!


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไร ตระกูลอวี้ก็ดีกับอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนบิดามารดาของเขา…อวี้เฟยเยียนมีวาสนา ได้ครอบครองความสุขเช่นนี้ เขาจะทำให้ความสุขนี้อยู่กับนางให้นานที่สุด!


 


 


เพราะว่าเขาชอบที่จะเห็นแมวน้อยยิ้ม…


 


 


คำอธิบายของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนเห็นด้วยเป็นอย่างมาก


 


 


ประชาชนตาดำๆ ล้วนแต่เป็นผู้บริสุทธิ์ กลับต้องเดือดร้อนเพราะการกระทำและคำพูดของกษัตริย์


 


 


หากประชาชนชาวซีเย่ว์ร่วมกันสู้รบจนตัวตาย ภายใต้การนำของหลิวเฉิง ก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ครอบครัวที่ต้องพลัดพรากจากลูกเมียและครอบครัว ต้องล้มตายบ้านแตกสาแหรกขาด


 


 


ยิ่งกว่านั้นซย่าโหวจวินอวี่ต้องการยึดครองซีเย่ว์ให้จงได้ อวี้จิงเหลยเองก็ไม่อาจจะขัดพระบัญชา เมตตาประชาชนชาวซีเย่ว์ได้บ้าง เพราะศึกแห่งความเลือดเย็นเช่นนี้ หากเมตตาต่อศัตรูก็เท่ากับทรมานตัวเอง


 


 


ดังนั้น ล้มเลิกการสู้รบจึงจะมีโอกาสที่จะรอดชีวิต


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้าเพิ่งค้นพบว่าที่แท้แล้วท่านก็อ่อนโยนเช่นกัน จริงๆ นะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของเขาตรงตำแหน่งหัวใจ


 


 


“ข้าหมายถึงตรงนี้!” 

 

 


ตอนที่ 92-1 ความรักเบ่งบาน

 

 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิ้วอวี้เฟยเยียนจิ้มทะลุผ่านชุดที่เขาสวมใส่อยู่เข้าไปถึงในหัวใจ หรือน้ำเสียงนุ่มนวลที่นางกล่าวออกมากันแน่ ที่ทำให้หัวใจซย่าโหวฉิงเทียนเกิดความต้องการขึ้นมา


 


 


ความดี…


 


 


เขานั้นคิดมาตลอดว่าความดีงามกับเขานั้นไร้ซึ่งวาสนาต่อกัน


 


 


ความดีมีประโยชน์อะไร


 


 


คนดีมักจะถูกคนรังแก ม้าที่ดีมักจะถูกคนกดขี่


 


 


แค่เขาเป็นคนดีแม้เพียงน้อยนิด คงตายอยู่ริมทางตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


แต่ทว่า ในตอนนี้แมวน้อยใช้คำที่อ่อนโยนเช่นนี้มาบรรยายความเป็นเขา น้ำเสียงใสซื่อจริงใจของนาง เขาได้ยินมันชัดเจนโดยที่นางมิต้องเอื้อนเอ่ยบอกกล่าว ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีว่านี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของนาง


 


 


เพราะเหตุใดกัน


 


 


เขาทำเรื่องเช่นนี้ เขาฆ่าคนไปตั้งมากมาย แต่นางยังคงรู้สึกว่าเขานั้นเป็นคนดี


 


 


“เพราะอะไร”


 


 


คิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเอ่ยปากออกมาเพื่อซักถามข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในใจ


 


 


“ข้าฆ่าคนไปตั้งมากมายเจ้าก็รู้!”


 


 


“ท่านฆ่าคนเหล่านั้นก็เพื่อช่วยให้คนอีกมากมายมีชีวิตรอด!”


 


 


อวี้เฟยเยียนจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


แววตาซื่อตรงของนาง ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อต้องเผชิญกับสายตาที่สดใสบริสุทธิ์ของนาง ซย่าโหวฉิงเทียนก็สารภาพเหตุผลแท้จริงตั้งแต่แรกที่ทำให้เขากระทำการเช่นนี้ออกไปจนหมด


 


 


เขามิอาจปิดบังอวี้เฟยเยียนได้ มันทำให้หัวใจของเขาไม่สงบ


 


 


“เพื่อข้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


คราวนี้ กลายเป็นอวี้เฟยเยียนเป็นฝ่ายตกตะลึงเสียเอง


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนดั้นด้นเดินทางนับพันลี้ไปถึงซีเย่ว์ ก็เพื่อที่จะลดทอนอุปสรรคที่ขวางกั้นอวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ย


 


 


มูลเหตุก็เพราะเกรงว่าพวกเขาจะบาดเจ็บ แล้วอวี้เฟยเยียนจะต้องเสียใจ…


 


 


เมื่อมองเห็นอากัปกิริยาที่คาดไม่ถึงของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็สีหน้าสลดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า


 


 


“แมวน้อย จริงๆ แล้วพี่ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เจ้าคิด พี่มันเห็นแก่ตัว…”


 


 


“คนโง่!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวยังมิทันจบ อวี้เฟยเยียนก็ยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาแดงก่ำน้ำตาปริ่ม


 


 


คนโง่ โง่จริงๆ เลย!


 


 


“ทึ่มเอ้ย!”


 


 


ต่อให้ท่านเก่งกาจสักเพียงไหน แต่การที่ท่านเดินทางจากต้าโจวไปถึงซีเย่ว์ แล้วยังรีบร้อนเดินทางกลับมาที่ต้าโจวอีก ให้ร่างทำจากเหล็กไหลก็ทานทนไม่ไหวหรอก!


 


 


นับเวลาดูแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนใช้เวลาเพียงแค่ห้าวัน


 


 


ท่านเป็นเทพหรืออย่างไรกัน


 


 


นึกถึงเมื่อรุ่งเช้าวันที่หก ในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนมาหานางนั้น เสื้อผ้าเขาที่ปกติไม่มีแม้แต่รอยยับ แต่ในวันนั้นมันกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินเล็กน้อย คงจะเป็นเพราะรีบร้อนกลับมา เมื่อมาถึงก็ตรงมาที่หอซ่งเฮ่อจึงมิทันได้มีเวลากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใดๆ


 


 


คนโง่…โง่จริงๆ!


 


 


“แมวน้อย”


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนเงียบไปไม่พูดไม่จา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเป็นฝ่ายร้อนใจขึ้นมา


 


 


หรือนางคิดว่าเขาไม่ดีพอ ไม่ต้องการเขาแล้ว ไม่ได้นะ!


 


 


“แมวน้อย เจ้าพูดสิ!”


 


 


“คนทึ่ม!”


 


 


อวี้เฟยเยียนมิได้โกรธเคืองอย่างที่ซย่าโหวฉิงเทียนกังวลใจ นางกลับต่อว่าต่อขานเขาด้วยท่าทีหยอกเย้า ทั้งยังส่งค้อนวงใหญ่ให้กับเขา


 


 


“เจ้าเป็ดทึ่มเอ้ย!”


 


 


เจ้าเป็ดทึ่มหรือ


 


 


นี่มันศัพท์อะไรกัน


 


 


ไม่รอให้ซย่าโหวฉิงเทียนถามคำถามถัดไป จู่ๆ อวี้เฟยเยียนก็เขยิบเข้ามาใกล้แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตริมฝีปากเขาแผ่วเบา


 


 


“จุ๊บ…“


 


 


ความร้อนระอุพุ่งไปที่สมองซย่าโหวฉิงเทียนจนเขาหูอื้อ ในดวงตาเขาพราวไปด้วยดวงดาวชมพูระยิบระยับเต็มไปหมด เขารู้สึกว่ารอบกายของเขาโอบล้อมไปด้วยความอบอุ่นและชื่นใจ


 


 


เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเขินอายแก้มแดงราวกับกุ้งก็ไม่ปาน อวี้เฟยเยียนก็หัวเราะจนร่างเซไปอีกด้าน


 


 


“บ๊อก…บรู๊ว…”


 


 


ฮันจื่อมองดูฉากนั้นจากที่หน้าประตู ตาที่เดิมทีโตราวกับกระดิ่งของมันก็ยิ่งโตเท่าไข่ห่านไปอีก


 


 


จอมยุทธ์ผู้ไร้พ่ายอย่างนายท่านก็มีวันนี้ ถูกแม่นางน้อยลอบโจมตีเข้าให้แล้ว!


 


 


“ฮ่าๆ!”


 


 


ข้าเพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าเจ้านายก็หน้าแดงเป็นลูกผิงกั่วได้เหมือนกัน!


 


 


แม่นางน้อยนี่แน่จริงๆ!


 


 


“ฮันจื่อ! พวกเราไปกันเถอะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเพียงแค่ตบเรียก ฮันจื่อก็รีบยักย้ายส่ายก้นเข้ามาหานางทันที


 


 


รอจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนได้สติกลับมา พบว่านี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เฟยเยียนเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ซึ่งในตอนนั้นอวี้เฟยเยียนได้หนีหายไปแล้ว


 


 


แมวน้อยจูบพี่แล้ว!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขายื่นมือขึ้นมาลูบที่ริมฝีปากของตนเองแผ่วเบา เวลาผ่านไปยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างน่ารัก


 


 


เมื่อกลับถึงวังหลวง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังคงมีท่าทีสติไม่อยู่กับเนื้อเช่นเดิม บางเวลาก็ยิ้มออกมาคนเดียว ทำเอาฮ่องเต้และเซี่ยงจิ้นตกอกตกใจไปตามๆ กัน


 


 


เท่าที่เซี่ยงจิ้นจำได้ ยี่สิบกว่าปีมานี้ หลินเจียงอ๋องเคยยิ้มเพียงไม่กี่ครั้งเรียกได้ว่าใช้นิ้วทั้งสิบนิ้วนับยังพอเลย


 


 


วันนี้ท่านอ๋องเป็นอะไรไป


 


 


มีอะไรมากระทบกระเทือนท่านอ๋องหรือเปล่า


 


 


“ฝ่าบาท ท่านอ๋องไม่ได้ทรงล้มป่วยใช่หรือไม่”


 


 


“เหลวไหล!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่หยิบเอาแท่งทับกระดาษฟาดไปที่เซี่ยงจิ้นโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย


 


 


ฝ่าบาททรงลงมือด้วยพระองค์เอง เซี่ยงจิ้นไหนเลยจะกล้าหลบเลี่ยง!


 


 


เซี่ยงจิ้นไม่เพียงไม่หลบเลี่ยง ยังยกมือรับแท่นทับกระดาษนั้นเอาไว้ มิอาจยอมให้มันตกกระแทกจะพังได้ สุดท้ายเขาต้องแสร้งทำว่าเจ็บจากการโดนแท่งนั้นกระแทกอีกต่างหาก เขากุมท้องร้องโอดโอย


 


 


เป็นคนโปรดต่อหน้าพระพักตร์ก็มิใช่เป็นกันง่ายๆ เลย!


 


 


“โอ๊ย…ฝ่าบาท บ่าวถูกแท่งนั่นกระแทกเข้าอย่างจัง เจ็บยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


จริงดังที่คาดไว้ ท่าท่างแสร้งเจ็บจริงจังของเซี่ยงจิ้นทำให้ซย่าโหวจวินอวี่บังเทิงเริงใจยิ่งนักในขณะที่พระหัตถ์ของพระองค์ก็ลูบที่เคราขเบาๆ แล้วก็ทรงอธิบายให้เซี่ยงจิ้นฟังด้วยความใจเย็น


 


 


แค่ดูก็รู้แล้วว่าหัวใจวัยหนุ่มกำลังเบิกบาน ตกอยู่ในห้วงความรัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้เพราะนางคนไหนกันแน่!


 


 


ใครกันนะที่สามารถทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนกลายเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดูได้ถึงเพียงนี้


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติแดงระเรื่อ เขานั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าประตูมันช่างเป็นภาพที่น่ารักยิ่งนัก!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ยิ้มล้อเลียนขณะที่มองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน ทว่าในใจเขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก


 


 


เป็นเพราะอวี้หลัวช่า


 


 


หรืออวี้เฟยเยียนกันแน่


 


 


หรือ…เป็นเพราะแมวน้อยผู้ลึกลับซับซ้อนกันแน่


 


 


พูดถึงแล้ว ลูกสะใภ้สองคนแรกเคยพบหน้ามาแล้ว ทั้งยังทรงพอพระทัยเป็นอย่างมากด้วย


 


 


สำหรับแมวน้อยที่แสนลึกลับ นางเป็นใครมาจากไหนซย่าโหวจวินอวี่สืบอย่างไรก็สืบไม่พบ! แม้กระทั่งฉู่อินก็สืบไม่พบคนคนนี้


 


 


ลูกเอ๋ย งานเก็บความลับของเจ้านี่ทำได้เป็นอย่างดีจริงๆ!


 


 


หรือแมวน้อยคือสุดรักสุดดวงใจของเจ้าอย่างนั้นหรือ


 


 


แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร สามารถทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนมีความสุขได้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ซาบซึ้งทั้งนั้น


 


 


“ฉิงเทียนเอ้ย ฉิงเทียน!”


 


 


ฮ่องเต้ทรงตะโกนเรียกอยู่หลายครั้งซย่าโหวฉิงเทียนจึงรู้สึกตัว สีแดงระเรื่อบนใบหน้าเขายังมิทันจางหายไป ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันที


 


 


ใบหน้าเย็นชาเรียบเฉย แก้มทั้งสองข้างออกสีแดงระเรื่อ ใบหูที่เดิมทีใสราวหยกขาว ตอนนี้กลับกลายเป็นสีชมพูอ่อน ให้มองอย่างไรก็มีความน่ารักแบบขัดแย้งเสียเหลือเกิน!    


 


 


ยิ่งทอดพระเนตรก็ยิ่งพอพระทัย


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นผู้เป็นคนกับเขามากยิ่งขึ้น มีความรู้สึก ไม่ใช่ซย่าโหวฉิงเทียนที่เย็นชา เห็นทุกคนเป็นคนนอกอีกต่อไป นับเป็นเรื่องดี


 


 


“เสด็จพี่ มีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


ฝันหวานถูกขัดกลางคัน น้ำเสียงซย่าโหวจวินอวี่เจือไว้ด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย


 


 


เขากำลังครุ่นคิดว่าจุมพิตของแมวน้อยเมื่อครู่มันหมายความว่าอะไรกันแน่!


 


 


“อะแฮ่ม!”


 


 


ด้วยรู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ฝ่าบาทก็รีบตรัสชดเชยว่า


 


 


“ความหมายข้าก็คือ นี่ก็เดือนหกแล้ว ไม่แน่ว่าดอกบัวที่สวนคิมหันต์น่าจะบานแล้ว เจ้าสนใจจะไปเที่ยวชมสักสองสามวันหรือไม่ พาใครไปหลบเลี่ยงอากาศร้อนสักหน่อย…”


 


 


“พาใคร เสด็จพี่ ท่านหมายถึงใคร”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


เดือนหก อากาศยังไม่ร้อนสักเท่าไหร่นี่นา!


 


 


ไปหลบร้อนในตอนนี้ รู้สึกแปลกประหลาดชอบกล… 

 

 


ตอนที่ 92-2 ความรักเบ่งบาน

 

 


 


เห็นว่าลูกชายไม่มีท่าทีจะติดกับเท่าไหร่ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที ห่ามขนาดนี้ ไม่น่าประทับใจเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วจะจีบหญิงติดได้อย่างไรกัน!


 


 


แล้วชาจากลูกสะใภ้ทั้งสาม เขาจะได้ดื่มเมื่อไหร่กัน…


 


 


“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะพาใครไป! สรุปแล้ว เจ้าต้องพาสตรีไปสักคนหนึ่ง นี่เป็นคำสั่ง!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่แทบจะตีอกชกตัวแล้วด้วยซ้ำไปขณะที่ออกคำสั่ง


 


 


เมื่อครั้นที่ฝ่าบาทตอนเป็นหนุ่มทรงเปี่ยมด้วยความรู้ เจ้าสำราญเป็นที่สุด


 


 


ถึงแม้ว่า ในตอนที่พระองค์รู้จักมู่หรงเยียนจะอายุไม่มาก เพิ่งจะสิบห้าชันษาเท่านั้น แต่พระองค์ก็ทรงเติบโตอยู่ในพระราชวังตั้งแต่เล็ก ดังนั้นจึงรู้ว่าจะเอาอกเอาใจหญิงสาวอย่างไร


 


 


ไม่ว่าจะเป็นการต่อกวีกาพย์กลอน หรือดื่มสุราชมจันทร์ พระองค์ล้วนแต่เชี่ยวชาญช่ำชองทั้งสิ้น


 


 


ซึ่งเป็นเพราะว่าซย่าโหวจวินอวี่มีประสบการณ์ที่สั่งสมมาด้วยตนเองอยู่อย่างเนืองแน่น จึงมีความรู้เป็นเลิศ เก่งกาจเหนือผู้อื่น พิชิตใจมู่หรงเยียนได้ในที่สุด


 


 


ความสามารถเขามากมายล้นเหลือ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับไม่ได้รับถ่ายทอดไปเลยแม้แต่น้อย


 


 


เจ็บปวดใจจริงเชียว!


 


 


และเมื่อนึกได้ว่าส่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนชอบมากที่สุดก็คือฆ่าคน เรื่องที่ถนัดที่สุดนั่นก็คือฆ่าคน ซย่าโหวจวินอวี่ก็เจ็บปวดใจแล้วเจ็บปวดใจอีก ความเจ็บปวดทั้งหลายประเดประดังกำเริบขึ้นมาพร้อมๆ กัน


 


 


ดูเหมือนว่าหลังจากที่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับมา ก็เป็นเช่นนี้มาตลอด


 


 


ในตอนแรกไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะซย่าโหวฉิงเทียนในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กชายอายุสิบขวบเท่านั้น


 


 


ภายในระยะเวลาห้าปี ซย่าโหวฉิงเทียนได้ทำการจัดระเบียบบรรดาอ๋องและราชนิกุลต่างๆ มารอบหนึ่งแล้ว ซึ่งก็ต้องต่อสู้กันจนลูกหลานได้รับบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังทำอะไรเขาไม่ได้ ทว่าผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าอ๋องสิบสี่กำเริบเสิบสาน ยโสโอหังบ้าดีเดือดเกินไปบ้าง


 


 


จวบจนกระทั่งซย่าโหวจวินอวี่ขึ้นครองราชย์ ต้าโจวจึงเข้าสู่สภาวะอันตรายอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน นิสัยที่แท้จริงของซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้แสดงออกมา


 


 


นี่เองที่ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่าบุตรชายของตนเองเมื่อเติบโตแล้วมีบางอย่างที่ผิดปกติไป ภายหลังไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงเปลี่ยนแปลง สั่งสอน หรือสั่งสมสิ่งใดให้กับซย่าโหวฉิงเทียนก็หาได้มีประโยชน์ใดๆ ไม่


 


 


เด็กดีคนหนึ่ง เหตุใดถึงได้เติบโตมาเป็นเช่นนี้ได้


 


 


ฉินจื้อแคว้นที่น่ารังเกียจ!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กำมือแน่น ใจที่คิดอยากจะกำจัดแคว้นฉินจื้อยิ่งแน่วแน่ขึ้นอีกขั้น


 


 


ทว่า สิ่งที่เขากังวลใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ ต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดแปลกประหลาดคนนี้เปลี่ยนกลับไปเป็นซย่าโหวฉิงเทียนที่ถูกต้องปกติคนเดิมได้


 


 


ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับมิได้รับรู้ถึงความกลัดกลุ้มใจของซย่าโหวจวินอวี่แม้แต่น้อย เขาจึงกล่าวออกไปว่าสนอกสนใจในข้อเสนอแนะนี้ของพระองค์เป็นอย่างมาก


 


 


พาแมวน้อยไปชมดอกบัว นางจะชอบหรือไม่นะ


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวี้เฟยเยียนก็มิเคยแสดงท่าทีชื่นชอบดอกไม้ชนิดไหนเป็นพิเศษเสียด้วย ซย่าโหวฉิงเทียนกลับเอาแต่คิดว่าที่ทะเลสาบยุงเยอะน่าดู บินวนใกล้ๆ น่ารำคาญจะตาย


 


 


ไปหลบร้อนที่สวนบนเขา เรื่องนี้ไม่น่าจะสร้างสรรค์เท่าไหร่!


 


 


เช่นนั้นไปที่ไหนดีนะ


 


 


สุดท้ายที่ที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะพาอวี้เฟยเยียนไป นั่นก็คือบ่อน้ำพุร้อนที่คนทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรก


 


 


บ่อน้ำพุร้อนที่มีไอร้อนปะทุขึ้นมาตลอดเวลา เพียงแค่คิดอวี้เฟยเยียนก็รู้สึกร้อนวาบไปทั้งร่าง


 


 


ไอ้คุณพี่ ฤดูร้อนแช่น้ำพุร้อน ท่านว่ามันจะดีหรือ


 


 


“แมวน้อย ลงมา!”


 


 


ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนรีรอลังเล ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถอดเสื้อผ้าของตนเองออกหย่อนกายลงไปในน้ำ จากนั้นก็ยื่นมือออกมาให้กับอวี้เฟยเยียน


 


 


“ไม่ ร้อน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเตรียมที่จะถอยหลังกลับ ใครจะคาดคิดซย่าโหวฉิงเทียนยื่นแขนคว้าเอวของนางเอาไว้แล้วตวัดร่างของนางลงไปในบ่อน้ำพุทันที


 


 


หลายวันมานี้ซย่าโหวฉิงเทียนศึกษาจนเชี่ยวชาญชุดสตรีเป็นอย่างดี เขาจึงจัดแจงแก้ปมแล้วปลดเปลื้องชุดอวี้เฟยเยียนออกไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยเหลือไว้เพียงเสื้อเอี๊ยมด้านในเท่านั้น


 


 


“เฮ้ย…”


 


 


อวี้เฟยเยียนยังมีทันจะปัดป้องใดๆ ซย่าโหวฉิงเทียนก็จับขาทั้งสองของนางให้งอเข้าหากัน จัดท่าทางให้นางนั่งขัดสมาธิในน้ำเสร็จสรรพ


 


 


“พี่เห็นว่าเจ้าสำเร็จถึงช่วงปลายของจอมเทวาแล้ว ครั้งนี้รวบรวมพลังเพื่อให้สำเร็จขั้นปรมาจารย์ให้ได้!”


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวมา อวี้เฟยเยียนถึงได้เข้าใจ ลากนางมาฝึกวิชานี่เอง ว่าแล้วก็คิดว่าได้ก่อนหน้านี้ตนเองคิดเลยเถิดไป หลงคิดไปว่าซย่าโหวฉิงเทียนต้องการเที่ยวเพื่อรำลึกความหลังกับนางอีกครั้งนะสิ…


 


 


แล้วก็มองดูอกผายไหล่ผึ่ง กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ผิวพรรณราวหยกขาวของคนตรงหน้าแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รีบหลับตาลงทันที


 


 


เสียมารยาทนัก!


 


 


แม้ว่าในใจจะพยายามท่องเอาไว้เช่นนั้น แต่อวี้เฟยเยียนก็ยังเผลอลืมตา นางค่อยๆ หรี่ตาจนเป็นเส้นตรง แอบลอบดื่มด่ำกับร่างกายซย่าโหวฉิงเทียนตรงหน้า


 


 


ไหล่กว้าง เอวได้รูป กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ที่มีความสวยงาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดวงหน้าหล่อเหลาไร้ที่ตินั่น ยังมีจุดแดงที่หว่างคิ้วนั่นอีก


 


 


ในฐานะแพทย์ที่ได้ทำการลงมีดผ่าตัดมาหลายปีและผ่าศพมามากมาย อวี้เฟยเยียนขอให้คะแนนซย่าโหวฉิงเทียนร้อยคะแนนเต็ม สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่มีอะไรให้ติ!


 


 


เป็นบุรุษหล่อเหลาไร้ที่ติจนเทพเซียนต้องพิโรธ ช่างไร้เหตุผลจริงๆ เลย!


 


 


“เป็นอะไรหรือ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนสังเกตเห็นท่าทีแปลกประหลาดของอวี้เฟยเยียนแล้ว


 


 


เจ้าแมวน้อยหื่นกาม!


 


 


คงคิดว่าหรี่ตา พี่จะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังแทะโลมพี่ด้วยสายตาอยู่หรืออย่างไร


 


 


แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ลำพองใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือรูปโฉมเขา มันก็ดึงดูเจ้าแมวจอมหื่นได้ดี ถือเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การภาคภูมิใจและดีใจ!


 


 


“ไม่มีอะไร…”


 


 


เมื่อแอบมองและถูกจับได้คาหนังคาเขา อวี้เฟยเยียนจึงออกอาการเขินอาย


 


 


“โอ้…จริงหรือ”


 


 


มองดูซย่าโหวฉิงเทียนที่จะยิ้มก็ไม่ใช่จะโกรธก็ไม่เชิงแล้ว อวี้เฟยเยียนจึงรีบนั่งหลังตรง ท่าทีจริงจังขึงขังขึ้นมากล่าวว่า


 


 


“ทำไมหรือ ดูไม่ได้หรืออย่างไร ท่านถอดจนเหลือเพียงเท่านี้ มิใช่เพราะต้องการให้ข้าดูหรืออย่างไร! “


 


 


อวี้เฟยเยียนไม่รู้ตัวเลยว่า การที่นางนั่งหลังตรงอกผายไหล่ผึ่งเช่นนั้น ทำให้ส่วนที่มีน้ำมีนวลด้านหน้านางมันชัดเจนมากยิ่งขึ้น


 


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำพุร้อนที่ชื่นฉ่ำ มันแทรกซึมจนเอี๊ยมสีเหลืองตัวน้อยเปียกปอน ยิ่งแนบชิดส่วนโค้งส่วนเว้าของนางมากขึ้น หากมองจากมุมที่ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่นี่ สามารถมองเห็นความสวยงามได้อย่างชัดเจน


 


 


“ดูท่าโตขึ้นมากแล้วนะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวออกมาเบาๆ


 


 


“อะไร”


 


 


ในตอนแรกอวี้เฟยเยียนยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อมองตามสายตาของซย่าโหวฉิงเทียน นางก็เขินอายจนแทบหน้ามุดดินหนี


 


 


“ทะลึ่ง! ท่านมองอะไรนะ! ลามก!”


 


 


อวี้เฟยเยียนรีบหันหลังให้ซย่าโหวฉิงเทียนทันที


 


 


แต่นางคงลืมไปว่า ในสายตาของคนที่รักนาง นางสวยงามเสมอ


 


 


ต่อให้เห็นเพียงแผ่นหลังที่นวลเนียนขาวใส ในสายตาซย่าโหวฉิงเทียนมันก็คือภาพที่สวยงามที่สุดในโลกอยู่ดี


 


 


ไม่รู้ว่าสายตาซย่าโหวฉิงเทียนเร่าร้อนเกินไป หรือแผ่นหลังอวี้เฟยเยียนเองที่ร้อนระอุ นางรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นกระต่ายน้อยตัวหนึ่งที่กำลังถูกพันธนาการอยู่บนเตาไฟก็ไม่ปาน


 


 


“แมวน้อย…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนโอบกอดนางจากทางด้านหลัง แล้วกล่าวความในใจของตนเองออกมา


 


 


“พี่ชอบเจ้า!”


 


 


“พี่ชอบเจ้ามาก พี่ชอบเจ้ามาก!”


 


 


ประโยคนี้ทำให้อวี้เฟยเยียนถึงกับตกตะลึง


 


 


จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ซย่าโหวฉิงเทียนทำให้กับนางที่ผ่านมา อวี้เฟยเยียนก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเขา


 


 


ในยุคสมัยของนางที่จีน ผู้ชายใช้รถหรูแหวนเพชรตั๋วเงินดอกไม้ในการตามจีบสตรี แต่ที่นี่ ซย่าโหวฉิงเทียนกลับใช้วิธีการของเขา บังแดดต้านฝนให้กับนางอย่างเงียบๆ


 


 


ชายผู้นี้ มองดูภายนอกอาจว่าโหดเ**้ยมน่าหวาดกลัว แท้ที่จริงแล้วน่ารักในแบบโง่ๆ!


 


 


เพียงแต่ การสารภาพรักของเขานี้ นางควรจะตอบอย่างไรดี


 


 


จะให้บอกเขาไปว่าตนเองไม่ใช่คนของที่นี่ ช้าเร็วนางก็ต้องจากไปอยู่ดี เขาอาจจะต้องทุ่มเทโดยเปล่าประโยชน์ สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าอย่างนั้นหรือ


 


 


แผ่นหลังที่แข็งทื่อของอวี้เฟยเยียนทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนรับรู้ได้


 


 


เป็นดั่งที่คาด…


 


 


นางไม่ชอบเขาสินะ!


 


 


แต่จุมพิตในวันนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอวี้เฟยเยียนหวั่นไหว


 


 


อะไรกันนะที่ทำให้นางลังเล ทำให้นางหยุดยั้งไม่ยอมก้าวไปต่อ


 


 


“แมวน้อย!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจับให้อวี้เฟยเยียนมาเผชิญหน้ากับเขา แล้วจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของนางด้วยแววตาแน่วแน่


 


 


“พี่ชอบเจ้า ต้องการอยู่เคียงข้างเจ้าไปแสนนาน ไม่รู้เพราะอะไร เมื่อเห็นเจ้า พี่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก จิตใจพี่สงบลง!” 

 

 


ตอนที่ 92-3 ความรักเบ่งบาน

 

 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจับมืออวี้เฟยเยียนมาวางที่อกซ้ายของตัวเอง


 


 


“เมื่อเจ้าอยู่ข้างกายพี่ ในนี้ก็จะสงบสุข!”


 


 


“คนโง่”


 


 


อวี้เฟยเยียนแยกไม่ออกเลยว่าตอนนี้ตนหวั่นไหว หรือเป็นเพราะไอน้ำพุร้อนที่ร้อนเกินไปจนทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของนางน้ำตารื้น สายตานางจึงพร่ามัว!


 


 


นางรู้จักนิสัยซย่าโหวฉิงเทียนดี และรู้ดีว่าเรื่องนี้จะต้องพูดให้ชัดเจน


 


 


ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงขยี้ตาเบาๆ จ้องมองชายหนุ่มที่มั่นคงในความรู้สึกตรงหน้าด้วยสายตาพร่าเลือน


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียนพวกเราไม่มีวันมีอนาคตด้วยกัน!”


 


 


“เพราะอะไร แมวน้อย เจ้ากังวลเรื่องอะไร”


 


 


“เพราะว่า เพราะว่า…”


 


 


อวี้เฟยเยียนกัดริมฝีปากแน่น ริมฝีปากแดงฉ่ำถูกนางกัดหลายต่อหลายครั้งจนเกิดเป็นรอยแผล


 


 


“เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ของข้า!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวความในใจออกไป


 


 


นางมิใช่คนที่ชอบจะมาปิดบังยืดเยื้อ


 


 


ในเมื่อมิอาจตอบรับคืนด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกันกับที่ซย่าโหวฉิงเทียนมอบให้ได้ นางก็จะต้องบอกอีกฝ่ายให้ชัดเจนกระจ่างชัดตั้งแต่แรก


 


 


มิเช่นนั้นนางนั้นได้สุขสบายกับสิ่งดีๆ ที่ซย่าโหวฉิงเทียนมอบให้ เสียเวลาของเขาโดยเปล่าประโยชน์ พอเสร็จแล้วก็สะบัดก้นจากไป คนอย่างอวี้เฟยเยียนทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้


 


 


“พี่รู้ดี”


 


 


อวี้เฟยเยียนคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่นางบอกเรื่องนี้ออกไป คำตอบของซย่าโหวฉิงเทียนจะเป็นเช่นนี้


 


 


คราวนี้ ถึงตาอวี้เฟยเยียนเป็นฝ่ายตกตะลึงไปบ้าง


 


 


“ท่านรู้ได้อย่างไร”


 


 


“หลังจากที่พาเจ้ากลับมา ข้าก็รู้แล้วว่า เจ้าไม่ใช่อวี้เฟยเยียนคนเดิมอีกต่อไป”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนสืบข้อมูลเกี่ยวกับอวี้เฟยเยียนทั้งหมดตั้งแต่เล็กจนโต และทำการเปรียบเทียบอย่างละเอียดกับนางในตอนนี้ ผลที่ออกมาคือคนละคน


 


 


หากจะบอกว่าคนคนหนึ่งได้รับการกระทบกระเทือน จนทำให้นิสัยเปลี่ยนไปมากยังสามารถเข้าใจได้


 


 


แต่นี่ไม่เพียงแต่นิสัยเปลี่ยนไป


 


 


ความรู้ความสามารถและสติปัญญาที่สมบูรณ์พร้อมที่อวี้เฟยเยียนมี มันมิใช่ว่าจะฝึกฝนกันได้ภายในเวลาไม่กี่วัน


 


 


“ท่านจะบอกว่าอวี้เฟยเยียนในอดีตไม่รู้หนังสือ ไม่มีวัฒนธรรม ดังนั้นข้าจึงเป็นตัวปลอมอย่างนั้นสิ”


 


 


อวี้เฟยเยียนทำตาโต อย่างเหลือเชื่อ


 


 


“เช่นนั้น ท่านไม่รู้สึกว่าข้าเป็นตัวประหลาดหรอกหรือ”


 


 


เสียงอ่อนหวานของสาวน้อย ทำให้หัวใจซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกดี


 


 


หากอวี้เฟยเยียนเป็นตัวประหลาด แล้วเขาเป็นอะไร


 


 


เขามิเป็นตัวประหลาดในตัวประหลาดอย่างนั้นหรือ


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยื่นมือออกไป จับปอยผมเปียกชื้นที่ปรกหน้าของอวี้เฟยเยียนทัดที่ใบหู


 


 


“ไม่หรอก! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร มาจากไหน เจ้าก็คือแมวน้อยของพี่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!”


 


 


เมื่อได้ยินคำกล่าวเด็ดขาดของเขาแล้ว อวี้เฟยเยียนก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกตนในยามนี้อย่างไรดี


 


 


ควรจะขอบคุณในความเชื่อใจที่ซย่าโหวฉิงเทียนมีให้ หรือถีบเขาสักที ด่าว่าเขาคิดเองเออเอง นางกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


 


 


ท้ายที่สุด อวี้เฟยเยียนไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น


 


 


เพราะซย่าโหวฉิงเทียนถามในสิ่งที่สำคัญที่สุดออกมา


 


 


“เจ้าปฏิเสธพี่ เป็นเพราะว่าเจ้ารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องไปจากที่นี่ใช่หรือไม่”


 


 


ในขณะที่กล่าวถามคำถามสำคัญนี้ ใจซย่าโหวฉิงเทียนกำลังบีบรัดอย่างหนัก มันเจ็บปวดแสนสาหัส


 


 


เขาและแมวน้อยหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เขาขาดนางไม่ได้


 


 


หากต้องมีวันนั้นจริง วันที่อวี้เฟยเยียนหายไปโดยไร้ร่องรอย ข้าคงจะต้องเป็นบ้าคลั่งอย่างแน่นอน!


 


 


“ใช่!”


 


 


อวี้เฟยเยียนพยักหน้าเบาๆ อย่างไม่มีปิดบัง


 


 


“ถึงแม้ว่าข้ายังหาเครื่องเชื่อมต่อสัญญาณไม่เจอก็ตาม ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับไปอย่างไร…”


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนรั้งอวี้เฟยเยียนเข้ามาในอ้อมแขนแล้วกอดนางไว้แน่น ให้หัวใจนางแนบชิดกับหัวใจของเขา มีเพียงทำเช่นนี้ เขาจึงสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของอวี้เฟยเยียน


 


 


“อย่าไป!”


 


 


อกผายของซย่าโหวฉิงเทียนตั้งตรงหนักแน่นและอบอุ่น


 


 


แต่ใบไม้ต้องกลับคืนสู่ต้นไม้ คนพเนจรอย่างไรก็ต้องมีวันกลับสู่บ้านของตน!


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน บ้านของข้ามีทั้งคุณปู่ พี่ชาย ญาติพี่น้องและเพื่อนของข้าล้วนแต่อยู่ที่นั่น! ที่นั่นต่างหากจึงเป็นบ้านที่แท้จริงของข้า…”


 


 


แม้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาของอวี้เฟยเยียนจะไม่ดังเท่าไหร่นัก แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ได้ยินทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน


 


 


“บ้าน…”


 


 


จริงสินะ! เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึงได้นะ!


 


 


แมวน้อยต้องมีครอบครัวของนาง มีชีวิตที่เป็นของนางเอง


 


 


การบังคับนางให้อยู่ที่นี่ ให้นางต้องห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน ไกลห่างกับญาติมิตร สำหรับนางแล้วมันไม่ยุติธรรมอย่างมาก ทั้งยังเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจยิ่งนัก


 


 


เหตุใดเขาถึงได้…เห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้!


 


 


แต่จะให้ปล่อยแมวน้อยไป เขาก็ทำไม่ได้!


 


 


“พี่จะไปกับเจ้าเอง!”


 


 


น้ำเสียงซย่าโหวฉิงเทียนหนักแน่น ทำให้น้ำตาที่จวนเจียนจะไหลของอวี้เฟยเยียนไหลออกมาในที่สุด


 


 


เขาจะไปกับนาง


 


 


เขายอมละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนที่ตนเองเติบโตมา ละทิ้งสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย ละทิ้งคนในครอบครัว ละทิ้งสถานะที่สูงส่งไปยังประเทศจีนกับนาง ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย


 


 


ในใจของอวี้เฟยเยียนรู้ดีว่าการที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะปรับตัวให้เข้ากับประเทศจีนในปัจจุบันยากเสียยิ่งกว่านางปรับตัวตัวให้เข้ากับต้าโจวเสียอีก


 


 


อย่างน้อยที่สุด จากราชนิกุลสูงส่งกลายเป็นประชาชนคนธรรมดา ฐานะที่แตกต่างกันมากมายขนาดนี้ ไม่ใช่จะคุ้นชินกันได้ง่ายๆ


 


 


ยิ่งกว่านั้น ประเทศจีนคือสังคมในยุคสมัยปัจจุบันซึ่งแตกต่างจากต้าโจวโดยสิ้นเชิง


 


 


จากสังคมที่ปิดกั้น กลายเป็นสังคมเปิดแบบปัจจุบัน การก้าวข้ามครั้งยิ่งใหญ่ นี่ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงของโลก


 


 


“ท่านยินยอมหรือ ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ รวมทั้งคนในครอบครัวของท่าน”


 


 


ในใจของอวี้เฟยเยียนยังมีคำถามอีกหนึ่งข้อ


 


 


“อีกอย่างท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ที่ข้าใช้ชีวิตอยู่นั้นมันเป็นอย่างไร…”


 


 


คำถามของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนตอบอย่างง่ายดายและชัดเจน


 


 


“เจ้าอยู่ พี่อยู่!”


 


 


คนในครอบครัว เขามีคนในครอบครัวที่ไหนกัน…นอกจากซย่าโหวจวินอวี่ที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของเขา


 


 


หากว่า เขาต้องไปจากที่นี่จริง คนที่ซย่าซย่าโหวฉิงเทียนอาลัยอาวรณ์มากที่สุดนั่นก็คือซย่าโหวจวินอวี่ เพราะเขาคือผู้มอบความรักและความห่วงใยซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนไม่เคยได้รับมาก่อน


 


 


“คนโง่!”


 


 


เรื่องมาถึงขั้นนี้ อวี้เฟยเยียนคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะใช้คำใดมาบรรยายความรู้สึกตนเองในตอนนี้ได้เลย


 


 


คนโง่คนหนึ่งจริงๆ ด้วย


 


 


ไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรแม้แต่น้อย แต่กลับยินยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเลือกที่จะไปกับนาง นี่เรียกว่าว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่เกรงกลัว หรือวัวหนุ่มไม่รู้ความโหดร้ายของพญาเสือกันแน่


 


 


เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนหลั่งน้ำตา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ร้อนรนเขารีบเช็ดน้ำตาให้กับนางทันที


 


 


“หากยอมโง่สักหน่อย แล้วเจ้าจะไม่จากพี่ไป พี่จะยอมเป็นไอ้โง่ก็ได้!”


 


 


มือใหญ่ของเขามีเรี่ยวแรงมาก เช็ดน้ำตาให้กับอวี้เฟยเยียนจนใบหน้านางแดงเถือก กระทั่งอวี้เฟยเยียนร้องบอกว่าเจ็บ ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้รู้สึกตัวว่าผิวอีกฝ่ายอ่อนนุ่มนัก แล้วจะทานทนกับน้ำมืออันหนักหน่วงของเขาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน


 


 


“พี่เป่าให้เจ้านะ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเข้าไปเป่าให้กับนางด้วยความรักและสงสาร


 


 


ลมอบอุ่น พัดพาเอาธาตุหยางที่เร่าร้อนของชายหนุ่มเข้ามา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความหอมสดชื่นของกลิ่นดอกหยวนเหว่ยมาปะทะใบหน้า ยิ่งทำให้ใบหน้าอวี้เฟยเยียนแดงระเรื่อขึ้นไปอีก


 


 


“แมวน้อย…”


 


 


ดวงหน้างดงามของอวี้เฟยเยียน ทำให้ลำคอซย่าโหวฉิงเทียนแห้งผาก


 


 


ตาที่ทอดมองลงด้านล่าง อ่อนโยนแสนงอน ราวกับดอกบัวในลำธารที่กำลังจะผลิบานก็ไม่ปาน สวยงามเป็นที่สุด!


 


 


“พี่อยากจูบเจ้า!”


 


 


ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนตอบรับ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ดูดกลืนริมฝีปากของนาง


 


 


ริมฝีปากบางนุ่มนิ่มของนางเผยอขึ้น กลิ่นหอมจากกลีบบุปผากำจาย ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกมีพลัง มือใหญ่เขาโอบรัดเอวบางของนางเข้าสู่อ้อมกอดตนอย่างแน่นหนา


 


 


ไม่มีความรีบร้อนบุ่มบ่ามเฉกเช่นที่ผ่านมา หลังผ่านประสบการณ์จริงหลายต่อหลายครั้ง ซย่าโหวฉิงเทียนก็มีทักษะที่เชี่ยวชาญช่ำชอง


 


 


ความเผด็จการที่อ่อนโยน ให้ความรักนำทางไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม