ลิขิตกลกาล 91-97

 


ตอนที่ 91 พระธรรม

 

“ดีเลย อวิ้นเอ๋อร์อยากได้อะไร? บอกพ่อมาสิ พ่อต้องหามาให้เจ้าได้อย่างแน่นอน” เมื่อซูปั๋วชวนได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเช่นนี้จึงมีชีวิตชีวาขึ้น หลังของเขาพลันยืดตรง หน้าตั้งและเงยหน้าถาม


 


 


“นี่…” ซูเหลียนอวิ้นชะงักไป เพราะนางเพียงเอ่ยปากไปส่งๆ เท่านั้น หากจะให้นางคิดให้ออกตอนนี้ นางก็จนปัญญาเหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร


 


 


นั่นเป็นเพราะว่าหรงซู่ได้บอกนางแล้วว่า ในวันพิธีปักปิ่นวันนั้นนางจะได้รับกระบี่เล่มหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นนางยังจะต้องการอะไรอีกเล่า?


 


 


“ถ้าอย่างนั้น ก็…” ซูเหลียนอวิ้นกระอึกกระอัก “ก็ให้ท่านพ่อเป็นคนคิดก็แล้วกันเจ้าค่ะ เรื่องราวน่าตื่นเต้นเช่นนี้หากบอกท่านแล้ว ข้าก็จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เช่นนั้นจะยังเรียกว่าน่าตื่นเต้นได้อย่างไร”


 


 


“อ้อ” ซูปั๋วชวนพยักหน้าคล้ายว่าเข้าใจและไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเรื่องนี้ให้พ่อจัดการเองก็ได้ ถึงเวลานั้นอวิ้นเอ๋อร์จะต้องชอบมากแน่ๆ”


 


 


“อ่า…เจ้าค่ะ”


 


 


สุดท้ายแล้วหัวข้อการสนทนาก็ยุติ จากนั้นหวังฉือหวนจึงลากนางไปถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่วัดฝ่าฝัว โชคดีที่ก่อนหน้านั้นซูเหลียนอวิ้นได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าหวังฉือหวนจะถามคำถามอะไรกับนางนางล้วนตอบได้อย่างไหลลื่น


 


 


“ดูท่าแล้วอวิ้นเอ๋อร์ก็ฝักใฝ่ในพระธรรมคำสอนเช่นกัน” หวังฉือหวนยิ้มแล้วลูบผมของซูเหลียนอวิ้นด้วยความรักใคร่เอ็นดู


 


 


“พอสมควรเจ้าค่ะ แต่ไม่เท่าท่านย่า”


 


 


ตัวหวังฉือหวนเองตั้งแต่ตอนที่ปู่ของซูเหลียนอวิ้นจากไป นางก็เริ่มสนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนตั้งแต่บัดนั้น


 


 


หากจะว่าไปแล้ว บรรยากาศในจวนแม่ทัพใหญ่นี้ไม่ค่อยครื้นเครงเท่าใดนัก


 


 


ด้วยเหตุที่ซูปั๋วชวนและซูมั่วเยี่ยมักจะไม่อยู่ที่จวนเป็นเวลาหลายวัน ส่วนอันเพ่ยอิงเองในฐานะฮูหยินก็ต้องจัดการงานต่างๆ ทั้งหมดในจวนแม่ทัพที่มีพื้นที่กว้างขวางเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นเดิมทีก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับหวังฉือหวนนัก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าคนแก่อย่างหวังฉือหวนรู้สึกเงียบเหงาอ้างว้างใจอย่างถึงที่สุด


 


 


โชคดีที่หวังฉือหวนได้มีโอกาสศึกษาธรรมะมากมายโดยบังเอิญ สาเหตุอาจเกิดจากอานุภาพแห่งพระธรรมหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะในสมัยยังสาว นางได้ฆ่าคนไปมากมายในสนามรบ


 


 


ดังนั้นชีวิตในช่วงบั้นปลายจึงมีเพียงความว่างเปล่าที่จับต้องไม่ได้นี้เท่านั้นที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของหวางฉือหวนให้สงบได้


 


 


ด้วยเหตุนี้เองเมื่อได้ยินว่าซูเหลียนอวิ้นไปวัดฝ่าฝัว หวังฉือหวนจึงรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก


 


 


“เด็กดี เจ้าเข้าใจมากพอแล้ว” หวางฉือหวนเอ่ยขัดซูเหลียนอวิ้น “เจ้ายังเด็ก เรื่องราวเช่นนี้รอเจ้าเติบใหญ่แล้วค่อยๆ เรียนรู้ก็ไม่สาย ดังนั้นตอนนี้อวิ้นเอ๋อร์ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”


 


 


คนวัยไหนก็ย่อมเหมาะกับเรื่องราวของวัยนั้นๆ นี่เป็นสิ่งที่หวังฉือหวนยืดถืออยู่ในใจตลอดมา


 


 


ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังเด็กนัก แม้ว่าใกล้จะต้องเข้าพิธีปักปิ่นเต็มที ทว่าอายุก็ถือว่ายังเป็นเด็กอยู่ดี หวังฉือหวนกลัวว่าซูเหลียนอวิ้นจะโตได้เพียงเท่านี้ก็ซาบซึ้งในรสพระธรรมคำสอนเสียแล้ว


 


 


อายุน้อยเพียงเท่านี้ หากเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้งราวกับไม่ใช่เด็กในวัยนี้จะทำอย่างไร!


 


 


เรื่องราวพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วจะสอนเกี่ยวกับเรื่องเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา[1]ของมนุษย์ปุถุชน ที่เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ล่องลอยและเลือนหาย ไม่ต้องยึดติด อะไรประมาณนี้เป็นต้น…


 


 


แต่ตอนนี้อวิ้นเอ๋อร์ยังไม่ได้แต่งงานแถมยังไม่เคยสัมผัสว่าความรักเป็นอย่างไร ความปรารถนาหน้าตาเป็นแบบไหน หากนางไม่สนใจความรักแล้วล่ะก็ ความผิดในฐานะของคนเป็นย่าอย่างตนก็คงจะใหญ่มิใช่น้อย!


 


 


ดังนั้นเมื่อนางได้ฟังซูเหลียนอวิ้นพูดคุยเรื่องราวในพระธรรมคำสอนอย่างเข้าถึงเช่นนี้ ใจของหวังฉือหวนก็อดเต้นแรงไม่ได้


 


 


ต้องหยุดตั้งแต่ตอนนี้ บางทีอาจจะยังทัน!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเดิมทีที่กำลังท่องอย่างลื่นไหลและจำได้อย่างขึ้นใจอยู่นั้น จู่ๆ เมื่อโดนหวังฉือหวนขัดขึ้นเช่นนี้นางจึงสับสนไปบ้าง


 


 


มีประโยคใดที่นางท่องผิดไปหรือ? อันที่จริงนางเองก็เพิ่งเริ่มตั้งใจกับมันและฝึกท่องมาเพียงสองรอบเท่านั้นเอง! จะให้นางจำได้ถึงขั้นไหนกัน?


 


 


“ท่านย่าเจ้าคะ…?” ซูเหลียนอวิ้นยังคงข้องใจ


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ พระธรรมคำสอนกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มนุษย์ปุถุชนอย่างพวกเราเข้าใจเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว เพราะย่าเองก็ไม่ได้หวังว่าที่เรือนของเราจะมีคนเข้าใจเรื่องพวกนี้ถ่องแท้ ที่ย่าสนใจเรื่องพวกนี้ก็เป็นเพราะเพียงต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองในยามเบื่อหน่ายก็เท่านั้น ดังนั้นนะอวิ้นเอ๋อร์เรื่องราวพวกนี้ เด็กอายุเท่าเจ้า…บางทีอาจจะไม่ต้องไปสนใจมันมากนัก รอให้เจ้าอายุเท่าย่าก่อนแล้วค่อยศึกษาอีกทีก็ไม่สาย…”


 


 


“อืม หลานจะจำไว้เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้างกๆ ก่อนที่นางจะกลับนางจึงรู้สึกว่าสิ่งที่นางอุตส่าห์ท่องจำมาพวกนี้นั้นเปล่าประโยชน์หรือ?


 


 


“เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว รีบกลับเถิดอวิ้นเอ๋อร์ ยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งมาก ถนนก็จะยิ่งลื่นและยิ่งเดินลำบาก” หวังฉือหวนเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบ


 


 


“ท่านย่า หลานขอตัวเลยนะเจ้าคะ”


 


 


“กลับไปเถิด ระหว่างทางเดินดีๆ ก็แล้วกัน”


 


 


ส่วนซูมั่วเยี่ยเองก็ต้องรีบกลับค่ายทหารแต่หัวเช้าในวันรุ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้รอซูเหลียนอวิ้นและล่วงหน้ากลับไปที่เรือนของตนก่อนนานแล้ว


 


 


ในที่สุดซูเหลียนอวิ้นก็เดินกลับถึงเรือนของตนเองโดยมีหลีมู่เดินเป็นเพื่อน ตอนนี้นางรู้สึกมีความสุขมากเพียงนึกถึงตำราสองเล่มนั้นที่หรงซู่มอบให้ตนมา เพราะจนถึงตอนนี้นางยังไม่มีโอกาสได้เปิดดูเลยแม้แต่น้อย นางรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อนึกได้ว่าใกล้จะได้อ่านมันเต็มทีที่เรือนของตนแล้ว


 


 


“หลีมู่เจ้ากลับไปที่ห้องของเจ้าเถิด ประดี๋ยวข้าเป็นคนเป่าเทียนให้ดับเองก็ได้ เจ้าไม่ต้องห่วง” เมื่อซูเหลียนอวิ้นอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็โบกมือเป็นการบอกให้หลีมู่กลับไปได้แล้ว


 


 


เพราะหากมีหลีมู่อยู่ด้วย แผนที่นางตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือตลอดทั้งคืนนี้คงต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน


 


 


ครั้งนี้หลีมู่กลับไม่ได้พูดขัดอะไร นางเพียงพยักหน้าตอบรับและพูดกำชับซูเหลียนอวิ้นเพียงหนึ่งประโยค “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวเห็นว่าสิวบนหน้าผากของคุณหนูยังไม่หายดี ดังนั้นคุณหนูพักผ่อนเร็วหน่อยจะดีกว่า มิเช่นนั้นเกรงว่าพรุ่งนี้อาการน่าจะยิ่งหนักขึ้น” พอเอ่ยจบก็ถอยออกไปแล้วปิดประตู


 


 


ซูเหลียนอวิ้นจ้องไปที่ประตูที่ถูกปิดลงเงียบๆ ใจใจของนางพลันปรากฏคำพูดหลายคำขึ้นมา


 


 


หลีมู่เจ้าร้ายกาจเกินไปแล้ว!


 


 


ประโยคนี้เอาชนะคำพูดเป็นร้อยเป็นพันคำได้อย่างขาดลอย! ได้ผลมากกว่าคำพูดเป็นร้อยๆ ประโยคที่หลีมู่ใช้ตักเตือนนางเสียอีก!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นลูบหน้าผากของตัวเองแล้วคลำเจอตำแหน่งที่เป็นสิวอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกเจ็บปวดถาโถมขึ้นในใจของนาง


 


 


จะอ่านหนังสือข้ามคืน? หรือว่าจะรักษาใบหน้าตัวเองด้วยการเข้านอนเสียเดี๋ยวนี้เลยดี?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางจึงตัดสินใจเลือกทางสายกลาง


 


 


นางจะอ่านหนังสือก่อน…พออ่านได้พักหนึ่งนางก็จะรีบเข้านอนทันที! นางจะดูเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น! ซูเหลียนอวิ้นเอามือสัมผัสไปบริเวณที่เปิดซองอย่างทะนุถนอม สุดท้ายจึงตัดสินใจหยิบตำราออกมาอ่าน


 


 


ระหว่างที่ซูเหลียนอวิ้นอ่านตำราอยู่นั้น นางไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดว่าอย่างไรดี…เพราะอย่างนางถือได้ว่าเพิ่งจะเริ่มหาแนวทางของตัวเองเจอ แต่กลับให้นางต้องมาเรียนสิ่งที่อันตรายขนาดนี้


 


 


ท่านอาจารย์ช่างดีกับข้าเสียจริง


 


 


แม้ว่านางจะคิดในใจเช่นนี้ ทว่าการแสดงออกของซูเหลียนอวิ้นนั้นมีความชัดเจนว่าสนใจในตำราสองเล่มนี้เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อนางจินตนาการถึงตัวเองที่เรียนจนสำเร็จแล้วมีท่าทางกวัดแกว่งกระบี่อย่างองอาจสง่างามเช่นนั้น แล้วจะไม่ให้นางตื่นเต้นไหวได้อย่างไร!


 


 


 


 


 




 


——


 


 


[1] เจ็ดอารมณ์ หมายถึง อารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์คือ ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด ส่วน หกปรารถนา หมายถึง ความปรารถนาสัมผัสหกประการ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกายและทางใจ 

 

 


ตอนที่ 92 โตเป็นสาว

 

ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นตื่นขึ้นมานั้นก็พบว่ามือของตัวเองยังคงอยู่ในท่าถือตำราอยู่ ทว่าตำราที่ควรอยู่ในมือกลับไม่มีแล้ว


 


 


“หลีมู่…?” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นนั่งอย่างสับสนแล้วร้องเรียก เพราะคนที่สามารถเข้ามาในห้องของนางได้นั้นคงมีเพียงหลีมู่แค่คนเดียว


 


 


“คุณหนูตื่นแล้วหรือ ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวกันเถอะเจ้าค่ะ” หลีมู่วางเสื้อผ้าในมือของตนลงแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปหา


 


 


“หลีมู่ ตำราของข้าล่ะ?” เมื่อวานอุตส่าห์ตั้งใจเอาไว้ว่าจะอ่านเพียงประเดี๋ยวเดียวและก็จะรีบเข้านอน แต่คิดไม่ถึงว่านางจะลืมเวลาจนลืมเอาตำราไปซ่อนแล้วก็ถืออยู่เช่นนั้นจนหลับไป…


 


 


“บ่าวนำมันวางไว้บนโต๊ะน้ำชาตรงนั้นเจ้าค่ะ” หลีมู่ชี้มือไปพลาง “บ่าวมิได้เปิดดูเนื้อหาข้างในเลยนะเจ้าคะ”


 


 


“อ้อ…ไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นเกาศีรษะ อันที่จริงดูก็ไม่เป็นไร แต่แน่นอนว่าไม่ดูย่อมดีที่สุด!


 


 


เพราะกระบวนท่าต่างๆ ที่บันทึกอยู่ในหนังสือเล่มนั้น…ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าหลีมู่ไม่ได้เห็นจะเหมาะสมกว่า มิเช่นนั้นตอนนั้นนางคงต้องใช้เวลาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่อธิบายว่านั่นไม่เป็นอันตรายอะไร…หรือบางทีอาจจะไม่อันตราย


 


 


“ดีจริง” ซูเหลียนอวิ้นอุทานออกมา พองานฉลองวสันตฤดูสิ้นสุดลง ก็เป็นช่วงเวลาที่กั๋วจื่อเจียน[1]ปิดพอดี จนกระทั่งสิ้นสุดฤดูร้อนถึงจะเริ่มเปิดใหม่ ด้วยเหตุนี้เวลาที่อยากจะตื่นเมื่อไหร่ก็ตื่นเมื่อนั้นหรือช่วงเวลาที่อยากจะทำอะไรก็ทำเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สบายมากเลยทีเดียว


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ…” หลีมู่เอ่ยปากด้วยท่าทางลังเล


 


 


“หือ?” ในปากของซูเหลียนอวิ้นยังคงอมเกลือที่ใช้บ้วนปากอยู่ ในตอนนั้นจึงยังไม่ได้บ้วนน้ำออกมา ดังนั้นตอนนี้จึงเพียงเค้นเสียงออกมาคำหนึ่งเท่านั้น สายตาของนางส่งไปทางหลีมู่เป็นนัยว่านางมีเรื่องอะไรอยากจะพูดกันแน่


 


 


“คือว่า…” หลีมู่เริ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะคำพูดที่นางจะเอ่ยต่อจากนี้ต้องเป็นคำพูดที่คุณหนูไม่อยากฟังอย่างแน่นอน แต่นางจำเป็นต้องพูด! เพราะไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสุขตลอดชีวิตของคุณหนู!


 


 


ซูเหลียนอวิ้น “?”


 


 


เช้าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่? ดูจากท่าทางของหลีมู่แล้วจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่!


 


 


“คุณหนูคือว่าอย่างนี้ ต่อไปเวลาที่คุณหนูจะนอน ห้ามนั่งพิงแล้วหลับไป มันไม่ดีกับ…ตรงนั้น ว่ากันว่าหากนอนหลับแบบนั้นเป็นประจำ ตรงนั้นจะยิ่งถูกกดให้แบนมากขึ้น” หลีมู่ใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะเอ่ยปากเรื่องนี้ออกมา แต่เพราะเห็นตรงนั้นของคุณหนูแบนราบ นางจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องกล่าวเตือนสักหน่อย!


 


 


เมื่อพูดจบนางก็รีบก้มหน้าลงแล้วเหม่อมองไปยังปลายเท้าของตัวเองโดยไม่ยอมพูดอะไรอีก


 


 


“พู่! แค่กๆ แค่กๆ อะไรนะ?” เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นกำลังขบคิดอยู่ว่าหลีมู่จะเอ่ยเรื่องอะไรถึงกล้าๆ กลัวๆ เช่นนี้ จนลืมบ้วนน้ำเกลือที่อยู่ในปากออก ตอนนี้จึงใช้โอกาสนี้บ้วนน้ำเกลือออกมาเลยทีเดียว ไม่ใช่สิ เป็นการพ่นออกมาต่างหาก


 


 


“แค่กๆ หลีมู่ เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ?” ซูเหลียนอวิ้นหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากของตัวเอง จากนั้นจึงถามขึ้นอีกรอบ


 


 


เนื่องจากคำพูดเมื่อครู่ที่หลีมู่เอ่ยนั้นออกจะน่าตกใจไปหน่อย! ซูเหลียนอวิ้นจึงต้องการการยืนยันอีกที ยืนยันว่านั่นใช่คำพูดของหลีมู่จริงๆ หรือ!


 


 


เมื่อหลีมู่ได้ยินคำถามดังนั้นหน้าพลันแดงก่ำจากนั้นจึงรีบส่ายศีรษะ ดูท่าแล้วไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่กล้าเอ่ยปากออกมาอีกแล้ว เพราะนางเข้าใจว่าคำพูดเมื่อครู่ของตนทำให้คุณหนูโกรธตนอย่างแน่นอน!


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวยังมีงานอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำรออยู่ด้านนอก คุณหนูอาบน้ำก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวบ่าวจะเข้ามาจัดการต่อเอง บ่าวขอตัวก่อน!” เมื่อหลีมู่เอ่ยจบก็รีบทำความเคารพ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องนี้ไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หลีมู่เมื่อเดินออกมาด้านนอกแล้วก็ตบหน้าตัวเองเบาๆ มือของนางพลันรู้สึกร้อนขึ้นมา…นางไม่รู้ว่าตนเป็นไข้หวัดแล้วหรือไม่…มิเช่นนั้นทำไมนางจึงรู้สึกตัวร้อนๆ เช่นนี้?


 


 


“เฮ้อ! เมื่อครู่ข้าพูดไร้สาระอะไรออกไปกัน!” หลีมู่กระทืบเท้า คำพูดเมื่อครู่ของนางทำไมถึงพูดออกไปโดยไม่ใช้หัวคิดเช่นนั้น? หากนางจะขอย้อนกลับไปเก็บคำพูดเหล่านั้นจะยังทันหรือไม่…


 


 


ตอนนี้หลีมู่ไม่กล้ารั้งอยู่หน้าประตูต่อไปอีกแม้เพียงเสี้ยวนาที เพราะแม้จะมีกำแพงกั้นอยู่นางก็ยังรู้สึกวางตัวไม่ถูกอยู่ดี จากนั้นจึงวิ่งอย่างรวดเร็วออกไปทันที


 


 


ภายในห้อง ซูเหลียนอวิ้นใช้มือคลำไปที่หน้าอกด้านซ้ายของตนด้วยแววตาที่ซับซ้อน


 


 


นางรู้สึกว่านางเริ่มเจ็บที่หัวใจอีกแล้ว นางจะทำอย่างไรดี? แถมยังเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงมากเสียด้วย! ยิ่งสัมผัสไปใกล้บริเวณหัวใจมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นเท่านั้น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ด้านหน้ากระจกแล้วจ้องมองตัวเองโดยละเอียด


 


 


อืม…นางอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้กระมัง? ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าสิ่งที่หลีมู่พูดเป็นความจริง เพราะดูเหมือนว่าที่ตรงนั้นจะเล็กลงจริงๆ!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นสูดหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าไป เพราะยิ่งนางมองมันนางก็ยิ่งผิดหวัง นางคิดว่านางจะใช้โอกาสช่วงนี้ที่ไม่ต้องไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียนทำอะไรสักอย่าง จะปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆ แบบนี้ไม่ได้แล้ว!


 


 


เพราะจะอย่างไรก็ใกล้ถึงวันงานพิธีปักปิ่นของนางแล้ว นางใกล้จะกลายเป็นสาวเต็มทีแล้ว และอีกไม่นานก็จะถึงวัยที่ต้องแต่งงานออกเรือน! ทำไมถึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย?


 


 


ทว่าเคล็ดลับการทำให้ตรงนั้นใหญ่ขึ้น…นางเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่นัก ต่อให้เป็นนางในชาติที่แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี


 


 


ทว่าวิธีที่นางรู้ก็เป็นเพียงวิธีแบบบ้านๆ เท่านั้น กินมะละกอเยอะๆ ก็อาจจะพอได้ผล…


 


 


ทว่าสำหรับวิธีนี้ ทำไมเมื่อชาติที่แล้วซูเหลียนอวิ้นถึงไม่ใช้ทำต่อเนื่องเล่า? จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่า วิธีนี้สิ้นเปลืองเงินเป็นอย่างมาก!


 


 


ผลไม้อย่างมะละกอนั้น ในเมืองหลวงถือว่าพบเห็นได้น้อยมาก เพราะแหล่งปลูกไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกทั้งตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน และต้องขนส่งมาจากดินแดงไกลโพ้น ด้วยเหตุนี้เกรงว่าระหว่างจะเน่าเสียไปกว่าครึ่ง


 


 


ผลไม้นี้ถือว่าเป็นผลไม้ธรรมดาที่หาได้ทั่วไปในแทบภาคใต้ แต่เมื่อมาถึงที่นี่กลับกลายเป็นของมีค่าราคาแพงขึ้นมา


 


 


ทว่าหากไม่สละเด็กก็คงมิอาจคว้าหมาป่ามาครอง[2]ได้!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกัดฟัน แพงก็แพง! ถึงอย่างไรตอนนี้นางเองก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง อีกไม่กี่วันซูมั่วเยี่ยก็จะได้รับเงินเดือนแล้วมิใช่หรือ? ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องให้เงินนางไม่น้อยอย่างแน่นอน ตอนนี้จึงสามารถใช้เงินก้อนนั้นไปก่อนได้


 


 


แม้ว่าเมื่อนึกถึงตอนที่ต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้นจะรู้สึกเสียดายขึ้นมา แต่ว่าเมื่อมาคิดทบทวนดูแล้วเงินที่เก็บเอาไว้ก็เป็นเพียงแค่เงินเก็บ มันคงไม่สามารถงอกออกมาเพิ่มเองได้ ดังนั้นมิสู้ใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าไม่ดีกว่าหรือ


 


 


อีกทั้งเมื่อนึกถึงการแสดงท่าทางกระอักกระอ่วน กล้าๆ กลัวๆ เช่นนั้นของหลีมู่ ซูเหลียนอวิ้นก็รู้สึกอับอายขึ้นมา


 


 


หน้าอกของนางแย่ถึงขั้นนั้นแล้วหรือ? หลีมู่ถึงได้เป็นกังวลแทนนางแล้ว! เวรกรรมจริงๆ …


 


 


ทว่าพอผ่านไปครู่ใหญ่ ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เงินก้อนนี้ คุ้มค่าที่จะใช้!


 


 


เพราะว่านางนึกถึงต้วนเฉินเซวียนขึ้นมา


 


 


ชาติที่แล้วแม้ว่าต้วนเฉินเซวียนจะไม่เคยหัวเราะหรือล้อเรียนตรงนั้นของนางออกมาโดยตรง แต่บางครั้งเมื่อเขาแอบเหลือบมอง แววตลกขบขันและเยาะเย้ยในแววตาของเขาก็มิอาจปิดบังเอาไว้ได้!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกำหมัดน้อยๆ ของตน แต่จากนั้นก็คลายมือออกทันที แล้วคลำไปที่หน้าอกของตัวเอง


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไร ในวันงานพิธีปักปิ่นก็คงจะมีแขกมาร่วมงานไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ยินดีมาช่วยดำเนินพิธีการ แต่ซูเหลียนอวิ้นเชื่อว่า คนที่จะมาเข้าร่วมเพียงอย่างเดียวนั้นจะต้องยอมมากันไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นถึงตอนนั้นนางจะต้องพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น


 


 


นางจะต้องโตเป็นสาวได้อย่างแน่นอน!


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] กั๋วจื่อเจียน คือสถานศึกษาสูงที่สุดในสมัยนั้น


 


 


[2] ไม่สละเด็กมิอาจคว้าหมาป่ามาครอง หมายความว่า อยากได้สิ่งได้ก็ต้องยอมแลกเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา 

 

 


ตอนที่ 93 หินลับมีด

 

“คุณหนูเจ้าคะ!” หลีมู่กลับคืนสู่อารมณ์ปกติตามเดิมแล้วจึงกล้าเดินกลับเข้าไปในห้อง เมื่อผลักประตูเข้าไปจึงเห็นซูเหลียนอวิ้นกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะ โดยที่ไม่มีทีท่าไม่สบอารมณ์แต่อย่างใด นางจึงค่อยเบาใจขึ้น


 


 


ยังดีที่คุณหนูไม่ได้มีทีท่าหงุดหงิดอะไรแล้ว


 


 


“มีอะไรหรือ?” ซูเหลียนอวิ้นวางตำราในมือลงแล้วเอ่ยถามขึ้น


 


 


“คุณหนูหลินตอบจดหมายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่เอ่ยอย่างค่อยๆ เอ่ยด้วยความตื่นเต้น จากนั้นจึงยื่นมือทั้งสองที่มีจดหมายอยู่ให้ซูเหลียนอวิ้นทันที


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยืดตัวขึ้นแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน นิ้วที่เรียวยาวราวกับต้นหอมของนางรับจดหมายมาแล้วเปิดออก เมื่อเปิดเรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากของนางก็ปรากฏขึ้นอย่างห้ามไม่ได้


 


 


“คุณหนูหลินต้องตอบตกลงอย่างแน่นอนเลยใช่ไหมเจ้าคะ?”


 


 


“เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” ซูเหลียนอวิ้นมองไปที่หลีมู่ด้วยรอยยิ้ม “นางกล้าไม่ตกลงหรือ หากไม่ตกลงข้าจะ…!” ซูเหลียนอวิ้นพยายามแค่นเสียงแข็งระหว่างที่เอ่ย


 


 


จะดีจะร้ายอย่างไรก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในการรวมหัวกันทุจริตให้คะแนนกันและกันในงานฉลองวสันตฤดูเชียวนะ หลินเหวินเสี่ยวลองไม่รับปากนางดูสิ!


 


 


“นี่เป็นข่าวดียิ่ง” หลีมู่ก็ยิ้มเช่นกัน


 


 


ในที่สุดคุณหนูก็มีเพื่อนสนิทเป็นของตัวเองเสียที นี่เป็นข่าวดียิ่ง


 


 


“เอาล่ะๆ หลีมู่เจ้าอย่ามัวแต่นั่งยิ้มอยู่” รอยยิ้มของซูเหลียนอวิ้นหายไปแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ายังมีเรื่องที่อยากจะไหว้วานเจ้า”


 


 


“เรื่องอะไรเจ้าคะ?” ตอนนั้นหลีมู่ยืนตัวแข็ง เนื่องจากนานๆ ทีคุณหนูจะใช้คำว่าไหว้วานคำนี้ ดังนั้นตอนนี้พอบอกว่ามีเรื่องจะให้นางทำ เรื่องนั้นคงจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากกระมัง?


 


 


“หลีมู่เจ้าไปบอกแม่เฒ่าหวางที่เป็นนายหน้าขายของนางนั้นว่าตลอดหนึ่งเดือนนี้ ข้าต้องการมะละกอที่สดใหม่ทุกเช้า และต้องเป็นมะละกอสดใหม่อย่างดีด้วยนะ!”


 


 


“ส่วนปัญหาเรื่องเงินเจ้าจงบอกนางว่าไม่ต้องกังวล ข้าจะจ่ายให้นางต่างหาก ไม่จำเป็นต้องจดไว้ในบัญชีสาธารณะ ดังนั้นให้นางวางใจไปหาซื้อมาให้ข้าให้ได้ แต่ว่า…” ซูเหลียนอวิ้นกรอกตาเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า “แต่หากข้ารู้ความจริงว่ารับเงินจากข้าไปแล้วแต่ไม่ยอมทำอย่างเต็มที่ล่ะก็ ผลที่จะเกิดตามมาก็ให้นางคิดดูเอาเองแล้วกันว่าจะต้องรับมืออย่างไร”


 


 


“เจ้าค่ะคุณหนู! บ่าวจะต้องถ่ายทอดคำพูดทุกคำของคุณหนู คุณหนูวางใจได้” หลีมู่กลืนน้ำลายแล้วพยักหน้า ในใจของนางแอบคิดว่าทำไมจู่ๆ คุณหนูถึงได้ร้ายกาจขึ้นเช่นนี้ได้? อืม…ท่าทางเช่นนี้คงเรียกว่าร้ายกาจได้กระมัง?


 


 


“อื้ม ไปสิ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าให้ทีหนึ่ง จากนั้นจึงเอนกายพิงพนักเก้าอี้


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


หลังจากที่หลีมู่ปิดประตูจนสนิทแล้วนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็รีบดีดตัวขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงถอนใจ


 


 


ใจจริงของนางรู้สึกว่าการวางท่าทางเข้มงวดเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับนางเท่าไหร่…ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดของหรงซู่ที่บอกนางในวันนั้น ซูเหลียนอวิ้นจึงจำต้องทำใจเ**้ยมๆ ให้มากขึ้นหน่อย


 


 


แม่เฒ่าหวางนางนี้มีลูกชายอยู่คนหนึ่ง แต่เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรจึงเลือกคบกับเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวจนพากันเกเร จากนั้นจึงติดนิสัยชอบเล่นการพนันเป็นต้นมา


 


 


แม่เฒ่าหวางเป็นแม่หม้าย ดังนั้นจึงต้องเผชิญกับชะตากรรมลำบากยากแค้นกว่าจะเลี้ยงลูกจนเติบโตขึ้นมาได้ ตอนนี้แม้ว่าลูกชายตัวเองจะเกเรไม่เรียนหนังสือไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นลูกที่ตัวเองอุ้มท้องถึงสิบเดือนและเป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งที่ตัวเองคลอดออกมา! แล้วจะให้ใจร้ายกับลูกลงได้อย่างไร?


 


 


ตีก็ตีไปแล้ว ดุด่าก็ดุด่าไปแล้ว แม้ว่าทุกครั้งหลังจากที่โดนตีและโดนดุลูกชายของนางจะลงไปนั่งคุกเข่าบีบน้ำตาร้องไห้ราวกับเขาสำนึกผิดและจะปรับตัวแล้วจริงๆ ทว่าไม่เกินครึ่งเดือน แม่เฒ่าหวางก็ต้องกลับไปตามหาเขาที่บ่อนตามเคย


 


 


พอเวลาผ่านไปนานเข้าแม่เฒ่าหวางก็ท้อแท้สิ้นหวังและไม่สนใจอะไรอีก นางปล่อยให้ลูกของนางไปที่ใดก็ได้ตามที่อยากจะไป


 


 


ทว่าไม่นานนัก เมื่อไม่มีเงินช่วยเหลือจากแม่เฒ่าหวางแล้ว ลูกชายของนางก็ยังคงไปที่บ่อนตามเดิมแต่เนื่องจากไม่มีเงินจ่ายค่าพนันจึงโดนคนในบ่อนจับตัดนิ้วมือออกไปสองนิ้ว!


 


 


เมื่อแม่เฒ่าหวางเห็นว่าลูกชายตนเองโดนบังคับขืนใจให้ตัดนิ้วมือไปสองนิ้วเช่นนี้ ความเศร้าโศกและขมขื่นใจได้ห่อหุ้มและกลืนกินร่างกายของนาง ตั้งแต่บัดนั้นแม้ว่าลูกชายจะยังกลับไปที่บ่อนอีก หรือไม่ว่าเขาจะตัดสินใจทำอะไร นางก็ไม่เคยห้ามเขาอีกเลย


 


 


ในใจของแม่เฒ่าหวางได้แต่โทษตัวเอง นางคิดว่านางติดหนี้ลูกชายของตน


 


 


เนื่องจากนางคิดว่าหากตอนนั้นนางไม่ใจร้ายเช่นนั้น ไม่ได้ไล่คนทวงหนี้กลับไป บางทีมือของลูกชายนางอาจจะยังปลอดภัยไร้เรื่องราว?


 


 


ทว่าการพนันเผาผลาญไร้ที่สิ้นสุด เงินเป็นสิ่งที่ใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผ่านไปนานๆ เข้า หากไม่มีเงินจะทำอย่างไร? แม่เฒ่าหวางจึงค่อยๆ หันเหความสนใจของตัวเองมาที่อาชีพนายหน้าขายของ


 


 


ซูเหลียนอวิ้นรู้ดีว่าเรื่องราวเช่นนี้ถือเป็นความบังเอิญของโชคชะตา เมื่อชาติที่แล้วตอนที่นางแอบหนีออกจากเรือน นางเลือกที่จะออกทางประตูหลัง แต่ด้วยความบังเอิญดันไปเห็นคนที่มาตามทวงหนี้กับแม่เฒ่าหวางเข้า


 


 


ตอนนั้นนางแอบอยู่ที่ประตูหลังอีกบานโดยไม่กล้าส่งเสียงออกไป นางตั้งใจฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบรอบหนึ่ง แม้ว่าตอนนั้นนางจะรู้ว่าแม่เฒ่าหวางแอบโกงเงิน แต่นางกลับยังใจอ่อน นางไม่ได้รายงานเรื่องนี้กับใคร ในทางตรงข้ามนางกลับช่วยแม่เฒ่าหวางเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ


 


 


แต่ในชาตินี้เล่า? ซูเหลียนอวิ้นวางตำราในมือลงแล้วเดินไปที่หน้าต่าง แล้วแง้มเปิดหน้าต่างขึ้นเพียงช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง ลมอุ่นๆ จึงพัดเข้ามา ทำให้การครุ่นคิดอันวุ่นวายภายในใจของนางสงบราบเรียบลง


 


 


ในชาตินี้ ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตัวเองอาจจะไม่ได้มีเมตตาเช่นนั้นแล้ว


 


 


มีเมตตากับคนประเภทนี้ ถือเป็นการไม่มีเมตตากับตัวเองอย่างหนึ่ง


 


 


ตระกูลซูมิใช่โรงทาน อีกทั้งเงินทั้งหมดของตระกูลซูก็มิได้มีลมพัดมาให้ถึงที่ ดังนั้นจะไม่มีการนำเงินของตระกูลตัวเองไปช่วยเหลือคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวใดๆ อย่างไม่มีที่สุดได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นก็ได้รับผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเองด้วย!


 


 


ท่านอาจารย์บอกว่านางเป็นคนที่มีพลังงานเหลือล้น แต่กลับใช้พลังนั้นไม่มากพอ


 


 


วันนี้นางได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว ส่วนแม่เฒ่าหวางจะทำอย่างไรนั้น จะเชื่อฟังคำของนางหรือไม่นั้น? ซูเหลียนอวิ้นเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก


 


 


แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับนางมากนัก หากเชื่อฟังนาง นางก็หมดห่วงไปหนึ่งเรื่อง แต่หากไม่ฟัง? เช่นนั้นก็ดีเหมือนกันจะได้กลายเป็นหินลับมีดอันแรกให้นาง?


 


 


ไม่เลวทีเดียว


 


 


ซูเหลียนอวิ้นนวดที่ขมับตัวเอง เนื่องจากตอนนี้นางรู้สึกว่าปวดที่สมองของตัวเองเสียแล้ว เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นางจึงรู้สึกว่าช่วงนี้นางคิดเรื่องราวต่างๆ มากเกินไปหรือไม่? หรือว่านางจะเป็นคนที่เหมาะกับเรื่องที่ใช้แต่กำลังมากกว่าใช้สมอง


 


 


เพราะเมื่อครู่เพิ่งคิดเรื่องสำคัญไป นางจึงเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา


 


 


เฮ้อ ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจ เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่านางจะลืมพูดบางเรื่องกับหลีมู่ไป นอกจากเรื่องที่ให้หลีมู่ไปบอกว่าต้องการมะละกอแล้ว อันที่จริงนางยังต้องการเมล็ดเหอเถา[1]มาบำรุงสมองของนางอีกด้วย


 


 


นางส่ายหัว จากนั้นยื่นมือไปหยิบตำราที่อ่านค้างไว้ครึ่งหนึ่งมา อ่านตำราต่ออีกหน่อยดีกว่าถือเป็นการหลีกหนีจากความจริงไปด้วยในตัว


 


 


……


 


 


หลังจากที่เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ซูเหลียนอวิ้นจึงวางตำราในมือของตัวเองลงดัง “ปัง” แล้วปิดตำราลง


 


 


นางคิดว่า ตำราเล่มนี้…นางได้อ่านไปไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องคิดถึงการลองฝึกจริงแล้วหรือไม่?


 


 


ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นรู้สึกตื่นเต้นมาก ทว่าเพียงชั่วครู่ความเป็นจริงกลับทำให้นางสงบลงอีกครั้ง


 


 


ข้อแรกนางไม่มีอาวุธ ข้อสองดูเหมือนว่าจะไม่มีคนเป็นคู่ซ้อมของนาง ประเด็นนี้…ดูเหมือนว่ากลายเป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรต่อดี


 


 


 


 


——


 


 


[1] หมายถึงเมล็ดวอลนัท 

 

 


ตอนที่ 94 ถอนหญ้า

 

เอ๊ะ? มิใช่สิ นางคล้ายลืมคนผู้หนึ่งไป…


 


 


“หลานเย่ว์!” ซูเหลียนอวิ้นรีบยัดเท้าเข้าไปในรองเท้า แล้วเปลี่ยนเป็นชุดที่สวมใส่คล่องตัว จากนั้นจึงตะโกนเรียกจากด้านในเรือน


 


 


“คุณหนูใหญ่? คุณหนูตามหาข้าด้วยเรื่องใดหรือขอรับ?” เมื่อสิ้นเสียงไปเพียงครู่เดียว หลานเย่ว์ก็ปรากฏตัวออกมา


 


 


เมื่อครู่เขากำลังถอนหญ้าให้คุณหนูอยู่…


 


 


เนื่องจากพออยู่ที่เรือนของซูเหลียนอวิ้นไปนานๆ เข้า จะพบว่าทุกอย่างเป็นจริงตามที่เนี่ยนเอ๋อร์เคยบอกไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน! ที่ว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่ไปทุกวันจะไม่เหลืองานใดให้พวกตนทำเลย


 


 


แต่จะให้รับเงินโดยไม่ทำงานหรือ? ในใจของหลานเย่ว์รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก


 


 


อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ซูเหลียนอวิ้นยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย แม้ว่านางจะไม่ได้ตำหนิเขา แต่ยิ่งไม่ตำหนิเขา หลานเย่ว์ก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นเท่านั้น


 


 


เจ้านายได้รับบาดเจ็บ นั่นก็เป็นเพราะว่าองครักษ์ปกป้องดูแลไม่ดี ระหว่างที่ตำหนิตัวเองอยู่ต่างๆ นานานั้น หลานเย่ว์ก็เริ่มถอนหญ้าไปด้วยพลางๆ


 


 


หญิงสาวทุกคนล้วนมีผิวพรรณขาวละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะมาโก้งโค้งถอนหรือตัดหญ้าอยู่ใต้แสงแดดร้อนๆ เช่นนี้ทุกวันซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


 


ทว่าชายฉกรรจ์อย่างเขานั้นมิกลัวแดด โดนแดดจนผิวเข้มขึ้นหน่อยเขาว่าก็ดูไม่เลว มิเช่นนั้นหากมัวแต่ห่วงความขาวความสะอาดอยู่ก็คงดูเหมือนเป็นไก่อ่อน แล้วเช่นนั้นจะมีรูปลักษณ์น่าเกรงขามไว้ปกป้องคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร?


 


 


ดังนั้นในช่วงนี้งานถอนหญ้าจึงกลายเป็นหน้าที่ของหลานเย่ว์แต่เพียงผู้เดียว


 


 


“หลานเย่ว์ หลานเย่ว์” ซูเหลียนอวิ้นดึงตัวเขาที่กำลังนั่งยองๆ อยู่กับพื้นขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ามานั่งยองๆ อยู่ตรงนี้ทำไม? อย่ามัวแต่นั่งยองๆ อยู่เลย มา เราสองคนมาประลองกันสักตั้งจะดีกว่า”


 


 


“เอาอีกแล้วหรือขอรับ คุณหนูใหญ่?” หลานเย่ว์ขมวดคิ้ว เช่นนั้นให้เขาถอนหญ้าต่อดังเดิมยังจะดีกว่าให้เขาไปประลองเสียอีก


 


 


เนื่องจากในการประลอง เขาต้องครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะต่อสู้อย่างไรโดยไม่ทำให้ซูเหลียนอวิ้นได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังต้องพิจารณาถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย


 


 


แม้ว่าฝีมือของซูเหลียนอวิ้นจะไม่ได้แย่อะไร อย่างน้อยๆ เมื่อเทียบกับคุณหนูคนอื่นๆ ในเมืองหลวงก็ถือว่าดีกว่ามากหลายเท่าตัวแล้ว แต่จะอย่างไรก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้กับคนที่ฝึกวรยุทธ์มาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบปีอย่างเขา


 


 


หากจะชนะก็มิอาจชนะขาดได้ หรือถ้าจะแพ้ก็มิอาจยอมแพ้อย่างชัดเจนได้?


 


 


นี่ถือว่าเป็นบททดสอบชีวิตของเขาอย่างหนึ่งเช่นกัน…


 


 


“มิต้องกลัว” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปและก้าวเท้ามาข้างหน้า จากนั้นตบไปที่ไหล่ของหลานเย่ว์ “ครั้งนี้พวกเราใช้กิ่งไม้ฝึกแทนก็ได้ มิต้องใช้กระบี่ เช่นนี้เจ้าคงเบาใจขึ้นบ้างแล้วกระมัง?


 


 


หลานเย่ว์ร่างสูงยิ่งนัก…ซูเหลียนอวิ้นแอบบ่นในใจ ทำไมเมื่อก่อนนางถึงมิเคยสังเกตมาก่อนว่าเขาเป็นคนสูงขนาดนี้?


 


 


แต่เนื่องจากเมื่อครู่นางยื่นแขนออกไปแล้ว จะอย่างไรก็ต้องตบบ่าเขาสักหน่อยใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นซูเหลียนอวิ้นจะรู้สึกว่ามันน่าอึดอัดมากกว่าหากยื่นมือออกไปโดยไม่ทำอะไร


 


 


หลานเย่ว์หลับตาลงอย่างเหลืออดเพื่อรับรู้ถึงน้ำหนักมือที่ตบมาบนไหล่ของเขาอย่างไม่หนักไม่เบา จากนั้นเขาจึงยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง


 


 


อืม เขาเริ่มรู้สึกว่าเงินที่เขาได้รับมาในแต่ละเดือนมิได้เป็นเงินที่เขาได้รับมาโดยไม่เสียแรงแล้ว


 


 


องครักษ์ประจำตัวที่เป็นคนสวนถอนหญ้าด้วย ทั้งยังเป็นคู่ซ้อมวิชาต่อสู้อีก? หลานเย่ว์คิดว่าหรือเขาควรจะไปบอกซูมั่วเยี่ยเพิ่มเงินให้เขามากขึ้นสักหน่อยดี? เพราะเงินหนึ่งก้อนกับงานสามอย่าง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่คุ่มค่า


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมิได้เอ่ยอะไรอีก นางหันหลังกลับไปแล้วเขย่งเท้าเพื่อหักกิ่งไม้จากต้นสาลี่ออกมาสองก้านแล้วยื่นให้หลานเย่ว์พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “มาเถิด พวกเรามาประลองกันอีกสักตั้ง”


 


 


หลานเย่ว์รับมาแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นครั้งนี้คุณหนูจะยังเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่หรือไม่?”


 


 


“ไม่ๆๆ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “ครั้งนี้พวกเราจะสลับกัน ข้าเป็นคนโจมตี ส่วนหลานเย่ว์ เจ้าเป็นฝ่ายตั้งรับ มาลองดูกันว่าข้าจะทลายการป้องกันของเจ้าได้หรือไม่”


 


 


“ได้ขอรับ” คุณหนูว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้นเถิด


 


 


“งั้นข้าเริ่มแล้วนะ!” ซูเหลียนอวิ้นสงบจิตใจ ในหัวของนางมีภาพกระบวนท่าต่างๆ ที่อยู่ในตำราปรากฏขึ้น นางเบิกตากว้างจากนั้นกิ่งไม้ที่อยู่ในมือของนางก็พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


 


 


จิตใต้สำนึกของหลานเย่ว์บอกให้เขายกมือขึ้นมาขวางไว้ ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของซูเหลียนอวิ้น


 


 


คุณหนูนาง…การโจมตีครั้งนี้ไม่เหมือนอย่างในครั้งก่อนหน้าเสียแล้ว!


 


 


ด้วยครั้งนี้ใช้กิ่งไม้เป็นอุปกรณ์ ดังนั้นจึงไม่มีทางปรากฏรอยแผลหรือรอยขีดข่วนให้เห็นได้แน่ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการออกท่าทางของซูเหลียนอวิ้นในครั้งนี้ใช้พลังสุดแรงที่มีของนางอย่างเต็มที่ นางออกแรงดุดันกว่าการประลองกับหรงซู่ในครั้งก่อนมากนัก


 


 


หลานเย่ว์ตั้งรับพลางถอยหลังไปหลายก้าว ทว่าสุดท้ายแล้วเท้าของเขาก็ไปเตะเข้ากับกำแพงด้านหลัง


 


 


ถอยจนมิอาจถอยได้อีกต่อไปแล้ว


 


 


“คุณหนู…” หลานเย่ว์เอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด “วันนี้เอาไว้เท่านี้เถิดขอรับ คุณหนูชนะแล้ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพลันหยุดการโจมตีลงแล้วทำปากจู๋ “หลานเย่ว์นับวันเจ้าก็ยิ่งฝืนใจทำ…” ฝืนใจทำเสียยิ่งกว่าการต่อสู้ครั้งที่แล้วเสียอีก!


 


 


“ฮ่าๆ คุณหนูล้อเล่นแล้ว” หลานเย่ว์หัวเราะเกร็งๆ


 


 


“ช่างเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นกรอกตาแล้วโยนกิ่งไม้ในมือทิ้ง “ข้าระดับไหนข้าก็พอรู้ตัวดี เจ้าไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก รอให้ข้าฝึกจนคล่องก่อนเถิด ข้าจะกลับมาประลองกับเจ้าอีก ถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่ายอมแพ้ง่ายๆ อีกก็แล้วกัน!”


 


 


นางปรารถนาชัยชนะ และเกลียดความพ่ายแพ้เป็นที่สุด! ทว่าชัยชนะที่นางต้องการจะต้องไม่ใช่ชัยชนะที่ผู้อื่นยอมอ่อนข้อให้นางเช่นนั้น หากนางชนะเช่นนั้นแล้วสู้นางยอมแพ้อย่างมีเกียรติจะดีกว่า!


 


 


หลานเย่ว์ไม่ได้ยินสิ่งใดที่ซูเหลียนอวิ้นพูดอีก สิ่งที่เขาได้ยินเพียงอย่างเดียวคือ วันหน้านางจะกลับมาประลองกับตนอีก!


 


 


พระเจ้า! ใครพอจะบอกเขาได้บ้างว่าเขาควรจะทำเช่นไร? ชนะก็ไม่ได้ แพ้ก็ไม่ได้?


 


 


ความคิดของคุณหนูใหญ่ยากจะคาดเดาเสียจริงๆ…


 


 


……


 


 


ณ พระราชวังลิ่งอัน


 


 


“พระสนมเพคะ นายท่านได้ยินข่าวว่าช่วงนี้พระสนมไม่สบาย ดังนั้นจึงส่งคนมาเยี่ยม พระสนมลุกขึ้นมานั่งสักครู่เถิดเพคะ” หลิงเซียงประคองหยางอวี้หลิงที่ยังอ่อนแอจากอาการป่วยและนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลาให้ลุกขึ้น จากนั้นจึงวางหมอนอิงไว้ขด้านหลังของนางอย่างใส่ใจ


 


 


“คนของท่านพ่อ?” หยางอวี้หลิเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังออกได้ไม่ยากนัก น้ำเสียงของนางเย่อหยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ตอนนี้นางรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่ปกคลุมเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง


 


 


“หม่อมฉันคารวะหยางกุ้ยเหริน ขอให้หยางกุ้ยเหรินมีแต่ความสุข”


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” หยางอวี้หลิงเหลือบตาไปมองสตรีผู้นั้นที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ “วันนี้ท่านพ่อส่งเจ้ามาหาข้าที่เรือนมีเรื่องอะไรหรือ?


 


 


สตรีผู้นั้นยืดตัวขึ้นแล้วก้มหน้ากล่าวตอบว่า “หม่อมฉันได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มามอบของบำรุงร่างกายให้พระสนม นายท่านยังถือโอกาสนี้ให้หม่อมฉันสอบถามพระสนมว่าอยู่ที่วังหลวงพระสนมยังต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่? หากมีก็บอกแก่หม่อมฉันได้เพคะ หม่อมฉันจะกลับไปรายงานให้นายท่านทราบ”


 


 


หยางอวี้หลิงหลุบตาต่ำอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกมือขึ้นอย่างเหนื่อยล้า “กลับไปรายงานท่านพ่อเถิดว่าช่วงนี้ข้ายังมิได้ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ร่างกายของข้าเป็นแบบนี้เพียงเพราะไม่อยากอาหารเท่านั้น ท่านพ่อวางใจได้มิต้องเป็นห่วงข้า”


 


 


“เพคะ” สตรีผู้อยู่ด้านล่างเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนสายบัว “แต่ก่อนที่หม่อมฉันจะมานายท่านยังกำชับหม่อมชั้นไว้อีกเรื่องหนึ่ง ตระกูลของหม่อมฉันมีบรรพบุรุษเป็นหมอ หากพระสนมรู้สึกไม่ค่อยสบายจะให้หม่อมฉัน…”


 


 


“ฮ่องเต้เสด็จ!” ที่ด้านนอกตำหนัก เสียงเล็กแหลมของขันทีตะโกนรายงานขึ้น


 


 


“ฮ่องเต้?” หยางอวี้หลิงแหงนหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อตัวเอง แววตาของนางพลันปรากฏประกายระยิบระยับราวกับได้เปลี่ยนร่างเป็นตุ๊กตาที่มีพลังสูบฉีดเต็มที่และมีชีวิตชีวาขึ้นทันที


 


 


“ฮ่องเต้มาถึงแล้วหรือ?” ยังไม่ทันจะใส่รองเท้า หยางอวี้หลิงก็ถลาวิ่งออกไป “ฝ่าบาทมาเยี่ยมหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?”


 


 


ลี่หยวนตี้เลิกม่านแล้วเดินเข้ามาด้านใน เขาจึงพบกับภาพหยางอวี้หลิงที่ปล่อยผมสยายแล้ววิ่งตรงมาที่ตนโดยยังไม่ทันได้สวมรองเท้า 

 

 


ตอนที่ 95 ความกังวล

 

“ฝ่าบาทเพคะ!” หยางอวี้หลิงหยุดยืนอยู่ด้านหน้าลี่หยวนตี้หนึ่งก้าว นางไม่กล้าเข้าไปใกล้ ทว่าความงดงามและประกายวิบไหวแห่งการเฝ้าคอยที่อยู่ในดวงตาของนางแสดงออกมาอย่างแรงกล้า


 


 


“อื้ม” ลี่หยวนตี้พยักพระพักตร์ ในพระเนตรปรากฏแววตาบางอย่าง แต่เนื่องจากปรากฏขึ้นและอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็วจึงทำให้คนที่จับตามองเขาอยู่ในห้องนี้ไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น


 


 


ลี่หยวนตี้ขมวดพระขนง “หลิงเอ๋อร์ทำไมรีบวิ่งลงมาโดยไม่สวมรองเท้าก่อน ช่วงนี้เจ้ามิค่อยสบาย ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองให้ดี”


 


 


แก้มทั้งสองของหยางอวี้หลิงแดงระเรื่อแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉัน…นี่เป็นเพราะว่าหม่อมฉันได้ยินว่าฮ่องเต้เสด็จมาจึงดีใจมากเกินไปหน่อย…อีกอย่างร่างกายของหม่อมฉันตอนนี้ก็ขึ้นมากแล้วเพคะ! พอได้เห็นพระพักตร์ของฝ่าบาท อาการป่วยของหม่อมฉันก็หายไปในพริบตา!”


 


 


ลี่หยวนตี้โดนหยอกให้หัวเราะ “ดูท่าแล้ว ข้าคงมีความสามารถในการเป็นหมองหลวงด้วยกระมัง?  ถึงได้ทำให้สนมที่รักเพียงเห็นหน้าข้าในคราเดียว อาการป่วยพลันหายเป็นปลิดทิ้ง”


 


 


“เอาล่ะ จะมายืนคุยกันตั้งนมนานอยู่ตรงนี้ไปทำไมกัน รีบเข้าไปด้านในกันเถิด อีกทั้งหลิงเอ๋อร์ยืนอยู่บนพื้นมานานแล้ว พื้นเย็นเช่นนี้หากเจ้าไม่สงสารตัวเจ้าเอง แต่ข้าเห็นแล้วรู้สึกสงสารเจ้า”


 


 


“เพคะ เอาตามที่ฝ่าบาทว่าเพคะ” หยางอวี้หลิงหันตัวกลับไปแล้วรีบย่ำเท้าเบาๆ กลับไปยังเตียงที่เดิม เมื่อเห็นเพียงเงาเช่นนี้ไหนเลยจะยังเหลือท่าทีก้าวร้าวเป็นนางพญาอย่างในงานฉลองวสันตฤดูอีก? แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงสาวน้อยวัยสิบหกปีที่เบิกบานใจเมื่อได้พบหน้ากับชายที่รักเท่านั้น


 


 


ลี่หยวนตี้เสด็จเข้าไปใกล้ๆ แล้วเหลือบพระเนตรไปมองสตรีที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นที่เพิ่งจะคุยกับหยางอวี้หลิงไปเมื่อครู่


 


 


“เจ้าเป็นใคร? ในวังหลวงนี้…ข้ามิเคยพบหน้าเจ้ามาก่อน” ลี่หยวนตี้ตรัสอย่างเย็นชาไม่มีความสั่นไหวใดปรากฏอยู่ในเสียง


 


 


“ทูลฝ่าบาท” สตรีนางนั้นยิ่งงุดหน้าต่ำลง “หม่อมฉันได้รับคำสั่งจากนายท่านของตระกูลเราให้มาส่งของบำรุงร่างกายให้พระสนมเพคะ”


 


 


“ของบำรุง?” ถอนใจออกมาเบาๆ “คงมีใจเป็นห่วง”


 


 


“แต่ดูเหมือนว่าใต้เท้าหยางจะไม่ค่อยไว้ใจข้าเท่าไหร่นัก? หรืออาจพูดได้ว่าไม่ค่อยเชื่อใจข้ากระมัง? ผู้หญิงของข้าอยากได้อะไร ข้าย่อมหามาให้ได้ คงมิต้องรบกวนให้ใต้เท้าหยางมาคอยเป็นห่วงอย่างนี้อยู่ทุกวัน”


 


 


บนหน้าของสตรีที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนางนั้นปรากฏเม็ดเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา พระบารมีของโอรสสวรรค์ มิใช่สิ่งที่คนที่เพิ่งเข้าวังมาเป็นครั้งแรกแล้วมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างนางจะรับมือไหว”


 


 


“ทูลฝ่าบาท…นายท่านเพียงแค่…”


 


 


“เอาล่ะพอได้แล้ว! เจ้ายังไม่รีบออกไปให้พ้นอีกหรือ!” หยางอวี้หลิงที่แต่งตัวเต็มยศเดินออกมาจากด้านหลังม่านอย่างช้าๆ แล้วหันไปจ้องสตรีผู้นั้นด้วยสายตาอาฆาต นางเอ่ยขึ้นโดยที่ยังมีผ้าบังจมูกไว้ “เจ้ารีบกลับไปบอกท่านพ่อเถิดว่า ข้าไม่เป็นไรแล้ว ท่านพ่ออย่าได้กังวลใจอีก ตอนนี้ก็หมดเรื่องที่นี่แล้วเจ้ารีบกลับไปซะ!”


 


 


เมื่อครู่นางยืนอยู่หลังม่าน ดังนั้นจึงได้ยินคำพูดที่ลี่หยวนตรัสอย่างชัดเจน เมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้น ดวงตาคู่นี้ของหยางอวี้หลิงจึงปรากฏความเสน่ห์หาออกมาอย่างชัดเจนโดยมิอาจปิดบังได้


 


 


ผู้หญิงของข้า มิต้องรบกวนให้ผู้ใดมาคอยเป็นห่วง…


 


 


ฝ่าบาทยังคงเป็นฝ่าบาทคนเดิมเฉกเช่นในอดีต


 


 


ทว่า…หยางอวี้หลินก้มหน้าลง เมื่อครู่ฝ่าบาทจะทรงกริ้วแล้วหรือไม่? ก็ถูก ท่านพ่อกล้าสงสัยในตัวฝ่าบาท! ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อนางเช่นไร นางจะไม่รู้เลยหรือ?


 


 


ท่านพ่อทำเช่นนี้ไม่กลัวฝ่าบาทจะทรงกริ้วนางเลยหรือ เพราะมิว่าผู้ใดหากถูกตั้งข้อสงสัยโดยไม่มีสาเหตุก็คงจะหัวเสียกันทั้งนั้น


 


 


“แต่พระสนมเพคะ นายท่านไหว้วานให้ข้า…” สตรีผู้นั้นยังคงปฏิบัติภารกิจในการมาครั้งนี้ไม่สำเร็จย่อมมิยอมกลับไปเช่นนี้ เพราะหากกลับไปโดยที่ทำงานไม่สำเร็จ ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาแม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่กล้าจะนึกถึง


 


 


หยางอวี้หลิงจ้องไปที่นาง ในแววตาบอกเป็นนัยว่าหากนางยังก็พูดต่อไปอีกล่ะก็ ผลที่จะเกิดขึ้น…


 


 


สตรีนางนั้นตัวสั่นเทา ตอนที่คุณหนูใหญ่ผู้นี้ยังมิได้ออกเรือนมีลักษณะนิสัยอย่างไรใช่ว่านางจะไม่รู้ เมื่อลงโทษใครขึ้นมา นางไม่มีทางยอมเบามือให้อย่างแน่นอน พอคิดถึงตรงนี้นางก็ถอนใจและมิกล้าปากมากอีกแม้เพียงนิดเดียว


 


 


ลี่หยวนตี้ที่ประทับอยู่ด้านข้างกำลังจิบน้ำชาที่นางในเตรียมไว้ให้เขาเมื่อครู่ เขาไม่สนใจสีหน้าของหยาอวี้หลิงอีก จึงตรัสขึ้นว่า “หลิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นเลย แน่นอนว่าพ่อของเจ้าต้องเป็นห่วงเจ้า พอมาคิดทบทวนดูอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง ข้าเป็นถึงฮ่องเต้องค์หนึ่ง แต่ยังต้องให้พ่อตามาคอยกังวลและเป็นห่วงเจ้า…ข้าช่าง…”


 


 


“ช่างเถิด ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อมาเยี่ยมเยียนเจ้าเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าข้าจะมาไม่ถูกเวลาสักเท่าไหร่ แม่นางผู้นี้คงจะยังมีของอีกหลายอย่างและสาส์นอีกหลายเรื่องจากพ่อตาที่ยังไม่ได้พูดกับเจ้า ดูจากท่าทางตอนนี้แล้วคงจะยังพูดไม่จบ ในเมื่อหลิงเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน ไม่ขอรบกวนพวกเจ้า วันหลังข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่” เมื่อลี่หยวนตี้ตรัสจบจึงก้มพระพักตร์ต่ำกว่าเดิม ทว่ากลับดูออกไม่ยากนักถึงความเจ็บปวดบางๆ ที่ปรากฏขึ้นในดวงตาราวกับกังวลบางเรื่องแต่ก็คล้ายมีความขมขื่นซ่อนอยู่


 


 


“พวกเจ้าไปเตรียมเกี้ยวเถิด” ลี่หยวนตี้ไม่เปิดโอกาสให้หยางอวี้หลิงได้เอ่ยปาก เขาวางถ้วยน้ำชาแล้วลุกออกไปทันที


 


 


“ไม่ ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาท ฝ่าบาท…!” หยางอวี้หลิงไม่กล้าตะโกนร้องเสียงดังจนเกินไป เพราะหากน้องร้องโวยวายเช่นนั้น คงจะไปดึงดูดความสนใจของผู้ที่ไม่รู้เรื่องนี้ให้หันมาสนใจเข้า


 


 


นางมิอาจให้เป็นเช่นนั้นได้ ในวังหลวงแห่งนี้มีผู้คนมากมายที่ปรารถนามาแทนที่ตำแหน่งของนาง เฝ้ารอให้นางตกกระป๋องแล้ว พวกเขาจะเฝ้ามองนางและแอบหัวเราะเยาะนางอยู่ในมุมมืดใดมุมหนึ่ง


 


 


นางไม่มีทางและจะไม่ยอมเด็ดขาดให้คนต่ำต้อยพวกนั้นสมความปรารถนาได้ แต่…ฝีเท้าของลี่หยวนตี้ช่างเร็วนัก ในชั่วครู่เดียวก็เดินออกจากพระราชวังลิ่งอันไปไกลแล้ว


 


 


“ฝ่าบาท…” หยางอวี้หลิงเฝ้ามองเงาด้านหลังของลี่หยวนตี้ค่อยๆ ลับตาไปอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างของนางเริ่มขุ่นมัว สุดท้ายนางก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ร่างของนางที่พิงอยู่บนขอบประตูค่อยๆ ไหลลงสู่ด้านล่างอย่างช้าๆ


 


 


หลิงเซียงไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น เนื่องจากในเวลานี้ การพูดมากไปแม้แต่คำเดียวอาจจะนำมาซึ่งภัยอันตรายถึงชีวิต


 


 


แต่ช่วงนี้ร่างกายขอหยางอวี้หลิงไม่ค่อยดีนัก ความจริงข้อนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ขืนยังปล่อยให้นางพิงขอบประตูและนั่งอยู่บนพื้นกระเบื้องที่เย็นเฉียบอยู่เช่นนี้ ความเย็นที่เข้าสู่ร่างกายอาจจะทำให้อาการป่วยใดๆ ที่นางเป็นอยู่ยิ่งร้ายแรงขึ้นไปอีก


 


 


“พระสนม…” เงียบงันอยู่เป็นเวลานานกว่าหลิงเซียงจะเริ่มเปิดปาก นางค่อยๆ พยุงหยางอวี้หลิงให้ยืนขึ้น


 


 


“ไปให้พ้น!” หยางอวี้หลิงสะบัดแขน พลังอันมหาศาลทำให้หลิงเซียงที่กำลังพยุงนางอยู่ล้มพับลงไป


 


 


หยางอวี้หลิงปาดน้ำตาที่ยังเหลืออยู่บริเวณรอบดวงตาแล้วพุ่งตรงไปยังสตรีผู้นั้นที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าแล้วยกเท้าถีบไปยังหน้าอกของนางหนึ่งที


 


 


“เป็นเพราะคนแพศยาอย่างเจ้า! ใครใช้ให้เจ้าพูดจาเหลวไหลไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนี้!” ร่างกายที่อ่อนแอของหยางอวี้หลิงมีพลังพุ่งพล่านปะทุออกมา จากร่างกายของนางเดิมทีที่เคยอ่อนแอ ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้ลากสตรีนางนั้นขึ้นมาแล้วตบหน้านางไปสองที


 


 


สตรีนางนั้นหดตัวแล้วถอยหนีไปด้านหลัง ที่มุมปากของนางปรากฏรอยเลือดไหลออกมาซิบๆ จากการที่โดนฝ่ามือของหยางอวี้หลิงเมื่อครู่เข้าไปเต็มแรง


 


 


“พระสนมได้โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันสักครั้งเถิด ครั้งหน้าหม่อมฉันมิกล้าแล้ว พระสนมได้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วย!” 

 

 


ตอนที่ 96 ลงมือ

 

“ครั้งหน้า? เจ้ายังคิดว่าจะมีครั้งหน้าอีกหรือ?” หยางอวี้หลินกล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมสูง “เจ้าทำให้ข้าเดือดร้อนครั้งเดียวยังไม่พออีกหรือ?”


 


 


อกของหยางอวี้หลิงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง และเนื่องด้วยนางเพิ่งจะร้องไห้ไปเมื่อครู่ ตอนนี้ตาทั้งสองข้างของนางจึงแดงดั่งเลือด เป็นภาพที่ดูแล้วน่าสยดสยองอย่างยิ่ง


 


 


“พระสนมเพคะ! คุณหนูอย่าโกรธคนประเภทนี้จนเป็นโทษแก่ร่างกายตัวเองเลยนะเพคะ” เมื่อหลิงเซียงเห็นท่าไม่ดีก็รีบวิ่งเข้าไปพยุงหยางอวี้หลิงจากทางด้านหลัง เนื่องจากตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่าหยางอวี้หลิงกำลังมีครรภ์อยู่ หากโกรธเกรี้ยวมากเกินไปจนเป็นเหตุให้…


 


 


หลิงเซียงที่ประคองอยู่ด้านหลังมิกล้าพูดมากจนเกินไปนัก นางเพียงหวังให้หยางอวี้หลิงสงบสติอารมณ์ของตนโดยเร็ว เพราะต่อให้ไม่ได้มีครรภ์อยู่ แต่โมโหจนเกิดโทษแก่ร่างกายตนเอง นั่นก็ถือเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน


 


 


ร่างกายเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุด หากแม้แต่ร่างกายและชีวิตของตัวเองยังไม่เหลืออยู่ จะไปพูดถึงการเป็นที่โปรดปราณได้อย่างไร? ไหนจะเรื่องการตั้งครรภ์อีก?


 


 


ร่างของหยางอวี้หลิงสั่นระทวยคล้ายจะล้มลงเต็มที โชคดีที่หลิงเซียงรีบมาทันเวลาจึงยังไม่ทันได้ล้มลงไปกับพื้น นางสูดหายใจเข้าลึก นางกัดฟันพลางแยกเขี้ยวเอ่ยออกมาว่า “ลากคนผู้นี้ออกไป! แล้วประหารพันมีดหมื่นแร่จนตาย! รีบลากนางออกไปเดี๋ยวนี้!”


 


 


“พระสนม!” สตรีผู้นางนี้ได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “พระสนม พระสนมทำแบบนี้กับหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ! หม่อมฉันเป็น เป็นคนของนายท่าน พระสนมจะฆ่าหม่อมฉันแบบนี้ไม่ได้!”


 


 


“ใช่เพคะพระสนม พระสนมไม่ควร ไม่ควรใช้วิธีเช่นนี้ฆ่านางนะเพคะ…” หลังจากที่หลิงเซียงพยุงหยางอวี้หลิงนั่งลงบนเบาะด้านข้างแล้ว นางก็รีบคุกเข่าลงทันทีแล้วเอ่ยขึ้น “พระสนม วิธีเป็นวิธีที่…ขอพระสนมโปรดทบทวนด้วยเพคะ”


 


 


การประหารพันมีดหมื่นแร่ โดยทั่วไปแล้วเป็นวิธีการลงโทษที่ใช้สำหรับผู้ที่ทำผิดโทษฉกรรจ์เท่านั้น หากหยางอวี้หลิงตัดสินใช้วิธีการลงโทษนี้กับสตรีผู้นี้แล้ว เกรงว่าวันรุ่งขึ้นคงจะมีข่าวแพร่ออกไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ว่าหยางอวี้หลิงใช้วิธีการลงโทษอันเ**้ยมโหดกับคนของตัวเอง ในพระราชสำนักก็คงต้องรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน


 


 


วังหน้าและวังหลังมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องซับซ้อนต่อกันมาโดยตลอด หยางเกิ่งรั่งมีศัตรูมากมาย แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยลงมือมาก่อน เช่นนั้นบุตรสาวของเขา หยางอวี้หลิงพระสนมที่ได้รับความโปรดปราณจากฮ่องเต้เล่า? ก็ยิ่งไม่ควรเลือกใช้วิธีเช่นนี้เป็นดีที่สุด…


 


 


หยางอวี้หลิงนั่งลงแล้วมองไปยังถ้วยน้ำชาที่ยังเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งบนโต๊ะที่ลี่หยวนตี้เพิ่งประทับไปเมื่อครู่ ตอนนั้นอารมณ์ของนางจึงเริ่มสงบลง


 


 


ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วเห็นหญิงนางนั้นที่มอบคลานอยู่บนพื้น คราวนี้แม้ไม่ได้ใช้เสียงที่น่าสยดสยองเอ่ยขึ้นแต่ก็เป็นน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกอย่างที่สุด “จริงด้วย การตายสำหรับคนผู้นี้แล้ว ดูจะสบายเกินไปหน่อย อยู่ก็อยู่ไม่ไหว ตายก็ตายไม่ได้ต่างหากถือจะสาสมกับคนอย่างเจ้าที่สุด”


 


 


“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนของท่านพ่อหรือ คนของท่านพ่อแล้วอย่างไร? มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ตอนนี้ข้างกายเจ้าก็ไม่ได้มีนายท่านอยู่ด้วย มีเพียงข้าเท่านั้น!” หยางอวี้หลิงหรี่ตาทั้งสองข้าง “หลิงเซียงลากตัวนางออกไป! จับตัวมันไปไว้ที่คุกหลวง! เหตุผลก็เป็นเพราะว่าเมื่อครู่นางพูดไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกับข้า อีกทั้งยังข่มขู่ข้าอีก?”


 


 


“ไม่นะ พระสนม พระสนม!” สตรีนางนั้นที่คุกเข่าอยู่คลานเข้ามาที่เท้าของหยางอวี้หลิงแล้วกอดขาทั้งสองข้างของนางไว้ “พระสนมทำแบบนี้กับหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ! พระสนมข้าสำนึกผิดแล้ว พระสนมได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด! พระสนม!”


 


 


คุกหลวงคือสถานที่แบบใด? นั่นเป็นสถานที่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าศาลราชสกุลจักรพรรดิเสียอีก! คนในวังหลวงเมื่อทำผิดจะถูกจับไปไว้ที่ศาลราชสกุลจักรพรรดิ แต่หากมิใช่คนในวังหลวงเล่า? นั่นก็คงมีเพียงโทษประหารหรือไม่ก็เกือบตายหรือไม่ก็ถูกโยนไปไว้ในคุกหลวง


 


 


ตลอดมาภาพที่ชาวบ้านบรรยายคุกหลวงเอาไว้นั้นล้วนเป็นภาพที่โหดร้าย เพราะมิเคยมีคนเป็นผู้ใดเคยได้ออกมาจากที่นั่น ข่าวลือและเรื่องเล่าแปลกๆ ทุกเรื่องล้วนเข้าไปฝังรากลึกอยู่ในภาพความทรงจำของผู้คนอย่างมิอาจเลี่ยงได้


 


 


ตายหรือเข้าคุกหลวง? ดูเหมือนว่าการตายยังเป็นทางเลือกที่น่ากลัวน้อยกว่า


 


 


“ไสหัวไป!” หยางอวี้หลิงยกขาข้างหนึ่งของตนแล้วถีบเข้าไปที่หน้าของสตรีนางนั้น “หลิงเซียง ยังไม่ลากตัวมันออกไปอีก!”


 


 


“เพคะ พระสนม” หลิงเซียงมองไปยังสตรีนางนั้นที่กลิ้งอยู่ด้านข้างอย่างเวทนา แม้ว่านางจะสงสารเพียงใด นางก็คงทำได้เพียงรู้สึกสงสารเท่านั้น


 


 


คงพูดได้แต่เพียงว่าสตรีนางนี้โชคร้ายเกินไปกระมัง? ในวังหลวง แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นสถานที่ที่ต้องอาศัยโชคชะตาเป็นสำคัญ


 


 


สตรีนางนั้นถูกหลิงเซียงมัดมือทั้งคู่เอาไว้ ในปากก็มีเศษผ้าที่ไม่รู้ว่าได้มาจากที่ใดมาอุดเอาไว้ ตาคู่นี้ของนางจ้องมองไปที่หลิงเซียงอย่างอ้อนวอน คล้ายเป็นการอ้อนวอนความหวังวุดท้ายของตน


 


 


การกระทำของหลิงเซียงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็จัดการสตรีนางนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วส่งตัวให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้าง ขันทีน้อยผู้นั้นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจสถานการณ์ นางกำนัลที่อยู่ในตำหนักนั้นล้วนเข้าใจเหตุการณ์ดีจึงก้มหน้าลงโดยไม่พูดไม่จา ราวกับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝัน


 


 


“หลิงเซียง ข้าเหนื่อยแล้ว” มือขวาของหยางอวี้หลิงกุมที่ศีรษะตนเองเบาๆ แล้วใช้เพียงมือเดียวยันไปที่โต๊ะวางน้ำชา “ประคองข้าไปนอนพักบนเตียงหน่อยเถิด อีกเรื่องหนึ่งคือ อีกประเดี๋ยวเจ้าส่งคนไปส่งข่าวที่พระราชวังของฮ่องเต้ โดยบอกว่าร่างกายของข้าไม่สบายขึ้นมาอีกแล้ว จึงหวังว่าฝ่าบาทจะมาเยี่ยมข้าบ้าง”


 


 


“เพคะพระสนม พระสนมพักผ่อนก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวบ่าวจะต้องถ่ายทอดคำพูดของพระสนมไปอย่างแน่นอน ร่างกายของพระสนมคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้” หลิงเซียงห่มผ้าให้หยางอวี้หลิงอย่างระมัดระวังแล้วพูดปลอบประโลมด้วยเสียงแผ่วเบา “พระสนมหลับตาพักผ่อนสักครู่หนึ่งก่อนเถิด ประเดี๋ยวตื่นขึ้นมาก็ไม่เป็นไรแล้ว”


 


 


หยางอวี้หลิงพยักหน้าเบาๆ ให้แล้วหลับตาลง จากนั้นก็ไม่ครุ่นคิดเรื่องใดอีก


 


 


ณ พระตำหนักหย่างซิน


 


 


“ฝ่าบาท”


 


 


ลี่หยวนตี้เงยหน้าขึ้นแล้ววางหนังสือในมือลง จากนั้นจึงตรัสด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ที่หยางอวี้หลิงด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


 


สายลับผู้นั้นเงยหน้าขึ้น “เป็นตามที่ฝ่าบาททรงคาดเดาไว้มิผิด วันนี้สตรีนางนั้นเป็นคนที่ใต้เท้าหยางส่งมาตรวจพระสนมหยางกุ้ยเหรินว่ามีครรภ์หรือไม่พะย่ะค่ะ”


 


 


“เฮอะ” ลี่หยวนตี้แค่นหัวเราะเบาๆ “แล้วตอนนี้ผู้หญิงนางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“หยางอวี้เหรินให้นำตัวไปขังไว้ที่คุกหลวงแล้วพะย่ะค่ะ”


 


 


“ส่งคนไปจับตาดูเอาไว้ อย่าทำให้นางตาย” ลี่หยวนตี้จัดที่ทับกระดาษบนโต๊ะ “นางยังมีประโยชน์อยู่”


 


 


“พะย่ะค่ะ” สายลับผู้นั้นก้มหน้า


 


 


“ยังมีอีกเรื่อง แผนการนั้นลงมือล่วงหน้าได้แล้ว”


 


 


“ฝ่าบาท?” สายลับผู้นั้นเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “วันนี้เลยหรือ?”


 


 


“อืม” ลี่หยวนตี้วางที่ทับกระดาษในมือลงอย่างเบื่อหน่าย “วันนี้ โอกาสได้มาถึงแล้ว”


 


 


“แต่…” สายลับผู้นั้นคล้ายมีสิ่งใดอยากจะพูดต่อ แต่เขารู้จักสายตาจริงจังคู่นั้นของลี่หยวนตี้เป็นอย่างดี ตอนนั้นจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก “กระหม่อมจะรีบกลับไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้”


 


 


“ไปเถิด”


 


 


กลางดึก ณ พระราชวังลิ่งอัน


 


 


พระสนม พระสนมเพคะ! ทนหน่อยนะเพคะ บ่าวส่งคนไปที่สำนักหมอหลวงแล้ว!” หลิงเซียงคุกเข่าอยู่ข้างๆ เตียง และกุมมือของนางเอาไว้พลางเอ่ยขึ้น “พระสนม ทนอีกหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้วเพคะ!”


 


 


“ข้าเจ็บ! เจ็บมาก! ใครอยู่ตรงนี้บ้าง” หยางอวี้หลิงในตอนนี้คล้ายถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ เพราะทั่วทั้งตัวของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ เนื่องจากนางรู้สึกเจ็บปวดเหลือทนจึงทำให้หยางอวี้หลิงไม่ได้ยินเสียงใดๆ รอบตัว จิตใต้สำนึกของนางในตอนนี้คือ ท้องของนาง ร่างกายของนางคล้ายกำลังถูกทึ้งออกจากตรงกลางจึงเจ็บโดยไม่มีสติสนใจเรื่องใดอีกร 

 

 


ตอนที่ 97 แท้ง

 

“หมอหลวง! ไปตามหมอหลวงมาเร็ว!” สุดท้ายหลิงเซียงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงปล่อยมือหยางอวี้หลิงและวิ่งไปยังประตูตำหนัก นางยื่นมือทั้งสองไปที่นางกำนัลนางหนึ่งแล้วบีบไหล่เอาไว้แน่นพร้อมเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าให้เจ้าไปตามหมอหลวงมาไม่ใช่หรือ! หมอหลวงอยู่ไหนเล่า? ทำไมตอนนี้ยังมาไม่ถึงอีก!”


 


 


“บ่าว บ่าว…” นางในนางนี้เป็นเพียงนางกำนัลระดับล่างที่ตลอดมาทำหน้าที่เพียงแค่ยืนอยู่ปากประตูตำหนักเท่านั้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางมีโอกาสสนทนากับหลิงเซียงในระยะประชิดเช่นนี้


 


 


ตอนนี้นางคงยังไม่ได้ทันรู้สึกตื่นเต้นอะไร เนื่องจากเห็นสายตาที่โมโหจนถึงขั้นสามารถปลิดชีวิตคนได้ของหลิงเซียง ตลอดมาในสายตาของพวกนาง หลิงเซียงไม่ได้เป็นคนดุร้าย ตอนนี้คงได้รับนิสัยเช่นนี้มาจากหยางอวี้หลิง


 


 


เมื่อต้องอยู่ในระยะที่ใกล้กันเช่นนี้ คำพูดที่นางกำนัลนางนั้นเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกพลันมลายหายไป ตอนนี้นางตกใจกลัวจนตัวสั่นเทาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยริมฝีปากที่สั่นระริกว่า “บ่าว บ่าวไปที่สำนักหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ หมอหลวงบอกว่าขอเวลาหมอเตรียมของก่อน…แล้วจะรีบมาทันที จึงให้บ่างกลับมาก่อนเจ้าค่ะ…”


 


 


“ข้าเจ็บ! หลิงเซียง! หมอหลวง! หมอหลวงยังมาไม่ถึงอีกรึ!” เสียงของหยางอวี้หลิงดังขึ้นมาอีกจากด้านในตำหนัก


 


 


“นางสวะ!” หลิงเซียงหันไปมองนางกำนัลที่กำลังตัวสั่นเทาผู้นั้นอีก หากอยู่ในสถานการณ์ปกตินางคงลากคนผู้นี้ไปโบยสักสิบไม้เพื่อเป็นการสั่งสอนให้หลาบจำบ้าง


 


 


หมอหลวงบอกให้กลับมาเจ้าก็กลับมางั้นรึ? เจ้าจะลากหมอหลวงกลับมาพร้อมเจ้าไม่ได้เลยหรือ?


 


 


แต่ตอนนี้ในหูของนางมีเพียงเสียงร้องของหยางอวี้หลิงดังอยู่ หากต้องการจะสั่งสอนคน ตอนนี้คงยังไม่ใช่เวลา


 


 


“พวกเจ้าคอยดูแลพระสนมแทนข้า!” หลิงเซียงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจว่าตนจะไปที่สำนักหมอหลวงด้วยตัวเอง จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ข้าจะไปสำนักหมอหลวง ระหว่างนี้หากเกิดอะไรขึ้นกับพระสนม พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายตกไปตามกัน!”


 


 


“เจ้าค่ะ” เหล่านางกำนัลก้มหน้าตอบรับ ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมองหลิงเซียง


 


 


ตำหนักผานหลง


 


 


“ฝ่าบาท หยางกุ้ยเหรินเริ่มมีอาการแล้วพะย่ะค่ะ” หลี่กงกงรีบเดินเข้ามาแล้วกล่าวรายงานต่อลี่หยวนตี้ที่กำลังเตรียมบรรทม


 


 


พระหัตถ์ของลี่หยวนตี้ที่กำลังปลดประดุมออกพลันหยุดลง “อื้ม เช่นนั้นไปตามหมอหลวงมาหรือยัง”


 


 


“ไปตามแล้วพะย่ะค่ะ” หลี่กงกงก้มหน้า ค้อมตัวต่ำลงอีกเอ่ยตอบ “แต่ครั้งแรกได้ยินว่าที่สำนักหมอหลวงต้องเตรียมจัดของก่อน จึงยังไม่ได้ไปทันที ตอนนี้หลิงเซียงสาวใช้ข้างกายของหยางกุ้ยเหรินจึงออกไปเชิญด้วยตัวเองอีกรอบแล้ว”


 


 


“อย่างนี้เองหรือ…” ลี่หยวนตี้ใส่เสื้อของตัวเองแล้วหันไปตรัสว่า “เช่นนั้นนำป้ายคำสั่งของข้าไป บอกว่าข้าต้องการให้หมอหลวงรีบไปที่พระราชวังลิ่งเพื่อดูอาการให้หยางกุ้ยเหรินเดี๋ยวนี้”


 


 


หากฟังเพียงคำพูดอย่างเดียว คำพูดนี้ของลี่หยวนตี้ค่อนข้างแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเป็นห่วงของเขา แต่แม้ว่าจะตรัสออกไปเช่นนี้ น้ำเสียงกลับมิได้แสดงถึงความรักใคร่แต่อย่างใด ลี่หยวนตี้ตรัสขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่ชัดเจนว่ารอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความเยาะเย้ยและสะใจมากกว่า


 


 


“พะย่ะค่ะ” หลี่กงกงไม่ได้สงสัยถึงความผิดปกติอะไร เขารับป้ายคำสั่งของลี่หยวนตี้แล้วรีบมุ่งตรงไปยังสำนักหมอหลวงโดยไม่ให้เสียเวลาเลยแม้แต่น้อย


 


 


ลี่หยวนตี้แต่งกายด้วยตัวเอง เขาเดินไปยังกระจกแล้วจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย


 


 


คนในกระจกสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อย การแต่งกายของเขาสมบูรณ์แบบ ทว่าพระเนตรคู่นั้น…


 


 


ลี่หยวนตี้หลับพระเนตรคู่หนึ่ง ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ความล้ำลึกหนักแน่นที่ปรากฏเมื่อครู่พลันหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยความเศร้ากังวลใจที่เปี่ยมล้มอยู่ในพระเนตรคู่นั้น


 


 


“เตรียมเกี้ยว ไปพระราชวังลิ่งอัน”


 


 


“พะย่ะค่ะ เตรียมเกี้ยวไปพระราชวังลิ่งอัน!”


 


 


……


 


 


“พระสนม!” หลิงเซียงเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของตนพลางวิ่งเข้ามาในตำหนัก “พระสนมเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? บ่าวเชิญหมอหลวงมาถึงแล้ว พระสนมทนอีกหน่อย…เลือด? ทำไมถึงมีเลือด?


 


 


หลิงเซียงเมื่อเห็นของเหลวสีแดงที่กำลังไหลออกมาจากตัวของหยางอวี้หลิง พลันยกมือขึ้นปิดปาก “หมอลวง! หมอหลวง!”


 


 


“แม่นางหลิงเซียงโปรดอย่าแตกตื่น แม่นางเอะอะเสียงดังเช่นนี้ หากพระสนมได้ยินเข้าต้องไม่ดีกับนางแน่ ข้าจะรีบดูชีพจรให้พระสนมเดี๋ยวนี้” หมอหลวงหลี่เอ่ยขึ้นเสียงเบาพลางขมวดคิ้ว


 


 


หลิงเซียงอยากจะพูดต่อ ทว่าตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของหยางอวี้หลิงอีกแล้ว


 


 


หลิงเซียงมองดูหมอหลวงหลี่นำเข็มออกมาด้วยความกังวลใจ นางยกมือขึ้นประนมพลางอธิษฐาน “พระสนมจะต้องไม่เป็นไร…”


 


 


“เฮ้อ” ผ่านไปเป็นเวลานาน หมอหลวงหลี่จึงถอนหายใจ “ร่างกายของพระสนมไม่เป็นอันตราย แต่เด็กในครรภ์นี้…”


 


 


“เด็ก?” หลิงเซียงหันหน้ากลับมา “หมอหลวงหลี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ? เด็ก? พระสนม?” แม้ว่าหลิงเซียงเห็นอาการของหยางอวี้หลิง ในใจของนางก็สามารถเดาได้อยู่เจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่เมื่อหมอหลวงหลี่ยืนยันอย่างหนักแน่นเช่นนี้ นางจึงอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้


 


 


“ท่านเป็นนักต้มตุ๋นพูดจาเหลวไหล! เมื่อสองวันก่อนที่ท่านดูชีพจรให้พระสนม ท่านบอกว่าไม่เป็นอะไรไม่ใช่รึ! ทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงบอกว่าพระสนมตั้งครรภ์เล่า?!”


 


 


หมอหลวงหลี่ถอยหลังไปครึ่งก้าวก้มหน้าลงพลางเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางหลิงเซียงโปรดใจเย็นก่อน สองวันก่อนก็คือสองวันก่อน เมื่อสองวันก่อนภาวะชีพจรของพระสนมอ่อนแอมาก อีกทั้งอายุครรภ์ตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน อย่าว่าแต่ข้าเลยต่อให้เป็นหมอหลวงผู้อื่น เมื่อตรวจพบสภาพชีพจรเช่นนั้น เกรงว่าก็คงไม่มีผู้ใดตรวจพบว่าพระสนมตั้งครรภ์”


 


 


“อีกทั้งชีพจรของพระสนมแต่ไหนแต่ไรมาก็อ่อนแอกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว ทำให้ข้าตรวจไม่พบ…พระสนมโปรดลงโทษ”


 


 


หยางอวี้หลิงตอนนี้อยู่ในสภาพมึนงง ดังนั้นแม้ว่าหมอหลวงหลี่จะขอร้องอย่างไร คนที่อยู่บนเตียงผู้นี้ก็มิอาจมีปฏิกิริยาใดตอบสนอง


 


 


“ฮ่องเต้เสด็จ!”


 


 


“ฝ่าบาท!” หมอหลวงหลี่คุกเข่าลง “ฝ่าบาทโปรดลงโทษ!”


 


 


ลี่หยวนตี้ขมวดคิ้ว “หมอหลวงหลี่ เกิดอะไรขึ้นกับหยางอวี้หลิง?”


 


 


“ทูลฝ่าบาท พระสนมแท้งบุตรแล้วเพคะ” ไม่ต้องรอให้หมอหลวงหลี่เปิดปาก หลิงเซียงก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้า คุกเข่าลงแล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมกับพระสนมด้วยเพคะ!”


 


 


“แท้ง?” ลี่หยวนตี้เบิกพระเนตรขึ้น แล้วถอยหลังไปสองสามก้าวราวกับมิอาจรับเรื่องราวนี้ได้ จากนั้นจึงตรัสด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เหตุใดถึง…นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”


 


 


“ทูลฝ่าบาท การที่พระสนมแท้งบุตรในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะความโกรธที่มากเกินไป ส่งผลให้อารมณ์พุ่งพล่านมากจนเป็นเหตุให้เกิดการแท้งบุตรพะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่รีบเอ่ยปากขึ้น “เดิมทีพระครรภ์ของหยางกุ้ยเหรินก็อ่อนแออยู่แล้ว ทั้งอายุครรภ์ก็ยังไม่เต็มหนึ่งเดือน ดังนั้นจึงง่ายต่อการแท้งบุตรพะย่ะค่ะ”


 


 


“ฝ่าบาท…?” หยางอวี้หลิงที่อยู่บนเตียงตื่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ นางมองไปยังคนรอบๆ ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ สายตาของนางปรากฏแววแห่งความสับสน “ฝ่าบาท นี่มันอะไรกันเพคะ?” โอ๊ย…” หยางอวี้หลิงกำลังจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าไม่คิดเลยว่าการขยับตัวเบาๆ เท่านี้ กลับส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดที่ส่วนล่างของร่างกาย


 


 


“หลิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวร่างกาย” ลี่หยวนตี้ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว “พวกเราสามารถมีลูกกันใหม่ได้ ตอนนี้ร่างกายของเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้ขยับเขยื้อนโดยไม่ระวัง” เมื่อตรัสจบ ลี่หยวนตี้ก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อย่างใส่ใจ


 


 


“ลูก?” หยางอวี้หลิงเหลือบตามามอง “ฝ่าบาท พระองค์ตรัสถึงลูก? ลูกใครกันเพคะ?”


 


 


“ไม่มีอะไร… ” ลี่หยวนตี้หลบสายตาของหยางอวี้หลิงที่หันมาจ้องตนแล้วตรัสขึ้น “ข้า ข้าขอตัวกลับไปจัดการเรื่องราวนี้ให้ชัดเจนก่อน จากนั้นจะกลับมาบอกเจ้า หลิงเอ๋อร์ เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม